เอกสารประกอบการสอน รายวิชา 20301 – 2006 นาฏศิลป์โขน 6 เรื่อง การพัฒนาทักษะปฏิบัติกระบวนท่ารำเพลงหน้าพาทย์ โลม - ตระนอน (โขนลิง) ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ๓ ว่าที่ร้อยตรีอธิษฐณัฏฐ์ นันต๊ธเสน ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ กลุ่มสาระวิชาชีพนาฏศิลป์ไทย (โขนลิง) ภาควิชานาฏศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลปอ่างทอง สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเพลงหน้าพาทย์ โขนของประเทศไทยได้รับการยกยองจากองค์กรเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก้ (UNESCO) ในปี พ.ศ.2561 ว่าเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ของมวลมนุษยชาติ” ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศไทยรายการแรกที่ได้รับการขึ้นทะเบียน เป็นมหรสพที่รวมองค์ประกอบของศิลปะหลายสาขาไว้ด้วยกัน เช่น ศิลปะทางด้านการเต้น การพากย์ จากหนังใหญ่ การนำท่าต่อสู้บางส่วนมาจากกระบี่กระบอง ศิลปะทางด้านหัตถศิลป์จากเครื่องแต่งกาย และหัวโขน นอกจากนี้ยังรวมศิลปะด้านนาฏคุริยางคศิลป์ในการบรรเลงดนตรีประกอบการแสดง โดยเฉพาะเพลงหน้าพาทย์ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในการแสดงที่เพิ่มอรรถรสทำให้ผู้ชมเข้าถึง สุนทรีย์ในอารมณ์ไปกับการแสดง ทำให้การแสดงโขนเป็นศิลปะการแสดงที่มีการสืบทอดและผ่าน กระบวนการของจารีตประเพณีมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะขนบจารีตในเรื่องของเพลงหน้า พาทย์ในด้านการเรียนการสอน พิธีการถ่ายทอดท่ารำหน้าพาทย์ พิธีการถ่ายทอดผู้รับมอบให้เป็น ผู้ประกอบพิธีไหว้ครูที่ต้องได้รับพระบรมราชาอนุญาตจากพะมหากษัตริย์ รวมทั้งการนับถือเคารพบูชา เพลงหน้าพาทย์เป็นสิ่งที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพบูชาในวงการด้านนาฎดูริยางคศิลป์ ที่สืบทอคมา จนถึงปัจจุบัน 1.1 ความหมายของเพลงหน้าพาทย์ เพลงหน้าพาทย์เป็นเพลงที่มีบทบาทอย่างสูงต่อสังคมไทย มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เพลงหน้พาทย์เป็นเพลงชั้นสูงที่มีความสำคัญและมีความเกี่ยวข้องในด้านศิลปวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ รวมทั้งพิธีกรรมของหลวง พิธีกรรมของราษฎร์ นอกจากนี้ยังใช้บรรเลงประกอบการแสดงมหรสพต่างๆ ของไทย เช่น หนังใหญ่ โขน ละคร เพลงหน้าพาทย์เป็นเพลงที่มีจารีตและยึดถือกันว่าเป็นเพลงที่มี ความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะครู อาจารย์ ศิลปินด้านนาฏดุริยางค์ไทยให้การนับถือว่าเป็น “เพลงครู” มีผู้ให้ความหมายของเพลงหน้าพาทย์ไว้หลากหลาย ดังงนี้ “หน้าพาทย์ น. เพลงที่ใช้แสดงกิริยาอาการเคลื่อนไหวของตัวละคร”(พจนาทุกรม ฉบับ เฉลิมพระเกียรติ 2530.น.556) หน้าพาทย์ หมายถึง เพลงที่บรรเลงประกอบกิริยา ไม่ว่าจะเป็นกิริยาของมนุษย์สัตว์ วัตถุ หรือธรรมชาติ ทั้งกิริยาที่มีตัวตน หรือกิริยาสมมติ และตลอดทั้งกิริยาที่เป็นปัจจุบันหรืออดีต เพลงที่ บรรเลงประกอบกิริยาทั้งหลายเหล่านี้ถือว่าเป็นเพลงหน้าพาทย์ทั้งสิ้น (หนังสือศัพท์สังคีต 2531.น.34)
มนตรี ตราโมท ได้อธิบายความหมายของเพลงหน้าพาทย์ไว้ในหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับ เยาวชน เล่มที่ 1 ว่า “เพลงหน้าพาทย์ เป็นเพลงที่บรรเลงประกอบกิริยาเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งของมนุษย์สัตว์ วัตถุต่างๆ และอื่นๆ เช่น เดิน นอน วิ่ง กลายร่าง เกิดขึ้น สูญไป เป็นคัน ไม่ว่ากิริยานั้น จะแลเห็นตัวตน เช่น การแสดง โขน ละคร หรือกิริยาสมมูติแลไม่เห็นตัวตน เช่น การเชิญเทวดา ให้เสด็จมา ถ้าเป็นการบรรเลงประกอบกิริยานั้นแล้วก็เรียกว่าหน้าพาทย์ทั้งสิ้น” เพลงหน้าพาทย์หมายถึง เพลงที่ใช้ประกอบกิริยาอาการของตัวละครหรือประกอบการ สมมุติภาพเหตุการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ลมพายุพัด ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ฝนตกหนัก เป็นต้น (ประเมษฐ์บุณยะชัย 2549) “เพลงหน้าพาทย์” หมายถึง เพลงที่ใช้ประกอบกิริยาอาการของตัวละครในการแสดง นาฎศิลป์ไทยหรือการแสดงออกของสิ่งใดๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีชีวิตหรือไม่ก็ตาม หรือแม้แต่จะมีตัวตนหรือไม่ มีตัวตน รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในจินตนาการ โดยทั่วไปเพลงหน้าพาทย์ไม่มีบทร้อง ในภายหลังมีการบรรจุบท ร้องเข้าไปด้วยสิ่งที่น่าสังเกตก็คือเพลงหน้าพาทย์ที่มีการบรรจุเนื้อร้องพรรณนาความเพื่อสื่อสารให้ผู้ชม ผู้ฟัง และให้ผู้แสดงได้รำนั้น แม้ว่าจะเป็นเพลงทำนองเดียวกัน ใช้หน้าทับและไม้กลองเหมือนกัน จะไม่ถือ ว่าเพลงหน้าพาทย์ที่บรรจุเนื้อร้องนั้นเป็นเพลงหน้าพาทย์ ทั้งนี้เพราะเพลงหน้าพาทย์จะต้องเป็นเพลง บรรเลงล้วนๆ ไม่มีการขับร้องอยู่ด้วย (ชมนาด กิจขันธ์ 2562.น.13) หน้าพาทย์ หรือ เพลงหน้าพาทย์ หมายถึง เพลงที่บรรเลงสำหรับประกอบกิริยาต่างๆ ในการ แสดง เช่น การแสดงโขน ละครทั้งที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน นอกจากนี้ยังหมายถึงเพลงที่บรรเลงประกอบ พิธีกรรมอื่นๆ ด้วย เพลงหน้าพาทย์ที่ใช้บรรเลงโดยไม่มีตัวแสดง มักจะเป็นเพลงหน้าพาทย์ที่บรรเลงเนื่องในการ ประกอบพิธีต่างๆ เช่น พิธีไหว้ครูนาฎศิลป็ ดนตรีไทย หรือพิธีทางศาสนา เช่น เทศน์มหาชาติ เป็นต้น เพลงหน้าพาทย์ สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามลำดับความสำคัญได้เป็น 3 ประเภท คือ 1 หน้าพาทย์ธรรมดา เช่น เพลงเชิด , เสมอ , ลา , รัว , โอด เป็นต้น 2 หน้าพาทย์ชั้นกลาง เช่น เพลงตระนิมิต , ตระบองกัน , ชำนาญ , เสมอเถร , เสมอมาร เป็นต้น 3 หน้าพาทย์ชั้นสูง เช่น บาทสกุณี, พราหมณ์เข้า , พราหมณ์ออก , ตระเชิญ , ตระนารายณ์บรรทมสินธุ์, องค์พระพิราพ เป็นต้น (วิโรจน์ อยู่สวัสดิ์ 2563.น.4)
จากความหมายของเพลงหน้พาทย์แต่ละท่าน ได้ให้ความหมายไว้สรุปได้ว่า เพลงที่ใช้ ประกอบอากัปกิริยา อารมณ์ และการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ของตัวละคร มนุษย์ สัตว์ ธรรมชาติ ทั้งกิริยาที่มี ตัวตน กิริยาสมมุติ รวมทั้งกิริยาที่เป็นอดีตและปัจจุบัน นอกจากนี้เพลงหน้าพาทย์ยังเป็นเพ ลงที่มี แบบแผนกำหนคไว้ชัดเจน ไม่มีเนื้อร้อง ใช้ประกอบพิธีกรรมทั้งพิธีหลวงและพิธีราษฎร์ปัจจุบันมีการบรรจุ เพลงหน้าพาทย์ลงไปในบทร้อง 1.2 ประเภทเพลงหน้าพาทย์ เพลงหน้าพาทย์ มีบทบาทและความสำคัญต่อวัฒนธรรม ประเพณี พิธีกรรมทั้งของหลวงและ ของราษฎร์ รวมทั้งยังมีบทบาทต่อการแสดงมหรสพของไทยจึงทำให้มีการแบ่งประเภทของเพลง หน้าพาทย์ไว้เป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน ซึ่งท่านผู้รู้แบ่งไว้ตามความคิดเห็นและข้อวินิจฉัยต่างๆ กัน ซึ่งพอจะสรุปเป็นตารางให้เห็นได้ ดังนี้ ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบการแบ่งประเภทเพลงหน้าพาทย์ รายชื่อผู้แบ่งเพลงหน้า พาทย์ / แหล่งข้อมูล ประเภทเพลงหน้าพาทย์ ประเภทที่ 1 ประเภทที่ 2 ประเภทที่ 3 มนตรี ตราโมท หนังสือดุริยางค์ศาสตร์ไทย ภาควิชาการ (2418 : 36) 1. เพลงไหว้ครู (เพลง หน้าพาทย์ที่มีระบุไว้ใน ตำราไหว้ครู) 2. เพลงหน้าพาทย์ พิเศษ (เพลงหน้าพาทย์ อยู่นอกตำราไหว้ครู) - จตุพร รัตนวราหะ หนังสือเพลงหน้าพาทย์ (2519 : 16) 1. เพลงครู (เพลงหน้า พาทย์ที่มีระบุชื่อไว้ใน ตำราไหว้ครู) 2. เพลงหน้าพาทย์ พิเศษ (เพลงหน้าพาทย์ อยู่นอกตำราไหว้ครู) 3. เพลงโหมโรง (เพลง โหมโรงเช้า โหมโรงเย็น) รศ.ณรงค์ชัย ปิฎกรัชต์ หนังสือวัฒนธรรมไทย ปีที่ 18 (2522 :25) 1. เพลงหน้าพาทย์ ชั้นสูง (เพลงครูใช้ บรรเลงในโอกาส เฉพาะที่มีความขลัง ความศักดิ์สิมธิ์) 2. เพลงหน้าพาทย์ปกติ เพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ ประกอบพิธีและการ แสดงทั่วไป -
จากข้อมูลดังกล่าวในการแบ่งประเภทของเพลงหน้าพาทย์ต่างๆ นั้น อาจแบ่งได้ตาม วัตถุประสงค์และโอกาสในการใช้ ส่วนในการแบ่งประเภทของเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ในการแสดงโขน ละคร สามารถสรุปแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. หน้าพาทย์ธรรมดาหรือหน้าพาทย์ปกติ ได้แก่ เพลงหน้าพาทย์ที่ใช้บรรเลงในพิธีไหว้ ครู เพลงโหมโรงต่างๆ และเพลงประกอบการแสดงทั่วไป เช่น เพลงเร็ว เพลงเชิด เพลงเสมอ เพลงรัว เพลงลา เพลงโอด เพลงกราว เพลงปฐม เพลงโล้ เพลงเหาะ เพลงทยอย เพลงชุบ เป็นต้น 2. หน้พาทย์ชั้นกลาง ใช้สำหรับผู้แสดงโขนละครที่เป็นตัวเอกหรือที่มียศสูงศักดิ์ เพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์การแปลงกาย เช่น เพลงตระนิมิต เพลงสาธุการ เพลงตระบองกัน เพลงชำนาญ เป็นต้น 3. หน้พาทย์ชั้นสูงหรือหน้าพาทย์พิเศษใช้บรรเลงในโอกาสพิเศษ เฉพาะผู้แสดงเป็นตัว เอกโขน ละคร เพื่อประกอบการแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ การแปลงกาย การร่ายเวทมนตร์คาดชุบชีวิต ผู้ที่ตายให้พื้นขึ้น เช่น เพลงพราหมณ์เข้า เพลงพราหมณ์ออก เพลงคุกพาทย์ เพลงรัวสามลา เพลงเสมอ สามลา เพลงบาทสกุณี เพลงดำเนินพราหมณ์ เพลงเสมอเถร ฯลฯ ตลอดจนใช้ประกอบพิธีไหวัตรู เช่น เพลงตระเชิญ เพลงตระพระปรคนธรรพ เพลงตระนารายณ์บรรทมสินธุ์เพลงตระสันนิบาตและองค์ พระพิราพ เป็นต้น 1.3 โอกาลที่ใช้เพองหน้าพาทย์ เพลงหน้าพาทย์เป็นเพลงที่มีบทบาทต่อสังคมไทย ในหลายๆ ด้าน เช่น วัฒนธรรม พิธีกรรม ของหลวง พิธีกรรมของราษฎร์ พิธีกรรมของสงฆ์ รวมทั้งการใช้เพลงประกอบมทรสพบันเทิงของไทยมาแต่ โบราณ เช่น หนังใหญ่ โขน ละคร ลิเก มีผู้ทรงคุณวุฒิ ได้จัดลำดับโอกาสที่ใช้เพลงหน้าพาทย์ใน โอกาสต่างๆ กัน ไว้ดังนี้ ณรงค์ชัย ปิฎกรัชต์ (2522.น.24-37) ได้กล่าวถึงการใช้เพลงหน้าพาทย์แต่ละชนิด เพื่อแยกให้เห็นถึงความสำคัญ โอกาส และลักษณะที่ใช้ไว้ในวารสารวัฒนธรรมปีที่ 18 ฉบับที่ 9 ดังนี้ 1. เพลงกราว เป็นชื่อเพลงหน้าพาทย์ที่มีอัตราจังหวะสองชั้น ให้อารมณ์และ ความรู้สึกฮึกเหิม รื่นเริง สนุกสนาน มีช่วงจังหวะกระฉับกระเฉง เพลงกราวยังแบ่งออกได้อีก ดังนี้
1.1 เพลงกราวใน เป็นเพลงหนึ่งในชุดโหมโรงกลางวัน และชุดโหมโรงเย็น มีความหมายถึงการเสด็จมาของเทพเจ้าสูงศักดิ์ เช่น ท้าวเวสสุวรรณ นอกจากนี้นิยมใช้บรรเลง ประกอบการจัดทัพตรวจพลของกองทัพฝ่ายลงกาหรือฝ่ายยักษ์ 1.2 เพลงกราวนอก เป็นเพลงประจำกัณฑ์มหาราชในเทศน์มหาชาติ และใช้ บรรเลงประกอบการยกทัพตรวจพลของตัวละครฝ่ายพลับพลา หรือฝ่ายลิง 1.3 เพลงกราวกลาง เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบการยกทัพตรวจพล ของมนุษย์โดยเฉพาะ บางครั้งนำไปบรรเลงคู่กับเพลงกราวนอกบ้าง นอกจากนี้ยังมีเพลงกราวที่มีเนื้อร้อง และชื่อแยกออกไปอีก เช่น กราววีรชัย กราววีรสตรี กราวอาสา กราวกีฬา กราวกระแช กราวเขมร กราว จีน เป็นต้น 1.4 เพลงกราวรำ เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบการเยาะเย้ยถากถางให้ตัว ละครฝ่ายตรงข้ามต้องอับอายขายหน้า นอกจากนี้ยังให้อารมณ์สนุกสนานดีใจ มีความหมายถึงความ สมหวังเมื่อประกอบกิจต่างๆ สำเร็จ และเป็นสัญลักษณ์ของการลาโรงเมื่อสิ้นสุดการแสดง 2. เพลงกลม เป็นเพลงประจำกัณฑ์สักบรพในเทศน์มหาชาติ ลักษณะทำนองจะเริ่ม บรรเลงด้วยเสียงกลาง แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงสูงลงไปเสียงต่ำ แล้ววกกลับมาบรรเลงเสียงกลาง จึงมีชื่อ ว่ากลม ใช้บรรเลงประกอบการเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งด้วยตัวคนเดียว จะเหาะหรือเดินไปก็ได้ แต่ต้องเป็นตัวละครที่มีศักดิ์สูง เช่น พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์ พระนารายณ์ พระอินทร์ เป็นต้น ในการแสดงละครนอกเรื่องสังข์ทองใช้กับบทเจ้าเงาะ หรือเรื่องสังข์ศิลป์ชัยใช้กับบทของสิงหรา เพลงกลม นี้ใช้เรียกหน้าพาทย์แบบแผลงว่า "ลูกกระสุน" 3. เพลงกลองโยน เป็นเพลงที่ใช้ในการยกทัพหรือการเคลื่อนไปอย่างเป็นขบวน พยุหยาตราที่มีศักดิ์ตรีพรั่งพร้อมด้วยอิสริยยศทั้งหลาย นอกจากนี้ยังเป็นเพลงประจำกัณฑ์นครกัณฑ์ ในเทศน์มหาชาติด้วย 4. เพลงเข้าม่าน ใช้ประกอบการเสด็จมาของเทพเจ้าผู้ใหญ่ ใช้กับตัวละครที่มีศักดิ์สูง หรือเทพธิดา 5. เพลงคุกพาทย์ เป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงที่แสดงมหิทธิฤทธิ์ ทำนองและจังหวะ จะมีลีลาทั้งช้าและเร็วสลับกันกันเป็นตอนๆ ให้ความรู้สึกเร้าใจ เกรี้ยวกราค น่าสะพรึงกลัว น่าเกรงขาม ใช้ประกอบพฤติกรรมของตัวละครที่บังเกิดโทสะอย่างแรงกล้าแสดงอิทธิฤทธิ์เคชาโดยใช้กับตัวละครสำคัญ ทั้งฝ่ายพระ ยักษ์ ลิง เช่น พระรามพิโรธหนุมานเมื่อเห็นศพนางสีคา (ร่างจำแลงของเบญกาย) หรือตอน ทศกัณฐ์ทอดพระเนตรเห็นหนุมานซึ่งฤๅษีโคบุตรนำมาถวาย เกิดอารมณ์โทสะอย่างแรงคว้าศรหมายจะฆ่า
หนุมาน หรือบรรเลงประกอบการแผลงฤทธิ์ของพระรามเป็นสี่กร หาวเป็นดาวเป็นเดือนของหนุมาน เป็นต้น เป็นเพลงประจำกัณฑ์จุลพนในเทศน์มหาชาติ 6. เพลงโคมเวียน เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบการมาของตัวละครที่สูงศักดิ์ เช่น การเสด็จมาของเหล่าเทพยดาทั้งหลาย เหมือนกับเพลงกลม แต่ที่น่าสังเกต คือ ตัวละครจะต้องมีศักดิ์ น้อยกว่า หมายความว่าถ้าเป็นเทพเจ้าชั้นสูงจะใช้เพลงกลมแทน 7. เพลงฉิ่ง เป็นเพลงที่ใช้ประกอบพฤติกรรมของตัวละครซึ่งกำลังค้นหาสิ่งของ ที่หายอย่างขะมักเขม้น หรือประกอบการค้นหาบุคคลใดบุคคลหนึ่งอย่างใจจดใจจ่อ 8. เพลงฉุยฉาย เป็นเพลงหน้าพาทย์ที่ประกอบอารมณ์ความภาคภูมิใจ หรือเป็น การถอครูปโฉมโนมพรรณที่ได้แต่งกายใหม่ หรือเพื่อการเนรมิตกายใหม่ แล้วแสดงพฤติกรรมกรีดกราช แสดงความสุข เพลงฉุยฉายมีใช้ทั้งการแสดงโขน ละคร เช่น ฉุยฉายประเภทแปลงกายหรือเนรมิตร่างใหม่ มีดังนี้ ฉุยฉายพราหมณ์ เป็นร่างเนรมิตของพระนารายณ์ อยู่ในละครเบิกพระคณศร์ เสียงา 8.2 ฉุยฉายวันทอง เป็นร่างเนรมิตของเปรตนางวันทอง ในละครเรื่องขุนช้าง ขุนแผน ตอน พระไวยแตกทัพ 8.3 ฉุยฉายเบญกาย เป็นร่างเนรมิตของนางเบญกายที่แปลงกายเป็นสีดาในการ แสดงโขน ตอน นางลอย 8.4 ฉุยฉายหนุมาน เป็นร่างเนรมิตของหนุมานที่แปลงเป็นทศกัณฑ์ในการแสดง โขน ตอน มณโฑหูงน้ำทิพย์ 8.5 ฉุยฉายแม่บท 8.6 ฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน 8.7 ฉุยฉายหนุมานทรงเครื่องเข้าห้องนางสุวรรณกันยุมา 8.8 ฉุยฉายอวยพร 8.9 ชุมนุมฉุยฉาย เป็นฉุยฉายรวมของตัวละครหลายประเภทพร้อมๆ กันใน เพลงเดียว คือ พระราม นางสีคา ทศกัณฐ์ พราหมณ์ และหนุมานทรงเครื่อง 8.10 ฉุยฉายฮเนา จากเรื่อง เงาะป่า 9. เพลงชายเรือ หรือเรียกอีกชื่อว่า เพลงใช้เรือ เป็นหนึ่งในชุดโหมโรงกลางวัน มีความหมายถึงการไป-มา ทางน้ำ เช่น การว่ายน้ำ พายเรือ เป็นต้น
10. เพลงช้า เป็นเพลงที่ประกอบกริยาแห่งความสุข ความเบิกบานใจ และการ เดินทางไป-มาอย่างเป็นระเบียบ นิยมใช้บรรเลงคู่กับเพลงเร็ว เพลงช้านี้มิใช่ชื่อเฉพาะของเพลงประเกท หนึ่งซึ่งมีลีลาและทำนองช้า มีหน้าทับกำกับจังหวะว่า “จะ โจ๊ะ จะ ทิง โจ๊ะ ทิง” เพลงช้าที่ใช้บรรเลง มีหลายเพลง เช่น เพลงช้าเรื่องเต่ากินผักบุ้ง เพลงช้าเรื่องตะนาว เพลงช้าเรื่องนกขมิ้น เป็นต้น 11. เพลงชุบ เป็นเพลงที่บรรเลงประกอบการไป-มา ของตัวละครต่ำศักดิ์ เช่น นางกำนัล หรือสาวใช้ 12. เพลงเชิด เป็นเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงหลายประเภท ทั้งโขน ละคร หนังใหญ่ ลิเก นอกจากจะเป็นชื่อของเพลงหน้าพาทย์แล้วยังเป็นชื่อของท่ารำที่เรียกว่า “ท่าเชิด” ทำนองเพลงเชิดแต่ละตอนจะเรียกว่า “ตัว” สำหรับประกอบการแสดงนิยมอัตราจังหวะสองชั้น และชั้นเดียว เพลงเชิดมีหลายลักษณะ ดังนี้ 12.1 เพลงเชิดกลอง ใช้บรรเลงประกอบการเดินทางในระยะไกลของตัวละคร การยกทัพ การต่อสู้ ซึ่งทำนองเพลงจะมีลีลารุกเร้า ตื่นเต้น ตามเสียงถี่ๆ ของกองทัด เช่น ในการแสดงโขน ตอนยกรบ เป็นต้น 12.2 เพลงเชิดฉิ่ง ใช้บรรเลงประกอบการแสดงที่เรียบๆ ก่อให้เกิดความสนใจ ต่อผู้ชม เช่น ตอนอินทรชิตจะแผลงศร พระรามจะแผลงศร รจนาจะเสี่ยงพวงมาลัย เป็นต้น เครื่องประกอบจังหวะที่สำคัญ คือ ฉิ่ง 12.3 เพลงเชิดฉานใช้บรรเลงประกอบการ ไล่จับกันระหว่างตัวละคร เช่น พระรามไล่จับกวางทอง ในการแสดงโขน ตอน พระรามตามกวาง 12.4 เพลงเชิดนอก ใช้บรรเลงประกอบการ ไล่ขับระหว่างตัวละคร เหมือนกับ เพลงเชิดฉานแต่ต่างวาระและโอกาสกัน โอกาสที่ใช้บรรเลง เช่น ตอน หนุมานจับนางสุพรรณมัจฉา หนุมานจับนางเบญกาย ซึ่งเรียกว่า “ชุคขับนาง” ในสมัยโบราณนั้นเพลงเชิดนอกเป็นเพลงที่นิยมใช้เดี่ยว อวดฝีมือนักดนตรีโดยเฉพาะ ไม่มีท่ารำ ต่อมาจึงจัดทำรำชุดจับนางประกอบ เครื่องคนตรีที่ใช้คือ ปีใน ราวสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) จึงนำเครื่องคนตรีอื่นๆ มาบรรเลงเดี่ยว เช่น ระนาคเอก ฆ้องวงใหญ่ จะเข้ ซอด้วง เป็นต้น 12.5 เพลงเชิดจีน เป็นเพลงที่ประดิษฐ์ไพเราะ (ครูมีแขก) เป็นผู้ประดิษฐ์ทำนอง มี 4ตัว นิยมนำตัวที่ 3 มาบรรเลงประกอบการแสดง เช่น บทขี่ม้าสีหมอกของขุนแผน พระลอตามไก่ และตอนเมขลา รามสูร
13. เพลงชำนาญ เป็นเพลงที่ใช้ประกอบการเนรมิต ประกอบการร่ายเวทมนตร์ คาถา ตลอดจนถึงการประสาทพรอันเป็นมงคลของเทพเจ้าผู้สูงศักดิ์ 14. เพลงเช่นเหล้า เป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง ใช้บรรเลงในการประกอบพิธีไหว้ครู ทางนาฎศิลป์และคุริยางคศิลป์ ตลอดจนการแสดงโขนและหนังใหญ่ใช้บรรเลงประกอบการเช่นสรวงบูชา เทพยดาครูบาอาจารย์ที่ถ่วงลับไปแล้ว หรือภูตผีปีศาจ เพลงเช่นเหถ้ามักจะมีความหมายถึงเครื่องสังเวย ที่เป็นน้ำ เช่น สุรา เมรัย น้ำ เป็นต้น เพลงนี้ใช้ประจำกัณฑ์ชูชกในการเทศน์มหาชาติ 15. เพองตระ เป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง ที่มีความหมายตามโอกาสต่างๆ มากมาย ด้วยกัน ใช้บรรเลงประกอบทั้งในพิธีไหว้ครูนาฏศิลป์ คุริยางคศิลป์ และประกอบการแสดง หนังใหญ่ โขน ดังนี้ 15.1 เพลงตระเชิญ ใช้ในการประกอบกิจพิธีต่างๆ อาทิ - อัญเชิญเทพยคาทั้งปวงมาประชุม ณ มณฑลพิธี - อัญเชิญครูบาอาจารย์แห่งนาฎศิลป์และดุริยางคศิลป์มาสู่มณฑลพิธี - สำหรับปลุกเสกคาถาอาคมลักษณะต่างๆ นอกจากเพลงตระเชิญแล้วยังมีเพลงที่มีความหมายเหมือนกันกับเพลงตระเชิญอีก อาทิ เพลงตระสันนิบาต เพลงตระหญ้าปากคอก เพลงตระปลายพระลักษมณ์ เพลงตระมาละม่อน ซึ่งจะ เลือกใช้เพลงใดนั้นขึ้นอยู่กับนักคนตรีและโอกาสที่บรรเลง 15.2 เพลงตระนิมิต เป็นเพลงที่บรรเลงประกอบการเนรมิตร่างใหม่ของ ตัวละครสำคัญที่มีศักดิ์สูงทั้ง พระ นาง ยักข์ ลิง เช่น นางเบญกายแปลงเป็นสีดา หนุมานแปลงเป็น หมาเน่า 15.3 เพลงตระบองกัน เป็นเพลงที่บรรเลงประกอบการเนรมิตร่างใหม่ เช่นเดียวกับเพลงตระนิมิต แต่นิยมใช้กับตัวละครฝ่ายยักษ์ เช่น ตอนทศกัณฐ์แปลงเป็นนักพรต เพื่อวางแผนลักนางสีดา และยังนิยมใช้บรรเลงประกอบระบำรำฟ้อนที่มีลักษณะสำคัญเป็นงานสูง เช่น ระบำกิ่งไม้เงิน - ทอง ถวายหน้าพระที่นั่ง เป็นต้น 15.4 เพลงตระนอน ใช้บรรเลงประกอบพฤติกรรมของตัวละครที่นอน ทั้งฝ่าย พระ นาง ยักษ์ ลิง ไม่กำหนดว่าจะเป็นการนอน ณ ที่ใด เพลงนี้เป็นเพลงประจำกัณฑ์ฉกษัตริย์ในการ เทศน์มหาชาติ 15.5 เพลงตระบรรทมพร ใช้บรรเลงประกอบการนอนในป่าคงพงไพรของ ตัวละครสูงศักดิ์ เช่น ประกอบการนอนของพระราม พระลักษมณ์ และนางสีคา เป็นต้น
15.6 เพลงตระบรรทมสินธุ์เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เพลงตระนารายณ์บรรทมสินธุ์ เป็นเพลงประจำองค์พระนารายณ์ ใช้ในโอกาสเช่นเดียวกับเพลงตระนอนและตระบรรทมไพร คือ ใช้ตอน พระนารายณ์บรรทมบนหลังอนันตนาคราชกลางเกษียรสมุทร 15.7 เพลงตระนาฎราช ใช้บรรเลงประกอบการรำปางนาฎราชซึ่งเป็นปางหนึ่ง ของพระอิศวร 15.8 เพลงตระประโคนธรรพ เป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง ซึ่งใช้บรรเลงประกอบ ในพิธีไหว้ครู เป็นเพลงเฉพาะองค์ของพระประโดนธรรพเทพเจ้าแห่งดุริยางคศิลป์ 16. เพลงเทวาประสิทธิ์ เป็นเพลงหนึ่งในชุดโหมโรงกลางวันมีความหมายถึงการ ประสาทพรมงคลชัยของเหล่าเทพยดาที่ประทานแก่ผู้ที่เข้ามาสู่มณฑลพิธี ในพิธีสำคัญ 17. เพลงทะแย ใช้บรรเลงประกอบพฤติกรรมของผู้สูงศักดิ์ เช่น การเสด็จพระราช ดำเนินทางสถลมารค หรือประกอบขบวนเกียรติยศของหลวง หากบรรเลงติดต่อกันกับเพลงกลองโยน จะเรียกว่า เพลงทะแยกลองโยน 18. เพลงทยอย ใช้ประกอบพฤติกรรมของตัวละครที่ประสบความโศกเศร้าเสียใจ สุดแสนรันทดใจ ใช้เป็นเพลงหนึ่งในกัณฑ์มัทรีควบคู่กับเพลงโอด เรียกว่า "ทยอยโอค" หมายถึงการ บรรเลงเพลงสองเพลงติดต่อสลับกันไป-มาตามบทบาทของตัวละคร นอกจากนี้แล้วยังมีเพลงในลักษณะ ทยอยอีกหลายเพลง และมักจะมีทำนองและสำเนียงต่างๆ เช่น เพลงทยอยเขมร เพลงทยอยญวน หรือเพลงทยอยนอก เพลงทยอยใน เป็นต้น 19. เพลงนั่งกิน เป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงที่ใช้ประกอบการเช่นสังเวยเครื่องพลีบูชา ในพีไหวัครูและการแสดงโขน หนังใหญ่ เพลงนี้มีความหมายถึงเครื่องสังเวยที่แห้งไม่เกี่ยวกับน้ำซึ่งตรงกัน ข้ามกับเพลงเซ่นเหล้า 20. เพลงปลูกต้นไม้ เป็นเพลงหนึ่งในชุดโหมโรงกลางวัน มีความหมายถึงความเจริญ งอกงามหรือความเจริญก้าวหน้า 21. เพลงโปรยข้าวตอก เป็นหนึ่งในชุดโหมโรงกลางวัน ใช้ประกอบในพิธีไหว้ครู นาฏศิลป์และคุริยางศิลป์ มีความหมายถึงการโปรยปรายข้าวตอกคอกไม้เครื่องหอม เพื่อความเป็น สิริมงคลของพิธี 22. เพลงประพาสเภตรา ใช้บรรเลงประกอบพฤติกรรมของตัวละครทั่วไปที่ ไป-มา เกี่ยวกับทางน้ำเช่นเดียวกับเพลงพายเรือหรือใช้เรือ
23. เพลงปฐม เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบการตรวจพลจัดทัพของกองทัพในการ แสดงโขน ละคร ตัวละครที่ใช้รำเพลงหน้าพาทย์เพลงนี้มักเป็นตัวแม่ทัพ หรือนายพล เช่น สุตรีพซึ่งเป็น แม่ทัพใหญ่ฝ่ายพลับพลา และมโหทรเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายลงกา นอกจากนี้เพลงปฐมในความหมาย ของเพลงชุดโหมโรงเย็นจะหมายถึงการจัดขบวนเสด็จของเทพยดาที่จะเดินทางมาในมณฑลพิธี 24. เพลงแผละ ใช้บรรเลงประกอบการ ไป-มา ของตัวละครที่มีปีกซึ่งใช้เดินทาง ในอากาศ เช่น พญาครุฑ นกสดายุ นก ตลอดจนสัตว์ปีกชนิดอื่นๆ 25. เพลงพญาเดิน เป็นเพลงประจำกัณฑ์วนปเวสน์ในการเทศน์มหาชาติ ใช้บรรเลง ประกอบการเดินทางไป-มา ของตัวละครผู้สูงศักดิ์นิยมใช้บรรเลงกับตัวละครพระ นาง ยักษ์ ลิง หรือประกอบพระยาแรกนาในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ 26. เพลงพราหมณ์เข้า เป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง ใช้บรรเลงประกอบพิธีไหวัครู นาฏศิลป์และคุริยางศิลป์ ถ้าใช้บรรเลงประกอบการแสดงจะใช้ตอนที่มีความศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ ตัวละคร ประเกทยักษ์และพระ เช่น ตอนกุมภกรรณทำพิธีลับหอกโมกขศักดิ์ ก่อนเข้าทำพิธีจะบรรเลงด้วยเพลง พราหมณ์เข้า 27. เพลงพราหมณ์ออก เป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงที่ใช้บรรเลงคู่กับเพลงพราหมณ์ เข้าโอกาสที่ใช้บรรเลงคือ เมื่อครูผู้ทำพิธีไหว้ครูหรือตัวละครผู้สูงศักดิ์จะก้าวออกจากพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ 28. เพลงมหาฤกษ์ เป็นเพลงหนึ่งในชุดทำขวัญนาค ใช้บรรเลงประกอบอารมณ์ แห่งความภาคภูมิใจอันหมายถึงฤกษ์งามยามดี เช่น พิธีชักผ้าคลุมป้ายเปิดสำนักงาน พิธีเททองหล่อ พระพุทธรูป หรือพิธีเปีดงานต่างๆ เพลงนี้ของเดิมเป็นทำนองเพลงไทยล้วน ต่อมาสมเด็จเจ้าฟ้ากรม พระนครสวรรค์วรพินิตได้นำทำนองเดิมไปดัดแปลงเป็นจังหวะและทำนองแบบฝรั่งโดยยึดทำนองเดิม เป็นหลัก 29. เพลงมหาชัย เป็นเพลงชุดหนึ่งในชุดทำขวัญนาคเช่นเดียวกับเพลงมหาฤกษ์ แต่มีความหมายถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ โอกาสที่จะใช้บรรเลงเพลงมหาชัย คือ จะต้องเป็นงานมงคลทั้งปวง ต่อมาภายหลังที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตได้ดัดแปลงทางเพลงให้เป็นฝรั่งแล้วจึงนิยมใช้ บรรเลงเมื่อผู้เป็นประธานหรือแขกของงานมาถึง ดังระเบียบของกระทรวงธรรมการฉบับลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2482 โดยกำหนดว่าต้องเป็นประธานที่มีคำแหน่งตั้งแต่ข้าหลวงจังหวัดขึ้นไป ปัจจุบันมิได้ เคร่งครัดเท่าใดนัก
30. เพลงมหากาล มีความหมายถึงกาลเวลาที่ยิ่งใหญ่เหมาะสมแล้วสำหรับประกอบ พิธีมงคลทั้งหลาย ใช้บรรเลงประกอบในชุดทำขวัญนาค และงานมงคลทั่วไป 31. เพลงรุกร้น ใช้บรรเลงประกอบกริยาไป-มา ของตัวละครทั่วไป โดยกำหนดให้ไป กันเป็นหมวดหมู่ 32. เพลงรัว เป็นเพลงหน้าพาทย์ธรรมคาที่ใช้กับการแสดงทั่วไป เช่นหนังใหญ่ โขน ละคร ลิเก หรือใช้ในงานพิธี เช่น พิธีไหว้ครู ทำขวัญนาค ความหมายของเพลงรัวนั้นหมายถึงการร่าย เวทมนตร์คาถา การล่องหนหายตัว การเนรมิตกายใหม่ การแสดงอิทธิฤทธิ์เคชา และการแสดงพฤติกรรม ตื่นเต้นเร้าใจของตัวละคร จึงเห็นได้ว่าเพลงรัวนั้นมีโอกาสใช้กว้างขวาง แต่ลักษณะในการบรรเลงประกอบ ตัวละครที่สูงศักดิ์กว่าจะเปลี่ยนเป็นเพลงอื่น กล่าวคือความสำคัญจะน้อยกว่าเพลงตระนิมิต เพลงตระ บองกัน ในโอกาสที่แปลงกาย เนรมิตร่างใหม่ และน้อยกว่าเพลงคุกพาทย์ ในโอกาสที่แสดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ลักษณะของเพลงรัวแยกออกได้ดังนี้ 32.1 เพลงรัวลาเดียว ใช้บรรเลงในโอกาสดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น นอกจากนี้ ยังเป็นเพลงที่นิยมใช้ประกอบกับระบำ รำ ฟ้อน ต่างๆ เช่น ใช้เพลงรัวก่อนการรำแม่บท รัวก่อนรำอวยพร หรือรัวเพื่อให้ตัวแสดงเข้าโรง เป็นต้น 32.2 เพลงรัวสามลา ใช้บรรเลงประกอบการแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของตัว เหมือนเพลงคุกพาทย์ การที่รียกว่ารัวสามลาเพราะในเพลงนี้มีช่วงการรัวถึง 3 ครั้ง หรือ 3 จบ จึงเรียกว่า สามลา 32.3 เพลงรัวดึกคำบรรพ์ โอกาสที่ใช้บรรเลงเหมือนกับเพลงรัวลาเดียว แต่นิยม ใช้เริ่มต้นหรือจบการร่ายรำระบำมากกว่า เช่น รำอวยพรในโอกาสต่างๆ ระบำกฤดาภินิหาร 32.4 เพลงรัวจีนหรือจีนรัว ใช้ประกอบตอนท้ายของระบำกฤดาภินิหาร และ ประกอบการแสดงทั่วไป เช่น ละครพันทางเรื่องสามก๊ก เป็นต้น 32.5 เพลงรัวเฉพาะ เป็นลักษณะของเพลงรัวที่ต่อท้ายเพลงพาทย์ชั้นสูง มีลักษณะลีลาและท่วงทำนองแตกต่างไปจากรัวธรรมดาโดยทั่วไป ทำนองรัวเฉพาะเมื่อเพิ่มต่อท้ายเพลง หน้าพาทย์ชั้นสูงจะเสริมให้เพลงมีความขลังและความศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้น (จบแล้วขึ้นเพลงเร็ว) 33. เพลงเร็ว เป็นเพลงหน้าพาทย์ธรรมดาที่ประกอบกริยาไป-มา ของตัวละคร และ ใช้ต่อท้ายรำหรือระบำ เพลงเร็วนี้เป็นเพลงหนึ่งซึ่งใช้ในการเริ่มฝึกหัดของศิลปีนฝ่ายนาฎศิลป์คู่กับเพลงช้า บางโอกาสต่อท้ายด้วยเพลงลา เพลงเร็วนี้มิใช่ชื่อของเพลง แต่เป็นชื่อลักษณะของเพลงประเภทหนึ่งซึ่งมี หน้าทับกำกับจังหวะ “ตุ๊บ ทิง ทิง ตุ๊บ ทิง ทิง” เหมือนกับเพลงช้า และมีชื่อเรียกต่างๆ กันออกไป หน้า
พาทย์แผลงที่ใช้เรียกเพลงเร็วคือ “แม่ถูกอ่อนไปตลาด” ซึ่งเป็นลักษณะรีบร้อนของแม่ลูกอ่อนที่ห่วงหน้า พะวงหลัง 34. เพลงลา เป็นเพลงหน้าพาทย์ธรรมดาอยู่ในชุดโหมโรง มีความหมายถึงการลา เพื่อจะเข้าโรงของตัวละครหรือชุดระบำรำฟ้อน หากรำสองคนคู่กันจะเรียกว่า “ลาควง” 35. เพลงโล้ ใช้บรรเลงประกอบกริยาไป มา ทางน้ำของตัวละครทั่วไป เช่นเดียวกับ เพลงใช้เรือ และเพลงประพาสเภตรา 36. เพลงโลม ใช้บรรเลงประกอบการเกี้ยวพาราสีของตัวละครทั่วไป บางครั้งเมื่อถึง บทโลมแล้วจะออกด้วยเพลงตระนอน 37. เพลงลงสรง ใช้บรรเลงประกอบพิธีเกี่ยวกับการทำความสะอาดด้วยน้ำ เช่นการ สรงน้ำพระพุทธรูป การสรงน้ำองค์เทพเจ้า การอาบน้ำของนาคภายหลังการปลงผมแล้ว ในการแสดง โขน ละคร ใช้บรรเลงตอนตัวละครอาบน้ำ 38. เพลงลงสรงโทน ใช้บรรเลงประกอบการอาบน้ำและแต่งตัวของตัวละครทั่วไป 39. เพลงวา ใช้บรรเลงประกอบการแสดงเมื่อการแสดงจะเริ่มต้นเปิดเรื่อง เรียกว่า “ลงโรง” หน้าพาทย์แผลงของเพลงเรียกว่า “สี่ศอก” เพราะเทียบกับมาตราวัดความยาวของไทย (2 คืบเป็น 1 ศอก , 4 ศอกเป็น 1 วา) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแผลงหน้าพาทย์ ให้ต่างจากเดิมโดยทรงประทับยืนกางพระพาหา (แขน) ให้เหยียดออกไป โคยไม่รับสั่งต่อว่าอย่างไร ซึ่งก็หมายความว่า “4 ศอก” เท่ากับ 1 วา ซึ่งก็คือ “เพลงวา” นั่นเอง 40. เพลงศรทนง เป็นเพลงหน้าพาทย์ประกอบการแผลงศรของตัวละครโดยเฉพาะ พระรามนิยมบรรเลงติดต่อกับเพลงเชิดฉิ่ง หมายความว่าขณะที่พระรามและทศกัณฐ์กำลังต่อสู้กันปี่พาทย์ จะบรรเลงเพลงเชิดฉิ่ง เมื่อได้โอกาสพระรามแผลงศรออกไป ปีพาทย์จะต้องเปลี่ยนเป็นเพลงศรทนง 41. เพลงเสมอ เป็นเพลงหน้าพาทย์ซึ่งอยู่ในชุดโหมโรงเย็นใช้ประกอบกริยาไป-มา ในระยะใกล้ของตัวละคร ต่างกับเพลงเชิดที่ประกอบกริยาไป-มา ในระยะไกล เพลงเสมอมีโอกาสใช้กับ การแสดงทั่วไป หากเป็นเสมอธรรมคาจะไม่กำหนดศักดิ์ของผู้แสดง นอกจากเสมอเฉพาะซึ่งใช้ประจำตัว ละคร สำหรับหน้าพาทย์แผลงของเพลงเสมอเรียกว่า “ไม่ได้ไม่เสีย” โดยนำมาจากทางการพนันซึ่งพนัน แล้วผลการพนันตรงกับเจ้ามือจะเสมอตัว ไม่ได้ไม่เสียเฉพาะที่จะกล่าวต่อไปมี ดังนี้
41.1 เพลงเสมอเข้าที่ เป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง ใช้บรรเลงประกอบลีลาของครู ผู้ประกอบพิธีในพิธีไหว้ครูนาฎศิลป์และดุริยางคศิลป์เพื่อจะเข้าไปประกอบพิธี ณ มณฑลพิธีที่จัดเครื่อง สังเวยบูชาไว้ 41.2 เพลงเสมอเถร เป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง ใช้บรรเลงประกอบเฉพาะ บทบาทการไป-มา ในระยะใกล้ของผู้ทรงศีลฤๅษี เป็นต้น นิยมใช้ในการแสดงหนังใหญ่และโขนมากกว่า การแสดงประเกทอื่น ตัวอย่าง เช่น เมื่อทศกัณฐ์เนรมิตกายด้วยเพลงตระบองกัน เป็นฤๅษีชื่อสุธรรมฤๅษี เพื่อล่อลวงนางสีดา ในขณะที่พระรามออกติดตามกวางทองอันเป็นรูปจำแลงของมารีศและพระลักษมณ์ ออกไปช่วยพระรามตามคำขอร้องของนางสีดา เมื่อฤๅษีปลอมจะเข้าไปหานางสีดาปี่พาทย์จะบรรเลงเพลง เสมอเถร หรือตอนที่ฤๅษีโคบุตรจะนำหนุมานเข้าเฝ้าเพื่อถวายตัวต่อทศกัณฐ์ก็ใช้เพลงเสมอเถรเช่นกัน แต่โดยส่วนมากใช้เพลงเสมอธรรมดา เนื่องจากแสดงไปในทางตลกขบขัน จึงไม่ใช้หน้าพาทย์ชั้นสูง 41.3 เพลงเสมอมาร ใช้บรรเลงประกอบพฤติกรรมของตัวละครฝ่ายยักษ์ โดยเฉพาะ ถือเป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงจึงใช้กับตัวละครสูงศักดิ์ เช่น ทศกัณฐ์ พิเภก กุมภกรรณ สหัสส เดชะ เป็นต้น 41.4 เพลงเสมอสามลา จัดเป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง ใช้ประกอบพฤติกรรม ของตัวละครสูงศักดิ์ และในพิธีไหว้ครู 41.5 เพลงเสมอผี ใช้บรรเลงประกอบพิธีไหว้ครู และใช้กับตัวละกรประเภท สูงศักดิ์ที่เป็นภูตผีปีศาจ เช่น ในการแสดงโขนตอนทศกัณฐ์ทำพิธีเรียกและชุบปีศาจยักษ์ที่ส้มตายในสนาม รบ มีปีศาจของอินทรชิต กุมภกรรณ สหัสสเดชะ เป็นต้น 41.6 เพลงเสมอข้ามสมุทร เป็นเพลงหนึ่งในชุดโหมโรงกลางวัน ในการแสดง โขนใช้เพลงเสมอข้ามสมุทรตอนพระรามยกพลข้ามสมุทร ไปยังเกาะลงกา 41.7 เพลงเสมอตีนนก เป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงที่ประกอบพฤติกรรมของตัว ละครฝ่ายพระโดยเฉพาะ เพลงและลีลาการรำจะมีลักษณะเด่นและสง่าตามศักดิ์ของตัวแสดง ทำนองเพลง ก็ให้ความรู้สึกกินใจไพเราะสมศักดิ์ศรีเช่นกัน เพลงนี้มีลักษณะแตกต่างไปจากเพลงเสมอประเภทอื่นๆ คือ มีหน้าพาทย์แผลงพิเศษออกไปว่า “บาทสกุณี” และเป็นเพลงเดียวที่นิยมเรียกชื่อเพลงว่า “บาทสกุณี” แทนคำว่า “เสมอตีนนก” จนคนรุ่นหลังแทบจะไม่ได้ยินชื่อเสมอตีนนก ทั้งนี้เพราะหน้าพาทย์แผลง ของเพลงนี้เป็นศัพท์สูงไพเราะกว่า ไม่ใช่คำสามัญว่า “ตีน นก” จึงทำให้ชื่อเป็นคำสุภาพเข้ากับลักษณะ ของเพลงชั้นสูง อย่างไรก็ตามพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเคยร่วมพากย์เจรจา พยายาม ที่จะนำเอาชื่อ “เสมอตีนนก” เข้ามาใช้แทน “บาทสกุณี” แต่ก็ประสบความล้มเหลวเพราะศิลปินไม่นิยม ใช้กัน
41.8 เพลงเสมอตามสัญชาติ เป็นเพลงเสมอที่บรรเลงประกอบการแสดงละครที่ มีสัญชาติต่างๆ เพลงเสมอเหล่านี้จะมีหน้าทับลีลาและสำเนียงเลียนแบบของชาตินั้นๆ ด้วย ซึ่งมีดังนี้คือ เพลงเสมอลาว เพลงเสมอแขก เพลงเสมอมอญ เพลงเสมอพม่า 42. เพลงสาธุการ เป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง และเป็นเพลงแรกในโหมโรงเย็น ศิลปินดนตรีมักจะเริ่มเรียนดนตรีด้วยเพลงสาธุการเป็นเพลงแรก อารมณ์ของเพลงจะมีความหมายถึง การแสดงเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งพระรัตนตรัยทวยเทพเจ้าผู้สูงศักดิ์หรือบูรพคณาจารย์ทั้งปวง โอกาส ที่ใช้บรรเลงเพลงสาธุการมีหลายลักษณะสุดแต่ความเหมาะสมของงาน เช่น 42.1 ใช้บรรเลงในชุดโหมโรงเย็น 42.2 ใช้บรรเลงเพื่อระลึกถึงพระคุณของบูรพคณาจารย์และสิ่งเคารพทั้งหลาย 42.3 ใช้บรรเลงสำหรับประกอบการขึ้น ธรรมาสน์ เพื่อแสดงพระธรรมเทศนา ของพระสงฆ์ 42.4 ใช้บรรเลงประกอบท่ารำทางนาฏศิลป์ในบทของผู้สูงศักดิ์ ทั้งผู้ทรงศีล ฤๅษีเทวดา พระ นาง ยักษ์ 43. เพลงเหาะ ใช้บรรเลงประกอบกริยาไป-มา ของตัวละครที่เหาะเหินเดินอากาศ ได้ใช้กับตัวละครทั่วไปทั้งหนังใหญ่ โขน ละคร 44. เพลงโอด ใช้บรรเลงประกอบกริยาร้องไห้ เศร้าโศกเสียใจของตัวละคร โดยทั่วไป เพลงโอคนี้จะเป็นการเสียใจอย่างแรง ซึ่งผิดกับเพลงทยอยที่ประกอบอาการคร่ำครวญ เศร้าสร้อย 45. เพลงโอดเอม ใช้บรรเลงประกอบอาการดีใจของตัวละครที่พลัดพรากจากกัน หมายความว่าในขณะที่การพลัดพรากจากกันนานๆ นั้น ตัวละครยังคิดถึงอาลัยอาวรณ์หรือคาคไม่ถึง เมื่อพบหน้ากันจะแสดงความดีใจผสมกับการร้องไห้แบบปลื้มปีติมิใช่เสียใจอย่างเพลงโอด 46. เพลงองค์พระพิราพ หรือ องค์พระพิราพรอน เป็นเพลงหน้าพาทย์ซึ่งจัดว่า สูงสุดในบรรดาหน้าพาทย์ทั้งปวง ลีลาและท่วงทำนองของเพลงจะให้ความรู้สึกขลัง ศักดิ์สิทธิ์และมี อิทธิฤทธิ์อยู่ในตัว ใช้ในพิธีไหว้ครูนาฎศิลป์และดุริยางคศิลป์และใช้ในการแสดงโขนซึ่งเป็นบทของยักษ์ โดยเฉพาะเป็นเพลงซึ่งงบรรดาศิลปีนเคารพไม่กล้าล่วงเกินด้วย กาย วาจา ใจ ด้วยเกรงผลร้ายที่จะเกิด ขึ้นกับตน
การใช้เพลงหน้าพาทย์บรรเลงประกอบในโอกาสต่างๆ ตามความสำคัญและความเหมาะสม โดยแบ่งเป็นลำดับขั้น พร้อมตัวอย่างประกอบ ดังนี้(นฤมล ขันสัมฤทธิ์.2545.น.12 - 34) 1. บรรเลงประกอบพระราชพิธีของหลวง เช่น พระราชพิธีทรงผนวช พระราชพิธีถวาย ผ้าพระกฐิน พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นต้น 2. บรรเลงประกอบพิธีทางศาสนา เช่น ทำขวัญนาค โกนจุก เทศน์มหาชาติ เป็นต้น 3. บรรเลงประกอบชุดโหมโรงประเภทต่างๆ เช่น โหมโรงเช้า โหมโรงกลางวัน และโหม โรงเย็น 4. บรรเลงประกอบพิธีไหว้ครูนาฏศิลป์ไทยโขน ละคร 5. บรรเลงประกอบการแสดงโขน ละคร จากการบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ ในพระราชพิธีของหลวงและพิธีทางศาสนา สรุปเป็นตาราง ได้ ดังนี้ ตารางที่ 2 สรุปการบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบงานพระราชพิธีและงานพิธีทางศาสนา ลำดับที่ ชื่อพระราชพิธี / พิธีทางศาสนา ดำลับเพลงหน้าพาทย์ หมายกำหนดการ / กำหนดการ 1 พระราชพิธีทรงผนวช เพลงกราวรำ พระมหากษัตริย์เสด็จพระราช ดำเนินถึง เพลงสาธุการ เจ้าหน้าที่ทรงผนวชครองผ้า เพลงกราวรำ พระมหากษัตริย์เสด็จพระราช ดำเนินกลับ 2 พระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน เพลงช้า , สระหม่า พระมหากษัตริย์เสด็จพระราช ดำเนินถึง เพลงสาธุการ พระมหากษัตริย์บูชาพระรัตนตรัย เพลงกราวรำ พระมหากษัตริย์เสด็จพระราช ดำเนินกลับ สระหม่า
ตารางที่ 2 (ต่อ) สรุปการบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบงานพระราชพิธีและงานพิธีทางศาสนา ลำดับที่ ชื่อพระราชพิธี / พิธีทางศาสนา ดำลับเพลงหน้าพาทย์ หมายกำหนดการ / กำหนดการ 3 พระราชพิธีพืชมงคล จรดพระ นังคัลแรกนาขวัญ เพลงช้า เพลงสาธุการ วันที่ 1 พระราชพิธีช่วงเช้า พระมหากษัตริย์เสด็จพระราช ดำเนินถึง พระมหากษัตริย์บูชาพระรัตนตรัย 4 เพลงกราวรำ พระมหากษัตริย์เสด็จพระราช ดำเนินกลับ เพลงพญาเดิน วันที่ 2 พระราชพิธีช่วงเช้า พระยาแรกนาพร้อมเทพีเข้าใน บริเวรมณฑลพิธี เพลงสาธุการ พระยาแรกนาอธิฐานเลือกผ้านุ่ง 3 ขนาด เพลงเชิดฉาน พระยาแรกนา ไถรี 3 รอบ เพลงโคมเวียน พระยาแรกนา ไถขวาง 3 รอบ เพลงปลูกต้นไม้ พระยาแรกนาหว่านธัญพืชและไถ่ กลบ 3 รอบ เพลงกราวรำ พระมหกษัตริย์เสด็จพระราช ดำเนินกลับ 5 พิธีขวัญนาค เพลงโหมโรง เจ้าภาพแจ้งข่าวเชิญบรรดาญาติ มิตรและผู้มาร่วมในพิธี เพลงเวียนเทียน ผู้ทำขวัญและญาติทำพิธีเวียน เทียน 3 รอบ เพลงรัวสามลา
ตารางที่ 2 (ต่อ) สรุปการบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบงานพระราชพิธีและงานพิธีทางศาสนา ลำดับที่ ชื่อพระราชพิธี / พิธีทางศาสนา ดำลับเพลงหน้าพาทย์ หมายกำหนดการ / กำหนดการ เพลงกราวรำและเชิด ดับเทียน โบกควันไปทางนาค ผู้ทำ ขวัญป้อนอาหารทิพย์แก่นาคและ ปลดผ้าคลุมบายศรีออกส่งให้นาค ถือ เป็นการประกาศจบพิธี 6 พิธีโกนจุก เพลงโหมโรงเย็น วันที่ 1 พิธีช่วงเย็น ปี่พาทย์บรรเลงเพลงโหมโรงเย็น เพลงช้า พระสงฆ์มาถึงบริเวณพิธี เพลงกลม นำเด็กที่จะโกนจุกเข้าฟังพระสวด เพลงกราวใน , เพลงเชิด ส่งพระสงฆ์เดินทางกลับ เพลงโหมโรงเช้า วันที่ 2 พิธีช่วงเช้า นำเด็กเข้าพิธีตัดจุก เพลงลงสรง นำเด็กอาบน้ำ เพลงฉิ่งพระฉัน ถวายภัตาหารเพล เพลงพระเจ้าลอยถาด ส่งพระสงฆ์เดินทางกลับ 7 พิธีเทศน์มหาชาติ เพลงโหมโรง เชิญชวนให้คนเข้ามาฟังเทศน์ เพลงสาธุการ บูชาพระรัตนตรัย ปี่พาทย์บรรเลงเพลง หน้า พาทย์ประจำกัณฑ์ 13 กัณฑ์ 13 กัณฑ์ ตามลำดับ เพลงกราวรำ , เพลงเชิด เสร็จพิธี ส่งพระสงฆ์เดินทางกลับ
การบรรเลงปี่พาทย์ประกอบการเทศนา เรื่อง มหาเวสสันดรชาดก ซึ่งถือว่าเป็นพิธีสำคัญทาง ศาสนา มีทั้งหมด 13 กัณฑ์ โดยการบรรลงปี่พาทย์นั้นจะบรรเลงเพลงที่มีความหมายและสัมพันธ์กับ เนื้อเรื่อง ขั้นตอนการบรรเลงเพลงปี่พาทย์ประจำกัณฑ์ (อย่างแบบหลวง) สมเด็จพระบรมวงศ์เธอเจ้า ฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ประทานประกอบการเทศน์มหาชาติไว้ซึ่ง (ธนิต อยู่โพธิ์2514.น.88) ได้กล่าวไว้ในหนังสือตำนานเทศน์มหาชาติ และแหล่เครื่องเล่นมหาชาติบางแหล่ดังนี้ ตรารางที่ 3 แสดงชื่อกันฑ์ คาถาประจำกัณฑ์ เพลงหน้าพาทย์ และความหมายประกอบ การเทศน์มหาชาติ กัณฑ์ ชื่อ คาถา เพลงหน้าพาทย์ ความหมาย 1 จบกัณฑ์ทศพร 19 เพลงสาธุการ ประกอบกิริยาน้อมนมัสการรับพร ทั้ง 10 ประการของนางผุสดี 2 จบกัณฑ์หิมพานต์ 134 เพลงตวงพระธาตุ ประกอบกิริยาพระเวสสันครทรงบริจาค ทานตามท้องถนน 3 จบกัณฑ์ทานกัณฑ์ 209 เพลงพระยาโศก ประกอบกิริยาโศกสลด รันทดใจของ พระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี พระนางมัทรี และบรรดาพระบรมวงศา นุวงศ์ที่พระเวสสันครต้องถูกเนรเทศ ออกจากเมือง 4 จบกัณฑ์วนประเวสน์ 57 เพลงพระยาเดิน ประกอบกิริยาเดินป่าของพระเวสสันดร พระนางมัทรีพระกุมารชาลี กัณหา 5 จบกัณฑ์ชูชก 79 เพลงเซ่นเหล้า (ค้างคาวกินกล้วย) ประกอบกิริยากินอย่างตะกละของ พราหมณ์ชูชก ปีพาทย์บางวงใช้เพลง ค้างคาวกินกล้วย ซึ่งหมายถึงการไป-มา ของผู้ทุพพลภาพ หรือ ผู้มีร่างกายพิการ 6 จบกัณฑ์จุลพล 35 เพลงรัวสามลา ประกอบกิริยาสำแคงอิทธิฤทธิ์หรือ ขู่ ขวัญของพรานเจตบุตรที่แสดงแก่ชูชก
ตรารางที่ 3 (ต่อ) แสดงชื่อกันฑ์ คาถาประจำกัณฑ์ เพลงหน้าพาทย์ และความหมายประกอบ การเทศน์มหาชาติ กัณฑ์ ชื่อ คาถา เพลงหน้าพาทย์ ความหมาย 7 จบกัณฑ์มหาพน 80 เพลงเชิดกลอง ประกอบกิริยาเดินไปอย่างเร่งรีบของ ชูชกซึ่งได้รับการบอกเล่าหนทางจาก อจุตฤษี 8 จบกัณฑ์กุมาร 101 เพลงเชิดฉิ่ง โอด เป็นการบรรเลงเพลงเชิคฉิ่ง สลับกับ เพลงโอด ประกอบกิริยาของชูชกที่พา พระกุมารชาลี กัณหาเดินบ้าง วิ่งบ้าง ถูกเฆี่ยนตีจนร้องไห้บ้าง สลับกันไป เช่นนี้ตลอดทาง 9 จบกัณฑ์มัทรี 90 เพลงทยอยโอด เป็นการบรรเลงเพลงโอดกับเพลงทยอย สลับกัน ประกอบกิริยาคร่ำครวญหวน ไห้ของพระนางมัทรี เมื่อได้ทราบว่า พระเวสสันดร ได้บริจาคสองกุมารให้แก่ ชูชก 10 จบกัณฑ์สักกบรรพ 43 เพลงเหาะ ประกอบกิริยาเหาะลงมาของพระอินทร์ บางวงใช้เพลงกลม ซึ่งมีความหมาย เช่นเดียวกัน 11 จบกัณฑ์มหาราช 69 เพลงกราวนอก ประกอบการยกพลซึ่งพระเจ้ากรุงสญชัย ยกออกไปรับพระเวสสันคร แต่ปีพาทย์ บางวงบรรเลงเพลงเรื่องทำขวัญ (หรือ เวียนเทียน) ประกอบเนื้อเรื่องตอนพระ เจ้ากรุงสญชัยทรงทำขวัญแก่พระราช นัดดาชาลี กัณหา
ตรารางที่ 3 (ต่อ) แสดงชื่อกันฑ์ คาถาประจำกัณฑ์ เพลงหน้าพาทย์ และความหมายประกอบ การเทศน์มหาชาติ กัณฑ์ ชื่อ คาถา เพลงหน้าพาทย์ ความหมาย 12 จบกัณฑ์ฉกษัตริย์ 36 เพลงตระนอน ประกอบกิริยานอน เมื่อกษัตริย์ทั้งหก คือ พระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี พระเวสสันคร พระนางมัทรี พระกุมาร ชาลี กัณหา ได้มาพบกัน และบรรทม แรมคืนอยู่ ณ บริเวณอาศรมในป่า 13 จบกัณฑ์นครกัณฑ์ 48 เพลงกลองโยนแล้ว เพลงเชิด จบด้วยเพลง กราวรำและเพลงเชิด ประกอบการเคลื่อนขบวนเสด็จพยุหยา ตราอย่างสูงศักดิ์ คับดั่งไปด้วยขบวน อิสริยยศ ส่วนเพลงเชิดประกอบการเดิน ทางไกล ตามเนื้อเรื่องมีการทูลเชิญ พระเวสสันครกลับพระนครด้วยขบวน อันเพียบพร้อมไปด้วยอิสริยศักดิ์และ ความรื่นเริงบันเทิงใจ แสดงความรื่นเริง เบิกบานใจ และเป็นการอนุโมทนา อวยชัยให้พรแก่ผู้ที่มาร่วมทำบุญสร้าง กุศลให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และเป็น การส่งพระสงฆ์เดินทางกลับ การบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบโหมโรงประเภทต่างๆ การบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบการโหมโรงนั้น ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เป็นจารีตประเพณี ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน การบรรเลงเพลงโหมโรงสำหรับการแสดงและมหรสพต่างๆ มีหลาย ประเภท ได้แก่ โหมโรงเช้า โหมโรงกลางวัน โหมโรงเย็น โหมโรงละคร โหมโรงหุ่นกระบอก และโหมโรง เสภา เป็นต้น ในการบรรเลงนั้นการเรียงลำดับเพลงหน้าพาทย์แต่ละชุดจะมีความแตกต่างกันออกไป ดังจะเปรียบเทียบในตารางที่ 4 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างตามโอกาสที่ใช้และการเรียงลำคับ ของโหมโรงเช้า โหมโรงกลางวัน และโหมโรง
ตารางที่ 4 ตารางเปรียบเทียบโอกาสที่ใช้และลำดับเพลงโหมโรงเช้าโหมโรงกลางวันและโหมโรงเย็น โอกาสที่ใช้ ลำดับเพลง โหมโรงเช้า โหมโรงกลางวัน โหมโรงเย็น โอกาสที่ใช้ ใช้สำหรับทำบุญเลี้ยงพระ ใช้ในการแสดงที่เริ่มตั้งแต่เช้า และหยุดพักเที่ยง ถึงเวลา บ่ายก็แสดงต่อ ใช้บรรเลงก่อนเริ่มงานมงคล ต่างๆ ลำดับเพลง 1. สาธุการ 2. เหาะ 3. รัว 4. กลม 5. ชำนาญ 1. กราวใน 2. เสมอข้ามสมุทร 3. รัวสามลา 4. เชิด 5. ชุบ 6. ลา 7. ตระบองกัน 8. รุกร้น 9. ปลุกต้นไม้ 10. ใช้เรือ 11. เหาะ 12. โล้ 13. แผละ 14. เชิดฉาน ลา รัว 1. สาธุการ 2. ตระ 3. รัวสามลา 4. เข้าม่าน 5. ปฐม 6. ลา 7. เสมอ 8. เชิด 9. กลม 10. ชำนาญ 11. กราวใน 12. ลา บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบพิธีไหว้ครู การบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบพิธีไหว้ครูแบ่งออกเป็น 2 ประเภทเ คือ การบรรเลงเพลง หน้าพาทย์ประกอบพิธีไหว้ครู โขน ละคร และ การบรรลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบพิธีไหว้ครูดุริยางค์ไทย 1. การบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบพิธีไหว้ครู โขน ละคร นั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็น การอัญเชิญเทพยคา ครู อาจารย์ ลำดับการเรียกเพลงหน้าพาทย์ในพิธีไหว้ครูนั้นขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับผู้ประกอบ พิธีแต่ละท่านจะเป็นผู้เรียก อาจจะเหมือนหรือแตกต่างกันออกไป
การเรียกเพลงหน้าพาทย์ที่มีหลักฐานว่าเก่าแก่ที่สุดนั้น ประเมษฐ์ บุณยะชัย (2534.น.78) ได้กล่าวไว้ในเอกสารประกอบการสอนนาฏศิลป์ไทยวิจักขณ์ ว่าในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ในปี พ.ศ.2534 ครูเกษ เป็นผู้ประกอบพิธีไหว้ครู นับเป็นพระราชพิธีไหว้ครู ครอบละครหลวง มีหลักฐานปรากฏเป็นครั้งแรกมีลำคับขั้นตอนการเรียกเพลงหน้าพาทย์ ดังนี้ 1. เพลงสาธุการกลอง (รัวธรรมดา) 2. เพลงตระประคนธรรพ (รัวเฉพาะ) 3. เพลงตระเชิญ (รัวธรรมดา) 4. เพลงโคมเวียน (รัวธรรมดา) 5. เพลงโหมโรง วา (รัวธรรมคา) 6. เพลงตระบรรทมสินธุ์ (รัวธรรมดา) 7. เพลงแผละ (รัวธรรมดา) 8. เพลงกลม (รัวธรรมดา) 9. เพลงกราวนอก (รัวธรรมดา) 10. เพลงกราวใน (รัวธรรมดา) 11. เพลงช้า เพลงเร็ว ลา (รัวธรรมดา) 12. เพลงเชิคฉิ่ง (รัวธรรมดา) 13. เพลงคุกพาทย์ (รัวธรรมดา) 14. เพลงองค์พระพิราพ (ปฐมแล้วรัวธรรมดา) 15. เพลงลงสรง 16. เพลงเชิด 17. เพลงรำดาบ (รัวเฉพาะ) 18. เพลงเสมอผี (รัวธรรมดา) 19. เพลงเสมอมาร (รัวธรรมดา) 20. เพลงนั่งกิน (รัวธรรมดา) 21. เพลงเซ่นเหล้า 22. เพลงโปรยข้าวตอก 23. เพลงพราหมณ์เข้า (รัวเฉพาะ) 24. เพลงเสมอสามลา (รัวเฉพาะ) 25. เพลงมหาชัย
26. เพลงเสมอเถร (รัวเฉพาะ) 27. เพลงพราหมณ์ออก (รัวเฉพาะ) 28. เพลงเวียนเทียน (รัวธรรมดา) 29. เพลงกราวรำ 30. เพลงเชิด 31. เพลงเสมอเข้าที่ (รัวธรรมดา) 32. เพลงกราวรำ หมายเหตุ รัวเฉพาะ คือ เพลงรัวธรรมดาที่ประดิษฐ์ทำนองให้แตกต่างกันออกไป เพื่อให้สัมพันธ์กับเพลง หนึ่งโดยเฉพาะ ภาพที่ 00 พิธีไหว้ครูนาฏศิลป์ไทย ที่มา : อธิษฐณัฏฐ์ นันต๊ะเสน.2565 องค์ประกอบที่สำคัญในพิธีไหว้ครูอย่างหนึ่งคือการใช้วงปี่พาทย์บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ ประกอบพิธีไหว้ครูโขน ละคร เนื่องจากเพลงหน้าพาทย์ที่บรรเลงตามลำดับก่อนหลังในพิธีนี้มีความ หมายถึงการอัญเชิญเทพเจ้า เทวดา ครูอาจารย์ ทางด้านนาฏศิลป์โขน ละคร ให้เดินทางมาสู่มณฑลพิธี ดังเพลงหน้าพาทย์ที่บรรเลงประกอบอากัปกิริยาการเดินทางมาของเทพเจ้า เทวดา และครูอาจารย์ จะมี ความแตกต่างกันทั้งระดับความศักดิ์สิทธิ์ของเพลงและตามบมบาทสภาพของตัวโขนละคร ซึ่งแบบแผนและ ลำดับการเรียกเพลงหน้าพาทย์ในพิธีไหว้ครูของคุณครูไพฑูรย์ เข้มแข็ง ผู้ประกอบพิธีของวิทยาลัยนาฏศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม (วีระศิลป์ ช้างขนุน 2560.น.99-101) กำหนดไว้ดังนี้
ตารางที่ 5 ลำดับการบรรเลงและความหมายของเพลงหน้าพาทย์ ประกอบพิธีไหว้ครูนาฏศิลป์โขน ละคร ลำดับที่ เพลงหน้าพาทย์ ความหมาย 1 เพลงสาธุการ การบูชาพระรัตนตรัย 2 เพลงพราหมณ์เข้า ผู้ประกอบพิธีถือสังข์รำเข้ามาในพิธีโดยสมมุติเป็นผู้ทรงศีล เข้ามาสู่สถานพิธีแล้วอนุญาติให้บริเวณนั้นเป็นสถานที่ ประกอบพิธีเพื่อสวัสดิมงคล 3 เพลงมหาฤกษ์ ประธานในพิธีจุดเทียนชัย เทียนทอง เงิน และธูป 4 เพลงโหมโรง การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 5 เพลงสาธุการกรอง บูชาครูปัธยาย 6 เพลงตระเชิญ เชิญพระอิศวร 7 เพลงตระสันิบาต เชิญครูมาประชุมทุกองค์ 8 เพลงเหาะ เชิญพระพรหม 9 เพลงตระนารายณ์บรรทมสินธุ์ เชิญพระนารายณ์ 10 เพลงตระพระประคนธรรพ เชิญครูตะโพน หรือ ครูหน้าทับ 11 เพลงกลม เชิญพระวิษณุกรรม พระปัญจสีขร พระพิฆเนศ 12 เพลงบาทสกุลณี เชิญเทพบุตร เทพธิดา 13 เพลงเชิดฉิ่ง เชิญนางเมขลา 14 เพลงช้า เพลงเร็ว เชิญครูโขน ละคร พระ - นาง 15 เพลงลุกล้น เชิญครูพระลิง มนุษย์ 16 เพลงเสมอข้ามสมุทร เชิญครูพระ ลิง มนุษย์ เป็นหมดหมู่ 17 เพลงกราวนอก เชิญครูฝ่ายลิง 18 เพลงกราวใน เชิญครูฝ่ายยักษ์ 19 เพลงดำเนินพราหมณ์ เชิญครูฤษีชีพราหมณ์ 20 เพลงเสมอมาร เชิญครูพญายักษ์ 21 เพลงเสมอผี เชิญครูผีทั้งหลาย 22 เพลงองค์พระพิราพ เชิญครูพระพิราพ 23 เพลงลงสรง เชิญครูสรงน้ำ (อาบน้ำ)
ตารางที่ 5 (ต่อ) ลำดับการบรรเลงและความหมายของเพลงหน้าพาทย์ ประกอบพิธีไหว้ครูนาฏศิลป์โขน ละคร ลำดับที่ เพลงหน้าพาทย์ ความหมาย 24 เพลงเสมอเข้าที่ เชิญครูทั้งหลายประทับตามที่ (หัวโขนครูปัธยาย) 25 เพลงเชิด ถวายเครื่องสังเวย 26 เพลงนั่งกิน เชิญครูทั้งหลายลงนั่งกินเครื่องสังเวย 27 เพลงเซ่นเหล้า เชิญครูดื่มเครื่องสังเวยที่เป็นน้ำ 28 เพลงเสมอเถร พระครูภรตมุนีมายังพิธีเพื่อประกอบพิธีครอบและรับมอบ ให้แก่ศิษย์ 29 เพลงมหาชัย เป็นมงคลแก่ผู้ครอบและรับมอบชุดแรก 30 เพลงพราหมณ์ออก พระครูภรตมุนีกลับออกจากพิธี 31 เพลงพระเจ้าลอยถาด การขอขมาต่อครูอาจารย์ที่ได้กระทำพลาดพลั้งสิ่งใด 32 เพลงโปรยข้าวตอก การสักการะด้วยข้าวตอกดอกไม้ 33 เพลงกราวรำ แสดงความยินดีที่เสร็จพิธีมงคล 34 เพลงเชิด เทพเจ้าและครูทุกองค์เดินทางกลับ ช่วงต้นเพลงเชิดศิษย์ ทั้งหลายจะเปล่งเสียงร้องไชโย 3 ครั้ง เป็นอันจบพิธี 2. การบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบพิธีไหว้ครูดนตรีไทย การบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบพิธีไหว้ครูดนตรีไทย การใช้เพลงหน้าพาทย์จะมีการ ลำดับเพลงไม่เหมือนกับพิธีไหว้ครูนาฏศิลป์โขน ละคร นอกจากนี้ผู้ประกอบพิธีไหว้ครูดนตรีไทยแจ่ละท่าน ก็มีการใช้ลำดับเพลงหน้าพาทย์ในการประกอบพิธีต่างกัน เช่น นายมนตรี ตราโมท , นายประสิทธิ์ถาวร ได้ มีการเรียกเพลงหน้าพาทย์ในการประกอบพิธีไหว้ครูผู้เขียนจึงได้เปรียบเทียบดังต่อไปนี้
ตรารางที่ 6 แสดงการเปรียบเทียบการลำดับเพลงหน้าพาทย์ประกอบพิธีไหว้ครู ระหว่างนายมนตรี ตราโมท กับ นายประสิทธ์ ถาวร การลำดับเพลงหน้าพาทย์ประกอบพิธีไหว้ครู ดนตรีไทย (นายมนตรี ตราโมท) การลำดับเพลงหน้าพาทย์ประกอบพิธีไหว้ครู ดนตรีไทย (นายประสิทธิ์ ถาวร) 1. เพลงสาธุการ 1. เพลงสาธุการ 2. เพลงสาธุการกรอง 2. เพลงสาธุการกรอง 3. เพลงตระสันนิบาต 3. เพลงตระสันนิบาต 4. เพลงพราหมณ์เข้า 4. เพลงตระนารายณ์บรรทมสินธุ์ 5. เพลงโหมโรง 5. เพลงบาทสกุลณี 6. เพลงตระนารายณ์บรรทมสินธุ์ 6. เพลงโคมเวียน 7.เพลงบาทสกุลณี 7. เพลงตระพระปรคนธรรพ 8. เพลงโคมเวียน 8. เพลงเสมอเถร 9. เพลงตระพระปรคนธรรพ 9. เพลงดำเนินพราหมณ์ 10. เพลงเสมอเถร 10. เพลงพราหมณ์เข้า 11. เพลงตระเชิญ 11. เพลงเสมอมาร 12. เพลงพระพิราพเต็มองค์ 12. คุกพาทย์ 13. เพลงนั่งกิน - เซ่นเหล้า 13. เพลงพระพิราพเต็มองค์ 14. เพลงพราหมณ์ออก 14. เพลงนั่งกิน - เซ่นเหล้า 15. เพลงเสมอเข้าที่ 15. เพลงโปรข้าวตอก 16. เพลงโปรข้าวตอก 16. เพลงมหาชัย 17. เพลงมหาชัย 17.เพลงพราหมณ์ออก 18. เพลงเสมอเข้าที่ 19. เพลงกราวรำ 20. เพลงเชิด
ภาพที่ 00 พิธีไหว้ครูดนตรีไทย ที่มา : อธิษฐณัฏฐ์ นันต๊ะเสน.2565 การบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบพิธีไหวัครูทางด้านนาฏศิลป์โขน ละคร กับทางด้าน ดนตรีไทยจะมีลำดับเพลงหน้าพาทย์แตกต่างกัน รวมทั้งจำนวนเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้บรรเลงไม่เท่ากัน เนื่องจาก ผู้ประกอบพิธีแต่ละท่านได้ยึดถือการทำพิธีมาจากครู อาจารย์ที่ใด้รับมอบมา ดังนั้นการกล่าว โองการ การกล่าวคาถาบูชาครูและเทพเจ้าต่างๆ จึงมีลำคับการกล่าวแตกต่างกัน รวมทั้งพิธีไหว้ครูโขน ละครมีจำนวนครูและเทพยดาที่กล่าวโองการมากกว่าพิธีทางด้านดนตรีไทย จึงทำให้การลำดับหน้าพาทย์ มีความแตกต่างกัน แต่มีจุดประสงค์และความหมายเดียวกัน คือ การนับถือเพลงหน้าพาทย์ว่าเป็นเพลงครู การบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบการแสดงโขน ละคร เพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ประกอบการแสดงโขน ละคร นั้นจะใช้ประกอบบทบาทที่แสดงอารมณ์ ความรู้สึก อากัปกิริยา รวมทั้งเหตุการณ์ที่สำคัญๆ ที่เกี่ยวช้องกับตัวละครที่เป็นเทวคา มนุษย์ ยักษ์ ลิง รวมทั้งตัวละครที่เป็นสัตว์ต่างๆ ก็จะมีการใช้เพลงหน้าพาทย์ที่แตกต่างกันออกไป เพลงหน้าพาทย์ ประกอบการแสดงแบ่งตามโอกาสที่ใช้ประกอบการแสดงโขน ละคร เป็น 2 ลำดับได้แก่ 1) การบรรเลงเพลงหน้าพาทย์แสดงอารมณ์ความรู้สึก 2) การบรรเลงเพลงหน้าพาทย์แสดงอากัปกิริยา
1) การบรรเลงเพลงหน้าพาทย์แสดงอารมณ์ความรู้สึก ได้แก่ อารมณ์รัก 1) โลม ใช้สำหรับเกี้ยวพาราสี เล้าโลมด้วยความรักความเสน่หา นิยมใช้กับเพลง ตระนอน เช่น การแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ ตอนศึกวิรุญจำบัง (หนุมานเข้าห้องนางวานรินทร์) มีการ เล้าโลมด้วยความรัก ใช้เพลงโลมต่อด้วยเพลงตระนอน เป็นต้น อารมณ์รื่นเริง สนุกตนาน ดีใจ ภูมิใจ 1) กราวรำ ใช้ในความหมายเยาะเย้ย ฉลองความสำเร็จหรือสนุกสนานได้ชัยชนะ เช่น การแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ ตอนทำรายพิธีอุโมงค์แสดงท่าเยาะเย้ย ดนนตรีใช้เพลงกราวรำ 2) เพลงช้า เพลงเร็ว ใช้แสดงความยินดีเบิกบานใจในการไป-มา อย่างงดงาม แช่มช้อย เมื่อไปถึงที่หมายจะใช้เพลงลา เช่น การแสดงละครเรื่องเงาะป่า ตอนนางลำหับและเพื่อนๆ ไปเก็บ ดอกไม้ในป่า เป็นต้น 3) สีนวล ใช้สำหรับท่วงทีเยื้องยาตรนาดกราย หรือความรื่นเริงบันเทิงใจของอิสตรี อารมณ์โศกเศร้า เสียใจ 1) ทยอย ใช้แสดงความเศร้าโศก เสียใจ เป็นอย่างยิ่ง ด้วยการร้องไห้ เช่นการแสดง ละคร เรื่องพระเวสสันดรชาดก ตอนพระนางมัทรีเดินร้องไห้ตามหาพระกุมารทั้งสอง 2) โอด ใช้แสดงความเศร้าโศก เสียใจ ร้องไห้ มีทั้งโอคชั้นเดียว โอคสองชั้น เช่น การแสดง โขนเรื่องรามเกียรติ์ชุดนางลอย ตอนเบญกายแปลงเป็นสีดาตายลอยทวนน้ำมา เมื่อพระรามมาพบ เกิดความเศร้าโศกรำพึงรำพัน ดนตรีบรรเลงเพลงโอดสองชั้น ส่วนเพลงโอดเอมใช้แสดงความดีใจจนน้ำตา ไหล เช่น การแสดงละครในเรื่องสังข์ทอง ตอนนางมณทาลงกระท่อม นางรจนาเมื่อรู้ว่านางมณฑาผู้เป็น มารดามาหา จึงรีบออกไปรับด้วยความดีใจ คนตรีบรรเลงเพลงโอดเอม อารมณ์โกรธ 1) คุกพาทย์และ รัวสามลา ใช้แสดงอารมณ์โกรธ ดุดัน น่าเกรงขาม หรือใช้ในการ แผลงอิทธิฤทธิ์ สำแดงเดช เช่น การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ เรื่องรามเกียรติ ตอนศึกมัยราพณ์ตอนที่ หนุมานหาวเป็นดาว เดือน เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นบิดา ดนตรีบรรเลงเพลงคุกพาทย์และ ตอนทำรายพิธีอุโมงค์ สุครีพ หนุมาน นิลนนท์ เปิดปากอุโมงค์เพลงเข้าไปตามหาทศกัณฐ์ดนตรีบรรเลงเพลงรัวสามลา
2) การบรรเลงเพลงหน้าพาทย์แสดงอากัปกิริยา ได้แก่ กิริยาการกิน อาบน้ำ นอน 1) นั่งกิน โดยทั่วไปใช้ในพิธีไหว้ครู หรือการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติตอน พระราม เข้าสวนพระพิราพ 2) เซ่นเหล้า ใช้ประกอบการกินอาหาร ดื่มสุรา ใช้ในพิธีไหว้ครูโขน ละคร หรือใช้ บรรเลงตอนภูตผีปีศาจออก เช่น การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตอนทศกัณฐ์นำน้ำทิพย์ไปประพรมยักษ์ ที่ตายให้ฟื้นขึ้นเป็นปีศาจแล้วมาฝ้าที่หน้ากองทัพ ดนตรีบรรเลงเพลงเซ่นเหล้าประกอบ 3) ลงสรง ใช้ประกอบกิริยาอาบน้ำ เช่น การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดสำมนักขา หึงพระรามสั่งให้นางสีดาและพระลักษมณ์อยู่ในกุฏิ ส่วนพระรามเสด็จมาสรงน้ำองค์เดียว 4) ลงสรงโทน ใช้บรรเลงเมื่ออาบน้ำเสร็จ และนำเครื่องหอม เครื่องแต่งตัว ขึ้นมาแต่ง เช่น การแสดงละครในเรื่องอิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิง 5) ตระนอน ใช้ประกอบการนอนจะเป็นนอนคนเดียว นอนสองคน หรือ นอนสามคน ก็ได้ ใช้กับตัวแสดงพระ นาง ยักษ์ ลิง เช่น การแสดงละครในเรื่องอุณรุท ตอนอุ้มสมพระอุณรุทนอนในป่า หรือ การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตอนสืบมรรคา กองทัพวานรนอนพักกลางป่า ดนตรีบรรเลงเพลง ตระนอน 6) ตระบรรทมไพร ใช้ประกอบการนอนขณะที่ค้างในป่า เช่น การแสดงโขนเรื่อง รามเกียรติ์ ตอนพระรามเดินทางไปตามหานางสีดาที่กรุงลงกา ระหว่างทางต้องนอนค้างกลางป่า 7) ตระบรรทมสินธุ์ ใช้สำหรับพระนารายณ์บรรทมองค์เดียวเท่านั้น เรียกเพลงนี้อย่าง เต็มว่า “ตระนารายณ์บรรทมสินธุ์” เป็นการแสดงกิริยาการบรรทมของพระนารายณ์ อยู่บนหลังพญานาค ราชกลางเกษียรสมุทร เช่น การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ตอนพระนารายณ์ทรงปราบหิรันตยักษ์เสร็จ ก็เสด็จกลับเข้าที่บรรทม ณ เกษียรสมุทร กิริยาไป-มา ในระยะใกล้ ไกล 1) เสมอ ใช้ประกอบกิริยาไป-มา ใกล้ๆ เช่น เดินออกจากท้องพระโรง เข้า ฉากแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.1) เสมอตามลักษณะตัวละคร หมายถึง เพลงเสมอที่มีชื่อตามลักษณะผู้แสดง ได้แก่
- เสมอมาร ใช้สำหรับพญายักษ์ที่มียศศักดิ์สูง เช่น สหัสสะเคชะ ทศกัณฐ์ และที่มีตำแหน่งรองๆ ลงมา เป็นต้น เช่นการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุด นารายณ์ปราบนนทุก ตอน นนทุกขึ้นเฝ้าพระอิศวร -เสมอสามลา ใช้สำหรับพญายักษ์ใหญ่หรือตัวละครที่มียศศักดิ์สูง แสดงถึง การไป-มา ด้วยความสง่างามและภาคภูมิ เช่น การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดศึกสามทัพ ทศกัณฐ์เชิญส หัสสเดชะ และมูลพลัมมาช่วยรบกับพระราม เมื่อได้เจรจาชักชวนกันเรียบร้อยปี่พาทย์บรรเลงเพลงเสมอ สามลา พญายักษ์ทั้งสามรำเข้าโรง - เสมอเถร ใช้สำหรับฤษีและนักพรต ผู้ทรงศีล เช่น การแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ชุดลักสีดา ทศกัณฐ์แปลงเป็นนักพรตชื่อสุธรรมฤษีเข้าไปหานางสีดาซึ่งอยู่ในอาศรมเพียง ผู้เดียว - เสมอตื่นนก หรือ บาทสกุนี ใช้สำหรับตัวแสดงที่เป็นท้าวพระยา มหากษัตริย์มีฐานะสูงศักดิ์ ใช้ได้ทั้งพระ นาง และยักษ์ ได้แก่ พระราม พระลักษมณ์ อิเหนา สีดา และทศกัณฐ์เพราะถือว่าเป็นพญายักษ์ที่อยู่ในวงศ์พรหม ดังนั้น บทโขนเก่าๆ จึงได้กล่าวถึงการใช้เพลง บาทสกุณีของทศกัณฐ์ไว้ด้วย ในปัจจุบันไม่นิยมใช้เพลงบาทสกุนีกับพญายักษ์ทั้งหลาย แต่มักนิยมใช้เฉพะ พระและนางเท่านั้น เนื่องด้วยเป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง และเป็นสุดขอคของเพลงหน้าพาทย์เสมอ ทั้งด้านความไพเราะของท่วงทำนองเพลง และจังหวะไม้เดินที่ค่อนข้างยาวกว่าเพลงเสมอทั่วๆ ไป ตลอดจนความสง่างามของกระบวนท่ารำ เช่น การแสคงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุดยกรบ ตอนพระราม พระลักษมณ์จะยกทัพไปรบกับศัตรู ก่อนยกทัพออกไปจะต้องสรงน้ำ แต่งตัว เมื่อเสร็จแล้วปี่พาทย์บรรเลง เพลงบาทสกุนีเพื่อเดินออกมายังที่ประชุมพล - เสมอเข้าที่ เป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง ใช้สำหรับเชิญฤษี ครู อาจารย์ หรือใช้ในพิธีไหว้ครู เช่น เชิญครูทั้งหลายเข้าประทับตามที่ๆ จัดไว้เพื่อรับเครื่องสังเวย - เสมอข้ามสมุทร เป็นเพลงหน้าพาทย์ที่แสดงให้เห็นถึงการเดินทางทั้ง กองทัพ เช่น การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดจองถนน เมื่อพระรามยกกองทัพข้ามมหาสมุทรไปกรุงลงกา - เสมอผี ใช้สำหรับพญายม ภูตผีปีศาจ หรือพิธีไหว้ครู เช่น การแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ตอนนางมณโทตั้งพิธีหุงน้ำทิพย์ เมื่อทศกัณฐ์นำน้ำทิพย์ไปประพรมบรรดาซากศพยักษ์ ให้ฟื้นขึ้นมาต่อสู้กับกองทัพพระรามได้อีก นอกจากนั้น เพลงเสมอยังมีที่ใช้ในชื่ออื่นๆ อีก แต่จัดอยู่ใน ประเภทเพลงเสมอเช่นกัน ได้แก่
- พราหมณ์เข้า ใช้สำหรับพิธีไหว้ครูการเข้าสู่พิธี เพื่อที่จะทำพิธีเกี่ยวกับ เวทมนตร์คาถา ใช้สำหรับฤษี พระ และยักษ์ ผู้สูงศักดิ์ ส่วนมากยักษ์เป็นผู้รำนำ เช่น การแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุดศึกพุ่งหอกกบิลพัท - พราหมณ์ออก ใช้สำหรับพิธีไหว้ครูเมื่อเสร็จสิ้นการประกอบพิธี แล้วจะ ออกจากสถานที่ประกอบพิธีนั้นๆ สำหรับใช้ประกอบการแสดง เช่น การแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุดศึก พรหมาสตร์ ตอนอินทรชิตออกจากโรงพิธีที่ใช้ชุบศรพรหมาสตร์ - ดำเนินพราหมณ์ ใช้ในการไป-มา ระยะใกล้ของฤษีชีพราหมณ์ เช่น ในพิธีไหว้ครูโขน ละคร ผู้ประกอบพิธีจะใช้เพลงนี้เพื่อแสดงอาการสมมุติว่าพระครูฤษีได้เสด็จมาร่วม ในพิธีแล้ว 1.2) เสมอตามสัญชาติตัวละคร หมายถึง เพลงเสมอที่มีลีลา ท่วงทำนอง ของเพลงล้อเลียนสำเนียงภาษาของชาติต่างๆ เช่น มอญ ลาว พม่า และแขก เป็นต้น โดยบรรเลงประกอบ กิริยาไป-มา ของตัวละครตามสัญชาตินั้นๆ ได้แก่ เสมอมอญ เสมอลาว เสมอพม่า เสมอแขก เป็นต้น 2) เชิด ใช้สำหรับตัวละครที่ไป-มา ในระยะทางไกล หรือรีบด่วน การโลดไล่ติดตาม ตลอดจนการต่อสู้ รบราฆ่าฟันกัน เพลงเชิดนี้แบ่งออกเป็นหลายประเกท ได้แก่ - เชิดชั้นเดียว ใช้บรรเลงประกอบการโลดไล่ ติดตาม ต่อสู้ รบราฆ่าฟัน เนื่องจากทำนองดนตรีอยู่ในอัตราชั้นเดียว จังหวะของกลองเป็นไปอย่างกระชั้นชิดสม่ำเสมอ ช่วยให้ผู้ชม เกิดอารมณ์สนุกสนาน ตื่นเต้น และชวนให้ติดตาม - เชิดสองชั้น ใช้บรรเลงประกอบการแสดงโขน ละคร เช่นเดียวกับเชิดอัตราชั้น เดียว แต่จังหวะของเพลงจะช้ากว่าเล็กน้อย เพื่อให้ตัวละครแสดงลีลาท่ารำได้อย่างสง่าผ่าเผย ว่าจะไปยัง ที่ต่างๆ ตามบทบาท หลังจากนั้นดนตรีจะทำการถอนจังหวะตามศัพท์เรียกว่า “ถอนชั้นเดียว” โดยผู้ บรรเลงจะเร่งจังหวะตอนท้ายของเชิดสองชั้นให้เร็วขึ้นตามลำดับ เมื่อได้ที่แล้วจึงถอนจังหวะบรรเลง เพลงเชิดชั้นเดียวต่อไปจนจบการแสดง เช่น การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดพระรามตามกวาง เมื่อทศกัณฐ์สั่งกวางให้ไปลวงพระรามออกจากอาศรม ดนตรีจะบรรเลงเพลงเชิดสองชั้นก่อน และต่อด้วย เชิดชั้นเดียวกวางก็จะแสดงท่ารับคำสั่งแล้ววิ่งหายเข้าหลังเวทีไป เป็นต้น - เชิดฉาน ใช้ในการติดตามจับระหว่างมนุษย์กับสัตว์ เช่น พระรามตามกวาง ย่าหรันตามนกยูง เป็นต้น - เชิดนอก ใช้ในการติดตามจับระหว่างสัตว์กับสัตว์ เช่นหนุมานจับนางสุพรรณ มัจฉา เป็นต้น
- เชิดจีน ใช้ในการหลอกล่อ เลี้ยวไล่ไป-มา ในการติดตามจับ เช่น เมขลา รามสูร พระลอตามไก่ ย่าหรันตามนกยูง - ฉะเชิด ใช้บรรเลงประกอบท่ารำโดยเฉพาะของเจ้าเงาะในเรื่อง สังข์ทอง เมื่อต้องการไป-มา ในระยะทางไกล 3) เหาะ ใช้สำหรับเทวดา นางฟ้า ไป-มาในที่ต่างๆ ด้วยกิริยารวดเร็วจะเป็นเดี่ยว หรือหมู่ก็ได้ เช่น ระบำคาวดึงส์ ระบำนันทอุทยาน 4) โคมเวียน ใช้สำหรับเทวคา นางฟ้า ไป-มาเป็นหมวดหมู่ มีระเบียบ เช่น ระบำ สี่บท 5) กลองโขน ใช้สำหรับขบวนแห่ หรือ ขบวนทัพของพระมหากษัตริย์ที่เคลื่อนไป-มา อย่างช้าๆ เช่น ระบำพรหมาสตร์ 6) พญาเดิน ใช้สำหรับการ ไป-มา ของตัวเอก ตัวแสดงผู้สูงศักดิ์หรือพระมหากษัตริย์ ในลักษณะเดี่ยว หรือหมู่ เช่น การแสดงละครนอกเรื่อง สังข์ทอง ตอนดีคลี นอกจากนั้นใช้บรรเลง ประกอบการรำอาวุธได้ด้วย 7) กลม ใช้สำหรับการไป-มา ของเทพเจ้า เช่น พระนารายณ์ พระวิมณุกรรม พระอรชุน สำหรับมนุษย์ที่ใช้เพลงกลม ได้แก่ เจ้าเงาะในเรื่องสังข์ทอง เพราะเหาะเหินเดินอากาศได้อย่าง เทวดา 8) เข้าม่าน ใช้สำหรับการเข้า-ออก ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งของตัวเอก หรือท้าวพระยามหากษัตริย์ ถ้าตัวละครมีบทบาทจะต้องเดินออกมาแสดงบนเวทีใช้เพลง “ต้นเข้าม่าน” แต่เมื่อตัวละครจบบทบาทการแสดงแล้วจะเดินเข้าในโรงใช้เพลง “ปลายเข้าม่าน” เช่น การแสดงละดรใน เรื่อง อิเหนา ตอนวิหยาสะกำคลั่ง 9) ชุบ ใช้สำหรับนางกำนัล คนรับใช้ เช่น การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ชุดศึก กุมภกรรณ ทศกัณฐ์ใช้นางกำนัลไปเชิญกุมภกรรณ นางกำนัลใช้เพลงชุบในการเดินทาง 10) โล้ ใช้สำหรับการเดินทางไป-มา ทางน้ำ เช่น การแสคงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดนางลอย 11) แผละ ใช้สำหรับการไป-มา ของสัตว์มีปีก เช่น ครุฑ นก กา ยุง เป็นต้น 12) เพลงช้า ใช้สำหรับการไป-มา อย่างปกติ ไม่เร่งรีบ เป็นการแสดงลีลา การเดินทางอย่างสง่างาม ในลักษณะเดี่ยวหรือหมู่ก็ได้ เช่น การแสดงละครใน เรื่องอิเหนา ตอนเชิดหนัง และศึกชี
กิริยาการต่อสู้ติดตาม 1) เชิด หรือ เชิดกลอง ใช้สำหรับการต่อสู้ ยกทัพ เช่น การแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุดทศกัณฐ์ยกรบ 2) เชิดฉิ่ง ใช้สำหรับการค้นหา การลอบเข้าออกในสถานที่ใดที่หนึ่ง การไล่หนีจับกัน การเหาะลอยในอากาศ การใช้อาวุธแผลงศร ขว้างจักร เป็นต้น เช่น การแสดงละครใน เรื่องอุณรุท ตอนอุ้มสม 3) เชิดนอก ใช้สำหรับการโลดไล่จับบกันของตัวละครที่เป็นสัตว์จับสัตว์เช่น การ แสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดหนุมานจับนางสุพรรณมัจฉา 4) เชิดฉาน ใช้สำหรับการโลดไถ่จับกันของตัวละครที่เป็นมนุษย์และสัตว์เช่น การ แสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดพระรามตามกวาง กิริยาการจัดทัพตรวจพล 1) ปฐม ใช้สำหรับการจัดทัพของบรรดาแม่ทัพนายกอง เช่น ฝ่ายพลับพลาพระราม ตัวแสดงคือ สุครีพแม่ทัพใหญ่เป็นผู้รำ ส่วนฝ้ายลงกาตัวแสดงคือ มโหทรเป็นผู้รำ 2) กราวนอก ใช้สำหรับการตรวจพลยกทัพของมนุษย์และวานร เช่น การแสดงโขน เรื่องรามเกียรติชุดพระรามยกรบ 3) กราวกลาง ใช้สำหรับการตรวจพลยกทัพของมนุษย์ในการแสคงละคร เช่น การ แสดงละครนอกเรื่องพระสุธน มโนราห์ ตอนพระสุธนตรวจพลยกทัพ 4) กราวใน ใช้สำหรับการตรวจพลยกทัพของฝ่ายยักษ์ เช่น การแสดงโขนเรื่อง รามเกียรติ์ ชุดทศกัณฐ์ยกรบ กิริยาการแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ 1) ตระนิมิต ใช้สำหรับการแปลงกาย หรือ เนรมิตด้วยอิทธิฤทธิ์เวทมนตร์ใช้ใด้ทั้ง พระ นาง ยักษ์ ลิง เช่น การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดนางลอย ตอน เบญกายแปลงเป็นสีดา 2) ตระบองกัน ใช้สำหรับเนรมิตประสิทธิ์ประสาทพร หรือ แปลงกาย เช่น มารีศ แปลงกายเป็นกวางทอง ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดพระรามตามกวาง 3) ชำนาญ ใช้สำหรับเนรมิต ประสิทธิ์ประสาทพร หรือแปลงกายเช่นเดียวกับเพลง ตระของกัน เช่น การแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดหนุมานออกบวช ใช้เมื่อหนุมานแปลงเป็นฤษีเพื่อ ออกบวช
4) ตระสันนิบาต ใช้สำหรับประกอบพิธีสำคัญต่างๆ และเชิญเทพยดามาชุมนุม เพื่อความเป็นสิริมงคล เช่น พิธีไหว้ครู นอกจากนั้นยังใช้ประกอบการแสดงเกี่ยวกับการแปลงกายได้ อีกด้วย 5) คุกพาทย์ และ รัวสามลา ใช้สำหรับแผลงอิทธิฤทธิ์ประกอบกิริยา โกรธเคือง เกรี้ยวกราด คุดัน หรือ ใช้ประกอบสภาพดินฟ้าอากาศที่วิปริต น่าสะพรึงกลัว เช่น การแสดงโขนเรื่อง รามเกียรติ์ ชุดหนุมานพบมัจฉานุ ตอนหนุมานแผลงฤทธิ์หาวเป็นดาวเป็นเดือนเพื่อให้มัจฉานุเชื่อว่าตน คือบิดา จะเห็นได้ว่าลักษณะของเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้บรรเลงในโอกาสต่างๆ นั้น มีความหมาย และ โอกาสที่ใช้แตกต่างกันไปโดยเฉพาะเพลงหน้าพาทย์ที่บรรเลงประกอบการแสดงโขน ละคร ผู้แสดงต้องรำ ให้ถูกต้องตรงตามเพลง ซึ่งยึดหลักคือจังหวะและทำนองเพลงเป็นสำคัญ จะขาดเกินสั้นยาวกว่าไม่ได้ เพราะถือว่าดนตรีปี่พาทย์นั้นเป็นหลักเป็นประธานในการรำหน้าพาทย์ นอกจากนั้นโอกาสที่ใช้เพลง หน้าพาทย์ต้องนำมาใช้ให้ถูกต้องตรงกับความหมายของบทบาท กิริยาอาการและอารมณ์ของผู้แสดง เพื่อให้การแสดงนั้นๆ ดำเนินไปอย่างสอดคล้องกลมกลืน บรรถวัตถุประสงค์ในการแสดงได้อย่างดียิ่ง
จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น ในเนื้อหาที่กล่าวถึงโอกาสที่ใช้เพลงหน้าพาทย์ ผู้เขียนได้สรุป เป็นแผนผัง โอกาสที่ใช้เพลงหน้าพาทย์ ดังนี้ แผนผังที่ 1 โอกาสที่ใช้เพลงหน้าพาทย์
1.4 วิธีการและขั้นตอนการถ่ายทอดท่ารำเพลงหน้าพาทย์ การถ่ายทอดท่ารำเพลงหน้าพาทย์มีกระบวนการและขั้นตอนที่ผู้เรียนจะต้องปฏิบัติเพื่อแสดง ความเคารพบูชาครู อาจารย์ และแสดงความพร้อมในการเรียน ซึ่งถือว่าเป็นจารีตของการปฏิบัติก่อนการ เรียนเพลงหน้าพาทย์ตามขั้นตอน การถ่ายทอดท่ารำเพลงหน้าพาทย์จะต้องผ่านการประกอบพิธีหลาย อย่าง (สมบัติ แก้วสุจริต.2565) ซึ่งสามารถสรุปขั้นตอน ได้ดังนี้ ภาพที่ 00 การจัดตั้งศีรษะในพิธีคำนับครู ที่มา : สุรัตน์ จงดา.2565 1. พิธีคำนับครู พิธีคำนับครูเป็นขั้นตอนแรกที่ผู้เรียนนาฎศิลป์ทั้งโขน ละครจะต้องผ่านพิธีคำนับครูโดย ครูผู้ใหญ่จะเป็นผู้กำหนดวันพฤหัสบดีเป็นวันประกอบพิธี โดยจะอัญเชิญพระกรตฤๅษีและครูพิราพจัดตั้ง ในที่สมควรมีดอกไม้รูปเทียนตั้งบูชาด้วย ครูผู้ใหญ่จะกล่าวนำให้ผู้ที่จะเข้ามาเป็นศิษย์ถวายคอกไม้ ธูป เทียนและว่าโองการคำนับครูต่อจากนั้นจะจับมือให้หัดรำเป็นปฐมฤกษ์โคยท่าที่หัดรำ คือ ท่าถวายบังคม จากนั้นแต่ละฝ่ายก็จะแยกไปฝึกหัดกับครูของตนตามสาขา
ภาพที่ 00 การไหว้ครูและพิธีครอบครู ที่มา : อธิษฐณัฏฐ์ นันต๊ะเสน.2565 2. พิธีครอบครู พิธีครอบครูจะเป็นพิธีที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เพื่อต่อเพลงหน้าพาทย์ในการเรียนและจะ แสดงเป็นตัวประกอบ พิธีครอบครูจะนิยมทำในพิธีไหว้ครูประจำปี โดยจะต้องเตรียมสถานที่ เครื่องสังเวย และเชิญครูผู้ใหญ่ซึ่งจะได้รับกรรมสิทธิ์ให้เป็นผู้ประกอบพิธีมาดำเนินพิธีซึ่งมีขั้นตอนต่าง ๆ มากมายและ ในตอนท้ายครูผู้ประกอบพิธีเป็นผู้ครอบศีรษะพระกรตฤๅษี พระพิราพ และเทริค ให้กับศิษย์ทีละคน โดยมี ความสำคัญ ดังนี้
ภาพที่ 00 ขั้นตอนครอบครูด้วยพระภรตฤๅษี ที่มา : อธิษฐณัฏฐ์ นันต๊ะเสน.2566 พระภรตฤๅษีเป็นครูท่านแรกที่ที่จดท่ารำของพระอิศวรลงมาถ่ายทอดในมนุษย์โลก และเป็น ผู้รจนาตำรานาฏยศาสตร์ ภาพที่ 00 ขั้นตอนครอบครูด้วยพระพิราพ ที่มา : อธิษฐณัฏฐ์ นันต๊ะเสน.2566 พระพิราพ เป็นปรางหนึ่งของพระอิศวร ผู้ซึ่งให้กำเนิดการฟ้อนรำ
ภาพที่ 00 ขั้นตอนครอบครูด้วยเทริด ที่มา : อธิษฐณัฏฐ์ นันต๊ะเสน.2566 เทริด เป็นสัญลักษณ์ของละครแบบแรก คือ ละครโนรา พิธีครอบครูนั้นเป็นพิธีที่มีความศักดิ์สิทธิ์และมีจุดประสงค์สำคัญในการครอบ คือ ให้ศิษย์ได้ สำนึกว่าตนได้ก้าวเข้าสู่ภาวะความเป็นศิลปิน 3. พิธีรับมอบ พิธีรับมอบ คือ พิธีที่มีจุดมุ่งหมายให้ลูกศิษย์ที่มีความสามารถ ครูจะอนุญาตให้ไปเป็นครู ถ่ายทอดให้ความรู้แก่ผู้อื่นได้ พิธีนี้จะดำเนินต่อจากพิธีครอบครู ได้แก่ พระขรรค์ จักร คฑา ตรีดาบ พลอง ศร กระบองเงาะ ไม้คลี ฯลฯ มัดรวมเป็นกำหรือบางครั้งเรียกว่า “เครื่องโรง” ส่งมอบให้แก่ผู้เรียน การมอบอาวุธต่างๆ ให้นั้น มีความหมายว่าเมื่อผู้เรียนนำอาวุธไปฝึกฝนจนชำนาญก็จะเป็นผู้มี ความสามารถสูง
ภาพที่ 00 พิธีรับมอบ ที่มา : อธิษฐณัฏฐ์ นันต๊ะเสน.2566 วิธีการและขั้นตอนการถ่ายทอดท่ารำเพลงหน้าพาทย์ วิธีการและขั้นตอนการถ่ายทอดท่ารำเพลงหน้าพาทย์นั้น จะต้องเริ่มตั้งแต่เพลงหน้าพาทย์ ธรรมดา หน้าพาทย์ชั้นกลาง และหนัพาทย์ชั้นสูง วิธีการถ่ายทอดท่ารำเพลงหน้าพาทย์ตามลำดับ ความสำคัญมีอยู่ 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1. วิธีการถ่ายทอดทำรำเพองหน้าพาทย์ธรรมดา เป็นเพลงหน้าพาทย์ที่ส่วนใหญ่มีจังหวะไม้กลองได้ชัดเจน เช่น กราวนอก เชิด ปฐม ครูสามารถต่อท่ารำให้ผู้เรียนได้ปกติ โดยการเรียงลำดับไปตามท่ารำในขั้นแรกอาจต่อท่าโดยใช้ไม้เคาะ จังหวะก่อน เมื่อฝึกฝนจนเกิดความชำนาญแล้วครูจึงให้รำเข้ากับดนตรี ซึ่งในระยะแรกครูอาจใช้ไม้เคาะ จังหวะดีควบคู่ไปด้วย เพื่อช่วยเน้นการใช้จังหวะต่างๆ ต่อมาเมื่อผู้เรียนเกิดความเข้าใจและแม่นยำ ในจังหวะเพลงแล้วจึงให้ปฏิบัติด้วยตนเอง 2. วิธีการถ่ายทอดท่ารำเพองหน้าพาทย์ขั้นกลาง หน้าพาทย์ในขั้นนี้เริ่มตั้งแต่เพลงตระนิมิตขึ้นไป โดยผู้เรียนต้องผ่านพิธีครอบครู เสียก่อน และเพลงหน้าพาทย์ในระดับนี้ก็ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ และมีความสำคัญมากใช้สำหรับตัวดีแสดง ครูอาจารย์ทางนาฏศิลป์มักจะเรียกกันว่า “เพลงครู” การต่อเพลงครูจะต้องอธิบายให้ผู้เรียนได้ทราบว่า เพลงนั้นมีความสำคัญความศักดิ์สิทธิ์และความหมายอย่างไร สามารถนำไปใช้ในโอกาสใดบ้าง การต่อท่า จะต่อท่าให้ที่ละท่าเรียกกันว่า “ต่อท่าดิบ” ครูจะกวดขันท่าทางและท่วงทีให้สวยงามมากที่สุด แล้วจึงให้
รำเข้ากับเพลง ครูจะขัดเกลาท่ารำให้ผู้เรียนจนเป็นที่พอใจ โดยเน้นเรื่องจังหวะและการออกท่าให้ครบถ้วน ท่ารำและจังหวะต้องพอดีกัน ในสมัยโบราณเพลงหน้าพาทย์เป็นสิ่งที่ครูหวงแหน และถือว่ามีความสำคัญ สูงมิได้ถ่ายทอดกันได้อย่างพร่ำเพรื่อ ผู้ที่มีโอกาสต่อท่ารำ ผู้นั้นจะต้องมีหน้าที่แสดงในตอนที่ใช้เพลงหน้า พาทย์นั้น และการต่อท่าก็มีจารีตอยู่ว่าผู้ที่มีโอกาสต่อท่ารำ ผู้นั้นจะต้องมีหน้าที่แสดงในตอนที่ใช้เพลงหน้า พาทย์ และการถ่ายทอดท่ารำในสมัยโบราณ ครูจะต่อท่ารำเพลงหน้าพาทย์โดยครูรำนำหน้าแล้วผู้เรียนรำ ตามให้ครบสามครั้ง เพื่อสร้างศรัทธาและความเชื่อมั่น อีกทั้งทำให้ผู้เรียนสามารถจดจำท่ารำและปฏิบัติ ตามได้จากนั้นจึงเป็นการประเมินความสามารถของผู้เรียนว่ามีความสามารถในการปฏิบัติท่ารำและการ ฟังจังหวะดนตรีได้ในระดับใค 3. วิธีการถ่ายทอดทำรำเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง มีความพิถีพิถันและละเอียดอ่อนมากกว่าการถ่ายทอดท่ารำเพลงหน้าพาทย์ในระดับที่ ผ่านมา โดยพิจารณาคุณสมบัติของผู้รับถ่ายทอดเพิ่มขึ้น เช่น ฝีมือรำ วัยวุฒิ คุณวุฒิ และความจำเป็น ในการนำไปใช้ เพลงหน้าพาทย์สำคัญ เช่น คุกพาทย์รัวสามลา ศิษย์อาจต้องมอบขันกำนลหรือดอกไม้ เพื่อบูชาคุณครูอีกครั้งหนึ่ง 1.5 ขั้นตอนการถ่ายทอดท่ารำหน้าพาทย์ของตัวลิง การเรียนการสอน โขนในสมัยโบราณแต่เดิมไม่มีหลักสูตรกำหนดด้านเนื้อหาไว้ชัดเจน โดยเฉพาะขั้นตอนในการต่อเพลงหน้พาทย์นั้น ผู้ที่จะได้ต่อเพลงหน้าพาทย์นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ได้แสดง หรือมีบทในการรำเพลงหน้พาทย์ถึงจะได้ต่อท่ารำ ปัจจุบันการเรียนการสอนได้มีการกำหนดหลักสูตรไว้ ชัดเจนสำหรับหลักสูตรในด้านของการเรียนการสอนเพลงหน้าพาทย์ของตัวลิงได้แบ่งออกเป็น 3 ระดับ โดยมีรายละเอียดเนื้อหาดังตารางแสดงเนื้อหาการเรียนการสอนเพลงหน้าพาทย์ ดังนี้ ตารางที่ 7 แสดงเนื้อหาการเรียนการสอนเพลงหน้าพาทย์ตัวลิง ระดับช่วงชั้นการต่อ เพลงหน้าพาทย์ เนื้อหาเพลงหน้าพาทย์ตัวลิง 1. ระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนต้น หลักสูตรนาฏดุริยาง คศิลป์ (ปรับปรุง พุทธศักราช 2562) ระดับชั้น ม.1 ระดับชั้น ม.2 ระดับชั้น ม.3 – - เพลงเชิด - เพลงเสมอ - เพลงวรเชษฐ์ - เพลงรัว (แปลงกาย) - เพลงกราวนอก - เพลงแผละ * ครุฑ * กา * ยุง - เพลงเข้าม่าน (หมี)
ระดับช่วงชั้นการต่อ เพลงหน้าพาทย์ เนื้อหาเพลงหน้าพาทย์ตัวลิง * คนธงลิง * เชนลิง * สิบแปดมงกฎ - เพลงกราวช้าง เพลงกราวนอก (กราววีระชัย) 2. ระดับชั้น ประกาศนียบัตรวิชา ทชีพ หลักสูตรนาฏ ดุริยางคศิลป์ พุทธศักราช 2562 ระดับชั้น ปวช.1 ระดับชั้น ปวช.2 ระดับชั้น ปวช.3 - เพลงตระนิมิต - เพลงกราวรำ - เพลงวานรดำเนิน - เพลงแผละ * ยุง * กา - เพลงกราวนอก * พญาวานร ฉาก 1-2 - เพลงปฐม - เพลงพญาเดิน - เพลงโล้ - เพลงรุกร้น - เพลงเสมอข้ามสมุทร - เพลงโลม - เพลงตระนอน - เพลงเชิดนอก 3. ระดับปริญญาตรี หลักสูตรศึกษาศาสตร บัณฑิต (สาขาวิชา น า ฏ ศ ิ ล ป ศ ึ ก ษ า หลักสูตร พ.ศ. 2562 ปริญญาตรีปีที่ 1 ปริญญาตรีปีที่ 2 ปริญญาตรีปีที่ 3 - เพลงเชิด - เพลงเสมอ - เพลงปฐม - เพลงกราวนอก * สิบแปดมงกฎ * พญาวานร - เพลงตระนิมิต - เพลงรุกร้น - เพลงเสมอข้ามสมุทร - เพลงคุกพาทย์ * แผลงฤทธิ์ – –
ระดับช่วงชั้นการต่อ เพลงหน้าพาทย์ เนื้อหาเพลงหน้าพาทย์ตัวลิง * หาวเป็นดาวเป็น เดือน - เพลงรัวสามลา - เพลงโลม - เพลงตระนอน จากการเรียนการสอนตามหลักสูตรนาฏศิลป์โขนลิง จะต้องดำเนินการเรียนการสอนให้บรรลุ ตามวัตถุประสงค์ในการเรียนโดยสมบูรณ์ ดังนั้นวิธีการถ่ายทอดท่ารำเพลงหน้าพาทย์ต้องมีการปรับ รูปแบบการสอนให้สอดคล้องกับผู้เรียนและหลักสูตร วิธีการถ่ายทอดท่ารำเพลงหน้าพาทย์โดยให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับวิธีการถ่ายทอดในเรื่องเพลง หน้าพาทย์ วิโรจน์ อยู่สวัสดิ์ 2566 โดยมีลำดับดังนี้ 1. ครูต่อท่ารำทีละท่า หรือเรียกว่า “ต่อท่าดิบ” โดยไม่มีคนตรีประกอบ ขั้นตอนนี้ครู จะต้องอธิบายและสาธิตให้ผู้เรียนเข้าใจในเรื่องของจังหวะท่ารำว่าท่ารำแต่ละท่า เช่น ท่าไหว้ ท่าสูง ท่าผาลาเพียงไหล่ ปฏิบัติอย่างไร มีลักษณะการใช้ตัวและการนับจังหวะอย่างไร ครูจะต่อท่ารำทีละท่า ตั้งแต่ต้นจนจบเพลงเพื่อให้ผู้เรียนจดจำท่ารำให้ได้ก่อน โดยไม่คำนึงถึงลีลาท่าทาง 2. เมื่อผู้เรียนจดจำท่ารำได้แล้ว ครูนำเพลงหน้าพาทย์ที่สอนมาให้ผู้เรียนฟังเพื่อฝึก สังเกตจังหวะ โดยครูจะอธิบายเกี่ยวกับจังหวะท่ารำ แต่ละท่าจะต้องสอดคล้องและตรงกับของจังหวะ ดนตรีซึ่งฟังได้จากทำนองเพลงจังหวะหน้าทับ ประกอบด้วยตะโพนและกลองทัด การฟังจังหวะสามัญหรือ ที่เรียกว่าจังหวะฉิ่ง ครูควบคุมจังหวะด้วยการปรบมือหรือใช้ไม้เคาะจังหวะพร้อมทั้งเน้นให้ผู้เรียนสามารถ ปฏิบัติท่ารำได้ถูกต้อง ตรงกับท่วงทำนองและจังหวะของดนตรี โดยเฉพาะเมื่อจบเพลงท่ารำและดนตรี ต้องจบลงพร้อมกัน 3. ครูและผู้เรียนรำพร้อมกันโดยมีดนตรีบรรเลงประกอบ วิธีถ่ายทอดท่ารำในขั้นตอนนี้ ครูให้ผู้เรียนรำตามหลายๆ ครั้ง เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติกระบวนท่ารำอย่างคล่องแคล่ว และฝึกการ เคลื่อนไหวของร่างกายให้เป็นไปอย่างนุ่มนวล สง่างาม หรือขึ้นอยู่กับประเภทของเพลงหน้าพาทย์นั้น ๆ ผู้เรียนสังเกตลีลาท่ารำประกอบดนตรีจากครูหลายครั้งจนเกิดความชำนาญ ครูจึงถ่ายทอดท่ารำในขั้น ต่อไป
4 เมื่อผู้เรียนสามารถจดจำและปฏิบัติท่ารำได้คล่องแคล่วดีแล้ว ครูจึงเริ่มสอนลีลาท่ารำ โดยใช้วิธีการสอนเฉพาะจุดหรือสอนเฉพาะท่ารำนั้น ๆ เช่น หรือกดเอว การกคไหล่ สะดุ้งตัว ลักคอ ลักษณะการตั้งวงลิง เป็นต้น การสอนเฉพาะจุดหรือเฉพาะท่ารำนี้เป็นการฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติซ้ำหลายๆ ครั้ง จนเกิดความชำนาญตลอดจนสามารถปฏิบัติลีลาท่ารำได้สวยงามถูกต้องอีกด้วย 1.6 เครื่องแต่งกาย การแต่งกายของการแสดงโขน ลักษณะการแต่งกายจะมีความแตกต่างกันตามลักษณะหรือ ประเภทชองตัวละคร สำหรับเอกสารประกอบการสอนนี้จะกล่าวถึงการแต่งกายของตัวลิงและตัวนางที่ใช้ ในการแสดงโขน ซึ่งรวมทั้งการรำเพลงหน้าพาทย์ในการแสดงด้วย
ภาพที่ 00 เครื่องแต่งกายตัวลิง (ด้านหน้า) ที่มา : อธิษฐณัฏฐ์ นันต๊ะเสน.2566 1. หัวโขน ในที่นี้เป็นหนุมาน (Khon Mask of Hanuman) 2. กรองดอ หรือ นวมคอ (Embroidered Collar) 3. เข็มขัด หรือ ปั้นเหน่ง (Belt and Buckle) 4. ตาบทิศ (Pendant attached to both sides of waist) 5. ห้อยข้าง หรือ เจียระบาด หรือ ชายแครง (Long girdle) 6. ห้อยหน้า หรือชายไหว (Decorative cloth hanging from the front waist) 7. กำไลข้อเท้า (Anklets) 8. สนับเพลา (Close-fitting trunks/trousers) 9. กำไลแผง หรือ ทองกร (Bangle) 10. พาหุรัด (Bracelet) 11. เสื้อ แต่ในที่นี้สมมติเป็นขนตามตัวลิง (Embroidered top representing the monkey's hair)
ภาพที่ 00 เครื่องแต่งกายตัวลิง (ด้านหลัง) ที่มา : อธิษฐณัฏฐ์ นันต๊ะเสน.2566 12. หางลิง (Monkey's Tail) 13. ผ้าปิดก้น หรือห้อยก้น (Decorative cloth Hanging from the Back Waist) 14. รัดสะเอว (Waistband) 15. ผ้านุ่ง หรือ ภูษา หรือ พระภูษา (Brocade clothes)
ภาพที่ 00 เครื่องแต่งกายตัวนาง (ด้านหน้า) ที่มา : อธิษฐณัฏฐ์ นันต๊ะเสน.2566 1. มงกุฎ (Crown) 7. เข็มขัด และ ปั้นเหน่ง (Belt and Buckle) 13. ปะวะหล่ำ (String of beads) 2. จอนหู หรือ กรรเจียก (Ear-shaped ornament attached to both sides of the headdress) 8. ผ้านุ่ง (Hip Wrapper) 14. กำไลตะขาบ (Finely Wrought Golden Bracelet) 3. ดอกไม้ทัด (Flower Tassel) 9. กำไลข้อเท้า (Anklets) 15. กำไลแผง หรือ ทองกร (Bangle) 4. อุบะ หรือ พวงดอกไม้ (Flower Tessel) 10. สร้อยตัว หรือ สะอิ้ง (Body Chains) 16. จี้นาง หรือ ทับทรวง (Pendant) 5. กรองคอ (Collar) 11. เสื้อนาง (Undershirt) 6. ผ้าห่มนาง (Embroidered Cloak) 12. แหวนตะแคง (Spiral bracelet)
ภาพที่ 00 เครื่องแต่งกายตัวนาง (ด้านหลัง) ที่มา : อธิษฐณัฏฐ์ นันต๊ะเสน.2566 1. หัวโขน ในที่นี้เป็นหนุมาน (Khon Mask of Hanuman) 2. กรองดอ หรือ นวมคอ (Embroidered Collar) 3. เข็มขัด หรือ ปั้นเหน่ง (Belt and Buckle) 4. ตาบทิศ (Pendant attached to both sides of waist) 5. ห้อยข้าง หรือ เจียระบาด หรือ ชายแครง (Long girdle) 6. ห้อยหน้า หรือชายไหว (Decorative cloth hanging from the front waist) 7. กำไลข้อเท้า (Anklets) 8. สนับเพลา (Close-fitting trunks/trousers) 9. กำไลแผง หรือ ทองกร (Bangle) 10. พาหุรัด (Bracelet) 11. เสื้อ แต่ในที่นี้สมมติเป็นขนตามตัวลิง (Embroidered top representing the monkey's hair) จี้นาง หรือ ทับทรวง (Pendant)
1.7 เครื่องดนตรี ดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงโขน ละคร เป็นวงปี่พาทย์ผสมด้วยเครื่องตีและ เครื่องเป่า โดยเฉพาะเพลงหน้พาทย์ที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงอารมณ์รัก อารมณ์โกรธ อารมณ์ดีใจ อารมณ์เสียใจ หรือบรรเลงประกอบกิริยาอาการต่างๆ เช่น กิน เดิน อาบน้ำ แม้แต่เป็นการบรรเลง เพื่อดำเนินเรื่องราวต่างๆ ของการแสดงล้วนต้องใช้วงปี่พาทย์บรรเลงประกอบทั้งสิ้น วงปี่พาทย์นี้แบ่งออก ได้เป็น 3 ประเภท คือ 1.วงปี่พาทย์เครื่องห้า 2.วงปี่พาทย์เครื่องคู่ 3.วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ ภาพที่ 00 ภาพวงปี่พาทย์เครื่องห้า ที่มา : อธิษฐณัฏฐ์ นันต๊ะเสน.2566 วงปี่พาทย์เครื่องห้า มีเครื่องคนตรีประกอบด้วย 1. ปีใน 2. ระนาดเอก 3. ฆ้องวงใหญ่ 4. ตะโพน 5. กลองทัด 6. ฉิ่ง