พระราชบัญญัติ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับ 2 พ.ศ. 2557 สรุป ↑ -
ต้องทําความเข้าใจก่อนว่า คําว่าเจ้าหน้าที่ เหมือนใส่หมวกอยู่ 2 ใบ ใบที่ 1) เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และ ใบที่ 2) เป็นประชาชนทั่วไป พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับ 2 พ.ศ. 2557 พ.ร.บ. ฉบับนี้ตราขึ้นเพื่อให้การปฏิบัติราชการทางปกครอง มีความโปร่งใส เป็นกลาง เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ การออกคําสั่งทางปกครองของเจ้าหน้าที่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน 1) เป็นกฎหมายมาตรฐานกลาง (การกําหนดมาตรฐานขั้นตํ่า) ในการพิจารณาการออกคําสั่งทางปกครอง หากการพิจารณาเรื่องใดมีมาตรฐานที่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตํ่ากว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้จะต้องใช้กฎหมายฉบับนี้แทน 2) ขั้นตอนและวิธีการอุธรณ์คําสั่งทางปกครอง 3) หลักเกณฑ์และวิธีการในการเพิกถอนและการขอให้พิจารณาคําสั่งทางปกครองใหม่ 4) การกําหนดขั้นตอนและกระบวนการบังคับให้เป็นไปตามคําสั่งทางปกครอง หน่วยงานราชการ หรือเจ้าหน้าที่ ให้อํานาจและหน้าที่ แก่บุคลากรหรือเจ้าหน้าที่ ออกกฎ ออกคําสั่งทางปกครอง ก่อให้เกิดการดําเนินการทางปกครอง กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพ ของประชาชน นําไปสู่ การเรียกร้องความเป็นธรรม กรม ABC ( สถานที่ของหน่วยงานรัฐ ) อธิบดีกรม ABC ใช้อํานาจตามที่กฎหมายให้ไว้ ไล่เจ้าหน้าที่ออกจากการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่กลายเป็นประชาชน เรียกร้องความเป็นธรรม กําหนดอํานาจหน้าที่ของอธิบดี ถ้าหน่วยงานใด มีการใช้หลักเกณฑ์ใน พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการ ทางปกครอง ที่คลอบคลุมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน มากกว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้ให้ใช้ได้ แต่หากมีมาตรฐานที่ตํ่ากว่า ให้นํา พ.ร.บ. ฉบับนี้ไปใช้แทน สาระสําคัญ การใช้บังคับ พ.ร.บ. ฉบับนี้ ใช้บังคับเมื่อพ้น 180 วัน หลังจากที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ยกตัวอย่าง การออกคําสั่งของเจ้าหน้าที่ เมื่อไหร่ที่เจ้าหน้าที่ ถูกคําสั่งทางปกครอง เช่น การสั่งปลด ไล่ออก เจ้าหน้าที่คนนั้นจะกลายเป็น ประชาชนทั่วไป แต่ก่อนคําสั่งทางปกครองจะมีผลสิ้นสุด กฎหมายกําหนดระยะเวลา ให้เจ้าหน้าที่ดังกล่าว อุธรณ์ต่อคําสั่งทางปกครอง เพื่อหาข้อเท็จจริง ยื่นอุธรณ์ ต่อหน่วยงานของรัฐ หลักความเป็นกลางของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ ↑ -
การพิจารณาคดีทางปกครอง หมายถึง การใช้อํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทั้งการ ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติการวินิจฉัยอุทธรณ์การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่รวมถึงการออกกฎ หากเป็นการกระทําของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่เป็นการใช้อํานาจทางปกครอง มีผลทําให้สถานภาพทางกฎหมาย เปลี่ยนแปลงไปกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็น รายกรณีถือว่าการกระทํานั้น เป็นคําสั่งทางปกครอง เช่น คําสั่งอายัด ทะเบียนรถ หรือคําสั่งไล่เจ้าหน้าที่ออก 1) กฎหมายต้องให้อํานาจเจ้าหน้าที่ 2) มีเจ้าหน้าที่ เป็นผู้บังคับ หรือกฎหมาย 3) เจ้าหน้าที่ ใช้อํานาจตามกฏหมาย กระทบต่อ นิติสัมพันธ์ (ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ สิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล) มีผลเฉพาะบุคคลหรือรายกรณี แต่ไม่รวมกฎ เพราะบังคับใช้ร่วมกัน ในสังคม เช่น สัญญาไฟจราจร ที่ประชาชน รับรู้ร่วมกัน หมายถึง พระราชกฤษฏีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น ระเบียบ ข้อบังคับ หรือใช้ในการทั่วไป ไม่มุ่งบังคับใช้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเป็นรายกรณี 1) รัฐสภาและคณะรัฐมนตรีแต่ใช้กับสํานักงานภายในรัฐสภา เช่น สํานักงานสภาผู้แทนราษฎร 2) องค์กรที่ใช้อํานาจตามรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ (องค์กรอิสระ) เช่น กกต. ปปช. กสม. สตง. สผ. 3) งานนโยบายโดยตรงของรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี 4) การพิจารณาคดีของศาล และการดําเนินงานของเจ้าหน้าที่ ในการพิจารณาพิจารณาคดีการบังคับคดีและ การวางทรัพย์ 5) การพิจารณาวินิจฉัยร้องทุกข์ของคณะกรรมการกฤษฎีกา 6) การดําเนินงานเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ 7) การดําเนินงานเกี่ยวกับราชการทหารหรือนโยบายในการป้องกันประเทศ 8) การดําเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา 9) การดําเนินงานขององค์กรของศาสนา หากหน่วยงานใดจะไม่นํา พ.ร.บ. ฉบับนี้ไปบังคับใช้ ให้ตราเป็น พระราชกฤษฎีกา ตามข้อเสนอแนะ ของ คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง การเตรียมการและดําเนินการของเจ้าหน้าที่เพื่อจัดให้มีการ ออกกฎ คําสั่งทางปกครอง และการดําเนินการทางปกครอง คําสั่งทางปกครอง การเตรียมการและการดําเนินการของเจ้าหน้าที่ เพื่อจัดให้มีการออกคําสั่งทางปกครอง สําคัญนะ การพิจารณาคดีทางปกครอง อธิบายเพิ่มเติม นิติสัมพันธ์คือ ข้อตกลงที่มีผลทางกฎหมาย เช่น ความสัมพันธ์ทนายกับลูกความ หรือหนังสือสัญญา กฎ ห้ามใช้พ.ร.บ. ฉบับนี้กับอะไรบ้าง ความหมาย วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง องค์ประกอบคําสั่งทางปกครอง -
คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง 1) ประธานคณะกรรมการ 2) ปลัดสํานักนายก 3) ปลัดกระทรวงมหาดไทย 4) เลขาธิการคณะรัฐมนตรี 5) เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน 6) เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา 7) ผู้ทรงคุณวุฒิไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 9 คน ให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ประธานกรรมการ และ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระ 3 ปี และสามารถได้รับการแต่งตั้งใหม่อีกได้ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่งตั้งข้าราชการของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฏีกา เป็น เลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ (รับผิดชอบงานด้านธุรการ และการประชุม) อํานาจและหน้าที่ของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง 1) สอดส่องดูแลให้คําแนะนําเกี่ยวกับการดําเนินงานของเจ้าหน้าที่ 2) ให้คําปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่ ตามที่บุคคลร้องขอ (ตามที่ พ.ร.บ. นี้กําหนด) 3) มีหนังสือเรียกให้เจ้าหน้าที่หรือบุคคลอื่นมาชี้แจงหรือแสดงความคิดเห็น 4) เสนอแนะการตราพระราชกฤษฎีกา ออกกฎกระทรวง หรือประกาศ 5) จัดรายงานเสนอ คณะรัฐมนตรีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อปรับปรุงการปฏิบัติราชการ 6) เรื่อง อื่น ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย สําคัญนะ คุณสมบัติ : ความเชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ สังคมศาสตร์ การบริหารราชการแผ่นดิน โดยต้องไม่เป็นผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง Key สําคัญในการจํา ปรึกษา ชี้แจง ข้อเสนอแนะ แนะนํา ประจําปี อื่น ๆ
เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ หมายถึง บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคล โดยใช้อํานาจตามที่กฎหมายกําหนด หรือให้อํานาจไว้ ทั้งในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการอื่นของรัฐ หากกฎหมายไม่ให้อํานาจ และนําไปปฏิบัติถือเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หลักความเป็นกลางของเจ้าหน้าที่ในการพิจารณาคดีทางปกครอง การเตรียมการและดําเนินการออกคําสั่งทางปกครอง ถ้าเจ้าหน้าที่ จะออกกฎ คําสั่งทางปครอง หรือการดําเนินการทางปกครอง แต่มีความเกี่ยวข้องกับคู่กรณีจะไม่สามารถพิจารณาคดีทางปกครองได้ดังนี้ 1) เจ้าหน้าที่เป็นคู่กรณี 2) เป็นคู่มั่น คู่สรส 3) เป็นญาติของคู่กรณี บุพการีพี่น้อง ลูกพี่ลูกน้อง นับเพียง 3 ชั้น ญาติเกี่ยวพันทางการแต่งงาน นับเพียง 2 ชั้น 4) เคยเป็นตัวแทน ผู้พิทักษ์ผู้แทนของคู่กรณี 5) เป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้นายจ้าง คู่กรณี 6) อื่น ๆ สําหรับตัวเจ้าหน้าที่ หากคู่กรณีคัดค้าน ว่ากรรมการมีลักษณะ 6 ข้อ ดังกล่าว ให้ประธานกรรมการสั่ง หยุดการพิจารณาคดีและให้ ประธานกรรมการเรียกประชุม เพื่อพิจารณาเหตุในการคัดค้าน เมื่อกรรมการผู้ถูกคัดค้าน ชี้แจงเสร็จ ให้ออกจากที่ประชุม หากที่ประชุมจะให้กรรมการผู้ถูกคัดค้านกลับมาทําหน้าที่ต่อ ต้องมีคะแนนเสียง ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการ โดยลงคะแนนแบบลับ หากเข้าข้อใดข้อหนึ่ง ให้เจ้าหน้าที่หยุดพิจารณาคดี และแจ้งผู้บังคับบัญชาทราบ เหนือต้นขึ้นไป 1 ชั้น กรณีที่มีเหตุนอกเหนือจาก 6 ข้อข้างต้น เจ้าหน้าที่หรือคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง อาจทําให้การพิจารณาไม่เป็นกลาง จะไม่สามารถพิจารณาเรื่องนั้นต่อไปได้ให้ดําเนินการ ดังนี้ 1) หากเจ้าหน้าที่ รู้ตัวว่าตนไม่สามารถพิจารณาคดีทางปกครองได้ให้หยุดการพิจารณาคดี และแจ้งผู้บังคับบัญชาเหนือต้นขึ้นไป 1 ชั้น หรือประธานกรรมการทราบ 2) หากคู่กรณีแจ้งว่า เจ้าหน้าที่มีเหตุตามกรณีดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่เห็นว่า ตนไม่มีเหตุดังกล่าว ให้ทําการพิจารณาคดีต่อ แต่ต้อง แจ้งผู้บังคับบัญชาเหนือต้นขึ้นไป 1 ชั้น หรือประธานกรรมการทราบ 3) ให้ผู้บังคับบัญชา หรือกรรมการ มีคําสั่งหรือมติในไม่ช้า ว่าเจ้าหน้าที่สมควรพิจารณาคดีต่อหรือไม่ กรณีที่เจ้าหน้าที่ มีการพิจาณาเรื่องต่าง ๆ ไปก่อน จะถูกสั่งให้หยุดพิจารณาคดี ถือว่าให้ดําเนินการต่อ ( ผลการพิจารณาไม่สูญเปล่า ) 1) ส่งผลต่อประโยชน์สาธารณะ 2) สิทธิของบุคคล หรือ 3) ไม่มีเจ้าหน้าที่อื่นปฏิบัติแทนได้ สําหรับคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง สําคัญนะ สําคัญนะ เคยออกข้อสอบ 6 ข้อข้างต้น ไม่ใช้กับกรณีเร่งด่วน ที่เกี่ยวกับ
ผู้มีความสามารถในการเข้าสู่การพิจารณาคดีทางปกครอง 1) บรรลุนิติภาวะ (20 ปี) 2) กฎหมายกําหนดว่าให้สามารถกระทําได้แม้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 3) นิติบุคคล คณะบุคคล โดยผู้แทน หรือตัวแทน 4) ประกาศของนายกรัฐมนตรีว่าสามารถกระทําได้ คู่กรณี บุคคล คณะบุคคล นิติบุคคล ที่เข้ามาในการพิจารณาคดีทางปกครอง เจ้าหน้าที่ คู่กรณี ขอแย้ง ยื่นคําขออุธรณ์ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี กระบวนการพิจารณาคดีทางปกครอง สําหรับคู่กรณี ( บุคคลเดียว ) 1) คู่กรณีจะต้องเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ ในครั้งแรก มีสิทธินําทนายความ หรือที่ปรึกษาของตน เข้ามาในการพิจารณาคดีได้ การกระทําของทนายความ หรือที่ปรึกษา ที่กระทําต่อหน้าคู่กรณีในขณะการพิจารณาคดี ถือเป็นการกระทําของคู่กรณีเว้นแต่ คู่กรณีจะคัดค้าน 2) ครั้งต่อไป คู่กรณีอาจทําหนังสือ แต่งตั้งให้บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะ สามารถกระทําแทนตนได้ ในการพิจารณาคดีทางปกครอง ยกเว้น เจ้าหน้าทีมีเรื่องเฉพาะโดยตรงกับคู่กรณี กระบวนการพิจารณาคดีทางปกครอง สําหรับคู่กรณี ( หลายคน ) การยื่นคําขอพิจารณาคดี ( หลายคน ) หากมีการยื่นคําขอพิจารณาคดีของคู่กรณีมากกว่า 50 คน โดย เนื้อหาและสาระเหมือนกัน ให้ทําการ ระบุผู้แทน และเป็นตัวแทนร่วมของคู่กรณีเหล่านั้นได้ การยื่นคําขอพิจารณาคดี ( หลายคน ) หากมีการยื่นคําขอพิจารณาคดีของคู่กรณีมากกว่า 50 คน ถ้าไม่มีการระบุผู้แทน ให้เจ้าหน้าที่ แต่งตั้งบุคคลที่คู่กรณีข้างมากเห็นชอบ เป็นตัวแทนร่วม คู่กรณีจะบอกเลิกการเป็นตัวแทนร่วม ดําเนินการแทนตนได้ต่อเมื่อ ทําหนังสือ แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบ ตัวแทนร่วม จะบอกเลิกการเป็นตัวแทนร่วม เมื่อใดก็ได้แต่ต้องมีหนังสือ แจ้งเจ้าหน้าที่และแจ้งคู่กรณีทุกราย ออกคําสั่งทางปกครอง ไล่ออก บุคคล เช่น อธิบดีผู้ว่าราชการจังหวัด คณะบุคคล เช่น คณะกรรมการต่าง ๆ นิติบุคคล เช่น กรม A รัฐวิสาหกิจ ขั้นตอนการเข้าสู่ กระบวนการพิจารณาคดีทางปกครอง หากคู่กรณีตาย ผู้แทนต้องทําหน้าที่ต่อจนกว่า จะมีผู้สืบสกุลตามกฎหมายของคู่ กรณีมาเพิกถอนการแต่งตั้ง มีการระบุผู้แทน ไม่มีการระบุผู้แทน ตัวแทนร่วมต้องเป็นบุคคลธรรมดา การยกเลิกการเป็นตัวแทนร่วม -
การพิจารณาคดีทางปกครอง ช่วงการหาหลักฐานของคู่กรณีและอยู่ในช่วง ก่อนออกคําสั่งทางปกครอง เจ้าหน้าที่ แต่ก่อนไล่ออก อธิบดีกรม A จะให้เจ้าหน้าที่ หรือคู่กรณีหาหลักฐานเพื่อต่อสู้คดี ( ขั้นตอนสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ผิดจริงไหม ) สิทธิให้เจ้าหน้าที่โต้แย้ง อธิบดี ใช้อํานาจตามกฎหมาย ไล่ออก กระทบต่อนิติสัมพันธ์ เอกสารคู่กรณียื่นต่อเจ้าหน้าที่ สําหรับการพิจารณาคดี ให้จัดทําเอกสารเป็น ภาษาไทย หากจัดทําเอกสารเป็น ภาษาต่างประเทศ ให้คู่กรณีจัดทําเป็นภาษาไทยด้วย พร้อมรับรองถูกต้อง ยกเว้นกรณีที่เจ้าหน้าที่ยอมรับเอกสารภาษาต่างประเทศ การแจ้งสิทธิหน้าที่ แก่คู่กรณี สิทธิและหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาคดีทางปกครอง 1) สิทธิที่จะได้รับทราบข้อเท็จจริง และมีโอกาสโต้แย้ง แสดงหลักฐานของตน 2) ขอดูเอกสารที่จําเป็น เพื่อใช้โต้แย้ง ชี้แจง ป้องกันสิทธิของตน หากยังไม่ได้จัดทําเป็นคําสั่งทางปกครอง ไม่มีสิทธิขอดูร่างคําวินิจฉัย 3) สามารถนําทนาย เข้ามาได้ ในกรณีที่เอกสารไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน ให้เจ้าหน้าที่ แจ้งต่อผู้ยื่นคําขอ หรือคู่กรณีทราบทันทีหรือไม่เกิน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับคําขอ ในการแจ้ง ให้เจ้าหน้าที่ทําหนังสือ ลงลายมือชื่อ ของผู้รับคําขอ และระบุรายการเอกสารที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วน ให้ผู้ยื่นคําขอทราบ พร้อมจัดทําไว้ในกระบวนการพิจารณาคําสั่งทางปกครอง หากไม่ทันภายในระยะเวลาที่กําหนด ถือว่าไม่ประสงค์ให้เจ้าหน้าที่ดําเนินการต่อ ( ส่งเอกสารคืนผู้ยื่นคําขอ และแจ้งสิทธิอุธรณ์ให้ทราบ ) การตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาหลักฐานของเจ้าหน้าที่ การตรวจสอบข้อเท็จจริง สามารถตรวจสอบได้ตามความเหมาะสม ไม่ผูกพันหลักฐานของคู่กรณี (ใช้ดุลยพินิจในการตรวจสอบเติมได้) การพิจารณาหลักฐานที่จําเป็นต่อการพิสูจน์ข้อเท็จจริง 1) แสวงหาพยานหลักฐาน 2) ที่รับฟังพยานหลักฐานที่คู่กรณีอ้างถึง 3) ข้อเท็จจริงจากพยานบุคคล ผู้เชี่ยวชาญ 4) ขอให้ผู้ครอบครองเอกสารส่งเอกสารให้ 5) ออกตรวจสถานที่ กรณีไม่ต้องชี้แจงข้อเท็จจริง ตามข้อ 1 1) เรื่องรีบด่วน ถ้าปล่อยไว้จะกระทบต่อบุคคล หรือประโยชน์สาธารณะ 2) ทําให้คําสั่งปกครองล่าช้า 3) เป็นข้อเท็จจริงอยู่แล้ว 4) ไม่สามารถให้โอกาสได้อีกครั้ง 5) เป็นมาตรการบังคับทางปกครอง 6) อื่น ๆ ตามกฎกระทรวง ความสะดวกแก่ประชาชน ความประหยัด ประสิทธิภาพในการดําเนินการ ตามที่ คณะรัฐมนตรีกําหนด ยกตัวอย่าง การพิจารณาคดีต้องคํานึงถึง 312สําคัญนะ สําคัญนะ สําคัญนะ
รูปแบบ และผลคําส่งทางปกครอง รูปแบบคําสั่งทางปกครอง มี 2 ประเภท คือ 1) การจัดทําเป็นหนังสือ 2) รูปแบบวาจาหรือ รูปแบบใดก็ได้แต่ต้องมีข้อความที่ชัดเจนและเข้าใจได้ การจัดทําเป็นหนังสือ 1) ต้องระบุ วัน เดือน ปีชื่อและตําแหน่ง พร้อมลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่ ที่จัดทําคําสั่งทางปกครอง 2) ต้องมีหลักการใช้เหตุผลประกอบ 3 ข้อ 2.1 ข้อเท็จจริง 2.2 ข้อกฎหมายอ้างอิง 2.3 มีหลักฐานพิจารณา สนับสนุน 3) เมื่อได้รับคําขอและเอกสารถูกต้อง ให้พิจารณาภายใน 30 วัน หากไม่ได้มีกฎหมาย ระยะเวลาไว้ 1) ผลตรงตามคําขอ ไม่กระทบสิทธิของผู้อื่น 2) เป็นเหตุผลที่รู้กันอยู่แล้ว จึงไม่ต้องระบุลงไปอีกครั้ง 3) ลักษาความลับ (เจ้าหน้าที่จะไม่สามารถอนุญาตให้คู่กรณีตรวจดูเอกสาร หรือพยานหลักฐานได้หากเป็นความลับ) 4) ออกคําสั่งด้วยวาจาหรือเร่งด่วน แต่ต้องทําเป็นลายลักษณ์อักษรในเวลา อันควร (ภายใน 7 วัน) ไม่บังคับใช้กับ รูปแบบคําสั่งทางวาจา หรือเร่งด่วน ต้องจัดทําเป็นหนังสือ ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่มีคําสั่ง 1) กําหนดให้สิทธิหรือหน้าที่เริ่มมีผลหรือสิ้นผล เวลาใดเวลาหนึ่ง (มีจุดเริ่มต้น และสิ้นสุด) 2) มีวันสิ้นสุดในอนาคต เนื่องจากความไม่แน่นอนของสิทธิและหน้าที่ 3) สามารถยกเลิกคําสั่งทางปกครองได้ 4) สิทธิในการอุธรณ์โต้แย้ง กรณีที่อธิบดีกรม A ไล่ออก เจ้าหน้าที่ สิทธิในการอุธรณ์โต้แย้งคําสั่งทางปกครอง 1) ให้ผู้โดนคําสั่งทางปกครอง อุธรณ์ภายใน 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้ รับคําสั่ง เช่น ได้รับคําสั่ง 1 มกราคม ให้นับไปอีก 6 เดือน 2) กรณีเจ้าหน้าที่ลืมแจ้งต่อผู้โดนคําสั่งทางปกครอง ให้ทําการแจ้งใหม่ เช่น จากเดิมต้องแจ้งวันที่ 1 มกราคม แต่ลืมแจ้ง และแจ้งใหม่วันที่ 10 มกราคม ให้นับถัดจากวันที่ 10 มกราคม ไปอีก 6 เดือน 3) กรณีเจ้าหน้าที่ไม่แจ้งต่อผู้โดนคําสั่งทางปกครอง จากมีผล 6 เดือน ให้ขยายระยะเวลาในการอุธรณ์เป็น 1 ปี เจ้าหน้าที่ แจ้งวันอุธรณ์หรือลืมแจ้ง ให้นับถัดจากวันที่แจ้งไปอีก 6 เดือน กรณีไม่แจ้งสิทธิในการอุธรณ์ให้ขยายเป็น 1 ปี คําสั่งทางปกครอง ที่ออกโดยการฝ่าฝืนหรือไม่ตรงหลักเกณฑ์ ทําให้คําสั่งไม่สมบูณ์แต่ภายหลักสมบูรณ์ 1) คําสั่งทางปกครอง ออกโดยไม่มีผู้ยื่นคําขอ แต่ภายหลัง มีการยื่นคําขอ 2) คําสั่งทางปกครอง ออกโดยไม่มีการแจ้งเหตุผล แต่ภายหลัง มีการแจ้ง 3) คําสั่งทางปกครอง ออกโดยไม่มีการรับฟังเหตุผล แต่ภายหลัง ได้รับเหตุผล 4) คําสั่งทางปกครอง ออกโดยไม่เห็นชอบจากเจ้าหน้าที่ แต่ภายหลัง เจ้าหน้าที่ เห็นชอบ ให้ถือว่า 4 ข้อข้างต้น มีความสมบูรณ์ใช้ยันต่อบุคคลอื่นได้ตั้งแต่ผู้นั้นได้รับ แจ้งคําสั่งทางปกครอง และมีผลจนกว่าจะถูกเพิกถอนหรือสิ้นสุดลงตามเงื่อนไข ระยะเวลา เจ้าหน้าที่เป็นผู้จัดทําคําสั่งทางปกครอง 1 เงื่อนไขการออกคําสั่งทางปกครอง ที่ต้องระบุไว้ในหนังสือ สรุปการจํา 5
การอุธรณ์คําสั่งทางปกครอง หากคู่กรณีไม่พอใจต่อคําสั่งทางปกครอง (ที่เจ้าหน้าที่เป็นผู้ออกคําสั่ง) ให้ยื่นคําขออุธรณ์ต่อเจ้าหน้าที่ ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้ง การยื่นอุธรณ์คู่กรณีต้องยื่นด้วยตนเอง คู่กรณีต้องจัดทําในรูปแบบหนังสือ ประกอบด้วย 1) ข้อโต้แย้ง 2) ข้อเท็จจริง 3) ข้อกฎหมายอ้างอิง เจ้าหน้าที่ ต้องพิจารณาภายใน 30 วัน หลังจากได้รับหนังสือจากคู่กรณี ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เห็นว่า ตนได้กระทําผิดตามที่คู่กรณียื่นอุธรณ์ ให้เพิกถอนคําสั่งทางปกครอง ในกรณีที่เจ้าหน้าที่เห็นว่าตนไม่มีการกระทําผิด ให้แจ้งต่อผู้มีอํานาจพิจรณาคําสั่งอุธรณ์ภายใน 30 วัน หากไม่ทัน ให้ทําหนังสือบอกคู่กรณี และขยายวันพิจารณา ไม่เกิน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ครบกําหนด ถ้าไม่ครบ ยื่นอุธรณ์ไม่ได้ บุคคลพิจารณา จํานวนวัน คู่กรณี ยื่นอุธรณ์ 15 วัน ต่อเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ พิจารณา 30 วัน เจ้าหน้าที่ (ไม่ได้กระทําผิด) แจ้งต่อผู้มีอํานาจเพื่อพิจารณา คําสั่งอุธรณ์อีก 30 วัน พิจารณาไม่ทัน ขยายไม่เกิน 30 วัน การเพิกถอนคําสั่งทางปกครอง การเพิกถอนคําสั่งทางปกครอง กรณีที่เป็นการให้ประโยชน์ ต้องกระทํา ภายใน 90 วัน (นับตั้งแต่วันที่รู้เหตุให้เพิกถอนคําสั่งทางปกครอง) คําสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมาย คําสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 1) ไม่เป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับคําสั่งทางปกครอง อาจถูกเพิกถอนทั้งหมด หรือบางส่วน 2) มีผลถึงอนาคต เฉพาะกรณีดังนี้ 2.1 กฎหมายกําหนดให้เพิกถอน 2.2 กําหนดให้ผู้รับคําสั่งปฏิบัติแต่ไม่มีระยะเวลากําหนด 2.3 ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลง 2.4 ส่งผลต่อประชาชนและประโยชน์สาธารณะอย่างร้ายแรง 2.5 การเปลี่ยนแปลงของนโยบาย และข้อกฎหมาย • มีผลย้อนหลัง หรือไม่มีผลย้อนหลัง หรือมีผลถึงอนาคตก็ได้ • การเพิกถอนคําสั่งทางปกครอง ที่เกี่ยวกับ การให้เงิน ให้ทรัพย์สินให้ประโยชน์ ให้นําหลักสุจริตและประโยชน์สาธารณะมาปรับใช้ • กรณีดังต่อไปนี้ผู้รับคําสั่งทางปกครอง จะอ้างหลักสุจิรตไม่ได้ 1) รู้ว่าเป็นข้อความเท็จ ข่มขู่ ชักจูง 2) รู้ว่าให้ข้อความไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วนในสาระสําคัญ 3) รู้ว่าคําสั่งทางปกครองไม่ชอบด้วยกฎหมาย • กรณีที่มีผลย้อนหลัง ให้ชดใช้เงิน โดยนําบทบัญญัติลาภมิควรได้ ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาบังคับใช้ กรณีการให้เงิน - ทรัยพ์สิน มีผลย้อนหลัง หรือไม่มีผลย้อนหลัง หรือมีผลถึงอนาคตก็ได้ตามที่กําหนด ดังนี้ 1) ไม่ได้ทํางานหรือทํางานล่าช้า ไม่มีผลต่อคําสั่งทางปกครอง 2) ผู้ได้รับผลประโยชน์ไม่ได้ทํางานหรือทํางานล่าช้า ไม่มีผลต่อคําสั่งทางปกครอง สําคัญนะ สรุปการจําวัน ➡ กรณีการให้ประโยชน์ ไม่มีผลย้อนหลัง คู่กรณีที่ได้รับผลกระทบของคําสั่งทางปกครอง สามารถได้รับค่าทดแทน ภายใน 180 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับการเพิกถอน ผู้บังคับบัญชา ไล่เจ้าหน้าที่ เพิกถอน ชดใช้ค่าทดแทน 1 3-->
การขอพิจารณาคดีใหม่ การขอพิจารณาคดีใหม่ นับหลังจากการพิจารณา คําขออุธรณ์สิ้นสุดลง (คดีสิ้นสุดลงไปแล้ว) การขอพิจารณาคดีใหม่ ให้ทําภายใน 90 วัน นับตั้งแต่รู้ถึงเหตุในการพิจารณาคดีใหม่ การขอพิจารณาคดีใหม่ เจ้าหน้าที่สามารถเพิกถอน หรือแก้ไข เพิ่มเติมคําสั่ง ทางปกครองได้โดยสามารถกระทําได้ดังนี้ 1) มีพยานหลักฐานใหม่ ทําให้ข้อเท็จจริงที่ยุติเปลี่ยนแปลงไป 2) คู่กรณีที่แท้จริง ไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาคดีทางปกครอง ในครั้งแรก 3) ทราบว่า เจ้าหน้าที่ผู้นั้น ไม่มีอํานาจทําคําสั่งทางปกครอง 4) ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป (เจ้าหน้าที่ไม่เคยรับรู้ข้อเท็จจริงนี้มาก่อน) สามารถพิจารณาคดีใหม่ได้ การพิจารณาคดีใหม่ ข้อ 1 - 3 คู่กรณีต้องไม่ทราบข้อมูล จากการพิจารณาคดีทางปกครองครั้งที่ผ่านมา จึงจะสามารถพิจารณาคดีทางปกครองอีกครั้งได้ 1 2การบังคับทางปกครอง การบังคับทางปกครอง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1) บังคับให้ชําระเป็นตัวเงิน 2) สั่งให้ดําเนินการ หรือเลิกกระทํา ไม่เกี่ยวกับเงิน ผู้ที่ใช้อํานาจบังคับทางปกครอง คือ เจ้าหน้าที่ ผู้จัดทําคําสั่งทางปกครอง ยกตัวอย่าง คําสั่งจาก อ.บ.ต. A มีคําสั่งให้รื้อถอนการสร้างโรงงาน ของนาย B เนื่องจากสร้างในพื้นที่ที่ไม่ควรสร้างและรุกลํ้าเขตของบุคคลอื่น คนมีอํานาจในการออกคําสั่งคือ อ.บ.ต. A การแก้ไขเพิ่มเติม กรณีการชําระหนี้ในรูปแบบตัวเงิน 1 การบังคับทางปกครอง ในรูปแบบการชําระหนี้ในรูปแบบตัวเงิน ให้ขอความช่วยเหลือจาก เจ้าพนักงานบังคับคดีสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีหน้าที่ในการ (ยึดและอายัติ) ดังนี้ ให้เจ้าหน้าที่ขอหมายศาล ภายใน 10 ปีนับตั้งแต่วันกําหนดชําระหนี้เช่นหนี้ที่คู่กรณีหรือบุคคล ต้องชําระแก่หน่วยงาน A ภายในวันที่ 1 มกราคม 2567 / ปรากฎว่าครบวันเวลาดังกล่าว ยังไม่มาชําระหนี้ให้นับวันรุ่งขึ้น ถัดไป อีก 10 ปีและต้องขอหมายศาล เพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีรับช่วงต่อในการดําเนินการ ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว ต้องมีการยึดทรัพย์บ้าง ไม่งั้นถือว่าเจ้าหน้าที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่และอาจโดนฟ้องได้ หน้าถัดไป (การแก้ไข…)
การแก้ไขเพิ่มเติม กรณีการสั่งให้ดําเนินการ หรือเลิกกระทํา อาทิการสั่งรื้อถอน เพิกถอนใบอนุญาตสร้างอาคาร หรือเปิดผับ โดยมีกระบวนการให้เจ้าหน้าที่ หรือหน่วยงานของรัฐ เลือกดําเนินการ 2 ขั้นตอน สําหรับการสั่งให้ดําเนินการหรือเลิกกระทํา ดังนี้ เวลามีการบังคับให้ชําระหนี้ในรูปแบบตัวเงิน ต้องตรวจสอบว่าลูกหนี้มีเงินพร้อมที่ชําระจริงหรือไม่ ➡ให้ดําเนินการ สืบทรัพย์โดยการปรึกษาอัยการสูงสุด ➡ หากมีจํานวนเงินที่ต้องชําระหนี้มากกว่า 2,000,000 บาท ให้จ้างบริษัทเอกชนช่วยสืบทรัพย์จากสถาบันการเงิน และนายทะเบียนที่ดิน (กรมที่ดิน) ผู้ถูกบังคับทางปกครอง ในกรณีที่ผู้ถูกบังคับทางปกครองตาย หนี้ดังกล่าวไม่สูญหาย แต่ตกไปยังผู้รับมรดก หรือผู้จัดการมรดก สิทธิผู้ถูกบังคับทางปกครอง สามารถอุธรณ์ได้ภายใน 7 วัน กรณีผู้ถูกบังคับทางปกครองตาย หรือเป็นนิติบุคคล (ล้มละลาย) แล้วต้องมีคนมารับช่วงต่อในการชําระหนี้ให้นับเวลาอุธรณ์ใหม่ตั้งแต่วันที่บุคคลนั้นได้รับแจ้ง ข้อห้ามสําหรับการบังคับคดีทางปกครอง 1) ห้ามใช้กับหน่วยงานของรัฐ 2) ห้ามใช้บังคับกับคําสั่งทางปกครองที่อยู่ระหว่างการทุเลา 3) ห้ามใช้บังคับเกินความจําเป็น 4) ห้ามบังคับซํ้ากับคําพิพากษาของศาล 22) ค่าปรับบังคับการ เจ้าหน้าที่ออกคําสั่งให้โรงงานนํ้าตาล รื้อถอนการก่อสร้างโรงงาน แต่กลับเพิกเฉย ให้หน่วยงานสามารถคิดค่าปรับทุก ๆ วัน จนกว่า จะรื้อถอนตามคําสั่งการบังคับทางปกครอง โดยมีค่าปรับต่อวัน วันละ 50,000 บาท (แต่ฉบับ พ.ศ. 2539 กําหนดเพียง 20,000 บาท) 1) การประเมินค่าใช้จ่ายเป็นรายวัน หน่วยงานของรัฐสั่งให้โรงงาน A รื้อถอน แต่เพิกเฉย เมื่อไม่ดําเนินการ ให้เจ้าหน้าที่ออกคําสั่งรื้อฟาร์ม โดยมีการประเมินค่าใช้จ่ายเป็นรายวัน ตรวจสอบว่าลูกหนี้มีเงินชําระหนี้หรือไม่ สําคัญนะ 345➡➡ ➡
ระยะเวลาและอายุความ การกําหนดระยะเวลา วัน สัปดาห์ เดือน หรือปีนั้น ไม่ให้นับวันแรกของระยะเวลาเข้าไปด้วย ระยะเวลา และอายุความ วันแรก เมื่อได้รับการแจ้ง วันที่ 1 มกราคม ให้นับวันถัดไป วันที่ 2 มกราคม (เป็นวันที่ได้รับแจ้งวันแรก) วันสุดท้าย เมื่อได้รับแจ้งวันแรก คือ วันที่ 2 มกราคม ครบกําหนด วันที่ 8 มกราคม ถือว่า มีระยะเวลาอายุความ จํานวน 7 วัน การกําหนด และการนับ ระยะเวลา และอายุความ การกําหนดระยะเวลาและอายุความ กรณีของประชาชน หากวันสุดท้ายเป็นวันหยุดราชการ ซึ่งครบกําหนดระยะเวลาของอายุความ ให้นับวันทําการวันแรกของเจ้าหน้าที่เป็นวันสุดท้าย เช่น ครบระยะเวลาวันที่ 5 มกราคม ตรงกับวันอาทิตย์ ให้นับวันที่ 6 มกราคม คือวันจันทร์เป็นวันสุดท้าย การกําหนดระยะเวลาและอายุความ กรณีของเจ้าหน้าที่ หากวันสุดท้ายเป็นวันหยุดราชการ ซึ่งครบกําหนดระยะเวลาของอายุความ ต้องนับวันหยุดด้วย จะนับวันทําการแรกแบบประชาชนไม่ได้เช่น เจ้าหน้าที่ ครบระยะเวลาในการดําเนินการ วันที่ 5 มกราคม ตรงกับวันอาทิตย์ต้องดําเนินการให้เสร็จภายในวันอาทิตย์จะดําเนินการวันจันทร์ไม่ได้เ ⏳
การแจ้งผลคําสั่งทางปกครอง การแจ้ง สามารถกระทําได้ดังนี้ 1) เป็นคําสั่งทางวาจา การจัดทําเป็นหนังสือ หรือมีกฎหมายกําหนดการแจ้งไว้เป็นอย่างอื่น 2) หากมีการแจ้งคําสั่งทางปกครอง โดยรูปแบบอื่นตามกฎกระทรวง ที่ทําให้ทราบถึงคําสั่งทางปกครอง ให้มีผลบังคับใช้ได้ 3) เจ้าหน้าที่สามารถแจ้งทางวาจาแก่ผู้เกี่ยวข้องได้แต่ถ้าประสงค์ให้แจ้งเป็นหนังสือ ก็ให้จัดทําเป็นหนังสือได้เช่นกัน ผลของการแจ้งคําสั่งทางปกครอง ถ้ามีผู้รับ 1 - 15 คน ในกรณีที่จัดส่งให้แก่บุคคล (การแจ้งเป็นหนังสือโดยให้บุคคลนําไปส่ง) มีคนรับหรือไม่มีคนรับ หรือไม่พบผู้รับ หรือส่งให้ผู้ซึ่งบรรลุนิติภาวะรับแล้ว ถือว่าผู้นั้นได้รับแจ้ง ถ้ามีผู้รับ 1 - 15 คน ในกรณีที่จัดส่งแบบไปรษณีย์ ให้นับตั้งแต่ถึงภูมิลําเนาของบุคคลนั้น หากเป็นภายในประเทศ ให้ถือว่าได้รับแจ้งเมื่อครบกําหนด 7 วัน นับตั้งแต่ส่งภายในประเทศ หากเป็นต่างประเทศ ให้ถือว่าได้รับแจ้งเมื่อครบกําหนด 15 วัน นับตั้งแต่ส่งต่างประเทศ หากผู้รับมีมากกว่า 50 คน ให้นับตั้งแต่ติดประกาศไว้ณ ที่ทําการเจ้าหน้าที่ ที่ว่าการอําเภอ โดยให้ถือว่าได้รับแจ้งเมื่อพ้นระยะเวลา 15 วัน นับตั้งแต่ได้แจ้งโดยวิธีการดังกล่าว (กฎหมายปิดปาก) ประชาชนอาจไม่ทราบข้อมูล แต่มีผู้รับมากกว่า 100 คน ให้นับตั้งแต่วันที่ประกาศในหนังสือพิมพ์ที่เผยแพร่ให้ประชาชนทราบทั่วไป โดยถือว่าได้รับแจ้ง เมื่อพ้นระยะเวลา 15 วัน นับตั้งแต่ที่ประกาศลงในหนังสือพิมพ์ มีเพียง กรณีการจัดส่งภายในประเทศ 7 วัน ที่เหลือใช้ระยะเวลา 15 วัน ทั้งหมด ในกรณีทราบภูมิลําเนา กรณีไม่ทราบภูมิลําเนา ⬇⬇ ⬇⬇
พระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 สรุป ↑ -
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา 3 ให้ยกเลิก ฉบับ 218 และใช้หลักบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี การบริหารราชการตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นไปเพื่อ 1) ประโยชน์สุขของประชาชน 2) เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ 3) ความมีประสิทธิภาพ 4) ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ 5) การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน 6) การลดภารกิจและยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จําเป็น 7) การกระจายภารกิจและทรัพยากรให้แก่ท้องถิ่น 8) การกระจายอํานาจตัดสินใจ 9) การอํานวยความสะดวก 10) และการตอบสนองความต้องการของประชาชน นําไปตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ในการกําหนดหลักเกณฑ์ เพื่อให้ส่วนราชการ ข้าราชการ นําไปปฏิบัติ 10 ข้อ ในการจัดสรรงบประมาณ การบรรจุ การแต่งตั้ง และการปฏิบัติงาน ให้คํานึงถึงมาตรา 3/1 ในการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ ต้องนําหลักบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีมาปรับใช้โดยเฉพาะ 1) ความรับผิดชอบ 2) การมีส่วนร่วมของประชาชน 3) เปิดเผยข้อมูล 4) การติดตามและตรวจสอบ 5) ประเมินผลงาน เป็นกฎหมายที่กําหนด อํานาจและหน้าที่ของส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดการปฏิบัติงานที่ซํ้าซ้อน ทําให้เกิดการปฏิบัติงานที่เป็นเอกภาพ มีความอิสระ รวมถึงมีหลักการในการมอบอํานาจในการปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติราชการแทนและกําหนดการบริหารราชการแผ่นดิน ในรูปแบบใหม่ ที่สามารถให้ส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ปฏิบัติงานเพื่อตอบสนองการพัฒนาต่อประเทศและประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 เป็นหลักปฏิบัติในการกําหนด อํานาจ หน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ แต่ละหน่วยงาน ใช้กับฝ่ายบริหารและข้าราชการระดับสูง สรุป ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ความหมาย ส่วนกลาง รวมอํานาจ ส่วนภูมิภาค แบ่งอํานาจ ส่วนท้องถิ่น กระจายอํานาจ มาตรา 3/1 1) ประชาชนมีความสุข 6) ยุบ 2) มุงผลสัมฤทธิ์ 7) กระจายภารกิจ 3) ประสิทธิภาพ 8) กระจายอํานาจ 4) คุ้มค่า 9) อํานวย 5) ลดขั้นตอน 10) ตอบสนอง ทริคการจํา การบริหาร รูปแบบการปกครอง 12- #
การกําหนดอัตราและเงินเดือน มาตรา 5 ต้องคํานึงถึงคุณภาพและปริมาณงาน ในส่วนราชการ ส่วนที่ 1 การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน สํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง ทบวง ทบวง กรม กรมหรือส่วนราชการอื่น ที่มีฐานะเป็นกรม ไม่สังกัด สํานักนายก กระทรวง ทบวง ฐานะเป็นกระทรวง ฐานะเทียบเท่ากัน การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง มาตรา 7 ส่วนใหญ่ขึ้นต้นว่า สํานักงาน หาก ทบวง อยู่ภายใต้สํานักนายกหรือกระทรวง ให้รัฐมนตรี (ทบวง) อยู่ภายใต้รัฐมนตรีของกระทวงด้วย ให้ระบุการไม่สังกัดหรือไม่สังกัด ไว้ใน พ.ร.บ. ด้วย การตราเป็นพระราชบัญญัติ การจัดตั้ง รวม โอน ส่วนราชการ ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ กรมหรือส่วนราชการอื่นที่ไม่มีฐานะเป็นกรม ซึ่งไม่สังกัดสํานักนายก กระทรวง ทบวง มาตรา 8 การตราเป็นพระราชกฤษฎีกา 1) การจัดตั้ง รวม โอน ส่วนราชการ ถ้าไม่มีการกําหนด ตําแหน่ง อัตราข้าราชการหรืกลูกจ้างเพิ่ม ให้ตราเป็น พระราชกฤษฏีกา โดยให้สํานักงานข้าราชการพลเรือน และ สํานักงบประมาณ เป็นผู้ดูแลไม่ให้ มีการจัดตั้งข้าราชการหรือลูกจ้างขึ้นมาใหม่ จนกว่าจะครบ 3 ปีต่อครั้ง 2) การเปลี่ยนชื่อของส่วนราชการ 3) การยุบส่วนราชการ งบประมาณรายจ่าย ถูกระงับ ทรัพย์สินของส่วนราชการ โอนให้แก่ส่วนราชการอื่น ตามที่รัฐมนตรีกําหนด ตามความเห็นชอบ ของคณะรัฐมนตรี (คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ รัฐมนตรีถึงดําเนินการได้) ข้าราชการ ลูกจ้าง ต้องได้รับสวัสดิการ และเงินชดเชย กรณีหน่วยงานอื่น ต้องการจะรับโอน ข้าราชการ ลูกจ้าง ต้องกระทําภายใน 30 วัน นับตั้งแต่ประกาศ 4) การแบ่งเขตการปกครองของตํารวจ กรม กรม 1) สํานักนายกรัฐมนตรี 2) กระทรวง 3) ทบวง 4) กระทรวง ส่วนราชการตามข้อ 1 - 4 มีฐานะเป็นนิติบุคคล ➡➡ ➡
การตราเป็นกฎกระทรวง หรือประกาศกระทรวง ใช้กับการจัดระเบียบหน้าที่ของส่วนราชการภายใน กรม หรือส่วนราชการอื่นที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม และสํานักงานรัฐมนตรี การแบ่งส่วนราชการภายใน กระทรวง กรม กอง สํานัก กอง แผนก รัฐมนตรี อธิบดีหรือรองอธิบดี ผอ.กอง ผอ. กอง มีหน้าที่ตามกฎกระทรวง ในการจัดระเบียบ ส่วนราชการภายใน กอง หรือ สํานัก การจัดส่วนราชการภายในกรม หรือสํานัก หากมีการกําหนด ให้เพิ่มอัตราข้าราชการ ลูกจ้าง และเงินเดือน ให้สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และสํานักงบประมาณ ร่วมกําหนด อํานาจและหน้าที่ ของส่วนราชการและระบุในกฎกระทรวง เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเจ้าสังกัด เพื่อออกกฎกระทรวง และให้ใช้บังคับเมื่อ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และ สํานักงบประมาณ ผอ.กอง มีอํานาจหน้าที่ สํานักงาน ก.พ. แบ่งส่วนราชการภายใน สํานักงบประมาณ เสนอ รัฐมนตรี ประกาศกฎกระทรวง ร่วมกําหนด สรุปสั้น ๆ ➡กรม สํานัก แผนก แผนก แผนก ⬅ ⬇⬇ /
การจัดระเบียบส่วนราชการในสํานักนายกรัฐมนตรี การจัดระเบียบราชการในสํานักนายก ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการในสํานักนายก ให้มีฐานะเป็นกรม และให้ตราเป็นกฎกระทรวง • นายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่ในการ กําหนดนโยบาย เป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ของสํานักนายกรัฐมนตรีให้สอดคล้อง กับที่คณะรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภา • รองนายกรัฐมนตรี • รัฐมนตรีประจําสํานักนายก • กรณีนายกรัฐมนตรีตาย ขาดคุณสมบัติจําคุก ศาลรัฐธรรมนูญวินิฉัย วุฒิสภามีมติให้ถอดถอนนายก ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกคนใดคนหนึ่ง ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี หากไม่มีรองนายกรัฐมนตรีหรือมีแต่ไม่สามารถปฏิบัติได้ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่ง ปฏิบัติหน้าที่แทน 1) สํานักนายกรัฐมนตรี สั่งการ และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีหรือตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ค.ร.ม. กรณีไม่มีรองนายก หรือมีแต่ปฏิบัติแทนไม่ได้ รองนายก 1 คนปฏิบัติราชการแทนนายก รัฐมนตรี 1 คน ปฏิบัติราชการแทน หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี 1) กํากับการบริหารราชการแผ่นดิน 2) มอบหมาย รองนายก กํากับ บริหารราชการของกระทรวง ทบวง 3) บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตําแหน่ง (กระทรวง ทบวง กรม หรือเรียกชื่ออื่นฐานะเป็นกรม) 4) สั่งข้าราชการ มาปฏิบัติราชการในสํานักนายกรัฐมนตรี 5) แต่งตั้งข้าราชการ ไปดํารงตําแหน่ง อีกกระทรวง ทบวง กรม 6) แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานที่ปรึกษา ที่ปรึกษา คณะที่ปรึกษานายก 7) แต่งตั้งข้าราชการการเมือง 8) วางระเบียบปฏิบัติราชการ ให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 9) ดําเนินการอื่น ๆ มอบหมาย ➡ ➡ หากไม่มีรองนายก หรือมีแต่ปฏิบัติแทนไม่ได้ ➡ข้าราชการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการการเมือง แต่งตั้ง
(1) ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (2) รองปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (3) ผู้ช่วยปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (1) เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ และปฏิบัติราชการ ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี (2) รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (3) ผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (1) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ และปฏิบัติราชการ ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี (2) รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (3) รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร (4) ผู้ช่วยเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 2) สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีอํานาจ หน้าที่ เกี่ยวกับงานราชการทางการเมือง (2) - (4) เป็นผู้่ช่วยสั่งการและปฏิบัติราชการแทน 3) สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เลขาธิการนายก / รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นข้าราชการการเมือง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร / ผู้ช่วยเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นข้าราชการพลเรือน มีอํานาจ หน้าที่ เกี่ยวกับงานคณะรัฐมนตรีรัฐสภา และราชการในพระองค์ (2) - (3) เป็นผู้่ช่วยสั่งการและปฏิบัติราชการแทน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี / รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นข้าราชการพลเรือน 4) สํานักงานปลัดนายกรัฐมนตรี 1) เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการสูงสุด รองจากนายกรัฐมนตรีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจําสํานักนายก 2) รับผิดชอบควบคุมราชการประจําสํานักนายกรัฐมนตรีรวมถึงกําหนดแนวทางและแผนปฏิบัติราชการ 3) กํากับ เร่งรัด ติดตาม ประเมินผล การปฏิบัติราชการของส่วนราชการในสํานักนายกรัฐมนตรี มีอํานาจ หน้าที่ เกี่ยวกับงานราชการทั่วไปในสํานักนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีไม่ได้กําหนดให้เป็นหน้าที่ของกรมใดกรมหนึ่ง (2) - (3) เป็นผู้่ช่วยสั่งการและปฏิบัติราชการแทน สําคัญนะ สําคัญนะ ปลัดสํานักนายก /รองปลัดสํานักนายก / ผู้ช่วยปลัดสํานักนายก เป็นข้าราชการพลเรือน สําคัญนะ ➡➡➡➡ ➡
1) ปลัดกระทรวง 2) รองปลัดกระทรวง เป็นผู้่ช่วยสั่งการและปฏิบัติราชการแทน 1) เลขานุการรัฐมนตรี เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ และปฏิบัติราชการของสํานักงานรัฐมนตรี ขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวง 2) ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี เป็นผู้่ช่วยสั่งการและปฏิบัติราชการแทน การจัดระเบียบราชการในกระทรวงหรือทบวง การจัดระเบียบราชการของกระทรวง การจัดระเบียบส่วนราชการของกระทรวง ประกอบด้วย (1) สํานักงานรัฐมนตรี (ข้าราชการการเมือง) ไม่มีฐานะเป็นกรม (2) สํานักงานปลัดกระทรวง (ข้าราชการพลเรือนสามัญ) (3) กรม หรือส่วนราชการอื่นที่เรียกชื่ออื่น สําคัญ โดยข้อ (2) - (3) มีฐานะเป็นกรม 1) สํานักงานรัฐมนตรี มีอํานาจ หน้าที่ เกี่ยวกับงานราชการทางการเมือง เลขานุการรัฐมนตรี / ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี เป็นข้าราชการการเมือง 2) สํานักงานปลัดกระทรวง หน้าที่ของปลัดกระทรวง 1) รับผิดชอบ ควบคุมข้าราชการประจําในกระทรวง จัดทําแนวทาง การปฏิบัติราชการ กํากับการทํางานของส่วนราชการในกระทรวง เร่งรัด ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการในกระทรวง ทริค กํากับ เร่งรัด ติดตาม ประเมินผลสัมฤทธิ์ 2) บังคับบัญชาข้าราชการของส่วนราชการในกระทรวง รองจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวง 3) บังคับบัญชาข้าราชการในสํานักงานปลัดกระทรวง ปลัดกระทรวง / รองปลัดกระทรวง เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ สําคัญนะ สําคัญนะ การออกกฎกระทรวง ภายในกระทรวง อาจออกกฎกระทรวง กําหนดให้ส่วนราชการระดับกรม 2 ส่วนราชการขึ้นไปอยู่ภายใต้กลุ่มภารกิจเดียวกันได้ โดยมีผู้บังคับบัญชา ไม่ตํ่ากว่าอธิบดีคนหนึ่ง เป็นหัวหน้ากลุ่ม และขึ้นตรงต่อ รัฐมนตรี รวมถึงรายงานผลการดําเนินงานต่อปลัดกระทรวง ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง กรณีกระทรวงไม่ได้จัดกลุ่มภารกิจ และมีปริมาณงานมาก มีรองปลัดกระทรวง 2 คนเป็นผู้ช่วยสั่งปฏิบัติราชการได้ กรณีกระทรวงมีภารกิจเพิ่ม และต้องมีรองปลัดมากกว่าที่กําหนด ให้คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และ คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ร่วมกันอนุมัติและเสนอ คณะรัฐมนตรี ให้ปลัดกระทรวง หัวหน้ากลุ่มภารกิจ และหัวหน้าส่วนราชการ ตั้งแต่ระดับกรมขึ้นไป วางแผนและประสานกิจกรรม ให้มีการใช้ทรัพยากรของส่วนราชการ ให้มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า บรรลุเป้าหมาย ➡ ➡➡ ➡➡➡➡➡
ให้มีผู้อํานวยการกอง หัวหน้ากอง หรือหัวหน้าส่วนราชการ เทียบเท่าผู้อํานวยการกอง เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ และรับผิดชอบ ในการปฏิบัติราชการ 1) เลขานุการกรม เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการรับผิดชอบการปฏิบัติราชการของสํานักงานเลขานุการกรม 3) กรม การแบ่งส่วนราชการภายในกรม / สํานักงาน ตราเป็นกฎกระทรวง กรมซึ่งสังกัดหรือไม่สังกัดสํานักนายกรัฐมนตรีกระทรวง ทบวง แบ่งส่วนราชการได้ดังนี้ การจัดระเบียบราชการภายในกรม การจัดระเบียบราชการของกรม ประกอบด้วย 1) สํานักงานเลขานุการกรม 2) กองหรือส่วนราชการที่มีฐานะเทียบกอง 1) สํานักงานเลขานุการกรม มีอํานาจ หน้าที่ เกี่ยวกับราชการทั่วไปของกรม และส่วนราชการที่ไม่ได้แยกเป็นหน้าที่ของกองหรือส่วนราชการใดโดยเฉพาะ 2) กองหรือส่วนราชการที่มีฐานะเทียบกอง กรม องค์ประกอบของกรม มีอํานาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวง ตามที่กําหนดในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของกรม อธิบดี เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและปฏิบัติราชการของกรม ให้เกิด ผลสัมฤทธิ์เป้าหมาย แนวทาง แผนปฏิบัติ ราชการ กรณีที่ กฎหมายให้อํานาจหน้าที่เฉพาะแก่อธิบดีการใช้อํานาจต้องคํานึงถึงที่ คณะรัฐมนตรีแถลงต่อ รัฐสภา / คณะรัฐมนตรีกําหนด รองอธิบดี อํานาจหน้าที่ตามที่อธิบดีกําหนดหรือมอบหมาย ผู้อํานวยการกอง เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ จากสภาพและปริมาณงาน สามารถมีผู้ตรวจราชการกรมได้ทําหน้าที่ตรวจและแนะนําการปฏิบัติราชการ ให้เป็นไปตาม กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมติคณะรัฐมนตรีหรือคําสั่งการของนายกรัฐมนตรี การจัดตั้งหน่วยบริการรูปแบบพิเศษภายในกรม ให้เป็นไปตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี สําคัญนะ สําคัญนะ ➡➡➡➡➡➡➡
การปฏิบัติราชการแทน การปฏิบัติราชการแทน อํานาจในการสั่งการ อนุญาต อนุมัติการปฏิบัติราชการแทน ตามกฎ ระเบียบ ประกาศ คําสั่ง หรือ มติของคณะรัฐมนตรีหากไม่มีการมอบอํานาจไว้ ก็ไม่สามารถปฏิบัติราชการแทนได้ ถ้าเรื่องนั้นไม่ได้ห้ามเรื่องการมอบอํานาจไว้ผู้ดํารงตําแหน่งอาจมอบอํานาจให้ผู้อื่น ปฏิบัติราชการแทนได้ มาตรา 38 การมอบอํานาจให้ปฏิบัติราชการแทน ต้องจัดทําเป็นหนังสือ ให้ผู้มอบอํานาจพิจารณาถึงการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชน ความรวดเร็วในการปฏิบัติราชการ ความรับผิดชอบของผู้รับมอบอํานาจ ในกรณีการมอบอํานาจ ปฏิบัติราชการแทน ผู้มอบอํานาจคนที่ 1 ผู้รับ / ผู้มอบอํานาจคนที่2 ผู้รับ ผูัมอบอํานาจต้อง กํากับ ติดตามผลการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอํานาจ และสามารถแนะนํา แก้ไขการปฏิบัติราชการของผู้มอบอํานาจได้ กรณีการมอบอํานาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัด คณะรัฐมนตรีจะกําหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ว่าฯ มอบอํานาจต่อให้รองผู้ว่าฯ ปลัดจังหวัด ก็ได้ สําคัญนะ สําคัญนะ การมอบอํานาจ ➡⬇➡ การมอบอํานาจแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด - ↳
การรักษาราชการแทน ในกรณีที่ไม่มีผู้ดํารงตําแหน่ง หรือ มีแต่ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ให้ผู้รักษาราชการ ปฏิบัติหน้าที่แทนได้ไม่ต้องทําหนังสือมอบอํานาจ 1) นายกรัฐมนตรี ไม่มีผู้ดํารงตําแหน่ง / ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ ให้รองนายก ปฏิบัติราชการแทน หากมีรองนายกหลายคน ให้คณะรัฐมนตรีเลือก 1 คน มารักษาราชการแทน ถ้าไม่มีรองนายก หรือมีแต่ปฏิบัติไม่ได้ ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมาย รัฐมนตรี 1 คน รักษาราชการแทน 2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ไม่มีผู้ดํารงตําแหน่ง / ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ปฏิบัติราชการแทน หากมีรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ หลายคน ให้คณะรัฐมนตรีเลือก 1 คน มารักษาราชการแทน ถ้าไม่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการ ฯ หรือมีแต่ปฏิบัติไม่ได้ ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมาย รัฐมนตรี 1 คน รักษาราชการแทน 3) เลขานุการรัฐมนตรี ไม่มีผู้ดํารงตําแหน่ง / ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ ให้ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทน หากมีผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีหลายคน ให้รัฐมนตรีว่าการฯ เลือก 1 คน มารักษาราชการแทน ถ้าไม่มีผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีหรือมีแต่ปฏิบัติไม่ได้ ให้รัฐมนตรีว่าการฯ แต่งตั้งข้าราชการ 1 คน ในกระทรวง รักษาราชการแทน 4) ปลัดกระทรวง ไม่มีผู้ดํารงตําแหน่ง / ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ ให้รองปลัดกระทรวง ปฏิบัติราชการแทน หากมีรองปลัดกระทรวง หลายคน ให้รัฐมนตรีว่าการฯ เลือก 1 คน มารักษาราชการแทน ถ้าไม่มีรองปลัดกระทรวง หรือมีแต่ปฏิบัติไม่ได้ ให้นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการฯ แต่งตั้งข้าราชการ 1 คน ในกระทรวง ที่ดํารงตําแหน่งไม่ตํ่ากว่าอธิบดีหรือเทียบเท่า รักษาราชการแทน 5) อธิบดี ไม่มีผู้ดํารงตําแหน่ง / ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ ให้รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทน หากมีรองอธิบดีหลายคน ให้ปลัดกระทรวง เลือก 1 คน มารักษาราชการแทน ถ้าไม่มีรองอธิบดีหรือมีแต่ปฏิบัติไม่ได้ให้ปลัดกระทรวง แต่งตั้งข้าราชการ 1 คน ในกระทรวง ที่ดํารงตําแหน่งเทียบเท่ารองอธิบดีหรือข้าราชการตั้งแต่หัวหน้ากองหรือเทียบเท่า รักษาราชการแทน ➡➡➡➡➡
ส่วนที่ 2 การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค การบริหารราชการส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1) จังหวัด และ 2) อําเภอ จังหวัด เกิดจากการรวมท้องที่ ของหลาย ๆ อําเภอ เป็นจังหวัด การจัดตั้ง ยุบ เปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ การของบมาบรูณาการ จังหวัด หรือกลุ่มจังหวัด สามารถกระทําได้ตาม พระราชกฤษฏีกา อํานาจและหน้าที่ของจังหวัด ภายในเขตจังหวัด 1) นําภารกิจของรัฐและนโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ 2) ดูแลให้มีการปฏิบัติและบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยและเป็นธรรมในสังคม 3) จัดให้มีการคุ้มครอง ป้องกัน ส่งเสริม และช่วยเหลือประชาชนและชุมชนที่ด้อยโอกาสเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ในการดํารงชีวิตอย่างพอเพียง 4) จัดให้มีการบริการภาครัฐเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างเสมอหน้า รวดเร็ว และมีคุณภาพ 5) จัดให้มีการส่งเสริม อุดหนุน และสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้สามารถดําเนินการตามอํานาจและหน้าที่ขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น และให้มีขีดความสามารถพร้อมที่จะดําเนินการตามภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนจากกระทรวง ทบวง กรม 6) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นของรัฐมอบหมาย หรือที่มีกฎหมายกําหนด คณะกรมการจังหวัด ภายในจังหวัด ให้มีคณะกรมการจังหวัด มีหน้าที่่เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรมการจังหวัด ประกอบด้วย 1) ปธะธาน ( ผู้ว่าราชการจังหวัด ) 2) รองประธาน ( รองผู้ว่า ) ( เคยออกสอบ ไม่จําเป็นต้องมีก็ได้ ) 3) ปลัดจังหวัด 4) อัยการจังหวัด 5) ผู้บัญชาการตํารวจภูธร 6) หัวหน้าส่วนราชการประจําจังหวัด เป็นกรมการจังหวัด 7) หัวหน้าสํานักงานจังหวัด เป็นกรมการจังหวัดและเลขานุการ แผนพัฒนาจังหวัด ให้จังหวัดจัดทําแผนพัฒนาจังหวัด สอดคล้องกับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและความต้องการของประชาชน ผู้ว่าราชการจังหวัด จัดให้มีการประชุม หารือ ระหว่าง หัวหน้าส่วนราชการ ส่วนกลาง ภูมิภาค ผู้บริหารท้องถิ่น ผู้แทนภาคประชาสังคม และภาคเอกชน สําหรับการจัดทําแผนพัฒนาจังหวัด เมื่อประกาศใช้แผนพัฒนาจังหวัด และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนําแผนพัฒนาจังหวัดไปปรับใช้ ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาท้องถิ่น ➡
1) ผู้ว่าราชการจังหวัด 2) รองผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ 3) ผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ ทั้งรองผู้ว่าฯ และ ผู้ช่วยผู้ว่าฯ 4) ปลัดจังหวัด 5) หัวหน้าส่วนราชการประจําจังหวัด ซึี่งกระทรวง ทบวง กรม ส่งมาทําหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือผู้ว่าราชการจังหวัด องค์ประกอบของจังหวัด เป็นผู้รับนโยบายจากนายกรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรีกระทรวง ทบวง กรมมาปฏิบัติแก่ประชาชน และ เป็นผู้บังคับบัญชาฝ่ายบริหารในระดับจังหวัดและอําเภอ / เป็นหัวหน้าปกครองคับบัญชาข้าราชการ ตราเป็นพระราชบัญญัติ • การยกเว้น ตัดทอน อํานาจหน้าที่ผู้ว่า • การให้ข้าราชการองส่วนราชการ มีอํานาจหน้าที่ในการบริหารราชการส่วนภูมิภาค อํานาจและหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด 1) บริหารราชการตามกฎหมาย แผนราชการ แผนพัฒนาจังหวัด 2) บริหารราชการตามที่ นายกรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรีกระทรวง ทบวง กรม สั่งการ 3) บริหารราชการตามคําแนะนําและคําชี้แจงของผู้ตรวจราชการกระทรวง 4) กํากับดูแล การปฏิบัติราชการ ที่ไม่ใช่ราชการส่วนภูมิภาคของข้าราชการซึ่งประจําในจังหวัดนั้น 5) ประสานงานและร่วมมือกับข้าราชการทหาร ข้าราชการฝ่ายตุลาการ ข้าราชการฝ่ายอัยการ ฯลฯ ในการพัฒนาจังหวัดหรือ ป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ 6) เสนองบประมาณต่อกรทะรงง หรือเสนอขอจัดตั้งงบประมาณต่อสํานักงบประมาณ และรายงานต่อกระทรวงมหาดไทย 7) กํากับดูแลการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น 8) กํากับการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานองค์การของรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ 9) บรรจุ แต่งตั้ง ให้บําเหน็จ ลงโทษข้าราชการส่วนภูมิภาคในจังหวัดตามกฎหมาย และตามที่ปลัดกระทรวง ปลัดทบวง หรือ อธิบดีมอบหมาย (2) - (3) เป็นผู้่ช่วยสั่งการและปฏิบัติราชการแทน และเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารในส่วนจังหวัดและอําเภอ (4) - (5) เป็นผู้่ช่วยเหลือผู้ว่าฯ และมีอํานาจบังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารส่วนภูมิภาค ซึ่งสังกัด กระทรวง ทบวง กรม นั้น สําคัญนะ ผู้ว่าราชการจังหวัด / รองผู้ว่าราชการจังหวัด / ผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด สังกัดกระทรวงมหาดไทย การปฏิบัติราชการแทน ผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่มีผู้ดํารงตําแหน่ง / ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ ให้รองผู้ว่าฯ รักษาราชการแทน ถ้าไม่มีตําแหน่ง รองผู้ว่าฯ หรือมีแต่ปฏิบัติราชการไม่ได้ ให้ผู้ช่วยผู้ว่าฯ รักษาราชการแทน ถ้าไม่มีตําแหน่ง ผู้ช่วยผู้ว่าฯ หรือมีแต่ปฏิบัติราชการไม่ได้ ให้ปลัดจังหวัด รักษาราชการแทน ถ้ามีรองผู้ว่าฯ ผู้ช่วยผู้ว่าฯ ปลัดจังหวัดหลายคน ให้ปลัดกระทรวงแต่งตัง คนใดคนหนึ่งรักษาราชการแทน ถ้าไม่มีผู้ดํารงตําแหน่ง รองผู้ว่าฯ ผู้ช่วยผู้ว่าฯ ปลัดจังหวัดหลายคน หรือมีแต่ปฏิบัติ ราชการไม่ได้ ให้หัวหน้าส่วนราชการประจําจังหวัด (อาวุโส) รักษาราชการแทน
คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด หรือ ก.ธ.จ. ประกอบด้วย หาก ก.ม.จ. พบว่ามีการละเลย ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ ให้แจ้งผู้ว่าฯ หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหนวยงานอื่นของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการต่อไป คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด หรือ ก.ธ.จ. นอกจาก กรุงเทพ ให้มีคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด ทําหน้าที่ ในการสอดส่อง และเสนอแนะการปฏิบัติภารกิจของรัฐในระดับจังหวัด ให้ปฏิบัติตามวิธีกาบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีที่กําหนดไว้ในมาตรา 3/1 สําคัญนะ จําตัวย่อด้วย เคยออกสอบ 1 ) ผู้ตรวจราชการประจําสํานักนายก ซึ่งมีเขตอํานาจในจังหวัด เป็นประธาน 2) ผู้แทนภาคประชาสังคม 3) ผู้แทนสมาชิกสภาท้องถิ่น ( ไม่ดํารงตําแหน่งผู้บริหาร ) 4) ผู้แทนภาคเอกชน การสรรหา ให้เป็นไปตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี อําเภอ ในจังหวัดหนึ่งให้มีหน่วยราชการ บริหารงานรองจากจังหวัด เรียกว่าอําเภอ การจัดตั้ง ยุบ เปลี่ยนแปลงเขตอําเภอ ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา อําเภอ ไม่เป็นนิติบุคคล สําคัญนะ อํานาจและหน้าที่ของอําเภอ ภายในเขตอําเภอ (1) อํานาจและหน้าที่ตามที่กําหนดในมาตรา 52/1 (1) (2) (3) (4) (5) และ (6) (อันเดียวกับอํานาจและหน้าที่ของจังหวัด) โดยให้นําความในมาตรา 52/1 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม (2) ส่งเสริม สนับสนุน และจัดให้มีการบริการร่วมกันของหน่วยงานของรัฐในลักษณะศูนย์บริการร่วม (3) ประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อร่วมมือกับชุมชนในการดําเนินการให้มีแผนชุมชน เพื่อรองรับการสนับสนุนงบประมาณ จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัด และกระทรวง ทบวง กรม (4) ไกล่เกลี่ยหรือจัดให้มีการไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาทเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคม คณะบุคคล ในอําเภอหนึ่ง ให้มีคณะบุคคล ทําหน้าที่พิจารณาไกล่เกลี่ยกับประชาชนที่คู่กรณีมีภูิลําเนาอยู่ในเขตอําเภอของตนเอง ในเรื่องการพิพาททางแพ่งเกี่ยวกับ ที่ดิน มรดก และข้อพิพาทอื่นที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท ให้นายอําเภอ จัดทํารายชื่อ คณะบุคคล ในการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท ตามความเห็นชอบของกรมการจังหวัด สําคัญนะ คณะบุคคล มีหน้าที่แค่ให้ข้อเสนอแนะ ไม่มีหน้าที่ตัดสิน ชี้ขาดแบบอนุญาโตตุลาการ
ความผิดอาญาที่เกิดขึ้นภายในเขตของอําเภอ หากยอมความได้และไม่ใช่ความผิดแห่งเพศ ถ้าผู้เสียหายยินยอม ให้แจ้งนายอําเภอ / ปลัดอําเภอที่นายอําเภอมอบหมาย ดําเนินการไกล่เกลี่ย หากยินยอม ให้ทําเป็นหนังสือ / หากไม่ยินยอมให้จําหน่ายข้อพิพาท กรณีเกิดข้อพิพาท ยินยอมไกล่เกลี่ย ประณีประนอม ประชาชน คณะบุคคล ประชาชน ตัวแทน ประธาน ตัวแทน คณะบุคคล นายอําเภอ / ปลัดอําเภอ / อัยการจังหวัด คณะบุคคล เลือกตัวแทนคณะบุคคล 1 คน เลือกตัวแทนคณะบุคคล 1 คน ไกลเกลี่ยข้อพิพาทแทนประชาชน ประธานสําหรับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 1) เมื่อมีการพิพาทเกิดขึ้น และคู่พิพาทยินยอมใช่วิธีการไกลเกลี่ย ให้คู่พิพาทเลือกบุคคลจากบัญชีรายชื่อ คณะบุคคล 1 คน และให้นายอําเภอ ปลัดจังหวัด พนักงานอัยการจังหวัด เป็นประธาน เพื่อทําหน้าที่เป็นคณะบุคคลในการไหลเกลี่ยและประนอมข้อพิพาท 2) ให้คณะบุคคล ผู้ทําหน้าที่ไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท รับฟังข้อพิพาทโดยตรงจากคู่พิพาท และดําเนินการไกล่เกลี่ยให้เกิดข้อตกลงร่วมกัน 3) หากตกลงกันได้ให้ทําหนังสือสัญญาประณีประนอมยอมความระหว่างคู่พิพาท 4) หากคู่พิพาทตกลงกันไม่ได้ให้คณะบุคคลจําหน่ายข้อพิพาท 5) หากไม่ปฏิบัติตามหนังสือสัญญาประณีประนอมยอมความ ให้คู่พิพาทยื่นคําร้องต่อพนักงานอัยการภายในเขตของตน และให้พนักงงานอัยการ ยื่นคําร้องต่อศาลที่มีเขตอํานาจเพื่อบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญา ตัวแทนประชาชน / คู่พิพาท ตัวแทนประชาชน / คู่พิพาท กรณีไกลเกลี่ยสําเร็จ ให้ทําหนังสือ ประณีประนอมยอมความระหว่างคู่พิพาท และมีผลผูกพัน กรณีไกลเกลี่ยไม่สําเร็จ หรือตกลงกันไม่ได้ ให้คณะบุคคลสั่งจําหน่ายข้อพิพาท หากไม่ปฏิบัติตามหนังสือประณีประนอมยอมความ ให้คู่พิพาทยื่นคําร้องต่อพนักงานอัยการ และให้พนักงานอัยการยื่นต่อศาล ความผิดอาญที่เกิดขึ้น ภายในเขตอําเภอ ➡- ~
1) นายอําเภอ เป็นหัวหน้าปกครอง บังคับบัญชาข้าราชการในอําเภอ และการบริหารราชการในอําเภอ 2) ปลัดอําเภอ 3) หัวหน้าส่วนราชการประจําอําเภอ ซึ่งกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ส่งมาประจําเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือนายอําเภอ องค์ประกอบของอําเภอ การปฏิบัติราชการแทน นายอําเภอ ไม่มีผู้ดํารงตําแหน่ง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด แต่งตั้งปลัดอําเภอ / หัวหน้าสวนราชการประจําอําเภอผู้มีอาวุโส ปฏิบัติราชการแทน นายอําเภอ อยู่แต่ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ ให้นายอําเภอ แต่งตั้งปลัดอําเภอ / หัวหน้าสวนราชการประจําอําเภอผู้มีอาวุโส ปฏิบัติราชการแทน อํานาจและหน้าที่ของนายอําเภอ 1) บริหารราชการตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ ถ้ากฎหมายใดมิได้บัญญัติว่าการปฏิบัติตามกฎหมายนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ใด โดยเฉพาะ ให้เป็นหน้าที่ของนายอําเภอที่จะต้องรักษาการให้เป็นไปตามกฎหมายนั้นด้วย 2) บริหารราชการตามที่คณะรัฐมนตรีกระทรวง ทบวง กรม มอบหมายหรือตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการในฐานะหัวหน้ารัฐบาล 3) บริหารราชการตามคําแนะนําและคําชี้แจงของผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้มีหน้าที่ตรวจการอื่นซึ่งคณะรัฐมนตรีนายกรัฐมนตรีกระทรวง ทบวง กรม และผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย ในเมื่อไม่ขัดต่อกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคําสั่งของกระทรวง ทบวง กรม มติของคณะรัฐมนตรีหรือ การสั่งการของนายกรัฐมนตรี 4) ควบคุมดูแลการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นในอําเภอตามกฎหมาย ข้อควรจํา บริหารและดูแลควบคุมส่วนท้องถิ่น ➡ ➡ส่วนที่ 3 การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย 1) องค์การบริหารส่วนจังหวัด 2) เทศบาล 3) สุขาภิบาล 4) ราชการส่วนท้องถิ่น อดีต ปี 2534 1) องค์การบริหารส่วนตําบล 2) องค์การบริหารส่วนจังหวัด 3) เทศบาล 4) กรุงเทพมหานคร 5) พัทยา ฉบับปัจจุบัน (4) - (5) เป็นการปกครองรูปแบบพิเศษ ➡
ส่วนที่ 4 คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ( ก.พ.ร. ) คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ( ก.พ.ร. ) ประกอบด้วย 1) นายกรัฐมนตรี / รองนายกที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน 2) รัฐมนตรีที่นายกกําหนดให้เป็นรองประธาน 3) ผู้ซึ่งคณะกรรมการการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหนึ่งคน 4) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 10 คน ดํารงตําแหน่งคราวละ 4 ปีไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ด้านนิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์การบริหารรัฐกิจ การบริหารธุรกิจ การเงินการคลัง จิตวิทยา องค์การ และสังคมวิทยา อย่างน้อยด้านละหนึ่งคน • ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาจากรายชื่อบุคคลที่ได้รับการเสนอโดยวิธีการสรรหา ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาที่คณะรัฐมนตรีกําหนด • ในกรณีที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตําแหน่งตามวาระ แต่ยังมิได้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใหม่ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒินั้นปฏิบัติ หน้าที่ไปก่อนจนกว่าจะได้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใหม่ • เมื่อตําแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิว่างลงก่อนวาระ ให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภายใน 30 วัน เว้นแต่วาระของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เหลือไม่ถึง 10 วัน จะไม่แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิก็ได้ เลขาธิการ ก.พ.ร. เป็นกรรมการ และเลขานุการโดยตําแหน่ง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สังกัดสํานักนายกรัฐมนตรี ให้มีสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สํานักงาน ก.พ.ร.) เป็นส่วนราชการในสํานักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบงานธุรการของ ก.พ.ร. โดยมีเลขาธิการ ก.พ.ร. ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและลูกจ้าง และรับผิดชอบการปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ➡➡
ก.พ.ร. มีอํานาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้ 1) เสนอแนะนําและให้คําปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการและงานของรัฐอย่างอื่น รวมถึงโครงสร้างระบบราชการ ระบบงบประมาณ ระบบบุคลากร มาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรม ค่าตอบแทน และวิธีปฏิบัติราชการอื่น 2) เสนอแนะนําและให้คําปรึกษาแก่หน่วยงานอื่นของรัฐที่มิได้อยู่ในกํากับของราชการฝ่ายบริหารตามที่หน่วยงานดังกล่าวร้องขอ 3) รายงานต่อคณะรัฐมนตรีในกรณีที่มีการดําเนินการขัดหรือไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่กําหนดในมาตรา ๓/๑ 4) เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อกําหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานในการจัดตั้ง การรวม การโอน การยุบเลิก การกําหนดชื่อ การเปลี่ยนชื่อ และการแบ่งส่วนราชการภายในของส่วนราชการที่เป็นกระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการอื่น 5) เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในการตราพระราชกฤษฎีกา และกฎที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ 6) ดําเนินการให้มีการชี้แจงทําความเข้าใจแก่ส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป รวมตลอดทั้งการฝึกอบรม 7) ติดตาม ประเมินผล และแนะนําเพื่อให้มีการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีพร้อมทั้งข้อเสนอแนะ 8) ตีความและวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้ 9) เรียกให้เจ้าหน้าที่หรือบุคคลอื่นใดมาชี้แจงหรือแสดงความเห็นประกอบการพิจารณา 10) จัดทํารายงานประจําปีการพัฒนาและจัดระบบราชการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา 11) แต่งตั้งคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือคณะทํางาน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ตามที่มอบหมาย 12) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กําหนดในพระราชบัญญัตินี้หรือตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย อํานาจและหน้าที่ของ ก.พ.ร.
พระราชกฤษฏีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ บริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีพ.ศ. 2546 สรุป ↑ -
พระราชกฤษฏีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีพ.ศ. 2546 ใช้บังคับถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา การปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกานี้ในเรื่องใดสมควรที่ส่วนราชการใดจะปฏิบัติเมื่อใด และจะต้องมีเงื่อนไขอย่างใด ให้เป็นไปตามที่ คณะรัฐมนตรีกําหนด ตามข้อเสนอแนะของ ก.พ.ร. ส่วนราชการ ส่วนราชการที่อยู่ภายใต้การกํากับของฝ่ายบริหาร (กระทรวง ทบวง กรม) ไม่รวมองค์กร ปกครองส่วน ท้องถิ่น ค.ร.ม. กําหนด ตามความเห็นชอบของ ก.พ.ร. รัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง ผู้ปฏิบัติงานในส่วนราชการ 1) เกิดประโยชน์สุขของประชาชน 2) เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ 3) มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ 4) ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจําเป็น 5) มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์ 6) ประชาชนได้รับการอํานวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ 7) ประเมินผลปฏิบัติราชการอย่างสมํ่าเสมอ หมวดที่ 1) มาตรา 6 การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี 6 หลัก 7 เป้าหมาย 6 หลักธรรมาภิบาล 7 เป้าหมาย การบริหารราชการบ้านเมืองที่ดี 1) หลักนิติธรรม Rule of law 2) หลักคุณธรรม Ethics 3) หลักความโปร่งใส Transparency 4) หลักการมีส่วนร่วม Public participation 5) หลักความรับผิดชอบ Accountability 6) หลักความคุ้มค่า value for money Good Governance สําคัญที่สุด ทริคในการจํา 1) ประชาชนมีความสุข 5) ลดภารกิจ 2) มุ่งผลสัมฤทธิ์ 6) อํานวยความสะดวก 3) คุ้มค่า 7) ประเมินผล 4) ลดขั้นตอน นํามาปรับใช้ คําว่า ธรรมาภิบาล เกิดขึ้นหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 โดย รัฐบาล ขอความร่วมมือให้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ ( TDRI ) ค้นคว้า และวิจัย เพื่อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ซึ่งหลักธรรมมาภิบาลก็คือ หลักบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีหรือ Good Governance ทริคในการจําของผู้เขียน นิชคุณมีความรับผิดชอบต่อส่วนร่วม ทํางานอย่างคุ้มค่าและโปร่งใส นิช = นิติธรรม คุณ = คุณธรรม -
1) การบริหารราชการเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อประชาชน ( ประชาชนมีความสุข ) ประชาชน อยู่ดีกินดีมีความผาสุข สังคม ปลอดภัย สงบสุข ประเทศ ได้รับประโยชน์สูงสุด การบริหารราชการต่าง ๆ ของส่วนราชการให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ที่ได้รับการบริการจากรัฐ โดย มีแนวทางต่อไปนี้ 1) การกําหนดภารกิจ และการดําเนินงาน ต้องเป็นไปตามแนวนโยบายแห่งรัฐ และที่คณะรัฐมนตรีแถลงต่อรัฐสภา 2) การดําเนินงานต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในประเทศ และท้องถิ่น 3) ก่อนเริ่มดําเนินการใด ๆ ให้ส่วนราชการ วิเคราะห์ผลดีและผลเสีย ( SWOT ) เกี่ยวกับภารกิจที่กระทบต่อประชาชน และรับฟัง ความคิดเห็นของประชาชนจากการดําเนินการดังกล่าว 4) ให้ข้าราชการ รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน เพื่อปรับปรุงวิธีการปฏิบัติราชการให้เหมาะสม 5) เมื่อเกิดปัญหาใด ๆ ให้ส่วนราชการ แก้ไขปัญหาโดยเร็ว [ ในกรณีที่เกิดจากส่วนราชการอื่น ให้ส่วนราชการ แจ้งต่อ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขและปรับปรุง ] รวมถึง แจ้ง ก.พ.ร ทราบด้วย ควรจํา ส่วนราชการ จัดทํา SWOT ส่วนราชการ แก้ไขปัญหาโดยเร็ว และ แจ้ง ก.พ.ร. ข้าราชการ รับฟังความคิดเห็นประชาชน 2) เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ( ผลสัมฤทธิ์ ) 1) ก่อนดําเนินการใด ๆ ให้ส่วนราชการ จัดทํา แผนปฏิบัติราชการล่วงหน้า 2) แผนปฏิบัติราชการ ประกอบด้วย 2.1 ขั้นตอน ระยะเวลา และงบประมาณที่ต้องใช้ดําเนินการ 2.2 เป้าหมายของภารกิจ 2.3 ผลสัมฤทธิ์ของภารกิจ 2.4 ตัวชี้วัดภารกิจ Key Performance Indicator ( kPI ) 3) ให้ส่วนราชการ ติดตามแผนปฏิบัติราชการ ที่สอดคล้องตามที่ ก.พ.ร. กําหนด 4) หากแผนราชการ ส่งผลกระทบต่อประชาชน ให้ส่วนราชการ เร่งแก้ไข หรือเปลี่ยนแผนปฏิบัติราชการให้เหมาะสม ก.พ.ร. หมายถึงคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ภารกิจส่วนราชการใดใกล้เคียงกัน ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกําหนดแผนปปฏิบัติราชการแบบบูรณาการร่วมกัน โดยมุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภาครัฐ มาตรา 10 มาตรา 9 7 เป้าหมาย การบริหารราชการบ้านเมืองที่ดี
หน้าที่ของส่วนราชการ มาตรา 11 พัฒนาความรู้ในส่วนราชการ เพื่อให้เป็น องค์การแห่งการเรียนรู้อย่างสมํ่าเสมอ ส่งเสริม พัฒนาความรู้ วิสัยทัศน์ข้าราชการให้มี ประสิทธิภาพ และเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติราชการ ก.พ.ร. อาจเสนอให้คณะรัฐมนตรีกําหนด มาตรการกํากับการปฏิบัติราชการ โดยจัดทําในรูปแบบ ลายลักษณ์อักษร เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การจัดทําแผนปฏิบัติราชการ ให้ส่วนราชการต่าง ๆ เป็นผู้จัดทําแผนปฏิบัติราชการ พ.ร.ฎ. เก่า จากเดิม 4 ปี ปัจจุบัน 5 ปี การจัดทําแผนปฏิบัติราชการ ต้องสอดคล้องกับ 1) ยุทธศาสตร์ชาติ 2) แผนแม่บท 3) แผนปฏิรูปประเทศ 4) แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ 5) นโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา 6) แผนอื่น ๆ แต่ในวาระแรก ปีงบประมาณพ.ศ. 2563 - 2565 ให้ใช้แผน 3 ปีไปก่อน และปรับเป็น 5 ปี การจัดทําแผนปฏิบัติราชการ ( ประจําปี ) ในแต่ละปีงบประมาณ ( สิ้นปีงบประมาณ ) ให้ส่วนราชการ จัดทําแผนปฏิบัติราชการ ( ประจําปี ) โดยมีองค์ประกอบ 1) เป้าหมาย และผลสัมฤทธิ์ 2) รายได้รายจ่าย เสนอต่อรัฐมนตรี ( เจ้าสังกัด ) เพื่อให้ความเห็นชอบ ทุกสิ้นปีงบประมาณ ส่วนราชการ ต้องรายงานแผนปฏิบัติราชการประจําปีเสนอต่อ รัฐมนตรีเจ้าสังกัด มาตรา 12 12 มาตรา 13 1 ตุลาคม - 30 กันยายน ของปีถัดไป
รัฐมนตรีเห็นชอบหรือไม่ ต่อการจัดทําแผนปฏิบัติราชการ ประจําปี ? รัฐมนตรีเจ้าสังกัด เห็นชอบ ไม่เห็นชอบ ให้สํานักงบประมาณ จัดสรรงบประมาณ แก่ส่วนราชการเพื่อให้การปฏิบัติงานบรรลุผล สํานักงบประมาณ ไม่ต้องจัดสรรงบประมาณ การจัดทําแผนปฏิบัติราชการ เพื่อขอรับงบประมาณ ร่วมกําหนดแนวทางการจัดทําแผนปฏิบัติราชการ เพื่อขอรับงบประมาณ ให้สํานักงบประมาณ และ ก.พ.ร. เมื่อมีการกําหนดงบประมาณรายจ่ายประจําปีตามแผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการ การโอนงบประมาณ ไปใช้กับภารกิจอื่น ( นอกแผนปฏิบัติราชการ ) ซึ่งทําให้ภารกิจเดิมที่กําหนดตามแผนปฏิบัติราชการไม่บรรลุผล ต้องได้รับการอนุมัติ จาก คณะรัฐมนตรี ( ค.ร.ม ) เพื่อปรับแผนปฏิบัติราชการให้สอดคล้องกัน การโอนงบประมาณรายจ่ายประจําปี การปรับแผนปฏิบัติราชการ เหตุผลที่ คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ปรับแผนปฏิบัติราชการได้เมื่อเข้าเหตุใดเหตุหนึ่ง 1) งานตามแผนปฏิบัติราชการเดิม ไม่บรรลุผล ( ไม่บรรลุผล ) 2) ไม่มีความจําเป็นต้องใช้งประมาณตามแผนปฏิบัติราชการเดิม ( ไม่จําเป็น ) 3) งานตามแผนปฏิบัติราชการเดิม ไม่เป็นประโยชน์หากดําเนินการต่อ ( ไม่เกิดประโยชน ) 4) หากปฏิบัติตามแผนราชการเดิม จะสิ้นเปลืองงบประมาณ ( เปลืองงบประมาณ ) เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติ ให้ส่วนราชการปรับแผนให้สอดคล้อง และนําไปปฏิบัติ กรณีที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตําแหน่ง ให้หัวหน้าส่วนราชการ สรุปผลการปฏิบัติราชการและรายงานต่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ 4
3) มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ เพื่อให้การปฏิบัติราชการของส่วนราชการมีประสิทธิภาพ ให้ส่วนราชการ 1) กําหนดเป้าหมาย 2) แผนการทํางาน 3) ระยะเวลา 4) งบประมาณที่ต้องใช้ เผยแพร่ ให้ประชาชน ทราบ มาตรา 20 การบริหารประโยชน์สาธารณะ 1) การจัดทําบัญชีต้นทุน กรมบัญชีกลาง กําหนดหลักเกณฑ์ ส่วนราชการ จัดทําบัญชีต้นทุน ( คํานวนรายรับ รายจ่าย ) การบริการสาธารณะ แจ้งต่อ ก.พ.ร. กรมบัญชีกลาง สํานักงบประมาณ 2) แผนลด รายจ่ายต่อหน่วย กรณีที่ภารกิจ ( รายจ่ายต่อหน่วย ) ของส่วนราชการ ใดสูงกว่า ในกรณีที่ ประเภทและคุณภาพงานคล้ายกัน ส่วนราชการนั้น ( ที่สูงกว่า ) จัดทํา แผนลดรายจ่ายต่อหน่วย แจ้งต่อ ก.พ.ร. กรมบัญชีกลาง สํานักงบประมาณ 3) การประเมินความคุ้มค่า ในการปฏิบัติภารกิจ ให้สํานักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สภาพัฒนา) และสํานักงบประมาณ หากไม่มีการทักท้วง ภายใน 15 วัน ส่วนราชการให้นําไปปฏิบัติ ประเมินความคุ้มค่า ในการปฏิบัติของส่วนราชการ รายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อดูว่าภารกิจใด จะดําเนินการต่อหรือยุบ การประเมินความคุ้มค่า คํานึงถึง 1) ประเภท 2) สภาพของภารกิจงาน ความคุ้มค่า หมายถึง 1) ประโยชน์หรือผลเสียทางสังคม 2) ประโยชน์หรือผลเสียอื่น ที่ไม่ใช่ตัวเงิน 1➡➡ ⬇➡
การจัดซื้อและจัดจ้าง ให้ส่วนราชการ เปิดเผยต่อประชาชน และส่วนราชการ โดยคํานึงถึง 1) ความคุ้มค่า 2) คุณภาพ และราคา 3) ผลประโยชน์ในระยะยาว หากการจัดซื้อ จัดจ้าง สิ่งนั้น เพื่อนํามาใช้งานเป็นเหตุที่ต้องคํานึงถึงคุณภาพและการดูแลรักษา ให้กระทําได้โดยไม่ต้องคํานึงถึงราคาตํ่าสุด ( เน้นคุณภาพ > ราคา ) การปฏิบัติภารกิจใด ๆ ของส่วนราชการ หากส่วนราชการ จําเป็นต้องได้รับ การอนุญาต อนุมัติความเห็นชอบ ตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือที่คณะรัฐมตีกําหนด ให้ส่วนราชการที่มีอํานาจ อนุญาต อนุมัติให้ความเห็นชอบ แจ้งผลแกส่วนราชการที่ยื่นคําขอ ภายใน 15 วัน หากการพิจารณาใช้เวลามากกว่าที่กําหนด ให้ประกาศขยายระยะเวลาเพิ่มและ แจ้งต่อส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง หากปฏิบัติไม่เสร็จภายใน 15 วัน หรือตามประกาศ ถือว่าข้าราชการและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประมาทเลินเล้ออย่างร้ายแรง เว้นแต่พิสูจน์ภายหลังว่าตนไม่มีความผิด การวินิจฉัยชี้ขาดใด ๆ ให้เป็นหน้าที่ ส่วนราชการ ในการแก้ไขปัญหาและพิจารณาโดยเร็ว + อาจมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาได้เท่าที่จําเป็น การสั่งราชการปกติให้จัดทําเป็นลายลักษณ์อักษร เว้นแต่ผู้บังคับบัญชามีความจําเป็น สั่งเป็นวาจาได้ แต่ให้นํามาบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร และรายงาน ต่อผู้สั่งราชการด้วยวาจาทราบ 3 2
4) ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจําเป็น ให้ส่วนราชการ กระจายอํานาจ การตัดสินใจ อนุญาต อนุมัติปฏิบัติราชการแทน ต่อผู้รับผิดชอบโดยตรง เพื่อความสะดวก รวดเร็ว ในการบริการประชาชน ในการกระจายอํานาจ ให้ส่วนราชการ กําหนดเกณฑ์ 1) กํากับ 2) ติดตาม 3) ควบคุม และ 4) ความรับผิดชอบ ของผู้มอบอํานาจ และรับอํานาจ ซึ่งต้องไม่สร้างขั้นตอนในการปฏิบัติงานของข้าราชการ หาก ส่วนราชการใด ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือโทรคมนาคมมาลดขั้นตอน ลดค่าใช้จ่าย ให้นําไปปฏิบัติในการทํางาน และเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ เพื่อประโยชน์ในการกระจายอํานาจและตัดสินใจ ก.พ.ร. สามารถกําหนดแนวทางการกระจายอํานาจ การตัดสินใจได้ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี การปฏิบัติงานและการบริการประชาชน ให้ส่วนราชการ จัดทํา แผนภูมิขั้นตอน ระยะเวลา การดําเนินการ เปิดเผยที่ทําการของส่วนราชการ และในระบบเครือข่ายสารสนเทศ ในการบริการประชาชน และติดต่อส่วนราชการ ให้ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง ที่สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ( องค์การมหาชน ) กําหนด โดยจัดให้มีแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง ภายใน 90 วัน หลังจากประกาศใน พระราชกฤษฏีกา เป็นหน้าที่ของส่วนราชการ ดําเนินการให้บริการ ประชาชน โดยนํา แพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง มาปรับใช้ให้เสร็จ ภายใน 2 ปี 1 ➡ ➡
ในกระทรวงหนึ่ง ให้ปลัดกระทรวง จัดตั้ง ศูนย์บริการร่วม เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนในการปฏิบัติตามกฎ และในการขออนุมัติอนุญาต ติดต่อ สอบถาม แก่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประชาชนไม่ต้องเดินไปยื่น ส่ง รับเอกสารหลายที่ สามารถใช้ศูนย์บริการร่วม เพื่อลดภาระและขั้นตอน ของประชาชน ( ติดต่อเพียงที่เดียว ) การจัดตั้งศูนย์บริการร่วม เมื่อ ศูนย์บริการร่วม ได้รับเรื่องจากประชาชน จะส่งต่อเรื่องนั้น ไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ให้ส่วนราชการ ( พิมพ์เอกสาร หลักฐานต่าง ๆ ) ที่ประชาชนขออนุมัติอนุญาต ส่งกลับมาที่ศูนย์บริการร่วม ให้ศูนย์ราชการร่วม แจ้งต่อประชาชนที่ยื่นคําขอ ( เอกสารครบถ้วนหรือไม่ พร้อมแจ้งระยะเวลาในการดําเนินการเรื่องนั้น) ในกรณีที่มีปัญหา และอุปสรรคในการปฏิบัติราชการ ให้ส่วนราชการ แจ้ง ก.พ.ร. เพื่อเสนอ คณะรัฐมนตรีกําหนดหลักเกณฑ์และปรับปรุงวิธีการตามกฎ หรือกฎหมาย นั้น ก็คือ ให้คณะรัฐมนตรีแก้ไข นั้นแหละ การจัดตั้งศูนย์บริการร่วมในระดับจังหวัด ที่ว่าการอําเภอ และที่ว่าการกึ่งอําเภอ ให้ ผู้ว่าราชการจังหวัด จัดตั้งศูนย์บริการร่วม ไว้ที่ ศาลากลางจังหวัด ให้ นายอําเภอ จัดตั้งศูนย์บริการร่วม ไว้ที่ ที่ว่าการอําเภอ ให้ ปลัดอําเภอ จัดตั้งศูนย์บริการร่วม ไว้ที่ ที่ว่าการกึ่งอําเภอ เมื่อจัดตั้งเสร็จสิ้น ต้องประกาศ ให้ประชาชนทราบ 32⬇⬇⬇⬇ ↓ - ::
5) มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการ ให้ส่วนราชการ ทบทวนภารกิจของตนเอง ว่ามีความจําเป็นที่จะยกเลิก ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงต่อไปหรือไม่ โดยคํานึงถึง 1) แผนแม่บท 2) ยุทธศาสตร์ชาติ 3) แผนการปฏิรูปประเทศ 4) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5) นโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา และแผนอื่น ๆ 6) กําลังเงิน งบประมาณ ความคุ้มค่าของภารกิจและสถานการณ์ การกําหนดเวลาทบทวนภารกิจของส่วนราชการ ให้เป็นไปตามที่ ก.พ.ร. กําหนด ในกรณีที่ ส่วนราชการ เห็นควรยกเลิก ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงภารกิจใด ให้ส่วนราชการปรับปรุงอํานาจหน้าที่ โครงสร้าง อัตรากําลัง ให้สอดคล้อง กัน และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา คือ หากส่วนราชการ จะแก้ไข ปรับปรุง ภารกิจใด ต้องเสนอ ให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ละนําไปปฏิบัติได้ หาก ก.พ.ร. เห็นว่า ภารกิจของส่วนราชการใด สมควรเปลี่ยนแปลง ควรยกลิก ปรับปรุง หรือเพิ่มเติม ให้เสนอคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ให้ส่วนราชการปรับปรุงให้สอดคล้อง ตามที่ ก.พ.ร. เสนอ การยุบ รวม โอน หรือรวมส่วนราชการ ห้ามจัดตั้งส่วนราชการ ที่มีอํานาจ หน้าที่ ภารกิจ หรือลักษณะงานที่คล้ายกัน เว้นแต่ 3 กรณี 1) มีการเปลี่ยนแปลงแผนบริหารราชการแผ่นดิน 2) รักษาความมั่นคงของประเทศ 3) รักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน 4) ได้รับความเห็นชอบจาก ก.พ.ร ส่วนราชการ มีหน้าที่ ทบทวน กฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ เพื่อยกเลิก และปรับปรุง ให้มีความทันสมัยต่อสถานการณ์ ความจําเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคงของประเทศ นําความเห็นของประชาชน มาพิจารณาร่วมด้วย โดยต้องคํานึงถึง ความสะดวกรวดเร็ว และลดภาระประชาชน หากสํานักงานคณะกรรมการกฤษฏีกาเห็นว่า กฎหมาย กฎระเบียบใดของส่วนราชการไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ เป็นอุปสรรค เกิดภาระต่อประชาชน ให้ส่วนรากชารแก้ไขและปรับปรุง หากส่วนราชการไม่เห็นชอบ ให้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณา
6) การอํานวยความสะดวก และตอบสนองความต้องการของประชาชน ในการปฏิบัติราชการที่เกี่ยวกับการบริการประชาชน ส่วนราชการต้องกําหนด ระยะเวลาแล้วเสร็จของงาน และประกาศให้ประชาชนและข้าราชการทราบ โดยมีผู้บังคับบัญชา คอยตรวจสอบ ให้ข้าราชการปฏิบัติงาน ตามระยะเวลาที่กําหนด กรณีส่วนราชการไม่ได้กําหนดระยะเวลา แล้วเสร็จของงาน หรือกําหนดแล้วจะล่าช้า เกิดกว่าความจําเป็น ก.พ.ร. สามารถกําหนดหรือปรับให้ส่วนราชการนั้นปฏิบัติตามระยะเวลา ที่เหมาะสมได้ เมื่อได้รับการติดต่อสอบถามเป็นหนังสือจากประชาชน หรือส่วนราชการ ให้ส่วนราชการนั้น ตอบกลับภายใน 15 วัน ให้ส่วนราชการ จัดให้มีระบบเครือข่ายสารสนเทศ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนที่เข้ามาติดต่อและสอบถาม จัดทําแบบเดียวกับ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศฯ จัดให้มีระบบเครือข่ายสารสนเทศกลาง หากส่วนราชการใดไม่สามารถจัดทําระบบเครือข่ายสารสนเทศกลางได้ อาจร้องขอให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศฯ จัดทําให้ โดยให้ส่วนราชการ สนับสนุนค่าใช้จ่าย บุคลากร และข้อมูลดําเนินการ กรณีส่วนราชการรับเรื่องร้องเรียน ข้อเสนอแนะ และอุปสรรค กรณีที่ส่วนราชการ หรือประชาชน ร้องเรียน ปัญหา อุปสรรค หรือให้ข้อเสนอแนะ แก่ส่วนราชการ ให้ส่วนราชการรับไว้พิจารณา และแจ้งบุคคล หรือส่วน ราชการที่เข้ามาร้องเรียน หรือ ให้ข้อเสนอแนะ หากทราบที่อยู่ผู้ร้องให้แจ้งบุคคล หรือส่วนราชการ นั้นด้วย หรือ แจ้งผ่านเครือข่ายสารสนเทศ ของส่วนราชการ กรณีแจ้งในเครือข่าย สารสนเทศ ห้ามเปิดเผยชื่อ และที่อยู่ของผู้ร้อง หากเรื่องร้องเรียนเป็นเรื่องเข้าใจผิด หรือไม่ เข้าใจในกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ ให้ชี้แจงผู้ร้องเรียน ภายใน 15 วัน หรือแจ้ง ผ่าน ก.พ.ร. ก็ได้ ส่วนราชการต้องเปิดเผยงบประมาณรายจ่ายประจําปี เกี่ยวกับการจัดซื้อ หรือจัดจ้าง ให้ประชาชน ตรวจสอบได้ ณ ที่ทําการส่วนราชการหรือระบบเครือข่ายสารสนเทศ ของส่วนราชการ
7) การประเมินผลการปฏิบัติราชการ ให้ส่วนราชการ จัดให้มีคณะผู้ประเมินอิสระ ดําเนินการประเมินผลการปฏิบัติของส่วนราชการ เกี่ยวกับ ผลสัมฤทธิ์ภารกิจ คุณภาพการให้บริการ ความพึงพอใจผู้รับบริการ ความคุ้มค่าของภารกิจ หรือตามที่ ก.พ.ร กําหนด ส่วนราชการ อาจจัดให้มีการประเมินภาพรวมของผู้บังคับบัญชา หรือหน่วยงานในส่วนราชการ แต่ต้องเป็นความลับและประโยชน์ ความสามัคคีของส่วนราชการ ในการประเมินผลการปฏิบัติราชการ ของข้าราชการ เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานบุคคล ในกรณีที่ส่วนราชการ ทํางานมีคุณภาพ ตามเป้าหมาย และพึงพอใจต่อประชาชน ให้ก.พ.ร. เสนอ คณะรัฐมนตรี จัดสรรเงินเพิ่มพิเศษ บําเหน็จ บํานาญความชอบ ให้แก่ส่วนราชการ ในกรณีที่ส่วนราชการ ทํางานตามเป้าหมาย เพิ่มผลงาน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ให้ก.พ.ร. เสนอ คณะรัฐมนตรี จัดสรรเงินรางวัลเพิ่มประสิทธิภาพ ให้แก่ส่วนราชการ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทําหลักเกณฑ์การบริหาร กิจการบ้านเมืองที่ดี ตามแนว พ.ร.ฎ. ฉบับนี้ อย่างน้อยต้องมีหลักเกณฑ์ 1) ลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน 2) อํานวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของประชาชน กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดูแล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการจัดทําหลักเกณฑ์ดังกล่าว ให้รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน จัดทําหลักเกณฑ์การบริหารกิจการ บ้านเมืองที่ดีดังกล่าวด้วย กรณีที่ ก.พ.ร. เห็นว่า การจัดทําหลักเกณฑ์ไม่สอดคล้อง ให้รัฐมนตรีที่กํากับดูแล สั่งดําเนินการให้ถูกต้อง ⬇ ➡➡
พระราชบัญญัติ มาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 สรุป ↑ -
พระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 ใช้บังคับถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดย พ.ร.บ. ฉบับนี้ถือเป็นหลักการประพฤติและปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมของเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะ ฝ่ายบริหาร ใหันายกรัฐมนตรีรักษาการ → ประยุทธ์จันทร์โอชา หน่วยงานของรัฐ หมายถึง กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการอื่น (มีฐานะเป็นกรม) ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หน่วยงานอันของรัฐในฝ่ายบริหาร ส่วนกลาง บังคับใช้แก่ กระทรวง ทบวง กรม ส่วนภูมิภาค บังคับใช้แก่ จังหวัด และอําเภอ) ส่วนท้องถิ่น บังคับใช้แก่ เทศบาล อบจ. อบต. รัฐวิสาหกิจ บังคับใช้แก่ เช่น การไฟฟ้านครหลวง องค์การมหาชน บังคับใช้แก่ เช่น สํานักงาน/สถาบัน ฝ่ายบริหาร บังคับใช้กับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี 1) ไม่บังคับใช้กับหน่วยงานธุรการของรัฐสภา เช่น สํานักงานต่าง ๆ ในรัฐสภา ทั้งในฝ่ายสภาผู้แทนราษฏร (สส.) และ วุฒิสภา (สว.) รวมถึงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 2) ไม่บังคับใช้กับองศ์กรอิสระ เช่น 2.1) สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 2.2) สํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) 2.3) สํานักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (สผผ.) 2.4) สํานักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) 2.5) สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) 3) ศาล อาทิศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลยุติธรรม เป็นตัน 4) องค์กรอัยการ รวมถึง ความเป็นอิสระของพนักงานอัยการในการปฏิบัติหน้าที่และพิจารณาคดี บรรดาประมวลจริยธรรม กฎระเบียบต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่บังคับใช้ก่อน พ.ร.บ. ฉบับนี้ประกาศ ให้ใช้อยู่ต่อไปได้ หากไม่ขัดแย้งกับ พ.ร.บ. ฉบับนี้ มาตรา 3 การบังคับใช้มาตรา 3 การบังคับใช้ ใช้กับแค่ฝ่ายบริหาร เท่านั้น สําคัญนะ มาตรา 3 ไม่บังคับใช้กับอะไรบ้าง สําคัญนะ หลักความเป็นกลาง -
1) ยึดมั่นในสถาบันหลักของประเทศ อันได้แก่ ชาติศาสนา พระมหากษัตริย์และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2) ซื่อสัตย์สุจริต มีจิตสํานึกที่ดีและรับผิดชอบต่อหน้าที่ 3) กล้าตัดสินใจและกระทําในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม 4) คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตัว และมีจิตสาธารณะ 5) มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน 6) ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ 7) ดํารงตนเป็นแบบอย่างที่ดีและรักษาภาพลักษณ์ องค์ประกอบมาตรฐานทางจริยธรรม องค์ประกอบมาตรฐานทางจริยธรรม ประกอบด้วย 7 ประการ ให้หน่วยงานของรัฐ นําองค์ประกอบ 7 ข้อ ใช้เป็นหลักในการจัดทําประมวลจริยธรรม เพื่อให้ข้าราชการนําไปปฏิบัติ การตัดสินความถูกหรือผิด / ควรทําหรือไม่ สภาพคุณงามความดีในการปฏิบัติงาน* กระทําความดีละเว้นความชั่ว อยู่ในสถาบันต้องดํารงตนให้ซื่อสัตย์ กล้าตัดสินใจเพื่อส่วนรวม มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน และเป็นธรรม ให้องค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคล จัดทําประมวลจริยธรรมให้ข้าราชการที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบ ทริคในการจํา โดยคํานึงถึง สําคัญนะ ใครเป็นผู้รับผิดชอบจัดทําประมวลจริยธรรม ? มาตรา 5 แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ประเภทที่ 1) สําหรับหน่วยงานที่มีองค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคล และ ประเภทที่ 2) สําหรับหน่วยงานที่ไม่มีองค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคล ↳ - ·
ให้องค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคล จัดทําประมวลจริยธรรมแก่เจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบ สําหรับข้าราชการพลเรือน ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น 1) คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน 2) คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา 3) คณะกรรมการครูและบุคลากรทางการศึกษา 4) คณะกรรมการข้าราชการตํารวจ 5) คณะกรรมการกลางของเจ้าหน้าที่รัฐในฝ่ายบริหาร 6) คณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น 6 หน่วย ประเภทที่ 2) กรณีที่ ไม่มีองค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคล ให้องค์กรต่อไปนี้จัดทําประมวลจริยธรรม 1) คณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) จัดทําประมวลจริยธรรมสําหรับ ข้าราชการการเมือง 2) สภากลาโหม จัดทําประมวลจริยธรรมสําหรับ ทหาร 3) คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ จัดทําประมวลจริยธรรมสําหรับ ผู้บริหารและพนักงาน 4) คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน จัดทําประมวลจริยธรรมสําหรับ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ในกรณีที่สงสัย มีข้อเสนอ แนะนํา หรือองค์ใดเป็นผู้จัดทําประมวลจริยธรรมแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้สอบถาม ? คณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม (ก.ม.จ.) เป็นผู้มีอํานาจวินิจฉัย โดย มีสํานักงานอยู่ใน สํานักงาน ก.พ. ประเภทที่ 1) สําหรับหน่วยงานที่มีองค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคล สงสัยว่าใครเป็นผู้จัดทําประมวลจริยธรรม ⬇สําคัญนะ องค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคล หมายความว่า มาตรา 6 -
คณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม 1) นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกมอบหมายให้เป็น ประธานกรรมการ จํานวน 1 คน 2) ผู้แทน คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) รองประธาน จํานวน 1 คน 3) กรรมการโดยตําแหน่ง 5 คน ประกอบด้วย 3.1 ผู้แทนจาก คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ) จํานวน 1 คน 3.2 คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) จํานวน 1 คน 3.3 คณะกรรมการข้าราชการตํารวจ จํานวน 1 คน 3.4 คณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น จํานวน 1 คน 3.5 สภากลาโหม จํานวน 1 คน 4) ผู้ทรงคุณวุฒินายกแต่งตั้ง ไม่เกิน 5 คน เป็นกรรมการโดยตําแหน่ง คุณสมบัติผู้ทรงคุณวุฒิ ดํารงตําแหน่งไม่เกิน 2 วาระ ดํารงตําแหน่ง 3 ปี อายุไม่เกิน 45 ปี • หากพ้นจากตําแหน่ง ก.ม.จ. ต้องมีมติไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ของกรรมการที่มีอยู่ • ถ้าวาระที่เหลือของผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 180 วัน จะไม่สามารถแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิได้ (อยู่จนกว่าจะมีคนใหม่) • กรณีกรรมการพ้นจากตําแหน่งก่อนวาระ ให้ก.ม.จ. ปฏิบัติเท่าที่มีอยู่ จนกว่าจะแต่งตั้งใหม่ ทริคในการจํา 2/3/4/5 ผู้ทรงคุณวุฒิต้อง มีความรู้ ด้านส่งเสริมจริยธรรม ด้านกฎหมาย ด้านบริหารงานส่วนบุคคล ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หรือตามที่ ก.ม.จ. กําหนด กรรมการ และเลขานุการ ของคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม ให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการ + เลขานุการ เลขาธิการ ก.พ. แต่งตั้ง ข้าราชการในสํานักงาน ก.พ. เป็น ผู้ช่วยเลขานุการ ปฏิบัติงานเกี่ยวกับงานธุรการทั่วไป โดย สํานักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานธุรการของ ก.ม.จ. สําคัญนะ ส่วนนี้ออกข้อสอบบ่อย
อํานาจและหน้าที่ของ คณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม 1) เสนอแนะและให้คําปรึกษาเกี่ยวกับ นโยบาย และยุทธศาสตร์ด้านมาตรฐานทางจริยธรรมและการส่งเสริมจริยธรรมภาครัฐ ต่อคณะรัฐมนตรี 2) กําหนดแนวทางหรือมาตรฐานในการ ขับเคลื่อน การดําเนินกระบวนการรักษาจริยธรรม รวมทั้งกลไกและการบังคับใช้ประมวล จริยธรรมสําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้องค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคล องค์กรตามมาตรา 6 วรรค 2 หรือผู้บังคับบัญชานําไปใช้ในกระบวนการบริหารงานบุคคลอย่างเป็นรูปธรรม 3) กําหนดแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐาน ทางจริยธรรมและยึดถือแนวทางปฏิบัติตามประมวลจริยธรรม รวมทั้งเสนอแนะมาตรการในการเพิ่มพูนประสิทธิภาพและเสริมสร้างแรง จูงใจในการปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมแก่หน่วยงานของรัฐต่อคณะรัฐมนตรี 4) กํากับ ติดตาม และประเมินผลการดําเนินการตามมาตรฐานทางจริยธรรม โดยอย่างน้อย ต้องให้หน่วยงานของรัฐจัดให้มีการประเมิน ความรู้ความเข้าใจ มาตรฐานทางจริยธรรม และพฤติกรรมเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดย ประเมินผลตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ม.จ. กําหนด และอาจให้มีองค์กรภายนอกเข้ามาร่วมประเมินได้ 5) ตรวจสอบรายงานประจําปีสรุปผล และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีอย่างน้อย ปีละหนึ่งครั้ง 6) ตีความและวินิจฉัยปัญหาที่เกิดจากการใช้พระราชบัญญัตินี้ 7) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัตินี้หรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย การทบทวนมาตรฐานทางจริยธรรม ให้ทบทวนทุก ๆ 5 ปี หรือตามสถานการณ์และความจําเป็น กมจ. จะพิจารณาทบทวนเร็วกว่านั้นได้ โดยให้เชิญผู้แทนจากองค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคล หรือหน่วยงานตามมาตรา 6 มาร่วมหารือด้วย หน้าที่เพิ่มเติม ก.ม.จ. มีอํานาจและหน้าที่ในการจัดทํา คู่มือหรือแนวทาง ให้องค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคลและหน่วยงานของรัฐ ใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการจัดทําประมวลและข้อกําหนด ทางจริยธรรม ก.ม.จ. มีหน้าที่ให้คําแนะนําแก่องค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคล หากการจัดทําประมวลจริยธรรมของ องค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคลหรือข้อกําหนดจริยธรรม ของเจ้าหน้าที่รัฐไม่สอดคล้องกับมาตรฐานทางจริยธรรม ให้ก.ม.จ. แจ้ง องค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคล และหน่วยงานของรัฐ แก้ไขโดยเร็ววัน (ไม่ระบุวัน) การทบทวนมาตรฐานทางจริยธรรม การจัดทําประมวลจริยธรรมไม่สอดคล้อง
การรักษาจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐและนําจริยธรรมไปใช้ในกระบวนการบริหารงานบุคคล ส่วนราชการที่ต้องทําตาม พ.ร.บ. มีอะไรบ้าง ? 1) กําหนดให้มีผู้รับผิดชอบการรักษาจริยธรรมประจําหน่วยงานของรัฐ 2) ดําเนินกิจกรรมการส่งเสริม สนับสนุน ให้ความรู้ฝึกอบรม และพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในหน่วยงานของรัฐ รวมถึงให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐ 3) ทุก ๆ สิ้นปีงบประมาณ ให้จัดทํารายงานประจําปีตามที่ ก.ม.จ. กําหนด และเสนอต่อ ก.ม.จ. โดยให้หน่วยงานของรัฐเสนอรายงานประจําปีผ่าน องค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคล หรือองค์กรตามมาตรา 6 วรรค 2 เพื่อประเมินผลภาพรวมหน่วยงานของรัฐเสนอต่อ ก.ม.จ. ยกตัวอย่าง กรม A 1) มีการแต่งตั้งข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ จํานวน 1 คน เพื่อรับผิดชอบและดูแลให้ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรม 2) มีการจัดอบรม เจ้าหน้าที่ 100 คน เพื่อส่งเสริมให้มีความรู้ตามประมวลจริยธรรม + ส่งเสริมให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐ 3) ทุกสิ้นปีให้หน่วยงานของรัฐ จัดทํารายงานประจําปี ( เกี่ยวกับข้อ 1 และ ข้อ 2 ) โดยเสนอผ่าน องค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคล เพื่อนําไปเสนอต่อ กมจ. เพื่อประมวลผลการดําเนินงาน ตามประมวลจริยธรรม สรุปขั้นตอนการจัดทําประมวลจริยธรรมของสําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรกลางบริหารงานส่วนบุคคล นํามาตราฐานจริยธรรม 7 ข้อ มาจัดทําประมวลจริยธรรม ให้ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค หรือส่วนท้องถิ่น นําไปให้ข้าราชการภายใต้สังกัดปฏิบัติตามประมวลจริยธรรม มีหน้าที่กํากับ ดูแล และจัดหลักสูตร อบรม ส่งเสริมเจ้าหน้าที่ ให้ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรม สถาบัน ซื่อสัตย์ตัดสินใจ ส่วนรวม มุ่งผลสัมฤทธิ์มีคุณธรรม และดํารงตน มาตรา 7