The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้
“รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต”
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by bangplamaschool, 2022-07-11 01:37:10

แผนการจัดการเรียนรู้ “รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต” ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖

แผนการจัดการเรียนรู้
“รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต”
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖

แผนการจดั การเรียนรู

“รายวชิ าเพม่ิ เตมิ การปอ งกนั การทุจรติ ”
ระดับช้ันประถมศึกษาปท ่ี ๖

สาํ นักงานคณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทจุ ริตแหง ชาติ
รว มกับ สํานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน
พุทธศักราช ๒๕๖๑

แผนการจดั การเรยี นรู้

“รายวชิ าเพม่ิ เติม การป้องกนั การทุจริต”
ระดับชั้นประถมศกึ ษาปีที่ ๖

ส�ำ นกั งานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ
ร่วมกับ ส�ำ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน
พุทธศักราช ๒๕๖๑

แผนการจดั การเรียนรู้ “รายวิชาเพมิ่ เติม การปอ้ งกนั การทจุ รติ ”
ระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๖

พมิ พ์ครัง้ ที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๒
จ�ำนวนพิมพ์ ๓๒,๕๓๒ เลม่

ผ้จู ัดพมิ พ์ สำ� นักงานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ
ร่วมกบั สำ� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน

พมิ พท์ ่ ี ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำ� กัด สาขา ๔
๑๔๕ , ๑๔๗ ถ.เลย่ี งเมอื งนนทบุรี ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี ๑๑๐๐๐
โทร. ๐ ๒๕๒๕ ๔๘๐๗-๙ , ๐ ๒๕๒๕ ๔๘๕๓-๔ โทรสาร ๐ ๒๕๒๕ ๔๘๕๕
E-mail : [email protected] www.co-opthai.com

สารบัญ

หนา้
โครงสร้างรายวิชา ๑
หน่วยที่ ๑ การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ๓
หน่วยท่ี ๒ ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจริต ๔๖
หน่วยที่ ๓ STRONG : จิตพอเพยี งต้านทุจริต ๘๓
หนว่ ยที่ ๔ พลเมืองกับความรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม ๑๑๙
ภาคผนวก ๑๕๕
l คำ�ส่งั คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ ๖๔๖/๒๕๖๐ เร่อื ง แต่งตั้งคณะอนกุ รรมการจัดทำ� ๑๕๖
หลักสตู รหรอื ชดุ การเรยี นร้แู ละส่ือประกอบการเรยี นรู้ ด้านการปอ้ งกันการทจุ ริต
l รายชอ่ื คณะทำ�งานจัดทำ�หลกั สตู รหรอื ชดุ การเรยี นรแู้ ละสอื่ ประกอบการเรียนรู้ ๑๖๐
ด้านการปอ้ งกนั การทจุ รติ กลุ่มการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน
l รายชอื่ คณะบรรณาธิการกิจหลักสตู รหรอื ชดุ การเรยี นรู้และสื่อประกอบการเรยี นร ู้ ๑๖๔
ดา้ นการปอ้ งกนั การทจุ รติ กลมุ่ การศึกษาขั้นพน้ื ฐาน
l รายช่อื คณะผู้ประสานงานการจดั ทำ�หลักสตู รหรอื ชดุ การเรยี นรู้และสือ่ ประกอบการเรียนรู ้ ๑๖๖
ดา้ นการป้องกันการทุจริต กลุ่มการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน สำ�นักงาน ป.ป.ช.



โครงสร้างรายวชิ า ระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๖

ล�ำ ดบั หนว่ ยการเรียนรู้ เรอื่ ง จำ�นวน
ช่ัวโมง

๑. การคิดแยกแยะระหวา่ ง ๑. การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตน ๑๔
ผลประโยชน์ส่วนตนและผล และผลประโยชนส์ ่วนรวม
ประโยชน์สว่ นรวม ๑.๑ การวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ ระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตน

และผลประโยชนส์ ว่ นรวมในประเทศ
๑.๒ การแยกแยะผลประโยชนส์ ว่ นตนออกจากผลประโยชน์
ส่วนรวม โดยใชร้ ะบบคดิ ฐานสอง ในระดบั ประเทศ
๑.๓ พฤติกรรมระบบคิดฐานสบิ ที่เกดิ ขึ้นในระดบั ประเทศ
๑.๔ ผลของพฤติกรรมระบบคิดฐานสิบ ที่ส่งผลในระดับ
ประเทศ
๑.๕ การเปรยี บเทยี บผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์
สว่ นรวมในประเทศ
๑.๖ ขอ้ ดขี อ้ เสยี ของผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์
สว่ นรวมในระดบั ประเทศ
๒. ความแตกต่างระหวา่ งจริยธรรมและการทจุ รติ
๒.๑ การทจุ ริตทเ่ี กิดขนึ้ ภายในโรงเรยี น
๒.๒ จรยิ ธรรมท่ใี ช้ในการป้องกนั การทุจริตภายในโรงเรียน
๓. การขัดกันระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์
ส่วนรวม
๓.๑ ความหมายของคำ�วา่ “การขดั กนั ”
๓.๒ ผลกระทบการขดั กนั ระหว่างผลประโยชน์สว่ นตน
และผลประโยชน์ส่วนรวมในประเทศชาติ
๓.๓ วิธีการแก้ไขความขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน
กบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม
๔. ผลประโยชน์ทับซอ้ นและรปู แบบของผลประโยชน์ทบั ซ้อน
๔.๑ สาเหตกุ ารเกดิ ของผลประโยชนท์ ับซอ้ นภายในชมุ ชน
๔.๒ รปู แบบผลประโยชน์ทับซ้อนภายในชมุ ชน
๔.๓ แนวทางการปอ้ งกันผลประโยชน์ทบั ซอ้ นในชมุ ชน

ระดบั ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๖ 1

ล�ำ ดบั หน่วยการเรยี นรู้ เรอ่ื ง จำ�นวน
ชัว่ โมง

๒. ความละอายและความไม่ทนต่อ ๑. ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจริตในระดบั ประเทศ ๖
การทจุ ริต ๑.๑ กิจกรรมที่ปฏิบัติและส่งผลให้เกดิ ความละอาย
และความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ ในระดบั ประเทศ
๑.๒ แนวทางการปฏบิ ัติตนเปน็ ผู้มคี วามละอายและ
ความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ ในระดบั ประเทศ
๓. STRONG : จติ พอเพียง ๑. การอนรุ ักษ์สงิ่ แวดลอ้ มที่สอดคลอ้ งกับ STRONG : ๑๐
ตา้ นทุจรติ จติ พอเพยี งตา้ นทุจริต
๒. การอนรุ กั ษ์แหลง่ นาํ้ ที่สอดคล้องกบั STRONG :
จติ พอเพียงตา้ นทจุ รติ
๓. การเสยี ภาษีท่ีสอดคลอ้ งกับ STRONG : จิตพอเพยี ง
ต้านทจุ ริต
๔. การเลือกตงั้ ที่สอดคล้องกับ STRONG : จิตพอเพียง
ตา้ นทจุ รติ
๕. พ้นื ทีส่ าธารณะที่สอดคลอ้ งกับ STRONG :
จติ พอเพียงต้านทุจรติ
๔. พลเมอื งกับความรบั ผิดชอบ ๑. ความหมายของคำ�วา่ พลเมือง ๑๐
ตอ่ สังคม ๒. ที่มาของคำ�ศพั ท์ทเ่ี กีย่ วกับพลเมือง
๒.๑ ประชาชน
๒.๒ ประชากร
๒.๓ ราษฎร
๓. การเปรยี บเทียบความแตกต่างระหว่างราษฎรกับพลเมอื ง
๔. การเสยี ภาษีและการปฏบิ ตั ิตนตามกฎหมาย
๔.๑ กฎหมายสิ่งแวดล้อม
๔.๒ การรกั ษาความสะอาดตามกฎหมาย (โทษปรบั )
๕. สิทธแิ ละหน้าทีก่ ารเลอื กตง้ั
๖. การสรา้ งสำ�นกึ พลเมืองตอ่ ชมุ ชน
รวม ๔๐

2 แผนการจัดการเรียนรู้ “รายวิชาเพ่ิมเติม การป้องกันการทจุ รติ ”

หนว่ ยท่ี ๑

การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม

แผนการจัดการเรยี นรู้
หน่วยที่ ๑ ช่อื หน่วย การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
ชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๖
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตน เวลา ๑ ช่วั โมง
และผลประโยชน์สว่ นรวมในระดับประเทศ

๑. ผลการเรียนรู้
๑.๑ มีความรู้ความเขา้ ใจเกีย่ วกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
๑.๒ สามารถคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวมได้
๒. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
นกั เรยี นสามารถวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และสงั เคราะหร์ ะหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
นำ� ไปสู่การทจุ ริตในประเทศ
๓. สาระการเรียนรู้
๓.๑ ความรู้
๑) ประโยชน์ส่วนตน หมายถึง การท่ีบุคคลทั่วไปในสถานะเอกชนหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ไดัทํากิจกรรมหรือได้กระท�ำการต่างๆ เพื่อประโยชน์ส่วนตน ครอบครัว ญาติ เพ่ือน หรือของกลุ่มในสังคม
ที่มคี วามสมั พนั ธก์ นั ในรปู แบบตา่ งๆ เชน่ การประกอบอาชพี การทําธุรกจิ การค้า การลงทุน เพ่อื หาประโยชน์
ในทางการเงนิ หรอื ในทางทรพั ยส์ ินตา่ งๆ เป็นตน้
๒) ประโยชนส์ ว่ นรวม หมายถงึ การทบ่ี คุ คลใดๆ ในสถานะทเี่ ปน เจาหนาทข่ี องรฐั (ผดู้ ํารงตําแหนง
ทางการเมือง ขาราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหนาที่ของรัฐในหนวยงานของรัฐ) ไดกระทําการใดๆ
ตามหนาท่ีหรือไดปฏิบัติหนาท่ีอ่ืนเปนการดําเนินการอีกส่วนหน่ึงที่แยกออกมาจากการด�ำเนินการตามหน้าที่
ในสถานะของเอกชน การกระทำ� การใดๆตามหนาทห่ี รอื การปฏบิ ตั หิ นาทข่ี องเจาหนาทข่ี องรฐั จงึ มวี ตั ถปุ ระสงค
หรือมีเปาหมายเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม หรือการรักษาประโยชนสวนรวมท่ีเป็นประโยชน์ของรัฐการท�ำ
หน้าท่ีของเจาหนาที่ของรัฐจึงมีความเก่ียวข้องเช่ือมโยงกับอ�ำนาจหน้าท่ีตามกฎหมายและจะมีรูปแบบของ
ความสมั พนั ธห รอื มกี ารกระทําในลกั ษณะตางๆกนั ทเ่ี หมอื นหรอื คลายกบั การกระทําของบคุ คลในสถานะเอกชน
เพียงแตการกระทําในสถานะที่เปนเจาหนาท่ีของรัฐกับการกระทําในสถานะเอกชน จะมีความแตกตางกัน
ทวี่ ัตถปุ ระสงค์
๓.๒ ทกั ษะ/กระบวนการ (สมรรถนะท่ีเกดิ )
๑) ความสามารถในการเขยี น
๒) ความสามารถในวเิ คราะหแ์ ยกแยะ
๓.๓ คุณลักษณะทพี่ งึ ประสงค์
๑) ใฝเ่ รยี นรู้
๒) มุ่งมน่ั ในการท�ำงาน

ระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ 3

๔. กจิ กรรมในการเรียนรู้
๔.๑ ข้นั ตอนการเรยี นรู้
๑) ให้นกั เรยี นดูวีดทิ ศั นเ์ รื่อง Animation Anti-Corruption by KPI
๒) ครูถามนักเรียนถึงพฤติกรรมต่างๆที่อยู่ในวีดีทัศน์เรื่อง Animation - Anti - Corruption
by KPI
๓) ครอู ธบิ ายความหมายผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม
๔) นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั สนทนาเกยี่ วกบั พฤตกิ รรมใดเปน็ ผลประโยชนส์ ว่ นตนและพฤตกิ รรมใด
เป็นผลประโยชนส์ ่วนรวม
๕) ให้นักเรียนแบ่งเป็นกลุ่มวิเคราะห์ วิจารณ์ และสังเคราะห์ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและ
ผลประโยชน์ส่วนรวมนำ� ไปสูก่ ารทจุ ริตในประเทศเขียนลงในกระดาษฟลปิ ชารท์
๖) ใหน้ ักเรียนสง่ ตวั แทนออกมานำ� เสนอผลการวิเคราะห์ วจิ ารณ์ และสังเคราะห์ แล้วนำ� ผลงาน
ไปจดั ท�ำปา้ ยนิเทศ
๔.๒ ส่ือการเรียนรู้/แหล่งเรยี นรู้
๑) กระดาษฟลิปชาร์ท
๒) กระดาษกาว
๓) สไี ม้/สเี ทยี น
๔) วีดีทัศน์เรื่อง Animation Anti-Coruption by KPI
๕. การประเมนิ ผลการเรียนรู้
๕.๑ วิธกี ารประเมนิ
๑) สังเกตการตอบค�ำถาม
๒) ตรวจผลงานวเิ คราะห์ วิจารณ์ และสังเคราะหพ์ ฤติกรรม
๓) สังเกตการทำ� งานกลุ่ม
๕.๒ เครอื่ งมือทใี่ ชใ้ นการประเมิน
๑) แบบสังเกตการตอบคำ� ถาม
๒) แบบประเมินผลงาน
๓) แบบประเมนิ การทำ� งานกลมุ่
๕.๓ เกณฑ์การตดั สิน
นักเรียนผ่านการประเมนิ ระดบั ดี ขน้ึ ไป
๖. บนั ทึกหลังการจดั การเรยี นรู้
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
ลงชื่อ........................................ครผู ู้สอน
(.......................................)

4 แผนการจัดการเรียนรู้ “รายวิชาเพมิ่ เตมิ การป้องกันการทจุ รติ ”

๗. ภาคผนวก แบบสังเกตการตอบค�ำถาม

ค�ำชแ้ี จง ท�ำเครื่องหมาย  ลงในชอ่ งระดบั คะแนนพฤตกิ รรมทนี่ ักเรยี นปฏบิ ัติดงั นี้
ระดบั ๓ หมายถงึ แสดงพฤติกรรมให้เหน็ มาก
ระดับ ๒ หมายถงึ แสดงพฤติกรรมให้เห็นปานกลาง
ระดับ ๑ หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมใหเ้ หน็ นอ้ ย

ล�ำ ดับ พฤติกรรม สนใจและ ตอบ ตอบ รวม รอ้ ย การประเมนิ ผล หมาย
ท่ี ช่อื -สกุล ตง้ั ใจฟัง ค�ำ ถาม ค�ำ ถาม คะ ละ เหตุ
คำ�ถาม ได้ตรง อย่างสมา่ํ แนน
๑. ประเด็น เสมอ ผ่าน ไมผ่ า่ น
ชอ่ื -สกุล ๓๒๑ ๓๒๑ ๓๒๑

๒.

๓.

๔.

๕.

๖.

๗.

๘.

๙.

๑๐.



เกณฑ์การประเมิน
คะแนน ๘ - ๙ ระดบั ดีเยยี่ ม
คะแนน ๖ - ๗ ระดับ ดี
คะแนน ๔ - ๕ ระดบั พอใช้
คะแนนตํ่ากว่า ๔ ระดับ ปรบั ปรงุ
นกั เรียนไดค้ ะแนนระดบั ดขี ้นึ ไปถอื วา่ ผ่าน

ระดับช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี ๖ 5

แบบประเมนิ ผลงาน
เรอื่ ง ประโยชน์ส่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวม

ค�ำช้แี จง ทำ� เคร่ืองหมาย  ลงในช่องระดับคะแนนพฤติกรรมที่นักเรียนปฏิบตั ดิ งั นี้
ระดบั ๓ หมายถึง ผลงานครบถ้วนตามเกณฑ์
ระดับ ๒ หมายถงึ ผลงานตามเกณฑ์ส่วนใหญ่
ระดบั ๑ หมายถงึ ผลงานครบตามเกณฑบ์ างส่วน

ลำ�ดบั หวั ข้อประเมนิ ความ ความ ความคดิ รวม ร้อย การประเมินผล หมาย
ที่ ระดบั คะแนน ถกู ตอ้ ง เรยี บร้อย สร้างสรรค์ คะ ละ เหตุ
๓๒๑๓๒๑ แนน
ชือ่ -สกลุ ๓๒๑ ผา่ น ไม่ผ่าน

๑.

๒.

๓.

๔.

๕.

๖.

๗.

๘.

๙.

๑๐.



เกณฑก์ ารประเมนิ
คะแนน ๘ - ๙ ระดับ ดีเยี่ยม
คะแนน ๖ - ๗ ระดบั ดี
คะแนน ๔ - ๕ ระดับ พอใช้
คะแนนตา่ํ กวา่ ๔ ระดบั ปรับปรงุ
นักเรยี นไดค้ ะแนนระดบั ดขี ้นึ ไปถือวา่ ผา่ น

6 แผนการจดั การเรียนรู้ “รายวิชาเพิ่มเตมิ การปอ้ งกนั การทุจรติ ”

แบบประเมินพฤติกรรมการท�ำงานกลุ่ม

กลุ่ม ..........................................................................................................
สมาชกิ ในกลมุ่ ๑................................................................. ๒.................................................................
๓................................................................. ๔.................................................................
๕................................................................. ๖.................................................................
๗................................................................. ๘.................................................................
๙................................................................. ๑๐...............................................................

ค�ำช้ีแจง ทำ� เครอ่ื งหมาย  ลงในชอ่ งที่ตรงกบั ความเป็นจรงิ

พฤตกิ รรมที่สงั เกต คะแนน
๓๒๑
๑. มีสว่ นรว่ มในการแสดงความคิดเหน็
๒. มคี วามกระตือรอื ร้นในการท�ำงาน
๓. มคี วามรับผดิ ชอบในงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย
๔. มีขน้ั ตอนในการท�ำงานอย่างเป็นระบบ
๕. ใชเ้ วลาในการทำ� งานอย่างเหมาะสม

รวม

เกณฑ์การให้คะแนน
พฤตกิ รรมทีท่ �ำเปน็ ประจำ� ให้ ๓ คะแนน
พฤตกิ รรมที่ท�ำเปน็ บางครัง้ ให้ ๒ คะแนน
พฤตกิ รรมทท่ี ำ� น้อยคร้งั ให้ ๑ คะแนน

เกณฑ์การให้คะแนน ระดับ ดเี ย่ียม
คะแนน ๑๓ - ๑๕ ระดับ ดี
คะแนน ๘ - ๑๒ ระดบั พอใช้
คะแนน ๕ - ๗ ระดับ ปรับปรุง
คะแนนต่าํ กว่า ๕

ระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๖ 7

แผนการจดั การเรยี นรู้
หนว่ ยท่ี ๑ ช่อื หน่วย การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม
ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๖
แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ ๒ เรื่อง การแยกแยะผลประโยชน์สว่ นตน เวลา ๒ ชว่ั โมง
และผลประโยชน์ส่วนรวม โดยใช้ระบบคิดฐานสอง

๑. ผลการเรียนรู้
๑.๑ มคี วามรคู้ วามเข้าใจเกี่ยวกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม
๑.๒ สามารถคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวมได้
๒. จุดประสงค์การเรยี นรู้
นักเรียนสามารถแยกแยะผลประโยชนส์ ่วนตนออกจากผลประโยชน์ส่วนรวมไดโ้ ดยใช้ระบบคดิ ฐานสอง
ในประเทศ
๓.สาระการเรียนรู้
๓.๑ ความรู้
“การปฏิบัติงานแบบใชระบบคิดฐานสอง (Digital)” คือ การที่เจาหนาท่ีของรัฐมีระบบการคิด
ทส่ี ามารถแยกเรอ่ื งต�ำแหนง่ หน้าท่ีกบั เรื่องส่วนบุคคลออกจากกันได้อยา่ งชัดเจนวา่ ส่ิงไหนถกู ส่ิงไหนผิด สง่ิ ไหน
ทําไดสิ่งไหนทําไมไดส่ิงไหนคือประโยชนสวนบุคคลสิ่งไหนคือประโยชนสวนรวม ไม่น�ำมาปะปนกันไมนํา
บุคลากรหรือทรัพยส นิ ของราชการมาใชเ พ่ือประโยชนส ว นบุคคลไม่เบยี ดบงั ราชการ เห็นแก่ประโยชน์สว นรวม
หรือของหน่วยงานเหนือกว่าประโยชน์ของสวนบุคคล เครือญาติและพวกพอง ไมแสวงหาประโยชนจาก
ตําแหนงหนาทร่ี าชการ ไมร ับทรัพยสนิ หรือประโยชนอ นื่ ใดจากการปฏบิ ตั หิ นาท่กี รณีเกดิ การขัดกันระหวา่ ง
ประโยชนสว นบุคคลและประโยชนสวนรวม ก็จะยดึ ประโยชนสว นรวมเปน็ หลัก
๓.๒ ทกั ษะ/กระบวนการ (สมรรถนะทีเ่ กดิ )
๑) ความสามารถในการสือ่ สาร
๒) ความสามารถในวเิ คราะห์แยกแยะ สรปุ
๓.๓ คุณลักษณะทพี่ ึงประสงค์
๑) ใฝเ่ รยี นรู้
๒) มงุ่ มั่นในการทำ� งาน
๔. กิจกรรมในการเรยี นรู้
๔.๑ ขัน้ ตอนการเรียนรู้
ชั่วโมงท่ี ๑
๑) ใหน้ ักเรยี นแบ่งกลุ่มออกเปน็ ๖ กลุม่ และสง่ ตัวแทนออกมาจับฉลากข้อความเหตุการณ์
๒) ครูอธิบายว่านักเรียนแต่ละกลุ่มจะต้องทําโครงเร่ือง ๓ ฉาก ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มระดม
ความคิดวา่ จะเกดิ เหตกุ ารณอ์ ะไรขนึ้ ตอ่ ไป จากเหตุการณท์ กี่ ําหนดดงั ตอ่ ไปน้ี
กลมุ่ ๑ เหตุการณ์เกิดทโ่ี รงเรยี นแหง่ หนงึ่ นกั เรยี น ป.๖ กําลงั ดมื่ นมโรงเรียนมนี ักเรยี นคนหนงึ่
มองดูท่กี ล่องนมแลว้ พดู ว่า “นมหมดอายุแล้วน”่ี

8 แผนการจัดการเรยี นรู้ “รายวิชาเพิม่ เติม การปอ้ งกนั การทจุ รติ ”

กลุ่ม ๒ เหตุการณ์เกิดท่ีโรงเรียนแห่งหนึ่ง นักเรียน ป.๖ กลุ่มหน่ึงเดินผ่านห้องน้อง ป.๕
ทกี่ ําลังน่ังทำ� สอบกนั อยูใ่ นห้องสอบและเหน็ ร่นุ น้อง ป.๕ กําลังลอกข้อสอบกันอยู่
กลุ่ม ๓ เหตกุ ารณ์เกดิ ทส่ี แ่ี ยกไฟแดงหน้าโรงเรียน ขณะทนี่ กั เรยี นกลุ่มหนง่ึ กําลังเดนิ ขา้ มถนน
ตรงทางมา้ ลายเพือ่ ไปโรงเรยี น ไดเ้ หลอื บไปเหน็ รถยนต์คันหนึง่ ฝา่ ไฟแดงจนทําใหเ้ จา้ หนา้ ท่ตี ํารวจเรยี กรถยนต์
คนั นนั้ นักเรยี นกล่มุ นจ้ี ึงสังเกตเห็นและพบว่า คนทีข่ บั รถยนต์ฝา่ ไฟแดงกําลังย่ืนเงินให้เจา้ หน้าทีต่ ํารวจ
กลุ่ม ๔ เหตุการณ์เกิดที่ร้านสะดวกซ้ือแห่งหนึ่ง นักเรียนกลุ่มหนึ่งเข้าไปซ้ือของในร้าน
เด็กนักเรยี นคนหนึง่ เหน็ วา่ ไม่มีใครเข้ามาซื้อของในร้านเลยเลย จงึ ชวนเพอ่ื นแอบขโมยของในร้านแหง่ นั้น
กลุ่ม ๕ เหตุการณเ์ กดิ ทีบ่ า้ นนกั เรียนคนหน่ึง เมื่อนักเรยี นคนหนงึ่ ชวนเพอ่ื นๆมาเท่ียวท่บี า้ น
ขณะท่ีกําลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน เหตุการณ์ท่ีไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น นักเรียนคนหนึ่งทําแจกันใบละหลาย
หม่ืนบาทแตก แตก่ ลบั ปฏิเสธวา่ ตนเองไม่ได้ทํา แลว้ กล่าวโทษเพอ่ื นอกี คน ท้งั ที่เพอ่ื นคนน้นั ไม่ได้เป็นคนทํา
กลุม่ ๖ เหตกุ ารณ์เกิดทใ่ี ต้สะพานลอยแหง่ หนึง่ นักเรียนกลมุ่ หนึง่ กําลังรีบไปโรงเรยี นเพราะ
สายมากแล้ว นักเรียนกลุ่มน้ีตัดสินใจวิ่งขา้ มถนนโดยไม่ใช้สะพานลอย และกระโดดข้ามแนวก้ันตรงเกาะกลาง
ถนนเพ่ือความรวดเรว็
๓) ใหน้ ักเรียนสรา้ งเคา้ โครงเรื่อง ๓ ฉาก โดยมีเนื้อสาระ ดังนี้
ก. เกิดเหตกุ ารณ์อะไรขึน้ บา้ ง
ข. สาเหตขุ องเหตกุ ารณด์ งั กล่าว
ค. ผลของเหตกุ ารณม์ อี ะไรบ้าง
๔) ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันคิดว่าถ้าจะแก้ไขไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวควรทําอย่างไร
แล้วเขียนลงในกระดาษฟลิปชาร์ท โดยนําเสนอเป็นฉากบทบาทสมมติที่มีบทสนทนาไม่เกิน ๓ ประโยค
แล้วน�ำเสนอ
๕) ครูสรุปวา่ การทจุ รติ คอร์รัปชนั ตา่ งๆ เชน่ การซอ้ื นมหมดอายใุ หน้ ักเรียนกนิ การลอกข้อสอบ
การใหเ้ งนิ แกเ่ จ้าหนา้ ทขี่ องรฐั เปน็ ตน้ เปน็ การกระทําทไี่ มถ่ กู ตอ้ ง และสง่ ผลตอ่ นกั เรยี นและคนอนื่ ๆ อกี มากมาย
ถา้ สงั คมใดทมี่ กี ารทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั กนั มาก จะทำ� ใหค้ นในสงั คมเดอื ดรอ้ นและไมส่ งบสขุ สงั คมนน้ั จะเปน็ อยา่ งไร
ก็จะมีแต่เด็กป่วยจากการดื่มนมหมดอายุ เด็กได้คะแนนดีแต่ลอกข้อสอบคนอื่นมาความซ่ือสัตย์ต่อการกระทํา
ของตนเองดังกรณีเด็กที่ทําแจกันแตกก็ต้องยอมรับผิด และการข้ามถนนโดยไม่ใช้สะพานลอยท่ีเกิดจาก
ความมักง่ายขาดระเบียบวินัยที่ดีซ่ึงส่ิงเหล่านี้จะติดตัวนักเรียนไปเรื่อยๆ เม่ือเติบโตเป็นผู้ใหญ่เด็กเหล่าน้ี
ก็จะทําสิ่งท่ีไม่ดีนี้อีก แต่ถ้าคนปฏิบัติตนอย่างถูกต้องและต่อต้านการทุจริต ร่วมกันดูแลสังคมให้ปลอดจาก
การโกง สงั คมกจ็ ะมีแต่ความสงบสขุ ไม่มีการเอาเปรยี บและเบยี ดเบียนซึ่งกนั และกนั
๖) ครูให้นกั เรียนหาข่าวหรือเหตกุ ารณเ์ กีย่ วกับการทุจริตคอรร์ ัปชนั หรอื การโกงคนละ ๑ เรอ่ื ง
เพอื่ ท�ำกิจกรรมในครง้ั ต่อไป
ช่วั โมงท่ี ๒
๑) ครใู ห้นกั เรียนดโู ฆษณาเร่อื ง ยักษ์กินเมอื ง เพอ่ื สื่อให้นกั เรียนเหน็ ถงึ พลังทสี่ ําคัญของนักเรียน
รุ่นใหม่ทีต่ อ้ ต่านการทุจริตคอร์รัปชัน ครูอาจจะถามนักเรยี นว่า ยักษ์เปรียบไดก้ บั อะไรบา้ ง หรืออธิบายว่า ยกั ษ์
เปรียบเสมือนเช้ือโรคร้ายแรงที่นักเรียนทุกคนต้องต่อสู้ด้วยการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเองและสังคมเพื่อสร้าง
สงั คมที่นา่ อยู่ดว้ ยพลงั ของนกั เรยี นทุกคน

ระดบั ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ 9

๒) หลงั จากดูโฆษณาเรอ่ื ง ยกั ษ์กินเมือง ครเู ลือกนกั เรยี นบางคนเพือ่ เล่าขา่ วทนี่ ํามาให้เพื่อนฟงั
๓) ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม โดยนักเรียนแต่ละกลุ่มนําข่าวของตนเองติดลงบนกระดาษฟลิปชาร์ท
ของกลุ่มและระดมความคดิ เพ่ือตอบคําถามต่อไปนล้ี งในกระดาษฟลิปชารท์
ก. ข่าวหรอื เหตุการณท์ ี่นักเรยี นแตล่ ะคนในกลุ่ม นํามาแลกเปลยี่ น มอี ะไรบ้าง
ข. ขา่ วหรอื เหตุการณ์ทีน่ ักเรยี นแตล่ ะคนในกลมุ่ นํามาแลกเปล่ยี น ส่งผลกระทบตอ่ ใครบา้ ง
ค. ขา่ วหรอื เหตกุ ารณท์ นี่ กั เรยี นแตล่ ะคนในกลมุ่ นํามาแลกเปลยี่ น นกั เรยี นรสู้ กึ อยา่ งไรตอ่ ขา่ ว
หรือเหตุการณ์เหล่านนั้
ง. ให้นักเรียนระดมความคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนออกจากผลประโยชน์ส่วนรวม
ในระบบคิดฐาน ๒ ในประเทศ
๕) ใหน้ กั เรยี นแต่ละกลุ่มนําเสนอผลงาน
๖) ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มแลกเปล่ียนและแสดงความคิดเห็นถ้าจะเปลี่ยนแปลงจากคนท่ีโกง
ให้เป็นคนดี ควรปฏิบัติอย่างไรบ้างหรือสร้างจิตสํานึกอย่างไร และถ้าปฏิบัติได้จริงจะเกิดผลอย่างไรต่อ
สงั คมบา้ ง
๗) ครอู ธบิ ายวาจะมกี ารรณรงคใ์ หน กั เรยี นในโรงเรยี น“เปลย่ี นความคดิ ชวี ติ เปลยี่ น” Change คอื
การสรางคนดที ไ่ี มโ กง และรงั เกยี จการโกงไดอ ยางไรโดยคดิ ๑ แนวคดิ ตอ ๑ กลมุ ทจ่ี ะใชร ณรงคใ นโรงเรยี น เชน
หยุดการโกงเพ่ือสังคมนาอยู หรอื ประเทศชาตเิ สยี หายมากแลว เพราะ “การโกง” หรืออยาเอาเปรียบกนั เลย
โกงกันทําไม เปนตน
๘) ครูใหนักเรียนแตละกลุมวางแผนในการจัดท�ำโปสเตอรและแนวทางการรณรงค์ในโรงเรียน
ลงในกระดาษฟลิปชาร์ท
๔.๒ สอ่ื การเรยี นการสอน
๑) ตวั อยางโครงเรือ่ ง ๓ ฉาก
๒) วดี ทิ ศั นโ ฆษณาเรอ่ื ง ยกั ษก นิ เมอื ง https://www.youtube.com/watch?v=YrZZqR_xVPA
๓) กระดาษฟลิปชารท์
๕. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๕.๑ วธิ กี ารประเมิน
๑) สังเกตจาการตอบคำ� ถาม
๒) ตรวจผลงาน
๕.๒ เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน
๑) แบบสงั เกตการตอบค�ำถาม
๒) แบบประเมนิ ผลงาน
๕.๓ เกณฑก์ ารตัดสนิ
นกั เรยี นผ่านการประเมินระดับดขี ้นึ ไป
10 แผนการจัดการเรียนรู้ “รายวชิ าเพ่ิมเติม การป้องกนั การทจุ รติ ”

๖. บันทกึ หลังการจดั การเรียนรู้
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ........................................ครูผูส้ อน
(.......................................)
๗. ภาคผนวก

ตวั อยา่ งฉากละคร ๓ ฉาก

ระดบั ช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๖ 11

แบบประเมินพฤติกรรมการท�ำงานกลุ่ม

กลมุ่ ..........................................................................................................
สมาชิกในกลุ่ม ๑................................................................. ๒.................................................................
๓................................................................. ๔.................................................................
๕................................................................. ๖.................................................................
๗................................................................. ๘.................................................................
๙................................................................. ๑๐...............................................................

ค�ำชแ้ี จง ทำ� เคร่ืองหมาย  ลงในชอ่ งที่ตรงกับความเปน็ จริง

พฤตกิ รรมทีส่ งั เกต คะแนน
๓๒๑
๑. มีส่วนร่วมในการแสดงความคดิ เหน็
๒. มคี วามกระตือรือร้นในการท�ำงาน
๓. มคี วามรบั ผิดชอบในงานทีไ่ ด้รบั มอบหมาย
๔. มีขั้นตอนในการท�ำงานอยา่ งเป็นระบบ
๕. ใชเ้ วลาในการท�ำงานอย่างเหมาะสม

รวม

เกณฑ์การให้คะแนน
พฤติกรรมท่ที �ำเปน็ ประจำ� ให้ ๓ คะแนน
พฤตกิ รรมทท่ี �ำเปน็ บางคร้งั ให้ ๒ คะแนน
พฤตกิ รรมทท่ี �ำนอ้ ยครั้ง ให้ ๑ คะแนน

เกณฑ์การให้คะแนน ระดับ ดีเย่ยี ม
คะแนน ๑๓ - ๑๕ ระดบั ดี
คะแนน ๘ - ๑๒ ระดับ พอใช้
คะแนน ๕ - ๗ ระดบั ปรับปรุง
คะแนนตํา่ กวา่ ๕

12 แผนการจัดการเรียนรู้ “รายวิชาเพม่ิ เติม การป้องกนั การทจุ ริต”

แบบประเมนิ ผลงาน
เรือ่ ง ประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวม

ค�ำชแี้ จง ทำ� เครื่องหมาย  ลงในชอ่ งระดบั คะแนนพฤติกรรมท่นี ักเรยี นปฏบิ ตั ิดงั นี้
ระดับ ๓ หมายถึง ผลงานครบถว้ นตามเกณฑ์
ระดับ ๒ หมายถึง ผลงานตามเกณฑส์ ว่ นใหญ่
ระดบั ๑ หมายถึง ผลงานครบตามเกณฑ์บางส่วน

ล�ำ ดับ หัวขอ้ ประเมนิ ความ ความ ความคิด รวม รอ้ ย การประเมนิ ผล หมาย
ท่ี ระดับคะแนน ถูกตอ้ ง เรียบรอ้ ย สร้างสรรค์ คะ ละ
๓๒๑ ๓๒๑ แนน เหตุ
ช่ือ-สกุล ๓๒๑ ผ่าน ไม่ผ่าน

๑.

๒.

๓.

๔.

๕.

๖.

๗.

๘.

๙.

๑๐.



เกณฑก์ ารประเมิน
คะแนน ๘ - ๙ ระดับ ดเี ย่ียม
คะแนน ๖ - ๗ ระดับ ดี
คะแนน ๔ - ๕ ระดับ พอใช้
คะแนนตาํ่ กวา่ ๔ ระดบั ปรับปรงุ

ระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๖ 13

แผนการจัดการเรยี นรู้

หนว่ ยท่ี ๑ ช่ือหน่วย การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม
ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๖
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๓ เร่ือง พฤติกรรมและผลของพฤติกรรมระบบคดิ ฐานสบิ เวลา ๒ ช่วั โมง
ในระดบั ประเทศ
๑. ผลการเรียนรู้
๑.๑ มีความรคู้ วามเข้าใจเกย่ี วกับการแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม
๑.๒ สามารถคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวมได้
๒.จดุ ประสงค์การเรียนรู้
๒.๑ นักเรยี นสามารถแยกแยะผลประโยชนส์ ่วนตนออกจากผลประโยชนส์ ่วนรวมได้
๒.๒ นักเรยี นตระหนักถงึ ผลประโยชนส์ าธารณะมากอ่ นผลประโยชนส์ ว่ นตน
๓. สาระการเรยี นรู้
๓.๑ ความรู้
๑) ระบบคิดฐานสิบ เป็นการคิดระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่มีตัวเลขหลายตัวและหมายถึงโอกาส
ทีเ่ ลือกได้หลายทาง เกดิ ความคิดท่หี ลากหลาย ซบั ซอ้ น หากน�ำมาเปรียบเทียบกบั การปฏบิ ัตงิ านของเจา้ หนา้ ที่
ของรฐั จะทำ� ให้เจ้าหนา้ ทขี่ องรัฐแยกประโยชนส์ ่วนตนและสว่ นรวมออกจากกนั ไมไ่ ด้
๒) การทเ่ี จา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ยงั มรี ะบบการคดิ ทน่ี ำ� ประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ว่ นรวมมาปะปน
กันไปหมด แยกแยะไม่ออกว่าสิ่งไหนคือประโยชน์ส่วนตน ส่ิงไหนคือประโยชน์ส่วนรวม น�ำส่ิงของราชการ
มาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน เบียดบังราชการ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าประโยชน์ส่วนรวมหรือของ
หน่วยงาน จะคอยแสวงหาประโยชน์จากต�ำแหน่งหน้าท่ีราชการเพ่ือตนเอง เครือญาติ หรือพวกพ้อง กรณี
เกดิ การขดั กนั ระหว่างประโยชน์สว่ นตนและประโยชน์ส่วนรวมจะยึดประโยชนส์ ่วนตนเป็นหลัก
๓.๒ ทักษะ/กระบวนการ (สมรรถนะท่เี กดิ )
๑) ความสามารถในการเขียน
๒) ความสามารถในวเิ คราะหแ์ ยกแยะ สรปุ
๓.๓ คุณลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์
๑) ใฝ่เรียนรู้
๒) มุ่งมน่ั ในการท�ำงาน
๔. กจิ กรรมในการเรียนรู้
๔.๑ ขนั้ ตอนการเรยี นรู้
ชวั่ โมงที่ ๑
(ครใู ห้นกั เรียนคน้ คว้าขา่ วหรอื เหตกุ ารณ์เกีย่ วกับการทจุ ริตคอรร์ ปั ชนั่ หรือกลโกง คนละ ๑ เรื่อง
โดยให้ครมู อบหมายงานลว่ งหนา้ ๑ สปั ดาห์)
๑) ครูใหน้ ักเรียนดสู อ่ื วดี ที ศั น์ ปปช. หนว่ ยที่ ๓ เรอ่ื ง ปญั หาการทุจริตคอร์รัปชนั

14 แผนการจดั การเรยี นรู้ “รายวชิ าเพม่ิ เตมิ การป้องกันการทจุ ริต”

๒) ครูและนกั เรยี นสนทนาเกย่ี วกบั ปญั หาการทุจริตคอร์รปั ชัน จากสอ่ื วดี ที ัศน์ ปปช. หนว่ ยท่ี ๓
เรื่อง ปัญหาการทจุ รติ คอรร์ ัปชันและร่วมกันสรปุ
๓) ครูให้นักเรียนน�ำข่าวหรือเหตุการณ์ที่ค้นคว้ามาวิเคราะห์ตามประเด็นวิเคราะห์ท่ีก�ำหนด
ในใบงาน
๔) ครูสุ่มเลือกนักเรียนออกมาน�ำเสนอข่าวหรือเหตุการณ์หน้าชั้นเรียนเพ่ือแลกเปล่ียนเรียนรู้
กับเพอื่ นๆ ในชน้ั เรียน
ชวั่ โมงท่ี ๒
๑) ใหน้ กั เรียนแบ่งกลุ่ม ตอบคำ� ถาม ข้อท่ี ๑-๔ ลงในกระดาษฟลปิ ชารท์
๑.๑ นักเรียนคิดวา่ เหตใุ ดคนจงึ คิดทจุ รติ หากเป็นนกั เรยี นจะคดิ เชน่ นั้นหรือไมเ่ พราะเหตุใด
๑.๒ ให้นกั เรยี นเสนอแนวทางในการปอ้ งกันการทจุ รติ
๑.๓ การทจุ รติ จะสง่ ผลตอ่ ประเทศชาติ บา้ นเมอื งอย่างไร
๑.๔ ในฐานะของนักเรียนควรปฏบิ ัตติ นอยา่ งไรจึงจะมสี ่วนร่วมในการดำ� รงไวซ้ งึ่ ชาตไิ ทย
๑.๕ ให้นกั เรยี นบอกผลของพฤติกรรมระบบคิดฐานสบิ ทีส่ ง่ ผลตอ่ ประเทศชาติ
๒) ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ออกแบบวาดรปู ภาพการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ และเขยี นคำ� ขวญั เพอื่ รณรงค์
และปลูกจติ ส�ำนึกการปอ้ งกนั การทุจริต
๓) ครใู ห้นกั เรยี นส่งตัวแทนนำ� เสนอผลงานแล้วนำ� ไปจดั ทำ� ป้ายนิเทศ
๔.๒ สอ่ื การเรยี นรู้/แหล่งเรยี นรู้
๑) ใบงานเรอื่ ง การวเิ คราะห์ขา่ วหรอื เหตุการณ์
๒) สือ่ ปปช. หน่วยที่ ๓ ทุจริตถนน และจราจรเรียกเงิน
๓) กระดาษฟลิปชารท์
๕. การประเมินผลการเรียนรู้
๕.๑ วิธีการประเมนิ
๑) สังเกตตอบค�ำถาม
๒) ตรวจผลงาน
๕.๒ เครือ่ งมือทใี่ ช้ในการประเมนิ
๑) แบบสงั เกตตอบค�ำถาม
๒) แบบประเมินผลงาน
๕.๓ เกณฑก์ ารตดั สิน
นักเรยี นผา่ นการประเมนิ ร้อยละ ๘๐ ขนึ้ ไป หรอื ระดับดีขนึ้ ไป
๖. บนั ทึกหลงั การจดั การเรยี นรู้
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ........................................ครูผสู้ อน
(.......................................)

ระดับชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๖ 15

๗. ภาคผนวก ใบงาน
เร่อื ง การวิเคราะหข์ า่ วหรือเหตุการณ์

ชอ่ื -สกลุ ......................................................................................ชัน้ ................ เลขท่.ี ................

ติดข่าว

ประเดน็ วิเคราะห์
๑. ข่ำวหรือเหตุกำรณ์ที่นักเรยี นนำ� มำสง่ ผลกระทบตอ่ ใครบำ้ ง

…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. นกั เรยี นรสู้ กึ อยำ่ งไรต่อขำ่ วหรอื เหตกุ ำรณท์ ่ีน�ำมำ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
16 แผนการจดั การเรยี นรู้ “รายวชิ าเพิม่ เติม การป้องกนั การทจุ รติ ”

แบบประเมินพฤตกิ รรมการท�ำงานกลุ่ม

กลมุ่ ..........................................................................................................
สมาชิกในกลมุ่ ๑................................................................. ๒.................................................................
๓................................................................. ๔.................................................................
๕................................................................. ๖.................................................................
๗................................................................. ๘.................................................................
๙................................................................. ๑๐...............................................................

ค�ำชี้แจง ท�ำเครื่องหมาย  ลงในช่องที่ตรงกับความเป็นจริง

พฤติกรรมท่ีสงั เกต คะแนน
๓๒๑
๑. มสี ว่ นรว่ มในการแสดงความคิดเหน็
๒. มคี วามกระตือรือรน้ ในการทำ� งาน
๓. มีความรับผิดชอบในงานที่ได้รบั มอบหมาย
๔. มีข้ันตอนในการทำ� งานอยา่ งเปน็ ระบบ
๕. ใช้เวลาในการทำ� งานอยา่ งเหมาะสม

รวม

เกณฑ์การใหค้ ะแนน
พฤติกรรมที่ทำ� เปน็ ประจ�ำ ให้ ๓ คะแนน
พฤตกิ รรมที่ทำ� เปน็ บางครั้ง ให้ ๒ คะแนน
พฤตกิ รรมทท่ี �ำนอ้ ยครงั้ ให้ ๑ คะแนน

เกณฑก์ ารให้คะแนน ระดบั ดเี ยีย่ ม
คะแนน ๑๓ - ๑๕ ระดบั ดี
คะแนน ๘ - ๑๒ ระดบั พอใช้
คะแนน ๕ - ๗ ระดับ ปรับปรงุ
คะแนนตาํ่ กวา่ ๕

ระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ 17

แผนการจดั การเรียนรู้
หนว่ ยท่ี ๑ ช่อื หน่วย การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม
ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๖
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๔ เรื่อง การทุจริตทเี่ กิดข้นึ ในโรงเรียนและจริยธรรม เวลา ๒ ชวั่ โมง
ทใ่ี ชใ้ นการปอ้ งกันการทจุ ริตในโรงเรียน

๑. ผลการเรยี นรู้
นกั เรยี นมคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
๒. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
๒.๑ นกั เรียนสามารถวเิ คราะหก์ ารทจุ รติ ทเ่ี กดิ ข้นึ โรงเรียน
๒.๒ นกั เรยี นสามารถวิเคราะห์จรยิ ธรรมท่ใี ช้ในการป้องกันการทจุ ริตในโรงเรยี น
๓. สาระการเรียนรู้
๓.๑ ความรู้
ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมและการทจุ ริต
๑) จริยธรรม หมายถึง แนวทางซ่ึงเป็นกฎเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติในส่ิงที่ถูกต้องดีงาม
และเป็นลักษณะท่ีสังคมต้องการเป็นสิ่งท่ีเกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมส่วนรวม บุคคลท่ีมีจริยธรรม
อยู่ในตนเอง ย่อมเป็นท่ียอมรับนับถือของคนในสังคมและสามารถด�ำเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข เป็นคน
ทมี่ ีคุณภาพและเปน็ ที่ยอมรับของสงั คมสว่ นรวม
๒) การทจุ รติ คอื การคดโกง ไมซ่ อื่ สตั ยส์ จุ รติ การกระทำ� ทผ่ี ดิ กฎหมาย เพอื่ ใหเ้ กดิ ความไดเ้ ปรยี บ
ในการแขง่ ขนั การใชอ้ ำ� นาจหนา้ ทใ่ี นทางทผี่ ดิ เพอื่ แสวงหาประโยชนห์ รอื ใหไ้ ดร้ บั สงิ่ ตอบแทน การใหห้ รอื การรบั
สินบน การกำ� หนดนโยบายทีเ่ อือ้ ประโยชน์แกต่ นหรือพวกพ้องรวมถงึ การทุจริตเชงิ นโยบาย
๓) ความแตกตา่ งระหว่างจริยธรรมและการทุจรติ คือ จรยิ ธรรมเป็นแนวทางซึ่งเป็นกฎเกณฑ์
ในการประพฤติปฏิบัติในส่ิงท่ีถูกต้องดีงาม ส่วนการทุจริต คือ การคดโกง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต การกระท�ำที่ผิด
กฎหมาย
๓.๒ สมรรถนะส�ำคัญของผเู้ รยี น
๑) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต
๒) ความสามารถในการคิด
๓.๓ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
๑) ความซ่อื สัตย์สุจรติ
๒) ความมีวนิ ยั
๔. กิจกรรมการเรียนรู้
๔.๑ ขัน้ ตอนการเรยี นรู้
ชวั่ โมงที่ ๑
๑) ครใู หน้ กั เรยี นชมวีดีทศั น์ เรื่อง “ของหลวง”

18 แผนการจดั การเรยี นรู้ “รายวิชาเพ่มิ เตมิ การป้องกนั การทจุ ริต”

๒) ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ แลว้ ตงั้ คำ� ถามจากการชมวดี ที ศั น์ โดยครกู ำ� หนดคำ� ถามใหใ้ ชค้ ำ� วา่ “ทำ� ไม”
“เพราะเหตใุ ด” “ผลเปน็ อย่างไร”เช่น เพราะเหตใุ ดโดมจึงพงั ลง เป็นต้น
๓) ครูสุ่มถามนกั เรียน แล้วช่วยกนั สรุปผลจาการชมวีดีทศั นเ์ ร่ือง “ของหลวง”
๔) ครใู หน้ ักเรียนศึกษาใบความรู้ เร่ือง “การทุจริต” จากนั้นครูอธิบายความหมายของการทุจริต
ชั่วโมงที่ ๒
๑) ครใู หน้ กั เรยี นยกตวั อย่างของเหตกุ ารณห์ รอื การกระทำ� ทแี่ สดงถงึ การทจุ รติ ตา่ ง ๆ ในสงั คมไทย
๒) ครูใหน้ กั เรียนศกึ ษาใบความรู้ เรือ่ ง จรยิ ธรรม จากนัน้ ครูอธบิ ายความหมายของจริยธรรม
๓) ครใู หน้ กั เรยี นยกตวั อยา่ งของเหตกุ ารณห์ รอื การกระทำ� ทแี่ สดงถงึ จรยิ ธรรมต่าง ๆ ในสงั คมไทย
เช่น ขา้ ราชการไมร่ ับของขวญั จากผูม้ าตดิ ต่อราชการ
๔) ครูให้นักเรียนเขียนแยกแยะการกระท�ำท่ีแสดงให้เห็นถึงการมีจริยธรรมและการกระท�ำ
ท่แี สดงใหเ้ หน็ ถงึ การทุจรติ ลงในใบงาน เรื่อง ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมและการทจุ ริต
๕) ให้นักเรียนบอกจริยธรรมที่ใช้ในการป้องกันการทุจริตในโรงเรียนและร่วมกันสรุปความ
แตกตา่ งระหว่างจริยธรรมและการทจุ รติ ดงั น้ี
๕.๑ จริยธรรม หมายถงึ แนวทางซงึ่ เป็นกฎเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบตั ใิ นสิ่งทถี่ ูกตอ้ งดงี าม
และเป็นลักษณะที่สังคมต้องการเป็นส่ิงท่ีเกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมส่วนรวม บุคคลท่ีมีจริยธรรมอยู่ใน
ตนเอง ยอ่ มเปน็ ทย่ี อมรบั นบั ถอื ของคนในสงั คมและสามารถดำ� เนนิ ชวี ติ ไดอ้ ย่างเปน็ ปกตสิ ขุ เปน็ คนทม่ี คี ณุ ภาพ
และเป็นท่ียอมรับของสังคมสว่ นรวม
๕.๒ การทุจริต คือ การคดโกง ไม่ซ่ือสัตย์สุจริต การกระท�ำที่ผิดกฎหมาย เพื่อให้เกิด
ความได้เปรียบในการแข่งขัน การใช้อ�ำนาจหน้าท่ีในทางที่ผิดเพ่ือแสวงหาประโยชน์หรือให้ได้รับส่ิงตอบแทน
การให้หรือการรบั สินบน การกำ� หนดนโยบายท่เี อ้ือประโยชน์แกต่ นหรือพวกพ้องรวมถึงการทุจริตเชิงนโยบาย
๕.๓ ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมและการทุจริต คือ จริยธรรมเป็นแนวทางซ่ึงเป็น
กฎเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติในส่ิงที่ถูกต้องดีงาม ส่วนการทุจริต คือ การคดโกง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต
การกระทำ� ที่ผดิ กฎหมาย
๔.๒ สือ่ การเรยี นรู้
๑) วีดทิ ศั น์ เร่ือง ของหลวง
๒) ใบความรู้ เรอ่ื ง การทจุ ริต
๓) ใบความรู้ เรอื่ ง จรยิ ธรรม
๔) ใบงาน เรอื่ ง ความแตกต่างระหวา่ งจริยธรรมและการทุจริต
๕. การประเมินผลการเรียนรู้
๕.๑ วิธีการประเมนิ
๑) ตรวจผลงานการท�ำใบงาน เรื่อง ความแตกต่างระหว่างจรยิ ธรรมและการทจุ ริต
๒) สังเกตพฤติกรรมซื่อสตั ยส์ จุ ริต
๕.๒ เคร่ืองมอื ทใี่ ช้ในการประเมิน
๑) แบบใหค้ ะแนนการตรวจผลงานใบงาน เรอื่ ง ความแตกตา่ งระหว่างจริยธรรมและการทจุ รติ
๒) แบบสังเกตพฤติกรรมซ่อื สัตยส์ จุ ริต

ระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี ๖ 19

๕.๓ เกณฑ์การตดั สนิ
นกั เรียนผำ่ นเกณฑก์ ำรประเมินร้อยละ ๘๐ ขึน้ ไป

๖. บันทึกหลงั การจดั การเรียนรู้
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................

ลงชื่อ........................................ครผู สู้ อน
(.......................................)
๗. ภาคผนวก
ใบความรู้
เรอ่ื ง การทจุ ริต

ปัญหำกำรทุจริต เป็นปญั หำทสี่ ำ� คญั ทั้งของประเทศไทยและประเทศอ่นื ๆ ท่วั โลก ปัญหำกำรทุจริต
จะท�ำให้เกิดควำมเสื่อมในด้ำนต่ำงๆ เกิดข้ึน ท้ังสังคม เศรษฐกิจ กำรเมือง และนับวันปัญหำดังกล่ำว
ก็จะรุนแรงมำกข้ึน และมีรูปแบบกำรทุจริตท่ีซับซ้อน ยำกแก่กำรตรวจสอบมำกขึ้น จำกเดิมท่ีกระท�ำ
เพยี งสองฝ่ำย ปัจจุบนั กำรทุจริตจะกระท�ำกันหลำยฝำ่ ย ทั้งผูด้ ำ� รงต�ำแหนง่ ทำงกำรเมอื ง เจำ้ หน้ำทขี่ องรฐั
และเอกชน โดยประกอบด้วยสองส่วนใหญ่ๆ คือ ผู้ให้ผลประโยชน์กับผู้รับผลประโยชน์ ซ่ึงทั้งสองฝ่ำยน้ี
จะมผี ลประโยชนร์ ว่ มกนั ตรำบใดทผ่ี ลประโยชนส์ มเหตสุ มผลตอ่ กนั กจ็ ะนำ� ไปสปู่ ญั หำกำรทจุ รติ ได ้ บำงครงั้
ผทู้ ่ีรบั ผลประโยชนก์ เ็ ปน็ ผู้ให้ประโยชนไ์ ด้เช่นกนั โดยผู้รบั ผลประโยชน์และผ้ใู หผ้ ลประโยชน ์ คือ

๑. ผรู้ บั ผลประโยชน์ จะเปน็ เจำ้ หนำ้ ทข่ี องรฐั ซง่ึ มอี ำ� นำจ หนำ้ ทใ่ี นกำรกระทำ� กำรดำ� เนนิ กำรตำ่ งๆ
และรบั ประโยชนจ์ ะเปน็ ไปในรปู แบบตำ่ งๆ เชน่ กำรจดั ซอ้ื จดั จำ้ ง กำรเรยี กรบั ประโยชนโ์ ดยตรง กำรกำ� หนด
ระเบยี บหรอื คณุ สมบัตทิ ีเ่ อ้อื ต่อตนเองและพวกพ้อง

๒. ผใู้ หผ้ ลประโยชน์ เช่น ภำคเอกชน โดยกำรเสนอผลตอบแทนในรปู แบบตำ่ งๆ เชน่ เงิน สิทธิ
พิเศษอ่ืนๆ เพื่อจูงใจให้นักกำรเมือง เจ้ำหน้ำที่ของรัฐ กระท�ำกำรหรือไม่กระท�ำกำรอย่ำงใดอย่ำงหน่ึง
ในตำ� แหน่งหนำ้ ท ่ี ซึง่ กำรกระท�ำดังกล่ำวเป็นกำรกระท�ำทฝ่ี ำ่ ฝนื ต่อระเบยี บหรอื ผดิ กฎหมำย เป็นตน้

ทจุ ริต คืออะไร
คำ� วำ่ ทจุ รติ มกี ำรใหค้ วำมหมำยไดม้ ำกมำย หลำกหลำย ขน้ึ อยกู่ บั วำ่ จะมกี ำรใหค้ วำมหมำยดงั กลำ่ ว
ไว้ว่ำอย่ำงไร โดยที่ค�ำว่ำทุจริตน้ัน จะมีกำรให้ควำมหมำยโดยหน่วยงำนของรัฐ หรือกำรให้ควำมหมำย
โดยกฎหมำยซ่ึงไม่ว่ำจะเป็นกำรให้ควำมหมำยจำกแหล่งใด เน้ือหำส�ำคัญของค�ำว่ำทุจริตก็ยังคงมี
ควำมหมำยที่สอดคล้องกันอยู่ นั่นคือ กำรทุจริตเป็นส่ิงที่ไม่ดี มีกำรแสวหำหรือเอำผลประโยชน์ของ
ส่วนรวม มำเป็นของส่วนตัว ท้ังๆ ที่ตนเองไม่ได้มีสิทธิในส่ิงๆ นั้น กำรยึดถือ เอำมำดังกล่ำวจึงถือเป็น
สงิ่ ท่ีผดิ ท้งั ในแงข่ องกฎหมำยและศีลธรรม
ดังนั้น การทุจริต คือ กำรคดโกง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต กำรกระท�ำที่ผิดกฎหมำย เพ่ือให้เกิดควำมได้
เปรยี บในกำรแขง่ ขนั กำรใชอ้ ำ� นำจหนำ้ ทใ่ี นทำงทผ่ี ดิ เพอ่ื แสวงหำประโยชนห์ รอื ใหไ้ ดร้ บั สงิ่ ตอบแทน กำรให้
หรือกำรรับสนิ บน กำรกำ� หนดนโยบำยท่ีเอือ้ ประโยชน์แก่ตนหรือพวกพอ้ งรวมถงึ กำรทุจรติ เชงิ นโยบำย

20 แผนการจัดการเรียนรู้ “รายวชิ าเพม่ิ เติม การป้องกนั การทจุ ริต”

ใบความรู้
เรือ่ ง จริยธรรม

ควำมดีงำมทำงสังคม ถือเป็นกฎเกณฑ์แห่งควำมประพฤติ หรือหลักควำมจริงที่เป็น
แนวทำงแห่งควำมประพฤติปฏิบัติให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่ำงเป็นสุข กำรศึกษำเรื่อง
จรยิ ธรรม จึงเป็นหนึ่งในวชิ ำปรชั ญำท่ีศกึ ษำเกย่ี วกบั ควำมดงี ำมทำงสังคมมนษุ ย์
ความหมายของ จริยธรรม
จรยิ ธรรม หมำยถงึ สงิ่ ทท่ี ำ� ไดใ้ นทำงวนิ ยั จนเกดิ ควำมเคยชนิ มพี ลงั ใจ มคี วำมตง้ั ใจแนว่ แน่
จงึ ตอ้ งอำศยั ปัญญำ และปัญญำอำจเกิดจำกควำมศรัทธำเชือ่ ถอื ผู้อน่ื ในทำงพุทธศำสนำสอนวำ่
จริยธรรมคือกำรน�ำควำมรู้ ควำมจริงหรือกฎธรรมชำติมำใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อกำรด�ำเนินชีวิต
ทด่ี งี ำม (พระรำชวรมนุ )ี
พจนำนุกรมไทยฉบับรำชบัณฑิตสถำน (๒๕๔๖ ) ให้ควำมหมำยของจริยธรรมไว้ว่ำ
หมำยถงึ ธรรมทเ่ี ปน็ ขอ้ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
โคลเบิร์ก (Kohlberg 1972 : 212) กล่ำวถึงจริยธรรมว่ำ จริยธรรมเป็นควำมรู้สึก
ผิดชอบชั่วดี เป็นกฎเกณฑ์และมำตรฐำนของกำรประพฤติปฏิบัติในสังคมซึ่งบุคคลพัฒนำข้ึน
จนกระทั่งมีพฤติกรรมเป็นของตนเอง โดยสังคมจะเป็นตัวตัดสินผลของกำรกระท�ำ นั้นว่ำ
เป็นกำรกระทำ� ที่ถกู หรือผิด
จำกควำมหมำยท่ีกล่ำวมำ สรุปได้ว่ำ จริยธรรม หมำยถึง แนวทำงซ่ึงเป็นกฎเกณฑ์
ในกำรประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นสง่ิ ทถ่ี กู ตอ้ งดงี ำม และเปน็ ลกั ษณะทส่ี งั คมตอ้ งกำรเปน็ สง่ิ ทเ่ี กดิ ประโยชน์
ต่อตนเองและสังคมส่วนรวม บุคคลท่ีมีจริยธรรมอยู่ในตนเอง ย่อมเป็นที่ยอมรับนับถือของคน
ในสังคมและสำมำรถด�ำเนินชีวิตได้อย่ำงเป็นปกติสุข เป็นคนที่มีคุณภำพและเป็นที่ยอมรับ
ของสงั คมสว่ นรวม

ระดับช้ันประถมศึกษำปที ่ ี ๖ 21

ใบงาน
เรอ่ื ง ความแตกตา่ งระหว่างจริยธรรมและการทจุ ริต

ชื่อ.............................................................................................................ชั้น..........................เลขท.่ี .................
ค�ำช้ีแจง ให้นักเรียนเขียนการกระท�ำท่ีแสดงให้เห็นถึงจริยธรรมและการระท�ำท่ีแสดงให้เห็นถึงการทุจริต
ลงในแผนผงั ทีก่ �ำหนดให้

การทุจริต







การ
กระท�ำ

จรยิ ธรรม







22 แผนการจดั การเรียนรู้ “รายวชิ าเพ่ิมเตมิ การป้องกนั การทุจรติ ”

แบบสงั เกตพฤติกรรมเร่อื ง ซอื่ สตั ย์ สุจริต

ค�ำช้แี จง การบนั ทกึ ใหท้ �ำเครื่องหมาย  ลงในชอ่ งที่ตรงกับพฤตกิ รรมทเ่ี กิดขึน้ จริง

รายการ

เลขที่ ชือ่ - สกุล พดู ไม่ลัก ตรงไป ท�ำตัว รู้จกั สรุปผล
ความจรงิ ขโมย ตรงมา น่าเชอื่ ถอื แยกแยะ การประเมนิ
ประโยชน์

ส่วน
ตนและ
ประโยชน์ ไม่
สว่ นรวม ผา่ น ผา่ น

ลงชือ่ ...........................................ผปู้ ระเมิน
(………………………………….)
………../…………./………….
เกณฑ์การประเมนิ
ผ่านตง้ั แต่ ๓ รายการ ถือว่า ผา่ น
ผ่าน ๒ รายการ ถือว่า ไมผ่ ่าน

ระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ๖ 23

แผนการจัดการเรยี นรู้

หน่วยท่ี ๑ ชือ่ หนว่ ย การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม
ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ๖
แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ ๕ เรอ่ื ง การเปรยี บเทียบและบอกข้อดขี ้อเสยี ของผลประโยชน ์ เวลา ๒ ชัว่ โมง
สว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวมในส่วนที่เกย่ี วกบั ประเทศ
๑. ผลการเรยี นรู้
นกั เรยี นมคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
๒. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
๒.๑ นักเรียนสามารถเปรียบเทียบผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวมในส่วนท่ีเก่ียวกับ
ประเทศ
๒.๒ นักเรียนสามารถบอกข้อดีของผลประโยชน์ส่วนตนและบอกข้อเสียของผลประโยชน์ส่วนรวม
ในส่วนที่เกยี่ วกับประเทศ
๓. สาระการเรยี นรู้
๓.๑ ความรู้
ความหมายของประโยชนส์ ว่ นตนกบั ประโยชนส์ ่วนรวม
๑) ประโยชน์ส่วนตน หมายถึง การที่บุคคลท่ัวไปในสถานะเอกชนหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐได้ท�ำ
กจิ กรรมหรอื ไดก้ ระทำ� การต่างๆ เพือ่ ประโยชน์ส่วนตน ครอบครวั ญาติ เพ่อื นหรือของกล่มุ ในสังคม
๒) ประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ หมายถึง การที่บุคคลใดๆ ในสถานะที่เป็น
เจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้กระท�ำการใดๆ ตามหน้าที่หรือได้ปฏิบัติหน้าท่ี อันเป็นการด�ำเนินการในอีกส่วนหน่ึง
ที่แยกออกมาจากการดำ� เนนิ การตามหนา้ ท่ใี นสถานะของเอกชน
๓.๒ สมรรถนะส�ำคญั ของผูเ้ รยี น
๑) ความสามารถในการสอ่ื สาร
๒) ความสามารถในการคดิ
๓.๓ คณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์
ซือ่ สัตย์สุจรติ
๔. กจิ กรรมการเรยี นรู้
๔.๑ ข้ันตอนการเรียนรู้
ชว่ั โมงที่ ๑
๑) ครใู ห้นกั เรียนดภู าพเกี่ยวกบั สาธารณะสมบัติ เชน่ สวนสาธารณะ รถไฟสาธารณะ เป็นตน้
๒) ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั สนทนาเกี่ยวกับภาพ ดงั น้ี
- ภาพนี้เกี่ยวกบั อะไร
- ภาพน้ีมกี จิ กรรมอะไรบา้ ง
- ส่งิ ของในภาพนี้อะไรท่ีเปน็ ของส่วนตวั
- สงิ่ ของในภาพน้ีอะไรท่ีเป็นของสว่ นรวม
24 แผนการจัดการเรียนรู้ “รายวิชาเพ่มิ เติม การปอ้ งกันการทุจริต”

๓) ครูสรุปความหมายของคำ� ว่า “ผลประโยชนส์ ่วนตน” กับ “ผลประโยชนส์ ว่ นรวม”
๔) ครซู ักถามนักเรยี นเกยี่ วกบั สงิ่ ของสว่ นรวม ดงั นี้
- สงิ่ ของทีเ่ ป็นของส่วนรวมมีประโยชน์อย่างไร
- ใครเปน็ ผไู้ ด้รับประโยชนจ์ ากส่ิงของส่วนรวมนัน้
- ใครเป็นผดู้ แู ลรกั ษาส่งิ ของส่วนรวม
- มวี ิธีการดูแลรกั ษาส่งิ ของสว่ นรวมอยา่ งไร
๕) ครซู ักถามนกั เรยี นเก่ียวกบั สิง่ ของสว่ นตน ดังน้ี
- สง่ิ ของที่เป็นของสว่ นตนมีประโยชน์อย่างไร
- ใครเป็นผ้ไู ดร้ ับประโยชน์จากส่งิ ของส่วนตนนน้ั
- ใครเป็นผดู้ ูแลรกั ษาสง่ิ ของส่วนตน
- มวี ิธกี ารดูแลรักษาสิง่ ของสว่ นตนอย่างไร
๖) ใหน้ กั เรียนเปรียบเทียบผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม
ช่วั โมงท่ี ๒
๑) ครูให้นกั เรียนท�ำใบงาน เร่อื ง ผลประโยชนส์ ่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม
๒) ให้นักเรียนบอกข้อดีของผลประโยชน์ส่วนรวมและบอกข้อเสียของผลประโยชน์ส่วนตน
ทเ่ี กยี่ วกับระดับประเทศ
๓) ให้นักเรยี นนำ� เสนอผลงานหนา้ ช้นั เรียน
๔) นักเรียนน�ำผลงานไปตดิ ทป่ี ้ายประชาสัมพันธข์ องโรงเรยี น
๔.๒ สอื่ การเรียนรู้
๑) รูปภาพเกี่ยวกบั สาธารณะสมบัติ เช่น สวนสาธารณะ เป็นตน้
๒) ใบงาน เร่ือง ผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชน์ส่วนรวม
๕. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้
๕.๑ วธิ กี ารประเมนิ
๑) ตรวจผลงานการท�ำใบงาน เร่อื ง ผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม
๒) สังเกตพฤติกรรม ซ่อื สตั ย์ สจุ รติ
๕.๒ เคร่อื งมือท่ีใช้ในการประเมนิ
๑) แบบใหค้ ะแนนการตรวจผลงานใบงาน
๒) แบบสังเกตพฤติกรรม ซอ่ื สตั ย์สจุ รติ
๕.๓ เกณฑก์ ารตัดสิน
นักเรยี นผา่ นเกณฑ์การประเมนิ รอ้ ยละ ๘๐ ขึน้ ไป

ระดับช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๖ 25

๖. บนั ทกึ หลงั การจดั การเรียนรู้
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
ลงชอื่ ........................................ครผู ้สู อน
(.......................................)
๗. ภาคผนวก

ใบงาน
เรื่อง ผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม

ชอ่ื ............................................................................................................ชัน้ ..........................เลขท.ี่ .................
ค�ำชี้แจง ให้นักเรยี นตอบคำ� ถามดงั ต่อไปน้ี
๑. ผลประโยชนส์ ่วนตน หมายถงึ อะไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๒. ผลประโยชน์ส่วนรวม หมายถงึ อะไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๓. จงยกตัวอย่างการกระทำ� ทเี่ ปน็ ผลประโยชนส์ ว่ นตน มา ๓ ขอ้
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
๔. จงยกตวั อยา่ งการกระท�ำที่เป็นผลประโยชนส์ ว่ นรวม มา ๓ ขอ้
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

26 แผนการจัดการเรียนรู้ “รายวชิ าเพิ่มเติม การปอ้ งกันการทจุ ริต”

แบบสงั เกตพฤติกรรมเร่อื ง ซอื่ สตั ย์ สุจริต

ค�ำช้แี จง การบนั ทกึ ใหท้ �ำเครื่องหมาย  ลงในชอ่ งที่ตรงกับพฤตกิ รรมทเ่ี กิดขึน้ จริง

รายการ

เลขที่ ชือ่ - สกุล พดู ไม่ลัก ตรงไป ท�ำตัว รู้จกั สรุปผล
ความจรงิ ขโมย ตรงมา น่าเชอื่ ถอื แยกแยะ การประเมนิ
ประโยชน์

ส่วน
ตนและ
ประโยชน์ ไม่
สว่ นรวม ผา่ น ผา่ น

ลงชือ่ ...........................................ผปู้ ระเมิน
(………………………………….)
………../…………./………….
เกณฑ์การประเมนิ
ผ่านตง้ั แต่ ๓ รายการ ถือว่า ผา่ น
ผ่าน ๒ รายการ ถือว่า ไมผ่ ่าน

ระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ๖ 27

แผนการจดั การเรยี นรู้
หนว่ ยที่ ๑ ชอื่ หน่วย การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี ๖
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี ๖ เรือ่ ง การขดั แย้งกนั ระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตน เวลา ๒ ชว่ั โมง
และผลประโยชนส์ ่วนรวม

๑. ผลการเรียนรู้
๑.๑ นกั เรยี นมคี วามรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับการแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์
ส่วนรวม
๑.๒ สามารถคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวมได้
๒. จุดประสงค์การเรียนรู้
๒.๑ นักเรียนสามารถบอกผลกระทบจากการขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์
ส่วนรวมได้
๒.๒ นักเรียนสามารถบอกวิธีการแก้ไขความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์
ส่วนรวมได้
๓. สาระการเรียนรู้
๓.๑ ความรู้
ความหมายของการขดั แยง้
ความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม หมายถึง สถานการณ์
หรือการกระท�ำที่บุคคลไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ พนักงานบริษัท หรือผู้บริหารมีผลประโยชน์
ส่วนตัวมากจนมีผลต่อการตัดสินใจ หรือการปฏิบัติหน้าท่ีในต�ำแหน่งหน้าท่ีที่บุคคลน้ันรับผิดชอบอยู่ และ
สง่ ผลกระทบตอ่ ประโยชนส์ ว่ นรวม ซง่ึ การกระทำ� นน้ั อาจจะเกดิ ขน้ึ อยา่ งรตู้ วั หรอื ไมร่ ตู้ วั ทงั้ เจตนาและไมเ่ จตนา
และมีรูปแบบที่หลากหลาย จนกระท่ังกลายเป็นส่ิงที่ปฏิบัติกันทั่วไป โดยไม่เห็นว่าเป็นความผิด เช่น การรับ
สินบน การจ่ายเงนิ ใต้โต๊ะ การจา่ ยเงินตอบแทนเพอ่ื ให้ตนเอง
๓.๒ สมรรถนะส�ำคัญของผเู้ รยี น
๑) ความสามารถในการสื่อสาร
๒) ความสามารถในการคดิ
๓.๓ คุณลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์
ซอ่ื สัตย์สจุ ริต
๔. กจิ กรรมการเรียนรู้
๔.๑ ข้ันตอนการเรียนรู้
ช่วั โมงที่ ๑
๑) ครทู บทวนเรื่องผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม
๒) ครูเลา่ เหตุการณเ์ รื่อง “แม่ประนอมร้อง ถกู ลกู สาว - ลูกเขย ฮบุ กิจการนํา้ พริกเผา”

28 แผนการจัดการเรยี นรู้ “รายวชิ าเพิม่ เติม การปอ้ งกันการทุจรติ ”

แมป่ ระนอมรอ้ ง ถกู ลกู สาว - ลูกเขย ฮุบกิจการนาำ้ พริกเผา
แมป่ ระนอม” ผกู้ ่อต้ังธรุ กิจน้ำ� พริกเผำช่ือดงั ยนื่ หนงั สือร้องเรยี นถึง นำยกฯ ขอควำมเปน็ ธรรม
อำ้ งถกู “ลูกสำว-ลกู เขย” ยึดกจิ กำร พรอ้ มใช้เงินแทรกแซงกระบวนกำรยุติธรรม เม่ือวันที่ ๒๕ มี.ค. ๕๙
ท่ีศูนย์บริกำรประชำชน ส�ำนักปลัดส�ำนักนำยกรัฐมนตรี ท�ำเนียบรัฐบำล นำงประนอม แดงสุภำ
ผกู้ อ่ ตงั้ ธรุ กจิ น�้ำพริกเผำแมป่ ระนอม ในนำมบรษิ ทั พิบูลย์ชัยน�้ำพรกิ เผำไทยแมป่ ระนอม จ�ำกัด เดนิ ทำง
เข้ำย่ืนหนังสือร้องเรียนขอควำมเป็นธรรมโดยระบุว่ำ ถูก นำงศิริพร แดงสุภำ บุตรสำวคนโต และ
นำยสุชำต ิ ภำษำประเทศ บตุ รเขย ฮุบกิจกำร ซึ่งทผ่ี ่ำนมำ นำงศิริพร เปน็ ท่ีไว้วำงใจของคนในครอบครวั
มำโดยตลอด จึงได้ให้ดูแล และบริหำรงำนต่ำงๆ แทนครอบครัวคนเดียว จนต่อมำ เมื่อปี ๒๕๕๘
นำงศริ ิพร ไดฮ้ บุ กิจกำร โดยปลอมหนงั สือมอบอำ� นำจจำก นำยศิริชัย สำมี ซ่ึงถงึ แกก่ รรม เม่อื ปี ๒๕๕๖
โอนท่ีดินกองมรดกมำเป็นของตัวเอง ต่อมำจึงทรำบว่ำ นำงศิริพร และ นำยสุชำติ ได้ฮุบกิจกำร
น�้ำพริกเผำแม่ประนอมไปเป็นของตัวเองเรียบร้อย ซึ่งได้เปล่ียนแปลงรำยช่ือผู้ถือหุ้นของบริษัทใหม่
ท้ังหมด โดยตัดชื่อ นำยศิริชัย ตน และบุตรคนอื่นๆ ออกจำกรำยชื่อผู้ถือหุ้นทั้งหมด แล้วใส่ช่ือของ
ตัวเองและบุตรเขยเข้ำไปแทน จนตอ่ มำท้ัง 2 คน กไ็ ดข้ ับไล่ตนออกจำกบำ้ นอกี ดว้ ย
๓) ครูให้นักเรียนวิพำกษ์วิจำรณ์เกี่ยวกับกำรกระท�ำของลูกสำวคนโตและแม่ประนอมว่ำถูกต้อง
หรือไม่ อย่ำงไร
๔) ครอู ธบิ ำยควำมหมำยของคำ� วำ่ กำรขดั แยง้ กนั กำรขดั แยง้ กนั หมำยถงึ ไมล่ งรอยกนั ไมเ่ หน็ พอ้ ง
ตอ้ งกนั ท้งั ในเรอ่ื งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
๕) ใหน้ ักเรยี นช่วยกนั ยกตัวอย่ำงกรณที ี่บุคคลขดั แย้งกันในสงั คมประมำณ ๔-๕ เรือ่ ง แลว้ เขียน
บันทกึ ลงในสมุด
๖) ให้นักเรียนบอกผลกระทบของกำรขัดแย้งกันระหว่ำงผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์
สว่ นรวม

ชัว่ โมงที่ ๒
๑) ครใู ห้นักเรียนบอกผลกระทบจำกกำรขัดแยง้ กันระหวำ่ งผลประโยชน์สว่ นตนกับผลประโยชน์
ส่วนรวม
๒) ครสู นทนำซกั ถำมนกั เรยี นว่ำ “ถำ้ นกั เรียนพบเหน็ กำรกระท�ำหรอื เหตุกำรณ์ทีข่ ัดแย้งกัน เชน่
เหตกุ ำรณ์นี้ นกั เรยี นจะมีวธิ กี ำรแก้ไขควำมขดั แย้งกนั ได้อย่ำงไร เช่น ไมเ่ หน็ แกไ่ ด ้ ไมโ่ ลภ ไมอ่ ยำกไดข้ องผอู้ น่ื
เป็นของตนเอง เปน็ ต้น
๓) ครูใหน้ ักเรียนทำ� ใบงำน เรื่อง แทก็ ซ่ไี ลน่ กั ท่องเทีย่ วออกจำกรถอูเบอร์
๔) ให้นักเรียนบอกวิธีกำรแก้ไขควำมขัดแย้งระหว่ำงผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์
ส่วนรวม
๕) นักเรยี นนำ� เสนอเพอื่ แลกเปล่ยี นเรียนรูแ้ ละติดป้ำยนเิ ทศ

ระดับช้ันประถมศกึ ษำปีที ่ ๖ 29

๔.๒ ส่ือการเรียนรู้
๑) ขา่ ว “แม่ประนอมร้อง ถกู ลูกสาว - ลกู เขย ฮบุ กิจการน้าํ พริกเผา”
๒) ใบงาน เร่ือง แทก็ ซ่ีไล่นกั ท่องเท่ียวออกจากรถอูเบอร์
๕. การประเมินผลการเรียนรู้
๕.๑ วธิ ีการประเมิน
๑) สงั เกตพฤตกิ รรม ซือ่ สัตยส์ ุจรติ
๒) ตรวจผลงาน เรื่อง แทก็ ซีไ่ ล่นกั ทอ่ งเท่ียวออกจากรถอเู บอร ์
๕.๒ เครอ่ื งมือทใี่ ช้ในการประเมนิ
๑) แบบให้คะแนนการตรวจใบงาน เรอ่ื ง แท็กซี่ไล่นกั ท่องเท่ียวออกจากรถอูเบอร์
๒) แบบสังเกตพฤติกรรม ซ่อื สตั ยส์ จุ ริต
๕.๓ เกณฑก์ ารตัดสนิ
นกั เรียนผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ร้อยละ ๘๐ ขึน้ ไป
๖. บันทกึ หลงั การจดั การเรียนรู้
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
ลงชื่อ........................................ครูผูส้ อน
(.......................................)

30 แผนการจัดการเรียนรู้ “รายวชิ าเพิม่ เตมิ การป้องกนั การทจุ ริต”

๗. ภาคผนวก

ใบงาน
เรอ่ื ง แท็กซไี่ ลน่ ักท่องเท่ยี วออกจากรถอเู บอร์

ชอื่ ............................................................................................................ชัน้ .......................เลขท่.ี .................
คาำ ช้ีแจง ใหน้ กั เรียนอ่ำนข่ำว แลว้ ตอบค�ำถำมต่อไปน้ี

หนุ่มโชเฟอร์อูเบอร์อัดคลิปแจ้งต�ำรวจจับกลุ่มแท็กซี่พัทยำ หลังถูกล้อม และไล่นักท่องเท่ียว
ลงจำกรถ สรำ้ งควำมตกใจแก่ผู้โดยสำรชำวตำ่ งชำตเิ ปน็ อยำ่ งมำก
โดยเป็นเหตุกำรณ์ที่เกิดข้ึนในช่วงเย็นวำนนี้ (วันที่ ๑๗ พ.ค. ๖๐) ขณะท่ีนำยสุรศักด์ิ คูค�ำ
อำยุ ๒๙ ปี โชเฟอร์รถแท็กซี่อูเบอร์ น�ำรถจอดรับผู้โดยสำรซ่ึงเป็นนักท่องเที่ยวชำวต่ำงประเทศ โดย
ได้มีกลุ่มคนขับสหกรณ์แท็กซ่ีประมำณ ๕-๖ คน เข้ำมำปดล้อมและไล่ให้ผู้โดยสำรลงจำกรถ สร้ำง
ควำมตกใจให้นักท่องเท่ียวชำวต่ำงประเทศเป็นอย่ำงมำก จำกน้ันกลุ่มคนดังกล่ำวก็ยังไม่ยอมปล่อย
ให้รถว่ิงออกไป ยังพยำยำมปดล้อมไว้ แล้วเรียกเจ้ำหน้ำท่ีต�ำรวจมำยึดใบขับข่ีไปเสียค่ำปรับยัง
สภ.เมอื งพทั ยำ เปน็ เงนิ ๑,๐๐๐ บำท
๑. นักเรยี นคดิ ว่ำกำรกระท�ำของกลมุ่ แท็กซีพ่ ัทยำเป็นกำรกระทำ� ที่เหมำะสมหรอื ไม ่ เพรำะเหตใุ ด

๒. ถำ้ นกั เรยี นเปน็ โชเฟอร์รถแท็กซอ่ี เู บอร์ดงั กล่ำว นกั เรียนจะแก้ไขปญั หำทีเ่ กิดข้นึ อยำ่ งไร

ระดบั ชั้นประถมศึกษำปีที ่ ๖ 31

แบบสังเกตพฤติกรรมเรอื่ ง ซื่อสตั ย์ สจุ รติ

ค�ำช้แี จง การบนั ทกึ ให้ท�ำเครือ่ งหมาย  ลงในชอ่ งทีต่ รงกับพฤติกรรมทเี่ กิดข้ึนจริง

รายการ

เลขที่ ชอ่ื - สกุล พูด ไมล่ กั ตรงไป ท�ำตัว รู้จกั สรุปผล
ความจรงิ ขโมย ตรงมา นา่ เชอื่ ถอื แยกแยะ การประเมิน
ประโยชน์

สว่ น
ตนและ
ประโยชน์ ไม่
สว่ นรวม ผ่าน ผา่ น

ลงชอ่ื ...........................................ผปู้ ระเมนิ
(………………………………….)
………../…………./………….
เกณฑก์ ารประเมิน
ผา่ นต้งั แต่ ๓ รายการ ถือวา่ ผ่าน
ผ่าน ๒ รายการ ถือวา่ ไมผ่ า่ น

32 แผนการจัดการเรยี นรู้ “รายวิชาเพ่ิมเติม การป้องกนั การทจุ ริต”

แผนการจัดการเรียนรู้
หนว่ ยที่ ๑ ชือ่ หน่วย การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖
แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ ๗ เรอื่ ง แนวทางการป้องกนั ผลประโยชนท์ บั ซ้อนในชุมชน เวลา ๒ ชัว่ โมง

๑. ผลการเรียนรู้
๑.๑ มคี วามรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกับการแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม
๑.๒ สามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวมได้
๑.๓ ตระหนักและเหน็ ความสำ� คญั ของการต่อตา้ นและปอ้ งกันการทจุ ริต
๒. จุดประสงค์การเรยี นรู้ นกั เรียนสามารถ
๒.๑ นักเรียนสามารถบอกสาเหตุการเกดิ ผลประโยชน์ทับซอ้ นในชมุ ชน
๒.๒ นักเรยี นสามารถบอกแนวทางการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนในชุมชน
๓. สาระการเรียนรู้
๓.๑ ความรู้
ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น คอื ผลประโยชนส์ ว่ นตัวของเจา้ หน้าท่ีรฐั ไปขัดแย้งกบั ผลประโยชน์สว่ นรวม
แล้วต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหน่ึง ซึ่งท�ำให้ตัดสินใจได้ยากในอันท่ีจะปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดความเป็นธรรม
และปราศจากอคติ การทเี่ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั กระทำ� การใดๆตามอำ� นาจหนา้ ทเี่ พอื่ ประโยชนส์ ว่ นรวม แตก่ ลบั เขา้ ไป
มีส่วนได้เสียกับกิจกรรมหรือ การด�ำเนินการที่เอ้ือผลประโยชน์ให้กับตนเองหรือพวกพ้อง ท�ำให้การใช้อ�ำนาจ
หน้าทีเ่ ป็นไปโดยไม่สุจรติ กอ่ ใหเ้ กิดผลเสียต่อภาครฐั
สาเหตุการเกิด ผลประโยชน์ทบั ซ้อน
เกิดจากเจา้ หน้าทข่ี องรัฐมบี ทบาททีข่ ดั แยง้ กัน ๒ บทบาท ไดแ้ ก่
บทบาทที่ ๑ คอื บทบาทที่ตัดสนิ ใจตามหนา้ ทีค่ วามรบั ผดิ ชอบ
บทบาทที่ ๒ คือบทบาทท่ีตัดสินใจตามผลประโยชน์ส่วนตัว ซ่ึงอาจจะไม่ผิดกฎหมาย แต่เม่ือ
ตดั สินใจไปแล้วจะมผี ลกระทบตอ่ การตัดสนิ ใจตามหน้าท่ที �ำใหเ้ กิดปญั หาหรอื ความผิดได้
๓.๒ ทกั ษะ/กระบวนการ (สมรรถนะท่ีเกดิ )
๑) ความสามารถในการอ่านและตคี วามเร่อื งผลประโยชนท์ บั ซอ้ น
๒) ความสามารถในการคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม
๓) ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ผลเสยี ท่เี กิดจากผลประโยชน์ทับซอ้ น
๓.๓ คณุ ลักษณะท่ีพึงประสงค/์ คา่ นยิ ม
๑) มงุ่ มนั่ ในการทำ� งาน
๒) ซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ

ระดับช้นั ประถมศึกษาปที ี่ ๖ 33

๔. กจิ กรรมการเรยี นรู้
๔.๑ ขนั้ ตอนการเรยี นรู้
ช่ัวโมงที่ ๑
๑) ใหน้ กั เรยี นดูวดี ิทัศน์ เรื่อง นมิ นต์ย้ิมเดลคี่ นดีไม่คอร์รัปชัน ตอน รบั ไม่ได้ซง่ึ เป็นเร่อื งเก่ยี วกับ
เจ้าหน้าท่ีเข้าไปตรวจสอบสินค้าแต่เจ้าของสินค้าไม่ให้ตรวจและจะมอบสินบนให้กับเจ้าหน้าท่ี ซ่ึงเจ้าหน้าท่ี
คนน้นั ไม่ยอมรับของดังกลา่ ว
๒) ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายเร่อื งราวทเ่ี กิดขึ้นจากการดวู ีดทิ ัศน์ ตามประเดน็ ตอ่ ไปน้ี
๒.๑ เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น(เจ้าของสินค้าจะมอบสินบนให้เจ้าหน้าท่ีเพ่ือแลกกับการไม่ต้อง
ถกู ตรวจสอบสินค้า)
๒.๒ เจ้าของสินคา้ ท�ำอยา่ งไรเพื่อไมใ่ หถ้ กู ตรวจสอบ(จา่ ยเงินสนิ บนให้เจ้าหนา้ ที)่
๒.๓ เจา้ หนา้ ท่ที �ำอยา่ งไร(ไม่ยอมรบั เงนิ สินบน)
๒.๔ นักเรียนคิดวา่ เจ้าหน้าที่ท�ำถูกหรือไม่เพราะเหตุใด(ท�ำถูกต้อง เพราะสามารถแยกแยะ
ผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวมได)้
๒.๕ ถ้านักเรียนเป็นเจ้าหน้าท่ีนักเรียนจะท�ำอย่างไร(ไม่รับเงินสินบนและจับเจ้าของสินค้า
ไปดำ� เนนิ คดี เพราะการรบั เงนิ สินบนเปน็ เรอ่ื งท่ผี ดิ และเปน็ การจงใจหลกี เลย่ี งการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่)
๒.๖ ผลสรุปการกระท�ำของเจ้าหน้าท่ีเป็นอย่างไร(เจ้าหน้าท่ีเล็งเห็นผลประโยชน์ส่วนรวม
มากกวา่ ผลประโยชนส์ ว่ นตวั และสามารถแยกแยะสงิ่ สองสง่ิ นอี้ อกจากกนั ไดอ้ ยา่ งชดั เจน ทำ� ใหก้ ารปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี
เป็นไปอยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม)
๓) ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มๆ เพ่ือระดมความคิดในการหาผลเสียท่ีอาจเกิดขึ้นหากเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เห็นผลประโยชน์สว่ นตนมากกวา่ ผลประโยชน์ส่วนรวม
๔) ให้นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ออกมาน�ำเสนอหนา้ ชนั้ เรยี น
๕) ครูและนักเรียนร่วมกันวิเคราะห์หาสาเหตุท่ีท�ำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนร่วมกันในระดับ
โรงเรียน จากนัน้ มอบหมายใหน้ กั เรียนสรปุ ออกมาเปน็ แนวความคิดของตัวเอง
๖) ครแู จกใบความรู้ เร่ือง ผลประโยชน์ทบั ซ้อน ใหน้ ักเรยี นแต่ละคนศกึ ษา
๗) ครนู กั เรียนรว่ มกันตรวจสอบ ความถูกต้อง ของสาเหตุทท่ี �ำให้เกดิ ผลประโยชนท์ ับซ้อน
ชั่วโมงที่ ๒
๑) ครูอธิบายความหมายของผลประโยชน์ทับซ้อนว่าเกิดจากการเจ้าหน้าที่ของรัฐมีบทบาท
ทข่ี ดั แยง้ กัน ๒บทบาท ไดแ้ ก่
บทบาทที่ ๑ คอื บทบาททตี่ ัดสินใจตามหน้าทีค่ วามรบั ผิดชอบ
บทบาทท่ี ๒ คือบทบาททีต่ ดั สนิ ใจตามผลประโยชน์สว่ นตวั ซงึ่ อาจจะไมผ่ ิดกฎหมาย แตเ่ มอ่ื
ตัดสินใจไปแล้วจะมีผลกระทบต่อการตัดสนิ ใจตามหนา้ ท่ีท�ำใหเ้ กดิ ปัญหาหรอื ความผิดได้
๒) ให้นักเรียนสร้างผังมโนทัศน์เกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน สาเหตุที่ท�ำให้เกิดผลประโยชน์
ทับซ้อน และผลเสยี ทเ่ี กิดจากผลประโยชนท์ บั ซ้อน
34 แผนการจดั การเรยี นรู้ “รายวชิ าเพม่ิ เติม การปอ้ งกันการทจุ รติ ”

๓) ครยู กสถานการณต์ วั อยา่ ง เชน่ ครสู มพรนำ� กระดาษของโรงเรยี นกลบั มาใหล้ กู ชายใชท้ ำ� รายงาน
๔) ครูและนักเรียนร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ตัวอย่างและแยกแยะบทบาทท่ี ๑ และบทบาท
ที่ ๒ ของบคุ คลในสถานการณ์ ดังนี้
บทบาทท่ี ๑ ครูเบิกกระดาษมาใช้ในงานราชการ
บทบาทที่ ๒ แม่ทต่ี ้องจดั หาอุปกรณ์การเรยี นให้แก่ลกู
๕) มอบหมายใหน้ กั เรยี นรว่ มกนั ระดมความคดิ จากสถานการณต์ วั อยา่ ง บทบาทท่ี ๑ และบทบาท
ท่ี ๒ เกดิ ความทับซ้อนกัน ก่อใหเ้ กดิ ผลเสียอยา่ งไร
๖) ครมู อบหมายใหน้ ักเรยี นทำ� ใบกจิ กรรม เร่ือง ความขัดแย้งของบทบาท
๗) ใหน้ กั เรยี นระดมความคดิ ในการปอ้ งกนั ตนเองจากผลประโยชนท์ บั ซอ้ นและเขยี นลงในใบงาน
เรอ่ื ง การปฏิบตั ิตนเพื่อปอ้ งกันผลประโยชนท์ บั ซ้อน
๔.๒ สือ่ การเรียนร/ู้ แหลง่ การเรียนรู้
๑) วดี ทิ ัศน์ เร่ือง นิมนตย์ ้มิ เดลี่ คนดไี ม่คอรร์ ปั ชนั ตอน รับไม่ได้
๒) ใบความรู้ เรื่อง ผลประโยชนท์ ับซ้อน
๓) ใบงาน เรอ่ื ง ความขัดแย้งของบทบาท
๔) ใบงาน เรื่อง การปฏบิ ัตติ นเพอ่ื ป้องกนั ผลประโยชนท์ ับซอ้ น
๕. การประเมินผลการเรยี นรู้
๕.๑ วธิ ีการประเมนิ
ตรวจผลงานการท�ำใบงาน เร่ือง ความขัดแย้งของบทบาท และการปฏิบัติตนเพื่อป้องกัน
ผลประโยชน์ทับซอ้ น
๕.๒ เครื่องมือท่ีใช้ในการประเมิน
แบบประเมินผลงานการท�ำใบกิจกรรม เร่ือง ความขัดแย้งของบทบาท และการปฏิบัติตนเพื่อ
ปอ้ งกนั ผลประโยชนท์ บั ซ้อน
๕.๓ เกณฑ์การตัดสิน
นกั เรยี นผา่ นการประเมนิ รอ้ ยละ ๘๐ ข้นึ ไป
๖. บนั ทึกหลงั การจดั การเรียนรู้
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
ลงชอื่ ........................................ครผู ู้สอน
(.......................................)

ระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี ๖ 35

๗. ภาคผนวก

ใบความรู้
เรื่อง ผลประโยชน์ทับซอ้ น

ชอ่ื ...........................................................สกลุ ...........................................................เลขท.ี่ .............ชนั้ ................

ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น คือ ผลประโยชน์ส่วนตัวของเจ้ำหน้ำที่รัฐไปขัดแย้งกับผลประโยชน์ส่วนรวม
แลว้ ต้องเลือกเอำอยำ่ งใดอย่ำงหนง่ึ ซึ่งทำ� ให้ตดั สนิ ใจได้ยำกในอันทีจ่ ะปฏิบตั ิ
หน้ำท่ีให้เกิดควำมเป็นธรรมและปรำศจำกอคติกำรท่ีเจ้ำหน้ำท่ีของรัฐกระท�ำกำรใดๆตำมอ�ำนำจหน้ำท่ีเพ่ือ
ประโยชน์ส่วนรวม แต่กลับเข้ำไปมีส่วนได้เสียกับกิจกรรมหรือกำรด�ำเนินกำรที่เอ้ือผลประโยชน์ให้กับตนเอง
หรอื พวกพ้อง ทำ� ให้กำรใชอ้ ำ� นำจหน้ำที่เป็นไปโดยไมส่ จุ รติ กอ่ ใหเ้ กิดผลเสยี ต่อภำครฐั

สาเหตกุ ารเกดิ เกดิ จำกเจำ้ หนำ้ ทีข่ องรัฐมีบทบำทท่ีขดั แย้งกัน ๒ บทบำท ได้แก่
ผลประโยชนท์ ับซ้อน บทบำทท ี่ ๑ คือ บทบำททตี่ ดั สินใจตำมหน้ำทคี่ วำมรบั ผดิ ชอบ
บทบำทท่ี ๒ คอื บทบำทท่ีตดั สินใจตำมผลประโยชน์สว่ นตัว ซ่ึงอำจจะไมผ่ ดิ
กฎหมำย แต่เมือ่ ตดั สินใจไปแลว้ จะมผี ลกระทบต่อกำรตัดสนิ ใจตำมหน้ำทีท่ ำ� ให้เกดิ ปญั หำหรือควำมผดิ ได้

ครสู ั่งใหน้ กั เรยี นไปซื้อของสาำ หรบั ทำางานประดษิ ฐใ์ นวิชาของตนเอง
โดยของชิ้นน้นั หาซื้อไดท้ ี่ร้านค้าของตนเองเทา่ น้นั
บทบำทท ี่ ๑ คือ ส่ังงำนตำมหนำ้ ทขี่ องครู
บทบำทท่ี ๒ คอื ตอ้ งกำรหำรำยได้เข้ำกิจกำรของตัวเอง
ผลประโยชน์ทับซอ้ น คือ ครไู ดร้ บั ผลประโยชน์จำกกำรสั่งใหน้ ักเรียน
ซ้ือของทีร่ ำ้ นคำ้ ของตนเอง

ปลดั อาำ เภอจัดงานเลี้ยงตอ้ นรบั นายอาำ เภอท่มี ารบั หน้าทใี่ หม่ โดยวา่ จา้ ง
น้องชายของภรรยาเป็นผ้จู ดั การ
บทบำทท ี่ ๑ คอื จัดงำนตำมหน้ำทที่ ไ่ี ด้รับมอบหมำย
บทบำทที ่ ๒ คือ จดั หำงำนวำ่ จำ้ งใหก้ จิ กำรภำยในครอบครวั
ผลประโยชนท์ ับซอ้ น คอื อนมุ ัติโครงกำรทม่ี ปี ระโยชนต์ อ่ ธรุ กจิ ของตนเอง
โดยที่โครงกำรนนั้ อำจไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อส่วนรวม
36 แผนการจดั การเรียนรู้ “รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจรติ ”

ใบงาน
เร่ือง ความขัดแยง้ ของบทบาท

ชอื่ ...........................................................สกลุ ...........................................................เลขท.่ี .............ชน้ั ................
จากสถานการณต์ วั อย่างท่กี ำาหนดให้ จงเติมข้อความในชอ่ งวา่ งใหส้ มบรู ณ์
สถำนกำรณต์ วั อย่ำง ครสู มพรน�ำกระดำษของโรงเรียนกลบั มำให้ลูกชำยใชท้ ำ� รำยงำน
บทบำทท่ ี ๑ : ครูเบิกกระดำษมำใช้ในงำนรำชกำร
บทบำทท่ี ๒ : แม่ท่ีตอ้ งจดั หำอปุ กรณ์กำรเรยี นใหแ้ กล่ กู
ผลประโยชน์ทับซอ้ น : น�ำสมบตั ิของรฐั ไปใชส้ ่วนตัว

สถำนกำรณ์ท่ี ๑ ผูอ้ �ำนวยกำรโรงเรยี นรับหลำนสำวเข้ำท�ำงำนในต�ำแหนง่ ครอู ัตรำจำ้ ง
บทบำทที่ ๑ : ………………………………………………………………………………………………….
บทบำทท ี่ ๒ : ………………………………………………………………………………………………….
ผลประโยชนท์ บั ซ้อน : ………………………………………………………………………………………………….
สถำนกำรณ์ที่ ๒ พยำบำลลดั ควิ เข้ำตรวจใหก้ ับคนไขท้ ี่คุ้นเคย
บทบำทท ่ี ๑ : ………………………………………………………………………………………………….
บทบำทท ่ี ๒ : ………………………………………………………………………………………………….
ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น : ………………………………………………………………………………………………….
สถำนกำรณ์ท ี่ ๓ ครนู ำ� ข้อสอบปลำยภำคไปสอนใหน้ กั เรยี นทีเ่ รยี นพิเศษกบั ครูฝกท�ำก่อนสอบ
บทบำทท ่ี ๑ : ………………………………………………………………………………………………….
บทบำทที ่ ๒ : ………………………………………………………………………………………………….
ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น : ………………………………………………………………………………………………….
สถำนกำรณท์ ี่ ๔ ผสู้ มคั รรับเลือกตงั้ เป็นผู้ใหญบ่ ้ำน นำ� นโยบำยของรฐั มำใช้ในกำรหำเสยี ง
บทบำทท ่ี ๑ : ………………………………………………………………………………………………….
บทบำทที่ ๒ : ………………………………………………………………………………………………….
ผลประโยชน์ทับซ้อน : ………………………………………………………………………………………………….

ระดับชั้นประถมศึกษำปีท่ี ๖ 37

ใบงาน
เรื่อง การปฏบิ ัติตนเพื่อปอ้ งกันผลประโยชนท์ ับซอ้ น

ชอ่ื ...........................................................สกลุ ...........................................................เลขท.่ี .............ชน้ั ................

จากสถานการณ์ท่กี �ำหนดให้ จงบอกวธิ ีการปฏิบัตติ ัวเพื่อหลีกเลีย่ งผลประโยชนท์ บั ซอ้ น

ที่ สถานการณ์ ผลประโยชนท์ บั ซ้อนทเี่ กดิ ข้ึน แนวทางการปฏิบตั ิตวั
ของนักเรียน

นักเรยี นแซงควิ ซือ้ ขนมหนา้ โรงเรยี น นกั เรยี นไดซ้ อ้ื ขนมในขณะทค่ี นอน่ื เข้าแถวซอื้ ของใหเ้ รียบรอ้ ย
ต้องเข้าคิวรอเป็นเวลานาน

๑ ภูผาไม่อ่านหนังสือเตรียมสอบจึงตั้งใจ ........................................................ ........................................................
ลอกข้อสอบเพือ่ น ........................................................ ........................................................
........................................................ .......................................................

๒ ครใู หม้ ณชี ว่ ยสอนการบ้านเพือ่ น ........................................................ ........................................................
แต่มณีกลบั เรียกเก็บค่าสอนจากเพอื่ น ........................................................ ........................................................
....................................................... .......................................................

๓ สมชายไม่ชว่ ยเพือ่ นคนอนื่ ๆ ........................................................ ........................................................
ทำ�ความสะอาดห้องเรยี น ........................................................ ........................................................
....................................................... .......................................................

๔ เมธาสอบตกวิชาศิลปะจงึ ซ้อื ขนม ........................................................ ........................................................
มาฝากครผู ู้สอนเพอ่ื หวังให้ครู ........................................................ ........................................................
เพ่ิมคะแนนให้ ....................................................... .......................................................

๕ เมฆาไมช่ อบเรียนวชิ าคณติ ศาสตร ........................................................ ........................................................
........................................................ ........................................................
จ์ งึ แกลง้ ปว่ ยและไปนอนทหี่ อ้ งพยาบาล ....................................................... .......................................................

หมายเหตุ ในแตล่ ะข้อถ้านกั เรียนตอบถูก ๒ ช่องจะได้ ๒ คะแนน
แตถ่ า้ นักเรยี นตอบถกู เพยี ง ๑ ชอ่ งจะได้ ๑ คะแนน

38 แผนการจัดการเรยี นรู้ “รายวิชาเพมิ่ เติม การปอ้ งกนั การทุจริต”

แผนการจดั การเรียนรู้
หนว่ ยท่ี ๑ ชอื่ หน่วย การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ ๖
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ ๘ เรอ่ื ง รูปแบบของผลประโยชนท์ ับซอ้ นในชุมชน เวลา ๒ ชวั่ โมง

๑. ผลการเรยี นรู้
๑.๑ มีความร้คู วามเขา้ ใจเก่ยี วกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม
๑.๒ สามารถคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวมได้
๑.๓ ตระหนักและเหน็ ความส�ำคญั ของการต่อต้านและป้องกันการทุจริต
๒. จุดประสงค์การเรียนรู้ นกั เรียนสามารถ
บอกรปู แบบของผลประโยชน์ทบั ซอ้ นในสังคมได้
๓. สาระการเรยี นรู้
๓.๑ ความรู้
รูปแบบของผลประโยชนท์ บั ซ้อน แบง่ ออกเปน็ ๗ รปู แบบ ไดแ้ ก่
๑) การรบั ผลประโยชนต์ ่างๆ คอื การรับสนิ บน หรือผลประโยชนใ์ นรูปแบบอ่ืนๆ ท่ไี มเ่ หมาะสม
๒) การท�ำธุรกิจกับตัวเองหรือเป็นคู่สัญญา คือ สถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนได้เสียใน
สญั ญาทท่ี ำ� กับหนว่ ยงานทตี่ นสงั กัด
๓) การท�ำงานหลังจากออกจากต�ำแหน่งสาธารณะหรือหลังเกษียณคือ การที่บุคลากรออกจาก
หน่วยงานของรฐั และไปทำ� งานในบริษัทเอกชนทีด่ ำ� เนนิ ธรุ กจิ ประเภทเดียวกับทีต่ นเองเคยมอี ำ� นาจควบคมุ
๔) การท�ำงานพิเศษ เช่น เจ้าหน้าท่ีของรัฐตั้งบริษัทด�ำเนินธุรกิจที่เป็นการแข่งขันกับหน่วยงาน
หรอื องคก์ รสาธารณะทต่ี นสงั กดั
๕) การรบั รขู้ ้อมลู ภายในคือ สถานการณท์ ี่ผดู้ ำ� รงตำ� แหนง่ สาธารณะใช้ประโยชนจ์ ากการรู้ข้อมูล
ภายในเพ่อื ประโยชน์ของตนเอง
๖) การใช้ทรัพย์สนิ ของหนว่ ยงานเพ่ือประโยชน์ของธรุ กจิ สว่ นตวั เช่น การน�ำเคร่ืองใช้สำ� นกั งาน
ต่างๆกลบั ไปใชท้ ี่บา้ น การนำ� รถยนตใ์ นราชการไปใชเ้ พือ่ งานส่วนตัว
๗) การนำ� โครงการสาธารณะลงในเขตเลือกตัง้ เพื่อประโยชนใ์ นทางการเมอื ง เชน่ การทีร่ ัฐมนตรี
อนุมัติโครงการของกระทรวงไปลงในพ้ืนท่ีหรือบ้านเกิดของตนเอง หรือการใช้งบประมาณสาธารณะ เพื่อ
การหาเสยี งเลอื กต้งั
๓.๒ ทักษะ/กระบวนการ (สมรรถนะทเี่ กิด)
๑) ความสามารถในการคิดวเิ คราะหผ์ ลเสียท่ีเกิดจากผลประโยชน์ทบั ซอ้ น
๒) ความสามารถในการอา่ นและตคี วามเรื่องประเภทของผลประโยชนท์ ับซอ้ น
๓.๓ คณุ ลักษณะที่พึงประสงค์/ค่านยิ ม
๑) ซ่ือสตั ยส์ จุ ริต
๒) มีจติ สาธารณะ

ระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๖ 39

๔. กิจกรรมการเรยี นรู้
๔.๑ ขน้ั ตอนการเรยี นรู้
๑) ครูแจกใบความรู้ เรื่อง ประเภทของผลประโยชน์ทับซ้อน ให้นักเรียนแต่ละคนได้ศึกษาหา
ความร้ดู ว้ ยตนเอง
๒) ครูต้งั คำ� ถามนักเรียนว่า
๒.๑ ประโยชนท์ บั ซอ้ นมกี ปี่ ระเภท
๒.๒ ประโยชนท์ ับซ้อนมีอะไรบ้าง
๓) ครูให้นักเรียนตรวจสอบค�ำตอบที่เขียนไว้กับใบความรู้ถูกต้องตรงกันหรือไม่หากไม่ถูกต้อง
ใหแ้ ก้ไขใหถ้ ูกต้อง
๔) ครูมอบหมายให้นักเรยี นแต่ละคนสรา้ งผังมโนทศั น์ เร่ือง ประเภทของผลประโยชน์ทับซอ้ น
๕) ครูยกตัวอย่างสถานการณ์ท่ีตรงตามประเภทของผลประโยชน์ทับซ้อน เพ่ือให้นักเรียน
เกดิ ความรคู้ วามเข้าใจมากยิง่ ข้นึ ดงั ต่อไปน้ี
๕.๑ การรับผลประโยชน์ต่างๆ เช่น หน่วยงานราชการรับเงินบริจาคจากบริษัทเพ่ือจัดซ้ือ
จัดจา้ งแลว้ เจา้ หน้าท่ไี ด้รับของแถมหรอื ผลประโยชน์อ่นื ตอบแทน
๕.๒ การท�ำธุรกิจกับตัวเองหรือเป็นคู่สัญญา เช่น การใช้ต�ำแหน่งหน้าท่ีที่ท�ำให้หน่วยงาน
ท�ำสญั ญาซือ้ สินคา้ จากบรษิ ัทของตนเอง
๕.๓ การทำ� งานหลงั จากออกจากตำ� แหน่งสาธารณะหรอื หลังเกษียณเช่น บุคลากรออกจาก
หน่วยงานของรัฐ และไปท�ำงานในบรษิ ทั เอกชนที่ดำ� เนนิ ธรุ กิจประเภทเดยี วกบั ที่ตนเองเคยมีอ�ำนาจควบคุม
๕.๔ การท�ำงานพิเศษเช่น เจ้าหน้าท่ีของรัฐตั้งบริษัทด�ำเนินธุรกิจที่เป็นการแข่งขันกับ
หนว่ ยงานหรอื องค์กรสาธารณะทีต่ นสงั กัด
๕.๕ การรบั รู้ขอ้ มลู ภายในเชน่ ทราบว่าจะมีการตัดถนนไปตรงไหนกร็ ีบไปซ้ือท่ีดนิ โดยใสช่ ่อื
ภรรยา
๕.๖ การใช้ทรัพย์สินของหน่วยงานเพื่อประโยชน์ของธุรกิจส่วนตัวเช่น การน�ำเคร่ืองใช้
สำ� นกั งานตา่ งๆ กลับไปใช้ทบี่ า้ น
๕.๗ การน�ำโครงการสาธารณะลงในเขตเลือกต้ังเพ่ือประโยชน์ในทางการเมือง เช่น การใช้
งบประมาณสาธารณะ เพื่อการหาเสยี งเลอื กต้งั
๖) ให้นักเรียนแต่ละคนหาเหตุการณ์ในชีวิตประจ�ำวันท่ีเก่ียวกับผลประโยชน์ทับซ้อนจากข่าว
ในหนังสอื พมิ พ์หรอื อินเทอรเ์ นต็ ตามประเภทของผลประโยชน์ทบั ซอ้ นใหไ้ ด้มากท่ีสดุ
๗) ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั บอกรปู แบบของผลประโยชนท์ บั ซ้อนในสงั คม
๔.๒ สือ่ การเรียนรู/้ แหลง่ การเรียนรู้
๑) ใบความรู้ เรื่อง ประเภทของผลประโยชน์ทับซ้อน
๒) ใบงาน เร่ือง การหาเหตกุ ารณใ์ นชีวิตประจ�ำวันที่เก่ยี วกบั ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น
40 แผนการจัดการเรยี นรู้ “รายวชิ าเพ่มิ เติม การปอ้ งกนั การทจุ ริต”

๕. การประเมินผลการเรยี นรู้
๕.๑ วธิ ีการประเมนิ
๑) ตรวจสอบผลงานการท�ำผังมโนทัศน์
๒) ตรวจผลงานการท�ำใบงาน เรื่อง การหาเหตุการณ์ในชีวิตประจ�ำวันท่ีเกี่ยวกับผลประโยชน์
ทบั ซ้อน
๕.๒ เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการประเมิน
๑) แบบประเมินผังมโนทัศน์ เรอื่ ง ประเภทของผลประโยชนท์ ับซอ้ น
๒) แบบตรวจผลงานการทำ� ใบกจิ กรรม เรอ่ื ง ประเภทของผลประโยชนท์ บั ซอ้ น
๕.๓ เกณฑก์ ารตัดสิน
๑) นักเรียนผ่านการประเมิน ระดับดขี ึ้นไป
๒) นักเรยี นยกตัวอยา่ งประเภทของประโยชน์ทบั ซ้อนได้ ๕ ประเภทขนึ้ ไป ถอื ว่าผ่าน
๖. บนั ทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้
.......................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
ลงช่อื ........................................ครูผ้สู อน
(.......................................)

ระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี ๖ 41

๗. ภาคผนวก

ใบความรู้
เรอื่ ง ประเภทของผลประโยชนท์ บั ซ้อน

ชอื่ ...........................................................สกลุ ...........................................................เลขท.่ี .............ชน้ั ................

รูปแบบของผลประโยชน์ทบั ซอ้ น แบ่งออกเป็น ๗ รูปแบบ ไดแ้ ก่

๑. การรบั ผลประโยชนต์ า่ งๆ คอื กำรรบั สนิ บน หรอื ผลประโยชนใ์ นรปู แบบอนื่ ๆ ทไ่ี มเ่ หมำะสม
และมผี ลตอ่ กำรปฏบิ ตั งิ ำนของเจำ้ หนำ้ ท ี่ เชน่ หนว่ ยงำนรำชกำรรบั เงนิ บรจิ ำคสรำ้ งสำ� นกั งำนจำกนกั ธรุ กจิ
หรือบริษัทธุรกจิ ท่ีเปน็ คสู่ ัญญำกับหนว่ ยงำน กำรใช้งบประมำณ ของรัฐเพือ่ จดั ซอ้ื จัดจำ้ งแล้วเจำ้ หนำ้ ท่ี
ได้รบั ของแถมหรือผลประโยชนอ์ นื่ ตอบแทน

๒. การทำาธุรกิจกับตัวเองหรือเป็นคู่สัญญา คือ สถำนกำรณ์ที่เจ้ำหน้ำที่ของรัฐมีส่วนได้เสีย
ในสัญญำท่ีท�ำกับหน่วยงำนท่ีตนสังกัด เช่น กำรใช้ต�ำแหน่งหน้ำท่ีที่ท�ำให้หน่วยงำนท�ำสัญญำซ้ือสินค้ำ
จำกบริษัทของตนเองหรือจ้ำงบริษัทของตนเองเป็นที่ปรึกษำ หรือซื้อที่ดิน ของตนเองในกำรจัดสร้ำง
ส�ำนกั งำน

๓. การทาำ งานหลงั จากออกจากตาำ แหนง่ สาธารณะหรอื หลงั เกษยี ณ คอื กำรทบ่ี คุ ลำกรออกจำก
หน่วยงำนของรัฐ และไปท�ำงำนในบริษัทเอกชนท่ีด�ำเนินธุรกิจประเภทเดียวกับ ที่ตนเองเคยมีอ�ำนำจ
ควบคุม กำ� กบั ดูแล

๔. การทำางานพเิ ศษ เช่น เจ้ำหนำ้ ท่ขี องรัฐต้ังบรษิ ทั ด�ำเนนิ ธุรกิจท่เี ปน็ กำรแขง่ ขันกับหน่วยงำน
หรือองค์กรสำธำรณะที่ตนสังกัด หรือกำรรับจ้ำงเป็นที่ปรึกษำโครงกำรโดยอำศัยต�ำแหน่งในรำชกำร
สร้ำงควำมน่ำเชื่อถือว่ำโครงกำรของผู้ว่ำจ้ำง จะไม่มีปัญหำติดขัด ในกำรพิจำรณำจำกหน่วยงำนท่ีตน
สังกดั อย่ ู

๕. การรบั รขู้ อ้ มลู ภายใน คอื สถำนกำรณท์ ผ่ี ดู้ ำ� รงตำ� แหนง่ สำธำรณะใชป้ ระโยชนจ์ ำกกำรรขู้ อ้ มลู
ภำยในเพอื่ ประโยชนข์ องตนเองเชน่ ทรำบวำ่ จะมกี ำรตดั ถนนไปตรงไหนกร็ บี ไปซอ้ื ทด่ี นิ โดยใสช่ อ่ื ภรรยำ
หรอื ทรำบวำ่ จะมกี ำรซอ้ื ทดี่ นิ เพอ่ื ทำ� โครงกำรของรฐั กร็ บี ไปซอื้ ทดี่ นิ เพอื่ เกง็ กำ� ไรและขำยใหก้ บั รฐั ในรำคำ
ทส่ี งู ข้ึน

๖. การใช้ทรัพย์สินของหน่วยงานเพื่อประโยชน์ของธุรกิจส่วนตัว เช่น กำรน�ำเครื่องใช้
ส�ำนกั งำนต่ำงๆ กลับไปใชท้ ี่บำ้ น กำรนำ� รถยนต์ในรำชกำรไปใช้เพื่องำนสว่ นตัว

๗. การนำาโครงการสาธารณะลงในเขตเลือกต้ังเพื่อประโยชน์ในทางการเมือง เช่น กำรท่ี
รัฐมนตรีอนุมัติโครงกำรของกระทรวงไปลงในพ้ืนที่หรือบ้ำนเกิดของตนเอง หรือกำรใช้งบประมำณ
สำธำรณะ เพื่อกำรหำเสียงเลือกตงั้

42 แผนการจัดการเรยี นรู้ “รายวชิ าเพิม่ เติม การป้องกันการทุจรติ ”

ใบงาน
เรื่อง ประเภทของของผลประโยชนท์ ับซอ้ น

ชือ่ ...............................................................สกุล..............................................เลขที่...................ชน้ั ...............
จงยกตัวอย่างเหตุการณ์ผลประโยชน์ทับซ้อนที่นักเรียนเคยพบเห็นตามประเภทของผลประโยชน์ทับซ้อน
ทกี่ �ำหนดใหถ้ กู ต้องและเหมาะสม

1. การรบั ผลประโยชน์ต่างๆ
……………………………………………
……………………………………………
……………………………………………
……………………………………………
2. การทำ� ธรุ กิจกับตัวเอง
7. การน�ำโครงการสาธารณะลง ……………………………………………
ในเขตเลือกต้ังเพ่ือประโยชน์ใน ……………………………………………
ทางการเมอื ง ……………………………………………
…………………………………………… …………………………………
…………………………………………
……………………………………………
…………………………………………… 3. การท�ำงานหลังจากออกจาก
ตำ� แหน่งสาธารณะหรอื
หลงั เกษียณ
6. การใช้ทรัพย์สินของหน่วยงาน ……………………………………………
เพ่อื ประโยชน์ของธรุ กจิ สว่ นตวั ……………………………………………
……………………………………………… …………………………………….........
………………………………………………
………………………………………………
……………………………………………… 4. การท�ำงานพเิ ศษ
……………………………………………
………………………………………………
5. การรบั รขู้ ้อมลู ภายใน ………………………………………………
……………………………………………………… ………………………………………………
………………………………………………………
………………………………………………………
………………………………………………………

ระดับช้ันประถมศกึ ษาปีที่ ๖ 43

แบบประเมนิ ผงั มโนทศั น์

ที่ ช่ือ-สกลุ เลือกใช้ ัผงมโน ัทศน์เหมาะสม รวม ผลการประเมนิ
ความสวยงามประณีตของ ัผงมโน ัทศน์
รายละเ ีอยดเหมาะสม
สาระถูกต้อง
การสะกดค�ำ เค ่ืรองหมาย การใช้ภาษา ูถกต้อง
อง ์คประกอบของ ัผงมโน ัทศน์ครบถ้วนตาม ่ีทก�ำหนด
การน�ำเสนอข้อมูล ูดง่ายน่าสนใจ
ข้อมูลที่น�ำเสนอชัดเจนถูก ้ตอง

๕ ๕ ๕ ๕ ๕ ๕ ๕ ๕ ๔๐ ผ่าน ไม่ผ่าน


เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
คะแนน ๓๖ - ๔๐ ระดับ ดเี ย่ยี ม
คะแนน ๓๒ - ๓๕ ระดบั ดี
คะแนน ๒๐ - ๓๑ ระดับ พอใช้
คะแนน ตํ่ากวา่ ๒๐ ระดับ ปรับปรงุ
44 แผนการจดั การเรียนรู้ “รายวชิ าเพ่มิ เตมิ การปอ้ งกนั การทจุ ริต”

แบบบันทกึ คะแนนใบงาน

ท่ี ชื่อ-สกุล จ�ำนวนขอ้ ทถ่ี ูกต้อง คะแนน ผลการประเมิน
ผ่าน ไม่ผ่าน

ระดบั ช้นั ประถมศึกษาปีที่ ๖ 45


Click to View FlipBook Version