95
ทนายความแบบนักอุดมคติช่วยให้คนจนได้รับความยุติธรรมเทียนวรรณน้ัน เขียนบทความด้วย
การใช้ถ้อยคาง่ายชัดเจน ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างเช่นที่เขาเขียนว่า โรคของแผ่นดินหรือโรคของ
ประเทศราชการบ้านเมือง คือ เจ้านายเสนาบดี อธิบดี พนักงานทุกระดับประพฤติผิด
พระราชกาหนดกฎหมาย ใช้อานาจอันไม่ชอบธรรม ทุจริตในใจตน มิได้เมตตาจิตแก่ผู้น้อย และ
เพ่ือนมนุษย์มิได้มีหิริโอตตับปะธรรม เกรงบาปหรือกลัวกรรม มุ่งแต่จะหาลาภยศใส่ตน
ในทางทุจริต กลับความจริงให้เป็นเท็จกลับความเท็จให้เป็นจริงขณะเดียวกันเทียนวรรณก็
วิเคราะห์ โรคของสามัญชน อย่างวิพากษ์วิจารณ์ตรงไปตรงมาเช่นกัน โดยเขาเขียนว่าฝูงราษฎร
เป็นคนโง่เขลา ปราศจากสติปัญญาวิชาความรู้ มีสันดานหยาบช้าสามาน ประกอบการทุจริตช่ัว
ร้ายต่าง ๆ เต็มไปด้วยการเล่นพะนัน อันไม่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ศาสนาและบ้านเมือง
ของตน
96
กาเลหม่านไต
บรรจบ พันธุเมธา. (2504). กาเลหมา่ นไต. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : กาเลหม่านไต คือ หนังสือแนวสารคดีเชิงวิชาการ เขียนโดย ดร.บรรจบ พันธุเมธา
นักอักษรศาสตร์ ผู้เช่ียวชาญด้านภาษาศาสตร์ โดยเฉพาะภาษาไทถ่ินต่าง ๆ กาเลหม่านไต
เป็นภาษาไตคาต่ีแปลตรงตัวว่า ไปเท่ียวบ้านไท เขียนขึ้นโดยใช้รูปแบบบันทึกการเดินทาง
ประจาวันในวาระท่ีอาจารย์บรรจบ พันธุเมธา เดินทางไปค้นคว้า เร่ืองของคนไทนอกประเทศ
ในแคว้นอัสสัม ประเทศอินเดีย ในปี 2498 จุดมุ่งหมายด้ังเดิมของการเดินทางคร้ังนี้ เพ่ือศึกษา
และสอบเทยี บภาษาอาหม โดยเฉพาะการออกเสยี งควบกล้าว่า มีมากกว่าภาษาไทย ที่ใชพ้ ดู กันใน
ประเทศไทยปัจจุบันจริงหรือไมอ่ ย่างไร การต้งั จุดมงุ่ หมายเฉพาะเจาะจงไว้เช่นน้ี เป็นวธิ กี ารศึกษา
ทางภาษาศาสตร์ เป็นท่ีเข้าใจได้ว่า หากสามารถศึกษาค้นคว้าได้บรรลุวัตถุประสงค์ผล
ของการศึกษา ย่อมนาไปสู่ความเข้าใจต่อความเป็นมาดั้งเดิมของชนชาติไทได้ดีข้ึนหนังสือบันทึก
การเดินทาง เท่ียวบ้านไท ในรัฐอัสสัมเล่มนี้ มิใช่หนังสือตาราทางภาษา แต่ก็มีการสอดแทรก
ถ้อยคาภาษาไท และข้อสังเกตของผู้บันทึกการเดินทาง ประกอบอย่างอุดมสมบูรณ์ โดยเหตุ
ท่ีแต่ละถ้อยคาสานวน ได้รับการถ่ายทอดไว้ ในบริบททางสังคมวัฒนธรรมไทท่ีเป็นจริง ในทาง
กลบั กนั จึงทาใหห้ นงั สือเล่มนี้เป็นตาราทางภาษาไทถ่นิ ทม่ี ชี ีวติ ชีวา น่าอ่าน และอา่ นเข้าใจงา่ ยท่ีสุด
เล่มหนึ่ง เมื่อเทียบกับตาราทางภาษาศาสตร์ภาษาถิ่นที่ใช้ศาสตร์เข้าจับอย่างเป็นระบบ
แต่แข็งกระด้างไม่ชวนอ่าน หนังสือเล่มน้ี จึงมีคุณค่าทางภาษาศาสตร์ โดยเฉพาะภาษาถ่ินต่าง ๆ
ของคนไทนอกประเทศ ท่ีประเมินค่ามิได้กาเลหม่านไต แม้จะเป็นหนังสือบันทึกประสบการณ์
ในประเทศอินเดีย แต่เป็นท้องถิ่นชนบทไท บรรยากาศตลอดท้ังเล่ม จึงอวลกล่ิ นอาย
วัฒนธรรมไทย ที่เราต่างรู้จักคุ้นเคย และส่วนใหญ่ก็ยังคงยึดถือปฏิบัติ จนถือเป็นเอกลักษณ์
แบบไทย ๆ เช่น ธรรมเนียมใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับขับสู้อาจารย์บรรจบเป็นคนช่างสังเกต
จดจา และบันทึกแม้ส่ิงที่เป็นรายละเอียดที่ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่สลักสาคัญอะไรนัก เช่น เมื่อกิน
ข้าวใหม่หอมหวาน ค่อนข้างเหนียว ก็เล่าให้ชาวอาหมฟังถึงข้าวเหนียวบ้านเรา ก็เลยได้ความรู้
เพ่ิมเติมว่า ที่น่ันก็มีข้าวเหนียวกินอย่างบ้านเราเช่นกัน เรียกช่ือในภาษาอัสสัมว่า ข้าวบอราจา
วาล” ในทันทีนั้น ท่านก็สามารถเช่ือมโยงชื่อเรียกข้าวเหนียวนี้ กับคาอธิบายวิธีก่อตึกของชาว
อาหมไดว้ า่ เขายาอิฐให้ตดิ กันแน่นดว้ ยน้าบอราจาวาลนี้ แทจ้ ริงกค็ ือน้าขา้ วเหนียวนั่นเอง ความ
รบั รู้ทเ่ี ชอ่ื มโยงอย่างมบี รู ณาการนี้ ใหค้ วามรู้อยา่ งอเนกอนนั ต์ ให้กับวงการไทยศึกษาใน
97
ระยะต่อมาได้เป็นอย่างดี เพราะท่านได้เจาะพบถึงทั้งวัฒนธรรมข้าวของสังคมชนชาติไท
ขณะเดียวกันก็ให้ร่องรอยของภูมิปัญญาไท ที่ได้มาการส่ังสมสืบทอดมา ดังท่ีนักวิชาการรุ่นหลังได้
พบว่า บรรดาเจดียโ์ บราณรุ่นแรก ๆ ในแผ่นดนิ ไทยปจั จุบัน มแี กลบขา้ วเหนียวผสมอยู่ในอิฐก่อฐาน
เจดีย์ การคน้ พบดังกล่าวถอื ว่า เปน็ องค์ความรู้ใหม่ทางดา้ นโบราณคดไี ทยการพรรณนาถึงหมู่บ้าน
คนไทในอัสสัมใน กาเลหม่านไต ยังให้ภาพท่ีชัดเจนของลักษณะชุมชนไท ที่ตั้งรายเรียงกันอยู่ริม
แม่น้า มีการทานากันเป็นส่วนใหญ่ บ้านไท และวัดไท เป็นองค์ประกอบของโครงสร้างชุมชน ท่ีไม่
อาจแยกขาดจากกันได้เรือนไทมีใต้ถนุ สูง มีนอกชาน ปลูกพืชผักสวนครวั สาหรับผู้สนใจภาษา กจ็ ะ
ได้ความรู้ความเพลิดเพลิน จากการเปรียบเทียบศัพท์สานวนไท-ไทย เช่น ท่ีเรารู้จักสานวนไทย
“เข้าวัดเข้าวา สานวนเข้าวา หมายถึง ทาบุญเข้าพรรษา และบวชวาเดียว หมายถึง บวชพรรษา
เดียว นับว่าอ่านแล้วได้ความรู้เร่ืองภาษา และมิติท่ีลึกซึ้งทางความหมาย ท่ีคนไทยปัจจุบันอาจลืม
เลือนกันไปแล้ว
98
นิทานชาวไร่
นาวาเอก สวสั ด์ิ จนั ทนี. (2518). นทิ านชาวไร่. กรงุ เทพฯ: คุรุสภา.
สาระสาคัญ : ในบรรดาหนังสือสารคดี ท่ีเป็นเกร็ดความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์
ชีวประวัติบุคคล สถานท่ี ประเพณี วิถีชีวิตคนไทยทั้งขุนนาง เจ้านายและสิ่งละอัน
พันละน้อย เบ้ืองหลังเหตุการณ์สาคัญในอดีต โดยเฉพาะเร่ืองส่วนตัว ท่ีไม่มีบันทึกไว้
ในประวัติศาสตร์ทั่วไปนั้น อาจกล่าวได้ว่า นิทานชาวไร่ของนาวาเอก สวัสดิ์ จันทนี
เป็นหนังสือ ท่ีอุดมด้วยเกร็ดความรู้มากที่สุดเล่มหน่ึง ทั้งยังอ่านสนุกน่าติดตามอีกด้วย
เกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ จะสะท้อนให้เห็นบางมุมของชีวิตบุคคลสาคัญ หรือเสริมให้
เหตุการณ์น้ัน มีชีวิตชีวา มีความหลากหลาย และฉายภาพความเป็นมนุษย์ออกมา
ได้อย่างท่ีบุคคลน้ันพึงเป็น ไม่เสกสรรปั้นแต่ง จนเหนือจริงเหนือโลกย์ ดังเช่น
นักประวัติศาสตร์สมัยก่อนได้บันทึกไว้เนื้อหาสาระของเกร็ดความรู้ ในหนังสือนิทาน
ชาวไร่ พอจะจาแนกได้กว้าง ๆ ดังนี้ 1. เกร็ดประวัติศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ มีท้ัง
เหตุการณ์ที่เกิดข้ึนในสมัยอยุธยา ธนบุรีกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น และยุคท่ีเมืองไทย
เข้าสู่การพัฒนาประเทศแบบตะวันตก ตั้งแต่สมัยรัชกาลท่ี 4 กระท่ังถึง พ.ศ.2509
จุดเด่นของเกร็ดประวัติศาสตร์ในหนังสือเล่มน้ี ได้แก่ เร่ืองในร้ัวในวัง พระมหากษัตริย์
รัชทายาท เจ้านาย และขุนนางซึ่งเร่ืองที่คนสนใจอ่าน มักจะเก่ียวกับเบื้องหลังชีวิต
ปัญหาผู้หญิง ความรัก พฤติกรรมแปลก ๆ หรือปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ อันยาก
จะหาอ่านได้ในประวัติศาสตร์ท่ัวไป 2. เกร็ดชีวประวัติขุนนาง ความเป็นมาของตระกูล
ขุนนาง ความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางคนสาคัญ กับพระมหากษัตริย์ และเจ้านาย
ลักษณะเฉพาะหรือพฤติกรรมแปลก ๆ ของขุนนางในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ความขัดแยังระหว่างขุนนางกับขุนนาง หรือกับเจ้านาย 3. เกร็ดประวัติสถานท่ี สิ่งของ
และการรับเอาเทคโนโลยเี ข้ามา จะพบเห็นเกร่อไปหมด ผู้เขยี นจะนามาแทรกกล่าวถงึ
99
อย่างส้ัน ๆ ซึ่งเป็นความรู้ท่ีคนไทยรุ่นหลัง ไม่อาจจะหาอ่านได้ง่ายนัก เช่น เร่ืองบ่อน
ในกรุงเทพฯ และวิธีเล่นการพนัน การกาเนิดบ้านแบบฝร่ัง ในกรุงเทพฯ ยุคแรก
การไฟฟ้า การสร้างตึกกระทรวงกลาโหม การสักแบบไทย การหล่อพระพุทธรูป ประวัติ
การแข่งม้าการประหารชีวิตแบบเก่า และแบบใหม่ เรื่องชื่อสถานท่ีถนนหนทางในกรุง
วิธีทุบหน่อเน้ือเชื้อกษัตริย์ ด้วยท่อนจันทน์มิให้เลือดตกดิน รวมถึงประเพณีวัฒนธรรม
อีกมากมาย ฯลฯ 4. เกร็ดความรู้เก่ียวกับเหตุการณ์สาคัญ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ไม่ว่า
จะเป็นผีบุญในภาคอีสาน กบฎเง้ียวในภาคเหนือ อ้ังย่ีในกรุงเทพฯ กบฎพวกเก็กเหม็ง
เกรด็ เบื้องหลงั การเปล่ยี นแปลงการปกครอง 2475 การจบั ตัวจอมพล ป. พิบลู สงคราม
หรอื การปฏวิ ัติและกบฏในเมืองไทย รวมไปถงึ การขัดแยง้ ทางการเมอื ง ตั้งแตส่ มยั โบราณ
จนถึงยคุ การเมอื งสมัยใหม่
100
ภารตวิทยา
เรอื งอไุ ร กุศลาสัย. (2510). ภารตวิทยา. กรงุ เทพฯ: ครุ สุ ภา.
บรรณานิทศั น์ : ภารตวิทยา คอื วิทยาเกย่ี วกบั ภารตประเทศ หรือประเทศอนิ เดยี น้ันเอง
การศึกษาค้นคว้า และเรียบเรียงเร่ืองภารตวิทยานี้ ผู้เขียนมิได้นาเสนอเฉพาะความรูฝ้ า่ ย
ไทย หรือเม่ือไทยรุ่นก่อนรับมาจากแขกแล้ว เราปรับหรือปรุงแต่งอย่างไร จนกลืน
กลายเป็นไทยดังเม่อื ขยายความวา่ ภารตวิทยาคอื อะไร ภารตวิทยาในทศั นะของปราชญ์
แห่งอัสดงคตประเทศมีว่ากระไร จึงประสานความรู้น้ี โดยแสดงปูมหลัง ภารตวิทยา
ในประเทศไทย เพื่อความสมบูรณ์รอบด้านจากน้ันจึงจัดลาดับเร่ือง ตามเน้ือหาท่ีควร
ศึกษาในภาพรวม แล้วค่อยแยกย่อยเฉพาะบทเฉพาะเรื่อง คือ อินเดีย-จากอดีตถึง
ปัจจุบัน เป็นสังเขปประวัติศาสตร์อินเดียจากโบราณ ถึงอังกฤษจายอมกับการต่อสู้ของ
ประชาชนอินเดียท่ีเรียกร้องเอกราช แล้วเกิดการแบ่งแยกกันภายในประเทศ จนเกิด
บังคลาเทศ ที่มิใช่ดินแดนของอินเดียอีกต่อไป ศาสนาในอินเดีย กล่าวถึงสถิติประชากร
จากสามะโนประชากร ประเทศสาธารณรัฐอินเดีย เม่ือพ.ศ. 2534 มีจานวนประชากร
จานวนเท่าใด และจาแนกออกตามศาสนาท่ีนับถือเท่าใด ต่อจากน้ันจึงกล่าวถึงศาสนา
ต่าง ๆ ซ่ึงกาเนิดหรือเข้าสู่อินเดียว่ามีคติความเช่ืออย่างไร ดังเริ่มจากศาสนาฮินดู,
ศาสนาอิสลาม, ศาสนาคริสต์, ศาสนาสิกข์, ศาสนาเชน, ศาสนาโซโรอาสตร์,ศาสนายดู าย
และพทุ ธวรรณคดอี นิ เดีย ผ้เู ขียนนาเสนอโดย “แยกออกเปน็ ตอน ๆ ตามอุบัตกิ ารณ์ทาง
ประวัติศาสตร์ ตามศาสนา ความเช่ือถือ ตามกลุ่มของภาษา และตามลาดับพัฒนาการ
ของวรรณคดี มีทั้งหมด 7 ตอน เร่ิมจากคัมภีร์พระเวท และคัมภีร์อุปนิษัท ถึงวรรณคดี
อินเดียในยุคปัจจุบันหนังสือภารตวิทยาเป็นผลึกทางปัญญาของท่านผู้เขียนท่ีรวบรวม
เรียบเรยี ง แม้จะใช้เอกสารตา่ งประเทศจานวนมากในการคน้ คว้า หากการเขยี นนาเสนอ
ได้ใช้วิจารณญาณ ประสบการณ์และความสามารถที่เป็นทุนเดิม การเรียงร้อย
ด้วยภาษาไทยท่ีอ่านงา่ ยกระชับ ทาให้เรื่องทย่ี าก โดยเฉพาะข้อความคดิ ทางปรัชญา
101
พลอยเข้าใจง่ายข้ึนประโยชน์ที่ได้รับจากหนังสือนี้ ไม่เพียงผู้ศึกษาจะเข้าใจอารยธรรม
และประวัติศาสตร์อินเดียดีขึ้น ความรู้จากหนังสือนี้ ยังเก้ือกูลต่อความรู้ความคิด และ
ความเข้าใจต่อวัฒนธรรมของเราโดยเฉพาะอย่างต่อภาษา และวรรณคดี รวมท้ัง
พระพุทธศาสนาที่เข้าใจมากข้ึน นอกจากศิลปะการเขียนแสดงความรู้แล้วบรรดา
ภาพประกอบยังเปน็ สอ่ื ทสี่ าคัญ ทช่ี ่วยให้หนงั สือมอี งค์รวมทางคณุ ภาพสมบรู ณข์ ึ้น
102
ฟ้นื ความหลัง
ธน ศาสตราจารย์พิเศษ พระยาอนมุ านราชธน. (2515). ฟ้ืนความหลัง. กรุงเทพฯ:
โรงพมิ พศ์ ิวพร.
สาระสาคัญ : ฟื้นความหลงั เป็นหนังสืออัตชีวประวัติของนักประพนั ธ์สามัญชน ผู้รอบรู้
ด้านภาษาศิลปวรรณคดี มานุษยวิทยา และวัฒนธรรม ผลงานเขียนของท่าน มีส่วน
กระตุ้นความสนใจอีกทั้งได้รับการอ้างอิง ในงานศึกษาวิจัยของผู้ศึกษาค้นคว้า
ในสาขาวิชา ที่ท่านพระยาอนุมานราชธน หรือเสถียรโกเศศเคยแสดงผลงานไว้เสมอ
แม้ฟ้ืนความหลังจะเป็นหนังสือชีวประวัติ กระนั้น สาระส่วนใหญ่ กลับเป็นการบันทึก
ความรู้ในประสบการณ์ชีวิตท่ีเด่นกว่า ขณะประวัติชีวิตดูประหน่ึงฉากประกอบ ดังน้ัน
จะจาแนกประเภทหนังสือนี้ ว่าเป็นประวัติศาสตร์สังคมอีกรูปแบบหน่ึงก็ได้ความเจริญ
ของมนุษยชาติน้ัน มีปัจจัยสาคัญประการหนึ่ง คือ ความสามารถพัฒนาตน จากการโอน
ผลความรู้ในอดีตด้วยส่วนหนึ่ง ไม่ต้องเสียเวลาแสวงหาประสบการณ์ตรง หากรู้จัก
ประสบการณ์ทางอ้อมของผู้อื่น เก็บรับบทเรียน และนามาสู่การเลือกใช้ ปรับปรน
ใหเ้ หมาะแกต่ น ยคุ สมัยของตนโดยเหมาะสม เพ่ือพฒั นาสู่ความยงั่ ยนื ต่อไป คนแตล่ ะคน
มีเร่ืองราวในชีวิตของคนเป็นบทเรียน อย่างน้อยก็เหมาะสาหรับอบรมบุตรหลาน
ในตระกูล เพียงแต่ความสามารถจะถ่ายทอดสู่สาธารณะ และความน่าสนใจอาจจะ
มีไม่เสมอกัน สาหรับบุคคลสาคัญ เช่น พระอนุมานราชธน ประสบการณ์ย่อมน่าสนใจ
มากขึ้นเป็นทวีคูณ ผนวกความสามารถทางการเขียนเผยแพร่ที่ชวนอ่าน จึงเป็นผลงาน
ที่ทรงคุณค่า คติไทยดั้งเดิมไม่นิยมเล่าเรื่องตนเอง เพราะเกรงว่าเป็นการโอ้อวด ทาให้
การจดบันทึกถ่ายทอดประสบการณ์ หรือผลงานเขียนประเภทความทรงจาของไทย
มีไม่มากนัก นับเป็นการสูญโอกาสท่ีดีไปอย่างหน่ึง งานเขียนฟ้ืนความหลังเช่นกัน
แม้จะเขียนบันทึกอัตชีวประวัติแล้ว ส่ิงท่ีลึกเร้นน่าสังเกตไว้ คือ ท่านผู้เขียนยังน่าจะไม่
พ้นขา่ ยเกรงคาครหาจงึ กลายเปน็ สารคดปี ระกอบชีวประวัติ กระนน้ั กท็ รงคณุ คา่ อย่างสงู
103
เพราะท่านมีความรู้มาก ช่างจา ช่างเล่าหนังสือฟ้นื ความหลงั ทั้งชุด เป็นหนังสือท่คี นไทย
ควรอ่าน มิใชเ่ พียงเพอื่ รวู้ า่ ประวัติชวี ิตส่วนหน่ึงของพระยาอนุมานราชธน มคี วามเปน็ มา
อย่างไรเท่านั้น แต่จากการรู้เรื่องผ่านงานเขียนน้ี เรายังได้โดยสารไปสู่ความรู้จักเข้าใจ
สังคมไทย ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมประเพณีไทยมากข้ึน เป็นหนังสือประวัติสังคมท่ี
บนั ทกึ ผา่ นการเขยี นอัตชวี ประวตั ิ
104
ความเป็นมาของคาสยาม
ไทย, ลาว และขอม
และลกั ษณะทางสังคมของ
ชื่อชนชาติ
จิตร ภมู ิศกั ดิ์. (2519). ความเปน็ มาของคาสยาม ไทย, ลาว และขอม และลกั ษณะทาง
สังคมของชื่อชนชาติ. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : งานชิ้นสุดท้ายของจิตร นักวิชาการ กวี และนักปฏิวัติ คือ ความเป็นมา
ของคาสยามฯเป็นงานท่ีมีลักษณะเป็นงานวิจัย ใช้เวลายาวนานท่ีสุด (ประมาณ 7 ปี)
แต่ค้นควา้ ในสภาพ ที่มขี ีดจากัดมากท่สี ุด คือ ขณะถกู จองจา ไร้ซ่ึงเสรีภาพ และอสิ รภาพ
กระน้ันก็ตาม งานช้ินสุดท้ายน้ี กลับเป็นงานวิชาการที่โดดเด่ นท่ีสุด พิสูจน์
ความเป็นนักวิชาการอย่างแท้จริงของเขา ท่ีเป็นท้ังนักอักษรศาสตร์ ภาษาศาสตร์
ประวัติศาสตร์ โบราณคดี วรรณคดี โดยท่ีจิตร ภูมิศักดิ์ สามารถนาศาสตร์หลากหลาย
มาค้นคว้าวิจัยหัวข้อดังกล่าว อย่างน่าสนใจ ลึกซึ้งรอบด้าน กว้างขวาง อีกทั้งยังประสบ
ความสาเร็จในด้านที่สามารถนาเสนอผลการค้นคว้า อย่างมีบูรณาการหนังสือ ความ
เป็นมาของคาสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของช่ือชนชาติ ใช้หลัก
วิชาการด้านภาษาศาสตร์ เปรียบเทียบเชิงประวัติ ( Comparative Historical
Linguistics) เป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาในช่วงแรก จิตร พยายามชี้ให้เห็นราก และ
ต้นตอของ คาบ่งบอก‘ชนชาติ ที่สาคัญ คือ คา‘สยาม‘ไท-ไต-ไทย ลาว และ ขอม
โดยชใ้ี หเ้ ห็นข้อบกพรอ่ ง และวธิ ีคิดวธิ กี ารศกึ ษา ที่ไม่ถกู ต้องในการศึกษาท่ีผา่ นๆ มาแล้ว
ใช้คาเหล่าน้ี สืบค้นต้นกาเนิดของคนไทยอย่างมีระบบ โดยเฉพาะเรื่องวิเคราะห์ความ
เป็นมาของ‘สยามกุก’ และ‘พลโว’ นั้นเป็นการเสาะแสวงหาทางวิชาการ‘ที่น่าตื่นเต้น
และน่าทึ่งเป็นที่สุดย่ีสิบปีได้ล่วงไปแล้ว สาหรับการพิสูจน์คุณค่า ท่ียังไม่อาจลบเลือนได้
ของหนังสือ ที่เป็นผลงานช้ินสุดท้ายชีวิตนักวิชาการอย่างจิตร ภูมิศักดิ์ องค์ความรู้ใหม่
ด้านไท/ไทยศึกษา นับวันได้งอกเงยข้ึน หลักฐาน-ข้อมูลใหม่ โดยเฉพาะจากการวิจัย
สนามในพ้ืนที่มีคนสยาม ไท ลาว ขอม คงจะสามารถเสริมสร้าง ต่อยอด องค์ความรู้ที่
จิตรได้สร้างสรรค์ข้ึนไว้อย่างเป็นระบบ กระทั่งอาจคัดค้าน-โต้แย้งได้เป็นกรณี ๆ ไป
เพราะหนังสือเล่มนี้ มีเน้อื หาทีอ่ ดุ มสมบรู ณ์ มรี ายละเอียดแตล่ ะชว่ งแตล่ ะตอนทลี่ ้วน
105
แล้วแต่น่าสนใจ น่าสืบค้น น่าตีความในเชิงทั้งสนับสนุน และโต้แย้งได้ แต่สิ่งที่
นักวิชาการรนุ่ ใหม่ ไม่พึงมองขา้ มละเลย ท้งั ยังควรใส่ใจ คือ ประเด็นสาคัญทจ่ี ิตรคงจะได้
เขียนท้ิงท้ายไว้ก่อนเดินทางจากไป โดยเขียนไว้เป็นคานาของหนังสือเล่มนี้จากใจของ
จิตร ภูมิศักด์ิ โดยตรง คือ ผทู้ ีค่ น้ คว้าทม่ี า และความหมายของคาสยามในอดีตน้นั สังเกต
ได้ว่า ทุกท่านมักเริ่มต้นด้วย ยึดถือความรักชาติเป็นที่ต้ัง สาหรับข้าพเจ้า ความรู้สึก
ชาตนิ ิยมกบั ขอ้ เทจ็ จริงทางประวัติศาสตรน์ นั้ รู้สึกว่าบางครงั้ ก็อาจจะขัดกนั ในบทความน้ี
จึงเร่ิมต้นจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ มิได้เริ่มต้นจากความรู้สึกชาตินิยม มิได้ปิด
ประตูตายสาหรบั ความหมายทีร่ า้ ย และเปดิ ประตูต้อนรบั เฉพาะความหมายท่ีดดี ้านเดยี ว
106
อัตชวี ประวัติของหม่อม
ศรีพรหมา กฤดากร
หม่อมศรีพรหมา กฤดากร. (2522). อัตชีวประวตั ิของหม่อมศรีพรหมา กฤดากร.
กรุงเทพฯ: ศึกษติ สยาม.
สาระสาคญั : เป็นหนังสอื อตั ชีวประวตั ขิ องสตรที หี่ าไดย้ ากเลม่ หน่งึ เพราะสตรี ผู้มีวัยรนุ่
ราวคราวเดียวกับท่านถ้าไมข่ าดความรู้ ก็จะขาดความสามารถทางการเขียนหนงั สือ แม้มี
ความรู้ดี ก็ไม่นิยมเขียนหนังสือโดยเฉพาะหนังสือ ที่เป็นการบันทึกความทรงจาของตน
ยิ่งไปกว่าน้ี หม่อมศรีพรหมา ยังเป็นกุลสตรี ผู้มีโอกาสเติบโต ในแผ่นดินรัชกาลที่ 5
เคยไปอยู่ต่างประเทศท่ีรัสเซีย และภายหลังเป็นหม่อม หรือภริยาของหม่อมเจ้าสิทธิพร
กฤดากร ผู้บุกเบิกการเกษตรสมัยใหม่ และผู้ต่อสู้คัดค้านเร่ืองการเก็บภาษีพรีเม่ียมข้าว
มายาวนาน เจ้านายผู้เคยประทับคุกด้วยคดีการเมือง (กบฏบวรเดช) และถูกเนรเทศ
ไปอยู่เกาะตะรุเตา ชีวิตของหม่อมศรีพรหมา ในฐานะคู่ทุกข์คู่ยาก จากเคยอยู่สบาย
มาผจญชีวิตย่ิงกว่าคนธรรมดาต้องประสบ เม่ือถ่ายทอดเป็นตัวอักษร จึงมีคุณค่านา่ อา่ น
น่าศึกษาอย่างยากหาบันทกึ ประวัตสิ ตรีไทยคนใดเสมอเหมือนในสว่ นท่ีเป็นอัตชีวประวัติ
และบทสัมภาษณ์ นอกจากความน่าอ่าน จากลีลาการบันทึก ท่ีเรียบง่าย ยังให้ความรู้
ความคิดแสดงพัฒนาการของสงั คม และเป็นส่วนหน่ึงของประวัติความคิดผหู้ ญิงในกรณี
ของหม่อมศรีพรหมา ท้ังนับเนื่องเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน สาหรับส่วนท่ี
เป็นเร่ืองการถนอมอาหาร มีคุณค่าอันสามารถนาไปปฏิบัติได้ในปัจจุบัน และแสดง
หลักฐานการค้นคิดประดิษฐ์อาหาร จากผลผลิตเกษตรกรรมไทย จากภาคปฏิบัติ และ
ประสบการณต์ รง
107
80 ปีในชวี ติ ของข้าพเจ้า
กาญจนาคพนั ธ์ (ขุนวิจิตรมาตรา). (2523). 80 ปใี นชีวิตของขา้ พเจ้า. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : ขุนวิจิตรมาตรา มีผลงานเขียนบทความลงในวารสารต่าง ๆ เกี่ยวด้วย
สงั คมวัฒนธรรมไทยจานวนมากงานรวมเลม่ ได้แก่ ภมู ิศาสตรว์ ดั โพธ์ิ เด็กคลองบางหลวง
คอคิดขอเขียน ภูมิศาสตร์สุนทรภู่และสานวนไทย เป็นต้น งานของขุนวิจิตรมาตรามี
ลักษณะเดน่ คือ เปน็ การบันทึกสภาพสังคม และโดยทท่ี า่ นมีภูมริ ถู้ ึงรากฐานของสงิ่ นนั้ ๆ
อย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวกัน มีภูมิรู้เกี่ยวกับโลกอันสามารถนามาเป็นข้อเปรียบเทียบหรือ
อ้างอิง ย่ิงช่วยให้เข้าใจตาแหน่งแห่งท่ีของสังคมที่เป็นอยู่ และเปล่ียนแปลงไปชัดเจน
ยง่ิ ขนึ้ หนังสือ 80 ปใี นชีวติ ของข้าพเจ้า ไดส้ ะทอ้ นให้เรารู้สึกไดว้ ่า ขนุ วจิ ิตรมาตราไม่ใช่ผู้
ทส่ี นใจการเมอื งหรือมักใหญใ่ ฝ่สูง ท่านไม่สนใจทีจ่ ะสรา้ งชือ่ เสยี งจากวิชาความรู้ หากแต่
ผลิตผลงาน ก็เพื่อตัวความรู้น้ันแท้ๆ หรือเพื่อสนองแก่คุณค่าจิตใจ การทางานให้แก่
รัฐบาลจอมพลป. ในสาระสาคัญตรงกับแนวคิดของท่านเอง เก่ียวกับความสาคัญของ
เมืองไทย ชาวนาไทย และสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นเพลงชาติสยามท่ีท่านแต่ง บทละคร
เร่ืองบ้านไร่นาเรา หรือหนังสือชุดประวตั ิการค้าไทย80 ปีในชีวิตของข้าพเจ้า ได้สะทอ้ น
ให้เห็นสามส่ิงพร้อม ๆ กัน คือ ประการแรก เราได้เห็นถึงพัฒนาการของสังคมไทยและ
ทางเลือกของคนไทย โดยเฉพาะในเมืองหลวงในระยะต่าง ๆ ในท่ามกลาง
ความเปล่ียนแปลงของกระแสสังคมโลกประการที่สอง เห็นถึงกระบวนคิดของผู้คน
ในวงการชนช้ันปัญญาชน ผู้มีบทบาทในการผลิตงานศิลปวัฒนธรรมเห็นได้ชัดเจนว่า
ในเวลาท่ีกล่าวนั้น แม้ว่ากระแสวัฒนธรรม และความเป็นตะวันตกจะรุกเข้ามา
แต่สังคมไทยก็ยังมีจุดยืน มีหลักคิดอยู่พอเพียงในบางระดับที่จะสามารถพัฒนา และ
ปรบั ตวั เข้าสู่ยุคใหม่ โดยท่ยี งั ไมล่ ะทิง้ รากแห่งความเปน็ ไทยและประการสดุ ท้ายงานชิ้นนี้
ทาให้ได้เห็นถึงชีวิตของท่านผู้ประพันธ์เอง ผู้ซ่ึงดาเนินชีวิตอย่างสงบเรียบง่าย
ตรงไปตรงมาต่อความคิด และความรขู้ องตนเอง
108
พระประวัตติ รสั เล่า
สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส. (2476). พระประวัตติ รสั เล่า.
กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์บารุงนุกูลกจิ .
สาระสาคัญ : เป็นพระนิพนธ์ความเรียง ที่บันทึกความทรงจา ประเภทอัตชีวประวัติ
ดาเนินเรื่องตามช่วงวัยของชีวิต และการเกิดสถานะทางสังคม ความมุ่งหมาย เพ่ือใช้
ประสบการณ์สั่งสอนอบรมศิษย์เป็นสาคัญ และขอบเขตเน้ือหาพระนิพนธ์ตามลาดับ
กาลเวลาแห่งพระประวัติ จัดแบ่งออกเป็น 7 หัวข้อคือ คราวประสูติ คราวเป็นทารก
คราวเปน็ พระกมุ าร คราวเป็นพระดรุณคราวทรงพระเจรญิ สมัยทรงผนวชพระ และสมัย
ทรงรับสมณศักดิ์การที่เน้ือหาพระนิพนธ์มิได้ครอบคลุมพระประวัติชีวิต จวบจนถึง
พระปัจฉิมวัยก็เพราะทรงมีพระปรารถนาว่า ศิษยานุศิษย์ของพระองค์รู้จัก และทราบ
พระประวัติเมื่อคราวทรงพระยศสูง แต่ไม่ทราบพระประวัติชั้นเดิม อันเคยประสบทุกข์
อย่างไรความพยายามเล้ียงพระองค์มาอย่างไร จึงมีพระประสงค์ประทานความรู้ไว้ให้
เป็นนิทัศน์อุทาหรณ์การอ่านพระนิพนธ์นี้ แม้จะรับความรู้ตามที่ทรงจากเน้ือเรื่อง หรือ
ข้อความระหว่างบรรทดั กระน้นั ด้วยพระเมตตา ที่ต้องการสั่งสอนใหไ้ ดผ้ ลเชงิ ยา้
ความคิด จึงพระนิพนธ์ด้วยวิธีเน้นกาชับ เช่น เมื่อต้องอบรมเร่ืองผู้หญิงแก่ศิษย์
ทีล่ าสิกขาแล้ว ประทานโอวาทโดยตรงวา่ ศษิ ยข์ องเราผ้แู กว่ ดั สึกออกไป ไมเ่ คยในทางนี้
จงประหยัดให้มากจากผู้หญิงเสเพล แม้จะหาคู่ จงอย่าด่วน จงค่อยเลือกให้ได้คนดี
ถูกนักเลงเข้าอาจพาฉิบหาย ตั้งตัวไม่ติด” หรือพระโอวาทเร่ืองการประหยัดก็ประทาน
ตักเตือนวา่ ความเป็นหน้ีเปน็ ดุจหลม่ อันลึก ตกลงแลว้ ถอนตวั ไดย้ ากนกั ขอพวกศษิ ยข์ อง
เราจงระวังให้มากคุณค่าอีกประการหนึ่ง เกิดจากเนื้อหาสาระของพระนิพนธ์
เป็นพระประวัติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯผู้ทรงเป็นบุคคลสาคัญ ของชาติ
ได้ทรง พระกรณียกิจอย่างสาคัญ ท้งั ตอ่ การวางรากฐานการศึกษา สมัยใหม่ของไทย
109
ทรงปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ไทย และในฐานะพระภิกษุ ท่ีทรงเป็นนักปกครอง และ
บริหารการคณะสงฆ์ ซ่ึงแม้ในบัดน้ี ก็ยังมิอาจแสวงหาพระภิกษุรูปใด ท่ีทรงคุณสมบัติ
ดังกล่าว โดยรวมอยู่ในบุคคลน้ันเยี่ยงพระองค์ท่าน พระประวัติตรัสเล่า จึงเป็นหนังสือ
อัตชีวประวัติบุคคลสาคัญของชาติไทยท่ีควรศึกษาขณะเดียวกันพระประวัติตรัส
เล่ายังเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ท่ีทรงคุณค่า แม้ความมุ่งหมาย จะเป็นการถ่ายทอด
ประสบการณส์ ว่ นบคุ คล แตฉ่ ากเหตกุ ารณท์ างสังคมทีเ่ กี่ยวข้อง ส่วนหนึ่ง คือ สงั คมของ
ชนช้ันนาของสังคมไทย ท้ังเป็นสังคมไทยในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อท่ีสาคัญ ของการเมือง
ในประเทศ และหัวเลยี้ วหวั ต่อของไทยกับการเมืองระหว่างประเทศ
110
พระไตรปฎิ ก
ฉบบั สาหรับประชาชน
สุชีพ ปุญญานุภาพ. (2501). พระไตรปิฎก ฉบบั สาหรบั ประชาชน. กรงุ เทพฯ: กรม.
สาระสาคัญ : หนังสือเล่มน้ี มุ่งหวังให้ประชาชนผู้อ่านเกิดประโยชน์ รวม 4 ประการ
รู้ความหมาย และความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกรู้เรื่องท่ีน่าสนใจ เพ่ือให้เหน็ แนวคาสอน
ทางพระพุทธศาสนารู้ความย่อในพระไตรปิฎกแต่ละเล่ม ทั้ง 45 เล่ม เป็นการย่อ
ท่ีพยายามให้ได้สาระสาคัญสามารถศึกษาเอกสารประวัติศาสตร์ไทย เพ่ือทราบ
ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกในไทยซึ่งรวบรวมเพ่ือให้ค้นสะดวก ไม่กระจัดกระจาย
ผู้จัดทาพระไตรปิฎกฉบับสาหรับประชาชน ได้กาหนดเน้ือหา เพื่อจัดทาแบ่งในการ
นาเสนอตามลาดับ รวมห้าภาคภาคท่ี 1 ความรู้เร่ืองพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกคืออะไร
ประวัติการสังคายนา ลักษณะของการจัดหมวดหมู่ ของแต่ละปิฎก ลาดับชั้นคัมภีร์
ทางพระพุทธศาสนาภาคท่ี 2 ว่าด้วยเอกสารทางประวัติศาสตร์ เริ่มจากพระไตรปิฎก
ฉบับพระราชหัตถเลขา รัชกาลท่ี 1 กรุงรัตนโกสินทร์ ถึงรายงานการสร้างพระไตรปิฎก
สมัยรัชกาลที่ 7ภาคที่ 3 ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎกภาคท่ี 4 ความย่อ
แห่งพระไตรปิฎก ฉบับภาษาบาลีท่ีจัดทาย่อเป็นภาษาไทยพระวินัยปิฎก ตั้งแต่เล่ม 1
ถึงเล่ม 8พระสุตตันตปิฎก ต้ังแต่เล่ม 9 ถึงเล่ม 33 รวม 25 เล่มพระอภิธัมมปิฎก
เล่ม 34 ถึงเล่ม 45 รวม 12 เล่มภาคท่ี 5 ว่าด้วยบันทึกทางวิชาการผู้เขียนมี
ความสามารถการใช้ภาษาไทยที่ดี มีความสละสลวยเข้าใจง่าย ทั้งนี้ อาศัยกลวิธีการ
นาเสนออยา่ งมีวิจารณญาณอกี เช่นกันกล่าวคือ ยึดหลักทาให้ง่ายเป็นพื้นฐาน ครั้นความ
จาเป็นทางวิชาการ ดังกรณีศัพท์บัญญัติเป็นภาษาธรรมะต้องคงไว้ ก็ช่วยผู้อ่านให้เข้าใจ
ง่ายข้ึนผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น คงรูปศัพท์ไว้ หากแปลหรือทาคาอธิบายกากับ บางกรณีทา
เชิงอรรถ เป็นต้นคุณคา่ ของหนังสือพระไตรปิฎก ฉบับสาหรับประชาชน เล่มน้ี นอกจาก
ทาพระไตรปฎิ กใหง้ า่ ย เหมาะแก่ประชาชนแล้ว ยังนาประชาชนสูพ่ ระไตรปฎิ ก คือ สรา้ ง
นิสัยปัจจยั จากฉบับนี้ สู่การมีฉันทะตอ่ การศกึ ษาปฏบิ ัติใหล้ กึ ซึง้ ขน้ึ เข้าถึงธรรมสาหรบั
111
การดารงชีวิตด้วยความไม่ประมาท เช่น ข้อความท่ีแปลถึงฐานะ 5 ท่ีควรพิจารณา
เนือง ๆ คือ ความธรรมดาที่บุคคลไม่ล่วงพ้นไปได้ ท้ังความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย
การต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวงและมีกรรม คือ การกระทากับผล
แห่งการกระทาเป็นของตน เปน็ ผู้รับผลแห่งกรรม เปน็ ต้น
112
ปัญญาวิวัฒน์
พ.อ.สมัคร บรุ าวาศ. (2520). ปัญญาวิวฒั น.์ กรุงเทพฯ: แพร่พิทยา. 1,616 หนา้ .
สาระสาคัญ : หนังสือชุด ปัญญาวิวัฒน์ ได้แสดงภาพวิวัฒนาการของมนุษย์นับจากอดีต
จนถึงยุคหลังสงครามโลกคร้ังที่สอง คือ ราวคริสต์ทศวรรษ 1960 เร่ิมต้นตั้งแต่ยุคท่ีกาเนิด
ปฐมมนุษย์ในแอฟริกา และชวาไปจนถึงสมัยปรมาณูซ่ึงระบบทุนนิยมกับระบบสังคมนิยม
กาลังขับเคี่ยวกันอย่างรุนแรงทุกด้านสมัคร บุราวาศ เป็นผู้มีความเห็นว่า พัฒนาการ
ของปัญญา เป็นผลิตผลของมนุษยชาติทั้งมวล มิใช่เกิดมาจากจอมปราชญ์ เขาต้องการจะ
อธิบายว่า วิวัฒนาการแห่งปัญญาของมนุษย์ในความหมายของเขา เกิดจากน้ามือของมนุษย์
เองสมัคร บุราวาศ ศึกษา และอธิบายสังคมของคนป่า ของพวกอารยชนในสังคมบุพกาลของ
มนุษย์ ในสมัยที่อารยธรรมโบราณตามลุ่มน้าสาคัญ ได้ลงรากฐานชัดเจน จากนี้เจาะลึกลงไป
วเิ คราะหส์ ังคมสมัยอารยธรรมใหม่ ของกรีซ-โรมัน อนิ เดยี จีน เขาวกกลบั มาวิเคราะห์ สังคม
สมัยมืดมนทางปัญญา-ระบบศักดินา สมัยเรอเนสซองส์ จากน้ันก็เคล่ือนเข้าสู่ยุคสะสมทุนยุค
ปฏิวัติอุตสาหกรรม แล้วเจาะลึกศึกษาวิวัฒนาการของความรู้ในศตวรรษท่ี 19 และ 20
ตามลาดับเมื่ออ่าน ปัญญาวิวัฒน์ จบลง ก็รู้สึกต่อไปอีกว่า สมัคร บุราวาศ ไม่เพียงแต่เป็น
นักคดิ นักเขยี น นักวชิ าการ ที่ใหค้ วามสาคญั กับความร้แู บบวิทยาศาสตร์เท่านั้น เขายังเข้าถึง
องค์ความรู้ หรอื จิตวิญญาณของโลกตะวนั ออก อย่างลกึ ซึ้งดว้ ย การวิเคราะห์ของเขาในแต่ละ
ตอน แสดงให้เห็นว่าเขาศึกษาความรู้ตะวันออกไม่น้อย ขณะท่ีกล่าวถึงต้นกาเนิดชนชาติข้ึน
เขาอ้างอิงถึงนิยายปรัมปราของจีนเร่ืองไคเภ็ก เพื่ออธิบายยุคท่ีมนุษย์ยังนับถือมารดาเป็น
ใหญว่ า่ เพียวออ่ งสี ตี่ออ่ งสี และยนี่ ออ่ งสี คนเหลา่ น้เี ปน็ ประมขุ ของชาตวิ งศท์ ง้ั ส้ิน ในสมยั ของ
ยี่นอ่องสี ราษฎรรู้คุณมารดาแต่หารู้คุณบิดาไม่ นี่แสดงถึงความเป็นอยู่ในชุมชนบุพกาลโดย
แท้ (หน้า 311)สมัคร บุราวาศ ได้เขียนไว้ด้วยว่า เป็นท่ีน่าเสียดายที่นักวิทยาศาสตร์ พวกนี้
ไม่ได้สนใจถ่ายตารับประวัติศาสตร์ของจีน,เล่มหนึ่ง, ชื่อว่า ไคเภ็ก เพราะผู้เขียนได้พิจารณา
แล้วเห็นว่า ในบรรดาคัมภีร์อันเก่าแก่ของฮินดูหรือ ยิวก็ดี ตาราไคเภ็กของจีน เล่าถึงระยะ
แรกเริ่มของมนุษยชาติ ได้ตรงตามท่ีวิทยาศาสตร์ค้นพบ, อย่างอัศจรรย์ท่ีสุด (หน้า
140) สมคั ร บุราวาศ ใช้หนงั สอื จานวนมากสาหรบั การค้นคว้า เพอื่ เขยี นหนงั สือ
113
ปัญญาวิวัฒน์ ซึ่งหนาถึง 1,616 หน้า เล่มน้ี น่ันก็ยังไม่สาคัญเท่ากับว่า แม้เขาจะใช้ความรู้
ของต่างประเทศ เป็นหลักในการอธิบายวิวัฒนาการของปัญญามนุษยชาติ แต่ความรู้ภายใน
หรือความเปน็ ปราชญ์ในตวั ของเขาน้นั เอง ได้แสดงออกมาอยา่ งชัดแจง้ จนไมอ่ าจกลา่ วไดเ้ ลย
ว่า น่ีเป็นการนาเอาตาราต่างประเทศหลายเล่มมาเรียบเรียงกันข้ึนใหม่ เพราะมันเป็น
ผลแหง่ การตกผลกึ ขององคค์ วามร้สู ารพนั รวมกบั ความหยั่งรูภ้ ายในของเขาเองมากกวา่
114
พุทธธรรม
ป.อ. ปยุตฺโต. (2541). พทุ ธธรรม. กรุงเทพฯ: มลู นธิ พิ ทุ ธธรรม.
สาระสาคัญ : พระไพศาล วิสาโล กล่าวไว้ในการวิจารณ์หนังสือพุทธธรรม (ปาจารยสาร
ฉบับเมษายน ถึงมิถุนายน 2526) ความว่า พุทธธรรม เป็นหนังสือเล่มเดียว ที่แสดงถึง
หลักธรรมในพุทธศาสนาได้อย่างลุ่มลึก เป็นระบบและรอบด้านท่ีสุด เท่าท่ีเคยมีมาใน
ภาษาไทย จริงอยู่ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีหนังสือหลายเล่ม ท่ีว่าด้วยหลักธรรมอย่างถึงแก่น
อันสะท้อนถึงปรีชาญาณของผู้เขียน แต่ข้อเขียนเหล่าน้ัน ยากที่จะมีคุณสมบัติสามประการ
ครบถ้วน ดังมีอยู่ในพุทธธรรมอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้อาราธนาให้พระเดชพระคุณท่าน
นิพนธ์หนังสือสาคัญนี้ กล่าวในบทแนะนาพุทธธรรม (วารสารธรรมศาสตร์ ฉบับเดือน
ธันวาคม 2525 ปีท่ี 11 ฉบับที่ 4) โดยประเมินคุณค่าผลงานน้ีทรงคุณค่าอย่างสูง
คือหนังสือเล่มนี้ อาจกล่าวได้ว่า เป็นข้อเขียนสาระสาคัญของคาสอนในพุทธศาสนาฝ่าย
เถรวาท ที่ดีท่ีสุดเท่าท่ีเคยมีมาในวรรณกรรมภาษาไทย การเขียนก็ใช้ภาษาที่สละสลวย
และมีลีลาชวนให้ผู้อ่านติดตามอย่างยิ่ง หนังสือนี้แบ่งออกเป็นสองภาค คือ ภาคมัชเฌนธรรม
หลักความจริงที่เป็นกลางตามธรรมชาติ เป็นการศึกษาค้นคว้าอธิบายธรรม
บนหลักการอริยสัจ 4 ศึกษาวิจัย และนาเสนออย่างเป็นระบบ สะดวกต่อการศึกษาของ
ผู้ใฝ่ใจ กระท่ังสามารถเลือกอ่านตอนใดก่อนก็ได้ เพราะแต่ละตอนมีความสมบูรณ์ในตัว
ถึงผลงานน้ีหนักแน่นด้วยหลักธรรมลึกซ้ึง หากท่านผู้นิพนธ์สามารถสื่อสารกับผู้รับส่ือได้ง่าย
ข้ึน ดังการขยายความอริยสัจ 4 และนามาวิเคราะห์สู่แนวทางดาเนินชีวิตบนพื้นฐานการ
พ่ึงตนเอง เกิดสันติสุข และสังคมมีสันติภาพ ดังลาดับออก 3 ตอน 1.ชีวิตคืออะไร
ประกอบด้วยขันธ์ 5 อันส่วนประกอบของชีวิตกับอายตนะ 6 แดนรับรู้ และเสพเสวยชีวิต
เป็นอย่างไร ประกอบด้วยพระไตรลักษณ์ (ทุกข์ อนิจจัง และอนัตตา)ชีวิตเป็นไปอย่างไรชีวิต
ควรเป็นอย่างไร อธิบายถึงวิชชา วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน ประโยชน์ยอดยิ่งที่พึงรับในชีวิต
ความเข้าใจเร่ืองนิพพาน การวิปัสสนา หลักธรรมอนัตตา และหลักการสาคัญของเรื่อง
นิพพาน และเสรมิ ด้วยบทความประกอบเร่ืองชวี ิต และคณุ ธรรมพนื้ ฐานของอารยชน
115
บทความประกอบเร่ืองศีลกับเจตนารมณ์ทางสังคม บทความประกอบเรื่องปาฏิหาริย์กับ
เทวดา บทความเรื่องปัญหาเนื่องด้วยแรงจูงใจและบท ความประกอบเร่ืองสุดท้าย
เร่ืองความสุขชีวิตควรเป็นอยู่อย่างไร อธิบายสาระเก่ียวกับบทนาของมัชฌิมปฏิปทา คือ
ปรโตโฆสะทีด่ ี การมีโยนิโสมนสกิ าร การเกิดปญั ญา ศลี และสมาธิ
116
อทิ ัปปัจจยตา
พทุ ธทาสภกิ ข.ุ (2554). อทิ ปั ปจั จยตา. กรงุ เทพฯ: สุขภาพใจ.
สาระสาคัญ : งานช้ินเอก ท่ีท่านพุทธทาสศึกษารวบรวมจากพระไตรปิฎก และเชื่อมร้อย
พุทธวจนะท่ีพระพุทธองค์ตรัสไว้ในท่ีต่าง ๆ มาเชื่อมโยงนัยเข้าไว้เป็นหมวดหมู่ แล้วอธิบาย
ให้แจ่มกระจ่างเป็นแก่นปรัชญาของพุทธศาสนา เป็นวิธีคิด ท่ีเป็นวิทยาศาสต ร์ของ
พุทธศาสนา เป็นหัวใจของพุทธศาสนาและเป็นกฎเหนือกฎท้ังปวง คือ หลักธรรมว่าด้วย
อิทัปปัจจยตาท่านพุทธทาสทุ่มเทชีวิตจิตใจ ให้กับการศึกษาเร่ืองอิทัปปัจจยตาเป็นอย่างสูง
พยายามอธิบายให้เห็นว่า อิทัปปัจจยตาเป็นพุทธธรรมอันติมะหรือสัจธรรมความจริงแท้
ท่ีสุดของพุทธศาสนา และเช่ือมโยงคาสอนท้ังปวง ของพระพุทธเจ้าว่าล้วนเป็นไปตาม
หลักธรรม หรือกฎของอิทัปปัจจยตาท้ังส้ิน เหตุนี้ หนังสือเร่ืองอิทัปปัจจยตาของพุทธทาส
ภิกขุจึงอุดมด้วยการอธิบายหลักธรรม เร่ืองอิทัปปัจจยตาอย่างเป็นกระบวนการ เป็นวิธีคิดท่ี
ช้ีให้เห็นชัดว่าหลักอิทัปปัจจยตาซึมซ่านอยู่ในเหตุปัจจัยแห่งการก่อเกิด การดารงอยู่
การมีปฏิสัมพันธ์ และเส่ือมสลายของสรรพส่ิงในจักรวาล รวมถึงเป็นวิธีคิด ทางทฤษฎี
วิทยาศาสตร์ทุกสาขาด้วยหนังสืออิทัปปัจจยตา มาจากการรวบรวมคาบรรยาย
หรือพระธรรมเทศนาประจาวันเสาร์ ภาคมาฆบูชา ในสวนโมกขพลารามประจาปี 2515 มา
รวมพิมพ์เป็นเล่ม เนื้อหาอุดมด้วยความรใู้ นหลักธรรมพทุ ธศาสนามากมาย และการนาหลักอิ
ทปั ปัจจยตามาอธิบายโลก สรรพสิง่ ทเี่ ปน็ เหตุผล สะท้อนให้เห็นภูมิปัญญา และปรัชญาสาคัญ
ของพุทธศาสนาท่ีถูกลืมเลือนๆ ไป ซ่ึงพุทธทาสภิกขุได้ฟื้นฟูมาเชิดชูไว้ เป็นสัจธรรมสาคัญย่ิง
เนื้อหาสาระของหนังสืออิทัปปัจจยตา กล่าวถึง อิทัปปัจจยตา ในฐานะพุทธวจนะท่ีถูก
มองข้าม ในฐานะเป็นวิชาหรือศาสตร์ทั้งปวง อิทัปปัจจยตาในฐานะท่ีเป็นตัวเรา เป็นกฎของ
ทุกส่ิงท้ังที่ เป็นนามธรรมรูปธรรม เช่ือมโยงหลักอิทัปปัจจยตาเข้ากับพระเจ้าในศาสนาอื่น
โดยผ่านหลักธรรมที่ตรงกันพุทธทาสภิกขุยังเสนอมุมมองอิทัปปัจจยตา ในหลักคิด
วิทยาศาสตร์ ในฐานะที่เป็นวิวัฒนาการของชีวิต เป็นกฎเหนือกฎทั้งหลาย เป็นธรรมหรือส่ิง
ทัง้ ปวงรอบตัวมนษุ ย์ ในด้านศาสนาพทุ ธ อทิ ัปปจั จยตามีฐานะเป็นพระรตั นตรยั และ
117
ไตรสิกขา ในฐานะเป็นส่ิงต่อรองระหว่างศาสนา เป็นส่ิงที่ฆราวาสต้องรู้และปฏิบัติ
เพอ่ื จะไมต่ ้องตกนรกทั้งเป็น และเป็นฆราวาสช้ันดี ชาวพทุ ธพงึ ให้ความสาคญั ของอิทัปปจั จยตา
ในฐานะเป็นกฎแห่งกรรม สามารถใช้แก้ทุกปัญหาได้ทันการณ์ เข้าใจกรรมประเภทศีลธรรม
และกรรมประเภทสจั ธรรม
118
หนังสือแสดง
กจิ จานุกิจ
เจ้าพระยาทพิ ากรวงษ์มหาโกษาธิบดี (ขา บนุ นาค). (2514). หนงั สือแสดงกจิ จานุกิจ.
กรุงเทพฯ: องคก์ ารค้าของคุรสุ ภา.
สาระสาคัญ : หนังสือเล่มที่เป็นองค์ความรู้ หรือองค์ความคิดแบบไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นวิธี
คิดและโลกทัศน์ในพุทธปรัชญา ทีเ่ ป็นเหตผุ ลนิยมอยา่ งเด่นชัด ไดแ้ ก่ หนงั สือแสดงกิจจานุกิจ
ของเจา้ พระยาทิพากรวงษ์โกษาธบิ ดี (ขา บนุ นาค) ตาแหน่งเจา้ พระยาพระคลัง สมัยรชั กาลที่
4 หนังสือแสดงกิจจานุกิจน้ี นักวิชาการบางคนยกย่องว่า เป็นหนังสือเล่มแรกของไทยท่ี
อธิบายเร่ืองราวต่าง ๆ ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ โดยได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมตะวันตก
ผสมผสานอิทธิพลของพุทธศาสนาหรืออ้างว่า เป็นตาราวิทยาศาสตร์เล่มแรกของไทย *1
หนังสือแสดงกิจจานุกิจ มิใช่เป็นตาราวิทยาศาสตร์ล้วน ๆ ด้านใดด้านหนึ่งหากเป็นหนังสือท่ี
แสดงทัศนะหลากหลาย อีกท้ังการนาเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ใช่เป็นกฎเกณฑ์
ทางวิทยาศาสตร์ ของตะวันตกล้วน ๆ หากมีทั้งส่วนของภูมิปัญญาเดิมท่ีคนไทย และชาว
ตะวันออกเช่ือถือสืบต่อกันมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเส้นพรมแดนแห่งความรู้ด้ังเดิม (ศาสนา
ความเชื่อและประสบการณ์) ของคนไทย และชาวตะวันออก เช่น อินเดีย และจีน เป็นต้น
โดยผู้เขียนนาเสนอความรู้ในหลาย ๆ มุมมอง เชิงเปรียบเทียบเรื่องสัณฐานของโลก ระบบ
สุริยะ และปรากฏการณ์ธรรมชาติอื่น ๆ เพื่อเติมแต่งปัญญาให้ผู้อ่านคิดและเชื่อเอาเอง อัน
เ ป็ น ก า ร น า เ ส น อ เ ชิ ง เ ห ตุ ผ ล นิ ย ม ใ น ด้ า น ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ก า ร ศึ ก ษ า ข อ ง ส ย า ม ป ร ะ เ ท ศ
การเขียนหนังสือแสดงกิจจานุกิจขึ้นมา มีความสาคัญยิ่งใหญ่ นับเป็นครั้งที่สอง ที่ปัญญาชน
ไทยลุกข้ึนมาต่อต้าน การครอบงาทางปัญญาของต่างชาติ ด้วยการเสนอวิธีคิดเหตุผลนิยม
ในหลักธรรมพุทธศาสนา และกล้าเสนอเส้นพรมแดนแห่งความรู้ของสยามหรือตะวันออก
เพื่อโต้กับหลักศาสนาความเช่ือของตะวันตก และหวังเป็นตาราเรียนแก่กุลบุตรจะได้
ประเทืองปัญญาต่อไปนี่คือฐานะ และบทบาทสาคัญของหนังสือแสดงกิจจานุกิจของ
เจ้าพระยาทิพากรวงษ์มหาโกษาธิบดี ในด้านประวัติการศึกษาของไทย เป็นพรมแดน แห่ง
ความรู้ของสยาม และ ตะวันออกเปรียบเทียบกับตะวันตก เป็นหลักฐานช่วงหัวเล้ียวหัวต่อ
ก่อนที่ไทยจะเปลยี่ นไปรับเอารปู แบบเน้ือหาการศกึ ษา และอารยธรรมตะวนั ตกเขา้ มาใน
119
ภายหลัง ท้ังยังมีฐานะเป็นจุดต่อสู้ทางความคิดต่อต้านการครอบงา ด้านลัทธิความเชื่อ ของ
ตะวันตก โดยแยกแยะเหตุผล และวางใจเป็นกลาง ในการยอมรับความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ซ่ึงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในยคุ น้ัน ยงั ไมไ่ ด้พิสจู นใ์ หเ้ หน็ จรงิ อย่างแพร่หลายเช่นปจั จบุ ัน
120
แพทยศาสตร์
สงเคราะห์
คณะกรรมการแพทยห์ ลวง ในพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั . (2450).
แพทยศาสตรส์ งเคราะห์. (ม.ป.ท.): (ม.ป.พ.).
สาระสาคัญ : แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เป็นตาราแพทย์แผนโบราณ ฉบับหลวง มีท่ีมาจาก
พระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเห็นว่าบรรดาคัมภีร์แพทย์
แผนโบราณ และตารายาพื้นบา้ นของไทย มีคุณประโยชน์ยวดยิ่งและได้มีการศึกษา เล่าเรียน
คัดลอกตอ่ กันมา ดว้ ยความเพียรพยายามในหมู่แพทย์และผู้ท่ีนยิ มสนใจ แตต่ ้นฉบับพระตารา
หลวงท่ีได้สร้างขึ้น และได้ใช้สืบสายกันมายาวนานก็สูญหายไปบ้าง ทรงเห็นความจาเป็น
ที่จะต้องทานุบารุง ให้พระคัมภีร์แพทย์ปรากฏไว้ เป็นหลักฐานเผยแพร่ตอ่ ไปในกาลภายหน้า
จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประชุมแพทย์หลวงเรม่ิ แต่ปี พ.ศ. 2413 นาคัมภีร์แพทย์
ในท่ีต่าง ๆ มาตรวจสอบชาระ ให้ตรงกันกับฉบับด้ังเดิมจะได้เห็นว่า จุดมุ่งหมายของตารา
แพทยศาสตร์สงเคราะห์ เม่ือพิจารณาจากพระราชปรารภนั้น มิได้มีบทบาทเป็นตาราแพทย์
เฉพาะให้แพทย์ใช้ และก็มิได้เป็นเพียงตาราแพทย์ที่ใช้เรียนในราชแพทยาลัยเท่านั้น หากยัง
เป็นตาราแพทย์ประจาบ้าน สาหรับสามัญชนท่ัวไป ไว้ใช้ช่วยตนเอง และครอบครัวด้วย
แพทยศาสตร์สงเคราะห์ นอกจากจะอุดมสมบูรณ์ด้วยองค์ความรู้ อันเป็นภูมิปัญญา
ตะวันออก และภูมิปัญญาไทย ด้านเวชศาสตร์ และสมุนไพรไทยแล้ว ยังเป็นหนังสือท่ีแฝงฝัง
ไว้ด้วยปรัชญาที่มีคุณค่า โดยเฉพาะภาคนาว่าด้วย ฉันทศาสตร์ ซึ่งเรียบเรียงข้ึนจาก คัมภีร์
ฉันทศาสตร์โบราณ โดยพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) ผู้ว่าราชการเมืองจันทบุรีน้ัน ได้สะท้อน
ให้เหน็ โลกทศั น์ วถิ ีชวี ิตคนไทย และมรรคปฏบิ ัตอิ ันควรของผูไ้ ด้ช่ือว่าแพทย์ อย่างนา่ สนใจย่ิง
ในฉันทศาสตร์นี้ มีเนื้อหาข้อมูลท่ีน่าสนใจหลายอย่างหลายประการ ที่สาคัญที่สุดซึ่งเรา
ไม่อาจปฏิเสธได้ คือ คุณค่าทางด้านการแพทย์ แผนโบราณโดยตรง เพราะเป็นแหล่งทแี่ พทย์
จะสามารถนาไปวิเคราะห์ศึกษาว่า อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ น้ันคนโบราณเห็นว่ามีสาเหตุมา
จากอะไร และควรจะมีวิธีการรักษาอย่างไร ใช้สมุนไพรชนิดใดบ้าง สาหรับคนรุ่นใหม่
ยังคงมี ข้อมูลแปลกที่น่าสนใจไม่น้อย เช่น ได้รู้ว่า คนโบราณวินิจฉัยลักษณะน้านม คุณค่า
ของนา้ นม โดยดจู ากรปู ลกั ษณ์ของเจา้ ของนา้ นมน้ัน ประเด็นทีน่ ่าสนใจกค็ ือ ในโลกทศั น์
121
วิธีคิดของแพทย์แผนโบราณ ผู้หญิงจะมีความเท่าเทียมกันหมด คุณค่าของหญิงในเชิง
ชีววิทยา มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ คือ ข้ึนอยู่กับรูปลักษณ์ มิใช่เผ่าพันธ์ุหรือชั้นวรรณะ
แพทยศาสตร์สงเคราะห์โดยองค์รวม จึงเป็นท้ังหนังสือแสดงองค์ความรู้แห่งภูมิปัญญาไทย
อันมีค่าอเนกอนันต์ และเป็นท้ังหลักปักเขตประกาศภูมิปัญญาไทย และภูมิปัญญาตะวันออก
ดา้ นการแพทยแ์ ผนไทย และสมนุ ไพรไทย
122
ธรรมชาตนิ านา
สตั ว์ เลม่ ๑-๓
นายแพทย์บุญส่ง เลขะกลุ . (2538). ธรรมชาตนิ านาสัตว์ เลม่ 1-3. พมิ พค์ รง้ั ท่ี 2.
กรุงเทพฯ: สารคด.ี
สาระสาคัญ : งานชิน้ หน่ึงในบรรดางานท้ังปวงของนายแพทย์บุญสง่ ท่ีไดร้ ับเลอื กเป็นหนังสือ
ชน้ั ดีคอื เรอื่ งธรรมชาตินานาสัตว์ ชดุ ละ 3 เลม่ อนั เป็นเรอื่ งราวเชงิ สาระ วา่ ดว้ ยชีวิตของสตั ว์
ตีพิมพ์คร้ังแรกในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ต่อมานามารวมเล่มใหม่ แม้ไม่มีผู้เป็นบรรณาธิการ
ปรุงแต่ง ส่วนท่ีบกพร่องหรือเกิดจากความเข้าใจผิดบางประการ ต้องถือว่างานช้ินน้ี
เป็นแม่บทของงานเขียนว่าด้วยการอนุรักษ์นายแพทย์ผู้นี้ อยู่ท่ีสงขลาในวัยเด็ก ท่ีนั่นเต็มไป
ดว้ ยปา่ และสัตวป์ า่ แม้เดนิ ทางทางแม่นา้ กไ็ ด้พบช้างปา่ คราวที่นายแพทย์บุญส่งเรียนแพทย์
วิทยา จบจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ เขายังเป็นนักล่าสัตว์ป่าอยู่ แต่แล้วคราวสงครามโลก
คร้ังที่สอง ส้ินสุดได้ไม่นาน เป็นยุคที่พรานใช้ปืนกลมือ อีกทั้งหลายคนก็ล่าสัตว์เพื่อเอากาไร
เสือ และช้างจึงลดจานวนอย่างรวดเร็ว ป่าเริ่มหายไป พ่อค้าตัดไม้สัก และไม่ปลูกซ้าท่ีตัด
ออกไป แรดหายไปหมดจากประเทศไทย แมแ้ ต่เปด็ ป่าทฝ่ี ร่ังเรียกวา่ White wing เหลอื ไมถ่ ึง
ร้อยตัว เพราะตกเป็นเหยื่อของนักล่าหมดความตระหนักในเร่ืองเหล่านี้ ตลอดจนความรู้ ท่ี
นายแพทย์บุญส่งมีอยู่ จึงได้ชักพาให้เขียนบทความมากมาย หากพลิกดูหนังสือธรรมชาติ
นานาสัตว์จะเหน็ ว่า เปน็ เรอ่ื งนกเสยี ราวสองในสามนายแพทย์บุญส่ง เขยี นถงึ นกตา่ ง ๆ นานา
ชนิด โดยเฉพาะนกตะกุมและนกกระสา จนเปิดแหล่งนิคมนกในจังหวัดอยุธยาที่วัดไผ่ล้อม
ต่อมาได้จัดทาภาพยนตร์สารคดี ว่าด้วยสัตว์ป่าอีกสองเรื่อง คร้ังหนึ่ง จอย อดัมสัน, ผู้แต่ง
เร่ือง Born Free หรือเกิดมาเสรี ได้แวะมาหานายแพทย์บุญส่ง แล้วเขาก็บ่นกับเธอว่า
คนหลายคนกล่าวหาว่า เขาเคยเป็นนักล่าท่ียิ่งใหญ่มาก่อน เขาพูดไป ก็ส่ายศีรษะท่าทาง
เสียใจ แต่จอย อดัมก็บอกแกน่ ายแพทยบ์ ุญส่งว่า พวกเราทุกคนเคยล่าสัตว์มาก่อน จึงไม่ควร
ท่ีจะเสียใจ และสิ่งนี้ก็ได้สอนให้เรารู้จักสัตว์ป่า และเลิกทาลายมันต่อไป นายแพทย์บุญส่ง
ตระหนักดีว่า เคยทาร้ายแรงกับสัตว์ป่ามาก่อน แต่สิ่งเช่นนี้กลับยั่วยุให้เขาพิทักษ์ป่ามาก
ย่ิงขึ้นข้อสาคัญก็คือ งานเขียนของเขาราว 30 เล่ม ได้ช่วยให้ข้อมูลมากมายโดยเฉพาะชุด
ธรรมชาตนิ านาสตั ว์การทางานกวา่ 40 ปี พรอ้ มกบั การเขยี นหนงั สือเรอ่ื งสัตว์ตลอดเวลา
123
ได้กลายเป็นหัวใจสาคัญ, เป็นจิตวิญญาณท่ีทรงพลัง และเป็นแรงขับเคล่ือนที่ไม่มีสิ่งใดถอด
ถอนได้ ใครก็ตามท่ีนึกถึงสภาพนกที่ถูกฆา่ , ถกู รังแก, ถกู ดกั ด้วยแร้ว, ถกู สง่ ออกเพอ่ื นาไปขาย
ต่อ, ถูกยิงทิ้ง, ถูกแปรไปเป็นอาหารหรู ๆ นายแพทย์บุญส่งเป็นบุคคลสาคัญยิ่ง ที่ได้ต่อสู้ให้
นกเหล่านม้ี ีเสรี
124
ขบวนการแกจ้ น
ประยรู จรรยาวงษ.์ (2540). ขบวนการแก้จน. กรงุ เทพฯ: บ้านและสวน.
สาระสาคัญ : ประยูร จรรยาวงษ์ เป็นนักหนังสือพิมพ์ ผู้ใช้การ์ตูนสะท้อนปัญหาการเมือง
สังคมเรียกร้องการอยู่อย่างสันติของมนุษย์ สิทธิประชาธิปไตย สะท้อนชีวิตคนจนที่ขมขื่น
ปวดร้าว กล้าเขียนภาพล้อเลียนผู้มีอานาจ นักการเมืองคอรัปชั่น บุคคลท่ีก่อความเลวทราม
เสื่อมโทรมแก่บ้านเมืองลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของประยูร จรรยาวงษ์ ท่ีนักเขียนการ์ตูน
อ่ืนไม่มี น่ันคือการสะสมภูมิปัญญาด้านอาหารการกิน การผลิตแบบพึ่งตนเอง วิถีชีวิต
แบบไทยประเพณีวัฒนธรรมไทย และประสบการณ์ท่ีผ่านความยากจนมามากมายแล้ว
หลอมรวมออกมาเป็นภาพการ์ตูน มีคาบรรยาย หรือความรู้ในการทามาหากินประกอบ
เพือ่ เสนอทางออกใหแ้ กเ่ กษตรกร และคนยากจน ซึ่งร้จู กั กันดีในช่ือเร่อื งขบวนการแก้จนคณะ
ยอดชายนายศุขเล็กเสนอประยูร จรรยาวงษ์ เร่ิมเขียนคอลัมน์การ์ตูน ขบวนการแก้จน
ตั้งแต่ต้นปี 2515 สืบต่อมาอีกหลายปี ภายหลังจึงได้รวบรวมพิมพ์ เป็นพ็อกเก็ตบุต
หนังสือ ขบวนการแก้จน ฉบับพิมพ์ครั้งแรกออกจาหน่ายในปี 2519 ทยอยออกมาเร่ือย ๆ
จนถึงเล่มท่ี 8 ในปี 2521 นับเป็นหนังสือชุด ท่ีอุดมสมบูรณ์ไปด้วยความรู้ด้านการปลูกพืช
เลี้ยงสัตว์การประกอบอาชีพสารพันเร่ือง การแก้ไขปัญหาปากท้องนานาชนิด การรู้จัก
พ่ึงตนเอง ลดรายจ่าย ประหยัดมัธยัสถ์รวมตลอดไปจนการทาอาหาร และขนมให้อร่อย ฯลฯ
ซง่ึ เปน็ คณุ ประโยชนอ์ เนกอนนั ตต์ ่อผ้อู า่ นและเป็นแนวทางสู้ชวี ิตของคนยากจน
125