คําอธิบาย (๑) ตระเตรียมคดีนั้นลวงหนาอยางถี่ถวน : ผูพิพากษาเจาของสํานวนจักตองอาน และเขาใจเนื้อหาของคดี แยกแยะออกไดวาอะไรเปนประเด็นแหงคดีอะไรมิใช และรูทั่วถึง ซึ่งความตื้นลึกหนาบางแหงคดีจากพยานหลักฐานในสํานวนความรูเทาทันคูความและพยาน แตเปนการ รูอยางไมยินดียินราย คือมีอุเบกขา หรือวางใจเฉยอยูไมนําความรูสึกสวนตัวเขามาเกี่ยวของดวย สามารถชั่งน้ําหนักคําพยานและรับฟงพยานหลักฐานไดตรงกับความเปนจริง ทั้งปรับบทกฎหมาย เขากับคดีนั้นไดอยางถูกตองและเปนธรรม (๒) จักตองชี้แจงขอเท็จจริงและขอกฎหมายตอองคคณะอยางถูกตองครบถวน : ผูพิพากษาเจาของสํานวนจักตองเปดเผยขอเท็จจริงทุกประการแกผูพิพากษาที่เปนองคคณะ แมใน บางเรื่องเจาของสํานวนอาจจะเห็นวาเปนเรื่องปลีกยอย แตองคคณะอาจเห็นเปนเรื่องนาเฉลียวใจ ควรพิเคราะหโดยรอบคอบก็ได โดยเฉพาะในเรื่องของการชั่งน้ําหนักคําพยานและการรับฟง พยานหลักฐาน หรือขอแตกตางของคําเบิกความเพียงพลความ ผูพิพากษาที่เปนองคคณะอาจเห็น เปนเรื่องสําคัญ หรือแสดงขอพิรุธของพยาน ถึงขนาดที่ทําใหขาดความเชื่อถือก็ได การปกปดขอเท็จจริง สวนใดสวนหนึ่งจักมีไมไดเลย เพราะเทากับเจาของสํานวนมิไดปฏิบัติหนาที่โดยสุจริต (๓) ผูพิพากษาที่เปนองคคณะจักตองรวมพิจารณาใหขอคิดเห็นและเหตุผล ประกอบเสมือนหนึ่งตนเปนเจาของสํานวนคดีเรื่องนั้นเอง : คดีซึ่งมีขอยุงยากและซับซอนนั้น ผูพิพากษาองคคณะนาจะไดอานและพิจารณาพยานหลักฐานในสํานวนนั้นดวยตนเองดวย แทนที่จะฟงการแถลงขอเท็จจริงจากผูพิพากษาเจาของสํานวนแตเพียงประการเดียวเทานั้น และไมวาคดีนั้นจะเปนคดีมีขอยุงยากและซับซอนหรือไม ผูพิพากษาองคคณะจักตองใหขอคิดเห็น และเหตุผลประกอบเสมือนหนึ่งตนเปนเจาของสํานวนคดีเรื่องนั้นเอง (๔) ผูพิพากษาที่รวมกันพิจารณาคดีพึงเคารพในความคิดเห็นและเหตุผลของกัน และกัน ทั้งนี้เพื่อใหไดคําวินิจฉัยชี้ขาดที่ถูกตองและเที่ยงธรรม : (ก) ในเรื่องนี้มีคําเตือนผูพิพากษาของพระยาจินดาภิรมย เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ซึ่งไดพิมพแจกแกผูพิพากษาที่จะออกไปรับราชการใหมใน พ.ศ.๒๔๗๒ ตอนหนึ่งวา : “...หนาที่ตุลาการตางกับธุรการอยางหนึ่งคือ ฝายธุรการนั้นตองฟงบังคับบัญชา ผูมีอํานาจเหนือ แตตุลาการในสวนที่เกี่ยวกับการพิจารณาพิพากษาคดีแลว มีอิสระในการ ออกความเห็นและพิพากษา แตทั้งนี้ไมใชวาทําตามชอบใจตนได ตองตั้งอยูในคลองมรรยาท ของผูพิพากษาประกอบดวยสุจริตธรรมและพิจารณาพิพากษาคดีความตามบทกฎหมายพระธรรมนูญ และแบบแผน ทานเปนผูพิพากษาออกไปรับราชการใหมยอมมีหัวหนาในศาลที่ทานรับราชการ และยังมีอธิบดีผูพิพากษาศาลมณฑลครอบงําอีกชั้นหนึ่ง หนาที่ของทานตองเคารพและฟงคําสั่งตักเตือน ของทานเหลานี้ตามที่ชอบดวยราชการ จึงควรมีความปรองดองสามัคคีระหวางกันตามลําดับผูใหญ และผูนอย ควรผอนผันเขาหากันอยาถือเปนเขาเปนเรา แตสวนที่เกี่ยวกับการพิจารณาพิพากษาคดี อันเปนหนาที่ตุลาการโดยเฉพาะนั้น ทานมีโอกาสชี้แจงและโตเถียงไดโดยเต็มความสามารถ ตามความเห็นของทานที่ไดศึกษามาในวิชากฎหมาย เพื่อคูความจะไดรับความยุติธรรมเปนอยางดีที่สุด ดั่งจะเห็นไดในบทพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งบัญญัติไววาตองมีผูพิพากษานั่งพิจารณาไมนอยกวา
๒ นายจึ่งจะเปนองคคณะนั้น ก็เพื่อจะไดประชุมปรึกษากัน ไมใชจะตองตามใจกัน เวนแต จะเห็นพองรวมกัน ในการออกความเห็นเชนนี้ทานตองพยายามชี้แจงเหตุผลและยกหลักฐาน ขึ้นชี้แจง ถาเขาไมฟงไมควรถือโกรธ และตองจําไววาเราเปนคนใหมยังไมมีความชํานาญ แมจะชี้แจง คัดคานตองทําดวยความออนโยนอยาแข็งกระดาง การเถียงนั้นไมพึงถือแตความเห็นของตนอยางเดียว ตองฟงความเห็นของเขามาพิจารณาเขาดวย ถาของเขาชอบดวยเหตุผลของเราผิดก็ตองยอมรับผิด เวนแตของเราถูกจึงจะยืนไว การเถียงนั้นตองเถียงกันโดยสุภาพ พนเวลาเถียงแลวหนักนิดเบาหนอย ถอยทีถอยอาศัยกันไมควรถือมาเปนอารมณเพื่อคุมแคนโกรธเคืองกันตอไปอีก เพราะเปนเรื่องเกี่ยวกับ การงานที่จําตองปรึกษาและโตเถียงกันเปนธรรมดา” (ข) เพื่อที่จะใหไดคําวินิจฉัยชี้ขาดที่ถูกตองและเปนธรรม ผูพิพากษาพึงยึดหลักอยางนอย สามประการในการวินิจฉัยอรรถคดี กลาวคือ ประการแรก : ความมีสามัญสํานึก ในปญหาขอเท็จจริงนั้นเห็นไดงายวา การชั่งน้ําหนักพยานหลักฐานเพื่อเสาะหา ความจริงใหไดวาเปนประการใดนั้น ยอมตองอาศัยสามัญสํานึก หรือเหตุผลธรรมดาโดยสิ้นเชิง สวนปญหาขอกฎหมายนั้น ก็เชนเดียวกัน ในการตีความกฎหมายพึงตีความไปในทางที่มีความหมาย อันสมควรและมิใชไปในทางที่ไมควรจะเปนหรือบังเกิดผลประหลาด (manifest absurdity) ถาตีความบทบัญญัติแหงกฎหมายตามตัวอักษรแลวบังเกิดผลประหลาดยอมตองใฝหาเจตนารมณ อันแทจริงของกฎหมายบทนั้นใหไดวาประสงคอะไร ซึ่งโดยปกติแลวยอมไดแกความอยูรอดของสังคม และความเที่ยงธรรมแกคูความทุกฝายนั่นเอง แมกระนั้นก็ดี ยังมีบางคนตีความกฎหมายอยาง เถรตรง โดยไมคํานึงถึงผลแหงการตีความนั้นวาทําใหบังเกิดผลประหลาดและสรางความอยุติธรรม อยางไรบาง เมื่อถูกติงก็โยนกลองกลับไปสูฝายนิติบัญญัติวา ก็ตรากฎหมายออกมาเชนนั้น จะใหทํา อยางไรได คําถามที่ผูพิพากษานาจะตั้งถามตนเองตลอดเวลาไดแกคําถามที่วา การที่จะวินิจฉัยเชนนั้น จะเปนการสอดคลองตองดวยสามัญสํานึกหรือไม เรื่องของสามัญสํานึกนี้ก็เชนเดียวกันกับเรื่องอคติ อันมิใชเรื่องงาย เพราะตางคนตางก็คิดวาการวินิจฉัยของตนตองดวยสามัญสํานึกอยูแลว ขอที่อาจ ผิดหลงไดงายนี้ จําเปนตองอาศัยองคคณะผูพิพากษา หรือเพื่อนรวมงานไดชวยติหรือติงให หลายสมอง หลายความคิด ยอมจะแกไขเรื่องขาดสามัญสํานึกไดเปนอันมาก ประการที่สอง : ความพอเหมาะพอควร เรื่องการใชดุลพินิจในทางอรรถคดีของผูพิพากษาวาพอเหมาะพอควรเพียงไร เปนตนวา ในคดีอาญาจะลงโทษจําเลยเพียงใด ในคดีแพงจะใหคาเสียหายโจทกเพียงไรจึงจะพอเหมาะพอควร เปนเรื่องยากที่สุดเรื่องหนึ่ง เพราะแตละคนตางก็คิดกันวาตนเองวินิจฉัยในคดีนั้นพอเหมาะพอควรแลว ดังนั้น องคคณะผูพิพากษาจักตองชวยเหนี่ยวรั้งหรือชวยกันใครครวญใชดุลพินิจหาความพอดี ในการวินิจฉัยใหได ประการที่สาม : สัมมาทิฐิ ความจริง การวินิจฉัยอรรถคดีนั้น สวนใหญเปนเรื่องของความเห็น บางกรณีจะถือ วาคนนั้นผิด คนนี้ถูกก็ยาก บางเรื่องเปนเรื่องที่เห็นกันอยูชัดแจงวาผิด แตทานก็ยังยืนยันวาถูก หรือควรจะเปนเชนนั้น ทั้ง ๆ ที่ก็ตระหนักดีวาผิด ดังนี้เปนเรื่องของมิจฉาทิฐิ แตบางเรื่องถาทาน
เห็นดวยความบริสุทธิ์ใจวาถูกตอง และยึดถือตามนั้น แมจะไมมีผูใดเห็นพองดวยก็ตาม ยอมเปนเรื่อง สัมมาทิฐิ ในเรื่องมิจฉาทิฐิของผูพิพากษานี้อาจมีกรณีที่ผูพิพากษาดําเนินกระบวนพิจารณา ผิดพลาดหรือบกพรอง โดยเฉพาะในเรื่องของคําสั่งระหวางพิจารณา ซึ่งอาจแกไขไดตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา ๒๗ แมคูความจะรองขอ ผูพิพากษาก็ไมยอมแกไข กลับให คูความยื่นคําคัดคานติดสํานวนไวเพื่ออุทธรณฎีกาตอไป ซึ่งทําใหคูความเดือดรอนเปนอยางยิ่ง แมวาคูความจะมีทางเยียวยาความผิดพลาดบกพรองของศาลดวยการอุทธรณฎีกา เขาก็ตองเสียทั้ง เวลาและเงินทอง ที่สําคัญที่สุดก็คือ ทําใหรูปคดีของเขาเสียหาย ผูพิพากษาซึ่งตระหนักอยูเปนอันดีวา ตนผิดพลาดไปแลว แทนที่จะตัดใจละมิจฉาทิฐิของตนเสีย แกไขกระบวนการพิจารณาใหม ใหถูกตองกลับปลอยใหเปนเคราะหกรรมแกคูความที่มิไดมีสวนผิดพลาดบกพรอง หรือตองรับผิด ดวยเลย ความมีมิจฉาทิฐินี้ นอกจากจะเสียหายแกคูความโดยตรงแลว ยอมจะกระทบกระเทือน ตอผลการปฏิบัติหนาที่ราชการของผูพิพากษานั้นดวย ในเมื่อปรากฏมีขอรองเรียน หรือศาลสูง ตองเปนผูพิจารณาแกไขความผิดพลาดบกพรองของตนเมื่อมีอุทธรณฎีกา ในทางตรงกันขาม มิใชวาการยึดมั่นในความเห็นของตนวาถูกตองนั้นจะตองเปนเรื่อง ดื้อรั้น หรือมิชอบเสมอไป แมวาจะขัดแยงตอความเห็นสวนขางมากก็ตาม ความเปนตัวของตัวเอง การมีความคิดเห็นเปนอิสระและยึดมั่นในความคิดเห็นของตนนั้น เปนเอกลักษณของวิชาชีพ ตุลาการโดยเฉพาะ ขอแตเพียงวาความคิดเห็นนั้นเปนความคิดเห็นที่ชอบเทานั้น ผูพิพากษาไมควร หวั่นเกรงตอการที่จะถูกศาลสูงกลับ หรือแกคําพิพากษาของตน ในการตัดสินคดีความนั้น แทนที่จะ เกรงใจศาลสูงวาเห็นประการใด แลวตัดสินไปตามนั้นเพื่อมิใหถูกกลับหรือแก นาจะตัดสินไปตามทางที่ ตนเองเห็นโดยบริสุทธิ์ใจ และไดใครครวญอยางสุขุมแลววา เปนความถูกตองและเที่ยงธรรม แมวาคําพิพากษาจะถูกศาลสูงกลับหรือแก ก็ไมนาจะมีผูใดถือวาการกลับหรือแกโดยศาลสูงนั้น แสดงใหเห็นความบกพรองหรือผิดพลาดของผูพิพากษาในการปฏิบัติหนาที่ราชการศาลยุติธรรม แตประการใด อนึ่ง ความถูกตองและเที่ยงธรรมนี้ ไมไดหมายความวา ผูพิพากษามีอํานาจที่จะตัดสิน คดีตามที่ตนเห็นวายุติธรรมอยางไรก็ได หากแตตองอยูภายในกรอบของตัวบทกฎหมาย ภายในเจตนารมณของกฎหมาย และนิติประเพณี (ตามความหมายในคําอธิบายจริยธรรม ขอ ๑ (๓)) บทบัญญัติ ขอ ๑๒ เมื่อจะพิพากษาหรือมีคําสั่งในคดีเรื่องใด ผูพิพากษาจักตองละวางอคติทั้ง ปวงเกี่ยวกับคูความหรือคดีความเรื่องนั้น ทั้งจักตองวินิจฉัยโดยไมชักชา และไมเห็นแกหนาผูใด คําพิพากษาและคําสั่ง จักตองมีคําวินิจฉัยที่ตรงตามประเด็นแหงคดี ใหเหตุผลแจงชัด และสามารถปฏิบัติตามนั้นได การเรียงคําพิพากษาและคําสั่งพึงใชภาษาเขียนที่ดี ใชถอยคํา ในกฎหมายใชโวหารที่รัดกุมเขาใจงาย และถูกตองตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ขอความอื่นใดอันไมเกี่ยวกับการวินิจฉัยประเด็นแหงคดีโดยตรง หรือไมทําใหการวินิจฉัยประเด็น ดังกลาวชัดแจงขึ้นไมพึงปรากฏอยูในคําพิพากษาหรือคําสั่ง
คําอธิบาย (๑) ละวางอคติทั้งปวง : (ก) ดูคําอธิบาย (๑) ในจริยธรรมขอ ๑ และขอ ๓ ประกอบ (ข) เปนที่นาสังเกตวาเรื่องอคตินี้ในระบบการศาลของนานาประเทศก็ถือวาเปน เรื่องสําคัญที่ผูพิพากษาจักตองสังวรในการพิจารณาพิพากษาคดี ดังเชนที่ปรากฏในคําถวายสัตย สาบานตนของผูพิพากษาอังกฤษ ขณะเขารับตําแหนงผูพิพากษา (The Judicial Oath) วา : “ ขาพระองคขอถวายสัตยสาบานตอพระผูเปนเจาผูทรงศักดานุภาพใหญยิ่งวา ขาพระองคจักใหความชอบธรรมแกผูคนทุกหมูเหลาตามกฎหมายและประเพณีแหงราชอาณาจักรนี้ โดยปราศจากความกลัว หรือความลําเอียง ความรัก หรือความมุงราย” (I do swear by Almighty God that…I will do right to all manner of people after the laws and usages of this Realm without fear or favour, affection or ill-will.) วลีที่วา “ปราศจากความกลัว หรือความลําเอียง ความรัก หรือความมุงราย” นั้น ใกลเคียงกับอคติสี่ประการในพระพุทธศาสนาอยางยิ่ง (ค) อคติที่เปนอุปสรรคสําคัญประการหนึ่งในดานการพิพากษาคดีคือ “ภยาคติ” หรือ ความกลัว มีปญหาที่นาพิจารณาคือการตัดสินประหารชีวิตจําเลยที่กระทําผิดมีโทษถึง ประหารชีวิตนั้น ผูพิพากษาผูตัดสินจะตองรับบาปกรรมเพราะการตัดสินประหารชีวิตหรือไม ในประเด็นขอนี้มีผูถามทานพุทธทาสภิกขุในการอบรมผูชวยผูพิพากษา รุนที่ ๑ เมื่อพ.ศ. ๒๔๙๙ ทานพุทธทาสภิกขุตอบวา ในทางพุทธศาสนานั้นทุกคนอยูภายใตกฎแหงกรรม อันเดียวกัน ผูใดทํากรรมอันใดไว ดีหรือชั่ว ยอมเปนไปตามกรรมนั้น ผูพิพากษาอยูในฐานะผูชี้กรรม เทานั้น ยอมไมตองรับบาปกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น แตทั้งนี้การชี้กรรมนั้นตองเปนไปโดยถูกตองดวย ถาชี้ผิด ผูพิพากษาก็ยอมไดรับผลกรรมในการชี้กรรมผิดนั้นดวย ในประเด็นขอเดียวกันนี้ ทานพุทธทาสภิกขุกลาวย้ําอีกคํารบหนึ่งในตอนทายการ บรรยายตามหลักสูตรอบรมผูชวยผูพิพากษา รุนที่ ๑ วา : “อาตมาอยากจะปรับความเขาใจอีกครั้งหนึ่ง ก็คือ เรื่องที่เกี่ยวกับเจตนาของตุลาการ เจตนาที่จะพิพากษาหรือจะสั่งบังคับคดีตาง ๆ นั้นเปนของสําคัญที่จะตองตั้งไวในฐานะเปนของบริสุทธิ์ ที่เคยมีผูถามปญหาถึงขอที่วา คําพิพากษาสั่งฆาคน หรือทําใหคนตกทุกขลําบากนั้นจะมีสวนที่ เปนวิบากกรรมอันจะสนองแกผูเปนตุลาการดวยหรือหาไม ขอนี้อาตมาก็ไดเคยตอบไปบางแลว และยังอยากจะขอย้ําอีกครั้งหนึ่งวาตองถือเอา “เจตนาเปนตัวกรรม” หรือเปนใหญ เจตนานั้น หมายถึง ความรูสึกคิดนึกหรือความตองการตามความประสงคในการที่จะทําสิ่งใด ๆ ลงไป ในที่นี้ หมายถึง การที่จะพิพากษาอรรถคดี และสั่งบังคับคดีลงไป เราตองประคับประคองเจตนาของเรา ใหตั้งอยูในฐานะเปนเจตนาของปูชนียบุคคลแหงโลกใหเสมอไปเหมือนดังที่ไดอธิบายมาแลวขางตน ถาเราเปนผูบูชาอุดมคติตั้งอยูในอุดมคติจริง ๆ แลว ไมตองกลัวเจตนานั้นยอมจะบริสุทธิ์ผุดผองเอง และจะเปนการทําไปดวยมุงรักษาอุดมคติของผูรักษาความเปนธรรม หรือผูคุมครองธรรมอยูในโลกนี้ การที่จําเลยจะตองเปนไปตามกรรม หรือตามบทบัญญัติที่อาศัยกฎเกณฑแหงความยุติธรรม
ที่ไดวางกันขึ้นไวนั้นไมใชสิ่งที่เราจะตองรับผิดชอบ เราจะรับผิดชอบเฉพาะแตเจตนาในการที่จะรักษา ความยุติธรรมโลกแตอยางเดียว เพราะเหตุดังกลาวมานี้เองอาตมาขอยืนยันวา ผูที่พยายามรักษาอุดมคติของตุลาการไว ประจําใจอยูเสมอนั้น ยอมจะมีเจตนาบริสุทธิ์ผุดผองในการที่จะรักษาธรรมของโลก ไมมีเจตนาที่จะ ทําใครใหลําบากหรือแกลงทําใครใหเสียชีวิต และยังจะประกอบไปดวยพรหมวิหารธรรมขอสุดทาย อีกดวย คือ อุเบกขามีความวางเฉยในเมื่อชวยอะไรไมได ธรรมขอนี้ทานก็จัดเปนพรหมวิหาร คือเปนคุณสมบัติของพรหมดวยเหมือนกัน เทา ๆ กับขอเมตตา กรุณา มุทิตา แมวาจะเปนขออุเบกขา คือจําเปนตองวางเฉย ในกรณีที่สัตวจะตองเปนไปตามกรรม เมื่อประกอบไปดวยพรหมวิหารธรรม ขอนี้ดวย และมีอุดมคติแหงบุคคลผูรักษาธรรมของโลกดวย เจตนาของเขายอมบริสุทธิ์ผุดผอง ไมมีบาป ไมมีกรรม เพราะการสั่งบังคับคดี ทั้งจะเปนการตั้งตนอยูในฐานะปูชนียบุคคลของโลกไดดวย โดยไมตองสงสัยเลย” (คําอธิบายหลักพระพุทธศาสนาอบรมผูจะรับแตงตั้งเปนตุลาการ ชุดที่ ๑ ประจําป ๒๔๙๙ วาดวยวิชาที่บอกวาอะไรเปนอะไร ของพุทธทาสภิกขุ, ธรรมทานมูลนิธิไชยา เปนผูจัดพิมพ, พ.ศ. ๒๕๑๑, หนา ๒๕๐ – ๒๕๒) (๒) คําพิพากษาและคําสั่ง : (ก) ในการวินิจฉัยปญหาขอเท็จจริงนั้น การพิเคราะหขอเท็จจริงตองตรงตาม พยานหลักฐานในสํานวนความ เหตุผลอันเกี่ยวกับการชั่งน้ําหนักพยานหลักฐานและการรับฟง พยานหลักฐานที่ใหในคําวินิจฉัยตองสมเหตุสมผลสอดคลองกับสามัญสํานึก สวนการวินิจฉัยปญหา ขอกฎหมายนั้น ตามปกติเปนเรื่องการอางอิงบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวของ โดยไมตองใหเหตุผล หรืออางเจตนารมณของกฎหมาย เวนแตในกรณีที่ตัวบทกฎหมายมีความเคลือบคลุม หรือมีปญหาวา จะใชกฎหมายใดบังคับซึ่งจะตองมีการตีความ ในกรณีหลังนี้พึงใหเหตุผลวาเหตุใดกฎหมายจึงมี เจตนารมณครอบคลุมหรือไมครอบคลุมถึงประเด็นแหงขอพิพาทในคดีนั้น (ข) “ขาวศาล” เลม ๒ ฉบับที่ ๒๗ วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๔๗๕ มีขอแนะนํา เกี่ยวกับการเรียงคําพิพากษาไวตอนหนึ่งวา : “การเรียงคําพิพากษา เปนกิจสําคัญอยางหนึ่งในหนาที่ของผูพิพากษา ผูที่ไดชื่อวา เปนผูพิพากษาที่ดีนั้น มิใชแตเพียงตัดสินความไดยุติธรรมและถูกตองตามกฎหมายเทานั้น จักตองตัดสินใหผูไดยินไดฟงเห็นดวยวา คําตัดสินนั้นเปนยุติธรรม และชอบดวยกฎหมาย การที่จะใหไดผลอยางนี้ ก็คือ จะตองชี้แจง แสดงเหตุผลในการตัดสินใหชัดแจง บทกฎหมายหรือคดี แบบอยางหรือหลักกฎหมายที่คูกรณียกขึ้นอางจะนํามาปรับแกคดีได หรือประการใด ควรกลาว อธิบายไว เมื่อคูกรณีไดฟงคําพิพากษาแลวใหทราบไดวา เขาชนะหรือแพในประเด็นขอใด และ เพราะเหตุใด การเรียงคําพิพากษาโดยไมแจงเหตุผล กลาวความรวม ๆ แลวรวบหัวรวบหางให ฝายโนนแพฝายนี้ชนะนั้น อาจเปนเหตุใหคูความเห็นไปวาเขาไมไดรับความยุติธรรม สวนคําพิพากษาในชั้นศาลสูง ก็มีขอสําคัญที่ตองเพงเล็งเชนเดียวกัน คือ ประเด็น ขอพิพาทใดที่ศาลลางวินิจฉัยไว และคูกรณีโตเถียงกันขึ้นมา ยอมเปนประเด็นที่ศาลสูงจักตองวินิจฉัย ในการวินิจฉัยประเด็นขอพิพาทเหลานี้ เมื่อจะคงยืน หรือกลับแกประการใดศาลสูงควรยกเหตุผล
แหงคําวินิจฉัยขึ้นชี้แจงพรอมดวยหลักฐานใหชัดแจง โดยเพงเล็งพยายามใหประจักษแกผูพิพากษา ศาลลาง และคูกรณีวา ศาลสูงกลับแกคําพิพากษาศาลลาง หรือคงยืน เพราะเหตุใด อนึ่ง ในการวินิจฉัยประเด็นขอพิพาทใด ๆ ไมวาในชั้นศาลลางหรือศาลสูง ถาเปน ขอกฎหมายก็ควรยกบทกฎหมายหรือคดีแบบอยาง หรือหลักเกณฑแหงกฎหมายอางไวดวย ถาวา มีคําพิพากษาซึ่งประกอบดวยเหตุผลและหลักฐานเชนนี้ ยอมทําใหคูกรณีมีความเลื่อมใส และเปนแบบบรรทัดฐานตอไป” บทบัญญัติ ขอ ๑๓ ในการบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง ผูพิพากษาจักตองควบคุมให การออกหมายหรือคําบังคับตรงตามคําพิพากษาหรือคําสั่งและจักตองออกโดยพลัน คําอธิบาย (๑) ในคดีอาญา : (ก) เมื่อคดีถึงที่สุดแลว หากมิไดมีการออกหมายจําคุกหรือกักขังเมื่อคดีถึงที่สุดทันที จําเลยก็ยังคงเปนผูตองขังระหวางการพิจารณาของศาล และมิใชนักโทษเด็ดขาดอันทําใหจําเลย เสียสิทธิและประโยชนตาง ๆ อันพึงมีพึงไดในระหวางนั้นไป การเลื่อนชั้นของนักโทษเด็ดขาดก็ดี การขอพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษก็ดี ก็กระทํามิได เพราะจําเลยยังมิไดเปนนักโทษเด็ดขาด กรณีที่ไมมีการออกหมายจําคุกหรือกักขังเมื่อคดีถึงที่สุดใหจําเลยนี้ สวนมากเปนคดี ที่มีจําเลยหลายคนหรือเปนคดีหลายสํานวนรวมการพิจารณาและจําเลยบางคนอุทธรณฎีกา แตบางคนไมไดอุทธรณฎีกาหรือมิฉะนั้นก็เปนคดีที่ไดมีการสงตัวจําเลยไปคุมขังอยูในเขตของศาลอื่น และมักจะเกิดจากความบกพรองของเจาหนาที่ศาล เชน หลงลืม ไมคนหาสํานวน ไมจัดทําหนังสือ สงคําพิพากษาไปใหศาลที่จําเลยตองจําคุกอยูในเขตศาลนั้นอานคําพิพากษาใหจําเลยฟง และผูพิพากษา เจาของสํานวนหรือผูพิพากษาหัวหนาศาลก็ปลอยปละละเลยไมไดติดตามดูแลการปฏิบัติงาน ของเจาหนาที่ศาลเปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกจําเลยอยางมาก (ข) ในคดีที่มีจําเลยหลายคนในความผิดฐานเดียวกันหรือตอเนื่องกัน ถาความผิด สําหรับจําเลยคนใดเด็ดขาดถึงที่สุดแลว เมื่อจําเลยคนนั้นรองขอ ศาลก็ออกหมายจําคุก หรือกักขัง เมื่อคดีถึงที่สุดสําหรับจําเลยคนนั้นได (ตามนัยคําสั่งคํารองของศาลฎีกาที่ ๘๖/๒๕๐๐) (ค) การออกหมายจําคุกหรือกักขังเมื่อคดีถึงที่สุดไมตรงกับคําพิพากษา โดยเฉพาะ การอางบทมาตราที่จําเลยกระทําความผิดไมตรงกับคําพิพากษา อาจทําใหจําเลยไมไดรับพระราชทาน อภัยโทษลดโทษตามที่ตนมีสิทธิ (ง) ในกรณีที่จําเลยกระทําความผิดหลายกรรมควรระบุแยกใหชัดในหมายจําคุก หรือกักขังเมื่อคดีถึงที่สุดวาความผิดกรรมใดศาลลงโทษเทาใด โดยใชวงเล็บกําหนดโทษที่ลงไว ทายบทมาตราอันเปนความผิดสําหรับกรรมนั้น ๆ ทั้งนี้ เพื่อเปนการขจัดปญหาในกรณี ที่มีการพระราชทานอภัยโทษและในการพิจารณาเลื่อนชั้นนักโทษ
(จ) พึงสังเกตดวยวาฝายราชทัณฑมิไดจําคุกหรือกักขังจําเลยไวโดยอาศัยคําพิพากษา เปนหลักฐาน หากแตถือตามหมายจําคุกหรือกักขังเมื่อคดีถึงที่สุดเปนสําคัญ จึงเปนหนาที่ของ ผูพิพากษาศาลชั้นตนที่จะตองตรวจสอบการออกหมายใหตรงกับคําพิพากษา ผูพิพากษาสมควร จัดระบบการตรวจทานกันในหลาย ๆ ทางในการออกหมายอาญาใหตรงตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง โดยมิใหมีขอบกพรองหรือผิดพลาด (๒) ในคดีแพง การคุมครองประโยชนของคูความในชั้นบังคับคดีนั้น ก็เชนเดียวกันกับ ในชั้นใชวิธีการชั่วคราวกอนพิพากษา ซึ่งในกรณีมีเหตุฉุกเฉิน หมายหรือคําสั่งตองออกโดยพลัน ในชั้นบังคับคดีนี้ ผูพิพากษาตองออกคําบังคับโดยพลัน ในกรณีที่เจาหนี้ตามคําพิพากษายื่นคํารอง ใหศาลออกหมายบังคับคดีโดยชอบแลว ผูพิพากษาตองออกหมายบังคับคดีโดยพลันดุจกัน : ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา ๒๖๗,๒๗๒ และ ๒๗๖ บทบัญญัติ ขอ ๑๔ ผูพิพากษาพึงถอนตัวจากการพิจารณาและพิพากษาคดี เมื่อมีเหตุที่ตน อาจถูกคัดคานไดตามกฎหมาย หรือเมื่อมีเหตุประการอื่นที่เกี่ยวกับตัวผูพิพากษา อันอาจทําให การพิจารณาพิพากษาคดีนั้นเสียความยุติธรรม และจักตองไมกระทําการใด ๆ อันเปนการจูงใจ ผูพิพากษาซึ่งพิจารณาพิพากษาคดีนั้นในภายหลังในประการที่อาจทําใหเสียความยุติธรรมได คําอธิบาย (๑) เหตุที่ผูพิพากษาพึงถอนตัวจากการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น สืบเนื่องมาจาก หลักกฎหมายที่วา ผูพิพากษาไมควรมีสวนเกี่ยวของกับคูความหรือคดีที่ตนนั่งพิจารณา ไมวา ดวยประการใด ๆ (๒) เมื่อมีเหตุที่ตนอาจถูกคัดคานไดตามกฎหมาย : ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพง มาตรา ๑๑ - มาตรา ๑๔ บัญญัติไวเกี่ยวกับเรื่องที่ผูพิพากษาผูนั่งพิจารณาคดีอาจถูก คูความในคดีนั้นคัดคานโดยอาศัยเหตุตาง ๆ ที่บัญญัติไวในมาตราดังกลาวนี้ได และกฎหมายก็ไดกําหนด ระยะเวลาของการคัดคาน การวินิจฉัยชี้ขาดคําคัดคาน และผลของการวินิจฉัยชี้ขาดคําคัดคานไวดวย แตพึงสังเกตวาการที่ผูพิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีอาจถูกคัดคานนั้นเปนสิทธิของคูความที่จะคัดคาน และตามกฎหมายผูพิพากษาที่ถูกคัดคานก็มีสิทธิที่จะไมยอมถอนตัวออกจากการนั่งพิจารณาคดีนั้นได แตโดยจริยธรรมแลว ผูพิพากษาผูนั้นพึงถอนตัวเวนแตตนเองเห็นวาขอคัดคานนั้นไมมีมูล หรือไมมีเหตุอันสมควร เปนตนวา คูความคัดคานเพื่อหาเหตุประวิงคดีหรือกลั่นแกลง หรือมีเหตุ อันไมสุจริตใจประการอื่น ซึ่งเมื่อมีการคัดคานและผูพิพากษาผูนั่งพิจารณาไมยอมถอนตัว ก็ตองดําเนิน กระบวนพิจารณาตอไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา ๑๔ หากเปนการนั่งพิจารณาคดีอาญา ผูพิพากษาที่นั่งพิจารณาอาจถูกตั้งรังเกียจได ซึ่งการตั้งรังเกียจดังกลาว ก็อาศัยบทบัญญัติวาดวยการคัดคานผูพิพากษาในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพงดังกลาวขางตนไปใชบังคับดวย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๗
(๓) เมื่อมีเหตุประการอื่นที่เกี่ยวกับตัวผูพิพากษา อันอาจทําใหการพิจารณา พิพากษาคดีนั้นเสียความยุติธรรม : แมจะไมปรากฏเหตุที่คูความอาจคัดคานผูพิพากษาที่นั่ง พิจารณาคดีนั้นไดตามกฎหมายดังกลาวขางตน หากผูพิพากษาผูนั่งพิจารณาคดีนั้นเองเห็นวา การที่ตนจะนั่งพิจารณาคดีนั้นตอไปอาจจะทําใหคูความฝายใดฝายหนึ่งคลางแคลงใจ หรือตนเอง เห็นวาไมสมควรที่จะนั่งพิจารณาคดีนั้นตอไปดวยเหตุผลสวนตัวซึ่งมีอยูนานัปการ เปนตนวา ตนเองเปนเพื่อนสนิทหรือเปนอริกับคูความฝายใดฝายหนึ่งมากอน เปนหรือเคยเปนคูหมั้นของคูความ ฝายใดฝายหนึ่ง หรือเคารพนับถือคูความฝายใดฝายหนึ่งเสมือนเปนญาติผูใหญ ผูพิพากษา ก็พึงถอนตัวจากการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น (๔) การจูงใจผูพิพากษาซึ่งพิจารณาพิพากษาคดีนั้นในภายหลัง : เมื่อเจาของ สํานวนคดีคนเดิมถอนตัว ผูพิพากษาผูรับโอนคดีอาจตองการทราบขอเท็จจริงเกี่ยวกับการถอนตัว ของเจาของสํานวนคดีคนเดิมเพื่อประกอบการพิจารณาคดีดวย ในการชี้แจงใหผูรับโอนคดีทราบ ก็ควรจะกลาวแตเฉพาะขอเท็จจริงเกี่ยวกับการถอนตัวและเรื่องอื่น ๆ อันเกี่ยวกับคดีนั้นเทาที่จําเปน แตจักตองไมออกความเห็นหรือชักจูงใจใหผูรับโอนคดีเอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่ง ที่อาจทําให เสียความยุติธรรมได อนึ่ง ผูพิพากษาที่เคยเปนองคคณะในการพิจารณาคดีไมวาในชั้นใดก็ตาม แลวตอมา ในระหวางการพิจารณาคดี ศาลไดมีหมายเรียกถึงผูพิพากษาดังกลาวเพื่อใหไปเบิกความเปนพยาน ในคดีที่ตนเคยนั่งเปนองคคณะในการพิจารณาคดีนั้น ผูพิพากษาก็พึงปฏิเสธที่จะเปนพยานในคดี ดังกลาว โดยทําหนังสือใหเหตุผลแหงการปฏิเสธตอศาลที่มีหมายเรียก วาตนไดเคยนั่งเปนองคคณะ ในการพิจารณาคดีนั้น หมวด ๓ จริยธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติหนาที่ในทางธุรการ บทบัญญัติ ขอ ๑๕ เพื่อใหงานธุรการของศาลมีประสิทธิภาพ ผูพิพากษาจักตองปฏิบัติหนาที่ ดวยความซื่อสัตยสุจริต และอยางเต็มความสามารถ ทั้งจักตองควบคุมใหผูอยูใตบังคับบัญชา ปฏิบัติหนาที่ดวยความซื่อสัตยสุจริต และอยางเต็มความสามารถเชนเดียวกัน คําอธิบาย (๑) จริยธรรมขอนี้วาดวยการปฏิบัติหนาที่ของผูพิพากษาในทางธุรการของศาล การปฏิบัติราชการในทางธุรการของศาลนี้ พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๕ บัญญัติให ประธานศาลฎีกามีหนาที่วางระเบียบราชการฝายตุลาการของศาลยุติธรรม เพื่อใหกิจการ ของศาลยุติธรรมดําเนินไปโดยเรียบรอยและเปนระเบียบเดียวกัน และมีอํานาจใหคําแนะนํา แกผูพิพากษาในการปฏิบัติตามระเบียบวิธีการตางๆ ที่กําหนดขึ้นโดยกฎหมาย หรือโดยประการอื่น
ใหเปนไปโดยถูกตอง มาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๔ บัญญัติใหประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ ประธานศาลอุทธรณภาค อธิบดีผูพิพากษาศาลชั้นตน อธิบดีผูพิพากษาภาค และผูพิพากษา หัวหนาศาล ตองรับผิดชอบในราชการของศาลใหเปนไปโดยเรียบรอย ผูพิพากษาที่พิจารณาคดียอมมีหนาที่ควบคุมพนักงานศาลเกี่ยวกับงานธุรการ ของคดีนั้น ๆ เชน การรับและสงคําคูความและการออกหมายของศาล นอกจากนั้นผูพิพากษา อาจไดรับมอบหมายจากผูบังคับบัญชาใหดูแลรับผิดชอบในงานอยางใดอยางหนึ่ง เชน การปลดทําลาย สํานวนความและการควบคุมบัญชีการเงินของศาล แตทั้งนี้ยอมตองอยูภายใตการบังคับบัญชา ของผูพิพากษาหัวหนาศาลนั้น ๆ อีกชั้นหนึ่ง (๒) การปฏิบัติหนาที่ทางธุรการจะมีประสิทธิภาพเพียงไร ยอมขึ้นอยูกับปจจัย สามประการ คือ ประการแรก ตัวผูปฏิบัติราชการดี ประการที่สอง ระบบงานดี และประการที่สาม สถานการณที่เกี่ยวของดี สําหรับตัวผูปฏิบัติราชการและระบบงานจะดีเพียงใดนั้น ยอมขึ้นอยูกับ ความสามารถและความตั้งใจจริงของผูรับผิดชอบ สวนเรื่องสถานการณที่เกี่ยวของนั้นบางเรื่อง อาจจะเปนเรื่องนอกเหนืออํานาจที่ผูพิพากษาผูเปนหัวหนางานจะแกไขไดตามลําพัง เชน สภาพ ของอาคารศาลเกาชํารุด และไมมีงบประมาณซอมแซม เปนตน จะทําไดก็เพียงแตรายงาน และเสนอแนะใหผูบังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไปเรงรีบหาทางแกไขขอบกพรองเทานั้น เฉพาะในดานตัวผูพิพากษาผูปฏิบัติหนาที่ฝายธุรการนี้ จักตองตั้งปณิธานใหแนวแน วาตนจักปฏิบัติหนาที่ดวยความซื่อสัตยสุจริต (ตามความหมายในคําอธิบาย (๒) ในจริยธรรมขอ ๑) และอยางเต็มความสามารถโดยเฉพาะอยางยิ่งในงานสี่ดานดวยกันคือ (ก) งานประจํา (ข) งานที่มีปญหา เฉพาะหนา (ค) งานริเริ่มปรับปรุงระบบงานและการทํางานของตนเองและผูอยูใตบังคับบัญชา ใหดีขึ้นเปนลําดับ และ (ง) งานดานการประสานงานกับหนวยราชการอื่น ในทางปฏิบัติปรากฏอยูเสมอวา ผูปฏิบัติหนาที่ราชการมักจะมุงปฏิบัติเฉพาะงาน ประจําและงานที่มีปญหาเฉพาะหนา เพียงแตวาใหงานนั้นเสร็จไปวันหนึ่ง ๆ เทานั้น และมิได เหลียวแลดานงานริเริ่มปรับปรุงระบบงานและการทํางานของแตละบุคคลใหดีขึ้น ทั้งมิได ใหความสําคัญแกงานดานการประสานงานกับหนวยราชการอื่นเลย และที่นาหนักใจกวานั้นก็คือ ผูพิพากษาที่เปนผูบังคับบัญชาบางคนไมเอาใจใสงานธุรการของศาลเสียเลย มุงแตจะทํางาน ดานอรรถคดีแตเพียงดานเดียว และปลอยใหงานธุรการอยูในความรับผิดชอบของผูอํานวยการสํานักงาน ประจําศาลหรือผูอํานวยการสํานักอํานวยการประจําศาล เทานั้น อนึ่ง การที่จะทํางานใหมีประสิทธิภาพนั้น ผูบังคับบัญชาตองรอบรูในโครงสรางและ รายละเอียดตลอดจนขั้นตอนของงานธุรการนั้นดวย ดังเชนการเงินของศาลมีการจัดทําบัญชี และการตรวจสอบอยางไร เปนตน (๓) ควบคุมใหผูอยูใตบังคับบัญชาปฏิบัติหนาที่ดวยความซื่อสัตยสุจริต และอยาง เต็มความสามารถเชนเดียวกัน : ในเบื้องตนผูพิพากษาที่เปนผูบังคับบัญชาตองกลอมเกลาจิตใจ ผูอยูใตบังคับบัญชาใหมีปณิธานตรงกันกับตนเองกอนคือ จักปฏิบัติหนาที่ดวยความซื่อสัตยสุจริต และอยางเต็มความสามารถ ซึ่งบางกรณีก็งาย เพราะผูอยูใตบังคับบัญชาเคยปฏิบัติมาหรือพรอมที่จะ ปฏิบัติอยูแลว แตบางกรณีก็ยาก เพราะผูอยูใตบังคับบัญชาเปนบุคคลประเภทที่วา งานหนัก ไมเอางานเบาไมสู เกี่ยงหรือเลี่ยงงานไดเปนตองทํา และคิดอยูแตวาทําไปทําไม ทําไปก็ไมเห็นจะไดอะไร
ซึ่งตองอาศัยความอดทนและเวลา ตลอดจนศิลปะแหงการจูงใจของผูบังคับบัญชาใหเห็นผิด เห็นชอบ มีความสํานึกในหนาที่เพื่อประโยชนของราชการศาลยุติธรรม ทางที่จะกลอมเกลาและ ฝกอบรมใหผูอยูใตบังคับบัญชาปฏิบัติหนาที่อยางเต็มความสามารถที่ดีที่สุดทางหนึ่งคือ การที่ผูบังคับบัญชาเองปฏิบัติราชการดวยความกระตือรือรนเขมแข็ง และหนักกวาผูอยูใตบังคับบัญชา ซึ่งจะเปนตัวอยางที่ดีเปนแรงดลใจใหผูอยูใตบังคับบัญชาถือปฏิบัติตาม และผูบังคับบัญชาที่ดี จักตองเอาใจใสสนใจและติดตามการปฏิบัติหนาที่ของผูอยูใตบังคับบัญชาดวยวาลุลวงไปดวยดี หรือมีอุปสรรคอันใด มีชองทางใดที่จะขจัดปดเปาอุปสรรคเหลานั้นได และมีชองทางใดที่จะปรับปรุง งานนั้นใหดีขึ้นอีกบาง บทบัญญัติ ขอ ๑๖ ผูพิพากษาจักตองปฏิบัติหนาที่ราชการตามคําสั่งอันชอบดวยกฎหมาย ของผูบังคับบัญชาและตามลําดับชั้นของการบังคับบัญชา เวนแตจะไดรับอนุญาตใหขามลําดับชั้นได คําอธิบาย (๑) ปฏิบัติหนาที่ราชการตามคําสั่งอันชอบดวยกฎหมายของผูบังคับบัญชา : (ก) คําเตือนผูพิพากษาของพระยาจินดาภิรมย เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ซึ่งได พิมพแจกแกผูพิพากษาที่จะออกไปรับราชการใหมใน พ.ศ. ๒๔๗๒ ตอนหนึ่งมีวา : “หลักที่วาตุลาการยอมมีอิสระในการออกความเห็นตัดสินคดีนั้นมีจําเพาะ ที่เกี่ยวกับการพิจารณาและตัดสินความ นอกแตนั้น เชน เกี่ยวกับการปกครองก็ดีระเบียบเวลา มาทํางานและการลาหยุดก็ดี การบัญชี การเงินก็ดี หรือระเบียบธุรการภายในศาลก็ดีเหลานี้ยอม อยูใตบังคับบัญชาของหัวหนาผูมีอํานาจเหนือตามลําดับชั้น” (ข) ผูพิพากษาพึงระลึกวางานธุรการของศาลนั้นอยูในความรับผิดชอบของ ผูบังคับบัญชาแตผูเดียว ถาเปนคําสั่งที่ชอบดวยกฎหมายผูอยูใตบังคับบัญชาตองปฏิบัติตาม แตหาก เปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย ผูอยูใตบังคับบัญชาไมจําตองปฏิบัติตาม อยางไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ เพื่อประโยชนของราชการ หากมีกรณีที่ผูพิพากษาของใจเกี่ยวกับคําสั่งของผูบังคับบัญชา แทนที่จะปฏิเสธ ไมปฏิบัติตามหรือเสนอความเห็นทัดทานเปนหนังสือ เพื่อความมีอัธยาศัยอันดีและความรอบคอบ ในการปฏิบัติหนาที่ราชการ ผูพิพากษาผูอยูใตบังคับบัญชาสมควรจะขอเขาพบผูบังคับบัญชาเพื่อ ขอปรึกษาหารือเปนการเฉพาะตัวเสียกอน ดวยอาจจะมีกรณีที่ผูบังคับบัญชาพลั้งเผลอหรือมีเหตุผล อันรับฟงไดวาคําสั่งนั้นชอบแลว และอาจจะมีกรณีที่ผูพิพากษาผูอยูใตบังคับบัญชาเขาใจผิดไปเองก็เปนได การปฏิเสธไมปฏิบัติตามก็ดี การเสนอความเห็นทัดทานก็ดี สมควรจะเปนทางออกทางสุดทายเทานั้น (๒) ปฏิบัติหนาที่ราชการตามลําดับชั้นของการบังคับบัญชา : การปฏิบัติหนาที่ราชการตามลําดับชั้นของการบังคับบัญชานี้นับไดวาเปนประเพณี ที่ถือปฏิบัติกันตลอดมาไมวาจะเปนขาราชการฝายใด เพราะความรับผิดชอบของผูบังคับบัญชาเกี่ยวกับ การปฏิบัติหนาที่ราชการของผูอยูใตบังคับบัญชาแตละระดับมีอยู ผูบังคับบัญชาเหลานี้ทุกระดับ จักตองรับทราบถึงการปฏิบัติหนาที่ของผูอยูใตบังคับบัญชาโดยตรงของตนดวย แตก็อาจมีบางกรณี
เพื่อความสะดวก ผูบังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไปอาจอนุญาตใหผูอยูใตบังคับบัญชาปฏิบัติหนาที่ราชการ ขามลําดับชั้นได บทบัญญัติ ขอ ๑๗ ผูพิพากษาจักตองปกครองผูอยูใตบังคับบัญชาดวยความเที่ยงธรรม และควบคุมใหผูอยูใตบังคับบัญชาปฏิบัติตามวินัยและจริยธรรมโดยเครงครัด การรายงานความดีความชอบของผูอยูใตบังคับบัญชาจักตองตรงตามความเปนจริง และการใหความเห็นเกี่ยวกับผูอยูใตบังคับบัญชาจักตองปราศจากอคติ คําอธิบาย (๑) ปกครองผูอยูใตบังคับบัญชาดวยความเที่ยงธรรม : การที่จะวินิจฉัยวาอยางไรเที่ยงธรรมในการปกครองนั้น ที่ถือปฏิบัติกันทั่วไปก็คือ ยึดถือระบบคุณธรรม (merit system) อันหมายถึงระบบการพิจารณาความดีความชอบ หรือตําแหนง หนาที่ของขาราชการ โดยยึดถือประโยชนของทางราชการแผนดินเปนหลัก ซึ่งไดแกการพิเคราะห จากผลการปฏิบัติงานและคุณลักษณะดีเดนตาง ๆ ของตัวขาราชการผูนั้นเปนสําคัญ โดยเฉพาะอยางยิ่ง ความซื่อสัตยสุจริต ความรูความสามารถ ความมีวิริยะอุตสาหะ การอุทิศตนใหแกราชการ อุปนิสัย อาวุโส และการดํารงตนในสังคม สําหรับระบบคุณธรรมของผูพิพากษานั้น นอกจากผลการปฏิบัติงานและความรู ความสามารถแลว มีคุณลักษณะบางประการที่พึงไดรับการพิจารณาเปนพิเศษ กลาวคือ (ก) ความซื่อสัตยสุจริต นั้นตองพิเคราะหอยางละเอียดลึกซึ้งกวาปกติตามที่กลาวไวแลว ในจริยธรรม ขอ ๑ คําอธิบาย (๒) (ข) อุปนิสัย ของผูพิพากษาจักตองพิเคราะหในแงความมีสามัญสํานึก ความพอเหมาะพอควร ความมีสัมมาทิฐิ ความสุขุมเยือกเย็น และความสุภาพนุมนวลประกอบดวย (ค) อาวุโส เรื่องอาวุโสนี้ ราชการฝายตุลาการใหลําดับความสําคัญคอนขางสูง และแตกตางจากราชการฝายอื่น ๆ ในแงที่วา ขาราชการตุลาการมีลําดับอาวุโสเพียงสายเดียว โดยมีประธานศาลฎีกาเปนผูมีอาวุโสสูงสุดและเรียงลําดับลงมาจนกระทั่งถึงผูชวยผูพิพากษา คนสุดทาย สวนราชการฝายอื่น ๆ แมจะมีลําดับอาวุโสแตก็มิไดจัดลําดับอาวุโสอยางเครงครัด เปนสายเดียวเชนขาราชการตุลาการ (ง) การดํารงตนในสังคม เนื่องจากการปฏิบัติหนาที่ราชการของผูพิพากษาจะมี ประสิทธิภาพเพียงใด ขึ้นอยูกับความเชื่อถือศรัทธาที่บุคคลทั่วไปมีตอตัวผูพิพากษาทั้งเปนรายตัว บุคคลและเปนสถาบันดวย การดํารงตนในสังคมของผูพิพากษาจึงมีความสําคัญอยูมาก ระบบปกครองขาราชการซึ่งตรงกันขามกับระบบคุณธรรมคือระบบอุปถัมภ (patronage system) อันไดแก การสนับสนุนสมัครพรรคพวก (favoritism) หรือญาติพี่นอง (nepotism) อันเปนระบบที่ยึดประโยชนสวนตนเปนสําคัญ ซึ่งเปนการบอนทําลายประสิทธิภาพ
ของราชการแผนดินและจิตใจของผูอยูใตบังคับบัญชาที่มุงปฏิบัติหนาที่ดวยความรูความสามารถ ของตนแท ๆ เปนอยางยิ่ง (๒) ควบคุมใหผูอยูใตบังคับบัญชาปฏิบัติตามวินัยและจริยธรรมโดยเครงครัด : เรื่องนี้จะปฏิบัติไดก็ตอเมื่อตัวผูบังคับบัญชาเองปฏิบัติตามวินัยและจริยธรรมโดย เครงครัดอยูแลว และการจะปฏิบัติไดผลก็ตอเมื่อผูบังคับบัญชาตักเตือนกลอมเกลาหรือสะกิดใจผูอยู ใตบังคับบัญชาไดอยางแนบเนียน และเปนการพูดจากันสองตอสอง มิฉะนั้นจะเปนเรื่องประจานกันไป (๓) การรายงานความดีความชอบของผูอยูใตบังคับบัญชา : ชีวิตราชการของผูอยูใตบังคับบัญชาขึ้นอยูกับการรายงานความดีความชอบของ ผูบังคับบัญชาอยูสวนหนึ่ง และเปนสวนสําคัญดวย ดังนั้นในดานขอเท็จจริงจึงตองเปนรายงานที่ ตรงตามความเปนจริงทุกประการ และในดานความเห็น ผูบังคับบัญชาจักตองใครครวญอยางรอบคอบ ความเห็นนั้นตองเปนกลาง ปราศจากอคติทั้งปวง ไมวาจะเปนการรายงานเปนลายลักษณอักษร หรือเปนการใหความเห็นดวยวาจา มีผูบังคับบัญชาบางคนรายงานเปนลายลักษณอักษรเกี่ยวกับ ผูอยูใตบังคับบัญชาอยางหนึ่ง แตใหความเห็นดวยวาจาอีกอยางหนึ่งดวยกริ่งเกรงวาจะไมเปนที่ตองใจ ของผูอยูใตบังคับบัญชา การปฏิบัติเชนนั้นเปนการรายงานเท็จ การรายงานความดีความชอบของผูอยูใตบังคับบัญชาเปนเรื่องลับเฉพาะระหวาง ผูบังคับบัญชาชั้นเหนือของผูอยูใตบังคับบัญชา การเปดเผยรายงานความดีความชอบดังกลาว ใหบุคคลซึ่งไมมีสิทธิลวงรูเปนการละเมิดจริยธรรมในเรื่องเปดเผยความลับของทางราชการขอ ๒๕ มีขอที่นาหนักใจเกี่ยวกับรายงานความดีความชอบของขาราชการตุลาการในปจจุบัน อยูขอหนึ่งคือ ผูบังคับบัญชาบางคนไมไดรายงานตามความเปนจริงวาผูอยูใตบังคับบัญชาเปนอยางไร มีคุณธรรมขอใดดีเดน ขอใดปานกลางหรือดอย แตมักจะรายงานขึ้นมาวาดีทุกอยาง เมื่อรายงานความดี ความชอบมาถึงคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมก็ปรากฏวาผูอยูใตบังคับบัญชามีคุณธรรมดี เทากันทั้งหมด ซึ่งเห็นกันวาเปนไปไดยากที่จะดีเทากันหมดเชนนั้น ความเกรงใจ หรือความกลัว ของผูบังคับบัญชาในเรื่องนี้ยอมกอใหเกิดความไมเที่ยงธรรมแกบรรดาผูอยูใตบังคับบัญชาทั้งหลาย เปนอยางมาก เพราะคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมไมมีขอมูลอื่นเพียงพอที่จะวินิจฉัย ไดวาผูพิพากษาคนใดมีคุณธรรมดีเดนจริง ๆ และสมควรไดรับการพิจารณาความดีความชอบ เปนกรณีพิเศษ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมก็ไดแตอาศัยความมีอาวุโสเปนขอพิจารณา แตเพียงประการเดียว ดังนั้นถาหากผูบังคับบัญชารายงานความดีความชอบของผูอยูใตบังคับบัญชา ขึ้นมาตามความเปนจริงและอยางเปนกลาง แมวาความเห็นของผูบังคับบัญชาแตละรายไมอาจ จะจัดใหอยูในมาตรฐานเดียวกันได ก็จะชวยขจัดความเหลื่อมล้ําและความไมเปนธรรมทั้งหลาย อันจะเกิดแกผูอยูใตบังคับบัญชาลงไดเปนอันมาก บทบัญญัติ ขอ ๑๘ ผูพิพากษาพึงสนับสนุนสงเสริมผูอยูใตบังคับบัญชาที่ซื่อสัตยสุจริต มีผลงานดีเดน มีความรูความสามารถ และขยันขันแข็ง ทั้งจักตองใหความชวยเหลือแก ผูอยูใตบังคับบัญชาซึ่งปฏิบัติหนาที่ราชการโดยชอบ
คําอธิบาย (๑) ผูบังคับบัญชาที่ดียอมสนับสนุนสงเสริมผูอยูใตบังคับบัญชาที่ดี ทั้งนี้มิใชแตเพียง เพื่อความเปนธรรมแกตัวผูอยูใตบังคับบัญชาเองเทานั้น หากแตเปนการวางรากฐานอันมั่นคงใหแก สถาบันตุลาการดวย ผูบังคับบัญชาที่ดียอมจะชวยกระตุนผูอยูใตบังคับบัญชาที่มีขอบกพรองหรือไมมี ความกระตือรือรนใหสํานึกในหนาที่ และพยายามปรับปรุงตนใหมีคุณลักษณะดีเดนขึ้นเปนลําดับดวย มีอยูเสมอที่ผูอยูใตบังคับบัญชามีผลงานดีเดนขึ้น มีอุปนิสัยดีและขยันขันแข็งขึ้นก็เพราะไดกําลังใจ จากผูบังคับบัญชาที่ใหความเอาใจใสแกตนตลอดมาอยางเสมอตนเสมอปลาย (๒) เมื่อผูอยูใตบังคับบัญชาถูกผูอื่นกลาวหาวา กระทําผิดทางอาญาหรือทางวินัย หรือประพฤติมิชอบในทางใด ๆ เพื่อความเปนธรรมและเพื่อใหกําลังใจแกผูอยูใตบังคับบัญชา ผูสุจริตและปฏิบัติหนาที่ราชการโดยชอบ หากผูบังคับบัญชาไดสืบสวนขอเท็จจริงจนปรากฏวาไมมีมูล ตามขอกลาวหาก็ควรใหความชวยเหลือแกผูอยูใตบังคับบัญชาตามสมควรแกกรณี (๓) ในกรณีที่ขาราชการหรือลูกจางของทางราชการที่ไดรับมอบหมายใหปฏิบัติหนาที่ ราชการไดถูกกลาวหาหรือถูกฟองคดีอาญาเนื่องจากการปฏิบัติราชการนั้น หากหัวหนาสวนราชการ เจาสังกัดไดพิจารณาแลวเห็นวาการกระทําที่ถูกกลาวหาหรือถูกฟองคดีนั้นเปนการปฏิบัติราชการ ตามหนาที่โดยชอบดวยกฎหมายหรือระเบียบแบบแผนของทางราชการและทางราชการมิไดเปน ผูกลาวหาหรือฟองรองคดีนั้นเอง ขาราชการหรือลูกจางดังกลาวอาจไดรับความชวยเหลือในเรื่อง ประกันตัวและคาใชจายอื่น ๆ ที่เกี่ยวของกับการดําเนินคดีอาญาจากหนวยราชการเจาสังกัด ทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาล (ระเบียบกระทรวงการคลังวาดวยการชวยเหลือ ขาราชการหรือลูกจางของทางราชการที่ตองหาคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๒๘) บทบัญญัติ ขอ ๑๙ เมื่อปรากฏวามีการกระทําความผิดทางวินัยของผูอยูใตบังคับบัญชาขึ้น ผูพิพากษาจักตองรายงานผูบังคับบัญชาทันทีโดยรายงานตามความเปนจริง ทั้งจักตองไมปกปด เรื่องใด ๆ ที่ควรรายงาน กรณีตามวรรคหนึ่ง หากเปนเรื่องที่อยูในอํานาจหนาที่ของตน ผูพิพากษาจักตอง ดําเนินการไปตามอํานาจหนาที่นั้นโดยพลัน ในกรณีที่ปรากฏวามีการละเมิดจริยธรรมในขอสําคัญอันควรรายงาน ผูพิพากษา พึงรายงานใหผูบังคับบัญชาทราบ คําอธิบาย (๑) เมื่อขาราชการตุลาการในศาลใดถูกกลาวหา หรือมีกรณีเปนที่สงสัยวา กระทําผิดวินัย ผูบังคับบัญชาตองดําเนินการสอบสวนขอเท็จจริงในชั้นตนโดยมิชักชา ตามหลักเกณฑ และวิธีการที่ ก.ต. กําหนด ทั้งนี้เปนไปตามบทบัญญัติมาตรา ๖๘ แหงพระราชบัญญัติระเบียบ
ขาราชการฝายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ และหากปรากฏวามีการกระทําผิดทางวินัย ของผูใตบังคับบัญชา ผูบังคับบัญชาจักตองรายงานความเห็นไปยังผูบังคับบัญชาเหนือตนขึ้นไป ตามลําดับ เพื่อดําเนินการตามควรแกกรณี การรายงานนี้ตองรายงานตามความเปนจริงทั้งหมด ในเรื่องที่มีการกลาวหา รวมตลอดทั้งขอเท็จจริงเกี่ยวกับความผิดอื่นที่พบนอกเหนือจากที่ถูกกลาวหา การรายงานโดยปกปดขอความที่ควรตองบอก มาตรา ๕๗ วรรคสอง ถือวาเปนรายงานเท็จดวย (๒) กรณีตาม (๑) ถาผูบังคับบัญชาไมจัดการลงโทษตามอํานาจหนาที่ หรือจัดการ ลงโทษโดยไมสุจริต พระราชบัญญัติระเบียบขาราชการฝายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๖๗ ถือวาผูบังคับบัญชาผูนั้นกระทําผิดวินัยดวย (๓) การละเมิดจริยธรรมในขอสําคัญ : ประมวลจริยธรรมขาราชการตุลาการนี้ แบงจริยธรรมไวเปนสองประเภท โดยใชคําวา “จักตอง” และ “พึง” ซึ่งแสดงถึงความสําคัญ ของจริยธรรมลดหลั่นกัน ในแงของผูบังคับบัญชา การที่จะรายงานเรื่องการละเมิดจริยธรรมนี้ ยอมจะตองพิจารณาจากขอเท็จจริงประกอบดวยเปนรายๆ ไปวามีการละเมิดจริยธรรมในขอสําคัญ ถึงขนาดที่ควรจะรายงานหรือเพียงแตแนะนําตักเตือน ซึ่งบางเรื่องก็เห็นไดงายวาสมควรรายงาน เชน การรับทรัพยสินจากคูความเกี่ยวกับคดีความ แมคดีเรื่องนั้นจะถึงที่สุดแลว (จริยธรรม ขอ ๔๑) แตบางเรื่องยอมตองดูขอเท็จจริงประกอบดวยวาสมควรจะรายงานหรือไม เชน การรับของขวัญ หรือของกํานัล อันมีมูลคาเกินกวาที่พึงใหกันตามอัธยาศัยและประเพณีในสังคม (จริยธรรมขอ ๔๒) เปนตน บทบัญญัติ ขอ ๒๐ ผูพิพากษาพึงเอาใจใสดูแล และอนุเคราะหผูอยูใตบังคับบัญชาตามควรแกกรณี บทบัญญัติ ขอ ๒๑ ผูพิพากษาพึงสงเสริมความสามัคคีในระหวางผูอยูใตบังคับบัญชาและ ในหมูขาราชการ คําอธิบาย (๑) คําเตือนผูพิพากษา ของพระยาจินดาภิรมย เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ซึ่งไดพิมพ แจกแกผูพิพากษาที่จะออกไปรับราชการใหมใน พ.ศ. ๒๔๗๒ ตอนหนึ่งมีวา “... ควรมีความปรองดองสามัคคีระหวางกันตามลําดับผูใหญและผูนอย ควรผอนผัน เขาหากัน อยาถือเปนเขาเปนเรา... ... นอกจากความสามัคคีปรองดองในระหวางคณะผูพิพากษา ดังกลาวแลว ควรสามัคคี ปรองดองกับขาราชการแผนกอื่นดวย ขอสําคัญนั้นขาราชการฝายปกครองเปนขาราชการของ พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว เชนเดียวกับผูพิพากษา ที่มีหนาที่ระงับทุกข และบํารุงสุขของประชาชน ดวยกัน ควรมีความสามัคคีปรองดอง และมีความเคารพตอกัน และควรชวยเหลือผอนผันกัน
ราชการจึ่งจะดําเนินไปไดสะดวกเรียบรอย ถาขาดความสามัคคีปรองดองกัน แมในชั้นตนจะแตกราว ในสวนตัวก็อาจเปนเหตุลุกลามถึงหนาที่ราชการ ทําใหเปนที่เสียหายตอไปไดฉะนั้นตองระมัดระวัง อยาใหมีเรื่องเกิดขึ้นได แตทั้งนี้ตองไมใหเสื่อมเสียแกหนาที่ตุลาการ ซึ่งจะตองเปนไปตามหลัก ความยุติธรรมและบทกฎหมาย” (๒) การที่จะมีความสามัคคีเปนน้ําหนึ่งใจเดียวกันไดก็ตอเมื่อทุกคนมีอุดมการณ อันรวมกัน โดยเฉพาะในหมูผูพิพากษานั้น อุดมการณสําคัญที่จะนํามาสูสามัคคีธรรมก็คือการเทิดทูนไว ซึ่งเกียรติศักดิ์แหงสถาบันตุลาการตามจริยธรรม ขอ ๑ สวนการที่จะผดุงรักษาสามัคคีธรรมใหมั่นคง ยิ่งขึ้นนั้น จําเปนที่บรรดาผูพิพากษาทั้งหลายจักตองชวยกันเสริมสรางบรรยากาศที่มีความสุขสงบและ อบอุนใหมีอยูในสถาบันตุลาการดวย โดยตางฝายตางตองเคารพยกยองและปรารถนาดีตอกัน ยึดมั่น ในความเที่ยงธรรม และบําเพ็ญตนอยูในกรอบของกฎหมาย ศีลธรรม และจริยธรรมแหงวิชาชีพ อยางเครงครัด บทบัญญัติ ขอ ๒๒ ผูพิพากษาพึงเปดโอกาสใหผูอยูใตบังคับบัญชาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ การปฏิบัติหนาที่ราชการ และรับฟงความคิดเห็นดังกลาวที่ชอบดวยเหตุผล บทบัญญัติ ขอ ๒๓ ผูพิพากษาจักตองสอดสองดูแลใหคูความ ทนายความ พยาน และ ประชาชนที่มาศาลไดรับความเปนธรรม ความสะดวกและการปฏิบัติอยางมีอัธยาศัย คําอธิบาย หนาที่หลักในราชการฝายธุรการของศาล คือ การใหบริการแกผูที่มาศาล ไมวาจะเปน คูความ ทนายความ พยาน หรือบุคคลทั่วไป ผูบังคับบัญชาตองควบคุมดูแลใหพนักงานศาลใหความ เปนธรรม ความสะดวก และการปฏิบัติอยางมีอัธยาศัย แตเคยปรากฏวามีพนักงานศาลบางคนใชวาจา ไมสุภาพกับผูมาติดตอสอบถามเกี่ยวกับคดีความ และเรื่องที่ควรคํานึงถึงเปนพิเศษไดแกเรื่องการรับ คําคูความและเอกสารที่ยื่นตอศาลซึ่งในบางครั้งพนักงานศาลไมยอมรับ แทนที่จะบอกกลาวใหเหตุผล แกผูยื่นอยางมีอัธยาศัยตามหนาที่ของตน กลับสงคืนในลักษณะที่เกือบจะเรียกไดวาโยนใสหนา การใหความเปนธรรม ความสะดวก และความมีอัธยาศัยของพนักงานศาล จะมีไดก็ตอเมื่อพนักงานศาล ผูนั้นมีเมตตาธรรมและเปนหนาที่ผูบังคับบัญชาที่จักตองพร่ําสอนอบรมใหทุกคนในบังคับบัญชา มีเมตตาธรรมในการปฏิบัติหนาที่ราชการของศาลดวย
บทบัญญัติ ขอ ๒๔ ผูพิพากษาจักตองเอาใจใสดูแลศาลและบริเวณศาลใหมีศรีสงา สมกับเปน สถานที่ประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรม ควบคุมดูแลทรัพยสินทั้งหลายของทางราชการไวเพื่อใช ในราชการ ทั้งจักตองถนอมรักษาทรัพยสินดังกลาวใหอยูในสภาพเรียบรอยใชการไดตลอดเวลา คําอธิบาย เรื่องทรัพยสินของทางราชการนี้เคยปรากฏวาผูรับผิดชอบดูแลทรัพยสินดังกลาว นําไปใชประโยชนสวนตัวอันเปนการไมสมควร อาทิ ใชเครื่องโทรศัพทของทางราชการโทรศัพท ทางไกลเกี่ยวกับเรื่องสวนตัว แตอางวาใชในนามของทางราชการ หรือนํารถยนตของทางราชการไปให บุตรหัดขับขี่ บทบัญญัติ ขอ ๒๕ ผูพิพากษาจักตองรักษาความลับของทางราชการมิใหรั่วไหล และจักตอง ไมเปดเผยความลับแกบุคคลใดซึ่งไมมีอํานาจหนาที่ตามกฎหมายที่จะลวงรูความลับนั้น คําอธิบาย (๑) พระราชบัญญัติระเบียบขาราชการฝายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.๒๕๔๓ มาตรา ๖๕ บัญญัติวา “ขาราชการตุลาการตองรักษาความลับของทางราชการ” (๒) ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีวาดวยการรักษาความปลอดภัยแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ ไดกําหนดชั้นความลับของทางราชการไว ๓ ชั้น คือ ลับที่สุด (TOP SECRET) ลับมาก (SECRET) และลับ (CONFIDENTIAL) และไดกลาวถึงความหมายของ “ ความลับของ ทางราชการ” ไว สรุปไดวา หมายถึง เรื่องที่ไมพึงเปดเผยใหผูไมมีหนาที่ไดทราบโดยสงวนไว ใหทราบเฉพาะบุคคลที่มีหนาที่ตองทราบ เพื่อประโยชนในการปฏิบัติราชการเทานั้น หากเปดเผย หรือทําใหความลับของทางราชการทั้งหมดหรือเพียงบางสวนรั่วไหลจะทําใหเกิดความเสียหาย ตอทางราชการ หรือเกียรติภูมิของประเทศชาติหรือพันธมิตร หรือเปนภยันตรายตอความมั่นคง ปลอดภัยหรือความสงบเรียบรอยตอประเทศชาติ หรือเกิดความไมสงบเรียบรอยขึ้นภายใน ราชอาณาจักร ตัวอยางเชน การเปดเผยผลของคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลที่ยังไมไดอาน ใหคูความฟง การเปดเผยรายงานการสืบเสาะและพินิจที่พนักงานคุมประพฤติทําขึ้นตามคําสั่งศาล กอนศาลอานคําพิพากษาในคดีนั้น หรือการที่เจาหนาที่ในการประชุมอนุกรรมการไดนํา มติในการประชุมลับของคณะอนุกรรมการไปเปดเผยแกผูสื่อขาวหนังสือพิมพกอนเสนอ คณะกรรมการใหญเปนการเปดเผยความลับของทางราชการ
(๓) เกี่ยวกับการรักษาความลับของทางราชการนี้ คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ไดวางระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม วาดวยการรักษาความปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งกําหนดพื้นที่ที่มีการรักษาความปลอดภัยโดยมีขอจํากัดและควบคุมการเขาออกเปนพิเศษ มีความมุงหมายเพื่อจะพิทักษสิ่งที่เปนความลับ บุคคลตลอดจนทรัพยสินของทางราชการใหปลอดภัย และมีมาตรการเกี่ยวกับพื้นที่หวงหามโดยแบงออกเปน เขตหวงหามเฉพาะ และเขตหวงหามเด็ดขาด สําหรับพื้นที่ที่เปนเขตหวงหามเฉพาะ เชน พื้นที่ในหองพิจารณาและหองธุรการทั้งหมดที่อยูใน อาคารศาลยุติธรรม ซึ่งบุคคลที่มีสิทธิเขาไปในเขตหวงหามเฉพาะ ไดแก ผูพิพากษา เจาหนาที่ ที่เกี่ยวของ ประชาชนและผูที่เกี่ยวของกับคดีนั้น ๆ สวนพื้นที่ที่เปนเขตหวงหามเด็ดขาด เชน หองทํางานผูพิพากษาและทางเดินที่กําหนดไวโดยเฉพาะ ซึ่งบุคคลที่มีสิทธิเขาไปในบริเวณหองทํางาน ของผูพิพากษา ไดแก ผูพิพากษาและเจาหนาที่ที่เกี่ยวของ สําหรับบุคคลภายนอกหากจะเขาไป ตองไดรับอนุญาตตามมาตรการรักษาความปลอดภัยที่หัวหนาสวนราชการศาลยุติธรรมกําหนด หมวด ๔ จริยธรรมเกี่ยวกับกิจการอื่น บทบัญญัติ ขอ ๒๖ ผูพิพากษาจักตองไมเปนกรรมการ ผูจัดการ ที่ปรึกษา หรือดํารงตําแหนง อื่นใดในหางหุนสวน บริษัท หางรานหรือธุรกิจของเอกชน เวนแตจะเปนกิจการที่มิได แสวงหากําไร ผูพิพากษาจักตองไมประกอบอาชีพ หรือวิชาชีพ หรือกระทํากิจการใดอันจะ กระทบกระเทือนตอการปฏิบัติหนาที่หรือเกียรติศักดิ์ของผูพิพากษา คําอธิบาย (๑) โดยสภาพและลักษณะของงานตุลาการจําเปนที่จะตองใหผูพิพากษาดํารงตน อยูเหนือความขัดแยงและผลประโยชนทางธุรกิจการคาใหมากที่สุด การที่ผูพิพากษาจะเขาไป มีสวนรวมในกิจกรรมใด ๆ ซึ่งมีลักษณะเปนการหารายไดพิเศษจึงจําเปนตองกระทําดวยความ ระมัดระวังอยางยิ่ง มิใหเปนปฏิปกษตอภาพพจนแหงความเปนกลางหรือขัดแยงตอการปฏิบัติ หนาที่ในตําแหนงตุลาการของตนได (๒) การหามผูพิพากษาเปนกรรมการ ผูจัดการ ที่ปรึกษา หรือดํารงตําแหนงอื่นใด ในหางหุนสวน บริษัท หางราน หรือธุรกิจของเอกชนซึ่งแสวงหากําไรนั้น ก็เพื่อตัดปญหามิให บุคคลทั่วไปและบุคคลที่มีขอพิพาทกับองคกรทางธุรกิจการคาเหลานั้นหวาดระแวงไปไดวาองคกร ทางธุรกิจการคาดังกลาวอาจอาศัยชื่อและตําแหนงของผูพิพากษาไปแสวงหาผลประโยชนได
ขอหามดังกลาวนี้ เปนการสอดคลองกับบทบัญญัติแหงกฎหมายในเรื่องทํานอง เดียวกันซึ่งกระจัดกระจายอยูหลายแหง เชน มาตรา ๕๙ แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการ ฝายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.๒๕๔๓ มาตรา ๘๓ (๖) แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ การระบุชื่อตําแหนงไวใหคลุมถึงการ “ดํารงตําแหนงอื่นใด” ดวย ก็เพื่อปองกัน การหลีกเลี่ยงโดยวิธีตั้งชื่อเฉพาะตําแหนงสําหรับผูพิพากษาขึ้นใหม เชน ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ เหรัญญิก ปฏิคม หรือนายทะเบียน เปนตน ทั้งนี้ ไมวาการเขาดํารงตําแหนงหนาที่ดังกลาวนั้น จะมีคาตอบแทนใหหรือไม (๓) สําหรับการที่ผูพิพากษาจะประกอบอาชีพ วิชาชีพ หรือดําเนินกิจการใด ดวยตนเองซึ่งอาจทําไดก็ยังจําเปนที่จะตองระมัดระวังใหอยูในลักษณะที่พอเหมาะพอควรอยูเสมอ ทั้งจะตองมิใหกระทบกระเทือนตอการปฏิบัติห นาที่ของผูพิพากษาหรือเกียรติศักดิ์ ของสถาบันตุลาการดวย บทบัญญัติ ขอ ๒๗ ในกรณีจําเปนผูพิพากษาอาจไดรับมอบหมายหรือแตงตั้งจากหนวย ราชการ หรือหนวยงานอื่นของรัฐใหปฏิบัติหนาที่อันเกี่ยวกับหนวยราชการ หรือหนวยงานนั้นได ในเมื่อการปฏิบัติหนาที่ดังกลาวไมกระทบกระเทือนตอการปฏิบัติหนาที่หรือเกียรติศักดิ์ของ ผูพิพากษา ทั้งจักตองไดรับอนุญาตจากสํานักงานศาลยุติธรรมแลว เวนแตจะมีบทบัญญัติ แหงกฎหมาย ระเบียบขอบังคับ หรือมติของ ก.ต. ระบุไวเปนอยางอื่น คําอธิบาย (๑) ผูพิพากษาเปนบุคคลซึ่งไดรับการยอมรับและยกยองจากสังคมทั่วไปวาเปน ผูทรงภูมิรูในทางกฎหมาย จึงมักจะไดรับการขอรองจากหนวยราชการอื่นใหไปชวยปฏิบัติงาน อันเกี่ยวกับหนวยราชการนั้นเปนครั้งคราว การที่ผูพิพากษาจะไปชวยปฏิบัติหนาที่ใหกับหนวยราชการ ตาง ๆ ตามคําขอรองนั้น นับวาเปนการปฏิบัติตนเพื่อประโยชนแกราชการโดยสวนรวมอยางหนึ่ง ทั้งยังเปนโอกาสที่จะชวยชี้แจงใหบุคคลในวงการฝายอื่นมีความเขาใจในเรื่องของงานตุลาการ ดีขึ้นอีกดวย แตอยางไรก็ตาม การที่ผูพิพากษาจะออกไปใหความชวยเหลือแกงานราชการฝายอื่นนี้ จักตองคํานึงถึงปญหาการขาดอัตรากําลังบุคลากรในวงการตุลาการและความจําเปนที่จะตองปกปอง สถาบันตุลาการ มิใหเขาไปพัวพันกระทบกระทั่งหรือขัดแยงกับราชการฝายอื่นดวย จริยธรรมขอนี้ จึงไดวางเงื่อนไขสําหรับการที่ผูพิพากษาจะไดรับมอบหมายหรือแตงตั้งใหไปปฏิบัติหนาที่ราชการ อื่นไว ๓ ประการ ดังนี้ (ก) ในกรณีจําเปน : การแตงตั้งหรือมอบหมายใหผูพิพากษาไปชวยปฏิบัติหนาที่ ราชการใหแกหนวยราชการ หรือหนวยงานอื่นของรัฐนั้นจะกระทําไดเมื่อมีความจําเปนจริง ๆ เทานั้น และตองเปนไปในลักษณะที่ผูพิพากษาเปนฝายไดรับการขอรองจากฝายผูแตงตั้งหรือมอบหมาย โดยที่ผูพิพากษานั้นมิไดกระทําการใด ๆ อันเปนการเสนอตัวดวย
(ข) ในเมื่อการปฏิบัติหนาที่ดังกลาวไมกระทบกระเทือนตอการปฏิบัติหนาที่ หรือเกียรติศักดิ์ของผูพิพากษา และ (ค) ตองไดรับอนุญาตจากสํานักงานศาลยุติธรรมแลว (หนังสือสํานักงาน ศาลยุติธรรม ที่ ศย ๐๐๓/ว ๑๙๑ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๐) : การที่จะไดรับอนุญาต จากสํานักงานศาลยุติธรรมนั้น ตามปกติตองใหผูบังคับบัญชาของผูพิพากษาผูจะไดรับแตงตั้ง หรือมอบหมายนั้น ไดมีโอกาสทําความเห็นเสนอแนะมาตามลําดับชั้นกอน วาการที่ผูพิพากษาผูนั้น จะไดรับการแตงตั้งหรือมอบหมายดังกลาว เปนกรณีที่จําเปนหรือไม จะเปนการกระทบกระเทือน ตอการปฏิบัติหนาที่ประจําของผูพิพากษานั้นหรือไม และจะเสี่ยงตอการเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ ของสถาบันตุลาการหรือไม ทั้งนี้เพื่อใหการใชดุลพินิจของสํานักงานศาลยุติธรรมเปนไปได โดยรอบคอบยิ่งขึ้น (๒) จริยธรรมขอนี้ไมมีผลครอบคลุมถึงกรณีที่ผูพิพากษาไดรับแตงตั้งหรือ มอบหมายใหปฏิบัติงานอื่นโดยกฎหมาย ซึ่งมีบทบัญญัติแตงตั้งเอาไวโดยตรง เชน ประธาน ศาลฎีกาเปนนายกเนติบัณฑิตยสภา ประธานศาลอุทธรณเปนอุปนายกเนติบัณฑิตยสภา ตามพระราชบัญญัติเนติบัณฑิตยสภา พ.ศ. ๒๕๒๗ มาตรา ๗ อธิบดีผูพิพากษาศาลอาญา เปนกรรมการในคณะกรรมการพิจารณาการโอนนักโทษ ตามพระราชบัญญัติการปฏิบัติเพื่อความ รวมมือระหวางประเทศในการดําเนินการตามคําพิพากษาคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๙ บทบัญญัติ ขอ ๒๘ ผูพิพากษาไมพึงแสดงปาฐกถา บรรยาย สอน หรือเขารวมสัมมนา อภิปรายหรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ตอสาธารณชน ซึ่งอาจกระทบกระเทือนตอการปฏิบัติหนาที่ หรือเกียรติศักดิ์ของผูพิพากษา และจักตองไมกระทําการดังกลาวเพื่อผลประโยชนในทางธุรกิจ การใหขาวหรือขอเท็จจริงในทางราชการของศาลยุติธรรมและสํานักงาน ศาลยุติธรรม หรือเรื่องราวที่เกี่ยวของกับทางราชการของศาลยุติธรรมหรือสํานักงานศาลยุติธรรม จะกระทําไดตอเมื่อเปนผูรับผิดชอบในการใหขาวหรือขอเท็จจริงตามที่คณะกรรมการตุลาการ ศาลยุติธรรม คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม หรือสํานักงานศาลยุติธรรมกําหนด คําอธิบาย (๑) แสดงปาฐกถา บรรยาย สอน เขารวมสัมมนา อภิปราย : สํานักงานศาลยุติธรรมไดวางแนวทางปฏิบัติในการอนุญาตใหขาราชการ ฝายตุลาการศาลยุติธรรมไปบรรยายหรือสอน อบรม ทบทวนความรู หรือเขารวมประชุม สัมมนา อภิปราย ดังนี้ (ก) ขาราชการตุลาการ ใหขออนุญาตตอผูมีอํานาจพิจารณาหรืออนุญาตการลา ตามระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมวาดวยการลาหยุดของขาราชการฝายตุลาการ ศาลยุติธรรมและลูกจางของสํานักงานศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๔ หมวด ๓ และเมื่อผูมีอํานาจ พิจารณาหรืออนุญาตไดพิจารณาอนุญาตแลวใหรายงานสํานักงานศาลยุติธรรมดวย
(ข) ขาราชการศาลยุติธรรม ใหเลขาธิการสํานักงานศาลยุติธรรม ประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ ประธานศาลอุทธรณภาค อธิบดีผูพิพากษาศาลชั้นตน อธิบดีผูพิพากษาภาค หรือผูพิพากษาหัวหนาศาลแลวแตกรณี เปนผูพิจารณาการอนุญาต สําหรับขาราชการศาลยุติธรรม ในบังคับบัญชา และเมื่อผูบังคับบัญชาดังกลาวอนุญาตแลวใหรายงานสํานักงานศาลยุติธรรมทราบดวย ในกรณีการบรรยายหรือสอนพิเศษในวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยเอกชนนั้น การอนุญาตไมควรเกิน ๔ หนวยชั่วโมงสอนตอสัปดาห (หนังสือสํานักงานศาลยุติธรรม ที่ ศย ๐๐๓/ว ๑๙๒ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ) การขออนุญาตใหถูกตองตามระเบียบดังกลาวถือเปนเรื่องสําคัญที่จะตองรีบจัดทํา โดยตองเสนอไปยังผูมีอํานาจพิจารณาหรืออนุญาตแตเนิ่น ๆ ใหมีเวลานําเสนอไดทันกําหนดวัน บรรยายหรือสอน แมการบรรยายหรือสอนนั้นจะมิใชเรื่องสําคัญก็ควรปฏิบัติใหถูกตอง ตามระเบียบราชการดวย การไปบรรยายหรือสอนในเวลาราชการหรือคาบเกี่ยวกับเวลาราชการนั้น แมจะ ไดรับอนุญาตโดยชอบแลว ผูไดรับอนุญาตยังตองระวังมิใหเปนการกระทบกระเทือนหรือเกิด ความเสียหายแกการปฏิบัติหนาที่ราชการประจําได สําหรับการบรรยาย การสอน หรือการจัดอบรมทบทวนความรูแกผูที่เตรียมตัว สอบผูชวยผูพิพากษาโดยสํานักงานศาลยุติธรรมมิไดเปนผูจัดนั้น คณะกรรมการตุลาการเคย พิจารณาเห็นวา “...เปนการไมเหมาะสมแกตําแหนงหนาที่ของผูพิพากษาที่เปนขาราชการ ตุลาการประจํา การจะพึงกระทําหรือเขาไปมีสวนรวมเปนผูใหการอบรมและทบทวน เพราะอาจ เกิดขอครหาในทางที่ไมเปนคุณแกการสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเปนขาราชการตุลาการที่กําลัง ดําเนินการอยูอันอาจนําความเสื่อมเสียแกราชการของศาลยุติธรรมได สมควรที่ผูพิพากษาที่เปน ขาราชการตุลาการประจําการทั้งหลายพึงสังวรระมัดระวังไมควรกระทําเชนนี้ในโอกาสตอไป...” โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อมีการเรียกรองเงินทองเปนคาตอบแทนการอบรมและทบทวนนั้นดวย อยางไรก็ตามในสวนของการบรรยาย หรืออบรมเผยแพรความรูเกี่ยวกับกิจการศาล และกฎหมายซึ่งไมเกี่ยวกับปญหาทางการเมืองใหแกนักเรียน นิสิต นักศึกษา ขาราชการ หรือ ประชาชน ตามโครงการประชาสัมพันธของสํานักงานศาลยุติธรรมนั้น ใหผอนผันเปนพิเศษวา ใหขาราชการตุลาการกระทําไดโดยมิตองเสนอขออนุญาตกอน แตใหรายงานสํานักงานศาลยุติธรรม เพื่อทราบ หลังจากที่ไปบรรยายหรืออบรมแลวทุกครั้ง (๒) แสดงความคิดเห็นใดๆ ตอสาธารณชน : การแสดงความคิดเห็นตอสาธารณชนนั้น หากมีลักษณะเปนการ (ก) เขียนเรื่องหรือ บทความ หรือ (ข) ใหขาวหรือใหสัมภาษณแกสื่อมวลชนแลว ผูพิพากษาผูแสดงความคิดเห็น จะตองคํานึงถึงและปฏิบัติใหถูกตองตามระเบียบปฏิบัติของทางราชการที่ไดวางไว สําหรับ แตละกรณีดวย ดังมีสาระโดยยอ ดังนี้ (ก) การเขียนเรื่องหรือบทความเผยแพรทางสื่อมวลชนนั้น ใหกระทําไดแตจะตอง อยูในขอบเขตของกฎหมายหรือระเบียบ และเรื่องหรือบทความนั้นตองไมทําใหเกิดความเสียหาย แกศาลยุติธรรม สํานักงานศาลยุติธรรม บุคคลใดหรือหนวยงานใด และไมมีลักษณะเปนการใหขาว และบริการขาวสารของศาลยุติธรรมโดยผูเขียนไมมีหนาที่รับผิดชอบ ในกรณีที่ผูเขียนเรื่องหรือบทความ
ใชนามแฝงหรือนามปากกาใหแจงนามแฝงหรือนามปากกาใหสํานักงานศาลยุติธรรมเพื่อทราบดวย (ระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมวาดวยการใหขาวและบริการขาวสารของศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๕) (ข) สําหรับการใหขาวหรือใหสัมภาษณแกสื่อมวลชน นั้น เพื่อใหการใหขาวสาร ของศาลยุติธรรมดําเนินไปดวยความถูกตองเรียบรอยกอใหเกิดประโยชนตอศาลยุติธรรม อยางกวางขวางคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม จึงไดกําหนดใหมีผูรับผิดชอบในการใหขาว และบริการขาวสารของศาลยุติธรรม และหามมิใหขาราชการฝายตุลาการศาลยุติธรรมและลูกจาง ของสํานักงานศาลยุติธรรมซึ่งไมมีหนาที่ในการใหขาวเปนผูใหขาว หากเปนการกระทําของขาราชการ ตุลาการใหรายงานตอ ก.ต. ทั้งนี้ ตามระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมวาดวยการใหขาว และบริการขาวสารของศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ตามระเบียบ ก.บ.ศ. ดังกลาว คําวาขาวสารของศาลยุติธรรม หมายความวาขาว หรือขอเท็จจริงในทางราชการของศาลยุติธรรมและของสํานักงานศาลยุติธรรม หรือเรื่องราว ที่เกี่ยวของกับทางราชการของศาลยุติธรรมและของสํานักงานศาลยุติธรรม สําหรับการใหขาวสารของศาลยุติธรรม หมายความวาการแจกจาย เผยแพร แถลง ชี้แจงขาวของศาลยุติธรรมหรือสํานักงานศาลยุติธรรม และใหหมายความรวมถึง การใหสัมภาษณแกสื่อมวลชนและพูดออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศนดวย สวนบริการขาวสารของศาลยุติธรรม หมายความวา การแจกจายและเผยแพรขาวสารขอมูล หรือขอเท็จจริงของศาลยุติธรรมหรือสํานักงานศาลยุติธรรม เพื่อใหเปนความรูและสราง ความเขาใจที่ถูกตองแกประชาชนกอใหเกิดผลดีตอสังคมและประเทศชาติ อนึ่ง คําวาสื่อมวลชน หมายความวา หนังสือพิมพ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน ภาพยนตร สํานักขาว สํานักขาวสาร หรือสื่ออื่นๆที่ไปถึงมวลชนดวย ดังนั้น การใหขาวสารของ ศาลยุติธรรมรวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทางสื่ออิเล็กทรอนิกสตางๆโดยมิไดเปนผูรับผิดชอบ จึงไมอาจกระทําไดเชนกัน สําหรับผูรับผิดชอบในการใหขาวและบริการขาวสารของศาลยุติธรรม ไดแก (๑) ขาวที่เกี่ยวกับการประชุมคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม คณะกรรมการ ตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการขาราชการศาลยุติธรรม ใหประธานกรรมการ เลขานุการ คณะกรรมการ หรือโฆษกศาลยุติธรรมเปนผูให (๒) ขาวที่เกี่ยวกับนโยบายของประธานศาลฎีกา ใหประธานศาลฎีกา เลขาธิการประธาน ศาลฎีกา เลขานุการศาลฎีกา เลขาธิการสํานักงานศาลยุติธรรม หรือโฆษกศาลยุติธรรมเปนผูให (๓) ขาวที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานประจําหรือภารกิจที่ไดรับมอบหมาย ใหผูพิพากษา ผูรับผิดชอบในราชการของศาล เจาหนาที่ประชาสัมพันธของหนวยงานนั้น หรือผูที่ไดรับมอบหมาย เปนผูให (๔) ขาวในลักษณะวิชาการ ซึ่งสมควรเผยแพรแกประชาชนโดยเร็ว เชนผลของ คําพิพากษาของศาลที่ไดตัดสินไปแลว เปนตน ใหผูพิพากษาผูรับผิดชอบในราชการของศาล หรือผูที่ไดรับมอบหมายเปนผูให
ทั้งนี้ การใหขาวและบริการขาวสารของทางศาลยุติธรรมที่อาจมีผลกระทบกระเทือน ตอการพิจารณาพิพากษาคดีไมสามารถกระทําได (หนังสือสํานักงานศาลยุติธรรม ที่ ศย ๐๐๓/ว๔๙๓ ลงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๘) นอกจากนี้กรณีขาราชการตุลาการไปจัดรายการวิทยุหรือออกรายการวิทยุเพื่อ ตอบปญหากฎหมาย คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมเคยพิจารณาเห็นวา ขาราชการตุลาการ ไมสมควรจัดรายการหรือออกรายการทางวิทยุกระจายเสียงหรือสื่อตาง ๆ เพื่อตอบปญหากฎหมาย ที่มีผูฟงรายการติดตอสอบถามเขามา หรือจัดรายการที่มีการหาผูสนับสนุนรายการ หรือ จัดรายการในเชิงธุรกิจ เนื่องจากอาจกระทบกระเทือนตอการปฏิบัติหนาที่ขาราชการตุลาการ ใหสํานักงานศาลยุติธรรมแจงใหผูพิพากษาทราบและถือปฏิบัติ (หนังสือสํานักงานศาลยุติธรรม ที่ ศย ๐๐๓/ว ๓๔(ป) ลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๒) บทบัญญัติ ขอ ๒๙ ผูพิพากษาไมพึงเปนกรรมการ สมาชิก หรือเจาหนาที่ของสมาคม สโมสร ชมรม หรือองคการใดๆ หรือเขารวมในกิจการใดๆ อันจะกระทบกระเทือนตอการปฏิบัติ หนาที่หรือเกียรติศักดิ์ของผูพิพากษา คําอธิบาย การที่จะแยกผูพิพากษาออกจากกิจกรรมนอกเหนือตําแหนงหนาที่อยางเครงครัดนั้น เปนเรื่องที่เปนไปไมได ผูพิพากษาจึงอาจเขารวมในกิจกรรมทางสังคมหรือการกุศลไดตามสมควร แกอัตภาพ และอาจเขาเปนกรรมการ สมาชิก หรือเจาหนาที่ของสมาคม สโมสร ชมรม หรือองคการ ทางสังคมหรือการกุศลสาธารณะประเภทใดประเภทหนึ่งไดดวย เพื่อการนี้ผูพิพากษาอาจรับการบริจาค โดยสมัครใจเพื่อเปนการทําบุญกุศลหรือสรางประโยชนแกสวนรวมได แตจะตองระมัดระวัง ไมใหมีลักษณะเปนการบีบบังคับผูมีอาชีพเกี่ยวของกับงานของศาล และจะตองมิใหมีบุคคลใด อาศัยการบริจาคเปนเครื่องมือในการสรางหนี้บุญคุณเพื่อมีอิทธิพลเหนือผูพิพากษา หรือเปนเครื่องมือ เพื่อนําไปแสดงหรืออวดอางตอบุคคลอื่นวาผูบริจาคมีอิทธิพลเหนือศาล บทบัญญัติ ขอ ๓๐ ผูพิพากษาไมพึงรับเปนผูจัดการมรดก ผูจัดการทรัพยสินหรือผูปกครอง ทรัพย เวนแตเปนกรณีที่ตัวผูพิพากษาเอง คูสมรส ผูบุพการี ผูสืบสันดานของตน หรือญาติ สืบสายโลหิต หรือเกี่ยวพันทางแตงงาน ซึ่งผูพิพากษาถือเปนญาติสนิทมีสวนไดเสียในมรดก หรือทรัพยนั้นโดยตรง
คําอธิบาย ญาติสืบสายโลหิตหรือเกี่ยวพันทางแตงงานซึ่งผูพิพากษาถือเปนญาติสนิท : หมายถึง ญาติซึ่งมิใชญาติที่ใกลชิดอยางบุพการี หรือผูสืบสันดาน แตก็เปนญาติซึ่งตัวผูพิพากษาเองปฏิบัติ อยางเปนญาติสนิท เชน ลุงซึ่งเปนผูอุปการะผูพิพากษามาแตเด็ก ลูกผูพี่หรือพี่เขยของผูพิพากษา ซึ่งผูพิพากษาไปมาหาสูและเกื้อหนุนจุนเจือกันอยางใกลชิด บทบัญญัติ ขอ ๓๑ ผูพิพากษาจักตองไมรับแตงตั้งเปนผูแทนในการดําเนินคดีหรือรับเปนผูเรียง ผูเขียน ผูพิมพคําคูความ คํารอง คําขอ หรือคําแถลงในคดีใดๆ ผูพิพากษาจักตองไมรับปรึกษาคดีความ หรือเรื่องซึ่งอาจจะเปนคดีความขึ้นได และไมรับเปนผูราง ผูเขียน ผูพิมพ หรือพยานในพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่นใด ไมวาเพื่อสินจาง รางวัลหรือไม เวนแตเปนกรณีที่ตัวผูพิพากษาเอง คูสมรส ผูบุพการี ผูสืบสันดานของตน หรือญาติสืบสายโลหิตหรือเกี่ยวพันทางแตงงาน ซึ่งผูพิพากษาถือเปนญาติสนิท มีสวนไดเสียในคดี หรือเรื่องนั้นโดยตรง คําอธิบาย ญาติสืบสายโลหิตหรือเกี่ยวพันทางแตงงานซึ่งผูพิพากษาถือเปนญาติสนิท : ดูคําอธิบายในจริยธรรมขอ ๓๐ บทบัญญัติ ขอ ๓๒ ผูพิพากษาไมพึงรับเปนอนุญาโตตุลาการ หรือผูประนอมขอพิพาท คําอธิบาย ดูคําอธิบายในจริยธรรมขอ ๘ ประกอบ (๑) ผูประนอมขอพิพาท : หมายถึง ผูไกลเกลี่ยใหคูพิพาทตกลงโอนออน ผอนเขาหากัน เชน การประนอมขอพิพาทแรงงานหรือธุรกิจการคา (๒) การทําหนาที่เปนอนุญาโตตุลาการหรือผูประนอมขอพิพาท ไมใชการพิจารณา พิพากษาคดีในฐานะผูพิพากษา จึงอาจถูกโตแยงหรือวิพากษวิจารณในทํานองที่ทําใหเสื่อมเสียถึง เกียรติศักดิ์ของผูพิพากษาได และหากมีกรณีที่คําชี้ขาดหรือขอตกลงนั้นเปนคดีขึ้นสูศาล คูความบาง ฝายอาจหวั่นไหววาศาลยอมเกรงใจอนุญาโตตุลาการหรือผูประนอมขอพิพาท ซึ่งเปนผูพิพากษาดวยกัน หรือถาคูกรณีไมยอมรับคําชี้ขาดหรือขอตกลงนั้นก็อาจกระทบกระเทือนตอชื่อเสียงของผูพิพากษา ที่รวมเปนอนุญาโตตุลาการหรือผูประนอมขอพิพาทได ผูพิพากษาจึงควรละเวนไมรับ เปนอนุญาโตตุลาการ หรือผูประนอมขอพิพาททั้งในศาลและนอกศาล เวนแตเปนกรณีที่ไดรับ มอบหมายใหปฏิบัติหนาที่เปนผูประนีประนอมคดีในศาล
(๓) จริยธรรมขอนี้ไมรวมถึงกรณีที่ผูพิพากษาหาชองทางรอมชอมหรือระงับ ขอพิพาทระหวางบุคคลในครอบครัวของตน (๔) เปนที่นาสังเกตวา ประมวลจริยธรรมของตุลาการของสหรัฐอเมริกาก็มีขอหาม ในทั้งสองเรื่องนี้อยู สวนของอังกฤษนั้นแมไมมีการบัญญัติจริยธรรมเปนลายลักษณอักษร ก็มีขอจํากัดสําหรับผูพิพากษาที่จะเปนอนุญาโตตุลาการอยูหลายประการ บทบัญญัติ ขอ ๓๓ ผูพิพากษาจักตองสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยตาม รัฐธรรมนูญ ซึ่งมีพระมหากษัตริยทรงเปนประมุขแหงรัฐ บทบัญญัติ ขอ ๓๔ ผูพิพากษาจักตองไมเปนกรรมการ สมาชิก หรือ เจาหนาที่ในพรรค การเมืองหรือกลุมการเมือง และจักตองไมเขาเปนตัวกระทําการ รวมกระทําการ สนับสนุนในการ โฆษณาหรือชักชวนใดๆ ในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาหรือผูแทนทางการเมืองอื่นใด ทั้งไม พึงกระทําการใดๆ อันเปนการฝกฝายพรรคการเมืองหรือกลุมการเมืองใดนอกจากการ ใชสิทธิเลือกตั้ง คําอธิบาย (๑) กลุมการเมือง : คําวา “กลุม” ในจริยธรรมขอนี้มีความหมายถึง องคการทาง การเมืองที่จัดตั้งขึ้นอยางไมเปนทางการ หรือไมถูกตองตามกฎหมาย (๒) การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาหรือผูแทนทางการเมืองอื่นใด : ประมวลจริยธรรมขาราชการตุลาการนี้ไมประสงคที่จะใหผูพิพากษาไปยุงเกี่ยวกับ การหาเสียงเลือกตั้งใหแกพรรคการเมือง กลุมการเมืองหรือบุคคลใด การเลือกตั้งผูแทน ทางการเมือง นอกจากเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาตามจริยธรรมขอนี้แลวใหรวมถึงการเลือกตั้ง อื่น ๆ ดวย เชน การเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร และผูวาราชการกรุงเทพมหานคร การเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล การเลือกตั้งกรรมการสุขาภิบาล ซึ่งราษฎรในเขตสุขาภิบาลเลือกตั้ง การเลือกตั้งสมาชิกสภาเมืองพัทยาซึ่งราษฎรในเขต เมืองพัทยาเลือกตั้งและการเลือกกํานันและผูใหญบาน (๓) ไมพึงกระทําการใดๆ อันเปนการฝกฝายพรรคการเมืองหรือกลุมการเมืองใด นอกจากการใชสิทธิเลือกตั้ง : แมการใชสิทธิเลือกตั้งจะเปนหนาที่ของชนชาวไทยในการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริยทรงเปนประมุข แตขณะเดียวกันในการปฏิบัติหนาที่และในการปฏิบัติการอื่น
ที่เกี่ยวของกับประชาชน ขาราชการนั้นตองวางตนเปนกลางทางการเมืองดวย (รัฐธรรมนูญแหง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๗๒, ๗๔) เมื่อพิเคราะหบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกลาวประกอบกับบทบัญญัติมาตรา ๕๖ แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการฝายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ แลว ยอมจะเห็นไดวา ผูพิพากษานั้นอยูในสองฐานะดวยกัน คือ ฐานะที่เปนขาราชการตุลาการซึ่งจะตองแสดงตัวเปนกลาง ไมกระทําการใดๆ อันเปนการฝกฝายพรรคการเมืองหรือกลุมการเมืองใด แมจะเปนพรรคการเมือง ที่ชอบดวยกฎหมายก็ตาม อีกฐานะหนึ่งคือในฐานะสวนตัวที่เปนราษฎร ยอมใชสิทธิเลือกตั้งโดยชอบ เพราะเปนสิทธิเฉพาะตัว บทบัญญัติ ขอ ๓๔/๑ ผูพิพากษาจักตองไมกระทําการใดๆ อันเปนการกระทบกระเทือนตอ การปฏิบัติหนาที่หรือเกียรติศักดิ์ของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการบริหารศาล ยุติธรรม คณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะอนุกรรมการบริหารศาลยุติธรรม คณะกรรมการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริง ผูบังคับบัญชาซึ่งมีหนาที่รายงาน ความดีความชอบ ตลอดจนอนุกรรมการหรือบุคคลที่ไดรับมอบหมายใหปฏิบัติหนาที่จาก คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม หรือการปฏิบัติหนาที่ ราชการอื่นใดตามที่ไดรับมอบหมาย ในประการที่อาจทําใหขาดความเปนอิสระ หรือเสียความ ยุติธรรมได คําอธิบาย (๑) นอกเหนือไปจากการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีแลว บางกรณีผูพิพากษายังมีหนาที่ อื่นในฐานะเปนคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) คณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (อ.ก.ต. ประจําชั้นศาล) คณะอนุกรรมการบริหารศาลยุติธรรม คณะกรรมการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริง หรือผูบังคับบัญชาซึ่งมีหนาที่รายงาน ความดีความชอบ ซึ่งการปฏิบัติหนาที่ดังกลาวไมวาผลการวินิจฉัย ลงมติ กลั่นกรองหรือรายงาน ความเห็น จะเปนประการใดยอมสงผลกระทบตอผูพิพากษาดวยกันเองอยางหลีกเลี่ยงมิได การใชดุลพินิจของผูพิพากษาเมื่อปฏิบัติหนาที่ในฐานะดังกลาว หาไดแตกตางจากการพิจารณาคดี แตอยางใดไม กลาวคือตองกระทําดวยความเปนกลาง ปราศจากอคติทั้งปวง เพื่อความยุติธรรม และยึดมั่นในความเปนอิสระของตน ดังนั้น ผูพิพากษาซึ่งปฏิบัติหนาที่ในฐานะดังกลาว โดยเฉพาะ ก.ต. และ อ.ก.ต. ประจําชั้นศาล จึงตองมีหนาที่เกี่ยวกับการประชุม ก.ต. หรือ อ.ก.ต. แลวแตกรณี โดยอิสระ เชน การอภิปราย แสดงความคิดเห็น ลงมติ และตีความ ทั้งนี้ ความเปนอิสระดังกลาวยังถือเปนหนาที่ ของเลขานุการ ก.ต. ผูชวยเลขานุการ ก.ต. เลขานุการ อ.ก.ต. ผูชวยเลขานุการ อ.ก.ต. ตลอดจนบุคคล ซึ่งที่ประชุมอนุญาต ที่จะกลาวถอยคําใดในทางแถลงขอเท็จจริงและแสดงความคิดเห็นดวยโดยอนุโลม
เพื่อเปนหลักประกันในความเปนอิสระ จริยธรรมขอนี้จึงหามมิใหผูพิพากษาคนใด กระทําการตาง ๆ อันจะเปนการกระทบกระเทือนตอการปฏิบัติหนาที่หรือเกียรติศักดิ์ของผูพิพากษา ซึ่งเปนผูปฏิบัติหนาที่ในฐานะดังกลาว ตลอดจนผูมีสวนเกี่ยวของ ในประการที่อาจทําให ขาดความเปนอิสระ หรือเสียความยุติธรรม (๒) ในประการที่อาจทําใหขาดความเปนอิสระ หรือเสียความยุติธรรม : การกระทํา ใดๆ อันจะเปนการกระทบกระเทือนตอการปฏิบัติหนาที่หรือเกียรติศักดิ์ในประการที่อาจทําให ขาดความเปนอิสระหรือเสียความยุติธรรมนั้น อาจเกิดขึ้นไดหลายกรณี เชน ใชอิทธิพลกาวกาย สรางความเกรงใจ จูงใจใหความเห็น หรือฟองรอง กลั่นแกลง กลาวหาทางวินัย เปนเหตุให ผูพิพากษาซึ่งปฏิบัติหนาที่ในฐานะดังกลาวขางตน และผูเกี่ยวของ ปฏิบัติหนาที่โดยปราศจาก ความเที่ยงธรรม เกิดอคติสี่ ไดแก ฉันทาคติ ลําเอียงเพราะรัก โทสาคติ ลําเอียงเพราะโกรธ ภยาคติ ลําเอียงเพราะกลัว และโมหาคติ ลําเอียงเพราะเขลา (๓) อนุกรรมการหรือบุคคลที่ไดรับมอบหมายใหปฏิบัติหนาที่จากคณะกรรมการ ตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม หรือการปฏิบัติหนาที่ราชการอื่นใด ตามที่ไดรับมอบหมาย : หมายถึงอนุกรรมการ หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด ซึ่งไดรับมอบหมายจาก ก.ต. หรือ ก.บ.ศ. ใหปฏิบัติหนาที่ราชการใดๆ อาทิ (ก) อ.ก.ต. วิสามัญ (ข) อนุกรรมการบริหารศาลยุติธรรมคณะตางๆ (ค) บุคคลซึ่งไดรับอนุญาตใหแถลงขอเท็จจริงในการประชุมของ ก.ต. หรือ ก.บ.ศ. แลวไดแสดงความคิดเห็น หรือตีความ (ง) บุคคลซึ่งปฏิบัติหนาที่ตามที่ไดรับมอบหมายจาก ก.ต. หรือ ก.บ.ศ. ตลอดถึงการ ปฏิบัติหนาที่ราชการของอนุกรรมการ หรือของบุคคลหนึ่งบุคคลใดตามที่ไดรับมอบหมายโดยชอบดวย หมวด ๕ จริยธรรมเกี่ยวกับการดํารงตนและครอบครัว บทบัญญัติ ขอ ๓๕ ผูพิพากษาจักตองเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายอยางเครงครัด อยูใน กรอบของศีลธรรม และพึงมีความสันโดษ ครองตนอยางเรียบงาย สุภาพ สํารวมกิริยามารยาท มีอัธยาศัย ยึดถือจริยธรรมและประเพณีอันดีงามของตุลาการ ทั้งพึงวางตนใหเปนที่เชื่อถือศรัทธา ของบุคคลทั่วไป คําอธิบาย (๑) จักตองเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายอยางเครงครัด : ในฐานะที่เปนผูรักษากฎหมายของบานเมือง ผูพิพากษาไมพึงหลีกเลี่ยงการปฏิบัติ ตามกฎหมายหรือปฏิบัติตนเสมือนหนึ่งวาอยูเหนือกฎหมายไมวาจะเปนกฎหมายประเภทใดทั้งสิ้น
เชน เคารพและปฏิบัติตามกฎจราจร และหากมีกรณีที่จะตองเสียคาปรับเพราะฝาฝนกฎจราจร ก็ไมควรขอยกเวนดวยประการใด ๆ (๒) อยูในกรอบของศีลธรรม : การที่จะวินิจฉัยวาเรื่องใดอยูในกรอบของศีลธรรมหรือไมนั้น ไมนาจะถือเอาหลัก ของศาสนาใดศาสนาหนึ่งเปนเกณฑวินิจฉัย หากแตตองถือตามความรูสึกผิดชอบชั่วดีของคนสวนใหญ ในแตละสมัยเปนสําคัญ เรื่องใดก็ตามแมไมมีกฎหมายบัญญัติไวโดยเฉพาะ แตเปนเรื่องผิดศีลธรรม ก็จักตองไมปฏิบัติดุจกัน ทั้งจักตองไมหมกมุนมัวเมาอยูกับอบายมุขดวย (๓) สันโดษ : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวัฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร ใหคําอธิบายเรื่อง “สันโดษ” นี้ไววา : “สันโดษ” แปลวา ความยินดี (หรือพอใจ) ดวยของของตน ความยินดีดวยของที่มีอยู ความยินดีโดยสม่ําเสมอ มีผูสงสัยวา หลักธรรมเรื่อง “สันโดษ” นี้จะเหมาะสมเฉพาะบรรพชิตหรือเหมาะสม สําหรับคฤหัสถดวย ปญหาหนึ่ง และอีกปญหาหนึ่ง “สันโดษ” นี้ ไมควรสงเสริมใหมีการปฏิบัติ เพราะสอนใหคนเกียจคราน เฉื่อยชา จึงเปนเรื่องขัดขวางความเจริญกาวหนาหรือไม ในปญหาแรกนั้น “สันโดษ” เปนหลักธรรมทั่วไปใชไดทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ สําคัญที่วาหลักธรรมนี้ตองนํามาใชใหเหมาะแกภาวะของบุคคลแตละคน เชน สัมมาอาชีวะ ความเลี้ยงชีวิตชอบ สําหรับบรรพชิต การเที่ยวบิณฑบาตเปนสัมมาอาชีวะ แตการทํานา ทําสวน คาขาย เปนตน เปนมิจฉาอาชีวะ สวนสําหรับคฤหัสถ การทํานา ทําสวน การคาขาย เปนตน ที่ทําโดยชอบเปนสัมมาอาชีวะ สวนการเที่ยวบิณฑบาตเปนการขอเขามิใชสัมมาอาชีวะของคฤหัสถ สันโดษก็เชนเดียวกันเมื่อใชกับคฤหัสถก็ตองใหเหมาะแกคฤหัสถ เชน คฤหัสถ ไมพึงแสวงหา ในทางที่ไมสมควร ไมไดก็ไมสะดุง ไดก็ไมสยบติด เปนตน ในปญหาที่สอง ในพระสูตรบางแหงสอนตรง ๆ วา ใหมี “อสันตุฏิฐิ” คือ ใหมีความ ไมสันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย หรือกลาวอีกนัยหนึ่งวาใหสันโดษแตในปจจัย สวนในกุศลธรรม อยาสันโดษ เพราะจะตองทํากุศลใหยิ่งขึ้นไป เปนอันสอนใหมีความเพียร ละความชั่วทําความดีนั่นเอง ตัวอยางเชน ขาราชการไดเงินเดือน เดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ก็ควรพอใจในเงินเดือนนั้น มิใชขวนขวาย ใหไดเปน ๗,๐๐๐ บาท โดยมิไดทําอะไรหรือแสวงหาโดยมิชอบ แตในขณะเดียวกันก็ตองขยันขันแข็ง หาความรูเพิ่มเติมอยูเสมอ ควรสันโดษในผล แตไมสันโดษในเหตุที่ดี สันโดษเปนธรรมที่กําจัดความโลภและความปรารถนาเกินไป บุคคลทุกคนไมวา คฤหัสถหรือบรรพชิต ถาขาดสันโดษก็เต็มไปดวยความโลภหรือความปรารถนา ดั่งนั้นเมื่อเปน เชนนี้ลองคิดดูวาผลจะเปนอยางไร ก็จะพากันประพฤติอกุศลทุจริตตาง ๆ อยางไมหยุดยั้ง เพราะความโลภ ความปรารถนาเกินไปมากไป หรือที่เปนบาปลามกเหลานั้นชักนําจิตใจ ชักนํา ความประพฤติใหเปนไป ความทุกขเดือดรอนตาง ๆ ก็เกิดตามมา จะไมเปนเชนนั้นก็เพราะอานุภาพ แหงความสันโดษที่ยังมีคุมครองจิตใจของคนดีอยู เมื่อเขาใจความมุงหมายของสันโดษดังนี้ ก็จะอธิบายสันโดษไดถูกตอง และจะปฏิบัติไปดวยกันกับความเพียรสรางความเจริญกาวหนาตาง ๆ เปนอยางดี นอกจากนี้ยังเปนอุปการะในทางอื่น เชน ในทางประหยัด เปนตน
การอธิบายสันโดษในขั้นอรรถกถา ยถาลาภสันโดษ คือ ยินดีตามที่ได เมื่อไดสิ่งใดก็ยินดีสิ่งนั้น และใชสอย ไมปรารถนาสิ่งอื่นที่เกินไป มากไป หรือในทางที่ผิดที่เรียกวา ปรารถนาเปนบาป ยถาพลสันโดษ คือ ความยินดีตามกําลัง ถาสิ่งที่ไดมาไมเหมาะสมแกกําลังของตน เชน ไมเหมาะแกกําลังกาย เพราะปวยเปนไขจะบริโภคใชสอยไมสะดวกก็แลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตน จะบริโภคใชสอยได หรือไมเหมาะสมแกกําลังประการอื่นก็แลกเปลี่ยนใหเหมาะสมแกกําลังของตน ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามสมควร ถาไดมาแลวเห็นวาไมเหมาะไมสมควรแกตน เพราะเปนของดีเกินไป ก็สละใหแกผูที่สมควร แสวงหามาใชแตที่พอเหมาะพอควร หรือเพราะ เปนสิ่งของที่ตนไมควรจะใชสอยดวยเหตุวาผิดวินัย (สําหรับบรรพชิต) หรือเกินฐานะ (สําหรับ บุคคลทั่วไป) ก็ไมรับมาหรือสละไปเสีย แสวงหาใชสอยแตที่เหมาะที่ควรแกภาวะและฐานะ เปนตน และขอนี้ยอมหมายถึงแสวงหาแตที่พอเหมาะพอควรดวย สันโดษในความคิด คือ ระงับความคิดที่ฟุงซาน อยากไดโนนไดนี่ที่เกินไปมากไป หรือที่อยากไดในทางผิดดังกลาว พอใจในการใชความคิดในการที่ถูกที่ควร สันโดษในการแสวงหา คือ ยินดีแสวงหาแตสิ่งที่ควรจะได ที่จะพึงบริโภคใชสอยได ตามกําลังของตน และที่สมควรแกภาวะฐานะเปนตน และในทางที่ถูกที่ควร สันโดษในการรับ คือ รับแตที่ควรรับ และรับพอประมาณ มิใชวาเมื่อจะได หรือเมื่อ มีผูจะใหก็รับทุกอยาง เพราะสิ่งที่จะไดเปนสิ่งที่มีโทษก็มี เปนสิ่งที่อาจเปนโทษเพราะรับ เกินประมาณไปก็มี ทั้งบุคคลที่จะใหอาจมีความปรารถนาในทางไมชอบก็มี เชน ใหเพื่อหวัง ผลตอบแทนที่ยิ่งกวาเมื่อรับแลวก็ตองทําธุรกิจใหเขาในทางที่ผิด ผูที่รักษาตนใหบริสุทธิ์ จะไมยอมรับอะไรของใครงาย ๆ จะตองพิจารณาวาเขาใหทําไม เพื่ออะไร ถารูสึกวาเปนการใหดวย เจตนาที่ไมบริสุทธิ์ก็ไมยอมรับ ควรยินดีรับแตที่ควรรับ และแมที่ควรรับก็รับแตพอประมาณ ยอมเปน เหตุใหพนมลทินโทษเพราะการรับ สันโดษในการบริโภค คือ ยินดีรับบริโภคใชสอยสิ่งที่ไดมาดวยการพิจารณาใหรูถึง ประโยชนที่ตองการ อันสิ่งที่ไดมานั้นจะตองเปนสิ่งที่ดีบาง ไมดีบาง และเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ แลว ก็จะตองมียิ่งหยอนกวากันตามฐานะตาง ๆ เชน ฐานะแหงทรัพยที่จะซื้อหา ถาขาดสันโดษในขอนี้ ก็จะเกิดความปรารถนาอยากที่จะบริโภคใชสอยแตสิ่งที่ดี ๆ เชน อาหารที่ดี เครื่องนุงหมที่สวยงาม ที่อยูอาศัยที่ผาสุกและงดงาม นอกจากนี้ยังตองการเครื่องบํารุงความสุข ความสะดวก เครื่องประดับ ตกแตงตาง ๆ อีกไมมีที่สิ้นสุด” (จากเรื่อง “สันโดษ” ในหนังสือชุด “รวมธรรมะ” ซึ่งพระราชทานเปนที่ระลึกใน อภิลักขิตกาล สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๘๔ พรรษา พิมพที่อมรินทรการพิมพ, พ.ศ. ๒๕๒๗ ,หนา ๑ - ๘ และคําอธิบายเพิ่มเติมของสมเด็จ พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวัฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร ทานผูเรียบเรียง ซึ่งความเรียงใหมนี้ ทานผูเรียบเรียงไดกรุณาตรวจแกอีกชั้นหนึ่งแลว) (๔) ครองตนอยางเรียบงาย : การครองตนอยางเรียบงายนั้น เปนการครองชีวิตแบบหนึ่ง ไมวาจะเปนคนยากดีมีจน ประการใด เปนการครองตนแบบไมฟุงเฟอ ฟุมเฟอย หรูหรา หรือโออวด ความเปนอยูอยาง
เรียบงายนี้เปนคุณสมบัติสําคัญประการหนึ่งที่ผูพิพากษาจะพึงมี ไมมีผูใดจะดูถูกดูแคลนผูที่อยู อยางเรียบงายเลย โดยเฉพาะในหมูคนดีมีเหตุมีผล ตรงกันขามกลับจะมีผูยกยองเสียอีกวา ดํารงตนเหมาะสมกับที่เปนผูพิพากษา (๕) สุภาพ สํารวมกิริยามารยาท มีอัธยาศัย : เรื่องเหลานี้ ยอมเปนสิ่งยากที่จะวางกําหนดกฎเกณฑตายตัวได สมควรจะพิเคราะห ใหเหมาะสมแกสภาวะแวดลอมเปนเรื่อง ๆ ไป เปนตนวา ในเรื่องการแตงกายสมควรที่จะแตงกายสุภาพ ตามสมัยนิยม และถูกตองตามกาลเทศะ สวนเรื่องการมีอัธยาศัยตอบุคคลทั่วไปนั้น ผูพิพากษาก็พึง แสดงความมีน้ําใจ และความออนโยนตามควรแกฐานะของตนกับของบุคคลเหลานั้น และไมวากรณี จะเปนประการใดก็ตามจักตองไมขมผูอื่นอยูในทีวาตนเหนือกวา (๖) ยึดถือจริยธรรมและประเพณีอันดีงามของตุลาการ : (ก) ความจริงจริยธรรมและประเพณีอันดีงามของตุลาการซึ่งบรรพตุลาการยึดถือ ปฏิบัติกันมามีอยูมากมาย ณ ที่นี้ สมควรยกมาใหเห็นเปนอุทาหรณสวนหนึ่งคือ ๑. ผูพิพากษาเคารพผูมีอาวุโส ๒. การเขาพบขาราชการชั้นผูใหญ เชน ประธานศาลฎีกา รองประธานศาลฎีกา ประธานศาลอุทธรณ ประธานศาลอุทธรณภาค เลขาธิการสํานักงานศาลยุติธรรม ผูพิพากษา จะแตงกายสุภาพ เชน แตงชุดสากลหรือเสื้อชุดไทย ๓. เมื่อขึ้นนั่งพิจารณาคดีกับผูพิพากษาที่อาวุโสกวา ผูพิพากษาผูนอยจะเดิน เยื้องขางหลังเล็กนอย และเมื่อขึ้นบัลลังกแลวผูพิพากษาผูนอยจะนั่งทีหลัง ตอนจะลงจากบัลลังก ใหผูพิพากษาอาวุโสลุกขึ้นจากที่นั่งกอน ๔. ผูพิพากษาที่ไมไดขึ้นนั่งพิจารณาคดี จะชวยเหลือผูพิพากษาที่ตองขึ้นพิจารณาคดี โดยสั่งคํารอง คําขอในกรณีที่ไมมีปญหาให ๕. ผูพิพากษาที่รับราชการอยูในจังหวัดใดกอน ถือปฏิบัติกันมาวาตองคอยชวยเหลือ ดูแลผูพิพากษาที่ยายมาใหมจนกวาผูที่ยายมาใหมจะจัดสิ่งของเขาที่ทาง และชวยตัวเองได โดยสะดวกแลว เชน ถาศาลนั้นไมมีบานพักผูพิพากษาก็จัดหาบานเชาตามที่ผูพิพากษาผูมาใหม ประสงคใหเปนที่เรียบรอย ชวยจัดหาโรงเรียนใหบุตรผูพิพากษาที่มาใหม วันที่ผูพิพากษาผูมาใหมเดินทางไปถึง ก็จะอนุเคราะหจัดยานพาหนะไปรับและนําเขา บานพัก ชวยดูแลเรื่องอาหารในชวงแรก ๆ สั่งการใหนักการภารโรงหรือเสมียนพนักงาน ชวยเหลือในการจัดเครื่องเรือนและ สัมภาระอื่น ๆ ของผูพิพากษาผูมาใหมเขาบาน ๖. การจัดสรรอาคารที่พักของผูพิพากษา ใหถือตามระเบียบคณะกรรมการบริหาร ศาลยุติธรรมวาดวยอาคารที่พักประจําตําแหนงของผูพิพากษาศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๔ ๗. ในงานพิธีหรืองานสังคมซึ่งมีหนวยราชการอื่น ๆ เกี่ยวของอยูดวย ผูพิพากษา หัวหนาศาลจะปรึกษาหารือกันกับผูพิพากษาทั้งศาลวา ควรปฏิบัติอยางไรจึงจะเหมาะสม ถาหาก มีหลายศาลในจังหวัดเดียวกัน ผูพิพากษาหัวหนาศาลทุกศาลจะรวมปรึกษาหารือกันวาจะปฏิบัติอยางไร
๘. เมื่อผูพิพากษาผูใดมีเรื่องเดือดเนื้อรอนใจอันใด ผูพิพากษาผูนั้นจะรองเรียน ตามครรลองของกฎหมายและระเบียบวิธีปฏิบัติราชการตามลําดับชั้นของการบังคับบัญชา มิใชวิสัย ของผูพิพากษาที่จะเขียนบัตรสนเทหกลาวโทษหรือใสความผูอื่นไมวาจะเปนเรื่องใด ในกรณีใด ๙. บรรดาคูสมรสของผูพิพากษาตางก็ปฏิบัติตอกันอยางมีอัธยาศัยตามอาวุโส ของผูพิพากษาและตามวัยวุฒิของตนเอง ตางก็เปนมิตรและปรารถนาดีตอกันไมวาตอหนา หรือลับหลัง ชวยเสริมและผดุงเกียรติศักดิ์แหงสถาบันตุลาการตามจริยธรรม ขอ ๑ เอื้อเฟอเผื่อแผ ถอยทีถอยอาศัยซึ่งกันและกัน และไมกอใหเกิดความราวฉานในวงการศาลหรือในหมูขาราชการ โดยทั่วไป (ข) มีประเพณีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งถือปฏิบัติกันมาเปนเวลาชานาน คือ การที่คณะ ผูพิพากษาในแตละศาลหรือในแตละจังหวัดจัดงานเลี้ยงรับรองผูบังคับบัญชา ผูพิพากษาอาวุโส หรือคณะผูพิพากษาและครอบครัวจากจังหวัดอื่นที่ไปเยี่ยมเยียน ซึ่งในสมัยกอน ๆ คาใชจายในการนี้ สําหรับจังหวัดที่ไมไดเปนแหลงทองเที่ยวไมสูงนัก นาน ๆ จะมีการเยี่ยมเยียนสักครั้งหนึ่ง จึงไมเปนที่ เดือดรอนแกคณะผูพิพากษาซึ่งประจําอยูในศาลหรือในจังหวัดนั้น ๆ ในอันที่จะเปนเจาภาพรวมกัน เลี้ยงรับรองทั้งยังเปนโอกาสอันดีที่บรรดาผูพิพากษาทั้งหลายจะไดสังสรรคและแสดงน้ําใจ เมตตาอารีตอกัน แตในปจจุบันคาครองชีพสูงขึ้นมาก การคมนาคมสะดวกขึ้น การเยี่ยมเยียนมีบอยขึ้น ผูพิพากษาซึ่งมีแตเงินเดือนเปนรายไดทางเดียวและตองรับภาระในเรื่องนี้ยอมเดือดรอน ดังนั้น การที่จะใหผูพิพากษารักษาประเพณีนี้ไวตอไป ยอมจะเพิ่มภาระทางการเงินใหแกผูพิพากษามากเกิน กวาที่จะรับกันไวได ยิ่งมีคณะผูพิพากษาและครอบครัวไปเยือนผูพิพากษาในสวนภูมิภาคหลายคณะ ในเวลาใกลเคียงกันก็ยิ่งเปนภาระมากขึ้น ทั้งการที่จะใหบุคคลภายนอกเปนเจาภาพจัดงานเลี้ยงรับรอง ก็หาเปนการสมควรไม เพราะจะเปนการสรางหนี้บุญคุณใหแกผูพิพากษาและยอมจะกระทบกระเทือน ตอความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนที่มีตอสถาบันตุลาการ และตอผูพิพากษาผูตองบําเพ็ญตน เปนกลาง โดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อบุคคลภายนอกผูเปนเจาภาพ หรือญาติมิตรของเขามีคดีความ ในศาลในวันขางหนา อยางไรก็ตามหากผูพิพากษาผูใดประสงคจะเลี้ยงรับรองผูพิพากษาซึ่ง เปนเพื่อนสนิท หรือญาติ หรือผูที่เคารพนับถือกันเปนพิเศษเปนการสวนตัวก็ยอมจัดทําไดตามอัธยาศัย (๗) พึงวางตนใหเปนที่เชื่อถือศรัทธาของบุคคลทั่วไป : คําเตือนผูพิพากษาของพระยาจินดาภิรมย เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ซึ่งไดพิมพ แจกแกผูพิพากษาที่จะออกไปรับราชการใหมใน พ.ศ. ๒๔๗๒ มีความตอนหนึ่งวา : “ควรรักษาตําแหนงนั้นใหสมแกฐานะ กลาวคือ ตองรักษาเกียรติยศของผูพิพากษาใหเปน ที่เคารพนับถือของประชาชนผูมาเปนความตลอดถึงชนผูอื่นทั่วไปดวย ทานตองอยูในคลองมารยาท ของผูพิพากษา ซึ่งมีหนาที่ตองตั้งตัวเปนกลาง ตัดสินความตามกฎหมายเพื่อใหความยุติธรรม แกคูความ ............................................................................................................................... ถัดจากนั้นความประพฤติเปนขอสําคัญ ทานตองระวังกิริยาและวาจาใหเปนไป โดยสุภาพ ตามธรรมดาผูที่มีตําแหนงผูพิพากษา ประชาชนยอมเคารพยําเกรงอยูแลว เมื่อประพฤติดีก็ยิ่งมีความนับถือมากขึ้น ตรงกันขาม เมื่อประพฤติไมดี ยอมไดรับความติฉินนินทา และขาดความเคารพยําเกรง อยาถือเสียวา เวลาทําราชการประพฤติอยางหนึ่ง เวลานอกราชการ ประพฤติอีกอยางหนึ่งได แมในเวลาราชการจะประพฤติดีสักปานใด ถานอกเวลาราชการ
กลับประพฤติชั่วแลว ก็ยอมเปนที่ติเตียนทําใหขาดความนับถือ ลบลางคุณความดีลงได จึงตองระวังถึงขอนี้ใหจงหนัก” บทบัญญัติ ขอ ๓๕/๑ ผูพิพากษาไมพึงรองเรียน กลาวหา ฟองรอง หรือดําเนินคดีแกบุคคล หนึ่งบุคคลใดโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ทั้งไมพึงใชสิทธิซึ่งมีแตจะใหเกิดความเสียหาย แกบุคคลอื่น การรองเรียน กลาวหา ฟองรอง หรือดําเนินคดีแกบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยอาศัย ประโยชนจากตําแหนงหนาที่ของตนจะกระทํามิได คําอธิบาย ในบางกรณี ผูพิพากษาใชสิทธิฟองรองโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ซึ่งวิญูชน ภายใตสภาวการณเชนนั้นมิไดถือปฏิบัติ หรือแมกระทั่งสามัญชนทั่วไปมิไดติดใจเอาความ บางครั้ง ใชสิทธิถึงขนาดประหนึ่งเปนการรังแกประชาชน โดยเฉพาะอยางยิ่ง แสดงตนเปนผูพิพากษา ตอขาราชการฝายอื่น การกระทําในลักษณะดังกลาว แมจะถือวาเปนการใชสิทธิตามกฎหมายก็ตาม แตโดยสถานะของความเปนผูพิพากษาซึ่งไดรับความเชื่อถือศรัทธาจากบุคคลทั่วไปแลว ยอมตอง ตระหนักอยูเสมอวาบุคคลทั่วไปตางคาดหวังใหผูพิพากษาเปนผูมีคุณธรรม จริยธรรม และ เมตตาธรรม ขณะเดียวกัน ก็พึงตระหนักวาตนนั้นอยูในสถานะทางสังคมที่ดีมีเกียรติศักดิ์ แหงความเปนผูพิพากษา ไมควรถือทิฐิกับเรื่องเล็กนอย ยิ่งหากไปแสดงตนเปนผูพิพากษาตอขาราชการ ฝายอื่น เพื่อใหเอาผิดกับคูกรณีดวยแลว อาจสงผลใหขาราชการเหลานั้นเกิดความเกรงใจ จนเสีย ความเปนธรรมแกอีกฝายได ดังนั้น ผูพิพากษาจึงพึงรูจักการใหอภัยกับเรื่องเล็กนอยเหลานี้ และพึงละเวนตอการใชสิทธิในทางคดีใดๆอันปราศจากเหตุผลอันสมควร ที่สําคัญจะตองไมอาศัย ประโยชนจากตําแหนงหนาที่ของตนฟองรองหรือดําเนินคดีแกบุคคลหนึ่งบุคคลใด เชน อางตําแหนง ผูพิพากษาเพื่อใหขาราชการฝายอื่นเกรงใจจําตองปฏิบัติตาม เปนตน หากวางตนไดดังนี้ บุคคลทั่วไป ยอมใหความเชื่อถือศรัทธาในความเปนผูพิพากษาและเชื่อมั่นวาศาลจะใหความเปนธรรมแกตน ไดในที่สุด บทบัญญัติ ขอ ๓๖ ผูพิพากษาพึงปรับปรุงตนเองใหดีขึ้นเปนลําดับและพึงขวนขวายศึกษา เพิ่มเติมทั้งในวิชาชีพตุลาการและความรูรอบตัว คําอธิบาย คําเตือนผูพิพากษาของพระยาจินดาภิรมย เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ซึ่งไดพิมพ แจกแกผูพิพากษาที่จะออกไปรับราชการใหมใน พ.ศ. ๒๔๗๒ ตอนหนึ่งมีความวา :
“การศึกษาเพิ่มเติมจะละเวนเสียมิได เพราะกฎหมายยอมออกใหมเสมอ และมี คดีพิพาทอยูทุกวัน ตองพยายามขวนขวายศึกษา และพิจารณาหาเหตุผลเปนเครื่องเจริญความรู เมื่อถึงคราวที่จะใช จะไดหยิบยกขึ้นใชไดทันใจ อยาคิดเสียวาเทาที่รูไปแลวจะพอ นอกจากกฎหมาย สารบัญญัติทั้งปวงใหสนใจศึกษากฎหมายแผนกกระบวนพิจารณาใหช่ําชองเปนพิเศษ เพราะกฎหมาย แผนกนี้เปนเครื่องมืออันตองใชประจําอยูเปนนิตย ผูพิพากษาที่ไมรูวิธีพิจารณาความแตกฉานนั้น เปรียบประดุจคนตาฟางตามืดดังที่กลาวไวในคัมภีรพระธรรมศาสตร ยอมยากที่จะพิจารณาพิพากษา คดีใหถูกตองและยุติธรรมได” บทบัญญัติ ขอ ๓๗ ผูพิพากษาจักตองไมกาวกายแทรกแซงหรือแสวงหาประโยชนโดยมิชอบ จากการปฏิบัติหนาที่ของผูพิพากษาอื่นหรือกระทําการใด ๆ อันเปนการกระทบกระเทือนตอการ ปฏิบัติหนาที่ของผูพิพากษาอื่นในการพิจารณาพิพากษาคดี คําอธิบาย (๑) จักตองไมกาวกาย : การที่ผูพิพากษาซึ่งเปนผูบังคับบัญชาแนะนําหรือตักเตือนผูพิพากษาผูอยูใตบังคับ บัญชา ซึ่งปฏิบัติงานดานพิจารณาพิพากษาอรรถคดีผิดพลาดหรือในทางที่ไมสมควร มิใชเปนเรื่อง กาวกายหรือกาวลวงเขาไปเปลี่ยนแปลงดุลพินิจของผูพิพากษาผูอยูใตบังคับบัญชาซึ่งเปน เจาของสํานวนคดีเรื่องนั้น การกาวกายนี้อาจจะมีไดหลายทางดวยกัน เชน การที่ผูพิพากษาซึ่งเปนผูบังคับบัญชา โดยตรง หรือผูพิพากษาอาวุโสขอใหผูอยูใตบังคับบัญชาหรือผูนอยตัดสินคดีตามที่ตนประสงค ไมวาจะรองขอโดยตรงหรือโดยปริยาย (๒) เพื่อเปนการปองกันมิใหผูพิพากษาซึ่งมีคดีความในศาลเขาไปกาวกายในคดีนั้น สํานักงานศาลยุติธรรมจึงไดมีหนังสือที่ ศย ๐๐๓/ว ๑๙๔ ลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ถึงหัวหนาหนวยงานในสังกัดสํานักงานศาลยุติธรรม มีใจความสําคัญวา เมื่อขาราชการตุลาการ เปนโจทก หรือผูเสียหายหรือจําเลยในคดีอาญา คดีแพง หรือคดีปกครอง ใหขาราชการตุลาการนั้น รายงานไปใหสํานักงานศาลยุติธรรมทราบอยางชาภายในกําหนด ๑๕ วัน นับแตวันฟองหรือทราบวา ถูกฟอง และถาเปนความในศาลเดียวกับที่ขาราชการตุลาการนั้นรับราชการอยู ก็ใหผูมีหนาที่รับผิดชอบ ในงานของศาลยุติธรรมนั้นรายงานไปใหสํานักงานศาลยุติธรรมทราบ และหากศาลนั้นอยูในเขตอํานาจ ของอธิบดีผูพิพากษาภาคใด ก็ใหรายงานใหอธิบดีผูพิพากษาภาคนั้นทราบอีกทางหนึ่งดวย ภายในกําหนด ๑๕ วัน โดยใหผูมีหนาที่รับผิดชอบในงานของศาลยุติธรรมพิจารณาสอดสอง ใหกระบวนพิจารณาเปนไปโดยเที่ยงธรรมเปนพิเศษ หามมิใหขาราชการตุลาการที่เปนโจทก ผูเสียหาย หรือจําเลยและองคคณะของผูพิพากษานั้น เขาไปเกี่ยวของกับคดีหรือกระทําการใด อันอาจทําใหเสียเกียรติศักดิ์แหงตําแหนงหนาที่ราชการ และเมื่อเสร็จสิ้นในชั้นศาลใดใหขาราชการ
ตุลาการที่เปนความและผูมีหนาที่รับผิดชอบในงานของศาลยุติธรรมรายงานผลคดีใหสํานักงาน ศาลยุติธรรมทราบในโอกาสแรก พรอมทั้งแนบสําเนาคําพิพากษาหรือคําสั่งไปดวย อนึ่ง ความใน (๒) ใหนํามาใชกับกรณีขาราชการตุลาการตกเปนผูตองหาในคดีอาญา โดยอนุโลม บทบัญญัติ ขอ ๓๘ ผูพิพากษาจักตองไมยินยอมใหบุคคลในครอบครัวกาวกายการปฏิบัติ หนาที่ของตน หรือของผูอื่น และจักตองไมยินยอมใหผูอื่นใชตําแหนงหนาที่ของตนแสวงหา ประโยชนอันมิชอบ คําอธิบาย เรื่องนี้เปนเรื่องสําคัญที่อาจทําใหเสื่อมเสียทั้งความยุติธรรมในคดีและความเชื่อถือ ศรัทธาในตัวผูพิพากษาของบุคคลทั่วไป ในฐานะที่ผูพิพากษาจักตองวางตนเปนกลางสมควร ที่ผูพิพากษาจะตองแยกเรื่องครอบครัวออกจากหนาที่การงานของตนโดยเด็ดขาด ดังเชน การที่บุคคล ในครอบครัวของผูพิพากษาเขาไปคลุกคลีอยูในศาล ซักถามหรือพาคูความหรือพยานไปแนะนํา ใหรูจักกับผูพิพากษาที่เกี่ยวของ ยอมเปนสิ่งที่ไมบังควรทั้งสิ้น และในขณะเดียวกันผูพิพากษายอม ตองระมัดระวังมิใหมีผูใดอางชื่อหรือตําแหนงหนาที่ของตนเพื่อแสวงหาประโยชนอันมิชอบ ไมวาจะเปน ในทางอรรถคดีหรือในทางอื่นใด บทบัญญัติ ขอ ๓๙ ผูพิพากษาพึงยึดมั่นในระบบคุณธรรม และจักตองไมแสวงหาตําแหนง ความดีความชอบ หรือประโยชนอื่นใดโดยมิชอบจากผูบังคับบัญชา หรือจากบุคคลอื่นใด บทบัญญัติ ขอ ๓๙/๑ ผูพิพากษาไมพึงขอรับเงินสนับสนุนหรือประโยชนอื่นใดจากหนวยงาน หรือบุคคลภายนอก ในประการที่อาจทําใหกระทบกระเทือนตอการปฏิบัติหนาที่ของศาลยุติธรรม เวนแตจะเปนการดําเนินการตามระเบียบ คําสั่ง หรือมติวาดวยการนั้น คําอธิบาย การขอหรือรับเงินสนับสนุนจากหนวยงานภายนอกนอกจากจะเปนเรื่องที่ ไมเหมาะสมแลว ยังจะตองระมัดระวังในเรื่องชื่อเสียงของฐานะและตําแหนงของผูพิพากษาดวย เพราะบางครั้งผูใหก็อาจจะใหดวยความเกรงใจ สุดทายจะนํามาสูความเสื่อมเสียแกสถาบัน
ศาลยุติธรรมมากกวาความดี ยิ่งกวานั้นก็จะกระทบกระเทือนความรูสึกของบุคลากรของหนวยงาน ที่สนับสนุนงบประมาณ เพราะหนวยงานตนสังกัดของตนตองมอบงบประมาณใหแกผูพิพากษา ทั้งที่งบประมาณเหลานั้นควรนําไปใชในหนวยงานที่สนับสนุนงบประมาณยิ่งกวา และหากหนวยงาน ที่สนับสนุนงบประมาณ มีคดีความมาสูศาลดวยแลวก็ยิ่งทําใหกระทบกระเทือนถึงความเชื่อมั่นศรัทธา ของบุคคลทั่วไป เพราะขาราชการตุลาการนอกจากตองยึดมั่นในความเปนอิสระแลวจะตอง แสดงใหเห็นเปนที่ประจักษแกสาธารณชนดวยวา ไดปฏิบัติเชนนั้นอยางเครงครัดดวย อนึ่ง สําหรับปญหาเรื่องการขอหรือรับเงินสนับสนุนจากหนวยงานภายนอกนั้น คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมเคยพิจารณาเห็นวา ศาลยุติธรรมไมสมควรขอรับเงินสนับสนุน งบประมาณจากหนวยงานภายนอก โดยเฉพาะการขอรับเงินสนับสนุนเพื่อไปศึกษาดูงาน ในกรณีที่มี ความจําเปนตองขอรับเงินสนับสนุนงบประมาณจากหนวยงานภายนอก เพื่อจัดทําโครงการที่เปน ประโยชนแกราชการศาลยุติธรรมซึ่งไมกระทบกระเทือนตอการปฏิบัติหนาที่ของศาลยุติธรรมและ ประมวลจริยธรรมของขาราชการตุลาการก็ใหเสนอโครงการตอสํานักงานศาลยุติธรรมพิจารณากอน บทบัญญัติ ขอ ๔๐ ผูพิพากษาจักตองระมัดระวังมิใหการประกอบวิชาชีพ อาชีพ หรือการงาน อื่นใดของคูสมรส ญาติสนิท หรือบุคคลซึ่งอยูในครัวเรือนของตนมีลักษณะเปนการกระทบกระเทือน ตอการปฏิบัติหนาที่หรือเกียรติศักดิ์ของผูพิพากษา โดยเฉพาะอยางยิ่งในดานความเชื่อถือศรัทธา ของบุคคลทั่วไปในการประสาทความยุติธรรมของผูพิพากษา คําอธิบาย (๑) การประกอบวิชาชีพ อาชีพ หรือการงานอื่นใดของคูสมรส...ที่มีลักษณะเปน การกระทบกระเทือนตอการปฏิบัติหนาที่ หรือเกียรติศักดิ์ของผูพิพากษา : วิชาชีพ อาชีพ หรือการงานอื่นใด ของคูสมรสจะกระทบกระเทือนตอการปฏิบัติ หนาที่หรือเกียรติศักดิ์ของผูพิพากษาบางนั้น เปนเรื่องที่วินิจฉัยกันเองไดโดยอาศัยสามัญสํานึก และความรูสึกนึกคิดของบุคคลทั่วไป ผูพิพากษาและคูสมรสเทานั้นที่ตระหนักในความตื้นลึกหนาบาง ดีวาวิชาชีพ หรืออาชีพ หรือการงานอื่นใดของคูสมรส จะกระทบกระเทือนตอการปฏิบัติหนาที่ และเกียรติศักดิ์ของผูพิพากษาดังกลาวหรือไม ถากระทบกระเทือนคูสมรสก็จําเปนตองเลิกประกอบ วิชาชีพ อาชีพหรือการงานนั้น ๆ (๒) ญาติสนิท : ตามจริยธรรมขอนี้หมายถึงผูบุพการี และผูสืบสันดานของ ผูพิพากษาและของคูสมรส (๓) บุคคลซึ่งอยูในครัวเรือนของตน : บุคคลซึ่งอยูในครัวเรือนของผูพิพากษานี้ อาจจะเปนญาติหรือมิใชญาติ แตเปน ผูมาอาศัยอยูรวมครัวเรือนเดียวกันก็ได การที่บุคคลดังกลาวจะกระทําอะไรที่ไมเหมาะสมในบาน ผูพิพากษา ก็ยอมจะกระทบกระเทือนตอการปฏิบัติหนาที่ของผูพิพากษาหรือสถาบันตุลาการได เชน บุตรหลานผูพิพากษาตั้งสํานักงานทนายความขึ้นในบานผูพิพากษา เปนตน
บทบัญญัติ ขอ ๔๑ ผูพิพากษาและคูสมรสจักตองไมรับทรัพยสินหรือประโยชนใด ๆ จากคูความหรือจากบุคคลอื่นใดอันเกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหนาที่ของผูพิพากษา และจักตองดูแล ใหบุคคลในครอบครัวปฏิบัติเชนเดียวกันดวย บทบัญญัติ ขอ ๔๒ ผูพิพากษาและคูสมรสจักตองไมรับของขวัญของกํานัล หรือประโยชนอื่น ใดอันมีมูลคาเกินกวาที่พึงใหกันตามอัธยาศัยและประเพณีในสังคม และจักตองดูแลใหบุคคลใน ครอบครัวปฏิบัติเชนเดียวกันดวย บทบัญญัติ ขอ ๔๓ ผูพิพากษาจักตองละเวนการคบหาสมาคมกับคูความ หรือบุคคลอื่น ซึ่งมี สวนไดเสีย หรือผลประโยชนเกี่ยวของกับคดีความ หรือบุคคลซึ่งมีความประพฤติ หรือมีชื่อเสียง ในทางเสื่อมเสีย อันอาจจะกระทบกระเทือนตอความเชื่อถือศรัทธาของบุคคลทั่วไปในการประสาท ความยุติธรรมของผูพิพากษา หมวด ๖ จริยธรรมของผูชวยผูพิพากษา ดะโตะยุติธรรม และผูพิพากษาสมทบ บทบัญญัติ ขอ ๔๔ ใหนําประมวลจริยธรรมขาราชการตุลาการนี้ มาใชบังคับแกผูชวยผูพิพากษา ดะโตะยุติธรรม และผูพิพากษาสมทบดวยโดยอนุโลม คําอธิบาย (๑) ตามพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการฝายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๖(๑) ผูชวยผูพิพากษามีฐานะเปนขาราชการตุลาการเชนเดียวกับผูพิพากษา สวนดะโตะยุติธรรมนั้น แมจะมิไดเปนขาราชการตุลาการ แตตามพระราชบัญญัติระเบียบ ขาราชการฝายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๖(๒) ก็ไดบัญญัติใหมีอํานาจหนาที่ เชนเดียวกับผูพิพากษาคือเปนผูมีอํานาจหนาที่ในการวินิจฉัยชี้ขาดขอกฎหมายอิสลาม สําหรับ ผูพิพากษาสมทบนั้น ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดี เยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๒๔ ศาลเยาวชนและครอบครัวตองมีผูพิพากษา ไมนอยกวาสองคนและผูพิพากษาสมทบอีกสองคน ซึ่งอยางนอยตองเปนสตรีหนึ่งคนจึงจะเปน องคคณะพิจารณาคดี สวนการพิพากษาคดีนั้นใหเปนไปตามเสียงขางมาก สําหรับศาลแรงงาน
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๗ กําหนดวา ศาลแรงงานตองมีผูพิพากษา ผูพิพากษาสมทบฝายนายจาง และผูพิพากษาสมทบฝายลูกจาง ฝายละเทา ๆ กัน จึงจะเปนองคคณะพิจารณาพิพากษาคดี สวนศาลทรัพยสินทางปญญาและการคา ระหวางประเทศกลาง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพยสินทางปญญาและการคาระหวางประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๑๙ กําหนดวาศาลทรัพยสินทางปญญาและการคาระหวางประเทศตองมีผูพิพากษา ไมนอยกวาสองคนและผูพิพากษาสมทบอีกหนึ่งคน จึงจะเปนองคคณะพิจารณาพิพากษาคดีได สวนการทําคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลจะตองบังคับตามเสียงขางมาก ในการเปนองคคณะพิจารณา พิพากษาคดี ผูพิพากษาสมทบจะตองรวมในการดําเนินกระบวนพิจารณาอยางเต็มที่ เชน การประนีประนอมยอมความในศาลแรงงานผูพิพากษาสมทบมีบทบาทอยางมากในการชวยผูพิพากษา ไกลเกลี่ยคดีเพื่อใหคูความตกลงกันและสามารถกลับไปรวมทํางานกันดวยดีตอไป อันเปนความมุงหมาย ของการจัดตั้งศาลแรงงาน การที่ผูชวยผูพิพากษา ดะโตะยุติธรรม และผูพิพากษาสมทบจะสามารถ ปฏิบัติหนาที่ของตนใหดีไดจะตองมีจริยธรรมเชนเดียวกับผูพิพากษา ทั้งนี้เพื่อใหคูความและบุคคลทั่วไป มีความเชื่อถือศรัทธาไววางใจในการประสาทความยุติธรรมของศาลทั้งในฐานะที่เปนสถาบันและ ตัวบุคคลดวย หากผูชวยผูพิพากษา ดะโตะยุติธรรม และผูพิพากษาสมทบมิไดดํารงตนใหอยูในกรอบ แหงจริยธรรมขาราชการตุลาการแลว ยอมไมสามารถปฏิบัติหนาที่ใหสมบูรณสมตามความมุงหมาย ของกฎหมายได (๒) โดยที่ผูชวยผูพิพากษา ดะโตะยุติธรรมและผูพิพากษาสมทบ มิไดมีฐานะอํานาจ และหนาที่เชนเดียวกับผูพิพากษาทุกประการ เชน ผูชวยผูพิพากษาไมมีอํานาจและหนาที่พิจารณา พิพากษาคดีโดยลําพังตนเอง ดะโตะยุติธรรมมีอํานาจและหนาที่ในการวินิจฉัยชี้ขาดเฉพาะ ขอกฎหมายอิสลามที่อยูในอํานาจของศาลบางศาลเทานั้น และผูพิพากษาสมทบมิไดเปนขาราชการ ประจําในศาลยุติธรรมเชนเดียวกับผูพิพากษา ประมวลจริยธรรมขาราชการตุลาการนี้จึงนํามาใช บังคับแกผูชวยผูพิพากษา ดะโตะยุติธรรม และผูพิพากษาสมทบเทาที่จะพึงใชบังคับไดตัวอยางเชน กิจการใดที่ผูพิพากษาสมทบไดกระทําอยูกอนเขามาเปนผูพิพากษาสมทบก็ยอมดําเนินกิจการ ดังกลาวตอไปได เชน สามารถเปนกรรมการผูจัดการ ที่ปรึกษา หรือดํารงตําแหนงอื่นใด ในหางหุนสวน บริษัท หางราน หรือธุรกิจของเอกชนซึ่งแสวงหากําไรแตมิไดมีลักษณะขัด หรือแยงตอการปฏิบัติหนาที่ผูพิพากษาสมทบ หรือเปนกรรมการ สมาชิก หรือเจาหนาที่ ของสมาคม สโมสร ชมรม หรือองคการใด ๆ ที่กระทบกระเทือนตอการปฏิบัติหนาที่ ผูพิพากษาสมทบได อยางไรก็ตามในการปฏิบัติหนาที่ของผูพิพากษาสมทบ ผูพิพากษาสมทบ ยอมตองยึดถืออุดมการณเชนเดียวกับผูพิพากษา เชน จักตองปฏิบัติหนาที่ดวยความซื่อสัตยสุจริต เที่ยงธรรม และปราศจากอคติในการรวมนั่งพิจารณาคดี ตองสํารวมตนใหเหมาะสมกับตําแหนง หนาที่และวางตนเปนกลางในการปรึกษาคดีกับผูพิพากษา ผูพิพากษาสมทบตองใหขอคิดเห็น และเหตุผลประกอบ ตองเคารพและรับฟงความคิดเห็นของกันและกัน โดยละวางเสียซึ่งอคติทั้งปวง หากมีเหตุที่พึงถอนตัวจากการนั่งพิจารณาคดีเรื่องใดก็ตองแจงใหผูพิพากษาทราบ และตองรักษา ความลับของทางราชการ เปนตน
ศาลแรงงานภาค 8 25 ถนนด ารง ต.ตลาดใหญ่อ.เมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต โทรศัพท์076-220719 โทรสาร. 076-355552 ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ [email protected]