45
ชีวิตจากมมุ มืด
ป.บรู ณปกรณ์. (2531). ชวี ติ จากมุมมืด. กรงุ เทพฯ: ดอกหญ้า. 255 หนา้ .
บรรณานทิ ศั น์ : รวมเร่ืองสนั้ 24 เร่ือง เป็นเรือ่ งราวของชีวติ ผู้คนธรรมดา การแสดง ถงึ
มนุษยธรรมท่มี นษุ ยพ์ ึงมใี ห้ตอ่ กนั รวมทัง้ สตั ว์
46
เสาชงิ ช้า
ส. ธรรมยศ. (2513). เสาชิงช้า. ธนบุรี: โพธส์ ามต้นการพิมพ์. 219 หนา้ .
บรรณานิทัศน์ : งานเรอ่ื งสนั้ ของ ส.ธรรมยศ ซ่ึงเป็นท้งั นกั ปรัชญา นักวิจารณว์ รรณกรรม
และนักประวัติศาสตร์ เป็นงานท่ีน่าสนใจ ทั้งในแง่เน้ือหาสาระ และในแง่วรรณศิลป์
เร่ืองส้ันของ ส. ธรรมยศ มีรวมอยู่ในหนังสือชุด เสาชิงช้า พิมพ์ครั้งแรก 2494 รวม
8 เร่ือง เสาชิงช้าเป็นเร่ืองท่ีผู้แต่งได้จินตนาการ ปรารถนาจะให้เสาชิงช้า ที่วัดสุทัศน์
เป็นเคร่ืองมือ “กิโยติน” ประหารหญิงไม่ซื่อสัตย์ทุกคน ซ่ึงเขียนเร่ือง ได้อย่าง
สยดสยอง เน้ือเรื่องเป็นเร่ืองของผู้หญิงคนหน่ึง ซึ่งผละรักจากชายคนรักเพื่อ ไป
แต่งงานกับพระยา ผู้เคยเป็นอาจารย์ของเธอ ทาให้ชายผู้นั้นคับแค้นมากถึงกับ วาด
จินตนาการที่น่ากลัวต่าง ๆ นานา รวมทั้งไม่ยอมรับผู้หญิงคนน้ันจากการที่เธอ ถูก
พระยาทอดทง้ิ มาดว้ ย
47
พลายลวิ ัลล์ิ
ถนอม หมาเปารยะ. (2543). พลายมลิวัลล์ิ. กรงุ เทพฯ: บรรณกจิ . 102 หน้า.
บรรณานิทัศน์ : พลายมลิวัลล์ิ เป็นเรื่องที่เราเลือกสรรมาให้ผู้อ่านเพราะเร่ืองน้ี
ท่ีเด่นที่สุดของถนอมมหาเปารยะและได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์มากกว่า 20 ปี
เป็นเร่ืองทม่ี แี นวแปลกไปจากหนงั สือนวนยิ ายทมี่ แี นวแปลกไปจากหนงั สือนวนิยาย ที่
แพร่หลาย ที่มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักหนุ่ม-สาว เร่ืองพลายมลวิ ลั ล์ิ เป็นเรื่อง ที่
กลา่ วถงึ ความรักของคนกับสตั ว์
48
ผ้ดู ับดวงอาทิตย์
จนั ตรี ศริ ิบญุ รอด. (2544). ผดู้ ับดวงอาทติ ย.์ พมิ พค์ รง้ั ท่ี 3. กรุงเทพฯ:
ประพันธส์ าสน์. 182 หนา้ .
บรรณานิทัศน์ : เป็นเร่ืองเชิงจินตนาการเพ้อฝนั กล่าวถึง ตูราและคาลิ นักวิทยาศาสตร์
2 คนจากโลกพระอังคาร ซ่ึงมีระดับความเจริญทางเทคโนโลยีสูงกว่าโลกมนุษย์ ถูกส่ง
ให้ลงมาแก้ปัญหาการทดลองระเบิดปรมาณูในโลกมนุษย์ เพราะการทดลองระเบิด
ปรมาณูจานวนมากมีผลผลักดันให้โลกต้องโคจรออกไปนอกเส้นทาง ทาให้ความสมดุล
ในจักรวาลเสียไป เม่ือเขาทั้งสองได้เดินทางมาถึงโลกโดยเวหาสยาน (คาของคุณจันตรี
ในสมัยที่ยังไม่มีใครเรียกว่า ยานอวกาศ) ก็ได้รับรู้ปัญหาความละโมบของชนชาติต่าง ๆ
ในโลกมนุษย์ นอกจากการทดลองระเบิดปรมาณูแล้วก็มีการทดลองระเบิดเช้ือโรค,
การทาลายป่าไม้ ไร่นาทางภาคเหนือของไทย และพม่า ลาว ด้วยตัวยาเคมีเขาท้ังสอง
ได้ชว่ ยแก้ปัญหาใหแ้ ก่ประเทศไทยได้
49
ยุคทมฬิ เล่ม ๑
อศิ รา อนันตกลุ . (ม.ป.ป.). ยคุ ทมิฬ เลม่ 1. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.). 232 หน้า.
บรรณานิทัศน์ : รวมเรื่องส้ันทม่ี เี นอื้ หาเกย่ี วกับภาวะของเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม
ในยุคหลังสงครามโลกคร้ังท่ี 2 ท่ีส้ินสุดลง เม่ือปีพ.ศ.2488 ทาให้เกิดภาวะข้าวยาก
หมากแพงข้ึนทั่วโลกรวมท้ังในประเทศไทยด้วย ทางด้านการเมืองน้ัน รัฐบุรุษอาวุโส
ปรีดี พนมยงค์ ผู้นาพลังมวลชนกู้ชาติไทย ในนามของขบวนการเสรีไทยได้เพลี่ยงพล้า
ถูกฝ่ายนายทหารบกกลุ่มหน่ึง ก่อการรัฐประหารโดยการปั้นข่าวเท็จว่า รัฐบุรุษอาวุโส
ปรดี ี พนมยงค์ มีสว่ นเกีย่ วขอ้ งในการเสดจ็ สวรรคตของในหลวงรชั กาลท่ี 8 การ
รัฐประหาร ในปี พ.ศ. 2490 เป็นการเปิดศักราชของเผด็จการทหารและเปน็ การเริ่มต้น
ของยุคทมิฬ ในช่วงนี้ คือ ระหว่าง พ.ศ.2491-2494 จึงเป็นผลงานที่ทั้งสะท้อนภาพ
ความเป็นเผด็จการการคอรัปช่ันโกงกิน การกดข่ีข่มเหง และการเรียกร้องเสรีภาพแทน
เสียงของปวงชนเรอ่ื งสั้นท่ีเดน่ ทีส่ ดุ และมีความสมบรู ณท์ ีส่ ดุ ท้ังด้านวรรณศิลป์ และด้าน
เน้ือหา คือเรื่องเหว่ใครใช้มึงคิดกบฏ ซ่ึงสะท้อนถึงจิตใจที่รักชาติ รักเอกราช และรัก
อิสรภาพของ อิศราอย่างชนิดไม่มีการประนีประนอม ดังที่เขาเขียนไว้ในเร่ืองส้ันชิ้นนี้ ท่ี
ใดท่ีเคยถูกกดขี่ ที่ใดท่ีเคยถูกทาลายล้างด้วยความไม่เป็นธรรม ท่ีน่ันแรงดันย่อมเกิดข้ึน
เป็นพลัง ซึ่งจะกระตุ้นรุมเร้าให้เกิดการสร้างตัวเองขึ้นใหม่อย่างเข้มแข็ง เพราะว่าท่ีใดท่ี
ประชาชนตกเป็นขี้ข้า ท่ีนั่น ความดิ้นรนที่จะได้เป็นตัวของตัวเองย่อมปะทุข้ึนมาอย่างมุ
มานะ
50
เหมอื งแร่ : ฉบับสมบูรณ์
อาจนิ ต์ ปญั จพรรค.์ (2545). เหมืองแร่ : ฉบับสมบรู ณ.์ กรุงเทพฯ: มตชิ น.
บรรณานิทัศน์ : น่ีคือความสามารถของนักเขียน "อาจินต์ ปัญจพรรค์" เป็นนักเขียน
เป็นนักเลงเร่ืองส้ัน เป็นผู้ท่ีสามารถหยิบประเด็นเล็ก ๆ ในชีวิตเเล้วใส่จินตนาการ
ใส่สีสันเเละลีลาให้คมเข้มขึ้นจนกลายเป็นงานท่ีทรงคุณค่า นี่คือสิ่งเดียวที่ติดตัวเขา
มาจากเหมืองเเร่ เป็นส่ิงที่มีความหมายย่ิงต่อชีวิตของเขา เเละมีความหมายยิ่งกว่า
บนโลกของวรรณกรรม ซ่ึงนั่นหมายถึงคุณค่าต่อผู้อ่านเเละสังคมไทยอีกด้วย
อ่านเร่ืองสั้นในชุดเหมืองแร่ของอาจินต์แล้ว นอกจากได้ความบันเทิงยังได้รับรู้แง่มุม
ต่าง ๆ ของมนุษย์ ได้สัมผัสบรรยากาศชีวิตแบบไทย ๆ ในปักษ์ใต้เมื่อสมัย 50 ปีก่อน
ไดร้ จู้ ักสานวน และคาพังเพยของคนทอ้ งถนิ่ ทง้ั ยังได้แงค่ ดิ และแฝงปรัชญาชีวติ ไวด้ ้วย
51
ฟา้ บก่ ้ัน
ลาว คาหอม. (2533). ฟ้าบ่กั้น. พมิ พครัง้ ท่ี 8. กรงุ เทพฯ: กาแพง. 238 หนา้ .
บรรณานิทัศน์ : ฟ้าบ่กั้น เป็นหนังสอื รวมเรื่องสนั้ สะทอ้ นภาพชีวิตชนบทไทยท่ีได้รับการ
ยกย่องมากเล่มหน่ึง ได้รับการแปลและพิมพ์รวมเล่มเป็นภาษาอังกฤษ และภาษาอื่น ๆ
โดยผู้เขียนได้รับการยกยอ่ งเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ในปี 2535 จากงานช้ิน
เอกช้ินน้ี
52
เพ่ือนเกา่
เสนอ อินทรสุขศรี. (2509). เพ่ือนเก่า. (ม.ป.ท.): ประพนั ธส์ าสน์ . 371 แผ่น.
บรรณานิทัศน์ : หนังสือเร่ืองเพ่ือนเก่านี้ แบ่งออกเป็น 2 เล่ม มีเร่ืองท้ังหมดด้วยกัน
11 เรอื่ งความดีเดน่ ของหนังสอื ท้ัง 2 เล่มน้ี คอื เป็นการบันทกึ ภาพชวี ติ ของยุคสมัยหน่ึง
ท่ีผู้เขียนยังเด็กอยู่โดยผู้เขียนได้บันทึกวิถีชีวิตของเด็ก ๆ ไว้อย่างละเอียด ทาให้ได้
ภาพสังคมท่ีกาลังถูกลืมเลือนไปแต่ท่ีสาคัญที่สุด คือ บุคลิกตัวละครท่ีเสนอ อินทรสุขศรี
สร้างขึ้นมาหรือบันทกึ ขึ้นมาจากชีวิตจริงของเพอื่ นเก่าบางคนนั้น กลับเป็นชีวิตท่ีมตี ัวตน
อยู่ในสังคมปัจจุบัน บุคลิกตัวละครเหล่านั้น มีทั้งคนโกง คนเอาเปรียบเพ่ือนฝูง
คนเอาเปรียบสังคม หรือคนที่ถูกสังคมเอาเปรียบ แล้วแต่อาชีพของแต่ละคนไป
หนังสือชุดน้ี คือ มีแก่นเร่ือง ที่มองคน และมองโลกในแง่ดี มีความเช่ือม่ันใน
ความเป็นคน และเข้าใจคน ผู้เขียนเขียนได้อย่างมีอารมณ์ขันที่ลุ่มลึก โดยเฉพาะ
การใช้วธิ ีการเขียนในสไตลเ์ สยี ดสี
53
รวมเรือ่ งส้นั บางเรื่อง
ของฮวิ เมอรสิ ต์
อบ ไชยวสุ. (2516). รวมเร่อื งสน้ั บางเร่อื งของฮิวเมอริสต.์ กรุงเทพฯ: ครุ ุสภา.
146 หนา้ .
บรรณานิทัศน์ : รวมเรื่องสั้นท่ีน่าสนใจ 7 เรื่องของผู้เขียน 7 คนด้วยกัน คนอ่าน
จะได้สัมผัสทั้งความสนุก ตลก แสนสนุก ทันสมัย หลากหลาย แฝงการสะท้อนสังคม
แตใ่ นขณะเดียวกันก็สื่อออกมาอย่างสบาย ๆ จนคุณวางไม่ลงเลยทีเดียว
54
ฉันจึงมาหาความหมาย
วทิ ยากร เชียงกลู . (2527). ฉันจึงมาหาความหมาย. พิมพ์คร้ังท่ี 7. กรงุ เทพฯ:
ต้นหมาก. 215 หน้า.
บรรณานทิ ัศน์ : เปน็ หนังสอื รวมเรือ่ งสน้ั บทละคร และบทกวีท่ีผเู้ ขียนเขียนขึ้นในขณะที่
เป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ช่วงปี 2508 - 2512 หนังสือเล่มน้ีได้มี
บทบาทเป็นหลักเขตทางความคิดในยุคแห่งการแสวงหาคาตอบของชีวิตมหาวิทยาลัย
และการตั้งคาถามต่อระบบสังคม ชีวิตทางสังคม และการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมอื ง
ในยุคมืดทางปัญญาที่สืบเนื่องติดต่อกันมาตั้งแต่การปฏิวัติของ "จอมพล สฤษดิ์
ธนะรชั ต"์ ในปี พ.ศ.2501 และเร่อื งอ่นื ๆ อกี มากมาย
55
คนบนต้นไม้
นคิ ม รายยวา. (2541). คนบนตน้ ไม้. กรงุ เทพฯ: หนงั สอื รูปรว.ี 150 หนา้ .
บรรณานิทัศน์ : รวมเรื่องส้ันจานวน 13 เรื่อง รวมทั้งเร่ืองคนบนต้นไม้ ซ่ึงเป็นเด่น
เร่อื งหนงึ่ ในหนังสอื เลม่ นี้ เร่อื งสั้นของนิคม รายยวา มีความเดน่ ในเรอื่ ง การ
สร้างโครงเรื่อง และการใช้ฉาก (Setting) จากธรรมชาติ สภาพภูมิประเทศ และ
ธรรมชาตชิ ีวติ ของสัตว์ ควบค่ไู ปกบั การใชป้ ระสบการณ์จริงของชีวติ ของเขาที่ไดไ้ ปสมั ผัส
ต่อสู้มาในการไปบุกเบิกทางานการเกษตรอยู่กับชาวบ้าน ได้คลุกคลีและได้เห็นชีวิต
ของคนหลายๆ แบบที่โยกย้ายจากถิ่นฐานตา่ ง ๆ มาเพ่อื เปา้ หมายเดียวกนั คอื
เพ่ือแสวงหางานสักอย่างทา เพื่อท่ีจะได้มีรายได้มาประทังชีวิต หรือธรรมชาติ ของ
การต่อสู้กับธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม ความขัดแย้งของจิตสานึก และความต้องการทาง
วัตถทุ รัพย์สิน เพือ่ ความอยรู่ อดหรือกิเลสกับความโลภ
56
ประวัติศาสตร์
กฎหมายไทย เลม่ ๑-๒
ร. แลงกาต์. (2478). ประวตั ิศาสตร์กฎหมายไทย เลม่ 1-2. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : ร. แลงกาต์ ได้ใช้เอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์สาคัญๆ นอกไปจากหลักฐาน ในทาง
กฎหมายเอง ด้วยความสามารถทางภาษาไทย และเข้าใจภาษาไทยโบราณอย่างดี จึงสามารถใช้ความรู้
ความสามารถในการขุดค้น อธิบายกฎหมายอย่างน่าท่ึง ดุจเดียวกับยอร์ช เซเดส์ มีความสามารถในการศึกษา
ศลิ าจารกึ ไทยก่อนที่ ร.แลงกาต์ จะไดเ้ ขียนตารา หรือเอกสารประวตั ิศาสตรก์ ฎหมายนน้ี ายปรีดี พนมยงค์ ผู้
ประสาธน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ และการเมืองได้มอบให้ ร. แลงกาต์ ชาระกฎหมายตราสามดวง
หรือประมวลกฎหมายรัชกาลท่ี 1พร้อมกับเป็นบรรณาธิการจัดพิมพ์ กลายเป็นฉบับมหาวิทยาลัยวิชา
ธรรมศาสตร์ และการเมือง ท่ีถือว่าเป็นมาตรฐานดีท่ีสุด ที่มีอยู่ในขณะนี้ ประกอบกับ ร.แลงกาต์ เข้ามาเป็น
ที่ปรึกษาทางกฎหมายของรัฐบาลไทย ขณะประเทศไทยกาลังปฎิรูประบบกฎหมาย และจัดทาประมวล
กฎหมาย ดังน้ัน ความรู้ที่ปรากฏในเอกสารประวัติศาสตร์กฎหมายไทย ร.แลงกาต์ จึงเป็นการแสดงออก
ถึงความรู้ของนักวิชาการ ที่ศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายมาเป็นอย่างดี กับความรู้ของผู้ปฏิบัติงานนิติศาสตร์
ที่ผ่านการจัดทาประมวลกฎหมายสมัยใหม่ ประสานเข้าด้วยกัน และเผยแพร่ในการให้การศึกษาแก่ผู้เรียนผล
ในฐานะที่เป็นส่ือการเรียนการสอน อันผ่านการทดสอบ ให้ความรู้ผ่านการจัดพิมพ์คร้ังต่าง ๆ และปรับปรุง
ในการจดั พิมพค์ รง้ั ต่อมา ทาให้ตาราประวัตศิ าสตร์กฎหมายนี้ดารงทรงคุณคา่ ยงิ่ ขึ้นประวัติศาสตรก์ ฎหมายของ
ร. แลงกาต์ มิได้อธิบายเพียงพระธรรมศาสตร์ท่ีเลิกใช้แล้ว แต่ยังได้อธิบายถึงอิทธิพลตกค้างทางความคิด และ
วัฒนธรรมกฎหมาย และขยายความต่อถึงการรับอิทธิพลกฎหมายตะวันตก ท้ังเปรียบเทียบความเป็นมา หรือ
กระบวนทัศน์น้ันในส่วนท่ีพึงเปรียบเทียบ หรือพึงต้ังข้อสังเกต ผลงานนี้ จึงเป็นผลงานสาคัญในฉบับภาษาไทย
ที่เป็นงานคลาสสิก ดุจเดียวกับผลงานประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1 หรือกฎหมายตราสามดวง ควรแก่
การศึกษาของนักนิติศาสตร์ และรวมถึงผู้ศึกษาด้านไทยศึกษาทั่วไปด้วย จิตร ภูมิศักดิ์ ได้อ้างงานนี้ เรื่อง
กฎหมายที่ดินในงานของจิตรแม้จะด้วยจุดยืนท่ีแตกต่างกันก็ตาม ผลงานสาคัญของ ร.แลงกาต์เรื่องนี้ จึงเป็น
ประภาคารทางปัญญาทส่ี ะท้อนภูมปิ ัญญาไทย และวิเคราะห์วิธีการรับวัฒนธรรมความรู้อื่นของคนไทย ด้วยวิธี
ของคนไทย ที่มกี ระบวนการระยะผ่าน และปรบั ปรนมาเป็นของตนอย่างเหมาะสม
57
นิทานโบราณคดี
พระนพิ นธ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ. (2487).
นิทานโบราณคดี. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : นักประวัตศิ าสตร์ เชน่ ศาสตราจารย์ ดร.แถมสุข นมุ่ นนท์ ดร.ชาญวทิ ย์ เกษตรศิริ เห็นวา่ งาน
เด่น ๆ ทางประวัตศิ าสตรข์ องพระองค์ ได้แก่ พงศาวดารกรงุ สยาม, ไทยรบพม่า, พระราชวิจารณ์ในพงศาวดาร
ฉบับพระราชหัตถเลขา, พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลท่ี 4 เป็นต้น แต่ท่ีเลือกหนังสือนิทาน
โบราณคดี เป็นหนังสือดีท่ีคนไทยน่าจะได้อ่าน เป็นเพราะหนังสือเล่มน้ี เหมาะสาหรับผู้อ่านสามัญชน ที่มี
การศึกษาท่ัวไป และเป็นหนังสือที่ไม่เน้นวิชาการเฉพาะเรื่องนิทานโบราณคดี เป็นเร่ืองราวต่าง ๆ ท่ีทรงรับรู้
จากการเดินทางไปตรวจราชการต่างจังหวดั ในชว่ งทท่ี รงมีตาแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย (2435 –
2457) และความรู้ท่ีได้จากการทูลถามเรื่องเก่าๆ เมื่อทรงร่วมโต๊ะเสวยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว สมควรที่จะมีการบันทึกไว้ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ มิฉะน้ันความรู้ต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับภูมิศาสตร์
ประวัติศาสตร์โบราณคดี และขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่ทรงรับรู้ก็จะสูญหายสมเด็จฯ กรมพระยา
ดารงฯ ทรงมีวิธีการเขียนแบบใหม่ ที่ต่างจากนักเขียนร่วมสมัยกับพระองค์ คือ ทรงอ้างหลักฐาน และแทรก
พระวิจารณ์เข้าไปด้วย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักปรัชญาประวัติศาสตร์ (ปรัชญาประวัติศาสตร์, หน้า 210)
อธิบายว่า งานของสมเด็จฯ กรมพระยาดารงฯ คล้ายคลึงกับรันเก (Ranke) นักปรัชญาประวัติศาสตร์ ชาว
เยอรมันที่มีชื่อเสียงซ่ึงเน้นการใช้ และตรวจสอบหลักฐานเอกสารอ้างอิง เป็นการวางหลักของการศึกษาทาง
ประวัติศาสตร์แบบใหม่ ขณะเดียวกันท่านก็ทรงกระทาหน้าท่ีเป็นผู้อธิบาย โลกเก่าและโลกใหม่ให้เข้าด้วยกัน
ในนิทานโบราณคดี ทรงนิพนธ์ด้วยการโยงเร่ืองที่กาลงั เล่าอยู่ขณะนั้น ไปสู่ประเด็นอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้องในอดตี
เม่ือทรงจาได้หรือสามารถหาหลักฐานอ้างอิงได้ เท่ากับในการเล่าเรื่องๆ หนึ่งจะทรงเล่าอย่างรอบด้านมี
ลักษณะเป็นพัฒนาการ จนเกือบครบองค์ความรู้ของเรื่องน้ัน ๆ เลยที่เดียวหนังสือนิทานโบราณคดี จึงไม่เป็น
เพียงหนังสือที่อ่านสนุกเท่านั้น แต่ให้ความรู้มหาศาล สมเด็จฯ กรมพระยาดารงฯ ทรงใช้ภาษาง่าย ๆ ในการ
เขียน ทรงคดั แต่เรอ่ื งท่ีนา่ สนใจท่ีมีลักษณะแปลก ๆ โดยเฉพาะบรรยากาศของยุคสมัยที่เปน็ สังคมของชาวบ้าน
ท้องถ่ิน บุคลิก อารมณ์ ความรู้สึก ความเช่ือ ชีวิตความเป็นอยู่ของสามัญชนไทยในสมัยนั้น ซึ่งไม่สามารถหา
อา่ นได้ง่ายนกั ได้อย่างน่าสนใจ
58
โฉมหนา้ ศกั ดินาไทย
ปัจจุบนั
จิตร ภูมิศักดิ์. (2500). โฉมหน้าศักดินาไทยปจั จบุ ัน. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : โฉมหน้าศักดินาไทยปัจจุบัน เขียนและพิมพ์คร้ังแรก ในหนังสือนิติศาสตร์ฉบับ
รับศตวรรษใหม่หรือนิติศาสตร์ 2500 โดยสมสมัย ศรีศูทรพรรณท่ีเป็นนามแฝงของ จิตร ภูมิศักดิ์
ในการพิมพ์ครั้งหลัง ๆ ได้ตัดคาว่า ปัจจุบันออกและใช้ช่ือจริง จิตร เช่ือว่า คนไทยไม่รู้จัก และเข้าใจ
ความหมายของศกั ดนิ าที่แท้จรงิ ดังนั้น จิตรต้องการเขยี น โฉมหน้าศักดินาไทยขึน้ เพ่ือให้เข้าใจลกั ษณะ
ท่ีแท้จริงของศักดินาในฐานะท่ีเป็นระบบการผลิต โดยใช้แนวคิดของมาร์กซ์เป็นทฤษฎีในการศึกษา
จิตรได้แบ่งเนื้อหาในโฉมหน้าศักดินาไทยบอกเป็นลักษณะของระบบผลิตศักดินา และกาเนิดระบบ
ศักดินาโดยทั่วไป กล่าวถึงความหมายของคาว่า ศักดินา ลักษณะทางเศรษฐกิจสังคม และการเมือง
เป็นการวางกรอบทฤษฎีไว้ในเบื้องต้น กล่าวถึงระบบศักดินาในไทยโดยเฉพาะจิตรอธิบายให้เห็นว่า
สังคมไทยมพี ัฒนาการ ผ่านขั้นตอนการผลิตอย่างท่ีมาร์กซ์อธิบายไว้กล่าวคอื ก่อนที่จะพัฒนาเป็นสังคม
ศักดินา ประเทศไทยได้ผ่านสังคมทาส ในสมัยสุโขทัยมาก่อน จิตรได้พิสูจน์ด้วยการอ้างหลักฐาน
จากพงศาวดารล้านช้าง เพ่ือเป็นการล้มล้างความเชื่อถือ ในวงการศึกษาไทยว่า สังคมสุโขทัยไม่เคยมี
ทาส และไทยไม่เคยผ่านระบบทาส จิตรยังได้ค้นคว้าย้อนไปไกลกว่าสังคมสุโขทัย เพ่ือแสดงให้เห็นว่า
สังคมไทยเคยผ่านยุคชุมชนบุพกาลมาแล้วอกี ด้วยจิตรได้ใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ พิสูจน์ให้เห็นว่า
ชนช้ันศักดินามีเพทุบายอย่างไรบ้าง ในการแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แม้ว่าการแสวงหา
ผลประโยชน์น้ัน บางคร้ังเป็นสิ่งท่ีให้โทษแกป่ ระชาชน เช่น การเปิดบ่อนการพนันเพียงเพ่ือรัฐไดร้ ายได้
จากการเก็บภาษีอากร ดังที่จิตรให้ตัวเลขไว้ว่า ในพ.ศ.2431 มีบ่อนเบ้ียในกรุงเทพฯ ถึง 403 บ่อน
บ่อนใหญ่ 126 บ่อนเล็ก 277 กระจายอยู่อย่างท่ัวถึงทุกตาบลในช่วงเวลาท่ีประชาธิปไตยเบ่งบาน
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ได้มีการนาโฉมหน้าศักดินาไทย มาตีพิมพ์หลายครั้ง และมีการ
วพิ ากษว์ จิ ารณ์กนั อย่างกวา้ งขวาง โฉมหน้าศักดนิ าไทย เปน็ การเปดิ มติ ใิ หม่ของการศกึ ษา ทาง
ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยกอ่ ให้เกิดการถกเถียง ค้นคว้าหาขอ้ เทจ็ จรงิ ต่อไปจากที่จติ รได้ปทู างไว้
59
กบฏ รศ.๑๓๐
ร.ต.เหรยี ญ ศรีจนั ทร์. ร.ต.เนตร พนู วิวฒั น์(2519). กบฏ รศ.130. พมิ พ์คร้งั ท่ี 5.
(ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : หนังสือกบฏ รศ.130 ผู้ท่ีอยู่ในเหตุการณ์เอง แม้จะมาเขียนภายหลังจากความ
ทรงจาซึ่งอาจจะคลาดเคลื่อนบ้าง แต่ก็เป็นงานเขียนท่ีสะท้อนอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของ
นายทหารหนุ่มกลุ่มหนึ่ง ในสมัยรัชกาลท่ี 6 ได้อย่างดี งานเขียนช้ินนี้ ช่วยให้ผู้อ่านเห็นความ
ภาคภูมิใจตอ่ สถาบนั ทหาร ความรู้สึกห่วงใยตอ่ ประเทศชาติ เมื่อเหน็ ความล้าหลงั ความยากจนของ
ผู้คนในชนบท ประเทศไทยที่ไม่เจริญก้าวหน้า เม่ือเปรียบเทียบกับประเทศอ่ืน ๆ เช่น ญี่ปุ่นกบฏ
รศ.130 คือ ความพยายามของนายทหารรุ่นหนุ่มกลุ่มหน่ึง ในปี พ.ศ. 2454(ซ่ึงถ้านับเป็น
รัตนโกสินทร์ศกหรือ รศ. คือ 130) ท่ีจะคบคิดกันยึดอานาจ เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน
จากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตย นอกจากอุดมการณ์ทางความคิดท่ีต้องการให้
ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าแล้ว ยังมีสาเหตุเสริมมาจาก ความรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม และ
ความรู้สึกว่าสถาบันทหารทาลายเกียรติภูมิจากการท่ีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เมื่อครั้งที่
ยังทรงเป็นพระยุพราช ได้ทรงส่ังโบยทหารผู้หนึ่ง คือ รอ.โสม ท่ีมีเร่ืองกับ "มหาดเล็กสมเด็จพระ
บรมฯ" และการท่ีทรงต้ังกองเสือป่าข้ึนมา มีลักษณะซ้าซ้อนกับทหาร และยังแสดงความโปรด
ปรานกองเสือป่าเป็นพิเศษ ทาให้เกิดเป็นชะนวนสาคัญ "กลายเป็นไฟลามทุ่งแห่งความรู้สึกของ
พวกมนั สมองปฏิวัตขิ ึน้ บ้าง" (หนา้ 8) ผ้กู ่อการ รศ.130 เป็นกลมุ่ นายทหารหน่มุ ผทู้ ่มี คี วามรักชาติ
พวกเขาเห็นว่า ระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช ทาให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่ล้า
หลัง ชาวชนบทยากจนมีชีวิตท่ีแร้นแค้น การได้รับรู้ข่าวสารการปฏิรูปของญ่ีปุ่นสมัยเมจิ
การประกาศใช้รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น พ.ศ.2432 ชัยชนะของญ่ีปุ่นท่ีมีต่อรัสเซีย พ.ศ.2448
การปฏิวัติจีนสมัย ดร.ชุนยัดเซ็น พ.ศ.2454-2455 ที่ทาให้ประเทศจีนปกครองโดยระบอบ
ประชาธิปไตยมีส่วนปลุกให้พวกเขาเกิดความเร่าร้อนต้องการเปล่ียนแปลงสังคม ที่พวกเขาเห็น
ว่าล้าหลังกว่าประเทศอ่ืน เช่น ประเทศญี่ปุ่นมาก หนังสือกบฏรศ.130 บรรยายถึงการเริ่มต้นก่อ
กระแสความคดิ และวธิ ีการขยายสมาชิกของผูก้ อ่ การ จนไดส้ มาชิกหลายสบิ คน โดยเฉพาะ
60
นายทหารหนุ่ม ๆ ท่ี "ใจร้อนท่ีใคร่จะได้เห็นชาติภูมิของตน เจริญก้าวหน้าเทียบทันอารยประเทศ"
แต่กระบวนการขยายสมาชิก และวางแผนการก็ดาเนินไปไม่ได้นาน เนื่องจากมีสมาชิกผู้หน่ึงเกิด
หักหลังกลุ่มผู้ก่อการ ด้วยการกราบทูลรายงานแผนการ และ ช่ือผู้ก่อการแก่ผู้บังคับบัญชา และ
ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ หนังสือเล่มน้ีได้เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงน้ีอย่างน่า
ระทึกใจ โดยเฉพาะความพยายามของฝ่ายผู้ก่อการเมอ่ื รู้ว่า ความลับของตนถูกเปิดเผย และอยใู่ น
ภาวะคับขัน พวกผู้ก่อการส่วนหนึ่งคิดท่ีจะต่อสู้ด้วยการวางแผนปฏิบัติ การยึดอานาจทันที แต่
"เสียงปืนใหญ่" ที่ใช้เป็นสัญญาณในการระดมพลรุกฮือขึ้น ยึดอานาจไม่อาจดังข้ึนมาได้ เพราะ
ฝา่ ยรฐั บาลได้ทาการจบั กุมผกู้ ่อการระดบั หัวหน้าไว้ไดก้ ่อน อยา่ งชนดิ คลาดกันแค่ "สายฟา้ แลบ" ผู้
บันทึกทั้ง 2 สามารถเล่าเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนจริง ที่ตนเองมีส่วนร่วมได้อย่างน่าอ่าน ดูเหมือนนว
นิยายท่ีมีการปูเรื่องจนถึงจุดสูงสุด และการคลี่คลายของเรื่อง ให้ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ท่ีมี
คุณค่าที่คนรุ่นหลังควรได้ศึกษา เนื่องจากกบฎ รศ.130 เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการ
ประชาธิปไตย เพราะเม่ือในอีก21 ปีต่อมา นายทหาร และพลเรือนชนชั้นนาที่เรียกตัวเองว่า
คณะราษฎรก็ได้ทาการยึดอานาจสาเร็จในเหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475 ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลง
การปกครองพ.ศ.2475 ได้แสดงความเคารพยกย่องให้เกียรติผู้ก่อการ รศ.130 อย่างมาก ถือว่า
เป็นแรงบันดาลใจ และเป็นแม่แบบ เป็นบทเรียนสาหรับการกระทาการเปล่ียนแปลงการปกครอง
แม้กระท่ังในช่วงวิกฤตการณ์วันท่ีทาการเปล่ียนแปลงการปกครอง เมื่อ 24 มิถุนายน 2475
คณะราษฎรระลกึ ถงึ ผ้กู ่อการ รศ.130 ยังได้เชิญผ้กู ่อการ รศ.130 มาพบเหมือนเปน็ สัญลักษณ์ว่า
เปน็ "ผมู้ าก่อน"
61
เจ้าชวี ิต : สยามก่อนยคุ
ประชาธิปไตย
พระเจา้ วรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้าจลุ จกั รพงษ์. (2505). เจา้ ชวี ิต : สยามกอ่ นยุค
ประชาธิปไตย. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : เจ้าชีวิตเป็นพงศาวดารสมัยใหม่ ที่ให้ภาพเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์
ในราชวงศ์จักรตี ้ังแต่รัชกาลท่ี 1-7 อย่างละเอียด จนกระทั่งพระราชกรณียกิจประจาวัน
ของกษัตริย์ และเจ้านายองค์สาคัญทาให้พระมหากษัตริย์ไทย มีภาพเคล่ือนไหว
มีเลือดเนื้อดูมีชีวิตจิตใจ มีการยกพระราชดารัสของกษัตริย์แต่ละพระองค์ประกอบ
ในแต่ละสว่ น เปน็ ระยะ ๆ อีกทง้ั มีการเปิดเผยพระอปุ นิสัยส่วนพระองคข์ องเจ้านายบาง
องค์ เช่น ทรงเล่าว่าพระอนุชาของรัชกาลที่ 1 เป็นผู้มีบุคลิกซ้อน การนา
เกร็ดประวัติศาสตร์มารวบรวม เล่าไว้ในหนังสือเจ้าชีวิตนี้ทาให้กษัตริย์ และเจ้านาย
ในราชวงศ์จักรี เป็นดจุ ตัวละครทางประวัตศิ าสตร์ท่ีเกิดขึ้นจรงิ ท่ผี อู้ า่ นสามารถซมึ ทราบ
ผ่านทางการรับรู้ และประสบการณ์ส่วนพระองค์ของผู้ทรงพระราชนิพนธ์ท่ีได้ถ่ายทอด
ออกมาในหนังสือเล่มน้ีไม่เพียงเท่าน้ัน เจ้าชีวิตยังมีเน้ือหาครอบคลุมประวัติศาสตร์
การเมอื ง การปกครอง การเศรษฐกิจ ความสมั พนั ธ์ต่างประเทศสงั คม และขนบประเพณี
ในราชสานัก โดยเฉพาะระเบียบวิธีการสถาปนายศเจ้านาย ท่ีทรงอธิบายอย่างละเอียด
อกี ด้วย
62
ศาลไทยในอดีต
ประยทุ สิทธิพันธ์. (2506). ศาลไทยในอดีต. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : ศาลไทยในอดีต ของ ประยุทธ สิทธิพันธ์ เป็นหนังสือที่ให้สาระความรู้เกี่ยวกับพระราช
อานาจในการตัดสินคดคี วาม กฎระเบียบแบบแผนหรอื วิธีการบังคับใช้กฎหมาย ในสมัยสุโขทัย อยุธยา
มาจนถึงรัตนโกสินทร์ ก่อนเปล่ียนแปลงการปกครอง2475 ซึ่งคนไทยยุคหลังน้อยคนนัก จะเรียนรู้
ความเป็นมาของศาลสถิตย์ยุติธรรมว่าเป็นเช่นไรความดีเด่นของเนื้อหาสาระ ได้แก่ การรวบรวมเอา
ประวัติศาสตรบ์ ันทึกเหตุการณ์ จดหมายเหตุ และกฎหมายเก่าเก่ียวกบั การพิจารณคดีความ หรือปญั หา
คดีความท่ีเกิดข้ึน รวมตลอดไปจนคาประกาศ และการใช้พระราชอานาจของพระมหากษัตริย์ทางตรง
(ทรงกระทา) และทางอ้อม (ผ่านขุนนางและตุลาการ) ซ่ึงถือว่าเป็นกฎหมายที่บุคคลใดจะขัดขืนมิได้
มาอธิบายง่าย ๆ อย่างกะทัดรัดเพื่อชี้ให้เห็นภาพรวมของระบบศาลสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือ
ความสาคัญของแต่ละคดีความที่ยกมาอ้างไว้อย่างชัดเจน เร่ืองศาลไทยในอดีตนี้ มิได้มุ่งหมายจะให้
เป็นตาราวา่ ด้วยกฎหมาย หากแต่ได้พยายามรวบรวมเรื่องราวในอดีต ที่เป็นคดคี กึ โครม น่าศึกษาในเชงิ
ประวัตศิ าสตรโ์ บราณคดี และจารตี ประเพณีเทา่ นน้ั นอกจากนี้ ก็ได้รวบรวมบรรดาพระบรมราชวินจิ ฉัย
และพระบรมราชโองการท้ังที่เก่ียวกับ คดีโดยตรง และเกี่ยวพันอยู่บ้างมาบรรจุไว้ด้วย ในด้านท่ีจะ
ให้ความรอบรู้เก่ียวกับเรื่องราวของอดีต ซึ่งอาจเป็นเร่ืองแปลกในสมัยโบราณ (จากคานา) ถ้าหากมอง
สังคมไทย จากภาพสะท้อนทางกฎหมายหรืออานาจทางการเมือง การปกครองสมัยก่อน หนังสือศาล
ไทยในอดีต จะให้ภาพรูปธรรมท่ีแตกต่างกัน ของสังคมชนช้ันอย่างกระจ่างชัด ว่ามีลักษณะเช่นใด มีวิถี
ชีวิต จารีตประเพณี ระเบียบกฎเกณฑ์ และฐานะความเป็นอยู่ที่ต่างกันอย่างไร ในฐานะท่ีประยุทธ
สิทธิพันธ์ เป็นนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ ที่สนใจศึกษาค้นคว้าทางด้านขนบธรรมเนียมประเพณีและ
ประวัตศิ าสตรอ์ ยา่ งจรงิ จงั การมองปญั หาคดีความ และกฎหมายตา่ ง ๆ จึงกอปรด้วยการวิพากษว์ จิ ารณ์
เพือ่ หาความจรงิ ดา้ นประวตั ิศาสตร์ และกลา้ ชใ้ี หเ้ ห็นเงือ่ นงาวา่ อาจมกี ารบิดเบอื นบางตอนใหผ้ ดิ แผกไป
จากเดิม ท้ังเหตุผลที่นามาพิสูจนก์ ็หักล้างบันทึกประวัตศิ าสตร์ไดอ้ ีกดว้ ย ดังนั้น ศาลไทยในอดีต จึงเปน็
หนงั สอื สาระหนา้ รู้ ทอี่ ุดมไปดว้ ยเรือ่ งราวทางประวตั ศิ าสตร์สงั คม คดีความทางกฎหมาย ลักษณะการใช้
อานาจที่บังคับใช้เป็นกฎหมาย ระบบศาล และวิธีการพิจารณาความ ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ทง้ั สะท้อนภาพสังคมไทยในทุกระดบั ออกมาไดอ้ ยา่ งเปน็ องคร์ วม
63
ประวัติศาสตร์ไทยสมัย
พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๔๕๓ ดา้ นสังคม
ชยั เรืองศลิ ป์. (2506). ประวัตศิ าสตร์ไทยสมยั พ.ศ.2352-2453 ดา้ นสังคม.
พิมพค์ รัง้ ท่ี 3. กรุงเทพฯ: เรอื งศิลป.์
สาระสาคัญ : การท่ีเลือกหนังสือประวัติศาสตร์ไทยสมัย พ.ศ. 2352-2453 ด้านสังคม
เป็นหนังสือดีแทนท่ีจะเลือกหนังสือเล่มอ่ืน ๆ ของชัย เรืองศิลป์ ท่ีเป็นงานค้นคว้าข้อมูล
ทางด้านสังคมเหมอื นกนั ได้แก่ ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ และสังคมไทยในศตวรรษท่ี 24 (พิมพ์ใน
งานพระราชทานเพลิงศพ ชัย เรืองศิลป์ เม่ือ 28 มกราคม 2519) และประวัติศาสตร์ไทย
สมัยก่อนศตวรรษที่ 25 (พิมพ์ครั้งแรก 2523, คร้ังท่ี 2 พ.ศ.2526, คร้ังท่ี 3 พ.ศ.2539)
เหตุผลก็เป็นเพราะหนังสือประวัติศาสตร์ไทยสมัย 2352-2453 ตอนที่ 1 ด้านสังคม เป็นการ
เขียนรวบรวมข้อมูลท่ีสมบูรณ์กว่างาน 2 เล่มแรก ท่ีกล่าวข้างต้น งาน 2 เล่มดังกล่าว มีลักษณะ
เปน็ งานทเ่ี ขียนขึ้นเหมือนการร่าง รวบรวมประเดน็ สาหรับเขยี น ประวัตศิ าสตร์ไทย ดา้ นสังคมเล่ม
ที่แนะนามากกว่าส่วนประวัติศาสตร์ไทยสมัย 2352-2453 ตอนที่ 2 ด้านเศรษฐกิจน้ัน
ก็เปน็ หนังสอื ดอี ีกเลม่ หนึ่ง ทบี่ ุคคลท่ัวไปควรอ่านแต่ที่ไมไ่ ด้ยกขนึ้ มา เป็นเลม่ ทแี่ นะนาก็เป็นเพราะ
เมื่อเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ไทยสมัย 2352-2453 ด้านสังคมแล้ว ด้านเศรษฐกิจจะด้อย
กว่า ในแง่ของการให้ภาพ ที่ไม่เป็นระบบตามลักษณะการเขียนในเชิงเศรษฐศาสตร์
เพราะดูเหมือนว่า ผู้เขียนจะให้รายละเอียดของต้นไม้ในป่าบางต้น มากกว่าการให้ภาพ
ของป่าไปด้วย ในขณะเดียวกัน แต่ด้วยวิธีการเขียนเช่นเดียวกันนี้ เม่ือนามาใช้ในด้านสังคมกลับ
จะให้เห็นภาพทางสังคมที่ละเอียด ซับซ้อน มีสีสัน น่าอ่านการที่หนังสือเล่มน้ี ได้รับการพิจารณา
ว่า เป็นหนังสือดีในรอบศตวรรษ เพราะเป็นหนังสือที่ให้ภาพสังคมไทยในช่วงเวลาที่สาคัญ
คือ 100 ปี ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงจากสังคมไทยดั้งเดิมโบราณ มาเป็นสังคมไทยสมัยใหม่ ที่ได้รับ
อิทธิพลจากตะวันตก (ตรงกับรัชกาลที่ 2-5) ได้อย่างดี คนท่ัวไปก็จะอ่านได้อย่างท้ังความรู้ และ
ความเพลิดเพลนิ จุดเดน่ ของหนงั สอื เลม่ นี้ อยทู่ ขี่ ้อมูลท่ีได้จากเอกสารเกา่ แก่หายาก ท่ี
อยู่ในครอบครองของผู้เขียนจานวนมาก ไม่ว่าจะเป็นสมุดข่อย สมุดไทยดา ตาราโหราศาสตร์
หนังสือ เช่น นิราศเกาะจาน นิราศเดือน สุทยาลังการที่ชัย เรืองศิลป์ใช้ ก็เป็นหนังสือ
ที่นักประวัติศาสตร์เองก็ไม่เคยเห็น และไม่เคยนามาใช้ รวมทั้งการใช้ข้อมูลจากกฎหมายตรา
3 ดวง พงศาวดารฉบบั ต่าง ๆ เปน็ แหลง่ ขอ้ มลู ทส่ี าคัญในการเขยี นผเู้ ขยี นยังมคี วามกลา้ ในการ
64
ทวนกระแสหลักในทางประวัติศาสตร์ประการหนึ่ง คือ การนาหนังสือสยามประเภทของ กศร.
กุหลาบ มาใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสต ร์ หนังสือสยามประเภท เป็นหนังสือที่
นกั ประวตั ศิ าสตร์ทวั่ ๆ ไปแม้แตใ่ นปัจจุบนั ไมค่ ่อยแน่ใจในความถูกตอ้ ง และไม่กลา้ นามาใช้อา้ งอิง
เป็นหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์ ทั้งน้เี ปน็ เพราะสมเด็จฯ กรมพระดารงราชานภุ าพ ทรงเคยวิจารณ์
ไว้ในหนังสือนิทานโบราณคดี(เร่ืองที่ 9 "หนังสือหอหลวง") ว่า มีความไม่น่าเช่ือถือ
เป็นหนังสือที่เกิดจากการลักลอบคัดจากหอหลวงเม่ือพิจารณาโดยรวม หนังสือประวัติศาสตร์
สมัย พ.ศ.2352-2453 ด้านสังคมเป็นหนังสือท่ีเหมาะสาหรับคนทั่วไปท่ีจะอ่านข้อบกพร่อง
ความผิดพลาดของหนังสือ ท่ีผู้อ่านควรจะตระหนักก็คงมีเหมือนๆ กับหนังสือท่ีอ้างว่าเป็นหนังสือ
ประวัติศาสตร์เล่มอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป ซ่ึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ถูกนาเสนอก็ผ่านการเลือกสรร
จากนกั ประวตั ิศาสตรท์ ่อี าศัยอัตวิสยั ของตนเชน่ กัน
65
สังคมไทยในสมัยต้นรตั นโกสินทร์
พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๔๑๖
ม.ร.ว.อคนิ รพพี ัฒน์. (2518). สงั คมไทยในสมยั ต้นรตั นโกสนิ ทร์ พ.ศ. 2325-2416.
(ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : หนังสือเล่มน้ี เป็นงานแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ The Organization of Thai
Soiciety in the Early Bangkok Period 1782 - 1873 โดย ม.ร.ว.อคินรพีพัฒน์ ซ่ึงเป็น
วิทยานิพนธ์ปริญญาโท สาขาวิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา เม่ือปี
ค.ศ. 1969 แต่เน่ืองจากเป็นงานท่ีเขียนโดยคนไทย และเป็นงานท่ีให้ความรู้เร่ืองไทยท่ีสาคัญ
เราจึงคัดให้เป็นหนังสือดีที่คนไทยนา่ จะไดอ้ ่านจดุ มุ่งหมายของหนังสือเล่มน้ี คือ การศึกษาถึงเรอื่ ง
การจัดระเบียบสังคมไทย โดยเน้นการจัดระเบียบสังคมไทย โดยเน้นการจัดระเบียบชนชั้น
การเขยิบฐานะทางสังคม ผู้เขียนกาหนดระยะเวลาในการศึกษาต้ังแต่พ.ศ. 2325 - 2416 คือ
ต้ังแต่การสถาปนากรงุ เทพเปน็ ราชธานี จนถงึ ต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว
เหตุผลในการเลือกระยะเวลาดังกล่าวน้ีก็คือ ประการแรก การจัดระเบียบทางสังคมในช่วงเวลา
ดังกล่าว มีลักษณะเป็นแบบไทยๆ ก่อนถึงการเปล่ียนแปลงคร้ังใหญ่ ท่ีได้อิทธิพลในช่วง
พ.ศ. 2411 - 2451 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ซ่ึงมีผลให้การการจัดระเบียบ
ทางสังคม และความสมั พนั ธ์ทางชนชัน้ เปล่ยี นแปลงไป ไดแ้ ก่ การเลิกทาส เลิกไพร่ เหตุผลประการ
ต่อมา คือ เอกสารในช่วงเวลานี้ มีมากเพียงพอท่ีจะเป็นข้อมูลสาหรับทาการวิจัยได้ แม้ว่าเนื้อหา
ข้อมูลจะอยู่ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่เริ่มสถาปนากรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลท่ี 1 ถึง ต้น
รัชกาลท่ี 5 แต่งานช้ินน้ีมีนัยกว้างขวางมากกว่าเพียงสมัยท่ีระบุ ทั้งสมัยท่ีย้อนขึ้นไป และสมัยที่
ตามมา กล่าวคือ เป็นงานที่สามารถให้ความกระจ่างเก่ียวกับสถานะด้านต่าง ๆ ของชนช้ันใน
อยุธยา เข้าใจถึงเหตุผลของการปฏิรูปการปกครอง ในสมัยอยุธยาตอนปลาย (พ.ศ. 2112-
2310) ได้ลุ่มลึกมากขึ้น ส่วนในสมัยหลังต่อมาจากช่วงต้นรัชกาลท่ี 5 งานน้ีก็ช่วยอธิบาย
การเปลี่ยนแปลงสังคม และการก่อตัวเป็นรัฐ-ชาติ ซ่ึงเป็นหน่อให้สยามพัฒนาเป็นประเทศตามรปู
ทปี่ รากฏในปัจจบุ นั
66
ทรัพยศาสตร์
พระยาสุรยิ านวุ ัตร. (2454). ทรพั ยศาสตร์. (ม.ป.ท.)ฯ: (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : ทรัพยศาสตร์ ประกอบด้วยหนังสือ 3 เล่ม ซ่ึงมหาอามาตย์เอกพระยาสุริยานุวัตร
(เกิด บุนนาค พ.ศ. 2405-2479) เขียนข้ึนต่างวาระกัน 2 เล่มแรกท่านเขียนข้ึน เม่ือปี พ.ศ.
2454 หลังจากลาออกจากราชการ เน่ืองจากขัดแย้งกับเจ้าภาษีฝ่ิน เพราะท่านได้โอนระบบเก็บ
ภาษีฝิ่น จากเจ้าภาษีนายอากรมาเป็นของรัฐ ท่านใช้เวลาหลังออกจากราชการเขียนหนงั สือทรพั ย
ศาสตร์ข้ึน แต่เม่ือพิมพ์ออกมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่พอพระทัย ทรงส่ง
เสนาบดีผู้หน่ึง ไปพบพระยาสุริยานุวัตรที่บ้าน ขอมิให้เขียนอีกต่อไปท่านจึงเขียนทรัพยศาสตร์
ออกมาเพียง 2 เลม่ ยังไม่จบ ขณะเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั ได้ทรงเขียน
วิจาณ์ ทรัพยศาสตร์ ลงในวารสารสมุทรสารของราชนาวีสมาคม พระองค์ทรงเกรงว่า "ทรัพย
ศาสตร"์ จะทาให้คนไทยแตกแยกแบง่ กันเป็นชนช้นั ทางราชการจงึ ไดข้ อร้องไม่ใหผ้ ู้พมิ พ์นาหนังสือ
ทรัพยศาสตร์ ออกเผยแพร่ หลังจากน้ันไม่มีใครกล้าเขียนตารา หรือศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์โดย
เปิดเผยอีก ต่อมาในสมยั รัชกาลที่ 7 รัฐบาลไดอ้ อกกฎหมาย หา้ มสอนลัทธิเศรษฐกิจ โดยถอื วา่ การ
กระทาดังกล่าว เป็นความผิดอาญาราว 20 ปีต่อมา (หลังการตีพิมพ์คร้ังแรก) ศาสตราจารย์ ดร.
ทองเปลว ชลภูมิได้นา ทรัพยศาสตร์ เฉพาะเล่มท่ี 1 มาพิมพ์ใหม่ เปล่ียนช่ือเป็น เศรษฐวิทยา
เบ้ืองต้น ต่อมาหลงั การเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คอื ในปี พ.ศ. 2477 ทรพั ยศาสตร์
เล่ม 3 จึงได้รับการตีพิมพ์ ออกมาเป็นครั้งแรก ภายในช่ือ "เศรษฐกิจ-การเมือง หรือ เศรษฐวิทยา
เลม่ 3" หลงั เหตกุ ารณ์ 14 ตลุ าคม พ.ศ. 2516 ทรัพยศาสตร์ เล่ม 1 และ 2 จึงได้รบั การตีพมิ พ์
รวมเป็นเล่มเดียวกันในปี พ.ศ. 2518 ส่วนทรัพยศาสตร์ เล่ม 3 ได้รับการพิมพ์อีกครั้ง เป็นท่ี
ระลกึ ในงานฌาปานกิจศพ นางกุณฑลี วรศะริน ในปี พ.ศ. 2519 ทรพั ยศาสตร์เขียนข้ึน เพื่อเป็น
ตาราเศรษฐศาสตร์ หนังสือทรัพยศาสตร์ มีลักษณะนาเสนอแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์และอธิบาย
ถึงระบบเศรษฐกิจ ในประเทศตะวันตกในสมัยน้ัน ขณะเดียวกันก็นาเอาแนวคิด และกลไกระบบ
เศรษฐกิจแบบตะวันตก มาประยุกต์ใช้กับสังคมไทย โดยไม่ลืมรากฐาน ท่ีไทยเป็นสังคม
เกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวนายากจน ผู้เขียนใฝ่ฝันท่ีจะเห็นประเทศไทย พัฒนาไปสู่
ประเทศท่ีม่ังค่ัง เข้มแข็ง เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง และมีความเป็นธรรมในสังคมความใฝ่ฝัน
ของพระยาสุรยิ านวุ ัตร เกิดจากประสบการณ์ชวี ติ ของทา่ นท่ีไดพ้ บเหน็ และได้ร่วมแกไ้ ข
67
วิกฤตการณ์ของประเทศ ทาให้ท่านเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ชะตากรรมของประเทศ เกี่ยวพันกับ
ความเข้มแข็งกา้ วหน้าของสังคมไทยมากเพียงไร และจากลกั ษณะสว่ นตัวเป็นคนซอื่ สัตย์ กลา้ หาญ
เอาจริงเอาจัง ตรงไปตรงมา และกล้ายอมรับความเป็นจรงิ ทาใหท้ า่ นสามารถมองเห็นปญั หาที่คน
ซึ่งอยู่ในสถานะ และยุคสมัยเดียวกับท่านยากที่จะมองเห็น โดยเฉพาะปัญหาความด้อยพัฒนา
และ ปัญหาความเหลื่อมล้าภายในสังคมไทย ทรัพยศาสตร์ท่ีท่านเขียน จึงเป็นหนังสือ ท่ีก้าวล้า
หน้าความคิดอ่านของชนชั้นนาไทย ในขณะนน้ั ไปอยา่ งมาก จนแทบไมม่ ีใครในยุคน้นั ตามทันกล่าว
โดยรวมแล้ว ทเ่ี ปน็ หนังสือท่ีน่าสนใจในแง่ที่ว่าเป็นตาราเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่เล่มแรกของคนไทย
แม้ในยุคหลังจากนั้น จะมีผู้เขียนตาราหลักเศรษฐศาสตร์ ท่ีทันสมัยกว่าออกมาจานวนมาก
แต่หนงั สือเลม่ น้ี นอกจาก จะใหค้ วามร้เู รอื่ งหลกั เศรษฐศาสตรแ์ ล้ว ยังใหค้ วามรดู้ ้านประวตั ศิ าสตร์
เศรษฐกิจไทย และทัศนะท่ีคนไทยยุคก่อนมองปัญหาเศรษฐกิจไทยด้วยแม้อาจจะอ่านยากหรือ
อ่านไม่ค่อยสนุก สาหรับผู้อ่านท่ัวไปอยู่บ้างแต่ก็เป็นหนังสือคลาสสิกท่ีมีคุณค่าน่ากลับไปอ่านเล่ม
หนง่ึ
68
เบ้ืองหลังการปฏิวตั ิ ๒๔๗๕
กหุ ลาบ สายประดิษฐ.์ (2484). เบื้องหลังการปฏิวตั ิ 2475. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
บรรณานิทัศน์ : กุหลาบ สายประดษิ ฐ์ นักหนงั สือพิมพอ์ าวุโส และนกั ประพันธ์เจา้ ของนามปากกา
"ศรีบรู พา" ผ้ตู ่อส้กู ับเผด็จการ และเรียกร้องประชาธปิ ไตยมาโดยตลอด ชแี้ จงถงึ เจตนารมณใ์ นการ
เขียน"เบ้ืองหลังการปฏิวัติ" ไว้ ในปีพ.ศ. 2484 มีความตอนหนึ่ง ดังนี้ความมุ่งหมายพิเศษ
ของข้าพเจ้า ในการเขียนเร่ืองนี้ อยู่ท่ีจะหาวิธีใหม่ต่อต้านมรสุมของระบอบเผด็จการในเวลานั้น
ข้าพเจ้านาพฤติการณ์ของการปฏิวัติ มาเรียบเรียงลงไว้ ก็ประสงค์จะให้เป็นข้อตักเตือนแก่นัก
ปฏิวัติกลุ่มหนึ่ง ที่ถืออานาจการปกครองในสมัยน้ัน ได้สาเหนียกถึงอุดมคติของการปฏิวัติว่า
เขาได้แสดงไว้อย่างไร และความประพฤติท่ีเขาปฏิบัติอยู่ เป็นปฏิปักษ์ต่ออุดมคติของเขาอย่างไร
ข้าพเจ้าหวังจะให้เขาเหล่านั้น บังเกิดความละอายใจ และได้สานึกตนว่า เม่ือเขาทรยศต่ออุดมคติ
ของเขาซ่ึงในเวลาต่อมา ได้กลายเป็นอุดมคติของประชาชนไปแล้ว ก็เท่ากับว่า เขาได้ทรยศ
ต่อประชาชนน่ันเอง..." ผู้เขียนเองในฐานะนักหนังสือพิมพ์ ท่ีสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย
คัดค้านเผด็จการ ภายหลังจากการเขียนหนังสือเล่มนี้ ได้ประสบชะตากรรมนานาประการ
นับตัง้ แตถ่ ูกโจมตี ใส่ร้ายป้ายสี ทางสถานวี ทิ ยกุ ระจายเสยี ง ของกรมโฆษณาการสมยั นัน้ ซึ่งมีเพยี ง
สถานีเดียวทั้งประเทศ จนกระทั่งถึงถกู จับกุมขงั ในข้อหากบฏภายในราชอาณาจักร อันเป็นข้อหา
กระทาความผิดท่ีร้ายแรงใหญ่หลวง เป็นอุกฉกรรจ์มหันตโทษในฐานะท่ีเป็นเอกสารหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์ "เบ้ืองหลังการปฏิวัติ 2475" มีคุณค่าน่าเช่ือถือย่ิงกว่าหนังสือประเภทนี้หลายเล่ม
เพราะประการแรก ผู้เขียนในฐานะนักหนังสือพิมพ์ ได้มีประสบการณ์กับเหตุการณ์ทางการเมือง
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของไทยมาอย่างโชกโชน ในประการที่สอง ผู้เขียนพยายามให้ความเป็นธรรม
แก่คณะผู้ก่อการ โดยเรียบเรียงอย่างถูกต้องเท่ียงตรงต่อความเป็นจริง โดยเฉพาะคาให้สัมภาษณ์
ของพระยาพหลพยุหเสนา หวั หนา้ คณะกอ่ การ ทีไ่ ดเ้ ปิดเผยถงึ มลู เหตุจูงใจ ในการคดิ เปลยี่ นแปลง
การปกครอง แผนการยึดอานาจ ฯลฯ โดยแสดงให้เห็นถึง บทบาทของผู้นาคนสาคัญๆ ที่สามารถ
กระทาการยดึ อานาจรัฐจนสาเรจ็
69
ความเป็นอนิจจังของสังคม
ปรดี ี พนมยงค.์ (2500). ความเป็นอนิจจงั ของสังคม. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : ความเป็นอนิจจังของสังคม" มีลักษณะเด่น ต่างไปจากงานอ่ืน ๆ ที่คล้องกันทางโลกทัศน์
อยู่อย่างน้อย 5 ข้อ คือ (1) เป็นการประสานระหว่างความคิดปรัชญาแนวสังคมนิยมกับพุทธธรรม
ที่สามารถสาวโยงรากศัพท์ฮินดี บาลี พร้อม ๆ ไปกันกับความรู้เก่ียวกับประวัติศาสตร์รากศัพท์ โรมัน
ละตินอย่างคล่องแคล่ว ทั้งในเวทีตะวันตกและตะวันออก ที่สาคัญกว่าความรู้ทางนิรุกติศาสตร์
คือ พุทธธรรมอาจจะไม่เป็นที่รับรู้กันกว้างขวางนักว่า แท้จริงแล้ว ปรีดี เคยได้ผูกสัมพันธ์กับท่านพุทธ
ทาส สนใจศึกษาพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง มีความเชื่อม่ัน ศรัทธาในกฎแหง่ กรรมอย่างจรงิ จัง ผู้ที่สามารถ
จะกล่าวไดว้ า่ "ไดอาเล็กตเิ ก" (Dialektike) ของกรีกโบราณก็คือ วิธีธรรมสากจั ฉาหรอื ปุจฉาวสิ ัชนาธรรม
ของพระพุทธองค์นั่นเอง" (น. 71) จาต้องมีความรู้ ท้ังในอารยธรรมตะวันตก และพุทธปรัชญาเป็น
อย่างดี (2) สาหรับองค์ความรู้ ทางสังคมศาสตร์ และการเผยแพร่แนวคิดสังคมนิยม ในสังคมไทยเป็น
งานรเิ ริม่ แปลกใหม่ ในความเหน็ ของ ฉัตรทิพย์ นาถสภุ า นกั วชิ าการ ผูศ้ กึ ษางานของปรีดอี ยา่ งจริงจงั ผู้
หนึง่ ยกย่อง "ความเปน็ อนจิ จงั ของสงั คม" ว่า เปน็ งานบุกเบิกทส่ี าคัญยงิ่ ของ "ผ้นู าทางทฤษฎ"ี ที่ผศู้ กึ ษา
สังคมไทยไม่ว่า จะก่อนหรือหลัง 2475 ต้องให้ความสนใจ (3) เนื้อหาของหนังสือซ่ึงเกี่ยวกับเรื่อง
กฎแห่งอนิจจังของสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนามาใช้ได้กับกรณีของมนุษย์สังคม ตรงกับกฎธรรมชาติ และ
วทิ ยาศาสตร์ทางสังคม (น. 15) นน้ี ัน้ สอดคล้องกับสานวนภาษา ภาษาทใี่ ช้เปน็ ภาษาไทย สานวน ศัพท์
ลายครามและใช้การอธิบายอย่างย่อ ความกระชับเขา้ ใจได้ง่าย เพราะฉะน้ัน หนังสือจึงมีเน้อื ความมาก
แม้จะสัน้ เพียงประมาณ 100 หน้า (ขนาดพอ็ คเก็ตบุก๊ ) (4) เช่นเดียวกบั ข้อเขยี นเลม่ อื่น ๆ ท่ี "ความเปน็
อนิจจังของสังคม" ได้เสนอบัญญัติศัพท์อยู่หลายต่อหลายคาศัพท์ (5) ถ้าความรู้จะเสริมส่งจริยธรรมได้
"ความเป็นอนจิ จังของสงั คม" นกี้ ใ็ ห้ความตระหนกั ถงึ ชวี ิตสังคมว่า ยืนยาวกว่าชีวติ ของปจั เจกบุคคลมาก
นัก ซึ่งเราแต่ละคน เป็นเพียงส่วนน้อย ๆ ของเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ส่วนหน่ึงของความเป็นไปประวัติศาสตร์
เมื่อรู้สึกถึงความเป็นเพียงธุลีหน่ึงนี้แล้ว ก็อาจจะได้ช่วยลดอัตตาของตนได้บ้าง ส่วนสารอีกด้านหน่ึง
คือ มองตนเองให้เป็นส่วนหน่ึง ของความเปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติ การมองข้างหน้าไปไกล ๆ
ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของความฝัน วาดความหวังในอนาคตที่สุขสว่างข้างหน้า จากภาวะที่หมองหม่น
ในปัจจุบัน แต่เป็นดาวนาทาง แม้ว่าเราอาจจะไม่มีทางได้ไปถึงดวงดาวได้ แต่ดาวน้ันเป็นแสงชี้ทาง
ในการกระทาของเรา และพิจารณาถงึ กรรมของแตล่ ะคน ทฝ่ี ากส่ังสมไว้สู่ยุคศรอี าริยเมตไตรย
70
ทา่ นปรดี ี รัฐบรุ ุษอาวโุ ส
ผวู้ างแผนเศรษฐกิจไทยคนแรก
เดือน บุนนาค. (2500). ท่านปรีดี รฐั บรุ ษุ อาวโุ ส ผวู้ างแผนเศรษฐกจิ ไทยคนแรก.
(ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : ชื่อหนังสือเน้นท่ีปรีดี พนมยงค์ ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ส่วนเนื้อหาส่วนใหญ่นั้น
เป็นเรื่องเก่ียวกับเค้าโครงเศรษฐกิจ คือ ตัวบทของ เค้าโครงฯ กฎหมายที่จะให้เค้าโครงฯ เกิดผล
บังคับใช้ ซึ่งก็คือ ร่างพ.ร.บ. ว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร รายงานการประชุม
ที่จดแบบคาต่อคาของผู้ท่ีพิจารณาเค้าโครงฯ รวมไปถึงพระบรมราชวินิจฉัย คุณค่าหลัก
ของหนงั สอื เล่มน้ีก็คือได้รวมเอกสารเหล่าน้ี ตามตน้ ฉบบั มาไว้ในเล่มเดยี วกัน ให้ผู้อา่ นไดใ้ ช้วิจารณญาณ
ตรึกตรองด้วยตนเองต่อทั้งเค้าโครงฯ และปฏิกิริยาอันมีทั้งข้อสนับสนุน (ซ่ึงแผ่วเบา) และข้อคัดค้าน
(ซง่ึ แขง็ กรา้ ว) ผู้อา่ นอาจจะอดไมไ่ ด้ท่จี ะมีความเห็นของตนเอง จงึ อยใู่ นฐานะเสมือนเขา้ ร่วมถกเถยี งดว้ ย
ในกาลปจั จุบนั ใครจะมคี วามเหน็ อย่างไรต่อเคา้ โครงฯ น้ี ไม่มีผลอย่างไรในทางปฏิบตั ิ และความเรา่ ร้อน
รนุ แรง ในฐานะท่เี ค้าโครงฯ จะพลกิ โฉมหน้าแผ่นดินไทยกม็ อดดบั ไปแลว้ การอา่ นหนงั สอื เลม่ น้ี จึงน่าจะ
เป็นการใช้ปัญญาและเหตุผล ท่ีอารมณ์และคติต่าง ๆ จะเจือจางลงมากกว่าแต่ก่อนโดยสาระหลักแล้ว
หนังสอื เล่มนี้ เป็นการรวบรวมเอกสาร แมจ้ ะไมไ่ ด้รวมเอกสารสาคญั ท่เี กีย่ วข้องกันอีก 2 ชิ้น คอื บนั ทกึ
เร่ืองรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ซ่ึงสาภาได้ลงมติต้ัง เพื่อให้สอบสวนว่า หลวงประดิษฐ์มนู
ธรรม เป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ และรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร คร้ังท่ี 25/2576 (สามัญ)
สมัยที่ 2" แต่ที่ชดเชยได้ คือ ส่วนท่ีเป็นข้อเขียนของเดือน บุนนาคเอง คือ ใน 2 บทต้น เขาได้เสนอ
ประวัติของปรีดี พนมยงค์ โดยเฉพาะในส่วนท่ีสัมพันธ์เก่ียวข้องกับเขา และสภาพเหตุการณ์แวดล้อม
สมัยเมื่อเป็นนักเรียนอยู่ท่ีฝร่ังเศสด้วยกัน และเมื่อได้ร่วมงานกันในวงการอาจารย์สอนวิชากฎหมาย ท่ี
ธรรมศาสตร์ และใน 2 บทท้าย เมื่อได้เสนอเอกสารดังกล่าวแล้ว เขาก็แสดงความคิดเห็นต่อความ
ขัดแย้งระหว่างผู้เสนอเค้าโครงกับผู้คัดค้าน ความเห็นของเขานั้นถกเถียงกับผู้ที่คัดค้าน และระบุถึง
ความคิดบางประการในเค้าโครงฯ ได้นามาปฏิบัติ ซึ่งนอกจากจะน่าสนใจในตัวของมันเองแล้ว ยังเป็น
การเชอ้ื ชวนให้ผู้อ่านมีความเหน็ แตกต่างออกไปอกี ดว้ ย
71
โอว้ ่า...อาณาประชาราษฎร์
สนทิ เจรญิ รัฐ. (2507). โอว้ ่า...อาณาประชาราษฎร์. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : "โอ้ว่า อาณาประชาราษฎร์" สารคดีชุดความหลังของนักหนังสือพิมพ์ผู้หน่ึงเสนอ
เร่ืองหลัก ๆ 2 เรื่องควบคู่ และเสริมส่งกัน คือ การเมืองเก่ียวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี
2475 จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เร่ืองหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องหน่ึง คือ การทางานหนังสือพิมพ์
ในช่วงเดียวกันผู้เขียนเขียนหนังสือเล่มนี้ หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้วกว่า 30 ปี ความรู้สึก
ท่ีตื่นเต้น ปั่นป่วน ความขัดข้อง กังวลใจต่าง ๆ อันเป็นวิสัยของปฏิกิริยา และการตอบสนอง
ต่อสิ่งที่เกิดข้ึนในบ้านเมืองนั้น ได้มอดดับไปแล้ว สิ่งที่คงอยู่ คือ ความทรงจาของความรู้สึกหรือ
อาจจะเรียกว่า เป็นความรู้สึกที่ตกผลึกแล้ว เพราะฉะนั้น "น้าเสียง" ของการใช้ภาษา จึงมิได้
ออกมาด้วยจริตของโทสะหรือจริตอื่น ๆ อย่างดิบ ๆ แต่ก็ใช่ว่า จะเป็นงานเขียนท่ีแห้งแล้ง
ปราศจากชีวิต อันเป็นลักษณะร่วมของงานเขียนประเภทท่ีจัดว่าเป็นงานวิชาการ "โอ้ว่า...อาณา
ประชาราษฎร์" เป็นงานเขียนจากน้าหมกึ ซึ่งเจือด้วยอารมณ์อันกลั่นกรองผ่านเวลา และวุฒิภาวะ
ท่ีสูงข้ึนแล้ว "โอ้ว่า...อาณาประชาราษฎร์" เป็นหนังสือรวมบทความหลาย ๆ บทเข้าด้วยกัน มิใช่
เป็นหนังสือ ท่ีเสนอเร่ืองที่เป็นเร่ืองเร่ืองหน่ึง แล้วนาเสนอเป็นบท ๆ ติดต่อกัน แต่ละบทเป็น
เอกเทศจบในตัวเอง แต่มิได้หมายความว่า แต่ละบทกระจายไปอย่างไร้ทิศไร้ทาง แท้จริงแล้ว
ทางของหนังสืออย่ทู ี่ อุดมคตปิ ระชาธิปไตยท่ีผู้เขยี นใฝ่ฝัน และพยายามมสี ่วนก่อใหเ้ กดิ ขึ้นในฐานะ
นักหนังสือพิมพ์เม่ือมองสารัตถะของข้อเขียนท้ัง 12 บทจากมุมนี้ จึงทาให้หนังสือเล่มนี้ มิได้
มีคุณค่าในฐานะเป็นบันทึก ท่ีให้ความรู้อันจากัดอยู่เฉพาะยุคสมัยเท่าน้ัน แต่ด้วยประพันธศิลป์
ในการถ่ายทอดเจตน์จานง เพ่ือประชาธิปไตยนั้นได้ยกระดับให้ "โอ้ว่า...อาณาประชาราษฎร์"
เป็นมรดกแห่งประสบการณ์ของแรงบันดาลใจ และความพยายามจากผู้ถือปากกาเป็นอาวุธ
และด้วยคณุ คา่ นี้ ทเี่ ปน็ ลกั ษณะของความเปน็ สากลแฝงอยู่หนงั สอื เล่มน้ี
72
ไทยกับสงครามโลกครัง้ ที่สอง
ศาสตราจารย์ดิเรก ชัยนาม. (2509). ไทยกบั สงครามโลกครง้ั ที่สอง. กรุงเทพฯ:
แพรพ่ ิทยา.
สาระสาคัญ : ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายหลายเร่ือง อาทิ ปัญหา
เศรษฐกิจที่รัฐมนตรีคลัง ในขณะท่ีญี่ปุ่นจะเข้ายึดครองไทย คือ ดร.ปรีดี พยมยงค์ ได้แสดง
ความคาดหมายไว้ ถูกต้องนับแต่เร่ิมแรก ที่ญี่ปุ่นบงการให้ปรับอัตราแลกเปล่ียนเงินเยนกับเงินบาท
เสียใหม่ กล่าวคือ เดิม 100 บาทเท่ากับ 150 เยน กลายมาเป็น 100 บาทเท่ากับ 100 เยน
การท่ีญี่ปุ่นบังคับกู้เงินจากไทยครัง้ แล้วคร้ังเล่า ดร.ปรีดีเห็นว่า จะเป็นผลเสียหายร้ายแรง แก่เศรษฐกิจ
ของชาติ เงินเฟ้อ ราคาสินค้าจะแพงขึ้น เพราะประชาชนไทยทั้งชาติ จะต้องแบกภาระเลี้ยงดูกองทัพ
ญ่ีปุ่น ท่ีเข้ามายึดครองอีกด้วย ฯลฯ ประเดน็ สาคัญที่สมควรเนน้ ใหม้ าก ได้แก่ อันตรายร้ายแรงท่ีเกดิ แก่
ประเทศชาติ เมื่อมีผู้เผด็จการทหารปกครอง เพราะการบริหารงานของผู้เผด็จการน้ัน ไม่ฟังเสียง
บุคคลอื่น ยึดถืออัตตาของตนเองเป็นท่ีตั้ง ผลเสียหายท่ีเกิดแก่ชาติบ้านเมืองนั้น เหลือท่ีจะประมาณได้
นอกจากเศรษฐกิจแล้ว ยังมีทุจริตคอร์รับช่ันมากมาย ภายหลังสงคราม นักการเมืองพลเรือนต้องใช้
ความพยายามกันอย่างสุดความสามารถ ท่ีจะแก้ไขสถานการณ์ ให้เสียหายน้อยท่ีสุดเท่าท่ีจะน้อยได้
สรปุ ไดต้ ามเน้ือหาของไทยกบั สงครามโลกครัง้ ท่สี อง ถงึ ผลการทางานของผู้เขยี นไดว้ ่า พยายามทาส่งิ ท่ีดี
ท่ีสุดข้ึนมาให้จงได้ จากสิ่งท่ีเลวร้ายอย่างที่สุด ซ่ึงก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นคนทาแก่ชาติ ผู้เผด็จการทหารท่ี
อวดอ้างตนเองว่า รักชาติยิ่งกว่าใครนั่นเองหนังสือนี้ ยังมีข้อเขียนของผู้นาเสรีไทย ในฐานะรับผิดชอบ
งานเสรีไทยมาโดยตลอด คือ ทวี บุณยเกตุ ข้อเขียนของดร.ป๋วย อ๊ึงภากรณ์ เล่าถึงเร่ืองราวของเสรีไทย
ในอังกฤษ และข้อเขียนของพระพิศาลสุขุมวิทย์ ที่ได้เดินทาง (ใต้ดิน) ไปสหรัฐอเมริกา ในตอนปลาย
สงคราม เพื่อลอบบี้ให้ชาวอเมริกันรู้จัก และเข้าใจประเทศไทย และประชาชนชาวไทยเป็นคร้ังแรก
ในฐานะทีพ่ ระพศิ าลสขุ ุมวทิ ย์ กบั หลวงสขุ มุ นยั ประดิษฐน์ อ้ งชาย เคยเปน็ นกั เรียนอเมรกิ ัน รจู้ กั สนทิ สนม
กับชาวอเมริกนั หลายคน ทงั้ ทเ่ี ป็นศษิ ยเ์ ก่ามหาวิทยาลยั เดียวกนั และทีเ่ คยมาประกอบธุรกิจในเมอื งไทย
ด้วย ข้อเขียนดังกล่าว เข้าใจว่า ศาสตราจารย์ดิเรกต้องการให้ผู้อ่านได้ทราบถึงผลงานของเสรีไทย
ด้านต่าง ๆ ให้กว้างขวางย่ิงข้ึน เพราะในส่วนของท่านเอง ได้เข้าร่วมงานเสรีไทยในภายหลัง
และก็ปฏิบตั กิ ารโดยมฐี านะอย่ใู นกรุงเทพฯ โดยเฉพาะ
73
สนั ติประชาธรรม
ปว๋ ย องึ๊ ภากรณ.์ (2516). สนั ติประชาธรรม. กรงุ เทพฯ: เคลด็ ไทย.
สาระสาคัญ : สันติประชาธรรม เป็นหนังสือรวบรวมบทความ และปาฐกถาของ ดร. ป๋วย อึ๊ง
ภากรณ์ ท่ีเขียน และเคยตีพิมพ์ในระหว่างปี 2511-2516 แบ่งออกเป็นสี่หัวข้อใหญ่ คือ
ประสบการณ์ การเมือง แด่ผู้ที่จากไป และการศึกษา จัดพิมพ์โดยสานักพิมพ์เคล็ดไทย
ในปี 2516ซ่ึงเป็นปีท่ีเยาวชนในประเทศไทย กาลังต่ืนตัวเร่ืองประชาธิปไตย รับความคิดและ
แนวทางทางการเมืองแบบเสรีนิยม และสังคมนิยมอย่างสูง หลังจากถูกปิดก้ันโดยรัฐบาลทหาร
มานานปี เรื่องเด่นในหนังสือเล่มน้ีเรื่องหนึ่ง คือ จดหมายของนายเข้ม เย็นย่ิง เรียน
นายทานุ เกียรติก้อง ผู้ใหญ่บ้านไทยเจริญซึ่งเขียนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2515 หลังจากท่ีจอมพล
ถนอม กิตติขจร ทารัฐประหาร และยกเลิกรัฐธรรมนูญ นาประเทศไทยกลับไปสู่ระบบเผด็จ
การทหาร อีกคร้ัง เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2514 ขณะน้ัน ดร. ป๋วย เป็นอาจารย์พิเศษ อยู่ท่ี
มหาวิทยาลัย เคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ดร. ป๋วย เขียนออกมาในรูปจดหมายส่งถึงจอมพลถนอม
ใช้ท่วงทานองวรรณศิลป์อุปมาอุปมัย อย่างน่ิมนวล แต่เนื้อหาหนักแน่นเป็นแก่นสาร คัดค้านการ
ยึดอานาจ และเรยี กรอ้ งใหค้ นื รัฐธรรมนูญให้กับประชาชน เพ่ือประโยชนส์ ขุ ของคนส่วนใหญ่ตั้งแต่
ผมรู้จักพี่ทานุ จนรักใคร่นับถือเป็นส่วนตัวมาก็กว่าย่ีสิบปี ผมได้ยินอยู่เสมอว่าพี่ทานุ (และคณะ)
นิยมเสรี ประชาธรรมผมก็ยินดีด้วยอย่างจริงใจ สาหรับหมู่บ้านไทยเจริญของเรา ก็มีสิ่งแวดล้อม
ที่เป็นพิษอยู่เป็นอันมาก แต่ผมว่าอะไรไม่ร้ายแรงเท่าพิษของความเกรงกลัว ซึ่งเกิดจากการ ใช้
อานาจขู่เข็ญ และการใช้อานาจโดยพลการ (แม้ว่าจะใช้ในทางที่ถูก) เพราะความเกรงกลัว ย่อมมี
ผลสะท้อนเป็นพิษแก่ปัญญา ถ้าหมู่บ้านของเรา มีแต่การใช้อานาจ ไม่ใช้สมองไปในทาง ท่ีควร
เช่นที่บรรพบุรุษไทยเราเคยใช้มา จนสามารถรักษาเอกราชได้มาช้านาน เม่ืออานาจทาให้กลัวทาง
ชีววิทยาท่านว่าไว้ว่า เส้นประสาทบังคับให้หลับตาเสีย และเวลาหลับตาน้ันแหละ เป็นเวลาแห่ง
ความหายนะ (หน้า 54-55) สันติประชาธรรมเป็นหนังสือที่มีคุณค่า ในแง่วรรณศิลป์
ประวัติศาสตร์ และเน้ือหาสาระ ด้านวรรณศิลป์น้ัน ดร. ป๋วย ใช้ลีลาในการเสนอบทความท้ัง 26
บท อยา่ งหลากหลายรูปแบบ ตามสถานการณ์ เน้ือหาสาระ และผู้รับทแี่ ตกตา่ งแต่ส่งิ ทเ่ี หมือนกนั
74
ในทุกบทความก็คือ ความพิถีพิถันในการเลือกใช้ถ้อยคาไทยพื้น ๆ ท่ีเรียบง่าย แต่ให้ความหมาย
ลึ ก ซ้ึ ง กิ น ใ จ แ ล ะ ส่ื อ ค ว า ม ไ ด้ อ ย่ า ง ต ร ง ไ ป ต ร ง ม า ไ ม่ เ ส แ ส ร้ ง เ ป็ น ก า ร ส ะ ท้ อ น
การดาเนินชีวิตแบบไทย ๆ ที่เรียบง่ายของท่านออกมาเป็นตัวอักษร ในแง่ประวัติศาสตร์
หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่พยายามเสนอทางเลือก ในเชิงอุดมคติสาหรับสังคมไทยในช่วง
ปี 2516 ซึง่ เปน็ ช่วงเปลี่ยนผ่านท่สี าคญั ซ่ึงเรานา่ จะกลบั ไปอา่ นเพือ่ เรียนรู้กนั ใหม่
75
ห้าปีจากปริทัศน์
ส. ศิวรักษ์. (2512). ห้าปีจากปรทิ ศั น.์ กรุงเทพฯ: ศกึ ษติ สยาม.
สาระสาคญั : ห้าปีจากปริทศั น์ของ ส. ศวิ รกั ษ์ เปน็ หนังสอื รวมบทนา บทความ บทแปล
บทคน (สัมภาษณ์และแนะนา) จดหมายจากบรรณาธิการ และบรรณาธิการ และ
ข้อเขียนอ่ืน ๆ รวม 50 ชิ้น ที่สุลักษณ์ ศิวรักษ์เขียน และตีพิมพ์ในวารสารสังคมศาสตร์
ปริทศั น์ ซ่ึงเป็นวารสารราย 3 เดอื นของสมาคมสงั คมศาสตร์แหง่ ประเทศไทย ท่เี ขาเปน็
บรรณาธิการ ในช่วงปี พ.ศ. 2506-2511 ส่วนท่ีสาคัญที่สุด คือ บทนา 20 บท
เราเลือกเล่มนี้ เพราะเป็นงานก่อนปี 2516 ท่ีมีบทบาทต่อการสร้างบรรยากาศ
การแลกเปล่ียนทางภมู ปิ ัญญาในยคุ มืดมากท่ีสุดเลม่ หนึ่ง สังคมศาสตรป์ รทิ ัศน์เป็นสนาม
สร้าง แหล่งเพาะให้นักเขียน นักคิดของไทย ในสมัยหลั งอีกเป็นจานวนมาก
ดังคาประกาศเกียรติคุณ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้ได้รับ รางวัลศรีบูรพา ประจาปี 2537 ว่า
ในยุคที่เผด็จการครองเมือง และสังคมอับจนทางปัญญา นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้เสนอ
ผลงานด้านวรรณกรรม และข้อเขียนต่าง ๆ ซ่ึงได้จุดประกายความคิด และการค้นหา
ทางออก ในยุคดังกล่าวนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้เป็นบรรณาธิการหนังสือสังคมศาสตร์
ปริทศั น์” ซง่ึ ไดเ้ ป็นเวทกี ลางแหง่ ดา้ นการคดิ และ การเรียนรู้ของคนหนมุ่ สาว ในยคุ แห่ง
การแสวงหา อันเป็นพ้ืนฐานของขบวนการต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตย และความเป็นธรรม
ในสังคม ซ่ึงพัฒนามาเป็นขบวนการต่อสู้ เพ่ือประชาธิปไตย 14 ตุลาคม 2516
และสืบต่อมาภายหลังจากน้ัน (ช่วงแห่งชีวิต ของ ส. ศิวรักษ์ ริเวอร์ บุ๊คส์ 2538
หลงั ปก)
76
"วันมหาปิต"ิ : วารสาร อมธ.
ฉบับ, พเิ ศษ ๑๔ ตลุ าคม
องค์การนักศึกษามหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ (2516). "วนั มหาปติ ิ" : วารสาร อมธ.
ฉบบั , พิเศษ 14 ตุลาคม. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
บรรณานิทัศน์ : หนังสือเล่มนี้ มีความสาคัญในแง่ท่ีเป็นหนังสือทางประวัติศาสตร์
ท่ีเกิดจากการรวบรวมข้อมูลขององค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.)
ทม่ี บี ทบาทสาคัญ ในการเคลอื่ นไหวเรยี กร้องสทิ ธเิ สรภี าพประชาธิปไตยเม่อื เดอื นตลุ าคม
2516 อีกท้ังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดาเนินอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สนามหลวง ถนนราชดาเนินการประชุม เพื่อการเคลื่อนไหวก็กระทากันในตึก อมธ.
ทาให้ อมธ. เป็นศนู ยก์ ลางของข่าวสารข้อมลู แทบทง้ั หมดหนงั สอื เลม่ น้ี บันทกึ ข้อเท็จจรงิ
ทางประวัติศาสตร์ ท่ีครอบคลุมช่วงเวลาต้ังแต่ 5-15 ตุลาคม 2516 มีลักษณะ
ของการให้ข้อมูลว่า มีเหตุการณ์อะไรเกิดข้ึนบ้าง มากกว่าการใส่ความคิดเห็นของ
ฝ่ายขบวนการนักศึกษาลงไป ผู้อ่านสามารถใช้วิจารณญาณ ตัดสินหาข้อสรุปได้ด้วย
ตนเอง จากข้อมูลซึ่งมีท้ังข้อมูลจากฝ่ายนักศึกษา และฝ่ายรัฐบาลเองหนังสือวันมหาปิติ
น้ีให้ภาพดุจภาพยนตรจ์ อยักษ์ รายงานการเคลอ่ื นไหวของนักเรยี น นักศึกษา ทุกจังหวดั
ท่ัวประเทศในช่วง 2-3 วัน ก่อนและหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคมว่า มีการเคลื่อนไหว
สอดคล้องหนุนช่วยการเคลอ่ื นไหว ท่ีหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ จนทาใหเ้ หน็ ภาพว่า ตั้งแต่
วันท่ี 11 ตุลาคม นักเรียน นักศึกษาต่างลุกฮือกัน ต่อต้านอานาจเผด็จการและเรียกร้อง
ประชาธิปไตยท่ัวประเทศ แล้วภาพจึงมาเน้นโฟกัสที่ การเคลื่อนไหวของศูนย์กลางนิสิต
นักศึกษา ร่วมกับองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) ก่อน 14 ตุลาคม
ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการต่อรองเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวปัญญาชน ผู้เรียกร้อง
รัฐธรรมนูญ 13 คน และช่วงการเคล่ือนขบวนออกจาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ไปตามถนนราชดาเนิน เพ่อื กดดันรฐั บาลหนังสือวันมหาปติ ินี้ มลี ักษณะของการใหข้ อ้ มูล
ทงั้ สองดา้ น ดว้ ยการรวบรวมแถลงการณ์ของทงั้ ฝา่ ยขบวนการนักศกึ ษา 14 ตลุ า และ
77
รัฐบาลเข้าไว้ด้วย จานวนมากหนังสือเล่มนี้ มีคุณค่าสมควรท่ีคนท่ัวไปควรอ่าน และ
พิจารณาด้วยตนเอง เนื่องจากบันทึกขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ภายหลังเหตุการณ์ เป็นการให้
ข้อมูลจากประจักษ์พยานที่อยู่ในเหตุการณน์ ้ัน ๆ สมดังเจตนารมณ์ของ อมธ. ท่ีต้องการ
ให้เป็นหนังสือ ท่ีรายงานข้อเท็จจริง ในเหตุการณ์ให้ตรงกับความเป็นจริง ให้มากที่สุด
โดยให้ผู้ท่ีอยูใ่ นเหตุการณ์แต่ละจุดเป็นผูเ้ ลา่ และต้องการให้เป็นหนังสอื ทร่ี ายงานเร่ืองน้ี
อย่างกว้างขวางที่สุด เพราะเหตุการณ์ 14 ตุลา เป็นเรื่องท่ีเกิดข้ึนทั่วประเทศ และ
ในต่างประเทศที่มีคนไทยอยู่ หนังสือเล่มนี้ ยังบรรจุภาพการเคลื่อนไหวของขบวนการ
14 ตุลา ท่วั ประเทศ สะทอ้ นพลังอันย่ิงใหญข่ องขบวนการประชาธปิ ไตย
78
วรรณคดี
และ
วรรณคดวี ิจารณ์
ดร.วิทย์ ศิวะศริยานนท์. (2486). วรรณคดี และวรรณคดีวจิ ารณ์. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : วรรณคดีและวรรณคดีวิจารณ์ เป็นหนังสือแนววิชาการด้านวรรณคดีและ
วรรณคดีวิจารณ์แบบตะวันตกเล่มแรกๆ ที่นักวิชาการไทยนาทฤษฎีวรรณคดีวิจารณ์แบบ
ตะวันตก มาเผยแพร่ และประยุกต์ใช้กับวรรณคดีและบริบทสังคมวัฒนธรรมไทยทัศนะทาง
วรรณคดี ของ ดร.วิทย์ ศิวะศริยานนท์ ท่ีได้แสดงไว้ในหนังสือเล่มนี้เป็นทัศนะที่ตกผลึก ที่ได้
ผ่านการ ขบคิด ใคร่ครวญกล่ันกรองแล้วอย่างรอบคอบงานวรรณคดีวิจารณ์ของ ดร.วิทย์
มิใช่งานวิจารณ์เชิงทดลองปฏิบตั ิและก้าวล่วงระดบั วเิ คราะห์ (Analysis) แล้ว หากเป็นงานที่
สะท้อนถึงระดับทฤษฎีทางวรรณคดี และวรรณคดีวิจารณ์ โดยส่ือออกมาเป็นภาษาที่เข้าใจ
ง่าย และนาเอาทฤษฎีประสานกับงานวรรณคดี เรื่องราวในวรรณคดี หรือตัวละครใน
วรรณคดีไปโดยตลอด โดยได้ แสดงออกมาเป็นทัศนะของตนเองอย่างแจ่มแจ้ง งานระดับน้ี
จัดว่าเป็นงานระดับ สังเคราะห์ (Synthesis) ซ่ึงหาตัวจับยากในวงการ วรรณคดีไทย
โดยเฉพาะอย่างย่ิง ความรอบรู้ ลึกซึ้ง รอบด้าน และความเป็นสากล (Universal) ของท่าน
นั้น ยากท่ีจะหานักวรรณคดรี ุ่นเดียวกับท่าน หรือรุ่นหลังมาเทียบเคียงท่านได้ ท่านสามารถที่
จะกล่าวอธิบาย ถึงทัศนะทางวรรณคดีหนึ่ง ๆ โดยประสานไปได้รอบทิศ โยงใยถึงวรรณคดี
เอกๆ ของมนษุ ยชาตไิ ด้อยา่ งรวดเร็ว ฉับไว และกระชับ ทวา่ ตอกลึก และสลักเสลา งานชิ้นนี้
จึงมีความงาม ที่มีคุณค่าในตัวเอง นอกเหนือจากความแรงทางทฤษฎี และวิชาการความงาม
และความแรงทางวิชาการดังกล่าว ดาเนินตั้งแต่ต้นเล่มจนถึงปลายเล่ม ตัวอย่าง เช่น
เม่ือเริ่มต้นอธิบายว่า วรรณคดีคืออะไร ดร.วิทย์ จะอธิบาย เชิงพรรณนาความอย่างฉับไว
แต่ครอบคลุมเน้ือหากวา้ งขวาง และแนวคิดที่ลึกซ้ึง ในข้อความเพียงไม่กี่บรรทัด ผู้อ่านก็รู้สึก
เหมือนได้อ่านวรรณคดีไปทั่วโลก โดยท่ีวรรณคดีไทยก็มีที่ทางของตน อย่างม่ันคง ในบริบท
วรรณคดีของโลก
79
ประติมากรรมไทย
ศลิ ป พรี ะศร.ี (2490). ประติมากรรมไทย. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : ประตมิ ากรรมไทยเลม่ นี้ เขยี นโดยอาจารย์ศิลป พีระศรี (2435 - 2505)
ชาวอิตาลี ผู้ได้เข้ามาทางานศิลปะในประเทศไทย ตั้งแต่วัยหนุ่ม จนโอนสัญชาติ และ
เปล่ยี นชื่อเป็นไทย โดยเริ่มแรกเขา้ เป็นชา่ งปน้ั ของกรมศลิ ปากร และต่อมาได้ผลกั ดนั ใหม้ ี
การก่อต้ังโรงเรียนศิลปากรขึ้น ในปี 2467 อาจารย์ศิลป ได้ใช้ชีวิตทางาน
และสอนศิลปะอยู่ในประเทศไทยตลอดชีวิต เป็นผู้ป้ันอนุสาวรีย์สาคัญหลายแห่ง เช่น
อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน, อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี นครราชสีมาหนังสือเล่มน้ี
พระยาอนุมานราชธน ได้แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษที่อาจารย์ศิลป พีระศรีแต่งไว้
เม่ือประมาณปี พ.ศ. 2487 เนื่องจากขณะน้ัน ผู้ประพันธ์ดารงตาแหน่งอาจารย์
ประติมากรรมของกรมศิลปากร และอาจารย์ได้กล่าวชมเชยพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยว่า
เป็นศิลปะของไทย ท่ีวิเศษยอดเยี่ยมอย่างหาค่าไม่ได้ พระยาอนุมานราชธน ซ่ึงขณะน้ัน
ดารงตาแหนง่ อธบิ ดีกรมศิลปากรอยู่ ได้ขอใหอ้ าจารยศ์ ลิ ป พีระศรี เขียนหนังสอื เล่มนีข้ ้นึ
เพอ่ื เปน็ การอธิบาย และชแ้ี จงเชงิ วชิ าการ และศิลปะแกผ่ ทู้ ่สี นใจเรอ่ื งศลิ ปะได้รู้กันอย่าง
แพร่หลายหนังสือเล่มน้ี เป็นการเขียนขึ้นด้วยทัศนะความเห็นเชิงศิลปะ ไม่ใช่ในแง่
โบราณคดี ดังน้ัน จึงเสมือนกับเป็นการต้ังต้นสอนผู้อ่าน ให้รู้จักศิลปะในแง่ของสุนทรีย์
ด้วยการเร่ิมให้ผู้อ่านลองมองเปรียบเทียบ ระหว่างความงามของศิลปะตะวันตก คือ
เศียรของพระเยซู กับความงามของศิลปะไทยเรา คือ เศียรของพระพุทธรูป โดยเฉพาะ
ในสมัยสุโขทัย ซึ่งถือได้ว่า มีความงามอย่างมากก่อนท่ีท่านจะลาดับเร่ืองราว เก่ียวกับ
ประติมากรรมไทย ตั้งแต่การก่อเป็นรูปของศิลปะไทยทีเดียว โดยในทัศนะ ของท่าน
ศิลปะของไทยเกิดข้ึนเป็นครั้งแรกที่เชียงแสน จากน้ันจึงถึงสมัยสุโขทัย อู่ทอง อยุธยา
และกรุงเทพฯ ตามลาดับประติมากรรมท่ีผู้เขียนยกย่องว่า ศิลปินไทยน้ันนับได้ว่า เป็น
ชา่ งขัน้ ฝมี ือครู นั่นก็คอื ประติมากรรมรปู คนที่สรา้ งดว้ ยโลหะเพราะผเู้ ขยี นกล่าว
80
ว่า การหล่อรูปด้วยทองสัมฤทธิ์ เป็นงานที่ยากลาบากมาก และช่างฝีมือของไทยทางาน
อย่างไม่เปิดเผยตัวเองเพ่ือมุ่งหวังช่ือเสียง แต่ทาด้วยใจเลื่อมใสในพุทธศาสนา
จึงถือเป็นเรื่องธรรมดา ขณะที่ผู้เขียนมองว่า เทคนิคการหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์
เปน็ ของท่สี มบูรณท์ ่ีสุด ความยากอยทู่ ี่ การลดความหนาของทองให้บางทส่ี ุด และจะต้อง
มีพื้นผิว ท่ีบางอย่างสม่าเสมอด้วยหนังสือเล่มนี้ อาจทาให้ผู้อ่านท่ีเป็นคนไทยหลายคน
ท่ียังมองไม่เห็นความงามของศิลปะสามารถซาบซึ้ง และค่อย ๆ เรียนรู้วิธี ซึมซับความ
งามทางศิลปะได้ทีละน้อย และสามารถมองเห็นความคล่ีคลาย อย่างสังเขปของ
ประติมากรรมไทย โดยเฉพาะรูปคนหรือพระพุทธรูป ซึ่งถือได้เป็นส่ิงที่ใกล้ชิดติดตัวมาก
ทส่ี ดุ สาหรบั คนไทยท่สี ว่ นใหญ่นับถอื ศาสนาพทุ ธ และในทา้ ยทีส่ ดุ จะรู้สกึ ทึ่งว่า ผ้เู ขียนท่ี
เป็นชาวต่างชาติ สามารถเขียนเร่ืองราวท่ีเป็นของไทยเราให้เราได้อ่าน และซาบซึ้งได้
อย่างไร
81
วรรณสาส์นสานกึ
สุภา ศิริมานนท.์ (2529). วรรณสาสน์ สานกึ . (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : วรรณสาส์นสานึก เป็นหนังสือรวมข้อเขียน ด้านวรรณกรรมจานวน
2 เล่ม ของสุภา ศิริมานนท์ ซ่ึงเคยตีพิมพ์ในนิตยสารอักษรสาส์น อันเป็นนิตยสารเดือน
ที่ก่อตั้งโดยสุภา และจินดาผู้เป็นศรีภรรยา เมื่อปีพ.ศ. 2492 เป็นนิตยสารเชิงวิเคราะห์
วิจารณ์สังคม ท่ีมีเน้ือหาสาระหนักแน่นและก้าวหน้าท่ีสุดทั้งในยุคน้ัน และยุคต่อมา
สภุ านอกจากเปน็ คนริเริม่ การศึกษามาร์กซิสม์ อยา่ งเป็นนักวชิ าการแลว้ ยังเปน็ ผ้บู ุกเบิก
ด้านวรรณกรรมวิจารณ์คนหน่ึงด้วยวรรณสาส์นสานึก เล่ม 1 ประกอบด้วยบทความ
ประเภทต่าง ๆ ไว้ด้วยกันเป็น 4 ส่วน คือส่วนท่ี 1 เป็นข้อเขียนในหัวข้อ เร่ืองศิลปะ
ส่วนท่ี 2 ว่าในหัวข้อเร่ืองภาษา และหนังสือ ส่วนที่ 3ในหัวข้อนักเขียนไทย และ
ส่วน ที่ 4 ในหัวข้อเร่ืองนักเขียนต่างประเทศวรรณสาส์นสานึก เล่ม 2 ประกอบด้วย
ส่วนที่ 5 ในหัวข้อ การวิพากษ์วิจารณ์วรรณกรรม ส่วนที่ 6 ในหัวข้อวรรณกรรมวพิ ากษ์
สว่ นท่ี 7 ในหวั ข้องานแปลวรรณกรรมชอื่ บทความชิน้ แรก ในหนังสอื เล่มที่ 1 คอื ศิลปะ
ท้ังหลาย ย่อมเก่ียวพันอยู่กับสามัญชนแต่เท่านั้น นับว่าเป็นชื่อบทความที่ท้าทายชวนให้
อ่าน และชวนให้เกิดความคิดในการวิวาทะอยา่ งยิ่ง ดังข้อเขียนต่อไปนี้ความทรงอยูข่ อง
ชวี ิต เปน็ สิ่งทไ่ี มอ่ าจจะกาหนดเอาไดโ้ ดยจติ สานกึ แต่จิตสานึกน้นั แหละพงึ กาหนดเอาได้
โดยความทรงอยู่ของชีวิตข้อสรุปของสุภา คือ ศิลป คือ การส่ือสาส์น ระหว่างผู้เสพย์
กับผู้สร้างศิลปะบทความที่ 2 ช่ือ ภาวะของศิลปะภายใต้ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์
เป็นบทความขนาดยาว ท่ีน่าศึกษามากท่ีสุดชิ้นหนึ่ง ที่คุณสุภาได้อาศัยนาเอาศิลปะมา
อธิบาย โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การช้ีให้เห็นถึงภัย ของระบอบเผด็จการฟาสซิสม์ รวมทั้งชี้
ถึงพลังของประชาชนวรรณสาส์นสานึก เล่ม 2 มีบทความหลักช้ินใหญ่ ๆ อีก 3 ชิ้น
ซึ่งแสดงถึงความเป็นปราชญ์ของสุภา คือ การเสนอวิพากษ์วิจารณ์วรรณกรรมคลาสสิก
ระดบั โลก ต้งั แต่เอนไซโคลปีเดยี จนถึงดกิ ชันเนอรี่ และแปลงานวรรณกรรมระดบั โลก
82
เช่น ของ อนาโตล ฟรังซ์ บเจิร์นสัน อิวาน โวโลติน และสเตฟาน สไวก์สุภายังได้ริเริม่ ให้
เป็นแบบอย่าง ในการแปลงวรรณกรรมต่างประเทศ โดยการค้นประวัติของผู้เขียน มา
เขียนอธิบายถึงชีวิต และโลกทรรศน์ของผู้เขียนน้ัน ๆ อย่างละเอียด และมีคุณค่า
สามารถทาให้ผู้อ่านได้เข้าใจซึมซาบเน้ือหาของเร่ือง ได้อย่างเข้าใจถึงแก่นเรื่องได้ดีขึ้น
เม่ือรู้ภูมิหลัง และเง่ือนไขของสังคมของผู้เขียนในขณะน้ัน หรือในเวลาท่ีสร้างงาน
วรรณกรรมระดับโลกช้ินน้ัน ๆในบทความเร่ืองการวิพากษ์วิจารณ์วรรณกรรมนั้น ได้
เสนอทฤษฎีวิพากษ์วิจารณ์วรรณกรรม ไว้ได้อย่างดีเย่ียมรวมท้ังได้ยกเอาวรรณกรรม
ระดบั โลก และวรรณกรรมไทยมาเป็นตวั อย่างของการวพิ ากษ์วจิ ารย์ การวพิ ากษ์วจิ ารณ์
เพ่ือสนับสนุนทฤษฎีของท่านเช่น งานของ ชาร์ล ดิ๊กเก้น แฮเรียต บีเชอร์ สโตว์ ผู้เขียน
เร่ือง กระท่อมน้อยของลุงทอม ตอลสตอย, ดอสโต เยฟสกี้, มุลค์ ราช อนันท์, หลู่ซ่ิน
และเร่ือง ภควัคคีตา
83
วทิ ยาวรรณกรรม
พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมืน่ นราธิปพงศป์ ระพันธ.์ (2506). วิทยาวรรณกรรม.
(ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : คุณูปการของนักปราชญ์สยาม พระนาม พลตรี พระเจา้ วรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิป
พงศ์ประพันธ์แวดวงวิชาการ และราชบัณทิตยกย่องว่าทรงมีอัจฉริยภาพทางด้านอักษรศาสตร์
นิรุกติศาสตร์ วรรณคดีกฎหมาย และการทูตอย่างกว้างขวางเน้ือหาสาระของวิทยาวรรณกรรม
อุดมด้วยทัศนะทางด้านวรรณคดีหลากหลายมุมมอง ประเภทของวรรณคดี ความสัมพันธ์ระหว่าง
วรรณคดีกบั ภาษาศาสตร์ รสนิยมวรรณคดี เอกภาพความงามระหว่างเน้ือหาสาระกับรูปแบบ และ
หน้าท่ี คุณค่าของคา ลักษณะท่ีเป็นวรรณศิลป์ ปรัชญาวรรณศิลป์ ภาษาท่ีพรรณนาถึงบทบาท
หน้าท่ี เป็นเครื่องมือสื่อสาร สัญลักษณ์ และความหมาย ปัญหา ในการจาแนกแยกแยะ
วิพากษ์วิจารณ์วรรณกรรม ซึ่งกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ได้อธิบายอย่างละเอียด แสดงให้เห็น
ลักษณะ การเป็นผู้สนใจใฝ่รู้อย่างจริงจัง ทรงเจาะลึกถึงทีม่ าของคาในภาษาขอม (เขมร) ไทย บาลี
สนั สกฤต อังกฤษ แล้ววเิ คราะห์เชงิ เปรียบเทียบ เพื่อให้เกิดความศรัทธา ยอมรับคาท่ีบัญญัติขึ้นมา
น้ันอย่างมีเหตุผลจุดเด่นหนังสือวิทยาวรรณกรรม คือ การนาเสนอหลักคิดในการบัญญัติศัพท์
การไขความหรืออธิบายความหมายของคา ท่ใี ช้กันทว่ั ไป ซึ่งมผี ้อู า่ นโต้แย้ง หรือเขียนจดหมายถาม
พระองค์ เช่น คาว่า ปรัชญา การศาสนา สังคมวิทยา ภาษาศาสตร์วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์
ธรรมชาติ ศิลปะที่มีประโยชน์ วิจิตรศิลป์ รวมถึงการนาคาจากต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทย
พระองคจ์ ะศึกษาเรียนรู้ความเป็นมาทางประวตั ิศาสตร์ หรือเหตุการณ์ท่ีเกดิ ข้ึน เพือ่ ใหก้ ารอธิบาย
ศัพท์นั้นครอบคลุมรอบด้าน และรัดกุม จาแนกว่าเป็นลักษณะเฉพาะหรือลั กษณะทั่วไป
โดยคานึงถึงหลักตรรกวิทยา และความสอดคล้องต้องกัน กับการออกเสียง เหตุน้ี หนังสือวิทยา
วรรณกรรม จึงเสรมิ คุณคา่ การเรยี นร้ทู างประวัตศิ าสตรค์ วบคไู่ ปด้วย จนกลา่ วไดว้ ่าเป็นคลังปัญญา
แห่งการบญั ญตั ิศพั ท์ ประวัติศาสตร์ และประวตั ิวรรณคดที ส่ี าคญั ของไทยเลม่ หน่งึ
84
ความงามของศิลปะไทย
น. ณ ปากนา้ . (2510). ความงามของศิลปะไทย. กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร.์
สาระสาคัญ : ผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจ จากการอ่านบันทึกของบาทหลวงเดอ ชัวสี
ที่เดินทางเข้ามาในอยุธยาอาณาจักรท่ีรุ่งเรืองของไทยเราเมื่อปี พ.ศ. 2228 บาทหลวง
ทา่ นนี้ ได้บันทึกความประทบั ใจต่าง ๆ ท่ไี ด้พบเหน็ ตั้งแตข่ นบธรรมเนียม วัฒนธรรม และ
ศิลปะของไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์จึงทาให้ผู้เขียนทาการสารวจวัดต่าง ๆ ใน
เมอื งบางกอกอยา่ งละเอียด และเขยี นขนึ้ เปน็ บทความแตล่ ะตอนเพ่ือใหผ้ อู้ ่านได้มองเห็น
และเกดิ ความซาบซึ้งถงึ คณุ ค่าศลิ ปะของไทยเราผเู้ ขียนปพู น้ื ให้ผอู้ ่าน รู้จกั ซาบซึ้ง
กับคุณค่าของภาพไทยโบราณ เป็นเร่ืองแรก เพ่ือให้เห็นถึงลักษณะพิเศษ ที่ไม่ซ้า
แบบใคร แม้ว่าไทยจะได้รับอิทธิพลจากขอมมาแต่ดั้งเดิม แต่ไทยก็นามาปรับปรุงเป็น
แบบของไทยใหม้ คี วามอ่อนโยนละมนุ ละไม ดงั เช่น พระพุทธรูปสโุ ขทยั จากนนั้ ผ้เู ขียนจึง
เล่าเรื่องภาพไทย ต้ังแต่สมัยสุโขทัยเร่ือยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเป็นไปใน
ลักษณะของการอธบิ ายภาพ พร้อมกับการยกตัวอยา่ งภาพ จากการสารวจตามวดั ต่าง ๆ
ของเมืองไทย เชน่ ภาพเขียนในผนงั โบสถว์ ดั สุวรรณาราม ฝงั่ ธนบุรี ซงึ่ มผี ลงานช้ินสาคัญ
ของจิตรกรไทยอันทรงคุณค่าภาพเขียนในวัดบวรนิเวศ ซึ่งมีผลงาน ของขรัวอินโข่ง จิตร
กรเอกสมัยรัชกาลที่ 3 ท่ีสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ ในสมัยน้ัน โดยเฉพาะการติดต่อกับ
ต่างประเทศ ผู้เขียนยกย่องความงามของภาพไทยว่าความงามของภาพเขียนไทยอยู่ท่ี
เส้น และสีที่ประสานกลมกลืนกัน เมื่อศิลปินไทยเขียนความเศร้าโศก เราจะเห็น
สัญลักษณ์ของความโศกน้ันตามเส้น และท่าทาง เช่น ภาพพระเวสสันดร ตอนพระ
เวสสันดรได้พบกับพระบิดามารดา ต่างพิลาปราพันเข้าหากัน นับเป็นการแสดงอารมณ์
ของศิลปินด้วยเส้นแท้ ๆ นอกเหนือจากศิลปะด้านจิตรกรรมแล้ว ผู้เขียนยังกล่าวถึง
ผลงานทางด้านประติมากรรม ต้ังแต่สมัยแรกจนมาถึงยุคของศิลปะ สมัยในยุคท่ีเขียน
หนงั สอื เลม่ นด้ี ้วย โดยเฉพาะเนน้ ถึงการสรา้ งพระพุทธรูป ศิลปะของล้านนา ตลอดจน
85
การพรรณนาถึงประวัติ โดยสังเขปของศิลปินไทยบางคนท่ีควรยกย่อง การเปรียบเทียบ
ศิลปะไทยกับตะวันตก เป็นต้น รวมบทความด้านศิลปะเล่มน้ี มีความหลากหลายที่น่า
อ่าน เพราะผู้เขียนใช้วิธีการเล่าเรือ่ ง แทรกไปกับการพรรณนาความงาม สภาพของสิ่งที่
พบเห็น และการเสนอแนวความคิดของผู้เขียนในด้านต่าง ๆ ตลอดจนในแง่ของการ
อนุรักษ์เนื่องจากผู้เขียนมีพื้นฐานทางด้านศิลปะ และทาการศึกษาค้นคว้ามาหลายปี
ประสบการณ์ด้านงานศิลปะมาก่อน จึงสามารถอธิบายเร่ืองราวทางด้านศิลปะ
ที่ก่อให้เกิดจินตนาการสาหรับผู้อ่าน เพ่ือการศึกษาค้นคว้าต่อไป ผู้เขียนทาให้ผู้อ่านเกิด
ความรู้สึกร่วมไปด้วยว่า ประเทศไทยเรามีศิลปะความงาม ที่ทรงคุณค่าอยู่มาก แต่ไม่
แพร่หลายและนับวันก็จะถูกทาลาย ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซ่ึงถ้าไม่มีการบันทึก
เอาไว้แลว้ ความงามเหลา่ นีก้ ็จะไม่มีผู้ใดร้จู กั
86
ภาษากฎหมายไทย
ศาสตราจารยธ์ านนิ ทร์ กรัยวเิ ชยี ร. (2511). ภาษากฎหมายไทย. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : ก่อนหน้าจะมีหนังสือภาษากฎหมายไทยฉบับนี้ มีท่านผู้รู้ และผู้สนใจ
ภาษากฎหมายเคยแสดงความคิดเห็น เก่ียวกับภาษากฎหมาย ท้ังโดยตรง และโดยอ้อม
มาแล้วแต่ไม่เคยมีท่านใด และหนังสือเล่มใดศึกษาค้นคว้า และนาเสนอเรื่องภาษา
กฎหมายไทยอย่างจริงจัง และเป็นระบบเท่ากับหนังสือภาษากฎหมายไทยแสดง
ให้ปรากฏเอกสารวิชาการน้ี จึงทรงคุณค่าอย่างยิ่ง ต่อวงนิติศาสตร์ และต่อวงการศึกษา
อักษรศาสตร์ไทยภาษากฎหมายไทย แบ่งออกเป็นบทต่าง ๆ อย่างต่อเน่ืองกัน นับจาก
บทนาถงึ บทสรุป รวม 8 บทและทาสารบัญคน้ เรือ่ ง และคน้ คาไวท้ ้ายเลม่ เพ่ือประโยชน์
ในการศึกษาง่ายข้ึน บทนา ได้กล่าวถึง ความสาคัญของภาษากฎหมายไทย และแง่มุม
การศึกษาภาษากฎหมายไทยตามที่ท่านผู้เขียนมีความมุ่งหมาย เริ่มจากประการแรก
: การวิจัยกฎหมายภาษาไทย, ประการท่ีสอง : การให้ข้อเสนอแนะ และประการท่ีสาม
: การทดลองในเร่ืองของภาษากฎหมายสารคดีภาษากฎหมายไทยนี้ แม้เป็นเอกสาร
วิชาการ ที่ท่านผู้เขียนมุ่งหมายเสนองานวิชาการ ได้จาแนกแยกแยะถ่ีถ้วนเชื่อมโยงกัน
เป็นระบบ มีรายละเอียดตัวอย่างภาษา จากสภาพความเป็นจริงที่ดี และไม่ดี ท่านที่ไม่
เคยศึกษาเร่ืองน้ี เม่ือดโู ครงสรา้ งเน้ือหา และการเก็บความบางประเดน็ ทก่ี ลา่ วมา อาจจะ
สาคัญผิดต่อข้อเท็จจริงได้ว่า คงน่าเบื่อเหมือนหนังสือกฎหมายหรือตาราวิชาการท่ัวไป
แท้ที่จริงหาได้เป็นเช่นน้ันไม่ ข้อความคิด คาอธิบาย และตัวอย่างในรายละเอียดกลับ
เปน็ ส่งิ ชวนสนใจ ทา้ ทายความรับรู้ และมอี ารมณข์ นั ไดร้ สชาติเป็นอศั จรรย์
87
วรรณไวทยากร
ฉบบั วรรณคดี
เจตนา นาควัชระ. ม.ล.บญุ เหลอื เทพยสวุ รรณ. (2514). วรรณไวทยากร
ฉบับวรรณคด.ี (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : ข้อเขียนท้ังสองนี้ พิมพ์ในชุด "วรรณไวทยากร" ชุมนุมบทความทาง
วชิ าการถวายพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมืน่ นราธิปพงศ์ประพันธ์ ในโอกาสทพี่ ระชนม์ครบ
80 พรรษาบริบูรณ์เจตนา นาควัชระ เขียนหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับวรรณคดีวิจารณ์
โดยเฉพาะหลังจากปี 2519 เป็นต้นมาแต่เล่มน้ีเป็นเล่มแรก บรรจุความคิด ไว้มาก
เล่มอื่น ๆ ขยายความจากเล่มน้ี เป็นหน่อความคิด ซึ่งแตกออกไปตามกาลเจตนา นาค
วัชระ เสนอแนวคดิ ต่าง ๆ ในวรรณคดใี นเชงิ ปญั หา กล่าวคอื เป็นเรือ่ งทีค่ ิดกนั ได้จากต่าง
แง่ต่างมุม"การวิจารณ์วรรณคดีน้นั จะหาหลักที่ตายตัวลงไปได้ยาก" นี่ก็เป็นการมองจาก
มุมหน่ึง "แต่นักวิจารณ์ส่วนมาก ก็มิได้ย่อท้อในการท่ีจะแสวงหาหลักเกณฑ์" (น. 2)
ก็เป็นอีกมุมหนึ่ง ซึ่งแย้งมุมแรก แต่การพิจารณาไม่ใช่เพียงเสนอเป็น 2 แง่มุมนี้เท่านั้น
เจตนา นาควัชระยังก้าวต่อไปอีกว่า "จริงอยู่การสร้างทฤษฎีใด ๆ เป็นเรื่อง ที่ล่อแหลม
เพราะถ้ามิได้มีประสบการณ์เพียงพอ หรือมิได้ใฝ่ใจที่จะค้นหาข้อมูลที่เช่ือถือได้มาอ้าง
เป็นหลักฐาน หรือเป็นผู้มักง่าย ก็อาจจะสร้างโทษมากกว่าสร้างคุณ" อย่างไรก็ตาม
ก็เสริมแก้ว่า "แต่การที่นักวิชาการบางคน มีอคติต่อวรรณคดีวิจารณ์เชิงทฤษฎี เป็น
ทุนเดิมเสียต้ังแต่ต้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการสกัดกั้นทางก้าวหน้าของวรรณคดีวิจารณ์"
(น. 3) วิธกี ารใช้เหตใุ ชผ้ ลทีพ่ ยายามมองคา้ น มองแย้ง มองเตมิ มองเสรมิ มองแก้ ทานอง
น้ี เป็นแนวการพิจารณาแนวคิดต่าง ๆ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ในข้อเขียนน้ี จะเรียก
ได้ว่าเป็น "การใช้เหตุใช้ผลเชิงสนทนา (dialogic reasoning) อันต่างไปจาก การเสนอ
เหตุผลเชิงเดียว ว่าส่ิงหนึง่ ต้องเป็นเช่นน้ันหรือเช่นน้ี ทานอง ให้ความหมายเปน็ คานิยาม
ซง่ึ ไมเ่ ปิดช่องใหเ้ หน็ เปน็ อื่น" ได้ (ศัพทข์ องเจตนา นาควชั ระ) การม่งุ ให้เหน็ "ความเปน็
88
อ่ืน" น้ีสะท้อนความคิดเสรีประชาธิปไตย ท่ีต่างจากแนวคิดการวิจารณ์แบบช้ีแนะไป
ทางใดทางหนึ่งแม้ว่าข้อเขียนของ ม.ล.บุญเหลือ จะมีปริมาณ 100 หน้า มีเนื้อหา
ครอบคลุมไปกว้างกว่าช่ือ "หัวเล้ียวของวรรณคดีไทย" แต่รวมข้อคิด และข้อมูลไว้หลาย
ด้านหลายมุม ต่างคนอ่านก็จะเห็นต่างมุมต่างด้านกันไป โดยสังเกตได้จากงานเขียน
เก่ียวกับวรรณคดีวิทยานิพนธ์ ที่อ้างถึงข้อเขียนน้ีน้ัน อ้างหลากหลายจุด ในต่าง ๆ
หน้าต่าง ๆ ประเด็น และเจตนารมณ์ของม.ล.บุญเหลือในข้อเขียนนี้ ก็ทานองเดียวกับ
ส่วนแรกของเจตนา นาควัชระ ต่างก็มุ่งเพื่อ "เกิดข้อคิดเห็นแย้งหรือสนับสนุนหรือ
เพ่ิมเติม ประการใดประการหนึ่งข้อเขียนของ ม.ล.บุญเหลือน้ีได้เขียน "แนะนา" หนังสือ
ดีไว้หลายเล่มในช่วงก่อน ร.5 จึงทาให้ผู้อ่าน นอกจากจะได้คุณค่าของงานเขียนของ
ม.ล.บญุ เหลือโดยตรงแลว้ ก็ยงั ไดห้ นังสอื ที่ "แนะนา" ไวอ้ ีก สว่ นตง้ั แตส่ มยั ร.5 มาถึงช่วง
2500 ม.ล.บญุ เหลือกช็ ่ืนชมอยหู่ ลายเลม่ บางเล่มกต็ รงใจกันกบั เล่มท่งี านวจิ ัยโครงการ
นี้เลือกข้ึนมาการท่ีม.ล.บุญเหลือไม่ได้กาหนดให้ข้อเขียนนี้ อยู่ในกติกาของงานวิชาการ
อย่างเคร่งครัด เจ้าตัวชอบหรือไม่ชอบก็กล่าวออกมาตรง ๆ ท้ังขยายความ และไม่ขยาย
ความ ข้อด้อยต่าง ๆ อันเป็นลักษณะร่วมของงานเขียน ของไทยร่วมสมัย ม.ล.บุญ
เหลือ ก็แจกแจงอย่างเป็นบทเรียนให้นักเขียนพึงสังวร และให้ข้อคิดแก่ผู้อ่านถึงข้อที่พึง
ตาหนิในนวนิยาย ส่วนข้อดี ม.ล.บุญเหลือก็มิได้เสนอออกมาในรูป "สูตรสาเร็จ" แต่
อธิบายผูกโยงกับเรื่องเป็นเรื่องๆ ไป หรือถ้าจะใช้สานวนให้มีสีสันเคร่งขรึมทางวิชาการ
ก็อาจจะพูดได้ว่า ม.ล.บุญเหลือนั้น เสนอคุณลักษณะเชิงบวกของงานเขียนรูปนวนิยาย
มใิ ช่ในเชงิ นามธรรม แต่อยา่ งเป็นรปู ธรรม
89
แสงอรณุ ๒ รศ.
แสงอรณุ รตั กสิกร
แสงอรณุ รตั กสิกร. (2522). แสงอรุณ 2 รศ.แสงอรณุ รตั กสิกร. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : บทความ และข้อเขียนของอาจารย์แสงอรุณ บ่งถึงความรู้และรสนิยม
ในสุนทรียภาพทางสถาปัตยกรรม, ศิลปกรรมและส่ิงแวดล้อมความเฉียบคมเสมอ ด้วยราชสีห์
แห่งการวิจารณ์ ประกอบกับความสามารถการใช้ภาษาท้ังการพูด และฝีมือเขียนหนังสือ จึงทาให้
ภาระอันหนักต่อการทาความเข้าใจเรื่องเฉพาะวิชาเช่น สถาปัตยกรรม เป็นต้น บรรเทาเบาบาง
ไม่เปน็ อปุ สรรคแกผ่ มู้ ไิ ดศ้ ึกษาในทางความรู้น้ันเร่อื ง ในรังนกอินทรีกับทาไลซินตะวันตก เปน็
สองเรื่องจากประสบการณ์ตรง ที่อาจารย์แสงอรุณ เคยอยู่ในอาคารสถาปัตยกรรม ของ
สถาปนิกเอกของโลกคนหน่ึง คือ แฟรงค์ ลอยไรท์ในฐานะลูกศิษย์ที่สะท้อนภาพชีวิต ณ สานัก
ศึกษาน้ัน เป็นคนไทยคนแรก และคนสุดท้ายของท่ีน่ัน ได้บรรยายบุคลิกภาพของมหาพรหม
แฟรงค์ และลักษณะทางสถาปัตยกรรมท่ีควรสนใจ แม้ว่ากาลต่อมาที่น่ันจะโทรมลง แต่ผมก็ยังรัก
ท่ีจะฝันถึงมันอยู่เสมอไม่ใช่อะไร เม่ือเราฝัน แม้ความทุกข์ก็มีรสหวานบทความท่ีเป็นพลังปลุกเร้า
ความสานึกต่อคุณค่า และให้สติที่สถาปนิกหรือผู้มีส่วนกาหนดแบบแผนบริเวณ รวมทั้งตัวอาคาร
เพื่อความงาม และความสงบสงัด คือ บทความเรื่องอปริหานิยธรรมในสถาปัตยกรรม
อปริหานยิ ธรรม หมายถึง ธรรมะหมวดที่ ผปู้ ฏิบัตธิ รรมนี้ ย่อมมแี ต่ความเจริญอย่างเดยี ว หาความ
เส่ือมมิได้เลย การเขียนบทความชิ้นนี้ อาจารย์แสงอรุณใช้สมณฉายาเมื่อครั้งอุปสมบทว่า อดีต
สุภา กโร ภิกขุ สานักวัดบวรนิเวศวิหาร งานเขียนท่ีอยู่ในกลุ่มเน้ือหาของเร่ืองเดียวกันยังมีอีกสอง
บทที่น่าสนใจด้วย คือ เรื่องการอยู่ในบ้านแบบไทยเดิมกับอยู่บ้านไทย อาจารย์แสงอรุณ อธิบาย
เหตุผลของสถาปัตยกรรมไทยว่า เหตุใดท่านแต่ก่อนจึงออกแบบเช่นน้ัน อาทิ บ้านหลังคาทรงสูง
หรือเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมไทย ที่เป็นบ้านพักอาศัย ซ่ึงใช้พันธ์ุไม้ล้อมตัวอาคาร
มีสวนสมุนไพร สวนครวั นับเป็นสถาปัตยกรรมแบบอทุ ยานนคร เพ่อื ความกลมกลืน และประหยัด
การเสนอข้อคิดระหว่างบรรทัดของอาจารย์แสงอรุณ ในเรื่องหลังมีความตอนหน่ึงว่า ความสงบ
ระงับ ควรจะเปน็ เป้าหมายในการดารงชวี ติ ของเรา และด้วยวิธนี ้ีเท่านนั้ ที่ความเป็นมนษุ ยข์ องเรา
จะพัฒนาสงู ขนึ้
90
พระราชพธิ ีเดือนสบิ สอง
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. (2454).
พระราชพธิ ีสิบสองเดือน. (ม.ป.ท.): (ม.ป.ท.).
สาระสาคัญ : พระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน แสดงถึงภูมิปัญญาไทย และ พระปรีชา
ญาณ ในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หวั ทท่ี รงรอบรตู้ ่อขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าแก่
พระบรมราชาธิบายช่วงน้ี นอกจากเป็นการส่งเสริมภาษา และหนังสือไทย จนเกิดวรรณคดีเรื่อง
หน่ึงแล้ว ยังเป็นประหน่ึงสะพานเชื่อมความรู้เก่าใหม่ท่ีมีที่มา และวิวัฒนาการทั้งก่อให้เกิด
สัมมาทิฐิ ในการจาแนกคติพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา กับพิธีกรรม ทางศาสนาพราหมณ์ท่ีไทย
รับมาปะปนระคนกันในพิธีหนึ่ง ๆ ซึ่งเลือกรับ และผ่อนปรนโดยไม่ขัดต่อหลักการสาคัญ ของ
พระพทุ ธศาสนา ขณะเดยี วกนั ได้สรา้ งความสานกึ รว่ มกนั ของ มูร่ าษฎร โดยเฉพาะประเพณีอันนับ
เนื่องจาก การผลิตหรือเกษตรกรรม เป็นการแสดงความสานึกของชนช้ันนา พึงมีต่อราษฎรคุณคา่
ของพระราชนพิ นธ์พระราชพิธีสิบสองเดอื น เป็นสิ่งท่ีผ้อู ่านหรอื ผู้ศึกษาจะได้ขยายพรมแดนความรู้
ระหว่างเก่าใหม่ของตนให้มีพ้ืนภูมิไพศาลขึ้นยังจะได้เห็นโฉมหน้าวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมที่คน
ไทยดั้งเดมิ มีวิธคี ิด และรับมาปฏิบัติ โดยการปรับเป็นลกั ษณะประจาชาตไิ ทยได้อย่างไร ยงิ่ กวา่ นั้น
การเลือกรับใด ๆ ท่านแต่ก่อนรับโดยคานึงถึงจุดยืนสาคัญ คือ ต้องไม่เสียหลักการทาง
พระพุทธศาสนาพระราชพิธีสิบสองเดือนโดยเน้ือหาน้ันทรงมีพระบรมราชาธิบาย เร่ิมต้ังแต่เดือน
สบิ สองเปน็ ตน้ ไป และขาดไปเดือนหนง่ึ คอื เดอื นท่สี บิ เอ็ด แตล่ ะเดือนนอกจากมพี ระราชพิธีอย่าง
หนงึ่ อยา่ งใดแล้ว อาจจะมีพิธีอน่ื ๆ ในเดอื นน้นั ดว้ ย ภาษาทที่ รงใช้อาจจะมบี างคา และบางสานวน
ที่ยากสาหรับคนรุ่นปัจจุบันอยู่บ้าง หากไม่เหลือวิสัยจะศึกษาให้เกิดความเข้าใจ แต่โดยรวมนั้น
เปน็ พระราชนพิ นธท์ ่ีควรศึกษาเพอ่ื รับความรู้ เช่น ความร้เู ป็นขนบธรรมเนียมประเพณี พระราชพิธี
เปน็ ต้น เปน็ การมุง่ ต่อความรูด้ ังกล่าวโดยตรงอย่างหนง่ึ
91
สาสน์ สมเด็จ
สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ. สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานวุ ัดตวิ งศ์. (2507). สาสน์ สมเดจ็ . พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2.
กรงุ เทพฯ: ครุ ุสภา.
สาระสาคัญ : หนังสือชุดสาส์นสมเด็จ เป็นหนังสือท่ีรวบรวมพระหัตถเลขาส่วนพระองค์
ของเจ้านายท่ีเป็นปราชญ์ 2 ท่าน อันมีไป-มาระหว่างกัน เพ่ือแลกเปล่ียนความรู้ความคิด
จากเร่ืองราวที่ปรากฏจึงมีลักษณะรอบรู้ หลากหลาย ถึงพร้อมด้วยอัจฉริยภาพมีลักษณะ
เป็นสหวทิ ยาการ เปน็ คณุ ประโยชนอ์ ย่างยิ่ง แกก่ ารรจู้ กั เรื่องไทยศึกษาทั้งประวัตศิ าสตรโ์ บราณคดี
ศาสนา ศิลปกรรม วรรณคดี และอักษรศาสตร์ ฯลฯ มีคุณค่าเป็นหนังสืออ้างอิงสาคัญเล่มหนึ่ง
ผู้อ่านสามารถโดยเสด็จในทางความรู้และอ่านอย่างจาเริญใจได้ เพราะลีลาพระนิพนธ์ เป็นการ
เขียนจดหมาย มิใช่เพ่ือแต่งตาราคุณค่าสาคัญของสาส์นสมเด็จเจ้านายสองพระองค์ ต่างทรง
เป็นกาลังสาคัญของบ้านเมือง มาต้ังแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จนกระท่ังเปลย่ี นแปลงการปกครอง 2475 แล้ว สมเด็จฯกรมพระยาดารงราชานภุ าพ จึงเสด็จไป
ประทับที่ปีนัง ขณะสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ยังทรงดารงตาแหน่ง ผู้สาเร็จ
ราชการแผ่นดิน ในช่วงหลังวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
เจ้าอยู่หวั เสด็จไปประทบั ต่างประเทศ โดยพระสถานะที่มโี อกาสจะรู้ และสามารถศึกษาความรู้ได้
โดยความสนพระทัย และพระปรีชาในทางส่วนพระองค์ เป็นปัจจัยสาคัญต่อการมีส่วนร่วมทาง
สงั คม ทางวิชาการ อันเปน็ ทีม่ าแห่งความรู้ และการที่ทรงแลกเปล่ียนความรู้ เมื่อสองพระองค์ล่วง
เข้าพระปจั ฉมิ วัย แสดงถึงความถงึ พร้อมทางความคดิ ความสุขุมคมั ภีรภาพ รสนยิ ม และพระนิสัย
ใฝ่ดี อันควรจูงใจคนให้โดยเสด็จ แม้โอกาสของแต่ละคน และความเป็นไปได้จะทาให้ดีเสมอ
เหมือน นี่คือคุณค่าในการนาทางความคิด และสุนทรียภาพทางปัญญาประการหนึ่ง มิไยจะต้อง
กล่าววา่ สาสน์ สมเด็จมีความเปน็ เอกสารสาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ และดารงความสาคญั ทางภาษา
และวรรณกรรมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เฉพาะฉบับท่ียังไม่เคยพิมพ์ เม่ือทางทายาทของสมเด็จฯ
กรุณาใหจ้ ดั พมิ พ์ กเ็ ปน็ เลม่ ทร่ี วมพระหตั ถเลขาในปี 2475ไว้เกือบทง้ั หมด นับเปน็ การคานึงถึงมิติ
เวลาการนาเสนอ ด้วยความรอบคอบ ในกาลเทศะทน่ี ่าศกึ ษาอกี อย่างหน่ึง
92
๓๐ ชาตใิ นเชียงราย
บญุ ชว่ ย ศรีสวัสด์.ิ (2493). 30 ชาติในเชยี งราย. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : ด้วยความห่วงใย ในขนบประเพณีไทย ประกอบกับวิญญาณนักศึกษา
ที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในตัวเขา บุญช่วยเดินทางด้วยรถยนต์ ล้อ เกวียน ถ่อเรือ และเดินเท้า
เดินฝ่าทงุ่ นาป่าเขากับท้ังข้ามดอยสงู ดอยแล้วดอยเล่า ซึ่งเป็นเขตตดิ ต่อกับเขตชานสเตท
ของพม่ามณฑลยูนานของจีน และอินโดจีน เพื่อบันทึกชีวิตสังคมเศรษฐกิจ และ
วัฒนธรรมของชนชาติมากกว่า30 ชนชาติในจังหวัดเชียงราย30 ชาติในเชียงราย
บันทึกเร่ืองราวชีวิต ของชนชาติต่าง ๆ ที่อยู่ในเชียงรายและบริเวณรอยต่อเมื่อ 50 ปี
ก่อนได้แก่ ไทยใหญ่ เขิน ต่องสู้ อีก้อ ลื้อ ฮ่อ ลัวะ กระเหร่ียงหรือยาง แม้ว ข่า เย้า แข่
มูเซอ เป็นต้นการบันทึกนี้ครอบคลุม เรื่องการตั้งบ้านเรือน ชีวิตผู้คน ภาษา และ
ความคิดความเชื่อ อันได้แก่ นิสัยใจคออาหารการกิน ประเพณี อันครอบคลุมตั้งแต่
การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปจนถึงประเพณี ท่ีเกี่ยวกับการผลิตนอกจากน้ี ยังครอบคลุมไป
ถึงพิธีกรรม ศิลปะ และบทเพลง เป็นต้นบุญช่วยเน้นเป็นพิเศษ ท่ีจะกล่าวถึงการนับถือ
ผี และการจัดความสัมพันธ์ทางเพศ ของชนชาติต่าง ๆ น่ีก็ทาให้งานเขาดูน่าสนใจ
มากย่ิงขึ้น สาหรับผู้อ่านชาวบ้านทั่วไป เพราะเร่ืองเพศ และเรื่องผีเป็นเร่ืองลึกลับ
มักเป็นของต้องใจใคร่รู้สาหรับผู้คน อย่างเช่นเพลงมิดะ ซึ่ง จรัล มโนเพชร เป็นผู้นามา
ร้อง และเป็นเร่อื งราวแปลกหูของชาวกรุง บอกเล่าประเพณีของหญิงชาวอีก้อผทู้ าหน้าท่ี
สอนกามวิชาแก่ชายหนุ่มน้ัน อันท่ีจริงเป็นข้อคน้ พบ ท่ีบุญช่วยรายงานไว้หนงั สือของเขา
นานมาแล้วนอกจากเร่ืองราวของ มิดะ แล้ว บุญช่วยยังกล่าวถึงบทบาทของ คะจีราดะ
ซึ่งเป็นชายอีก้อผู้ถูกเลือกให้สอนกามวิชาแก่หญิงสาวแรกรุ่น ในทานองกลับกันอีกด้วย
ภาพของชนชาติต่าง ๆ ในเชียงราย ที่ปรากฏแก่เราจากการอ่าน เป็นภาพของกลุ่ม
ชนชาติต่าง ๆ ผู้ซึ่งอีกความสงบ และขยันขันแข็ง บุคลิกภาพการแต่งกาย ท่วงทีลีลา
มีขอ้ แตกต่างกนั แมว้ า่ จะเปน็ ชาวเอเชียผวิ เหลอื งเหมอื นๆ กนั ทุก ๆ ส่ิงทส่ี รา้ งขึ้นมา
93
สาหรับแต่ละชนชาติ ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางผังหมู่บ้าน การออกแบบบ้านเรือน หอผี
ห้ิงผี ประตูของหมู่บ้านรูปสลักท่ีวางอยู่เหนือประตู วิธีแต่งกาย การสักหมึก ด้ายขาว
ที่มัดอยู่ท่ีข้อมือ สีของเสื้อผ้าท่ีสวมใส่ เพลงที่เลือกมาร้องท้ังหมดล้วนแต่มีเหตุผล หรือ
ปรัชญาอยูเ่ บื้องหลัง ความพยายามที่จะอธบิ ายทุกสิ่ง ทกุ ปรากฏการณท์ าใหง้ านของบุญ
ช่วยน่าต่ืนเต้นมากเท่า ๆ กับท่ีมันได้วางรากฐานความเข้าใจเก่ียวกับชนชาติ
เพ่ือการศึกษาในรุ่นต่อ ๆ มาเราได้เรียนรู้จาก 30 ชนชาติในเชียงราย ชนเผ่า และ
ชนชาติซึ่งกระจัดกระจายอยู่ตอนเหนือของไทย มีลักษณะเด่น ๆ ที่คล้ายกันคือ
1) การตั้งบ้านเรือนและชุมชน รวมทั้งพ้ืนท่ีกสิกรรม มีการวางผังท่ีแน่นอนตายตัว โดย
มีปรัชญาเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และปรัชญาเรื่องความเป็นจริง แห่งเพศเป็น
พื้นฐาน ไม่ใช่สังคมที่สร้างกันขึ้นมาอย่างลวก ๆ และป่าเถ่ือน 2) สังคมชนเผ่าไม่มี
ความสัมพันธ์ลึกซ้ึงกับศาสนาพุทธ และความเช่ืออื่นใด นอกจากการนับถือผีและ
ธรรมชาติ 3) ระบบความเช่ือเรื่องผีชนเผ่า ท่ีจัดตั้งข้ึน สัมพันธ์กับความม่ันคง และ
การสืบทอดระบบสายเลือด อานาจเหนือท่ีดินและเหนือกลุ่มชน รวมท้ังความสัมพันธ์
ระหว่างคนธรรมชาตินอกจากนี้งานของบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ ได้บุกเบิกความรู้ให้ร่องรอย
ข้อมูลหลายด้าน ท่ีมีค่าสาหรับศึกษาวิวัฒนาการของสังคมเช่น ในเร่ือง ระบบกรรมสิทธ์ิ
ที่มาของแรงงาน การจัดการแรงงานของครอบครัวและชุมชน ตลอดจนการยืดหยุ่นกฎ
การแบง่ แยกจดั สรรแรงงาน เป็นตน้
94
เทยี นวรรณ
สงบ สุริยินทร์. (2495). เทียนวรรณ. กรุงเทพฯ: รวมสาส์น.
สาระสาคัญ : น่ีเป็นหนังสือชีวิต และงานของเทียนวรรณ หรือ ต, ว, ส, วรรณาโภ (2385-
2458) ปัญญาชน คนสาคัญในสมัยรัชกาลที่ 5 ผู้เรียกร้องระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและ
การปฏิรูปทางด้านสังคมอีกหลายข้อ จนเป็นสาเหตุหนึ่งท่ีทาให้ต้องติดคุกถึง 17 ปีความจริงเรา
อยากให้ผู้อ่าน ได้กลับไปอ่านงานเขียนของเทียนวรรณโดยตรงแต่เน่ืองจากงานของเขาเป็นงาน
ช้นิ ส้นั ๆ ที่ตีพิมพอ์ ยู่ในนิตยสารรายคาบ(ตุลวิภาคพจนกจิ และศิริพจนกจิ ) ไม่ได้มีการคดั เลือกเพื่อ
พิมพ์เป็นเล่ม เราจึงคิดว่าน่าจะเลือกแนะนาหนังสือเล่มนี้ ท่ีพิมพ์เป็นเล่มในปี พ.ศ.2495
เพื่อเป็นส่ือให้ผู้อ่านได้รู้จักความคิด และผลงานของเทียนวรรณ ปัญญาชนนักปฏิรูปทางการเมือง
คนแรกของไทยหนังสือเล่มน้ี เขียนขึ้นในราวปพี .ศ.2494 โดยสงบ สุริยินทร์ นักหนังสือพมิ พ์และ
นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และการเมือง มีนักคิดนักเขียนอาวุโสในสมัยนั้นเขียนคานา
ให้หนังสือเล่มนี้ถึง 5 คน คือ หลวงวิจิตรวาทการ, กุหลาบ สายประดิษฐ, ส.ธรรมยศ.,
เปลื้อง ณ นคร (ตารา ณ เมืองใต้)มาลัย ชูพินิจ สาหรับ ส.ธรรมยศ และเปล้ือง ณ นคร เป็นผู้
ทีเ่ คยคน้ คว้า และเขียนบทความถงึ ชีวิต และงานของเทียนวรรณมากอ่ นแต่คนที่ค้นคว้า และ เขยี น
ถึงชีวิต และงานของเทียนวรรณขนาดพิมพ์เปน็ เล่ม เป็นคนแรก คือ สงบ สุริยินทร์เทียนวรรณเรมิ่
เขียนบทความแสดงความคิดเห็น ให้ปรับปรุงราชการงานเมือง ตอนท่ีเขาอายุ 30 ปี โดย
มีข้อเสนอท่ีก้าวหน้าหลายข้อเช่น ให้เลิกทาส ให้เลิกการพนันบ่อนเบ้ีย ให้ปราบปราบการทุจริต
ฉ้อฉล และความไมเ่ ปน็ ธรรม ให้มสี ภาผู้แทน บทความที่เขาเขยี นบางครง้ั ไมม่ หี นังสือพมิ พ์ไหน ลง
ให้ เขาก็จะยกให้ผู้มีสตางค์พิมพ์เป็นหนังสือแจกงานศพบ้าง หรือพิมพ์แจกเองบ้าง ในช่วงท่ีเขาไป
อยู่จังหวัดตราด และจันทบุรีกับภรรยาคนแรก เขาได้ศึกษากฎหมายด้วยตัวเองอย่างจริงจัง และ
กลบั มาอย่กู รงุ เทพตอนอายุ 33 ปีและทางานเปน็ ท่ีปรึกษากฎหมาย รวมทั้งศึกษาด้วยตนเอง อา่ น
หนังสือท้ังภาษาไทย และอังกฤษอย่างต่อเน่ืองเขาเขียนท้ังบทความ, บันทึกประจาวัน,
กาพย์กลอน รวมทั้งไปพูดแสดงความคิดเห็นท้ังตามวังเจ้านาย และตามวัดเขาเป็นคนแรกๆ
ทเ่ี ห็นความสาคัญของผู้หญิงว่า รฐั บาลควรจะใหก้ ารศึกษาทดั เทยี มกบั ชาย เขาทางานเปน็