99 ถวายความเคารพ-อาลัย แด่ พระมหาเถระผู้รัตตัญญู พระเดชพระคุณ พระราชวิสุทธาจารย์ (ปราณี อินฺทวํโส) อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ อดีตเจ้าคณะอำเภอสามพราน อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง พระเดชพระคุณ มรณภาพเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๖ สิริอายุ ๙๓ ปี ๗๑ พรรษา ท่านเป็น พระมหาเถระผู้ยอดเยี่ยม มีพรรษากาลมาก สัมมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ทรงความรู้ มีความรับผิด ชอบสูง รับภารกิจงานใด ท่านทุ่มเทอย่างเต็มที่ สมควรแก่การยกย่องว่า “พระมหาเถระผู้รัตตัญญู- ผู้มีอายุพรรษากาลนาน และคุณงามความดีมาก” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะอำเภอสามพราน เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ที่วัดไร่ขิง ก็ตั้งอยู่ในหัวใจของคณะสงฆ์ และญาติโยมทั่วไป พระเดชพระคุณถือว่าเป็นตำนานของวัดไร่ขิงรูปหนึ่ง เพราะท่านอยู่วัดไร่ขิงมานาน คู่บุญบารมี ของพระเดชพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง ท่านเป็นตำนานของการอบรมบาลีก่อนสอบของคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ซึ่งจัดที่วัดไร่ขิง พระอารามหลวง ร่วมคิด ร่วมทำ ดำเนินการอบรมอย่างสุดกำลัง รับภาระหน้าที่ด้านการปกครอง ก็เอาใจใส่อย่างดียิ่ง ด้านการประชาสัมพันธ์ ก็ไม่เคยบกพร่องช่วยเหลืองานด้านนี้ของหลวงพ่อ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์เป็นอย่างดียิ่ง สมัยนั้น พระภิกษุสามเณรที่มาเข้ารับการอบรมบาลีก่อนสอบ มีจำนวนมาก ๔๐๐-๕๐๐ รูป ทุกกุฏิแน่นไปหมด แม้แต่หน้ากุฏิท่านเลยไปถึงศาลาริมน้ำ ล้วนเป็นที่พักของนักเรียนบาลี หนาว แสนหนาวอย่างไร แต่ก็รับความอบอุ่น เพราะท่านดูแลเอาใจใส่อย่างดี
100 ท่านเป็นพระมหาเถระผู้มีความเมตตาอย่างสม่ำเสมอ มาวัดไร่ขิง ไม่เจอใคร เจอท่านท่านก็ ให้การต้อนรับอย่างดียิ่ง เรียกฉัน เรียกคุย ท่านจึงเป็นพระมหาเถระที่อยู่ในใจผู้เขียน และในใจของ พระหนุ่มเณรน้อย รวมถึงญาติโยมทั้งหลาย การมรณภาพจากไปของพระเดชพระคุณ เป็นเพียงธรรมดาของสรรพสัตว์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่คุณงามความดีที่ท่านได้ทำเอาไว้ เป็นอนุสติให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา และประพฤติปฏิบัติตาม สมกับ “พระมหาเถระผู้รัตตัญญู” พระเทพปริยัติโสภณ เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี เจ้าอาวาสวัดไชยชุมพลชนะสงคราม
101 พระมหาเถระผู้มีอายุพรรษาสูงสุดในวัดไร่ ขิง พระอารามหลวง พระเดชพระคุณหลวงปู่ พระราชวิสุทธาจารย์ สิริอายุ ๙๓ ปี พรรษา ๗๑ เป็นพระมหาเถระ ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติและมีเกียรติประวัติอันดีงามในการบำเพ็ญศาสนกิจครบทั้ง ๔ องค์กร ตลอดอายุขัย ในการปกครองนั้น พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ได้รับ ความไว้วางใจจากคณะสงฆ์ โดยให้ดำรง ตำแหน่งต่าง ๆ เริ่มต้ังแต่เป็นเจ้าคณะอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นผู้ช่วย เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอสามพราน เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะ ภาค ๑๔ ทุกตำแหน่ง หลวงปู่ฯ ได้ปฏิบัติหน้าที่มาด้วยดี ไม่บกพร่องเสียหาย ในการศึกษา หลวงปู่ฯ ได้เพียรพยายามศึกษาพระปริยัติธรรมจนสามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก และเปรียญธรรม ๓ ประโยค เป็นพระมหาเปรียญได้สำเร็จ ทั้งยังได้ส่งเสริม สนับสนุนการศึกษา พระปริยัติธรรมทั้งแผนกธรรมและแผนกบาลี ให้เจริญมาโดยลำดับ ในด้านการเผยแผ่ ได้อาศัยความแตกฉานในการศึกษาพระปริยัติธรรมและมีประสบการณ์ จึงเชี่ยวชาญในวาทการ กล่าวสัมโมทนียกถา การโฆษณาประชาสัมพันธ์ และเทศนาโวหาร ได้อย่าง ล้ำเลิศ มีปฏิภาณไหวพริบดี เป็นที่ประทับใจของผู้ฟังโดยทั่วไป ในด้านการสาธารณูปการ ด้วยเหตุที่หลวงปู่ฯ มีความรอบรู้ ชำนาญการทางด้านนวกรรม การก่อสร้าง เป็นช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จึงส่งผลให้ท่านได้สร้าง ทำนุบำรุง บูรณะซ่อมแซม ปฏิสังขรณ์ ก่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ ถวายไว้ในพระพุทธศาสนาเป็นลำดับมา พระเดชพระคุณหลวงปู่ พระราชวิสุทธาจารย์ ได้บริหารตนไว้ในคุณงามความดี ด้วยการ รักษาเกียรติอันดีงามไว้ มิให้เสื่อมทราม เป็นนักปกครองที่ดี มีศีลาจารวัตรปฏิบัติตรง เป็นนัก เสียสละ สงบ เรียบง่าย ปฏิบัติตามพระธรรมของพระบรมศาสดาจนเป็นท่ี่มาแห่งอายุยืนถึง ๙๓ ปี
102 แม้หลวงปู่ฯ มรณภาพไปแล้ว แต่ผลงานและเกียรติคุณอันดีเด่น เห็นชัดย่อมเป็นที่ชื่นชอบของ ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายและผู้ที่เคารพเลื่อมใสในจริยาวัตรของหลวงปู่ฯ ไปตลอดกาลนาน ด้วยคุณงามความดีที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ พระราชวิสุทธาจารย์ ได้กระทำบำเพ็ญมา ตลอดอายุขัย อีกทั้งสรรพกุศลทักขิณานุปทานกิจที่บรรพชิตและคฤหัสถ์ได้ร่วมกันปฏิบัติบำเพ็ญ อุทิศถวายนั้น จงดลบันดาลให้เกิดเป็นสุขวิบากราศีอันควรแก่คติวิสัยในสัมปรายภพนั้นเทอญ พระราชวชิรโมลี รองเจ้าคณะภาค ๑๔ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม
103 อาลัยพี่เจ้าคุณปราณี ท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธาจารย์ (ปราณี) ขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่มีภาระตำแหน่งสำคัญทางการ ปกครองคณะสงฆ์ คือเป็นเจ้าคณะอำเภอสามพราน และเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ช่วง ๒ เจ้าอาวาส ซึ่งทั้ง ๒ ตำแหน่งดังกล่าว เป็นที่ทราบกันดีว่าภาระหนักเพียงใด เช่นตำแหน่งเจ้าคณะ อำเภอสามพราน ต้องรับผิดชอบทั้งการปกครอง การศึกษา การเผยแผ่ ช่วยทั้งคณะสงฆ์และ ราชการนักเรียน เป็นต้น อีกตำแหน่งหนี่งที่เป็นภาระหนักไม่แพ้กันคือ การเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าวัดไร่ขิงแห่งนี้มีกิจกรรมจิปาถะ ถนนทุกสายมุ่งสู่วัดไร่ขิงทั้งนั้นอย่าว่าแต่ เจ้าอาวาสผู้ช่วยเจ้าอาวาสเลย แม้แต่พระภิกษุสามเณร กรรมการวัดก็เหน็ดเหนื่อยไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะการอบรมบาลีก่อนสอบสนามหลวง ในเรื่องวิชาการก็มีผู้รับผิดชอบไป แต่เรื่องการปกครอง นั้นหลวงพ่อพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ อดีตเจ้าอาวาส และพระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ท่านทั้งสองเชื่อใจมอบหมายให้ท่านเจ้าคุณปราณีเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบโดยเฉพาะเรื่องระเบียบวินัยนั้น ท่านควบคุมพิทักษ์กฎได้ดียิ่งรวมทั้งด้านอาหาร ด้านสถานที่ทำวัตรสวดมนต์ ท่านรับช่วยเหลือด้วย ความเต็มใจ และมีประสิทธิภาพ นี่คืองานส่วนรวม ด้านส่วนตัวท่านที่รู้จักต่างยอมรับกันว่าท่านเจ้าคุณรูปนี้มี ศีลาจารวัตร เรียบร้อย ขยันทำกิจ คณะสงฆ์ เก็บกวาดเสนาสนะเก็บรักษาของสงฆ์ ของโบราณวัตถุต่างๆเพื่อให้อนุชนได้ศึกษาค้นคว้า โดยการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของท่านเองไว้ด้วย ข้อความด้านท้ายนี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเยี่ยมชม และได้รับความเมตตาจากท่านเป็นอย่างดี (คือการแบ่งปัน) บัดนี้ท่านได้ละสังขารไปแล้วตามสภาวะ สังขารส่วนผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ทั้งหลายทั้งปวง อันมีท่านเจ้าคุณพระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าอาวาสเป็นต้น
104 เป็นประธาน ได้จัดพิธีการศพทำบุญอุทิศกุศลเพิ่มเติมให้ ตลอดมาอย่างสมเกียรติยิ่ง ยากที่จะหา ศิษย์ทำให้อาจารย์เช่นนี้ หากหลวงพี่เจ้าคุณรับทราบในพิธีกรรมดังกล่าวเป็นต้องอนุโมทนาชื่นชม ชื่นใจในแรงกตัญญูกตเวทีครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย และมีความเกษมสำราญตามเจตนาปรารภของ คณะศิษย์ และผู้ที่เคารพนับถือสืบไป. พระราชวิสุทธาภรณ์ รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี เจ้าอาวาสวัดพระแท่นดงรัง
105 แด่ ....ครูผู้เคยสังสอน่ ผู้เขียนมาอยู่วัดไร่ขิงเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนวันวิสาขบูชา ๕ วัน เวลา ๑๙.๐๐ น. เศษ ท่ามกลางสายฝนเดือน ๖ ตกพร่ำ ๆ รุ่งขึ้น ตอนเช้าก็ไปเข้าอุโบสถทำวัตรเช้า เวลา ๐๘.๐๐ น. ทำวัตรเสร็จ อาจารย์พระมหาถาวร ทองนวล ซึ่งเป็นอาจารย์ปกครองสามเณรและเลขานุการวัดไร่ขิง ได้กล่าวแนะนำพระมหาปราณี ซึ่งเป็น พระมหาเถระรูปหนึ่งของวัด และเป็นอาจารย์ฝ่ายการเรียนการสอนแผนกนักธรรม คือได้รับมอบหมาย จากเจ้าอาวาสหลวงพ่อพระราชปัญญาภรณ์ สมณศักดิ์ในสมัยนั้น ให้เป็นผู้จัดครูสอนนักธรรมตรี โท เอก ของสำนักเรียนวัดไร่ขิง ผู้เขียนได้กราบทำความเคารพท่าน ๓ ครั้ง จากนั้นท่านก็ได้กล่าวให้โอวาท หลายเรื่องซึ่งไม่สามารถบรรยายได้หมด (ถ้าอยากรู้ต้องคุยกันหลังไมค์) พอวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๑๖ หลังวันวิสาขบูชา ๑ วัน ก็มีพิธีเปิดการเรียนการสอนบาลี ของสำนัก เวลา ๑๓.๐๐ น. ซึ่งมีหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ พระราชปัญญาภรณ์ (ปัญญา อินฺทปญฺโญ) เดินทางมาจากวัดพระงาม เมืองนครปฐม (หลวงพ่อเป็นเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง แต่ไปจำพรรษาวัดพระงาม ในฐานะผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส) เป็นประธานเปิด จำได้ว่าหลวงพ่อพูดตักเตือนสั่งสอนและ เล่าให้ฟังอยู่หลายเรื่อง มีอยู่เรื่องหนึ่ง คือ เรื่องหลวงพ่อกล่าวชมเชย พระมหาปราณี ซึ่งอยู่ในพิธีนั้นด้วย ว่าท่านเป็นแบบอย่างของการศึกษาเล่าเรียน โดยเฉพาะการเรียนบาลี ท่านใช้เวลาเรียนบาลีตั้งแต่ ชั้นไวยากรณ์ถึงชั้นเปรียญธรรม ๓ ประโยค ที่เขาเรียกกันว่า “พระมหา” ท่านขยันเรียน ไม่เคยขาดเรียน ไม่เคยขาดสอบ ใช้เวลาสอบทั้งหมดร่วม ๒๐ ปี ขอให้พวกเราได้ยึดถือเป็นแบบอย่างกันนะ ผู้เขียน ไม่เคยเรียนนักธรรมกับท่าน เพราะจบนักธรรมชั้นเอกมาแล้ว แต่ท่านเคยสอนไวยากรณ์แทนอาจารย์ พระมหาทองสา ป.ธ.๘ วัดปากน้ำ ซึ่งอาพาธสอนไม่ได้ราวเดือนกว่าๆ พอปี พ.ศ. ๒๕๒๐ พระมหาปราณี เปรียญธรรม ๓ ประโยค ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะ อำเภอสามพราน แบบก้าวไกลจากพระลูกวัดไร่ขิง ข้ามเจ้าคณะตำบลยายชา หลวงพ่อพระครูถาวรวิทยาคม วัดสรรเพชญ เจ้าคณะตำบลบางช้าง พระครูอุดมพิทยาภรณ์ วัดบางช้างใต้ เจ้าคณะตำบลบ้านใหม่ พระครูสิริชยาภรณ์ วัดอ้อมใหญ่ ไปชนิดไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อนเลย เมื่อท่านได้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะ อำเภอสามพรานแล้ว ท่านก็เรียกผู้เขียนไปพบและบอกผู้เขียนว่า “ผมจะตั้งมหาเป็นเลขาเจ้าคณะ
106 อำเภอนะ” มาช่วยผมหน่อย มหาเก่งเรื่องพิมพ์ดีด พระมหารวม สุเมธี เปรียญธรรม ๓ ประโยค จึงได้เป็นเลขานุการเจ้าคณะอำเภอสามพราน ตามใบแต่งตั้งลงวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ท่านได้ทำเรื่องขอแบ่งเขตปกครองตำบลเพิ่มขึ้นอีก ๑ ตำบล ให้เรียกชื่อว่า เจ้าคณะตำบลไร่ขิง และ แต่งตั้งให้พระครูพิศาลสาธุวัฒน์ วัดท่าพูด ซึ่งเป็นพระอนุสาวนาจารย์ขอท่านเป็นเจ้าคณะตำบล ในปีนั้นเองท่านก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะอำเภอชั้นโท และเลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมาจนถึงเจ้าคณะอำเภอชั้นพิเศษ ในราชทินนามว่า “พระครูไพศาลคณารักษ์” และในปี พ.ศ ๒๕๕๑ ก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ (เจ้าคุณ) ในราชทินนามว่า “พระพิมลสมณคุณ” และเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (๑๒ สิงหาคม) ในราชทินนามว่า “พระราชวิสุทธาจารย์” อาจารย์เจ้าคุณพระราชวิสุทธาจารย์ เป็นพระมหาเถระที่คงแก่การเรียนรู้ มีความขยันเป็นเลิศ รักษาความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นชีวิตจิตใจ ใครทำสกปรกจะดุด่าว่ากล่าวทันที ได้ตั้งทุนสงเคราะห์การศึกษาและแจกทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียนทุกโรงเรียนในเขตอำเภอสามพราน ในนาม “ทุนการศึกษาของคณะสงฆ์อำเภอสามพราน” จนเกษียณอายุ ๘๐ ปี ของการดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะอำเภอสามพราน และอีกมากมายของกิจกรรมคณะสงฆ์ ผู้เขียนได้รับเมตตาธรรมจากอาจารย์เจ้าคุณให้เป็นเลขานุการฯ สนองงานได้ ๕ ปี ก็ต้องไป สนองงานหลวงเตี่ย พระเทพโสภณ เจ้าคณะภาค ๑๔ ที่อเมริกา ๑๐ ปีกว่า กลับมาปี ๒๕๓๕ ท่านให้ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลไร่ขิง ๑๑ ปี แล้วขอลาออกไปช่วยสนองงานเจ้าคณะภาค ๑๕ พระเดชพระคุณ พระพรหมเวที วัดพระปฐมเจดีย์ ๒๐ ปี จนท่านครบวาระอายุ ๘๐ ปี ขอบุญบารมีความดีที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์พระราชวิสุทธาจารย์ (ปราณี อินฺทวํโส) ได้สะสมไว้ด้วยตนเองก็ดี เจือจานไปสู่พระภิกษุสามเณรในวัดนอกวัดก็ดี ญาติโยมสาธุชนทั่วไปก็ดี และแก่คณะสงฆ์หมู่ใหญ่ก็ดี จงส่งผลให้เจ้าคุณอาจารย์มีความสุข พ้นจากความทุกข์ ในสัมปรายภพ ด้วยเทอญ พระรัตนสุธี (เจ้าคุณรวม) วัดไร่ขิง พระอารามหลวง
107 น้อมรำลึกความดี พระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์ พระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์ อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดไร่ขิง พระอารามหลวง ท่านมีนามเดิมว่า “ปราณี” ฉายา “อินฺทวํโส” แปลว่า ผู้เป็นเผ่าพงศ์ ของพระพุทธเจ้าผู้เป็นใหญ่ในธรรม พระเดชพระคุณฯ เป็นพระมหาเถระผู้ดำรงอยู่ร่วมยุคสมัยและ ได้สนองงาน พระเดชพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง มาโดยลำดับ งานสำคัญที่ท่านปฏิบัติเป็นกิจวัตรในอดีต คือการเป็นพระอาจารย์สอนนักธรรมให้กับ ลูกพระหลานเณร เป็นผู้ทำหน้าที่ปโพธนาการในโครงการอบรมบาลีก่อนสอบคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ท่านจะตื่นก่อนนักเรียน เปิดเครื่องขยายเสียงประกาศปลุกนักเรียนให้ตื่นจากการหลับใหล เพื่อลุกขึ้นมา ทำวัตรเช้า เข้าถึงพระคุณแห่งพระรัตนตรัย เป็นปฐมบทแห่งการอบรมศึกษาพระบาลีในแต่ละวัน งานหลักที่ท่านแบกรับอยู่ตั้งแต่เมื่อครั้งคราวเก่าก่อน คือตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอสามพราน ขับเคลื่อนกิจการงานคณะสงฆ์ให้ดำเนินไปตามเส้นสายแห่งภาระหน้าที่ด้วยความเรียบร้อยดีงาม บ่ห่อน มีอธิกรณ์ใดที่จะทำให้สังฆมณฑลต้องมัวหมอง ปกครองสงฆ์ด้วยเมตตาธรรม นำพาหมู่คณะเพื่อ ประโยชน์แห่งพระพุทธศาสนาและชุมชนอย่างกว้างขวาง บัดนี้ ความเป็นธรรมชาติแห่งชีวิตของท่านได้ดำเนินมาถึงบทสุดท้าย ด้วยสำนึกในคุณงาม ความดีที่ท่านได้รังสรรค์ฝากไว้ พระเดชพระคุณ พระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาส วัดไร่ขิง พระอารามหลวง จึงได้นำพาคณะสงฆ์ผู้ช่วยเจ้าอาวาส คณะศิษยานุศิษย์ทั้งบรรพชิตและ คฤหัสถ์ ร่วมกันจัดงานเพื่อถวายเกียรติ ขอไฟพระราชทานจัดงานบำเพ็ญกุศล นิมนต์พระสงฆ์ ผู้เป็นเนื้อนาบุญได้เมตตามาแสดงพระธรรมเทศนา สาธยายพระอภิธรรม สวดพระพุทธมนต์
108 พิจารณาผ้าบังสุกุล ร่วมกันถักถ้อยร้อยเรียงเป็นพวงมาลาแห่งบุญกุศล ยกย่องเกียรติคุณเทิดทูน เซ่นสรวงบำบวงบูชา แด่พระเดชพระคุณ พระราชวิสุทธาจารย์ ขอกุศลบารมีธรรมความดีที่คณะลูกศิษย์ได้สั่งสมบ่มบำเพ็ญให้เป็นไป จงเป็นคุณาดิศัยส่งให้ พระเดชพระคุณฯ ได้สงบเงียบสง่างามอยู่ในสวรรค์ชั้นฟ้าดุสิตวิมาน จนกว่าจะยุรยาตรคมนาการ สู่ประตูแห่งพระนิพพาน ในอนาคตกาลเบื้องหน้านั้นเทอญ พระพิพัฒน์ศึกษากร เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม เจ้าอาวาสวัดบางช้างเหนือ
109 มหาเถรคุณาลยคาถา ธรรมชาติแห่งสรรพชีวิตชนิดหนึ่ง ซึ่งมีพลังกางปีกสยายหางอย่างทระนง แผ่อำนาจอาจองอยู่ เหนือทุกลมหายใจ ยิ่งใหญ่มาชั่วนาตาปี และยังคงยืนหยัดอยู่เช่นนี้ตลอดไปจนกว่าจะกัลปาวสาน ไม่เคยมีวิชาใดจะต่อต้าน ไม่โอนอ่อนผ่อนตามการทัดทานของใคร จะร่ำรวยเพียงไหน สูงศักดิ์อัครฐาน สักปานใด สุดท้ายยังคงต้องสยบอยู่ภายใต้แห่งธรรมชาติที่ว่านี้ “ความตาย” พระเดชพระคุณ พระราชวิสุทธาจารย์ อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดไร่ขิง พระอารามหลวง ท่านก็ไม่มีอันใดนอกเหนือจากธรรมข้างต้น รู้ทั้งรู้ เข้าใจทั้งที่เข้าใจ แต่เมื่อ ถึงคราวที่ท่านจากไป ไม่ยอมก็ต้องยอม ไม่อยากได้ก็ต้องรับเอาไว้ เหตุปัจจัยอันสำคัญที่ทำให้ คณะสงฆ์รู้สึกสูญเสียมากมายในครั้งนี้ นั่นเพราะพระเดชพระคุณฯ เป็นพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ เคยปฏิบัติหน้าที่ในหลายตำแหน่ง เป็นเจ้าคณะอำเภอสามพราน บริหารกิจการคณะสงฆ์ในเขต ปกครองด้วย ความรับผิดชอบ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง ผู้ธัมมานุสาสนีชี้นำ วิชานักธรรมแก่อนุสงฆ์ และอีกหลายต่อหลายอย่าง ท่านปฏิบัติหน้าที่ด้วยสติปัญญา มีความรู้ความ สามารถ มีความฉลาดและอดทน มีจริยวัตรอัธยาศัยงดงาม บัดนี้ ชีวิตที่ดารดาษไปด้วยหิตประโยชน์ มวลมากไปด้วยคุณูปการของท่าน ได้มาถึงซึ่งที่สุดเมื่ออายุได้ ๙๓ ปี งดงามอยู่ในร่มเงาแห่ง พระธรรมวินัย ๗๑ พรรษา ความตายเอย แม้เจ้าจะยิ่งใหญ่จนสามารถเยาะเย้ยผืนดินเหยียดหยามแผ่นฟ้า ไม่เคยคณา ที่จะเด็ดเอาชีวิตของใครต่อใครตามใจเจ้าปรารถนาก็ตามเถิด แต่เจ้าจะไม่สามารถทำลายความดี ความเสียสละที่ พระเดชพระคุณฯ พระราชวิสุทธาจารย์ ได้เคยฝากฝังไว้ ทุกคุณค่าแห่งผลงานชีวิต ได้สถิตเป็นกองทัพแห่งความสำนึกเทิดทูนที่แข็งแกร่ง เป็นสายใยแห่งการชื่นชูบูชาที่มั่นคง แม้จะดูเป็น
110 เพียงความรู้สึกที่บางเบา หากแต่มีความเหนียวแน่นและงดงามอย่างน่าประหลาดเกินคาดคะเน แม้จับต้องไม่ได้ด้วยกายเนื้อ แต่สามารถสัมผัสได้ด้วยหัวใจ หัวใจที่มีความกตัญญูกตเวที ทุกคุณงาม ความดีจะเป็นที่จดจำ และน้อมนำไปบำเพ็ญให้เป็นประโยชน์โสตถิผลแก่ผู้คนในสังคม ขอผลานิสงส์แห่งคุณบุญกุศลที่พระเดชพระคุณฯ ได้เคยสั่งสมไว้ รวมกับที่คณะศิษยานุศิษย์ นำโดย พระเดชพระคุณ พระธรรมวชิราจารย์ ผู้มีดวงมาลย์อันชุ่มชื่นด้วยหยาดหยดแห่งความกตัญญู กตเวที สำนึกในคุณงามความดีที่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนมา นำพาลูกพระหลานเณรบ่มบำเพ็ญ ให้เป็นไป ขอจงเป็นคุณาดิศัยให้ท่านได้สถิต ณ สุราลัยชั้นฟ้า เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวฟ้าชาวสวรรค์ ตราบถึงวันผันผายย้ายเหย้าเข้าสู่ประตูแห่งพระนิพพาน ในอนาคตกาลเบื้องหน้านั้น เทอญ พระศรีวิสุทธิวงศ์ รองเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร
111 พระมหาเถระผู้เปนแบบอย ็ ่ างที่ดี พระสงฆ์เป็นหนึ่งในรัตนะที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา กองทัพธรรมจะอยู่ได้ยั่งยืนนานก็ด้วย มีพระสงฆ์ที่มีปัญญาเฉลียวฉลาดในการปกครองเป็นหัวหน้า และพระสงฆ์นั้นก็ต้องเป็นแบบอย่าง ที่ดีในการประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงพ่อพระราชวิสุทธาจารย์ (ปราณี อินฺทวํโส) เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นพระมหาเถระ รูปหนึ่ง ที่เปรียบเสมือนขุนพลผู้ร่วมขับเคลื่อนกิจการงานของคณะสงฆ์ภาค ๑๔ และคณะสงฆ์ วัดไร่ขิง พระอารามหลวง ท่านประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นหลักนำชัย ของมวลพุทธบุตร ทั้งได้บำเพ็ญประโยชน์ส่วนที่เป็นอัตตสมบัติ อันเป็นประโยชน์ส่วนตน และปรหิต สมบัติ อันเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น นับได้ว่าเป็นพระมหาเถระที่มีชีวิตเต็มไปด้วยสารประโยชน์ยิ่งนัก รวมทั้งเป็นแบบอย่างให้ศิษยานุศิษย์ได้ยึดถือปฏิบัติตาม การมรณภาพจากไปของท่าน จึงเป็นการสูญเสียพระมหาเถระผู้เป็นแบบอย่างที่ดี ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีศีลาจารวัตรงดงาม น่าเลื่อมใส แม้ท่านจะล่วงลับไปแล้ว แต่ชื่อเสียงคุณงามความดี ของท่านยังปรากฏอยู่ และได้ขจรไป ประดุจดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมได้ขจรไป ดังที่ว่า “อันดีชั่วตัวตาย เมื่อภายหลัง ชื่อก็ยังเป็นอยู่ไม่รู้หาย” ขอกุศลผลบุญคุณงามความดีที่พระเดชพระคุณได้กระทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ และบุญกุศล ที่คณะศิษยานุศิษย์ได้ร่วมกันอุทิศถวายไปให้ จงเป็นพลวปัจจัยส่งเสริมให้พระเดชพระคุณได้เข้าถึง ความสุขในพระนิพพาน อันเป็นบรมสุขยิ่งยวดด้วยเทอญ ฯ พระมงคลพัฒนาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร เจ้าอาวาสวัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร
112 กิตติคุณกถา แด่ พระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์ พระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์ อดีตเจ้าคณะอำเภอสามพราน อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะ ภาค ๑๔ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง เป็นพระมหาเถระอีกรูปหนึ่งที่เคยบำเพ็ญ คุณความดีไว้ให้กับผู้อยู่เบื้องหลังได้ระลึกนึกถึง ท่านมีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่งดงาม ควรค่าแก่ การศึกษาและน้อมนำไปเป็นแบบอย่างให้กับคนรุ่นหลัง ตั้งแต่สมัยที่ผู้เขียนปฏิบัติหน้าที่เป็นเลขานุการเจ้าคณะอำเภอสามพราน ได้เห็นความเสีย สละและความรับผิดชอบในการทำงานของท่านอย่างใกล้ชิด ภาพที่ชัดเจนที่สุด คือการสนองงาน หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง เมื่อถึงฤดูกาลอบรมบาลีก่อนสอบคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ท่านจะจัดหา อุปกรณ์การอบรม ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ กระดานดำ เทปคลาสเซท โดยไม่ต้องรอให้ท่านเจ้าอาวาสสั่งการ ท่านรับหน้าที่เป็นพิธีกรประชาสัมพันธ์ตั้งแต่เช้ามืด ปีใดที่มีนักเรียนมาเข้าอบรมเป็นจำนวนมาก ที่พักไม่เพียงพอ ท่านก็จะรับนักเรียนให้เข้าไปพักที่กุฏิของท่าน ขาดเหลือสิ่งใดขอให้บอก ท่านให้การดูแล อย่างอบอุ่น ท่านทำงานด้วยหัวใจ ด้วยเมตตา ด้วยสติปัญญาและความสามารถ งานใดที่ผ่านมือ ของท่าน ก็เป็นที่วางใจของหมู่คณะ บัดนี้ ถึงแม้พระเดชพระคุณฯ จะล่วงลับลาจาก แต่ได้ฝากผลงาน ชีวิตให้ผู้อยู่เบื้องหลังได้รำลึกนึกถึง ให้สังคมได้จดจำ ว่านี่คือหนึ่งชีวิตที่ดูธรรมดา แต่กลับมีคุณค่า อย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยคุณความดีที่มีต่อวัดไร่ขิง พระอารามหลวง ต่อคณะสงฆ์ และต่อสังคมส่วนรวม ในงาน บำเพ็ญกุศลอุทิศแด่พระเดชพระคุณฯ จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
113 และพระบรมวงศานุวงศ์ พระราชทานพวงมาลาเชิดชูเกียรติ ในงานสวดพระอภิธรรมเพื่ออุทิศ ทักขิณานุปทานอุทิศกัลปนาแต่ละคืน พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง ผู้เคยเป็นลูกศิษย์ของท่าน ได้นำพาพระภิกษุสามเณรและคณะ ศิษยานุศิษย์ร่วมกันทำบุญอุทิศอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เป็นภาพที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ขอพระเดชพระคุณ พระราชวิสุทธาจารย์ ได้อนุโมทนาสาธุการ สงัดเงียบในสายธารแห่งแสงธรรม ชี้นำชาวสวรรค์ให้มุ่งมั่น ในสายทางแห่งความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เทอญ พระครูอดุลพัฒนาภรณ์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดเดชานุสรณ์
114 ธรรมานุสรณ์ พระราชวิสุทธาจารย์ (ปราณี อินฺทวํโส ป.ธ.๓) อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ อดีตผู้ช่วย เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง ท่านเป็นพระเถระอีกรูปหนึ่งที่เป็นรัตตัญญูและเป็นผู้มีปฏิปทา ที่ควรแก่การยกย่องสรรเสริญ ของบัณฑิตยชน เพราะท่านเป็นพระเถระผู้ทรงศีล ทรงธรรม ทรงเดช ทรงคุณ ทรงบุญ และทรงวาสนา ท่านมีประวัติความเป็นมา มีอรรถจริยา การบำเพ็ญประโยชน์ ที่ควรศึกษา และควรเอาอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ งานด้านการเผยแผ่ การปกครอง และการ สาธารณูปการ นอกจากนี้ ท่านยังเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีคุณูปการคุณอย่างยิ่ง ในการบริหารกิจการ งานคณะสงฆ์อำเภอสามพราน มาเป็นระยะเวลานาน และการสนองงานพระศาสนา มีน้ำใจที่เปี่ยมล้น ด้วยเมตตา กรุณา อ่อนน้อมด้วยวุฏฐานปจายนธรรมสม่ำเสมอ ด้วยความที่ท่านเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมของความเป็นวุฒิบุคคล คือ เป็นผู้มีชาติวุฒิ เพราะได้บรรพชาและอุปสมบทในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีคุณวุฒิ เพราะเพียบพร้อม ด้วยคุณธรรมและวุฒิธรรมเป็นอเนกประการ มีวัยวุฒิ เป็นพระเถระที่เจริญอายุวัฒนมงคลถึง ๙๓ ปี ๗๑ พรรษา จึงได้กระทำกาลกิริยาละสังขารไปจากอัตภาพนี้ จึงเป็นที่สังเกตเห็นได้ว่าท่านได้นำ หลักธรรมของพระบรมศาสดามาประพฤติให้เห็น และปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างแก่อนุชนคนรุ่นหลัง อย่างเห็นได้ชัดเจน คือ ความอดทน ๑ ความตื่นตัว ๑ ความขยันหมั่นเพียร ๑ ความเอื้ออารีแบ่งปัน ๑ ความเมตตาเอ็นดู ๑ และความเห็นกว้างไกล ๑ คุณธรรมเหล่านี้ ท่านประพฤติปฏิบัติเป็นประจำสม่ำเสมอ จึงเป็นเหตุให้ท่านมั่นคงในอันที่ จะบำเพ็ญประโยชน์ให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองทั้งแก่ประเทศชาติ พระศาสนา และเกิดความมั่นคงในสถาบัน แห่งองค์พระมหากษัตริย์ ด้วยอำนาจแห่งคุณความดีที่พระราชวิสุทธาจารย์ (ปราณี อินฺทวํโส ป.ธ.๓) ได้สั่งสมอบรมมาตลอดอายุไขในร่มเงาแห่งผ้ากาสาวพัสตร์ ขอจงเป็นประโยชน์สมบัติอำนวยสุขสวัสดิ์ ให้ท่านได้เสวยสุขสำราญ รับรสอมตธรรมในสัมปรายภพ สมตามเจตนาปรารภจงทุกประการ พระครูวรดิตถานุยุต ดร. เจ้าคณะตำบลไร่ขิง เจ้าอาวาสวัดท่าพูด
115 รำล.ึกพระคุณ “ท่านๆ พระอาจารย์ณีให้มาตาม” เสียงเพื่อนพระใหม่รุ่นเดียวกันตะโกนบอกผมให้ไปที่กุฏิ อาจารย์ณี ก็ถามกลับว่า “อาจารย์ณีเรียกไปทำอะไรหรือ” เพื่อนตอบกลับมาว่า “ท่านเรียกให้ไป ยกโต๊ะจัดห้องสอบนักธรรมสนามหลวง”พวกเราเหล่าพระใหม่ก็พร้อมใจกันรีบไปช่วยพระอาจารย์ ปราณี เช่นเดียวกับทุกๆ ครั้ง ที่มีการจัดกิจกรรมภายในวัดไร่ขิง พระอาจารย์ปราณี สอนวิชาวินัยมุข นักธรรมตรี พระใหม่รุ่นปี พ.ศ.๒๕๒๘ นั้นมีกันอยู่ ๓๐ รูป ท่านสอนหนังสือสนุก มักจะมีนิทาน มาเล่าให้พวกเราขำกันในห้อง ทุกคาบที่สอน เป็นที่ประทับใจของลูกศิษย์ทุกคน ลูกศิษย์จะไม่ขาด เรียนในวิชาของท่านเลย เมื่อคราวกระผมอุปสมบท พระอาจารย์ณีเมตตาเป็นคู่สวดคู่กับหลวงพ่อโหย วัดท่าพูด ท่านเป็นคนเจ้าระเบียบ รักษาความสะอาด และเน้นความเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นที่สุด และ ท่านจะสอนให้รู้จักคุณค่าของสิ่งของ บริขาร เครื่องใช้ไม้สอย ต้องทำความสะอาดและจัดให้ เรียบร้อยด้วย หลวงพ่อจะคุยด้วยความภาคภูมิใจว่า “แม้ขอบหน้าต่าง ขอบประตู ผมก็เช็ดทุกซอก ทุกมุม” ท่านชอบสะสมของเก่าโบราณ เช่น โต๊ะมุข พระเครื่อง นาฬิกาโบราณ เป็นต้น รวมๆ แล้ว น่าจะหลายร้อยชิ้น บนประตูกุฏิของท่าน มีแผ่นคำคมสีเขียว เขียนภาษาอังกฤษสีขาวว่า “Time and tide wait for no one.” แปลว่า “เวลาและสายน้ำไม่เคยคอยใคร” จึงไม่แปลกใจที่พระอาจารย์ณี จะเป็นคน ตรงต่อเวลาเสมอ สังเกตุได้จากเวลาไปทำวัตรเช้าหรือทำวัตรเย็น ท่านจะไปนั่งรอก่อน โดยถือโทรศัพท์ ไร้สาย พร้อมพวงกุญแจพวงใหญ่วางไว้ข้าง ๆ ตัว เราจะทราบทันทีว่าพระอาจารย์ณีมาถึงโบสถ์แล้ว เพราะเราจะได้ยินเสียงท่านวางพวงกุญแจ ดังคลิ๊ก จากนั้นท่านจะกราบพระประธาน แล้วนั่ง ภาวนารอเวลา ครั้นพอถึงเวลาทำวัตร ท่านจะกระแอมเสียงดังพอประมาณ ๑ ครั้ง จากนั้นก็จะ เริ่มนำทำวัตรสวดมนต์ และในช่วงปิดทองไหว้พระงานประจำปีหลวงพ่อวัดไร่ขิง พระอาจารย์ณี จะรับหน้าที่เป็นโฆษก เวลาประมาณ ๖ โมงเช้าของทุกวัน เราจะได้ยินเสียงประชาสัมพันธ์ อันไพเราะน่าฟังว่า “ที่นี่กองอำนวยการวัดไร่ขิง เจริญพรบรรดาพ่อค้าแม่ขาย...”
116 พระอาจารย์ณีเป็นเจ้าคณะอำเภอสามพราน จึงมีพระเถรานุเถระ เจ้าคณะพระสังฆาธิการ มาปรึกษาหารือเรื่องกิจการคณะสงฆ์ มาเยี่ยมมาหาอยู่มิขาด นอกจากนี้ยังมีลูกศิษย์ลูกหาแวะเวียน ไปเยี่ยมเยียนเยอะมาก ตั้งแต่เช้ายันค่ำ บ้างก็มาถวายสังฆทาน บ้างก็มาขอฤกษ์มงคล ขึ้นบ้านใหม่ ออกรถ หรือตั้งชื่อลูกหลาน บ้างก็มาเจิมรถ พรมน้ำมนต์ บางคนมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจมาปรับทุกข์ ท่านก็ชี้แนะหนทางให้คลายทุกข์ไป ใครเดือดร้อนมาขอความช่วยเหลือท่านก็สงเคราะห์ไปตามลำดับ แต่หากว่าใครมาสนทนาเรื่องพระเครื่องหรือของเก่าแล้วละก็ ท่านจะคุยสอบถามถึงที่มาที่ไปนาน เป็นพิเศษหน่อย ทุกคนที่มาต่างได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อ ชื่นอกชื่นใจ ก่อนกลับท่านจะแจก พระสมเด็จของขวัญของท่าน โดยจะกำชับไว้ว่า “เก็บไว้ให้ดีนะ ผมทำเอง หลวงพ่อวัดไร่ขิง รุ่น ๒๕๑๖” ทำให้ทั้งพระทั้งโยมผู้มาเยือนสบายใจกลับไปทุกคน สมกับเป็นพระของพระพุทธศาสนา และของชาวบ้านจริงๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง กระผมได้มีโอกาสสนองคุณรับใช้พระอาจารย์ณีในการช่วยทำงานเลขานุการ เจ้าคณะอำเภอสามพราน และได้รับความเมตตาแต่งตั้งเป็นฐานานุกรมที่ พระปลัด ถึง ๒ ครั้ง ทำให้ รู้สึกภาคภูมิใจ อบอุ่นใจที่ได้รู้จักและได้ใกล้ชิดกับท่านผู้เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ผู้เป็นปูชนียบุคคล ที่น่าเคารพนับถือและสำนึกในเมตตาของท่านเป็นอย่างยิ่งตลอดมา บัดนี้ ไม่มีใครเรียกเราไปยกโต๊ะแล้ว ไม่ได้ยินเสียงหลวงพ่อกวาดใบไม้แล้ว ไม่เห็นภาพหลวงพ่อ เดินไปเจิมรถแล้ว ไม่ได้ยินเสียงประกาศไมค์แล้ว นาฬิกาที่กุฏิหลวงพ่อคงจะหยุดเดิน เพราะไม่มี ใครไขลานแล้ว วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๖ วัดไร่ขิง พระอารามหลวงได้สูญเสียครูบาอาจารย์ผู้เป็นผู้หลัก ผู้ใหญ่ของวัดไปแล้วพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชวิสุทธาจารย์ ผู้เป็นดั่งบิดาในสายธรรมของ เกล้ากระผมฯ ได้ละสังขารแล้ว ประทีปแก้วที่เคยส่องสว่างมา ๙๓ ปี ได้ลาลับดับลงแล้ว หลวง พ่อเหน็ดเหนื่อยตรากตรำมาทั้งชีวิตแล้ว ขอให้ดวงวิญญาณของหลวงพ่อจงพักผ่อนให้สบายในสุคติ สัมปรายภพ หลวงพ่อณีจะสถิตย์ในดวงใจของลูกศิษย์คนนี้ตลอดไปตราบนิรันดร พระปลัดสามารถ ธมฺมธาโร เจ้าอาวาสวัดไทยแทรนโดรป ราชอาณาจักรเดนมาร์ก
117 พระธรรมเทศนา มหัตตกถา แสดงโดย พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ศาสตราจารย์, ราชบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม, ประธานกรรมการการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ, เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมศพ พระราชวิสุทธาจารย์ (ปราณี อินฺทวํสมหาเถร ป.ธ.๓) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ ตสฺมา หิ อตฺตกาเมน มหตฺตมภิกงฺขตา สทฺธมฺโม ครุกาตพฺโพ สรํ พุทฺธาน สาสนนฺติ ฯ ณ บัดนี้ จักรับประทานแสดงพระธรรมเทศนาในมหัตตกถา ว่าด้วยความความยิ่งใหญ่ เพื่อเป็น เครื่องประคับประคองฉลองศรัทธา ประดับปัญญาบารมี อนุโมทนากุศลบุญราศีส่วนทักษิณานุประทาน ในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมอุทิศถวายท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธาจารย์ (ปราณี อินฺทวํโส) อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ และอดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง โดยได้รับความเมตตาและความ เคารพศรัทธาจากคณะเจ้าภาพทั้งฝ่ายบรรพชิต และคฤหัสถ์ มีท่านเจ้าคุณพระธรรมวชิรเจติยาจารย์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ เป็นประธาน การบำเพ็ญกุศลเพื่ออุทิศถวายพระราชวิสุทธาจารย์ในวันนี้มีคณะเจ้าภาพ ประกอบด้วย พระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง และคณะสงฆ์วัดไร่ขิง คณะสงฆ์ในเขตปกครองภาค ๑๔ นำโดยพระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าคณะภาค พระราชวชิรโมลี รองเจ้าคณะเจ้าภาค ๑๔ พร้อมด้วยเจ้าคณะจังหวัดทั้ง ๔ จังหวัด คือ พระเทพปริยัติโสภณ เจ้าคณะ
118 จังหวัดกาญจนบุรี พระพิพัฒน์ศึกษากร เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม พระมงคลพัฒนาภรณ์ เจ้าคณะ จังหวัดสมุทรสาคร และพระสุพรรณวชิราภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี พระเทพปวรเมธี, รศ.ดร. รองเจ้าคณะภาค ๑๕ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย คณะสงฆ์วัดทัพหลวง นำโดยพระครูวิจิตรสรคุณ เจ้าอาวาสวัดทัพหลวง พระสมุห์นพดล กฺนตวีโร วัดไร่ขิง และครอบครัวศรีทองแท้ กองทุนสงเคราะห์พระสังฆาธิการจังหวัดนครปฐม และโรงเรียนสหศึกษาบาลี องค์พระปฐมเจดีย์ บริษัทเพอมาร์เฟล็ก จำกัด นำโดยคุณอดิศักดิ์ น้อยจีน และ คณะศิษย์เก่าวัดไร่ขิง ตลอดจนท่านผู้มีเกียรติที่มาร่วมแสดงน้ำใจแก่ผู้มรณภาพ พระราชวิสุทธาจารย์ (ปราณี อินฺทวํโส) เป็นพระมหาเถระรัตตัญญู มีอายุพรรษาอาวุโส สูงสุดและเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของวัดไร่ขิง เป็นที่เคารพรักของบรรพชิตและคฤหัสถ์ พระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ได้รำลึกนึกถึงคุณูปการดังกล่าว จึงได้จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ สมดังพุทธภาษิตที่ว่า “เปตาน ปูชา จ กตา อุฬารา การบูชาท่านผู้ล่วงลับไปแล้วกระทำกันอย่างยิ่งใหญ่โอฬาร” คณะสงฆ์ภาค ๑๔ รำลึกนึกถึงอุปการคุณในฐานะที่ท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธาจารย์ เป็น ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ ได้มาแสดงน้ำใจให้ปรากฏ อีกทั้งคณะเจ้าภาพทุกคนที่ระลึกนึกถึงว่า “อทาสิ เม อกาสิ เม ญาติมิตฺตา สขา จ เม” เป็นต้น หมายความว่า คณะเจ้าภาพได้รำลึกนึกถึงว่า ในยามที่มีชีวิตอยู่ ท่านเจ้าคุณ พระราชวิสุทธาจารย์ได้ให้สิ่งนี้แก่เรา ได้ทำสิ่งนี้แก่วัดวาอาราม ท่านเป็นญาติ เป็นครูบาอาจารย์ เป็นกรรมวาจาจารย์ เป็นต้น จึงได้บำเพ็ญกุศลอุทิศไปให้ ขึ้นชื่อว่าได้บำเพ็ญญาติธรรม ให้ปรากฏเป็นที่น่าอนุโมทนา และเพื่อให้ได้สาระจากการมาร่วมงานในวันนี้ คณะเจ้าภาพจึงได้จัด ให้มีการแสดงพระธรรมเทศนา นอกเหนือจากให้ได้ธัมมัสสวนมัย คือบุญอันเกิดจากการฟังธรรม เพื่ออุทิศส่วนกุศลถวายท่านผู้ถึงมรณภาพนั้น ยังเป็นการเสริมธรรมเสริมปัญญา ให้ทุกท่านที่มาในงาน ได้พึงตระหนักธรรมะ
119 จากชีวิตของท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธาจารย์ เพื่อถือเป็นทิฏฐานุคติ เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตต่อไป สิ่งที่ทุกท่านจะได้เป็นทิฏฐานุคติจากชีวิตของท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธาจารย์นั้นมีมากมาย แต่ประเด็นที่จะนำมาพรรณนาในวันนี้ คือปรารภที่ท่านทั้งหลายทุกฝ่ายได้มาร่วมกันเป็นเจ้าภาพ เป็นคณะใหญ่ อันแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของผู้จากไปและน้ำใจของผู้ยังอยู่ ความยิ่งใหญ่ของผู้จากไป เป็นไปตามพระบาลีนิกเขปบทที่ยกไว้ในเบื้องต้นว่า “ตสฺมา หิ อตฺตกาเมน มหตฺตมภิกงฺขตา” เป็นต้น แปลความว่า “เพราะฉะนั้น บุคคลผู้รักตัวเอง ปรารถนาจะสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับ ตนเอง รำลึกนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ควรแสดงความเคารพต่อพระสัทธรรม” การแสดงความเคารพต่อพระธรรมสร้างความยิ่งใหญ่ เพราะความยิ่งใหญ่มี ๒ อย่าง ท่านทั้งหลาย คิดง่ายๆ หลวงพ่อปราณี เรียกตามชื่อเดิมของท่าน เป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่เพราะท่าน เป็นผู้ปกครองเรา ท่านถึงมรณภาพไปแล้ว ตำแหน่งที่ปรึกษาก็ไม่เหลือ ตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดไร่ขิง พระอารามหลวงก็หมดไป เราไม่ได้ประโยชน์จากอำนาจที่ท่านเคยมี ญาติโยมก็เช่นเดียวกัน ท่านมรณภาพไปแล้วเราไม่ได้ฟังเสียงท่านเทศน์ หรือเป็นโฆษกงานวัดไร่ขิง แต่ทำไมเรามาทำการบูชา คุณท่านอย่างพรักพร้อม นั่นก็เพราะว่าท่านมีความยิ่งใหญ่ไม่ใช่โดยอำนาจ แต่เป็นความยิ่งใหญ่ โดยธรรม ความยิ่งใหญ่จึงมี ๒ อย่าง ความยิ่งใหญ่โดยอำ นาจ และความยิ่งใหญ่โดยธรรม ความยิ่งใหญ่โดยอำนาจเป็นไปตามพระบาลีที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “วโส อิสฺสริยํ โลเก อำนาจเป็นใหญ่ในโลก” อำนาจทำให้เรายินยอม ทำตาม หรือเคารพสักการะ คนมักพูดว่า อำ นาจ เป็นธรรม แต่ความยิ่งใหญ่โดยธรรมนั้นเราพูดกลับกันว่า ธรรมเป็นอำ นาจ อำนาจเป็นธรรมหมายถึงผู้มีความยิ่งใหญ่ มีอำนาจ ชี้เป็นชี้ตายชี้ถูกชี้ผิด เมื่อมีอำนาจแล้ว ก็ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้ถูกต้องได้ ทำสิ่งที่เป็นอธรรมให้เป็นธรรมได้ เขียนประวัติศาสตร์ให้ตัวเองถูกต้อง ก็ได้ ทั้ง ๆ ที่ได้อำนาจโดยไม่ถูกต้อง เขาเรียกว่าอำนาจเป็นธรรม คืออำนาจทำให้เกิดความถูกต้อง ใครชนะ คนนั้นก็บอกว่าฉันถูกต้อง ดูสงครามในตะวันออกกลางระหว่าง ๒ ดินแดน ฝ่ายหนึ่ง
120 ข้ามกำแพงรั้วออกมาเล่นงานฝ่ายตรงข้ามก่อนโดยที่อีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ทันตั้งตัว ถ้าเขาชนะเขาก็ประกาศ ความชอบธรรม ว่าที่เขาทำเพราะดินแดนทั้งหมดนี้เคยเป็นประเทศของเขา และถูกยึดครอง ในฝ่าย ที่ตอบโต้ก็บอกว่าฉันอยู่มาอย่างสงบไม่เคยมีสงครามใหญ่มา ๕๐ ปีแล้ว พวกมันมาตีบ้านเมืองของฉัน ฉันจะต้องเอาคืน ก็เกิดความชอบธรรมอีก มันอยู่ที่ฝ่ายไหนมีอำนาจ รวมถึงอำนาจสื่อในมือ แล้วก็ ประกาศความชอบธรรม โฆษณาชวนเชื่อกันอยู่ทุกวันนี้ อำนาจเป็นใหญ่ในโลก คืออำนาจเป็นธรรม แต่ไม่ยั่งยืน เมื่อหมดอำนาจก็ไม่สามารถจะควบคุมคนอื่นได้ วันหนึ่ง อำนาจหมด น้ำลดตอก็ผุด มันจึง ไม่คงทน อำ นาจไม่คงที่ แต่ความดีสิคงทน คำว่า ความดีสิคงทน คือธรรมเป็นอำนาจ ธรรมเป็นอำ นาจ หมายถึงผู้มีธรรม มีคุณธรรมความดีและปฏิบัติตามคุณธรรมความดี ย่อมได้รับความรักความเคารพนบนอบจากผู้อื่น ธรรมเป็นอำนาจคือความถูกต้องความดีงาม ทำให้ คนยอมตาม ถ้าผู้ปกครองทรงธรรม ทั้งแว่นแคว้นก็ปฏิบัติตามผู้นำนั้น เรียกว่า ธรรมทำให้เกิดการ ยอมรับ ธรรมเป็นอำนาจ พระพุทธเจ้าไม่ได้มีกองทัพอยู่ในกำมือแต่ก็สามารถห้ามทัพระหว่างเจ้าศากยะกับเจ้าโกลิยะ ไม่ให้รบกัน คือห้ามได้สำเร็จ มีพุทธรูปเรียกว่าพระปางห้ามญาติ อำนาจของพระพุทธเจ้ามาจาก ธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบด้วยการตรัสรู้ และนำมาสั่งสอน เมื่อพระองค์ตรัสรู้ เกิดคำถามว่า พระองค์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองแล้วพระองค์จะเคารพใครล่ะ เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ที่สั่งสอน และ พระพุทธองค์ก็เห็นว่าจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องมีสิ่งที่เคารพนับถือ “ทุกฺขํ โข อคารโว วิหรติ อปฺปติสฺโส อยู่กันแบบไม่เคารพ ไม่ยำเกรง เป็นทุกข์นักแล” ถ้าในอารามใด ในวัดใด ทุกคนเท่ากันหมด ไม่เคารพยำเกรงไม่นับถือกัน ก็จะเกิดการขัดแย้ง พระพุทธองค์เห็นว่า ถ้าคณะสงฆ์อยู่กันแบบไม่มีอะไรให้เคารพ อยู่ไม่ได้หรอก แม้แต่พระพุทธองค์ ก็ต้องเคารพอะไรสักอย่าง พระไตรปิฎกเล่าว่า สหัมบดีพรหมพอทราบปริวิตกของพระพุทธเจ้า ก็มากราบพูดว่า ขอให้พระพุทธองค์เคารพธรรม คือถือธรรมเป็นใหญ่ รวมความว่าพระพุทธเจ้าก็มี
121 ที่เคารพยำเกรง ก็คือธรรมที่พระองค์ค้นพบและนำมาสั่งสอน พูดง่ายๆพระองค์ก็ต้องปฏิบัติตามธรรม นั่นเอง ธรรมจึงศักดิ์สิทธิ์ ควรแก่การเคารพ วันหนึ่ง เมื่อพระนันทกะกำลังแสดงธรรมอยู่ พระพุทธเจ้าเสด็จไป ณ สถานที่ที่พระนันทกะ กำลังแสดงธรรม ได้ยินเสียงของพระแสดงธรรมดังรอดออกไปนอกประตู พระพุทธเจ้ายืนสดับ พระธรรมเทศนาที่พระนันทกะกำลังแสดง ไม่เข้ามารบกวนบรรยากาศในขณะแสดงธรรมนั้น ทรง เคารพพระธรรม ไม่ใช่เคารพพระสาวก ประทับรอจนท่านนันทกะแสดงธรรมจบ จึงเคาะประตูและ กระแอมไอให้คนในห้องประชุมรู้ว่าเสด็จมาแล้ว และเมื่อเสด็จมาก็ประทับ ณ อาสนะสูงที่สุดที่เขา เตรียมไว้ พระองค์ก็ตรัสกับท่านนันทกะว่า เธอเทศน์ดีนะ เรายืนฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ถึงเทศน์ยาวก็เทศน์ดี พระนันทกะทรุดฮวบ เสียใจ เราเทศน์ให้เจ้าของธรรมผู้ค้นพบธรรมฟัง ทำไมพระพุทธองค์ไม่บอกจะได้ หยุดแล้วให้โอกาสพระพุทธเจ้า เสด็จเข้ามาก่อน เรียกว่ามีพักครึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่าเธออย่าเสียใจเลย การแสดงธรรมเป็นของดี เวลาพระสงฆ์อยู่ด้วยกันจำนวนมากๆ อย่างเช่นวันนี้ ให้ทำ ๒ เรื่อง คือ ๑. ให้คุยธรรมกัน เรียกว่าธรรมีกถา สนทนาธรรม หรือ ๒. นั่งเงียบๆ ไม่ต้องพูดอะไร ถ้าจะต้องพูดต้องคุย ก็ควรคุยธรรม มิฉะนั้นก็ให้เงียบ แสดงความเคารพต่อที่ประชุมหรือต่อพระสงฆ์ที่กำลังแสดงธรรมและที่กำลังสวด พระอภิธรรม สวดพระมาลัยในสมัยนี้ นี่คือการแสดงความเคารพที่พระพุทธเจ้าได้แสดงให้เป็นแบบอย่าง ก็หมายความว่าบุคคล จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่จะต้องเคารพพระธรรมและปฏิบัติตามพระธรรมที่เคารพ ก็จะเกิดความยิ่งใหญ่ โดยธรรม มีธรรมเป็นอำนาจ ไม่ใช้อำนาจเป็นธรรม ถ้าจะเทียบกับสมัยนี้ในฝ่ายบ้านเมืองเขาเรียก อำนาจเป็นคำว่า ฮาร์ดเพาเวอร์ (Hard Power) แปลว่า อำนาจแข็ง ซึ่งมาจากกำลังอาวุธหรือกำลังทรัพย์ ในการข่มขู่คุกคามให้คนอื่นยินยอม แต่ยังมีอีกอำนาจหนึ่ง ที่คนนิยมพูดถึง คือ ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) แปลว่า อำนาจนุ่มเป็นอำนาจที่เกิดจากธรรม เขาเรียกว่าวัฒนธรรมในภาษาชาวบ้าน ก็คือ ธรรมของพระศาสนานั่นเอง
122 ประเทศไทยมีกำลังทหารกำลังอาวุธที่มีอยู่น้อยจะไปข่มขู่ให้เขามายอมรับอำนาจเราไม่ได้ แต่ที่เขายอมให้เราก็เพราะมิตรไมตรีที่เรามีต่อชาวต่างชาติ เราเป็นสยามเมืองยิ้ม ทำให้คนต่างชาติ แห่กันมาประเทศไทย ยอมรับความยิ่งใหญ่ ก็เพราะอำนาจนุ่ม คือความดี คนโบราณเรียกอำนาจ นุ่มว่าพระคุณ และเรียกอำนาจแข็งว่าพระเดช คนมาวัดไร่ขิงตลอดปีเพราะอำนาจนุ่ม เพราะวัดมีบุญคุณตั้งแต่สมัยหลวงพ่อพระอุบาลี- คุณูปมาจารย์ได้ทำไว้ เพราะพระมหาเถระผู้ช่วยเจ้าอาวาสอย่างหลวงพ่อพระราชวิสุทธาจารย์ ได้ทำไว้ในอดีต และเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันก็สืบสาน รักษา ต่อยอด นี่คืออำนาจนุ่ม รวมถึงในการ ปกครองคณะสงฆ์ท่านก็แผ่พระคุณ มากกว่าพระเดช ช่วยโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ทั่วประเทศ ได้รับความร่วมมือ โดยไม่ได้มีอำนาจสั่งการ ในภาคนั้นๆ แต่ได้น้ำใจ อันเนื่องมาจากอำนาจหนุ่มคือ ธรรม นี่เรียกว่าธรรมเป็นอำนาจ เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์เหนือกษัตริย์ในแคว้นทั้งหลายในสมัยโบราณ เพราะพระองค์เป็นธรรมราชา เป็นพระราชาเพราะธรรม และธรรมเป็นอำนาจของพระองค์ เมื่อ พระพุทธองค์เสด็จดับขันธพระนิพพาน กษัตริย์ตั้ง ๘ เมืองยกทัพมาเพื่อแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ แสดงถึงความยิ่งใหญ่ ดังนั้น แม้พระองค์จะดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ความยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ ก็ไม่ได้ลดลง มาจนถึงปัจจุบันที่องค์การสหประชาชาติ ประกาศรับรองให้วันวิสาขบูชา เป็นวัน สำคัญของโลก ทรงเป็นศาสดาที่ชาวโลกเคารพนับถือ แม้คนเหล่านั้นจะนับถือศาสนาอื่น พระองค์ ไม่ได้มีอำนาจไปขู่บังคับใคร แต่เพราะธรรมคือความดีเป็นอำนาจจึงทำให้ชาวโลกยอมรับนับถือ ทรงเป็นศาสดาแห่งสันติ ที่น่ารักน่าเคารพ เมื่อเรารู้ว่าใครน่ารักน่าเคารพ เราก็ยกย่องเชิดชูผู้นั้น ชื่อว่าเราปฏิบัติตามธรรมเช่นเดียวกัน เราไม่ใช่เพียงแต่เคารพ แต่ปฏิบัติตามธรรมนั้นระลึกนึกถึงธรรม สักการะธรรม ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระพุทธองค์ จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน จึงไม่ตั้งสาวกรูปใดรูปหนึ่ง ในบรรดาอสีติมหาสาวกทั้ง ๘๐ รูป เป็น
123 ศาสดาสืบต่อมา พระองค์ตรัสกับอานนท์ว่าธรรมวินัยที่ทรงแสดงแล้วบัญญัติแล้วจักเป็นศาสดาของ เธอทั้งหลาย มองในแง่หนึ่งเราต้องถือธรรมวินัยเป็นศาสดาก็คือเคารพสักการะธรรมวินัย และธรรม วินัยนั้นแหละ จักให้อำนาจแก่พระสงฆ์อุบาสกอุบาสิกา แสดงว่าธรรมเป็นอำนาจที่ทำให้คนเคารพ นับถือพระพุทธศาสนาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ แม้กระทั่งคนต่างศาสนาก็เคารพ ท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธาจารย์ หลวงพ่อปราณี หลวงปู่ปราณี เป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ เพราะ ท่านเคารพพระธรรม ปฏิบัติตามพระธรรม ชีวิตของท่านเป็นแบบอย่างในการอนุเคราะห์พระสงฆ์ สามเณร เหมือนดังที่บิดามารดาเป็นผู้ยิ่งใหญ่สำหรับบุตรธิดา คือพ่อแม่ของใครก็ยิ่งใหญ่สำหรับลูก ของเขา เรียกว่า ทูนไว้เหนือเกล้า เพราะอะไร เพราะพ่อแม่นอกจากให้กำเนิดแล้วยังเลี้ยงดูอบรม บุตรธิดา ทำสังคหวัตถุ ๔ ทาน การให้ ปิยวาจา อบรมด้วยวาจาอ่อนหวาน อัตถจริยา บำเพ็ญ ประโยชน์ให้แก่ลูก และสมานัตตตา รักลูกเสมอต้นเสมอปลาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าสังคหวัตถุ ๔ ประการนี้พ่อแม่ไม่ปฏิบัติ ลูก ๆ ก็ไม่ควรหรืออาจจะไม่บูชาพ่อแม่ หรือพ่อแม่ไม่ควรได้รับการบูชา เพราะเหตุแห่งบุตร ทำไมเด็กสมัยนี้ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ เหตุหนึ่งก็เพราะว่า บางทีอาจจะขาดสังคหวัตถุ ๔ นั่นแหละ ขาดพรหมวิหารธรรม พ่อแม่ไม่มีเวลาสำหรับเลี้ยงดูลูก ปล่อยให้ลูกอยู่กับเกมต่างๆ บางเกมมีเนื้อหารุนแรง แล้ววันดีคืนดีลูกมาก็เอาปืนไปยิงคน ดังนั้น ธรรมะทำให้พ่อแม่ประเสริฐ ทำให้ครูบาอาจารย์ประเสริฐ พระกรรมวาจาจารย์ของเจ้าอาวาสเป็นบุคคลประเสริฐ ควรแก่การ สักการะเคารพนับถือ และเพราะเหตุที่ท่านทั้งหลาย ท่านเจ้าภาพก็ดี ผู้มาร่วมงานก็ดี สรํ พุทฺธาน สาสนํ รำลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ให้เคารพพระธรรม เราจึงปฏิบัติตามภิกขุอปริหานิยธรรม อย่างน้อย ๑ ข้อ เราได้ปฏิบัติในวันนี้ นั่นคือข้อที่ว่า “เย เต ภิกขู เถรา รตฺตญฺญู จิรปพฺพชิตา สงฺฆปิตโร สังฆปรินายกา” เป็นต้น แปลความว่า “ตราบเท่าที่ภิกษุทั้งหลาย สักการะ เคารพนับถือบูชา พระมหาเถระที่เป็นรัตตัญญู บวชมานาน เป็นสังฆบิดร เป็นผู้นำหมู่คณะ ใส่ใจฟังคำสอนคำแนะนำ
124 ของท่าน ก็จะมีแต่ความเจริญของภิกษุทั้งหลาย ไม่มีความเสื่อมเลย” บัดนี้ คณะสงฆ์วัดไร่ขิงได้แสดง อปริหานิยธรรมข้อนี้ให้ปรากฏแล้ว หลวงพ่อปราณีเป็นพระมหาเถระรัตตัญญู บวชมานานที่สุด ในบรรดาพระเถระที่ยังมีชีวิตอยู่ ดูจากประวัติของท่าน ท่านถือกำเนิดในปี พ.ศ.๒๔๗๓ ที่จังหวัดสมุทรสาคร ก่อนการเปลี่ยนแปลง การปกครอง ๒ ปี อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่ออายุ ๒๒ ปี ที่วัดไร่ขิง ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ อยู่จำรักษาที่วัด ไร่ขิงนี้ ก่อนหลวงพ่อพระอุบาลีคุณูปมาจารย์มาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดนี้ถึง ๘ ปี หลวงพ่อพระอุบาลีฯ มาเป็นเจ้าอาวาสในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ และก็เชื่อว่า หลวงพ่อปราณีของเรานี่แหละเป็นกำลังสำคัญ ในการช่วยพัฒนาวัดไร่ขิงระยะต้นตอนนั้น ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๐๑ ท่านสอบได้นักธรรมชั้นเอก และต่อมา สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ท่านมีความชำนาญในการก่อสร้าง เข้าคู่กับหลวงพ่อพระอุบาลีฯ เป็นโฆษกงานวัดทุกงาน ท่านเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันบอกว่า ไม่ใช่เป็นโฆษกอย่างเดียว คุมงาน แจกงาน งานวัดไร่ขิงสมัยก่อนเรียบร้อยเพราะท่านกำกับ ความดีอื่นมีมากมาย จนได้เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระอารามหลวง ในระยะต่อมาเป็นเจ้าคณะอำเภอสามพราน และเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ ถึงมรณภาพเมื่ออายุได้ ๙๓ ปี หลวงพ่อปราณีมีชีวิตยืน เป็นรัตตัญญู จิรปัพพชิตา บวชมานานก่อน ใครทั้งหลาย และวัดไร่ขิงก็เคารพยกย่อง ถือท่านเป็นที่สักการะเคารพ เชื่อฟัง ท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ใหญ่ให้กับวัดไร่ขิงในช่วงที่วัดกำลังพัฒนาและกลายเป็นวัดพัฒนาดีเด่นรุดหน้ามาถึงปัจจุบัน ท่านจึง เป็นพระเถระที่เป็นสดมภ์หลักและเป็นมาตรวัดความเจริญของวัดไร่ขิง นี่คือความยิ่งใหญ่ด้วยธรรม ที่ท่านสอนให้รู้ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น วันนี้ท่านทั้งหลายจึงแสดงความเคารพ นับถือ บูชาความยิ่งใหญ่ เพราะธรรมของท่าน จึงมาประชุมพรักพร้อมกัน เพื่อทำบุญทำบุญทำกุศลเป็นเปตบูชา อันโอฬาร เป็นที่น่าอนุโมทนา อิมินา กตปุญฺเญน ด้วยอำนาจแห่งกุศลผลบุญแห่งการบูชาที่คณะท่านเจ้าภาพและผู้มาร่วม งานทั้งปวงได้บำเพ็ญให้เป็นไปด้วยความเคารพนับถือบูชาพร้อมกันในครั้งนี้ ขอจงมารวมกันเป็น ตบะ เดชะ พลวปัจจัย อุทิศเป็นส่วนกุศลไปถวาย แด่ท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธาจารย์ (ปราณี อินฺทวํโส)
125 ขอได้โปรดอนุโมทนาบุญ เพื่อสำเร็จเป็นสุขวิบากเพิ่มบารมีธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปในสัมปรายาภพแด่ ท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธาจารย์ สมดังเจตนาปรารภของเราท่านทั้งหลายทุกประการ รับประทานแสดงพระธรรมเทศนาในมหัตตกถาพอสมควรแก่เวลา ขอสมมุติยุติลงคงไว้ แต่เพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ
126 พระธรรมเทศนา อัปปมาทธัมมกถา แสดงโดย พระเทพปวรเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร รองเจ้าคณะภาค ๑๕ ในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมศพ พระราชวิสุทธาจารย์ (ปราณี อินฺทวํสมหาเถร ป.ธ.๓) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถาติ. ณ บัดนี้ จักแสดงพระธรรมเทศนาในอัปปมาทธัมมกถา พรรณนาพระสัทธรรมคำสอนแห่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าด้วยเรื่อง “ความไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต” เพื่อเป็นเครื่อง ประคับประคองฉลองศรัทธา ประดับปัญญาบารมี เพิ่มพูนกุศลบุญราศรีส่วนทักษิณานุประทาน ปรารภงานบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์ (ปราณี อินฺทวํโส) อดีต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ ผู้ถึงแก่มรณภาพ ตั้งแต่ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา ภายหลังแต่มีชีวิตอยู่ ได้สร้างกุศลกรรม คุณงามความดี และได้บำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์ต่อสังคม ประเทศชาติ พระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเวลายาวนานถึง ๙๓ ปี ประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์อยู่ในสมณเพศเป็นเวลา ๗๑ พรรษา การถึงแก่ มรณภาพของพระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์นั้น ย่อมเป็นไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย และเป็นไปตามกฎเกณฑ์ธรรมดาของสรรพสิ่ง คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป อย่างไรก็ตาม การสูญเสียพระมหาเถระรัตตัญญู ผู้เป็นที่เคารพรักของคณะสงฆ์วัดไร่ขิงนั้น ย่อมนำความเศร้าโศกอาลัย มาสู่คณะสงฆ์คณะศิษย์ ทั้งฝ่ายบรรพชิตและฝ่ายคฤหัสถ์เป็นอันมาก คณะสงฆ์วัดไร่ขิง นำโดยพระเดช
127 พระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง เจ้าคณะภาค ๑๔ รองแม่กองธรรม สนามหลวง หนกลาง ประธานคณะกรรมการบริหารกลางโครงการขับเคลื่อนหมู่บ้านรักษาศีล ๕ ได้บัญชาการให้คณะสงฆ์คณะศิษย์ร่วมกันจัดให้มีการบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระเดชพระคุณ พระราชวิสุทธาจารย์ เบื้องต้นได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน น้ำหลวงสรงศพ พระราชทานพวงมาลาวางหน้าหีบศพ พร้อมกันนี้พระบรมวงศานุวงศ์ได้พระราชทาน พวงมาลาวางหน้าหีบศพ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ คณะสงฆ์วัดไร่ขิงและคณะศิษยานุศิษย์ ได้จัดให้มีการบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายพระเดชพระคุณ พระราชวิสุทธาจารย์มาโดยลำดับ ในการบำเพ็ญกุศลแต่ละคืนนั้นคณะสงฆ์วัดไร่ขิงเป็นเจ้าภาพหลัก นอกจากนี้ยังมีคณะเจ้าภาพพิเศษได้มาร่วมในการบำเพ็ญกุศลในแต่ละคืน เป็นจำนวนหลายคณะ ตามที่ท่านพิธีกรได้ประกาศอนุโมทนาประชาสัมพันธ์แล้ว ในการบำเพ็ญกุศลนแต่ละคืนนั้น กำหนดพิธีการเป็น ๓ ขั้นตอน อันดับที่ ๑ คือพระสงฆ์ จตุรวรรคสวดพระอภิธรรม ๑ จบ อันดับที่ ๒ พระเถระแสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ อันดับที่ ๓ การบำเพ็ญกุศลทักษิณานุประทานอุทิศถวายพระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบำเพ็ญกุศลวันนี้เป็นวันที่ ๗ เรียกว่าบำเพ็ญกุศลสัตตมวาร ภาคเช้าคณะสงฆ์วัดไร่ขิงและคณะ ศิษยานุศิษย์ ได้จัดให้มีการบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายในเบื้องต้น และในภาคค่ำคืนนี้ก็จัดให้มีการ บำเพ็ญกุศลตามปกติ ที่สำคัญคือจัดให้มีการแสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ การแสดงพระธรรมเทศนา หรือการเทศน์นั้น เป็นบุญกิริยาพิเศษเพราะเป็นเหตุให้ได้อานิสงส์อย่างน้อย ๔ ประการ คือ (๑) จะได้ความรู้เป็นทุน (๒) ได้เพิ่มพูนปัญญา (๓) ได้พัฒนาความคิด และ (๔) ได้รู้จักใช้ชีวิตอย่าง ไม่ประมาท อีกนัยหนึ่ง การฟังเทศน์ฟังธรรมนั้นจัดเป็นทั้งบุญและกุศล ที่จัดเป็นบุญเพราะเป็นส่วนของ ธัมมัสสวนมัย บุญที่เกิดจากการฟังเทศน์ฟังธรรม และยังเป็นส่วนของธัมมเทศนามัย บุญที่เกิดจาก การแสดงพระธรรมเทศนา โดยสรุปก็คือว่าทั้งพระสงฆ์ผู้เทศน์และผู้ฟังต่างก็ได้บุญด้วยกันทั้งสองฝ่าย ส่วนที่เป็นกุศลนั้นเพราะทำให้เรามีความรู้ มีความฉลาด และก่อให้เกิดปัญญา ดังที่องค์สมเด็จ
128 พระบรมศาสดาตรัสรับรองไว้ว่า “สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ การฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา” ถามว่า ฟังด้วยดี ฟังอย่างไร เฉลยว่า ต้องฟังด้วยความตั้งใจ ใคร่ครวญเนื้อหา พิจารณาหลักธรรม และน้อมนำเอาไป ปฏิบัติ อย่างนี้จึงชื่อว่าเป็นการฟังด้วยดี เพราะฉะนั้น จึงขอให้ญาติโยมสาธุชนที่มาร่วมในงานบำเพ็ญ กุศลพึงสดับพระธรรมเทศนาตามสมควรแก่เวลาสืบไป การทำบุญบำเพ็ญกุศลตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่กล่าวแล้วนั้น จุดมุ่งหมายสำคัญก็เพื่อประมวลบุญ กุศลอุทิศไปถวายพระเดชพระคุณฯ ผู้ถึงแก่มรณภาพ การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมอนุวัติให้เป็นไปตาม โอวาทานุสาสนี ที่องค์พระชินสีห์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในติโรกุฑฑสูตรว่า “อทาสิ เม อกาสิ เม ญาติ มิตฺตา สขา จ เม” เป็นอาทิ ซึ่งแปลเป็นใจความได้ว่า “นรชนคนดีทั้งหลายเมื่อหวนรำลึกถึง คุณงามความดีของท่านที่จากไป ว่าท่านผู้นี้เคยได้ให้สิ่งนั้นสิ่งนี้แก่เรา ได้กระทำประโยชน์สิ่งนั้นสิ่งนี้ แก่เรา เป็นญาติของเรา เป็นมิตรของเรา เป็นสหายของเรา ดังนี้เป็นต้น เราท่านทั้งหลายผู้ยังมีชีวิตอยู่ ต่างก็พร้อมใจกันมาทำบุญบำเพ็ญกุศลเพื่ออุทิศให้แก่ผู้วายชนม์นั้น” ในพระสูตรเดียวกันนี้องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังตรัสแนะนำเราท่านทั้งหลาย ผู้ยังมีชีวิตอยู่พึงปฏิบัติต่อผู้วายชนม์ใน ๓ สถานะ คือ (๑) มาแสดงออกซึ่งความเป็นญาติให้ปรากฏ (๒) กระทำการบูชาผู้วายชนม์อย่างโอฬาร (๓) กระทำทักษิณานุประทานในพระสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญเพื่ออุทิศบุญกุศลให้แก่ผู้วายชนม์นั้น ประการที่ ๑ มาแสดงออกซึ่งความเป็นญาติให้ปรากฏ ท่านทั้งหลายที่มาร่วมในงานบำเพ็ญ กุศลไม่ว่าจะเป็นพระเถรานุเถระ และญาติโยมสาธุชนทั่วไป ล้วนจัดเป็นญาติของพระเดชพระคุณ พระราชวิสุทธาจารย์ทั้งสิ้น คำว่า “ญาติ” นั้นส่วนใหญ่ท่านแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ (๑) ญาติ ทางสายโลหิต ได้แก่ผู้ที่สืบทอดเชื้อสายวงศ์ตระกูลสืบต่อกันมา เช่น ตระกูลอินทร์บำรุง เป็นต้น รวมเรียกว่า “ญาติทางสายโลหิต” (๒) ญาติอีกประเภทหนึ่งหมายถึงกัลยาณมิตร ผู้ที่มีความเคารพ รักนับถือซึ่งกันและกัน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันในปัจจุบันเรียกว่า “ญาติธรรมหรือญาติทางธรรม” เพราะฉะนั้น ทุกท่านที่แสดงน้ำใจมาร่วมในงานบำเพ็ญกุศลทั้งก่อนหน้านี้ วันนี้และจะมีในโอกาส ต่อไปนั้น จึงนับว่าเป็นญาติของพระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์
129 ประการที่ ๒ กระทำการบูชาผู้วายชนม์อย่างโอฬาร คือการบูชาผู้วายชนม์อย่างสมเกียรติ สมฐานะ ให้สมกับบุญญาบารมีธรรมของท่าน ถามว่า เรามาบูชาอะไรพระเดชพระคุณพระราช วิสุทธาจารย์ เฉลยว่า เราบูชาภาพถ่าย เบื้องหน้าเราท่านทั้งหลายได้เห็นภาพถ่ายของพระเดช พระคุณพระราชวิสุทธาจารย์ก็อนุสรณ์ถึงปฏิปทาคุณงามความดีของท่านบูชากายสังขาร ได้เห็นสรีระ สังขารที่นอนสงบนิ่งอยู่ในหีบศพนั้นให้อนุสรณ์ถึงมรณานุสติ และบูชารอยผลงาน กล่าวคือรอยแห่ง คุณงามความดีปฏิปทาที่พระเดชพระคุณฯ ได้ประพฤติปฏิบัติให้ดูและอยู่ให้เห็นเป็นแบบอย่างได้ กล่าวโดยสรุปคือ บูชาภาพถ่าย บูชากายที่เป็นสังขาร บูชาผลงานที่ยังไม่ตาย บูชากราบไหว้เกียรติคุณ และบุญญาบารมี การบูชาในทางพุทธศาสนานั้น มี ๓ ประการ (๑) สักการบูชา การบูชาด้วยเครื่องสักการะ มีธูปเทียนดอกไม้ของหอมเป็นต้น (๒) ปัคคัณหบูชา การบูชาด้วยการประกาศเกียรติคุณยกย่อง เชิดชูให้สาธารณชนได้รับรู้รับทราบ (๓) สัมมานบูชา การบูชาด้วยการน้อมนำโอวาทคำสอนไป ประพฤติปฏิบัติตาม ก่อให้เกิดประโยชนทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น นี้คือหลักการบูชาแก่บุคคลที่ควรบูชา ประการที่ ๓ กระทำทักษิณานุประทานในพระสงฆ์ ผู้เป็นเนื้อนาบุญในพระพุทธศาสนา พระเดชพระคุณ พระราชวิสุทธาจารย์ละสังขารมรณภาพจากพวกเราไปแล้วไม่มีโอกาสที่จะทำบุญบำเพ็ญกุศลได้ ด้วยตนเองอีกต่อไป จึงเป็นบทบาทหน้าที่ของเราท่านทั้งหลายผู้ยังมีชีวิตอยู่ พึงกระทำบุญบำเพ็ญ กุศลอุทิศไปถวายท่าน การปฏิบัติเช่นนี้เรียกว่า การบำเพ็ญกุศลทักษิณานุประทานแก่ผู้วายชนม์ นอกจากนี้ การที่เราท่านทั้งหลายได้มาร่วมในงานบำเพ็ญกุศลนั้น เป็นโอกาสที่จะได้ แสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวที กตัญญ แปลว่า รู้คุณ กตเวที แปลว่า ตอบแทนคุณ การแสดงออก ซึ่งความกตัญญูกตเวที จึงเป็นเครื่องหมายของคนดี “นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา - เครื่องหมายของคนดีคือความกตัญญูกตเวที สอดคล้องกับพุทธพจน์ที่ว่า “ภูมิ เว สปฺปุริสานํ กตญฺญู กตเวทิตา รู้จักบุพการีทำความดีตอบแทนท่าน ธรรมะนี้เป็นพื้นฐานของคนดีศรีแผ่นดิน” พระเดชพระคุณ พระราชวิสุทธาจารย์นั้นสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ได้สร้างคุณงามความดีไว้เป็นอเนกประการ คุณงามความ
130 ดีหรือประโยชน์ที่ท่านได้กระทำไว้แล้วนั้น บางเรื่องเป็นประโยชน์ต่อเราโดยตรง บางอย่างก็เป็น ประโยชน์ต่อเราโดยอ้อม เพราะฉะนั้น หากเรามีโอกาสก็ควรมาตอบแทนคุณงามความดีของท่าน ให้สมควรแก่ฐานะ กตัญญูรู้คุณท่านสำคัญนัก นี้เป็นหลักคนดีมีครบถ้วน ตอบแทนท่านให้งามตามสมควร คนดีล้วนใจมั่นกตัญญู วันนี้ท่านพระเถรานุเถระและญาติโยมสาธุชนทั้งหลาย ต่างได้มาตอบแทนคุณงามความดี ของพระเดชพระคุณฯ ดังเป็นที่ประจักษ์แล้ว ดังนั้น เรามาร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพเพื่อให้เราท่านทั้งหลายได้รับสาระประโยชน์จากการฟัง พระธรรมเทศนา จะได้ถอดบทเรียนผ่านชีวิตและฝากข้อคิดไว้ ๓ เรื่อง คือ (๑) ได้เห็นคุณงามความดีปฏิปทาของพระเดชพระคุณฯ ผู้จากไป (๒) ได้มาแสดงน้ำใจและได้เห็นน้ำใจของผู้อยู่ และ (๓) ได้มาเรียนรู้หลักความเป็นจริงของชีวิต ถอดบทเรียนเรื่องที่ ๑ ได้เห็นคุณงามความดีปฏิปทาของพระเดชพระคุณฯ ผู้จากไป ท่านทั้งหลายที่ได้มีโอกาสมาร่วมในงานบำเพ็ญกุศลตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้และจะมีในวันต่อไปนั้น มีโอกาสได้ฟังเรื่องราวชีวประวัติความเป็นมาและปฏิปทาคุณงามความดีของพระเดชพระคุณฯ ย่อมทราบถึงคุณงามความดีปฏิปทาของท่านในหลากหลายแง่มุม พระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์ มีนามเดิมว่า ปราณี ฉายา อินฺทวํโส นามสกุล อินทร์บำรุง เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๓ เป็นบุตรของคุณพ่อเบี้ยว คุณแม่นวล อินทร์บำรุง ณ ตำบล อ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร พอเจริญวัยได้รับการศึกษาจนจบตามภาคบังคับ ต่อมาช่วยเหลือครอบครัวประกอบสัมมาชีพตามสมควรแก่ฐานะ และเมื่ออายุ ๒๒ ปี มีศรัทธา เลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนา ได้เข้ารับการบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๕ ณ พัทธสีมาวัดไร่ขิง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยมีหลวงพ่อพระอธิการเฉย กิตฺติสาโร เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงในขณะนั้น เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากนั้นได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย
131 จนสอบได้นักธรรมชั้นเอก เปรียญธรรม ๓ ประโยค นอกจากนี้ ยังได้ขวนขวายศึกษาหาความรู้พิเศษ เช่น ศึกษาวิชาพิมพ์ดีดภาษาไทย ช่างไฟฟ้า ช่างอิเล็กทรอนิกส์ และที่สำคัญคือท่านมีความรู้ ความเชี่ยวชาญงานด้านนวกรรม การแสดงพระธรรมเทศนาเป็นพิธีกร เป็นประชาสัมพันธ์งานประจำปี กลางเดือน ๕ วัดไร่ขิง และงานอื่นๆ พระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์นั้น เป็นพระมหาเถระรัตตัญญู มีปฏิปทาเป็นที่น่า เลื่อมใส มีบุคลิกลักษณะเป็นคนเจ้าระเบียบ ชอบความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความ ปราณีตในทุกเรื่อง ใครที่อยู่ใกล้ชิดย่อมทราบถึงอัธยาศัยไมตรี ปฏิปทาจริยาวัตรของพระเดชพระคุณฯ เป็นอย่างดี ตื่นเช้าขึ้นมาท่านปฏิบัติภารกิจ คือทำความสะอาดกุฏิ บริเวณรอบๆ กุฏิคือโรงเรียน ปริยัติธรรมของวัดไร่ขิง เรียกว่าทำเป็นกิจวัตรประจำวัน หลังจากนั้นก็ออกบิณฑบาต กลับมาก็ปฏิบัติ ศาสนกิจ มีทำวัตรสวดมนต์ โดยเฉพาะเรื่องเจ้าระเบียบและความสะอาดนั้น พระเดชพระคุณฯ นับได้ว่าเป็นแบบอย่างให้แก่คณะสงฆ์สามารถนำเอาไปเป็นแนวปฏิบัติ เรียกว่าเป็นเอตทัคคะ ทั้งด้าน ความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อย หากจะกล่าวถึงคุณงามความดีปฏิปทาของพระเดชพระคุณฯ นั้น พอสรุปได้ว่าท่านมีคุณลักษณะ พิเศษอยู่ ๔ คุณ คือ (๑) คุณวุฒิ มีความรู้ (๒) คุณสมบัติ มีความพร้อม (๓) คุณภาพ มีความโดดเด่น และ (๔) คุณธรรม มีความดี คุณที่ ๑ คุณวุฒิ มีความรู้ หลังจากอุปสมบทในบวรพุทธศาสนาแล้วท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัย จนสอบได้นักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม ๓ ประโยค และขวนขวายศึกษาหาความรู้ในด้านอื่น ๆ จนมีความรู้ความสามารถ พร้อมที่จะสนองงานคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนา คุณที่ ๒ คุณสมบัติ มีความพร้อม เมื่อท่านมีความรู้ คุณสมบัติคือความพร้อมก็ตามมา ได้รับ ความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ เริ่มต้นตั้งแต่เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง เป็นเจ้าคณะอำเภอสามพราน เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง ได้สนองงานคณะสงฆ์
132 มาเป็นเวลายาวนานจนเกษียณอายุการทำงาน จึงได้รับยกย่องให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอสามพราน และล่าสุดได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ คุณที่ ๓ คุณภาพ มีความโดดเด่น หมายถึง มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ ไม่ว่าจะได้รับ มอบหมายจากคณะสงฆ์ให้รับผิดชอบตำแหน่งสำคัญใด ๆ ก็ตาม ตั้งแต่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง เจ้าคณะอำเภอ ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความรู้ความสามารถ ทำให้งานที่ได้รับมอบหมายนั้นบรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จ อย่างมีคุณภาพ คุณที่ ๔ คุณธรรม มีความดี ในฐานะที่เป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา พระเดขพระคุณฯ ประพฤติดีปฏิบัติชอบตามกรอบพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ยังได้บำเพ็ญพรหมวิหารธรรม สังคหวัตถุธรรม เป็นต้น จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรมคือมีความดี พระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์ ได้สร้างคุณงามความดีไว้เป็นอเนกประการ ในที่นี้จะ ขอสรุปคุณงามความดีของพระเดชพระคุณฯ โดยสังเขปแต่เพียง ๓ ดี คือ (๑) ท่านเกิดมาดี (๒) ท่านอยู่ดี และ (๓) ท่านไปดี ประการที่ ๑ ที่กล่าวว่าท่านเกิดมาดี เพราะมีบุญ ปุพเพกตปุญฺญตา บุญเก่ากุศลก่อนที่ส่งเสริม ให้ท่านเกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา และมีโอกาสได้สร้างบุญกุศลบารมีในภพชาตินี้ ด้วย การบรรพชาอุปสมบทในบวรพุทธศาสนาจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต จึงเรียกว่า “ท่านเกิดมาดี เพราะมีบุญ” ประการที่ ๒ ท่านอยู่ดี เพราะมีคุณ คุณในที่นี้คือคุณธรรมหรือคุณงามความดี คุณธรรมที่ท่าน ได้ประพฤติปฏิบัติและสั่งสมไว้เองเรียกว่า “อัตตสมบัติ” คือคุณธรรมหรือความดีเฉพาะตน นอกจากนี้ ท่านยังได้บำเพ็ญ “ปรหิตปฏิบัติ” คือการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมส่วนรวม เพื่อคณะสงฆ์ และเพื่อ พระพุทธศาสนาเป็นอเนกประการ เข้าทำนองที่ว่า “อยู่เพื่อตนเองอยู่แค่สิ้นลม อยู่เพื่อสังคม อยู่ชั่วฟ้าดินสลาย” จึงชื่อว่า “ท่านอยู่ดีเพราะมีคุณ”
133 ประการที่ ๓ ท่านไปดี เพราะมีทุน ทุนในที่นี้ก็คือบุญกุศล บุญที่ท่านได้สั่งสมไว้เองก็ดีและ บุญที่เราท่านทั้งหลายได้กระทำอุทิศไปให้ในภายหลังก็ตาม จะเป็นเสบียงหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของท่าน ในสัมปรายภพ บุญเป็นที่พึ่งของเราท่านทั้งหลายทั้งในภพนี้และภพหน้า ท่านจึงเปรียบบุญเหมือน กับเงาที่ติดตามเราไปทุกคนทุกแห่ง “บุญเป็นเงาเฝ้าตามติด บุญเป็นมิตรในทุกที่ คอยช่วยเหลือเอื้ออารี ห่างราคีปลอดโพยภัย บุญพิทักษ์บุญรักษา บุญนำพาพบสุขใส แม้ชีพลับดับร่วงไป ผลบุญส่งให้ถึงสุขาวดี” เชื่อว่าบุญกุศลที่พระเดชพระคุณฯ ได้ทำไว้เองและบุญกุศลที่เราท่านทั้งหลายได้กระทำอุทิศ ไปให้ในภายหลังก็จะเป็นเสบียงหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณของท่านในสัมปรายภพ ทั้งปวงที่กล่าวมานี้คือคุณงามความดีปฏิปทาโดยสังเขปของพระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์ ถอดบทเรียนเรื่องที่ ๒ การมาแสดงน้ำใจต่อผู้อยู่และได้เห็นน้ำใจของผู้อยู่ ตั้งแต่วันแรกที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีพระเถรานุเถระ ญาติโยมสาธุชน ได้มาแสดงน้ำใจต่อคณะสงฆ์วัดไร่ขิง คณะศิษยานุศิษย์ ในพระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์ ซึ่งสูญเสียพระมหาเถระรัตตัญญูผู้เป็นที่เคารพ เพราะฉะนั้น การได้รับน้ำใจจากท่านทั้งหลาย ทำให้คณะสงฆ์วัดไร่ขิงคลายความอาลัยและมีกำลังใจในการที่ จะร่วมกันจัดงานทำบุญบำเพ็ญกุศล และปฏิบัติภารกิจอื่น ๆ ต่อไป อีกด้านหนึ่งเราได้เห็นน้ำใจของ ท่านทั้งหลาย ในแต่ละคืนที่ผ่านมานั้นเราได้รับน้ำใจจากท่านพระเถระรานุเถระ ญาติโยมสาธุชนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืนนี้ ได้รับเมตตาจากพระเดชพระคุณพระพรหมวชิรานุวัตร ที่ปรึกษาเจ้าคณะ ภาค ๓ เจ้าอาวาสวัดบพิตรพิมุข คณะกรรมการศูนย์ควบคุมการไปต่างประเทศของพระภิกษุสามเณร (ศ.ต.ภ.) รวมทั้งพระเถรานุเถระรูปอื่นที่ได้มาแสดงน้ำใจในวันนี้มีพระพิพัฒน์ศึกษากร เจ้าคณะจังหวัด นครปฐม เป็นต้น ในส่วนของญาติโยมสาธุชนนั้นก็มาแสดงน้ำใจกันเป็นจำนวนมากมีท่านพลตรีลิขิต บุญประดิษฐ์ นายกจำรัส ตั้งตระกูลธรรม กำนันชาตรี สุขถาวร และอีกหลายท่านที่ไม่ได้เอ่ยนาม
134 ล้วนแต่มีน้ำใจมาแสดงออกในวันนี้ การมาแสดงออกซึ่งน้ำใจนั้น เป็นความงดงามเป็นความดีงาม ของสังคม การจะอยู่ร่วมกันในสังคมให้เกิดความสามัคคีได้นั้นต้องอาศัยน้ำใจไมตรีที่มีต่อกัน “น้ำบ่อ น้ำคลอง ยังเป็นรองน้ำใจ น้ำแควน้อยแควใหญ่ ก็สู้น้ำใจไม่ได้” เพราะฉะนั้น การมาแสดงน้ำใจต่อผู้อยู่ หรือการได้เห็นน้ำใจของผู้อยู่ จึงเป็นเรื่องงดงามเป็นความดีงามที่เกิดขึ้นในสังคม ถอดบทเรียนเรื่องที่ ๓ การมาร่วมงานศพนั้นโดยสาระสำคัญคือได้มาเรียนรู้ “หลักความ เป็นจริงของชีวิต” ทุกชีวิตมีเกิดเป็นเบื้องต้น มีแก่มีเจ็บในท่ามกลาง และมีตายในที่สุด เกิด แก่ เจ็บ ตายจึงเป็นเรื่องของธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังเป็นไปตามกฎเกณฑ์ธรรมดาคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามกฎของพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ และ อนัตตา ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ฉะนั้น ทุกชีวิตที่เกิดมาแล้วไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่ม คนสาว คนเฒ่า คนแก่ คนรวย หรือคนจน ก็หนีไม่พ้นความตาย ตายเอ๋ยตายแน่ หนุ่มสาวเฒ่าแก่ตายแน่ทั้งนั้น ถึงรวยมากล้นหรือจนยากไร้ จุดจบพบตายทุกรายเหมือนกัน คำประพันธ์อีกบทหนึ่งว่า อันความตายชายนารีหนีไม่พ้น มีหรือจนก็ต้องตายกลายเป็นผี ถึงแสนรักก็ต้องร้างห่างทันที ไม่วันนี้ก็วันหน้าช้าหรือเร็ว จะหนีอื่นหมื่นแสนในแดนโลก พอย้ายโยกหลบลี้หลีกหนีได้ จะหนีหนึ่งซึ่งมีชื่อคือหนีตาย หนีไม่ได้ใครไม่พ้นสักคนเดียว โดยสรุปก็คือว่า “ความตาย” เป็นสัจธรรมสุดท้ายที่ทุกชีวิตจะต้องเผชิญอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อเราไม่อาจปฏิเสธความตายได้ วิธีการที่ดีที่สุดก็คือต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับความตายอย่างมีสติ การเรียนรู้ที่จะรับมือกับความตายอย่างมีสตินี่เองเรียกว่า “มรณานุสสติ” แปลว่า การเจริญสติด้วย การระลึกนึกถึงความตาย ะฉะนั้น การนึกถึงความตายจึงมีอานิสงส์เป็นอเนกประการ
135 นึกถึงความตายสบายนัก มันตัดรักหักหลงในสงสาร บรรเทามืดโมหันต์อันธการ ทำให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ การนึกถึงความตายให้เป็นมรณานุสตินั้นท่านสอนว่า ให้นึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก และการนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกนั้นก็ไม่ได้ทำให้เราท้อถอยต่อการดำเนินชีวิต ตรงกันข้าม กลับทำให้เราไม่ประมาทมัวเมาในการดำเนินชีวิต ดังปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่อัญเชิญเป็นบาลีนิกเขปบทเบื้องต้นว่า “วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ” แปลเป็นใจความ ได้ว่า “ชีวิตและสังขารมีการเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ขอเธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด” ถอดบทเรียนประการสุดท้ายในการมาร่วมงานบำเพ็ญกุศลถวายพระเดชพระคุณพระราช วิสุทธาจารย์ ได้อัปปมาทธรรม คือความไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต กล่าวคือ การมีสติรู้ตัวทั่ว พร้อมในทุกอริยาบถในการดำเนินชีวิต สรุปการถอดบทเรียนผ่านชีวิต ๙๓ ปี พระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์ ได้ข้อคิด ๓ เรื่อง คือ (๑) ได้มาเห็นคุณงามความดีปฏิปทาของพระเดชพระคุณฯ ผู้จากไป (๒) ได้มาแสดงน้ำใจต่อ ผู้อยู่และได้เห็นน้ำใจของผู้อยู่ (๓) ได้มาเรียนรู้หลักความเป็นจริงของชีวิต พระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์ สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นได้สร้างสมคุณงามความดีบารมีธรรม ไว้เป็นอเนกประการ คุณงามความดีบารมีธรรมที่พระเดชพระคุณฯ ได้สั่งสมไว้แล้วนั้นก็จะเป็น “อนุสาวรีย์ความดีแห่งชีวิต” แม้ว่าบัดนี้พระเดชพระคุณฯ ได้ละสังขารจากพวกเราไปแล้ว แต่ว่า คุณงามความดีบารมีธรรมของพระเดชพระคุณฯ ยังคงปรากฏอยู่ในจิตใจของเราท่านทั้งหลายตลอดไป ดังพุทธพจน์ที่ว่า “รูปํ ชีรติ มจฺจานํ นามโคตฺตํ น ชีรติ” แปลถอดใจความได้ว่า “อันดีชั่วตัวตาย เมื่อภายหลัง ชื่อนั้นยังปรากฏอยู่มิรู้หาย” สอดคล้องกับพระนิพนธ์อีกบทหนึ่งว่า
136 พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา เทสนาปริโยสาเน ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานี้ อิมินา กตปุญฺเญน ด้วยอานุภาพแห่งบุญ กุศลที่เกิดจากการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญจิตตภาวนา รวมทั้งบุญกุศลจริยาสัมมาปฏิบัติทั้งปวง ที่ท่านพระเถรานุเถระ และญาติโยมสาธุชนทุกท่านได้บำเพ็ญแล้วนั้น จงมารวมกันเป็นตบะ เป็นเดชะ พลวปัจจัย อำนวยผลดลบันดาลอุทิศไปถวายพระเดชพระคุณพระราชวิสุทธาจารย์ผู้ถึงแก่มรณภาพ หากพระเดชพระคุณฯ จะหยั่งทราบด้วยญาณวิถีใด ๆ ก็ขอได้โปรดอนุโมทนาเพื่อให้สำเร็จเป็นปัตตา นุโมทนามัยและขอให้เสวยวิปากสุขสมบัติในสัมปรายภพ สมดังเจตนาปรารภของเราท่านทั้งหลาย จงทุกประการ อนึ่ง ขอบุญุกศลคุณงามความดี ความรักความสามัคคี และความกตัญญูกตเวทีที่ทุกท่าน ได้แสดงให้ปรากฏแล้วนั้น จงเป็นปฏิพรย้อนกลับคืนให้ทุกท่านมีความสุขความเจริญ โดยปราศจาก ทุกข์ โศก โรคภัย อุปัททวันตรายทั้งปวง มีความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปในร่มธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า เจริญด้วยจตุรพิธพรชัย คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ยิ่งด้วยปฏิภาณ ธนสารสมบัติ คุณสาร สมบัติ ธรรมสารสมบัติ ปรารถนาสิ่งใดที่ชอบประกอบด้วยธรรม ขอความปรารถนานั้น ๆ จงพลันสำเร็จ สมมโนรถมุ่งมาดปรารถนาจงทุกประการ รับประทานแสดงพระธรรมเทศนาในอัปปมาทธัมมกถา ว่าด้วยเรื่อง ความไม่ประมาทในการ ดำเนินชีวิต ก็สมสมัยได้เวลา จึงขอสมมติยุติลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้.
137 พระธรรมเทศนา ชรากถา แสดงโดย พระเทพวัชราจารย์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน รองเจ้าคณะภาค ๕ ในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมศพ พระราชวิสุทธาจารย์ (ปราณี อินฺทวํสมหาเถร ป.ธ.๓) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ อปฺปํ วต ชีวิตํ อิทํ โอรํ วสฺสสตาปิ มิยฺยติ โย เจปิ อติจฺจ ชีวติ อถโข โส ชรสาปิ มิยฺยติ ฯ ณ บัดนี้ จักแสดงพระธรรมเทศนา ในชรากถา ว่าด้วยความชรา เพื่อเป็นเครื่องประคับ ประคอง ฉลองศรัทธาประดับปัญญาบารมี เพิ่มกุศลบุญราศี แก่คณะท่านเจ้าภาพทั้งหลาย ซึ่งใน ค่ำคืนนี้ เป็นคืนที่ ๑๒ ซึ่งคณะท่านเจ้าภาพประกอบไปด้วย คณะที่ ๑ พระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าอาวาส วัดไร่ขิง เจ้าคณะภาค ๑๔ พร้อมด้วยคณะสงฆ์วัดไร่ขิงพระอารามหลวง คณะที่ ๒ คณะสงฆ์ตำบล บ้านใหม่ ประกอบไปด้วย วัดอ้อมใหญ่ วัดคลองอ้อมใหญ่ วัดเทียนดัด วัดเชิงเลน วัดกัลยาณีทรงธรรม คณะพุทธบริษัทวัดญาณเวศกวัน นำโดยพระมงคลธีรคุณ เจ้าคณะตำบลบ้านใหม่ วัดญาณเวศกวัน คณะที่ ๓ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด เขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ - ๑๕ คณะที่ ๔ สำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐมเขต ๒ นำโดย คุณอภิชัย ซาสุ่ม ผู้อำนวยการเขต คณะที่ ๕ รองศาสตราจารย์ เทพจำนง คุณวาณิช แสงสุนทร บริษัทไทยพัฒนา โปรดักส์จำกัด คณะที่ ๖ มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย วิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย นำโดย พระมงคลธรรมวิธาน รองอธิการบดี มมร คณะเจ้าภาพทั้ง ๖ ซึ่งเป็นเจ้าภาพในค่ำคืนนี้ ถ้าหากว่าท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธาจารย์
138 หรือ ซึ่งผู้เทศน์คุ้นเคยกับท่านเรียกว่าอาจารย์ปราณีนี้ หากว่าท่านจะหยั่งทราบด้วยญาณวิถีใด ๆ ก็ตามท่านต้องขอบคุณขอบใจและอนุโมทนาทุกท่าน ที่ได้มาทำบุญอุทิศถวายท่าน อาจารย์ปราณีนั้น กล่าวได้ว่าท่านอยู่ที่วัดไร่ขิงนี้ ถึง ๕ แผ่นดิน ๓ เจ้าอาวาส ๒ ผู้รักษาการ เจ้าอาวาส ท่านนั้นเป็นชาวกระทุ่มแบน สมุทรสาคร แล้วก็มาบวชที่วัดไรขิงแห่งนี้ เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๔๙๕ โดยมีพระอธิการเฉย กิตฺติสาโร อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ ๖ ต่อมาเป็นพระครูมงคลวิลาศ พระปราณี อินฺทวํโส ก็อยู่รับใช้พระอุปัชฌาย์จนกระทั่งพระอุปัชฌาย์มรณภาพ เมื่อพระอุปัชฌาย์ มรณภาพแล้วคณะสงฆ์ ก็แต่งตั้งพระอาจารย์ชื้น ปฏิกาโร รักษาการเจ้าอาวาส ซึ่งอยู่ไม่นานท่านก็ ลาออก เมื่ออาจารย์ชื้นลาออกคณะสงฆ์ก็แต่งตั้ง หลวงพ่อเพิ่ม พระครูถาวรวิทยาคม วัดสรรเพชร เจ้าคณะตำบลยายชา มารักษาการเจ้าอาวาส น่าจะประมาณ ๓ ปี แต่คณะสงฆ์ เห็นว่าวัดไร่ขิงนั้น เป็นวัดที่มีความสำคัญ มีพระศักดิ์สิทธิ์ ควรจะมีสมภารเจ้าวัดที่แน่นอน ดังนั้นคณะสงฆ์ในสมัยนั้น ก็คือ พระธรรมสิริชัย วัดพระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม จึงแต่งตั้งให้ พระครูทักษิณานุกิจ (ปัญญา อินฺทปญฺโ) เปรียญธรรม ๖ ประโยค วัดไผ่ล้อม ศึกษาจังหวัด และ ธรรมธรจังหวัด นครปฐม อาจารย์ใหญ่โรงเรียนสหศึกษาบาลี มาเป็นเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๐๓ ซึ่งในขณะนั้น ว่าโดยอายุ อาจารย์ปราณี เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๔๗๓ ที่จำได้แม่นเพราะว่า เจ้าอาวาสพระธรรมวชิรานุวัตรเกิด วันที่ ๒๗ บางปีก็ทำบุญพร้อมกัน ในขณะนั้น อาจารย์ปราณี ก็มีอายุประมาณ ๓๐ ปี ๓๐ ปีนี้เราเห็นว่า ช่วงนั้นท่านอาจารย์ปราณี อยู่ในวัยหนุ่มก็ได้สนองงาน เจ้าอาวาส ในสมัยนั้นเริ่มต้นตั้งแต่พระครูทักษิณานุกิจ เริ่มตั้งแต่ ๒๕๐๓ จนกระทั่งหลวงพ่อมรณภาพ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ใน ๔๘ ปีที่ อาจารย์ปราณีได้สนองงานหลวงพ่อ ตั้งแต่เป็นแต่ครูทักษิณานุกิจ พระปัญญาวิมลมุนี พระราชปัญญาภรณ์ พระเทพวรเวที พระธรรมมหาวีรานุวัตร และพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ๔๘ ปีนี้ ในฐานะตั้งแต่เป็นพระผู้น้อย เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสทั้งพระอารามราษฎร์ และก็พระอารามหลวง
139 อาจารย์ปราณี ได้รับอะไรจากหลวงพ่อ หรือคณะสงฆ์ ถ้าดูประวัติของท่านก็คือ ในส่วนตัวนั้น ปี ๒๕๑๓ ท่านอาจารย์ปราณีนั้น สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค สิ่งที่ท่านได้รับรางวัลของคณะสงฆ์ จากหลวงพ่อก็คือเมื่อปี ๒๕๒๐ ท่านได้เป็น เจ้าคณะอำเภอสามพราน โดยที่ท่านไม่ได้เป็นเจ้าคณะ ตำบล ขึ้นเป็นเจ้าคณะอำเภอเลย ทำให้นึกถึงภาพความทรงจำ เพราะว่าผู้เทศน์นี้อยู่ในเหตุการณ์ ก็คือว่า ปีนั้นเป็นปีที่ อบรมบาลีก่อนสอบที่วัดไร่ขิงนั้น เพิ่งเริ่มปีที่ ๓ ปีแรกปี ๒๕๑๘ ผู้เทศน์นี้ก็มา อบรม รุ่นที่ ๒ ก็รุ่นเดียวกับ ท่านเจ้าคุณพระเทพปวรเมธี ๒๕๑๙ แต่สอบไม่ได้ สอบประโยค ๑-๒ ไม่ได้ ก็มาเรียนซ้ำชั้น จำได้ว่าวันเปิดนั้นมีพิธีมอบตราตั้งเจ้าคณะอำเภอ ๒ รูป คือพระมหาสนั่น จิรวํโส วัดพระงาม เป็นเจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี ต่อมาท่านก็ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว เมื่อปี ๒๕๒๗ ถ้าจำไม่ผิด แล้วต่อมาท่านก็ได้รับแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็นพระครูสิริชัยคณารักษ์ ต่อมา ก็ลาสิกขา ตอนนี้ถึงแก่กรรมแล้ว อีกท่านหนึ่ง ก็คือ พระมหาปราณี อินฺทวํโส เป็นเจ้าคณะอำเภอ สามพราน ซึ่งในขณะนั้นท่านอายุประมาณ ๔๗ ปีถือว่ากำลังหนุ่ม เมื่อปี ๒๕๒๒ ท่านก็เป็นพระครู เจ้าคณะอำเภอชั้นโท ที่ พระครูไพศาลคณารักษ์ ปี ๒๕๒๘ เลื่อนเป็นพระครูเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก ปี ๒๕๔๐ ก็เลื่อนเป็นชั้นพิเศษ นี่เรียกว่าอยู่ในช่วงของหลวงพ่อพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ หลังจากที่หลวงพ่อมรณภาพแล้ว ลูกศิษย์ของท่านก็คือ พระธรรมวชิรานุวัตร เป็นรักษาการ เจ้าอาวาสแล้วก็เป็นเจ้าอาวาส ในปีนั้นปี ๒๕๕๑ วันที่ ๕ ธันวาคม อาจารย์ปราณีก็เป็นพระราชาคณะที่ พระพิมลสมณคุณ หลวงพ่อไม่ทันได้เห็นอาจารย์ปราณีเป็นเจ้าคุณแต่ก็เป็นผลผลิตจากหลวงพ่อ ปี ๒๕๕๙ ท่านก็ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่พระราชวิสุทธาจารย์ ซึ่งเป็น ปีเดียวกับ ผู้เทศน์นี้ ซึ่งเป็น พระราชปริยัติมุนี ในยุคสมัยของพระธรรมวชิรานุวัตร แล้วก็ในยุคของ ท่านเจ้าคุณพระธรรมวชิรานุวัตรนี้ ท่านก็ยกย่องอาจารย์ในฐานะที่ อาจารย์ปราณีนั้น เป็นพระกรรม วาจาจารย์ และเป็นครูสอนหนังสือท่าน ยกย่องอาจารย์เมื่อปีที่แล้วให้เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ กระโดดจากที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอสามพราน ปี ๒๕๕๔ เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ ก็ถือว่า
140 ท่านนั้น มีลูกศิษย์ดีที่ได้ยกย่องครูบาอาจารย์ ที่กล่าวมานี้เรียกว่า เป็นส่วนปรหิตปฏิบัติ ที่อาจารย์ ปราณีได้ทำงานแก่คณะสงฆ์ เป็นรางวัลชีวิตของท่าน จะกล่าวถึงเรื่องของอัตตสมบัติ หมายถึงประโยชน์ ส่วนตนที่อาจารย์ปราณีมี หรือกล่าวง่าย ๆ ว่ากิริยามารยาท อัธยาศัยใจคอของท่าน ผู้เทศน์นี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นลูกศิษย์อยู่ที่นี่มาก่อน แต่ว่า มาอบรมบาลีที่นี่ ตั้งแต่ประโยค ๑-๒ ถึงประโยค ๕ แล้วก็เป็นวิทยากรตลอดมา แล้วก็นับว่าโชคดี ที่มีหลวงพ่อพระอุบาลีคุณูปมาจารย์สมัยเป็น พระเทพวรเวที เป็นพระอุปัชฌาย์ อาจารย์ปราณีนั้น ถ้าว่าโดยอัธยาศัยแล้ว ในข้อแรกตรงกับภาษาบาลีว่า อากัปปวัตตสัมปันนภิกขุ ซึ่งหมายความว่า เป็นภิกษุที่ถึงพร้อมด้วยอากัปปะ คือมีกิริยามารยาทงดงาม และ วัตตะ หมายความว่ามีวัตรปฏิบัติดี ที่บอกว่า อากัปปะ มีกิริยามารยาทดีนั้น อาจารย์ปราณีนั้น เป็นพระที่รักษาความสะอาดมากเป็นคน สะอาดสะอ้านเป็นเรื่องปกติของท่าน ท่านรังเกียจคนที่สกปรก แล้วก็ท่านห่มผ้าเรียบร้อย เห็นแล้ว เกิดศรัทธาปสาทะ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า อากัปปกิริยา แม้แต่เดินนั่งยืนของท่าน เราจะเห็น อาจารย์ปราณีนั้นถือว่าเรียบร้อย เรียกว่าส่วนอากัปปะ แต่อย่างไรก็ตาม อาจารย์ปราณีนั้น ท่านก็มี ลักษณะอย่างหนึ่ง ก็คือท่านเป็นคนเจ้าระเบียบ คนเจ้าระเบียบนั้น ก็มักจะมีเรื่องของขี้บ่น ส่วนใหญ่ คนเจ้าระเบียบนั้น มักจะอยู่คนเดียว อยู่กับใครไม่ค่อยได้ คนเจ้าระเบียบเป็นลักษณะเช่นนั้น อาจารย์ ปราณี ถือว่าเป็นคนเจ้าระเบียบมาก ตัวท่านก็อยู่รูปเดียว อยู่ที่โรงเรียนพระปริยัติธรรม แต่ท่าน สะอาดสะอ้านสมกับอากัปปวัตตสัมปันนะ ที่สมบูรณ์ด้วยอากัปปะ ที่สมบูรณ์ด้วยวัตตะ เรื่องวัตร ปฏิบัตินั้น อาจารย์ปราณีสมัยยังแข็งแรงนั้น ผู้เทศน์มาอบรมท่านก็พาพระเณรท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาส เจ้าคุณประสิทธิ์นี่แหละกวาด ตี ๕ ก็พากวาดวัดกันแล้วก็บิณฑบาต ทำวัตร สวดมนต์ เป็นพระแบบโบราณ ทำวัตรสวดมนต์ เราจะเห็นได้ว่าอาจารย์ปราณีนั้นท่านทำวัตรสวดมนต์ จนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย เมื่อสังขารไม่เอื้ออำนวยแล้ว นี้เรียกว่า อากัปปวัตตสัมปันนภิกขุ ภิกษุที่สมบูรณ์ด้วยมารยาท และ วัตรปฏิบัติ
141 ในส่วนข้อที่ ๒ นั้น ถ้าใครคุ้นเคยกับท่านอาจารย์ปราณี อาจารย์ปราณีนั้น ท่านเป็นผู้ที่นิยม สะสมของเก่า ถ้าใครไปที่กุฏิท่าน ท่านจะชอบสะสมนาฬิกา แล้วก็พระเครื่องเก่า ๆ บรรดาเซียนทั้งหลาย ก็มักจะไปนั่งส่องดูพระกัน น้อยคนที่จะรู้ ต้องคนที่รู้จักจริง ๆ แล้วก็อาจารย์ปราณีนั้น ก็เป็นคน เลือกคน ไม่ใช่ใครเข้ากุฏิง่าย ๆ ก็เป็นลักษณะของท่าน ในข้อที่ ๓ อาจารย์ปราณีนั้น เป็นคนที่มีน้ำใจ แต่ว่าความมีน้ำใจของอาจารย์ปราณีนั้น เป็นลักษณะ โอทิสสผรณาเมตตา หมายความว่าท่านรัก เจาะจง ท่านไม่ใช่ลักษณะอโนทิสสผรณาเมตตา หมายถึงว่าชอบคนทั่วไป ในเรื่องนี้ พระอุปัชฌาย์ก็ มรณภาพแล้ว อาจารย์ปราณีก็มรณภาพแล้ว ขอเล่าเรื่อง อีกเรื่องหนึ่งเรื่องนี้ ก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เจ้าอาวาสชื่อปัญญา ลูกวัดชื่อปราณี เมื่อคุยกับท่านอาจารย์ปราณีนั้น ท่านอาจารย์ปราณีก็รู้ว่า ผู้เทศน์นี้เป็นสัทธิวิหาริก อาจารย์ปราณีเรียกหลวงพ่อว่าท่านเจ้าคุณ ไม่เรียกหลวงพ่อมาเรียกหลวงพ่อ ทีหลัง เมื่อคุยกับท่านทีไรท่านก็ฝากมาบอกว่า มหาเทียบ ไปบอกอุปัชฌาย์ท่านสิ ชื่อปัญญา แต่ว่า ไม่ใช้ปัญญา ตอนนั้นหลวงพ่อซื้อที่ แต่ใช้ชื่อของคนขับรถ ตอนนั้นก็มีเรื่องอยู่พักหนึ่ง อาจารย์ปราณี ก็พูด ให้ไปบอกหลวงพ่อ บอกว่าให้ฟังพระในวัดบ้างไม่ใช่ฟังเเต่โยม ผู้เทศน์รับสารแต่ว่าไม่ส่งสาร ในขณะเดียวกันเมื่อไปรับทุนกับหลวงพ่อ ก่อนที่จะไปศึกษาปริญญาเอก ก็มาพักกับอาจารย์สมบัติ พระครูปลัดวีรวัฒน์ มาค้างที่นั่น ท่านก็ให้ไปคุยกับหลวงพ่อ คือจำเป็นต้องไปคุยนั่นแหละเพราะว่า จะต้องไปเอาสตางค์ ก็ไปตั้งแต่ ๓ ทุ่ม ตอนนั้นหลวงพ่อยังแข็งแรง ก็คุยทุกเรื่องนั่นแหละ การคุยกับ หลวงพ่อนั้นก็เป็นคุณูปการหลายอย่าง ท่านคุยจากความทรงจำ หลวงพ่อนี้เป็นพระที่เรียกว่า โบราณ เคร่งครัด แต่ว่าท่านมีความคิดลึกซึ้ง ท่านทั้งหลายไปอ่านปัญญานิพนธ์จะรู้เลยว่า หลวงพ่อนั้นคิด ไม่เหมือนใคร เรียกว่ามีวิสัยทัศน์แปลก ๆ ในขณะที่คุยท่านก็คุยหลายเรื่อง แต่พอดึกประมาณตี ๒ ก็เริ่มจะเข้าปรมัตถธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน ตอนนั้นเราก็ยังหนุ่ม เห็นท่าจะไม่ไหวแล้ว ถ้าเข้าจิต เจตสิกรูป นิพพานนี้ คงจะดึกแน่ หลวงพ่อท่านเป็นคนอยู่ดึก แล้วก็เข้าใจว่าท่านน่าจะตรึกธรรม ตรองธรรม ท่านก็พูดถึงผู้ช่วยเจ้าอาวาส ท่านก็บอกว่าท่านมหา ท่านณี ท่านเรียกท่านณี ท่านณีนั้น
142 ชื่อปราณี แต่ว่าไม่ค่อยปรานีใคร ไม่ค่อยเอาใคร เอาแต่ตัวเอง ท่านจึงอยู่องค์เดียว คนอื่นจึงอยู่กับท่าน ไม่ค่อยได้ แต่ก็รับสาร แต่ก็ไม่ได้ส่งสาร เพราะฉะนั้น ทั้ง ๒ ท่าน ก็มรณภาพไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นผู้ที่ ได้ยินมากับหู จะกล่าวว่าทั้ง ๒ ท่าน ตำหนิติเตียนกันก็ไม่ใช่ คงจะพูดจากความรู้สึกเฉย ๆ แต่ความจริง ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้น อาจารย์ปราณีที่บอกว่ามีน้ำใจนั้น ท่านเจาะจงคน เลือกคน ไม่ใช่ชอบทุกคน และจะไม่ให้ใครเข้าไปกุฏิง่าย ๆ ยังนึกถึงน้ำใจของท่านเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๗ ผู้เทศน์นี้ได้รับ พระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระสุธีธรรมานุวัตร ในโอกาสที่พระพันปีหลวงครบ ๗๒ พรรษา จำได้ว่า วันที่ ๑๓ กำลังฉันเพล ท่านอาจารย์ปราณีนั้น ไปแสดงมุทิตาจิต ก็แปลกใจเหมือนกันปกติท่านไม่ค่อยไป ส่วนเจ้าอาวาสไปเป็นเรื่องปกติ แต่อาจารย์ปราณีไปนั้นถือว่าเป็นเรื่องแปลก ท่านก็มองว่าผู้เทศน์นี้ เป็นศิษย์วัดไร่ขิง ท่านนำพระพุทธรูปหลวงพ่อวัดไร่ขิง ๙ นิ้ว ไปถวาย แล้วก็พูดอยู่คำหนึ่งว่า ดีใจด้วย ท่านมหาเทียบได้เป็นเจ้าคุณ ท่านน่าจะเป็นตั้งนานแล้ว นี่ก็ถือว่าเป็นน้ำใจ ถึงแม้แต่ว่าเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เมื่อนึกถึงทีไรแล้วก็นึกถึงน้ำใจของท่าน ก่อนกลับ ท่านก็บอกว่า ท่านยังติดเรียกมหาเทียบไป พบผม ผมจะถวายสมเด็จวัดระฆัง หลังจากนั้นก็รีบไปหาท่านที่กุฏิ ท่านถวายสมเด็จวัดระฆัง ก็ยังเก็บไว้ จะแท้หรือไม่แท้ก็ให้เซียนหลายสำนักดูแล้วก็พูดไม่เหมือนกัน ก็ถือว่า เก็บไว้เป็นที่ระลึก ก็เลยบอก เจ้าคุณประสิทธิ์ ท่านตามไปทีหลังไม่ทราบว่า อาจารย์ปราณีถวายอะไร นี้เราจะเห็นได้ว่าอันนี้เป็นน้ำใจ ของท่านไม่ใช่เฉพาะอาตมาเท่านั้นท่านก็คงจะแสดงกับอีกหลายๆท่านแต่ท่านเป็นลักษณะ โอทิสส ผรณาเมตตา เป็นการให้เลือกคน อาจารย์ปราณี เป็นคนเลือกคน ประเภทรู้จักทุกคน แต่ว่าไม่คบทุกคน ลักษณะนิสัยท่านเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นชีวิตของท่าน ๙๓ ปี ๗๑ พรรษา ได้ใช้ชีวิตของท่าน จน กระทั่งท่านชราภาพ ในระยะสุดท้ายเราจะเห็นได้ว่าอาจารย์ปราณีนั้น เคยเดินตรงห่มเรียบร้อย ตอนหลังนั้น หลังท่าน ค่อมงอ เพราะความชราภาพ สมดังที่อาตมภาพยกนิกเขปบทพระบาลีใน ชราสูตร สุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย
143 สุตตนิบาต เป็นพระบาลีว่า อปฺปํ วต ชีวิตํ อิทํ เป็นต้น ซึ่งแปลว่า ชีวิตนี้น้อยนัก มนุษย์ย่อมตาย ภายใน ๑๐๐ ปี แม้หากผู้ใดจะมีชีวิตอยู่เกินไปกว่านั้น ผู้นั้นก็จะตายเพราะชราแน่แท้ พระพุทธพจน์ ในชราสูตรนี้ชีวิตเราสั้น ไม่เกินร้อยปีมนุษย์เราต้องตาย ถึงไม่ตายความชราก็พาเราไปสู่ความตาย ถ้าหากว่าเกินอายุเกินมากกว่านั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่เกิน เพราะฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสไว้ในอภิณหปัจจเวกขณะ ข้อแรกเป็นภาษาบาลีไว้ว่า ชราธมฺโมมฺหิ ชรํ อนตีโต ซึ่งแปลว่า เรามีความชราเป็นธรรมดา เรานั้นไม่สามารถล่วงพ้นความชราไปได้ นอกจากนั้นในภาษาบาลีท่าน ก็มีวิเคราะห์ ชรา ไว้ว่า ชรตีติ ชรา ซึ่งแปลว่า ที่ชื่อว่าชรานั้นเพราะอวัยวะเสื่อม ในสังคมไทยคนโบราณ เราเขาก็ให้ข้อสังเกต คนชราไว้ ๒ อย่าง คนชรานั้นจะมีลักษณะอยู่ ๒ อย่าง ๑ หูดับ เสียงดี หมายความว่าหูไม่ได้ยินแต่เสียงดี คนชราประเภทนี้อายุจะยืน ประเภทที่ ๒ เสียงดับ แต่หูดี ใครพูด ได้ยินหมดแต่ว่าพูดไม่ได้ อายุจะสั้น เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่นั้นเราจะเจอประเภท หูดับ แต่เสียงดี ใครพูดมาไม่ได้ยิน แต่พูดอย่างเดียว ส่วนใหญ่ก็จะอายุยืน นี้คนโบราณไทยเราว่าเอาไว้ให้ข้อสังเกตไว้ ความชรานั้น ในทางพุทธศาสนานั้น ในพระไตรปิฎกไม่ได้จัดประเภทความชราไว้ให้ แต่พระพุทธโฆษาจารย์ ชาวอินเดียผู้แต่ง ปปัญจสูทนี อรรถกถาแก้ สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย และพระมหานามะ ชาวศรีลังกา ผู้แต่งสัทธรรมปกาสินี แก้ปฏิสัมภิทามรรค ได้จัดประเภทชรา ไว้ ๒ ประเภท ประเภทแรกคือ ปาฏกชรา หมายความว่าชราเปิดเผย ได้แก่ ชรา ที่เราเห็นได้ด้วยตาเช่นฟันหักเป็นต้น ประเภทที่ ๒ ปฏิจฉันนชรา หมายถึง ชรา ในอรูปธรรม ในสิ่งที่ไม่มีชีวิตเราไม่สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงของสิ่งนั้นได้ ท่านอธิบายสั้น ๆ แค่นี้ แต่ทั้งท่านพุทธโฆษาจารย์ก็ดี ท่านมหานามะก็ดี ท่านได้อธิบาย ชรา อีก ๒ ประเภท ชรา ๒ ประเภทนี้ ส่วนใหญ่เราก็ไม่ค่อยได้ยิน ส่วนใหญ่จะได้ยินแค่ชราเปิดเผย และ ชรา ปกปิด ในข้อแรก ท่านเรียกว่า อวีจิชรา อวีจิชราก็เท่ากับปฏิจฉันนชรานั่นแหละ ได้แก่ ชรา ที่ไม่มี เหตุมีเค้าให้เห็น เช่นความเปลี่ยนแปลงของแก้วแหวน เงินทอง พระอาทิตย์ พระจันทร์เป็นต้น เราไม่ สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงของสิ่งเหล่านี้ เราไม่เห็นด้วยตา แต่เมื่อโลกประลัยกัลป์เมื่อไหร่แล้ว
144 ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ก็ประลัยเหมือนกัน เราจะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่เห็นได้ด้วยตาแต่ว่ามันก็เสื่อม สภาพไป นอกจากนั้นทั้ง ๒ ท่านก็ยังยกตัวอย่างเช่น เด็กที่มีอายุ ๑ ถึงขวบถึง ๑๐ ขวบนี้ เราจะไม่ เห็นความเปลี่ยนแปลงของสีผิวเด็ก ๑ กับ ๑๐ ขวบนี่ สีผิวจะเหมือนกัน ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง แต่มีความเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าเจริญวัย แต่ตาเรานั้นไม่สามารถมองเห็นได้ เพราะฉะนั้น อวีจิชรานี้ ท่านจึงเรียกว่านิรันตรชรา ชราที่สืบเนื่องกันไป แต่เรานั้นไม่สามารถมองเห็นด้วยตาได้ ยกตัวอย่าง ง่ายๆ เหมือนกับศาลาหลังนี้ เราไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นมันเก่าแค่นั้นแหละ แต่วันหนึ่ง ถ้าเกิด ศาลาพังไปเมื่อไหร่ นั่นแหละ เราจึงรู้ว่า มีความเปลี่ยนแปลงนี้เรียกว่า อวีจิชรา ในส่วนที่ ๒ เรียกว่า สวีจิชรา ซึ่งแปลว่าชรา มีลักษณะมองเห็น เช่น ยกตัวอย่างง่าย ๆ ผม เป็นเด็กก็สีน้ำตาล ต่อมาก็สีดำ ต่อมาก็หงอก อย่างอาตมาผู้เทศน์นี้ เมื่อก่อนก็ไม่ได้หงอก เมื่อก่อนสีดำ นี่แสดงว่า ชรา เราเห็นได้ด้วยตา เราเห็นชัด แม้แต่ผิวของเราก็เหมือนกัน หนุ่มสาว ผ่องใสงดงาม แต่ความชรา มากระทบเข้าก็ตกกระ หนังเหี่ยวเป็นต้น นี้เรียกว่า ชรา ครอบงำ ท่านจึงเรียกว่า สวีจิชรา ก็ได้แก่ ปาฏกชรานั่นเอง ซึ่งท่าน พุทธโฆษาจารย์และท่านมหานามะได้อธิบายไว้อาตมาก็มาขยายให้ท่านทั้งหลายฟัง นอกจากนั้น พูดถึงโทษของชรา ถ้าจะประมวลแล้ว ก็มีอยู่ ๒ ข้อ ข้อ ๑ เป็นปรากฏการณ์ของ สังขาร เรียกว่าเป็นทุกข์ของสังขาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ชราปิ ทุกฺขา ซึ่งแปลว่า ความชรานั้นเป็นทุกข์ ทำไมจึงเป็นทุกข์ ก็เพราะว่าคนเรานั้น เมื่อมีความชรามาครอบงำ ร่างกาย ไม่แข็งแรง ไม่มีกำลัง เดินก็ลำบาก เมื่อมีความชรามาครอบงำแล้ว จิตใจก็ห่อเหี่ยวด้วย บางคนนั้น ภรรยา สามี ลูกหลาน ทอดทิ้ง กายก็แย่ ใจก็ยิ่งตกอีก บางคนก็ส่งพ่อ ส่งแม่ หรือ ญาติพี่น้อง ไปอยู่บ้าน พักคนชรา เพราะฉะนั้น ชราปิ ทุกฺขา ความชราเป็นทุกข์ เพราะว่าเป็นทุกข์ประจำสังขาร ทุกคนก็จะ ประสบทั้งนั้น ในข้อที่ ๒ ความชรานั้น เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต ที่บอกว่าเป็นอุปสรรคในการ ดำเนินชีวิตนั้น เพราะว่าความชราเข้าครอบงำ เราจะเห็นได้เลยว่าทำงานยาก ทำงานลำบาก เพราะอะไร เพราะสังขารไม่เอื้ออำนวย บางคนก็ต้องมานั่งรถเข็น บางทีไปไหนไม่ได้ นอนติดเตียง เพราะฉะนั้น
145 นี่คือ ความชราเป็นอุปสรรคต่อชีวิต เพราะฉะนั้นคนที่มีความชราที่เรียกว่าคนแก่นั้น ท่านจะบอกว่า คน ๕ ประเภทนี้ใจน้อย ก็คือ ๑. คนแก่ ๒. คนเจ็บ ๓. คนหิว ๔. คนเหนื่อย ๕. คนหัวล้าน ๕ คนนี้ ใจน้อย หิวก็ใจน้อย เหนื่อยก็ใจน้อย หัวล้านก็ใจน้อย เจ็บก็ใจน้อย แก่ก็ใจน้อย นี่โบราณท่านว่าไว้ นี่เรียกว่าความชรานั้นเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต ในส่วนอานิสงส์ของความชรานั้น ถ้าประมวลแล้วก็จะมีอยู่ ๒ ประเภท ๑ ความชรานั้น ทำให้ เรานั้นไม่ประมาท ในชีวิต ว่าเมื่อเราชราแล้ว เรามีความรู้มีศักยภาพก่อนที่จะจากโลกนี้ไป เราจะสร้าง อะไรให้แก่โลก ในเรื่องเช่นนี้ทำให้นึกถึง คุณเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ได้สร้างวัดร่องขุ่นที่เชียงราย คุณเฉลิมชัยนั้น เห็นว่า ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ก็ควรจะฝากฝีมือทางด้านจิตรกรรมไทยไว้ ถ้าใครไป วัดร่องขุ่น เรียกว่าคุณเฉลิมชัยนั้น เป็นตัวอย่างของคนที่เรียกว่าชราแต่ได้สร้างคุณค่า ก่อนที่จะจาก โลกนี้ไป เพราะฉะนั้น เมื่อความชราของเรามาถึงแล้ว ถ้าเรามีศักยภาพด้านใดมีความรู้ความสามารถ ก็ควรถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้แก่คนรุ่นหลังไว้ ถ้าหากว่าเราจากไปแล้ว อย่างน้อยวิชาช่างหรือวิชาต่าง ๆ นั้นก็ ลูกหลานก็ยังอนุรักษ์ไว้ได้ แต่คนโบราณนั้นท่านรู้ท่านไม่ค่อยสอนใคร เพราะฉะนั้น ความรู้จึงตาย ตามกับผู้นั้นไป ข้อที่ ๒ ความชรานั้น เป็นอนุสติในการ ประพฤติธรรม ก็หมายความว่าความชรานั้น เป็นเครื่องเตือน เราว่าร่างกายเราชราแล้ว เราจะรักษาความชรานั้นหมอก็รักษาไม่ได้ แต่เมื่อเราชรา แล้วเราจะรักษาอะไร เราก็ต้องรักษาใจ ใจเรานั้นใครก็รักษาไม่ได้ ก็ได้อาศัยธรรมโอสถ เพราะฉะนั้น คนชรา คนที่มีสุขภาพไม่สมบูรณ์นั้น ก็ได้อาศัยธรรมโอสถเพื่อที่จะรักษาใจ ถ้าหากว่ากายก็ชรา ใจก็ชรา ก็จะทำให้ คนชรานั้นนอกจากอายุสั้นแล้ว ถ้าอายุยังไม่สั้น ถ้ามีชีวิตอยู่ก็จะทำให้เป็นโรคซึมเศร้า เพราะฉะนั้น ความชรานี้ ถ้าเราใช้เป็นประโยชน์ก็เป็นประโยชน์ เพราะยังไงความชราก็ไม่ สามารถ จะรักษาได้ ไม่มียารักษาได้แค่ชะลอเท่านั้น เมื่อความชรามาถึง เราต้องรักษาใจเอาไว้ เมื่อรักษาใจ ได้เช่นนี้อย่าง น้อยก็รู้เท่าทันความชราท่านอาจารย์ปราณี ชีวิตของท่าน ๙๓ ปี ๗๑ พรรษา ชีวิตของท่าน ก็เป็นตัวอย่างจากเด็กชายปราณี นายปราณี พระปราณี พระมหาปราณี พระครูไพศาลคณารักษ์
146 พระพิมลสมณคุณ และพระราชวิสุทธาจารย์ ท่านทั้งหลาย ถ้าเห็นท่านตั้งแต่ยามที่ท่านยังหนุ่มแน่น เราก็เห็นสภาพสังขารของท่าน แข็งแรงเดินผึ่งผายเมื่อช่วงอายุชรามากเข้า หลังท่านค่อม เพราะ ความชรา ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ท่านอาจารย์ปราณีนั้น เป็นพระมหาเถระรูปหนึ่ง ในสังฆมณฑลที่ มีอายุยืน และก็ได้ใช้ความชราสมกับชีวิตของท่าน เป็นอนุสสติแก่เราท่านทั้งหลาย ทุกคนที่ได้รู้จัก กับท่านอาจารย์ปราณี อิมินา กตปุญฺเน ด้วยอำนาจบุญกุศลของคณะท่านเจ้าภาพ ดังที่กล่าวนามมาแล้วทั้ง ๖ คณะ ถ้าหากว่าท่านอาจารย์ปราณีรับทราบรับรู้แล้ว ก็ขอจงอนุโมทนาต่อคณะเจ้าภาพ อนึ่งบุญกุศลนี้ที่ ท่านทั้งหลายได้บำเพ็ญถวายอาจารย์ปราณีนั้น ขอจงเป็นบุญนิธิเพิ่มเติม เสริมบารมี ที่อาจารย์ปราณี ได้บำเพ็ญแล้วนั้น สมดังเจตนาปรารภของคณะท่านเจ้าภาพทุกประการ แสดงพระธรรมเทศนา ในชรา กถา มาพอสมควรแก่เวลา ขอสมมติ ยุติลง คงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ
147 เจ้าภาพบำเพ็ญกุศล
148 รายนามคณะเจ้าภาพบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมศพ พระราชวิสุทธาจารย์ (ปราณี อินฺทวํสมหาเถร ป.ธ.๓) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ วันที่ ๙ ตุลาคม - ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๖ ณ อาคารราชวิริยาลังการ วัดไร่ขิง พระอารามหลวง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ๑. พระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง และคณะสงฆ์วัดไร่ขิง พระอารามหลวง ๒. โรงพยาบาลสามพราน (วัดไร่ขิง) ๓. สำนักงานสาธารณสุขอำเภอสามพราน ๑. พระพรหมเสนาบดี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค ๗ และคณะสงฆ์วัดปทุมคงคา ราชวรวิหาร ๒. พระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง และคณะสงฆ์วัดไร่ขิง พระอารามหลวง ๓. พระราชวัลภาจารย์ รองเจ้าคณะจังหวัดราชบุรี เจ้าอาวาสวัดหนองหอย พระอารามหลวง ๔. โรงเรียนกาญจนาภิเษกราชวิทยาลัย (พระตำหนักสวนกุหลาบมัธยม) ๕. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ วันจันทร์ ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๖ วันอังคาร ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๖