ประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการ และการด าเนินการทางวินัย ที่น ามาใช้กับผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานภาค 8 รวบรวมโดย ศาลแรงงานภาค 8
ประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการ และการด าเนินการทางวินัย ที่น ามาใช้กับผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานภาค 8
สารบัญ หน้า การดําเนินการทางวินยั ประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการสอบสวน ข้อเท็จจริงในชั้นต้น กรณีข้าราชการตุลาการถูกกล่าวหาหรือเป็นที่สงสัยว่า กระทําผิดวินัย พ.ศ. ๒๕๔๔ .................................................................................................................... ๑ ระเบียบคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสอบสวน พ.ศ. ๒๕๔๔ ................................................................................................................................................... 4 หมวด ๑ บททั่วไป ................................................................................................................... 4 หมวด ๒ หลักเกณฑ์การสอบสวน ...................................................................................... 5 หมวด ๓ วิธีการสอบสวน ...................................................................................................... 6 ประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เรื่อง กรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง พ.ศ. ๒๕๔๔ .................................................................................................................................................... ๑9 ประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอุทธรณ์คําสั่ง คณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมประจําชั้นศาลที่ให้ยุติเรื่องขอทบทวนคําสั่ง ลงโทษทางวินัย พ.ศ. ๒๕๔๔ .................................................................................................................. 20 ประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เรื่อง จริยธรรมของข้าราชการตุลาการ พ.ศ. ๒๕๕๒ .................................................................................................................................................... 23 ประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการ ................................................................................................ 24 หมวด ๑ อุดมการณ์ของผู้พิพากษา .................................................................................... 24 หมวด ๒ จริยธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในทางอรรถคดี ..................................... 24 หมวด ๓ จริยธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในทางธุรการ ......................................... 27 หมวด ๔ จริยธรรมเกี่ยวกับกิจการอื่น ................................................................................ 29 หมวด ๕ จริยธรรมเกี่ยวกับการดํารงตนและครอบครัว ................................................ 31 หมวด ๖ จริยธรรมของผู้ช่วยผู้พิพากษา ดะโต๊ะยุติธรรม และผู้พิพากษาสมทบ.. 33 ภาคผนวก ประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการ
๑ ประกาศคณะกรรมการตลาการศาลยุตุิธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธการสอบสวนขี ้อเท็จจริงในชั้นต้น กรณีข้าราชการตุลาการถูกกล่าวหาหรือเป็นที่สงสัยว่ากระทําผิดวินัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ________________ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๖๘ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ ฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมจึงออกประกาศไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้น กรณีข้าราชการตุลาการถูกกล่าวหาหรือ เป็นที่สงสัยว่ากระทําผิดวินัย พ.ศ. ๒๕๔๔” ข้อ ๒ ๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้อ ๓ เมื่อข้าราชการตุลาการในศาลใดถูกกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทํา ผิดวินัย ให้ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ์ประธานศาลอุทธรณ์ภาค อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในงานของศาลยุติธรรมนั้น พิจารณาดําเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นเพื่อให้ได้ความจริงและเป็นธรรมโดยไม่ชักช้า การกล่าวหาดังต่อไปนี้ ข้าราชการตุลาการผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในงานของ ศาลยุติธรรมนั้นอาจไม่ดําเนินการสอบสวนก็ได้ (๑) การกล่าวหากระทําโดยหนังสือสนเท่ห์ซึ่งไม่มีชื่อ และที่อยู่ของผู้กล่าวหา หรือไม่มี พยานหลักฐานแวดล้อมชัดแจ้ง ตลอดจนชี้พยานบุคคลแน่นอนพอที่จะสอบสวนได้ (๒) การกล่าวหาไม่มีข้อมูล หรือมีสาระเพียงพอจะสอบสวนหาความจริงได้ (๓) การกล่าวหาที่ผู้กล่าวหาไม่ใช่ผู้เสียหาย ข้อ ๔ ข้าราชการตุลาการผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในงานของศาลยุติธรรมอาจดําเนินการ สอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นตามที่เห็นสมควรโดยการให้ผู้ถูกกล่าวหาและผู้ซึ่งเกี่ยวข้องชี้แจงข้อเท็จจริง เป็นหนังสือโดยบันทึกเรื่องราวและความเห็น หรือตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนข้อเท็จจริงก็ได้ ในการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นตามวรรคก่อน ให้ข้าราชการตุลาการผู้มีหน้าที่ รับผิดชอบในงานของศาลยุติธรรมดําเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงต่าง ๆ และรวบรวมพยานหลักฐาน ที่เกี่ยวกับกรณีกล่าวหาเท่าที่สามารถกระทําได้ เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเบื้องต้นในเรื่องที่กล่าวหา และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย 1 หนังสือสํานักงานศาลยุติธรรม ที่ศย ๐๐๓/ว ๒๕๓ ลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๔ 1
๒ การสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้น ข้าราชการตุลาการผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในงานของ ศาลยุติธรรม อาจมอบหมายให้ข้าราชการตุลาการซึ่งมีอาวุโสไม่ต่ํากว่าผู้ถูกกล่าวหา ดําเนินการ สอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นแทนได้เว้นแต่เป็นการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนข้อเท็จจริง ในชั้นต้น ข้อ ๕ การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงตามข้อ ๔ ให้แต่งตั้งจากข้าราชการ ตุลาการในศาลเดียวกันหรือศาลอื่นตามความเหมาะสม ซึ่งไม่มีส่วนได้เสียหรือเกี่ยวข้องในเรื่องนั้น อย่างน้อยสามคน ในกรณีที่จําเป็นต้องมีการแต่งตั้งข้าราชการตุลาการศาลอื่นเป็นคณะกรรมการสอบสวน ข้อเท็จจริงในชั้นต้น ให้ข้าราชการตุลาการผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในงานของศาลยุติธรรมเสนอความจําเป็น ต่อประธานศาลฎีกา หรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคแล้วแต่กรณีเพื่อเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ข้อเท็จจริงในชั้นต้น ข้อ ๖ ในการสอบสวนให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงให้โอกาสแก่ผู้ถูกกล่าวหา หรือผู้ต้องสงสัยว่ากระทําผิดวินัยชี้แจงข้อเท็จจริง ตลอดจนนําพยานหลักฐานมาสืบแก้ในข้อที่เป็นผลร้าย ต่อตนได้ ทั้งนี้ ภายในกําหนดระยะเวลาอันสมควร การสอบสวนตามวรรคหนึ่งผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องสงสัยว่ากระทําผิดวินัยอาจนํา พยานหลักฐานมาเอง หรือจะขอให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรียกพยานหลักฐานนั้นมาก็ได้ ข้อ ๗ หากคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเห็นว่า การสอบสวนพยานหลักฐานใด จะทําให้การสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นต้องล่าช้าไปโดยไม่จําเป็น หรือมิใช่พยานหลักฐาน ในประเด็นสําคัญ คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงจะงดการสอบสวนพยานหลักฐานนั้นเสียก็ได้ แต่ต้องบันทึกเหตุนั้นไว้ในสํานวนการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้น ข้อ ๘ ให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงดําเนินการสอบสวนและรวบรวม พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง แล้วสรุปความเห็นและความเห็นแย้งหากมีเสนอต่อผู้แต่งตั้งโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสามสิบวันนับแต่ได้รับแต่งตั้ง เว้นแต่มีเหตุจําเป็นที่ทําให้การสอบสวนไม่แล้วเสร็จ ภายในกําหนดระยะเวลานั้น ก็ให้ขยายระยะเวลาออกไปได้อีกไม่เกินสองครั้ง แต่ละครั้งต้องไม่เกิน สิบห้าวัน แต่ไม่ตัดสิทธิข้าราชการตุลาการผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในงานของศาลยุติธรรมที่จะสั่งให้ คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงสอบสวนเพิ่มเติมได้ภายในระยะเวลาที่กําหนดตามที่จําเป็น ข้อ ๙ เมื่อเสร็จสิ้นการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นแล้ว ให้คณะกรรมการสอบสวน ข้อเท็จจริงพิจารณาว่า มีข้อเท็จจริงที่เป็นผลร้ายแก่ผู้ถูกกล่าวหา หรือผู้ต้องสงสัยว่ากระทําผิดวินัย ซึ่งผู้นั้นยังไม่มีโอกาสชี้แจงหรือไม่ หากมีกรณีเช่นนั้นให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแจ้งให้ ผู้นั้นชี้แจงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนั้นก่อน เว้นแต่จะปรากฏจากพยานหลักฐานว่าข้อเท็จจริงดังกล่าว เป็นที่ชัดแจ้งอยู่แล้ว คําชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหา หรือผู้ต้องสงสัยว่ากระทําผิดวินัยให้รวมไว้ในสํานวน ในกรณี ที่ผู้ต้องสงสัยว่ากระทําผิดวินัย หรือผู้ที่อาจถูกดําเนินการทางวินัยไม่ชี้แจง ให้จดแจ้งและรวมไว้ในสํานวน ข้อ ๑๐ เมื่อการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นเสร็จสิ้น ให้ข้าราชการตุลาการผู้มีหน้าที่ รับผิดชอบในงานของศาลยุติธรรมดําเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
๓ (๑) หากการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นพบว่ากรณีไม่มีมูลเป็นความผิดวินัย ให้ข้าราชการตุลาการผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในงานของศาลยุติธรรมยุติเรื่อง และรายงานผล การสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นให้ประธานศาลฎีกาทราบ (๒) หากการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นพบว่าเป็นกรณีความผิดวินัย ให้ข้าราชการ ตุลาการผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในงานของศาลยุติธรรม สรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้น และเสนอความเห็นต่อประธานศาลฎีกาเพื่อดําเนินการทางวินัยแก่ผู้ถูกกล่าวหาต่อไป ข้อ ๑๑ เมื่อได้รับรายงานผลการสอบสวนในชั้นต้นแล้ว หากประธานศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์เป็นความผิดวินัย ให้ประธานศาลฎีกามีคําสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยหรือดําเนินการ เพื่อให้มีคําสั่งลงโทษทางวินัย เพื่อประโยชน์ในการดําเนินการทางวินัย ประธานศาลฎีกาอาจสั่งให้ดําเนินการ สอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมก็ได้ โดยกําหนดประเด็นพร้อมทั้งส่งพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปยัง ข้าราชการตุลาการผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในงานของศาลยุติธรรม ดําเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และให้กําหนดระยะเวลาการสอบสวนตามสมควรไปด้วย ข้อ ๑๒ การโยกย้ายข้าราชการตุลาการโดยไม่ได้รับความยินยอมตามความในมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ สําหรับข้าราชการ ตุลาการที่ถูกกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทําผิดวินัยในชั้นการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้น จะกระทําได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากมติของ ก.ต. ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ ของจํานวนกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ข้อ ๑๓ เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นแก่ผู้กล่าวหาและพยาน ห้ามมิให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นเปิดเผยชื่อ ที่อยู่ หรือข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับ ผู้กล่าวหาและพยานบุคคลในการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นแก่บุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการ ดําเนินการทางวินัย เว้นแต่เป็นการเปิดเผยข้อมูลตามกฎหมายหรือได้รับความยินยอมจากบุคคลนั้น ข้อ ๑๔ ให้ประธานศาลฎีการักษาการตามประกาศนี้ ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๔ (ลงชื่อ) ธวัชชัย พิทักษ์พล (นายธวัชชัย พิทักษ์พล) ประธานกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม
๔ ระเบียบคณะกรรมการตลาการศาลยุตุิธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธการสอบสวนีพ.ศ. ๒๕๔๔ โดยที่เป็นการสมควรให้มีระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสอบสวน อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๗๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ ฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมจึงวางระเบียบไว้ดังต่อไปนี้ หมวด ๑ บททั่วไป ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า "ระเบียบคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วย หลักเกณฑ์และวิธีการสอบสวน พ.ศ. ๒๕๔๔" ข้อ ๒๑ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ข้อ ๓ ในระเบียบนี้ "ก.ต." หมายความว่า คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม "คณะกรรมการสอบสวน" หมายความว่า คณะกรรมการสอบสวนซึ่งประธานศาลฎีกา แต่งตั้งตามมาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ "การสอบสวนวินัย" หมายความว่า การสอบสวนโดยคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งประธานศาลฎีกาแต่งตั้งตามมาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ ฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ "ประธานกรรมการ" หมายความว่า ประธานของคณะกรรมการสอบสวน "กรรมการ" หมายความว่า กรรมการของคณะกรรมการสอบสวน 1 ๑ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๘/ตอนพิเศษ ๖๓ ง/หน้า ๔๗/๔ กรกฎาคม ๒๕๔๔
๕ หมวด ๒ หลักเกณฑ์การสอบสวน ข้อ ๔ ในกรณีที่การสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้นมีมูลว่า ข้าราชการตุลาการใดกระทํา ผิดวินัย อย่างร้ายแรงที่มีโทษถึงไล่ออก ปลดออก ห รือให้ออก ให้ดําเนินการสอบสวน ข้าราชการตุลาการนั้นตามหลักเกณฑ์การสอบสวนและวิธีการสอบสวนที่กําหนดในระเบียบนี้ ข้อ ๕ ในการสอบสวนวินัย ให้ประธานศาลฎีกาแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งประกอบด้วยกรรมการซึ่งเป็นข้าราชการตุลาการ และเป็นผู้ซึ่งไม่มีส่วนได้เสียหรือเกี่ยวข้อง ในเรื่องนั้นขึ้นอย่างน้อยสามคนเพื่อทําการสอบสวน โดยมีประธานกรรมการหนึ่งคนและกรรมการ อย่างน้อยอีกสองคน และให้กรรมการคนหนึ่งเป็นเลขานุการ เมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว หากมีเหตุจําเป็นหรือเหตุสมควร ต้องเปลี่ยนแปลงบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการสอบสวน ให้ประธานศาลฎีก า มีคําสั่งเปลี่ยนแปลงได้โดยให้สํานักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมแจ้งคําสั่งตามวิธีการในข้อ ๖ การเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการสอบสวน หรือการ เปลี่ยนแปลงตําแหน่งหรืออาวุโสของบุคคลดังกล่าว ไม่กระทบถึงการแต่งตั้งหรือการสอบสวน ที่ได้กระทําไปแล้ว ข้อ ๖ คําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนต้องระบุชื่อและตําแหน่งของ ผู้ถูกกล่าวหา เรื่องที่กล่าวหา ชื่อและตําแหน่งของคณะกรรมการสอบสวน ทั้งนี้ให้เป็นไปตามแบบ สส. ๑ ท้ายระเบียบนี้ เมื่อมีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว ให้สํานักคณะกรรมการตุลาการ ศาลยุติธรรมแจ้งคําสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาและคณะกรรมการสอบสวนทราบโดยเร็ว โดยให้ลง ลายมือชื่อและวันที่ที่รับทราบด้วย ทั้งนี้หากมีผู้ไม่ยอมลงลายมือชื่อรับทราบ ให้สํานักคณะกรรมการ ตุลาการศาลยุติธรรมจดแจ้งเหตุที่ไม่มีลายมือชื่อนั้นไว้แทนการลงลายมือชื่อ โดยให้บันทึก รายละเอียดแนบสํานวนการสอบสวนวินัยไว้ ข้อ ๗ ผู้ถูกกล่าวหาอาจคัดค้านคณะกรรมการสอบสวนคนหนึ่งคนใดได้ โดยทําเป็นหนังสือยื่นต่อคณะกรรมการสอบสวนก่อนเริ่มการสอบสวน หรือถ้าทราบเหตุที่ พึงคัดค้านในระหว่างการสอบสวน ก็ให้ยื่นหนังสือคัดค้านภายในสิบห้าวันนับแต่วันทราบเหตุ แห่งการคัดค้าน ให้นําบทบัญญัติในลักษณะ ๒ หมวด ๒ การคัดค้านผู้พิพากษา แห่งประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับกับเหตุคัดค้านและการคัดค้านคณะกรรมการสอบสวนด้วยโดยอนุโลม เมื่อได้รับหนังสือคัดค้านแล้ว ผู้ถูกคัดค้านอาจทําคําชี้แจงได้และให้ประธานกรรมการ เสนอเรื่องการคัดค้านให้ประธานศาลฎีกาพิจารณาต่อไป ในการพิจารณาเรื่องการคัดค้าน หากประธานศาลฎีกาเห็นว่าการคัดค้านนั้น มีเหตุอันควรฟังได้ ให้มีคําสั่งเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการสอบสวนตามความเหมาะสมโดยเร็ว
๖ แต่ถ้าเห็นว่าการคัดค้านนั้นไม่มีเหตุอันควรรับฟังก็ให้ยกเสียซึ่งคําคัดค้านนั้น โดยให้บันทึก เหตุผลนั้นรวมไว้กับสํานวนการสอบสวน ข้อ ๘ ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทําผิดวินัย อย่างร้ายแรงในเรื่องอื่นนอกจากที่ระบุไ ว้ในคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ให้ คณะกรรมการสอบสวนรายงานให้ประธานศาลฎีกาทราบโดยเร็ว หากประธานศาลฎีกาเห็นว่า กรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน สําหรับเรื่องนั้น โดยจะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคณะเดิม เป็นผู้ทําการสอบสวนหรือจะ แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนใหม่ก็ได้ ข้อ ๙ ในกรณีที่การสอบสวนพาดพิงไปถึงข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมอื่น ให้คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาในเบื้องต้นว่าข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมผู้นั้น มีส่วนร่วม กระทําการในเรื่องที่สอบสวนนั้นด้วยหรือไม่ถ้าเห็นว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมกระทําการในเรื่องที่สอบสวนนั้น อยู่ด้วย ให้คณะกรรมการรายงานไปยังประธานศาลฎีกาหรือเลขาธิการสํานักงานศาลยุติธรรม แล้วแต่ กรณีเพื่อพิจารณาดําเนินการตามสมควร หากประธานศาลฎีกาเห็นว่า กรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยจะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมเป็นผู้ทําการสอบสวน หรือจะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนใหม่ก็ได้ ทั้งนี้ให้ใช้พยานหลักฐานที่ได้ดําเนินการสอบสวน มาแล้วประกอบการพิจารณาได้ ในกรณีที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนใหม่ ให้สําเนาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ในสํานวนสอบสวนเดิมรวมไว้ในสํานวนสอบสวนใหม่ และให้ใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบการ พิจารณาในสํานวนสอบสวนใหม่ ข้อ ๑๐ ในกรณีที่ข้าราชการตุลาการถูกฟ้องคดีอาญา หาก ก.ต. เห็นว่าข้อเท็จจริง ที่ปรากฏตามคําพิพากษาได้ความประจักษ์ชัดแจ้งอยู่แล้ว ก.ต. จะใช้คําพิพากษาอันถึงที่สุดของศาล เพื่อประกอบการพิจารณา โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนก็ได้แต่ต้องแจ้งให้ข้าราชการ ตุลาการนั้นทราบและให้มีโอกาสชี้แจงก่อน หมวด ๓ วิธีการสอบสวน ข้อ ๑๑ เมื่อได้มีการแจ้งคําสั่งตามข้อ ๖ แล้ว ให้ประธานกรรมการเรียกประชุม คณะกรรมการสอบสวนเพื่อกําหนดแนวทางการสอบสวนต่อไป ข้อ ๑๒ การประชุมและการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนต้องมีกรรมการ มาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม ในการประชุมและการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวน ถ้าประธานกรรมการ ไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่อาจมาประชุมได้ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม
๗ การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่ง ในการลงคะแนน และห้ามมิให้งดออกเสียง ถ้ามีคะแนนเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียง เพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด ข้อ ๑๓ ให้คณะกรรมการสอบสวนดําเนินการสอบสวนให้แล้วเสร็จ ภายในกําหนด ระยะเวลาสามสิบวันนับแต่วันได้รับแต่งตั้ง เว้นแต่กรณีมีเหตุจําเป็นที่ทําให้การสอบสวนไม่แล้วเสร็จ ภายในกําหนดระยะเวลานั้น ก็ให้ขยายระยะเวลาออกไปอีกได้ไม่เกินสองครั้ง โดยแต่ละครั้งจะต้อง ไม่เกินสิบห้าวัน และต้องแจ้งให้ประธานศาลฎีกาทราบพร้อมทั้งแสดงเหตุที่ต้องขยายเวลาไว้ด้วยทุกครั้ง หากพ้นกําหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่งแล้ว คณะกรรมการสอบสวนยังดําเนินการ สอบสวนไม่แล้วเสร็จ ให้บันทึกเหตุที่ทําให้การสอบสวนไม่แล้วเสร็จต่อประธานศาลฎีกา เพื่อขออนุมัติ ให้ขยายกําหนดระยะเวลาตามความจําเป็นครั้งละไม่เกินสามสิบวัน ทั้งนี้กําหนดระยะเวลาทั้งหมด ต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ข้อ ๑๔ เมื่อได้พิจารณาและประชุมกําหนดแนวทางการสอบสวนแล้ว ให้ คณะกรรมการสอบสวน เรียกผู้ถูกกล่าวหามาเพื่อแจ้งและอธิบายข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ โดยไม่ต้องระบุชื่อพยาน และต้องให้สิทธิแก่ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงและนําพยานหลักฐานเข้าสืบแก้ ข้อกล่าวหาได้ตามวิธีการในหมวดนี้ ข้อ ๑๕ บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาตามข้อ ๑๔ ให้เป็นไปตามแบบ สส. ๒ ท้าย ระเบียบนี้ โดยให้ผู้ถูกกล่าวหาลงลายมือชื่อรับทราบไว้และให้สําเนาให้ผู้ถูกกล่าวหาหนึ่งฉบับ แล้วให้ถามผู้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทําการตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่จะชี้แจงหรือให้ถ้อยคําอย่างไรบ้าง หากผู้ถูกกล่าวหาไม่ยอมลงลายมือชื่อรับทราบ ให้คณะกรรมการสอบสวนจดแจ้งเหตุที่ไม่มี ลายมือชื่อนั้นไว้แทนการลงลายมือชื่อ ให้คณะกรรมการสอบสวนบันทึกถ้อยคําของผู้ถูกกล่าวหาไว้ถ้าผู้ถูกกล่าวหา ไม่ให้ถ้อยคําก็ให้บันทึกรายงานไว้และดําเนินการสอบสวนต่อไป ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาให้ถ้อยคํารับว่าได้กระทําการตามที่ถูกกล่าวหา ให้คณะกรรมการ สอบสวนบันทึกถ้อยคํารับ รวมทั้งเหตุผล สาเหตุแห่งการกระทํา และข้อเท็จจริงอื่นที่เกี่ยวข้อง ไว้ด้วย ในกรณีนี้คณะกรรมการสอบสวนจะไม่ทําการสอบสวนต่อไปก็ได้หรือจะสอบสวนต่อไป ตามควรเพื่อทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เกี่ยวกับเรื่องที่กล่าวหาก็ได้แล้วให้ดําเนินการตามข้อ ๒๓ ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหามิได้ให้ถ้อยคํารับสารภาพ ให้คณะกรรมการสอบสวน ดําเนินการสอบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาต่อไป ข้อ ๑๖ เมื่อได้รับทราบบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาอาจยื่นคําชี้แจง แก้ข้อกล่าวหาเป็นหนังสือ ต่อคณะกรรมการสอบสวนภายในสิบห้าวัน ถ้าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ยื่น คําชี้แจงภายในกําหนดระยะเวลา ให้คณะกรรมการสอบสวนดําเนินการสอบสวนต่อไป ให้ผู้ถูกกล่าวหาแสดงโดยชัดแจ้งในคําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ว่ายอมรับหรือปฏิเสธ ข้อกล่าวหาทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ผู้ถูกกล่าวหาอาจยื่นคําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเพิ่มเติมต่อคณะกรรมการสอบสวนได้ ก่อนการสอบสวนเสร็จสิ้น ทั้งนี้คณะกรรมการสอบสวนมีอํานาจให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแก้ ข้อกล่าวหาเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร
๘ ข้อ ๑๗ ในการสอบสวน ให้คณะกรรมการสอบสวนเรียกผู้ซึ่งจะถูกสอบปากคํา เข้ามาในที่สอบสวนคราวละหนึ่งคน และห้ามมิให้บุคคลอื่นอยู่ในที่สอบสวน เว้นแต่บุคคล ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนอนุญาตให้อยู่ในที่สอบสวน เพื่อประโยชน์แห่งการสอบสวน การสอบปากคําผู้ถูกกล่าวหาหรือพยาน ให้บันทึกถ้อยคําไว้ตามแบบ สส. ๓ ท้ายระเบียบนี้แล้วให้อ่านให้ผู้ให้ถ้อยคําฟัง และให้ผู้ให้ถ้อยคําลงลายมือชื่อไว้ถ้าผู้ให้ถ้อยคํา ไม่ลงลายมือชื่อให้คณะกรรมการสอบสวนจดแจ้งเหตุที่ไม่มีลายมือชื่อนั้นไว้แทนการลงลายมือชื่อ ข้อ ๑๘ ให้กรรมการสอบสวนเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และให้มี อํานาจเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพียงเท่าที่เกี่ยวกับ อํานาจและหน้าที่ของกรรมการสอบสวน และให้มีอํานาจดังต่อไปนี้ด้วย คือ (๑) เรียกให้กระทรวง ทบวง กรม หน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ หรือ ห้างหุ้นส่วน บริษัท ชี้แจงข้อเท็จจริง ส่งเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ตรวจพิสูจน์พยานหลักฐาน และทําความเห็นในเรื่องดังกล่าว ส่งผู้แทนหรือบุคคลในสังกัดมาชี้แจงหรือให้ถ้อยคําเกี่ยวกับ เรื่องที่สอบสวน (๒) เรียกผู้ถูกกล่าวหาหรือบุคคลใด ๆ มาชี้แจงหรือให้ถ้อยคํา หรือส่งเอกสารและ หลักฐานเกี่ยวกับเรื่องที่สอบสวน ในกรณีไม่สามารถเรียกพยานมาให้ถ้อยคําต่อคณะกรรมการสอบสวน หรือ คณะกรรมการสอบสวนเรียกพยานไม่ได้ภายในเวลาอันสมควร คณะกรรมการสอบสวน จะไม่สอบสวนพยานนั้นก็ได้แต่ต้องบันทึกเหตุนั้นไว้ในสํานวนสอบสวน ข้อ ๑๙ ในการนําเอกสารหรือวัตถุมาใช้เป็นพยานหลักฐานในสํานวนสอบสวน ให้ บันทึกที่มาของพยานหลักฐานดังกล่าวไว้เท่าที่จะทําได้ด้วยว่าเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาอย่างไร จากผู้ใด และเมื่อใด การอ้างพยานเอกสารให้ใช้ต้นฉบับเอกสาร เว้นแต่ไม่อาจนําต้นฉบับมาได้ สําเนาที่รับรองว่าถูกต้องก็อ้างเป็นพยานได้ ข้อ ๒๐ เมื่อเสร็จสิ้นการรวบรวมพยานหลักฐานของฝ่ายผู้กล่าวหาแล้ว ให้ คณะกรรมการสอบสวนดําเนินการประชุมเพื่อพิจารณาว่า มีพยานหลักฐานใดสนับสนุนข้อกล่าวหา ว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทําการใด เมื่อใด อย่างไร และเป็นความผิดวินัยกรณีใด ตามมาตราใด บกพร่อง ต่อหน้าที่หรือหย่อนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือประพฤติตนไม่สมควรที่จะให้ คงเป็นข้าราชการตุลาการต่อไป ตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ ศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ หรือไม่อย่างไร แล้วให้คณะกรรมการสอบสวนเรียกผู้ถูกกล่าวหามาพบ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา โดยระบุข้อกล่าวหาที่ปรากฏตามพยานหลักฐานว่าเป็นความผิดวินัยกรณีใด ตามมาตราใด บกพร่องต่อหน้าที่หรือหย่อนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือ ประพฤติตนไม่สมควรที่จะให้คงเป็นข้าราชการตุลาการต่อไปตามมาตรา ๓๕ อย่างไร และสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาเท่าที่มีให้ทราบ โดยระบุวัน เวลา สถานที่ และการกระทําที่มีลักษณะเป็นการสนับสนุนข้อกล่าวหาโดยไม่ต้องระบุชื่อพยาน การแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาตามวรรคหนึ่ง ให้ทําบันทึกมีสาระสําคัญตามแบบ ส.ส. ๔ ท้ายระเบียบนี้โดยทําเป็นสองฉบับ เพื่อมอบให้
๙ ผู้ถูกกล่าวหาหนึ่งฉบับ เก็บไว้ในสํานวนการสอบสวนหนึ่งฉบับ และให้ผู้ถูกกล่าวหาลงลายมือชื่อ และวันเดือนปีที่รับทราบไว้เป็นหลักฐานด้วย ข้อ ๒๑ ในการสอบสวน ให้คณะกรรมการสอบสวนให้โอกาสแก่ผู้ถูกกล่าวหา ที่จะชี้แจงข้อกล่าวหา ตลอดจนนําพยานหลักฐานมาสืบแก้ข้อกล่าวหาได้ ทั้งนี้ภายในกําหนด ระยะเวลาอันสมควร ผู้ถูกกล่าวหาจะนําพยานหลักฐานมาเอง หรือจะขอให้คณะกรรมการสอบสวน เรียกพยานหลักฐานนั้นมาก็ได้ ข้อ ๒๒ หากคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่า การสอบสวนพยานหลักฐานใดจะทําให้ การสอบสวนต้องล่าช้าไปโดยไม่จําเป็น หรือมิใช่พยานหลักฐานในประเด็นสําคัญ คณะกรรมการ จะงดการสอบสวนพยานหลักฐานนั้นเสียก็ได้แต่ต้องบันทึกเหตุนั้นไว้ในสํานวนการสอบสวน ข้อ ๒๓ เมื่อทําการสอบสวนเสร็จแล้ว ให้คณะกรรมการสอบสวนประชุมปรึกษา ทํารายงานความเห็น สรุปข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน และเหตุผลแห่งคําวินิจฉัย พร้อมความเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทําผิดวินัยตามเรื่องกล่าวหาหรือไม่ และควรได้รับโทษสถานใด ทั้งนี้ให้เป็นไปตาม แบบ สส. ๕ ท้ายระเบียบนี้ ถ้ากรรมการสอบสวนคนใดไม่เห็นพ้องด้วยกับคําวินิจฉัย มีอํานาจทําความเห็นแย้ง คําแย้งนี้ให้รวมเข้าสํานวนไว้ ให้คณะกรรมการสอบสวนจัดทํารายงานความเห็นตามวรรคหนึ่ง เสนอต่อ ประธานศาลฎีกา และให้ส่งรายงานดังกล่าวต่อเลขานุการ ก.ต. เพื่อดําเนินการเสนอต่อ คณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมประจําชั้นศาลพิจารณากลั่นกรองเสนอความเห็น ภายในสิบห้าวันนับแต่ได้รับเรื่องจากเลขานุการ ก.ต. ข้อ ๒๔ เมื่อ ก.ต. ได้พิจารณารายงานความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนและ คณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมประจําชั้นศาลแล้ว เห็นสมควรให้สอบสวนเพิ่มเติม ประการใดให้สั่งให้คณะกรรมการสอบสวน ทําการสอบสวนเพิ่มเติมได้ตามความจําเป็น ให้คณะกรรมการสอบสวนทําการสอบสวนเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เมื่อ สอบสวนเสร็จแล้ว ให้ส่งพยานหลักฐานที่ได้จากการสอบสวนเพิ่มเติม โดยไม่ต้องทําความเห็น ไปให้ประธานศาลฎีกาตามข้อ ๒๓ วรรคสาม ข้อ ๒๕ เมื่อ ก.ต. ได้พิจารณารายงานความเห็นตามข้อ ๒๔ แล้ว มีมติว่าข้าราชการ ตุลาการผู้นั้นกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงสมควรไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หรือมีมติเป็นประการอื่นใด ให้ประธานศาลฎีกามีคําสั่งให้เป็นไปตามนั้น ข้อ ๒๖ ในกรณีที่ปรากฏว่าการสอบสวนตอนใด ทําไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ หรือวิธีการ ที่กําหนดไว้ในระเบียบนี้ไม่ทําให้สํานวนสอบสวนทั้งหมดเสียไป หากมิใช่สาระสําคัญ อันจะทําให้เสียความเป็นธรรม ประธานศาลฎีกาจะสั่งให้แก้ไขหรือดําเนินการให้ถูกต้องหรือไม่ก็ได้ แต่หากการสอบสวนตอนนั้นเป็นสาระสําคัญอันจะทําให้เสียความเป็นธรรม ให้ประธานศาลฎีกา สั่งให้คณะกรรมการสอบสวนแก้ไขหรือดําเนินการสอบสวนตอนนั้นให้ถูกต้องโดยเร็ว
๑๐ ข้อ ๒๗ การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ให้ คณะกรรมการสอบสวนดําเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ. ๒๕๒๑ ต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนได้ทําการสอบสวนเสร็จแล้ว ให้ดําเนินการ ตามวิธีการในข้อ ๒๓ วรรคสาม ข้อ ๒๘ ให้ประธานศาลฎีการักษาการตามระเบียบนี้ ประกาศ ณ วันที่๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๔ (ลงชื่อ) ธวัชชัย พิทักษ์พล (นายธวัชชัย พิทักษ์พล) ประธานกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม
๑๑ แบบ สส. ๑ คําสั่งสํานักงานศาลยตุิธรรม ที่ ........./๒๕......... เรื่อง แต่งตงคณะกรรมการสอบสวนั้ ___________________ ด้วย..........................................................................................ข้าราชการตุลาการ ตําแหน่ง......................................................................ศาล....................................................................... มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ เรื่อง ........................................................ ........................................................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................................................. อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่าย ตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อสอบสวนผู้ถูกกล่าวหา ในเรื่องดังกล่าว ประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้ ๑. ..................................................................... เป็นประธานกรรมการ ๒. ..................................................................... เป็นกรรมการ ๓. ..................................................................... เป็นกรรมการและเลขานุการ ..................................................................... เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการสอบสวนดําเนินการสอบสวนพิจารณาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ กําหนดในระเบียบ ก.ต. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสอบสวน พ.ศ. ๒๕๔๔ ออกตามความในมาตรา ๗๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วเสนอสํานวนการสอบสวนมาเพื่อพิจารณาดําเนินการต่อไป สั่ง ณ วนทั ี่ ....... เดอนื ........................... พ.ศ. ........ .................................................. (................................................) ประธานศาลฎกาี
๑๒ แบบ สส. ๒ บันทึกการแจงข้ ้อกล่าวหา เรื่อง การสอบสวน.....................................................ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ ____________________ วันที่ ......... เดือน ........................ พ.ศ. ........... คณะกรรมการสอบสวนตามคําสั่งสํานักงานศาลยุติธรรมที่ ................/๒๕................. เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ลงวันที่ ...... เดือน ........................... พ.ศ. .............. ได้แจ้งและ อธิบายข้อกล่าวหาให้ .............................................................................................. ผู้ถูกกล่าวหาทราบ ดังนี้ ......................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... ทั้งนี้ คณะกรรมการสอบสวนได้แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบแล้วว่า ในการสอบสวนนี้ ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิจะชี้แจงหรือให้ถ้อยคําแก้ข้อกล่าวหา ตลอดจนอ้างพยานหลักฐานหรือนํา พยานหลักฐานมาสืบแก้ข้อกล่าวหาได้ …………………………….. ประธานกรรมการ (...................................) .................................... กรรมการ (...................................) ............................................ กรรมการและเลขานุการ (...................................) ข้าพเจ้า .....................................................................ได้ทราบข้อกล่าวหาและได้รับสําเนา บันทึกนี้หนึ่งฉบับไว้แล้ว เมื่อวันที่ .......... เดือน .............................. พ.ศ. .............. …………………….………. ผู้ถูกกล่าวหา (..................................)
๑๓ แบบ สส. ๓ บันทึกการสอบปากคํา เรื่อง การสอบสวน.....................................................ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ ____________________ สอบสวนที่ ............................................ วันที่ ......... เดือน ........................ พ.ศ. ........... ข้าพเจ้า ............................................................................. อายุ ....................ปี สัญชาติ .......................................... ศาสนา ............................... อาชีพ ................................ อยู่บ้านเลขที่ .................................................... ตรอก / ซอย ................................................... ถนน ........................................................ แขวง / ตําบล ......................................................... เขต / อําเภอ .........................................................................จังหวัด .......................................... ข้าพเจ้าได้ทราบแล้ว ว่า ข้าพเจ้าเป็น ผู้ถูกสอบปากคําในการสอบสวน ในฐานะ .............................................. ทั้งนี้ ตามคําสั่งสํานักงานศาลยุติธรรมที่ ............. /๒๕............. เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ลงวันที่ .......... เดือน ................................. พ.ศ. ......... และข้าพเจ้าขอให้ถ้อยคําตามความสัตย์จริงดังต่อไปนี้ .......................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................................
๑๔ แบบ สส. ๓ ๒ ข้าพเจ้าขอรับรองว่า คณะกรรมการสอบสวนมิได้กระทําการจูงใจ ให้คํามั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง ทรมาน ใช้กําลัง หรือกระทําโดยมิชอบประการใด ๆ และข้าพเจ้าได้ฟังบันทึก ถ้อยคําที่อ่านให้ฟังแล้ว ขอรับรองว่าเป็นบันทึกถ้อยคําที่ถูกต้อง จึงลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้า คณะกรรมการสอบสวน ………………………….………. ผู้ถูกกล่าวหา (........................................) ........................................ ผู้บันทึกถ้อยคํา (.......................................) ข้าพเจ้าขอรับรองว่า .....................................................................ได้ให้ถ้อยคําและลง ลายมือชื่อต่อหน้าข้าพเจ้า ………………………..…………. ประธานกรรมการ (.......................................) .......................................... กรรมการ (........................................) ..................................................กรรมการและเลขานุการ (........................................) ................................................. ผู้ช่วยเลขานุการ (........................................)
๑๕ แบบ สส. ๔ บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา เรื่อง การสอบสวน.....................................................ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ ____________________ วันที่ ........ เดือน ........................... พ.ศ. ......... คณะกรรมการสอบสวนตามคําสั่งสํานักงานศาลยุติธรรมที่ .................. /๒๕............ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ลงวันที่ .......... เดือน .............................. พ.ศ. ......... ได้แจ้ง ข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหาให้.................................................................... ผู้ถูกกล่าวหาทราบดังนี้ ๑. ข้อกล่าวหา ............................................................................................................................ ................... ................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๒. สรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา ............................................................. ....................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................... ……………………….……….…. ประธานกรรมการ (........................................) ........................................... กรรมการ (.........................................) .................................................... กรรมการและเลขานุการ (.........................................)
๑๖ แบบ สส. ๔ ๒ ข้าพเจ้า .............................................................................. ได้ทราบข้อกล่าวหา และสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา และได้รับสําเนาบันทึกนี้หนึ่งฉบับไว้แล้ว เมื่อวันที่......... เดือน ................................. พ.ศ. ............ ............................................. ผู้ถูกกล่าวหา (............................................)
๑๗ แบบ สส. ๕ รายงานความเห็น วันที่ ......... เดือน .......................... พ.ศ. ......... เรื่อง การสอบสวน .................................................. ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา ๖๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ กราบเรียน ประธานศาลฎีกา ตามที่ได้มีคําสั่งสํานักงานศาลยุติธรรม ที่ .................../๒๕............ เรื่อง แต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวน ลงวันที่ ........ เดือน .................................. พ.ศ. ............... เพื่อสอบสวน .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................... นั้น ประธานกรรมการได้รับทราบคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าวเมื่อวันที่........ เดือน .................................. พ.ศ. .......... และคณะกรรมการสอบสวนได้สอบสวนตามหลักเกณฑ์และ วิธีการที่กําหนดในระเบียบ ก.ต. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสอบสวน พ.ศ. ๒๕๔๔ ออกตามความใน มาตรา ๗๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ เสร็จแล้ว จึงขอเสนอรายงานความเห็นดังต่อไปนี้ ................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .........................................................................................................................................................................
๑๘ แบบ สส. ๕ ๒ คณะกรรมการสอบสวนจึงขอเสนอรายงานความเห็นมาเพื่อโปรดพิจารณาดําเนินการต่อไป …………………..………………. ประธานกรรมการ (.......................................) .......................................... กรรมการ (........................................) ................................................... กรรมการและเลขานุการ (........................................) หมายเหตุ รายงานความเห็นต้องมีข้อสําคัญเหล่านี้เป็นอย่างน้อย ๑. การปรากฏของมูลกรณีเรื่องนี้ ๒. การแจ้งข้อกล่าวหาและการให้ถ้อยคําหรือการยื่นคําชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหา ๓. สรุปข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในชั้นสอบสวน ๔. เหตุผลแห่งคําวินิจฉัยและบทมาตราที่ยกขึ้นปรับ ๕. ความเห็นและคําชี้ขาดของคณะกรรมการสอบสวน
๑๙ ประกาศคณะกรรมการตลาการศาลยุตุิธรรม เรื่อง กรณีความผิดทปรากฏช ี่ัดแจ้ง พ.ศ. ๒๕๔๔ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ ฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมจึงออกประกาศไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เรื่องกรณี ความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง พ.ศ. ๒๕๔๔” ข้อ ๒๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ข้อ ๓ ข้าราชการตุลาการผู้ใดกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงในกรณีดังต่อไปนี้ ถือเป็นกรณีความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง ซึ่งประธานศาลฎีกาจะพิจารณาสั่งลงโทษโดยไม่ต้องสอบสวนก็ได้ (๑) กระทําความผิดอาญาจนต้องคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุกหรือให้ลงโทษ ที่หนักกว่าจําคุก เว้นแต่เป็นโทษสําหรับความผิดที่ได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๒) ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินสิบห้าวัน และ ผู้บังคับบัญชาได้ดําเนินการสืบสวนแล้ว เห็นว่าไม่มีเหตุผลอันสมควรหรือมีพฤติการณ์อันแสดง ถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ (๓) กระทําผิดวินัยและได้รับสารภาพเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชา หรือให้ถ้อยคํา รับสารภาพต่อผู้มีหน้าที่สืบสวน หรือคณะกรรมการสอบสวนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการ ฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม และได้มีการบันทึกถ้อยคํารับสารภาพเป็นหนังสือ ข้อ ๔ ให้ประธานศาลฎีการักษาการตามประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๔ (ลงชื่อ) ธวัชชัย พิทักษ์พล (นายธวัชชัย พิทักษ์พล) ประธานกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ๑ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๘/ตอนพิเศษ ๖๓ ง/หน้า ๔๕/๔ กรกฎาคม ๒๕๔๔
๒๐ ประกาศคณะกรรมการตลาการศาลยุตุิธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธการอีุทธรณค์ ําสั่งคณะอนุกรรมการตลาการศาลยุตุิธรรม ประจําชั้นศาลที่ให้ยตุิเรองขอทบทวนคื่ําสั่งลงโทษทางวินัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ___________________ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๘๓ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ ฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอุทธรณ์คําสั่งคณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมประจําชั้นศาล ที่ให้ยุติเรื่องขอทบทวนคําสั่งลงโทษทางวินัย พ.ศ. ๒๕๔๔” ข้อ ๒ ๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้อ ๓ การอุทธรณ์คําสั่งคณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมประจําชั้นศาลที่ให้ยุติ เรื่องขอทบทวนคําสั่งลงโทษทางวินัย ให้อุทธรณ์ได้สําหรับตนเองเท่านั้น จะอุทธรณ์แทนผู้อื่นหรือ มอบหมายให้ผู้อื่นอุทธรณ์แทนไม่ได้ การอุทธรณ์ต้องทําเป็นหนังสือแสดงข้อเท็จจริงและเหตุผลในการอุทธรณ์ว่าได้ถูก ลงโทษโดยไม่ถูกต้องอย่างไร ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในภายหลังว่าผู้อุทธรณ์มิได้กระทําผิดอย่างไร และคําสั่งของคณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมประจําชั้นศาลที่ให้ยุติเรื่องขอทบทวนคําสั่ง ลงโทษทางวินัยไม่ถูกต้องอย่างไร และลงลายมือชื่อและที่อยู่ของผู้อุทธรณ์ ข้อ ๔ เพื่อประโยชน์ในการอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์มีสิทธิขอตรวจหรือคัดรายงานการ สอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนวินัย คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในชั้นต้น และรายงาน ของคณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมประจําชั้นศาลที่ให้ยุติเรื่องขอทบทวนคําสั่งลงโทษทางวินัยได้ ส่วนการขอตรวจหรือคัดบันทึกถ้อยคําพยานบุคคลหรือเอกสารอื่น หรือเอกสารการพิจารณาโทษ ในกรณีที่ไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนให้อยู่ในดุลพินิจของผู้สั่งลงโทษที่จะพิจารณาอนุญาต หรือไม่ โดยให้พิจารณาถึงประโยชน์ในทางการรักษาวินัยของข้าราชการตุลาการ เหตุผลและ ความจําเป็นเป็นเรื่อง ๆ ไป ข้อ ๕ หนังสืออุทธรณ์คําสั่งคณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมประจําชั้นศาล ที่ให้ยุติเรื่องขอทบทวนคําสั่งลงโทษทางวินัย ให้ทําถึงประธาน ก.ต. หรือเลขานุการ ก.ต.และยื่นที่ สํานักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม พร้อมกับสําเนารับรองถูกต้องหนึ่งฉบับด้วย หรือจะยื่นผ่าน ผู้บังคับบัญชาเพื่อให้ส่งต่อไปยังสํานักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม หรือจะยื่นโดยส่ง ๑หนังสือสํานักงานศาลยุติธรรม ที่ศย ๐๐๓/ว ๒๕๑ ลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๔
๒๑ ทางไปรษณีย์ก็ได้ทั้งนี้ต้องยื่นภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคําสั่งคณะอนุกรรมการตุลาการ ศาลยุติธรรมประจําชั้นศาลที่ให้ยุติเรื่อง เมื่อได้ยื่นหรือส่งหนังสืออุทธรณ์ไว้แล้ว ผู้อุทธรณ์จะยื่นอุทธรณ์เพิ่มเติมหรือ ส่งคําแถลงการณ์หรือเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม หรือขอแถลงการณ์ด้วยวาจาเพื่อประกอบการพิจารณา ของ ก.ต. ก็ได้โดยทําเป็นหนังสือยื่นต่อ ก.ต. ก่อนที่ก.ต. จะพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เสร็จ ในกรณีที่ผู้อุทธรณ์ไม่ประสงค์จะให้พิจารณาอุทธรณ์ต่อไป จะขอถอนอุทธรณ์เสียเมื่อใดก็ได้ โดยทําเป็นหนังสือ และเมื่อได้ถอนอุทธรณ์แล้ว การพิจารณาอุทธรณ์ให้เป็นอันระงับ เว้นแต่ขอถอน อุทธรณ์หลังจากที่ก.ต. พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เสร็จแล้ว ก็ให้ดําเนินการต่อไปได้เสมือนว่าไม่ได้มีการ ถอนอุทธรณ์ ข้อ ๖ เพื่อประโยชน์ในการนับกําหนดเวลาอุทธรณ์ เมื่อมีผู้นําหนังสืออุทธรณ์มายื่น ให้ผู้รับหนังสือออกใบรับหนังสือ ประทับตรารับหนังสือ และลงทะเบียนรับหนังสือไว้เป็นหลักฐาน ในวันที่รับหนังสือตามระเบียบว่าด้วยงานสารบรรณ และให้ถือวันที่รับหนังสือตามหลักฐานดังกล่าว เป็นวันยื่นหรือส่งหนังสืออุทธรณ์ ในกรณีที่ส่งหนังสืออุทธรณ์ทางไปรษณีย์ให้ถือวันที่ที่ทําการไปรษณีย์ออกใบรับฝาก เป็นหลักฐานฝากส่ง หรือวันที่ที่ทําการไปรษณีย์ต้นทางประทับตรารับที่ซองหนังสือเป็นวันที่ยื่น หรือส่งหนังสืออุทธรณ์ สําหรับวันทราบคําสั่งคณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมประจําชั้นศาลที่ให้ยุติเรื่อง ให้ถือวันที่ผู้อุทธรณ์ลงลายมือชื่อรับทราบคําสั่งที่ให้ยุติเรื่องเป็นวันทราบคําสั่ง ถ้าผู้อุทธรณ์ไม่ยอมลงลายมือชื่อรับทราบคําสั่งที่ให้ยุติเรื่อง และมีการแจ้งคําสั่ง ให้ผู้อุทธรณ์ทราบพร้อมกับมอบสําเนาคําสั่งให้ผู้อุทธรณ์แล้วทําบันทึกลงวันเดือนปี เวลา และสถานที่ ที่แจ้ง และลงลายมือชื่อพร้อมทั้งพยานรู้เห็นไว้เป็นหลักฐานแล้ว ให้ถือว่าวันที่แจ้งนั้นเป็นวันทราบคําสั่ง ถ้าไม่อาจแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบคําสั่งได้โดยตรง หากได้แจ้งเป็นหนังสือส่งสําเนาคําสั่ง ที่ให้ยุติเรื่องทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปให้ผู้อุทธรณ์ทราบ ณ ที่อยู่ของผู้อุทธรณ์ ซึ่งปรากฏ ตามหลักฐานของทางราชการ โดยส่งสําเนาคําสั่งที่ให้ยุติเรื่องไปให้สองฉบับเพื่อให้ผู้อุทธรณ์เก็บไว้ หนึ่งฉบับ และให้ผู้อุทธรณ์ลงลายมือชื่อและวันเดือนปีที่รับทราบคําสั่งส่งกลับคืนมาเพื่อเก็บไว้ เป็นหลักฐานหนึ่งฉบับ เมื่อล่วงพ้นสิบห้าวันนับแต่วันที่ปรากฏในใบตอบรับทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ว่าผู้อุทธรณ์ได้รับเอกสารดังกล่าวหรือมีผู้รับแทนแล้ว แม้ยังไม่ได้รับสําเนาคําสั่งฉบับที่ให้ผู้อุทธรณ์ ลงลายมือชื่อและวันเดือนปีที่รับทราบคําสั่งที่ให้ยุติเรื่องกลับคืนมา ให้ถือว่าผู้อุทธรณ์ได้ทราบคําสั่งแล้ว การนับเวลาในการอุทธรณ์ตามข้อ ๕ ให้นับวันถัดจากวันที่ผู้อุทธรณ์ลงลายมือชื่อ รับทราบคําสั่งหรือที่ถือว่ารับทราบคําสั่งเป็นวันเริ่มต้น ถ้าวันสุดท้ายของระยะเวลาเป็นวันหยุดราชการ ให้นับวันเริ่มทําการใหม่ต่อจากวันหยุดราชการนั้นเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลา ข้อ ๗ อุทธรณ์ที่จะรับไว้พิจารณาได้ต้องเป็นอุทธรณ์ที่ถูกต้องในสาระสําคัญตามข้อ ๓ และข้อ ๕ ในกรณีที่มีปัญหาว่าอุทธรณ์รายใดเป็นอุทธรณ์ที่จะรับไว้พิจารณาได้หรือไม่ ให้ ก.ต. เป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย
๒๒ ข้อ ๘ ในการพิจารณาอุทธรณ์ให้พิจารณาว่าปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในภายหลังว่า ผู้อุทธรณ์ไม่ได้กระทําความผิดหรือไม่ ทั้งนี้ ก.ต. อาจเรียกเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม จากหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ ห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือบุคคลใด ๆ หรือให้ผู้แทน หน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ ห้างหุ้นส่วน บริษัท ข้าราชการ หรือบุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคําหรือชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการพิจารณาได้ ในการพิจารณาอุทธรณ์ ถ้า ก.ต. เห็นเป็นการสมควรที่จะต้องสอบสวนใหม่หรือ สอบสวนเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลให้ถูกต้องและเหมาะสม ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบ ข้าราชการฝ่ายตุลาการเพื่อให้การวินิจฉัยอุทธรณ์เป็นไปโดยถูกต้อง ก็ให้สอบสวนใหม่หรือสอบสวน เพิ่มเติมได้ตามความจําเป็น โดยจะสอบสวนเองหรือแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือมอบหมาย ให้ข้าราชการตุลาการที่เห็นสมควรสอบสวนแทนก็ได้ ข้อ ๙ การพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ ถ้า ก.ต. เห็นว่า (๑) ไม่ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในภายหลังว่าผู้อุทธรณ์ไม่ได้กระทําผิด ก็ให้มีมติยก อุทธรณ์ (๒) ถ้าปรากฏหลักฐานชัดแจ้งในภายหลังว่าผู้อุทธรณ์ไม่ได้กระทําผิด ก็ให้มีมติส่งเรื่อง ให้อ.ก.ต. ประจําชั้นศาลกลั่นกรองเสนอความเห็นต่อ ก.ต. เพื่อประกอบการพิจารณา ข้อ ๑๐ เมื่อ ก.ต. ได้พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์และมีมติตามข้อ ๙ เป็นประการใด แล้ว ให้เลขานุการ ก.ต. แจ้งให้ผู้อุทธรณ์หรือประธาน อ.ก.ต. ประจําชั้นศาล แล้วแต่กรณีทราบหรือ ดําเนินการให้เป็นไปตามมติ ก.ต. โดยเร็ว มติของ ก.ต. ให้เป็นที่สุด ข้อ ๑๑ ให้ประธานศาลฎีการักษาการตามประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ (ลงชื่อ) ธวัชชัย พิทักษ์พล (นายธวัชชัย พิทักษ์พล) ประธานกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม
๒๓ ประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เรื่อง จริยธรรมของข้าราชการตุลาการ พ.ศ. ๒๕๕๒ __________________ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่าย ตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เรื่อง จริยธรรมของข้าราชการตุลาการ พ.ศ. ๒๕๕๒” ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เรื่อง จริยธรรมของ ข้าราชการตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๔ และประมวลจริยธรรมซึ่งได้ใช้บังคับโดยประกาศดังกล่าว ข้อ ๔ ให้ใช้ประมวลจริยธรรมท้ายประกาศนี้เป็นจริยธรรมที่ข้าราชการตุลาการ ต้องถือและปฏิบัติ ข้อ ๕ ให้ประธานศาลฎีการักษาการตามประกาศนี้ ประกาศ ณ วันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ (ลงชื่อ) วิรัช ลิ้มวิชัย (นายวิรัช ลิ้มวิชัย) ประธานศาลฎีกา ประธานกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม
๒๔ ประมวลจรยธรรมขิ ้าราชการตลาการุ หมวด ๑ อุดมการณ์ของผู้พิพากษา บทบัญญัติ ข้อ ๑ หน้าที่สําคัญของผู้พิพากษา คือ การประสาทความยุติธรรมแก่ผู้มีอรรถคดี ซึ่งจักต้องปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เที่ยงธรรม ถูกต้องตามกฎหมาย และนิติประเพณีทั้งจักต้อง แสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนด้วยว่าตนปฏิบัติเช่นนี้อย่างเคร่งครัดครบถ้วน เพื่อการนี้ผู้ พิพากษาจักต้องยึดมั่นในความเป็นอิสระของตนและเทิดทูนไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งสถาบันตุลาการ หมวด ๒ จริยธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในทางอรรถคดี บทบัญญัติ ข้อ ๒ ผู้พิพากษาพึงตรวจสํานวนความและตระเตรียมการดําเนินกระบวน พิจารณาไว้ให้พร้อม ออกนั่งพิจารณาตรงตามเวลาและไม่เลื่อนการพิจารณาโดยไม่จําเป็น บทบัญญัติ ข้อ ๓ ในการนั่งพิจารณาคดี ผู้พิพากษาจักต้องวางตนเป็นกลางและปราศจากอคติ ทั้งพึงสํารวมตนให้เหมาะสมกับตําแหน่งหน้าที่แต่งกายเรียบร้อย ใช้วาจาสุภาพ ฟังความ จากคู่ความและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างตั้งใจ ให้ความเสมอภาค และมีเมตตาธรรม บทบัญญัติ ข้อ ๔ ผู้พิพากษาจักต้องพิจารณาคดีโดยไตร่ตรอง สุขุม รอบคอบ และไม่ชักช้า พึงตัดการดําเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่จําเป็นออกเพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปด้วยความรวดเร็ว บทบัญญัติ ข้อ ๕ ผู้พิพากษาจักต้องควบคุมการดําเนินกระบวนพิจารณาในศาลให้เป็นไปด้วย ความเรียบร้อย ทั้งจักต้องมิให้ผู้ใดประพฤติตนไม่สมควรในศาล บทบัญญัติว่าด้วยเรื่องละเมิดอํานาจศาล พึงใช้ด้วยความระมัดระวังและไม่ลุแก่โทสะ
๒๕ บทบัญญัติ ข้อ ๖ ผู้พิพากษาจักต้องละเว้นการกล่าวถึงข้อเท็จจริงในคดีที่อาจ กระทบกระเทือนต่อบุคคลใด ไม่วิจารณ์หรือให้ความเห็นแก่คู่ความหรือบุคคลภายนอกเกี่ยวกับคดีที่ อยู่ระหว่างการพิจารณาหรือกําลังจะขึ้นสู่ศาล แต่ผู้พิพากษาผู้มีอํานาจอาจแถลงให้ประชาชนเข้าใจ ถึงวิธีพิจารณาความของศาลเมื่อมีเหตุผลสมควร บทบัญญัติ ข้อ ๗ การถ่ายภาพ ภาพยนตร์บันทึกภาพหรือเสียง หรือการกระทําอย่างอื่นใน ทํานองเดียวกันในการนั่งพิจารณาและพิพากษาคดีของศาลจะกระทํามิได้เว้นแต่ผู้พิพากษา ตําแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาภาค และอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นขึ้นไปเป็นผู้อนุญาตเฉพาะในกรณี จําเป็นอย่างยิ่ง แต่พึงระมัดระวังมิให้เป็นที่เสื่อมเสียหรือกระทบกระเทือนต่อการพิจารณาคดี คู่ความ พยานหรือบุคคลอื่นใด บทบัญญัติ ข้อ ๘ การเปรียบเทียบหรือไกล่เกลี่ยคดีจักต้องกระทําในศาล ผู้พิพากษาพึงชี้แจง ให้คู่ความทุกฝ่ายตระหนักถึงผลดีผลเสียในการดําเนินคดีต่อไป ทั้งนี้จักต้องไม่ให้คํามั่น หรือบีบบังคับให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทุกฝ่ายยอมรับข้อเสนอใด ๆ หรือให้จําเลยรับสารภาพ โดยไม่สมัครใจ และจักต้องไม่ทําให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งระแวงว่าผู้พิพากษาฝักใฝ่ช่วยเหลือ คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง บทบัญญัติ ข้อ ๙ ผู้พิพากษาพึงระลึกว่าการนําพยานหลักฐานเข้าสืบและการซักถามพยาน ควรเป็นหน้าที่ของคู่ความและทนายความของแต่ละฝ่ายที่จะกระทํา ผู้พิพากษาพึงเรียก พยานหลักฐานหรือซักถามพยานด้วยตนเองก็ต่อเมื่อจําเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม หรือมีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ศาลเป็นผู้กระทําเอง บทบัญญัติ ข้อ ๑๐ การบันทึกคําเบิกความ ผู้พิพากษาจักต้องบันทึกเฉพาะข้อความ ในประเด็นข้อพิพาท หรือเกี่ยวเนื่องกับประเด็นข้อพิพาท และต้องได้สาระถูกต้องครบถ้วน ตามคําเบิกความ การบันทึกคําแถลงและรายงานกระบวนพิจารณา จักต้องให้ได้ความชัดแจ้ง และตรงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
๒๖ บทบัญญัติ ข้อ ๑๑ ในการปรึกษาคดีผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนจักต้องตระเตรียมคดีนั้น ล่วงหน้าอย่างถี่ถ้วน และจักต้องชี้แจงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต่อองค์คณะอย่างถูกต้องครบถ้วน ผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะจักต้องร่วมพิจารณาให้ข้อคิดเห็นและเหตุผลประกอบ เสมือนหนึ่งตนเป็นเจ้าของสํานวนคดีเรื่องนั้นเอง ผู้พิพากษาที่ร่วมกันพิจารณาคดีพึงเคารพในความ คิดเห็นและเหตุผลของกันและกัน ทั้งนี้เพื่อให้ได้คําวินิจฉัยชี้ขาดที่ถูกต้องและเที่ยงธรรม บทบัญญัติ ข้อ ๑๒ เมื่อจะพิพากษาหรือมีคําสั่งในคดีเรื่องใด ผู้พิพากษาจักต้องละวางอคติทั้ง ปวงเกี่ยวกับคู่ความหรือคดีความเรื่องนั้น ทั้งจักต้องวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า และไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด คําพิพากษาและคําสั่ง จักต้องมีคําวินิจฉัยที่ตรงตามประเด็นแห่งคดีให้เหตุผลแจ้งชัด และสามารถปฏิบัติตามนั้นได้ การเรียงคําพิพากษาและคําสั่งพึงใช้ภาษาเขียนที่ดีใช้ถ้อยคําใน กฎหมายใช้โวหารที่รัดกุมเข้าใจง่าย และถูกต้องตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ข้อความ อื่นใดอันไม่เกี่ยวกับการวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีโดยตรง หรือไม่ทําให้การวินิจฉัยประเด็นดังกล่าว ชัดแจ้งขึ้นไม่พึงปรากฏอยู่ในคําพิพากษาหรือคําสั่ง บทบัญญัติ ข้อ ๑๓ ในการบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง ผู้พิพากษาจักต้องควบคุมให้ การออกหมายหรือคําบังคับตรงตามคําพิพากษาหรือคําสั่งและจักต้องออกโดยพลัน บทบัญญัติ ข้อ ๑๔ ผู้พิพากษาพึงถอนตัวจากการพิจารณาและพิพากษาคดีเมื่อมีเหตุที่ตนอาจ ถูกคัดค้านได้ตามกฎหมาย หรือเมื่อมีเหตุประการอื่นที่เกี่ยวกับตัวผู้พิพากษา อันอาจทําให้ การพิจารณาพิพากษาคดีนั้นเสียความยุติธรรม และจักต้องไม่กระทําการใด ๆ อันเป็นการจูงใจ ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาพิพากษาคดีนั้นในภายหลังในประการที่อาจทําให้เสียความยุติธรรมได้
๒๗ หมวด ๓ จริยธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในทางธุรการ บทบัญญัติ ข้อ ๑๕ เพื่อให้งานธุรการของศาลมีประสิทธิภาพ ผู้พิพากษาจักต้องปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และอย่างเต็มความสามารถ ทั้งจักต้องควบคุมให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตยส์ุจริต และอย่างเต็มความสามารถเช่นเดียวกัน บทบัญญัติ ข้อ ๑๖ ผู้พิพากษาจักต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการตามคําสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย ของผู้บังคับบัญชาและตามลําดับชั้นของการบังคับบัญชา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ข้ามลําดับชั้นได้ บทบัญญัติ ข้อ ๑๗ ผู้พิพากษาจักต้องปกครองผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาด้วยความเที่ยงธรรม และควบคุมให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามวินัยและจริยธรรมโดยเคร่งครัด การรายงานความดีความชอบของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจักต้องตรงตามความเป็นจริง และการให้ความเห็นเกี่ยวกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจักต้องปราศจากอคติ บทบัญญัติ ข้อ ๑๘ ผู้พิพากษาพึงสนับสนุนส่งเสริมผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์สุจริต มีผลงานดีเด่น มีความรู้ความสามารถ และขยันขันแข็ง ทั้งจักต้องให้ความช่วยเหลือแก่ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาซึ่งปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยชอบ บทบัญญัติ ข้อ ๑๙ เมื่อปรากฏว่ามีการกระทําความผิดทางวินัยของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาขึ้น ผู้พิพากษาจักต้องรายงานผู้บังคับบัญชาทันทีโดยรายงานตามความเป็นจริง ทั้งจักต้องไม่ปกปิด เรื่องใด ๆ ที่ควรรายงาน กรณีตามวรรคหนึ่ง หากเป็นเรื่องที่อยู่ในอํานาจหน้าที่ของตน ผู้พิพากษาจักต้อง ดําเนินการไปตามอํานาจหน้าที่นั้นโดยพลัน ในกรณีที่ปรากฏว่ามีการละเมิดจริยธรรมในข้อสําคัญอันควรรายงาน ผู้พิพากษา พึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
๒๘ บทบัญญัติ ข้อ ๒๐ ผู้พิพากษาพึงเอาใจใส่ดูแลและอนุเคราะห์ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาตามควรแก่กรณี บทบัญญัติ ข้อ ๒๑ ผู้พิพากษาพึงส่งเสริมความสามัคคีในระหว่างผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาและ ในหมู่ข้าราชการ บทบัญญัติ ข้อ ๒๒ ผู้พิพากษาพึงเปิดโอกาสให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ การปฏิบัติหน้าที่ราชการ และรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวที่ชอบด้วยเหตุผล บทบัญญัติ ข้อ ๒๓ ผู้พิพากษาจักต้องสอดส่องดูแลให้คู่ความ ทนายความ พยาน และ ประชาชนที่มาศาลได้รับความเป็นธรรม ความสะดวกและการปฏิบัติอย่างมีอัธยาศัย บทบัญญัติ ข้อ ๒๔ ผู้พิพากษาจักต้องเอาใจใส่ดูแลศาลและบริเวณศาลให้มีศรีสง่า สมกับเป็น สถานที่ประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรม ควบคุมดูแลทรัพย์สินทั้งหลายของทางราชการไว้เพื่อใช้ ในราชการ ทั้งจักต้องถนอมรักษาทรัพย์สินดังกล่าวให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ตลอดเวลา บทบัญญัติ ข้อ ๒๕ ผู้พิพากษาจักต้องรักษาความลับของทางราชการมิให้รั่วไหล และจักต้อง ไม่เปิดเผยความลับแก่บุคคลใดซึ่งไม่มีอํานาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะล่วงรู้ความลับนั้น
๒๙ หมวด ๔ จริยธรรมเกี่ยวกับกิจการอื่น บทบัญญัติ ข้อ ๒๖ ผู้พิพากษาจักต้องไม่เป็นกรรมการ ผู้จัดการ ที่ปรึกษา หรือดํารงตําแหน่ง อื่นใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท ห้างร้านหรือธุรกิจของเอกชน เว้นแต่จะเป็นกิจการที่มิได้ แสวงหากําไร ผู้พิพากษาจักต้องไม่ประกอบอาชีพ หรือวิชาชีพ หรือกระทํากิจการใดอันจะ กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษา บทบัญญัติ ข้อ ๒๗ ในกรณีจําเป็นผู้พิพากษาอาจได้รับมอบหมายหรือแต่งตั้งจากหน่วย ราชการ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐให้ปฏิบัติหน้าที่อันเกี่ยวกับหน่วยราชการ หรือหน่วยงานนั้นได้ ในเมื่อการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวไม่กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือเกียรติศักดิ์ของ ผู้พิพากษา ทั้งจักต้องได้รับอนุญาตจากสํานักงานศาลยุติธรรมแล้ว เว้นแต่จะมีบทบัญญัติแห่ง กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ หรือมติของ ก.ต. ระบุไว้เป็นอย่างอื่น บทบัญญัติ ข้อ ๒๘ ผู้พิพากษาไม่พึงแสดงปาฐกถา บรรยาย สอน หรือเข้าร่วมสัมมนา อภิปรายหรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ต่อสาธารณชน ซึ่งอาจกระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่ หรือเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษา และจักต้องไม่กระทําการดังกล่าวเพื่อผลประโยชน์ในทางธุรกิจ การให้ข่าวหรือข้อเท็จจริงในทางราชการของศาลยุติธรรมและสํานักงาน ศาลยุติธรรม หรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับทางราชการของศาลยุติธรรมหรือสํานักงานศาลยุติธรรม จะกระทําได้ต่อเมื่อเป็นผู้รับผิดชอบในการให้ข่าวหรือข้อเท็จจริงตามที่คณะกรรมการตุลาการ ศาลยุติธรรม คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม หรือสํานักงานศาลยุติธรรมกําหนด บทบัญญัติ ข้อ ๒๙ ผู้พิพากษาไม่พึงเป็นกรรมการ สมาชิก หรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม สโมสร ชมรม หรือองค์การใดๆ หรือเข้าร่วมในกิจการใดๆ อันจะกระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือ เกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษา
๓๐ บทบัญญัติ ข้อ ๓๐ ผู้พิพากษาไม่พึงรับเป็นผู้จัดการมรดก ผู้จัดการทรัพย์สินหรือผู้ปกครอง ทรัพย์เว้นแต่เป็นกรณีที่ตัวผู้พิพากษาเอง คู่สมรส ผู้บุพการีผู้สืบสันดานของตน หรือญาติสืบ สายโลหิต หรือเกี่ยวพันทางแต่งงาน ซึ่งผู้พิพากษาถือเป็นญาติสนิทมีส่วนได้เสียในมรดก หรือทรัพย์ นั้นโดยตรง บทบัญญัติ ข้อ ๓๑ ผู้พิพากษาจักต้องไม่รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนในการดําเนินคดีหรือรับเป็นผู้เรียง ผู้เขียน ผู้พิมพ์คําคู่ความ คําร้อง คําขอ หรือคําแถลงในคดีใดๆ ผู้พิพากษาจักต้องไม่รับปรึกษาคดีความ หรือเรื่องซึ่งอาจจะเป็นคดีความขึ้นได้ และไม่รับเป็นผู้ร่าง ผู้เขียน ผู้พิมพ์หรือพยานในพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่นใด ไม่ว่าเพื่อสินจ้าง รางวัลหรือไม่เว้นแต่เป็นกรณีที่ตัวผู้พิพากษาเอง คู่สมรส ผู้บุพการีผู้สืบสันดานของตน หรือญาติสืบสายโลหิตหรือเกี่ยวพันทางแต่งงาน ซึ่งผู้พิพากษาถือเป็นญาติสนิท มีส่วนได้เสียในคดี หรือเรื่องนั้นโดยตรง บทบัญญัติ ข้อ ๓๒ ผู้พิพากษาไม่พึงรับเป็นอนุญาโตตุลาการ หรือผู้ประนอมข้อพิพาท บทบัญญัติ ข้อ ๓๓ ผู้พิพากษาจักต้องสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยตาม รัฐธรรมนูญ ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ บทบัญญัติ ข้อ ๓๔ ผู้พิพากษาจักต้องไม่เป็นกรรมการ สมาชิก หรือ เจ้าหน้าที่ในพรรค การเมืองหรือกลุ่มการเมือง และจักต้องไม่เข้าเป็นตัวกระทําการ ร่วมกระทําการ สนับสนุนในการ โฆษณาหรือชักชวนใดๆ ในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาหรือผู้แทนทางการเมืองอื่นใด ทั้งไม่ พึงกระทําการใดๆ อันเป็นการฝักฝ่ายพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองใดนอกจากการ ใช้สิทธิเลือกตั้ง
๓๑ บทบัญญัติ ข้อ ๓๔/๑ ผู้พิพากษาจักต้องไม่กระทําการใดๆ อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อการ ปฏิบัติหน้าที่หรือเกียรติศักดิ์ของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการบริหารศาล ยุติธรรม คณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะอนุกรรมการบริหารศาลยุติธรรม คณะกรรมการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีหน้าที่รายงานความ ดีความชอบ ตลอดจนอนุกรรมการหรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่จากคณะกรรมการ ตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม หรือการปฏิบัติหน้าที่ราชการอื่นใดตามที่ ได้รับมอบหมาย ในประการที่อาจทําให้ขาดความเป็นอิสระ หรือเสียความยุติธรรมได้ หมวด ๕ จริยธรรมเกี่ยวกับการดํารงตนและครอบครัว บทบัญญัติ ข้อ ๓๕ ผู้พิพากษาจักต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด อยู่ใน กรอบของศีลธรรม และพึงมีความสันโดษ ครองตนอย่างเรียบง่าย สุภาพ สํารวมกิริยามารยาท มีอัธยาศัย ยึดถือจริยธรรมและประเพณีอันดีงามของตุลาการ ทั้งพึงวางตนให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธา ของบุคคลทั่วไป บทบัญญัติ ข้อ ๓๕/๑ ผู้พิพากษาไม่พึงร้องเรียน กล่าวหา ฟ้องร้อง หรือดําเนินคดีแก่บุคคล หนึ่งบุคคลใดโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ทั้งไม่พึงใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหาย แก่บุคคลอื่น การร้องเรียน กล่าวหา ฟ้องร้อง หรือดําเนินคดีแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยอาศัย ประโยชน์จากตําแหน่งหน้าที่ของตนจะกระทํามิได้ บทบัญญัติ ข้อ ๓๖ ผู้พิพากษาพึงปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นเป็นลําดับและพึงขวนขวายศึกษา เพิ่มเติมทั้งในวิชาชีพตุลาการและความรู้รอบตัว
๓๒ บทบัญญัติ ข้อ ๓๗ ผู้พิพากษาจักต้องไม่ก้าวก่ายแทรกแซงหรือแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ จากการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาอื่นหรือกระทําการใด ๆ อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อการ ปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาอื่นในการพิจารณาพิพากษาคดี บทบัญญัติ ข้อ ๓๘ ผู้พิพากษาจักต้องไม่ยินยอมให้บุคคลในครอบครัวก้าวก่ายการปฏิบัติ หน้าที่ของตน หรือของผู้อื่น และจักต้องไม่ยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตําแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหา ประโยชน์อันมิชอบ บทบัญญัติ ข้อ ๓๙ ผู้พิพากษาพึงยึดมั่นในระบบคุณธรรม และจักต้องไม่แสวงหาตําแหน่ง ความดีความชอบ หรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบจากผู้บังคับบัญชา หรือจากบุคคลอื่นใด บทบัญญัติ ข้อ ๓๙/๑ ผู้พิพากษาไม่พึงขอรับเงินสนับสนุนหรือประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงาน หรือบุคคลภายนอกในประการที่อาจทําให้กระทบกระเทือนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของศาลยุติธรรม เว้นแต่จะเป็นการดําเนินการตามระเบียบ คําสั่ง หรือมติว่าดวยการน้ ั้น บทบัญญัติ ข้อ ๔๐ ผู้พิพากษาจักต้องระมัดระวังมิให้การประกอบวิชาชีพ อาชีพ หรือการงาน อื่นใดของคู่สมรส ญาติสนิท หรือบุคคลซึ่งอยู่ในครัวเรือนของตนมีลักษณะเป็นการกระทบกระเทือน ต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความเชื่อถือศรัทธา ของบุคคลทั่วไปในการประสาทความยุติธรรมของผู้พิพากษา บทบัญญัติ ข้อ ๔๑ ผู้พิพากษาและคู่สมรสจักต้องไม่รับทรัพย์สินหรือประโยชน์ใด ๆ จากคู่ความหรือจากบุคคลอื่นใดอันเกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา และจักต้องดูแล ให้บุคคลในครอบครัวปฏิบัติเช่นเดียวกันด้วย
๓๓ บทบัญญัติ ข้อ ๔๒ ผู้พิพากษาและคู่สมรสจักต้องไม่รับของขวัญของกํานัล หรือประโยชน์อื่น ใดอันมีมูลค่าเกินกว่าที่พึงให้กันตามอัธยาศัยและประเพณีในสังคม และจักต้องดูแลให้บุคคลใน ครอบครัวปฏิบัติเช่นเดียวกันด้วย บทบัญญัติ ข้อ ๔๓ ผู้พิพากษาจักต้องละเว้นการคบหาสมาคมกับคู่ความ หรือบุคคลอื่น ซึ่งมี ส่วนได้เสีย หรือผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับคดีความ หรือบุคคลซึ่งมีความประพฤติหรือมีชื่อเสียง ในทางเสื่อมเสีย อันอาจจะกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของบุคคลทั่วไปในการประสาท ความยุติธรรมของผู้พิพากษา หมวด ๖ จริยธรรมของผู้ช่วยผู้พิพากษา ดะโต๊ะยุติธรรม และผู้พิพากษาสมทบ บทบัญญัติ ข้อ ๔๔ ให้นําประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการนี้มาใช้บังคับแก่ผู้ช่วยผู้พิพากษา ดะโต๊ะยุติธรรม และผู้พิพากษาสมทบด้วยโดยอนุโลม
ภาคผนวก
หลัก ประธาน ประมวลจริยธรรมขาราชการตุลาการ หมวด ๑ อุดมการณของผูพิพากษา บทบัญญัติ ขอ ๑ หนาที่สําคัญของผูพิพากษา คือ การประสาทความยุติธรรมแกผูมีอรรถคดี ซึ่งจักตองปฏิบัติดวยความซื่อสัตยสุจริต เที่ยงธรรม ถูกตองตามกฎหมาย และนิติประเพณีทั้งจักตอง แสดงใหเปนที่ประจักษแกสาธารณชนดวยวาตนปฏิบัติเชนนี้อยางเครงครัดครบถวน เพื่อการนี้ ผูพิพากษาจักตองยึดมั่นในความเปนอิสระของตนและเทิดทูนไวซึ่งเกียรติศักดิ์แหงสถาบันตุลาการ คําอธิบาย (๑) ความยุติธรรม : คําที่ใหคํานิยามยากที่สุดคําหนึ่งในทุกภาษาก็คือ“ความยุติธรรม” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ใหคํานิยามคําวา “ยุติธรรม” ไววา : “ความเที่ยงธรรม ความชอบธรรม ความชอบดวยเหตุผล” คําวา “เที่ยงธรรม” มีคํานิยามวา : “ตั้งตรงดวยความเปนธรรม” ในทางอรรถคดีนั้น คําวา “ความยุติธรรม” นี้เปนหัวใจของวิชาชีพตุลาการโดยแท มีคํานิยามที่นาพิเคราะหคือ คํานิยามของลอรด เดนนิ่ง อดีตอธิบดีผูพิพากษาศาลอุทธรณของอังกฤษ ซึ่งมีวา : “ความยุติธรรมไดแกเรื่องที่บุคคลในสังคมซึ่งเปนบุคคลที่มีเหตุผลและมีความรูสึกผิดชอบ เชื่อมั่นวาเปนเรื่องที่ชอบธรรม” (Justice is what the right-minded members of the community-those who have the right spirit within them-believe to be fair : Lord Denning, The Road to Justice, London : Stevens and Sons, 1955, at page 4.) จอหน โรลส ศาสตราจารยอเมริกันในวิชาปรัชญา ใหคํานิยามคําวาความยุติธรรมไว ในทํานองเดียวกัน แตมองอีกแงหนึ่งคือ “ความยุติธรรมไดแกเรื่องที่บุคคลที่มีเหตุผลถือวา เปนเรื่องที่ชอบธรรม ถาหากบุคคลเหลานั้นตองวินิจฉัยในเรื่องนั้น ทั้งนี้โดยที่ตนเองไมมีทาง จะลวงรูเลยวาตนเองจะมีสวนเกี่ยวของกับเรื่องนั้นอยางไรบาง” (Justice … is … what rational people would regard as fair, if they had to decide that question with no knowledge whatever of what their own position would be : John Rawls, A Theory of Justice, London : Oxford University Press, 1972, ซึ่งอางถึงใน Sir Norman Anderson, Liberty, Law and Justice, London : Stevens and Sons, 1978, at page 140.) พระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว ที่ปรากฏในหิรัญบัตร ซึ่งไดพบจากการรื้อถอนอาคารศาลแพงหลังเดิมไดกลาวถึงความสําคัญของความยุติธรรมไววา “...การ ยุติธรรมอันเดียวเปนการที่สําคัญยิ่งใหญ เปน การชําระตัดสินความทุกโรงศาล เปนเครื่อง
ประกอบรักษาใหความยุติธรรมเปนไป ถาจัดไดดีขึ้นเพียงใด ประโยชนความสุขของราษฎรก็จะเจริญ ยิ่งขึ้นเทานั้น...” ในถอยคําถวายสัตยปฏิญาณตอพระมหากษัตริยซึ่งบัญญัติไวในรัฐธรรมนูญแหง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๐๑ ไดเนนใหเห็นถึงความสําคัญของความยุติธรรมไว เชนกัน ดังนี้ “ ขาพระพุทธเจา (ชื่อผูปฏิญาณ) ขอถวายสัตยปฏิญาณวา ขาพระพุทธเจาจะ จงรักภักดีตอพระมหากษัตริย และจะปฏิบัติหนาที่ในพระปรมาภิไธยดวยความซื่อสัตยสุจริต โดยปราศจากอคติทั้งปวง เพื่อใหเกิดความยุติธรรมแกประชาชน และความสงบสุขแหงราชอาณาจักร ทั้งจะรักษาไวและปฏิบัติตามซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยทรงเปน ประมุขตามรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทยและกฎหมายทุกประการ” (๒) ความซื่อสัตยสุจริต : คุณลักษณะสําคัญที่สุดขอหนึ่งของผูพิพากษาคือ ความซื่อสัตยสุจริต พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ใหคํานิยามคําวา “ซื่อสัตย” ไววา : “ประพฤติตรง และจริงใจ ไมคิดคดทรยศ ไมคดโกง และไมหลอกลวง” และใหคํานิยามคําวา “สุจริต” วา : “ความประพฤติชอบ” ความซื่อสัตยสุจริตจะเกิดขึ้นไดก็ตอเมื่อ มีสัจจะทั้งกายวาจาใจ ใจยึดมั่นจะทําแตสิ่ง ที่ชอบ ไมประสงคในสิ่งซึ่งไมพึงมีพึงได อันจะนําไปสูการทุจริต จะกระทําสิ่งใดปากกับใจก็ตรงกัน พูดอยางไร ทําอยางนั้น ทําอยางไร พูดอยางนั้น ในวิชาชีพตุลาการ คําวา “ซื่อสัตยสุจริต” มีความหมายลึกซึ้งและประณีตกวา ในทรรศนะของบุคคลทั่วไป ดวยจักตองพิเคราะหความประพฤติชอบในวิชาชีพตุลาการประกอบดวย วาเปนประการใด เปนตนวา คูความฝายที่ชนะคดีนําเงินหรือทรัพยสินอื่นมาใหผูพิพากษาที่ตัดสินคดี ใหตนชนะ หลังจากคดีนั้นถึงที่สุดแลว ดั่งนี้ ผูพิพากษาสมควรรับไวหรือไม กรณีเชนนี้อาจมีผูเขาใจวา นาจะรับไวไดโดยชอบ เพราะคดีถึงที่สุดแลว ผูพิพากษาผูนั้นไมอาจใหคุณใหโทษแกคูความ ฝายใดฝายหนึ่งไดตอไปอีกแลว การสมนาคุณเชนนี้ไมทําใหผูใดเสียหายหรือเดือดรอน แตในวงการ ตุลาการเห็นวาผูพิพากษาผูนั้นไมอาจรับเงินหรือทรัพยสินนั้นไวได เพราะผูพิพากษาจักตองไมมีสวนได เสียในคดีเปนการสวนตัวไมวาดวยประการใดทั้งสิ้น การใด ๆ จักสําเร็จไดก็อยูที่ใจ หนทางที่จะรักษาความซื่อสัตยสุจริตไวไดคือ ตองหาม ใจมิใหมัวเมาในกิเลส ตองตัดกิเลส อันไดแก ความโลภ ความโกรธ และความหลงใหจงได (๓) นิติประเพณี : หมายถึงแนวปฏิบัติของผูพิพากษาในทางอรรถคดีซึ่งมิไดมี บทบัญญัติของกฎหมายกําหนดไว แตเปนเรื่องที่บรรพตุลาการยึดถือกันมาวาถูกตองและปฏิบัติตาม เชน ศาลลางยอมจะพิจารณาพิพากษาคดีตามแนวบรรทัดฐานของศาลสูง (๔) จักตองแสดงใหเปนที่ประจักษแกสาธารณชนดวยวาตนปฏิบัติเชนนี้อยาง เครงครัดครบถวน : ผูพิพากษามีหนาที่ไมเฉพาะแตเพียงประสาทความยุติธรรมแกคูความเทานั้น หากแตยังตองแสดงใหเปนที่ประจักษแกสาธารณชนดวยวาตนไดปฏิบัติเชนนั้นแลวอยางเครงครัด ครบถวน หลักพื้นฐานดังกลาวนี้เปนหลักการสําคัญของระบบศาลยุติธรรมของนานาประเทศ (Justice must not only be done, but it must manifestly and undoubtedly be seen to be done : per Lord Campbell) ( อางถึงในหนังสือ The Road to Justice ของลอรด เดนนิ่ง ซึ่งอาง
ถึงขางตน หนา ๒๔) ดังนั้นผูพิพากษาจักตองแสดงใหปรากฏดวยวาตนทรงไวซึ่งความเที่ยงธรรม และไมมีผลประโยชนเกี่ยวของกับคดีความเรื่องนั้น ๆ ไมวาในทางใดทางหนึ่ง (๕) ผูพิพากษาจักตองยึดมั่นในความเปนอิสระของตน : การประสาทความยุติธรรม จะสัมฤทธิ์ผลไดก็ตอเมื่อศาลและผูพิพากษามีความเปนอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี ปราศจากอิทธิพลอันมิชอบ ไมวาจะเปนอิทธิพลจากภายนอกหรือจากการกาวกายของบุคคล ในวงการศาลหรือจากบุคคลอื่นใดก็ตาม ผูพิพากษาจึงตองถือเรื่องนี้เปนหลักการสําคัญในการปฏิบัติ หนาที่ราชการของศาลยุติธรรม ความเปนอิสระนี้มิใชมีเฉพาะของสถาบันตุลาการเทานั้น หากแตผูพิพากษาทุกคน ก็ยังมีความเปนอิสระนี้ดวย ดังจะเห็นไดจากรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๕๐) ซึ่งได แยกเรื่องความเปนอิสระของสถาบันตุลาการคือ ศาล ไวในมาตรา ๑๙๗ วรรคหนึ่ง คือ “การพิจารณา พิพากษาอรรถคดีเปนอํานาจของศาลซึ่งตองดําเนินการใหเปนไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย” สวนความเปนอิสระของผูพิพากษา มีบัญญัติไวในมาตรา ๑๙๗ วรรคสอง วา “ผูพิพากษาและตุลาการมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใหเปนไปโดยถูกตอง รวดเร็ว และเปนธรรม ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย” (๖) เทิดทูนไวซึ่งเกียรติศักดิ์แหงสถาบันตุลาการ : การประสาทความยุติธรรม จะไดผลเพียงไร มิใชอยูแตเพียงการพิพากษาคดีใหคูความฝายใดแพชนะอยางเที่ยงธรรมเทานั้น หากแตอยูที่วาประชาชนทั่วไป มีความเชื่อถือศรัทธาทั้งตอสถาบันตุลาการและตอผูพิพากษา แตละคนเพียงใดดวย หากประชาชนขาดความเชื่อถือศรัทธาดังกลาวเสียแลว เปนตนวา คิดเห็นกันวา วิ่งเตนคดีความกับศาลได แมวาจะไมเปนความจริงก็ตาม คูความก็ยังอดแคลงใจไมไดวา ตนไมไดรับ ความยุติธรรมและประชาชนขาดความเชื่อถือศรัทธาในศาลยุติธรรม จึงเปนหนาที่ของ ผูพิพากษาทุกคนที่จักตองชวยกันเทิดทูนไวซึ่งเกียรติศักดิ์แหงสถาบันตุลาการใหบริสุทธิ์และสดใส อยูทุกขณะ หมวด ๒ จริยธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติหนาที่ในทางอรรถคดี บทบัญญัติ ขอ ๒ ผูพิพากษาพึงตรวจสํานวนความและตระเตรียมการดําเนินกระบวน พิจารณาไวใหพรอม ออกนั่งพิจารณาตรงตามเวลาและไมเลื่อนการพิจารณาโดยไมจําเปน
บทบัญญัติ ขอ ๓ ในการนั่งพิจารณาคดี ผูพิพากษาจักตองวางตนเปนกลางและปราศจากอคติ ทั้งพึงสํารวมตนใหเหมาะสมกับตําแหนงหนาที่ แตงกายเรียบรอย ใชวาจาสุภาพ ฟงความ จากคูความและผูเกี่ยวของทุกฝายอยางตั้งใจ ใหความเสมอภาค และมีเมตตาธรรม คําอธิบาย (๑) วางตนเปนกลาง : ผูพิพากษาจักตองแสดงออกซึ่งความเปนกลางในการ พิจารณาคดี ไมเขาขางฝายใดฝายหนึ่ง ปฏิบัติตอคูความและผูเกี่ยวของทุกฝายเสมอเหมือนกัน ทุกประการ จักตองมิใหคูความหรือผูเกี่ยวของรูสึกวาตนไดรับการปฏิบัติที่ดอยกวาผูอื่น ในเรื่องการวางตัวเปนกลางของผูพิพากษานี้ มีปญหาซึ่งเกิดขึ้นเสมอในอีกแงหนึ่ง คือ ผูพิพากษาเองบางครั้งตัดสินใจไวลวงหนาแลววาจะใหฝายใดชนะคดี และระงับความรูสึกอันแทจริง ของตนไวไมได เขาเปนฝกเปนฝายโตเถียงแทนคูความฝายที่ตนจะใหชนะนั้นเสมือนหนึ่งตนเปนทนายความ ของคูความฝายนั้นเสียเอง หรือในคดีอาญาผูพิพากษาบางคนลั่นวาจาคาดโทษจําเลยไวลวงหนาวา ถาปรากฏวาทําผิดจริง จะลงโทษจําเลยใหหนัก เชนนี้ยอมทําไมได เพราะผูพิพากษามิไดอยูในฐานะ ที่จะพิจารณาโทษอยางบิดามารดาปกครองบุตร หรือครูปกครองนักเรียน แตผูพิพากษาอยูในฐานะคนกลาง ถาปฏิบัติตนดังกลาวคูความอีกฝายหนึ่งจะรูสึกทันทีวาตนไมไดรับความยุติธรรมเสียแลว เพราะ ผูพิพากษาลําเอียง ทําใหตนเสียเปรียบในเชิงคดีตั้งแตเริ่มคดี (๒) ปราศจากอคติ : อุปสรรคสําคัญประการหนึ่งซึ่งทําใหการวินิจฉัยอรรถคดี ปราศจากความเที่ยงธรรมก็คือ อคติสี่ กลาวคือ ฉันทาคติ ลําเอียงเพราะรัก โทสาคติ ลําเอียง เพราะโกรธ ภยาคติ ลําเอียงเพราะกลัว และโมหาคติ ลําเอียงเพราะเขลา เรื่องของอคติเปนเรื่อง ของมนุษยปุถุชนโดยแท นอยคนนักที่จะไมมีอคติ คําถวายสัตยปฏิญาณของผูพิพากษาตอองค พระมหากษัตริยก็มีเรื่องที่ผูพิพากษาจักตองปราศจากอคตินี้อยูดวย แตในทางปฏิบัติเรื่องนี้ มิใชเรื่องงาย โดยเฉพาะการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีนั้น มิใชเรื่องตรงไปตรงมาธรรมดา ๆ อยางเรื่องสองบวกสองเปนสี่ หรือเรื่องที่เห็นดําเห็นแดงกันงาย ๆ ซ้ําบางเรื่องก็สลับซับซอน ดําก็ไมใช แดงก็ไมเชิง อคติที่วานี้โดยเฉพาะในหมูผูพิพากษามิใชมีอคติเพียงตอตัวบุคคลซึ่งเปนคูความ ทนายความ หรือพยานเทานั้น หากแตยังมีอคติตอขอคิดเห็น ทีทา ความเชื่อ และประเพณีบางเรื่อง หรือตอความผิดประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะอีกดวย เปนตนวาอาจตั้งขอรังเกียจความผิด ทางเพศและการทุจริตตอหนาที่ราชการมากกวาความผิดฐานอื่น ซึ่งแตละเรื่องเหลานี้ ลวนเปนเรื่อง ล้ําลึกมากกวาอคติตอตัวบุคคลมากนัก และที่มีอันตรายมากก็คือ ผูพิพากษาบางคนอาจไมรูตัวดวยซ้ํา ไปวาตนเองมีอคติในเรื่องนั้น เรื่องนี้จึงเปนหนาที่ของผูพิพากษาทุกคนที่จะตองเฝาคอยสอดสอง และทดสอบตนเองอยูตลอดเวลาวามีอคติอันใด กับผูใด หรือเรื่องใดหรือไม ทางปองกันอคติในการ วินิจฉัยอรรถคดีที่ดีทางหนึ่งก็คือ ตองมีอุเบกขา ตองทําใจเปนกลางจริง ๆ ไมพึงดวนตัดสินใจวา ใครถูกใครผิด กอนที่จะไดฟงความครบถวนกระบวนการจากทุกฝายและไดใครครวญอยางถวนถี่แลว ซึ่งเรื่องนี้เปนเรื่องธรรมดาแท ๆ แตเมื่อผูใดมีอคติเขา ผูนั้นก็มองขามหลักเบื้องตนของการวินิจฉัย อรรถคดีไปเสียงาย ๆ
อนึ่ง คําวา “ฉันทาคติ” นั้นมีความหมายครอบคลุมถึงความโลภดวย ดังปรากฏ ในหลักอินทภาษวา “...แลซึ่งวาใหผูพิภากษาปราศจากฉันทาคะตินั้นคือใหทําจิตรใหนิราศ ขาดจากโลภ อยาไดเห็นแกลาภะโลกามิศสีนจางสีนบน...” (๓) สํารวมตนใหเหมาะสมกับตําแหนงหนาที่ : การที่ผูพิพากษาออกนั่งบัลลังก ทําหนาที่เปนศาลนั้น ก็เปนที่เคารพยําเกรงของคูความและบุคคลที่เกี่ยวของในคดีความ ตลอดจนบุคคลทั่วไปที่ไปฟงการพิจารณาคดีอยูแลว ไมจําเปนที่ผูพิพากษาจักตองแสดงอํานาจ ใหเปนที่ยําเกรงแตอยางใดอีก แตเรื่องสําคัญอยูที่วาผูพิพากษาจักตองปฏิบัติตนใหเปนที่เชื่อถือ ศรัทธาของทุกคนที่อยูในศาลดวย การที่จะทําไดดังกลาวผูพิพากษาจักตองสํารวมตนใหเหมาะสม กับตําแหนงหนาที่ ความ “ สํารวม ” นี้ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหา สังฆปริณายก (เจริญ สุวัฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร ใหอรรถาธิบายไววา : “คือ ความระมัดระวัง เหนี่ยวรั้งจิตใจมิใหขาดสติ ใหสติตั้งมั่นอยูตลอดเวลาที่ตองการ ตลอดเวลาที่จําเปน และเมื่อใจ จะฟูฟุงไปในอารมณทั้งหลาย สติที่ตั้งมั่นก็จะขม คือ กดทับใหเปนปรกติอยูได” ขอพึงสังวรสําหรับผูพิพากษา คือ ตองตั้งมั่นระลึกอยูตลอดเวลาที่นั่งบัลลังกวาตน ทําหนาที่เปนศาล เปนคนกลางในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี จะลดตัวลงมาโตเถียงหรือพิพาท กับคูความ ทนายความ พยาน หรือบุคคลใดไมไดเปนอันขาด ผูพิพากษาเปนศาลไมใชคูพิพาท หากมีกรณีที่ชวนวิวาทก็ตองปรามดวยการออกคําสั่งเตือนใหบุคคลเหลานั้นหยุดโตเถียงทันที โดยผูพิพากษาไมตอลอตอเถียงดวย การซักถามคูความหรือพยานผูพิพากษาก็ซักถามในฐานะ ผูเปนกลางมิใชเปนผูแทนตัวความฝายใดฝายหนึ่ง อนึ่ง การสํารวมตนนี้หมายความรวมถึง การไมปลอยตัวตามสบายขณะที่นั่งบัลลังก เปนตนวา ไมนั่งสัปหงกหรืองวงเหงาหาวนอน หรือสูบบุหรี่ (๔) แตงกายเรียบรอย : เมื่อออกนั่งบัลลังกผูพิพากษาตองสวมเสื้อครุยขาราชการ ตุลาการตามพระราชบัญญัติเสื้อครุยขาราชการตุลาการและดะโตะยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๕ ซึ่งบัญญัติวา “ใหขาราชการตุลาการสวมเสื้อครุยในเวลาขึ้นบัลลังกพิจารณาพิพากษาคดี” ในการสวมเสื้อครุยขาราชการตุลาการ จะปฏิบัติในทํานองเดียวกันกับการสวมเสื้อครุย เนติบัณฑิตตามขอบังคับของเนติบัณฑิตยสภา กลาวคือ ผูพิพากษาที่เปนชาย ตองแตงกาย แบบสากลนิยมเปนชุดสีขาว กรมทา ดํา หรือสีอื่นซึ่งเปนสีเขมและไมฉูดฉาด เชิ้ตขาว หรือสีสุภาพ ผาผูกคอสีเขม ไมฉูดฉาดแบบเงื่อนกลาสี หรือแตงเสื้อชุดไทยแบบแขนสั้น หรือแบบแขนยาว สีสุภาพ ไมมีลวดลาย แทนเสื้อชุดสากลก็ได รองเทาหุมสนสีขาว น้ําตาลหรือดํา เขาชุดกันกับเครื่องแตงกาย ถุงเทาสีคลายคลึงกับรองเทา ผูพิพากษาที่เปนหญิง แตงกายแบบสากลนิยม กระโปรงสีขาว กรมทา หรือสีอื่น ซึ่งเปน สีเขมและไมฉูดฉาด เสื้อสีขาวหรือสีตามกระโปรง รองเทาหุมสนสีขาว น้ําตาล สีดํา เขาชุดกันกับเครื่องแตงกาย ผูพิพากษาทั้งชายและหญิงจะแตงเครื่องแบบราชการก็ได (ระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม วาดวยเครื่องแบบของขาราชการตุลาการ และดะโตะยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๙)
(๕) ใชวาจาสุภาพ : การใชวาจาสุภาพนี้ มิใชหมายความเฉพาะแตถอยคําสุภาพ เทานั้น หากแตหมายรวมถึงการใชถอยคําที่เหมาะสมและไมกระทบกระเทียบ เปรียบเปรย รวมตลอดทั้งน้ําเสียงและทีทา ซึ่งตองสุภาพ นุมนวลดวย คําเตือนผูพิพากษาของพระยาจินดาภิรมย (ตอมาโปรดเกลา ฯ พระราชทานเลื่อน บรรดาศักดิ์เปนเจาพระยาศรีธรรมาธิเบศฯ) เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ซึ่งไดพิมพแจกแก ผูพิพากษาที่จะออกไปรับราชการใหมใน พ.ศ. ๒๔๗๒ ตอนหนึ่งวา : “ ทานจําตองระวังกิริยา และวาจาใหเปนไปโดยสุภาพ จะวากลาวบังคับคูความก็ดี ซักถามพยานก็ดี หรือจะตัดสินความก็ดี ควรใชสํานวนโวหารที่สุภาพ ” (๖) ฟงความจากคูความและผูเกี่ยวของทุกฝายอยางตั้งใจ : หลักสากลที่สําคัญ เกี่ยวกับการพิจารณาคดีหลักหนึ่งคือ “ศาลตองฟงความจากคูความทั้งสองฝาย ” (Both sides must be heard.) ตามปกติคูความแตละฝายมักออนไหวตอทีทาของผูพิพากษาอยูแลว ถาหากผูพิพากษา ฟงความของแตละฝายดวยความตั้งใจและไมตัดบทจนกวาจะตระหนักวาเรื่องที่กําลังฟงอยูนั้น เปนเรื่องนอกประเด็น ก็ยอมจะชวยใหผูพิพากษาเขาใจและทราบเรื่องที่จะตองวินิจฉัยถูกตอง ทั้งคูความทุกฝายก็จะมั่นใจวาศาลตระหนักดีแลววาคดีความของฝายตนเปนอยางไร อนึ่ง โซคราตีส ปรัชญาเมธีผูหนึ่งของกรีกโบราณใหทรรศนะวา คุณสมบัติสําคัญ ของผูพิพากษามีสี่ประการคือ: ฟงดวยความตั้งใจ, ตอบดวยความสุขุม, พิจารณาดวยความ พินิจพิเคราะห และวินิจฉัยโดยปราศจากความลําเอียง (Four things belong to a judge : to hear courteously, to answer wisely, to consider soberly and to decide impartially : Socrates) (๗) ใหความเสมอภาค : ในการดําเนินกระบวนพิจารณานั้น ผูพิพากษาจักตอง ใหโอกาสคูความทุกฝายในการตอสูคดีเทาเทียมกัน เชน เมื่อศาลอนุญาตใหคูความฝายหนึ่งซักถาม พยานไดหลังจากการถามติงแลว ก็ควรอนุญาตใหคูความอีกฝายหนึ่งซักถามพยานปากอื่นไดดวย ในเมื่อมีเหตุผลสมควรทํานองเดียวกัน (๘) มีเมตตาธรรม : เรื่องเมตตาธรรมในที่นี้มิใชเรื่องใหความสงสารแกจําเลย หรือเห็นใจโจทก เพราะเรื่องแพชนะในทางอรรถคดียอมเปนไปตามรูปคดีโดยเฉพาะ หากแต เปนเรื่องความมีน้ําใจ มีความปรารถนาดีตอผูมาศาลซึ่งโดยปกติก็เปนผูทุกขรอนหรือเปนผูที่มี ความยําเกรงศาลอยูแลว เชน จําเลยปวยระหวางนั่งพิจารณาก็ใหรับประทานยาได หรือพยานติดอาง มากก็ใหโอกาสและเวลาพยานเบิกความตามสมควร บทบัญญัติ ขอ ๔ ผูพิพากษาจักตองพิจารณาคดีโดยไตรตรอง สุขุม รอบคอบ และไมชักชา พึงตัดการดําเนินกระบวนพิจารณาที่ไมจําเปนออกเพื่อใหการพิจารณาคดีเปนไปดวยความรวดเร็ว
คําอธิบาย (๑) ในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีนั้นผูพิพากษาจักตองไตรตรองดวย ความสุขุมรอบคอบจะผลีผลามมิได ดังที่มีสุภาษิตกฎหมายบทหนึ่งวา : “ในการตัดสิน ประหารชีวิตคนนั้น แมจะตองอาศัยเวลาใครครวญนานสักเพียงใด ก็ไมถือวาเปนความลาชา” (You can never hesitate too long before deciding that a man must die.) แต ในขณะเดียวกันขอที่ผูพิพากษาพึงตระหนักก็คือ หากผูพิพากษาลาชาในการตัดสินคดีแลว ก็เทากับตนปฏิเสธความยุติธรรม (Justice delayed is justice denied.) คงจะไมมีผูใด ปฏิเสธความมีเหตุผลของหลักการวินิจฉัยคดีตามสุภาษิตกฎหมายทั้งสองบทนี้ได ดังนั้น ในทางปฏิบัติผูพิพากษาจึงตองหลีกเลี่ยงความอยุติธรรมดวยการตัดสินคดีโดยไมชักชา และในขณะเดียวกัน ตองหลีกเลี่ยงอันตรายจากการตัดสินคดีโดยผลีผลาม (๒) พึงตัดการดําเนินกระบวนพิจารณาที่ไมจําเปนออกเพื่อใหการพิจารณาคดี เปนไปดวยความรวดเร็ว : ในฐานะที่ศาลเปนผูควบคุมการพิจารณาคดี มีกระบวนพิจารณาอยูหลายขั้นตอน ที่อาจลาชาโดยไมจําเปน ควรที่ผูพิพากษาจะตองพิเคราะหวาตอนใดบางที่สมควรตัดโดยไมให กระทบกระเทือนตอรูปคดี โดยเฉพาะอยางยิ่งในชั้นชี้สองสถาน ศาลมีโอกาสจะตัดกระบวนพิจารณา ที่ไมจําเปนแกคดีนั้นออกไดเปนอันมาก อนึ่ง ถามีการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องตนในปญหาขอกฎหมายแลว จะไมตองมีการพิจารณาคดีนั้นตอไป หรือไมตองพิจารณาประเด็นสําคัญบางขอ หรือแมจะดําเนินการ พิจารณาประเด็นสําคัญแหงคดีไป ก็ไมทําใหไดความชัดขึ้นอีกแลว ศาลก็ควรวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องตน ในปญหาขอกฎหมายไปเลย แตเรื่องนี้ก็เปน “ดาบสองคม” อยู ถาวินิจฉัยไดถูกตอง การพิจารณาคดี ก็จะสั้น สะดวก และรวดเร็วขึ้น ถาพลั้งพลาด คูความยอมเดือดรอน ตองเสียเวลา เสียคาใชจายในการ อุทธรณฎีกาเพื่อใหศาลสูงยกคําพิพากษาศาลลาง แลวพิจารณาพิพากษาใหม จึงสมควรพิเคราะห ใหถองแทเสียกอน การสงประเด็นไปสืบในศาลอื่นก็ดี ในตางประเทศก็ดี ผูพิพากษานาจะไตถามคูความ ทุกฝายกอน เพื่อใหไดความชัดวามีเหตุสมควรอนุญาตหรือไม ในทํานองเดียวกัน การที่ศาล จะตัดพยานก็ดี ควบคุมการซักถามพยานบุคคลในศาลก็ดี สมควรที่ผูพิพากษาจักตองดูแลมิใหมีการ อางพยานหรือซักถามพยานนอกประเด็น ฟุมเฟอย หรือยืดเยื้อ โดยคํานึงดวยวาในการซักถามพยานนั้น อาจมีคําถามที่มิใชในประเด็นโดยตรง แตนําเขาสูประเด็นก็สมควรอนุญาตถาไมยืดเยื้อเกินไป เรื่องการซักถามพยานนี้ ผูพิพากษาพึงใชวิจารณญาณดวยวา สมควรจะเตือนเมื่อใด และเตือนอยางไร จึงไมกระทบกระเทือนตอรูปคดีและเปนการเตือนที่สุภาพดวย บทบัญญัติ ขอ ๕ ผูพิพากษาจักตองควบคุมการดําเนินกระบวนพิจารณาในศาลใหเปนไปดวย ความเรียบรอย ทั้งจักตองมิใหผูใดประพฤติตนไมสมควรในศาล บทบัญญัติวาดวยเรื่องละเมิดอํานาจศาล พึงใชดวยความระมัดระวังและไมลุแกโทสะ
คําอธิบาย เรื่องละเมิดอํานาจศาล : บทบัญญัติของกฎหมายที่ใชยากสําหรับผูพิพากษาบทหนึ่ง ไดแก บทบัญญัติเรื่องละเมิดอํานาจศาล เพราะเมื่อมีปญหาเกิดขึ้นก็เปรียบเสมือนผงเขาตา ผูพิพากษาเอง ถาหากผูพิพากษาแยกเรื่องอารมณออกจากงานในหนาที่ไมไดก็อาจจะเกิดโทสจริต เขาแทนที่และผลีผลามใชอํานาจที่ตนมีอยูอยางเต็มที่โดยขาดการกลั่นกรองและใครครวญอยางสุขุม ความอยุติธรรมยอมเกิดขึ้นแกผูที่เปนคูความหรือผูอื่นที่เกี่ยวของทันที ในทางตรงกันขาม ถาผูพิพากษาละเวนไมยอมใชบทบัญญัติเรื่องละเมิดอํานาจศาลเสียเลย เมื่อปรากฏวามีกรณี ลวงละเมิดอํานาจศาล ก็หาเปนการชอบไม เมื่อมีกรณีจําเปนเพื่อความสงบเรียบรอยในบริเวณศาล หรือเพื่อรักษาไวซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันตุลาการ ก็ตองใชบทบัญญัติเรื่องละเมิด อํานาจศาลตามสมควรแกพฤติการณแหงคดี เนื่องจากเรื่องละเมิดอํานาจศาลนี้เปนเรื่อง “ผงเขาตา ผูพิพากษาเอง” การใชดุลพินิจวาอยางไรสมควรแกพฤติการณแหงคดียอมเปนเรื่องยาก เพื่อละเวนมิใหเปนเรื่องลุแกโทสะสมควรที่ผูพิพากษาจะตองปรึกษาหารือผูบังคับบัญชา และองคคณะพิจารณาพิพากษาคดีอยางสุขุมรอบคอบกอนที่จะออกคําสั่งใด ๆ ในเรื่องละเมิด อํานาจศาลนี้ บทบัญญัติ ขอ ๖ ผูพิพากษาจักตองละเวนการกลาวถึงขอเท็จจริงในคดีที่อาจ กระทบกระเทือนตอบุคคลใด ไมวิจารณหรือใหความเห็นแกคูความหรือบุคคลภายนอกเกี่ยวกับคดี ที่อยูระหวางการพิจารณาหรือกําลังจะขึ้นสูศาล แตผูพิพากษาผูมีอํานาจอาจแถลงใหประชาชน เขาใจถึงวิธีพิจารณาความของศาลเมื่อมีเหตุผลสมควร คําอธิบาย ดูคําอธิบายในจริยธรรมขอ ๒๘ ประกอบ (๑) ในการพิจารณาคดีของศาล ผูพิพากษาจักตองระมัดระวังไมวิพากษวิจารณหรือ ใหความเห็นใด ๆ อันเกี่ยวกับคดีนั้น หรือคูความ หรือบุคคลที่เกี่ยวของกับคดีนั้น หรือแมในกรณี ที่ยังไมเปนคดีความ แตอาจจะเปนคดีขึ้นได ก็ไมพึงวิพากษวิจารณหรือใหความเห็นดุจกัน เพราะคูความก็ดี บุคคลที่เกี่ยวของก็ดี เชื่อวา ผูพิพากษาอยูในฐานะที่จะบันดาลใหฝายใดชนะหรือ แพคดีได การแสดงขอติชมหรือความเห็นกอนพิพากษาคดีนั้นยอมจะทําใหฝายใดฝายหนึ่งที่เกี่ยวของ สะเทือนใจ และระแวงในความเปนกลางหรืออุปาทานของผูพิพากษาได (๒) ผูพิพากษาผูมีอํานาจอาจแถลงใหประชาชนเขาใจถึงวิธีพิจารณาความ ของศาลเมื่อมีเหตุผลสมควร : คําวา “ผูพิพากษาผูมีอํานาจ” ในที่นี้มิไดหมายความถึงผูพิพากษาเจาของสํานวน หรือผูพิพากษาซึ่งเปนองคคณะพิจารณาพิพากษาคดี หากแตหมายความถึงผูพิพากษาหัวหนาศาล อธิบดีผูพิพากษาภาค อธิบดีผูพิพากษาศาลชั้นตน ประธานศาลอุทธรณ ประธานศาลอุทธรณภาค
และประธานศาลฎีกา แลวแตกรณี และหมายความรวมถึงบุคคลซึ่งผูพิพากษาผูมีอํานาจมอบหมาย ใหเปนผูแถลงแทนดวย เชน เจาหนาที่ประชาสัมพันธประจําศาล มีอยูเสมอที่สื่อมวลชนหรือบุคคลทั่วไปอยากทราบขั้นตอนตาง ๆ ของการดําเนินคดี ในศาล หรือของใจในวิธีการในกระบวนพิจารณาของศาล โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับคดีใดคดีหนึ่ง ซึ่งเปนขาวอยูในความสนใจของบุคคลทั่วไป ผูพิพากษาผูมีอํานาจยอมแถลงใหประชาชนเขาใจได โดยเฉพาะอยางยิ่งในดานวิธีการ ขั้นตอนในคดีนั้น ๆ และขอเท็จจริงเทาที่พึงเปดเผยไดโดยไมมีผูใด เสียหายหรือกระทบกระเทือนตอการดําเนินคดีนั้นตอไป แตพึงละเวนการใหความเห็นเกี่ยวกับ การดําเนินคดีหรือผลของคดีนั้น บทบัญญัติ ขอ ๗ การถายภาพ ภาพยนตร บันทึกภาพหรือเสียง หรือการกระทําอยางอื่น ในทํานองเดียวกันในการนั่งพิจารณาและพิพากษาคดีของศาลจะกระทํามิได เวนแต ผูพิพากษา ตําแหนงอธิบดีผูพิพากษาภาค และอธิบดีผูพิพากษาศาลชั้นตนขึ้นไปเปนผูอนุญาตเฉพาะในกรณี จําเปนอยางยิ่ง แตพึงระมัดระวังมิใหเปนที่เสื่อมเสียหรือกระทบกระเทือนตอการพิจารณาคดี คูความ พยานหรือบุคคลอื่นใด คําอธิบาย (๑) เหตุผลสําคัญที่ศาลนานาประเทศหามการถายภาพ ภาพยนตร บันทึกภาพ หรือเสียง เกี่ยวกับการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลก็เพราะ (ก) ศาลเปนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันพึงเคารพ (ข) การอนุญาตใหถายภาพ ภาพยนตร ฯลฯ ในศาลจะเปนชองทางใหมีการสราง เหตุการณใหเปนที่ตื่นเตนได และ (ค) การกระทําดังกลาวอาจกระทบกระเทือนตอคูความหรือผูเกี่ยวของหรือบุคคลอื่น โดยอาจทําใหรูปคดีเสียไป เพราะอาจมีการบิดเบือนหรือเนนเฉพาะสวนใดสวนหนึ่งของกระบวนพิจารณา ของศาลได การที่บัญญัติจริยธรรมขอนี้ขึ้นก็ดวยเหตุผลเชนเดียวกันนี้ (๒) ในกรณีจําเปนอยางยิ่ง ผูพิพากษาตําแหนงอธิบดีผูพิพากษาภาค และอธิบดี ผูพิพากษาศาลชั้นตนขึ้นไปอาจอนุญาตใหถายภาพ ภาพยนตร ฯลฯ ได เปนตนวาการถายทอดโทรทัศน การเสด็จพระราชดําเนินเหยียบศาลและเสด็จประทับ ณ บัลลังกอยางไรก็ตามหากมีการอนุญาต พึงระมัดระวังมิใหเปนที่เสื่อมเสียหรือกระทบกระเทือนตอการพิจารณาคดี คูความ พยาน หรือ บุคคลอื่นใด
บทบัญญัติ ขอ ๘ การเปรียบเทียบหรือไกลเกลี่ยคดีจักตองกระทําในศาล ผูพิพากษาพึงชี้แจง ใหคูความทุกฝายตระหนักถึงผลดีผลเสียในการดําเนินคดีตอไป ทั้งนี้ จักตองไมใหคํามั่น หรือบีบบังคับใหคูความฝายใดฝายหนึ่งหรือทุกฝายยอมรับขอเสนอใด ๆ หรือใหจําเลยรับสารภาพ โดยไมสมัครใจ และจักตองไมทําใหคูความฝายใดฝายหนึ่งระแวงวาผูพิพากษาฝกใฝชวยเหลือ คูความอีกฝายหนึ่ง คําอธิบาย ก. การไกลเกลี่ยโดยองคคณะผูพิพากษา (๑) การเปรียบเทียบหรือไกลเกลี่ยคดีนั้น เปนเจตนารมณของกฎหมายดังเชน ที่บัญญัติไวในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา ๑๙ มาตรา ๒๐ และมาตรา ๒๐ ทวิ และตามกฎหมายอื่น ซึ่งองคคณะผูพิพากษายอมมีอํานาจกระทําได อยางไรก็ตาม ถาหากกระทําการ เปรียบเทียบหรือไกลเกลี่ยคดีนอกศาล แมผูพิพากษาจะไมมีสวนไดเสียในคดีนั้น ก็ทําใหมองไปได วาเปนเรื่องสวนตัวหรือกึ่งสวนตัวของผูพิพากษาเอง และเทาที่ผานมาก็มีการรองเรียนในเรื่องนี้ อยูเปนครั้งคราว เพื่อตัดขอรังเกียจของคูความในเรื่องนี้ จึงกําหนดไวในจริยธรรมขอนี้ใหผูพิพากษา กระทําการเปรียบเทียบหรือไกลเกลี่ยคดีของตนในศาลและพึงกระทํา ณ บัลลังกที่พิจารณาเทานั้น (๒) ในการเปรียบเทียบหรือไกลเกลี่ยคดีนั้นควรกระทําใหเหมาะสมกับลักษณะ และพฤติการณในแตละคดี โดยชี้แจงใหคูความทราบถึงผลไดผลเสียของการดําเนินคดีตอไป เปนตนวา ถาดําเนินคดีตอไปจนถึงที่สุด อาจจะเสียเวลาและคาใชจายในการดําเนินคดีมากกวาที่คาดคิดไว หากรอมชอมกันเสียในขณะนี้ โดยตางฝายตางโอนออนเขาหากันหนักนิดเบาหนอยอาจจะ ไดประโยชนมากกวา (๓) ขอที่พึงระมัดระวังคือ ผูพิพากษาจักตองไมชี้ชองหรือบอกใบวาฝายใดไดเปรียบ ในเชิงคดี หรือฝายใดมีแตทางแพประตูเดียว แตผูพิพากษาจักตองดํารงตนเปนคนกลางอยางแทจริง ทั้งจักตองไมใหคํามั่นหรือบีบบังคับใหคูความฝายใดรับขอเสนอใด ๆ หรือใหจําเลยรับสารภาพโดย ไมสมัครใจดวย ข. การไกลเกลี่ยโดยผูประนีประนอม โดยที่การไกลเกลี่ยขอพิพาทเปนการระงับขอพิพาทที่เปนประโยชนตอคูความและ กระบวนการพิจารณาของศาลยุติธรรม เพราะนอกจากจะทําใหการดําเนินคดีเสร็จสิ้นไปไดดวยความ รวดเร็วและประหยัดแลว ยังเปนผลใหขอพิพาทระงับลงดวยความพอใจของคูความ การไกลเกลี่ย ขอพิพาทจึงเปนทางเลือกที่ศาลยุติธรรมนํามาปรับใชเพื่อประโยชนในการระงับขอพิพาท ที่ขึ้นสูศาล โดยสงเสริมใหมีการใชวิธีไกลเกลี่ยขอพิพาทโดยผูประนีประนอม ซึ่งเมื่อคดีขึ้นสูศาล ผูรับผิดชอบราชการของศาล ไดแก ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ ประธานศาลอุทธรณภาค อธิบดีผูพิพากษาศาลชั้นตน ผูพิพากษาหัวหนาศาล รวมถึงผูที่ไดรับมอบหมายจากบุคคลดังกลาว หรือองคคณะผูพิพากษา อาจแตงตั้งผูพิพากษาคนหนึ่งหรือหลายคนในศาลเปนผูประนีประนอมก็ได เพื่อชวยเหลือศาลในการไกลเกลี่ยคดีเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งการไกลเกลี่ยจะทําดวยวิธีใด ณ วัน เวลา
และสถานที่ใด ใหเปนไปตามที่ผูประนีประนอมกําหนด โดยไมตองกระทํา ณ บัลลังกที่พิจารณา เชนเดียวกับกรณีองคคณะผูพิพากษาไกลเกลี่ยคดีของตน แตทั้งนี้ตองเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการ ไกลเกลี่ยขอพิพาทที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมหรือประธานศาลฎีกากําหนด บทบัญญัติ ขอ ๙ ผูพิพากษาพึงระลึกวาการนําพยานหลักฐานเขาสืบและการซักถามพยาน ควรเปนหนาที่ของคูความและทนายความของแตละฝายที่จะกระทํา ผูพิพากษาพึงเรียก พยานหลักฐานหรือซักถามพยานดวยตนเองก็ตอเมื่อจําเปนเพื่อประโยชนแหงความยุติธรรม หรือมีกฎหมายบัญญัติไวใหศาลเปนผูกระทําเอง คําอธิบาย (๑) บทบัญญัติมาตรา ๘๖ วรรคทาย มาตรา ๑๑๖(๑) และมาตรา ๑๑๙ แหงประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพง กับบทบัญญัติมาตรา ๒๒๘ และมาตรา ๒๓๕ แหงประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาไดใหอํานาจศาลอยางกวางขวางในอันที่จะซักถามพยานหรือเรียกพยาน มาสืบเองได แตทั้งนี้ผูพิพากษาพึงระลึกเสมอวาตนทําหนาที่เปนเพียงคนกลาง การที่จะใชดุลพินิจ ในการซักถามพยานก็ดี เรียกพยานมาสืบเองก็ดีพึงกระทําเมื่อเห็นวาจําเปนเพื่อประโยชน แหงความยุติธรรม หรือมีกฎหมายบัญญัติไวใหศาลเปนผูกระทําเองเทานั้น และพึงกระทํา ดวยความระมัดระวังมิใหคูความเกิดความหวาดระแวงในความเปนกลางของตนได (๒) จําเปนเพื่อประโยชนแหงความยุติธรรม (ก) กรณีอยางไร จะถือวาจําเปนเพื่อประโยชนแหงความยุติธรรมนั้นตองพิเคราะห จากฐานะของศาลที่เปนคนกลาง มิใชวาศาลเห็นวาทนายความของคูความฝายใดทําหนาที่บกพรอง ศาลก็เขาซักถามหรือเรียกพยานมาสืบแทนเสียเอง การทําเชนนั้น ยอมจะทําใหคูความอีกฝายหนึ่ง เห็นวาศาลมิไดเปนกลางเสียแลว เหตุที่กฎหมายบัญญัติใหศาลใชดุลพินิจซักถามพยานหรือเรียกพยานมาสืบไดเอง หรือเรียกพยานที่สืบไปแลวมาสืบใหมเอง ก็เพราะจําเปนเพื่อประโยชนแหงความยุติธรรม ถาปลอยให เปนหนาที่ของคูความโดยเฉพาะในการนําสืบและการซักถามพยานแลว อาจมีขอบกพรอง หรือชองโหวในสํานวนคดี หรืออาจมีกรณีพยานเบิกความขัดตอเหตุผลธรรมดา หรือไมแจมแจง ยากแกการตัดสินคดีใหเที่ยงธรรมในฐานะที่ศาลเปนคนกลางได อยางไรก็ตาม ในคดีอาญานั้น ศาลตองระมัดระวังเพิ่มขึ้นเปนพิเศษ ดังเชน การที่ศาลจะใชอํานาจเรียกสํานวนการสอบสวน จากพนักงานอัยการมาเพื่อประกอบการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๕ นั้น ศาลไมควรเรียกสํานวนการสอบสวนมาเพิ่มเติมพยานโจทกที่ยังบกพรองอยู เพื่อลงโทษจําเลย (ข) มีบางกรณีซึ่งไมมีกฎหมายบัญญัติไวโดยเฉพาะ แตก็อาจถือเปนกรณีจําเปน เพื่อประโยชนแหงความยุติธรรม ที่ผูพิพากษาพึงซักถามพยานเอง เชน ในคดีอาญาที่ทั้งโจทก และจําเลยมิไดซักถามพยานเกี่ยวกับสาเหตุแหงการกระทําความผิดไว เพราะสาเหตุนี้เปนเรื่องสําคัญ
เรื่องหนึ่งที่ศาลจะตองพิจารณาประกอบการวินิจฉัยชั่งน้ําหนักคําพยาน และดุลพินิจในการลงโทษ จําเลย แตทั้งนี้มิไดหมายความวา ถาไมปรากฏสาเหตุแหงการกระทําความผิดแลว ศาลจะลงโทษ จําเลยไมได การที่จําเลยจะถูกลงโทษหรือไม อยูที่วาเมื่อศาลชั่งน้ําหนักพยานหลักฐานทั้งปวงแลว ศาลแนใจวาจําเลยเปนผูกระทําความผิดนั้นหรือไม (ค) หลักกฎหมายที่ผูพิพากษาพึงพิเคราะหประกอบกับบทบัญญัติที่ใหอํานาจศาล เปนพิเศษดังกลาวก็คือ ศาลตองฟงความทั้งสองฝาย ศาลตองใหคูความทุกฝายไดมีโอกาสถามพยานบุคคล ที่ศาลเรียกมาสืบ และคัดคานพยานเอกสารที่ศาลเรียกมาประกอบการพิจารณาดวย เวนแตกฎหมายจะ ไดบัญญัติไวเปนประการอื่น อนึ่ง การที่ศาลจะซักถามพยานของคูความ หรือเรียกพยานมาสืบเองนั้น เพื่อมิใหเกิด ความสับสนแกคูความในการซักถามพยาน หรือเกิดความไดเปรียบเสียเปรียบกันในเชิงคดี ศาลควรจะ กระทําเมื่อคูความแตละฝายซักถามหรือนําสืบพยานของฝายตนเสร็จเรียบรอยแลว นอกจากมีเหตุผล พิเศษประการใดประการหนึ่ง (๓) มีกฎหมายบัญญัติไวใหศาลเปนผูกระทําเอง : ตัวอยางเชน ในการสืบพยานกอนฟองคดีตอศาล เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อไดวา พยานบุคคลซึ่งจะตองนํามาสืบในภายหนาจะเดินทางออกนอกประเทศยากแกการนําสืบนั้น หากศาลเห็นวาไมสามารถตั้งทนายใหผูตองหาไดหรือผูตองหาไมอาจตั้งทนายไดทัน ก็ใหศาล ซักถามพยานนั้นใหแทน : ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๓๗ ทวิ วรรคสอง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๕ วรรคสอง บัญญัติวา “ในการสืบพยานไมวาจะเปนพยานที่คูความฝายใดอางหรือ ที่ศาลแรงงานเรียกมาเอง ใหศาลแรงงานเปนผูซักถามพยาน ตัวความหรือทนายความจะซักถามพยาน ไดตอเมื่อไดรับอนุญาตจากศาลแรงงาน” บทบัญญัติ ขอ ๑๐ การบันทึกคําเบิกความ ผูพิพากษาจักตองบันทึกเฉพาะขอความ ในประเด็นขอพิพาท หรือเกี่ยวเนื่องกับประเด็นขอพิพาท และตองไดสาระถูกตองครบถวน ตามคําเบิกความ การบันทึกคําแถลงและรายงานกระบวนพิจารณา จักตองใหไดความชัดแจง และตรงตามขอเท็จจริงที่ปรากฏ คําอธิบาย (๑) ในการบันทึกคําเบิกความของพยานนั้น ตองใหไดเนื้อหาถูกตองครบถวนตามที่ พยานเบิกความ และพึงใชถอยคําที่พยานเบิกความ เปนตนวา พยานเบิกความวา “เวลาเพล” ก็บันทึกวา “เวลาเพล” มิใชบันทึกวา “เวลา ๑๑.๐๐ น.” อยางไรก็ตามไมจําเปนที่ผูพิพากษา จักตองบันทึกถอยคําของพยานทุกถอยคํา นอกจากขอความตอนนั้นเปนเรื่องสําคัญอันเกี่ยวกับ
ประเด็นขอพิพาทโดยตรง เชน ขอความที่เปนประเด็นวาจะเปนหมิ่นประมาทหรือไม ผูพิพากษา จักตองบันทึกไวคําตอคํา อนึ่ง ในกรณีที่พยานเบิกความในประเด็นขอพิพาทโดยตรง โดยใชถอยคําในภาษา ทองถิ่น ดังเชน พยานเบิกความวา “ที่ดินติดกับสายหนาม” ผูพิพากษาพึงบันทึกไวในวงเล็บดวยวา (“สายหนาม” เปนภาษาทองถิ่นหมายถึงลวดหนาม) เพื่อใหผูอานสํานวนคดีโดยเฉพาะอยางยิ่งผู พิพากษาศาลสูงไดทราบความหมายอันแทจริงของคํานี้ (๒) บางกรณีผูพิพากษานาจะบันทึกคําเบิกความให แตก็มิไดบันทึกเพราะเห็นวาเปน เรื่องนอกประเด็น เรื่องนี้นาจะตองพิเคราะหใหถี่ถวน โดยเฉพาะในการเบิกความตอบคําถามคาน บางครั้งทนายความอาจถามคานเพื่อจับเท็จพยาน หรือทําลายน้ําหนักความนาเชื่อถือของพยาน หรือเพื่อหักลางคําเบิกความตอนตอบคําถามของทนายความฝายที่อางพยาน คําถามเหลานี้อาจมอง ไปไดวาเปนเรื่องนอกประเด็น แตความจริงเปนคําถามที่คูความฝายตรงขามมีสิทธิถามได และ ผูพิพากษาสมควรจะบันทึกไวประกอบการชั่งน้ําหนักคําพยานของศาลดวย ตัวอยางเชน ในคดีเรื่องหนึ่ง ผูรับมอบอํานาจจากโจทกมาเปนพยานเบิกความ ประหนึ่งวา ตนเปนประจักษพยานในหลักฐานแหงหนี้ที่ฟองรองกัน ซึ่งทนายจําเลยไดถามคานวา พยานรูเห็นดวยตนเองหรือไม แตศาลกลับเห็นวาพยานเปนผูรับมอบอํานาจยอมจะรูอยูแลววา เปนผูรูเองเห็นเองหรือไม จึงไมยอมบันทึกให ซึ่งจะเห็นไดวา เหตุที่ทนายจําเลยถามเชนนั้นก็เพื่อ แสดงใหเห็นวาพยานปากนี้เปนพยานบอกเลาเทานั้น ซึ่งศาลสมควรบันทึกไวให นอกจากนี้ยังมีคําถามที่มิใชคําถามในประเด็นที่พิพาทโดยตรง แตเปนคําถามที่นําเขาสู ประเด็นก็ควรบันทึกไวใหเชนเดียวกัน การที่ผูพิพากษาจะถามทนายความผูถามวาจะถามอะไรตอไป หรือถามเพื่อประสงคอะไรนั้น บางครั้งทนายความผูนั้นอาจจะเปดเผยกอนไมได เพราะพยานอาจรูตัว ทําใหรูปคดีของตนเสียไป กรณีเชนนี้ยอมอยูในดุลพินิจของผูพิพากษาที่จะบันทึกคําเบิกความนั้นไวให หรืออาจบันทึกในภายหลังเมื่อทราบจุดประสงคของผูถามแลว (๓) มีบางกรณีที่ผูพิพากษาเห็นวา คําเบิกความนั้นไมเกี่ยวกับประเด็นแหงคดี โดยตรง แตก็อาจบันทึกใหโดยบันทึกไวดวยวาที่บันทึกดังนั้นก็เพราะคูความขอหรือในกรณีที่ศาล เห็นวาคําถามนั้นไมเกี่ยวกับประเด็นโดยแทก็ใหคูความทําคําคัดคานติดสํานวนไว บทบัญญัติ ขอ ๑๑ ในการปรึกษาคดี ผูพิพากษาเจาของสํานวนจักตองตระเตรียมคดีนั้น ลวงหนาอยางถี่ถวน และจักตองชี้แจงขอเท็จจริงและขอกฎหมายตอองคคณะอยางถูกตองครบถวน ผูพิพากษาที่เปนองคคณะจักตองรวมพิจารณาใหขอคิดเห็นและเหตุผลประกอบ เสมือนหนึ่งตนเปนเจาของสํานวนคดีเรื่องนั้นเอง ผูพิพากษาที่รวมกันพิจารณาคดีพึงเคารพในความ คิดเห็นและเหตุผลของกันและกัน ทั้งนี้เพื่อใหไดคําวินิจฉัยชี้ขาดที่ถูกตองและเที่ยงธรรม