The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรสถานศึกษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ปรับปรุง พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หลักสูตรสถานศึกษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ปรับปรุง พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 1)

หลักสูตรสถานศึกษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ปรับปรุง พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 1)

หลักสูตรสถานศึกษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุง พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 1) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสมุทรปราการ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ


หลักสูตรสถานศึกษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ((ปรับปรุง พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 1) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสมุทรปราการ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ


คำนำ กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งประกอบดวย หลักการ จุดหมาย โครงสรางหลักสูตร การจัดหลักสูตร สาระและ มาตรฐาน การเรียนรูการจัดการเรียนรูการจัดกระบวนการเรียนรูสื่อการเรียนรูการเทียบโอน การวัดและ ประเมินผล การจบหลักสูตร เอกสารหลักฐานการศึกษา สำหรับใชเปนแนวทางในการจัดทำหลักสูตร สถานศึกษา โดยจัดใหสอดคล้อง กับความต้องการพัฒนาของจังหวัด อำเภอ ชุมชน และผู้เรียน ซึ่งสามารถ ออกแบบได้ตามสถานการณ์ การนำศาสตร์พระราชา และน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาบูรณา การเข้ากับหลักสูตร ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยุทธศาสตร์สถานศึกษาคุณธรรม นโยบายเพื่อส่งเสริมการจัด การศึกษาให้สอดคล้องกับความมั่นคงของชาติ ในการใช้สื่อสังคมอนไลน์ (SOCIAL NETWORK ) ในชีวิตประจำวัน และจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ดังนั้นการจัดทำ หลักสูตรสถานศึกษาจึงมีความสำคัญในการกำหนดทิศทางการเรียนรูของผู้เรียน โดยสถานศึกษาสามารถใช เอกสารแนวทางการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สำหรับจัดทำหลักสูตรสถานศึกษารวมกับเอกสาร ประกอบการ ใชหลักสูตรตาง ๆ ไดแก สาระการเรียนรู 5 สาระ สาระทักษะการดำเนินชีวิต สาระทักษะการ เรียนรู้ สาระความรู้พื้นฐาน สาระการพัฒนาสังคม สาระการประกอบอาชีพ แนวทางการเทียบโอนผลการเรียน แนวทางการจัดการเรียนรูและคูมือการดำ เนินงาน สำ นักงาน กศน. ในการนี้ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดงได้ ดำเนินการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา โดยอาศัยแนวทางที่สำนักงาน กศน. ได้ให้แนวทางในการจัดทำ หลักสูตรสถานศึกษาไว้จนสำเร็จด้วยดี ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง ขอขอบคุณในความ ร่วมมืออย่างดียิ่งจากคณะครู กรรมการสถานศึกษา ผู้นำชุมชน ในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาให้เสร็จสิ้น อย่างสมบูรณ์มาในโอกาสนี้ (นางสาวนันท์นภัสร์ ศรีวิเชียร) ผู้อำนวยการกศน.อำเภอพระสมุทรเจดีย์ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการกศน.อำเภอพระประแดง


สารบัญ เรื่อง หน้า ค ำน ำ สำรบัญ ตอนที่ 1 แนวคิดกำรพัฒนำหลักสูตรสถำนศึกษำ 1 ตอนที่ 2 บริบทพื้นฐำน 8 ตอนที่ 3 ข้อมูลสถำนศึกษำ 20 ตอนที่ 4 องค์ประกอบของหลักสูตรสถำนศึกษำ 38 ตอนที่ 5 แนวทำงกำรเทียบโอนผลกำรเรียนจำกควำมรู้และประสบกำรณ์ 63 ตอนที่ 6 แนวทำงกำรเทียบโอนกิจกรรมพัฒนำคุณภำพชีวิต (กพช.) 67 ตอนที่ 7 ยุทธศำสตร์สถำนศึกษำคุณธรรม 74 ตอนที่ 8 กำรก ำหนดนโยบำยเพื่อส่งเสริมกำรจัดกำรศึกษำให้สอดคล้องกับควำมมั่นคง 83 ของชำติ คณะผู้จัดท ำ 91 เอกสำรอ้ำงอิง 92


1 ตอนที่ 1 แนวคิดการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ความหมายของหลักสูตรสถานศึกษา หลักสูตรสถานศึกษา (School –Based Curriculm) เป็น แบบแผนหรือแนวทาง ข้อกำหนดของการจัด การศึกษาที่จะพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ โดยส่งเสริมให้แต่ละบุคคลพัฒนาไปสู่ศักยภาพสูงสุด ก่อให้เกิดการเรียนรู้สะสมซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติได้ประสบการณ์สำเร็จในการเรียนรู้ด้วย ตนเอง รู้จักตนเอง มีชีวิตอยู่ใน ชุมชน สังคม และโลกอย่างมีความสุข ไม่ขัดต่อความมั่นคงของชาติ และสิทธิ มนุษยชน ความสำคัญของหลักสูตรสถานศึกษา หลักสูตรสถานศึกษามีความสำคัญดังนี้ 1. เป็นข้อกำหนดที่ทุกคนในสถานศึกษาต้องปฏิบัติเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่ กำหนด และพัฒนาให้สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจ ความต้องการของผู้เรียน สถานศึกษา และเป็นไปตามสภาพ ปัญหาชุมชน สังคม 2. เป็นเอกสารที่บุคคลภายนอกหรือหน่วยงานต่าง ๆ ใช้ประโยชน์ในกรณีที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับการ จัดการศึกษาของสถานศึกษา 3. เป็นเอกสารที่ใช้ประกอบการประเมินคุณภาพภายนอก เพื่อประเมินให้สอดคล้องกับสภาพจริงใน การปฏิบัติงานของสถานศึกษา หลักสูตรอิงมาตรฐาน หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรที่อิงมาตรฐาน การเรียนรู้ ซึ่งกำหนดคุณภาพของผู้เรียน ดังนั้น ในการจัดการเรียนรู้จึงมีประเด็นคำถามที่ ต้องการความ ชัดเจน 3 ประการดังนี้ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ ต้องการให้ผู้เรียนรู้อะไร และสามารถทำอะไรได้ 2. จัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างไร จึงจะสนับสนุนให้ผู้เรียนมีความรู้ที่ฝังแน่นตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่ กำหนดไว้ในหลักสูตร 3. ร่องรอยหลักฐานอะไรที่เกิดจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่สะท้อนให้เห็นว่าผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร


2 กรอบการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เป็นการดำเนินงานร่วมกันระหว่างสถานศึกษา ชุมชน ภาคีเครือข่าย โดยยึดหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เป็นฐานเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มี ความสามารถในการเรียนรู้ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาของจังหวัด อำเภอ ชุมชน ให้เป็นไปตามพื้นฐานของ การศึกษานอกสถานศึกษา “คิดเป็น” และวิสัยทัศน์ของสถานศึกษา ด้วยการวิเคราะห์ สภาพปัญหา ความต้องการพัฒนาระดับ จังหวัด อำเภอ และชุมชน นำไปสู่การจัดทำแผนการเรียนรู้ที่เหมาะสม กรอบการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ตอบสนองอุดมการณ์ การจัดการศึกษาตลอดชีวิตและการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ตามหลักปรัชญา “คิดเป็น” ตอบสนองเป้าหมายของผู้เรียนการพัฒนาของจังหวัด อำเภอและชุมชนให้สอดคล้องกับปรัชญา“คิดเป็น” ตอบสนองปัญหา ความต้องการของผู้เรียน ชุมชน สังคม และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาของ จังหวัด อำเภอ และชุมชน ประเมินผลเพื่อให้การศึกษาของสถานศึกษาได้ตรงตามความต้องการและทันต่อการเปลี่ยนแปลงทาง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จากแผนภูมิกรอบการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สามารถอธิบายได้ดังนี้ 1. ทิศทางการจัดการศึกษา สถานศึกษาจะจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาได้จำเป็นต้องมีทิศทางเพื่อ พัฒนาผู้เรียน ตามที่ผู้เรียนต้องการและสอดคล้องกับความต้องการพัฒนาจังหวัด อำเภอ และชุมชน โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งเป็น หลักสูตรที่มุงจัดการศึกษาเพื่อตอบสนองอุดมการณ์การจัดการศึกษาตลอดชีวิต และการสร้างสังคมไทยให้เป็น สังคมแห่งการเรียนรู้ ตามปรัชญา “คิดเป็น” เพื่อสร้างคุณภาพชีวิต และสังคม มีการบูรณาการอย่างสมดุล ระหว่างปัญญาธรรม ศีลธรรม และวัฒนธรรม มุ่งสร้างพื้นฐานการเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว สังคม ชุมชน และ พัฒนาความสามารถเพื่อการทำงานที่มีคุณภาพ โดยให้ภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมจัดการศึกษาให้ตรงกับความ ทิศทางการจัดการศึกษา หลักสูตรกำรศึกษำนอกระบบระดับ กำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช2551 เอกสำรประกอบหลักสูตร ควำมต้องกำรพัฒนำของจังหวัด อ ำเภอ และชุมชน หลักสูตร สถานศึกษา รำยวิชำ หน่วยกำรเรียนรู้ แผนกำรเรียนรู้ กำรประเมินเพื่อพัฒนำหลักสูตรสถำนศึกษำ


3 ต้องการของผู้เรียนและสามารถพึ่งตนเอง พึ่งพากัน และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกซึ่งประกอบด้วย หลักการ จุดหมาย กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ วิธีจัดการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ การเทียบ โอน การวัดและประเมินผลการเรียน การจบหลักสูตร เอกสารหลักฐานการศึกษา 1.2 ศึกษาเอกสารประกอบหลักสูตรได้แก่ 1.2.1 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ทั้ง 5 สาระได้แก่ ทักษะการเรียนรู้ ความรู้พื้นฐาน การประกอบอาชีพ ทักษะการดำเนินชีวิต และการพัฒนาสังคม ซึ่งแต่ละสาระประกอบด้วยมาตรฐานการเรียนรู้ ระดับ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง และคำอธิบายรายวิชา 1.2.2 คู่มือ /แนวทางการดำเนินงานต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยแนวทางการพัฒนาหลักสูตร สถานศึกษา แนวทางการจัดการเรียนรู้ คู่มือดำเนินงาน และแนวทางเทียบดอนผลการเรียน 1.3 ศึกษาข้อมูลความต้องการพัฒนาของจังหวัด อำเภอ และชุมชน โดยนำข้อมูลเกี่ยวกับ เป้าหมาย การพัฒนาระดับจังหวัด อำเภอ ชุมชน มาวิเคราะห์ร่วมกับสภาพปัญหา ความต้องการของผู้เรียน และ สถานศึกษา โดยนำมาจัดลำดับความจำเป็นที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา วัฒนธรรม สุขภาพอนามัย ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 2. หลักสูตรสถานศึกษา เป็นหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาของจังหวัด อำเภอ และชุมชน ที่สอดคล้อง กับปรัชญา “คิดเป็น” โดยการนำหลักสูตรสถานศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มาเป็นฐานการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาให้สัมพันธ์กับเป้าหมายของการพัฒนา จังหวัด อำเภอ และชุมชน ตามปรัชญา และวิสัยทัศน์สถานศึกษา เพื่อพัฒนาหน่วยการเรียนรู้ที่สัมพันธ์และ สอดคล้องกับการเรียนรู้ รวมทั้งสภาพปัญหา ความต้องการของผู้เรียน และ ชุมชน สังคม สู่การจัดการเรียนรู้ของ สถานศึกษา 3. รายวิชา สถานศึกษาสามารถจัดการเรียนรู้เป็นรายวิชาได้โดยเฉพาะผู้เรียนที่ต้องการศึกษาต่อที่เน้น วิชาความรู้ และการเทียบโอนประสบการณ์ 4. หน่วยการเรียนรู้ เป็นการบูรณาการเนื้อหาสาระต่าง ๆ ที่มุ่งให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงแนวคิด และ ความคิดรวบยอด เพื่อการแก้ปัญหา หรือแสวงหาความรู้ ความต้องการของผู้เรียนชุมชน สังคม 5. แผนการเรียนรู้เป็นการนำหน่วยการเรียนรู้มาจัดทำแผนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยการ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกคิด ฝึกปฏิบัติ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และทำงานร่วมกัน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเป็นบุคคล แห่งการเรียนรู้อันนำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ซึ่งเป็นไปตามปรัชญาพื้นฐานของการศึกษานอกสถานศึกษา “คิดเป็น” 6. การประเมินเพื่อพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เป็นการตรวจสอบหลักสูตรสถานศึกษาเกี่ยวกับทิศ ทางการจัดการศึกษา หน่วยการเรียนรู้ และแผนการเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน


4 การศึกษานอกระบบ (Non_formal Education) ปัจจุบันวิถีการเรียนรู้ของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วอันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก ความก้าวหน้า ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การขยายตัวทางสังคมในโลกยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) ได้แผ่ ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง องค์ความรู้และวิทยาการใหม่ๆ ล้วนเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนพัฒนาการของ ระบบเศรษฐกิจที่ใช้ความรู้เป็นฐาน (Knowledge-based Economy) ทำให้ประชากรเกิดความต้องการในการ แสวงหาความรู้ นำไปสู่การเรียนรู้ในแทบทุกกิจกรรมของสังคม วิถีการเรียนรู้ของมนุษย์จึงขยายขอบเขตจาก การศึกษาในระบบ(ชั้นเรียน) ไปสู่การเรียนรู้จากการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ส่งผลทำให้เกิด กิจกรรมที่หลากหลาย การศึกษานอกระบบ การศึกษา (Education)ในมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ.2542 นิยาม ความหมายของการศึกษา มีความหมายว่า "กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงาม ของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรมการสร้างสรรค์จรรโลง ความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคมการเรียนรู้ และปัจจัย เกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต" และมาตรา 15 ได้กำหนดระบบการศึกษา ในการจัดการศึกษา มีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ที่มา : พระเจ้าอยู่หัวกับการศึกษานอกระบบสถานศึกษา พระเจ้าอยู่หัวกับการศึกษานอกระบบสถานศึกษา สำหรับการศึกษาของประชาชนชาวไทยที่อยู่นอก ระบบสถานศึกษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษา สำหรับประชาชนที่อยู่ใน ชนบทเป็นอย่างมาก ทรงริเริ่มตั้ง "ศาลารวมใจ" ตามหมู่บ้านชนบท เพื่อให้ประชาชนได้ใช้เป็นที่อ่านหนังสือ โดยพระราชทานหนังสือประเภทต่าง ๆ แก่ห้องสมุด "ศาลารวมใจ" นอกจากนั้นมีพระราชดำริ จัดทำโครงการ พระดาบส เมื่อ พ.ศ.2519 "อาศรมของพระดาบส" เป็นพระราชกรณียกิจที่พระองค์ทรงห่วงใยประชาชนนอกระบบสถานศึกษาที่ พลาดโอกาสในการศึกษา เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานแก่ประชาชนที่มีความรักวิชาการ ใฝ่หาความรู้ใส่ ตนเองแต่ไม่สามารถหาที่เรียนได้อาจเนื่องจากการขาดแคลนทุนทรัพย์ จึงมีพระราชดำริให้การศึกษาแก่ประชาชน ประเภทนี้ ให้มีลักษณะเดียวกับการศึกษาในสมัยโบราณ ที่ผู้ต้องการหาวิชาต้องดั้นด้นไปหาพระอาจารย์ ซึ่งเป็น พระดาบสมีศิษย์ สำนักอยู่ในป่า สำหรับอาศรมของพระดาบสหรือส่วนใหญ่เรียก "สถานศึกษาพระดาบส" ใช้สถานที่ของสำนักพระราชวัง ณ 384-389 ถนนสามเสน รับสมัครผู้เรียนไม่จำกัดเพศ วัย วุฒิ ความรู้หรือฐานะ


5 เปิดสอนครั้งแรก เมื่อเดือนสิงหาคม 2519 มีผู้เข้าศึกษาจำนวน 6 คน หลักสูตรการเรียนใช้เวลา 1 ปี แต่เมื่อ ปฏิบัติจริง ๆ ใช้เวลาเพียง 9 เดือน นักศึกษาที่เรียนสำเร็จการสถานศึกษาพระดาบส มีความรู้ความสามารถ ประกอบอาชีพได้ตามวิชาที่ต้องการ ผู้ที่สนใจเข้าศึกษาในสถานศึกษาพระดาบสมีทั้งตำรวจ ทหาร พลเรือน และ ทหารผ่านศึกที่ทุพพลภาพ ครูผู้สอนส่วนมากเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ อาสาสมัคร โดยถือว่าการสอนวิชาความรู้ให้ศิษย์ เป็นวิทยาทาน ไม่คิดค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น สถานศึกษานี้มีองคมนตรีและผู้ทรงคุณวุฒอื่น ๆ เป็นผู้ดำเนินการ วิชาที่สถานศึกษาเปิดสอนครั้งแรก ได้แก่ วิชาซ่อมเครื่องไฟฟ้า วิทยุติดตั้งไฟฟ้า พร้อมกับการเรียนการสอนนี้ ผู้เรียนสามารถหารายได้ในรูปสหกรณ์ด้วย การศึกษานอกระบบ (Non_formal Education) ปัจจุบันวิถีการเรียนรู้ของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วอันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก ความก้าวหน้า ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การขยายตัวทางสังคมในโลกยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) ได้แผ่ ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง องค์ความรู้และวิทยาการใหม่ๆ ล้วนเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนพัฒนาการของ ระบบเศรษฐกิจที่ใช้ความรู้เป็นฐาน (Knowledge-based Economy) ทำให้ประชากรเกิดความต้องการในการ แสวงหาความรู้ นำไปสู่การเรียนรู้ในแทบทุกกิจกรรมของสังคม วิถีการเรียนรู้ของมนุษย์จึงขยายขอบเขตจาก การศึกษาในระบบ(ชั้นเรียน) ไปสู่การเรียนรู้จากการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ส่งผลทำให้เกิด กิจกรรมทางการศึกษรวมไปถึงแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย ความหมายของการศึกษานอกระบบ ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ.2551 มาตรา 4 ได้ให้คำจำกัดความของการศึกษานอกระบบไว้ว่า “การศึกษานอกระบบ” หมายความว่า กิจกรรม การศึกษาที่มีกลุ่มเป้าหมายผู้รับบริการและวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ที่ชัดเจน มีรูปแบบ หลักสูตร วิธีการจัดและ ระยะเวลาเรียน หรือฝึกอบรมที่ยืดหยุ่นและหลากหลาย ตามสภาพความต้องการและศักยภาพในการเรียนรู้ของ กลุ่มเป้าหมายนั้น และมีวิธีการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ที่มีมาตรฐาน เพื่อรับคุณวุฒิทางการศึกษา หรือ เพื่อจัดระดับผลการเรียนรู้ นอกจากนี้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 15 ยังได้ให้ ความหมายของคำว่า การศึกษานอกระบบ ไว้ดังนี้ “การศึกษานอกระบบ”หมายถึง การศึกษาซึ่งจัดขึ้นนอกระบบ ปกติ ที่จัดให้กับประชาชนทุกเพศทุกวัย ไม่มีการจำกัดพื้นฐานการศึกษาอาชีพประสบการณ์หรือความสนใจ โดยมี จุดมุ่งหมายที่จะให้ผู้เรียนได้รับความรู้ในด้านพื้นฐานแก่การดำรงชีวิต ความรู้ทางด้านทักษะ การประกอบอาชีพ และความรู้ด้านอื่น ๆ เพื่อเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต การจัดการศึกษามีความยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษาระยะเวลาของการศึกษา การวัดผลและประเมินผล ซึ่งเงื่อนไข การสำเร็จการศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตร จะต้องมีตามเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน อาจกล่าวได้ว่า การศึกษานอกระบบหมายถึง กระบวนการทางการศึกษาที่จัดขึ้นเพื่อเพิ่มหรือพัฒนาศักยภาพ ให้แก่ประชาชน ทั้งในด้านความรู้ ความชำนาญ หรืองานอดิเรกต่าง ๆ ผู้ที่สำเร็จการศึกษาอาจได้รับ หรือไม่ได้รับ เกียรติบัตรก็ได้ ซึ่งเกียรติบัตรนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการปรับเทียบเงินเดือน หรือศึกษาต่อ ยกเว้นการศึกษาสายสามัญ ของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ที่มีการมอบวุฒิบัตรที่สามารถปรับเทียบ


6 เงินเดือนหรือศึกษาต่อในระดับสูงขึ้นได้ การศึกษานอกระบบเกิดขึ้นครั้งแรกใน ปี ค.ศ. 1967 ในการประชุมของ UNESCO เรื่อง The World Educational Crisis ซึ่งได้นิยามการศึกษานอกระบบ หมายถึง "การจัดการกิจกรรม การเรียนรู้อย่างเป็นระบบ แต่นอกกรอบของการจัดการศึกษาในระบบสถานศึกษาปกติ โดยมุ่งบริการให้คนกลุ่ม ต่าง ๆ ของประชากร ทั้งที่เป็นผู้ใหญ่และเด็ก" โดยเน้นการเรียนรู้ (Learning) แต่ในปัจจุบันการศึกษานอกระบบ คือ กระบวนการจัดการพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียน ทั้งที่เป็นทัศนคติ ทักษะ และความรู้ซึ่งทำได้ยืดหยุ่นกว่าการ เรียนในระบบสถานศึกษาทั่วไป สมรรถนะที่เกิดจากการศึกษานอกระบบมีตั้งแต่ทักษะในการเรียนรู้ด้วยตนเอง การทำงานเป็นกลุ่ม การแก้ไข ความขัดแย้งการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การเป็นผู้นำ การแก้ปัญหาร่วมกัน การสร้างความเชื่อมั่น ความรับผิดชอบและความมีวินัย การศึกษานอกระบบยุคใหม่จึงเน้นการเรียนรู้และ สมรรถนะ (Learning and Competency) (จรวยพร ธรณินทร์, 2550) การศึกษานอกระบบสถานศึกษา เป็นแนวทางหนึ่งในการจัดการศึกษา ซึ่งเปิดโอกาสให้กับผู้ที่ไม่ได้เข้า รับการศึกษาในระบบสถานศึกษาตามปกติ ได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้ พัฒนาตนเอง ให้สามารถดำรงตนอยู่ใน สังคมได้อย่างมีความสุข เป็นการจัดการศึกษาในลักษณะอ่อนตัวให้ผู้เรียนมีความสะดวกเลือกเรียนได้หลายวิธี จึง ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวผู้เรียนและสังคมเป็นอย่างยิ่ง การศึกษานอกสถานศึกษามีความหมายครอบคลุมถึงมวล ประสบการณ์การเรียนรู้ทุกชนิดที่บุคคลได้รับจากการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ตามธรรมชาติการเรียนรู้จาก สังคม และการเรียนรู้ที่ได้รับจากโปรแกรมการศึกษาที่จัดขึ้นนอกเหนือไปจากการศึกษาในสถานศึกษาตามปกติ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลที่มิได้อยู่ในระบบสถานศึกษาปกติ ได้มีโอกาสแสวงหาความรู้ ทักษะ ทัศนคติ เพื่อมุ่งแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ฝึกฝนอาชีพ หรือการพัฒนาความรู้เฉพาะเรื่องตามที่ตนสนใจ (อาชัญญา รัตนอุบล 2542 : 1) การศึกษานอกระบบสถานศึกษา เป็นการศึกษาที่มุ่งจัดให้กลุ่มเป้าหมายได้พัฒนาชีวิตและสังคม โดยมี หลักการจัดการศึกษาเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ด้อยโอกาสพลาด หรือขาดโอกาสทางการศึกษาในระบบสถานศึกษา ได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้ ฝึกทักษะ ปลูกฝังเจตคติที่จำเป็นใน การดำรงชีวิต และการประกอบสัมมาชีพ อีกทั้งสามารถปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของวิทยาการต่าง ๆ ที่ เจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วได้อย่างมีความสุขตามควร แก่อัตภาพ (กรมการศึกษานอกสถานศึกษา, 2538 อ้าง ถึงในอาชัญญา รัตนอุบล, 2542 : 3) งานด้านการศึกษานอกระบบสถานศึกษาหมายถึง การจัดกิจกรรมการศึกษาที่จัดขึ้นนอกระบบ สถานศึกษา โดยมีกลุ่มเป้าหมายผู้รับบริการและวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ชัดเจน กิจกรรมการศึกษาดังกล่าว มีทั้ง ที่จัดกิจกรรมโดยเอกเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมอื่น หน่วยงานที่จัดการศึกษานอกสถานศึกษานั้น เป็นทั้ง หน่วยงานที่มีหน้าที่ทางการศึกษานอกระบบสถานศึกษาโดยตรง และหน่วยงานอื่น ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนชุมชนที่อาศัย การศึกษาเป็นเครื่องมือนำไปสู่วัตถุประสงค์ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสังคม ในทางทฤษฎีจึงได้นับเนื่องเอาการศึกษานอกสถานศึกษาเป็นระบบหนึ่งของการศึกษาตลอดชีวิต ที่มีส่วนเชื่อมโยง อย่างแนบแน่นและต่อเนื่องกับการศึกษาในระบบสถานศึกษาและการศึกษาตามอัธยาศัย ทำให้การศึกษานอก ระบบสถานศึกษาเป็นความหวังของวงการศึกษา และเป็นกลไกที่สำคัญของรัฐในการพัฒนาคุณภาพของคนส่วน ใหญ่ในประเทศได้ (รณรงค์ เมฆานุวัฒน์, 2543 : 6 – 7)


7 การศึกษานอกระบบสถานศึกษาจึงถือเป็นกระบวนการของการศึกษาตลอดชีวิต ซึ่งมีภารกิจสำคัญที่ จะต้องให้ประชาชนได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค โดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตตาม มาตรฐานของสังคมที่เป็นสิทธิที่คนทุกคนพึงได้รับการศึกษา นอกจากนั้นยังจะต้องได้รับการศึกษาที่ต่อเนื่องจาก การศึกษาขั้นพื้นฐานของชีวิต เพื่อนำความรู้ไปพัฒนาอาชีพของตน (กองส่งเสริมปฏิบัติการ , 2541 : 1 ) การศึกษานอกระบบ (Non-formal Education) เป็นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นและหลากหลายรูปแบบ ไม่มี ข้อจำกัดเรื่องอายุและสถานที่โดยมุ่งหมายให้เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนา คุณภาพมนุษย์ มีการกำหนดจุดมุ่งหมาย หลักสูตร วิธีการเรียนการสอน สื่อ การวัดผลและประเมินผลที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของ กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งอาจแบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ ประเภทความรู้พื้นฐานสายสามัญประเภทความรู้และทักษะ อาชีพ และประเภทข้อมูลความรู้ทั่วไป ลักษณะของการจัดการศึกษานอกระบบ การศึกษานอกระบบ เป็นรูปแบบของการจัดการศึกษา ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้รับบริการที่พลาดโอกาส จากการศึกษาในระบบ วัตถุประสงค์ของการศึกษามีความชัดเจนเช่นเดียวกับการศึกษาในระบบ แต่จะมีข้อ แตกต่างตรงที่ รูปแบบ หลักสูตร วิธีการจัดและระยะเวลาเรียน หรือฝึกอบรม มีความยืดหยุ่นและหลากหลายกว่า สนองตามสภาพความต้องการและศักยภาพในการเรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมายนั้น แต่ก็ยังคงมีวิธีการวัดผลและ ประเมินผลการเรียนรู้ที่มีมาตรฐาน เพื่อรับคุณวุฒิทางการศึกษา หรือเพื่อจัดระดับผลการเรียนรู้ หลักการของการศึกษานอกระบบ 1. เน้นความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษาการกระจายโอกาสทางการศึกษาให้ครอบคลุม และทั่วถึง 2. ส่งเสริมการจัดการศึกษาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต มีความยืดหยุ่นในเรื่องกฎเกณฑ์ ระเบียบต่าง ๆ 3. จัดการศึกษาให้สนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายให้เรียนรู้ในสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิต 4. จัดการศึกษาหลากหลายรูปแบบคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้สอนมิได้จำกัดเฉพาะครู อาจจะเป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานหรือจากท้องถิ่น สรุป การศึกษานอกระบบ เป็นกระบวนการจัดการศึกษาให้ผู้พลาดโอกาสเรียนจากระบบการศึกษาปกติ หรือผู้ต้องการพัฒนาตนเอง ได้รับการเรียนรู้ โดยเน้นการเพิ่มศักยภาพของผู้เรียน ตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษา แห่งชาติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ตามสิทธิมนุษยชนที่ทุกคนพึงได้รับดังกล่าว ส่งผลให้ประชาชนได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ได้อย่างแท้จริง เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ที่กว้างขวางและเป็นไปในอัตราที่รวดเร็ว อันจะส่งผลให้ประเทศมี ศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน เพราะ เป็นการพัฒนาที่ยึดคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาโดยมุ่งเน้นให้คนมีคุณธรรมนำความรู้ อันจะเป็นสะพานทอด นำไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้และภูมิปัญญาต่อไป


8 ตอนที่ 2 บริบทพื้นฐาน ประวัติความเป็นมาของจังหวัดสมุทรปราการ “สมุทรปราการ” เป็นเมืองที่มีความสำคัญมาแต่โบราณ เนื่องจากที่ตั้งเป็นเขตยุทธศาสตร์ทางน้ำ คำว่า "สมุทรปราการ" มาจาก คำาว่า "สมุทร" ซึ่งแปลว่าทะเล และ "ปราการ" ที่แปลว่า กำแพง จึงมีความหมาย โดยรวมว่า "กำแพงริมน้ำ" และหากย้อนหลังไป 800 ปีเศษ ชนชาติขอมซึ่งมีความรุ่งเรืองอยู่ในขณะนั้นได้สร้าง เมืองพระประแดงบริเวณปากแม่น้าเจ้าพระยาเพื่อเป็นเมืองหน้าด่านซึ่งสันนิษฐานว่าในปัจจุบันคือบริเวณท่าเรือ คลองเตย และต่อมาแผ่นดินบริเวณรอบเมืองพระประแดงนั้นได้งอกออกไปในทะเลโดยทิศใต้แผ่นดินงอกถึงแถบ ตำบลปากคลองบางปลากดซึ่งอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้าเจ้าพระยา และทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยาแผ่นดินได้ งอกถึงบริเวณตำบลบางด้วน บางหมูและบางนางเกรง ทำให้เมืองพระประแดงมีความสำคัญลดลง เนื่องจากอยู่ ห่างจากบริเวณปากแม่น้ำ ต่อมาประมาณปีพ.ศ. 2163-2171 สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้โปรดให้สร้างเมืองสมุทรปราการขึ้นใหม่ เพื่อเป็นเมืองปากน้ำหน้าด่านของกรุงศรีอยุธยา และใช้เป็นสถานที่ทำ การค้าขายกับชาวฮอลันดาโดยทรงพระราชทานที่ดินบริเวณคลองบางปลากด ให้ชาวฮอลันดาไว้เป็นเมืองการค้า ซึ่งเรียกว่า "นิวอัมสเตอร์ดัม" ในปีพ.ศ. 2306 สมัยกรุงธนบุรีเป็นสมัยที่สร้างราชธานีใหม่สมเด็จพระเจ้าตาก สินโปรดฯ ให้รื้อกำแพงเมืองพระประแดงเดิมที่ตำบลราษฎร์บูรณะ เพื่อไปสร้างกำแพงพระราชวังเมืองพระ ประแดงสูญหายสิ้นซากนับแต่นั้นมา ในปีพ.ศ. 2352 สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเห็น ความสำคัญที่จะต้องสร้างเมืองทางชายฝั่ง เพื่อป้องกันศัตรูที่จะรุกล้ำมาจากทางทะเลสู่แม่น้าเจ้าพระยา ซึ่งเดิมมี เมืองพระประแดงและเมืองสมุทรปราการเป็นเมืองหน้าด่าน แต่อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก พระองค์จึงทรงดำริที่จะ บูรณะเมืองพระประแดง ซึ่งอยู่ทางด้านขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างเมืองสมุทรปราการและกรุงเทพฯ โดยโปรดให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ลงสำรวจพื้นที่บริเวณปากน้ำเจ้าพระยา เพื่อสร้างเมืองขึ้นใหม่ และสร้าง "ป้อมวิทยาคม" ที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา


9 ในปีพ.ศ. 2362 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่2 ทรงโปรดให้ดำเนินการสร้าง ป้อมที่สำคัญหลายป้อม และทรงพระราชทานนาม ใหม่ว่า "เมืองนครเขื่อนขันธ์"และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ให้อพยพครอบครัวชาวมอญ โดยมีชายฉกรรจ์ประมาณ 300 คน ซึ่งมีพระยาเจ่งเป็นผู้น้าจากเมืองปทุมธานีมาอยู่ ณ เมืองนครเขื่อนขันธ์เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการรักษาเมือง นอกจากการสร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์แล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ยังทรงสร้างเมืองสมุทรปราการขึ้นมาใหม่ เนื่องจากทรงไม่ไว้วางใจญวน นัก ประกอบกับเมืองสมุทรปราการเองก็เป็นเมืองที่อยู่ติดกับทะเลมากกว่า จึงทรงโปรดให้สร้างป้อมเพิ่มอีกจำนวน 6 ป้อมทั้งด้านซ้ายและขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงเปลี่ยนชื่อเมืองนครเขื่อน ขันธ์กลับเป็น "เมืองพระประแดง" ดังเดิม เพราะยังคงบริเวณเดิมของพระประแดง และในปี พ.ศ. 2459 ทรง เปลี่ยนคำว่าเมืองเป็นจังหวัด เมืองสมุทรปราการจึงเปลี่ยนเป็น "จังหวัดสมุทรปราการ" ประกอบด้วยอำเภอสมุทรปราการ อำภอบ่อ อำเภอบางพลี และอำเภอสีชัง และเมืองพระประแดงเป็น จังหวัด พระประแดง ปี พ.ศ. 2475 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เกิดวิกฤตการณ์ เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก รัฐบาลต้องประหยัดการใช้จ่ายเงินของแผ่นดิน จึงโปรดฯ ให้ยุบจังหวัดพระประแดง ขึ้นกับ จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอพระโขนงขึ้นกับจังหวัดพระนคร และอำเภอราษฎร์บูรณะขึ้นกับจังหวัดธนบุรี ในปี พ.ศ. 2485 ได้มีพระราชบัญญัติรวมจังหวัดพระนคร ธนบุรี สมุทรปราการ และนนทบุรีเข้าไว้ ด้วยกัน รวม เรียกว่า นครบาล กรุงเทพฯ ธนบุรี และในปี พ.ศ. 2486 มีการปรับปรุงระเบียบการปกครองใหม่ ยุบจังหวัด สมุทรปราการขึ้นกับจังหวัดพระนคร และในปี พ.ศ. 2489 ได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัด สมุทรปราการ จังหวัด นนทบุรี จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดนครนายก พุทธศักราช 2489 ซึ่งมีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ตราประจำจังหวัดสมุทรปราการ เป็นรูปพระสมุทรเจดีย์และพระอุโบสถที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร ความหมาย พระเจดีย์ หมายถึง พระสมุทรเจดีย์ที่สร้างอยู่กลางแม่น้ำ ภายในเจดีย์ บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ และพระไตรปิฎก พระอุโบสถ หมายถึง พระอุโบสถที่ ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางห้ามสมุทร ต้นไม้ประจำจังหวัดสมุทรปราการ ต้นโพทะเล ชื่อพันธุ์ไม้ โพทะเล ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง 10–15 เมตร เปลือกสีน้ำตาลอ่อนอมชมพู ขรุขระ ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียง สลับ แผ่นใบรูปหัวใจ ดอกสีเหลืองขนาดใหญ่ ออกตามง่ามใบ ออกดอกช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ผลโตขนาด 4 ซ.ม. ผิวแข็ง เมล็ดเล็กยาว คล้ายเส้นไหม ถิ่นก้าเนิด ป่าชายเลน พบมากทางภาคใต้ และภาค ตะวันออกเฉียงใต้


10 ลักษณะทางกายภาพ https://www.google.com/url?sa=i&source=images&cd=&ved ที่ตั้งและขนาดพื้นที่ จังหวัดสมุทรปราการตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้าเจ้าพระยา โดยอยู่ตอนปลายสุด ของแม่น้ำเจ้าพระยาและเหนืออ่าวไทย ระหว่างเส้นรุ้งที่ 13 – 14 องศาเหนือ และเส้นแวงที่ 100 – 101 องศา ตะวันออก มีเนื้อที่ประมาณ 1,004.092 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 627,557.50 ไร่ อยู่ห่างจาก กรุงเทพฯ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร ซึ่งถ้าหากสังเกตแนวแบ่งเขต ของจังหวัดสมุทรปราการตั้งแต่อำเภอพระสมุทรเจดีย์ อำเภอพระประแดง ไปจรดอำเภอบางบ่อ ด้วยจินตนาการ ก็จะ พบว่า จังหวัดสมุทรปราการมีรูปร่างคล้ายส่วนหัวและลำตัวของ “ฮิปโปโปเตมัส” ที่หันหน้าออกสู่ฝั่งอ่าวไทย เพื่อคอยปกป้องประเทศชาติจากการรุกรานของมวลหมู่ปัจจามิตร ด้วยจิตสำนึกและสัญชาติญาณรักษ์ถิ่นยิ่งชีพ ของตนเอง โดยพื้นที่ของจังหวัดฯ มีอาณาเขตติดต่อกับพื้นที่ ใกล้เคียง ดังนี้ - ทิศเหนือติดกับกรุงเทพมหานคร ระยะทาง 55.00 กิโลเมตร - ทิศใต้ติดกับอ่าวไทย (พื้นที่ชายฝั่งทะเล) ระยะทาง 47.20 กิโลเมตร - ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดฉะเชิงเทรา ระยะทาง 42.60 กิโลเมตร - ทิศตะวันตกติดกับกรุงเทพมหานคร ระยะทาง 34.20 กิโลเมตร


11 สภาพภูมิประเทศ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มมี แม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน ไม่มีภูเขา มีลำคลอง รวม 63 สาย โดยเป็น คลองชลประทาน 15 สาย คลองธรรมชาติ 48 สาย ใช้ประโยชน์ทางคมนาคมและการ ขนส่งทางน้ำรวมทั้งการ ประมงและการเกษตรกรรม จังหวัดสมุทรปราการ ไม่มีพื้นที่ป่าไม้ (ป่าบก) มีแต่ป่าชายเลน ลักษณะภูมิประเทศ ของจังหวัดแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1) บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณทั้งสองฝั่งเป็นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การทำนาทำสวน และ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แต่ปัจจุบันพื้นที่บางส่วนได้เปลี่ยนไปเป็นโรงงาน ที่อยู่อาศัย และเขตพาณิชยกรรมตามสภาพ สภาวะเศรษฐกิจด้านการค้า การลงทุน และชุมชนเมืองที่เกิดขึ้นใหม่ 2) บริเวณตอนใต้ชายติดทะเล เป็นบริเวณที่ได้รับอิทธิพลของน้ำทะเลท่วมถึง ส่วนใหญ่เป็นที่ ราบลุ่ม เป็นดินเหลวลุ่ม เหมาะแก่การเพาะเลี้ยงสัตว์ชายฝั่ง 3) บริเวณที่ราบตอนเหนือและตะวันออก บริเวณนี้เป็นที่ราบกว้างใหญ่ สำหรับระบายน้ำและ เก็บกักน้ำ อำนวยประโยชน์ในด้านการชลประทาน การทำนา การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ สนามบินสุวรรณภูมิ และมีธุรกรรมที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงหรือ Supply Chain ทั้งด้านการค้า การลงทุน ภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรมแปรรูป กิจกรรม Logistics และอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ สภาพภูมิอากาศ จังหวัดสมุทรปราการมีสภาพภูมิอากาศแบบพื้นที่ชายทะเล ในฤดูร้อนมี ความชื้นในอากาศสูง เนื่องจากอิทธิพลของลมทะเลและลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ฤดูฝนมีฝนตกมาก ฤดูหนาว ก็ไม่หนาวจนเกินไป อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุด 32.60 องศาเซลเซียส อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุด 28.91 องศาเซลเซียส อุณหภูมิเฉลี่ย 29.75 องศา เซลเซียส การใช้ประโยชน์ที่ดินจากผังเมืองรวม จังหวัดสมุทรปราการได้มีการใช้ผังเมืองรวมสมุทรปราการ ฉบับปี พ.ศ.2556 ตามที่ได้ประกาศให้มีผล บังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2557 ตามกฎกระทรวง ออกตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติการ ผังเมือง พ.ศ.2518 ผังเมืองรวมสมุทรปราการ ได้กำหนดแผนผัง กำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่ได้จำแนก ประเภทไว้ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2557 ถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 จังหวัด สมุทรปราการในปัจจุบันถือเป็นเมืองอุตสาหกรรมหลัก ซึ่งมีความต้องการใช้แรงงาน ภาคอุตสาหกรรมจำนวนมาก มีทักษะฝีมือและต่ำกว่าจากนอกพื้นที่และในพื้นที่ ทั้งประเภทไปเช้า-เย็นกลับ และมาพักค้างคืน ประกอบกับเมื่อ 2554 ได้เกิดมหาอุทกภัยกับกรุงเทพมหานครและจังหวัดสมุทรปราการ ทั่วประเทศ แต่จังหวัดสมุทรปราการไม่ได้ รับผลกระทบจากอุทกภัยดังกล่าว จึงส่งผลให้เกิดการขยายตัวของชุมชนที่อยู่อาศัยเดิม และเกิดชุมชนที่อยู่อาศัยใหม่ ทั้งในรูปแบบหมู่บ้านจัดสรร บ้านเช่า ห้องเช่า คอนโดมิเนียม อาคารชุด บ้านเอื้ออาทร ทำให้มีประชาชนมาอยู่ อาศัยอยู่ในจังหวัดหนาแน่นเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีโครงการเอื้ออาทรทั้ง 17 โครงการ มีที่อยู่อาศัย 30,557 แห่ง รวมทั้งเป็นแหล่งสะสม Land bank ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มประชาชนที่มีรายได้ หรือเงินออมสูง ซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของประชากรและราคาที่ดิน แบบก้าวกระโดด เมื่อรวมกับการ


12 ขยายเส้นทางรถไฟฟ้า ช่วงแบริ่ง - การเคหะสมุทรปราการ ส่งผลให้เกิด ปัญหาด้านสาธารณูปโภค สาธารณูปการ ที่มีอยู่ไม่สามารถรองรับได้อย่างเพียงพอ เกิดปัญหาการจราจรติดขัด บริการสาธารณะต่าง ๆ ไม่เพียงพอ เกิดผล กระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกด้าน ดังนั้น จึงเป็น ปัญหาสำคัญที่จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่ง ดำเนินการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ รองรับการขยายตัวแบบก้าวกระโดดที่จะเกิดขึ้นใน อนาคต ข้อมูลการปกครองและประชากร การปกครอง แบ่งเขตการปกครองภายในจังหวัดออกเป็น 6 อำเภอ ซึ่งมี 50 ตำบล 399 หมู่บ้าน โดยมี องค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นจำนวน 49 แห่ง ประกอบด้วยองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง เทศบาล จำนวน 18 แห่ง (1 เทศบาลนคร 4 เทศบาลเมือง และ 13 เทศบาลตำบล) และองค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 30 แห่ง สามารถจำแนกตามรายอำเภอได้ดังนี้ 1) อำเภอเมืองสมุทรปราการ ประกอบด้วย เทศบาล 7 แห่ง : เทศบาลนครสมุทรปราการ เทศบาล เมืองปากน้ำสมุทรปราการ เทศบาลตำบลสำโรงเหนือ เทศบาลตำบลบางปู เทศบาลตำบลแพรกษา เทศบาลตำบล ด่านสำโรง และเทศบาลตำบลบางเมือง อบต. 4 แห่ง : แพรกษา บางด้วน บางโปรง เทพารักษ์ และแพรกษาใหม่ 2) อำเภอบางบ่อ ประกอบด้วย เทศบาล 4 แห่ง : เทศบาลตำบลบางบ่อ เทศบาลตำบลคลองสวน เทศบาลตำบลคลองด่าน และเทศบาลตำบลบางพลีน้อย อบต. 7 แห่ง : บางเพรียง บ้านระกาศ คลองด่าน บางบ่อ คลองนิยมยาตรา คลองสวน และเปร็ง 3) อำเภอบางพลีประกอบด้วยเทศบาล 1 แห่ง : เทศบาลตำบลบางพลี อบต. 6 แห่ง : บางพลีใหญ่ บางแก้ว บางโฉลง บางปลา ราชาเทวะ และหนองปรือ 4) อำเภอพระประแดง ประกอบด้วยเทศบาล 3 แห่ง : เทศบาลเมืองพระประแดง เทศบาลเมืองลัด หลวง และเทศบาลเมืองปู่เจ้าสมิงพราย อบต. 6 แห่ง : ทรงคนอง บางกระสอบ บางยอ บางน้ำผึ้ง บางกะเจ้า และบางกอบัว 5) อำเภอพระสมุทรเจดีย์ ประกอบด้วยเทศบาล 2 แห่ง : เทศบาลตำบลพระสมุทรเจดีย์และ เทศบาล ตำบลแหลมฟ้าผ่า อบต. 4 แห่ง : บ้านคลองสวน ในคลองบางปลากด แหลมฟ้าผ่า และนาเกลือ 6) อำเภอบางเสาธง ประกอบด้วยเทศบาล 1 แห่ง : เทศบาลตำบลบางเสาธง อบต. 3 แห่ง : บางเสา ธง ศีรษะจรเข้น้อย และศีรษะจรเข้ใหญ่ การบริหารราชการในพื้นที่จังหวัดฯ มีหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ 1) ส่วนราชการสังกัดส่วนภูมิภาค มีจำวน 31 หน่วยงาน 2) ส่วนราชการสังกัดส่วนกลาง มีจ้านวน 52 หน่วยงาน 3) ส่วนราชการสังกัดส่วนท้องถิ่น มีจำนวน 49 หน่วยงาน 4) ส่วนราชการอิสระ มีจำนวน 5 หน่วยงาน 5) รัฐวิสาหกิจ มีจำนวน 15 หน่วยงาน


13 ประชากรและโครงสร้างประชากร จำนวนประชากร จังหวัดสมุทรปราการมีประชากรตามทะเบียนราษฎรมากเป็นอันดับ 14 ของประเทศ และอันดับ 2 ของภาคกลาง รองจากกรุงเทพมหานคร เนื่องจากเป็นจังหวัดฯ รองรับการขยายตัว จากกรุงเทพฯ และสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ทั้งในด้านการผลิตภาคอุตสาหกรรม การค้า การบริการและ การกระจายตัว ของประชากร จึงทำให้จังหวัดสมุทรปราการมีประชากรที่ย้ายถิ่นจากที่อื่นมาอาศัยอยู่ในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ซึ่งมี ทั้งประชากรที่เคลื่อนย้ายเข้ามาโดยแจ้งย้ายที่อยู่อย่างถูกต้อง และไม่แจ้งย้ายที่อยู่เข้ามาอาศัยทำให้จำนวน ประชากรที่มีอยู่จริงสูงกว่าจ้านวนประชากรตามทะเบียนราษฎรเกือบเท่าตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน จะมีรายชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎรต่ำกว่ากลุ่มอื่น โดยข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2559 จังหวัดฯ มีประชากรตาม ทะเบียนราษฎรทั้งสิ้น 1,288,158 คน แยกเป็นชาย 617,406 คน หญิง 670,752 คน ซึ่งจะพบว่าประชากรส่วน ใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรปราการมากที่สุด รองลงมา คืออำเภอบางพลี และอำเภอพระประแดง ตามลำดับ โดยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเปรียบเทียบ กับจำนวนประชากรต่อพื้นที่จังหวัดฯ โดย เฉลี่ยประมาณ 1,253 คนต่อตารางกิโลเมตร นโยบายพัฒนาของจังหวัดสมุทรปราการ วิสัยทัศน์จังหวัดสมุทรปราการ (Vision) “เมืองอุตสาหกรรมสะอาด ปลอดภัย น่าอยู่” ภายใต้ วิสัยทัศน์ในการพัฒนาพื้นที่ (Area Vision) “เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เกษตรปลอดภัย แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความสมดุลกับการ พัฒนาเมือง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี สังคมมั่นคงปลอดภัย” พันธกิจ 1) ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้เป็นอุตสาหกรรมสะอาดที อยู่กับชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 2) เสริมสร้างความมั่นคง ปลอดภัยให้สังคมน่าอยู่ และพัฒนาคุณภาพชีวิตที ดีของประชาชน 3) พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการด้าน Logistic เชื่อมโยง Supply Chain ในระบบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การบริการและการท่องเที่ยว 4) ส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ศิลปวัฒนธรรม กีฬาและนันทนาการ 5) ส่งเสริมเครือข่ายอนุรักษ์ บำบัดและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มีความสมดุลกับ การพัฒนาเมือง 6) ส่งเสริมการเกษตรปลอดภัย ไม่ก่อมลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (GAP) 7) ส่งเสริมการพัฒนาระบบบริการประชาชน และการบริหารราชการแผ่นดินด้วยระบบธรรมาภิบาล


14 ยุทธศาสตร์จังหวัดสมุทรปราการ 1) ส่งเสริมอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมให้มีศักยภาพเพื่อการแข่งขันในภูมิภาคเขตเศรษฐกิจอาเซียน และประเทศคู่เจรจาการค้ากับเขตเศรษฐกิจอาเซียน โดยพัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสงแวดล้อม 2) พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน โดยยกระดับรายได้และการจัดการด้านการศึกษา สาธารณสุข ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม สาธารณูปโภค และสาธารณูปการให้เพียงพอ เท่าเทียม และทั่วถึง 3) ส่งเสริมระบบ Logistics เชื่อมโยงเขตเศรษฐกิจอาเซียน และประเทศคู่เจรจาการค้ากับ เขตเศรษฐกิจ อาเซียน โดยพัฒนาการบริหารจัดการ และปรับปรุงโครงข่ายการคมนาคมขนส่งให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 4) ส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรม โดยการพัฒนาแหล่ง ท่องเที่ยว สินค้า การบริการและประชาสัมพันธ์ให้เป็นที รู้จักและประทับใจของนักท่องเที่ยว 5) เสริมสร้างความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน โดยการพัฒนาระบบป้องกันและ แก้ไข ปัญหาภัยคุกคามความมั่นคง พร้อมทั้งพัฒนาวิถีชีวิตประชาธิปไตยแก่ประชาชน พันธกิจ 1. ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมให้เป็นอุตสาหกรรมสะอาดที่อยู่กับชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 2. เสริมสร้างความมั่นคง ปลอดภัยให้สังคมน่าอยู่ และพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน 3.ส่งเสริมและสนับสนุนการเสริมสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการ ด้าน Logistic เชื่อมโยงแหล่งวัตถุดิบสู่แหล่งผลิตและจังหวัดใกล้เคียง 4. ส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการท่องเที่ยวเชิงประเพณี วัฒนธรรม 5. ส่งเสริมเครือข่ายอนุรักษ์ บำบัดและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มีความ สมดุลกับการพัฒนาเมือง 6. ส่งเสริมการเกษตรปลอดภัย ไม่ก่อมลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (GAP) 7. ส่งเสริมการพัฒนาระบบบริการประชาชน และการบริหารราชการแผ่นดิน ด้วยระบบธรรมาภิบาล เป้าประสงค์รวม ตัวชี้วัดและค่าเป้าหมาย 1) เศรษฐกิจเจริญเติบโตต่อเนื่อง 2) ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี สังคมมั่นคงปลอดภัย


15 บริบทพื้นฐานของอำเภอพระประแดง สภาพภูมิศาสตร์ พื้นที่ส่วนใหญ่ของอำเภอพระประแดง เป็นที่ราบลุ่มอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่แต่เดิมเหมาะ แก่การทำสวนแต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปตามภาวะเศรษฐกิจด้านอุตสาหกรรมและชุมชนเมืองที่เกิดขึ้นใหม่เกือบ ทั้งหมดและจากการที่พื้นที่ติดต่อกับแม่น้ำสายหลักคือ แม่น้ำเจ้าพระยา จึงมีการใช้ประโยชน์ทางการคมนาคม และการขนส่งทางน้ำ ประวัติความเป็นมาของอำเภอพระประแดง อำเภอพระประแดงเป็นเมืองเก่าแก่มาก มีอายุนับพันปีล่วงมาแล้ว สันนิษฐานว่า ขอม เป็นผู้สร้าง เนื่องจาก ขอมเป็นใหญ่ในแคว้นสุวรรณภูมิจุดประสงค์ในการสร้างเมืองพระประแดงก็เพื่อให้เป็นเมืองหน้าด่าน ทะเลแต่จะสร้างในยุคใด สมัยใด ไม่ปรากฏแน่ชัด นอกจากสันนิษฐานว่า เป็นกษัตริย์ 3 พระองค์ คือ พระเจ้า อีสานวรมันที่ 1 หรือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 1 หรือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 เป็นผู้สร้าง เพราะ ในสมัยนั้น พระมหากษัตริย์ทั้ง 3 เป็นผู้มีความสามารถและมีชื่อเสียงมาก ข้อสันนิษฐานที่ว่า พระประแดงสร้างมาจากขอมนั้น คือ 1.คำว่า “พระประแดง” มาจากคำว่า “บาแดง” เป็นภาษาขอม แปลว่า คนเดินหมาย คนนำข่าว ทูต หรือ พนักงานตามคน ซึ่งเชื่อกันว่า หากเกิดเหตุใด ๆ ก็ตามขึ้นที่เมืองนี้จะต้องมีการส่งข่าวโดยที่คนที่ทำหน้าที่ส่งข่าวไป ที่เมืองละโว้หรือลพบุรีซึ่งขอมมีอำนาจอยู่ คำว่าพระประแดงมาจากภาษาขอมก็จริง แต่ว่าการเข้ามามีอิทธิพลของ ขอมในอ่าวไทยตลอดจนตำบลพระประแดงในจังหวัดสมุทรปราการปัจจุบันนั้น ก็ยังไม่มีเอกสารใดมายืนยันชัดเจน 2. ขอมได้ปกครองบริเวณใดนิยมจะสร้างปูชนียสถาน ถาวรวัตถุ ไว้เป็นอนุสรณ์เพื่อสร้างความ ยิ่งใหญ่ของตนจึง สรุปได้ว่า พระประแดง เป็นเมืองหน้าด่านทางทะเลที่สำคัญมากในแคว้นสุวรรณภูมิ ที่ขอมสร้างไว้รักษาปากน้ำ ปากน้ำสมัยนั้น เรียกว่า “ปากน้ำพระประแดง” และพระประแดงเป็นเมืองที่เกิดก่อน อาณาจักรสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ สันนิษฐานว่า ชาวรามัญเริ่มอพยพเข้าสู่ ประเทศไทย หลังจาก สมเด็จพระนเรศวร มหาราช ประกาศอิสรภาพ เมื่อ พ.ศ. 2127 ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พ.ศ. 2318 ปรากฏว่ามีชาว มอญอพยพเข้ามาราวหมื่นคนทางด้าน จังหวัดกาญจนบุรีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงพระราชทาน ที่ดิน ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองนนทบุรี ตั้งแต่ปากเกร็ดถึงปทุมธานีในสมัยรัชกาลที่ 2 แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์มีพวก มอญอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอีกเป็นจำนวนมาก เมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์แล้ว จึงโปรดให้อพยพครอบครัวมอญจากเมืองปทุมธานี โดยมีพระยาเจ่ง เป็นหัวหน้าไปอยู่ที่เมืองนคร เขื่อนขันธ์ ต่อมา โปรดให้สมิงทอบุตรชายพระยาเจ่ง เป็นเจ้าเมืองนครเขื่อนขันธ์ หรือเมืองพระประแดง กล่าวได้ว่า ประเพณีและ วัฒนธรรมมอญ จึงฝังรากอย่างแน่นในเมืองพระประแดง ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นคนไทย แต่ก็ยังรักษา ประเพณีเดิมไว้เป็นอย่างดี ทางจังหวัดสมุทรปราการ และชาวอำเภอพระประแดง จึงได้ร่วมกันจัด งานสงกรานต์ พระประแดง ขึ้น เพื่อเป็นการต้อนรับ ปีใหม่ ของไทย และเพื่ออนุรักษ์ประเพณีของชาวรามัญเอาไว้ เช่น ประเพณี การปล่อยนกปล่อยปลา การเล่นสะบ้า โดยจัดร่วมกับงานสงกรานต์ทุกปี


16 ตำแหน่งที่ตั้ง อาณาเขต อำเภอพระประแดงมีเนื้อที่ทั้งสิ้น ประมาณ 73.37 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 45,856.25 ไร่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดสมุทรปราการ โดยมีอาณาเขตติดต่อดังต่อไปนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับเขตยานนาวา เขตคลองเตยเขตพระโขนง และเขตบางนา (กรุงเทพมหานคร) มีแนวกึ่งกลางแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเส้นแบ่งเขต ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอเมืองสมุทรปราการ มีถนนทางรถไฟเก่า (สายปากน้ำ) เป็นเส้นแบ่งเขต ทิศใต้ติดต่อกับอำเภอเมืองสมุทรปราการและอำเภอพระสมุทรเจดีย์คลองขุด คลองบางฝ้าย กึ่งกลาง แม่น้ำเจ้าพระยา คลองท่าเกวียน และคลองบางจาก เป็นเส้นแบ่งเขต ทิศตะวันตก ติดต่อกับเขตทุ่งครุและเขตราษฎร์บูรณะ (กรุงเทพมหานคร) คลองรางใหญ่ คลองขุดเจ้า เมือง ลำรางสาธารณะ คลองบางพึ่ง คลองแจงร้อน เป็นเส้นแบ่งเขต แผนที่อำเภอพระประแดง ลักษณะภูมิอากาศ เป็นอากาศแบบชายทะเล อากาศเย็นไม่ร้อนจัด ในฤดูร้อนมีความชื้นในอากาศสูงเนื่องจากอิทธิพลของ ลมทะเลและลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณน้ำฝนสูงสุด 60.5 มิลิลิตร อุณหภูมิสูงสุด 38.5 องศา เซลเซียส และอุณหภูมิต่ำสุด 16.7 องศาเซลเซียส


17 การปกครอง อำเภอพระประแดงประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 9 แห่ง ได้แก่ - เทศบาลเมืองพระประแดง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลตลาดทั้งตำบล - เทศบาลเมืองลัดหลวง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบางพึ่ง ตำบลบางจาก และตำบลบางครุทั้งตำบล - เทศบาลเมืองปู่เจ้าสมิงพราย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบางหญ้าแพรก ตำบลบางหัวเสือ ตำบลสำโรง ใต้ ตำบลสำโรง และตำบลสำโรงกลางทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลทรงคนอง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลทรงคะนองทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลบางกระสอบ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบางกระสอบทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลบางกอบัว ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบางกอบัวทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลบางกะเจ้า ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบางกะเจ้าทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำผึ้ง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบางน้ำผึ้งทั้งตำบล - องค์การบริหารส่วนตำบลบางยอ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบางยอทั้งตำบล - https://support.google.com/legal/answer/3463239?hl=th


18 รายงานข้อมูลจำนวนประชากรอำเภอพระประแดง ตำบล ประชากรทั้งหมด ข้อมูลจำนวนผู้สูงอายุ ร้อยละ (%) กลุ่มติดสังคม กลุ่มติดบ้าน กลุ่มติดเตียง ไม่ ระบุ ตลาด 9,065 1,514 66 11 103 99.97% บางพึ่ง 15,284 2,415 113 21 238 98.74% บางจาก 17,892 2,621 198 31 128 98.70% บางครุ 15,696 3,126 140 39 148 96.66% บางหญ้าแพรก 17,587 2,785 376 27 436 100.00% บางหัวเสือ 13,778 2,649 124 3 125 93.51% สำโรงใต้ 8,419 1,220 189 14 168 81.41% บางยอ 8,334 1,328 412 21 123 92.38% บางกะเจ้า 4,313 506 245 22 94 100.00% บางน้ำผึ้ง 4,553 686 262 13 86 100.00% บางกระสอบ 2,508 464 107 5 31 100.00% บางกอบัว 6,495 1,227 118 14 126 86.00% ทรงคนอง 6,251 1,543 33 3 71 100.00% สำโรง 13,046 1,856 393 3 654 96.79% สำโรงกลาง 7,964 1,552 297 9 61 86.84% รวม 151,185 25,492 3,073 236 2,592 95.83% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 ) ที่มา: สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดสมุทรปราการ


19 สภาพเศรษฐกิจ การประกอบอาชีพ เนื่องจากอำเภอพระประแดง เป็นแหล่งเมืองอุตสาหกรรม ประชากรส่วนใหญ่จึงมีรายได้จากการ ประกอบอาชีพในโรงงานอุตสาหกรรมและสถานประกอบการต่าง ๆ มากถึง 55 % ที่เหลือเป็น ผู้ประกอบอาชีพ ค้าขาย 25 % การเกษตร 17 % ที่เหลือ อีก 8 % ประกอบอาชีพรับราชการและอาชีพอื่น ๆ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 เดือน มกราคม พ.ศ. 2560) สภาพทางสังคมและวัฒนธรรมสิ่งสำคัญและสิ่งโดดเด่นในชุมชน 1. ศาสนาพุทธ มีวัดในเขตอำเภอพระประแดง ทั้งสิ้น 38 วัด เป็นอารามหลวง จำนวน 4 วัด 2. ศาสนาอิสลาม มีมัสยิด จำนวน 3 แห่ง 3. ศาสนาคริสต์ มีโบสถ์คริสต์ จำนวน 2 แห่ง 4. ศูนย์วัฒนธรรมในเขตอำเภอพระประแดง จำนวน 2 แห่ง คือ 4.1 ศูนย์วัฒนธรรมอำเภอพระประแดงตั้งอยู่บริเวณสถานศึกษาอำนวยวิทย์ ตำบลตลาดอำเภอ พระประแดง 4.2 ศูนย์วัฒนธรรมชุมชนมุสลิม – มลายูบ้านปากลัด ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 26/43 หมู่ 18 ตำบล บางพึ่ง อำเภอพระประแดง โดยเป็นวัฒนธรรมในชุมชนปากลัด เป็นชุมชนมุสลิมเก่าแก่ที่สุดในจังหวัด สมุทรปราการ มีประชากรชาวมุสลิมที่แบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือ มุสลิมรุ่นแรกที่อยู่มาตั้งแต่เดิมก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นมุสลิมที่มีเชื้อสายมาจากมะละกาปลายแหลมมลายู ส่วนมุสลิมรุ่นที่สองนั้นมาอยู่ในเขตอำเภอพระประแดงราว 200 กว่าปี ช่วงตอนต้นรัชกาลที่ 1 ของกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2329 ที่อพยพมาจากจังหวัดปัตตานี จนเป็นชุมชน มุสลิมอยู่ร่วมกับชาวมอญจากนั้นมา นอกจากนี้ยังมีประเพณีของชาวมอญอีกหลายอย่างที่จัดในวันสงกรานต์ เช่น ประเพณีการแห่สงกรานต์พระประแดง ประเพณีการถวายธงตะขาบ ประเพณีแห่ปลา ซึ่งการจัดประเพณี ดังกล่าวเป็นของชาวมอญที่มีการจัดเป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้เอกลักษณ์อันโดดเด่นของพระ ประแดง อีกประการหนึ่งคือ ความเป็นเมืองมอญเพราะเก่าก่อนมีคนไทยเชื้อสายมอญอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และด้วยเหตุนี้เอง วัฒนธรรมของเมืองพระประแดงจึงได้รับอิทธิพลมาจากอายธรรมมอญ พระประแดงจึงเป็นเมือง แห่งวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันของคนสองเชื้อชาติอย่างลงตัว


20 ตอนที่ 3 ข้อมูลสถานศึกษา ข้อมูลพื้นฐานของสถานศึกษา ข้อมูลสถานศึกษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง ชื่อสถานศึกษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง ตั้งอยู่เลขที่ 67 ถนนนครเขื่อน ขันธ์ ตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ รหัสไปรษณีย์ 10130 โทรศัพท์ 024631393 เว็ปไซด์ : - E-mail : [email protected] ประวัติความเป็นมาของสถานศึกษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเดิมกรมการศึกษานอกสถานศึกษา (กศน.) จัดตั้ง ขึ้นเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2522 ซึ่งเป็นกรมหนึ่งในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการโดยมีรากฐานที่มั่นคงที่มาจาก “การศึกษาผู้ใหญ่”ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษของปี2474เป็นต้นไปเมื่อรัฐบาลได้ตระหนักถึงความจำเป็นที่ จะต้องจัดการศึกษาในรูปแบบอื่นเพื่อยกระดับอัตราการรู้หนังสือซึ่งขณะนั้นอัตราการรู้หนังสือของประชากรที่มี อายุตั้งแต่20ปีขึ้นไปมีเพียงร้อยละ42ในปี2483รัฐบาลจึงได้จัดตั้งกองการศึกษาผู้ใหญ่ขึ้นในสำนักปลัดกระทรวง ศึกษาธิการเพื่อรับผิดชอบงานการศึกษาผู้ใหญ่โดยตรงและได้ริเริ่มโครงการรณรงค์เพื่อการรู้หนังสือทั่วประเทศ พร้อมกับประกาศใช้กฎหมายบังคับให้ประชาชนผู้ไม่รู้หนังสือที่มีอายุระหว่าง 20– 45 ปี เสียค่าเล่าเรียนเป็นรายปี จนกว่าจะผ่านการทดสอบว่าเป็นผู้รู้หนังสือแล้ว โครงการรณรงค์ฯ ดังกล่าวประสบความสำเร็จพอสมควรแต่ต้อง หยุดชะงักไปเนื่องจากภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงระหว่าง 2513 - 2523 ภารกิจการดำเนินงานของการจัด การศึกษาผู้ใหญ่ได้ขยายตัวและมีบทบาทหน้าที่เพิ่มมากขึ้นจนได้มีการตั้งกรมการศึกษานอกสถานศึกษาเพื่อจัด การศึกษานอกสถานศึกษาสำหรับประชาชนทั่วไปที่พลาดและขาดโอกาสทางการศึกษาให้ได้รับการศึกษาตลอด ชีวิตปัจจุบันมีฐานะเป็นสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สังกัดสำนัก ปลัดกระทรวงศึกษาธิการตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ 2551 งานการศึกษานอกระบบเป็นงานที่มีขอบข่ายกว้างขวางครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศมีกิจกรรม ที่หลากหลายรูปแบบสำหรับให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะประชาชนที่อยู่นอกระบบได้มีโอกาสรับ การศึกษาและการพัฒนาตามสภาพความพร้อมได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตและมาตราที่5ตามพระราชบัญญัติการ ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยบัญญัติว่า“เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและสนับสนุน การศึกษาให้บุคคลได้รับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ตามกฎหมาย ว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติโดยให้บุคคลซึ่งได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานไปแล้วหรือไม่ก็ตามมีสิทธิได้รับการศึกษาใน


21 รูปแบบการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัยได้แล้วแต่กรณีทั้งนี้ตามกระบวนการและการดำเนินการที่ ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดงเป็นสถานศึกษาสังกัด สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(เดิมคือสำนักบริหารงานการศึกษานอก สถานศึกษาและกรมการศึกษานอกสถานศึกษา) ได้รับการจัดตั้งตามประกาศ กระทรวงศึกษาธิการลงวันที่ 27 สิงหาคม 2536 โดยมีสถานที่ตั้ง ณ เลขที่ 67 ถนนนครเขื่อนขันธ์ตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัด สมุทรปราการในอาคารรัชมังคลาภิเษกซึ่งเป็นห้องสมุดประชาชนอำเภอพระประแดง มีเนื้อที่ 144 ตารางเมตร 36 ตารางวา ต่อมาเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2546 ได้ย้ายสำนักงานขึ้นไปอยู่บนอาคารชั้น 4 ของที่ว่าการอำเภอพระ ประแดงและได้ย้ายลงมาที่บริเวณห้องสมุดประชาชนอำเภอพระประแดงเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2550 ปัจจุบัน ได้ย้ายมาอยู่สถานที่ ณ เลขที่ 67 ถนนครเขื่อนขันธ์ ตำบลตลาด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โดยมี นางสาวนันท์นภัสร์ ศรีวิเชียร ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อำเภอพระสมุทรเจดีย์ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการกศน.อำเภอพระประแดง ถึงปัจจุบัน สังกัด ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง สังกัดสำนักงานส่งเสริม การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสมุทรปราการ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ ปรัชญา จัดการศึกษาตลอดชีวิต สร้างความมั่นคง บนฐานของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วิสัยทัศน์ กศน.อำเภอพระประแดง พัฒนาศักยภาพคน ให้มีความมั่นคงด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม โดยยึด หลักคุณธรรมจริยธรรม อัตลักษณ์สถานศึกษา คิดเป็น ทำเป็น เอกลักษณ์ กศน.อำเภอพระประแดง องค์กรแห่งการพัฒนาทักษะการคิด สู่การปฏิบัติ พันธกิจ 1. จัดการศึกษานอกระบบทุกรูปแบบ บนพื้นฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. สอนให้ผู้ไม่รู้หนังสือสามารถอ่านออกเขียนได้ 3. ให้ผู้รู้หนังสือคงความรู้หนังสือ ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน 4. พัฒนาความรู้ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อก้าวเข้าสู่ยุค ไทยแลนด์ 4.0 5. พัฒนาคุณภาพบุคลากร ภาคีเครือข่ายในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย


โครงสร้างกาศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกลุ่มอำนวยการ กลุ่มจัดการศึกษานอกระบบ1. งานธุรการ - สารบรรณ 1. งานส่งเสริมการรู้หนังสือ 2 งานการเงิน / งานบัญชี 2. งานการศึกษาเทียบเท่าขั้นพื้นฐาน 3. งานบริหารวิชาการ 3. งานการศึกษาตลอดชีวิต4. งานพัสดุ / อาคารสถานที่ / ยานพาหนะ 4. งานทะเบียนและวัดผล5. งานธุรการ 5. งานการศึกษาต่อเนื่อง6. งานแผนงาน / โครงการ / ข้อมูลสาร 5.1 งานการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ สนเทศ นิเทศและการรายงาน 5.2 งานการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะ7. งานประกันคุณภาพ 5.3 งานการศึกษาเพื่อพัฒนาสังคม 5.4 งานการศึกษาเศรษฐกิจพอเพีย6. งานการศึกษาตามอัธยาศัย 6.1 งานจัดและพัฒนาแหล่งความรู้ 6.2 งานจัดและพัฒนาศูนย์การเรียน 6.3 งานห้องสมุดประชาชน 7. งานพัฒนาหลักสูตร สื่อ เทคโนโลยีทา8. งานศูนย์บริการให้คำปรึกษาแนะนำ


1 ารบริหารงาน กษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง ศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง คณะกรรมการสถานศึกษา บและการศึกษาตามอัธยาศัย กลุ่มภาคีเครือข่ายกิจกรรมพิเศษ 1. งานส่งเสริมสนับสนุนเครือข่าย 2. งานกิจการพิเศษ 2.1 งานส่งเสริมกิจกรรมประชาธิปไตย 2.2 งานสนับสนุนโนบายจังหวัด/อำเภอ/ ส่วนกลาง พ / ทักษะอาชีพ / กลุ่มสนใจ 2.3 งานกิจกรรมป้องกันยาเสพติด / เอดส์ ะชีวิต 2.4 งานกิจกรรมวัฒนธรรม มและชุมชน ยง 2.5 งานอื่นๆ รู้ / ภูมิปัญญา นชุมชน างการศึกษา 26


27 บุคลากร ข้อมูลบุคลากรของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง ที่ ชื่อ - สกุล ตำแหน่ง วุฒิ การศึกษา วิชาเอก 1 นางสาวนันท์นภสร์ ศรีวิเชียร ผู้อำนวยการ สถานศึกษา คม. บริหารการศึกษา 2. นางสาวชัญญานุช พิทักษ์เมฆา ครูผู้ช่วย ศศบ. เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์เพื่อการ พัฒนา สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป 2 นางธัญย์ธรณ์ ธนะปัทม์ ลูกจ้างประจำ ม.6 คณิต – อังกฤษ 3 นางสาวเพ็ญศรี มีมูลทอง ครูอาสาสมัคร กศน. วท.บ ศศ.ม. เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา 4 นายบุญธวัช พันธ์เสือ ครูอาสาสมัคร กศน. คบ. วิทยาศาสตร์ทั่วไป 5 นางสาวทัศนีย์ แสงสว่าง ครู กศน.ตำบล คบ. สังคมศึกษา 6 นายสิทธิศักดิ์ กิ่งแก้ว ครู กศน.ตำบล วท.บ. เทคโนโลยีการเกษตร 7 นายอุดมพร เดี้ยปิย์ ครู กศน.ตำบล ศศบ. นิเทศศาสตร์ 8 นายธนากร นาพยัพ ครู กศน.ตำบล บธ.บ. บริหารการตลาด 9 นางสาวสุวิชา เปี่ยมสวัสดิ์ ครู กศน.ตำบล นศ.บ , ศศม. วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ บริหารการศึกษา 10 นางสาวนุชวณา โต้สาลี ครู กศน.ตำบล คบ. พลศึกษา 11 นางสังวาลย์ ทรัพย์ประเสริฐ ครู กศน.ตำบล บธ.บ. การจัดการทั่วไป 12 นายวีระวัฒน์ ต้อไธสง ครู กศน.ตำบล คบ. สังคมศึกษา 13 นางสาวจิราภรณ์ ภูมิผักแว่น ครู กศน.ตำบล คบ. สังคมศึกษา 14 นางสาวชุติสรา ทุมโยมา ครู กศน.ตำบล วทบ. ชีววิทยาประยุกต์ 15 นายประชากร สืบเพ็ง ครู กศน.ตำบล คบ. พละศึกษา 16 นางสาวพีรยา รุ่งเรือง ครู กศน.ตำบล วทบ. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 17 นางสาวชดาพร ศรีละออน ครู กศน.ตำบล คบ. สังคมศึกษา


28 ที่ ชื่อ - สกุล ตำแหน่ง วุฒิ การศึกษา วิชาเอก 18 นางสาวปาณิศา เหลือผล ครูกศน.ตำบล คบ. พละศึกษา 19. นางสาวกฤษติยา กุลัพบุรี ครูกศน.ตำบล คบ. ชีววิทยา 20. นางสาวธัญชนก วรรณทอง ครุกศน.ตำบล วท.บ วิทยาศาสตร์ 21. นายกิตติพงษ์ นันเสนา ครูผู้สอนคนพิการ คบ. พละศึกษา 22. นางสาววราภรณ์ วิเชียรรักษ์ ครู ศรช. ศศบ. สื่อสารมวลชน –ประชาสัมพันธ์ 23 นางสาวนิกษารัตน์ แก้วอุดร ครูศรช บธ.บ การตลาด 24. นายวัชนะ บุญมี ครูศรช. ศศบ. พลศึกษา 25 นางสาวสุปราณี ตรีชา บรรณารักษ์ คบ จิตวิทยาและการแนะแนว


29 ด้านปัจจัยสนับสนุน กศน.ตำบล อาคารสถานที่ สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งเรียนรู้ การสนับสนุนจากเครือข่าย งบประมาณ ดำเนินการ กศน.ตำบล บางจาก - มีอาคารสถานที่ พร้อมในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ ของผู้เรียน - อาคารสถานที่ใน การจัดตั้ง กศน. ตำบลบางจาก - มีสื่อวัสดุอุปกรณ์ การเรียนการสอน ในการจัด กระบวนการ เรียนรู้ - อินเตอร์เน็ตชุมชน - ศูนย์วัฒนธรรมวัด ชมนิมิต - ได้รับการสนับสนุนด้านอาคาร สถานที่จากเทศบาลเมืองลัด หลวงในการจัดตั้ง กศน.ตำบล บางจาก - ได้รับการสนับสนุนในด้านการ ประชาสัมพันธ์งาน กศน. -ได้รับการสนับสนุนสถานที่ใน การพบกลุ่มจากสถานศึกษาวัด ชมนิมิตร - มีงบประมาณ เพียงพอในการ ดำเนินกิจกรรม งาน กศน. กศน.ตำบล บางครุ - มีอาคารสถานที่ ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ - มีอาคารสถานที่ ในการจัดตั้ง กศน. ตำบลบางครุ - มีสื่อวัสดุอุปกรณ์ การเรียนการสอน ในการจัด กระบวนการ เรียนรู้ - วัดครุใน - วัดครุนอก - ตลาดน้ำลัดหลวง -ได้รับการสนับสนุนด้านอาคาร สถานที่จากวัดครุ ใน ในการ จัดตั้ง กศน.ตำบล บางครุ - ได้รับการสนับสนุนในด้านการ ประชาสัมพันธ์งาน กศน. -ได้รับการสนับสนุนสถานที่ใน การพบกลุ่มจากสถานศึกษา วัดครุใน ในการพบกลุ่ม - มีงบประมาณ เพียงพอในการ ดำเนินกิจกรรม งาน กศน. กศน.ตำบล บางพึ่ง - มีอาคารสถานที่ ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ - มีอาคารสถานที่ ในการจัดตั้ง กศน. ตำบลบางพึ่ง - มีสื่อวัสดุอุปกรณ์ การเรียนการสอน ในการจัด กระบวนการ เรียนรู้ - วัดรวก - วัดนางพึ่ง - วัดไพชยนต์พล เสพย์ โบราณสถาน - มัสยิด - ชุมชนขนมไทยบาง พึ่ง - บ้านลอดช่อง -ได้รับการสนับสนุนด้านอาคาร สถานที่จากสถานศึกษาวัดรวก ในการจัดตั้ง กศน.ตำบลบางพึ่ง และสถานที่พบกลุ่ม - ได้รับการสนับสนุนในด้านการ ประชาสัมพันธ์งาน กศน. - มีงบประมาณ เพียงพอในการ ดำเนินกิจกรรม งาน กศน. กศน.ตำบล ตลาด - มีอาคารสถานที่ ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ - มีอาคารสถานที่ ในการจัดตั้ง กศน. ตำบลตลาด - มีความพร้อม ของสื่อวัสดุ อุปกรณ์ในการจัด กระบวนการ เรียนรู้ - อนุสาวรีย์รัชกาล ที่ 2 - ศาลหลักเมือง พระประแดง - ได้รับการสนับสนุนสถานที่ใน การพบกลุ่มจากวัดอาษา สงคราม และวัดทรงธรรม วรวิหาร - มีงบประมาณ เพียงพอในการ ดำเนินกิจกรรม งาน กศน.


30 กศน.ตำบล อาคารสถานที่ สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งเรียนรู้ การสนับสนุนจากเครือข่าย งบประมาณ ดำเนินการ กศน.ตำบล ทรงคนอง - มีอาคารสถานที่ ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ - มีอาคารสถานที่ ในการจัดตั้ง กศน. ตำบลทรงคนอง - มีความพร้อม ของสื่อวัสดุ อุปกรณ์ในการจัด กระบวน การเรียนรู้ - วัดคันลัด โบราณสถาน - วัดจากแดง วัฒนธรรม - หมู่บ้านชาวมอญ - คลองลัดโพธิ์อัน เนื่องมาจาก พระราชดำริ - สวนเฉลิมพระ เกียรติ 80 พรรษา - ได้รับการสนับสนุนด้านอาคาร สถานที่จากอาคาร เอนกประสงค์ชุมชนในการ จัดตั้ง กศน.ตำบลทรงคนอง และสถานที่พบกลุ่ม - ได้รับการสนับสนุนในด้านการ ประชาสัมพันธ์งาน กศน. - มีงบประมาณ เพียงพอในการ ดำเนินกิจกรรม งาน กศน. กศน.ตำบล บางยอ - มีอาคารสถานที่ ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ - มีอาคารสถานที่ ในการจัดตั้ง กศน. ตำบลบางยอ มีความพร้อมของ สื่อวัสดุอุปกรณ์ใน การจัดกระบวน การเรียนรู้ - นวดแผนโบราณ - วัดบางขมิ้น - ได้รับการสนับสนุนด้านอาคาร สถานที่จาก อบต.ตำบลบางยอ ในการจัดตั้ง กศน.ตำบลบางยอ และสถานที่ในการพบกลุ่ม - ได้รับการสนับสนุนในด้านการ ประชาสัมพันธ์งาน กศน. - มีงบประมาณ เพียงพอในการ ดำเนินกิจกรรม งาน กศน. กศน.ตำบล บางน้ำผึ้ง - มีอาคารสถานที่ ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ - มีอาคารสถานที่ ในการจัดตั้ง กศน.ตำบลบาง น้ำผึ้ง มีความพร้อมของ สื่อวัสดุอุปกรณ์ใน การจัด กระบวนการ เรียนรู้ - วัดบางน้ำผึ้งนอก โบราณสถาน - วัดบางน้ำผึ้งใน โบราณสถาน - ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง - บ้านธูปสมุนไพร - ศูนย์ถ่ายทอด เทคโนโลยีการเกษตร - ได้รับการสนับสนุนด้านอาคาร สถานที่จาก สถานศึกษาวัดบาง น้ำผึ้งนอกในการการจัดตั้ง กศน.ตำบลบางน้ำผึ้ง - ได้รับการสนับสนุนในด้านการ ประชาสัมพันธ์งาน กศน. -ได้รับการสนับสนุนสถานที่ใน การพบกลุ่มจาก อบต.บางน้ำผึ้ง - มีงบประมาณ เพียงพอในการ ดำเนินกิจกรรม งาน กศน. กศน.ตำบล บางกะเจ้า - มีอาคารสถานที่ ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ - มีอาคารสถานที่ ในการจัดตั้ง กศน. ตำบลบางกะเจ้า มีความพร้อมของ สื่อวัสดุอุปกรณ์ใน การจัด กระบวนการ เรียนรู้ - วัดราษฏร์รังสรรค์ - สวนศรีนครเขื่อน ขันธ์ - ได้รับการสนับสนุนด้านอาคาร สถานที่จากสถานศึกษาในการ จัดตั้ง กศน.ตำบลบางกะเจ้า - ได้รับการสนับสนุนในด้านการ ประชาสัมพันธ์งาน กศน. - ได้รับการสนับสนุนสถานที่ใน การพบกลุ่มจากองค์การบริหาร ส่วนตำบลบางกะเจ้า - มีงบประมาณ เพียงพอในการ ดำเนินกิจกรรม งาน กศน.


31 กศน.ตำบล อาคารสถานที่ สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งเรียนรู้ การสนับสนุนจากเครือข่าย งบประมาณ ดำเนินการ กศน.ตำบล บาง กระสอบ - มีอาคารสถานที่ ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ - มีอาคารสถานที่ ในการจัดตั้ง กศน. ตำบล บางกระสอบ มีความพร้อมของ สื่อวัสดุอุปกรณ์ใน การจัด กระบวนการ เรียนรู้ - วัดบางกระสอบ โบราณสถาน - ได้รับการสนับสนุนด้านอาคาร สถานที่จาก อบต.ตำบล บางกระสอบ ในการจัดตั้ง กศน. ตำบลบางกระสอบและสถานที่ พบกลุ่ม - ได้รับการสนับสนุนในด้านการ ประชาสัมพันธ์งาน กศน. - มีงบประมาณ เพียงพอในการ ดำเนินกิจกรรม งาน กศน. กศน.ตำบล บางกอบัว - มีอาคารสถานที่ ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ - มีอาคารสถานที่ ในการจัดตั้ง กศน. ตำบล บางกอบัว มีความพร้อมของ สื่อวัสดุอุปกรณ์ใน การจัด กระบวนการ เรียนรู้ - วัดบางกอบัว โบราณสถาน - ได้รับการสนับสนุนด้านอาคาร สถานที่จาก อบต.ตำบลบางกอ บัว ในการจัดตั้ง กศน.ตำบลบาง กอบัวและสถานที่ในการพบ กลุ่ม - ได้รับการสนับสนุนในด้านการ ประชาสัมพันธ์งาน กศน. - มีงบประมาณ เพียงพอในการ ดำเนินกิจกรรม งาน กศน. กศน.ตำบล สำโรง - มีอาคารสถานที่ ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ - มีอาคารสถานที่ ในการจัดตั้ง กศน.ตำบลสำโรง มีความพร้อมของ สื่อวัสดุอุปกรณ์ใน การจัด กระบวนการ เรียนรู้ - วัดโยธินประดิษฐ์ - วัดมหาวงษ์ - ได้รับการสนับสนุนด้านอาคาร สถานที่จาก ฟอร์เด็ก ในการ จัดตั้ง กศน.ตำบลสำโรง - ได้รับการสนับสนุนในด้านการ ประชาสัมพันธ์งาน กศน. -ได้รับการสนับสนุนสถานที่ใน การพบกลุ่มจากชุมชน - มีงบประมาณ เพียงพอในการ ดำเนินกิจกรรม งาน กศน. กศน.ตำบล สำโรงใต้ - มีอาคารสถานที่ ในการจัด กระบวนการ เรียนรู้- มีอาคาร สถานที่ในการจัดตั้ง กศน.ตำบลสำโรงใต้ - มีความพร้อม ของสื่อวัสดุ อุปกรณ์ในการจัด กระบวน การเรียนรู้ - เทศบาลเมือง สำโรงใต้ - วัดสำโรงใต้ - ได้รับการสนับสนุนด้านอาคาร สถานที่จากเทศบาลปู่เจ้า สมิงพราย ในการจัดตั้ง กศน. ตำบลสำโรงใต้ - ได้รับการสนับสนุนในด้านการ ประชาสัมพันธ์งาน กศน. -ได้รับการสนับสนุนสถานที่ในการ พบกลุ่มจากเทศบาลปู่เจ้าสมิง พราย - มีงบประมาณ เพียงพอในการ ดำเนินกิจกรรม งาน กศน.


32 กศน.ตำบล อาคารสถานที่ สื่อ/อุปกรณ์ แหล่งเรียนรู้ การสนับสนุนจากเครือข่าย งบประมาณ ดำเนินการ กศน.ตำบล สำโรงกลาง - มีอาคารสถานที่ใน การจัดกระบวนการ เรียนรู้ - มีอาคารสถานที่ใน การจัดตั้ง กศน. ตำบล สำโรงกลาง - มีความพร้อมของ สื่อวัสดุอุปกรณ์ใน การจัดกระบวนการ เรียนรู้ - สถานีอนามัยตำบล สำโรงกลาง - ได้รับการสนับสนุนด้านอาคาร สถานที่จากเทศบาลปู่เจ้าสมิง พราย ในการจัดตั้ง กศน.ตำบล สำโรงกลาง - ได้รับการสนับสนุนในด้านการ ประชาสัมพันธ์งาน กศน. -ได้รับการสนับสนุนสถานที่ในการ พบกลุ่มจากเทศบาลปู่เจ้าสมิง พราย - มีงบประมาณ เพียงพอในการ ดำเนินกิจกรรม งาน กศน. กศน.ตำบล บางหัวเสือ - มีอาคารสถานที่ใน การจัดกระบวนการ เรียนรู้ - มีอาคารสถานที่ใน การจัดตั้ง กศน. ตำบล บางหัวเสือ - มีความพร้อมของ สื่อวัสดุอุปกรณ์ใน การจัดกระบวนการ เรียนรู้ - วัดบางหัวเสือ - ตลาดน้ำวัด บางหัวเสือ - ได้รับการสนับสนุนด้านอาคาร สถานที่จากอาคารอเนกประสงค์ ชุมชนในการจัดตั้ง กศน.ตำบลบาง หัวเสือ - ได้รับการสนับสนุนในด้านการ ประชาสัมพันธ์งาน กศน. -ได้รับการสนับสนุนสถานที่ในการ พบกลุ่มจากสถานศึกษาและภาคี เครือข่าย - มีงบประมาณ เพียงพอในการ ดำเนินกิจกรรม งาน กศน. กศน.ตำบล บางหญ้า แพรก - มีอาคารสถานที่ใน การจัดกระบวนการ เรียนรู้ - มีอาคารสถานที่ใน การจัดตั้ง กศน. ตำบล บางหญ้าแพรก - มีความพร้อมของ สื่อวัสดุอุปกรณ์ใน การจัดกระบวนการ เรียนรู้ - ศาลปู่เจ้าสมิงพราย - วัดแหลม - ได้รับการสนับสนุนด้านอาคาร สถานที่จากสถานศึกษาวัดท้องคุ้ง สมาสัย ในการจัดตั้ง กศน.ตำบล บางหญ้าแพรก - ได้รับการสนับสนุนในด้านการ ประชาสัมพันธ์งาน กศน. -ได้รับการสนับสนุนสถานที่ในการ พบกลุ่มจากสถานศึกษาโรงเรียน วัดท้องคุ้ง - มีงบประมาณ เพียงพอในการ ดำเนินกิจกรรม งาน กศน.


33 ด้านผู้เรียน/ผู้รับบริการ ช่วงอายุ เพศ ความรู้พื้นฐาน อาชีพ รายได้ / เดือน มีความสนใจในการเรียนรู้ 15 – 25 ปี ชาย - ผู้เรียนมีทักษะการเขียน การอ่าน อยู่ใน เกณฑ์ดี และปรับเปลี่ยนทัศนคติเพื่อรับรู้ สิ่งใหม่ๆได้ง่าย มีความรู้พื้นฐานด้าน เทคโนโลยี - ส่วนใหญ่ว่างงานและมี บางส่วนรับจ้างทั่วไป 4,200.- บาท - มีความสนใจ กระตือรือร้นที่จะมาเรียนรู้ หญิง - มีทักษะการเขียน การอ่าน การคิดอยู่ ในเกณฑ์ดี และปรับเปลี่ยนทัศนคติเพื่อ รับรู้สิ่งใหม่ๆได้ง่าย มีความรู้พื้นฐานด้าน เทคโนโลยี - มีอาชีพไม่แน่นอน ปรับเปลี่ยนงานบ่อยครั้ง 4,600.- บาท - มีความสนใจ กระตือรือร้นที่จะมาเรียนรู้ 26 – 35 ปี ชาย - มีความรับผิดชอบและมีทักษะการเขียน การอ่าน การคิด ในการศึกษาค้นคว้าหา ความรู้ด้านต่างๆ - ประกอบอาชีพในโรงงาน อุตสาหกรรม ปรับเปลี่ยน งานบ่อยครั้ง 7,500.- บาท - มีความสนใจ กระตือรือร้นที่จะมาเรียนรู้ หญิง - มีความรับผิดชอบและมีทักษะการเขียน การอ่าน การคิด อยู่ในเกณฑ์ดี ใน การศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้านต่างๆ - มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ประกอบอาชีพในโรงงาน อุตสาหกรรม 8,000.- บาท - มีความสนใจ กระตือรือร้นที่จะมาเรียนรู้ 36 – 45 ปี ชาย - มีความรับผิดชอบและมีทักษะการอ่าน การคิด วิเคราะห์ อยู่ในเกณฑ์ดี และ แก้ปัญหาได้ - มีการประกอบอาชีพใน โรงงานอุตสาหกรรมอาชีพที่ แน่นอน 8,200 .- บาท - มีความสนใจ กระตือรือร้นที่จะมาเรียนรู้ หญิง - มีความรับผิดชอบและมีทักษะการอ่าน การคิด วิเคราะห์อยู่ในเกณฑ์ดี และ แก้ปัญหาได้ - มีการประกอบอาชีพใน โรงงานอุตสาหกรรมและ ห้างสรรพสินค้ามีอาชีพที่ แน่นอน 7,200.- บาท - มีความสนใจ กระตือรือร้นที่จะมาเรียนรู้ 46 – 55 ปี ชาย - มีความรับผิดชอบและมีทักษะการอ่าน การคิด วิเคราะห์ อยู่ในเกณฑ์ดี แก้ปัญหา และให้คำปรึกษาแนะนำได้ - มีการประกอบอาชีพใน โรงงานอุตสาหกรรมอาชีพที่ แน่นอน 8,000.- บาท - มีความสนใจ กระตือรือร้นที่จะมาเรียนรู้ หญิง - มีความรับผิดชอบและมีทักษะการอ่าน การคิด วิเคราะห์ อยู่ในเกณฑ์ดี แก้ปัญหา และให้คำปรึกษาแนะนำได้ - มีการประกอบอาชีพใน โรงงานอุตสาหกรรม และ เป็นแม่บ้าน 5,000.- บาท - มีความสนใจ กระตือรือร้นที่จะมาเรียนรู้ 55 ปี ขึ้นไป ชาย - มีทักษะการคิด วิเคราะห์ อยู่ในเกณฑ์ดี แก้ปัญหา ให้คำปรึกษาแนะนำได้ - ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ รับจ้างทั่วไปและไม่มีงานทำ 4,500.- บาท - มีความสนใจ กระตือรือร้นที่จะมาเรียนรู้ หญิง - มีทักษะ การคิด วิเคราะห์ อยู่ในเกณฑ์ดี แก้ปัญหา ให้คำปรึกษาแนะนำได้ - ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ รับจ้างทั่วไปและไม่มีงานทำ 3,500.- บาท - มีความสนใจ กระตือรือร้นที่จะมาเรียนรู้


34 จุดอ่อน Weaknesses ด้านการบริหาร ด้านบุคลากร - บุคลากรมีการเข้าออกบ่อย จึงมีปัญหาในการบริหารงานการเรียนการสอน ด้านผู้เรียน/ผู้รับบริการ ช่วงอายุ เพศ เวลามาพบกลุ่ม ระเบียบวินัย การมีส่วนร่วม 15 – 25 ปี ชาย มาพบกลุ่มช้ากว่าเวลาที่กำหนด ประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง และจะกลับก่อนเวลาที่กำหนด - ไม่ค่อยให้ความเคารพและความ เกรงใจกับครูผู้สอน - ไม่ค่อยให้ความเกรงใจต่อเพื่อน - การใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมและ ไม่ถูกกาละเทศะ - ขาดความร่วมมือใน กระบวนการกลุ่ม - ไม่กล้าแสดงออกทางความ คิดเห็น หญิง มาพบกลุ่มช้ากว่าเวลาที่กำหนด ประมาณ 30 นาทีและจะกลับ ก่อนเวลาที่กำหนด - ไม่ค่อยให้ความเคารพและความ เกรงใจกับครูผู้สอน - ไม่ค่อยให้ความเกรงใจต่อเพื่อน - การใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมและ ไม่ถูกกาละเทศะ - ขาดความร่วมมือใน กระบวนการกลุ่ม - ไม่กล้าแสดงออกทางความ คิดเห็น 26 – 35 ปี ชาย มาพบกลุ่มช้ากว่าเวลาที่กำหนด ประมาณ 20 นาทีถึง 30 นาที - ขาดความเกรงใจกับเพื่อนร่วม ห้อง - การใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมใน บางโอกาส - ขาดความร่วมมือใน กระบวนการกลุ่ม - ไม่กล้าแสดงออกทางความ คิดเห็น หญิง มาพบกลุ่มช้ากว่าเวลาที่กำหนด ประมาณ 20 นาทีถึง 30 นาที - ขาดความเกรงใจกับเพื่อนร่วม ห้อง - การใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมใน บางโอกาส - ขาดความร่วมมือใน กระบวนการกลุ่ม - ไม่กล้าแสดงออกทางความ คิดเห็น 36 – 45 ปี ชาย มีข้ออ้างเมื่อมาพบกลุ่มช้ากว่า เวลาที่กำหนด - ขาดความเกรงใจกับเพื่อนร่วม ห้อง - การใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมใน บางโอกาส - ขาดความร่วมมือใน กระบวนการกลุ่ม - ไม่กล้าแสดงออกทางความ คิดเห็น หญิง มีข้ออ้างเมื่อมาพบกลุ่มช้ากว่า เวลาที่กำหนด เนื่องจากทำงาน เป็นกะ และต้องรีบมาพบกลุ่ม - ขาดความเกรงใจกับเพื่อนร่วม ห้อง - การใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมใน บางโอกาส - ขาดความร่วมมือใน กระบวนการกลุ่ม - ไม่กล้าแสดงออกทางความ คิดเห็น


35 ช่วงอายุ เพศ เวลามาพบกลุ่ม ระเบียบวินัย การมีส่วนร่วม 46 – 55 ปี ชาย มาพบกลุ่มและขออนุญาตกลับ ก่อนเวลาที่กำหนด - การใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมใน บางโอกาส - ขาดความร่วมมือใน กระบวนการกลุ่ม - ไม่กล้าแสดงออกทางความ คิดเห็น หญิง มาพบกลุ่มและขออนุญาตกลับ ก่อนเวลาที่กำหนด - ขาดความเกรงใจกับเพื่อนร่วม ห้อง- การใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม ในบางโอกาส - ขาดความร่วมมือใน กระบวนการกลุ่ม - ไม่กล้าแสดงออกทางความ คิดเห็น 55 ปีขึ้นไป ชาย มาพบกลุ่มและขออนุญาตกลับ ก่อนเวลาที่กำหนด - การใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมใน บางโอกาส - ขาดความร่วมมือใน กระบวนการกลุ่ม - ไม่กล้าแสดงออกทางความ คิดเห็น หญิง มาพบกลุ่มและขออนุญาตกลับ ก่อนเวลาที่กำหนด - การใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมใน บางโอกาส - ขาดความร่วมมือใน กระบวนการกลุ่ม - ไม่กล้าแสดงออกทางความ คิดเห็น อุปสรรค Opportunities ด้านการบริหาร ด้านบุคลากร - บุคลากรไม่มีความมั่นคงต่ออาชีพ - บุคลากรไม่สามารถปรับปรุงตัวให้เข้ากับงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ด้านผู้เรียน/ผู้รับบริการ - ความแตกต่างระหว่างวัยและเพศ เวลาการทำงานของผู้เรียน โอกาส Threats ด้านการบริหาร ด้านบุคลากร - บุคลากรมีโอกาสยกระดับเป็นพนักงานราชการ - บุคลากรมีโอกาสพัฒนาตนเองตามความสนใจและถึงเป้าหมายสูงสุด - บุคลากรมีความรู้และประสบการณ์ในการทำงาน ด้านผู้เรียน/ผู้รับบริการ - ผู้เรียนสามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น - ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพ - ผู้เรียนสามารถนำวุฒิการศึกษาไปปรับเทียบขั้นเงินเดือนที่สูงขึ้น - ผู้เรียนได้ความรู้และประสบการณ์ในการดำเนินชีวิต


36 ตอนที่ 4 องค์ประกอบของหลักสูตรสถานศึกษา ปรัชญา จัดการศึกษาตลอดชีวิต สร้างความมั่นคง บนฐานของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วิสัยทัศน์ กศน.อำเภอพระประแดง พัฒนาศักยภาพคน ให้มีความมั่นคงด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม โดยยึดหลักคุณธรรมจริยธรรม อัตลักษณ์สถานศึกษา คิดเป็น ทำเป็น เอกลักษณ์ กศน.อำเภอพระประแดง องค์กรแห่งการพัฒนาทักษะการคิด สู่การปฏิบัติ พันธกิจ 1. จัดการศึกษานอกระบบทุกรูปแบบ บนพื้นฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. สอนให้ผู้ไม่รู้หนังสือสามารถอ่านออกเขียนได้ 3. ให้ผู้รู้หนังสือคงความรู้หนังสือ ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน 4. พัฒนาความรู้ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อก้าวเข้าสู่ยุค ไทยแลนด์ 4.0 5. พัฒนาคุณภาพบุคลากร ภาคีเครือข่ายในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย


37 กลยุทธ์ 1. ประสานงานเครือข่าย ทุกภาคส่วนในการมีส่วนร่วมจัดกิจกรรมการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย 2. พัฒนาครู บุคลากรทางการศึกษา วิทยากรท้องถิ่น เพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย 3. แสวงหาแหล่งเรียนรู้ สื่อเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัย ไปสู่คุณภาพและมาตรฐานตามที่กำหนด 4. พัฒนาหลักสูตรสื่อ เอกสาร ส่งเสริมการเรียนรู้เชิงคุณภาพ 5. กระตุ้นเพื่อสร้างแรงจูงใจให้สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกรอบการคิดให้แก่ครู บุคลากร ทางการศึกษาในการนำเอาวิทยาการใหม่ๆมาเปลี่ยนรูปแบบวิธีการใหม่ๆกับการ จัดการศึกษา ให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป้าหมาย 1. ยกระดับคุณภาพการศึกษาของประชาชน 2. เพิ่มศักยภาพในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ การศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต การศึกษา เพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน และการศึกษาตามอัธยาศัย 3. ร่วมกับชุมชน องค์กรภาคีเครือข่าย ในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่ หลากหลาย ครอบคลุม ทุกพื้นที่ตำบล 4. ร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่าย ในพื้นที่จัดกิจกรรมการศึกษาตามโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ


38 องค์ประกอบของหลักสูตรสถานศึกษา การปรับปรุงและเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การดำเนินงาน ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ……………………………………………… ความเป็นมาและแนวคิด เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนามนุษย์นานาประเทศต่าง ก็พัฒนา คนในชาติของตนเองผ่านระบบการศึกษาเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปประเทศประสบปัญหา เช่น ปัญหา ความยากจน ปัญหาความแตกต่างกันทางด้านความคิด ปัญหาการใช้ความรุนแรง ปัญหาสังคมเด็กติดเกม สาร เสพติด และการพนันต่าง ๆ เป็นต้น ปัญหาดังกล่าวสะท้อนถึงระบบการจัดการศึกษาของประเทศว่าการศึกษา ได้ทำหน้าที่ของการเป็นเครื่องมือในการพัฒนามนุษย์ได้เพียงใด ในอีกด้านหนึ่ง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติฉบับที่ 11 พ.ศ. 2555-2558 กำหนดเป้าหมายให้ปีการศึกษาเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 12 ปี แต่จากการสำรวจภาวการณ์การมีงานทำของประชากรพ.ศ. 2557 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า แรงงาน ไทยอายุระหว่าง 15-59 ปีจำนวนประมาณ 25.08 ล้านคน จากจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 34.85 ล้านคนเป็นผู้ที่ ยังไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน จากเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯฉบับดังกล่าวกับผลการจัดการศึกษา เพื่อยกระดับการศึกษาของประชาชนในปีพ.ศ.2557 เฉพาะประชากรวัยแรงงาน ที่ยังไม่จบการศึกษา ขั้นพื้นฐาน 12 ปีรัฐบาลยังมีภาระที่ต้องยกระดับการศึกษาของประชากร อีก 25 ล้านคน ซึ่งเป็นความยากที่ จะให้บรรลุเป้าหมายตามแผน ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าการศึกษายังไม่สามารถช่วยให้ ประชาชนบางส่วนมีความรู้มีความสามารถและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้รวมถึงการพัฒนาจิตใจและจิตสานึก ในความเป็นคนดีได้และเด็กและเยาชนส่วนหนึ่งต้องออกจากระบบการศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงานทางานใน สถานประกอบการทั้งๆที่ไม่มีทักษะฝีมือในการทำงาน และอีกส่วนหนึ่งปฏิเสธระบบการศึกษา ไปอยู่ในสถานที่ สุ่มเสี่ยงต่อการสร้างปัญหาทางสังคมตามมา สำนักงาน กศน.มีบทบาทในการพัฒนาประชาชนที่อยู่นอกระบบสถานศึกษา จึงหามาตรการที่จะทำ ให้การจัดการศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนามนุษย์ได้อย่างแท้จริง และสามารถยกระดับการศึกษาของ แรงงานดังกล่าว เพื่อให้จานวนประชากรของชาติมีระดับการศึกษาเฉลี่ยสูงขึ้น โดยจะนาหลักการและแนวคิด ในการจัดการศึกษานอกระบบมาใช้ให้เป็นรูปธรรม หลักการและแนวคิดดังกล่าวมีด้วยกัน 5 ประการ คือ 1) หลักความเสมอภาค 2) หลักการพัฒนาตนเองและการพึ่งตนเอง 3) หลักการบูรณาการกับวิถีชีวิต 4) หลักความสอดคล้อง 5) หลักการเรียนรู้ร่วมกันและการมีส่วนร่วมของชุมชนสังคม โดยจะปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินงานการศึกษานอกระบบขั้นพื้นฐานในบางเรื่อง ให้สามารถ ดำเนินการเพื่อยกระดับการศึกษาของประชากรไทยให้ได้และมุ่งจัดการศึกษาที่ตอบโจทย์ของประชาชน ชุมชนและสังคม ยึดผู้เรียนเป็นเป้าหมาย โดยจะจัดให้มีโปรแกรมการเรียนที่หลากหลาย สอดคล้องกับการ


39 ทำงาน การประกอบอาชีพของผู้เรียนเพื่อพัฒนาและยกระดับการทำงานและการประกอบอาชีพของตนเอง หรือต่อยอดการงานอาชีพ ด้วยแนวคิดและความจำเป็นดังกล่าว จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดการศึกษาตาม หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 49 กำหนดว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสอง ปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ และมาตรา 80 ได้กำหนดเป็นนโยบายด้านการศึกษาว่า ต้อง ดำเนินการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน การจัดการศึกษาในทุกระดับและทุกรูปแบบ ให้สอดคล้องกับความ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม จัดให้มีแผนการศึกษาแห่งชาติ กฎหมายเพื่อพัฒนาการศึกษาของชาติ ซึ่ง กฎหมายเพื่อพัฒนาการศึกษาของชาติ กำหนดให้มีการส่งเสริมการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 15 กำหนดนิยามการศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกำหนด จุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลา ของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนสำคัญ ของการสำเร็จการศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพปัญหาและ ความต้องการของบุคคลแต่ละกลุ่มเป้าหมายกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้ใช้หลักสูตรสถานศึกษานอก ระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551 เป็นหลักสูตรที่มุ่ง จัดการศึกษาเพื่อตอบสนองอุดมการณ์การจัดการศึกษาตลอดชีวิต และการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่ง การเรียนรู้ตามปรัชญา “คิดเป็น” เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตและสังคม มีการบูรณาการอย่างสมดุลระหว่าง ปัญญาธรรม ศีลธรรมและวัฒนธรรม มุ่งสร้างพื้นฐานการเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และ พัฒนาความสามารถเพื่อการทำงานที่มีคุณภาพ โดยให้ภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมจัดการศึกษาให้ตรงตามความ ต้องการของผู้เรียน และสามารถตรวจสอบได้ว่า การศึกษานอกระบบเป็นกระบวนการของการพัฒนาชีวิต และสังคม สามารถพึ่งพาตนเองได้ และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง เป็นหลักสูตรที่มีความเหมาะสมสอดคล้อง กับสภาพปัญหา ความต้องการของบุคคลที่อยู่นอกระบบสถานศึกษา ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ ประสบการณ์จาก การทำงาน และการประกอบอาชีพ โดยกำหนดสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล ให้ความสำคัญกับการพัฒนากลุ่มเป้าหมายด้านจิตใจให้มีคุณธรรมควบคู่ไปกับการ พัฒนาการเรียนรู้ สร้างภูมิคุ้มกัน สามารถจัดการกับองค์ความรู้ ทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่น และเทคโนโลยี เพื่อให้ผู้เรียนสามารถปรับตัวอยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สร้างภูมิคุ้มกันตามแนวปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งคำนึงธรรมชาติการเรียนรู้ของผู้ที่อยู่นอกระบบ และสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการสื่อสาร


40 ปรัชญา หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ยึดปรัชญา “คิดเป็น” มาใช้ในการจัดการศึกษา ปรัชญา”คิดเป็น” อยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่า ความต้องการของแต่ ละบุคคลไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนมีจุดรวมของความต้องการที่เหมือนกัน คือ ทุกคนต้องการความสุข คนเรา จะมีความสุขเมื่อตัวเรา ความรู้ทางวิชาการ สังคมและสิ่งแวดล้อม ผสมกลมกลืนกันได้ก็จะมีความสุข โดยคิด แบบพอเพียง พอประมาณ ไม่มากไม่น้อย เป็นทางสายกลาง สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล กระบวนการ เรียนรู้ ตามปรัชญา “คิดเป็น” มีผู้เรียนสำคัญที่สุด โดยครูจะเป็นเพียงผู้จัดโอกาส กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์ ปัญหาหรือความต้องการ มีการเรียนรู้จากข้อมูลจริงและตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่เพียงพอและเชื่อถือ ได้ คือ ข้อมูลตนเอง วิชาการ ชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม ถ้าหากสามารถทำให้ปัญหาหายไป กระบวนการก็ ยุติลง ถ้ายังไม่พอใจแสดงว่ายังมีปัญหาอยู่ ก็จะเริ่มกระบวนการพิจารณาทางเลือกใหม่อีกครั้ง กระบวนการนี้ก็ จะยุติลงเมื่อบุคคลพอใจและมีความสุข หลักการ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนดหลักการไว้ดังนี้ 1. เป็นหลักสูตรที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นด้านสาระการเรียนรู้ เวลาเรียน และการจัดการเรียนรู้โดยเน้นการ บูรณาการเนื้อหาให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต ความแตกต่างของบุคคล และชุมชน สังคม 2.ส่งเสริมให้มีการเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษา ตามอัธยาศัย 3.ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยตระหนักว่าผู้เรียนมีความสำคัญ สามารถพัฒนาตนเองได้ตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ 4. ส่งเสริมให้ภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา จุดมุ่งหมายของหลักสูตร หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียน มีคุณธรรม จริยธรรม มีสติปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีศักยภาพในการประกอบอาชีพและการเรียนรู้อย่าง ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ต้องการ จึงกำหนดจุดหมาย ดังต่อไปนี้ 1. มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข 2. มีความรู้พื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิต และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง 3. มีความสามารถในการประกอบสัมมาอาชีพให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดและความทัน ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง 4. มีทักษะการดำเนินชีวิตที่ดี และสามารถจัดการกับชีวิต ชุมชน สังคม ได้อย่างมีความสุขตามปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง


41 5. มีความเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติไทย ภูมิใจในความเป็นไทย โดยเฉพาะภาษา ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี กีฬา ภูมิปัญญาไทย ความเป็นพลเมืองดี ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 6. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 7. เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ มีทักษะในการแสวงหาความรู้ สามารถเข้าถึงแหล่งเรียนรู้และบูรณา การความรู้มาใช้ในการพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ กลุ่มเป้าหมาย 1. ผู้ใช้แรงงาน 2. กลุ่มผู้นำท้องถิ่น 3. กลุ่มที่ทำงานในสถานประกอบการ /โรงงาน 4 พระภิกษุ 5. ผู้เรียนที่ออกกลางคัน /ผู้พิการ โครงสร้าง เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปตามหลักการ จุดหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้ ที่กำหนดไว้ให้ สถานศึกษาและภาคีเครือข่ายมีแนวปฏิบัติในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา จึงได้กำหนดโครงสร้างของ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ไว้ดังนี้ ระดับการศึกษา ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ประกอบด้วย 5 สาระ ดังนี้ 1. สาระทักษะการเรียนรู้ เป็นสาระเกี่ยวกับการเรียนรู้ด้วยตนเอง การใช้แหล่งเรียนรู้การจัดการ ความรู้ การคิดเป็น และการวิจัยอย่างง่าย 2. สาระความรู้พื้นฐาน เป็นสาระเกี่ยวกับภาษาและการสื่อสาร คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 3. สาระการประกอบอาชีพ เป็นสาระเกี่ยวกับการมองเห็นช่องทาง และการตัดสินใจประกอบ อาชีพ ทักษะในอาชีพ การจัดการอาชีพอย่างมีคุณธรรม และการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคง 4. สาระทักษะการดำเนินชีวิต เป็นสาระเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สุขภาพอนามัยและ ความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต ศิลปะและสุนทรียภาพ 5. สาระการพัฒนาสังคม เป็นสาระที่เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี หน้าที่พลเมือง และการพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม


42 กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต หรือ (กพช.) เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้เรียนเป็นผู้รู้จักคิด รู้จักทำ เป็น และแก้ปัญหาเป็น โดยผู้เรียนสามารถเลือกทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต เรียนรู้ที่จัดขึ้นตาม เงื่อนไขการจบหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อให้ผู้เรียนได้ พัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และกำหนดให้ผู้เรียนทุกระดับการศึกษาต้องเรียนรู้และปฏิบัติ กิจกรรม จำนวนไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมง เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม องค์ประกอบกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ประกอบด้วย 1. ความรู้พื้นฐาน เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีขอบข่ายเนื้อหาเกี่ยวกับ โครงสร้างและประโยชน์ของ กพช แนวทางการพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม กระบวนการกลุ่ม กระบวนการคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น และการนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต การประสานเครือข่าย การเป็นผู้นำ ผู้ตาม การวางแผน และประโยชน์ของการวางแผน มนุษยสัมพันธ์ การเขียนโครงการ 2. กิจกรรมโครงการ เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงในการทำกิจกรรมโครงการที่เกี่ยวกับการ พัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคม ลักษณะกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) ลักษณะการจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. กิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะชีวิตของตนเองและครอบครัว โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของผู้เรียน ดังตัวอย่างต่อไปนี้ เช่น - ด้านสุขภาพกาย/จิต เช่น โครงการ กศน.ไร้พุง - ด้านคุณธรรม จริยธรรม เช่น โครงการสามัคคีสร้างสุข โครงการคุณธรรมนำชีวิต - ด้านเศรษฐกิจพอเพียง เช่น โครงการรู้รับ รู้จ่าย รู้ได้ รู้เก็บ - ด้านการพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น โครงการพัฒนาบุคลิกภาพ - ด้านยาเสพติด เช่น โครงการครอบครัวอบอุ่น - ด้านเพศศึกษา เช่น โครงการพ่อแม่รู้ใจ วัยรุ่นรู้ทัน - ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เช่น โครงการเตรียมตัวเตรียมใจรับภัยธรรมชาติ


43 โดยต้องพิจารณาในประเด็นสำคัญ ๆ ดังนี้ 1) ประโยชน์ที่ตนเอง/ครอบครัวได้รับ เป็นกิจกรรมที่สามารถสร้างพัฒนาทักษะการดำเนิน ชีวิตให้ตนเอง/ครอบครัวอยู่ได้อย่างมีความสุข 2) การมีส่วนร่วมของผู้เรียนและครอบครัว เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการแล้วผู้เรียนและ ครอบครัวเห็นความสำคัญและให้ความร่วมมือ 3) การใช้กระบวนการกลุ่ม เป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร่วมมือในการดำเนินงาน มีการ ประสานงาน ความรับผิดชอบ เสียสละและจิตบริการ 4) ความเหมาะสมในการใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติงานตามโครงการ 5) ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จ ได้แก่ ความรู้ แหล่งข้อมูล วัสดุ งบประมาณ และการ เลือกใช้ทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม ประหยัด 6) ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เป็นการคิดสิ่งใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง/ครอบครัว 2. กิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการพัฒนาชุมชนและสังคม โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของ ชุมชน ดังต่อไปนี้ เช่น - ด้านการพัฒนาชุมชนและสังคม เช่น โครงการอาสาสมัคร ลูกเสือ ยุวกาชาด/ชมรมอาสา ยุวกาชาดนอกสถานศึกษา - ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการลดโลกร้อนด้วยมือเรา โครงการหน้าบ้านน่ามอง โครงการอนุรักษ์ป่าไม้ แม่น้ำลำคลอง - ด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและประเพณี เช่น โครงการอนุรักษ์รักวัฒนธรรม - ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นและแหล่งเรียนรู้ เช่น โครงการคลังสมองร่วมพัฒนาชุมชน - ด้านประชาธิปไตย เช่น โครงการเรียนรู้ประชาธิปไตยใส่ใจรักษาสิทธิ - ด้านการสนับสนุนส่งเสริมงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เช่น โครงการบรรณารักษ์อาสา ฯลฯ โดยต้องพิจารณาในประเด็นสำคัญๆ ดังนี้ 1) ประโยชน์ที่ชุมชนและสังคมจะได้รับหรือเป็นบริการที่ช่วยส่งเสริม หรือพัฒนาคุณภาพชีวิต ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง ตลอดจนสนับสนุนการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย และอื่น ๆ ที่ตอบสนองนโยบายการพัฒนาประเทศ 2) การมีส่วนร่วมของคนในชุมชน เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการแล้วคนในชุมชนเห็นความสำคัญ และให้ความร่วมมือ ทั้งด้านความคิด แรงงาน วัสดุอุปกรณ์ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 3) การใช้กระบวนการกลุ่ม เป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร่วมมือในการทำงาน การช่วยกัน คิดการประสานงานและแบ่งความรับผิดชอบ ทำให้เกิดความสามัคคี เสียสละจิตบริการตามวิถีประชาธิปไตย 4) การใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน เป็นกิจกรรมที่ใช้เวลาในการปฏิบัติงานให้มีความ เหมาะสมกับกิจกรรมโครงการที่นำเสนอ


44 5) ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จในการจัดกิจกรรม เช่น บุคลากร วัสดุ งบประมาณ และการ ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนให้เป็นไปอย่างประหยัด และประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม 6) มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นการคิดสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ และทำให้เกิดการพัฒนา ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องและอย่างยั่งยืน มาตรฐานการเรียนรู้ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนดมาตรฐาน การเรียนรู้ ตามสาระการเรียนรู้ทั้ง 5 สาระ ที่เป็นข้อกำหนดคุณภาพของผู้เรียน ดังนี้ 1. มาตรฐานการเรียนรู้การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นมาตรฐานการ เรียนรู้ในแต่ละสาระการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนเรียนจบหลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ เป็นมาตรฐานการเรียนรู้ในแต่ละสาระการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียน เรียนจบในแต่ละระดับ ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เวลาเรียน ในแต่ละระดับใช้เวลาเรียน 4 ภาคเรียน ยกเว้นกรณีที่มีการเทียบโอนผลการเรียน ทั้งนี้ผู้เรียน ต้องลงทะเบียนเรียนในสถานศึกษาอย่างน้อย 1 ภาคเรียน หน่วยกิต เวลาเรียน 40 ชั่วโมง มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต โครงสร้างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้ จำนวนหน่วยกิต ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย วิชา บังคับ วิชา เลือก บังคับ วิชา เลือก เสรี วิชา บังคับ วิชา เลือก บังคับ วิชา เลือก เสรี วิชา บังคับ วิชา เลือก บังคับ วิชา เลือก เสรี ทักษะการเรียนรู้ 5 - 4 5 - 4 5 - 8 ความรู้พื้นฐาน 12 2 4 16 3 4 12 3 8 การประกอบอาชีพ 8 - 3 8 - 3 8 - 8 ทักษะการดำเนินชีวิต 5 - 3 5 - 3 5 - 8 การพัฒนาสังคม 6 2 4 6 3 4 6 3 8 รวม 36 4 8/18 40 6 10/18 44 6 26/40 12 นก. 16 นก. 32 นก. 48 หน่วยกิต 56 หน่วยกิต 76 หน่วยกิต กิจกรรม กพช. 200 ชั่วโมง 200 ชั่วโมง 200 ชั่วโมง หมายเหตุ วิชาเลือกในแต่ละระดับ สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียน เรียนรู้จากการทำโครงงาน จำนวนอย่างน้อย 3 หน่วยกิต


45 โครงสร้างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ประกอบด้วย 5 สาระการเรียนรู้ ได้แก่ ทักษะการเรียนรู้ ความรู้พื้นฐาน การประกอบอาชีพ ทักษะการ ดำเนินชีวิต และการพัฒนาสังคม ซึ่งแต่สาระประกอบด้วยรายวิชาบังคับ รายวิชาเลือกบังคับ และรายวิชา เลือกตามจำนวนหน่วยกิตที่กำหนดไว้ ในโครงสร้างรายวิชาบังคับทุกรายวิชาผู้เรียนต้องลงทะเบียนเรียนตามที่ กำหนด ส่วนรายวิชาเลือกสถานศึกษากำหนดได้ตามต้องการ โดยพัฒนาหลักสูตรขึ้นเองหรือเลือกใช้จากที่ สถานศึกาอื่น หรือที่ส่วนกลางกำหนด นอกจากนี้แต่ระดับต้องทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมง และต้องทำโครงงานโครงสร้างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คงใช้โครงสร้างเดิม แต่จะปรับรายละเอียดภายใน ซึ่งไม่กระทบต่อมาตรฐานและสาระการ เรียนรู้ในหลักสูตร ดังนี้ 1.1 วิชาบังคับ 1.1.1 ปรับเนื้อหาบางรายวิชาให้มีความทันสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลง 1.1.2 วิเคราะห์เนื้อหาที่ต้องรู้ในรายวิชาบังคับ และจัดทำสื่อเผยแพร่ให้สถานศึกษาและผู้เรียน นำไปใช้ในการเรียน 1.2 วิชาเลือก วิชาเลือกจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือวิชาเลือกบังคับ และวิชาเลือกเสรีโดยกำหนดสัดส่วนดังนี้ 1.2.1 วิชาเลือกบังคับ เป็นวิชาที่พัฒนาขึ้นตามนโยบายของประเทศ และเพื่อแก้ปัญหาวิกฤต ของประเทศในเรื่องต่าง ๆ ในช่วงแรก ได้พัฒนาจำนวน 5 วิชา ทั้ง 3 ระดับ คือ วิชาพลังงานไฟฟ้า การเงิน เพื่อชีวิต วัสดุศาสตร์ การเรียนรู้สู้ภัยธรรมชาติ และวิชาลูกเสือ 1.2.2 วิชาเลือกเสรีเป็นวิชาที่สถานศึกษาพัฒนาขึ้นเอง โดยให้ยึดหลักการในการพัฒนา คือ 1) พัฒนาโปรแกรมการเรียนรู้เพื่อเป็นการกำหนดทิศทางและเป้าหมายทางการเรียนของ ผู้เรียน สถานศึกษาจึงต้องวิเคราะห์ความต้องการ ความจำเป็น และความสนใจของผู้เรียน เพื่อออกแบบ โปรแกรมการเรียน ภายในโปรแกรมการเรียนจะประกอบไปด้วยรายวิชาต่าง ๆ ที่ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้ 2) การพัฒนารายวิชาในโปรแกรมการเรียน สถานศึกษาควรดำเนินการร่วมกับผู้เรียน และภูมิปัญญา ผู้รู้หรือผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ จัดทำโปรแกรมการเรียนและพัฒนา รายวิชาต่าง ๆ


46 โครงสร้างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับประถมศึกษา ที่ สาระการเรียนรู้ จำนวนหน่วยกิต ประถมศึกษา วิชาบังคับ วิชาเลือกบังคับ วิชาเลือกเสรี 1 ทักษะการเรียนรู้ 5 - 4 2 ความรู้พื้นฐาน 12 2 4 3 การประกอบอาชีพ 8 - 3 4 ทักษะการดำเนินชีวิต 5 - 3 5 การพัฒนาสังคม 6 2 4 รวม 36 4 8/18 12 หน่วยกิต 48 หน่วยกิต กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต 200 ชั่วโมง หมายเหตุ วิชาเลือกในแต่ละระดับ สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียน เรียนรู้จากการทำโครงงาน จำนวนอย่างน้อย 3 หน่วยกิต โครงสร้างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ที่ สาระการเรียนรู้ จำนวนหน่วยกิต มัธยมศึกษาตอนต้น วิชาบังคับ วิชาเลือกบังคับ วิชาเลือกเสรี 1 ทักษะการเรียนรู้ 5 - 4 2 ความรู้พื้นฐาน 16 3 4 3 การประกอบอาชีพ 8 - 3 4 ทักษะการดำเนินชีวิต 5 - 3 5 การพัฒนาสังคม 6 3 4 รวม 40 6 10/18 16 หน่วยกิต 56 หน่วยกิต กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต 200 ชั่วโมง


47 โครงสร้างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษตอนปลาย ที่ สาระการเรียนรู้ จำนวนหน่วยกิต มัธยมศึกษตอนปลาย วิชาบังคับ วิชาเลือกบังคับ วิชาเลือกเสรี 1 ทักษะการเรียนรู้ 5 - 8 2 ความรู้พื้นฐาน 12 3 8 3 การประกอบอาชีพ 8 - 8 4 ทักษะการดำเนินชีวิต 5 - 8 5 การพัฒนาสังคม 6 3 8 รวม 44 6 26/40 32 หน่วยกิต 76 หน่วยกิต กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต 200 ชั่วโมง หมายเหตุ วิชาเลือกในแต่ละระดับ สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียน เรียนรู้จากการทำโครงงาน จำนวนอย่าง น้อย 3 หน่วยกิต หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ประกอบด้วย 1) สาระการเรียนรู้ 5 สาระคือ ทักษะการเรียนรู้ ความรู้พื้นฐาน การประกอบอาชีพ ทักษะการ ดำเนินชีวิต และการพัฒนาสังคม 2) จำนวนหน่วยกิตในแต่ละระดับ ดังนี้ 2.1) ระดับประถมศึกษา ไม่น้อยกว่า 48 หน่วยกิต แบ่งเป็นวิชาบังคับ 36 หน่วยกิต วิชา เลือกบังคับ 4 หน่วยกิต และวิชาเลือกเสรีไม่น้อยกว่า 8 หน่วยกิต 2.2) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ไม่น้อยกว่า 56 หน่วยกิต แบ่งเป็นวิชาบังคับ 40 หน่วยกิต วิชาเลือกบังคับ 6 หน่วยกิต และวิชาเลือกเสรีไม่น้อยกว่า 10 หน่วยกิต 2.3) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ไม่น้อยกว่า 76 หน่วยกิต แบ่งเป็นวิชาบังคับ 44 หน่วยกิต กิต วิชาเลือกบังคับ 6 หน่วยกิต และวิชาเลือกเสรีไม่น้อยกว่า 26 หน่วยกิต 3) ผู้เรียนต้องทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับละไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมง 1. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ประกอบด้วยสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ดังนี้ 1) สาระทักษะการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 มาตรฐาน มาตรฐานที่ 1.1 มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง


48 มาตรฐานที่ 1.2 มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติที่ดีต่อการใช้แหล่งเรียนรู้ มาตรฐานที่ 1.3 มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติที่ดีต่อการจัดการความรู้ มาตรฐานที่ 1.4 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติที่ดีต่อการคิดเป็น มาตรฐานที่ 1.5 มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติที่ดีต่อการวิจัยอย่างง่าย 2) สาระความรู้พื้นฐาน ประกอบด้วย 2 มาตรฐาน ดังนี้ มาตรฐานที่ 2.1 มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับภาษาและการสื่อสาร มาตรฐานที่ 2.2 มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 3) สาระการประกอบอาชีพ ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน ดังนี้ มาตรฐานที่ 3.1 มีความรู้ความเข้าใจ และเจตคติที่ดีในงานอาชีพ มองเห็นช่องทางและ ตัดสินใจประกอบอาชีพได้ตามความต้องการ และศักยภาพของตนเอง มาตรฐานที่ 3.2 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะในอาชีพที่ตัดสินใจเลือก มาตรฐานที่ 3.3 มีความรู้ความเข้าใจ ในการจัดการอาชีพอย่างมีคุณธรรม มาตรฐานที่ 3.4 มีความรู้ความเข้าใจ ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคง 4) สาระทักษะการดำเนินชีวิต ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน ดังนี้ มาตรฐานที่ 4.1 มีความรู้ ความเข้าใจ เจตคติที่ดีเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและสามารถ ประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม มาตรฐานที่ 4.2 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติที่ดีเกี่ยวกับการดูแล ส่งเสริม สุขภาพ อนามัยและความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต มาตรฐานที่ 4.3 มีความรู้ความเข้าใจ และเจตคติที่ดีเกี่ยวกับศิลปะและสุนทรียภาพ 5) สาระการพัฒนาสังคม ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน ดังนี้ มาตรฐานที่ 5.1 มีความรู้ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญเกี่ยวกับ ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนำมาปรับใช้ในการดำรงชีวิต มาตรฐานที่ 5.2 มีความรู้ความเข้าใจ เห็นคุณค่าและสืบทอดศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีเพื่อ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มาตรฐานที่ 5.3 ปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย มีจิตสาธารณะ เพื่อความสงบสุข ของสังคม มาตรฐานที่ 5.4 มีความรู้ความเข้าใจ เห็นความสำคัญของหลักการพัฒนา และสามารถพัฒนา ตนเอง ครอบครัว ชุมชน/สังคม หมายเหตุ สาระการเรียนรู้ความรู้พื้นฐาน มาตรฐานที่ 2.1 มีความรู้ความเข้าใจทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับ ภาษาและการสื่อสาร ซึ่งภาษาในมาตรฐานนี้หมายถึง ภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ


49 ตอนที่2 การจัดการเรียนรู้ 1. วิธีการจัดการเรียนรู้ การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานมีวิธีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายดังนี้ 1) การเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนกำหนดแผนการเรียนรู้ของตนเอง ตามรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียน โดยมีครูเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำในการการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ภูมิปัญญา ผู้รู้ และสื่อต่าง ๆ 2) การเรียนรู้แบบพบกลุ่ม เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่กำหนดให้ผู้เรียนมาพบกันโดยมีครูเป็น ผู้ดำเนินการให้เกิดกระบวนการกลุ่ม เพื่อให้มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และหาข้อสรุปร่วมกัน 3) การเรียนรู้แบบทางไกล เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้จากสื่อต่าง ๆ โดยที่ผู้เรียนและครูจะ สื่อสารกันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่ หรือถ้ามีความจำเป็นอาจพบกันเป็นครั้งคราว 4 ) การเรียนรู้แบบชั้นเรียน เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่สถานศึกษากำหนดรายวิชา เวลาเรียน และสถานที่ ที่ชัดเจน ซึ่งวิธีการจัดการเรียนรู้เหมาะสำหรับผู้เรียนที่มีเวลามาเข้าชั้นเรียน 5 ) การเรียนรู้ตามอัธยาศัย เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามความ ต้องการ และความสนใจ จากสื่อเอกสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือจากการฝึกปฏิบัติตามแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ แล้ว นำความรู้และประสบการณ์มาเทียบโอนเข้าสู่หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 6 ) การเรียนรู้จากการทำโครงงาน เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนกำหนดเรื่องโดยสมัครใจ ตามความสนใจ ความต้องการ หรือสภาพปัญหา ที่จะนำไปสู่การศึกษาค้นคว้า ทดลอง ลงมือปฏิบัติจริง และมี การสรุปผลการดำเนินการตามโครงการ โดยมีครูเป็นผู้ให้คำปรึกษา แนะนำ อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ และกระตุ้นเสริมแรงให้เกิดการเรียนรู้ 7 ) การเรียนรู้รูปแบบอื่น ๆ สถานศึกษาสามารถออกแบบวิธีการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบ อื่น ๆ ได้ตามความต้องการของผู้เรียน วิธีการจัดการเรียนรู้ดังกล่าวข้างต้น สถานศึกษาและผู้เรียนร่วมกันกำหนดวิธีเรียนโดยเลือกเรียนวิธี ใดวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธีก็ได้ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของเนื้อหา และสอดคล้องกับวิถี ชีวิต และการทำงานของ ผู้เรียน โดยขณะเดียวกันสถานศึกษาสามารถจัดให้มีการสอนเสริมได้ทุกวิธีเรียน เพื่อเติมเต็มความรู้ให้บรรลุ มาตรฐานการเรียนรู้ 2. การจัดกระบวนการเรียนรู้ การจัดกระบวนการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนสู่ความเป็นคน “คิดเป็น” โดยเน้นพัฒนาทักษะการแสวงหาความรู้ ประยุกต์ใช้ ความรู้ และสร้างองค์กรความรู้สำหรับตนเอง และชุมชน สังคม ซึ่งกำหนดการจัดกระบวนการเรียนรู้ กศน. หรือ ONIE MODEL ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จัดขึ้นอย่างเป็นระบบตามปรัชญา “คิดเป็น” ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้


Click to View FlipBook Version