53
เรือ่ งท่ี 4 การพฒั นาอาชีพให้ มีความมนั่ คง
ในช่วงการดาเนินแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาตฉิ บบั ท่ี 7 – 8 แม้จะปรากฏผลรูปธรรม ส่วน
หนง่ึ เป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ท่ีตรวจวัดด้วยอัตราเพิ่มของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) แต่ผล
รูปธรรมอีกส่วนหน่ึงกลับเป็นความต่อเน่ืองของสภาพปัญหาการกระจายรายได้ไม่เท่าเทียมกันระหว่างชนบท
กับเมอื ง และระหว่างผู้ผลติ ภาคเกษตรกรรม (ระดบั ครัวเรือนรายย่อย) กบั ภาคอุตสาหกรรมและการบรกิ าร
ผลรูปธรรมส่วนหลังข้างต้นปรากฏสะสมปัญหา จนกลายเป็นอุปสรรคสาคัญของการพัฒนาประเทศ
ชัดเจนมากข้ึนตามลาดบั จนถูกระบุเปน็ ข้อสังเกตเรื่อง “ความยากจน” ของประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ท่ี
มีสัดส่วนการถือครองทรัพย์สินรายได้ต่าสุด เม่ือเปรียบเทียบกับสัดส่วนการถือครองของประชากรร่ารวย
จานวนน้อยของประเทศ
รายงานของคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพฒั น์) ยอมรับผลสรุปของการ
พัฒนาข้างต้น ไว้ในช่วงปลาย แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ด้วยเช่นกัน ปัญหาความ
ยากจน (รายได้ไมเ่ พียงพอต่อรายจา่ ย) แพร่ระบาดจากชนบท ชุมชนเกษตรกร เข้าสู่สังคมเมืองมากข้ึน รวมทั้ง
แพร่ระบาดเข้าสู่แวดวงอาชีพอื่น ๆ นอกเหนือจากเกษตรกรรายย่อยมากขึ้นตามลาดับในช่วงก่อนและหลัง
วิกฤติเศรษฐกิจ 2540 โดยสภาพัฒน์ได้พยายามปรับกลยุทธ์การพัฒนา เช่น การพัฒนาที่ถือ “มนุษย์” เป็น
ศูนย์กลางจนกระทั้งได้เร่ิมปรับและกาลังจะปรับปรุงให้เกิดกลยุทธ์การพัฒนาแบบเศรษฐกิจพอเพียงมากขึ้น
ตามลาดับ โดยถือตามหลักปรัชญา แนวทฤษฎี และโครงการต้นแบบตามแนวพระราชดาริท่ีได้รับการยอมรับ
นบั ถือจากองคก์ ารสหประชาชาติ ดงั ทีม่ ีรายงานข่าวเผยแพรไ่ ปยังประชาคมโลกแลว้
เพราะเหตุท่ีประชาชนจานวนมากยังคงอยู่ในภาวะยากจนคือ รายได้ไม่พอเพียงต่อการใช้จ่ายเพ่ือ
ดารงชีวิตครอบครัว ในขน้ั พนื้ ฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวชนบทที่ดารงอาชีพเกษตรกร ดังนั้น การแก้ไขปัญหา
ความยากจนด้วยการยกระดับรายได้ของประชากรกลุ่มนี้ให้สูงข้ึน สู่ภาวะพอเพียงจึงเป็นส่วนสาคัญของ
ยุทธศาสตร์การพัฒนา แบบเศรษฐกจิ พอเพียงในข้ันต้นส่วนหนึ่ง โดยไม่ยุติกระบวนการทางเศรษฐกิจส่วนอ่ืนท่ี
จาเปน็ เช่น การแลกเปลี่ยนทางการค้าระหวา่ งประเทศ และการลงทุนท่ีอยู่ในขอบเขตเหมาะสมภายใต้ปรัชญา
เศรษฐกจิ พอเพยี ง ซ่งึ จาแนกขั้นตอนดาเนินการพัฒนาไว้ต่อเนื่อง เป็นลาดับชัดเจน โดยไม่ปิดก้ันความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศ และไม่มุ่งหมายจะให้เกิดการหยุดชะงัก หรือถอยหลังเข้าคลองทางเศรษฐกิจ รวมท้ังมิได้มุ่ง
หมายใหป้ ระเทศมีแตก่ ารผลติ แบบเกษตรกรรมเพยี งส่วนเดยี ว
โครงการตามแนวพระราชดารจิ านวนมาก ท่สี รา้ งความรู้ตามทฤษฎีใหม่และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
เป็นโครงการที่มีลักษณะผูกพันกับวิถีชีวิตชุมชนของชาวชนบทในภาคเกษตรกรรม เนื่องจากตลอด 3 – 4
ทศวรรษท่ีผ่านมา ชุมชนเกษตรกรรมโดยท่ัวไปในประเทศเผชิญกับปัญหารายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายอย่าง
กว้างขวางรุ่นแรง แต่โครงการที่มีลักษณะเป็นการพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรจานวนมากเหล่านั้น เช่น
โครงการหลวงดอยอ่างขาง และโครงการหลวงดอยอินทนนท์ ฯลฯ มีความชัดเจนในแนวคิดเรื่องการผลิตที่มี
คุณภาพเพียงพอ สาหรับการชายออกสู่ตลาดภายนอชุมชน เพ่ือสร้างรายได้ที่เพียงพอและยั่งยืนแทนการปลูก
ฝน่ิ ในอดตี
แนวคิดที่ชัดเจนเก่ียวกับการผลิตทางการเกษตรที่พอเพียง สาหรับการจัดจาหน่วยสู่ตลาดภายนอก
ชุมชนดังกล่าว ทาให้เห็นว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงส่งเสริมการแลกเปล่ียนแบบเก้ือกูลกันทางเศรษฐกิจ
(ระหว่างเกษตรกร พ่อค้า และผู้บริโภค) ระหว่างประชาชนท่ีมีอาชีพต่าง ๆ กัน และไม่ใช่แนวคิดท่ีปิดกั้นไว้
เฉพาะชุมชนชนบท และแวดวงเกษตรกรตามลาพังตามที่คนในสงั คมเมอื งท่มี ใิ ช่เกษตรกรจานวนหน่ึงพากันวิตก
กังวลว่า ตนเองจะไม่ได้รับประโยชน์จากการดาเนินชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นอกเหนือไปจากน้ัน
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักความคิดท่ีส่งเสริม “พลวัต” มากกว่าแนะนาให้ประชากรทางเศรษฐกิจ
ต้ังอยู่ในภาวะ “สถิต” หรือหยุดน่ิง อยู่กับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะหน่ึง ๆ แต่การที่ประชาชน
54
พึง่ ตนเองได้จาเป็นต้องปรบั เปลี่ยนวิถีการดารงชีวิตจากแผนการกินดี อยู่ดี เป็นแผน อยู่พอดีกินพอดี ตามแนว
พระราชดาริ
“การปรบั เปลีย่ นแผนการผลิต” จากการผลิตเพื่อการพาณิชย์มาเป็นการ “ผลิตเพ่ือยังชีพ” เนื่องจาก
การผลิตเพื่อการพาณิชย์ทาให้ประชาชนต้องพึ่งระบบทุนนิยม ชะตาชีวิตของประชาชน ข้ึนอยู่กับกลไก ของ
ตลาดทาใหเ้ กดิ การเอารดั เอาเปรยี บประชาชน “เพือ่ ลดผลกระทบ” ท่ีเกิดจากความผนั ผวนของตลาดเป้าหมาย
การผลิตตอ้ งปรบั ไปเปน็ ผลิตเพ่ือกินเพื่อใช้
55
ใบงานท่ี 1
รายวชิ า การพัฒนาอาชพี ใหม้ คี วามมนั่ คง (อช31003) ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย
..................................................................................................
1. ใหผ้ เู้ รียนกาหนดแนวทางการแทรกความนยิ มลงในสินคา้ บรกิ ารของตนเองหรืออาชพี ท่ีสนใจ แล้วนาเสนอ
แลกเปลีย่ นเรยี นรซู้ ง่ึ กนั และกัน แล้วสรุปเป็นองคค์ วามรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. อธบิ ายคาวา่ อยูพ่ อดกี นิ พอดี
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. การพ่ึงตนเอง หมายถงึ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. ความยงั่ ยนื หมายถึง
.…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
56
53
แผนการจดั การเรยี นรู้ ครั้งที่ 4
กลุม่ สาระการเรียนรู้ สาระ การพัฒนาสังคม รายวชิ า การพัฒนาตนเอง ชมุ ชน สังคม สค31003
เน้ือหาการเรียนรู้ที่ 1 เร่ือง 1. การพัฒนาตนเอง ชุมชน สังคม 2. ข้อมูลตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม
3.การจดั เกบ็ และวเิ คราะหข์ อ้ มูล
วันที่ เดือน พ.ศ. เวลา 09.00 น. -12.00 น. ถึง 13.00 น.- 16.00 น.
1. มาตรฐานการเรียนร้รู ะดบั
มีความรู้ ความเข้าใจ หลักการพัฒนาชุมชน สังคม สามารถวิเคราะห์ข้อมูล และเป็นผู้นาผู้ตามใน
การพฒั นาตนเอง ครอบครวั ชมุ ชน สงั คม ใหส้ อดคล้องกบั สภาพการเปล่ียนแปลงของเหตุการณป์ จั จุบนั
2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
2.1 เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอธิบายความสาคัญของการพัฒนาตนเอง ชุมชน สังคม ข้อมูลตนเอง
ครอบครวั ชมุ ชน สงั คม และการจัดเก็บและวิเคราะห์ขอ้ มลู ได้
2.2 เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถฝึกทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับ การพัฒนาตนเอง ชุมชน สังคม ข้อมูลตนเอง
ครอบครัว ชุมชน สงั คม และการจดั เก็บและวิเคราะหข์ อ้ มูลไดอ้ ย่างคล่องแคล่ว
2.3 เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นสามารถสรา้ งความสามคั คี และตรงต่อเวลาในการปฏิบตั งิ านทไี่ ดม้ อบหมายได้
3. สาระการเรยี นรู้ สาระการพฒั นาสังคม
4. ผลการเรยี นรู้ที่คาดหวัง
4.1 ความสาคัญของการพัฒนาตนเอง ชุมชน สังคม ข้อมูลตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และการ
จดั เก็บและวิเคราะห์ขอ้ มลู
4.2 ฝึกทักษะพ้ืนฐานเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง ชุมชน สังคม ข้อมูลตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม
และการจดั เก็บและวิเคราะหข์ ้อมลู ได้อย่างคล่องแคลว่
4.3 สามารถสร้างความสามัคคี และตรงต่อเวลาในการปฏิบตั งิ านทไ่ี ด้มอบหมาย
5. กจิ กรรมการเรยี นรู้
5.1 ขนั้ การกาหนดสภาพปญั หา (O : orientation)
ครูทกั ทายและสอบถามนักศึกษา อธบิ ายความสาคัญเก่ียวกบั การพัฒนาตนเอง ชุมชน สังคม
ขอ้ มูลตนเอง ครอบครวั ชมุ ชน สงั คม และการจัดเก็บและวิเคราะหข์ อ้ มูล
5.2 ขัน้ การแสวงหาข้อมลู และการเรียนรู้ (N : new way of learning)
5.2.1 นาเสนอกจิ กรรมการเรยี นรู้ต่อเนอ่ื ง (กรต.) และแลกเปลย่ี นเรยี นรู้รว่ มกัน
กลมุ่ ที่ 1 การพัฒนาตนเอง
กลมุ่ ท่ี 2 การพัฒนาชุมชน
กลมุ่ ที่ 3 การพฒั นาสังคม
5.3 การปฏิบัตแิ ละการนาไปใช้ ( I : implementation)
5.3.1 ให้นักศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในกลุ่มตามใบงานที่ได้รับ และส่งตัวแทนนาเสนอ
หน้าช้ันเรยี น
5.3.2 ครแู ละนักศึกษาร่วมกันสรปุ องคค์ วามรรู้ ว่ มกนั
5.3.3 ครใู หน้ ักศกึ ษาแบง่ กลุม่ มอบหมายงานการเรียนรู้ตอ่ เนื่อง (กรต.) ออกเป็น 4 กลุม่
กล่มุ ที่ 1 การวางแผน
กลุ่มที่ 2 การมีส่วนรว่ มในการวางแผนพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม
54
กลุ่มที่ 3 การจดั ทาแผน
กลุ่มท่ี 4 การเผยแพร่สู่การปฏิบัติ
5.4 ข้ันการประเมินผล (E : evaluation)
5.4.1 ประเมินผลจากการเรียนรู้ การนาเสนอโดยใช้กระบวนการกลุ่ม การรายงาน และ
การทาทดสอบย่อย ทดสอบกอ่ นเรียน การซักถาม และการสงั เกต
6. การวดั ผลประเมินผล
6.1 การสงั เกต
6.2 การนาเสนอ และการซกั ถาม
7.สื่อและวสั ดุอุปกรณ์
7.1 ใบความรู้
7.2 ใบงาน
7.3 หนงั สอื เรียน
7.4 อินเทอร์เนต็
8. แหลง่ เรียนรู้
8.1 กศน.ตาบล
8.2 ห้องสมุดประชาชนอาเภอ
8.3 สถาบนั ศึกษาปอเนาะ
9. ตวั ชวี้ ดั การเรียนรู้
9.1 ร้อยละ 80 ของผู้เรียนสามารถอธิบายความสาคัญของการพัฒนาตนเอง ชุมชน สังคม ข้อมูล
ตนเอง ครอบครวั ชมุ ชน สังคม และการจดั เกบ็ และวิเคราะห์ขอ้ มลู ได้
9.2 ร้อยละ 80 ของผู้เรียนสามารถฝึกทักษะพื้นฐานเก่ียวกับการพัฒนาตนเอง ชุมชน สังคม ข้อมูล
ตนเอง ครอบครวั ชมุ ชน สงั คม และการจัดเก็บและวเิ คราะหข์ ้อมลู ได้อย่างคลอ่ งแคล่ว
9.3 ร้อยละ 80 ของผู้เรยี นสามารถสรา้ งความสามัคคี และตรงต่อเวลาในการปฏิบตั ิงานทไ่ี ด้
มอบหมายได้
ลงชอื่ ........................................................ครูผู้สอน
(นายอาหามะ ตาเยะ)
ตาแหนง่ ครูกศน.ตาบล
55
ความคดิ เห็นหัวหน้างานการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ .............................................หวั หน้างานการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน
(นางมทั มา แวนาแว)
ตาแหน่ง ครูผู้ชว่ ย
ความคิดเห็นผู้บรหิ ารสถานศึกษา
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………….....…………………………………………………………………………………………….…
ลงช่ือ................................................ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา
(นางหทัยกาญจน์ วฒั นสทิ ธ์ิ)
ผูอ้ านวยการศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอสุไหงปาดี
56
ใบความรูท้ ี่ 1
เรือ่ งที่ 1 การจัดเกบ็ ข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นข้ันตอนท่ีให้ได้มาซ่ึงข้อมูลที่ต้องการมีความหมายรวมท้ังการเก็บข้อมูล
ข้ึนมาใหม่ และการรวบรวมข้อมูลจากผู้อื่นที่ได้เก็บไว้แล้ว หรือได้รายงานไว้ในเอกสารต่าง ๆ เพ่ือนามาศึกษา
ต่อไป ตัวอย่าง เช่น เมื่อต้องการเก็บรวบรวมข้อมูลพ้ืนฐานเรื่องอาชีพและรายได้ครัวเรือนของคนในหมู่บ้าน
อาจเริ่มต้นด้วยการออกแบบสอบถามสาหรับการไปสารวจข้อมูล เพ่ือให้ครอบครัวต่าง ๆ ในหมู่บ้านกรอก
ข้อมูล มีการส่งแบบสอบถามไปยังผู้กรอกข้อมูลเพื่อทาการกรอกรายละเอียดมีการเก็บรวบรวมข้อมูล ซ่ึงการ
เก็บรวบรวมข้อมูลมเี ทคนคิ และวิธีการหลายวิธี ดงั นี้
1. การเก็บรวบรวมข้อมูลจากรายงาน (Reporting System) เป็นผลพลอยได้จากระบบการ
บริหารงาน เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากรายงานที่ทาไว้หรือจากเอกสารประกอบการทางาน ซ่ึงการเก็บ
รวบรวมขอ้ มูลจากรายงานส่วนมากใช้เพียงครั้งเดียว จากรายงานดังกล่าว อาจมีข้อมูลเบื้องต้น บางประเภทท่ี
สามารถนามาประมวลเป็นยอดรวมข้อมลู สถิติได้ วธิ ีเก็บรวบรวมข้อมูลจากรายงานของหน่วยบริหาร นับว่าเป็น
วธิ ีการรวบรวมขอ้ มูลสถิตโิ ดยไมต่ อ้ งสิ้นเปลอื งค่าใช้จ่ายในการดาเนินงานมากนัก ค่าใช้จ่าย ที่ใช้ส่วนใหญ่ก็เพ่ือ
การประมวลผล พิมพ์แบบฟอร์มต่าง ๆ ตลอดจนการพิมพ์รายงาน วิธีการนี้ใช้กันมากท้ังในหน่วยงานรัฐบาล
และเอกชน2 2หน่วยงานของรัฐที่มีข้อมูลสถิติท่ีรวบรวมจากรายงาน ได้แก่ กรมศุลกากรมีระบบการรายงาน
เก่ียวกับการส่งสินค้าออก และการนาสินค้าเข้า และกระทรวงศึกษาธิการ มีรายงานผลการปฏิบัติงานของ
โรงเรยี นภายในสังกัด ซง่ึ สามารถนามาใช้ในการประมวลผลสถติ ิทางการศกึ ษาได้
2. การเก็บรวบรวมข้อมูลจากทะเบียน (Registration) เป็นข้อมูลสถิติที่รวบรวมจากระบบทะเบียน
มลี ักษณะคล้ายกบั การรวบรวมจากรายงานตรงท่ีเป็นผลพลอยได้เช่นเดียวกัน จะต่างกันตรงที่ แหล่งเบื้องต้น
ของข้อมูลเป็นเอกสารการทะเบียนซึ่ง การเก็บมีลักษณะต่อเน่ือง มีการปรับแก้หรือเปล่ียนแปลง ให้ถูกต้อง
ทันสมัย ทาให้ได้สถิติท่ีต่อเน่ืองเป็นอนุกรมเวลา ข้อมูลท่ีเก็บ โดยวิธีการทะเบียน มีข้อรายการไม่มากนัก
เน่ืองจากระบบทะเบียนเป็นระบบขอ้ มูลท่คี ่อนข้างใหญ่ ตัวอย่างขอ้ มูลสถิตทิ รี่ วบรวม จากระบบทะเบียน ได้แก่
สถิติจานวนประชากรที่กรมการปกครอง ดาเนินการเก็บรวบรวมจากทะเบียนราษฎร์ ประกอบด้วย จานวน
ประชากร จาแนกตามเพศเป็นรายจังหวัด อาเภอ ตาบล นอกจากทะเบียนราษฎร์แล้วก็มีทะเบียนยานพาหนะ
ของกรมตารวจที่จะทาใหไ้ ดข้ ้อมลู สถติ ิจานวนรถยนต์ จาแนกตามชนิดหรอื ประเภทของรถยนต์ เปน็ ตน้
3. การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีสามะโน (Census) เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติของทุก ๆ หน่วย
ของประชากรที่สนใจศึกษาภายในพ้ืนที่ที่กาหนด และภายในระยะเวลาที่กาหนด การเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติ
ด้วยวธิ ีน้ี จะทาให้ได้ข้อมูลในระดบั พืน้ ทีย่ ่อย เชน่ หมบู่ า้ น ตาบล อาเภอ และทาใหไ้ ด้ขอ้ มลู ที่เป็นคา่ จริง
2ตามพระราชบัญญัติสถิติ พ.ศ.2508 ได้บัญญัติไว้ว่า สานักงานสถิติแห่งชาติเป็นหน่วยงานเดียวท่ีสามารถ
จดั ทาสามะโนได้ และ การเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติด้วยวิธีการสามะโน เป็นงานที่ต้องใช้เงินงบประมาณ เวลา
และกาลังคนเป็นจานวนมาก สว่ นใหญ่จะจัดทาสามะโนทกุ ๆ 10 ปี หรอื 5 ปี
4. การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีสารวจ (Sample Survey) เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติ จากบาง
หน่วยของประชากรด้วยวิธีการเลือกตัวอย่าง การเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติด้วยวิธีนี้ จะทาให้ได้ข้อมูลในระดับ
รวม เชน่ จงั หวัด ภาค เขตการปกครอง และรวมทั่วประเทศ และข้อมูลท่ีได้จะเป็นค่าโดยประมาณ การสารวจ
เปน็ วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ท่ีใช้งบประมาณ เวลา และกาลังคนไม่มากนักจึงสามารถจัดทาได้เป็นประจาทุกปี
หรือ ทุก 2 ปี ปัจจุบันการสารวจเป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติที่มีความสาคัญ และใช้กันอย่างแพร่หลาย
57
มากท่สี ดุ ท้งั ในวงการราชการและเอกชน ไม่วา่ จะเปน็ การสารวจเพื่อหาขอ้ มูลทางด้านการเกษตร อุตสาหกรรม
สาธารณสุข การคมนาคม การศึกษา และข้อมลู ทางเศรษฐกจิ และสังคมอนื่ ๆ เปน็ ตน้ 2
5. วิธีการสังเกตการณ์ (Observation) เป็นวิธีเก็บข้อมูลโดยการสังเกตโดยตรงจากปฏิกิริยา ท่าทาง
หรือเหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ ท่ีเกิดขึ้นในขณะใดขณะหนึ่ง และจดบันทึกไว้โดยไม่มีการสัมภาษณ์ วิธีนี้ใช้
กันอย่างกว้างขวางในการวิจัย เช่น จะศึกษาดูปฏิกิริยาของผู้ขับรถยนต์บนท้องถนนภายใต้สภาพการณ์จราจร
ต่าง ๆ กัน ก็อาจจะส่งเจ้าหน้าท่ีไปยืนสังเกตการณ์ได้ การสังเกตจานวนลูกค้าและบันทึกปริมาณการขายของ
สถานประกอบการ โดยพนักงานเก็บภาษีของกรมสรรพากร เน่ืองจากการไปสัมภาษณ์ผู้ประกอบการถึง
ปรมิ าณการขาย ยอ่ มไม่ได้ขอ้ มลู ทแี่ ท้จริง
6. วิธีการบันทึกข้อมูลจากการวัดหรือนับ วิธีน้ีจะมีอุปกรณ์เพ่ือใช้ในการวัดหรือนับตามความจาเป็น
และความเหมาะสม เช่น การนับจานวนรถยนต์ที่แล่นผ่านท่ีจุดใดจุดหน่ึง ก็อาจใช้เครื่องนับโดยให้รถแล่นผ่าน
เคร่ืองนับ หรือ การเกบ็ ข้อมลู จานวนผู้มาใชบ้ ริการในห้องสมุดประชาชน ก็ใช้เคร่ืองนับเมื่อมีคนเดินผ่านเครื่อง
เป็นตน้
58
ใบงานที่ 1
รายวชิ า การพฒั นาตนเอง ชมุ ชน สังคม (สค31003) ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย
..................................................................................................
ใหผ้ เู้ รียนทากิจกรรมต่อไปน้ี
ข้อ 1 ถ้าครูต้องการศึกษาพฤติกรรมการทางานกลุ่มของนักศึกษา ครูควรจะเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีใด
จงึ จะเหมาะสม
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ขอ้ 2 ให้ผเู้ รยี นเก็บรวบรวมข้อมลู ครอบครวั ของตนเองตามแบบสารวจ ต่อไปนี้
แบบสารวจข้อมลู ครอบครัว
1. จานวนสมาชกิ ในครอบครัว........................คน
2. หัวหน้าครอบครวั
2.1 ช่ือ...................................................................................................อายุ.....................................ปี
2.2 อาชพี หลัก.......................................................................รายได้ตอ่ ปี......................................บาท
2.3 อาชีพรอง/อาชพี เสรมิ .....................................................รายไดต้ ่อป.ี .....................................บาท
2.4 รายได้รวมต่อป.ี ...............................................................บาท
2.5 การศึกษาสงู สดุ ของหัวหนา้ ครอบครวั .............................................................................................
2.6 บทบาทในชุมชน (กานนั , ผ้ใู หญบ่ ้าน, สมาชกิ อบต.
ฯลฯ)........................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
3. โปรดใสร่ ายละเอียดเก่ยี วกับสมาชิกภายในครอบครวั ทกุ คนทอ่ี าศัยอย่รู ่วมกัน ในตารางตอ่ ไปน้ี
ช่อื -สกุล อายุ ความสัมพนั ธ์ อาชีพ อาชพี รายได้ การศกึ ษา กาลัง บทบาท
กบั หวั หนา้ หลกั รอง/ เฉลย่ี ต่อ สูงสดุ ศกึ ษา ในชมุ ชน
ครอบครัว เสรมิ ปี ระดบั
59
60
แผนการจดั การเรยี นรู้ คร้งั ท่ี 5
กล่มุ สาระการเรยี นรู้ สาระ การพฒั นาสังคม รายวชิ า การพฒั นาตนเอง ชมุ ชน สงั คม สค31003
เนื้อหาการเรียนรู้ท่ี 4 เรื่อง การมีสํวนรํวมในการวางแผนพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม 5. เทคนิค
การมีสวํ นรวํ มในการจดั ทาแผน
วนั ท่ี เดือน พ.ศ. เวลา 09.00 น. -12.00 น. ถึง 13.00 น.- 16.00 น.
1. มาตรฐานการเรยี นรู้ระดับ
มีความร๎ู ความเข๎าใจ หลักการพัฒนาชุมชน สังคม สามารถวิเคราะห์ข๎อมูล และเป็นผ๎ูนาผ๎ูตามใน
การพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน สังคม ให๎สอดคลอ๎ งกับสภาพการเปล่ียนแปลงของเหตกุ ารณ์ปัจจุบัน
2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
2.1 เพื่อให๎ผู๎เรียนสามารถอธิบายความสาคัญของการมีสํวนรํวมในการวางแผนพัฒนาตนเอง
ครอบครัว ชุมชน สงั คม และเทคนิคการมสี ํวนรํวมในการจัดทาแผนได๎
2.2 เพื่อให๎ผ๎ูเรียนสามารถฝึกทักษะพ้ืนฐานเก่ียวกับการมีสํวนรํวมในการวางแผนพัฒนาตนเอง
ครอบครวั ชมุ ชน สงั คม และเทคนคิ การมสี วํ นรวํ มในการจดั ทาแผนไดอ๎ ยาํ งคลํองแคลวํ
2.3 เพ่ือให๎ผ๎ูเรยี นสามารถสร๎างความสามัคคี และตรงตํอเวลาในการปฏบิ ัติงานที่ไดม๎ อบหมายได๎
3. สาระการเรยี นรู้ สาระการพัฒนาสงั คม
4. ผลการเรยี นรู้ท่ีคาดหวงั
4.1 ความสาคัญของการมีสํวนรํวมในการวางแผนพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และเทคนิค
การมีสํวนรวํ มในการจัดทาแผน
4.2 ฝึกทักษะพ้ืนฐานเก่ียวกับการมีสํวนรํวมในการวางแผนพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม
และ เทคนิคการมีสวํ นรํวมในการจัดทาแผนไดอ๎ ยํางคลํองแคลํว
4.3 สามารถสร๎างความสามคั คี และตรงตํอเวลาในการปฏิบตั ิงานที่ได๎มอบหมาย
5. กิจกรรมการเรยี นรู้
5.1 ขนั้ การกาหนดสภาพปัญหา (O : orientation)
ครูทักทายและสอบถามนักศึกษา อธิบายความสาคัญเกี่ยวกับ การมีสํวนรํวมในการวางแผน
พฒั นาตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน สงั คม และเทคนิคการมสี ํวนรํวมในการจดั ทาแผน
5.2 ข้นั การแสวงหาข้อมลู และการเรียนรู้ (N : new way of learning)
5.2.1 นาเสนอกจิ กรรมการเรียนร๎ตู ํอเน่ือง (กรต.) และแลกเปล่ยี นเรียนรรู๎ วํ มกนั
กลมํุ ท่ี 1 การวางแผน
กลํมุ ที่ 2 การมสี วํ นรวํ มในการวางแผนพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม
กลุมํ ท่ี 3 การจัดทาแผน
กลุมํ ที่ 4 การเผยแพรสํ กูํ ารปฏิบัติ
5.3 การปฏบิ ตั แิ ละการนาไปใช้ ( I : implementation)
5.3.1 ให๎นักศึกษาแลกเปล่ียนเรียนร๎ูภายในกลุํมตามใบงานที่ได๎รับ และสํงตัวแทนนาเสนอ
หนา๎ ชั้นเรียน
5.3.2 ครูและนักศึกษารํวมกนั สรปุ องค์ความร๎รู ํวมกัน
5.3.3 ครใู ห๎นักศกึ ษาแบํงกลํุมมอบหมายงานการเรยี นรต๎ู อํ เนื่อง (กรต.) ออกเป็น 3 กลุมํ
กลุํมท่ี 1 ความเปน็ มาความหมายหลกั แนวคดิ ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
กลํุมท่ี 2 ความหมายโครงสร๎างของชมุ ชน
61
กลํมุ ที่ 3 การพฒั นาชุมชน
5.4 ขนั้ การประเมนิ ผล (E : evaluation)
5.4.1 ประเมินผลจากการเรียนร๎ู การนาเสนอโดยใช๎กระบวนการกลุํม การรายงาน และ
การทาทดสอบยอํ ย ทดสอบกํอนเรียน การซักถาม และการสังเกต
6. การวัดผลประเมินผล
6.1 การสังเกต
6.2 การนาเสนอ และการซักถาม
7.ส่อื และวสั ดอุ ปุ กรณ์
7.1 ใบความรู๎
7.2 ใบงาน
7.3 หนังสอื เรยี น
7.4 อินเทอร์เนต็
8. แหลง่ เรียนรู้
8.1 กศน.ตาบล
8.2 ห๎องสมุดประชาชนอาเภอ
8.3 สถาบันศึกษาปอเนาะ
9. ตวั ชี้วัดการเรยี นรู้
9.1 ร๎อยละ 80 ของผูเ๎ รียนสามารถอธิบายความสาคญั ของการมสี ํวนรํวมในการวางแผนพฒั นาตนเอง
ครอบครัว ชมุ ชน สังคม และเทคนคิ การมีสวํ นรวํ มในการจัดทาแผนได๎
9.2 ร๎อยละ 80 ของผ๎ูเรียนสามารถฝึกทักษะพื้นฐานเก่ียวกับการมีสํวนรํวมในการวางแผนพัฒนา
ตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน สังคม และเทคนิคการมีสวํ นรํวมในการจัดทาแผนได๎อยํางคลํองแคลํว
9.3 รอ๎ ยละ 80 ของผู๎เรยี นสามารถสร๎างความสามัคคี และตรงตํอเวลาในการปฏบิ ตั ิงานทีไ่ ด๎
มอบหมายได๎
ลงชือ่ ........................................................ครผู ๎ูสอน
(นายอาหามะ ตาเยะ)
ตาแหนํง ครูกศน.ตาบล
62
ความคดิ เห็นหัวหน๎างานการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ.............................................หวั หนา๎ งานการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน
(นางมทั มา แวนาแว)
ตาแหนํง ครผู ช๎ู ํวย
ความคิดเห็นผู๎บรหิ ารสถานศึกษา
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………….....…………………………………………………………………………………………….…
ลงชือ่ ................................................ผ๎บู รหิ ารสถานศกึ ษา
(นางหทัยกาญจน์ วัฒนสทิ ธ์ิ)
ผ๎อู านวยการศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอสุไหงปาดี
63
ใบความร้ทู ี่ 1
เรอ่ื งท่ี 1 การวางแผน
แผนเป็นสิ่งที่แสดงให๎เห็นวําองค์การพยายามท่ีจะทาส่ิงที่ทาอยํูให๎ได๎ผลออกมาดีท่ีสุดและประสบ
ความสาเรจ็ ฉะนัน้ การวางแผนเป็นการตดั สนิ ใจลํวงหนา๎ กํอนเหตกุ ารณน์ ัน้ เกิดข้ึนจริง
การวางแผน (Planning) หมายถึง กระบวนการในการกาหนดวัตถุประสงค์ เพื่อการตัดสินใจ เพ่ือ
เลือกแนวทางในการทางานให๎ดที ส่ี ดุ สาหรบั อนาคตและใหอ๎ งค์การไดบ๎ รรลุตามวตั ถุประสงค์
ความสาคญั ของการวางแผน
1. เพอื่ ลดความไมแํ นนํ อนและความเสย่ี งให๎เหลอื นอ๎ ยท่สี ุด
2. สรา๎ งการยอมรบั ในแนวคดิ ใหมํ ๆ
3. เพือ่ ใหก๎ ารดาเนินงานบรรลุเปาู หมาย
4. ลดขั้นตอนการทางานทซ่ี บั ซ๎อน
5. ทาใหเ๎ กดิ ความชัดเจนในการทางาน
วตั ถปุ ระสงคใ์ นการวางแผน
1. ทาให๎รทู๎ ศิ ทางในการทางาน
2. ทาให๎ลดความไมแํ นํนอนลง
3. ลดความเสยี หายหรือการซ้าซ๎อนของงานท่ที า
4. ทาใหร๎ ู๎มาตรฐานในการควบคุมให๎เป็นไปตามท่ีกาหนด
ขอ้ ดีของการวางแผน
1. ทาให๎เกิดการปรับปรุงการทางานให๎ดีข้ึน
2. ทาใหเ๎ กิดการประสานงานดีย่ิงขึ้น
3. ทาใหก๎ ารปรบั ปรงุ และการควบคมุ ดีขน้ึ
4. ทาใหเ๎ กิดการปรับปรุงการบรหิ ารเวลาให๎ดีขน้ึ ซึ่งเปน็ สํวนทีส่ าคญั ที่สดุ ในการวางแผน
หลกั พ้ืนฐานการวางแผน
1. ตอ๎ งสนับสนนุ เปูาหมายและวตั ถปุ ระสงค์ขององคก์ าร
2. เปน็ งานอนั ดับแรกของกระบวนการจัดการ
3. เป็นหน๎าทข่ี องผูบ๎ รหิ ารทกุ คน
4. ตอ๎ งคานงึ ถงึ ประสิทธิภาพของแผนงาน
ตวั อย่างแผนการมีส่วนร่วมของประชาชน (คนเก็บขยะ)
การทางานของเทศบาลนครพิษณุโลก จะเน้นที่การมีส่วนร่วมของประชาชน2 นอกจากจะให๎
ประชาชนรํวมคิด เชํน การให๎ประชาชนมีสํวนในการทาแผนพัฒนาเทศบาลแล๎ว ยังได๎ขยายลงไปถึงการทา
แผนพฒั นาชมุ ชนประจาปี ซง่ึ เปน็ การจัดทาประชาคม ให๎สมาชิกในชุมชนมสี ํวนรํวมในการทาแผนพัฒนาชุมชน
ของตัวเองและได๎เรยี งลาดับความสาคญั หรือความต๎องการของชุมชนนนั้ ๆ
ประชาชนเข๎ามามีสํวนรํวมต้ังแตํข้ันตอนการวางแผน ทางเทศบาลได๎มีการจัดทาแผนเฉพาะการจัดการขยะ
มูลฝอยของเทศบาล โดยให้ประชาชนและผู้ท่ีเกี่ยวข้องท้ังหมดเข้ามามีส่วนร่วมในการทาแผน และได้เริ่ม
ขยายการจัดทาแผนการจัดการขยะมูลฝอยลงในชุมชนบางแหํง มีการอบรมให๎ความร๎ูด๎านการจัดการขยะมูล
ฝอยแกปํ ระชาชนในชุมชนและกลํุมตําง ๆ เชํน ชมรมสตรีอาสาพัฒนา กลํุมผู๎ประกอบการอาหาร สถานศึกษา
ในพ้ืนท่ี กลุํมเยาชน กลุํมออกกาลังกายเพ่ือสุขภาพ ฯลฯ พร๎อมทั้งขอความรํวมมือในการจัดการขยะมูลฝอย
เชํน ชวํ ยในการคดั แยกของขายได๎ (หรือขยะรีไซเคิล) ระดับครัวเรือน ชํวยคัดแยกขยะอินทรีย์หรือขยะชีวภาพ
64
ทาปุ๋ยหมักที่บ๎านหรือรํวมมือกันทาระดับชุมชน ชํวยจัดหาถังขยะของแตํละครัวเรือนเอง นาถังขยะออกมาให๎
สัมพันธ์กับเวลาจัดเก็บ ทาให๎ชุมชนปลอดถังขยะหรือถนนปลอดถังขยะ เทศบาลสามารถลดความถ่ีในการ
จัดเก็บขยะมูลฝอยลงได๎ บางชุมชนนัดหมายเทศบาลมาเก็บขยะสัปดาห์ละคร้ัง หรืออยํางน๎อยก็สามารถลดลง
ได๎เป็นวนั เวน๎ วนั ทง้ั ยงั ใหค๎ วามรํวมมืออยาํ งดีในการชาระคําธรรมเนียมขยะมลู ฝอย
ภาครฐั ควรใสใํ จและทาการประชาสมั พันธ์และรณรงค์ เพื่อส่ือสารทาความเข๎าใจกับประชาชน รวมท้ัง
ขอความรวํ มมือจากประชาชน ถ๎าประชาชนเข๎าใจและเห็นประโยชน์ที่จะเกิดข้ึนท้ังตํอตนเองและสํวนรวมแล๎ว
จะสํงผลให๎เกิดความรํวมมือเป็นอยํางดี ทาให๎การงานตําง ๆ สาเร็จลุลํวงตามวัตถุประสงค์ และกํอให๎เกิด
ประโยชน์ตํอทกุ ฝุาย
เรอ่ื งที่ 2 การมสี ว่ นร่วมในการวางแผนพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน สงั คม
การมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิดโอกาสให๎ประชาชนได๎มีสํวนรํวมในทุกข้ันตอนของ การพัฒนาท้ังใน
การแก๎ไขปัญหาและปูองกันปัญหา โดยเปิดโอกาสให๎มีสํวนรํวมในการคิดริเร่ิม รํวมกาหนดนโยบาย รํวม
วางแผน ตัดสินใจและปฏิบัติตามแผน รํวมตรวจสอบการใช๎อานาจรัฐทุกระดับ รํวมติดตามประเมินผล
รับผดิ ชอบในเรอ่ื งตําง ๆ อนั มผี ลกระทบกบั ประชาชน ชุมชนและเครอื ขํายทุกรูปแบบในพื้นที่
การมีส่วนร่วมของประชาชน (Public Participation) หมายถึง กระบวนการที่ประชาชนและผ๎ูท่ี
เกี่ยวข๎องมีโอกาสได๎เข๎ารํวมในการแสดงทัศนะ รํวมเสนอปัญหา ประเด็นสาคัญที่เก่ียวข๎อง รํวมคิดแนวทาง
รํวมแก๎ไขปัญหา และรํวมในกระบวนการตดั สนิ ใจประชาชนกบั การมสี ่วนร่วมในการพฒั นาสงั คม
มนุษย์ถูกจัดให๎เป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพท่ีสุดในสังคม และยังเป็นองค์ประกอบที่ถูกจัดให๎เป็นหนํวย
ยํอยของสังคม สังคมจะเจริญหรือมีการพัฒนาไปได๎หรือไมํขึ้นอยูํกับคุณภาพของประชาชนที่เป็นองค์ประกอบ
ในสงั คมน้นั ๆ
การท่ีสังคมจะพัฒนาได๎อยํางมีคุณภาพจาเป็นอยํางยิ่งที่จะต๎องเร่ิมต๎นที่จะทาการพัฒนาหนํวยที่ยํอยที่สุดของ
สังคมกํอน ซึ่งได๎แกํ การพัฒนาคน การพัฒนาในลาดับตํอมาเริ่มกันท่ีครอบครัว และตํอยอดไปจนถึงชุมชน
สงั คม และประเทศ
1. การพัฒนาตนเอง และครอบครัว
การพัฒนาตนเอง หมายถึง การพัฒนาตนเองด๎วยตนเอง หรือการสอนใจตนเองในการสร๎างอุปนิสัยท่ี
ดี ซงึ่ จะสงํ ผลให๎เกดิ ประโยชนต์ ํอตนเองและทาใหส๎ งั คมเกิดความสงบสขุ
การเปดิ โอกาสใหท๎ ุกคน ทกุ กลํุมในหมํูบ๎านมสี วํ นเกี่ยวข๎องในการตัดสินใจท่ีจะดาเนินการใด ๆ เพ่ือหมํูบ๎าน แตํ
ละคนตอ๎ งเข๎ามามีสํวนรํวม ซ่ึงลกั ษณะการทางานดงั กลาํ วจะมีลกั ษณะของ “ห๎ุนสํวน” ระหวํางเจ๎าหน๎าที่รัฐกับ
ประชาชน ซงึ่ จะเป็นผู๎ได๎รับผลจากการพัฒนา การทางานลักษณะน้ีจะต๎องอาศัยประชาชนทุกคนมามีสํวนรํวม
ตง้ั แตกํ ารตัดสินใจการดาเนนิ งาน การตรวจสอบผลงาน และการประเมินผลงาน ดังน้ันประชาชนแตํละคนต๎อง
เพิ่มความร๎ู ความสามารถพัฒนาตนเองให๎เป็นผู๎รอบร๎ู เพ่ือชํวยกันแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์แกํ
สวํ นรวม
การพัฒนาครอบครัว หมูํบ๎าน ตาบล อาเภอ จังหวัด และประเทศ การพัฒนาสังคมในหนํวยยํอย
นาไปสํูการพัฒนาสังคมที่เป็นหนํวยใหญํ มักจะมีจุดเริ่มต๎นท่ีเหมือนกันคือการพัฒนาที่ตัวบุคคล ซึ่งบุคคล
เหลํานี้จะกระจายอยํูตามสังคมตําง ๆ โดยเฉพาะอยํางย่ิงประชาชนจานวนมากมักจะอาศัยอยํูตามชนบท ถ๎า
ประชาชนเหลํานี้ได๎รับการพัฒนาให๎เป็นบุคคลที่มีจิตใจดีงาม มีความเอ้ือเฟ้ือ มีคุณธรรม ร๎ูจักการพ่ึงพาตนเอง
มีความรํวมมือรํวมใจ มีความคิดริเริ่มสร๎างสรรค์ มีความเช่ือม่ันในภูมิปัญญาของตนเอง และพร๎อมที่จะรับ
ความร๎ูใหมํ ๆ เชํน ด๎านวิชาการ วิชาชีพ หรือแม๎กระทั่งขําวสารข๎อมูลที่จะเป็นประโยชน์ตํอตนเองและสังคม
แล๎วประชาชนเหลําน้ีก็จะเป็นกลํุมคนท่ีมีคุณภาพและมีคุณคําตํอสังคมไทย ซึ่งสามารถเป็นตัวขับเคล่ือนความ
เจรญิ ก๎าวหนา๎ ใหแ๎ กํประเทศในอนาคต
65
การพัฒนา ไมํวําจะเป็นชนบทหรือในเมอื ง ถา๎ ได๎มีการฝึกให๎คนได๎มีความสามารถและมีการเรียนรู๎ที่จะ
เขา๎ มามีสํวนรํวมในการดาเนนิ งาน นับไดว๎ าํ เปน็ ปัจจยั พนื้ ฐานท่ีสาคญั ซ่ึงการพฒั นาคนทดี่ ีทสี่ ุดคือ การรวมกลุํม
ประชาชนให๎เป็นองค์กรเพ่ือพัฒนาคนในกลํุม เพราะกลํุมคนน้ันจะกํอให๎เกิดการเรียนรู๎ ฝึกการคิดและการ
แก๎ปัญหา หรอื กลมํุ ทฝ่ี ึกฝนด๎านบุคลิกภาพของคน ฝกึ ในการทางานรํวมกนั ซึง่ จะชํวยให๎คนได๎เกิดการพัฒนาใน
ด๎านความคดิ ทศั นคติ ความมีเหตุผล ซึง่ เปน็ รากฐานท่สี าคัญของระบอบประชาธิปไตย
2. การพัฒนาชมุ ชน และสังคม
การพัฒนาชุมชน และสงั คม หมายถึง การทากจิ กรรมท่ีมผี ลตํอคุณภาพชีวติ ของทุกคนในชุมชนรํวมกัน
ดังนั้นการพัฒนาชุมชนและสังคม จึงต๎องใช๎การมีสํวนรํวมของประชาชน รํวมกันคิดเก่ียวกับปัญหาตําง ๆ เชํน
ยาเสพตดิ สง่ิ แวดล๎อมที่ถกู ทาลาย ปญั หาที่ไมํพึงประสงคอ์ ื่นๆ ตัดสินใจรํวมกนั ในกิจกรรมที่เป็นปัญหาสํวนรวม
เหตทุ ี่ต๎องใหป๎ ระชาชนมามีสวํ นรวํ ม เนอ่ื งจากประชาชนรู๎วําความต๎องการของเขาคืออะไร ปัญหาคืออะไร และ
จะแกป๎ ัญหาน้นั อยํางไร ถ๎าประชาชนชํวยกันแก๎ปัญหา กจิ กรรมทุกอยํางจะนาไปสูคํ วามตอ๎ งการทีแ่ ท๎จริง
หลกั การพัฒนากับการมสี ว่ นร่วมของประชาชน
1. การมีส่วนรว่ มในการคน้ หาปญั หาและสาเหตขุ องปัญหา
เป็นข้ันตอนท่ีสาคัญท่ีสุด เพราะถ๎าประชาชนไมํสามารถเข๎าใจปัญหาและหาสาเหตุของปัญหาด๎วย
ตนเองได๎ กิจกรรมตําง ๆ ท่ีตามมาก็จะไมํเกิดประโยชน์ เนื่องจากประชาชนขาดความร๎ู ความเข๎าใจและไมํ
สามารถมองเห็นความสาคญั ของกจิ กรรมน้ัน
สิ่งที่สาคัญที่สุด คือ ประชาชนท่ีอยํูกับปัญหาและรู๎จักปัญหาของตนเองดีที่สุด แตํอาจมองปัญหาไมํ
ออกนั้น อาจจะขอความรํวมมอื จากเพ่ือนหรอื ข๎าราชการท่ีรับผิดชอบในเรื่องนั้น ๆ มาชํวยวิเคราะห์ปัญหาและ
หาสาเหตุของปัญหา
2. การมีสว่ นร่วมในการวางแผนการดาเนนิ งาน
ในการวางแผนการดาเนินงานหรือกจิ กรรม เจ๎าหน๎าที่ของรัฐควรที่จะต๎องเข๎าใจประชาชนและเข๎าไปมี
สํวนรํวมในการวางแผน โดยคอยให๎คาแนะนา ปรึกษา หรือชี้แนะกระบวนการดาเนินงานให๎กับประชาชน
จนกวําจะเสร็จสิ้นกระบวนการ
3. การมสี ว่ นร่วมในการลงทนุ และปฏบิ ัติงาน
เจ๎าหน๎าท่ีรัฐควรจะชํวยสร๎างแรงบันดาลใจและจิตสานึกให๎ประชาชน โดยให๎รู๎สึกถึงความเป็นเจ๎าของ
ให๎เกิดสานึกในการดูแลรกั ษาหวงแหนสงิ่ นน้ั ถา๎ การลงทุนและการปฏิบัติงานท้ังหมดมาจากภายนอก ในกรณีที่
เกิดความเสียหายประชาชนจะไมํร๎ูสานึกหรือเดือดร๎อนตํอความเสียหายท่ีเกิดข้ึน เพราะไมํเดือดร๎อนเน่ืองจาก
ไมใํ ชขํ องตนเอง จงึ ไมมํ ีการบารงุ รักษา ไมตํ อ๎ งหวงแหน
นอกจากจะมีการเข๎ามามีสํวนรํวมในการปฏิบัติงานด๎วยตนเอง จะทาให๎เกิดประสบการณ์ตรง โดยเรียนรู๎จาก
การดาเนินกิจกรรมอยํางใกล๎ชิดและสามารถดาเนินกิจกรรมชนิดนั้นด๎วยตนเองตํอไปได๎ นอกเหนือจากการ
พัฒนาตนเองในด๎านบุคลิกภาพ อารมณ์ สังคม สติปัญญาแล๎ว บุคคลควรมีคํานิยมที่เกื้อหนุนในการพัฒนา
สังคมอีกด๎วย ได๎แกํ การมีระเบียบวินัย ความอดทน ขยันขันแข็ง มานะอดออม ไมํสุรํุยสุรําย ซ่ือสัตย์ การ
เอื้อเฟื้อเผอื่ แผํ ตรงตํอเวลา
4. การมสี ว่ นร่วมในการติดตามและประเมินผลงาน
ควรให๎ประชาชนไดเ๎ ข๎ามามีสํวนรํวมในการติดตามและประเมินผลงาน เพ่ือท่ีจะสามารถบอกได๎วํางาน
ท่ีทาไปน้ันได๎รับผลดเี พียงใด กอํ ให๎เกิดประโยชน์หรอื ไมํ ดงั นัน้ ในการประเมินผลควรทจี่ ะต๎องมีทั้งประชาชนใน
ชมุ ชนน้นั และบคุ คลภายนอกชุมชนชวํ ยกันพิจารณาวํา กิจกรรมที่กระทาลงไปนั้นเกิดผลดีหรือไมํดีอยํางไร ซึ่ง
จะทาใหป๎ ระชาชนเหน็ คุณคําของการทากจิ กรรมน้ันรํวมกันตัวอย่างที่ 1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการ
อนรุ กั ษว์ ัฒนธรรม
66
ในการอนุรักษ์วัฒนธรรมด้ังเดิมของหมูํบ๎านวัฒนธรรมถลาง บ๎านแขนน หมํูบ๎านวัฒนธรรมถลาง
จงั หวัดภเู กต็ จดั เปน็ หมูํบ๎านที่สืบสานความร๎ูดั้งเดิมของภูเก็ตต้ังแตํสมัยท๎าวเทพกษัตริย์ตรี อีกทั้งวัฒนธรรมใน
การปรงุ อาหารซง่ึ เปน็ อาหารตารบั เจา๎ เมอื งในสมยั โบราณของภูเก็ต และศิลปวัฒนธรรมด๎านนาฏศิลป์ของภูเก็ต
เชนํ การรามโนราห์ ไดม๎ กี ารถํายทอดและเปิดโอกาสให๎ผู๎ท่ีสนใจเข๎ารํวมสืบสานวัฒนธรรมด้ังเดิม และสามารถ
ท่ีจะพัฒนาเป็นชุมชนท่ีมีความเข๎มแข็งซ่ึงเป็นผลสืบเน่ืองมาจากการสํงเสริมการมีสํวนรํวมของประชาชน ใน
การสืบสานวัฒนธรรมทอ๎ งถิน่ ให๎อยํูอยํางย่งั ยืน
ตวั อยา่ งท่ี 2 การมสี ว่ นร่วมของประชาชนในการอนรุ ักษส์ ่งิ แวดล้อมในเขตวนอุทยาน
แห่งชาติสิรนิ าถ จงั หวัดภูเก็ต
เป็นผลสบื เนือ่ งจากการบกุ รุกทาลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม โดยการเข๎าไปขุดคลอง การ
ปลํอยน้าเสียจากสถานประกอบการ สํงผลให๎ประชาชนที่อยูํบริเวณโดยรอบได๎รับผลกระทบเสียหาย จากการ
ทาลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม ทาให๎ประชาชนและภาครัฐได๎เข๎ามามีสํวนรํวมในการจัดระบบการ
บาบัดนา้ เสยี และการขุดลอกคคู ลอง เพ่ือปูองกนั และอนุรกั ษ์สง่ิ แวดลอ๎ มใหค๎ งอยํใู นสภาพทีเ่ ป็นธรรมชาติตํอไป
ตัวอย่างที่ 3 การบริหารจัดการของเสีย โดยเตาเผาขยะและการบาบัดของเสียของเทศบาลนคร
ภูเกต็ จงั หวดั ภเู ก็ต
สืบเน่ืองจากปริมาณขยะท่ีมีมากถึง 500 ตันตํอวัน ซึ่งเกินความสามารถในการกาจัด โดยเตาเผาที่มีอยูํ
สามารถกาจัดขยะได๎ 250 ตันตํอวัน หลุมฝังกลบของเทศบาลมีเพียง 5 บํอ ซึ่งถูกใช๎งานจนหมด และไมํ
สามารถรองรบั ขยะได๎อกี
ประชาชนไดเ๎ ข๎าไปมีสํวนรวํ มโดยให๎ความรวํ มมอื ในการคดั แยกขยะกํอนท้ิง ซง่ึ แยกตามลักษณะของขยะ เชํน
1. ขยะอินทรีย์ หรือขยะเปียกที่สามารถยํอยได๎ตามธรรมชาติ เทศบาลนครภูเก็ต ได๎นาไปทาปุ๋ยหมัก
สาหรบั เกษตรกร
2. ขยะรีไซเคลิ เชํน แกว๎ พลาสตกิ กระดาษ ทองแดง เป็นตน๎ นาไปจาหนาํ ย
3. ขยะอนั ตราย เชํน ถํานไฟฉาย หลอดไฟ เป็นตน๎ นาไปฝงั กลบและทาลาย
4. ขยะทั่วไปท่ีจะนาเขา๎ เตาเผาขยะเพอ่ื ทาลาย
ในการจดั กระบวนการดังกลาํ ว สํงผลให๎ประชาชนมสี วํ นรํวมในการสํงเสรมิ สิ่งแวดล๎อมท่ดี ีให๎กับจังหวัด
ภูเก็ต อีกท้ังเป็นการบูรณาการในการดาเนินกิจกรรมรํวมกันระหวํางสํวนราชการเทศบาลนครภูเก็ต และภาค
ประชาชน เป็นการสร๎างการมีสํวนรํวมระหวํางองค์กรปกครองสํวนท๎องถ่ินกับประชาชนในการรํวมกัน
สร๎างสรรค์สิง่ แวดล๎อมที่ดีตอํ กัน
67
ใบงานที่ 1
รายวิชา การพัฒนาตนเอง ชมุ ชน สังคม (สค31003) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย
..................................................................................................
ข้อ 1 ให๎ผู๎เรยี นแบํงกลํุม 3 – 4 คนตอํ 1 กลมุํ และให๎รวํ มกันศกึ ษารูปแบบขน้ั ตอนในการวางแผน โดย
ชวํ ยกนั ระดมความคดิ อภิปราย จากน้นั ทาการสรปุ และรวํ มกนั จัดทาแผนการพัฒนาชมุ ชน หรือหมํบู า๎ นของ
ผู๎เรยี น ใหม๎ คี วามเปน็ อยูํทด่ี ี โดยยดึ หลักเศรษฐกิจพอเพียง มากลุํมละ 1 แผน
ขอ้ 2 ให๎ผู๎เรียนศึกษาตัวอยาํ งของการมสี วํ นรํวมของภาคประชาชน ในการเข๎ารวํ มพัฒนาสังคม จากนนั้ ให๎
รวํ มกนั จดั ทาแนวทางการบริหารจดั การโดย การมสี ํวนรวํ มของประชาชนในดา๎ นตํอไปน้ี
1. การอนรุ ักษส์ งิ่ แวดล๎อม
2. การอนุรักษด์ า๎ นศิลปวฒั นธรรมไทย
3. การรณรงคป์ ูองกันยาเสพติด
4. การรณรงค์ปูองกันไขห๎ วัด 2009
5. การรณรงค์การเลือกใชผ๎ ลิตภณั ฑข์ องไทย
(ใหเ๎ ลอื กเฉพาะดา๎ นใดดา๎ นหน่ึงเทาํ นั้น)
70
แผนการจัดการเรยี นรู้ ครงั้ ท่ี 6
กลุ่มสาระการเรียนรู้ สาระ ทักษะการดาเนินชวี ิต รายวิชา เศรษฐกจิ พอเพียง สค31003
เนอ้ื หาการเรียนรู้ท่ี 4 เรื่อง ความพอเพียง และชุมชนพอเพียง
วนั ที่ เดือน พ.ศ. เวลา 09.00 น. -12.00 น. ถงึ 13.00 น.- 16.00 น.
1. มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ
มีความรู้ ความเข้าใจ เจตคติท่ีดีเก่ียวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และสามารถประยุกตใช
ในการดาเนนิ ชวี ติ ได้อย่างเหมาะสม
2. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
2.1 เพือ่ ให้ผเู้ รยี นสามารถอธบิ ายความสาคญั ของความพอเพียง และชุมชนพอเพยี งได้
2.2 เพื่อให้ผู้เรียนสามารถฝึกทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับความพอเพียง และชุมชนพอเพียงได้อย่าง
คลอ่ งแคล่ว
2.3 เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นสามารถสรา้ งความสามัคคี และตรงต่อเวลาในการปฏบิ ตั ิงานทไ่ี ดม้ อบหมายได้
3. สาระการเรียนรู้ สาระทักษะการดาเนินชวี ติ
4. ผลการเรียนรูท้ คี่ าดหวงั
4.1 ความสาคัญของความพอเพียง และชมุ ชนพอเพียง
4.2 ฝึกทกั ษะพ้นื ฐานเกยี่ วกบั ความพอเพยี ง และชมุ ชนพอเพียงไดอ้ ย่างคล่องแคล่ว
4.3 สามารถสร้างความสามัคคี และตรงต่อเวลาในการปฏิบัตงิ านทไ่ี ดม้ อบหมาย
5. กจิ กรรมการเรียนรู้
5.1 ขน้ั การกาหนดสภาพปญั หา (O : orientation)
ครูทักทายและสอบถามนักศึกษา อธิบายความสาคัญเกี่ยวกับ ความพอเพียง และชุมชน
พอเพยี ง
5.2 ข้นั การแสวงหาข้อมูลและการเรยี นรู้ (N : new way of learning)
5.2.1 นาเสนอกิจกรรมการเรยี นร้ตู อ่ เนื่อง (กรต.) และแลกเปลีย่ นเรยี นรรู้ ่วมกนั
กล่มุ ที่ 1 ความเปน็ มาความหมายหลักแนวคดิ ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
กล่มุ ท่ี 2 ความหมายโครงสร้างของชุมชน
กลมุ่ ท่ี 3 การพัฒนาชมุ ชน
5.3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้ ( I : implementation)
5.3.1 ให้นักศึกษาแลกเปล่ียนเรียนรู้ภายในกลุ่มตามใบงานท่ีได้รับ และส่งตัวแทนนาเสนอ
หน้าชั้นเรียน
5.3.2 ครแู ละนักศึกษารว่ มกนั สรุปองคค์ วามรรู้ ่วมกัน
5.3.3 ครใู ห้นักศึกษาแบ่งกลมุ่ มอบหมายงานการเรยี นรู้ต่อเนื่อง (กรต.) ออกเป็น 3 กล่มุ
กลุม่ ที่ 1 การจดั ทาแผนชุมชน
กลุ่มท่ี 2 สถานการณโ์ ลกปัจจบุ นั
กลมุ่ ที่ 3 สถานการณ์พลังงานโลก กับผลกระทบเศรษฐกจิ ไทย
5.4 ข้ันการประเมินผล (E : evaluation)
5.4.1 ประเมินผลจากการเรียนรู้ การนาเสนอโดยใช้กระบวนการกลุ่ม การรายงาน และ
การทาทดสอบยอ่ ย ทดสอบก่อนเรยี น การซักถาม และการสงั เกต
71
6. การวดั ผลประเมนิ ผล
6.1 การสังเกต
6.2 การนาเสนอ และการซกั ถาม
7.สอ่ื และวสั ดอุ ปุ กรณ์
7.1 ใบความรู้
7.2 ใบงาน
7.3 หนงั สอื เรียน
7.4 อนิ เทอรเ์ นต็
8. แหลง่ เรียนรู้
8.1 กศน.ตาบล
8.2 หอ้ งสมุดประชาชนอาเภอ
8.3 สถาบันศึกษาปอเนาะ
9. ตวั ช้วี ัดการเรยี นรู้
9.1 ร้อยละ 80 ของผู้เรียนสามารถอธิบายความสาคญั ของความพอเพียง และชุมชนพอเพยี งได้
9.2 ร้อยละ 80 ของผู้เรียนสามารถฝึกทักษะพื้นฐานเก่ียวกับความพอเพียง และชุมชนพอเพียงได้
อยา่ งคลอ่ งแคลว่
9.3 ร้อยละ 80 ของผเู้ รยี นสามารถสร้างความสามัคคี และตรงต่อเวลาในการปฏิบตั ิงานทไี่ ด้
มอบหมายได้
ลงช่อื ........................................................ครูผสู้ อน
(นายอาหามะ ตาเยะ)
ตาแหน่ง ครูกศน.ตาบล
72
ความคดิ เห็นหัวหน้างานการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ .............................................หัวหนา้ งานการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน
(นางมทั มา แวนาแว)
ตาแหน่ง ครูผู้ชว่ ย
ความคิดเห็นผู้บรหิ ารสถานศึกษา
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………….....…………………………………………………………………………………………….…
ลงช่ือ................................................ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา
(นางหทยั กาญจน์ วัฒนสทิ ธ์ิ)
ผ้อู านวยการศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอสุไหงปาดี
73
ใบความรทู้ ี่ 1
เรอื่ ง ท่ี 1 ความเปน็ มา ความหมายหลกั แนวคิด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พัฒนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพ่ือท่ีจะให้
พสกนิกรชาวไทย ได้เข้าถึงทางสายกลางของชีวิต และเพื่อคงไว้ซึ่งทฤษฎีของการพัฒนาที่ยั่งยืนทฤษฎีนี้
เป็นพน้ื ฐานของการดารงชวี ติ ซงึ่ อยู่ระหว่างสังคมระดบั ทอ้ งถิ่น และตลาดระดับสากลจุดเด่นของแนวปรัชญาน้ี
คือ แนวทางที่สมดุล โดยชาติสามารถทันสมัย และก้าวสู่ความเป็นสากลได้ โดย ปราศจากการต่อต้านกระแส
โลกาภิวัฒน์ ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งมคี วามสาคัญในช่วงปี พ. ศ. 2540 เมื่อปีท่ีประเทศไทยต้องการ รักษา
ความมั่นคง และเสถียรภาพ เพื่อท่ีจะยืนหยัดในการพ่ึงตนเอง และพัฒนานโยบายที่สาคัญ เพื่อการฟื้นฟู
เศรษฐกิจของประเทศ โดยการสร้างแนวคิดเศรษฐกิจท่ีพึ่งตนเองได้ ซ่ึงคนไทยจะสามารถเลี้ยงชีพ โดยอยู่บน
พ้ืนฐาน ของความพอเพียง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดาริ ว่า “มันไม่ได้มีความ
จาเป็นที่เราจะกลายเป็นประเทศ อุตสาหกรรมใหม่ (NIC ) “พระองค์ได้ทรงอธิบายว่า ความพอเพียงและการ
พ่ึงตนเอง คือทางสายกลางที่จะป้องกนั การเปลย่ี นแปลงความไม่ม่นั คงของประเทศได้
เรอ่ื งท่ี 2 ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง
“การพัฒนาประเทศจาเป็นต้องทาตามลาดับข้ัน ต้องสร้างพ้ืนฐาน คือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของ
ประชาชนส่วนใหญ่ เป็นเบื้องต้นก่อนโดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาเม่ือได้
พืน้ ฐาน มน่ั คง พร้อมพอควร และปฏบิ ัติไดแ้ ล้วจึงคอ่ ยสรา้ งค่อยเสรมิ ความเจริญและฐานะเศรษฐกิจข้ันท่ีสูงขึ้น
โดยลาดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญยกเศรษฐกิจข้ึนให้รวดเร็ว แต่ประการเดียว โดยไม่ให้
แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศ และของประชาชนโดยสอดคล้องด้วยก็จะเกิดความไม่สมดุลใน
เรือ่ งตา่ ง ๆ ข้ึน ซึง่ อาจกลายเปน็ ความย่งุ ยากล้มเหลวไดใ้ นท่ีสดุ ” พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญา
บัตร ของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดี ท่ี 1 8
กรกฎาคม พ. ศ.2517
“คนอ่นื จะว่าอย่างไร ก็ช่างเขาจะว่าเมืองไทยล้าสมัยว่า เมืองไทยเชยว่าเมืองไทยไม่มีส่ิงใหม่แต่เราอยู่
อย่างพอมีพอกิน และขอให้ ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกินมีความสงบช่วยกันรักษา
สว่ นรว่ มให้อยู่ทีพอสมควรขอย้าพอควรพออยู่พอกิน มีความ สงบไม่ให้คนอ่ืนมาแย่งคุณสมบัติไปจากเราได้”
พระราชกระแสรับสั่งใน เร่ืองเศรษฐกิจ พอเพียงแก่ผู้เข้าเฝ้าถวายพระพรชัย มงคล เนื่องในวันเฉลิมพระ
ชนมพรรษาแตพ่ ทุ ธศักราช 2517
“การจะเป็นเสือนั้น มันไม่สาคัญ สาคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบ
พอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ให้มีพอเพียงกับตัวเอง” พระราชดารัส “เศรษฐกิจ
แบบ พอเพียง” พระบาท สมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม
พ.ศ. 2540
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงปรับปรุงพระราชทานเป็นท่ีมาของนิยาม “ 3 ห่วง 2 เง่ือนไข” ท่ี
คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน เศรษฐกิจพอเพียงสานักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคม
แห่งชาตินามาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ปรัชญา ของ เศรษฐกิจพอเพียง ผ่านช่องทางต่าง ๆ อยู่ใน
ปัจจุบัน ซ่ึงประกอบด้วยความ “ พอประมาณ มีเหตุผลมีภูมิคุ้มกัน” บนเงื่อนไข “ ความรู้ และคุณธรรม”
อภิชัย พันธเสน ผู้อานวยการสถาบันการจัดการเพ่ือชนบท และสังคมได้ จัดแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่า
เปน็ “ ข้อเสนอในการดาเนนิ กจิ กรรมทางเศรษฐกิจตามแนวทางของพุทธธรรมอย่างแท้จริง” ท้ังนี้ เนื่องจากใน
พระราชดารัส หนึ่งได้ ให้ คาอธิบายถึงเศรษฐกิจพอเพียงว่า “ คือ ความพอประมาณ ซื่อตรงไม่โลภมาก
และต้องไม่เบียดเบียน ผู้อื่น” ระบบเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน
และใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียง และประหยัดตามกาลังของเงินของบุคคล น้ัน โดยปราศจากการกู้หนี้ยืม
74
สิน และถ้ามีเงนิ เหลอื ก็แบง่ เก็บออมไว้บางส่วนช่วยเหลือ ผู้อ่ืนบางส่วน และ อาจจะใช้จ่ายมาเพ่ือปัจจัย เสริม
อีกบางส่วน ( ปัจจัย เสริม ในที่น่ี เช่น ท่องเที่ยวความบันเทิง เป็นต้น) สาเหตุท่ีแนวทางการดารงชีวิต อย่าง
พอเพยี ง ไดถ้ ูกกล่าว ถงึ อย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการดารงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูก
ปลูกฝังสร้าง หรือกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย อย่างเกินตัวในเร่ืองท่ีไม่เกี่ยวข้อง หรือเกินกว่าปัจจัยในการ
ดารงชีวิต เช่น การบริโภค เกินตัวความบันเทิง หลากหลายรูปแบบความ สวยความงามการแต่งตัวตามแฟช่ัน
การพนัน หรือ เสี่ยงโชค เป็นต้น จนทาให้ไม่มีเงินเพียงพอ เพ่ือตอบสนองความต้องการเหล่านั้น
สง่ ผลให้เกดิ การกหู้ นี้ยมื สนิ เกดิ เปน็ วฏั จกั รทบี่ ุคคลหน่ึง ไม่สามารถหลุดออกมาได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแนวทางในการ
ดารงชวี ิต
75
ใบงานที่ 1
รายวชิ า เศรษฐกิจกพอเพียง (ทช31001) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย
..................................................................................................
ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มแลกเปล่ียนและวิเคราะห์ประเด็นภายในกลุ่มแล้วเลือกผู้แทนกลุ่มออกมานาเสนอตาม
ใบงานตอ่ ไปน้ี
1. ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึงอะไร
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................ ..................................
.............................................................................................. ................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................... ...................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................ ................................................................................... ...................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
2. เศรษฐกิจพอเพยี ง ท่านสามารถปรับใช้ในการดาเนนิ ชวี ิตอยา่ งไร
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................ ..................................
........................................................................................................... ...................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
................................................................................................................................. .............................................
...................................................................................... ........................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................... ...................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
76
..............................................................................................................................................................................
................................................ .......................................................................................................... ....................
..............................................................................................................................................................................
3. “การโฆษณาในจอทีวี และวิทยุปัจจุบัน ถ้ายังโฆษณากันอย่างบ้าเลือดอยู่อย่างน้ี จะไปสอนให้คนไม่ซ้ือ
ไม่จ่าย และให้บริโภคตามความจาเป็นได้อย่างไร ในเม่ือปล่อยให้มีการกระตุ้นการบริโภคแบบเอาเป็นเอาตาย
อยู่เช่นน้ี ผู้คนก็คิดว่า อะไรท่ีตัวเองต้องการต้องเอาให้ได้ ความต้องการถูกทาใหก้ ลายเปน็ ความจาเป็นไป
หมด”
...................................................................................... ............................................................................. ...........
................................................................................................................................................................. .............
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................... ..........................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................... .......................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
................................................................................................................... ...........................................................
..............................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................. ............................
...................................................................................................... ........................................................................
..............................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................... .........................................
77
4. ท่าน คดิ อย่างไร เกย่ี วกบั ประเดน็ ต่อไปน้ี
“ มีเรื่องจริงเกี่ยวกับน้าสาวกับหลานชายจากชายจากปลายทุ่งอยุธยาซ่ึงมีท้ังปลา และพืชผักพ้ืนบ้าน
อุดมสมบูรณ์ นา้ มีการศึกษาสูงจึงย้ายไปเป็นครูอยู่ในเมืองใหญ่เวลากลับไปเย่ียมบ้านเธอจะรับประทานอาหาร
จาพวกปลา และผักพื้นบ้านด้วยความพอใจ ส่วนหลานชายมักบ่นว่าปลา และผักพื้นบ้านเป็นอาหารล้าสมัย
หนุ่มน้อยคนน้ันจึงชอบขับมอเตอร์ไซค์เข้าไปในตลาด เพ่ือรับประทานอาหารทันสมัย ได้แก่ บะหมี่ สาเร็จรูป
น้าอัดลม ขนม กรบุ กรอบ”
............................................................................................................................................. .................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
................................................................................................................................ ..............................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................ ......................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................... ............................................................. ......
78
แผนการจดั การเรยี นรู้ ครงั้ ท่ี 7
กลุม่ สาระการเรยี นรู้ สาระ ทกั ษะการดาเนนิ ชวี ติ รายวิชา เศรษฐกจิ พอเพียง สค31003
เน้ือหาการเรียนรู้ท่ี 3 การแก้ปัญหาชุมชน 4. สถานการณ์ของประเทศไทย และสถานการณ์ โลกกับความ
พอเพียง
วันท่ี เดือน พ.ศ. เวลา 09.00 น. -12.00 น. ถงึ 13.00 น.- 16.00 น.
1. มาตรฐานการเรยี นรู้ระดับ
มีความรู้ ความเข้าใจ เจตคติที่ดีเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และสามารถประยุกตใช
ในการดาเนนิ ชีวติ ได้อย่างเหมาะสม
2. จุดประสงค์การเรยี นรู้
2.1 เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอธิบายความสาคัญของการแก้ปัญหาชุมชน สถานการณ์ของประเทศไทย
และสถานการณ์ โลกกับความพอเพยี งได้
2.2 เพื่อให้ผู้เรียนสามารถฝึกทักษะพื้นฐานเก่ียวกับการแก้ปัญหาชุมชน สถานการณ์ของประเทศไทย
และสถานการณ์ โลกกับความพอเพียงไดอ้ ย่างคลอ่ งแคลว่
2.3 เพ่ือใหผ้ ู้เรยี นสามารถสรา้ งความสามัคคี และตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั งิ านที่ไดม้ อบหมายได้
3. สาระการเรยี นรู้ สาระทักษะการดาเนินชวี ิต
4. ผลการเรียนรู้ท่คี าดหวัง
4.1 ความสาคัญของการแก้ปัญหาชุมชน สถานการณ์ของประเทศไทย และสถานการณ์ โลกกับความ
พอเพยี ง
4.2 ฝกึ ทักษะพืน้ ฐานเกย่ี วกบั การแก้ปัญหาชมุ ชน สถานการณ์ของประเทศไทย และสถานการณ์ โลก
กับความพอเพียงได้อย่างคล่องแคล่ว
4.3 สามารถสร้างความสามคั คี และตรงต่อเวลาในการปฏิบตั งิ านท่ไี ด้มอบหมาย
5. กจิ กรรมการเรยี นรู้
5.1 ขน้ั การกาหนดสภาพปัญหา (O : orientation)
ครูทักทายและสอบถามนักศึกษา อธิบายความสาคัญเกี่ยวกับ การแก้ปัญหาชุมชน
สถานการณข์ องประเทศไทย และสถานการณ์ โลกกับความพอเพยี ง
5.2 ขัน้ การแสวงหาข้อมลู และการเรยี นรู้ (N : new way of learning)
5.2.1 นาเสนอกิจกรรมการเรียนรตู้ อ่ เนื่อง (กรต.) และแลกเปลี่ยนเรียนรรู้ ่วมกนั
กลุ่มที่ 1 การจัดทาแผนชุมชน
กล่มุ ที่ 2 สถานการณโ์ ลกปัจจุบนั
กลมุ่ ท่ี 3 สถานการณ์พลังงานโลก กบั ผลกระทบเศรษฐกิจไทย
5.3 การปฏิบัติและการนาไปใช้ ( I : implementation)
5.3.1 ให้นักศึกษาแลกเปล่ียนเรียนรู้ภายในกลุ่มตามใบงานที่ได้รับ และส่งตัวแทนนาเสนอ
หนา้ ช้ันเรยี น
5.3.2 ครแู ละนักศกึ ษารว่ มกันสรุปองค์ความรู้ร่วมกัน
79
5.3.3 ครใู หน้ ักศึกษาแบ่งกลมุ่ มอบหมายงานการเรยี นร้ตู ่อเน่ือง (กรต.) ออกเปน็ 4 กลุ่ม
กลมุ่ ที่ 1 บญุ คณุ ของพระมหากษัตริยไ์ ทยต้ังแตส่ มยั สุโขทยั
กลมุ่ ที่ 2 บุญคุณของพระมหากษตั รยิ ์ไทยตงั้ แตส่ มยั อยธุ ยา
กลุม่ ที่ 3 บญุ คณุ ของพระมหากษัตรยิ ์ไทยตัง้ แตส่ มัยธนบรุ ี
กลุม่ ที่ 4 บุญคณุ ของพระมหากษัตริยไ์ ทยตง้ั แตส่ มยั รตั นโกสินทร
5.4 ขั้นการประเมนิ ผล (E : evaluation)
5.4.1 ประเมินผลจากการเรียนรู้ การนาเสนอโดยใช้กระบวนการกลุ่ม การรายงาน และ
การทาทดสอบยอ่ ย ทดสอบกอ่ นเรียน การซกั ถาม และการสังเกต
6. การวดั ผลประเมนิ ผล
6.1 การสังเกต
6.2 การนาเสนอ และการซกั ถาม
7.สอ่ื และวสั ดอุ ุปกรณ์
7.1 ใบความรู้
7.2 ใบงาน
7.3 หนังสอื เรียน
7.4 อนิ เทอร์เนต็
8. แหล่งเรยี นรู้
8.1 กศน.ตาบล
8.2 ห้องสมดุ ประชาชนอาเภอ
8.3 สถาบนั ศึกษาปอเนาะ
9. ตัวชี้วดั การเรียนรู้
9.1 ร้อยละ 80 ของผู้เรียนสามารถอธิบายความสาคัญของการแก้ปัญหาชุมชน สถานการณ์ของ
ประเทศไทย และสถานการณ์ โลกกับความพอเพียงได้
9.2 ร้อยละ 80 ของผู้เรียนสามารถฝึกทักษะพ้ืนฐานเกี่ยวกับการแก้ปัญหาชุมชน สถานการณ์ของ
ประเทศไทย และสถานการณ์ โลกกับความพอเพยี งได้อยา่ งคลอ่ งแคลว่
9.3 รอ้ ยละ 80 ของผู้เรยี นสามารถสร้างความสามคั คี และตรงต่อเวลาในการปฏิบัติงานที่ได้
มอบหมายได้
ลงชอ่ื ........................................................ครผู ู้สอน
(นายอาหามะ ตาเยะ)
ตาแหน่ง ครูกศน.ตาบล
80
ความคดิ เหน็ หวั หน้างานการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ.............................................หัวหนา้ งานการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน
(นางมทั มา แวนาแว)
ตาแหน่ง ครูผชู้ ่วย
ความคิดเห็นผู้บริหารสถานศึกษา
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………….....…………………………………………………………………………………………….…
ลงชือ่ ................................................ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา
(นางหทยั กาญจน์ วัฒนสทิ ธ์ิ)
ผู้อานวยการศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอสุไหงปาดี
ใบความรทู้ ่ี 1
เรอ่ื งท่ี 1 ปัญหาชุมชน
ในแต่ละชุมชนจะมีปัญหาที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับบริบทของชุมชน แต่โดยทั่วไป เราสามารถ
แบ่งปัญหาของชมุ ชน ออกในดา้ นตา่ ง ๆ ดงั นี้
81
1. ปัญหาดา้ นการศึกษา อาทิเช่น จานวนผู้ไม่รู้หนังสือ ระดับการศึกษาของประชาชนอัตราการศึกษา
ในระดับตา่ ง ๆ และแหลง่ เรียนรูใ้ นชมุ ชน เป็นตน้
2. ปัญหาด้านสุขภาพอนามัย ได้แก่ ภาวะทุโภชนาการ คนพิการ โรคติดต่อ โรคประจาตัว อัตราการ
ตายของทารกแรกเกิดสถานพยาบาลในชุมชน การรบั บริการดา้ นสาธารณสุข เป็นต้น
3. ปัญหาดา้ นสงั คม การเมือง การปกครอง ได้แก่ การเกิดอาชญากรรม แหล่งอบายมุข ความขัดแย้ง
ทางการเมอื ง กิจกรรมท่ีเกี่ยวขอ้ งกับการเลอื กตั้งในระดับต่าง ๆ
4. ปัญหาด้านส่ิงแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติได้แก่ ปัญหา มล ภาวะ ต่าง ๆ การ ทาลาย
ทรพั ยากรธรรมชาติ และ สง่ิ แวดลอ้ ม ของมูลฝอยกบั ธรรมชาติตา่ ง ๆ
5. ปัญหาด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ การสืบทอด อนุรักษ์และการปฏิบัติศาสนกิจของ
ประชาชน ทส่ี ่งผลถึง ความรัก และความสามัคคขี องคนในชาติ เช่น
- ดา้ นการศกึ ษา
- สขุ ภาพอนามัย
- ด้านสังคม/การเมืองการปกครอง
- สง่ิ แวดล้อม
- ศาสนาวัฒนธรรม คณุ ธรรม
ควรแยกปญั หาเปน็ ดา้ นๆ มากวา่ การยกมาเป็นอย่างๆ ให้ผู้เรียนจาแนกและค้นหาปัญหาในชุมชนของ
ตนเอง
แนวทาง การ แก้ปญั หา ชมุ ชน
เน้นเรื่องปัญหา เป็นการ เปล่ียนแปลง ที่ เอา ปัญหา มา เป็น ตัวตั้ง แล้ว หา แนวทาง จัดการ หรือ
แกป้ ัญหานัน้ ๆ ชุมชน เปลย่ี นแปลง ไป หรือไม่ อยา่ งไร ดู ที่ ปัญหา ว่า มี อยู่ และ แกไ้ ข ไป อย่างไร
เน้น เร่ือง อานาจ เป็นการ เปล่ียนแปลง ท่ี มอง ตัว อานาจ เป็นสาคัญ ชุมชน เปลี่ยนแปลง ไป
หรือไม่ อย่างไรดู ท่ี ใคร เป็น คน จัดการ อานาจ ใน การ เปลี่ยนแปลง อยู่ ที่ไหน ศักยภาพ ใน การ
เปลยี่ นแปลง เพ่ิมขน้ึ หรอื ไม่ และ สดุ ทา้ ย มี การ เปล่ียน โครงสรา้ ง อานาจ หรอื ไม่
เน้น การ พฒั นา เป็นการ เปล่ียนแปลง ท่ี เน้น ท่ี พลัง จาก ภายใน ชุมชน ดาเนินการ เปล่ียนแปลง
ชุมชน โดยการ ตดั สินใจ การ กระทาของ คนใน ชมุ ชน เอง ไม่ได้ ไป เปล่ียนที่ คน อ่ืน หาก เป็นการ เปล่ียนที่
ชุมชน และ ไม่ได้ เอาตัวปัญหา เป็น ตัวตั้ง แต่ เป็นความ พยายาม ท่ี จัด สร้าง ชุมชน ที่ พ่ึงตนเอง และ
สามารถ ยนื อยู่ ได้ ด้วย ตน เอง
เรือ่ งที่ 2 การจดั แผนชมุ ชน
การ แก้ปัญหา ชุมชน ท่ี เป็น รูปแบบ และ ขั้นตอน น่าจะ ใช้ การ แก้ปัญหา ใน รูปแบบ ชุมชนโดย
ชุมชน จะต้อง มีคณะ ทางาน ท่ี มาจาก หลาย ภาค ส่วน เข้ามา มี ส่วนร่วม ใน การ แก้ปัญหา ของ ชุมชน
ดว้ ย ตน เอง โดย นาเอาปญั หา และ ประการณ์ ของชุม ขน มา วิเคราะห์ จัด ลาดับ และ แนวทาง การ แก้ไข
มา ร่วมกัน พิจารณา ปัญหา ในบางเรื่อง ชุมชน สามารถ แก้ไข ได้ด้วย ตน เอง ปัญหา ใหญ่ๆ และ ซับซ้อน
อาจ ต้อง จัด ทาเป็น โครงการ ประสานงานหน่วยงาน องค์การ ภาครัฐ หรือ องค์กร ปกครอง ส่วน ท้องถ่ิน
หรือ หน่วยงาน ที่ มี การ รับผิดชอบ และ มี ศักยภาพโดย ตรง ตลอดจน โครงการ ของ รัฐบาล
การจัดทาแผน ชุมชน น่าจะเป็น เนื้อหา สาระ หนึ่ง ที่ ชุมชน จะ ต้อง ได้รับ การ ฝึกฝน เพราะ ใน
ปัจจุบนั น้ีทาง ราชการ ได้ ใช้ แนวทาง ของ แผน ชมุ ชน เป็นแนว ทางใน การ พัฒนา ไม่ว่า จะ เป็น โครงการ
กองทุน เศรษฐกิจ พอเพียง โครงการ SML และ โครงการ ของ องค์การ ต่าง ๆ แม้กระทั่ง องค์การ ปกครอง
สว่ น ท้องถิน่
เรอื่ งที่ 2 การ ประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพยี ง เพือ่ แก้ปญั หาชมุ ชน
82
ดา้ น จิตใจ มี จิต ใจเขม้ แข็ง พึง่ ตนเอง ได้ / มี จิตสานึก ท่ี ดี / เอ้อื อาทร / ประนปี ระนอม นึกถึง ผล
ประโยชน์ส่วนรวม เป็นหลัก
ดา้ นสงั คม ชว่ ยเหลือ เกอ้ื กูล กนั / รู้ รัก สามัคคี / สร้าง ความ เข้มแข็ง ให้ ครอบครัว และ ชมุ ชน
ด้านทรพั ยากรธรรมชาติแ ละสง่ิ แวดลอ้ม รูจ้กั ใช และ จดั การ อยาง ฉลาด และ รอบคอบ / เลือกใช้
ทรัพยากรทมี่ ีอยู่ อยา่ ง คมุ้ ค่า และ เกดิ ประโยชน์ สูงสดุ / ฟ้ืนฟู ทรัพยากร เพ่ือให้ เกิด ความ ย่ังยืน สูงสดุ
ด้าน เทคโนโลยี รจู้ ัก ใช้ เทคโนโลยี ที่ เหมาะสม สอดคล้องกับ ความ ต้องการ และ สภาพแวดลอ้ ม
(ภมู ิ สังคม) / พัฒนา เทคโนโลยี จาก ภูมิปัญญา ชาวบา้ น เอง ก่อน / ก่อ ให้ เกิด ประโยชน์ กับ คน หมู่ มาก
การประยุกต์ใช้ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง
- โดยพน้ื ฐานกค็ ือ การพึ่งพาตนเอง เป็นหลัก การทาอะไรเป็นข้นั ตอน รอบคอบ ระมัดระวงั - พิจารณาถึงความ
พอดี พอเหมาะพอควร ความสมเหตุสมผลและการพรอ้ มรับความเปล่ยี นแปลง
- การสร้างสามคั คีในเกดิ ขนึ้ บนพื้นฐานของความสมดลุ ในแต่ละสดั ส่วนแตล่ ะระดับ
- ครอบคลุมท้ังด้านจติ ใจ สงั คม เทคโนโลยที รัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ มรวมถงึ เศรษฐกจิ การ
5. จัดระเบียบชมุ ชน
1. การช่วยตนเอง (Self – help) หมายถงึ การเปลี่ยนแปลงที่ชมุ ชนคน้ หาปัญหา รับสมัครสมาชกิ และ
ใหบ้ ริการกนั เอง โดยรับความช่วยเหลอื จากภายนอกให้น้อยท่สี ดุ
2. การสรา้ งพนั ธมิตร (Partnership) หมายถงึ การเปล่ียนแปลงการดาเนนิ การโดยคนในชมุ ชนท่ีมี
ปัญหา รวมตัวกนั รบั ความชว่ ยเหลอื จากภายนอก โดยเฉพาะด้านการเงิน
3. การทางานรว่ มกนั (Co production) หมายถึงการจัดต้ังกลุ่มองค์กรในชมุ ชนขน้ึ มารับผิดชอบ
กิจกรรมรว่ มกับหนว่ ยงานภาครัฐ
4. การกดดัน (Pressure) หมายถึงการเปล่ยี นแปลงท่ีคนในชุมชนคน้ หาประเดน็ ปญั หาของตนมา
จดั การ แต่เปน็ การจดั การภายใตก้ ฎเกณฑ์ของบ้านเมือง ด้วยการโนม้ น้าวให้นักการเมอื งและขา้ ราชการ
เปลี่ยนแปลงนโยบาย
5. การประทว้ งคัดคา้ น (Protest) หมายถึงการรวมตวั กันของประชาชน และมกี ารจัดระเบียบที่มงุ่
กอ่ ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นอปลงระบบเศรษฐกจิ และการเมือง
ทาอยา่ งไรจึงจะจดั ชุมชนให้มีการทางานอยา่ งมีประสิทธิภาพ
กิจกรรมทช่ี ุมชนต้องรับผิดชอบคือ
- ตง้ั คณะกรรมการบริหาร
- ประเมนิ สภาพของชุมชน
- เตรียมแผนการปฏบิ ัตงิ าน
- หาทรพั ยากรที่จาเป็น
- ทาใหแ้ น่ใจวา่ กจิ กรรมของชุมชนทัง้ หมด จะต้องมกี ารติดตามและการบรหิ ารที่มีประสิทธภิ าพสูงสุด
สาหรบั การปฏบิ ัตงิ าน
การ ประเมิน สภาพ ชุมชน
- ชุมชน การ ดาเนิน กิจกรรม ของ ตน เอง โดย อิง ข้อมลู สารสนเทศ
- วิเคราะห์ ชุมชน หรือ เรื่องราว ของ ชุมชน คณะกรรมการ บริหาร จะ ต้อง ทาการ ประเมิน ด้วย
คณะกรรมการ เอง
- มอง ปัญหา และ หาทาง แก้ไข ทรัพยากร และ ขอ้ จากดั
- ประเมิน ส่งิ ท่ี ค้นพบ ให้ ผสม ผสาน กนั เปน็ องค์ รวม ทจ่ี ะ เสนอให้ ชุมชน ได้ รบั ทราบ
83
- การ ประเมิน เป็น ส่ิง ที่ ต้อง กระทาก่อน ที่จะ มี การ วางแผน ปฏิบัติ งาน ของ ชุมชน ให้ แน่ใจ
วา่ ชุมชน มีความ เข้าใจ ท่ี ถูกต้อง ตรงกัน กับ ส่ิง ท่ี คณะบริหาร ได้ สังเกต มา และ เป็น ความเห็น ร่วมกัน
เกยี่ วกับธรรมชาติ และ ขอบเขต ของ ปัญหา และ ศักยภาพ
การ เตรียม แผน ปฏบิ ัติ การ ชมุ ชน
- ชุมชน เปน็ ผู้ กาหนด อนาคต ของ ตน เอง
- การตดั สนิ สิง่ ทต่ี อ้ งการ เฝ้าสังเกต สงิ่ ทมี่ ีอยู่ และทาความเข้าใจขน้ั ตอนที่ต้องการเพื่อให้ได้ สิ่งท่ี
ตอ้ งการ ทง้ั หลาย ทั้งปวง คือ พืน้ ฐาน การ วางแผน
- เนอื้ แท้ ของ การ วางแผนการ จัดการ
เรา ต้องการ อะไร
เรา มี อะไร อยู่ ใน มือ
เรา จะ ใช้ ส่งิ ที่อยู่ ใน มือ อย่างไร ให้ ได้ สิ่ง ที่ เรา ต้องการ
อะไร จะ เกิดข้นึ เมื่อ เรา ทา
แผน ปฏิบัติ การ ของ ชุมชน ควร ชใี้ หเ้ ห็น ถงึ
- เด๋ยี วนี้ ชุมชน เปน็ อย่างไร
- เมอ่ื ส้ินสดุ แผน แล้ว ต้องการ ท่จี ะ เปน็ อยา่ งไร
- จะ ได้ อะไร จาก การ เปลี่ยนแปลง
- คณะกรรมการ บริหาร จะ เป็น ผู้ รา่ งแผน ปฏิบัติ จาก ขอ้ มูล สะท้อนกลับ ของ ชุมชน จาก การ
ประเมนิ
ปัจจบุ นั รา่ งแผนปฏบิ ัติ การ ควร นาเสนอ ตอ่ ชมุ ชน ท้งั หมด เพือ่ การ ปรบั แผน และ การ อนุมัติ
จาก ชมุ ชน
ใบงานท่ี 1
รายวิชา เศรษฐกิจกพอเพียง (ทช31001) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
..................................................................................................
84
ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มแลกเปลี่ยนและวิเคราะห์ประเด็นภายในกลุ่มแล้วเลือกผู้แทนกลุ่มออกมานาเส นอตาม
ใบงานต่อไปนี้
1. ท่าน คิด อย่างไร เก่ียวกบั ประเดน็ ต่อไปน้ี
“ มี เร่ืองจริง เก่ียวกับ น้าสาว กับ หลานชาย จาก ชาย จาก ปลาย ทุ่ง อยุธยา ซ่ึง มี ท้ัง ปลา และ
พืชผัก พ้ืนบ้าน อุดมสมบูรณ์ น้า มีการศึกษา สูง จึง ย้าย ไป เป็น ครู อยู่ ใน เมืองใหญ่ เวลา กลับ ไป เยี่ยม
บ้าน เธอ จะ รบั ประทาน อาหาร จาพวกปลา และ ผัก พื้นบ้าน ด้วย ความ พอใจ ส่วน หลานชาย มัก บ่น ว่า
ปลา และ ผัก พื้นบ้าน เป็น อาหาร ล้าสมัย หนุ่มน้อยคน นั้น จึง ชอบ ขับ มอเตอร์ไซค์ เข้าไป ใน ตลาด เพื่อ
รบั ประทาน อาหาร ทันสมัย ไดแ้ ก่ บะหม่ี สาเรจ็ รูป น้าอดั ลมขนม กรุบกรอบ ”
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
.......................................................................................................................................................................... ....
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
................................................................................................................................................................ ..............
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
...................................................................................................................................................... ........................
..............................................................................................................................................................................
2.
................................................................................................................... ...........................................................
....................................................................................................................................... .......................................
..............................................................................................................................................................................
......................................................................................................... .....................................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
.............................................................................................. ..................................................................... ...........
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
.................................................................................... ..................................................................... .....................
2. ให้ ผเู้ รยี น แบ่งกลุ่ม 5-10 ให้ วิจารณ์ สถานการโลก วา่ เหตุใดประเทศทม่ี ีความเจริญ ก้าวหนา้ อยา่ ง
ประเทศ สหรัฐอเมรกิ า จงึ ประสบปญั หา เศรษฐกจิ ตกต่า
................................................................................................................. .............................................................
85
..................................................................................................... .........................................................................
.................................................................................................................................................. ............................
...................................................................................................... ........................................................................
......................................................................................... .....................................................................................
..................................................................................................................................... .........................................
......................................................................................... .....................................................................................
............................................................................ .............................................................................................. ....
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................... .............................................................................................. .................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
.................................................. .............................................................................................. ..............................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
................................................................................................................................... ...........................................
...................................................................................................................... ........................................................
.................................................................................................................................................................. ............
...................................................................................................................... ........................................................
......................................................................................................... .....................................................................
..................................................................................................................................................... .........................
......................................................................................................... .....................................................................
............................................................................................ ..................................................................................
........................................................................................................................................ ......................................
87
แผนการจัดการเรยี นรู้ คร้งั ที่ 8
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ สาระ การพัฒนาสงั คม รายวิชา ประวัตศิ าสตรช์ าติไทย สค32034
เน้อื หาการเรยี นร้ทู ี่ 1 ความภูมิใจในความเป็นไทย
วันท่ี เดือน พ.ศ. เวลา 09.00 น. -12.00 น. ถึง 13.00 น.- 16.00 น.
1. มาตรฐานการเรียนรูร้ ะดบั
มคี วามรู้ ความเข้าใจ ตระหนักเกย่ี วกับภูมศิ าสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง
ในโลก และนาํ มาปรบั ใชใ้ นการดาํ เนินชวี ิต เพอ่ื ความม่ันคงของชาติ
2. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
2.1 เพือ่ ให้ผ้เู รยี นสามารถอธิบายความสาํ คญั ของความภมู ใิ จในความเป็นไทยได้
2.2 เพื่อใหผ้ เู้ รียนสามารถฝึกทักษะพืน้ ฐานเก่ยี วกบั ความภูมิใจในความเปน็ ไทยได้อย่างคล่องแคลว่
2.3 เพือ่ ใหผ้ ู้เรยี นสามารถสร้างความสามคั คี และตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ัติงานที่ได้มอบหมายได้
3. สาระการเรียนรู้ สาระการพัฒนาสังคม
4. ผลการเรยี นรู้ทคี่ าดหวัง
4.1 ความสําคัญของความภูมิใจในความเป็นไทย
4.2 ฝกึ ทกั ษะพนื้ ฐานเกย่ี วกับความภมู ใิ จในความเปน็ ไทยได้อยา่ งคล่องแคลว่
4.3 สามารถสร้างความสามคั คี และตรงต่อเวลาในการปฏิบัตงิ านท่ไี ด้มอบหมาย
5. กิจกรรมการเรยี นรู้
5.1 ขัน้ การกาหนดสภาพปญั หา (O : orientation)
ครทู ักทายและสอบถามนกั ศึกษา อธิบายความสําคัญเก่ยี วกับความภมู ิใจในความเปน็ ไทย
5.2 ข้นั การแสวงหาขอ้ มลู และการเรียนรู้ (N : new way of learning)
5.2.1 นําเสนอกิจกรรมการเรียนรตู้ อ่ เนอ่ื ง (กรต.) และแลกเปลี่ยนเรียนรรู้ ่วมกัน
กลุ่มท่ี 1 บญุ คณุ ของพระมหากษตั ริย์ไทยตง้ั แตส่ มัยสโุ ขทยั
กล่มุ ท่ี 2 บญุ คุณของพระมหากษตั ริย์ไทยตั้งแต่สมยั อยธุ ยา
กลุม่ ที่ 3 บญุ คุณของพระมหากษตั ริยไ์ ทยต้งั แตส่ มัยธนบรุ ี
กลมุ่ ท่ี 4 บญุ คณุ ของพระมหากษัตรยิ ไ์ ทยต้ังแตส่ มัยรตั นโกสินทร
5.3 การปฏบิ ัติและการนาไปใช้ ( I : implementation)
5.3.1 ให้นักศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในกลุ่มตามใบงานท่ีได้รับ และส่งตัวแทนนําเสนอ
หน้าช้นั เรียน
5.3.2 ครแู ละนักศึกษาร่วมกนั สรปุ องค์ความรรู้ ว่ มกัน
5.3.3 ครูใหน้ กั ศึกษาแบ่งกลุ่มมอบหมายงานการเรยี นรู้ต่อเนื่อง (กรต.) ออกเป็น 4 กลุม่
กลุ่มท่ี 1 ความหมาย ความสาํ คญั และประโยชนข์ องวิธกี ารทางประวัตศิ าสตร์
กลมุ่ ท่ี 2 วธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์
กลุม่ ที่ 3 พระราชกรณยี กิจของพระมหากษัตริย์ไทยสมัยรัตนโกสนิ ทร์
กลุ่มท่ี 4 คณุ ประโยชนข์ องบคุ คลสาํ คัญ
5.4 ขัน้ การประเมนิ ผล (E : evaluation)
5.4.1 ประเมินผลจากการเรียนรู้ การนําเสนอโดยใช้กระบวนการกลุ่ม การรายงาน และ
การทําทดสอบยอ่ ย ทดสอบก่อนเรียน การซักถาม และการสังเกต
88
6. การวดั ผลประเมนิ ผล
6.1 การสังเกต
6.2 การนาํ เสนอ และการซักถาม
7.สอ่ื และวัสดอุ ุปกรณ์
7.1 ใบความรู้
7.2 ใบงาน
7.3 หนงั สอื เรยี น
7.4 อนิ เทอรเ์ นต็
8. แหลง่ เรียนรู้
8.1 กศน.ตาํ บล
8.2 ห้องสมดุ ประชาชนอําเภอ
8.3 สถาบนั ศึกษาปอเนาะ
9. ตวั ชีว้ ัดการเรยี นรู้
9.1 ร้อยละ 80 ของผเู้ รียนสามารถอธบิ ายความสําคญั ของความภมู ใิ จในความเปน็ ไทยได้
9.2 ร้อยละ 80 ของผู้เรียนสามารถฝึกทักษะพ้ืนฐานเกี่ยวกับความภูมิใจในความเป็นไทยได้อย่าง
คลอ่ งแคลว่
9.3 รอ้ ยละ 80 ของผู้เรียนสามารถสรา้ งความสามัคคี และตรงต่อเวลาในการปฏบิ ตั ิงานท่ไี ด้
มอบหมายได้
ลงช่อื ........................................................ครผู ูส้ อน
(นายอาหามะ ตาเยะ)
ตาํ แหน่ง ครกู ศน.ตาํ บล
89
ความคิดเห็นหัวหน้างานการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื .............................................หัวหนา้ งานการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน
(นางมทั มา แวนาแว)
ตําแหนง่ ครูผชู้ ว่ ย
ความคิดเห็นผู้บรหิ ารสถานศึกษา
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………….....…………………………………………………………………………………………….…
ลงชื่อ................................................ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา
(นางหทัยกาญจน์ วฒั นสิทธิ์)
ผอู้ ํานวยการศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอําเภอสุไหงปาดี
90
ใบความรู้ท่ี 1
เรอื่ งท่ี 1 สถาบนั หลกั ของชาติ
สถาบันหลักของชาติ ประกอบด้วย ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันที่อยู่กับ
สังคมไทยมาช้านานโดยเฉพาะอย่างย่ิงสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นเสาหลักในการสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่น
เป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชน เป็นบ่อเกิดของความรัก ความสามัคคีนําพาประเทศชาติให้ผ่านพ้นภัย
นานาประการ ไม่ว่าจะเป็นภัยรุกรานของประเทศอื่น ภัยจากการล่าอาณานิคมและการแผ่ขยายลัทธิการ
ปกครอง อีกท้ังสถาบันพระมหากษัตริย์มีบทบาทสําคัญในการพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนในทั่วทุก
ภมู ิภาค โดยเฉพาะอย่างย่ิงในทอ้ งถ่ินทห่ี ่างไกลสง่ ผลใหม้ ีการยกระดับคณุ ภาพชีวิตของประชาชนในทุกมิติ และ
เปน็ รากฐานให้ประเทศชาติ
มคี วามมน่ั คงสืบมาจนถึงปจั จบุ นั ชนชาติไทยในอดีต จึงถือว่าสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ เป็นสถาบันสูงสุดของชาติ
ที่มีบทบาทสําคัญในการเป็นผู้นํา รวมประเทศชาติให้เป็นปึกแผ่น และพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ปกครอง
ดูแลและบริหารประเทศชาติโดยใช้หลักธรรม ท่ีเป็นคําสอนของศาสนา ด้วยความเข้มแข็งของสถาบัน
พระมหากษตั รยิ ์ ทม่ี คี วามศรทั ธาเล่อื มใสในสถาบันศาสนา ท่ีเป็นเสมือนเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจให้คนในชาติ
ประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีงาม เพราะทุกศาสนาล้วนแต่สอนให้คนประพฤติและคอยประคับประคองจิตใจให้ดี
งาม มีความศรัทธาในการบําเพ็ญตนตามรอยพระศาสดาของแต่ละศาสนา และเม่ือพระมหากษัตริย์เป็นผู้ที่
ประพฤติตนอยู่ในธรรม และปกครองแผ่นดินโดยธรรมแล้ว ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ต่างอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็น
สุข จงึ ทําใหส้ ถาบันชาติ ทเี่ ปน็ สัญลกั ษณ์เปรยี บเสมือนอาณาเขตผืนแผ่นดินท่เี ราอยอู่ าศัย มีความมั่นคง พัฒนา
และยืนหยดั ไดอ้ ยา่ งเทา่ เทียมอารยประเทศ ดงั นน้ั สถาบนั ชาติ สถาบนั ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ จึง
เป็นสถาบนั หลักของชาตไิ ทย ท่ไี มส่ ามารถแยกจากกันได้ สามารถยดึ เหนยี่ วจิตใจของปวงชนชาวไทยและคนใน
ชาติมาจวบจนทกุ วนั นี้ “ชนชาตไิ ทย” เปน็ ชนชาติท่มี รี ากเหงา้ ทางประวัติศาสตร์และความเป็นมาที่ยาวนานไม่
แพช้ าตใิ ดในโลก เรามีแผน่ ดนิ ไทยที่อดุ มสมบูรณ์ ในนา้ํ มีปลา ในนามขี ้าว มพี ชื พันธุ์ธัญญาหารท่ีอุดมสมบูรณ์ มี
ภูมิอากาศ และภูมิประเทศที่เป็นชัยภูมิ อากาศไม่ร้อนมาก ไม่หนาวมากมีความหลากหลายของแหล่ง
ทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ มีท่ีราบลุ่มแม่น้ําที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก มีภูเขา มีทะเลท่ีมีความ
สมดลุ และสมบรู ณ์เพยี บพรอ้ มเป็นท่ีหมายปอง
ของนานาประเทศ นอกจากน้ี ชนชาติไทยยังมีขนมธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมท่ีดีงามหลากหลาย
งดงาม เป็นเอกลักษณ์ของชาติที่โดดเด่น ซึ่งส่ิงเหล่านี้ลูกหลานไทยทุกคนควรมีความภาคภูมิใจท่ีได้เกิดมาเป็น
คนไทย ในแผ่นดินไทย แต่ก่อนท่ีจะสามารถรวมชนชาติไทยให้เป็นปึกแผ่น ทําให้ลูกหลานไทยได้มีแผ่นดิน
อาศยั อยอู่ ย่างรม่ เยน็ เปน็ สขุ หลายชวั่ อายุคนมาจวบจน
ทุกวนั นี้ บรรพบรุ ุษของชนชาติไทยในอดตี ท่านได้สละชีพเพ่อื ชาติ ใช้เลอื ดทาแผน่ ดิน ต่อสู้เพ่ือปกป้อง
ดินแดนไทย กอบกู้เอกราชด้วยหวังไว้ว่า ลูกหลานไทยต้องมีแผ่นดินอยู่ ไม่ต้องไปเป็นทาสของชนชาติอื่น ซึ่ง
การรวมตวั มาเปน็ ชนชาติไทยท่ีมที ง้ั คนไทยและแผ่นดินไทยของบรรพบุรุษไทยในอดีต ก็ไม่ใช่เรื่องท่ีสามารถทํา
ได้โดยง่าย ต้องอาศัยความรัก ความสามัคคี ความกล้าหาญ ความเสียสละอดทน และส่ิงที่สําคัญ คือ ต้องมี
ศูนย์รวมใจท่ีเป็นเสมือนพลังในการต่อสู้และผู้นําที่มีความชาญฉลาดด้านการปกครองและการรบ คือ สถาบัน
พระมหากษัตริย์ที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน และหากลูกหลานไทยและคนไทยทุกคนได้ศึกษาพงศาวดารและ
ประวตั ิศาสตร์ชาติไทย ก็จะเห็นว่า ด้วยเดชะพระบารมีและพระปรีชาสามารถของบูรพมหากษัตริย์ของไทยใน
อดีตทเี่ ป็นผ้นู าํ สามารถรวบรวมชนชาตไิ ทยให้เป็นปึกแผน่ แม้ว่าเราจะเคยเสียเอกราชและดินแดนมามากหมาย
หลายคร้งั บรู พมหากษัตริย์ไทยก็สามารถกอบกู้เอกราชและรวบรวมชนชาวไทยให้เป็นปึกแผ่นได้เสมอมา และ
เหนือส่ิงอื่นใดพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ เป็นพระมหากษัตริย์ท่ีปกครองประเทศชาติด้วยพระบารมีและ
ทศพธิ ราชธรรม ใชธ้ รรมะและคาํ สัง่ สอนของพระพุทธองค์มาเปน็ แนวในการปกครอง ทําให้คนในชาติอยู่ร่วมกัน
อย่างรม่ เย็นเปน็ สุข สมกบั คาํ ท่ีวา่ “ประเทศไทย เปน็ ประเทศแผ่นดนิ ธรรมแผ่นดินทอง”
91
แผ่นดินธรรม หมายถึง แผ่นดินที่มีผู้ปฏิบัติธรรม และการปฏิบัติธรรมน้ัน หมายถึงการปฏิบัติหน้าที่
อยา่ งถูกต้อง
แผ่นดินทอง หมายถงึ แผน่ ดนิ ที่ประชาชนได้รบั ประโยชน์ และความสุขอย่างทั่วถึงตามควรแก่อตั ภาพ
1.1 ชาติ
การจะรับรู้ความเข้าใจในความเป็นชาติหรือความรู้สึกท่ีหวงแหนความเป็นชาติได้นั้น ผู้เรียนมีความ
จาํ เป็นที่จะต้องเข้าใจบรบิ ทของความเปน็ ชาตเิ สยี ก่อน ดังนี้
1.1.1 ความหมาย ความสาคัญของชาติ
ชาติ หมายถึง กลุ่มคนที่มีภาษา วัฒนธรรม และเชื้อชาติ ประวัติศาสตร์เดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน มี
แผน่ ดนิ อาณาเขตการปกครอง ทเี่ ปน็ ระบบ เป็นสัดส่วน มีผู้นําหรือรัฐบาลท่ีใช้อํานาจ หรือมีอํานาจอธิปไตยที่
นํามาใช้ในการปกครองประชาชนตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน กล่าวว่า ชาติ หมายถึง ประเทศ
ประชาชนที่เป็นพลเมืองของประเทศ กลุ่มชนท่ีมีความรู้สึกในเรื่องเช้ือชาติ ศาสนา ภาษา ประวัติความเป็นมา
ขนบธรรมเนียมประเพณี และวฒั นธรรมอย่างเดียวกันหรืออยู่ในปกครองรฐั บาล
เดยี วกัน
“ความจงรักภักดีต่อชาติน้ัน คือ ความสานึกตระหนักในคุณของแผ่นดินอันเป็นท่ีเกิดที่อาศัย ซ่ึงทาใหบบุคคล
เกิดความภูมิใจในชาติกาเนิดและมุ่งม่ันที่จะธารงรักษาประเทศชาติไวบ ใหบเป็นอิสระม่ันคงตลอดไป” พระบรม
ราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณและสวนสนามของทหาร
รักษาพระองค์ ณ ลานพระราชวงั ดุสติ 3 ธนั วาคม พ.ศ. 2529
เม่ือพิจารณาคําท่ีมีความหมายใกล้เคียงกันน้ันก็จะพบว่าคําว่า “ชาติ” นั้น ใกล้เคียงกับคําว่า“ประเทศ” หรือ
คําว่า “รัฐ” อยู่ไม่น้อย คือ หมายถึง ชุมนุมแห่งมนุษย์ซึ่งต้ังอยู่ในดินแดนที่มีอาณาเขตแน่นอน มีอํานาจ
อธปิ ไตยทีจ่ ะใช้ได้อย่างอสิ ระ และมกี ารปกครองอย่างเป็นระเบียบเพื่อประโยชน์ของบรรดามนุษย์ทอี่ ยรู่ ่วมกนั
1.1.2 ความเปน็ มาของชนชาติไทย
เป็นส่ิงท่ีต้องทําความเข้าใจก่อนท่ีเก่ียวข้องกับความเป็นมาของชนช าติไทยน้ันยังไม่มีการสรุปเป็น
ประเด็นที่สามารถยืนยันได้ชัดเจน เพราะการพิจารณาความเป็นมาของชนชาติไทยนั้น ต้องพิจารณาจาก
หลักฐานหรืองานวิจัย การค้นคว้าทางวิชาการท่ีหลากหลายจากนักวิชาการไทยและต่างประเทศ อีกท้ังยังต้อง
พิจารณามติ ทิ างเอกสาร โบราณคดี เชื้อชาติหรอื ชาติพันธ์ุ ภาษา และวัฒนธรรม ดังนี้
1) สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ข้อมูลท่ีปรากฏในพระนิพนธ์เรื่อง “แสดง
บรรยายพงศาวดารสยาม และลักษณะการปกครองสยามแตโ่ บราณ” เป็นการนาํ ขอ้ มูลของนักวิชาการตะวันตก
มาประกอบ สรุปว่าถ่ินดั้งเดิมของชนชาติไทยอยู่ทางตอนใต้ของจีน แถบมณฑลยูนนาน กว่างโจว กวางสี
จนกระท่ังจีนแผ่อิทธิพลทางการปกครองลงมา จนทําให้ผู้คนในบริเวณนั้นต้องอพยพลงมาถึงบริเวณลุ่มแม่น้ํา
เจ้าพระยาตอนบน
2) หลวงวิจิตรวาทการ ขอ้ มูลท่เี สนอผ่านผลงานเร่ือง “งานค้นคว้าเรื่อง ชนชาติไทย” ได้อธิบายว่าถิ่น
เดิมของชนชาติไทยอยู่บริเวณตอนกลางของจีนแถบมณฑลเสฉวนตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายตั้งแต่แนวแม่น้ํา
พรหมบุตรไปจนถงึ ทะเลจีนใต้แถบอ่าวตังเก๋ยี
3) ข้อมูลของจิตร ภูมิศักดิ์ ผ่านผลงานเร่ือง “ความเป็นมาของคําสยามไทยลาว และขอม และ
ลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ” ได้ศึกษาผ่านการวิเคราะห์ภาษา และตํานานท้องถ่ินของภาคเหนือ ได้
สรุปวา่ ถิ่นกําเนดิ ของคนไทยน้ันครอบคลมุ บรเิ วณกว้างใหญท่ างตอนใต้ของจนี เวยี ดนาม ลาว เขมร ภาคเหนือ
ของไทย พมา่ ไปจนถึงรฐั อัสสัมของอนิ เดีย เนอ่ื งจากมพี ื้นฐานทางนิรกุ ตศิ าสตรท์ ีค่ ลา้ ยคลึงกนั
4) ข้อมูลของศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร นักวิชาการคนสําคัญของประเทศไทย ท่านได้ศึกษา
วิเคราะห์จากหลักฐานของชาวตะวันตกท้ังทางด้านภาษาศาสตร์ประวัติศาสตร์ โบราณคดี และมานุษยวิทยา
รวมไปถึงการลงพ้ืนที่ด้วยตนเอง ได้สรุปไว้ว่า ถิ่นเดิมของคนไทยน่าจะอยู่บริเวณมณฑลกวางสี ทางใต้ของจีน
92
เน่ืองจากในเขตดังกล่าวเป็นพ้ืนที่กลุ่มชนที่มีความหลากหลายท้ังทางวัฒนธรรมและประเพณีข้อมูลประวัติ
ความเปน็ มาส่วนใหญ่จะอธิบายใกล้เคียงกนั ในลักษณะของการอพยพลงใต้จากจีน แล้วแผ่ขยายลงหลักปักฐาน
อยู่ในบริเวณกว้างทางภาคเหนือของไทยเกิดเป็นเมืองและเมืองขนาดใหญ่ท่ีขยายตัวเป็นอาณาจักรตามมา
กล่าวอีกนัยหน่ึง ตั้งแต่ท่ีสมัยไทยอพยพลงมานั้นดินแดนแหลมทองเป็นท่ีอยู่ของชนชาติมอญ ละว้าของขอม
พวกมอญอยู่ทางตะวนั ตกของ
ลุ่มแมน่ าํ้ เจา้ พระยาไปจรดมหาสมุทรอินเดีย พวกละว้ามีอาณาเขตอยู่ในบริเวณภาคกลาง มีเมืองนครปฐมเป็น
เมืองสําคัญพอถึงพุทธศตวรรษที่ 14 ขอมซึ่งอยู่ทางตะวันออกมีอํานาจมากขึ้นเข้ายึดเอาดินแดนพวกละว้าไป
ไว้ในอาํ นาจ แล้วแบง่ การปกครองเป็น 2 ส่วน คอื สว่ นภาคเหนือ และสว่ นภาคใต้ ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 16
สมดุลอํานาจในการแย่งชิงพ้ืนท่ีได้เปลี่ยนแปลงไป มอญกับขอมสู้รบกันจนเส่ือมอํานาจลง และในช่วงเวลาน้ัน
สโุ ขทยั ไดป้ รากฏขึน้ มาอย่างชัดเจนในหนา้ ประวัติศาสตร์ไทย
จากร่องรอยหลักฐานทางเอกสารทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ มีการยืนยันและเชื่อว่าประวัติศาสตร์ของ
ชนชาติไทยในแหลมทอง (Golden Khersonese) เร่ิมต้นเม่ือประมาณ พ.ศ. 800 (พุทธศตวรรษท่ี 8 - 12)
เป็นต้นมา โดยมีดินแดนของอาณาจักรและแคว้นตา่ ง ๆ เช่น อาณาจักรฟนู ัน ตั้งอยู่บริเวณทางทิศตะวันตกและ
ชายทะเลของอา่ วไทย และมอี าณาจกั รหริภุญชยั ทางเหนอื
อาณาจักรศรีวิชัยทางใต้ และมีอาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษท่ี 12) บริเวณลุ่มแม่น้ําเจ้าพระยาตอนล่าง
เป็นตน้ และไดร้ วมตัวเป็นปึกแผ่น มีพระมหากษัตริย์ได้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของชน
ชาติไทย ราวปี พ.ศ. 1762 โดยพ่อขุนศรีนาวนําถม พระราชบิดาของพ่อขุนผาเมืองเป็นผู้ปกครองอาณาจักร
จากหลักฐานและข้อมูลข้างต้นน้ี รวมถึงสมมติฐานของแหล่ง อารยธรรมต่าง ๆ ของโลก ซึ่งส่วนใหญ่
แหลง่ กําเนิดของชนชาตกิ ลุ่มในอดีตจะอยู่บริเวณลุ่มแม่นํ้า อาทิ แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ต้ังอยู่บริเวณท่ี
ราบลุ่มระหว่างแม่นํ้าไทกริส (Tigris) ทางตะวันออก และแม่น้ํายูเฟรติส(Euphrates) ทางตะวันตกหรือ
อารยธรรมอินเดียโบราณหรืออารยธรรมลุ่มแม่น้ําสินธุ ต้ังอยู่บริเวณลุ่มแม่นํ้า เป็นต้น ดังนั้น จึงมีความเป็นไป
ไดท้ ช่ี นกลุม่ ตา่ ง ๆ ท่ีเคยอาศัยในลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยาหรือบริเวณรอบอ่าวไทย มีการรวมตัวกันเป็นปึกแผ่น
มกี ารพฒั นาเป็นชุมชน สังคม และเมอื งจนกลายมาเปน็ อาณาจกั รตา่ ง ๆ ของชนชาติไทยตามพงศาวดาร
1.1.3 การรวมไทยเปน็ ปกึ แผ่น
ภายหลงั การล่มสลายของอาณาจักรอยุธยา ใน พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้พยายามกอบ
กเู้ อกราชและศกั ด์ิศรีของอาณาจกั รกลบั คืนมา หลังจากการสถาปนาอาณาจักรธนบุรีข้ึน ต้องเผชิญกับสงคราม
ภายนอกจากกองทัพพม่า และสงครามภายใน คือการปราบชุมนุมท่ีแย่งชิงความเป็นใหญ่แตกกันเป็นก๊กเป็น
เหล่า ช่วงเวลาผ่านไปจนถึง พ.ศ. 2325 อาณาจักรรัตนโกสินทร์เป็นแผ่นดินไทยที่พอจะเรียกได้ว่า “เป็น
ปึกแผ่น” ข้ึนมาบ้าง ถึงแม้ว่าในเวลาต่อมาจะเกิดสงครามเก้าทัพที่เป็นศึกใหญ่ในสมัยรัตนโกสินทร์ แต่ก็ถือว่า
เปน็ ชว่ งแห่งสนั ตสิ ขุ มาได้ยาวนานความเป็นปึกแผ่นของความม่ันคงของสยามเด่นชัดมากขึ้นในสมัยจอมพล ป.
พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีการเปล่ียนช่ือประเทศจากสยาม เป็น “ไทย” กล่าวอีกนัยหน่ึง “การสร้าง
ชาติ” ได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ในยุคสมัยน้ี คือ มีครบทั้งอาณาเขต ดินแดน ประชากร อํานาจอธิปไตย รัฐบาล
ไปจนถงึ สัญลกั ษณข์ องชาติท่ีแสดงถึงเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทย เช่น ภาษาไทย และธงชาติไทย เป็นส่ิงสําคัญท่ี
ผู้คนในยุคปัจจุบันจะต้องอนุรักษ์หวงแหนให้สามารถดํารงสืบไปในอนาคตแหล่งกําเนิดของชนชาติไทย จะ
อพยพมาจากท่ีใด จะมีการพิสูจน์หรือได้รับการยอมรับหรือไม่ คงไม่ใช่ประเด็นสําคัญที่จะต้องพิสูจน์หาความ
จริง คงปล่อยให้เป็นเร่ืองของนักประวัติศาสตร์หรือนักวิชาการ แต่ความสําคัญอยู่ที่ลูกหลานคนไทยทุกคนที่
อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินไทย ต้องได้เรียนรู้และต้องยอมรับว่า การรวมชนชาติไทยให้เป็นปึกแผ่น และอยู่สุข
สบายจนถงึ ปัจจุบันน้ี คนไทยและลูกหลานไทยทุกคนต้องตระหนักถึงบุญคุณของบรรพบุรุษไทยและพระปรีชา
สามารถของบูรพมหากษัตริย์ไทยในอดีตที่สามารถรวบรวมชนชาวไทย ปกป้องรักษาเอกราชและรวบรวมชาติ
ไทยให้เป็นปึกแผ่น จึงเป็นพระราชกรณียกิจที่สําคัญของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต ซ่ึงหากจะย้อนรอยไป
93
ศึกษาพงศาวดารฉบับต่าง ๆ รวมถึงประวัติศาสตร์ชาติไทย ต้ังแต่ยุคก่อนการสถาปนากรุงสุโขทัย ให้เป็นราช
ธานีแห่งแรกของชนชาวไทยแล้ว การสถาปนาราชธานีทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าจะเป็นการสถาปนากรุงศรีอยุธยา
กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ รวมไปถึงการกอบกู้เอกราชหลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาทั้ง 2 ครั้ง ล้วนเป็น
วรี กรรมและบทบาทอนั สําคญั ของพระมหากษตั รยิ ์ไทยทง้ั สิ้น
1.1.4 พระมหากษัตรยิ ์ไทยกับการรวมชาติ
การรวมชาติไทยให้เป็นปึกแผ่น เป็นบทบาทที่สําคัญของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต หากรัฐใดแคว้น
ใด ไม่มีผู้นําหรือพระมหากษัตริย์ท่ีเข้มแข็ง มีพระปรีชาสามารถท้ังด้านการรบการปกครองรวมถึงด้านการค้า
เศรษฐกิจการคลัง รัฐนั้นหรือแคว้นนั้น ย่อมมีการเส่ือมอํานาจลงและถูกยึดครองไปเป็นเมืองขึ้นหรือประเทศ
ราชภายใต้การปกครองของชนชาติอ่ืน การถูกยึดครอง หรือไปเป็นเมืองข้ึนภายใต้การปกครองของอาณาจักร
อื่นในอดีต สามารถทําได้หลายกรณี อาทิ การยอมสิโรราบโดยดี โดยการเจริญไมตรีและส่งบรรณาการถวาย
โดยไม่มีศึกสงครามและการเสียเลือดเนื้อ สถาบันพระมหากษัตริย์ ได้มีบทบาทสําคัญในการรวมชาติให้เป็น
ปึกแผ่น รวมถึงการปกป้องประเทศชาติและมาตุภูมิสืบไว้ให้ลูกหลานไทยได้มีแผ่นดินอยู่ ซ่ึงหากชนชาติไทยใน
อดตี ไมม่ ีผนู้ ําหรือ
กษัตริยท์ ม่ี ีพระปรีชาสามารถ ในวนั นอี้ าจไม่มีชาตไิ ทยหลงเหลืออยู่ในแผนที่โลก หรือชนชาติไทยอาจต้องตกไป
อยู่ภายใตก้ ารปกครองของชาตใิ ดชาตหิ นึ่ง
บทบาทของพระมหากษัตรยิ ไ์ ทยในการรวมชาติ
บทบาทของพระมหากษัตริย์ไทยในการรวมชาติ ในสมัยรัชกาลท่ี 1 ถึง รัชกาลท่ี 3 หรือในสมัย
รัตนโกสินทร์ตอนต้นน้ัน ความเป็นปึกแผ่นม่ันคงของอาณาจักรเกิดข้ึนจากการปรับปรุงการปกครอง ประมวล
กฎหมายการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม ทํานุบํารุงพระพุทธศาสนา เกิดเป็นยุคทองของการฟื้นฟูวรรณคดี
นาฏศิลป์ ดนตรีไทย การค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความเจริญรุ่งเรืองโดยเฉพาะกับจีน เกิดเป็น
“เงินถงุ แดง” ทีน่ าํ มาใช้ในช่วงวกิ ฤตของประเทศภายหลังความพ่ายแพ้ของอาณาจักรพม่า และราชวงศ์ชิงของ
จีนในการทําศึกกบั อังกฤษ พระมหากษตั ริย์ไทยในชว่ งเวลาน้ันได้ตระหนักถึงภัยของ “ลัทธิล่าอาณานิคม” เป็น
อยา่ งดีและทรงตระหนกั ว่าสยามนต้ี อ้ งมกี ารปรบั ตัวและพัฒนาตนเองให้รอดพ้นจากภัยร้ายจากการคุกคามของ
ชาตติ ะวนั ตกที่เดน่ ชัดเร่มิ ต้นเมื่ออังกฤษเข้ามาขอทําสนธิสัญญาเบาว์ริงกับสยาม ในสมัยรัชกาลที่ 4 ต่อมาเกิด
วิกฤต ร.ศ. 112 ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระเจ้านโปเลียนที่ 3 แห่ง ฝรั่งเศสนําเรือปืนเข้ามาถึงแม่น้ําเจ้าพระยา
ใกล้พระบรมมหาราชวัง บบี บงั คบั ใหส้ ยามยกดินแดนฝ่ังซ้ายของแม่น้ําโขงให้อยู่ใต้อาณัติของฝรั่งเศส พร้อมท้ัง
เรียกร้องค่าเสียหายด้วยจํานวนเงินกว่า 2 ล้านฟรังก์ เป็นอีกคร้ังท่ีอิสรภาพของสยามอยู่ในจุดท่ีอาจตกเป็น
เมืองขนึ้ หรอื อาณานิคมของมหาอาํ นาจตะวนั ตกในช่วงเวลาดังกล่าวแมว้ า่ จะมีภัยรอบด้าน อริราชศัตรูเก่าอย่าง
พม่า หรือญวนพ่ายแพ้แก่ชาติตะวันตกไปแล้ว ถึงกระน้ันสยามกลับมีความเป็น “ปึกแผ่น” อย่างท่ีไม่เคยมีมา
ก่อนผ่านการเป็น “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” ของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ท่ีอํานาจของ
กษัตริย์ช่วยดลบันดาลให้เกิดความผาสุกของราษฎร เกิดเป็นการ “เลิกระบบไพร่ทาส”ในสมัยรัชกาลที่ 6
ความเป็นชาติได้เดน่ ชัดขนึ้ ชอ่ื ของประเทศสยามไดร้ ับการยอมรบั
ว่าทัดเทียมกับหลายชาติตะวันตก เมื่อทรงส่งทหารอาสาชาวสยามเข้าร่วมสงครามโลก คร้ังท่ี 1 ในภาคพ้ืน
ยุโรป สถาบนั หลกั ของประเทศ คอื ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็เกิดข้ึนในสมัยนี้สัญลักษณ์ของชาติ เช่น ธง
ไตรรงค์กเ็ กิดข้นึ เพอื่ เปน็ ตัวแทนของชาติสยามในโอกาสตา่ ง ๆ
94
ใบงานที่ 1
..................................................................................................
ใหผ้ ู้เรยี นศกึ ษากจิ กรรม บญุ คุณของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมยั สโุ ขทัย อยุธยา ธนบุรีและรตั นโกสนิ ทร์
มาพสังเขป
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
.............................................................................................. ................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................... ...................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................ ................................................................................... ...................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................ ..................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
........................................................................................................................... ...................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................... ....................
..............................................................................................................................................................................
...................................................................................................... ............................................................. ...........
95
96
แผนการจัดการเรียนรู้ ครงั้ ที่ 9
กลุม่ สาระการเรียนรู้ สาระ การพฒั นาสังคม รายวชิ า ประวตั ศิ าสตรช์ าติไทย สค32034
เนอ้ื หาการเรยี นรู้ที่ 2 การประยุกตใ์ ช้วิธกี ารทางประวตั ิศาสตร์ 3 พระราชกรณยี กิจของพระมหากษัตรยิ ไ์ ทย
สมยั รัตนโกสนิ ทร์
วันที่ เดอื น พ.ศ. เวลา 09.00 น. -12.00 น. ถงึ 13.00 น.- 16.00 น.
1. มาตรฐานการเรยี นรูร้ ะดับ
มีความรู้ ความเข้าใจ ตระหนักเก่ียวกับภมู ิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง
ในโลก และนามาปรบั ใชใ้ นการดาเนนิ ชีวติ เพอ่ื ความม่ันคงของชาติ
2. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
2.1 เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถอธิบายความสาคัญของการประยุกต์ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ และพระ
ราชกรณยี กิจของพระมหากษัตรยิ ไ์ ทยสมยั รตั นโกสินทร์ได้
2.2 เพือ่ ให้ผู้เรียนสามารถฝกึ ทักษะพ้นื ฐานเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ และพระ
ราชกรณียกจิ ของพระมหากษตั ริยไ์ ทยสมัยรัตนโกสินทร์ได้อยา่ งคลอ่ งแคล่ว
2.3 เพื่อใหผ้ ู้เรียนสามารถสร้างความสามคั คี และตรงตอ่ เวลาในการปฏิบัตงิ านท่ไี ด้มอบหมายได้
3. สาระการเรียนรู้ สาระการพฒั นาสงั คม
4. ผลการเรียนร้ทู ีค่ าดหวัง
4.1 ความสาคัญของการประยุกต์ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ และพระราชกรณียกิจของ
พระมหากษัตริยไ์ ทยสมยั รัตนโกสินทร์
4.2 ฝึกทักษะพ้ืนฐานเก่ียวกับการประยุกต์ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ และพระราชกรณียกิจของ
พระมหากษัตรยิ ไ์ ทยสมัยรัตนโกสนิ ทร์ได้อยา่ งคลอ่ งแคล่ว
4.3 สามารถสรา้ งความสามัคคี และตรงต่อเวลาในการปฏิบตั ิงานท่ไี ดม้ อบหมาย
5. กจิ กรรมการเรียนรู้
5.1 ขั้นการกาหนดสภาพปัญหา (O : orientation)
ครูทักทายและสอบถามนักศึกษา อธิบายความสาคัญเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้วิธีการทาง
ประวัติศาสตร์ และพระราชกรณยี กจิ ของพระมหากษัตรยิ ์ไทยสมัยรตั นโกสินทร์
5.2 ขนั้ การแสวงหาขอ้ มูลและการเรยี นรู้ (N : new way of learning)
5.2.1 นาเสนอกจิ กรรมการเรียนรตู้ อ่ เนอ่ื ง (กรต.) และแลกเปล่ยี นเรยี นรรู้ ว่ มกนั
กลมุ่ ท่ี 1 ความหมาย ความสาคัญ และประโยชน์ของวธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์
กลุม่ ท่ี 2 วิธีการทางประวัติศาสตร์
กล่มุ ที่ 3 พระราชกรณียกจิ ของพระมหากษตั ริย์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์
กลมุ่ ที่ 4 คณุ ประโยชนข์ องบคุ คลสาคญั
5.3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้ ( I : implementation)
5.3.1 ให้นักศึกษาแลกเปล่ียนเรียนรู้ภายในกลุ่มตามใบงานที่ได้รับ และส่งตัวแทนนาเสนอ
หน้าชนั้ เรียน
5.3.2 ครแู ละนักศกึ ษารว่ มกันสรุปองคค์ วามรู้รว่ มกนั
5.3.3 ครูให้นักศกึ ษาแบ่งกลุม่ มอบหมายงานการเรียนรูต้ ่อเน่ือง (กรต.) ออกเปน็ 4 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 มรดกไทยสมยั รตั นโกสนิ ทร์
กลุ่มท่ี 2 มรดกไทยทม่ี ผี ลต่อการพฒั นาชาติไทย
97
กลุ่มที่ 3 การอนุรกั ษม์ รดกไทย
กลุ่มท่ี 4 เหตกุ ารณ์สาคัญทางประวัติศาสตรท์ ีม่ ผี ลต่อการพฒั นาชาตไิ ทย
5.4 ข้นั การประเมนิ ผล (E : evaluation)
5.4.1 ประเมินผลจากการเรียนรู้ การนาเสนอโดยใช้กระบวนการกลุ่ม การรายงาน และ
การทาทดสอบยอ่ ย ทดสอบก่อนเรียน การซักถาม และการสังเกต
6. การวดั ผลประเมินผล
6.1 การสังเกต
6.2 การนาเสนอ และการซกั ถาม
7.ส่อื และวัสดอุ ปุ กรณ์
7.1 ใบความรู้
7.2 ใบงาน
7.3 หนงั สือเรียน
7.4 อินเทอรเ์ น็ต
8. แหลง่ เรียนรู้
8.1 กศน.ตาบล
8.2 หอ้ งสมดุ ประชาชนอาเภอ
8.3 สถาบนั ศึกษาปอเนาะ
9. ตัวชว้ี ัดการเรียนรู้
9.1 ร้อยละ 80 ของผู้เรียนสามารถอธิบายความสาคัญของการประยุกต์ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์
และพระราชกรณยี กจิ ของพระมหากษัตรยิ ์ไทยสมัยรัตนโกสนิ ทร์ได้
9.2 ร้อยละ 80 ของผู้เรยี นสามารถฝกึ ทักษะพ้นื ฐานเกย่ี วกับการประยุกต์ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์
และพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตรยิ ์ไทยสมยั รตั นโกสนิ ทร์ได้อยา่ งคล่องแคลว่
9.3 รอ้ ยละ 80 ของผู้เรยี นสามารถสร้างความสามคั คี และตรงต่อเวลาในการปฏบิ ตั งิ านท่ไี ด้
มอบหมายได้
ลงช่อื ........................................................ครูผสู้ อน
(นายอาหามะ ตาเยะ)
ตาแหน่ง ครูกศน.ตาบล
98
ความคิดเห็นหวั หนา้ งานการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ.............................................หัวหน้างานการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน
(นางมทั มา แวนาแว)
ตาแหนง่ ครูผู้ชว่ ย
ความคดิ เห็นผู้บรหิ ารสถานศึกษา
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………….....…………………………………………………………………………………………….…
ลงช่ือ................................................ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา
(นางหทยั กาญจน์ วัฒนสทิ ธิ์)
ผ้อู านวยการศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอสุไหงปาดี
99
ใบความรู้ท่ี 1
เรื่องท่ี 1 ความหมาย ความสาคญั และประโยชนข์ องวธิ กี ารทางประวตั ิศาสตร์
ประวัติศาสตร์เป็นการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ในอดีต โดยอาศัยหลักฐานท่ียังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน โดย
ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ในการศึกษาประเด็นท่ีสนใจ อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การกาหนดหัวข้อเรื่องท่ีจะ
ศกึ ษา การรวบรวมหลกั ฐาน และการเรยี บเรียง พรอ้ มนาเสนอซง่ึ จะทาใหส้ ามารถสร้างองคค์ วามรู้ใหม่ได้ อย่าง
มเี หตุผล และมีความน่าเชอื่ ถอื ซงี่ การเรยี นรวู้ ิธีการทางประวัตศิ าสตร์จะชว่ ยให้ผูเ้ รียน รู้จกั สืบค้นหาขอ้ เท็จจริง
ทางประวตั ิศาสตร์ไดอ้ ย่างถูกต้อง
1. ความหมายของวธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึง วิธีการ หรือขั้นตอนต่าง ๆ ท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้า วิจัยเก่ียวกับ
เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอาศัยจากหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นสาคัญ ประกอบกับ
หลกั ฐานอ่ืน ๆ เช่น ภาพถ่าย แถบบนั ทึกเสยี ง วีดิทัศน์ หลกั ฐานทางโบราณคดี เป็นต้น เพื่อให้สามารถฟื้นอดีต
หรือจาลองอดีตขึ้นมาใหม่ ได้อย่างถูกต้อง ตรงประเด็นและลาดับเร่ืองราวได้อย่างใกล้เคียงกับความเป็นจริง
ทส่ี ุด
2. ความสาคญั ของวธิ กี ารทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์มีความสาคัญ คือ ทาให้เรื่องราว กิจกรรม เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนใน
ประวัติศาสตร์มีความน่าเช่ือถือ มีความถูกต้องเป็นจริง หรือใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากท่ีสุด เพราะได้มี
การศึกษาอย่างเป็นระบบ อย่างมีขั้นตอน มีความระมัดระวังรอบคอบ โดยผู้ได้รับการฝึกฝนในระเบียบวิธีการ
ทางประวตั ิศาสตร์มาดแี ล้วสาหรบั การศกึ ษาประวัติศาสตร์น้นั มีปัญหาทีส่ าคญั ประการหนง่ึ คอื อดีตท่ีมีการรื้อ
ฟนื้ หรือ จาลองข้ึนมาใหมน่ ั้น มคี วามถกู ตอ้ ง สมบูรณ์ และเช่อื ถอื ได้เพยี งใด รวมทง้ั หลักฐาน
ท่ีเป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษรท่ีนามาใช้เป็นข้อมูลน้ัน มีความสมบูรณ์มากน้อยแค่ไหน
เพราะเหตุการณท์ างประวัตศิ าสตรม์ ีอยูม่ ากมาย เกนิ กวา่ ทจ่ี ะศกึ ษาหรอื จดจาไดห้ มดแตห่ ลักฐานท่ีใช้เป็นข้อมูล
อาจมีเพียงบางส่วน ดังนั้น วิธีการทางประวัติศาสตร์จึงมีความสาคัญเพื่อใช้เป็นแนวทางสาหรับผู้ศึกษา
ประวัติศาสตร์ หรือผู้ฝึกฝนทางประวัติศาสตร์จะได้นาไปใช้ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง ไม่ลาเอียง และ
เพ่ือใหเ้ กิดความน่าเช่อื ถอื
3. ประโยชนข์ องวธิ ีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์ มีประโยชน์ท้ังต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ทาให้ได้เร่ืองราวทาง
ประวตั ศิ าสตร์ทน่ี ่าเช่ือถือ ประโยชน์อีกด้านหนึ่ง คือ ผู้ที่ได้รับการฝึกฝน การใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์จะทา
ให้เป็นคนละเอียด รอบคอบ มีการตรวจสอบเร่ืองราวท่ีศึกษา รวมทั้งนามาปรับใช้ในชีวิตประจาวันได้ โดยจะ
ทาใหเ้ ปน็ ผู้รู้จักทาการประเมนิ เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ว่า มคี วามนา่ เชอ่ื ถอื
เพียงใด หรือก่อนทจี่ ะเชื่อถือขอ้ มูลของใคร ก็นาวิธีทางประวตั ิศาสตร์ไปตรวจสอบก่อน
เรอ่ื งท่ี 2 วิธีการทางประวตั ศิ าสตร์
การศึกษาประวัติศาสตร์ มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับหลักฐานทางประวัติศาสตร์กาลเวลา และนัก
ประวัติศาสตร์ ดังน้ัน จาเป็นต้องมีวิธีการในการรวบรวมค้นคว้าหาข้อมูล เพ่ือนามาวิเคราะห์หาเหตุผล และ
ข้อสรุป ซึ่งจะเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ท่ีใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด โดยวิธีการทาง
ประวัตศิ าสตร์
วธิ กี ารทางประวตั ิศาสตรม์ ีอยู่ 5 ข้นั ตอน คอื
1. การกาหนดหัวเรือ่ งท่จี ะศกึ ษา/การตง้ั ประเด็นท่ีจะศกึ ษา
การศึกษาเร่ืองราวในประวัติศาสตร์เริ่มจากความสงสัย อยากรู้ ไม่แน่ใจกับคาอธิบายเรื่องราวที่มีมาแต่เดิม
ดังน้ัน ผู้ศึกษาจึงเริ่มจากการกาหนดเร่ืองหรือประเด็นท่ีต้องการศึกษาซึ่งในตอนแรก อาจกาหนดประเด็นที่
100
ต้องการศึกษาไว้กว้าง ๆ ก่อน แล้วจึงค่อยจากัดประเด็นลงให้แคบ เพ่ือให้เกิดความชัดเจนในภายหลัง เพราะ
บางเร่ืองขอบเขตของการศึกษาอาจกว้างมากทั้งเหตุการณ์ บุคคล และเวลาการกาหนดหัวเร่ืองอาจเกี่ยวกับ
เหตุการณ์ ความเจริญ ความเส่ือมของอาณาจักรตัวบุคคลในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง อาจยาวหรือสั้นตามความ
เหมาะสม ซ่งึ ผูศ้ ึกษาเหน็ วา่ เป็นช่วงเวลาท่ีสาคัญ และยังมีหลักฐานข้อมูลที่ผู้ต้องการศึกษาหลงเหลืออยู่ หัวข้อ
เร่ืองอาจปรับใหม้ คี วามเหมาะสมหรือเปล่ียนแปลงได้ ถ้าหากหลักฐานทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษามนี ้อยหรือไม่นา่ เช่ือถอื
2. การรวบรวมหลกั ฐาน/สืบคน้ และรวบรวมข้อมูล
การรวบรวมหลักฐาน คือ การรวบรวมรายละเอียดและสิ่งต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับหัวข้อท่ีจะศึกษา ซึ่งมี
ท้ังหลักฐานท่ีเป็นลายลักษณ์อักษร และหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร1) หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
ไดแ้ ก่ หลักฐานท่ีเป็นตัวหนังสือโดยมนุษย์ ได้ท้ิงร่องรอยขีดเขียนเป็นตัวหนังสือประเภทต่าง ๆ ในรูปของการ
จารึกในศิลาจารึกและการจารึกบนแผ่นโลหะ นอกจากน้ีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ท่ีเป็นลายลักษณ์อักษร
ประเภทอ่ืน เช่นพงศาวดาร จดหมายเหตุ ตานาน เอกสารพื้นบ้าน และกฎหมาย 2) หลักฐานที่เป็น
วัตถุ ได้แก่ วัตถุท่ีมนุษย์แต่ละยุคแต่ละสมัยได้สร้างข้ึน และตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน เช่น โ บราณสถาน
ประกอบด้วย วัด เจดีย์ มณฑป และโบราณวัตถุ เช่นพระพุทธรูป ถ้วยชามสังคโลก ประเภทของหลักฐานทาง
ประวัตศิ าสตรไ์ ทย แบง่ ตามลาดับความสาคญั ของ
หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์เป็น 2 ประเภท คอื
1) หลกั ฐานช้ันตน้ หรอื หลกั ฐานปฐมภูมิ (Primary Sources) เปน็ หลักฐานท่ีมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในสมัยน้ันจริง ๆ โดยมีการบันทึกของผู้ท่ีเกี่ยวกับเหตุการณ์โดยตรงหรือผู้ท่ีรู้เหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง ดังนั้น
หลักฐานช่วงต้น จึงเป็นหลักฐานท่ีมีความสาคัญและน่าเชื่อถือมากท่ีสุด เพราะบันทึกของบุคคลที่เก่ียวข้องกับ
เหตุการณ์หรือผู้อยู่ในเหตุการณ์บันทึกไว้เช่น จดหมายเหตุ คาสัมภาษณ์เอกสารทางราชการ ทั้งท่ีเป็นเอกสาร
ลับและเอกสารท่เี ปดิ เผยบนั ทึกความทรงจากฎหมายหนังสอื พิมพ์ ประกาศ สนุ ทรพจน์ รายงานข่าว ภาพยนตร์
สไลด์ วีดิทัศน์ แถบบันทึกเสียง ภาพถ่าย เหตุการณ์ที่เกิดข้ึน โบราณสถาน แหล่งโบราณคดี โบราณวัตถุ เป็น
ตน้
2) หลักฐานช้ันรองหรือหลักฐานทุติยภูมิ (Secondary Sources) เป็นหลักฐานที่เขียนข้ึนโดยบุคคลที่
ไมไ่ ด้มีส่วนเก่ยี วขอ้ งกบั เหตุการณน์ ั้นโดยตรง โดยมกี ารเรยี บเรยี งข้ึนภายหลงั จากเกิดเหตุการณ์น้ัน ๆ ส่วนใหญ่
อยู่ในรูปของบทความทางวชิ าการและหนงั สอื ตา่ ง ๆ เชน่ พงศาวดาร ตานาน บันทึกคาบอกเล่า ผลงานทางการ
ศึกษาค้นควา้ ของนักวชิ าการ เปน็ ต้น สาหรับหลักฐานชั้นรองนน้ั มีข้อดี คือ มีความสะดวกและง่ายในการศึกษา
ทาความเขา้ ใจ เนอ่ื งจากเป็นข้อมูลท่ีได้ผ่านการศึกษาค้นคว้าตรวจสอบข้อมูล วิเคราะห์เหตุการณ์ และอธิบาย
ไว้อยา่ งเป็นระบบโดยนกั ประวัติศาสตร์มาแลว้
หลักฐานชั้นต้นและหลักฐานช้ันรองจัดว่ามีคุณค่าแตกต่างกัน คือ หลักฐานชั้นต้นมีความสาคัญมาก
เพราะเป็นหลักฐานร่วมสมัยท่ีบันทึกโดยผู้รู้เห็น หรือผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรง ส่วนหลักฐานชั้นรอง
เป็นหลักฐานที่ทาข้ึนภายหลัง โดยใช้ข้อมูลจากหลักฐานชั้นต้น แต่หลักฐานชั้นรองจะช่วยอธิบาย เรื่องราวให้
เข้าใจหลกั ฐานชั้นต้นไดง้ ่ายขึน้ ละเอียดขน้ึ อนั เป็นแนวทางไปสู่หลักฐานข้อมูลอ่ืน ๆ ซึ่งปรากฏในบรรณานุกรม
ของหลักฐานช้ันรองทั้งหลักฐานชั้นต้น และช้ันรองสามารถค้นคว้าได้จากห้องสมุดของทางราชการ และของ
เอกชนตลอดจนฐานข้อมลู ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (website)
แหลง่ รวบรวมหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์
แหล่งรวบรวมหลักฐานประวัติศาสตร์ไทยที่สาคัญ คือ สานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติทั้งใน
กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ซ่ึงรวบรวมเอกสาร ตัวเขียนท่ีเป็นสมุดฝร่ัง ภาพถ่ายเก่าส่วนสานักหอสมุด
แห่งชาติเป็นท่ีเก็บเอกสารตัวเขียนที่เป็นสมุดไทยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั้งในพระนครและต่างจังหวัดเป็น
สถานท่ีท่ีมีศิลาจารึกโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุเก็บไว้จานวนมาก นอกจากน้ีหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
101
บางแห่งก็มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เก็บไว้เช่นกันหลักฐานทางประวั ติศาสตร์ไทยส่วนหนึ่งมีการพิมพ์
เผยแพร่ โดยหลายหน่วยงานซึ่งทาให้เกิดความสะดวกแก่การศึกษาค้นคว้า รวมท้ังมีการปริวรรตหรือถอดเป็น
ภาษาปัจจุบันด้วยหน่วยงานสาคัญที่เป็นแหล่งพิมพ์เผยแพร่หลักฐานประวัติศาสตร์ไทย คือ กรมศิลปากร
คณะกรรมการชาระประวัติศาสตร์ไทย สมาคมประวัติศาสตร์ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกมุ ารี สานักพิมพ์มหาวิทยาลยั ต่าง ๆ ตลอดจนสานกั พมิ พ์เอกชนทัง้ หลาย
การใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ท่ีเป็นหลักฐานชั้นต้นใช้ได้สะดวกพอสมควรแต่บางส่วนอาจใช้จาก
ฉบบั สาเนา เพราะต้นฉบับเดิมกระดาษกรอบและขาดง่าย เน่ืองจากอากาศรอ้ นชน้ื และมีอายุมาก ดังน้ัน การใช้
จงึ ต้องระมดั ระวัง และต้องช่วยกนั ถนอมรกั ษา เพราะหลักฐานเหลา่ นี้เปน็ สมบัติท่ีสาคัญของชาติ ไม่สามารถจะ
หามาใหมท่ ดแทนได้
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ หมายถึง ร่องรอยหรือหลักฐานท่ีเกิดข้ึนในอดีตท่ีมีความเก่ียวข้องกับ
พฒั นาการและความเป็นมาของมนุษย์ ซ่ึงแสดงให้เห็นถึงความคิด ความเชื่อและการดา เนินชีวิตของมนุษย์ใน
แต่ละยุคสมัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นสิ่งสาคัญในการศึกษาเร่ืองราวทางประวัติศาสตร์ เพราะช่วยให้
สามารถทาความเข้าใจเกี่ยวกับเร่ืองราวที่เกิดข้ึนในอดีตได้อย่างถูกต้อง ตรงประเด็น ทราบเร่ืองราวได้อย่าง
ใกล้เคียงกบั ความจรงิ ท่ีสุด