The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรสถานศึกษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ปรับปรุง พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หลักสูตรสถานศึกษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ปรับปรุง พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 1)

หลักสูตรสถานศึกษา ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ปรับปรุง พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 1)

50 ขั้นที่ 1 กำหนดสภาพ ปัญหา ความต้องการในการเรียนรู้ (O: Orientation) ขั้นที่ 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ (N: New ways of learning) ขั้นที่ 3 ปฏิบัติและนำไปประยุกต์ใช้ (I: Implementation) ขั้นที่ 4 ประเมินผลการเรียนรู้ (E: Evaluation) ขั้นที่1 กำหนดสภาพ ปัญหา ความต้องการในการเรียนรู้ (O: Orientation) เป็นการเรียนรู้จากสภาพ ปัญหา หรือความต้องการของผู้เรียน และชุมชน สังคม โดยให้เชื่อมโยงกับ ประสบการณ์เดิม และสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร ขั้นตอนการเรียนรู้ 1) ครูและผู้เรียนร่วมกันกำหนดสภาพ ปัญหา ความต้องการในการเรียนรู้ ซึ่งอาจจะได้มา จากสถานการณ์ในขณะนั้นหรือเป็นเรื่องทีเกิดขึ้นในชีวิตจริงหรือเป็นประเด็นที่กำลังขัดแย้งและกำลังอยู่ใน ความ สนใจของชุมชน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนกระตือรือร้นที่คิดจะหาทางออกของปัญหาหรือความต้องการนั้น ๆ 2) ทำความเข้าใจกับสภาพ ปัญหา ความต้องการในสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ โดยดึงความรู้และ ประสบการณ์เดิมของผู้เรียน เน้นการมีส่วนร่วม มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้สะท้อนความคิดและอภิปรายโดยให้ เชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ 3) วางแผนการเรียนรู้ที่เหมาะสม โดยกิจกรรมการเรียนรู้ที่กำหนดสามารถมองเห็นแนวทาง ในการค้นพบความรู้หรือคำตอบได้ด้วยตนเอง นที่2 ขั้นแสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้(N: New ways of learning) การแสวงหาข้อมูล และจัดการเรียนรู้ โดยศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ และรวบรวมข้อมูลของตนเอง ข้อมูล ของชุมชน สังคม และ ข้อมูลทางวิชาการ จากสื่อและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายมีการระดมความคิดเห็น วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล และสรุปเป็นความรู้ ขั้นตอนการเรียนรู้ 1) ผู้เรียนแสวงหาความรู้ตามแผนการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ โดยเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ ผ่านประสบการณ์ กระบวนการกลุ่ม ศึกษาจากผู้รู้ /ภูมิปัญญาและวิธีอื่น ๆ ที่เหมาะสม 2) ครูและผู้เรียนร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสรุปความรู้เบื้องต้น โดยใช้คำถามปลายเปิดในการ ชวนคิด ชวนคุย เป็นเครื่องมือ ด้วยกระบวนการการระดมสมอง สะท้อนความคิดและอภิปราย 3) ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้ไปตรวจสอบความถูกต้อง เพื่อประเมินความเป็นไปได้โดยวิธีต่าง ๆ เช่น การ ทดลอง การทดสอบ การตรวจสอบกับผู้รู้ ขั้นที่3 การปฏิบัติและนำไปประยุกต์ใช้( I: Implementation) นำความรู้ที่ได้ไปปฏิบัติ และประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เหมาะสมกับวัฒนธรรมและสังคม


51 ขั้นตอนการเรียนรู้ ผู้เรียนปฏิบัติตามขั้นตอน โดยสังเกตปรากฏการณ์ จดบันทึก และสรุปผล เก็บรวบรวมไว้ในแฟ้มสะสม งาน ระหว่างดำเนินการต้องมีการตรวจสอบหาข้อบกพร่อง และรวบรวมไว้ในแฟ้มสะสมงาน ขั้นที่4 การประเมินผลการเรียนรู้(E: Evaluation) ประเมิน ทบทวน แก้ไขข้อบกพร่อง ผลจากการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้แล้วสรุปเป็นความรู้ใหม่ พร้อม กับเผยแพร่ผลงาน ขั้นตอนการเรียนรู้ ครู และผู้เรียนนำแฟ้มสะสมงาน และผลงานที่ได้จากกการปฏิบัติมาใช้เป็นสารสนเทศในการประเมิน คุณภาพการเรียนรู้ 1) ครูและผู้เรียนร่วมกันสร้างเกณฑ์การประเมินคุณภาพการเรียนรู้ 2) ครู ผู้เรียนและผู้เกี่ยวข้องร่วมกันประเมิน พัฒนาการเรียนรู้ให้เป็นไปตามเกณฑ์คุณภาพการเรียนรู้ การจัดกระบวนการเรียนรู้ ทั้ง 4 ขั้นตอนเป็นวงจรของกระบวนการเรียนรู้ ตามปรัชญาคิดเป็น ซึ่ง สถานศึกษาสามารถนำมาปรับใช้ ขั้นตอนการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมตามสภาพของรายวิชา หรือเงื่อนไขอื่น ๆ ตามความต้องการของผู้เรียน 3. สื่อการเรียนรู้ ในการจัดการเรียนรู้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง โดยการใช้สื่อหลากหลายลักษณะ ของสื่อที่จะนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิคส์สื่อบุคคล ภูมิปัญญา แหล่งการ เรียนรู้ ที่มีอยู่ในท้องถิ่น ชุมชน และแหล่งอื่น ๆ ผู้เรียน ผู้สอน สามารถจัดทำและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ขึ้นเอง หรือนำสื่อต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบตัว และระบบสารสนเทศมาใช้ในการเรียนรู้ โดยใช้วิจารณญาณในการเลือกใช้สื่อ ต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณค่า น่าสนใจ ชวนคิด ชวนติดตาม เข้าใจง่าย รวมทั้ง กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักวิธีการแสวงหาความรู้ เกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง ลึกซึ้งและต่อเนื่องตลอดเวลา 3.1 สื่อวิชาเลือกบังคับกลุ่มพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจัดทำต้นฉบับ 3.2 สื่อรายวิชาเลือกเสรีสถานศึกษาจัดทำหลักสูตรรายวิชาเลือกเสรีแล้วเสนอให้คณะกรรมการ ของ สำนักงาน กศน.จังหวัดพิจารณา ตรวจสอบสอดคล้องของรายวิชากับโปรแกรมการเรียน สอดคล้องกับ มาตรฐานของกลุ่มสาระในแต่ละระดับการศึกษา จากนั้น สานักงาน กศน.จึงขอรหัสรายวิชาเลือกจากระบบ โปรแกรมรายวิชาเลือก ทั้งนี้ไม่อนุญาตให้พัฒนารายวิชาเลือกที่เรียนได้ทุกระดับการศึกษา 3.3 รูปแบบของสื่อ มี2 รูปแบบ คือแบบชุดวิชาและแบบเรียนปลายเปิดโดยให้พิจารณา ตาม ธรรมชาติของวิชา 3.4 การจัดทำสื่อเสริมการเรียนรู้กลุ่มพัฒนาการศึกษานอระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และ ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา ร่วมกันผลิตสื่อเสริมการเรียนรู้ในเนื้อหาที่ยาก เพื่อเสริมความรู้ความเข้าใจใน การเรียนรายวิชาต่าง ๆ


52 4.การวัดและประเมินผล การวัดและประเมินผลจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 4.1 วิชาบังคับ สำนักงาน กศน.กำหนดสัดส่วนการวัดผลระหว่างภาคเรียนและปลายภาคเรียน เป็น 60 : 40 โดยวัดผลในเนื้อหาที่ต้องรู้และจัดทำ Test Blueprint เฉพาะเนื้อหาที่ต้องรู้Test Blueprint ดังกล่าว จะสอดคล้องกับการสอบ N-net ด้วย 4.2 วิชาเลือกบังคับ กำหนดสัดส่วนการวัดผลระหว่างภาคและปลายภาค คือ 60 : 40 โดยกลุ่ม พัฒนาระบบการทดสอบจะเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดทำ Test Blueprint และจัดทำแบบทดสอบทั้งนี้ เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนและการวัดประเมินผลมีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ 4.3วิชาเลือกเสรีสถานศึกษาปรับปรุงระเบียบสถานศึกษาว่าด้วยการวัดและประเมินผล การเรียน โดยเพิ่ม เกณฑ์การวัดและประเมินผล การวัดและประเมินผลระดับสถานศึกษา เป็นการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนมี จุดหมายที่สำคัญ คือมุ่งหาคำตอบว่า ผู้เรียนมีความก้าวหน้าทั้งด้านความรู้ ทักษะ กระบวนการคุณธรรม และ ค่านิยมอันพึงประสงค์ อันเป็นผลเนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้หรือไม่เพียงใด ดังนั้นการวัดและประเมิน จึงต้องใช้วิธีการที่หลากหลาย เน้นการปฏิบัติให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ กระบวนการ เรียนรู้ของผู้เรียน และสามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน โดย ประเมินจากความประพฤติ พฤติกรรม การเรียน การร่วมกิจกรรมและผลงานจากโครงงานหรือแฟ้มสะสม ผลงาน ผู้เรียนจะทราบระดับความก้าวหน้า ความสำเร็จของตน ครู จะเข้าใจความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน แต่ละกลุ่ม สามารถประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเองได้ การประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติ (National Test) สถานศึกษาจัดให้ผู้เรียน เข้ารับการประเมิน คุณภาพการศึกษาระดับชาติ โดยให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายนอกสถานศึกษาไม่เน้นความรู้ ความจำ เป็น การประเมินเชิงคุณภาพ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของ สถานศึกษาต่อไป ทั้งนี้ ไม่มีผลต่อการได้หรือตกของผู้เรียน 5. การเทียบโอนผลการเรียน สำนักงาน กศน. มีนโยบายให้ดาเนินการเทียบโอนผลการเรียนโดยใช้วิธีการ ต่าง ๆ คือ 5.1 ปรับแนวทางการเทียบโอนผลการเรียนจากหลักสูตรต่างๆ ของการศึกษาในระบบให้สามารถ เทียบโอนเข้าสู่การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 5.2 พัฒนาเกณฑ์การเทียบโอนกลุ่มอาชีพ เช่น กลุ่มอาชีพนวดแผนไทย กลุ่มอาชีพพนักงานรักษาควา ปลอดภัย เป็นต้น 5.3 พัฒนาเกณฑ์การเทียบโอนจากหลักฐานการประเมินมาตรฐานวิชาชีพ ที่หน่วยงานต่าง ๆ เป็นผู้ ประเมิน เช่น กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ หรือกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่มีระบบ การประเมินคุณวุฒิวิชาชีพให้กับผู้ประกอบอาชีพเพื่อมาจัดทาหลักเกณฑ์การเทียบโอนคุณวุฒิวิชาชีพต่าง ๆ เหล่านี้ร่วมกัน


53 6. แผนการลงทะเบียนเรียน 4 ภาคเรียน การลงทะเบียนเรียนในช่วงแรก สำนักงาน กศน.กำหนดแผนการ ลงทะเบียนให้เป็นแนวเดียวกัน สำหรับผู้เรียนที่ขึ้นทะเบียนเป็นนักศึกษาในภาคเรียนที่ 1/2565 การจบหลักสูตร ผู้จบการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในแต่ ละระดับต้องผ่านเกณฑ์การจบหลักสูตร ดังนี้ 1. ผ่านการประเมิน และได้รับการตัดสินผลการเรียนตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนดทั้ง 5 สาระการ เรียนรู้และได้ตามจำนวนหน่วยกิตที่กำหนดในโครงสร้างหลักสูตร 2. ผ่านกระบวนการประเมินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมง 3. ผ่านกระบวนการประเมินคุณธรรม จริยธรรม 4. เข้ารับการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติ (National Test) เอกสารหลักฐานการศึกษา เอกสารหลักฐานการศึกษาให้เป็นไปตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด สถานศึกษาทุกแห่งต้องใช้ เหมือนกัน เพื่อประโยชน์ในการสื่อความเข้าใจที่ตรงกันและการส่งต่อ ได้แก่ 1. ระเบียนแสดงผลการเรียน 2. หลักฐานแสดงวุฒิการศึกษา (ประกาศนียบัตร) 3. แบบรายงานผู้สำเร็จการศึกษา เอกสารหลักฐานการศึกษาอื่น ๆ สถานศึกษาต้องพิจารณาจัดทำเพื่อใช้ประกอบการจัดการศึกษาตาม หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ตามที่เห็นสมควร เช่น แบบ ประเมินผลกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต การบริหารหลักสูตร สถานศึกษาที่จะนำหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ไปใช้ ควรดำเนินงาน ดังนี้ 1. วางแผน สถานศึกษาชี้แจง สร้างความเข้าใจให้บุคลากรที่เกี่ยวข้อง และร่วมกันวางแผนการ ดำเนินงานโดย สำรวจกลุ่มเป้าหมาย ภาคีเครือข่ายที่จะร่วมจัดการศึกษา วางแผนเกี่ยวกับบุคลากร งบประมาณ หลักสูตร เอกสาร สื่อ อุปกรณ์ทางการศึกษา และขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการ สถานศึกษา 2. อบรมครู สถานศึกษาจัดให้มีการอบรมครูให้มีความรู้ ความเข้าใจการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 3. ประชาสัมพันธ์ สถานศึกษาดำเนินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจัดการศึกษาตามหลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้กับประชาชนทั่วไปรับทราบข่าวสาร ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง โดยใช้สื่อที่หลากหลาย


54 4. ประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ให้สถานศึกษาประสานงาน ชี้แจงทำความเข้าใจกับภาคี เครือข่ายเพื่อร่วมกันส่งเสริม สนับสนุนการจัดและพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5. รับสมัครและขึ้นทะเบียนผู้เรียน สถานศึกษาและหรือภาคีเครือข่าย ดำเนินการรับสมัครและขึ้น ทะเบียนผู้เรียน ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 6. แนะแนวการเรียน เมื่อรับสมัครผู้เรียนแล้วจัดให้ผู้เรียนได้รับการแนะแนวเกี่ยวกับกระบวนการ เรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 7. เทียบโอน สถานศึกษาจัดให้มีการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ หรือเทียบโอนผลการเรียน 8. วางแผนการเรียน สถานศึกษาและผู้เรียนร่วมกันจัดทำแผนการเรียนให้สอดคล้องกับศักยภาพ ความต้องการ ความจำเป็นในการศึกษา และการดำเนินชีวิตของผู้เรียนแต่ละบุคคล/กลุ่ม เพื่อเป็นแนวทางใน การพัฒนา ติดตาม และประเมินผู้เรียน 9. ลงทะเบียนเรียน สถานศึกษาจัดให้ผู้เรียนลงทะเบียนเรียนตามแผนการเรียนรายบุคคล/กลุ่ม โดย ให้ลงทะเบียนเรียนเป็นรายวิชา และหรือลงทะเบียนเรียนในลักษณะบูรณาการ 10. จัดการเรียนรู้ตามแผนการเรียน ให้สถานศึกษาดำเนินการจัดการเรียนรู้โดยเน้นให้บรรลุ วัตถุประสงค์ตามแผนการเรียนตามปรัชญาและหลักการการศึกษานอกสถานศึกษา 11. วัดและประเมินผลการเรียน ให้สถานศึกษาร่วมกับคณะกรรมการสถานศึกษาและผู้เกี่ยวข้อง ดำเนินการจัดทำระเบียบ/แนวปฏิบัติในการวัดและประเมินผล ให้สอดคล้องกับแนวทางการวัดและประเมินผล ที่สำนักงาน กศน. กำหนด 12. จบหลักสูตร การจบหลักสูตรให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตร


55 แนวทางการจัดทำแผนการเรียนรู้รายบุคคล ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 บทนำ การจัดแผนการเรียนรู้รายบุคคลเป็นการจัดการศึกษาที่สนองตอบความแตกต่างของ บุคคลจัดการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนได้มีอิสระในการเรียนรู้ โดยการจัดแผนการเรียนรู้ที่มีเวลา ให้ผู้เรียนได้ เรียนในวิถีชีวิตผู้เรียนควรจะเรียนในสิ่งที่จำเป็นและสิ่งที่สนใจในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อให้สามารถ ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก ดังนั้นการจัดการศึกษา จึงต้องออกแบบหลักสูตร เนื้อหาและกิจกรรม การเรียนที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และการประกอบอาชีพ มีวิธีการเรียนที่เหมาะสมกับผู้เรียนโดย การใช้ทรัพยากร แหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่หรือภาคีเครือข่ายร่วมจัดการศึกษา มีการวัดและประเมินผลด้วย วิธีการที่แตกต่างและหลากหลายวิธี หากการจัดการศึกษาสามารถออกแบบและปฏิบัติได้เช่นที่กล่าวมา เชื่อว่าผู้เรียนจะมีความสุขและมีความสนใจที่จะเรียนรู้ร่วมกัน หลักการ แผนการเรียนรู้รายบุคคลตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551กำหนดหลักการไว้ดังนี้ 1. เป็นการจัดการศึกษาที่ตอบสนองความแตกต่างของบุคคลซึ่งมีความสนใจ ความต้องการมี สภาพปัญหาที่แตกต่างกัน จึงต้องการเรียนรู้ในเนื้อหาสาระที่แตกต่างกัน ตามบริบทของการประกอบอาชีพการ พัฒนาคุณภาพตนเองในด้านต่าง ๆ 2. เป็นการให้ความสำคัญของความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ในตัวตนของผู้เรียนโดย ผู้เรียนสามารถนำความรู้และประสบการณ์นั้นมาเชื่อมโยงสู่หลักสูตรการศึกษาได้ 3. เป็นการส่งเสริมให้เกิดการบูรณาการระหว่างวิถีชีวิตและการจัดการศึกษาโดยการจัด การศึกษาต้องมุ่งเน้นการเรียนรู้เรื่องราวในวิถีชีวิต และต่อยอดสู่ความเป็นสากล 4. เป็นการจัดการศึกษาที่ส่งเสริมให้ภาคีเครือข่ายในชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่นต่าง ๆ สถานประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา 5. เป็นแผนการเรียนรู้รายบุคคลที่สามารถจัดได้ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม และเป็นแนวทาง ในการส่งเสริม สนับสนุนการจัดการเรียนการสอนไปสู่จุดประสงค์การเรียนรู้ตลอดจนพัฒนาผู้เรียนให้เต็ม ศักยภาพของตนเอง วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ครูและผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานมีความรู้ความเข้าใจในการจัดทำ แผนการเรียนรู้รายบุคคล 2. เพื่อให้สถานศึกษามีแนวทางในการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการ และความ สนใจของผู้เรียน


56 ขั้นตอนการจัดทำแผนการเรียนรู้รายบุคคล 1. การแนะแนว 2.จัดท าแผนการเร ี ยนร ู้รายบุคคล 3.จัดท าหลักสูตรรายวิชาเล ื อก 4. จัดท าแผนการลงทะเบียนเรียน 5. ลงทะเบียนตามแผนการลงทะเบียน เทียบโอน เรียน


57 1.การแนะแนว ขั้นตอนการจัดทำแผนการเรียนรู้รายบุคคล การจัดทำแผนการเรียนรู้รายบุคคล มีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ การแนะแนว การแนะแนวเป็นกระบวนการที่จะช่วยให้การจัดการศึกษาบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายช่วย ให้ผู้เรียนรู้จักตนเอง เข้าใจตนเอง และสิ่งแวดล้อม สามารถตัดสินใจเลือกศึกษาหรือฝึกทักษะอาชีพ หรือ พัฒนาตนเองได้อย่างเหมาะสม ซึ่งครูต้องสัมภาษณ์ผู้เรียนเพื่อวิเคราะห์ความรู้ ประสบการณ์ และ ความ ต้องการของผู้เรียน โดยข้อมูลที่จำเป็นในการสัมภาษณ์ผู้เรียน เพื่อการวิเคราะห์แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1) ข้อมูลเบื้องต้น ข้อมูลเบื้องต้น หมายถึง ข้อมูลส่วนตัวของผู้เรียน เช่น ชื่อ-นามสกุล วัน/เดือน/ปี เกิด อายุ เชื้อชาติ ศาสนา สถานภาพการสมรส ที่อยู่ การศึกษา เป็นต้น โดยทั่วไปแล้วจะมีแบบฟอร์มให้ครูบันทึก ในเวลาทำการสัมภาษณ์ 2) ข้อมูลความรู้ ประสบการณ์ ความสนใจและความต้องการ ข้อมูลความรู้ ประสบการณ์ ความสนใจและความต้องการ หมายถึง ข้อมูลความสนใจ ความถนัด ค่านิยม ทักษะ องค์ความรู้ที่แฝงอยู่ในตัวผู้เรียน การประกอบอาชีพ เป้าหมายในการทำธุรกิจ ตลอดจนเป้าหมายหรือความต้องการในการศึกษาเล่าเรียน และการดำรงชีวิตในอนาคต 2. จัดทำแผนการเรียนรู้รายบุคคล ในกระบวนการแนะแนว ตั้งแต่เริ่มต้น จากการสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ จนถึงขั้นตอน การได้แผนการเรียนรู้รายบุคคล และได้รายวิชาในแผนการเรียนรู้แล้ว ผู้สอนและผู้เรียนต้องสร้างความเข้าใจ ร่วมกันว่า ในการเรียนตลอดหลักสูตรนั้น ผู้เรียนจะต้องเรียนแผนการเรียนอะไร ในแผนการเรียนดังกล่าว นอกจากวิชาบังคับแล้ว วิชาเลือกทั้งหมดที่จะต้องเรียนประกอบด้วยวิชาอะไรบ้าง และในวิชาเลือกดังกล่าว มี วิชาใดบ้างที่สามารถเทียบโอนได้โดยไม่ต้องเรียน และวิชาเลือกใดบ้างที่ต้องลงทะเบียนเรียน


58 แบบสัมภาษณ์ผู้เรียน 1. ข้อมูลเบื้องต้น 1.1 ชื่อ-สกุล.......................................................................................................................................................... 1.2 อายุ................ปี เบอร์โทร........................................... เบอร์โทรมือถือ ...................................................... ID line ……………………………..…………… Facebook ………………………………………………………………….……... 1.3 วุฒิที่นำมาสมัครเรียน .................................... เหตุผลการออก เพื่อการศึกษาต่อ จบการศึกษา 1.4 วิชาที่ชอบ ...........................เพราะว่า........................................................................................................... 1.5 วิชาที่ไม่ชอบ .........................เพราะว่า........................................................................................................... 2. ข้อมูลความรู้ ประสบการณ์ ความสนใจ และความต้องการ 2.1 ได้รับการอบรมอะไรบ้าง................................................................................................................................. จำนวน.........ชั่วโมง 2.2 ความสามารถพิเศษ …………………………………………………………………………………….………………….……………... 2.3 เหตุใดจึงมาสมัครเรียน กศน. ………………………………………………………………………..……………………..…………… 2.4 เป้าหมายในการมาเรียน กศน. เพื่ออะไร เรียนให้จบในระดับที่เข้าศึกษาเท่านั้น ศึกษาต่อ นำความรู้ไปพัฒนาอาชีพ อื่นๆ................................................................ 2.5 หากจบการศึกษาจากสำนักงาน กศน. แล้ว จะศึกษาต่อหรือไม่ ระดับใด สาขาใด สถาบันการศึกษาใด …………………………………………………………………………………………………………………………………………....………… ………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………..…. 2.6 ปัจจุบันประกอบอาชีพอะไรอยู่ หรือทำกิจการอะไร ช่วยเล่าถึงอาชีพ สิ่งที่ที่ทำอยู่ มีการขยายกิจการ หรือต่อ ยอดอาชีพหรือไม่ อย่างไร เทคนิค/เคล็ดลับจากการทำอาชีพ หรือสิ่งนั้น ๆ (เล่าวิธีการประกอบอาชีพ หรือสิ่ง ที่ทำอยู่อย่างละเอียด) …………………………………………………………………………………………………………………………………………....………… ………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………..…. 2.7 หากต้องการพัฒนาอาชีพหรือสิ่งที่ทำอยู่ ควรเรียนรู้เรื่องอะไรเพิ่มเติม เพราะเหตุใด และจะหาความรู้/เรียนรู้ เรื่องนั้นได้จากที่ไหน …………………………………………………………………………………………………………………………………………....………… ………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………..…. 2.8 มีความคิดที่จะเปลี่ยนอาชีพหรือไม่ ต้องการเปลี่ยนไปทำอาชีพใด เพราะเหตุใด คาดว่าอาชีพใหม่ จะดีกว่าอาชีพเดิมหรือไม่ อย่างไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………....………… ………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………..…. 2.9 การเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชน..............................................................................................................................


59 การวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ตามแบบสัมภาษณ์ข้างต้น สามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อที่จะนำไปใช้ ในการวางแผนการเรียนรู้รายบุคคล ดังนี้ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ การนำข้อมูลไปใช้ ผลการเรียนเดิม เทียบโอนผลการเรียน ประเภทการจัดการศึกษาที่เป็นระดับ วิชาที่มีผลการเรียนดี นำไปสู่การจัดทำแผนการเรียนรายบุคคลที่สอดคล้องกับความสนใจ วิชาที่ชอบ เรื่องที่ชอบ อาชีพที่ทำอยู่ - อาชีพหลัก - อาชีพเสริม - นำความรู้และประสบการณ์จากการประกอบอาชีพมาใช้เทียบโอน โดย วิธีประเมินความรู้และประสบการณ์ ข้อมูล ความรู้ใหม่ ๆ เพื่อการพัฒนาอาชีพ นำข้อมูลความรู้ใหม่ มาจัดทำรายวิชาให้เรียน จุดหมายในการมาเรียน - พัฒนาอาชีพเดิม จัดรายวิชาให้เรียน - อยากได้วุฒิไปสมัครงาน จัดแผนการเรียนรายบุคคลให้สอดคล้องกับเป้าหมายของผู้เรียน - อยากเปลี่ยนอาชีพใหม่ จัดแผนการเรียนตามอาชีพที่สนใจ เคยไปอบรมเรื่องอะไรมาบ้าง นำวุฒิบัตรมาเทียบโอน โดยการเทียบโอนการศึกษาต่อเนื่อง สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูล เรื่องที่ต้องเทียบโอน 1. เลือกจากรายวิชาที่มีอยู่ในเว็บ หรือ สร้างรายวิชาใหม่โดยการสัมภาษณ์ เนื้อหาเชิงลึกเพื่อทำรายวิชาและกำหนดหน่วยกิต แล้วนำไปบรรจุในหลักสูตร สถานศึกษา 2. ดำเนินการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ เรื่องที่ต้องเรียน 1. เลือกรายวิชาที่มีอยู่ในเว็บ ที่สอดคล้องกับเรื่องที่ต้องเรียน หรือสร้าง รายวิชาใหม่ 2. การจัดกระบวนการเรียนรู้ ครูสอนเอง หรือ ประสานภาคีเครือข่าย ช่วยสอน


60 ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้เปรียบเสมือนเข็มทิศในการจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยมีความสำคัญ คือ 1.เป็นเครื่องมือประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สามารถบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ ที่กำหนด 2.เป็นเครื่องมือสำหรับผู้ปฏิบัติการสอนแทนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามสาระที่ กำหนดได้อย่างเหมาะสม 3.เป็นเครื่องมือวัดประสิทธิภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อทราบความเหมาะสมในการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละเนื้อหา และเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนากิจกรรมให้มีประสิทธิภาพยิ่ง 4.ช่วยให้ผู้สอนมีโอกาสศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อประกอบการเขียนแผนการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเนื้อหาและศักยภาพผู้เรียน 5.ช่วยให้ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ ตามขั้นตอนที่กำหนด 6.ช่วยให้ผู้สอนได้ทบทวนประสบการณ์การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเอง 7.เป็นหลักฐานทางวิชาการในด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ ในการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ผู้สอนสามารถออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ได้ทั้งแบบ บูรณาการ โดยจัดทำหน่วยการเรียนรู้ซึ่งได้จากการร่วมกันระหว่างครู นักศึกษา ชุมชน ในการวิเคราะห์สภาพ ปัญหาความต้องการของชุมชน เชื่อมโยงกับสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตร แต่ละรายวิชาบูรณาการเป็นหน่วย การเรียนรู้ เพื่อจัดการเรียนรู้ให้ตอบโจทย์ตามจุดหมายของหลักสูตรและสภาพปัญหาความต้องการของชุมชน และการออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้แบบรายวิชา ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงขั้นตอนการจัดทำแผนการเรียนรู้ แบบรายวิชา 1.วิเคราะห์หลักสูตร ประกอบด้วยหลักการ จุดหมาย โครงสร้าง สาระการเรียนรู้ มาตรฐาน การเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เวลาเรียน แนวทางการดำเนินการจัดการเรียนรู้ที่สนองจุดประสงค์การ เรียนรู้ และจุดมุ่งหมายของหลักสูตร การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ คำอธิบายรายวิชา ซึ่งจะระบุ ตัวชี้วัด และเนื้อหาที่ต้องให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้ตามลำดับขั้นตอน 2.ศึกษาความสอดคล้องสัมพันธ์กันแต่ละองค์ประกอบของหลักสูตร 3.ศึกษาคำอธิบายรายวิชา ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับ ชื่อรายวิชา จำนวนหน่วยกิต ระดับชั้น มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ กรอบสาระการเรียนรู้ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล ส่วนรายละเอียดคำอธิบายรายวิชา มีรายละเอียดเกี่ยวกับ ชื่อรายวิชา จำนวนหน่วยกิต ระดับชั้น มาตรฐาน การเรียนรู้ระดับ และในส่วนของตารางที่เสนอ หัวเรื่อง ตัวชี้วัด เนื้อหา และจำนวนชั่วโมงในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้


61 4.การวิเคราะห์ความยากง่ายของเนื้อหาร่วมกับผู้เรียนโดยแบ่งกลุ่มเนื้อหาสาระแต่ละ รายวิชาเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย เนื้อหาที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองจัดเป็นเนื้อหาง่าย เนื้อหาที่ครู สามารถจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดประสงค์หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวังจัดเป็นเนื้อหาที่ยากระดับ ปานกลาง และเนื้อหาที่ต้องให้ผู้ที่มีความสามารถเฉพาะเรื่องนั้นสอน จัดเป็นเนื้อหายาก 5.กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามขั้นตอนที่กำหนดในคำอธิบายรายวิชา และรายละเอียด คำอธิบายรายวิชา ที่เหมาะสมกับเนื้อหาสาระ โดยเนื้อหาง่ายจัดทำแผนการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นแผนการ เรียนรู้รายบุคคลของผู้เรียน พร้อมกำหนดข้อตกลงการเรียนรู้ หรือสัญญาการเรียน ส่วนเนื้อหาที่ยาก จัดทำ เป็นแผนสำหรับการสอนเสริม นำเนื้อหาที่ยากปานกลาง มากำหนดเป็นปฏิทินการจัดการเรียนรู้รายภาค 18-20 สัปดาห์ และจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้รายสัปดาห์ 6.กำหนดเวลาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับขอบข่ายเนื้อหาสาระแต่ละรายวิชา 7.ประมวลรายละเอียดจากจากการวิเคราะห์หลักสูตร วิเคราะห์ความสอดคล้ององค์ประกอบ ของหลักสูตร ศึกษาคำอธิบายรายวิชา รายละเอียดคำอธิบายรายวิชา วิเคราะห์ความยาก – ง่าย ของเนื้อหา สาระ การกำหนดกิจกรมการเรียนรู้และปฏิทินการเรียนรู้รายภาคมาจัดทำเอกสารที่ใช้เป็นแนวทางการจัด การเรียนรู้ หรือที่เรียกว่าแผนการจัดการเรียนรู้ องค์ประกอบและรูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยทั่วไปแผนการจัดการเรียนรู้ มีองค์ประกอบหลักประกอบด้วย 1.สาระสำคัญ ให้รู้ว่าสอนอะไร หน่วยเรียนรู้อะไร หัวเรื่องอะไร 2.จุดประสงค์การเรียนรู้ สอนเพื่ออะไร โดย จุดประสงค์การเรียนรู้จะเขียนเน้นความสามารถ ของผู้เรียน 3 ด้านประกอบด้วย ด้านความรู้หรือพุทธิพิสัย ด้านทักษะหรือทักษะพิสัย และด้านเจตคติหรือ จิตพิสัย ในส่วนของรูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้ กศน. หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในส่วนขององค์ประกอบนี้ จะนำผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง และ ตัวชี้วัด อยู่ใน องค์ประกอบนี้ 3.เนื้อหาสาระ สะท้อนด้านโครงสร้างเนื้อหา สาระการเรียนรู้ 4.กระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยเน้นกระบวนการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ และ กระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียน คิดเป็น เช่น Onie Model 5.สื่อและอุปกรณ์การเรียนรู้ ด้วยสื่อและอุปกรณ์การจัดการเรียนรู้อะไรบ้าง 6.การวัดผลประเมินผล ด้วยวิธีการที่หลากหลายเพื่อทราบผลการจัดการเรียนรู้ว่าประสบ ความสำเร็จหรือไม่ 7.ความคิดเห็นของผู้บริหาร เมื่อจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้เสร็จแล้ว ครูควรเสนอแผนให้ ผู้บริหารพิจารณาเพื่อให้ข้อแนะนำ ข้อเสนอแนะ ก่อนการนำแผนไปใช้ 8.การบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ เมื่อครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ เสร็จแล้ว ต้องบันทึกผลการจัดการเรียนรู้ทุกครั้ง ในประเด็น ผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้มีจุดอ่อน จุดแข็ง


62 ในเรื่องใด ผลที่เกิดกับผู้เรียนเป็นไปตามจุดประสงค์ หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวังหรือ ตัวชี้วัด หรือไม่ มีปัญหา อุปสรรคเรื่องใด และผู้เรียนที่ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ครูมีกระบวนการในการแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งการบันทึกผล หลังการจัดการเรียนรู้นี้ จะเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่ครูสามารถใช้วางแผนเพื่อแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ ด้วยการ วิจัยในชั้นเรียน ต่อไป แผนการจัดการเรียนรู้ สามารถเขียนได้ทั้งแบบบรรยาย เป็นแบบความเรียง และแบบตาราง ดังรูปแบบต่อไปนี้(หน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงาน กศน.2556:42-49) การจัดทำแผนการลงทะเบียนเรียน เมื่อครูได้แผนการเรียนรู้รายบุคคล กำหนดรายวิชาเลือกเสรีตามแผน และได้จัดทำเนื้อหา และคำอธิบายรายวิชาเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ ครูและผู้เรียนจึงวางแผนการเรียนรู้ ร่วมกันตลอดหลักสูตร โดยนำรายวิชาบังคับ รายวิชาเลือกบังคับ รายวิชาเลือกเสรีตามแผนการเรียนรู้ มาพิจารณาว่ารายวิชาใดที่สามารถนำความรู้และประสบการณ์มาเทียบโอนได้ ก็ดำเนินการเทียบโอนความรู้ และประสบการณ์ ส่วนรายวิชาที่เหลือจากการเทียบโอนแล้ว นำมาจัดทำแผนการเรียนและแผนการ ลงทะเบียนเรียนตลอดหลักสูตร ซึ่งจะทำให้ครูและผู้เรียนสามารถกำหนดระยะเวลาและวางแผนการเรียนได้ อย่างเหมาะสม


63 ตอนที่ 5 แนวทางการเทียบโอนผลการเรียนจากความรู้และประสบการณ์ กลุ่มเป้าหมายเฉพาะเข้าสู่หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 กำหนดรูปแบบการศึกษาไว้สามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตาม อัธยาศัย ประชาชนสามารถเลือกศึกษาจากรูปแบบใดก็ได้ และนำผลการเรียนมาเทียบโอนระหว่างกันได้ โดยเฉพาะการเรียนรู้ตามอัธยาศัย ที่การเรียนรู้เกิดจากการทำงาน การประกอบอาชีพ หรือการเรียนรู้ที่เกิด จากการดำเนินชีวิต ผลจากการเรียนรู้สามารถนำมาเทียบโอนได้เช่นกัน นับเป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษา ให้แก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง ในขณะเดียวกัน พระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัย พ.ศ. 2551 มาตรา 14 ข้อ (4) ได้บัญญัติเกี่ยวกับการเทียบโอนผลการเรียนไว้ว่า ให้สำนักงาน กศน. มีอำนาจหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน และดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน การเทียบโอนความรู้และ ประสบการณ์การเทียบโอนผลการเรียนจึงเป็นภารกิจสำคัญที่ สำนักงาน กศน. จะต้องผลักดันให้สถานศึกษา ดำเนินการอย่างกว้างขวางและทั่วถึง ตลอดจนได้ประสานงานและทำบันทึกความตกลงร่วมกันระหว่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม เพื่อยกระดับการศึกษาพัฒนาตนเอง สังคม และชุมชนให้สูงขึ้นต่อไป ในปีงบประมาณ 2551 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้ใช้หลักสูตรการศึกษาสายสามัญ หลักสูตรใหม่ มีชื่อว่า“ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 “ และยกเลิกการใช้หลักสูตรการศึกษาสายสามัญที่ใช้มาตั้งแต่ ปีการศึกษา 2546 ที่เรียกว่า หลักเกณฑ์และ วิธีการจัดการศึกษานอกสถานศึกษา หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ” หลักสูตรการศึกษา นอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนดหลักการไว้ชัดเจนว่า จะส่งเสริมให้มีการเทียบ โอนผลการเรียนจากการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย และส่งเสริมให้ ผู้เรียนได้พัฒนาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต การเทียบโอนผลการเรียนจึงเป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยง ผลการเรียนรู้ที่หน่วยงานต่าง ๆ ร่วมจัดการศึกษาและเชื่อมโยงผลการเรียนรู้จากวิธีการเรียนที่หลากหลาย รวมทั้งจากการประกอบอาชีพและประสบการณ์ต่าง ๆ และเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้บุคคลมีการเรียนรู้ อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เมื่อบุคคลตระหนักและรับรู้ว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้มานั้น สามารถนำมาเพิ่มคุณค่าโดยการ เทียบโอนเป็นผลการเรียน นับเป็นผลพลอยได้จากการเรียนรู้ นอกเหนือจากการนำสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นไปแก้ไข ปัญหาในการประกอบอาชีพ พัฒนาการทำงานให้ดีขึ้น หรือแม้กระทั่งการนำสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นไปใช้ในการดำเนิน ชีวิตประจำวัน การเทียบโอนผลการเรียนจากความรู้และประสบการณ์กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เป็นการเปิด โอกาสให้ผู้เรียนที่มีประสบการณ์จากการประกอบอาชีพหรือเคยประกอบอาชีพ ตามลักษณะของ กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ซึ่งมีบทบาทหน้าที่และภารกิจที่ชัดเจน สามารถวิเคราะห์ ความสอดคล้องระหว่าง บทบาทหน้าที่และภารกิจ กับ สาระการเรียนรู้ มาตรฐาน ของรายวิชาในหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ


64 การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้ และนำผลการเทียบโอนมาเป็นส่วนหนึ่งของผลการเรียนตาม หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ปรับปรุง (2559) กลุ่มเป้าหมายเฉพาะประกอบด้วย 1. พนักงานโรงงาน 2. ลูกจ้าง / พนักงานที่ทำงานในสถานประกอบการ 3. ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น /สมาชิกสภาเทศบาล / พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น / กำนัน / ผู้ใหญ่บ้าน /สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (สมาชิก อส) / ผู้นำท้องที่ / กลุ่มผู้นำทางศาสนา 4. อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) 5. ศิลปิน / นักร้อง / นักแสดง 6. พนักงานรักษาความปลอดภัย หลักการ การเทียบโอนผลการเรียน มีหลักการ ดังนี้ 1. การเทียบโอนผลการเรียนต้องสามารถเทียบโอนผลการเรียนที่ผู้เรียนสะสมไว้ ทั้งจาก การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพหรือประสบการณ์การ ทำงาน 2. เป็นการเชื่อมโยงการศึกษาทั้งสามรูปแบบ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการศึกษาตลอดชีวิต 3. เป็นการกระจายอำนาจให้สถานศึกษาในการเทียบโอนผลการเรียน โดยสถานศึกษา จะต้องจัดให้บุคลากรหรือเจ้าหน้าที่ ทำหน้าที่ให้คำแนะนำและดำเนินการให้มีการเทียบโอนผลการเรียน 4. วิธีการและหลักเกณฑ์การเทียบโอนผลการเรียนต้องได้มาตรฐานชัดเจนสมเหตุสมผล เชื่อถือได้โปร่งใสและยุติธรรม วัตถุประสงค์ 1. เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ซึ่งประกอบด้วย พนักงานโรงงาน / พนักงาน บริษัทลูกจ้าง / พนักงานที่ทำงานในสถานประกอบการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและ สมาชิกสภา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น /สมาชิกสภาเทศบาล / พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น /กำนัน / ผู้ใหญ่บ้าน /สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (สมาชิก อส.) / ผู้นำท้องที่ / กลุ่มผู้นำทางศาสนา /อาสาสมัคร สาธารณสุข / ศิลปิน / นักร้อง / นักแสดง / พนักงานรักษาความปลอดภัยที่มาลงทะเบียนเป็นผู้เรียน กศน. สามารถนำความรู้และประสบการณ์ตามกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวข้างต้นมาขอประเมิน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของผล การเรียน ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551ปรับปรุง (2559) ได้ 2. เพื่อยกระดับการศึกษากลุ่มเป้าหมายเฉพาะให้มีระดับการศึกษาที่สูงขึ้น และนำผลการ เรียนดังกล่าวไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น


65 หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการดำเนินการเทียบโอน หลักเกณฑ์และขั้นตอนการดำเนินการเทียบโอนผลการเรียนจากความรู้และประสบการณ์ กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ให้ดำเนินการตาม เอกสารแนวทางการเทียบโอนผลการเรียน หลักสูตรการศึกษานอก ระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุง พ.ศ.2559) ซึ่งสถานศึกษาได้ร่วมกำหนดขึ้น ขอบข่ายการเทียบโอน การเทียบโอนความรู้และประสบการณ์สำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เข้าสู่หลักสูตรการศึกษา นอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุง พ.ศ. 2559 ) จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวปฏิบัติ ให้สถานศึกษา ใช้ในการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ของกลุ่มพนักงานโรงงาน / พนักงานบริษัท /ลูกจ้าง / พนักงาน ที่ทำงานในสถานประกอบการ/ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสมาชิกสภาองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น/สมาชิกสภาเทศบาล / พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น/กำนัน /ผู้ใหญ่บ้าน /สมาชิก กองอาสารักษาดินแดน (สมาชิก อส) / ผู้นำท้องที่ / กลุ่มผู้นำทางศาสนา /อาสาสมัครสาธารณสุข / ศิลปิน / นักร้อง / นักแสดงที่ผ่าน การเข้ารับการอบรมการศึกษาหาความรู้ ตามบทบาทหน้าที่ของกลุ่มเป้าหมาย ดังกล่าว นิยามศัพท์ เพื่อให้เข้าใจความหมายของคำต่าง ๆ ที่ใช้ในเอกสารเป็นแนวเดียวกัน จึงกำหนดความหมายของ คำที่สำคัญ ดังนี้ กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ หมายถึง กลุ่มพนักงานโรงงาน / พนักงานบริษัท /ลูกจ้าง / พนักงาน ที่ทำงานในสถานประกอบการ/ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและ สมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น /สมาชิกสภาเทศบาล / พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น /กำนัน /ผู้ใหญ่บ้าน /สมาชิกกองอาสา รักษาดินแดน (สมาชิก อส) / ผู้นำท้องที่ / กลุ่มผู้นำทางศาสนา /อาสาสมัครสาธารณสุข / ศิลปิน / นักร้อง / นักแสดง การศึกษาในระบบ หมายถึง การศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาที่แน่นอน การศึกษานอกระบบ หมายถึง การศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของบุคคลแต่ละ กลุ่ม การศึกษาตามอัธยาศัย หมายถึง การศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม สื่อหรือแหล่ง ความรู้อื่น ๆ การศึกษาต่อเนื่อง หมายถึง การศึกษาที่จัดเป็นหลักสูตรเฉพาะหรือหลักสูตรฝึกอบรมตาม ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอาชีพ ทักษะชีวิต สังคมและชุมชน และ เศรษฐกิจพอเพียง


66 การเทียบโอนผลการเรียน หมายถึง การนำผลการเรียนซึ่งเป็นความรู้ ทักษะ และ ประสบการณ์ ของผู้เรียนที่เกิดจากการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย มา ประเมินเป็นส่วนหนึ่งของผลการเรียนตามหลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่ง การประเมินความรู้และประสบการณ์ หมายถึง การนำความรู้ ความสามารถ ทักษะ และ เจตคติ ที่เกิดจากการประกอบอาชีพ จากประสบการณ์การทำงานที่สะท้อนถึงกระบวนการทำงานและการพัฒนา อาชีพ การฝึกอาชีพ การแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจากการดำรงชีวิต และศึกษาเรียนรู้จากแหล่งความรู้การ เรียนรู้ต่าง ๆ มาประเมินเป็นส่วนหนึ่งของผลการเรียนตามหลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่ง หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุง พ.ศ.2559) หมายถึง หลักสูตรที่มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหา และความต้องการ ของบุคคลที่อยู่นอกระบบสถานศึกษา ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ที่มีประสบการณ์จากการทำงาน และการประกอบ อาชีพ สาระการเรียนรู้ หมายถึง องค์ความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะสำคัญรวมไว้ใน มาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งผู้เรียนต้องรู้และปฏิบัติได้สาระการเรียนประกอบด้วย 5 สาระ ดังนี้ สาระทักษะการ เรียนรู้สาระความรู้พื้นฐาน สาระการประกอบอาชีพ สาระทักษะการดำเนินชีวิต และสาระการพัฒนาสังคม


67 ตอนที่ 6 แนวทางการเทียบโอนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) เข้าสู่หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ตามประกาศสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องแนวทางการเทียบโอนกิจกรรมพัฒนา คุณภาพชีวิต (กพช.) เข้าหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยที่ เป็นการเห็นสมควรให้ผู้เรียน กศน.สามารถนำประสบการณ์ในการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตนเอง ชุมชนและสังคม และทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคม มาเทียบโอนเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กิจกรรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่ให้ผู้เรียนนำข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์จากการ เรียนมาฝึกทักษะการคิด การวางแผน การปฏิบัติกิจกรรมเพื่อพัฒนา ตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคม สามารถนำความรู้มาบูรณาการ พัฒนาทักษะการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงอันนำไปสู่สังคมแห่งสันติสุข หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนดให้ผู้เรียน ต้องทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) จำนวนไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมง เป็นเกณฑ์ในการจบหลักสูตรและ เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายที่เข้าสู่หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีความหลากหลาย และส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีประสบการณ์จากการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น จิตอาสาบำเพ็ญ สาธารณประโยชน์ การบริจาคโลหิต และการบริจาคอวัยวะ เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่เป็น ประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคม จึงสมควรที่จะให้คุณค่าของการทำกิจกรรดังกล่าว โดยสามารถนำมาเทียบโอนเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมพัฒนาคุณภาชีวิตตามหลักสูตรได้ หลักการ การเทียบโอนผลการเรียน มีหลักการ ดังนี้ 1. เป็นการเทียบโอนกิจกรรมที่ผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการเอง เพื่อพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชนและสังค ในขณะที่ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาที่จัดการศึกษาในระบบ นอกระบบ หรือกิจกรรมที่ผู้เรียน ดำเนินการในขณะที่ทำงานในสถานประกอบการ หรือในการประกอบอาชีพต่างๆ 2. เป็นการกระจายอำนาจในสถานศึกษาสามารถเทียบโอนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต โดย สถานศึกษาจะต้องจัดให้มีบุคลากร หรือ เจ้าหน้าที่ ผู้ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา แนะนำในการเทียบโอนกิจกรรม พัฒนาคุณภาพชีวิต 3. การเทียบโอนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ดำเนินการโดยคณะกรรมการเทียบโอนผล เรียนที่สถานศึกษาแต่งตั้งขึ้น 4. วิธีการเทียบโอนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ต้องได้มาตรฐานชัดเจน สมเหตุสมผล เชื่อถือได้ โปร่งใสและยุติธรรม


68 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่ผู้เรียนดำเนินการ เพื่อพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคม โดยการให้คุณค่าของกิจกรรมเป็นส่วนหนึ่งของ กพช. 2. ผู้เรียนเกิดความตระหนักและเห็นประโยชน์ของการพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชนและ สังคม และเกิดแรงจูงใจ ดำเนินการด้วยความภาคภูมิใจและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขอบข่ายการเทียบโอนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต 1. เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนดำเนินการ เพื่อพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคมที่ผู้เรียน ได้ดำเนินการมาก่อนเข้าเรียนในสถานศึกษาของ กศน. 2. เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนเข้าร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่จัดขึ้น เพื่อพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคม ได้แก่ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง คุณสมบัติของผู้เทียบโอนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้เรียน ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักเกณฑ์การเทียบโอน 1. สถานศึกษาต้องจัดให้มีการเทียบโอนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยจะต้องประกาศ ระยะเวลาเทียบโอนให้ทราบทั่วกัน และควรจะดำเนินการในภาคเรียนแรกที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้เรียน เพื่อใก้ สถานศึกษาและผู้เรียนจะได้วางแผนการทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตตลอดหลักสูตร 2. กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) ให้เทียบโอนได้ไม่เกิน 150 ชั่วโมง ตลอดหลักสูตรใน แต่ละระดับการศึกษา ทั้งนี้ หลักฐานที่นำมาเทียบโอน สถานศึกษาจะต้องแสดงให้เห็นว่าหลักฐานดังกล่าวใช้ ในการเทีบบโอนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ในระดับใดระดับหนึ่งแล้ว 3. กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่ผู้เรียนโอน/ย้ายสถานศึกษา สามารถนำมาโอนได้ตามจำนวนชั่วโมง ที่ปรากฏใน ใบระเบียนแสดงผลการเรียน 4. กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) ที่ใช้เทียบโอน/โอนแล้ว ไม่สามารถนำมาใช้เทียบ โอน/โอนได้อีก รวมทั้งไม่สามารถนำไปเทียบโอนรายวิชาได้ 5. กิจกรรมทีจะนำมาเทียบโอน/โอน ต้องมีอายุไม่เกิน 5 ปี นับถึงวันที่ยื่นขอเทียบโอน/โอน 6. กิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนที่สถานศึกษาจัดให้ตามหลักสูตรที่จัดการศึกษาเป็นระดับ (ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย) หรือเทียบเท่า ไม่สามารถนำมาใช้เทียบโอนได้ 7. การเทียบโอนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต จะต้องเป็นกิจกรรมหรือประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนการขึ้นทะเบียนเป็นผู้เรียน


69 8. ชั่วโมงการทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) ของสถานศึกษาในสังกัด สำนักงาน กศน. สามารถโอนไปสถานศึกษาอีกแห่งหนึ่งที่ใช้หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้ 9. ให้หัวหน้าสถานศึกษาเป็นผู้อนุมัติผลการเทียบโอน ลักษณะของกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต แบ่งเป็น 2 ประเภท ประเภทที่ 1 กิจกรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาตนเองและครอบครัวให้เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ประเภทที่ 2 กิจกรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาชุมชนสังคมและประเทศชาติการเทียบโอน กิจกรรม พัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช) ทั้ง 2 ประเภท ดังกล่าว จำแนกได้ ดังนี้ ประเภทที่ 1 กิจกรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาตนเองและครอบครัว ให้เป็นพลเมืองที่ดีของชาติโดย พิจารณา กิจกรรม 4 รูปแบบ คือ รูปแบบที่ 1 การเข้ารับอบรมหลักสูตรต่าง ๆ หมายถึง ผู้ขอเทียบโอนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพ ชีวิต เคยผ่านการอบรมในหลักสูตรเพื่อพัฒนาตนเองในรูปแบบต่าง ๆ ที่จัดโดยหน่วยงานราชการรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน โดยมีหลักสูตร ระยะเวลา มีการออกหลักฐานผ่านการอบรม ฉะนั้น กิจกรรมในรูปแบบนี้ เป็นกิจกรรมที่เกิดจากการที่ผู้เรียนเข้ารับการอบรม ไม่ใช่กิจกรรมที่เกิดจากตัวผู้เรียนเป็น ผู้ริเริ่ม จึงให้เทียบโอนได้ร้อยละ 50 ของจำนวนชั่วโมง หรือจำนวนวันซึ่งจะแบ่งเป็น 2 กรณี กรณีที่ 1 ผู้ขอเทียบโอนมีเอกสารหลักฐานมาแสดง หลักฐานต้องมีอายุไม่เกิน 5 ปีนับถึงวันที่ ขอเทียบโอนมีเกณฑ์พิจารณา ดังนี้ 1. เทียบจำนวนชั่วโมงร้อยละ 50 ตามที่ปรากฏในหลักฐานผ่านการอบรม 2. กรณีในหลักฐานไม่ระบุจำนวนชั่วโมง ให้กรณีในหลักฐานไม่ระบุจำนวนชั่วโมง ให้เทียบโอนจากระยะเวลาที่เข้ารับการอบรม โดยให้เทียบได้วันละไม่เกิน 4 ชั่วโมง (เกณฑ์การคิด 1 วันเท่ากับ 8 ชั่วโมง) กรณีที่ 2 ผู้ขอเทียบโอนไม่มีหลักฐานมาแสดง ให้ใช้หนังสือรับรองตามแบบที่กำหนดโดยให้ หน่วยจัดการอบรมเป็นผู้ลงนามรับรอง รูปแบบที่ 2 การศึกษาดูงานกับหน่วยงานต่าง ๆ หมายถึง ผู้ขอเทียบโอนเคยไปศึกษาดูงานที่ จัดโดยหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ องค์กรเอกชนและหน่วยจัดมีหนังสือ รับรอง ซึ่งผู้ขอเทียบโอนมีหลักฐานว่าเคยไปศึกษาดูงาน และนำความรู้ไปพัฒนาตนเอง ครอบครัวให้มีความรู้ ความสามารถในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น โดยให้กรอกคำขอตามแบบที่กำหนดโดยเอกสารหลักฐานที่ขอ เทียบโอนนำมาแสดงว่าเคยไปศึกษาดูงานมาแล้วไม่เกิน 5 ปีนับถึงวันที่ขอเทียบโอน มีเกณฑ์การพิจารณาดังนี้


70 1.เทียบโอนจำนวนชั่วโมงตามหลักฐานที่ผู้ขอเทียบโอนเคยไปศึกษาดูงาน โดยให้เทียบโอน จากระยะเวลาที่ศึกษาดูงานวันละไม่เกิน 4 ชั่วโมง 2.หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าผู้ขอเทียบโอนได้นำความรู้ที่ศึกษาดูงานไปพัฒนาตนเอง ครอบครัว เช่น ใบรับรอง รูปถ่าย แฟ้มสะสมงาน บันทึกต่าง ๆ รูปแบบที่ 3 กิจกรรมที่สร้างชื่อเสียงให้กับชุมชน/ประเทศชาติหรือปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ ดี หมายถึง ผู้ขอเทียบโอนเคยปฏิบัติตน หรือทำกิจกรรม คุณงามความดีที่สร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง/ครอบครัว ชุมชน/ท้องถิ่น จังหวัด ภูมิภาค และในระดับชาติ นานาชาติใช้เกณฑ์พิจารณาในการกำหนดชั่วโมง เป็น 3 ระดับ ดังนี้ ระดับที่ 1 ทำคุณงามความดีสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองและครอบครัว/ชุมชน/ท้องถิ่นให้ 50 ชั่วโมง เช่น ได้รับรางวัลดีเด่นจากหมู่บ้าน จากสถานศึกษาในหมู่บ้าน ในตำบล ในอำเภอ หรือจากองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ระดับที่ 2 สร้างชื่อเสียงในระดับจังหวัด/ภูมิภาคให้ 100 ชั่วโมง เช่น การได้รับรางวัลใน ระดับจังหวัด หรือกลุ่มจังหวัด หรือระดับภาค เป็นต้น ระดับที่ 3 สร้างชื่อเสียงในระดับชาติ/นานาชาติ ให้ 150 ชั่วโมง เช่น ได้รับรางวัลใน ระดับชาติหรือนานาชาติ เป็นต้น ทั้งนี้ผลงานทั้ง 3 ระดับให้พิจารณาหลักฐาน เช่น ภาพประกอบผลงาน ชิ้นงาน ใบรับรอง เหรียญโล่ รางวัล เกียรติบัตร เป็นต้น รูปแบบที่ 4 กิจกรรม/โครงการที่กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน หรือ ศาลเยาวชน และครอบครัวกลาง จัดให้เด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรม ให้เทียบโอนได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของ จำนวนชั่วโมงที่ปรากฏตามหลักฐาน วิธีการเทียบโอน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1. การเทียบโอนจากกิจกรรมที่มีหลักฐาน 1.1 เป็นการพิจารณาหลักฐานการทำกิจกรรมจากการศึกษาเป็นระดับ (ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย) ทั้งในระบบและนอกระบบ 1.2 เป็นการพิจารณาหลักฐานการทำกิจกรรม ได้แก่ วุฒิบัตร ประกาศนียบัตร ใบรับรอง ที่ ได้รับจากการอบรม การเรียนจากหลักสูตรระยะสั้น หรือหลักฐานอื่นๆ ที่นำมาแสดงได้ 2. การเทียบโอนกิจกรรมจิตอาสาประเภทต่าง ๆ ที่ไม่มีหลักฐาน ให้ใช้ใบรับรองตามแบบ ที่กำหนด


71 เกณฑ์การเทียบโอน ที่ กิจกรรม เกณฑ์การเทียบโอน จำนวนชั่วโมงที่เทียบได้ 1. การฝึกอบรมหลักสูตรต่าง ๆ หลักฐานที่ระบุจำนวนชั่วโมง ได้ร้อยละ 50 จากที่ระบุในหลักฐาน หลักฐานที่ไม่ระบุจำนวนชั่วโมง ได้ตามจำนวนวันดังปรากฏ ในหลักฐาน ไม่เกิน 4 ชั่วโมง/วัน 2. การศึกษาดูงานกับหน่วยงาน ต่าง ๆ หลักฐานที่ระบุจำนวนชั่วโมง ได้ร้อยละ 50 จากที่ระบุในหลักฐาน หลักฐานที่ไม่ระบุจำนวนชั่วโมง ได้ตามจำนวนวันดังปรากฏ ในหลักฐาน ไม่เกิน 4 ชั่วโมง/วัน 3. การสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง ครอบครัว ชุมชน ประเทศชาติ หรือปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ระดับชุมชน/ท้องถิ่น 50 ชั่วโมง ระดับจังหวัด/ภูมิภาค 100 ชั่วโมง ระดับชาติ/นานาชาติ 150 ชั่วโมง ประเภทที่ 2 การเทียบโอนกิจกรรมที่มุ้งเน้นการพัฒนาชุมชน สังคม และประเทศชาติ เป็นกิจกรรมที่ผู้ขอเทียบโอนได้ร่วมทำกิจกรรมหรือมีส่วนร่วมในกระบวนการดำเนินงาน บำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณชน โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน ทั้งนี้ ผู้ขอเทียบโอนต้องแสดงเอกสารหลักฐานการ ปฏิบัติ หรือ หนังสือรับรองตามแบบที่กำหนด โดยพิจารณากิจกรรม 4 ลักษณะ ดังนี้ ลักษณะที่ 1 กิจกรรมอาสาสมัคร เป็นกิจกรรมที่สมัครใจหรือมีจิตอาสาเข้ามาเพื่อเยียวยา และทำงานที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนและสังคม โดยสมัครใจ เพื่อการดูแล ป้องกัน แก้ปัญหาเพื่อพัฒนา สังคม โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นเงิน หรือสิ่งอื่นใด ผลตอบแทนที่อาสาสมัครได้รับคือ ความสุขที่ผู้ขอเทียบ โอนได้ปฏิบัติในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การช่วยเหลือผู้ประสบภัย การปลูกป่า จิตอาสารักษาสิ่งแวดล้อม อาสาสมัครสร้างฝายชุมชน หมอดินอาสา หมอยางอาสา อาสาสมัครส่งเสริมการอ่าน เป็นต้น ลักษณะที่ 2 กิจกรรมที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการที่บ่งบอกถึงการใช้ความรู้ ความสามารถในชมรม สมาคม มูลนิธิ ชุมชน สังคม และหน่วยงานต่าง ๆ 1)กรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคราว เป็นการปฏิบัติงานที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการทำหน้าที่เป็นครั้งคราว เช่น กรรมาการ ดำเนินงานด้านวัฒนธรรม ประเพณี เป็นต้น


72 2)กรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นวาระ (ไม่เกิน 4 ปี) เป็นการปฏิบัติงานที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการทำหน้าที่เป็นวาระ เช่น ชมรมผู้สูงอายุ กรรมการสมาคมผู้ปกครอง กรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ กรรมการเครือข่ายวัฒนธรรมชุมชน เป็นต้น 3)กรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งระยะยาว (4 ปี ขึ้นไป) การปฏิบัติงานที่ได้รับลการแต่งตั้งเป็นกรรมการทำหน้าที่ต่อเนื่องโดยไม่หมดวาระ เช่น กรรมการวัด มัคนายก (มัคทายก) ไวยาวัจกร เป็นต้น ลักษณะที่ 3 กิจกรรมเพื่อสาธารณกุศล / สาธารณประโยชน์ เป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อ สาธารณกุศล / สาธารณประโยชน์ เช่น การบริจาคโลหิต การบริจาคอวัยวะเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น บริจาคสเต็ม เซลล์ บริจาคไขกระดูก บริจาคไต เป็นต้น ลักษณะที่ 4 กิจกรรมการให้ความรู้ การสร้างองค์ความรู้ให้กับชุมชน สังคม แหล่งเรียนรู้ เช่น ภูมิปัญญาท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้รู้ เกณฑ์การเทียบโอนจำนวนชั่วโมง ที่ กิจกรรม เกณฑ์การเทียบโอน จำนวนชั่วโมง ที่เทียบได้ 1. อาสาสมัคร/จิตอาสา ให้จำนวนชั่วโมงตามหลักบานที่ปรากฎในหลักสูตร/ กิจกรรม/วุฒิบัตร/เกียรติบัตร/หนังสือเชิญ/ภาพถ่าย/ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหนังสือรับรอง ทั้งนี้ต้องไม่ เกิน 8 ชั่วโมง/วัน ไม่เกิน 8 ชั่วโมง/วัน 2. การได้รับแต่งตั้งให้เป็น กรรมการต่าง ๆ ใน ชมรม/สมาคม/ชุมชน/ สังคม และหน่วยงาน ต่าง ๆ 1) กรรมการเฉพาะกิจ (ได้รับการแต่งตั้ง เป็นครั้งคราว) 25 ชั่วโมง 2) กรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นวาระ (ไม่เกิน 4 ปี) 50 ชั่วโมง 3) กรรมการระยะยาว (4 ปีขึ้นไป) 75 ชั่วโมง 3. การปกฏิบัติงาน/ ปฏิบัติตน เพื่อสาธารณ กุศล/ สาธารณประโยชน์ 1) การบริจาคโลหิตทั่วไปนับเป็นครั้ง 25 ชั่วโมง/ครั้ง 2) การบริจาคเส้นผมให้นับเป็นจำนวนครั้ง 25 ชั่วโมง/ครั้ง 3) การบริจาคเพื่อสาธารณกุศล / สาธารณประโยชน์ เช่น สเต็มเซลล์ ไขกระดูก เกล็ดเลือด สมัครใจเป็นผู้ ทดลองวัคซีน นับจำนวนเป็นครั้ง 25 ชั่วโมง/ครั้ง 4) การบริจาคโลหิต บริจาคไต เพื่อช่วยชีวิตเร่งด่วน (เฉพาะกิจเร่งด่วน) 150 ชั่วโมง


73 ที่ กิจกรรม เกณฑ์การเทียบโอน จำนวนชั่วโมง ที่เทียบได้ 4. การให้ความรู้/สร้าง องค์ความรู้ให้กับ ชุมชน/สังคม เช่น ภูมิมิปัญญาท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน ฯลฯ นับตามจำนวนชั่วโมงที่ปฏิบัติ (สามารถนับรวมได้ หลายครั้งตามที่ปรากฏในหลักฐาน) 150 ชั่วโมง การเทียบโอนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้ง 2 ประเภท สถานศึกษาจะต้องให้ผู้เรียนเขียนอธิบาย หรือ แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมที่ผู้เรียนเข้ารับการอบรม หรือเป็นกิจกรรมที่ทำมาและนำมาขอเทียบโอน มี ประโยชน์ มีคุณค่าต่อการพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชนและสังคม ประเทศชาติ หรือแสดงให้เห็นว่า ผู้เรียน นำไปพัฒนาชุมชน สังคม ประเทศชาติ ได้อย่างไร กระบวนการเทีบบโอนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต เอกสาร/หลักฐานที่ใช้ประกอบการขอรับการเทียบโอน 1. แบบคำร้องขอเทียบโอน/โอน 2. หลักฐานการทำกิจกรรม เช่น วุฒิบัตร เกียรติบัตร บัตรประจำตัว โล่รางวัล รูปถ่าย หนังสือเชิญ ตารางการอบรม หลักฐานการทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ 3. หนังสือรับรองตามแบบที่กำหนด (กรณีที่ไม่มีหลักฐานตามข้อ 2) 4. แบบรายงานการทำกิจกรรมหรือเข้าร่วมกิจกรรม 5. แบบประเมินผลการเทียบโอน 6. แบบสรุป/อนุมัติผลการเทียบโอน หมายเหตุหลักฐานให้ใช้ฉบับจริงมาแสดงพร้อมแนบสำเนาโดยสถานศึกษาเก็บสำเนาไว้และ ประทับตราหรือทำเครื่องหมายเพื่อให้ทราบว่าเอกสารฉบับดังกล่าวได้ถูกใช้ในการเทียบโอนแล้วไม่สามารถ นำมาใช้เทียบโอนได้อีก เจ้าหน้าที่ แนะแนวผู้เรียน ผู้เรียนยื่นคำร้อง กรรมการพิจารณา หลักฐานการเทียบโอน บันทึกในหลักฐาน งานทะเบียน ผลการ เทียบโอน/โอน ดำเนินการ เทียบโอน/โอน


74 ตอนที่ 7 ยุทธศาสตร์สถานศึกษาคุณธรรม ความเป็นมา ด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กรอบ แนวทางการดำเนินงานสถานศึกษาคุณธรรม กระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 3 มกราคม 2562 และประกาศ กระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ยุทธศาสตร์สถานศึกษาคุณธรรม กระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 3 มกราคม 2562 เพื่อให้องค์กรหลักและสถานศึกษาใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานในการขับเคลื่อนการพัฒนาสถานศึกษา คุณธรรม และนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานสถานศึกษาคุณธรรมต่อไป และเพื่อเป็นการดำเนินการ ให้สถานศึกษาได้ใช้ยุทธศาสตร์สถานศึกษาคุณธรรม กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้มีการเพิ่มเติมในส่วนของ หลักสูตรสถานศึกษา เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมพัฒนา คุณภาพผู้เรียน และการจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ปลูกฝังความมีวินัย คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมและวัฒนธรรมอันพึงประสงค์ ตาม หลักค่านิยมของคนไทย 12 ประการ ความเป็นพลเมืองตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระบบ การศึกษาอย่างเข้มข้น จากสถานศึกษาให้มีความเข้มแข็ง และพระบรมราโชบายด้านการศึกษา เป้าหมาย นักเรียน นักศึกษา มีวินัย คุณธรรม จริยธรรม ใฝ่รู้ด้วยตนเอง ประยุกต์ใช้ค่านิยมของคนไทย 12 ประการ หลักปรัชญาของงเศรษฐกิจพอเพียง และประพฤติตนตามพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ยุทธศาสตร์ที่ 2 ส่งเสริมให้เครือข่ายมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน เป้าหมาย มีเครือข่ายความร่วมมือในการดำเนินงานคุณธรรม จริยธรรม กับทุกภาคส่วนให้สอดคล้องกับ สังคมไทย ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาสมรรถนะและขีดความสามารถของบุคลากร เพื่อสนับสนุนภารกิจด้าน สถานศึกษาคุณธรรม เป้าหมาย นักเรียน นักศึกษา บุคลากรและหน่วยงานมีความพร้อมและทักษะในการดำเนินงานด้าน สถานศึกษาคุณธรรม ยุทธศาสตร์ที่ 4 ปลูกฝังสถานศึกษาคุณธรรม เป้าหมาย ให้องค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม สนับสนุนการปลูกจิตสำนึกด้านคุณธรรมอย่างยั่งยืน พันธกิจ เสริมสร้างและพัฒนานักเรียน นักศึกษา ให้มีวินัย คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และวัฒนธรรมที่พึง ประสงค์ มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน การจัดกิจกรรม สถานศึกษาคุณธรรมด้เนินการจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และพันธกิจของ สถานศึกษาให้ครอบคลุมอย่างน้อย 4 ด้าน ต่อไปนี้ 1.กิจกรรมด้านศาสนา 2. กิจกรรมด้านวิถีไทย 3. กิจกรรมคุณธรรมอัตลักษณ์ 4. กิจกรรมจิตอาสาทำความดีด้วยหัวใจ


75 ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี เป็นยุทธศาสตร์ที่ยึดวัตถุประสงค์หลักแห่งชาติเป็นแม่บทหลัก เพื่อเป็น กรอบการกำหนดนโยบาย ทิศทางการพัฒนา การลงทุนของภาคเอกชนที่สอดรับกับเป้าหมายของยุทธศาสตร์ ชาติการบริหารราชการแผ่นดิน การจัดสรรงบประมาณ ฯลฯ ดังนั้น ทิศทางด้านการป้องกันและปราบปราม การทุจริต การสร้างความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในการบริหารราชการแผ่นดินของหน่วยงานภาครัฐ ทุก หน่วยงานจะถูกกำหนดจากยุทธศาสตร์ชาติ (วิสัยทัศน์ประเทศระยะ 20 ปี) และยุทธศาสตร์การพัฒนาระยะ 5 ปี เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์“ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตาม ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”นำไปสู่การพัฒนาให้คนไทยมีความสุขและตอบสนองตอบต่อการบรรลุซึ่ง ผลประโยชน์แห่งชาติ ในการที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างรายได้ระดับสูงเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และสร้าง ความสุขของคนไทย สังคมมีความมั่นคง เสมอภาคและเป็นธรรม ประเทศสามารถแข่งขันได้ในระบบเศรษฐกิจ โดยมีกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปีดังนี้ (พ.ศ. 2561 – 2580) ดังนี้ 1. ด้านความมั่นคง (1)เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข (2) ปฏิรูปกลไกการบริหารประเทศและพัฒนาความมั่นคงทางการเมือง ขจัดคอร์รัปชั่น สร้างความ เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม (3)การรักษาความมั่นคงภายในและความสงบเรียบร้อยภายในตลอดจนการบริหารจัดการความมั่นคง ชายแดนและชายฝั่งทะเล (4) การพัฒนาระบบกลไก มาตรการและความร่วมมือระหว่างประเทศทุกระดับ และรักษาดุลยภาพ ความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาความมั่นคงรูปแบบใหม่ (5) การพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพการผนึกกำลังป้องกันประเทศการรักษาความสงบเรียบร้อย ภายในประเทศ สร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและมิตรประเทศ (6) การพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติและระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ รักษาความมั่นคงของ ฐานทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม (7) การปรับกระบวนการทำงานของกลไกที่เกี่ยวข้องจากแนวดิ่งสู่แนวระนาบมากขึ้น 2. ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน (1) การพัฒนาสมรรถนะทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการค้า การลงทุน พัฒนาสู่ชาติการค้า (2) การพัฒนาภาคการผลิตและบริการ เสริมสร้างฐานการผลิตเข้มแข็ง ยั่งยืน และส่งเสริมเกษตรกร รายย่อยสู่เกษตรยั่งยืนเป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม (3) การพัฒนาผู้ประกอบการและเศรษฐกิจชุมชน พัฒนาทักษะ ผู้ประกอบการ ยกระดับผลิตภาพ แรงงานและพัฒนา SMEs สู่สากล (4) การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษและเมือง พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ชายแดน และพัฒนาระบบ เมืองศูนย์กลางความเจริญ


76 (5) การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการขนส่ง ความมั่นคงและพลังงาน ระบบเทคโนโลยี สารสนเทศ และการวิจัย และพัฒนา (6) การเชื่อมโยงกับภูมิภาคและเศรษฐกิจโลก สร้างความเป็นหุ้นส่วน การพัฒนากับนานาประเทศ ส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานของการประกอบ ธุรกิจ ฯลฯ 3. ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน (1) พัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต (2) การยกระดับการศึกษาและการเรียนรู้ให้มีคุณภาพเท่าเทียมและทั่วถึง (3) ปลูกฝังระเบียบวินัย คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่พึงประสงค์ (4) การสร้างเสริมให้คนมีสุขภาวะที่ดี (5) การสร้างความอยู่ดีมีสุขของครอบครัวไทย 4. ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาค และเท่าเทียมกันทางสังคม (1) สร้างความมั่นคงและการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม (2) พัฒนาระบบบริการและระบบบริหารจัดการสุขภาพ (3) มีสภาพแวดล้อมและนวัตกรรมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตในสังคมสูงวัย (4) สร้างความเข้มแข็งของสถาบันทางสังคม ทุนทางวัฒนธรรมและ ความเข้มแข็งของชุมชน (5) พัฒนาการสื่อสารมวลชนให้เป็นกลไกในการสนับสนุนการพัฒนา 5. ด้านการสร้างการเติบโตบน คุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (1) จัดระบบอนุรักษ์ ฟื้นฟูและป้องกันการทำลาย ทรัพยากรธรรมชาติ (2) วางระบบบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพทั้ง 25 ลุ่มน้ำ เน้นการปรับระบบการบริหารจัดการ อุทกภัย อย่างบูรณาการ (3) การพัฒนาและใช้พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (4) การพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศและเมืองที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อม (5) การร่วมลดปัญหาโลกร้อนและปรับตัวให้พร้อมกับการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (6) การใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์และนโยบายการคลัง เพื่อสิ่งแวดล้อม 6. ด้านการปรับสมดุลและพัฒนา ระบบการบริหารจัดการภาครัฐ (1) การปรับปรุงโครงสร้าง บทบาท ภารกิจของหน่วยงาน ภาครัฐ ให้มีขนาดที่เหมาะสม (2) การวางระบบบริหารราชการแบบบูรณาการ (3) การพัฒนาระบบบริหารจัดการกำลังคนและพัฒนา บุคลากรภาครัฐ (4) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (5) การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ (6) ให้ทันสมัย เป็นธรรมและเป็นสากล (7) พัฒนาระบบการให้บริการประชาชนของหน่วยงานภาครัฐ (8) ปรับปรุงการบริหารจัดการรายได้และรายจ่ายของภาครัฐ


77 แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 กำหนดวิสัยทัศน์ คือ “คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาและ เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดำรงชีวิต อย่างเป็นสุข สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ การเปลี่ยนแปลงของ โลกศตวรรษที่ 21” โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษา 4 ประการ คือ 1) เพื่อพัฒนาระบบและกระบวนการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ 2) เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นพลเมืองดี มีคุณลักษณะทักษะและสมรรถนะที่สอดคล้องกับบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติและยุทธศาสตร์ชาติ 3) เพื่อพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และคุณธรรม จริยธรรม รู้รักสามัคคี และร่วมมือ ผนึกกำลังมุ่งสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 4) เพื่อนำประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางและความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ ลดลง แผนการศึกษาแห่งชาติวางเป้าหมายไว้ 2 ด้าน คือ 1) เป้าหมายด้านผู้เรียน (Learner Aspirations) โดยมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนให้มีคุณลักษณะและ ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (3Rs8Cs) 2) เป้าหมายของการจัดการศึกษา (Aspirations) 5 ประการ ซึ่งมีตัวชี้วัดเพื่อการบรรลุเป้าหมาย 53 ตัวชี้วัดแผนการศึกษาแห่งชาติ กำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาการศึกษาภายใต้ 6 ยุทธศาสตร์หลัก ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้แผนการศึกษาแห่งชาติบรรลุเป้าหมายตามจุดมุ่งหมาย วิสัยทัศน์ และแนวคิดการจัดการศึกษาดังกล่าวข้างต้น ดังนี้ ยุทธศาสตร์ที่ 1 : การจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติ ยุทธศาสตร์ที่ 2: การผลิตและพัฒนากำลังคน การวิจัย และนวัตกรรรม เพื่อสร้างขีดความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ยุทธศาสตร์ที่ 4 : การสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษา ยุทธศาสตร์ที่ 5 : การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์ที่ 6: การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการศึกษา


78


79 หลักการจัดกิจกรรมสถานศึกษาคุณธรรม กิจกรรมการพัฒนาสถานศึกษาคุณธรรมจริยธรรม ของกศน.อำเภอพระประแดง ที่จัดเตรียมไปใช้ใน การจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน 1. กิจกรรมที่มุ่งสร้างการมีส่วนร่วม เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ต้องปฏิบัติร่วมกันทังสถานศึกษาสร้าง เสริมคุณลักษณะของการทำงานร่วมกัน สร้างสรรค์ค่านิยมที่ดีงามของกลุ่ม มีการช่วยเหลือเกื้อกูล มีความ สามัคคี มีน้ำใจที่ดีต่อกัน และมุ่งสร้างประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าตน 2. กิจกรรมมุ่งเพิ่มพูนทักษะการคิดวิเคราะห์เชิงเหตุผล เป็นการเรียนรู้ที่ใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้นให้ ผู้เรียนใฝ่หาความรู้เพื่อแก้ไขปัญหา ได้คิดเป็น มีการตัดสินใจที่ดีภายใต้เหตุผลที่สืบเสาะค้นหามา เน้นให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง สามารถนำทักษะจากการเรียนรู้มาใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ 3. กิจกรรมมุ่งเพิ่มพูนทักษะชีวิต การรู้จักทำงานเป็นทีม ทักษะการร่วมกันแก้ปัญหา รู้จักการเป็น ผู้นำและผู้ตามที่ดี รู้จักการสังเกตสิ่งแวดล้อม และนำมาใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ฝึกทักษะชีวิต ความ อดทน อดกลั้น การช่วยเหลือมีน้ำใจ และจิตอาสา 4. กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ผู้เรียนคิด ผู้เรียนเลือก ลงมือทำ ประเมินผล และปรับแผนด้วยตนเอง ทำให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง และเรียนรู้อย่างมีความสุข โดยมีครูเป็นที่ปรึกษากิจกรรม 5. กิจกรรมที่สนองตอบความสนใจ ความถนัด และความต้องการของผู้เรียนทุกคน เปิดโอกาสให้ ผู้เรียนได้ร่วมกันวางแผน คิดวิเคราะห์ ระดมสมอง อภิปราย ลงมือปฏิบัติ สรุป ความรู้ถอดบทเรียนที่ได้รับ ช่วยสร้างความมุ่งมั่นในการแสวงหาความรู้ ความมั่นในการแสวงหาความรู้ ความมั่นใจในการแก้ปัญหาและ ร่วมสร้างสรรค์คนวัตกรรมที่ดีงานด้านคุณธรรม 6. กิจกรรมสะท้อนบริบทจริงของสถานศึกษา สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่และชีวิตจริงของผู้เรียน ผู้ปกครองสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับสถานศึกษา รวมทั้งชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น สิ่งแวดล้อม ภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายสถานศึกษาคุณธรรม 7. ประเมินผลการเรียนรู้จากสภาพจริง (Authentic Assessment) เป็นการประเมินพฤติกรรมที่พึง ประสงค์เพิ่มขึ้นหรือลดลง ซึ่งเป็นการประเมินการปฏิบัติตนของผู้เรียน (Performance Assessment) 8. กิจกรรมที่จัดขึ้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชั้นเรียน และการเรียนการสอนในสาระวิชาหลักต่าง ๆ ได้ ทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้ตามสาระวิชา ได้ฝึกฝนคุณธรรมจริยธรรม ฝึกการทำงานเป็นทีม ใช้ความคิด สร้างสรรค์ ทำให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการทำงานด้วยตนเอง เห็นคุณค่าของการทำงานเห็นคุณค่าของตนเอง เกิด ความมั่นใจในตนเอง รู้จักดูแลตนเองให้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า และเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ


80 องค์ประกอบของกิจกรรม กระบวนการและขั้นตอนการพัฒนาสถานศึกษาคุณธรรม อาจแบ่งองค์ประกอบของกิจกรรมได้ 4 เรื่อง ดังนี้ 1. กิจกรรมการพัฒนาศักยภาพครูแกนนำและผู้เรียนแกนนำ เป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการ ให้มี ความรู้ ความเข้าใจ ในกระบวนการพัฒนาสถานศึกษาคุณธรรมจริยธรรม โดยจัดอบรมให้กลุ่มครูแกนนำ และ กลุ่มผู้เรียนแกนนำ เพื่อให้เป็นกลุ่มปฏิบัติงานริเริ่มร่วมกับผู้บริหาร 2. กิจกรรมการจัดทำแผนและโครงงานคุณธรรม เป็นการดำเนินงานโดยสถานศึกษาเองทุกขั้นตอน ซึ่งต้องอาศัยภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาเป็นตัวผลักดัน โดยมีครูแกนนำและผู้เรียนแกนนำ เป็นผู้ช่วย ขับเคลื่อนเป็นหลักในสถานศึกษา 3. กิจกรรมประเมินผลการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในสถานศึกษา เป็นการประเมินหาพฤติกรรมที่ พึงประสงค์ในสถานศึกษาที่เพิ่มขึ้น และพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ลดน้อยลง ตามที่สถานศึกษากำหนด เป้าหมายไว้ในแผน และวิเคราะห์หาปัจจัยของความสำเร็จในการพัฒนาสถานศึกษาคุณธรรม 4. การบริหารจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ เป็นงานอำนวยการเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนา สถานศึกษาคุณธรรมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งผลสำเร็จตามเป้าหมายและระยะเวลาที่กำหนดไว้ เป้าประสงค์ 1. มีกระบวนการพัฒนาสถานศึกษาสู่สถานศึกษาคุณธรรม 2. ครูได้รับการพัฒนาศักยภาพในการออกแบบและจัดการเรียนรู้เชิงบูรณาการความรู้คู่ความดี และ เป็นต้นแบบที่ดีงานของผู้เรียน 3. ผู้เรียนในสถานศึกษาคุณธรรมกลุ่มเป้าหมายแสดงอออกถึงพฤติกรรมพึงประสงค์ที่ชัดเจน เป็น รูปธรรม สม่ำเสมอ 4. พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของผู้บริหาร ครู และผู้เรียนในสถานศึกษากลุ่มเป้าหมายลดลง 5. พฤติกรรมที่พึงประสงค์ของผู้บริหาร ครู และผู้เรียนในสถานศึกษากลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้น 6. เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมในสถานศึกษาจากทุกภาคส่วนที่ เกี่ยวข้อง เช่น ผู้บริหารสถานศึกษา ครู บุคลากร ผู้เรียน ผู้ปกครอง เป็นต้น 7. มีองค์ความรู้และนวัตกรรมที่ใช้ในการพัฒนาศักยภาพของครูเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ที่ เหมาะสมกับเนื้อหาสาระตามมาตรฐานหลักสูตรและแนวพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2545 พร้อมกับการสร้างเสริมคุณธรรม จริยธรรม


81 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาศักยภาพครูในการออกแบบและจัดการเรียนรู้เชิงบูรณาการความรู้คู่ความดี และเป็น ต้นแบบที่ดีงามของผู้เรียน 2. เพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมผู้เรียนแบบองค์รวม เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมที่พัฒนา กระบวนการคิดเชิงระบบ และลงมือปฏิบัติจริง 3. เพื่อพัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ในการส่งเสริมและพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ผู้เรียนลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ในสถานศึกษา ส่งเสริมการสร้างพฤติกรรมที่พึงประสงค์ เพื่อ เป้าหมายการสร้างคนดีสู่สังคม 4. เพื่อพัฒนาศักยภาพครูให้มีความรู้ความเข้าใจในกลวิธีการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเนื้อหา สาระตามมาตรฐานหลักสูตรที่กำหนดไว้ ตระหนักในบทบาทหน้าที่ ความสำคัญของอาชีพครู และการสร้างเสริมคุณธรรม จริยธรรมในสถานศึกษา ยุทธศาสตร์ดำเนินงาน 1. ผนึกกำลังของผู้บริหาร ครู และผู้เรียนลงมือปฏิบัติคุณธรรมทั่วทั้งสถานศึกษา โดยใช้สถานศึกษาคุณธรรมที่ดำเนินการแล้วเป็นฐานในการกระจายสถานศึกษาเพิ่มเน้นการรวม พลังของผู้บริหารสถานศึกษา ครู บุคลากร ผู้เรียน รวมทั้ง ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษา และชุมชน ท้องถิ่น เพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ในสถานศึกษา และเพิ่มพฤติกรรมที่พึงประสงค์ร่วมกันขึ้น 2. สร้างระบบสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านคุณธรรมในสถานศึกษา โดยจัดนิเทศ ให้คำปรึกษาแก่บุคลากรผู้รับผิดชอบโครงการสถานศึกษาคุณธรรมที่ผ่านการอบรม แล้ว เพื่อสร้างความร่วมมือและรักษาความต่อเนื่องสม่ำเสมอในการพัฒนาพฤติกรรมที่พึงประสงค์ใน สถานศึกษา เพิ่มทีมงานวิทยากรด้านการฝึกอบรมและการนิเทศงาน เพื่อยกระดับคุณภาพการดำเนินงาน และ ใช้เป็นแบบอย่างในการขยายผล เพื่อความยั่งยืน 3. พัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมการเรียนรู้ด้านคุณธรรมจริยธรรม โดยการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ถอดบทเรียนสถานศึกษาคุณธรรมจริยธรรม รวมทั้งวิจัยเรื่องที่ เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีองค์ความรู้และนวัตกรรมการเรียนรู้ที่ถูกต้อง หลากหลาย ทันต่อเหตุการณ์ และสะดวกใน การเผยแพร่ เพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการด้านคุณธรรมจริยธรรม ผลลัพธ์ 1. ครูมีความตระหนักในบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบ ความสำคัญและคุณค่าของอาชีพครู มี ศักยภาพในการออกแบบและจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมผู้เรียนตลอดจนปฏิบัติตน เป็นแบบอย่างครูที่ดี เป็นที่ยอมรับทั่วกัน 2. ผู้เรียนมีทักษะกระบวนการคิดมีคุณธรรม จริยธรรมมีทักษะในการดำเนินชีวิตโดยใช้หลักศาสนาเป็นฐาน


82 3. พฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ครู บุคลากร ผู้เรียน และผู้ปกครองเปลี่ยนแปลงไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น 4. ผู้เรียนมีผลการเรียนที่ดีขึ้น และผลการสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานอยู่ในระดับที่ดีขึ้น 5. หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สังคมชุมชน ประชาชนให้ความสนใจ และมีส่วน ร่วมในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมร่วมกัน เพื่อความสุขของประเทศ เมื่อสถานศึกษาได้พัฒนาเป็น สถานศึกษาคุณธรรมแล้ว ทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม


83 ตอนที่ 8 การกำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษาให้สอดคล้อง กับความมั่นคงของชาติ แนวคิด กระแสธารความคิดว่าด้วยการรู้เท่าทันสื่อก่อตัวขึ้นตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 เมื่อตัวแทนของ 19 ชาติที่เข้า ร่วมการประชุมวิชาการนานาชาติว่าด้วยการศึกษาสื่อสารมวลชน (International Symposium on Media Education) ขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (The United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization: UNESCO) ในปี ค.ศ. 1982 ได้รับรองคำประกาศ แห่งกรูนวาล์ดว่าด้วยการศึกษาสื่อสารมวลชน (The Gr?nwald Declaration on Media Education) อย่างไรก็ตาม แนวคิดว่าด้วยการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ได้รับการกล่าวถึงมากขึ้น ในฐานะเครื่องมือใน การรับมือกับข่าวลวงซึ่งกลายมาเป็นความท้าทายชุดใหม่ภายใต้ภูมิทัศน์สื่อในโลกดิจิทัล รัฐบาล องค์การ ระหว่างประเทศและหน่วยงานในหลายประเทศพยายามชูนโยบายรู้เท่าทันสื่อเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับ ประชาชน ด้วยวิถีการบริโภคสื่อของผู้คนที่ใกล้ชิดกับเทคโนโลยีดิจิทัล ในปัจจุบันแนวคิดการรู้เท่าทันสื่อและ ข้อมูลสารสนเทศมิได้จำกัดเฉพาะสื่อกระแสหลักเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมสื่อออนไลน์ นอกจากนี้หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องในการส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อก็ไม่จำกัดเฉพาะสื่อสารมวลชนแต่ยังรวมถึงสถาบันการศึกษา องค์กร ภาคประชาสังคม องค์การระหว่างประเทศ และภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟสบุ๊ก ทวิต เตอร์ และไมโครซอฟท์ อนึ่ง ในปัจจุบันสื่อออนไลน์กลายมาเป็นช่องทางที่ผู้คนจำนวนมากใช้รับข้อมูลข่าวสารทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกออนไลน์กลายมาเป็นพื้นที่ทางการเมืองของเยาวชนที่เกิดและเติบโตมาพร้อมกับ เทคโนโลยีดิจิทัล1 ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “Digital Native” ดังนั้น การรู้เท่าทันสื่อจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในการที่จะทำให้ผู้รับข้อมูลข่าวสารทางการเมืองในโลกดิจิทัลมีความระวังไหวต่อข้อมูลข่าวสารที่จงใจใช้ในการ แสวงประโยชน์ทางการเมือง สร้างความแตกแยก และเผยแพร่แนวคิดสุดโต่ง อย่างไรก็ตาม แนวความคิดว่า ด้วยการรู้เท่าทันสื่อ นั้นถูกตีความแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละหน่วยงาน รวมทั้งลักษณะของระบบ นิเวศสื่อ (Media Ecology) เฉพาะของแต่ละประเทศ ดังนั้นนโยบายการรู้เท่าทันสื่อและข้อมูลสารสนเทศที่มี อยู่ในปัจจุบันจึงมีความหลากหลายอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงมีความพยายามที่จะสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้ มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อที่จะทำให้การขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว มีทิศทางที่ชัดเจน และสอดรับ กับปัญหาข่าวลวงที่กำลังทำให้ข้อมูลในการตัดสินใจทางการเมืองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยถูก บิดเบือนซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการลดทอนคุณค่าของประชาธิปไตย ในแง่นี้การรู้เท่าทันสื่อจึงไม่สามารถแยกออกจากกระบวนการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตย สอดคล้องกับแนวคิดของ Lewis & Jhally (2006) ที่มองว่าเป้าหมายของการรู้เท่าทันสื่อ ประการหนึ่งคือการสร้างพลเมืองที่รู้เท่าทันการเมือง (Sophisticated Citizens) ซึ่งมีความสามารถในการท้า ทายสถาบันสื่อ2 เพราะฉะนั้นภายใต้วิธีคิดนี้ การรู้เท่าทันสื่อจึงเป็นเงื่อนไขจำเป็นในการมีส่วนร่วมทางการ


84 เมืองของพลเมืองในบริบทของสังคมเทคโนโลยีสารสนเทศ3 เพราะฉะนั้น การรักษาคุณภาพการสื่อสารทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยจึงต้องอาศัยนโยบายการรู้เท่าทันสื่อและข้อมูลสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ และที่สำคัญนโยบายเหล่านี้ต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการเสริมพลังประชาชนให้สามารถจำแนกแยกแยะ ข่าวลวงหรือข้อมูลเท็จได้ด้วยตนเองมิใช่การบีบบังคับให้เชื่อหรือควบคุมการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารใน พื้นที่สื่อต่าง ในส่วนถัดไป ผู้เขียนนำเสนอตัวอย่างของนโยบายการรู้เท่าทันสื่อและข้อมูลสารสนเทศจากสหภาพยุโรป เพื่อให้เห็นภาพว่าประเทศที่มีประชาธิปไตยลงหลักตั้งมั่นดำเนินการรับมือกับข่าวลวงการเมืองอย่างไรและมี บทเรียนอะไรที่น่าสนใจ นโยบายการรู้เท่าทันสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศในสหภาพยุโรปกับการรับมือกับข่าวลวง สหภาพยุโรปได้ประกาศใช้ประมวลหลักปฏิบัติแห่งสหภาพยุโรปว่าด้วยข้อมูลปลอม (The EU Code of Practice on Disinformation: COP) ในปี พ.ศ. 2561 ถือว่าเป็นหมุดหมายสำคัญในการรับมือกับความท้า ทายจากการแพร่หลายของข่าวลวง และถือว่าเป็นครั้งแรกในโลกที่ภาคอุตสาหกรรมข้อมูลลงนามยอมรับ มาตรฐานในการจัดการกับข่าวลวงโดยสมัครใจ4 ประมวลฉบับนี้มีความสำคัญอีกประการหนึ่งเพราะได้ให้ นิยาม“ข้อมูลปลอม(Disinformation)”ไว้ชัดแจ้งดังนี้ “ข้อมูลปลอม” หมายความว่า “ข้อมูลที่ชักนำไปในทางที่ผิดหรือตรวจสอบแล้วว่าไม่เป็นจริง” ซึ่งรวมทั้ง (a) “ที่ถูกสร้าง นำเสนอ และเผยแพร่เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือเพื่อหลอกลวงสาธารณะโดยจงใจ” และ (b) “อาจก่อความเสียหายต่อสาธารณะ จงใจให้เป็นภัยต่อกระบวนการทางการเมืองและกำหนดนโยบาย ที่เป็นประชาธิปไตย และต่อประโยชน์สาธารณะ เช่น การคุ้มครองสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง ปลอดภัยของพลเมืองสหภาพยุโรป” มโนทัศน์ว่าด้วย “ข้อมูลปลอม” ไม่รวมถึงการโฆษณาที่ชักนำในทางที่ผิด (Misleading Advertising) การรายงานข่าวผิดพลาด การเสียดสี และล้อเลียน (Satire and Parody) หรือความคิดเห็นและข่าวที่สามารถ ระบุได้ชัดเจนว่าเข้าข้างทางการเมือง และไม่ขัดต่อพันธกรณีทางกฎหมาย ประมวลการควบคุมกันเองในเรื่อง โฆษณาและมาตรฐานในเรื่องเกี่ยวกับการโฆษณาที่ชักนำในทางที่ผิด5 จากนิยามข้างต้น ข้อสังเกตประการหนึ่งที่น่าสนใจคือประเด็นผลกระทบของข้อมูลปลอมต่อกระบวนการ ทางการเมืองและกำหนดนโยบายที่เป็นประชาธิปไตย แน่นอนว่าประเด็นดังกล่าวได้รับความสนใจในสหภาพ ยุโรปอย่างยิ่งเพราะความกังวล ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ร่วมสมัยในระดับนานาชาติ และหลายประเทศก็เริ่ม แสวงหาแนวทางในการรับมือกับข่าวลวง โดยมีแนวทางที่แตกต่างกันไปตามความเร่งด่วนและผลกระทบของ ปัญหาดังกล่าวต่อการเมืองภายในประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา ภายหลังจากการเกิดข้อกังขาต่อ การปั่นป่วนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี พ.ศ.2559 โดยรัสเซียผ่านการจงใจเผยแพร่ข่าวปลอม6 ก็มีการตั้ง คณะกรรมาธิการกลั่นกรองของวุฒิสภาว่าด้วยข่าวกรอง (The Senate Select Committee on Intelligence) เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง7 ในยุโรปเอง สหภาพยุโรปเป็นหนึ่งในองค์กรหลักที่มุ่งจัดการกับปัญหา ข่าวลวงการเมืองในประเทศสมาชิกกลไกที่สำคัญที่ขับเคลื่อนนโยบายการรู้เท่าทันสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ คือหน่วยงานด้านโครงข่ายการสื่อสาร เนื้อหา และเทคโนโลยี (Directorate-General for Communications


85 Networks, Content and Technology) ซึ่งเป็นหน่วยงานของคณะกรรมาธิการยุโรป โดยมีการตั้งกลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญด้านการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy Expert Group) เพื่อประสานความร่วมมือในเรื่องการรู้เท่า ทันสื่อระหว่างประเทศสมาชิก และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสูงว่าด้วยข่าวลวงและข่าวปลอมออนไลน์ (The EU’s High-Level Expert Group (HLEG) on Fake News and Online Disinformation) ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้แทนจากทั้งสื่อสารมวลชน ภาคเอกชนด้านสื่อสังคมออนไลน์ นักวิชาการ และภาคประชาสังคม ภารกิจหลัก ของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสูงดังกล่าวคือการให้คำแนะนำคณะกรรมาธิการในเรื่องเกี่ยวกับข่าวลวงทั้งในมิติ ภายในสหภาพยุโรป และในมิติระหว่างประเทศ8 นอกจากนี้ยังมีการตั้งคณะทำงาน “East StratCom Task Force” ภายใต้กระทรวงการต่างประเทศสหภาพยุโรป (European External Action Service) ในปี พ.ศ. 2558 ภารกิจของคณะทำงานได้แก่ การส่งเสริมการสื่อสารอย่างมีกลยุทธ์ในเรื่องนโยบายของสหภาพยุโรปต่อ ประเทศเพื่อนบ้านในด้านตะวันออก การสร้างความเข้มแข็งให้กับสิ่งแวดล้อมสื่อในประเทศเพื่อนบ้านในด้าน ตะวันออกและการรับมือกับข่าวลวงจากรัสเซีย9 ตลอดจนในปี พ.ศ. 2561 คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป (Council of the European Union) ได้มีการอภิปรายถกเถียงในเรื่อง “การจัดการกับการแพร่หลายของข่าว ปลอมทางออนไลน์: ความท้าทายสำหรับระบบนิเวศสื่อ” ในเอกสารประกอบการอภิปรายที่เตรียมโดย ประธาน (Presidency Discussion Paper) มีการกล่าวไว้อย่างชัดแจ้งในเรื่องการรับมือกับข่าวปลอมในช่วงที่ มีการจัดการเลือกตั้ง10 ในปีเดียวกันนี้เอง สหภาพยุโรปได้มีการประกาศแผนปฏิบัติในการรับมือกับข่าวลวง (The Action Plan Against Disinformation) โดยมีเป้าหมายประการสำคัญคือการคุ้มครองเสรีภาพในการ แสดงออกในระบอบประชาธิปไตยในสภาวะที่ข่าวปลอมแพร่กระจายในวงกว้าง แผนปฏิบัติการนี้มุ่งพัฒนาขีด ความสามารถของสถาบันต่าง ๆ ของสหภาพยุโรปในการตรวจจับ วิเคราะห์และเปิดโปงข่าวปลอม เสริมสร้าง ความร่วมมืออย่างเข้มข้นระหว่างประเทศสมาชิกในการรับมือกับข่าวลวง ประสานความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ ในภาคเอกชน และสร้างสังคมที่ไม่เปราะบาง (Resilience) ต่อข่าวลวง11 จากที่ได้อภิปรายในข้างต้น จะเห็น แนวทางในเชิงนโยบายและสถาบันของสหภาพยุโรปในการรับมือกับข่าวลวง หากพิจารณาในวิธีการที่เป็น รูปธรรม หนึ่งในวิธีการที่สหภาพยุโรปเน้นคือการสร้างการรู้เท่าทันสื่อให้กับประชาชนเพราะหนทางนี้ไม่ขัดต่อ หลักการในระบอบประชาธิปไตย นิยามที่เป็นทางการของ “การรู้เท่าทันสื่อ” ในสหภาพยุโรป คือ “ทักษะ, ความรู้ และความเข้าใจซึ่งอำนวยให้พลเมืองใช้สื่ออย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย พลเมืองจำเป็นต้องมี ทักษะการรู้เท่าทันสื่อในระดับสูงเพื่อที่จะเข้าถึงข้อมูล ใช้และประเมินสื่อจากมุมการวิพากษ์ และผลิตเนื้อหา ในสื่อด้วยความรับผิดชอบและปลอดภัย การรู้เท่าทันสื่อไม่ควรจะจำกัดเฉพาะเครื่องมือและเทคโนโลยีการ เรียนรู้ แต่ควรมุ่งทำให้พลเมืองมีทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ซึ่งจำเป็นต่อการตัดสิน และวิเคราะห์ความเป็นจริงที่ ซับซ้อน และตระหนักในความแตกต่างระหว่างความคิดเห็นกับข้อเท็จจริง”12 นิยามนี้ได้วางแนวปฏิบัติใน ระดับภูมิภาคและสะท้อนในแนวทางระดับชาติของประเทศสมาชิกด้วย ในส่วนต่อไป ผู้เขียนนำเสนอ กรณีศึกษานโยบายการรู้เท่าทันสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศในสาธารณรัฐเอสโตเนียและสาธารณรัฐฟินแลนด์ ในฐานะการรับมือกับข่าวลวงโดยสังเขป ทั้งสองประเทศถูกเลือกเพราะได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มี ทักษะการรู้เท่าทันสื่อสูงที่สุดใน 5 อันดับแรก จากรายงานของ Open Society Institute Sofia13 กุญแจ


86 สำคัญที่ทำให้ทั้งสองประเทศประสบความสำเร็จคือการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ (Critical-thinking skills) ผ่านระบบการศึกษาอย่างมีคุณภาพ1 ประเทศไทยในปัจจุบันมีการนําเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการปฏิบัติงานของส่วนราชการ หน่วยงาน ของรัฐ และรัฐวิสาหกิจอย่างแพร่หลาย โดยมีรูปแบบการสื่อสารหลากหลายชนิด ทั้งการสร้างและผลิต เนื้อหา การเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์และเนื่องจากการปฏิบัติงานในปัจจุบันถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Information) เป็นหลัก ประกอบกับการพัฒนาของเทคโนโลยีทําให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสื่อออนไลน์ได้อย่าง รวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้นบนอุปกรณ์พกพา เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์แบบพกพา สํานักงาน คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จึงใช้เทคโนโลยีเหล่านี้มาเป็นตัวกลางในการติดต่อสื่อสารภายใน หน่วยงาน การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การให้ความรู้และการติดต่อสื่อสารกับประชาชนมากยิ่งขึ้น เนื่องจาก การใช้งานบนอุปกรณ์เหล่านี้เป็นการสื่อสารแบบสองทาง สามารถโต้ตอบได้ทันที รวดเร็ว อีกทั้งหน่วยงานยัง สามารถ สร้าง เพิ่มเติม หรือปรับปรุงแก้ไขข้อมูลได้ตามต้องการ โดยเฉพาะการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็น เครื่องมือที่ให้ทั้งประโยชน์และโทษหากใช้โดยขาดความระมัดระวัง โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารบางอย่างที่ เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ ไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับคืนได้ และอาจก่อให้เกิดความเสียหายทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น และหน่วยงาน ดังนั้น เพื่อให้ข้าราชการในสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจทุกท่าน สามารถใช้สื่อ สังคมออนไลน์(Social Network) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด สคร. จึงมีนโยบายและ แนวทางปฏิบัติสำหรับบุคคลากรในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Network) ดังนี้ แนวทางการใช้สื่อออนไลน์ส่วนบุคคล ❖ การเผยแพร่ข้อมูลและการรักษาความลับ ทางราชการ - ห้าม เผยแพร่ข้อมูลลับทางราชการ หรือแสดง ความเห็นที่อาจทําให้เข้าใจว่าเป็นความเห็นจาก หน่วยงาน ต้องมี การแสดงข้อความจํากัดความ รับผิดชอบ (Disclaimer) ว่าเป็นความเห็นส่วนตัว มิใช่ความเห็นของหน่วยงาน ที่ตนสังกัด เว้นแต่ จะเป็นความเห็นของส่วนงานหรือหน่วยงาน อย่างแท้จริง หรือได้รับอนุญาตจากผู้มีอํานาจ ที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี- ผู้บริหารในระดับใดๆ พึงระมัดระวังในการเผยแพร่ ข้อมูล หรือการแสดงความเห็น เนื่องจากจะถูกมองว่า เป็นความเห็นของหน่วยงานของตนได้ง่าย และอาจมีผลกระทบต่อความเข้าใจของ ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ทั้งนี้ให้มีการแสดงข้อความจํากัดความรับผิดชอบ อย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน ❖ รักษา ความเป็นส่วนตัวและเคารพผู้อื่น หลีกเลี่ยงการพาดพิง การกล่าวถึง การอ้างอิงบุคคล หรือสถานการณ์ใดโดย ไม่ได้รับอนุญาต ผู้ใช้ควรให้เกียรติ เคารพ และระมัดระวังอย่างยิ่งไม่ให้มีการ ละเมิดความเป็นส่วนตัว (Privacy) และความลับ (Confidentiality) ของผู้อื่น ❖ รับผิดชอบและโปร่งใส พึงตระหนักว่า ข้อความหรือ ความเห็นที่เผยแพร่บนสื่อ ออนไลน์เป็นข้อความที่สามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณะ มิใช่พื้นที่ส่วนตัวอย่าง


87 แท้จริง ผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบ ทั้งทางด้านสังคม และด้านกฎหมาย นอกจากนี้ ยัง อาจมีผลกระทบต่อ ชื่อเสียงการทํางานและอนาคต วิชาชีพของตนได้❖ เป็นสมาชิกที่ดีของสังคมออนไลน์ หากพบเพื่อนร่วม หน่วยงานใช้สื่อออนไลน์อย่างไม่ เหมาะสม ควรตักเตือนโดยตรง หากไม่ได้รับ การตอบสนองที่ดี ให้แจ้งต่อ ผู้บังคับบัญชา งดใช้คํา ไม่สุภาพ หยาบคาย รุนแรง ตลอดจนการโจมตีบุคคล อื่นบนสื่อออนไลน์โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับหน่วยงาน ❖ รู้จักแบ่งแยก หากประสงค์จะใช้สื่อออนไลน์เพื่อเผยแพร่ข้อมูล เกี่ยวกับเรื่องงานหรือข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงาน ควร แยกบัญชีผู้ใช้ (Account) ระหว่างการใช้เพื่อเรื่อง ส่วนตัว และเรื่องงานออกจากกัน พร้อมทั้งแยกส่วน อุปกรณ์การใช้งานออกจากกันอย่างสิ้นเชิงเพื่อป้องกัน ความ ผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ❖ แก้ไขหากเกิดข้อผิดพลาดการใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ต้องใช้คนเป็นผู้ควบคุม จึง อาจเกิดความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ทําให้ข้อความหรือ ข้อมูลใดๆ ได้รับการเผยแพร่ต่อกันไปอย่างรวดเร็ว ส่งผล กระทบต่อภาพลักษณ์ของหน่วยงาน ดังนั้น หาก พบความผิดพลาด ต้องดําเนินการแก้ไขและออกมา แสดง ความรับผิดชอบในทันที❖ คิดทุกครั้งก่อนโพสต์พึงระลึกเสมอว่าสิ่งที่โพสต์ลงบนออนไลน์สามารถ เข้าถึงได้ โดยสาธารณะและโพสต์นั้นจะยังคงอยู่ในโลก ออนไลน์ไปอีกนาน ชื่อเสียงและความผิดพลาดต่างๆ อันจะ ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่นขึ้นอยู่กับการ ตัดสินใจของผู้ใช้นั่นเอง ดังนั้น “จงคิดทุกครั้งก่อน โพสต์ แต่ อย่าโพสต์ทุกอย่างที่คิด”แนวทางการใช้สื่อออนไลน์ในนามของ สคร. ❖ ความน่าเชื่อถือและความถูกต้องของ ข้อมูล การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในนามของหน่วยงาน ผู้เผยแพร่ต้องแสดงตําแหน่ง หน้าที่ สังกัด ให้ชัดเจน เพื่อความน่าเชื่อถือ อาจใช้รูปสัญลักษณ์เครื่องหมาย แสดงสังกัดได้ แต่ต้องคํานึงถึงความเหมาะสม ในการใช้ งาน และแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และอนุมัติเห็นชอบเนื้อหาก่อนโพสต์ทุกครั้ง เพื่อให้ผู้ติดตามสามารถใช้ ดุลพินิจในการนําข้อมูล ไปใช้พร้อมทั้งพึงระมัดระวังการใช้ถ้อยคําและภาษา ควรใช้ภาษาให้ถูกต้อง สุภาพ และสร้างสรรค์❖ รูปแบบการสื่อสาร รูปแบบของข้อมูลที่สื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในฐานะตัวแทนของ หน่วยงานควรมีลักษณะเกี่ยวข้อง กับเรื่องราวของหน่วยงานในด้านต่าง ๆ เช่น วิสัยทัศน์ขององค์กร การ แนะนําบุคลากร ศักยภาพ ความรู้ความสามารถของผู้บริหารและข้าราชการ รวมถึงการ ให้ข่าวสารความรู้ ข้อมูล หรือเนื้อหาที่ผ่าน การตรวจสอบแล้วว่าสามารถเผยแพร่ได้ ไม่ใช่ความลับ ทางราชการ ในบางกรณีอาจ เป็นคําอธิบายเกี่ยวกับ ภาวะวิกฤติหรือข้อความที่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ขององค์กรให้ดีขึ้น หรือเนื้อหา โดยทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้อง กับงานแต่เป็นประเด็นร่วมสมัยที่น่าสนใจ ❖ การโต้ตอบบนสื่อออนไลน์พึงงดเว้น การโต้ตอบด้วยความรุนแรง กรณีประชาชน บุคคล หรือหน่วยงานอื่นมีความคิดเห็นแตกต่าง ควรชี้แจงด้วย เหตุผลพร้อมคํานึงถึงความเหมาะสม ตามกาลเทศะ พิจารณาความคิดเห็น ผลตอบรับ (Feedback) เพื่อ นํามาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุง กระบวนการในการทํางาน หรือเพื่อวางแผนจัดการ แก้ไขผลกระทบที่อาจ เกิดขึ้น ทั้งนี้ พึงงดเว้นการใช้สื่อ สังคมออนไลน์ของหน่วยงานในการวิพากษ์วิจารณ์ตลอดจนแสดงความเห็น


88 ในเรื่องที่เป็นข้อมูลภายใน องค์กรหรืออาจส่งผลกระทบต่อองค์กร ❖ การวางแผนอย่างเป็นระบบ มีบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่รับผิดชอบในการบริหาร จัดการสื่อออนไลน์ในนามหน่วยงานโดยเฉพาะ (Corporate Communication) โดยมีการวางแผน ออกแบบ กําหนดขอบเขตการนําเสนอบนสื่อออนไลน์จะช่วยเพิ่มมูลค่า แก่หน่วยงาน และ/หรือ ข้อมูลเนื้อหา ของหน่วยงานได้มากยิ่งขึ้น ❖ การน าเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อ การท างาน ผลิตเนื้อหาอย่างสร้างสรรค์(Content) นําเสนอข้อมูล ที่ดีมีประโยชน์เกี่ยวกับภารกิจงาน ตรวจสอบก่อนส่งต่อ (Share) เพื่อสร้างบรรยากาศการเป็นองค์กรแห่งการ เรียนรู้โดยนําเสนอเนื้อหาให้ น่าสนใจ มีความ หลากหลาย เช่น การใช้ตัวอักษร ภาพนิ่ง เสียง ภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น นอกจากจะเป็น ประโยชน์ต่องาน แล้วยังเป็นประโยชน์แก่สาธารณชนอีกด้วย ❖ การสร้างและเชื่อมความสัมพันธ์ภายใน องค์กร ใช้สื่อออนไลน์เพื่อสร้างความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอัน เดียวกันภายในหน่วยงาน ให้สื่อเปรียบเสมือน พื้นที่ส่วนกลางเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้แข็งแกร่ง ผ่านการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล และให้เกียรติ❖ การรักษาภาพลักษณ์ขององค์กรเสมอ ในปัจจุบันสื่อออนไลน์มีอิทธิพลต่อสังคมอย่างมาก แทบทุกด้าน โดยเฉพาะการใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เป็นตัวกลางสื่อสารบอกกล่าว เรื่องราวของ หน่วยงาน ผู้เผยแพร่ต้องคํานึงเสมอว่า ทุกสิ่งที่สื่อสารออกไปนั้นแสดงถึงภาพลักษณ์ ตัวตน ความเป็นมืออาชีพ ของหน่วยงาน ดังนั้น ความถูกต้อง ของเนื้อหาข้อมูล กาลเทศะ การใช้ภาษาที่สุภาพ เหมาะสม จึงมี ความสําคัญอย่างยิ่งต่อภาพลักษณ์ของหน่วยงาน และจากหนังสือสำนักงาน กศน. สำนักปลัดกระรวง ศึกษาธิการ ศธ0210.03/688 ได้มีเรื่องการกำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความ มั่นคงของชาติ โดยกำหนดนโยบายส่งเสริมการจัดการศึกษาให้แก่ ผู้เรียน กศน. เพื่อให้รู้เท่าทันสื่อและข้อมูล ข่าวสาร และมีทักษะการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการ สร้างความรู้ ความเข้าใจ ที่ถูกต้องเหมาะสมในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันเข้ามามี บทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งในด้านการรับข่าวสารต่างๆ ทั้งด้านการศึกษา ศาสนา การเมือง สังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ โดยมีการกำหนดให้สถานศึกษาจัดการศึกษา ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ดังนั้น ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพระประแดง จึงได้มีการเพิ่มเติมรายวิชา เลือกเสรี จำนวน 4 รายวิชา ลงในแผนการลงทะเบียนของสถานศึกษาหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย วิชาคุณธรรมจริยธรรม บนโลกออนไลน์ สค0200035 วิชารู้ทันข่าวและข่าวปลอม (Fake News) รหัสวิชา สค0200036 วิชาอาชญากรรมบนโลกออนไลน์ (สค0200037) วิชา กฎหมายที่ควรรู้คู่โลกออนไลน์ (สค0200038)


89 ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น


90 มัธยมศึกษาตอนปลาย


91 คณะผู้จัดทำ ที่ปรึกษา 1. นำงสำวนันท์นภัสร์ ศรีวิเชียร ผู้อ ำนวยกำรสถำนศึกษำ 2. นำงสำวชัญญำนุช พิทักษ์เมฆำ ครูผู้ช่วย คณะกรรมการจัดทำหลักสูตร 1. ครูอำสำสมัคร 2. ครู กศน.ต ำบล 3. ครู ศรช. 4. ครูผู้สอนคนพิกำร คณะบรรณาธิการ 1. นำงสำวชุติสรำ ทุมโยมำ ครู กศน.ต ำบล 2. นำงสำวพีรยำ รุ่งเรือง ครู กศน.ต ำบล 3. นำงสำววรำภรณ์ วิเชียรรักษ์ ครู ศรช. ผู้ออกแบบปก นำงสำวพีรยำ รุ่งเรือง ครูกศน.ต ำบล


92 เอกสารอ้างอิง ส ำนักงำนส่งเสริมกำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอัธยำศัย. คู่มือการด าเนินงานหลักสูตรการศึกษา นอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2555). พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : รังษีกำรพิมพ์, 2555 ส ำนักงำนส่งเสริมกำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอัธยำศัย.(2551). หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : ม.ป.พ. อ้ำงอิงบทควำมนี้ อัญชลี ธรรมะวิธีกุล: กำรจัดกำรศึกษำนอกระบบ ตำมหลักสูตรกำรศึกษำนอกระบบระดับ กำรศึกษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551 https://panchalee.wordpress.com/2010/12/28/non-formal .แนวทางการเทียบโอนผลการเรียน หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน. พิ มพ ์ ค รั้งที ่ 1. ก ร ุง เ ทพ ฯ : บ ริ ษั ท ไ ท ย พั บ บ ลิ ค เ อ็ ด ด ู เ ค ชั ่ น จ ำ กั ด , 2553 กำรศึกษำนอกระบบ Posted by mediathailand on 5/27/2555 กำรศึกษำ ส ำนักงำนส่งเสริมกำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอัธยำศัย. คู่มือแผนการจัดการเรียนรู้รายบุคคล. ส ำนักงำน กศน.จังหวัดตำก, 255 _______. คู่มืออบรมวิทยากรกระบวนการขับเคลื่อนการจัดท าแผนการเรียนรู้รายบุคคล. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : รังสีกำรพิมพ์, 2559 _______. แนวทางการเทียบโอนผลการเรียน หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : บริษัท ไทย พับบลิค เอ็ดดูเคชั่น จ ำกัด, 2553 _______. สาระการเรียนรู้ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : ส ำนักงำนกิจกำร โรงพิมพ์องค์กำรสงเครำะห์ทหำรผ่ำนศึก, 2555


93


Click to View FlipBook Version