1 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
คณุ ธรรมกบั การพฒั นาระบบนิเวศมนษุ ย์ ชดุ ที่ 1
ภาครัฐ ภาคธรุ กิจ ภาคการศึกษา และสอ่ื มวลชน
โครงการส่งเสริมการพัฒนาองค์ความรู้และนวตั กรรมดา้ นคุณธรรม
กลมุ่ งานวจิ ยั นวัตกรรม และระบบพฤติกรรมไทย
ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ปี 2563
2 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
คานา
สังคมในยุคปัจจุบัน มีการแก่งแย่งแข่งขันกันสูง และมักยึดเอาประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก แย่งชิง
ทรพั ยากรมาเปน็ ของตนหรอื เอ้อื ประโยชนใ์ หพ้ วกพ้องของตน โดยไม่คานงึ ถึงคณุ ธรรม ศลี ธรรมในการดาเนินธุรกิจ
ซง่ึ นับว่าสังคมจะยิ่งถดถอยลงไปเร่ือย ๆ และทรัพยากรต่าง ๆ กจ็ ะตกไปที่บุคคลเฉพาะกลุ่ม ไม่กระจายไปสู่สังคม
ในวงกว้าง ด้วยเหตุน้ี การหาแนวทางการอยู่รอดขององค์กรจึงเป็นส่ิงสาคัญ โดยต้องอาศัยพลังของการเกื้อกูล
พ่ึงพา บนฐานคิดที่ว่า มนุษย์ทุกคนมีหัวใจแห่งการช่วยเหลือ แบ่งปัน ซึ่งเป็นรากฐานสาคัญในการพัฒนาประเทศ
ดังน้ันการดาเนินงานกับองค์กรหลาย ๆ ภาคส่วน จึงจาเป็นต้องกาหนดเป้าหมายการพัฒนาท้ังคุณภาพชีวิตของ
พนักงานในองค์กร และคนในสังคมหรอื บริบทแวดล้อมให้ดียิ่งขน้ึ ภายใต้ระบบนเิ วศที่เช่ือมโยงถึงกัน
ระบบนิเวศ (Ecosystem) คือ ระบบความสัมพันธ์ของส่ิงแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัว หากอยู่ในสถานะของ
องค์กร ระบบนิเวศจะประกอบด้วยผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กร เช่น เครือข่ายคู่ค้า หุ้นส่วน ผู้ลงทุน ผู้บริโภค
ฯลฯ ท่ีมีการพ่ึงพาอาศัยกันในกลุ่มธุรกิจเดียวกันหรือพื้นที่ใกล้เคียง ดังน้ันในการพัฒนาองค์กรให้เติบโตและสร้าง
ความยั่งยืน จาเป็นต้องอาศัยพลังของการเก้ือกูล พ่ึงพา ท้ังด้านทรัพยากรที่เก้ือหนนุ ระบบนเิ วศ ความหลากหลาย
และความสามารถในการบริหารจัดการคน เพ่ือสร้างผลกระทบหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม สิ่ง
ตา่ งๆ เหลา่ นล้ี ้วนเร่ิมต้นมาจากพฤตินิสัยของมนษุ ยท์ ั้งส้นิ
กลมุ่ งานวิจัยนวตั กรรม และระบบพฤติกรรมไทย ศนู ย์คณุ ธรรม (องคก์ ารมหาชน) ไดพ้ ฒั นาองค์ความรู้
คุณธรรมกับการพัฒนาระบบนิเวศมนุษย์ ชุดท่ี 1 (ภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคการศึกษา และส่ือมวลชน) และชุดท่ี 2
(สถาบันทางศาสนา ชุมชน ประชาสงั คม และครอบครัว) โดยเล็งเห็นถึงความสาคัญของการปรบั เปลี่ยนพฤติกรรม
ของมนษุ ย์ โดยอาศัยปัจจัยแวดล้อม หรือระบบนเิ วศมนุษย์ ซ่ึงประกอบด้วย บุคคล ครอบครวั ชุมชน สถานศึกษา
หรือสถานท่ีทางาน ซ่ึงเป็นระบบไมโคร (Micro System) ท่ีเช่ือมโยงกับระบบต่าง ๆ ในสังคม และเป็นพ้ืนฐาน
สาคญั ทีจ่ ะสรา้ งการเปล่ียนแปลงทด่ี ใี ห้เกดิ ขน้ึ ในสังคมได้
องค์ความรู้ชุดท่ี 1 และชุดที่ 2 จะเป็นการนาเสนอกรณีศึกษาขององค์กรหลายภาคส่วน ท่ีส่งเสริมด้าน
คุณธรรมในองค์กร รวมถึงการพฒั นาระบบนิเวศ โดยการช่วยเหลือ แบ่งปัน สนับสนนุ ทรัพยากรเพ่ือสร้างเครือข่าย
มีการดาเนินวิถีชีวิตท่ีก่อให้เกิดวัฒนธรรมแห่งการเก้ือกูล สร้างโอกาส คุณค่าให้เกิดขึ้นท้ังกระบวนการ โดย
ศูนย์คุณธรรมเช่ือมั่นว่า องค์ความรู้จะเป็นประโยชน์อย่างย่ิง ต่อองค์กรเครือข่าย ชุมชน สังคม ช่วยให้เกิดการจุด
ประกายความคิด ส่งต่อให้กับเครือข่ายต่าง ๆ กลายเป็นแสงสว่างทางปัญญา ความงดงาม และเกิดการ
เปลย่ี นแปลงสู่สังคมทด่ี อี ย่างยงั่ ยนื ต่อไปในอนาคต
ศนู ย์คุณธรรม (องค์การมหาชน)
3 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
สารบัญ 1
บทนา
อาขา่ อ่ามา : สร้างเสนห่ ์กาแฟไทย จากโลคอลสูโ่ กลบอล 9
โรงเรยี นเลก็ ในทงุ่ กวา้ ง : เรยี น ร้อง เตน้ เลน่ ดนตรี กลางทุง่ 18
A-Chieve : สร้างอาชพี ที่ใช่ ชวี ติ ท่ีชอบ ให้วัยรุ่น 25
บุญมีฤทธิ์ : ส่อื บนั ดาลใจ 33
ชูใจ กะ กลั ยาณมิตร : ครเี อทีฟ สร้างสรรค์สงั คม 43
4 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
บทนา
“คุณเป็นค่าเฉล่ียของคน 5 คน ท่ีคุณใช้เวลาอยู่ด้วยมากท่ีสุด” (You are the average of the five
people you spend the most time with.)
จากประโยคที่จมิ โรห์น (Jim Rohn) นักพดู สร้างแรงบันดาลใจ และเป็นผู้เชี่ยวชาญดา้ นการพัฒนาตนเอง
ได้กล่าวไว้เม่ือ 40 ปีท่ีแล้ว ซึ่งได้กลายเป็นความจริงที่สะท้อนสังคมในยุคปัจจุบัน เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่
ตอ้ งคบค้าสมาคมกับคนทั่วไป และก็มักคบกับคนท่มี ีพื้นฐานความคดิ อารมณ์ และความชอบท่ีใกลเ้ คียงกัน รวมไป
ถึงสังคม สิ่งแวดล้อม ซึ่งทาให้เรามีคนมีกลุ่มคนที่มีลักษณะเดียวกัน หรือท่ีความคล้ายกันอยู่ใกล้ชิดกัน เช่น ไลฟ์
สไตล์ รายได้ การใช้ชวี ิต ฯลฯ หรอื มีสิ่งแวดล้อมทใี่ กล้เคยี งกัน ซ่ึงแสดงให้เห็นวา่ สภาพแวดล้อมทล่ี ้อมรอบตัวเรา
อยู่นั้น มีอิทธิพลต่อความเป็นมนุษย์เราในทุกวันน้ี ถ้ามองออกมาในมุมมองที่กว้างออกไป (Bird eye view) ใน
ระดับสังคม เราก็จะเห็นลักษณะความสัมพันธ์และการดารงอยู่ของผู้คนท่ีหลากหลาย และสภาพแวดล้อมที่
แตกตา่ งกัน มองเห็นบทบาทหนา้ ทอ่ี ันสลับซบั ซอ้ น ท้งั ในเชิงโครงสรา้ งความสัมพันธ์และปฏสิ ัมพันธ์ตา่ งๆ ท่ีต้องอยู่
อาศัยเกื้อกูล พ่ึงพา ดูแลซึ่งกันและกัน หรือเพื่อแก่งแย่งแข่งขัน หาผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเราอาจมี
สภาพแวดลอ้ มที่สัมพนั ธแ์ ละเช่อื มโยงกับองค์ประกอบหรือสภาพแวดล้อมอ่นื ๆ ก็ได้
เราต่างเป็นสภาพแวดล้อมที่สาคัญของกนั และกัน
ยูรี บรอนเฟน เบรนเนอร์ (Urie Bronfenbrenner ค.ศ.1917 – 2005) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้
ออกแบบแนวคิดในการอธิบายเก่ียวกับสภาพแวดล้อมท่ีมีอิทธิพลต่อการเติบโตและพัฒนาการของเด็ก โดยได้ถูก
เสนอเป็นคร้ังแรกในปี 1970 บรอนเฟน เบรนเนอร์ มีความเช่ือว่า การพัฒนามนุษย์น้ันไม่สามารถอธิบายได้ด้วย
แนวคิดเดียว แต่ต้องอธิบายโดยใช้ระบบท่ีซับซ้อน ในปี 1977 เขาจึงได้สรุปโมเดลการพัฒนาระบบนิเวศมนุษย์
(Ecology of Human Development) เพ่อื เป็นการยนื ยันวา่ การพฒั นามนุษย์นน้ั เปน็ ผลมาจากการมีปฏิสัมพันธ์
ระหว่างการเติบโตของมนษุ ย์ และการเปลย่ี นแปลงของสถานที่และสง่ิ แวดลอ้ มทบ่ี คุ คลนั้นอาศยั อยู่ ภายใต้ระบบที่
ซบั ซ้อน โดยแบง่ ออกเป็น 4 ระบบ คือ
5 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
1) ไมโคร ซสิ เตม็ (Micro System) คอื ระบบทมี่ ีสิ่งแวดลอ้ มใกลช้ ดิ กบั ตัว และให้ประสบการณ์โดยตรง น่ัน
คือ ครอบครัว ท่ีประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูกที่มีปฏิสัมพนั ธ์กนั นอกจากน้ยี ังรวมไปถึงครอบครัวของญาติ
โรงเรียน ศูนย์เลี้ยงดูเดก็ ฯลฯ ซ่ึงระบบไมโครนี้จะส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของเดก็ และบคุ คลท่ีใกล้ชิด
มากทสี่ ดุ
2) มีโส ซิสเต็ม (Meso System) คือระบบท่ีมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมในระบบไมโครด้วยกัน เช่น
ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวกับญาติพ่ีน้อง หรือครอบครัวกับโรงเรียน เช่น เด็กท่ีมีปัญหาท่ีเกิดจาก
ครอบครัว ก็อาจสง่ ผลต่อการเข้าสงั คมในโรงเรยี นได้ เปน็ ต้น
3) เอ็กโซ ซิสเต็ม (Exo System) คือระบบภายนอก เป็นสภาพทางสังคมท่ีเราไม่ได้รับประสบการณ์
โดยตรง แตก่ ลับส่งผลตอ่ พฤติกรรม หรือพฒั นาการของบุคคล เช่น ทักษะทางสงั คม ความสาเรจ็ ในหนา้ ท่ี
การงานของพ่อแม่ ท่ีมีส่วนสร้างประสบการณ์ที่เหมาะสมให้กับลูก หรือนโยบายของภาครัฐ ท่ีส่งผลให้
เกิดผลกระทบระหวา่ งกลุ่มคน เปน็ ต้น
4) มาโคร ซิสเต็ม (Macro System) เป็นระบบส่ิงแวดล้อมใหญ่ท่ีสุด และเป็นโครงสร้างท่ีมีผลต่อระบบ
ทั้งหมด เช่น สังคม เศรษฐกิจ เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม แนวทางการปฏิบัติ โดยคนที่เกิดมาพร้อมกับ
ประสบการณ์ท่ีต่างยุคต่างสมยั กัน กจ็ ะไดร้ ับอทิ ธพิ ลจากสิ่งแวดลอ้ มในระดับมาโครทแี่ ตกต่างกนั
5) โครโน ซิสเต็ม (Chrono System) เป็นระบบเหตุการณ์แวดล้อม หรือเป็นการเปลี่ยนไปของสิ่งแวดล้อม
ตลอดช่วงชีวิตของบุคคล เช่น การหย่าร้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเด็กในปีแรก เป็นเด็กชายมากกว่า
เดก็ หญงิ หลังจากผา่ นเหตกุ ารณไ์ ป 2 ปี เด็กก็จะเริม่ ปรบั ตัวไดต้ ามปกติ
6 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
จากแนวคิดบรอนเฟน เบรนเนอร์ ทาให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมท่ีอาศัยการใช้ชีวิต อยู่
ร่วมกันต้ังแต่เกิดในครอบครัว ศึกษาเล่าเรียน จนกระทั่งการทางาน และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก ในระดับ
ชุมชน สงั คม สงิ่ แวดลอ้ ม โดยมีปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างกนั จากระบบท่เี ล็กท่ีสุดไปสู่ระบบสิ่งแวดล้อมทีใ่ หญ่ทส่ี ุด มนษุ ย์
ที่พัฒนาหรือเติบโตมาจากส่ิงแวดล้อมท่ีแตกต่างกัน ก็ย่อมมีพฤติกรรมหรือลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันได้ แต่ทุก
ระดับชั้นในสังคมนั้นต้องอาศัยปัจจัยในการอยู่ร่วมกันแบบพ่ึงพาอาศัย ช่วยเหลือแบ่งปัน หรือเก้ือกูลกัน เพ่ือ
พัฒนาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงท่ีดีข้ึน ซึ่งเป็นระบบนิเวศที่เชื่อมโยงผู้คน กลุ่ม เครือข่าย เข้าไว้ด้วยกัน และทาให้
เกิดการพัฒนาวงล้อของแต่ละระบบ มีการเช่ือมโยงและจัดสรรทรัพยากรด้านต่างๆ ให้เกิดความสมดุล มีระบบท่ี
สง่ เสรมิ และสนับสนุนซึ่งกันและกนั ในสภาพแวดลอ้ มทแี่ ตกต่างกนั รวมท้ังการสร้างคุณค่าให้เกิดขน้ึ ในสายพานของ
ระบบนิเวศ และท่ีสาคัญคือ ความร่วมมือร่วมใจ (Collaboration) การสร้างโอกาส และคุณค่าให้เกิดขึ้นในระบบ
กอ่ ให้เกดิ เปน็ วัฒนธรรมแหง่ การช่วยเหลือ เกอื้ กลู แบ่งปัน เพ่ือใหเ้ กิดการพฒั นาสังคมอยา่ งยั่งยนื
สร้างองคก์ รแหง่ การ “เกือ้ กูล & พ่งึ พากนั ”
โดยทั่วไปเม่ือเรามักนึกว่าคาว่า ระบบนิเวศ (Ecosystem) เป็นระบบความสัมพันธ์ของส่ิงแวดล้อม
รอบตัว โดยหากอยู่ในสถานะของการเป็นองค์กร ก็อาจประกอบด้วยผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกับองค์กร เช่น เครือข่าย
คู่ค้า หุ้นส่วน ผู้ลงทุน ผู้บริโภค ฯลฯ ท่ีมีการพึ่งพาอาศัยกันในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน หรือพ้ืนที่ใกล้เคียง Professor
James Moore จากมหาวิทยาลัยฮาร์วารด์ ไดใ้ ห้คาจากดั ความของระบบนิเวศทางธรุ กจิ (Business Ecosystem)
ว่า เป็นเรื่องของการเช่ือมโยงกันของห่วงโซ่ทางคุณค่า (Value Chain) ซ่ึงแต่ละหน่วยของธุรกิจ ก็จะมีรูป
แบบจาลองท่ีคล้ายคลึงกับระบบนิเวศทางธรรมชาติ หรืออยู่ในรูปแบบของความสัมพันธ์ที่เช่ือมโยงและเก้ือกูลกัน
หรอื มรี ะบบการทางานรว่ มกัน
แตห่ ากมองในมิตขิ องการพัฒนาองค์กรเพื่อสร้างการเตบิ โตและความยั่งยนื นน้ั จาเป็นต้องอาศัยพลงั ของ
การเก้อื กูล แบง่ ปัน พ่ึงพากนั ทั้งดา้ นทรัพยากรท่เี ก้ือหนุนระบบนิเวศ ความหลากหลาย และความสามารถในการ
บริหารจัดการคน เพ่ือสร้างผลกระทบหรือเกิดการเปล่ียนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม สิ่งต่าง ๆ เหล่าน้ี ล้วนเร่ิมต้น
มาจากพฤตนิ ิสัยของมนุษย์ท้งั สิน้ และเปน็ คุณธรรมทส่ี าคญั อย่างหนึง่ ในการดาเนินงาน
พฒั นาระบบนิเวศมนษุ ย์ ด้วยแนวคดิ การเกือ้ กลู
แนวคิดของการพัฒนาองค์กร ด้วยการพัฒนาระบบนิเวศมนุษย์ดังท่ีได้กล่าวมาข้างต้นนั้น ทาให้เห็นมิติ
ของวงจรแห่งการช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน โดยต้องเกิดจากความตั้งใจของคนในองค์กรท่ีจะมองเห็นคุณค่า และอยาก
ที่จะแบ่งปันทรัพยากรในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดการขยายและเติบโตได้อย่างพอดี ช่วยปลูกจิตสานึกของการพึ่งพา
อาศัย รวมถึงการสรา้ งระบบนิเวศให้เกิดขึ้นอย่างสมดลุ เม่ือทุกคนในองคก์ รมกี ารเก้ือกูล ช่วยเหลือซ่งึ กันและกนั ก็
7 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
จะเหน็ พลังและคุณคา่ เกดิ ผลการเปลยี่ นแปลงจนสามารถขยายผลไปส่วู งกวา้ งทงั้ ระบบ โดยแนวคดิ ของการพัฒนา
ระบบนิเวศในองค์กรน้ัน ประกอบไปด้วย
1) มีการช่วยเหลือ แบ่งปนั และสนบั สนนุ ทรพั ยากรตา่ งๆ เพอ่ื สร้างเครือข่ายการเกื้อกูล พึง่ พากัน
2) มีความสมดุลในการแบง่ ปันให้ทุกคนอยู่ได้ สานผลประโยชนร์ ะหวา่ งกนั ด้วยการเตบิ โตอยา่ งยั่งยนื
3) มวี ิสยั ทศั นแ์ ละเปา้ หมายการดาเนินงานที่ชดั เจน
4) มกี ารดาเนนิ ตามวถิ ีชีวติ ที่กอ่ ให้เกดิ วัฒนธรรมแห่งการแบง่ ปัน สร้างโอกาส และให้คณุ คา่ ผคู้ น รวมทั้งการ
สรา้ งประโยชนใ์ ห้เกดิ ขึ้นในระบบท้ังรกระบวนการ
5 กรณีศกึ ษา พฒั นาองค์กรใหอ้ ยู่รอด และเติบโต
สังคมในยุคปัจจุบัน มีการแก่งแย่งแข่งขันกันสูง และมักยึดประโยชน์ส่วนตนเป็นท่ีตั้ง แย่งชิงทรัพยากร
มาเป็นของตน หรือเอ้ือประโยชน์ให้พวกพ้อง โดยไม่คานึงถึงคุณธรรมในการดาเนินธุรกิจ ซ่ึงนับว่าสังคมจะยิ่ง
ถดถอยลงไปเร่ือย ๆ และทรัพยากรตา่ ง ๆ ก็จะตกไปทบ่ี คุ คลเฉพาะกล่มุ ไม่กระจายไปสูส่ ังคมในวงกวา้ ง ด้วยเหตนุ ี้
การหาแนวทางการอยู่รอดขององค์กรเป็นสิ่งสาคัญ โดยต้องอาศัยพลังของการเก้ือกูล พ่ึงพา หรือแบ่งปันกัน บน
ฐานคดิ ท่วี ่า มนุษยเ์ ราทุกคนล้วนมีหัวใจแหง่ การช่วยเหลือ แบ่งปนั ซง่ึ เป็นรากฐานสาคัญในการพฒั นาประเทศชาติ
ดังนั้น การดาเนินงานในองค์กรทกภาคส่วน จาเป็นต้องกาหนดเป้าหมายการพัฒนาทั้งคุณภาพชีวิตของ
พนักงานในองค์กร ภายนอกองค์กร และคนในสังคม หรือบริบทแวดล้อมให้ดีย่ิงขึ้น ภายใต้ระบบนิเวศท่ีเช่ือมโยง
ถงึ กัน ดังเช่นกรณีศึกษาท้ัง 10 แห่ง ในหนังสือเล่มน้ี ท่ีมีการพัฒนาและส่งเสริมคุณธรรม ในมิติของการช่วยเหลือ
เก้ือกูล ซ่ึงเกิดจากความตั้งใจของคนในองค์กรที่มองเห็นคุณค่า และอยากท่ีจะแบ่งปันทรัพยากรในด้านต่าง ๆ
เพื่อให้เกิดการขยายและเติบโตได้อย่างพอดี อีกท้ังผู้บริหารมีวิสัยทัศน์และเป้าหมายของการดาเนินงานที่ชัดเจน
โดยหวังท่ีจะเปลี่ยนแปลงชุมชน สังคม ส่ิงแวดล้อม หรือสร้างระบบนิเวศให้เกิดขึ้นอย่างสมดุล ด้วยความเช่ือท่ีว่ า
หากทุกคนในองคก์ รมกี ารช่วยเหลอื พงึ่ พากันและกนั กจ็ ะเห็นพลงั และคุณค่าทจ่ี ะส่งผลให้เกดิ การเปล่ยี นแปลงจน
สามารถขยายไปสวู่ งกว้างได้ท้งั ระบบ
แนวคดิ ของการพัฒนาระบบนิเวศในองค์กร ประกอบไปด้วย
1) มวี สิ ัยทัศน์ และเปา้ หมายการดาเนนิ งานท่ชี ดั เจน
2) มีการแบง่ ปัน และสนับสนุนทรพั ยากรตา่ ง ๆ เพื่อสร้างเครือข่ายทส่ี ามารถช่วยเหลอื พ่งึ พากัน
3) มีความสมดลุ ในการแบง่ ปันใหท้ กุ คนอยู่ได้ สานผลประโยชน์ระหวา่ งกนั ดว้ ยการเตบิ โตอย่างย่ังยนื
4) มีการดาเนินตามวิถชี ีวิต ท่ีก่อใหเ้ กดิ วัฒนธรรมแห่งการแบง่ ปนั สร้างโอกาส และใหค้ ณุ ค่าผคู้ น รวมทัง้ การ
สร้างประโยชน์ใหเ้ กดิ ข้นึ ในระบบทัง้ กระบวนการ
8 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
กรณีศึกษา
อาขา่ อ่ามา
สรา้ งเสนห่ ก์ าแฟไทย จากโลคอลสโู่ กลบอล
9 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
อาข่า อา่ มา :
สรา้ งเสนห่ ์กาแฟไทย จากโลคอลสโู่ กลบอล
วัฒนธรรมการบริโภคกาแฟ ได้กลายเป็นส่วนหน่ึงในวิถีชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน หากจะนับธุรกิจร้าน
กาแฟในประเทศไทย มีจานวนมากมายหลากหลายประเภท ตั้งแต่ร้านรถเข็น คีออส ร้านสาขาที่ตั้งอยู่ใน
หา้ งสรรพสินค้า รวมไปถึงร้านแบรนด์ดังที่คนนิยมเข้าไปใช้บริการ แต่ถ้านับจานวนกาแฟแบรนด์ไทย ท่ีจัดตั้งเพื่อ
ส่งเสริมเศรษฐกิจในชุมชน (Social Enterprise) และเป็นสะพานเช่ือมโยงผู้ผลิตและผู้บริโภคไว้ด้วยกัน คงจะมี
เพียงไม่กีแ่ บรนด์ หน่ึงในนน้ั คอื อาข่า อ่ามา (Akha ama) แบรนด์กาแฟสญั ชาตไิ ทยคนร่นุ ใหม่ ทีม่ ีแนวคดิ เรม่ิ ต้น
จากการพลิกฟื้นชุมชนให้เข้มแข็ง พัฒนาผลผลิตจนได้กาแฟคุณภาพดี มีอัตลักษณ์ท้องถ่ินชัดเจน มีรางวัลการันตี
คุณภาพจากสถาบันต่างประเทศ และท่ีจุดแข็งท่ีสาคัญคือ การมุ่งเน้นการพัฒนาแบรนด์เพื่อตอบโจทย์สังคม
สง่ เสรมิ เกษตรกรใหม้ ีความเขม้ แขง็ สามารถยนื ได้ด้วยลาแข้งของตวั เอง
10 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
นทิ าน เร่อื งชายปลูกกาแฟ
กาลคร้ังหน่ึงนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งที่มีความต้ังใจอยากจะพัฒนาชุมชนของเขาให้มีคุณภาพชีวิตและ
ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เขาจึงเลือกเมล็ด “กาแฟ” เป็นหน่ึงในเครื่องมือท่ีช่วยเหลือชุมชน เน่ืองจากกาแฟเป็นพืช
เศรษฐกิจทเ่ี พาะปลกู ในหมู่บ้านมานาน แต่กลับถกู พอ่ คา้ คนกลางกดราคาอย่างไมเ่ ป็นธรรม และยงั ตอ้ งขายผลผลิต
ในราคาต่า ส่ิงเหล่านี้จึงกลายเป็นแรงผลักดันให้ชายคนหน่ึง มุ่งม่ันพัฒนากระบวนในการปลูกกาแฟตั้งแต่ต้นน้า
กลางนา้ และปลายนา้ จนประสบความสาเร็จ กลายเปน็ เคร่ืองดมื่ ที่ไดร้ บั ความนิยมและเขา้ ถึงคนทั่วโลก
อายุ จือปา หรือลี ผู้สร้างตานานการผลิตกาแฟคุณภาพ โดยนาเสนอความเป็นตัวตนและอัตลักษณ์
ทอ้ งถน่ิ ผ่านวัฒนธรรมการบริโภค ภายใต้ช่ือ “อาข่า อ่ามา” ลีกล่าวถึงนิยามที่แสดงตวั ตนแห่งรากเหง้าวัฒนธรรม
โดยคาวา่ อาข่า หมายถงึ เผา่ พนั ธุ์ สว่ นอ่ามา คอื แม่
“ส้าหรับผมแล้ว การต้ังช่ือนี้เปน็ การย้าเตอื นว่า ตนเองเป็นใคร มาจากที่ไหน ซ่อนไว้ซึ่งความหมายว่า ไม่
ว่าเราจะเติบโตอยา่ งไร จะเล็กหรือใหญ่ ทุกคนลว้ นมีจดุ ยืน มรี ากเหง้า มีท่มี า ไมว่ ่าจะเติบโตไปถึงข้นั ไหนกต็ าม เรา
ไมค่ วรลมื ก้าพืด ซ่ึงเปน็ จุดเรม่ิ ตน้ ของตวั เอง”
11 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
กวา่ จะมาเป็น อาขา่ อา่ มา
จากปัญหาการเพาะปลูกและจาหน่ายเมล็ดพันธ์ุกาแฟผ่านพ่อค้าคนกลาง ทาให้ขาดอานาจในการต่อรอง
และถูกกดราคาบ่อยๆ ลีจึงมีแนวคิดในการพัฒนากระบวนการผลิต ด้วยการจัดตั้งธุรกิจเพื่อชุมชนขึ้นในหมู่บ้าน
และเปิดเป็นร้านกาแฟเล็กๆ เพื่อเป็นสถานที่จาหน่ายเมล็ดกาแฟ เป็นการสนับสนุนให้เหล่าเกษตรกรพบเจอกับ
ผู้บริโภค ช่วงแรกชาวบ้านไม่ยอมรับ ลีจึงใช้ความพยายามด้วยการพัฒนาโมเดลการผลิตให้เกิดขึ้นจริง เพื่อเป็น
เคร่ืองพิสจู น์ยืนยนั ว่า สงิ่ ที่คดิ เป็นจรงิ ได้ และประสบความสาเรจ็ สามารถนาผลิตภัณฑ์ส่งเข้าประกวดในเวทรี ะดับ
โลก จนได้รับรางวัลการันตีคุณภาพของกาแฟ กลายเป็นกาแฟไทยท่ีมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศ ลีได้
เล่าย้อนให้ฟังถึงจุดเร่ิมต้นของอาข่า อ่ามา คืออยากจะเป็นส่วนหน่ึงในการขับเคล่ือนให้ชุมชนพัฒนา เติบโต และ
เปล่ียนแปลงไปในทิศทางที่ดขี ึ้น จึงเกิดการจัดโต๊ะสภาการแฟพูดคุยร่วมกันกับผู้นาชมุ ชน ผู้คนในท้องถิ่น จนสรุป
ประเดน็ ปัญหาหลักๆ สามขอ้ ทชี่ ุมชนอยากจะพัฒนา คอื
1) เศรษฐกิจชุมชน จากแนวคิดของชาวบ้านเองที่กล่าวว่า ถ้าสามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้ จะสามารถทาให้
ชวี ิตของคนในชุมชนด้านอนื่ ๆ ดขี น้ึ ด้วย เนื่องจากปัจจุบันทุกสิ่งจาเปน็ ตอ้ งมเี งินทุน มเี รอื่ งค่าใชจ้ า่ ยเขา้ มา
มสี ่วนเก่ยี วข้องกับชวี ิตโดยตรง เรือ่ งเศรษฐกจิ จงึ เปน็ สิ่งจาเป็นสาหรับการพัฒนาชมุ ชน
2) การศึกษา เนื่องจากการศึกษาเป็นสิ่งที่ทาให้ต่อยอดกับสังคมที่ใหญ่ขึ้นได้ และเข้าถึงสิทธ์ิต่างๆ อีกทั้งยัง
เป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาองค์กรและผลิตภัณฑ์ของชุมชน นอกจากน้ีการศึกษาไม่ว่าจะเป็นทั้งในระบบ
หรือนอกระบบกส็ ามารถทีจ่ ะนาไปสรา้ งอาชีพให้กับคนในชุมชนได้
3) สง่ิ แวดล้อม ถ้าสิง่ แวดล้อมดีข้ึน ผลผลติ ก็จะดีตามมา และส่งผลให้ระบบการศึกษาและเศรษฐกิจก้าวหน้า
ดงั นน้ั ถ้าสามารถรกั ษาส่งิ แวดลอ้ มและพัฒนาให้ชมุ ชนอยกู่ ับสงิ่ แวดลอ้ มอย่างพ่งึ พากันและกนั ได้ ก็จะเป็น
ผลดกี ับทัง้ ชมุ ชน และธรรมชาตริ อบตัว
โดย 3 ปจั จัยน้ี มคี วามสัมพนั ธ์และเก่ียวข้องกันเป็นห่วงโซ่คุณคา่ จากการพูดคุยกันจงึ ตกผลึกออกมา เป็น
ความคิดในการผลักดัน “เมล็ดกาแฟ” ซ่ึงเป็นวัตถุดิบทอ้ งถน่ิ ให้เป็นเครื่องมือในการขับเคลอื่ นองค์กร และเกดิ การ
พัฒนาชุมชนเพอ่ื สรา้ งความยง่ั ยนื
12 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
เส้นทางของกาแฟ 1 แกว้
กว่าจะมาเป็นกาแฟคุณภาพ 1 แก้ว ส่งตรงถึงมือผู้บริโภคได้น้ัน เบ้ืองหลังการทางานจะต้องผ่านความ
ยากลาบากและความท้าทาย โดยเฉพาะเป้าหมายที่ลีตั้งใจที่จะพัฒนาท้ังด้านเศรษฐกิจ การศึกษา และส่ิงแวดล้อม
ลีกล่าวว่าปัญหาในช่วงเร่ิมต้นข้อแรกคือ ชาวบ้านขาดความรู้ความเข้าใจในกระบวนการผลิต ทาให้ไม่สามารถ
ขับเคลอื่ นได้อย่างรวดเร็ว เพราะคนปลูกไม่ไดก้ ิน คนกินไม่ได้ปลูก ทาให้ลีหันมาศึกษาข้อมูลต่างๆ อยา่ งจริงจัง ทั้ง
ประวัติกาแฟ แหล่งท่ีมาของกาแฟ ร้านกาแฟแต่ละประเภท รวมทั้งวิธีการส่ือสารไปยังผู้บริโภค จากน้ันจึงให้
ความรู้กระบวนการผลิตกาแฟที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้าใจเรื่องเกษตรผสมผสาน และเกษตร
อนิ ทรีย์แก่ชาวบ้าน ตั้งแต่การเลือกแหล่งเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว การทาความสะอาดอย่างพถิ ิพิถนั การคั่วบด จน
เปน็ เมลด็ กาแฟที่มีคุณภาพ ลีกลา่ ววา่ ตอ้ งพยายามศึกษาเรียนรู้จากผูใ้ หญ่ทมี่ ีประสบการณ์ ซง่ึ ทาให้ไดม้ ีโอกาสเข้า
รับการฝึกฝน พัฒนา เรียนรู้การผลิตกาแฟเพ่ิมเติม ท้ังในประเทศและต่างประเทศ เรียกว่ากว่าจะคัดสรรกาแฟ
คุณภาพพร้อมเสิร์ฟให้ผู้บริโภคนั้น อาข่า อ่ามา ต้องดูแลใส่ใจทุกข้ันตอน ตั้งแต่กระบวนการในการผลิต จนถึง
ปลายทางเพ่ือให้ผู้บริโภคม่ันใจในคุณภาพ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นท่ีทาให้เมล็ดกาแฟของอาข่าอามามีความแตกต่างจาก
กาแฟแบรนด์อนื่ ๆ
จากกาแฟทอ้ งถิ่น สวู่ งการกาแฟโลก
เงินทุน นบั เป็นปัจจยั สาคญั ในการดาเนินธรุ กิจ ชว่ งแรกลพี บกับปัญหาทสี่ าคญั คือ ขาดแหลง่ เงินทนุ ในการ
ทาธรุ กิจ สถาบนั การเงนิ หลายแห่งต่างปฏเิ สธที่จะใหเ้ งนิ กู้ แต่ลกี ็ได้รบั เงินทนุ สนับสนุนจากโครงการของมูลนิธเิ กื้อ
ฝันท่ีลีเคยทางานด้วย จากน้ันลีจึงเร่ิมต้นก่อตั้งธุรกิจกาแฟเพื่อสังคม ภายใต้แบรนด์ “อาข่า อ่ามา” เม่ือปี 2553
แต่เนื่องจากมีคู่แข่งจานวนมาก และผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงนิยมกาแฟแบรนด์ต่างชาติมากกว่า แบรนด์ไทย จึงทา
ให้กาแฟไทยไม่ค่อยได้รับความนิยม แต่ลีอยากให้คนไทยมองเห็นคุณภาพควบคู่กับคุณค่าของกาแฟไทย จึงได้ส่ง
เมล็ดกาแฟเข้าประกวดในเวทีต่างๆ จนได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 21 แบรนด์จากท่ัวโลก ท่ีใช้ในเวทีการชิม
13 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
กาแฟนานาชาติ ครง้ั ที่ 7 หลังจากน้ันส่ือมวลชนแขนงต่างๆ ต่างเริ่มให้ความสนใจ และอาข่าอ่ามาก็เริ่มเป็นที่รู้จัก
ในวงกว้าง
“เมื่อเข้าสู่ระบบของธุรกิจแล้ว ความเชื่อมั่นในคุณภาพย่อมเป็นส่ิงส้าคัญ เพราะทุกอย่างเข้าสู่
กระบวนการแข่งขันในตลาด ซึ่งอาขา่ อ่ามาจ้าเป็นต้องพัฒนา เรียนรู้ แกไ้ ขปญั หาไปทีละข้ออย่างรอบคอบ จนเกิด
ความเช่ือมน่ั ในคณุ ภาพ และคณุ คา่ ของธรุ กจิ ”
ไมห่ ยดุ น่งิ พัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
ลีเช่ือมั่นในศักยภาพของการพัฒนา และไม่เคยหยดุ ที่จะเรยี นรู้ โดยเชอ่ื ว่าการเรียนรจู้ ะเปน็ พลังสาคัญใน
การพัฒนาธุรกิจ เขาได้มีโอกาสเข้ารับการฝึกงาน เรียนรู้ประสบการณ์ด้านต่างๆ เช่น การอบรมแก้ไขปัญหาเรื่อง
มอด โรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในสวนกาแฟ กับนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ใน
เรื่องการพัฒนาคุณภาพดินให้เหมาะสมกับการเพาะปลูกกาแฟ และมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่น มหาวิทยาลัย
ยอร์ก ประเทศองั กฤษ ทไี่ ด้ติดตอ่ ประสานงานใหอ้ าข่า อ่ามา เข้ามาทดสอบสายพันธข์ุ องกาแฟ ในหอ้ งทดสอบของ
มหาวิทยาลัย
ปัจจุบันอาข่า อ่ามา ได้ร่วมงานกับสมาคม ชมรมต่าง ๆ อาทิ สมาคมกาแฟพิเศษไทย กลุ่มของกาแฟดิน
ฟ้าอากาศ, Coffee Sand เป็นต้น ซึ่งได้พัฒนางานในเชิงความรู้ ข้อมูลด้านส่ิงแวดล้อม คุณภาพของกาแฟ ท้ัง
ในช่วงการผลิต การจดั จาหน่าย นอกจากนใี้ นการปฏบิ ัติ ก็มอี ีกหลากหลายองคก์ รท่ีได้ร่วมงานกนั เช่น กลมุ่ สหาย
กาแฟท่ีทาเร่ืองการทดลองใหก้ าแฟมีคุณภาพ ซึ่งการจับมือกับองคก์ รท่ีเพิ่มมากขึ้น ดว้ ยวิธกี ารท่หี ลากหลาย ทาให้
อาข่าอ่ามาได้เรียนรู้ประสบการณ์ หรือความรู้จากเครือข่ายเหล่าน้ี ซ่ึงถือว่าเป็นประโยชน์ขององค์กรและเกิด
ประโยชน์ตอ่ ชมุ ชน ลกี ลา่ วเสริมว่า การท่ีไดร้ ับความร่วมมอื จากองค์กรต่างๆ เพราะว่ามีเป้าหมายท่ีชดั เจนคือ การ
ทางานร่วมกับชมุ ชน จึงทาใหท้ กุ ฝ่ายต่างให้ความสนใจ และเตม็ ใจชว่ ยเหลืออยา่ งเต็มท่ี
14 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
เน่ืองจากอาข่า อ่ามา เป็นธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ในการทางานจึงต้องขับเคลื่อนองค์กร
เคียงคู่ไปกับชุมชน ในการดาเนินงานภายในองค์กรน้ัน จาเป็นต้องมีการส่ือสารกันค่อนข้างบ่อย ลีบอกว่าการ
พูดคุยจะเป็นไปในลักษณะธรรมชาติมากกว่า เน่ืองจากคนท่ีมาทางานภายในองค์กร ส่วนใหญ่จะนับเป็นน้องๆ ท่ี
เขา้ มาด้วยความตั้งใจ และอยากพฒั นาสง่ิ ที่องคก์ รตัง้ ใจจะทา หรืออาจมเี ป้าหมายรว่ มกนั อยแู่ ล้ว ในการทางานจะ
มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจนตามความถนัด และความชานาญของแต่ละคน โดยทุกคนในองค์กรจาเป็นต้องรู้เรื่องราวท่ี
เกิดข้ึน รู้จักกระบวนการต่างๆ เพราะทุกคนมีส่วนในการรับผิดชอบ จะไม่ใช้วิธีออกคาสั่งหรือแสดงอานาจ แต่จะ
ใช้วิธกี ารทางานดว้ ยความออ่ นโยน มีความผอ่ นปรน ลีเลา่ ว่า น้องที่มาทางานบางคนเริ่มทางานตัง้ แต่อายุ 17 – 18
ปี หรือเริ่มตั้งแต่ยังไม่ได้เรียนในระดับอุดมศึกษาเลย เพราะฉะน้ันการทางาน จาเป็นจะต้องให้เวลาในการเรียนรู้
สร้างความเข้าใจ ในกระบวนการทางาน โดยให้ทุกคนท่ีทางานได้ฝึกฝน ส่ังสมประสบการณ์ อาข่าอ่ามาไม่ได้จ้าง
ผู้เช่ียวชาญมาให้คาปรึกษาแนะนา แม้จะส่งผลลัพธ์ต่อกระบวนการทางานรวดเร็วมากขึ้นก็ตาม แต่จะให้โอกาส
น้องที่เข้ามาทางานได้เรียนรู้ ซ่ึงบุคลากรครึ่งหนึ่งของการทางานจะเป็นน้องๆ ท่ีมาจากชุมชน พ่อแม่ของเขาปลูก
กาแฟส่งมาให้ แล้วอีกส่วนหน่ึงคือคนที่มาทางาน จะเป็นคนที่มีพ้ืนฐานในการทางานที่มีความรู้ที่จะทาให้เกิด
คุณคา่ กบั สงั คมได้
ฝันใหช้ ดั ปฏิบัตไิ ดจ้ ริง
การที่ “อาข่า อ่าม่า” สามารถดาเนินงานมาเป็นระยะเวลากว่าสิบปีนั้น นอกจากต้องการท่ีจะช่วยเหลือ
และพัฒนาคณุ ภาพชีวิตชาวบ้านให้ดขี ึ้นแล้ว สิ่งสาคัญท่ียึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นหมุดหมายในการทางานมี 2 ส่วน
คือ การมีความฝันที่ชัดเจน และลงมือทาได้จริง ลีกล่าวต่อว่า ในโลกของการทางานนั้น เราต้องยอมรับปัญหา
อุปสรรคท่ีต้องเผชิญในอนาคตให้ได้ ไม่ใช่แค่เม่ือเจออุปสรรคก็เปลี่ยนใจไม่ทา หรือท้ิงความฝันน้ีไปง่ายๆ
คุณสมบัติของผู้ที่ประสบความสาเร็จ คือ ต้องมคี วามอดทน และมุ่งม่ันกับส่ิงท่ฝี ัน สว่ นต่อมาคอื ต้องมีความรู้
ความเข้าใจในงานนั้น เพราะเม่ือเราเร่ิมฝัน ก็ต้องมีการขวนขวายเพ่ิมเติม หรือหาความรู้จากแหล่งอ่ืน ๆ เพ่ือมา
เติมเต็มความฝัน เพราะถ้าฝันเพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถทาให้สิ่งท่ีคิดเกิดข้ึนจริงได้ ต้องมีท้ังการศึกษาหา
ข้อมลู การฝึกฝน ปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญ ทั้งสองสงิ่ น้ี ถือเปน็ สิ่งสาคัญในการดาเนินงานทุกๆ ชนดิ ที่จะ
ทาใหข้ ับเคล่อื นไปขา้ งหน้าอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ จงึ ไมส่ ามารถขาดท้งั สองส่ิงน้ีได้
15 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
ส่ิงหน่ึงที่อาข่า อ่ามายังคงดาเนินการเสมอมา ก็คือ การทาให้เห็นถึงศักยภาพคนรุ่นใหม่ คนในท้องถ่ิน
หรือคนในชุมชน ที่ตั้งใจลงมือทาส่ิงท่ีส่งผลดีกับตัว และเกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ซ่ึงคนในชุมชนเห็นว่า ถ้า
คนเราต้องการทีจ่ ะเปลย่ี นแปลงหรอื พฒั นาสง่ิ ใดสิ่งหนง่ึ ไม่จาเป็นตอ้ งเป็นครอบครัวทร่ี า่ รวย องค์กรท่ีใหญ่ หรอื ว่า
เป็นผู้ท่ีมีการศึกษาสูงเท่าน้ัน ถ้าเรามีประเด็นท่ีตั้งใจทา เราสามารถทาให้คนเขามองเห็นได้หรือไม่ เช่น การที่
ทางานกับคนรุ่นใหม่หลายๆ คน พวกเขาเองก็รู้สึกว่าต้องเร่ิมลงมือทาอะไรสักอย่าง เพื่อให้ชุมชน เกิดการพัฒนา
เปลี่ยนแปลงให้อยู่รอดในสังคมปัจจุบันให้ได้ แบบน้ีก็ถือว่าสิ่งที่เราทาได้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งกับคน
ชมุ ชน อาจจะรวมไปถงึ สงั คม สิง่ แวดล้อมดว้ ย
คนเปลย่ี นความคิด ชุมชนเปลี่ยนวถิ ปี ฏิบตั ิ
เมื่อชุมชนเกิดการเปล่ียนแปลง คนในชุมชนก็เกิดการเปลี่ยนแปลง สังคมก็จะได้เรียนรู้ คนในสังคมเองก็
จะเข้าใจว่า เราไม่จาเป็นตอ้ งรอให้คนอื่นเข้ามาทาอะไรให้ก่อน นั่นคือการค้นพบตัวเอง หรือหาตัวตนของตัวเองที่
ชดั เจนมากขึ้น ไดร้ ู้จกั วา่ ตัวเองทาอะไรไดบ้ ้าง สว่ นอีกขอ้ คือ การทเ่ี ขาได้ร้วู ่า ความรู้ไม่จาเปน็ ต้องไปหาในโรงเรียน
หรือมหาวิทยาลัยเท่านั้น ความจริงแล้วความรู้มีอยู่ทุกหนทุกแห่งและทุกสถานท่ี เราสามารถที่จะเข้าเรียนใน
ลักษณะของการอบรมระยะสน้ั หรือไปหาคนที่เป็นแรงบันดาลใจ ผเู้ ช่ยี วชาญในด้านน้นั ๆ เพือ่ สอบถาม พดู คุยได้
“ถ้าทุกคนท้าตามระบบ ทุกคนก็จะใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบปีในรั้วการศึกษา ถ้าสามารถค้นพบตัวเองได้
ตงั้ แต่สิบปีแรก ระหว่างนั้นก็สามารถเรียนรู้ หาหนทางท่ีจะท้าใหบ้ รรลุเป้าหมายท่ีต้องการได้ก่อน ต่างจากบางคน
ท่ีเรียนจบการศึกษาสูงกว่านั้น แต่ยังไมเ่ จอในสิ่งท่ีต้องการ ถ้าจะมองว่าคนรอบข้าง หรอื คนในสงั คมได้อะไรจากส่ิง
ที่ท้า มันไม่ใช่แค่การสร้างการเปล่ียนแปลงให้เขาอยู่ได้ ให้เขาพึ่งพาตัวเองได้ แต่เป็นเหมือนกับการสร้างความ
มนั่ ใจให้กบั สังคม ไม่ว่าคนเราจะเกดิ มาในครอบครวั ที่มีพนื้ ฐานแบบไหน ทุกคนก็สามารถที่จะลุกขึ้น ลงมือทา้ ในส่ิง
ทสี่ รา้ งการเปล่ียนแปลง ท้าให้เกิดประโยชน์ใหก้ ับคนในสังคมและรอบข้างได”้
โดยปกติ อาข่า อ่ามาจะมีหน่วยงาน บริษัทเอกชนต่างๆ ท่ีเข้ามาเก็บข้อมูลการทางาน ประเมินผลการ
ทางาน หรือประเมินผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมท่ีจะเกิดขึ้น แต่ภายในองค์กรเอง ก็มีการประเมินงานที่ชัดเจน
16 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
เน่ืองจากเป็นการดาเนินธุรกิจ สิ่งที่สาคัญที่สุดคือ การนาผลิตภัณฑ์ไปสู่ท้องตลาด และนาไปต่อยอดอ่ืนๆ ให้กับ
ผบู้ ริโภค สามารถให้ผูบ้ รโิ ภคไดร้ ับความพึงพอใจ และเกิดการซื้อขายอย่างต่อเน่ืองสม่าเสมอ ทาให้องค์กรสามารถ
ดาเนินงานต่อไปได้ โดยไม่ต้องผ่านการประเมินจากบุคคลภายนอก ลียังบอกอีกว่า ผู้คนส่วนมากมักดูที่ปลายน้า
หรอื ผลลพั ธ์ออกมาวา่ เป็นอย่างไร แต่ความจริงแลว้ จาเปน็ จะต้องกลับไปดถู ึงกระบวนการวา่ พวกเราเติบโตกันมา
อย่างไรมากกว่า มันมีความหมายในการสร้างความมั่นใจให้กับคนท่ีตามดู หรือติดตามพวกเราอยู่มากกว่า ส่ิง
เหล่านี้ตา่ งหากคอื การประเมินผลในผลงานทั้งหมดของเรา
อาข่า อ่ามา นับเป็นหน่ึงในธุรกิจกาแฟเพื่อสังคมท่ีประสบความสาเร็จ ทั้งในแง่คุณภาพของเมล็ดกาแฟ
รสชาติท่ีเข้มและมีเอกลักษณ์ การสื่อสารความเป็นท้องถ่ินออกมาได้อย่างชัดเจน บรรยากาศของร้านที่โดดเด่น
สะดดุ ตา และส่งิ สาคัญคือ การสร้างระบบเศรษฐกิจภายในชุมชน ทาให้ชาวบ้านมีคณุ ภาพชีวิตท่ีดขี ึน้ ท้ังในดา้ นการ
ประกอบอาชีพ และการปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกกาแฟโดยใช้เกษตรผสมผสาน และเกษตรอินทรีย์ ซ่ึงส่งผลดีต่อ
ส่งิ แวดลอ้ มและระบบนิเวศ
สาหรับคนทีม่ ีความคิดอยากจะทาธรุ กจิ เพ่ือสังคม เหมือนกับอาข่า อ่ามา ลีไดแ้ นะนาไว้ว่า ให้เร่ิมจากการ
ดูจากเป้าหมายของชีวิต แสดงจุดยืนท่ีชัดเจนในเป้าหมายของตนเอง หรือเป้าหมายของกลุ่มที่จะร่วมกันทาว่ามี
เป้าหมายร่วมกันอย่างไร ต่อมาก็คือการลงมือทา ซ่ึงอาจเร่ิมต้นจากการเขียนแผนงานให้เห็นว่าส่ิงที่จะทา มี
รูปแบบ วิธีการอย่างไร และสิ่งนั้นต้องเป็นเหตุเป็นผล ต้องเป็นสิ่งที่สามารถลงมือทาได้จริง ชัดเจน ไม่ใช่แค่ใน
ความคิด ด้วยความเช่ือที่ว่าทุกๆ คน สามารถทาความฝันให้บรรลุเป้าหมายได้ ถ้ามีความตั้งใจ และหาวธิ ีการท่ีจะ
ไปถึงเป้าหมาย โดยไม่สรา้ งความเดอื ดรอ้ นให้กับผ้อู ื่น
17 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
โรงเรยี นเล็กในทุง่ กว้าง
เรยี น รอ้ ง เต้น เล่นดนตรี กลางทงุ่
18 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
โรงเรียนเลก็ ในทงุ่ กวา้ ง
เรียน รอ้ ง เตน้ เลน่ ดนตรี กลางทุง่
ภายใต้บรรยากาศอันเขียวขจีของทุ่งนาแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ถูกดัดแปลงเป็นพ้ืนที่การเรียนรู้
สาหรับเด็ก มีแปลงเกษตรที่เป็นเหมือนกิจกรรมรายวิชาฝึกให้เด็กเพาะปลูก เป็นการหย่อนเมล็ดพันธุ์เพ่ือรอการ
เติบโต มีบ้านดินไว้สาหรับพักอาศัย มีโรงอาหารไว้สาหรับเป็นครัวกลาง มีพ้ืนหญ้าริมหนองน้าไว้ทากิจกรรมร้อง
เต้นเล่นดนตรี มีเครื่องดนตรีดัดแปลงจานวนมาก เช่น พิณ กีต้าร์ ไว้เป็นแบบทดสอบและเสริมสร้างพัฒนาการ
รวมท้ังกจิ กรรมสร้างสรรคจ์ ินตนาการท่ีหาไม่ได้ในห้องเรียนในโรงเรียน ซง่ึ เป็นความต้ังใจของครูใหญ่แห่งโรงเรียน
เลก็ ในทงุ่ กว้าง ท่ีอยากเปลี่ยนแปลงสงั คม โดยเฉพาะเยาวชนทเ่ี ป็นอนาคตที่สาคัญของชาติ
เรยี นรู้คณุ ค่า ผ่านวชิ าชีวติ
คตี า วารินบุรี หรอื ครูล่ี ครใู หญ่แห่งโรงเรียนเลก็ ในทุ่งกว้าง ตาบลถาวร อาเภอเฉลมิ พระเกยี รติ จังหวัด
บุรีรัมย์ ได้เล่าถึงเส้นทางชีวิตของตน ก่อนทีจ่ ะผันตวั เองมาเป็นครสู อนทักษะชีวิตให้แก่เด็กในบ้านเกิดของตน โดย
ในช่วงวัยหนุ่มครูล่ีไดใ้ ช้ชวี ิตเป็นนักร้องตามผบั บาร์ ร้านดนตรีกลางคืน ได้มาเจอกับแสงไฟและเสียงเพลงมาตลอด
พอมาถึงจุดหน่ึงท่ีรู้สึกว่าอาชีพนักดนตรีไม่ได้ให้ความสุขกับเขาอีกต่อไป ทาให้เขาคิดหาทางออกให้กับตัวเอง จน
ได้มาพบกับอาจารย์ 3 ท่าน ท่ีได้มอบท้ังวิชาความรู้และวิชาชีวิตให้แก่เขา อาจารย์บุญจัน ชัยช่วย อาจารย์
เอกลักษณ์ หน่อคา และอาจารย์ประสาท ประเทศรัตน์ ในขณะน้ันครูลี่เองก็มีความคิดอยากกลับบ้านเกิดไปดูแล
พ่อแมย่ ามชรา จึงเดนิ ทางกลบั บา้ นทีเ่ คยจากไปเม่อื 20 ปีทแ่ี ลว้
“พอกลับถึงบ้านเกิด สิ่งที่พบคือ บ้านไม่เหมือนบ้าน มีแต่เสาแต่ไม่มีหลังคา ความอบอุ่นมันหายไป ภาพ
ผู้คนท่ีเคยแบ่งปัน เกื้อกลู พ่ึงพาตนเอง วันนี้มันน้อยมาก รู้สึกสลดใจ ทุ่งข้าวทงุ่ นาเตม็ ไปด้วยสารเคมี วิ่งเลน่ ไม่ได้
19 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
ชว่ งหน้านาผมจะป่วย ตับจะมปี ัญหาเพราะกรองสารเคมีเยอะ ท้าให้ต้องคิดวา่ เราต้องท้าอะไรสักอยา่ ง และเราจะ
อยู่อย่างไรกบั ชีวติ ท่เี หลอื ยู่น้ี”
ปัญหาท่ีพบในปัจจุบัน คนขาดการพึ่งพาตนเอง ขาดการช่วยเหลือเก้ือกูล คนในชุมชนเห็นแก่ตัวมากข้ึน
และปัญหาที่สาคัญท่ีส่งผลต่ออนาคตของประเทศ คือ เยาวชนติดเกม ขาดสัมมาคาราวะ นิสัยหยาบกระด้าง
ในชว่ งแรกครลู ใ่ี ช้วธิ ใี หเ้ ด็กที่เป็นลูกหลานจานวน 4 – 5 คน ไปทากิจกรรมรว่ มกับชาวบา้ น โดยพาไปร้องเพลง เลน่
ดนตรี และให้เด็กเขา้ มามสี ่วนรว่ มกับชุมชน เม่ือเวลาผ่านไประยะหน่งึ ก็มองเหน็ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัว
เด็ก เช่น แววตา นิสัยใจคอ และความหยาบกระด้างเริ่มลดลง เม่ือผู้ปกครองเห็นจึงเกิดความสนใจ และพา
ลูกหลานเข้ามาร่วมกิจกรรม ครูล่ีจึงกลับมาคิดต่อว่า ต้องพัฒนาการเรียนการสอน เพ่ือให้เด็กเข้าใจ เรียนรู้ทักษะ
ในการพ่ึงพาตนเองมากขึ้น จึงได้ออกแบบกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การปลูกผัก ที่ไม่ได้หวังผลกาไร แต่จะมุ่งให้เกิด
ความรับผิดชอบ และความมีระเบียบวินยั เพราะถ้าพืชผักผลิดอกออกผล นัน่ แสดงว่า เด็กมคี วามรักความเอาใจใส่
ดูแลแปลงผกั ของตนเอง นอกจากนย้ี ังมีการเรยี นร้เู ร่ืองสมุนไพร การทาสบู่ ยาสีฟนั เครื่องใชต้ ่าง ๆ ดว้ ยตนเอง ซ่ึง
เป็นส่ิงท่ีทาให้เด็กได้เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิต การเอาตัวรอดในสังคม ครูลี่เล่าต่อว่า ตนเองนั้นไม่ใช่ครูอาจารย์ตั้งแต่
แรก จึงทาให้ต้องคิดหากระบวนการสาหรับเด็กอย่างรอบคอบท่ีสุด และน่ันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้ง
โรงเรยี นเล็กในทงุ่ กว้าง
“พืน้ หญ้า ทอ้ งนา ทงุ่ กวา้ ง” แหลง่ เรียนรนู้ อกตารา
“โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง” แหล่งเรียนรู้ที่ออกแบบมาให้เด็กได้สัมผัสกับวิถีธรรมชาติ ใกล้ชิดกับผืนดิน
หนองน้า เพือ่ ใหค้ วามรู้อยเู่ หนือจนิ ตนาการ และป้องกนั ความห่างเหนิ กับธรรมชาติ ช่ือท่ตี ัง้ ข้ึนมานั้นเกดิ จากเดก็ ๆ
ชว่ ยกันระดมความคิดและลงมติเลือกชือ่ นขี้ ้นึ มา โรงเรยี นแหง่ น้ีมกี จิ กรรมทห่ี ลากหลาย เช่น เล่นดนตรี ปลูกผัก ทา
ผลิตภัณฑ์ชุมชนใช้เอง และกิจกรรมผจญภัย เช่น เดินป่า เล่นน้า ป่ันจักรยาน ฯลฯ โดยให้เด็กทุกคนมาใช้ชีวิต
ร่วมกันตงั้ แต่คนื วันศกุ ร์จนถงึ เยน็ วนั อาทติ ย์
20 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
“เราเรียนรู้จากวิถีของพอ่ แม่ ปู่ ยา ตา ยาย ท่ีท้ิงไว้ กิจกรรมจึงเป็นเรื่องของปัจจัย 4 ทง้ั หมด เพราะเวลา
เด็กเข้าเรียน ผมจะให้เด็กดูแลแปลงผักคนละแปลง มีแปลงผักเป็นใบสมัคร แต่ไม่ได้ปลูกผักนะ ปลูกเอาคน ผัก
แปลงหนึ่งเราเห็นอะไรในตัวเขาเยอะ มีวนิ ัยไหม การเอาใจใส่เป็นอย่างไร การเอาใจใส่ไม่มี ก็แสดงว่าคุณเอาใจใส่
ชีวิตยังไมด่ ี มันเปน็ โจทย์ให้เราจะเติมเต็มในสว่ นทีข่ าดได้อย่างไร”
นอกจากการให้เด็กได้ดูแลผักและพืชผลทางเกษตรแล้ว เด็กก็จะได้เรียนรู้วิถีของการทานา การปลูกข้าว
เพ่ือความมั่นคงทางอาหาร การรู้จักคุณค่าของดิน และการช่วยเหลือเก้ือกูลกัน โดยครูลี่จะสอนให้เด็กรู้จักการ
พ่ึงพาตนเอง และรักษารากเหง้าวิถีวัฒนธรรมจากบรรพบุรุษ รวมทั้งการตอบแทนบุญคุณของผืนแผ่นดินไทย ซ่ึง
ถือเป็นแนวคิดทีก่ าลงั จะเลือนหายไปทา่ มกลางการเปล่ยี นแปลงของสงั คมสมยั ใหม่
ครูลี่เล่าให้ฟังว่า จากการทางานกับชุมชน เกิดปัญหาความไม่เข้าใจ และความเข้าใจผิดจากคนในชุมชน
เน่ืองจากพวกเขามองว่า สิ่งท่ีกาลังทานั้น ทาไปเพ่ืออะไร และจะได้รับประโยชน์อย่างไร แต่จากความม่ันคง แน่ว
แน่ในการทางาน และการแสดงจุดยืนว่าจะอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของชุมชนไว้อย่างชัดเจน ทาให้ได้รับความ
ไว้วางใจ และความเชื่อมั่นจากผู้ปกครองท่ีนาลูกหลานมาเรียนรู้ เพราะพวกเขาเห็นว่าสามารถนาไปใช้และเกิด
ประโยชนอ์ ย่างแท้จริง ซ่ึงถือเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อมองเห็นว่าส่ิงนี้มีประโยชน์จริง ทาให้เกดิ คุณค่ากับ
ตวั เขาและบุตรหลานของเขา จึงเกิดการยอมรบั และตัวผู้ปกครองเองก็ได้เข้ามาช่วยเหลือในกิจกรรมของโรงเรียน
รว่ มกับเด็ก
เป้าหมายหลักของโรงเรียนคือ การท่ีเด็ก ๆ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ โดยครูล่ีเป็นผู้ดาเนินงานหลัก
และวางแผนงานว่าจะทากิจกรรมใดบ้าง โดยมีผู้ปกครองเข้ามาช่วยงานในบางกิจกรรม เช่น การปลูกผัก ทา
การเกษตร เน่อื งจากเปน็ การทางานรว่ มกนั ของคนที่หลากหลาย ก็จะมกี ารแบง่ บทบาทหนา้ ที่กนั มีการประชมุ เพ่ือ
หาข้อตกลงร่วม แบ่งภารกิจระหวา่ งผู้ใหญ่และเด็ก โดยทุกคนจะต้องเข้ามามีสว่ นรว่ ม แสดงความคิดเหน็ มีการรับ
ฟังเสียงของทุกคน ซึ่งทาให้เกิดปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ไม่ใช่แค่การมาร่วมกันทางานให้สาเร็จ แต่เป็นการเพิ่ม
ความสัมพนั ธ์ใหเ้ กดิ ขึน้ ในครอบครัว โรงเรียน และชมุ ชน
21 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
รู้จักใหอ้ ภัย ยอมรบั เมอื่ ทาผดิ พลาด
สิ่งสาคัญทคี่ รูลี่บอกเอาไว้ในการทางานคือ การอยู่รว่ มกันและมีปฏิสัมพันธ์กับผ้คู น รู้จักให้อภัยผ้อู ่ืน และ
ยอมรับเม่ือตนทาผิดพลาด สิ่งเหล่าน้ีจะทาให้งานประสบความสาเร็จจากความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชน
เพราะรากฐานของชุมชนคือการพึ่งพากัน ถ้าการพึ่งพาขาดหายไป การอยู่ร่วมกนั เป็นชุมชนก็จะหายไปด้วย ดังน้ัน
การอยู่ร่วมกันกับเด็ก ๆ ก็จะทาให้เห็นถึงลักษณะนิสัย ความสามารถของกันและกัน จะทาให้รู้ว่าควรจะเพ่ิมเติม
ข้อมลู ความรอู้ ะไรให้กับเด็ก ๆ เพื่อเติมเตม็ ให้เดก็ พัฒนาความสามารถของตนได้
โรงเรียนแห่งน้ี มีรูปแบบการประเมินผลการเรียนแตกต่างกับโรงเรียนอื่น ๆ โดยใช้วิธีการติดตาม
พฤติกรรรมของเด็กจากกิจกรรมท่ีเขาปฏิบัติ และให้เด็กได้ประเมินตนเอง เพราะในโลกน้ีไม่มีใครที่จะสามารถ
ประเมินหรือรับรองตนเองได้ดีกว่าตัวเขา คนที่จะรู้ว่าส่ิงท่ีขาดหรือปรับปรุงในตัวเราน้ันคือตัวเรา และรู้ว่าเรามี
ความถนัดด้านไหน หรือทาด้านไหนได้ดีท่ีสุด ครูล่ีกล่าวสรุปว่า เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ ทุกคนจะต้องได้เจอกับ
ปัญหาใหม่ ๆ เข้ามาอยู่ตลอด และเกิดการพฒั นาตนเองไดต้ ลอดเวลา เม่อื เจอกับปัญหา ก็จะเกิดปัญญาเพื่อนามา
แกไ้ ขปัญหาเหล่านน้ั
ในการดาเนินงานของโรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง จะมีองค์ประกอบของคนท่ีหลากหลาย เข้ามาร่วมจัด
กิจกรรม เช่น กลุ่มสายบุญ ก็จะชักชวนให้เด็กฝึกสมาธิ หรือร่วมทากิจกรรมต่างๆ ส่วนมากจะเข้ามาสนับสนุนใน
ลักษณะของบุคคล เนื่องจากแนวทางการทางานสามารถยืดหยุ่น มีวิธีคิด วิธีทางานที่ปฏิบัติได้ ลงมือทาจริง
มากกว่าการศึกษาข้อมูลเพียงอย่างเดียว โดยคนที่เข้ามาช่วยเหลือก็ได้รับประโยชน์ เกิดคุณค่ากับตัวเขา และไม่
เสียความเป็นตัวตนไป ครูลี่กล่าวเสริมว่า เพราะการให้มนุษย์ได้อยู่กับธรรมชาติในความเป็นมนุษย์ จะทาให้เด็กได้
เป็นเด็ก ทาคนให้เป็นคน ส่ิงเหล่านี้กลายเปน็ แม่เหล็กทีด่ ึงดูดใหผ้ ู้คนต่าง ๆ เขา้ มา ทาให้เกดิ เสรีภาพในการใช้ชีวิต
ที่เกิดจากเนื้อใน จิตใจท่ีเป็นอิสระ กายของพวกเขาจึงเป็นอิสระ ครูล่ีเชื่อว่าชีวิตเป็นอิสระของทุกคน ชีวิตเราไม่
สามารถไปบงการ ควบคุมใครได้ จึงไม่มีการชี้นิ้วสั่ง หรือบังคับใครในการทางานร่วมกัน เพราะการที่เราจะทางาน
22 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
รว่ มกับผู้อนื่ ได้ดีนนั้ เราจะไม่จัดการใคร เราทุกคนจะต้องจัดการกับตัวเอง ไม่โทษใคร แต่ตอ้ งควบคมุ ตัวเองให้ได้ดี
โรงเรยี น องค์กรเล็ก ๆ แห่งนี้ ครอบครวั แห่งนจ้ี งึ อยรู่ ่วมกนั ได้
เม่อื โลกเปล่ยี นแปลง ปฏสิ ัมพันธ์คนกเ็ ปลี่ยนไป
ครูล่ีเล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันสิ่งที่ขาดหายไปจากชุมชนคือ การดูแลเอาใจใส่ซ่ึงกันและกัน ซ่ึงทุกคนต่างต้อง
ออกไปทามาหาเลี้ยงชีพ กลับเข้ามาก็ใช้เงิน และออกไปหาใหม่ วนเวียนเร่ือยมาจนเป็นวัฎจักร เม่ือมีเวลาร่วมกัน
น้อยลง ปัญหากลับเกิดขึ้นมากมาย สุดท้ายรากฐานของชุมชนก็เริ่มสั่นคลอนและเลือนหายไป โดยหลังจากที่ได้
ดาเนินงานร่วมกับเด็ก ผู้ปกครอง และชุมชน ทาให้เห็นปฏิสัมพันธ์ของผู้คนเร่ิมเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น ทุกคนเริ่ม
กลบั มาดูแลซึ่งกันและกนั ได้รจู้ กั กันเปน็ วงกวา้ งมากขน้ึ มกี ารไปมาหาส่กู ัน ทาใหช้ ุมชนสามารถพ่ึงพากนั เองได้ ท้ัง
การลงแขกดานา เกี่ยวข้าว ก็เริ่มกลับมาช่วยเหลือกัน สิ่งน้ีเองจะเป็นส่ิงทาให้ชุมชนเกิดความม่ันคงขึ้น เกิดความ
อบอุ่น ซ่ึงครูล่ีบอกว่า แม้จะเป็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ ที่เริ่มต้น แต่ก็สร้างความอบอุ่น ทาให้เกิดความมีชีวิตชีวาของ
ชุมชน
ปจั จุบันมีคนติดต่อมาท้ังทางโทรศัพท์ อีเมล์ และโซเชยี ลมเิ ดีย ว่าอยากทาแบบโรงเรียนแห่งนี้ เพราะเห็น
จากส่ือโซเชยี ลแล้วเกิดความสนใจ ได้เห็นการละเลน่ ดนตรี มีกิจกรรมดา้ นเกษตรที่ลงมอื ทาดว้ ยตนเอง ครูล่ีบอกว่า
ดนตรีเป็นแค่ส่อื เป็นภาษาใจท่ใี ช้กับเด็ก ซึ่งภาษาใจต้องใช้ความรู้สึก แตก่ ็รู้สึกดีใจที่โรงเรยี นแห่งนเี้ ป็นส่วนหนึ่งที่
สร้างแรงกระเพื่อมให้กับสังคม ให้กับคนท่ีสนใจอยากจะเริ่มทากิจกรรมดี ๆ และทาให้สังคมได้ตระหนักถึงการอยู่
ร่วมกันของชมุ ชนมากขึ้น
23 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
ครูลี่ได้ฝากท้ิงท้าย คาแนะนาสาหรับคนท่ีอยากจะทางานในลักษณะท่ีคล้ายกับโรงเรียนเล็กในทุ่งกว้างไว้
ว่า “อันดับแรกคือ ไมม่ ีความหวั่นไหวกับส่ิงท่เี กิดข้ึน มีความยึดม่ัน ยืนหยัดในการกระท้าของตัวเอง หากเจอแรง
กดดัน ค้าพูดของคนอื่น หรือแรงกระเพ่ือมจากสังคม จะต้องสามารถท้าใจให้เป็นปกติให้ได้ ท้าให้จิตใจของเราไม่
ติดเช้ือ เพราะถ้าใจของเราติดเชื้อ ทุกส่ิงอย่างก็จะติดเช้ือไปด้วย การกระท้าจะเกิดจากในจิตใจ ใจเป็นประธาน
เม่ือประธานเสียหายแล้วส่ิงท่ีเหลือก็จะเสียหายไปหมด ทุกคนในสังคมจะมีความช่ืนชอบ ความเกลียดชังอยู่
เหมือนกัน ดังน้ันจะต้องเรียนรู้องค์ประธานให้มีก้าลังแรงใจ องค์ประธานคือใจ ทุกคนควรเรียนรู้ถึงด้านในของ
ตัวเองกอ่ น ถ้าด้านในปกติ จิตใจเราปกติ การกระท้าของเราท่ีจะออกมาก็ปกติ การทา้ งาน การกระท้าของเราก็จะ
ออกมาอยา่ งใสสะอาด”
24 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
A-Chieve
สร้างอาชีพทใ่ี ช่ ชวี ติ ท่ชี อบ ให้วัยรนุ่
25 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
A-Chieve สรา้ งอาชีพทใี่ ช่ ชวี ิตท่ชี อบ ให้วยั รุน่
บุคคลเมื่อก้าวเข้าสู่วัยรุ่น หรือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ซึ่งเป็นวัยที่เชื่อมต่อระหว่างความเป็นเด็กกับ
ผู้ใหญ่ มีช่วงชีวิตที่ตอ้ งเปล่ียนแปลงไปจากเดมิ วัยรุ่นจึงเป็นวัยที่ชอบทดลองส่ิงใหม่ ค้นหาตัวเอง มีความคดิ อิสระ
แต่ก็มีความสับสนในชีวิต โดยเฉพาะการเลือกศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย และเลือกเรียนในสาขาวิชาท่ีเขาคิด
วา่ เม่อื สาเร็จไปแล้ว จะนาความรู้มาสร้างรายได้ใหก้ ับตนเอง หรอื มอี าชีพการงานที่มั่นคง ชีวติ มีความสขุ แต่ความ
เป็นจริงในสังคมต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรามักจะเห็นวัยรุ่นหลายคน ท่ีมีความไม่แน่นอนในชีวิต รู้สึกสับสนกับ
บทบาทของตน ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเลือกศึกษาเล่าเรียนในสาขาใด ทาให้ขาดเป้าหมายในชีวิต ขาดข้อมูลท่ีดีพอใน
การตดั สนิ ใจ โอกาสทจี่ ะเลอื กเรียนไมต่ รงกับความสนใจจึงมสี งู ข้ึน
จากปัญหาที่เกิดขึ้น ทาให้เกิดการรวมตัวของคนตัวเล็กๆ กลุ่มหน่ึง ท่ีมองเห็นความสาคัญในเส้นทางสาย
อาชีพของวัยรุ่น พร้อมจุดประกายความฝันให้ก้าวไปสู่ความสาเร็จ ด้วยแรงผลักดัน ทาให้เกิดการขับเคล่ือนงาน
แนะนาเส้นทางอาชีพใหว้ ัยรุ่น โดยใช้ชือ่ วา่ a-chieve
26 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
หลอ่ หลอมความคดิ จดุ ประกายฝัน
a-chieve หรือ อา-ชีฟ องค์กรเล็ก ๆ ท่ีเกิดจากการรวมตัวของนักศึกษาสามคมที่เพิ่งเรียนจบ คือ
นรนิ ทร์ จิตต์ปราณีชัย (วนิ ) ภูมสิ ิทธิ์ ศิระศุภฤกษช์ ัย (เอิรธ์ ) และภนิธา โตปฐมวงศ์ (ตา่ ย) นักกจิ กรรมตัวยงท่ไี ด้เข้า
รว่ มค่ายอาสาของคณะ และเกดิ ความคดิ อยากทากจิ กรรมดี ๆ ช่วยเหลอื สังคม หลงั จากจบการศกึ ษา ทง้ั สามคนจึง
นาประสบการณ์ท่ีได้รับ ลงพื้นที่ค้นคว้าข้อมูล ศึกษาปัญหาท่ีพบของวัยรุ่นในการเลือกเส้นทางสายอาชีพ ในขณะ
นนั้ พวกเขามีความคิดว่า สิ่งที่ทาไปน้ันต้องเกิดคุณค่า และตอบโจทย์รายได้จากการเลี้ยงตัวเอง จนวันหน่ึงกลับได้
ค้นพบปัญหาทเ่ี กดิ จากคนใกล้ตวั
“คนรจู้ ักของเพอ่ื นในทีม เปน็ นักเรยี นท่ีกา้ ลงั ตอ้ งตัดสนิ ใจเลือกศึกษาตอ่ วา่ จะเรียนต่ออะไร แต่กลบั ไมร่ วู้ ่า
ตนเองจะต้องท้า จะต้องเลือก จะต้องตัดสินใจยังไง ไม่มีข้อมูลในอาชีพท่ีจะเลือก กลายมาเป็นการจุดประกายว่า
ข้อนี้แหละท่ีเป็นปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งของสังคมเลย เด็กมัธยมส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะท้าอาชีพอะไร อาชีพ
เหลา่ นน้ั ตอ้ งเรียนอะไรบา้ ง”
จากการสอบถามข้อมูลกลุ่มเป้าหมายท่เี ป็นเดก็ วัยรุ่น ถึงความต้องการทแี่ ทจ้ ริงของเขา ก็ได้พบคาตอบว่า
ปัญหาของวัยรุ่นนั้น ไม่ใช่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร แต่ไม่รู้ว่าอาชพี เหล่าน้ันต้องทาอะไร หรือจะต้องเรียนอะไร
ในระหวา่ งทางทจ่ี ะไปส่อู าชพี นน้ั
“หากทุกคนในสังคมไดท้ างานในส่ิงท่ีชอบ สงิ่ ท่ีถนัด จะทาใหส้ ังคมเตม็ ไปดว้ ยคนที่มคี วามสุขจากการได้ทา
ในสงิ่ ท่ตี นเองให้คุณคา่ ”
สร้างเครอื ข่ายทางสังคม ขบั เคลื่อนการศกึ ษา
a-chieve เป็นธรุ กิจเพื่อสังคม ที่สนับสนุนให้เด็กในระดบั มัธยม อายุระหว่าง 13 – 18 ปี เกิดแรงบันดาล
ใจในการเรียนรแู้ ละเลือกสายอาชีพท่ีตนรักและถนัด โดยสามารถมองเหน็ คุณคา่ ของสิง่ ทีท่ า โดย a-chieve จะเป็น
27 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
ผู้สนับสนุนและนาเสนอนวัตกรรมทางสังคม ท่ีจะช่วยขับเคล่ือนประสิทธิภาพของระบบการศึกษาและการเรียนรู้
ของเยาวชน โดยแบ่งกระบวนการทส่ี าคัญออกเปน็ ต่อไปนี้
1) ค้นหาตัวเอง โดยใหเ้ ดก็ ออกแบบวธิ คี ิดในการค้นหาตวั เอง และสรา้ งเปา้ หมายดว้ ยตัวเอง
2) สร้างขอ้ มลู อาชพี และเส้นทางการเรยี นเพอ่ื ไปทาอาชพี น้นั
3) สร้างกิจกรรมที่มอบประสบการณ์จริง กับอาชีพที่เด็กสนใจ (เกิดแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นคิดถึง
เปา้ หมายของการเรียนและชีวติ ของตนเอง)
4) สร้างที่ปรึกษา เป็นพ้ืนท่ีปลอดภัย พร้อมจะรับฟัง ไม่ตัดสิน และช่วยตั้งคาถามเพื่อให้เด็กสามารถ
ตดั สินใจ รวมถึงแก้ปัญหาด้วยตัวเขาเองได้
“เด็ก ผปู้ กครอง และครู” นเิ วศท่ีต้องพง่ึ พากัน
ในการประกอบกิจกรรมด้านแนะแนวการศึกษาและอาชพี ผูท้ ี่เกีย่ วข้องทกุ ฝ่ายต่างย่อมหวังผลให้เกดิ การ
เปลี่ยนแปลงท่ีดี โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เปน็ เด็กและเยาวชน คุณวินเล่าว่า กิจกรรมของ a-chieve ท้ังระยะสั้น
และระยะยาว ผ้เู ขา้ ร่วมทกุ ส่วนจะเกดิ การเปลยี่ นแปลงภายในตวั เอง ซง่ึ มผี ้ทู ีเ่ กี่ยวข้อง 3 ฝา่ ย ได้แก่
เดก็ และเยาวชน ได้เปดิ โลกทศั น์ใหม่ เดก็ ไดร้ ูจ้ ักกบั อาชีพทม่ี ากกว่าทตี่ นเองร้จู ัก หรอื ถ้าเด็กไดพ้ บกับ
พี่ต้นแบบอาชพี ทีส่ นใจ เขาก็จะได้เรียนรูจ้ ากประสบการณต์ รง ถ้าเป็นกิจกรรมกึ่งอบรมสัมมนา เด็กก็จะไดท้ ศั นคติ
วิธีคิดใหม่ ได้เรียนรเู้ ข้าใจตนเอง ได้มองถึงส่ิงท่มี ีอย่ใู นตนเองมากขึ้น ถ้าเป็นโครงการที่มีระยะเวลานาน เช่น Job
Shadow เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่เด็กจะได้ประสบการณ์และการเรียนรู้ครบท้ังกระบวนการ เริ่มตั้งแต่ ได้เข้า
กระบวนการค้นหาตัวเอง ได้พบกับสถานทท่ี างานจริง ถอดบทเรียนในสิง่ ท่ีได้ ทาให้วิธีคดิ ของเดก็ เปลีย่ นไป เด็กคือ
คนแรกทจี่ ะเปล่ียนแปลงจากกระบวนการเหล่าน้ี
พอ่ แม่ ผู้ปกครอง จะเป็นผ้สู ังเกตและเหน็ การเปลี่ยนแปลงของเดก็ มากข้นึ หลงั ผา่ นกระบวนการ
ต่าง ๆ เด็กมีการแสดงความกระตือรือร้น ใสใจในการศึกษาเร่ืองราวต่าง ๆ โดยไม่ได้มีใครเข้าไปบังคับ สิ่งนี้จะทา
ให้ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง มองเห็นถึงความต้ังใจที่เปลี่ยนไปของเด็ก เกิดความเข้าใจในอาชีพที่เด็กอยากทา มีการ
สนับสนุนเด็กมากข้ึน สุดท้ายจะเกิดการยอมรับในส่ิงท่ีเด็กต้องการเลือกด้วยตัวเขาเอง เพราะไม่ได้เกิดขึ้น
เพยี งชัว่ คราว แตเ่ กิดจากการศึกษาขอ้ มูลมาแลว้ อยา่ งรอบคอบ ต้งั ใจ ใสใ่ จ
ครผู ูส้ อน เป็นผู้ทเ่ี ขา้ ร่วมกิจกรรม เกิดการปรบั เปลีย่ นวิธกี ารทางาน เปล่ยี นความคิดในการรับฟังเด็ก
ทาให้เด็กเกิดความกระตือรือร้น รอท่ีจะเข้าคาบเรียนแนะแนว รอทากิจกรรมของครู คุณวินบอกว่า จากการเก็บ
ข้อมูลเด็กซ่งึ เป็นผสู้ ะท้อน เขารู้สกึ ว่าตนเองสามารถพูดคยุ กบั ครูได้ ครมู ีการรับฟัง ไม่รสู้ ึกว่าโดนครตู ดั สนิ
28 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
ประเมินสม่าเสมอ ปรบั ปรุง เพอ่ื เติมเต็มในส่ิงทขี่ าด
เมื่อได้วิเคราะห์ถึงความเปลี่ยนแปลงของเด็กท่ีเข้ามาร่วมกิจกรรมแล้ว องค์กรเองก็มีวิธีการประเมินผล
ภายใน โดยส่ิงที่ a-chieve นามาประเมินผลตนเองนั้น ไม่ใช่การสอบถามกันเอง แต่พิจารณาจากเด็กที่เป็น
เป้าหมายของกิจกรรม วิธีการประเมินผล ได้แก่ โทรศัพท์สัมภาษณ์ ทาแบบสอบถามประเมินผลการจัดกิจกรรม
เพื่อนามาปรับปรุงและพัฒนาให้กับรุ่นต่อไป โดยส่ิงเหล่านี้ จะเป็นการกลับไปทาความเข้าใจในตัวเด็ก และ
กระบวนการของตนเอง โดยการประเมินผลนั้น ทาให้รู้ว่าสิ่งที่ทาไปนั้น เด็กได้รับประโยชน์หรือขาดอะไร เพ่ือ
นามาเติมเตม็ ใหเ้ กดิ ความสมบรู ณม์ ากขึ้น
คุณวินได้เล่าเพ่ิมเติม เก่ียวกับผลตอบรับจากผู้ปกครองท่านหน่ึงที่ส่งลูกเข้าร่วมโครงการ Job shadow
แล้วเลือกอาชีพเชฟทาอาหาร เมื่อกลับมา ก็ขอไปเรียนภาษาอังกฤษเพ่ิมเติม โดยเด็กได้บอกกับแม่ว่า ถ้าอยากจะ
เอาดที างดา้ นเชฟ ต้องเกง่ ภาษาด้วย เด็กก็ขอเรยี นภาษาอังกฤษเพิ่มเตมิ หรือเสียงสะท้อนจากเดก็ คนหน่งึ ท่ีเคยเข้า
ร่วมโครงการเพราะสนใจในอาชีพนกั โฆษณา แต่สดุ ทา้ ยกข็ อเลอื กเรียนอีกสายการเรียนหนง่ึ โดยบอกไวว้ ่า
“ตอนที่ได้เข้าร่วมกิจกรรม a-chieve ได้ไปติดตามอาชีพนักโฆษณา ซึ่งมองว่าเท่ ได้พบเจอผู้คนมากมาย
แต่เมื่อได้รู้ถึงกระบวนการทางานจริง ๆ พบว่าไม่ใช่ทางที่ถนัด ทาให้รู้ว่าบางส่ิงเราสนใจแค่ภายนอก เมื่อเราได้ไป
สมั ผัส ลองทา มันไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ ส่งผลให้เราไม่ได้เลือกเรียนในสายวิชาน้ี โครงการนี้ช่วยให้เราตัดสินใจในการ
เลือกสายการเรยี นได้ดมี ากเลย”
29 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
ผกู สัมพนั ธจ์ ากรุ่นสูร่ ่นุ
นอกจากเรื่องผลตอบรบั ท่ไี ดม้ าแล้ว คุณวินยังบอกด้วยว่า ในการจัดกิจกรรม จะมีเดก็ ที่จบโครงการไปแล้ว
กลบั มาช่วยในโครงการ การท่ีเด็กเลอื กที่จะมาช่วยนน้ั คอื ความผูกพันและสนทิ สนม ตั้งแต่ตอนเริ่มกิจกรรม ซงึ่ เจอ
กันต้ังแต่ช่วงการพูดคุย ร่วมกิจกรรมกัน สิ่งท่ีน้องประทับใจ คือมีคนรับฟัง แล้วไม่ตัดสินว่าถูกหรือผิด ทาให้เกิด
การซื้อใจไปในตัว แล้วยิ่งผ่านกระบวนการต่าง ๆ เด็กก็รู้สึกว่าได้รับอะไรบางอย่าง ทาให้เกิดความสบายใจ ส่วน
เร่ืองที่จะมาช่วยหรือไม่นั้น ก็มีเด็กส่วนหน่ึงท่ีไม่ได้มาช่วย แต่ก็ยังติดตามข่าวอยู่เสมอ ส่วนเด็กท่ีกลับมาช่วยก็จ ะ
เป็นเด็กที่ชอบทากิจกรรมอยู่แล้ว แล้วก็มีโจทย์บางอย่างท่ีอยากมาเรียนรู้ต่อ ซ่ึง a-chieve ก็ต้องกลับมาทบทวน
วา่ ทาอย่างไรให้พวกเขาได้มาเรียนรู้ เพราะเด็กก็จะเจอตั้งแต่การคิดงาน วางแผน แล้วได้ลงมอื ทา ปกตเิ ด็กก็เป็น
ผู้รับ เป็นคนที่มาเข้ากระบวนการ แต่พอเขาต้องเปน็ ผู้ให้ หมายถึงต้องมาทากิจกรรมกับเพื่อน ๆ มาดูแลน้องแทน
สิง่ ที่ต้องทาก็คือ การรับฟังน้อง ต้องเรียนรแู้ ละปรบั ตัวเองเหมือนกัน เม่ือกิจกรรมจบ ทุกคนก็ต้องมาพูดคุยกัน ว่า
รู้สกึ ยงั ไง อะไรท่ีตวั เองทาไดด้ แี ลว้ คร้ังหน้าอยากทาให้ดขี ้ึนอย่างไร
30 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
ความพยายามของ a-chieve ในการแนะแนวการเรียน แนะแนวอาชีพ แนะนาวิธีการเรียนรู้ท่ีถูกทาง
ให้กับเด็ก หรือแม้แต่การพาไปสัมผัสประสบการณ์ ในสถานที่ทางานจริงของอาชีพต่างๆ สิ่งที่น่าสนใจ คือ การ
ตอบโจทย์ปัญหาและจุดมุ่งหมายของ a-chieve ตั้งแต่เร่ิมแรกว่า อยากจะช่วยแก้ปัญหาสังคม ซึ่งเด็กก็เป็นส่วน
หนึ่งของสังคม และเป็นกลุ่มที่จะช่วยสังคมขับเคลื่อนไปในอนาคตได้ ดังน้ัน การที่ช่วยให้เด็กได้เข้าใจตนเอง ได้
รบั รู้ถึงความสามารถทมี่ ี รวมถึงการเข้าใจในอาชีพทอ่ี ยากจะเลอื กได้ สามารถนามาจับคกู่ ันได้นัน้ เดก็ คนนั้นกจ็ ะได้
เลือกเรียนในสิ่งท่ีเหมาะสมกับตัวเอง ได้เลือกด้วยตัวเองจริง ๆ เม่ือเด็กได้ใช้ชีวิตการทางานในอาชีพน้ัน ก็จะเกิด
ประโยชน์ เกิดผลงานที่ดี เกิดความสุขในการทางาน สามารถสร้างรายไดใ้ หก้ ับครอบครัว เท่ากับว่าสังคมจะได้คน
ที่มีคุณภาพเข้าไปอยู่ในสังคม ปัญหาการเลือกเรียนไม่ถูกสายการเรียน การโดนให้ออกระหว่างเรียน ปัญหาด้าน
การศึกษาอน่ื ๆ ก็จะลดลง อนาคตของเด็กกจ็ ะดีข้ึน สังคมในอนาคตกจ็ ะค่อย ๆ ดขี นึ้ จากบคุ คลทม่ี ีคณุ ภาพเหลา่ นี้
สร้างพืน้ ทใ่ี หเ้ ดก็ ไดเ้ รียนรอู้ ย่างเต็มศักยภาพ
สิ่งสาคัญของการเลือกเส้นทางสายอาชีพของเด็กนั้น มิใช่แค่ให้เด็กค้นหาในสิ่งท่ีตนถนัดหรือชอบเท่านั้น
แต่ต้องสนับสนุนให้เด็กเกิดการพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ คุณวินกล่าวว่า เราต้องไม่ให้เด็กไปยึดติดกับผล
คะแนนหรือการทาเกรด โดยใช้วิธีการเรียนพิเศษเพิ่มเข้าไปเพียงอย่างเดียว แต่ต้องทาให้เขาเปลี่ยนวิธีคิด ลองให้
ไปค้นหาตัวเอง หรือออกไปหาข้อมูลอาชีพที่สนใจ และลองพัฒนาทักษะควบคู่กับการเรียนในห้องเรียน ซึ่งจะ
กลายเปน็ วิธคี ิดใหม่ให้กับเดก็ และเม่ือเด็กสนใจ อยากเรียนร้แู ล้ว จงึ เพม่ิ กิจกรรมเข้าไป หรือการสร้างพ้ืนท่ีให้เด็ก
ได้เรียนรู้กับอาชีพนั้น ๆ โดยมีที่ปรึกษาหรือครูแนะแนว หรือผู้ปกครองให้คาแนะนา โรงเรียนต้องมองเห็น
ความสาคัญด้วย และในเรอื่ งขอ้ มูลตา่ ง ๆ โดยเฉพาะในส่ือออนไลน์ ทเี่ ด็กมักเสพ ก็ตอ้ งมีข้อมลู สนบั สนนุ ด้านอาชีพ
ด้วย เช่น หากเด็กอยากรู้อาชีพเฉพาะทางของการเป็นแพทย์ เขาต้องมีเส้นทางท่ีจะไป ต้องรู้บทบาทหน้าท่ีสาคัญ
31 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
ของแพทย์ ส่ิงเหล่าน้ัน มิใช่แค่การถ่ายทอดประสบการณ์ของแพทย์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีข้อมูลอ่ืน ๆ มา
สนบั สนนุ ประกอบด้วย จงึ จะช่วยอุดช่องว่างของปญั หาท่เี กิดขนึ้ ได้
นับเป็นอีกหนึ่งก้าวเล็ก ๆ ท่ีสาเร็จของ a-chieve ที่เริ่มต้นจากการมองเห็นถึงปัญหาด้านสังคม ท่ีเกิด
ขนึ้ กับเดก็ วยั รุ่นท่ีกาลังมองหาเส้นทางสายอาชีพของตน และลงมอื ปฏิบัติ เรียนรูอ้ ยา่ งสม่าเสมอ นาความผิดพลาด
มาเป็นบทเรียนในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนวันน้ี a-chieve ได้กลายเป็นสะพานที่เชื่อมให้เด็กและเยาวชน ได้
ค้นหาสิ่งท่ีใช่ และตัดสินใจเลือกอาชีพที่ชอบ หรือเหมาะสมกับตัวเอง ซึ่งเป็นการสร้างเป้าหมายทางอาชีพให้กับ
ชีวติ อย่างฉลาด และเป็นการเตรียมความพรอ้ มส่กู ารเขา้ สคู่ วามเป็นผใู้ หญท่ ่ดี ีในอนาคตตามที่สังคมคาดหวัง
32 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
“บุญมฤี ทธิ์” ส่อื บันดาลใจ
33 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
“บุญมีฤทธ์ิ” สอ่ื บนั ดาลใจ
“วัย หรือ ใจ ที่ทาให้เราห่างกัน” หนึ่งในสโลแกนของเพจมนุษย์ต่างวัย ที่ได้บรรจุเรื่องราวชีวิตของผู้สูง
วัยในรูปแบบของไวรัลคลิป และเป็นผลงานคุณภาพของ บุญมีฤทธิ์ มีเดีย ที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าและ
ความหมายของการใช้ชวี ิตของผู้สูงวยั ในหลากหลายอาชีพ ผ่านร้อนผา่ นหนาว ผ่านประสบการณก์ ารเรยี นรู้ชวี ิตมา
ไม่น้อยกว่า 60 ปี และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนสูงวัย รวมถึงวัยอื่นๆ อยากจะมาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีคุณค่า
มีความหมาย และสร้างประโยชน์ให้กับสังคม นอกจากน้ียังมีสื่อสร้างสรรค์เชิงสังคมอีกจานวนมาก ท่ีเป็นแรง
บันดาลใจในการเปล่ียนแปลงสังคม และเป็นความภาคภมู ใิ จของทีมงานจานวนสิบกวา่ ชีวิต ภายใตห้ ลังคาบ้าน บุญ
มีฤทธ์ิ มีเดีย
34 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
สรา้ งสรรคส์ ่ือนา้ ดี ปรากฏสสู่ าธารณะ
คุณประสาน อิงคนันท์ กรรมการผู้จัดการบริษัท บุญมีฤทธิ์ มีเดีย จากัด ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ สารคดี
และสื่อเชิงสร้างสรรค์ ได้เล่าถึงจุดเร่ิมต้นก่อนที่จะตัดสินใจก่อร่างสร้างบริษัท ภายใต้ชื่อท่ีบ่งบอกถึงความงดงาม
และความดีที่มีพลังอยู่ในตัว โดยเกิดจากการทางานในวงการสื่อ และงานพิธีกรมานาน 10 กว่าปี จึงเกิดสภาวะ
อิม่ ตวั ในช่วงน้นั มีความต้ังใจที่จะทางานอีกหลายอย่าง แต่ด้วยเง่ือนไขและข้อจากัดบางอย่าง ทาให้ไมเ่ ปน็ ไปตามที่
คาดหวังไว้ คุณประสานจึงตั้งใจออกมาเป็นฟรแี ลนซ์ แต่เมอ่ื ต้องรับงานจริง ๆ ก็ต้องทาในรูปของบรษิ ัท จึงออกมา
ตง้ั บริษัทภายใตช้ ื่อ “บุญมฤี ทธ์ิ มีเดยี ” โดยมีเปา้ หมายการดาเนินงานทช่ี ัดเจนวา่ งานทที่ านัน้ ต้องเปน็ ประโยชน์ต่อ
ตนเอง เป็นงานที่มคี วามน่าสนใจ ทาแล้วเกิดความสนุก และสามารถนามาเปน็ รายไดเ้ ลี้ยงชีพ และทส่ี าคัญคืองาน
ที่ทาตอ้ งเกดิ ประโยชนต์ อ่ สงั คม
“ในชว่ งที่ผา่ นมา เราได้ท้างานกบั อาจารยย์ ักษ์ ววิ ัฒน์ ศัลยกา้ ธร ซึ่งได้พดู ถงึ แนวคดิ ของในหลวงรัชกาลท่ี
9 โดยอาจารย์มักพูดถึงเร่ืองของ “ทานมฤี ทธิ์” คอื การให้ มนั มฤี ทธ์ิ เราก็เลยน้ามาใช้ และเปลีย่ นเปน็ คา้ วา่ บุญ
แทน โดยค้าวา่ บุญ ก็มีความหมายถึงสง่ิ ท่ีดีงาม รวมไปถงึ การชว่ ยเหลอื เกือ้ กลู ความดีงาม กเ็ ลยตงั้ ชอ่ื ว่า “บญุ มี
ฤทธิ์”
บรษิ ัทวางบทบาทการดาเนินงานไวว้ า่ 1) ตอ้ งเป็นงานท่เี ปน็ บญุ ใหก้ ับตัวเอง เป็นสิ่งดี ๆ ใหก้ ับตน สามารถ
เกื้อกูลตนเองได้ และ 2) ต้องเป็นงานที่มีส่วนเผ่ือแผ่ ช่วยเหลือคนอื่น ช่วยเหลือสังคมไปด้วย ซึ่งการทางานส่วน
ใหญ่จะเปน็ งานที่เชื่อมโยงกับสงั คม เช่น งานชุมชน ส่ิงแวดล้อม งานศาสนา ซ่ึงงานบางส่วนก็เปน็ งานฟรี หรืองาน
ก่ึงอาสา ไม่มีค่าตอบแทน คุณประสานได้เล่าว่า ในช่วงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ก็ได้มีโอกาส
35 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
ไปช่วยเหลอื สงั คมตามความถนดั เชน่ การไปถา่ ยรายการทวี ี การเป็นพธิ กี รอาสา ฯลฯ ซ่ึงกถ็ อื เป็นงานบุญท่ีทาแล้ว
เกดิ ความสขุ ใจ และก็เปน็ ฤทธ์ิของบุญจรงิ ๆ
สรา้ งระบบนเิ วศใหเ้ กอ้ื กูลกัน
คุณประสานเล่าถึงหลกั สาคัญของการทางาน เนื่องจากบุญมีฤทธิเ์ ป็นบริษัทขนาดเลก็ มีพนักงานไม่ถงึ 15
คน ดังน้ันการคัดเลือกคนมาทางานจึงเป็นส่ิงสาคัญ เหมือนกับการสร้างป่า ซ่ึงต้องมีองค์ประกอบของป่าและ
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับเรา สมมุติว่าเราต้องการสร้างป่าดงดิบ ก็ต้องสร้างระบบนิเวศของป่าดงดิบ มี
สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ในการทางานก็เช่นกัน ต้องคัดเลือกคนท่ีมีทัศนคติหรือพฤติกรรมท่ีใกล้เคียงกัน มีทักษะ
ความสามารถใกล้กัน ระบบนิเวศทดี่ ีจึงตอ้ งมีคนที่มีแนวคิดและฝีมือในระดบั เทียบเคยี งกันได้ เพือ่ ท่ีจะไม่เป็นภาระ
ของคนใดคนหนึง่ หรอื ถ้ามีความคิดเห็นแตกตา่ งกนั แต่มีธรรมชาติและนสิ ัยใจคอท่ีใกล้เคยี ง จึงจะมาอยูร่ ่วมกันได้
ในการทางานทุกคร้ัง ตอ้ งคิดเสมอว่า งานที่ทาเกิดประโยชน์แก่คนทางานอย่างไร ซงึ่ ต้องเกดิ จากความสุข
ท่ีจะทา มีความต้องการท่ีจะทา มีรายได้จากส่ิงที่ทา และเป็นประโยชน์ต่อคนอ่ืน คุณประสานได้ยกตัวอย่าง
เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนเม่ือหลายปีก่อน ซึ่งขณะนั้นได้ถ่ายทารายการ “เรื่องเล็กเขย่าโลก” เป็นรายการที่บอกเล่า
เรื่องราวด้านส่ิงแวดล้อม ให้กลายเปน็ เร่ืองใกล้ตัว เมื่อได้รับโจทย์มาแล้ว ทมี งานก็เริ่มวิเคราะห์กนั วา่ รายการน้ีจะ
มปี ระโยชน์ต่อเราอย่างไร จากนั้นจึงนาเสนอเร่ืองราวทอี่ ยากถา่ ยทอดออกมาให้กลายเปน็ ความสนุก และสามารถ
สรา้ งรายได้ให้บริษทั นอกจากนยี้ งั กระตุ้นใหค้ นในสงั คมเกิดความตระหนกั และหนั มามองส่งิ เลก็ ๆ ท่ีอาจกลายเป็น
ปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ ซ่ึงจะเห็นได้ชัดว่า การทางานหนึ่งงาน ทีมงานจะต้องมีความต้องการ
อยากทากอ่ นเปน็ อนั ดับแรก แล้วจงึ เกดิ การท่มุ เท ขวนขวาย หนทางตา่ ง ๆ และสองสงั คมต้องได้รบั รู้
36 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
คุณประสานไดพ้ ยายามปลูกฝังให้ทีมงานทุกคนมองเหน็ คณุ ค่าของการทางาน มีจดุ มงุ่ หมายและเป้าหมาย
ในทิศทางเดียวกัน คณุ ค่าของการทางาน คือ มคี วามจริงใจในการทางาน จริงใจในการผลิตผลงาน ซื่อสัตย์ต่อ
ชิ้นงาน ทางานในส่วนของตนเองอย่างเต็มท่ี เพราะส่วนหน่ึงของงาน จะเชื่อมโยงไปสู่การสร้างประโยชน์ให้กับ
ผู้อื่นและสังคม ไม่ใช่การทางานเพ่ือการเลี้ยงชีพเลี้ยงตนเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่างรายการ “สะเทือนไทย” ที่
นาเสนอการทาปุ๋ยจากขยะ เป็นการย่อยสลายตามธรรมชาติหรือเกษตรอินทรีย์ ซ่ึงได้รับผลตอบรับท่ีดีกลับมา
คนขายสามารถขายปุ๋ยได้มากข้ึน และมากกว่าท่ีเคยขายมาก่อน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า มีผู้คนสนใจในการย่อยขยะ
มากข้ึน ประสานจึงพยายามสร้างความเข้าใจกับทีมงานว่า งานที่ทานั้นส่งผลให้กับคนอื่นและสังคมได้จริง และ
พยายามช้ีใหเ้ หน็ ว่า เปน็ การทางานท่ีทาให้เกดิ ความรสู้ กึ ทีด่ ี
“สิ่งนี้ชุบชูใจ มีความภูมิใจกับงาน ท้าให้ทุกคนสามารถตอบตัวเองได้ว่า สิ่งท่ีเราท้าอยู่คืออะไร ท้าไป
ทา้ ไม และทา้ เพือ่ ใคร โดยไมต่ ้องไปแสวงหาความสขุ เพิม่ เมื่อถงึ วนั หยดุ แตจ่ ะมคี วามสุขทกุ วันพร้อมกบั การท้างาน
และยังเช่ือว่า บรษิ ทั สามารถอย่ไู ดใ้ นทกุ วนั นี้ ก็มาจากคุณคา่ ของงาน และความซื่อสตั ย์ทเี่ รามกี บั งานทกุ ช้นิ ”
สรา้ งคน สร้างทมี รับใช้สงั คม
ปัจจุบัน บริษัท บุญมีฤทธิ์ มีเดีย จากัด มีพนักงานท่ีมีอายุเฉล่ียประมาณ 25 ปี ซ่ึงถือเป็นกลุ่มคนที่มีอายุ
น้อยมาก แม้กอ่ นหนา้ นีจ้ ะมรี ่นุ พ่ีท่อี ายุประมาณ 30 – 40 ปี แตก่ ล็ าออกไปใช้ชวี ิตของตนเอง การอยูร่ ่วมกันตอนนี้
จึงคล้ายกับเป็นโรงเรียนฝึกสอน ที่ต้องสร้างคน สร้างทีมข้ึนมา แต่ไม่ได้สร้างเพื่ออยู่ภายในบริษัทเพียงอย่างเดียว
แต่อยากพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเป็นการทางานร่วมกันของกลุ่มคนต่างวัย ท่ีมีช่วงเวลาการเติบโต
แตกต่างกัน ประสบการณ์ก็ต่างกัน ทาให้เกิดรูปแบบในการทางานที่เพ่ิมขึ้น บริษัทต้องฝึกสอนการทางานให้กับ
พนักงาน พอมาทางานได้ 2 – 3 ปี ก็จะมีลาออกไปบ้าง แต่ดว้ ยความคิดวา่ การสอนเปน็ การพฒั นาอาชพี ให้กับคน
37 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
เมื่อเขาเติบโต มีอาชีพ หรือมีเงินเดือนท่ีเพ่ิมขึ้น ก็ถือเป็นโอกาสท่ีดีสาหรับเขา เหมือนกับการปลูกต้นไม้แล้วงอก
งาม เราจึงตอ้ งเข้าใจธรรมชาติ เขา้ ใจโลก และนี่คือสง่ิ ท่ีเราสามารถนามาปรับใช้ได้ คณุ ประสานกล่าว
สาหรับการทารายการส่งเสริมด้านส่ิงแวดล้อม ก็เป็นประเด็นสาคัญท่ีองค์กรจะต้องนามาใช้ให้เกิด
ประโยชน์ หรือทาเป็นแบบอย่างที่ดีก่อน ภายในองค์กรจะมีการคัดแยกขยะ มีการรณรงค์การประหยัดพลังงาน
ประหยัดน้า ไฟฟา้ เชน่ นานา้ ลา้ งจานมาเทเก็บไว้ เพื่อไปใช้รดนา้ ต้นไม้ หรือการคัดแยกขยะเวลาทิง้ การปิดไฟเม่ือ
เลิกใช้งาน ซึ่งถึงแม้จะยังทาไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็พยายามท่ีจะพูดคุยกัน และทาให้พนักงานรู้สึกว่าเรื่อง
ดังกลา่ วน้ีมคี วามจาเป็นมากน้อยแค่ไหน ซ่ึงตอนนี้ก็ไม่สามารถพูดออกมาว่าสามารถทาได้ดี แต่ก็จะพูดคุยทุกครง้ั ท่ี
มกี ารประชมุ
38 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
อีกข้อหน่ึงคือ การอยู่ร่วมกับคนรุ่นใหม่ ต้องอยู่ด้วยความเก้ือกูลกัน เรียนรู้ซ่ึงกันและกัน เพราะยุคสมัยท่ี
ส่ือเปล่ียนแปลง ระบบนิเวศสื่อ สิ่งแวดล้อมของสื่อเปลี่ยน และธุรกิจก็เปล่ียน คุณประสานได้บอกว่า เขาเองก็ได้
เรียนรู้จากคนกลุ่มใหม่ ๆ ถึงแม้จะไม่ใช่วิชาความรู้ แต่ก็ทาให้ได้เรียนรู้ว่า ยุคสมัยนี้คนเสพอะไร คนชอบดูอะไร
เพราะมันมีความจาเป็นในการผลิตส่ือ ถ้าทาผลงานท่ีไม่เข้ายุคสมัย ไม่ทันเหตุการณ์ออกมา ก็จะเป็นผลงานในรูป
แบบเดิม ขาดความนา่ สนใจ การทมี่ คี นต่างวัยมาอยรู่ ่วมกนั ในทท่ี างาน ก็ถอื เปน็ การเก้อื กลู กนั ได้
“ภายในองค์กรจะใช้วิธีการค่อย ๆ หล่อหลอม ให้ทุกคนเข้าใจ ได้ฝึกฝน ท้าให้ไม่สามารถประเมินผล
ออกมาให้แต่ละคนได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร หรือประสบความส้าเร็จในการท้างานมากน้อยแค่ไหน แต่
เมือ่ มีผลตอบรบั ท่ีดกี ลับมา ก็จะบอกเล่าถงึ ส่งิ ท่ไี ดร้ ับฟังมา เช่น คุณหมอหลายทา่ นให้ค้าช่ืนชม หลงั จากไปร่วมงาน
ด้านการแพรร่ ะบาดของโควดิ 19 รว่ มกับสา้ นกั งานกองทนุ สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ก็ได้น้ากลับ
มาบอกเล่าภายในองค์กร เพราะคิดว่า น่ันคือส่วนหน่ึงท่ีท้าให้คนท้างานมีแรงใจเพ่ิมข้ึน หรือมีคนน้าผลผลิต
ทางการเกษตรมาให้ เช่น ข้าว ผลไม้ ฯลฯ โดยทเี่ ขาให้มานั้น เพราะอยากชน่ื ชม จึงน้าใหม้ าเป็นสินน้าใจ ท้าให้คน
ในองคก์ รได้เรียนรู้วา่ การทา้ งาน ถา้ เราทา้ ดี ๆ มนั ก็เปน็ บุญใหญ่”
ถอดกลยุทธส์ ร้างสมั พันธช์ มุ ชน
เม่ือต้องการจะผลิตสื่อเพ่ือนาเสนอเรื่องราวของชาวบ้าน ชุมชน ถ้าต้องการความร่วมมือกับเขา คุณ
ประสานแนะนาวา่ หน่ึง เราตอ้ งทาให้เขาเห็น คยุ ให้เข้าใจ ว่าสงิ่ ที่กาลังจะทานั้น ตอ้ งการท่ีจะนาเสนอเรอ่ื งราว
ของเขา ส่งิ เหล่าน้ีจะสรา้ งความไว้วางใจ และเขาจะไม่เสยี เวลาให้กับเรา เพราะการที่ต้องลงไปในชุมชน ก็จะเป็น
การรบกวนชาวบ้าน ทาให้เขาไม่ได้ทานา ทาสวน ทางานของตัวเอง เพราะฉะน้ันต้องบอกให้ชัดเจนว่า ต้องการ
39 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
อะไรจากเขา ส่ิงท่ีเราทาจะทาให้ได้อะไรกลับคืนมา ซ่ึงอาจจะไม่ใช่ตัวเงิน หรือชื่อเสียง แต่เป็นการนาเสนอให้คน
รู้จักชุมชน ทาให้คนมองเห็นว่ามีคนกล่มุ นี้เป็นแรงบนั ดาลใจให้กับผู้คน หรือเป็นต้นแบบให้กับชุมชนอื่น ๆ ที่กาลัง
ประสบปัญหาเดียวกัน สอง การลงไปทางานกับชุมชน สิ่งสาคัญที่ต้องมีคือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ใช่ไปส่ัง
เขาให้ทาตาม หรือทาตัวเหนือกว่าเขา เป็นเจ้านาย แต่เป็นการท่ีเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเขา เพราะเขา
ตา่ งหากคือผู้รู้ ความออ่ นน้อมถ่อมตนจะทาให้ชาวบ้านรู้สึกสบายใจที่มาทางานด้วย สิ่งท่ีแสดงออกมาก็จะมีความ
เป็นธรรมชาติ เพราะเขาเต็มใจ ท่ีได้เล่น ได้สนุกไปพร้อมกัน ในทางกลับกัน ถ้าเขาไมส่ บายใจที่จะมาร่วมงาน งาน
ทีอ่ อกมาจะไม่เปน็ ธรรมชาติ เพราะเหมือนโดนสั่งให้มา โดนสง่ั ใหท้ า มากกวา่
คณุ ประสานได้ยกตัวอยา่ งให้ฟังว่า ตอนที่เขา้ ไปทางานกับชุมชนหนองหิน จังหวดั ร้อยเอ็ด ชาวบา้ นเองก็มี
โครงการเร่ืองธรรมนูญสุขภาพอยู่แล้ว ซ่ึงได้ทาร่วมกับสานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เร่ืองการรณรงค์
เหล้า การพนัน และสร้างธรรมนูญร่วมกัน จากความร่วมมือของชาวบ้าน ครู หมอ พระ ข้าราชการท้องถ่ินเพ่ือ
สร้างความอยู่ดี กินดี มีสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่ดี ซึ่งชาวบ้านมองว่าส่ิงท่ีเขาทาเป็นเร่ืองปกติ เป็นวิถีชีวิตอยู่แล้ว
แตพ่ อนาเรอ่ื งราวเหล่านไี้ ปนาเสนอบนพ้ืนที่ส่ือ ก็จะเกดิ การมองเห็นวา่ มคี นกลุม่ หนึ่งกาลงั พยายามทาเรือ่ งดี ๆ อยู่
ก็จะทาให้ชาวบา้ นมีกาลังใจ เกิดความภมู ิใจในส่ิงทีท่ าอยู่ และทาให้ชุมชนอื่นเห็นว่ามีต้นแบบที่ดีอยู่ด้วย ตัวชุมชน
กจ็ ะเกิดการเปล่ียนแปลง เพราะฉะน้ันก็เป็นหน้าท่ีของส่ือมวลชน ที่ไม่ได้เป็นผู้ทาให้เขาเกิดขึ้นมา แตจ่ ะทาหน้าที่
พาเขาข้ึนไปบนเวที หรือฉายสปอร์ตไลน์ส่องให้เห็นถงึ ส่ิงท่เี ขาได้ทาความดีต่าง ๆ เพื่อให้คนอื่นมองเห็น เมือ่ มีคน
มองเห็น ก็จะทาให้เกิดความภาคภูมิใจ เกิดความเช่ือม่ันในสิ่งที่ทา และอยากจะพัฒนาต่อไป ในขณะเดียวกันเมื่อ
ชุมชนอื่น ๆ เห็นเป็นตัวอย่าง ก็สามารถนาต้นแบบน้ีมาเป็นจุดเริ่มต้นของชุมชนตัวเอง แล้วนาไปปรับใช้ให้
เหมาะสมกับตวั เองตอ่ ไปได้
40 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
ส่งต่อแรงบันดาลใจ ให้กลา้ ลุกมาเปล่ยี นแปลงตนเอง
ผลงานที่ผลิตออกมาภายใต้แบรนด์บุญมีฤทธิ์มีเดียนั้น นอกจากจะมีคุณภาพท่ีดีแล้ว ยังเกิดประโยชน์ต่อ
สังคม คุณประสานบอกว่า อยากจะทาให้เป็นประโยชน์ แต่คาว่าประโยชน์ ไม่จาเป็นต้องเป็นเรื่องจริงจัง หรือ
เครียด อาจจะมีความบันเทิงใจอยู่ได้ แต่ความบันเทิงใจ ก็ไม่จาเป็นที่จะต้องมีการขา หัวเราะ คาว่าบันเทิงใจ คือ
เม่ือคุณดูผลงานจบ คุณจะมีความรู้สึกชุบชูใจ รู้สึกมีแรงบันดาลใจท่ีอยากจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง ดังน้ันจึง
อยากจะเป็นคนทาสื่อท่ีช่วยกระตุ้นให้พลังที่ดีออกมา ไม่ใช่ชวนให้คนมองแต่โลกในแง่ดี แต่อย่างน้อยก็จะชวนให้
คนมองโลกในความเป็นจริง เช่น ถ้ามันไม่ดี เราก็บอกได้ว่ามันไม่ดี ไม่ดีอย่างไร มีเหตุผลท่ีบอกว่าส่ิงน้ีไม่ดี แต่ไม่
จาเป็นต้องไปต่อว่า หรือทาให้คนอืน่ ไดเ้ ห็นว่า มีคนกาลังทาเร่ืองดี ๆ สิ่งที่มปี ระโยชนแ์ บบน้ีอยู่ อย่างนอ้ ยจะได้เข้า
ไปเป็นแรงกระตุ้น เข้าไปเป็นแรงบันดาลใจ ให้คนท่ีได้ดู ได้เสพสื่อ รู้ว่ามีคนทาส่ิงดี ๆ อยู่ รู้สึกอยากจะช่วย
สนับสนนุ คนแบบน้ี รสู้ กึ อยากจะมีโอกาสทาสิ่งดี ๆ เหล่าน้บี ้าง
สมมติทาเรื่องการแยกขยะ คนที่แยกขยะ เขาไม่ได้แยกเพราะเพื่อจะนาไปขายต่อ แต่เรื่องการแยกขยะ
เป็นเรื่องของส่ิงแวดล้อม ท่ีทุกคนจะต้องช่วยกันดูแล เช่น แก้วหนึ่งใบมีขยะสี่ประเภท ถ้าคนแยกขยะต้องการจะ
ท้งิ เขาจะแยกชิน้ ส่วนออก นาแก้วไปล้างทั้งทไี่ ม่ไดน้ ากลับมาใชใ้ หม่ และนาท้งิ ในถังขยะที่ตา่ งกัน ถ้าคนไม่ใส่ใจพอ
เขาก็จะไม่ทา ดังนั้นถ้าสามารถที่จะส่ือสารออกไปได้ดี ในแบบท่ีเกิดประโยชน์ได้ สังคมก็จะได้คน ที่ไม่ได้มองแค่
เรือ่ งของตัวเอง ทกุ คนจะระมัดระวงั ในสิ่งทีท่ ามากขนึ้ ทกุ คนจะเองเหน็ สังคม มองเหน็ คนอน่ื มากข้ึน
41 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
ใชธ้ รรม นาทาง
คุณประสานแนะนาว่า สาหรับคนท่ีสนใจอยากจะเริ่มทางานในแนวทางน้ี จะต้องเร่ิมจากความเชื่อ ต้อง
เช่ือว่าอยากจะทา เชื่อว่ามันมีประโยชน์ ใช้ธรรมะท่ีเป็นหลักอิทธิบาท 4 นาทางไปสู่ความสาเร็จ คือ ฉันทะ - มี
ความรัก รักในส่งิ ทท่ี า เชื่อในส่งิ ท่ีทา วิริยะ - มีความเพียร มีความขยนั ตั้งใจฝกึ ฝนในส่งิ ที่ทา จิตตะ - มีความต้ังใจ
จริงในสิ่งท่ีทา ไม่ย่อท้อ ไม่ทอดท้ิงความเชื่อในงานที่ทา และวิมังสา - มีความรู้ในเร่ืองงานที่จะทา รู้ให้ลึกซึ้ง รู้ให้
จริง
“คนทีม่ าเรม่ิ ทางานใหม่ๆ ประสบการณก์ ็จะยงั ไมม่ ากพอ ก็จะตอ้ งค่อย ๆ ฝึกฝน อดทน ผ่านความผดิ หวัง
บ้าง เพื่อทจี่ ะค่อย ๆ ฝึกฝนตัวเอง จนคิดว่าตัวเองสามารถทางานไดด้ ี หรือได้รับคาชื่นชม ทุกอยา่ งในชวี ิตตอ้ งผ่าน
การลงทุน ลงแรง ยอมลาบาก เผื่อวันหนึ่งเราจะได้รับความอ่ิมเอม ได้รับฤทธิ์ของบุญ เราต้องอาศัยความเชื่อกับ
มนั ”
จากอุดมการณ์ท่ีชัดเจนของการพัฒนาส่ือสร้างสรรค์ ด้วยความรัก ความมุ่งม่ันทุ่มเทในการทางาน และ
การมองหาโอกาสของการทาประโยชน์เพ่ือสงั คม โดยได้สร้างสมดลุ หรือจุดกง่ึ กลางระหวา่ งส่ิงทรี่ กั หรือมคี วามสขุ ท่ี
จะทา สงิ่ ท่ีสร้างรายได้ และส่ิงที่สร้างประโยชน์ให้กับสงั คม จนทาให้วันน้ีผลงานคุณภาพของบรษิ ทั บญุ มีฤทธิ์ มีเดีย
ปรากฏสู่สายตาประชาชนมาเป็นระยะเวลากว่า 3 ปี จนได้รับการยอมรับ และเกิดผลกระทบที่เป็นประโยชน์ต่อ
สังคมในวงกวา้ ง
42 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
ชใู จ กะ กัลยาณมิตร
ครเี อทฟี สร้างสรรคส์ ังคม
43 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
ชใู จ กะ กัลยาณมติ ร : ครเี อทีฟ สรา้ งสรรค์สังคม
ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 หลายคนคงได้เห็นการทางานของจิตอาสาจาก
หน่วยงานหลายแห่งและประชาชนทั่วไป ท่ีเข้ามาช่วยเหลือ แบ่งปันส่ิงของ เงินบริจาค ตามกาลังกาย กาลังใจ
กาลังทรัพย์ ทากันตามความถนัด และก็มีกลุ่มนักคิดจากบริษัทเอเจนซี่โฆษณาแห่งหน่ึง ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน
การช่วยเหลือสังคม ด้วยการแบ่งสมองซีกขวาสร้างสรรค์งานครีเอทีฟตามความถนัด ออกแคมเปญให้คนสั่ง
อาหารดิลิเวอร่ี พร้อมเขียนข้อความให้กาลงั ใจ ส่งต่อความห่วงใยให้กับทีมแพทย์และพยาบาลที่ดแู ลผปู้ ว่ ย Covid-
19 ตามโรงพยาบาลต่างๆ รวมท้ังผลติ ส่ือรณรงค์รับสมคั รจิตอาสา อยู่บ้านหยุดเช้อื เพ่ือชาติผ่านโซเชยี ลมิเดยี และ
ยังมผี ลงานสร้างสรรค์อีกหลากหลายทีส่ รา้ งประโยชนใ์ หก้ บั สังคม
จุดพลังความคดิ เปล่ียนแปลงสังคม
จุดเริ่มต้นของ “ชูใจ กะ กัลยาณมิตร” เกิดขึ้นเมื่อ 8 ปีที่แล้ว โดยมีสมาชิกท้ัง 5 คน ประกอบด้วย
บุญชัย สุขสุริยะโยธิน (ยอด) ป๋อม ไชยพร (ป๋อม) คมสัน วัฒนวาณิชกร (ก๊ิบ) ไพรัช เอ้ือผดุงเลิศ (เป้า) และ
ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ (เม้ง) ซึ่งเป็นกลุ่มคนท่ีอยู่ในแวดวงเอเจนซ่ีโฆษณา มีประสบการณ์การทางานด้านครีเอทีฟ
มาเป็นระยะเวลานาน โดยทุกคนต่างมี Pain Point หรือความทุกข์ใจในการตกอยู่ในวังวนของทางานรูทีนรูป
44 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
แบบเดิมๆ ถูกจากัดความคิดในกรอบแคบๆ ด้วยเงื่อนไขและข้อจากัดเหล่านี้ ทาใหค้ นทางานท้อแท้ จนเกิดสภาวะ
อิ่มตัวขึ้น ดังน้ันการออกมาสร้างพื้นที่อิสระให้กับตนเอง ย่อมดีกว่าการจองจาอยู่ในระบบ ซ่ึงต้องเผชิญกับคาว่า
หนัก เหนื่อย ท้อแท้ และไมไ่ ด้ตอบโจทย์ความต้องการทแ่ี ท้จริงเท่าใดนกั ด้วยเหตุน้จี ึงทาให้ครเี อทฟี ท้ัง 5 หันหลัง
โบกมือลาให้กบั องค์กรท่มี ั่นคง ออกเดินตามหาฝัน กอ่ รา่ งสร้างธุรกิจด้วยตัวเอง ภายใต้ชื่อเกส๋ ไตล์ไทยๆ “ชูใจ กะ
กัลยาณมิตร” โดยมีปณิธานที่จะสร้างผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และสร้างทัศนคติท่ีดีให้เกิดข้ึนกับคนใน
สังคมจริงๆ
“ความคิดสร้างสรรค์มันมีพลัง มีประโยชน์ มีศักยภาพมากกว่าแค่การขายของ มันเปล่ียนแปลงสังคมได้
และมีพลังมากพอท่ีจะให้คนอยู่ดีๆ ลุกข้ึนมาซื้อของ ลุกข้ึนมาเชื่อเราอย่างน้ี เราท้าในสิ่งเดียวกัน คือการ
เปลยี่ นแปลงทศั นคติ ให้คนในสังคมได้”
ชูใจยกกาลงั สาม
โดยทัว่ ไปบริษัทเอเจนซ่ีโฆษณามักจะใช้ชอ่ื เป็นภาษาอังกฤษสากล หรือสร้างแบรนด์ท่ีสะท้อนภาพลักษณ์
ขององค์กร แต่ด้วยความที่ชูใจเป็นเอเจนซ่ีไทย และเป็นคนไทย ก็อยากต้ังชื่อเป็นภาษาไทย ผนวกกับความหมาย
ของชูใจก็มีความน่ารักอยู่ในตัว บุญชัย หรือยอด กล่าวถึงท่ีมาของคาท่ีดูเรียบง่ายและอบอุ่นว่า เราทางานที่ชูใจ
อย่างแรกคือ การชูใจลูกค้า ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้า รวมท้ังเรื่องยอดขาย การสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จัก สอง
คือ ชูใจคนทา เม่ือทางานแล้วรู้สึกมีความสุขที่ได้ทา และสุดท้ายผลงานที่ออกมาจะต้องชูใจคนในสังคม
หมายถึง ผลงานต้องให้แง่คิด สร้างค่านิยมท่ีดี สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้คนลงมือทาส่ิงดี ๆ เพื่อสังคม
ดังนั้น จุดเริ่มต้นของชูใจ จึงมาจาก การชูใจลูกค้า ชูใจคนทา และชูใจคนในสังคม เป็นชูใจยกกาลังสามที่เน้น
ผลิตผลงานสรา้ งสรรคส์ งั คมทีแ่ ท้จรงิ
45 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
ทัศนคติดตี อ้ งมาพร้อมฝมี ือดี
คณุ เม้ง ประสิทธิ์ ได้อธิบายถึงสิ่งสาคัญในการทางานตามแบบฉบับของชูใจ กะ กัลยาณมิตร โดยมี 2 ข้อ
สาคัญ คือ
1) การมีทัศนคติที่ดี เพราะการทางานแบบชูใจ จาเป็นจะต้องมีเจตนารมณ์ที่ดี มีจิตใจที่แน่วแน่ ว่า
อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเปล่ียนแปลงสังคม เพราะถา้ ไม่มีความม่ันคงในทัศนคติท่ีดี ที่จะชว่ ยเปลย่ี นสังคม
แลว้ อาจเกดิ ความลังเล หวั่นไหวไปกบั ความต้องการ ที่ไมไ่ ด้เกิดประโยชนต์ อ่ สงั คมและลูกค้า หรือแมแ้ ต่ ความคิด
ของคนทางานก็เชน่ เดยี วกัน
2) มที ักษะที่ดีในการทางาน ไม่วา่ จะทางานเพื่อตนเอง หรือเพื่อสงั คม งานท่ีดกี ็ต้องใช้ท้ังฝมี ือความต้ังใจ
และประสบการณ์ จึงจะประสบผลสาเร็จตามเปา้ หมาย ถา้ มแี ค่ทัศนคติดีอยา่ งเดียวอาจไมเ่ พียงพอ ดังน้ัน ต้องมที ั้ง
ทัศนคตทิ ี่ดีและฝีมือทีด่ คี วบคูก่ ันไป
46 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
การมีทัศนคติที่ดี คือแรงกระตุ้นอันยิ่งใหญ่ ท่ีจะทาให้เกิดความกระตือรือร้น และลงมือทาส่ิงต่างๆ ด้วย
ความรัก สามารถทางานทุกวันอย่างมีความสุข ยิ่งถ้ามีทักษะความสามารถ มีไอเดีย หรือรอบรู้ในงานท่ีรับผิดชอบ
ด้วยแล้ว ก็จะทาให้เรามีพลังในการทางาน มีแรงก้าวผ่านช่วงเวลาที่เลวร้าย และลงมือทางานอย่างเต็มที่ตาม
ความสามารถ พรอ้ มทจ่ี ะเรยี นรแู้ ละท่มุ เทกบั ส่ิงน้นั อยา่ งเตม็ กาลงั
การกระทาสาคญั กว่าคาพดู เสมอ
สาหรับการทาให้คนในองค์กรมีวิธีคิด และวิธีทางานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คุณเม้งกล่าวว่า เริ่มต้น
จากวิธีการคัดเลือกคนเข้ามาในองค์กรนั้น ต้องคัดเลือกจากคนท่ีมีวิธีการใช้ชีวิต และวิธีคิดต่อสังคมท่ีคล้ายกัน
การที่ได้พบเจอกบั คนท่ีมีเคมีตรงกันกับองค์กรในทุกด้าน ไม่ใช่เรื่องง่าย แตเ่ มื่อไดเ้ ข้ามาทางานแลว้ ก็สามารถที่จะ
ร่วมกนั สรา้ งการเปลยี่ นแปลง เกดิ การละลายพฤติกรรมให้เป็นไปในทางเดียวกันได้ ต้องเร่มิ จากหวั หน้าหรือผู้ก่อตั้ง
ซึ่งกค็ ือผรู้ ิเร่มิ ทง้ั 5 คน ทตี่ ้องมีความมั่นคงและทาให้เห็นเป็นแบบอยา่ งเสียก่อน ซึ่งอาจมีการบังคับบ้าง แต่ก็ได้ทา
ใหเ้ ห็นวา่ ทกุ อยา่ งมันอย่ใู นการใชช้ วี ติ คอ่ ย ๆ ประนีประนอม เปล่ยี นแปลงไปดว้ ยกัน เช่น งานโฆษณาในหลายงาน
เป็นงานท่ีต้องทาให้เกิดการลงมือปฏิบัติ เช่น ชวนคนให้มาร่วมกันบริจาคเงิน ซึ่งเราก็ควรต้องบริจาคก่อน เพราะ
เราเชื่อว่า การท่ีจะชวนใครให้มาร่วมกันทาส่ิงใดสิ่งหน่ึง ตัวเราก็ต้องเร่ิมทาส่ิง ๆ นั้นก่อนเสมอ เพราะการ
กระทาสาคญั กว่าคาพดู เหมือนเป็นความตงั้ ใจทแ่ี น่วแน่ สิ่งเหล่านค้ี ือสิง่ สาคญั ทีจ่ ะสรา้ งแนวความคดิ ใหท้ ุกคนใน
องคก์ รมคี วามเช่ือท่เี ป็นไปในทิศทางเดียวกนั ได้
47 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
“ถา้ เราจะชวนคนมารณรงคอ์ ะไรสกั อย่าง เราต้องท้าสิง่ น้ันกอ่ น ต้องท้าใหเ้ ขาเกดิ ความเช่อื หรือ Believe
ซ่ึงจะท้าใหม้ ีนา้ หนัก เหมือนกับการทา้ งานของทีม สิ่งท่ีเราตั้งใจ เราตอ้ งท้าเปน็ ตัวอย่างท่ีดีให้กับลูกนอ้ ง จึงจะเป็น
การสรา้ ง Mindset ของทีมได้”
ตัวอย่างท่ีชดั เจนคือ บริษัทได้มกี ารรณรงค์ด้านสง่ิ แวดลอ้ ม โดยมีจดุ คดั แยกขยะสาหรับเจา้ หน้าท่ี มีการใช้
ถุงผ้าแทนการใช้ถุงพลาสติก มีการติดต้ังแผงโซล่าเซลล์เพื่อประหยัดพลังงาน และสร้างสภาพแวดล้อมภายใน
ออฟฟิศ ให้ทุกคนเกิดการตระหนักและสร้างวินัยให้ใส่ใจด้านส่ิงแวดล้อม โดยผู้นาองค์กรทุกคนได้ปฏิบัติให้เป็น
แบบอยา่ งเสยี กอ่ น ซง่ึ เปน็ สง่ิ สาคัญในการโน้มน้าวจิตใจ และปรบั เปล่ียนพฤตกิ รรมของคนภายในองค์กรไดด้ ีท่ีสุด
หาจดุ กงึ่ กลาง ใหไ้ ด้ใจลูกคา้ คนทาเชอ่ื มนั่
การทางานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นงานที่เน้นเชิงพาณิชย์ (Commercial) หรืองานที่ทาประโยชน์ต่อ
สังคม กต็ ้องพบเจอกับปญั หาเรอ่ื งของคน และถอื ว่าเป็นความยากในการที่จะทางานร่วมกัน ใหเ้ ป็นไปอย่างราบรื่น
ซึ่งชูใจก็ประสบกับปัญหาน้ีไม่แตกต่างจากที่อื่น คุณเม้งเล่าว่า ในการประสานงานกับลูกค้าในหลากหลายระดับ
เช่นนายทุน เอ็นจีโอ หรือปราชญ์ชาวบ้าน ก็จะมีระดับความยากง่ายที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะทักษะในการพูดคุย
โน้มน้าวใจ ต้องหาจุดก่ึงกลางท่ีจะทาให้ตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่ายได้ (Win-Win Strategy) โดยองค์กรก็
จะได้ทางานในแบบที่ตนเองเช่ือ และนายทุน หรือลูกค้า ก็ได้งานในแบบท่ีเขาต้องการด้วย สุดท้ายสังคมก็ต้อง
ได้รับประโยชน์ในงานนี้ด้วย ดังนั้นปัญหาในการพบเจอคนท่ีแตกต่าง หลากหลายวิธีการคิด ทั้งหมดนี้จึงข้ึนอยู่กับ
ทักษะการพดู คุย วาทศลิ ปใ์ นการส่อื สาร ซง่ึ ทเ่ี ปน็ เรือ่ งท่ีตอ้ งฝึกฝนตลอดเวลา
48 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ที่ 1
ปัญหาอีกข้อหน่ึงที่สาคัญไม่แพ้กัน คือ การลงมือทาให้ออกมาให้เหมือนกับสิ่งที่คิดไว้ เพราะถ้าทาในสิ่งที่
คดิ ให้ออกมาไมไ่ ด้ ก็ไม่เกิดประโยชน์ ความคดิ เป็นแค่ส่วนหนึง่ เทา่ นัน้ แต่สง่ิ ท่ีสาคัญเหนือกวา่ คอื การทาให้สิ่งท่ีคิด
ปรากฎออกมา ดงั นั้นต้องมีกระบวนการคิดวา่ จะทาด้วยวธิ ีการใด ทาออกมาในรูปแบบไหน เพราะในความเป็นจริง
มีเงื่อนไขมากมาย ท้ังเร่ืองเงินทุน คน หรือเวลา ดังน้ันจึงจาเป็นต้องมีความยืดหยุ่นในการทางาน แต่ในความ
ยืดหยนุ่ กต็ ้องคานึงถงึ เปา้ หมายเป็นสาคัญ แลว้ หาทางแกไ้ ขด้วยการยอมเปล่ยี นวธิ ีการเพื่อใหง้ านสาเรจ็
คุณเม้งได้ยกตัวอย่างงานชิ้นหน่ึงคือ การส่งของเล่นให้เด็กทั่วประเทศ แต่ไม่อยากท่ีจะนาเงินจานวนมาก
มาใช้ในการขนส่ง เพราะนั่นหมายถึง จานวนเงินที่จะนาไปซือ้ ของเลน่ ให้เด็กจะลดลงมาก ทีมงานจึงร่วมกันคิดหา
วิธีการท่ีหลากหลาย จนกระท่ังเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ เกิดไอเดียว่าเป็นช่วงที่คนเดินทางออกจากกรุงเทพฯ กันมาก
เพื่อทจี่ ะเดินทางกลบั บา้ น หรือไปท่องเที่ยวต่างจังหวดั กนั จงึ คิดชวนคนที่มแี พลนเดินทางอยูแ่ ลว้ มารว่ มช่วยกนั ส่ง
ของเล่น เพ่ือจะไม่ต้องเสียค่าขนส่ง ทีมงานจึงสร้างแผนท่ีให้ทุกคนเข้ามาดูว่า มีจุดส่งของเล่นอยู่ตรงจุดไหนบ้าง
และถ้าใครขับรถผ่านและมีความประสงค์อยากช่วย ก็ขับรถไปส่งของเล่นให้เด็กตามจุดท่ีจะผ่านได้ จะเห็นได้ว่า
การแก้ปัญหาไมไ่ ด้มวี ิธีการท่ีตายตวั แตส่ ิ่งสาคัญคอื ถ้าอยากจะแก้ปัญหาจริง ๆ ต้องมีความตั้งใจที่จะทา มงุ่ ม่ัน
ในเป้าหมาย มีใจที่อยากจะทาให้สาเร็จ ส่ิงน้ีคือหัวใจสาคัญของวิธีการแก้ปัญหา ซ่ึงจะสามารถนาไปใช้แก้ได้
ในทุก ๆ งาน
หยอ่ นเมลด็ พนั ธ์ุความคดิ ฝงั ในหัวใจคนรุน่ ใหม่
ผลงานท่ีผ่านมาของ ชูใจ กะ กัลยาณมิตร อาจไม่ได้ทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงในทันที คุณเม้งได้บอกว่า
พฤติกรรมของคนในสังคมท่ีจะเปลี่ยนแปลงจากการได้เสพผลงาน เป็นสิ่งท่ีต้องใช้เวลามาก จึงจะมองเห็นความ
เปลี่ยนแปลง ซึ่งผลลัพธ์อาจจะไม่ได้ดีมาก แต่อย่างน้อย ผลงานเหล่านี้ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้ได้รับชม
49 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1
เป็นการหย่อนเมล็ดพันธ์ุเอาไว้ในความคิด ความอ่าน การกระทาบางอย่าง เพ่ือให้คนในรุ่นต่อไปมีความคิดดี ๆ
เกบ็ ไว้เพอ่ื รอวันที่เขาอยากจะลกุ ขน้ึ มา เป็นส่วนหนึง่ ในการเปลย่ี นแปลงสงั คมให้ดขี น้ึ
คุณยอดเลา่ เพ่มิ เติมว่า ในผลงานของชใู จท่อี อกมาเป็นคลิปวิดีโอนั้น เคยได้อา่ นข้อความทีม่ ีคนเขา้ มาเขียน
ติชม ว่าผลงานท่ีได้รับชมน้ันได้ให้แง่คิด ที่ทาให้กลับมามองเห็นคุณค่าในตนเอง เห็นคุณค่าของการมีชีวิต ซ่ึง
เพียงแค่น้ีก็เพียงพอแล้วที่จะทาให้สังคม คนในสังคมได้รับประโยชน์จากผลงานท่ีผลิตออกมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้
แสดงผลลัพธ์ออกมาเป็นรูปธรรมในเวลาอันรวดเร็ว แต่อย่างน้อยก็มีคนในสังคมที่ได้รับข้อคิด ทาให้มีทัศนคติ มี
การกระทา ท่ีดีขน้ึ ทงั้ กบั ตวั เอง และสังคมในอนาคต
“ในเรื่องของผลตอบรับท่ีได้จากผลงาน ในส่วนของงานประเภทวิดีโอ สามารถวัดได้จากยอดการรับชม
และสามารถน้าตัวเลขเหล่าน้ี มาเป็นการประเมินผลการท้างาน องค์กรสามารถท้าออกมาได้ดีแค่ไหน องค์กรมี
ประสิทธิภาพการท้างานขนาดไหน หรือถ้าเป็นงานในเชิงพาณิชย์ คือการท่ีลูกค้ายังคงติดต่อจ้างงานอยู่ น่ันก็
หมายความว่าสิ่งที่ท้าไปตอบโจทยส์ ่ิงที่ลูกค้าตอ้ งการ ผลลัพธ์เป็นทพี่ อใจกบั ลกู คา้ ท้าให้เกดิ ความประทับใจในการ
ท้างาน”
50 | คุ ณ ธ ร ร ม กั บ ก า ร พั ฒ น า ร ะ บ นิ เ ว ศ ม นุ ษ ย์ ชุ ด ท่ี 1