โครงการทำเค้กกล้วย
หอมเพื่อต่อยอดการ
สร้างรายได้
สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
รายงานฉบับสมบูรณ์
โครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่ อต่อยอดการสร้างรายได้
ประจำปีการศึกษา 2564
ของ
นันทพร ดอกแย้ม 6216209001198
วิสิฐศักดิ์ สร้อยหอม 6216209001223
กลุ่มเรียน 62038.165 (เพิ่ม) รปศ.
สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
ก
คำนำ
โครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้างรายได้จัดทำขึ้นโดยมี
วัตถุประสงค์1. เพื่อสร้างเสริมการสร้างรายได้เสริม 2. เพื่อพัฒนาสามารถที่
มีอยู่เพื่อนำไปประกอบอาชีพ 3. เพื่อให้สมาชิกสามารถทำเค้กกล้วยหอมเป็น
โดยดำเนิ นโครงการอย่างเป็นระบบ นั บตั้งแต่การศึกษาสภาพปัจจุบัน
ปัญหาและความต้องการ การกำหนดจุดพัฒนา การวางแผน การปฏิบัติงาน
ตามแผน การนิ เทศติดตามผล และประเมินโครงการ เพื่อนำผลการประเมิน
โครงการไปใช้ในการพัฒนางานอย่างต่อเนื่ อง และเป็นระบบผลการดำเนิ น
งานช่วยให้นั กศึกษาได้พัฒนาการใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ให้เกิด
ประโยชน์ และการจัดทำขึ้นเพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับตนเองระหว่าง
เรียนและต่อยอดไปเป็นอาชีพหลักได้อีกทั้งยังต่อยอดการทำจนมได้อีก
หลาย ๆ ทาง ส่งผลให้นั กศึกษามีคุณภาพตามจุดหมายของหลักสูตร
ขอขอบคุณอาจารย์อยับ ซาดัตคาด ที่ให้คำปรึกษา คำแนะนำ และให้
ความร่วมมือในการดำเนิ นโครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้าง
รายได้และประเมินโครงการทำเค้กกล้วยหอม เพื่อต่อยอดการสร้างรายได้
ทำให้การดำเนิ นงานบรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนด ซึ่งประประโยชน์ ที่ ได้
รับคือ การช่วยในการพัฒนาฝีมือในการขนมและการสร้างรายได้ในระหว่าง
เรียน และการมีความรับผิดชอบต่อหน้ าที่ของตนเอง อีกทั้งยังสามารถนำ
ความรู้ความสามารถที่มีอยู่อยู่ไปต่อยอดเพื่อการทำเป็นหลักได้และผู้
เกี่ยวข้อง สำหรับใช้ในการพัฒนางานให้มีความก้าวหน้ าต่อไป
คณะผู้จัดทำ
ข
สารบัญ หน้ า
ก
เรื่อง ข
คำนำ ง
สารบัญ จ
สารบัญภาพ ฉ
สารบัญตาราง 1
บทคัดย่อ 1
บทที่ 1 บทนำ 1
1
ความเป็นมาของโครงการ 2
วัตถุประสงค์โครงการ 3
เป้าหมายของโครงการ 3
งบประมาณ 4
ปัจจัยในการดำเนิ นโครงการ 5
กิจกรรมในการดำเนิ นโครงการ 5
ระยะเวลาดำเนิ นงานตามโครงการ 5
ขอบเขตดำเนิ นเดินงานโครงการ 6
นิ ยามศัพท์ 7
ประโยชน์ ที่คาดว่าจะได้รับ 7
ขั้นตอน/วิธีการดำเนิ นงาน (ตามกระบวนการ PDCA) 12
บทที่ 2 รายละเอียดของโครงการ และวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
หลักการแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการดำเนิ นโครงการ 25
แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลโครงการ 26
กรอบแนวคิดของการประเมินผลโครงการ 26
บทที่ 3 วิธีการประเมินโครงการ 27
รูปแบบการประเมินโครงการ 27
วิธีการการประเมินโครงการ 27
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 27
เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินโครงการ 28
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การวิเคราะห์ผลการประเมินโครงการ
สารบัญ (ต่อ) ค
หน้ า
เรื่อง 30
บทที่ 4 ผลการประเมินโครงการ 31
33
ผลการประเมินด้านสภาวะแวดล้อม 35
ผลการประเมินด้านปัจจัย 37
ผลการประเมินด้านกระบวนการ 40
ผลการประเมินด้านผลผลิต 40
บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 41
สรุปผลการประเมินโครงการ 42
อภิปรายผล 43
ข้อเสนอแนะ 44
บรรณานุกรม 49
ภาคผนวก ก เครื่องมือการประเมิน
ภาคผนวก ข รูปภาพโครงการ
ง
สารบัญภาพ หน้ า
14
16
เรื่อง
ภาพที่ 2.1 รูปแบบการประเมินแบบซิป (CIPP MODEL) 18
ภาพที่ 2.2 ตัวแบบแสดงกระบวนการบริหารจัดการองค์กรในภาพ 20
รวมตามแนวคิดทฤษฎีระบบ 25
ภาพที่ 2.3 โมเดลการประเมินของไทเลอร์ 26
ภาพที่ 2.4 โมเดลเคาน์ ทิแนนซ์
ภาพที่ 2.5 กรอบแนวคิดการประเมินผลของโครงการ
ภาพที่ 3.1 รูปแบบการประเมินโครงการแบบ CIPP MODEL
ของสตัฟเฟลบีม
จ
สารบัญตาราง หน้ า
2
4
เรื่อง 6
ตารางที่ 1.1 งบประมาณในการจัดทำโครงการ
ตารางที่ 1.2 ระยะเวลาดำเนิ นงานตามโครงการ 30
ตารางที่ 1.3 ขั้นตอน/วิธีการดำเนิ นงาน (ตามกระบวนการ PDCA)
ตารางที่ 4.1 จำนวนผู้ให้สัมภาษณ์และประเภทของผู้ให้สัมภาษณ์ 31
ข้อมูล
ตารางที่ 4.2 วัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการมีความสอด 31
คล้องกับตัวสินค้ามากน้ อยเพียงใด
ตารางที่ 4.3 ระยะเวลาในการผลิตสินค้ามีความเหมาะสมกับ 32
เป้าหมายของโครงการหรือไม่ อย่างไร
ตารางที่ 4.4 มีการจัดบรรยากาศในการขายสินค้ามีความเหมาะสม 33
มากน้ อยเพียงใด
ตารางที่ 4.5 ในการผลิตสินค้าใช้งบประมาณเหมาะสมกับการ 33
ดำเนิ นงานหรือไม่ อย่างไร
ตารางที่ 4.6 วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิต 34
สินค้ามีความเหมาะสมมากน้ อยเพียงใด
ตารางที่ 4.7 สถานที่ในการดำเนิ นโครงการมีความเหมาะสมหรือไม่ 35
อย่างไร
ตารางที่ 4.8 การจัดทำโครงการสามารถวัดความรู้ความสามารถ 35
มากน้ อยเพียงใด
ตารางที่ 4.9 กิจกรรมของโครงการมีความเหมาะสมกับการผลิต 36
สินค้ามากน้ อยเพียงใด
ตารางที่ 4.10 การผลิตสินค้าและการขายสินค้าสามารถนำ 37
ความรู้มาปฏิบัติได้มากน้ อยเพียงใด
ตารางที่ 4.11 สามารถนำความรู้จากการปฏิบัติไปใช้ในชีวิตประจำวัน 37
ได้หรือไม่ อย่างไร
ตารางที่ 4.12 ผู้ประเมินคิดว่าทางผู้จัดสามารถนำความรู้จากการทำ 38
โครงการไปต่อยอดเพื่อประกอบ อาชีพได้มากน้ อยเพียงใด
ตารางที่ 4.13 จากการเข้าร่วมโครงการ ผู้เข้าร่วมสามารถนำความรู้ 39
มาปรับใช้อย่างไรได้บ้าง
ตารางที่ 4.14 ปัญหาหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกันบการดำเนิ นโครงการ
ฉ
บทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง การประเมินโครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้างรายได้
ผู้รับผิดชอบ นั นทพร ดอกแย้ม วิสิฐศักดิ์ สร้อยหอม
ระยะเวลาการประเมินโครงการ
วันที่ 1 เดือนกันยายน พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 10 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2564
วัตถุประสงค์โครงการ
1. เพื่อสร้างเสริมการสร้างรายได้เสริม
2. เพื่อพัฒนาสามารถที่มีอยู่เพื่อนำไปประกอบอาชีพ
3. เพื่อให้สมาชิกสามารถทำเค้กกล้วยหอมเป็น
วิธีดำเนิ นโครงการ
การประเมินโครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้างรายได้
ดำเนิ นในระหว่าง วันที่ 1 เดือนกันยายน พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 10 เดือน
ตุลาคม พ.ศ. 2564 โดยใช้ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้า จำนวน 3
คน และผู้รับชอบโครงการ จำนวน 2 คน เครื่องมือที่ใช้ประเมินโครงการ
คือ ใช้รูปแบบการประเมินโครงการแบบ CIPP MODEL
ผลการประเมินโครงการ
ผลการประเมินโครงการในแต่ละด้านดังนี้
1. ประเมินจากยอดขายสินค้า
2. ประเมินความพึงพอใจของลูกค้า
1
บทที่ 1
บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของโครงการ
เค้กเป็นขนมที่มีกระบวนการทำให้สุกโดยการอบเป็นขนมที่นิ ยมบริโภคกัน
ทุกกลุ่มชนเค้กมี หลาย ประเภทและมีคุณสมบัติต่าง ๆ กันซึ่งขึ้นอยู่กับองค์
ประกอบของส่วนผสม คือ แป้งสาลีหรือแป้ง เค้ก ผงฟู เกลือ ไขมัน น้ำตาล ไข่ นม
และกลิ่นรสโดยต้องมีองค์ประกอบเป็นตัวเค้กให้มีความสมดุล ต่างกันไปแล้วแต่
ชนิ ดของเค้กที่จะทำ เค้กกล้วยหอม จัดเป็นอาหารสำเร็จรูปที่สะดวกสบายทั้งใน
การ หาซื้อและการพกพา เค้กกล้วยหอมสามารถทำเองได้ง่าย ๆ เพราะมีส่วนผสม
ไม่มากนั กหาซื้อได้ตาม ท้องตลาดทั่วไปส่วนวิธีการทำนั้ นไม่ยากเลยไม่ต้องใช้
อุปกรณ์อะไรมากก็สามารถทำขนมเค้กกล้วย หอมทานเองได้ง่าย ๆ เค้กกล้วยหอม
เมนูเค้กยอดนิ ยม เป็นที่ชื่นชอบของหลายท่าน เนื้ อเค้กนุ่ ม ๆ รสชาติหวานหอม
อร่อย สีสวยงาม กล้วยหอมเป็นผลไม้ ที่มีประโยชน์ ต่อร่างกายหลายอย่าง (ระบบ
ฐานข้อมูลสารสนเทศ คณะเทคโนโลยีการเกษตรและอาหาร มหาวิทยาลัยราชภัฏ
พิบูลสงคราม)
การทำเค้กกล้วยหอม จึงเป็นทางเลือกที่จะช่วยให้มีแนวทางในการเลือก
เป็นอาชีพเสริมใน การทำเป็นอาชีพเพิ่มรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว และ
ทำให้เราสามารถพึ่งพาตนเองได้ อีกทั้งยัง เป็นการใช้ความรู้ที่เรามีอยู่ใช้ให้เกิด
ประโยขน์ และสามารถพัฒนาความรู้เพิ่มขึ้นอีกด้วย ประชาชนใน พื้นที่ได้บริโภค
ขนมที่ได้ทำใหม่ สดแบบวันต่อวัน และไม่นำของที่ไม่สดใหม่มาจำหน่ าย
การทำเค้กกล้วยหอมนั้ นเป็นทำสิ่งที่ทำเป็นอยู่แล้วพัฒนาและต่อยอดเพื่อ
การทำเป็นอาชีพ เพราะขนมก็เป็นสิ่งหนึ่ งที่คนไทยเรานิ ยมกันจำนวนมาก ไม่ว่าจะ
เป็นเทศกาลไหนก็จะนิ ยมใช้ขนมเป็น ส่วนประกอบของงานกันอยู่แล้ว ดังนั้ น
เป็นการทำขึ้นเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ตนเอง และยังสามารถทำ ให้คนอื่นมีความสุข
กับการได้รับประทานขนมที่เราทำ และเราก็มีความสุขไปกับมันอีกด้วย
วัตถุประสงค์ของการประเมินโครงการ
1. เพื่อสร้างเสริมการสร้างรายได้เสริม
2. เพื่อพัฒนาสามารถที่มีอยู่เพื่อนำไปประกอบอาชีพ
3. เพื่อให้สมาชิกสามารถทำเค้กกล้วยหอมเป็น
เป้าหมายของโครงการ
ด้านปริมาณ
เพื่อให้ได้เค้กกล้วยหอมจากการลงมือทำ จำนวน 100 – 120 ชิ้น ภายใน 1
วัน
เพื่อจัดจำหน่ ายเค้กกล้วยหอมให้กับลูกค้า จำนวน 100 ชิ้น ภายใน 1 วัน
2
ด้านคุณภาพ
เมื่อสิ้นสุดโครงการ สมาชิกในกลุ่มมีความเข้าใจวิธีการทำได้ร้อยละ 80 ใน
การทำเค้กกล้วย หอม และสามารถทำเค้กกล้วยหอมได้
งบประมาณ
งบประมาณทางผู้ดำเนิ นโครงการรับผิดชอบเอง เป็นเงินจำนวน 700 บาท
โดยในการดำเนิ น โครงการครั้งนี้ จะมีวัสดุอุปกรณ์บางส่วนอยู่แล้ว และสามารถ
แจกแจงการใช้จ่ายในการงบประมาณได้ ดังนี้
ตารางที่ 1.1 งบประมาณในการจัดทำโครงการ
3
ปัจจัยในการดำเนิ นโครงการ
วัสดุอุปกรณ์
1. แป้งสาลีอเนกประสงค์หรือแป้งเค้ก 11. หม้อซึ้ง
2. กล้วยหอมสุก 12. กะละมัง
3. ผงฟู, เบกกิ้งโซดา 13. เครื่องตีแป้ง
4. เนยจืด 14. พิมพ์สำหรับนึ่ งขนม
5. นมสดรสจืด 15. ถ้วยจีบ
6. ไข่ไก่ 16. ตะแกรงร่อนแป้ง
7. กลิ่นวนิ ลา 17. ถุงสำหรับบรรจุขนม
8. น้ำตาลทราย 18. สติ๊กเกอร์ตกแต่ง
9. ช้อนตวง, ถ้วยตวง 19. ถาด,ช้อนตักแป้ง,พายคนแป้ง
10. เตาแก๊ส 20. แม็กสำหรับเย็บถุงขนม
เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องอำนวยความสะดวก
เครื่องมือเครื่องใช้ที่อำนวยความสะดวกได้แก่ เตาแก๊ส เครื่องตีแป้ง
บุคคลที่ร่วมดำเนิ นโครงการ
นางสาวนั นทพร ดอกแย้ม , นายวิสิฐศักดิ์ สร้อยหอม
เอกสาร แหล่งเรียนรู้ สถานที่ประกอบการ
สมาชิกได้มีการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจกากอินเทอร์เน็ ต เพื่อที่จะศึกษาวิธีทำ
เค้กกล้วยหอม
อาคารสถานที่
บ้านของสมาชิกการทำโครงการ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัด
สุราษฎร์ธานี
กิจกรรมในการดำเนิ นงานโครงการ
โครงการ ทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้างรายได้
รายละเอียดกิจกรรมการดำเนิ นโครงการ
1. กิจกรรม ทำเค้กกล้วยหอม
1.1 วัตถุประสงค์
1.1.1 เพื่อสร้างเสริมการสร้างรายได้เสริม
1.1.2 เพื่อพัฒนาสามารถที่มีอยู่เพื่อนำไปประกอบอาชีพ
1.1.3 เพื่อให้สมาชิกสามารถทำเค้กกล้วยหอมเป็น
4
1.2 การดำเนิ นโครงการ
1.2.1 เริ่มศึกษาการทำเค้กกล้วยหอมจากคนที่รู้วิธีการทำ หรือศึกษา
ข้อมูลจาก อินเทอร์เน็ ตเพิ่มเติม
1.2.2 จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์และส่วนผสม สำหรับการทำเค้กกล้วย
หอม
1.2.3 สมาชิกร่วมกันลงมือทำเค้กกล้วยหอม
1.2.4 บรรจุเค้กกล้วยหอมลงบรรจุภัณฑ์ เพื่อจัดจำหน่ าย
1.3 เครื่องมือในการประเมินผล
1.3.1 ใช้การประเมินเป็นแบบสัมภาษณ์เชิงคุณภาพ รูปแบบการ
ประเมินโครงการ แบบ CIPP MODEL ของสตัฟเฟลบีม
1.4 ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.4.1 สมาชิกในการทำโครงการนี้ สามารถหารายได้เสริมจากาการทำ
เค้กกล้วยหอม จำหน่ าย มีความรู้จากการเรียนรู้วิธีการทำ และยังสามารถนำไป
พัฒนาเป็นอาชีพเพื่อสร้างรายได้ ให้กับตนเอง
1.4.2 สามารถนำความรู้และวิธีการทำเค้กกล้วยหอมไปใช้ให้เกิด
ประโยชน์ และยัง สามารถนำความรู้ที่มีอยู่ไปเผยแพร่ต่อคนในครอบครัวได้
ระยะเวลาดำเนิ นงานตามโครงการ
ระหว่างวันที่ 1 เดือนกันยายน พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 10 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2564
โดยมีปฏิทิน ปฏิบัติงานตามโครงการดังนี้
ตารางที่ 1.2 ระยะเวลาดำเนิ นงานตามโครงการ
5
ขอบเขตของโครงการ
สถานที่ดำเนิ นการ
ดำเนิ นการทำเค้กกล้วยหอมที่บ้านของสมาชิกการทำโครงการ ตำบลตลาด
อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ระยะเวลาการประเมินโครงการ
วันที่ 1 เดือนกันยายน พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 10 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2564
นิยามศั พท์
ขนมเค้ก หมายถึง เป็นขนมชนิ ดหนึ่ งที่มีรสหวานทและมีกระบวนการทำให้
สุกโดยการอบ เป็นขนมที่นิ ยมบริโภคกันทุกกลุ่มชนเค้กมีหลาย ประเภทและมี
คุณสมบัติต่าง ๆ กันซึ่งขึ้นอยู่กับ องค์ประกอบของส่วนผสม
กล้วยหอม หมายถึง เป็นพันธุ์กล้วยชนิ ดหนึ่ ง เป็นผลไม้ล้มลุก มีหลายสาย
พันธุ์ มีลำต้นเดี่ยว ตั้งตรง ลำต้นมีลักษณะกลม ๆ มีสีน้ำตาลปนเขียว ใบเป็นใบ
เดี่ยว ใบแบบขนาน มีลักษณะแบนยาว ใหญ่ มีสีเขียวแก่ มีดอกจะออกเป็นช่อ มี
เครือยาวจะมีหัวปลีที่ปลายยอด บนเครือมีหวีจะมีผลเรียงอยู่ ในหวีคล้ายพัด ผล
อ่อนเปลือกมีสีเขียว ผลสุกเปลือกมีสีเหลือง มีรสชาติหวานหอม
(www.thaithaifood.com)
การประกอบอาชีพ หมายถึง การทำกิจกรรม การทำงาน การประกอบการ
ที่ไม่เป็นโทษแก่ สังคม และมีรายได้ตอบแทน โดยอาศัยแรงงาน ความรู้ ทักษะ
อุปกรณ์ เครื่องมือ วิธีการ แตกต่างกัน ไป กลุ่มอาชีพตามลักษณะการประกอบ
อาชีพ มี 2 ลักษณะ คือ อาชีพอิสระ และอาชีพรับจ้าง
ประโยชน์ ที่คาดว่าจะได้รับ
1. สมาชิกในการทำโครงการนี้ สามารถหารายได้เสริมจากากรทำเค้กกล้วย
หอมจำหน่ าย มี ความรู้จากการเรียนรู้วิธีการทำ และยังสามารถนำไปพัฒนาเป็น
อาชีพเพื่อสร้างรายได้ให้กับตนเอง
2. สามารถนำความรู้และวิธีการทำเค้กกล้วยหอมไปใช้ให้เกิดประโยชน์
และยังสามารถนำ ความรู้ที่มีอยู่ไปเผยแพร่ต่อคนในครอบครัวได้
6
ขั้นตอน/วิธีการดำเนินงาน (ตามกระบวนการ PDCA)
ตารางที่ 1.3 ขั้นตอน/วิธีการดำเนิ นงาน (ตามกระบวนการ PDCA)
7
บทที่ 2
เอกสารและแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
โครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้างรายได้ได้มีการศึ กษาค้นคว้า
ข้อมูล รายละเอียดประเด็นต่าง ๆ ตามข้อหัวข้อต่อไปนี้
1. หลักการแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการดำเนิ นโครงการ
2. แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการประเมินผลโครงการ
3. กรอบแนวคิดการประเมินผลของโครงการ
หลักการแนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวกับการดำเนินโครงการ
ทฤษฎีการเลือกอาชีพของโร (Roe, s Theory of Vocational Choice) โร ได้
พัฒนาทฤษฎี การเลือกอาชีพจากผลงานวิจัยเกี่ยวกับการวิเคราะห์ความแตกต่าง
ในด้านบุคลิกภาพ สติปัญญา ความ ถนั ด ประสบการณ์ในวัยเด็ก ซึ่งมีความเกี่ยว
พันกับการเลือกอาชีพของบุคคล โรได้เสนอแนวคิดไว้ 2 ประการ คือ
1. บุคคลจะเลือกอาชีพให้เหมาะสมกับบุคลิกภาพและสนองความต้องการ
ของตน
2. ประสบการณ์ในวัยเด็กที่ได้รับจากการอบรมเลี้ยงดูมีอิทธิพลต่อการเลือก
อาชีพ
ทฤษฎีนี้ ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีการจูงใจโดยมีแนวความคิดว่าความ
ต้องการของบุคคลจะทำ ให้เกิดแรงผลักดันในการกระทำต่าง ๆ ทฤษฎีนี้ มีความ
เชื่อว่าเลือกอาชีพเพื่อสนองความต้องการต่าง ๆ ของตน เช่น ความต้องการเป็นที่
ยอมรับนั บถือ ความต้องการตำแหน่ งความมั่นคง ความต้องการ ทางเศรษฐกิจ
ตลอดจนความต้องการอิสรภาพ โรเห็นว่าทุกคนในสังคมอยู่ภายใต้อิทธิพลของ
ความ ต้องการ ซึ่งบุคคลพยายามหาทางตอบสนองความต้องการของตน อาชีพใน
ทัศนะของโรนั้ นไม่ได้ หมายถึงเพียงแต่กิจกรรมที่บุคคลทำเพื่อหาเลี้ยงชีพเท่านั้ น
แต่หมายถึงวิถีชีวิต หรือกิจกรรมที่บุคคล กระทำเกือบตลอดชีวิต เพื่อให้ความ
ต้องการได้รับการตองสนองวิถีชีวิต หรือรูปแบบของการดำเนิ น ชีวิตเพื่อให้ตอบ
สนองความต้องการในระดับต่าง ๆ จนเป็นอุปนิ สัยในการเลือกอาชีพของบุคล
ทฤษฎีการเลือกอาชีพของฮอลแลนด์ ความคิดพื้นฐานในการสร้างทฤษฎี
การเลือกอาชีพ จอห์น แอล ฮอลแลนด์ (John L. Holland) เป็นผู้สร้าง "แบบ
สำรวจความพอใจในอาชีพ" (The Vocational Preference Inventory) ได้สร้าง
ทฤษฎีการเลือกอาชีพ ขึ้นโดยมีความคิดพื้นฐาน 4 ประการ (Holland. 1973: 2-4)
ดังนี้
1. บุคลิกภาพของบุคคลทั่วไปแบ่งได้เป็น 6 ลักษณะตามความสนใจอาชีพ
ประเภทต่าง ๆ ต่อไปนี้ คืองานช่างฝีมือและกลางแจ้ง งานวิทยาศาสตร์และเทคนิ ค
งานบริการการศึ กษาและสั งคม
8
งานสำนั กงานและเสมียน งานจัดการและค้าขาย งานศิลปะดนตรีและวรรณกรรม
บุคลิกภาพแต่ละ ลักษณะเป็นผลจากการปะทะสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมต่าง ๆ
กับแรงผลักดันส่วนบุคคลซึ่ง ประกอบด้วยศักดิ์ตระกูล บิดามารดา ระดับชั้นทาง
สังคม และสิ่งแวดล้อมทางกายภาพประสบการณ์ เหล่านี้ จะก่อให้เกิดความรู้สึก
ชอบหรือไม่ชอบ และความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบนี้ จะกลายเป็นความ สนใจและจาก
ความสนใจจะนำไปสู่ความสามารถเฉพาะ ท้ายที่สุดความสนใจและความสามารถ
เฉพาะจะกา หนดให้บุคลิกคิด รับรู้ และแสดงเอกลักษณ์ของตน
2. สิ่งแวดล้อมของบุคคลก็แบ่งได้เป็น 6 อย่างตามความสนใจอาชีพประเภท
ต่าง ๆ ข้างต้น เช่นเดียว นั กสิ่งแวดล้อมแต่ละอย่างนี้ ถูกครอบงา โดยบุคลิกภาพ
และเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงปัญหา และความกดดันบางประการและโดยเหตุที่
บุคลิกภาพต่างกันมำให้ความสนใจและความถนั ดต่างกัน ด้วย บุคคลจึงมีแนวโน้ ม
จะหันเข้าหาบุคคลหรือสิ่งต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับบุคลิกภาพของตน ดังนั้ น บุคคล
ในกลุ่มเดียวกันมักจะมีอะไร ๆ คล้าย ๆ กัน
3. บุคคลจะค้นหาสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้เขาได้ฝึกทักษะและใช้ความ
สามารถของ เขา เขาทั้งยังเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงทัศนคติค่านิ ยม และบทบาท
ของเขา
4. พฤติกรรมของบุคคลถูกกำหนดโดยบุคลิกภาพและสิ่งแวดล้อมด้วยเหตุ
นี้ เมื่อเราทราบ บุคลิกภาพและสิ่งแวดล้อมบุคคลก็จะทำให้เราทราบถึง ผลที่จะ
ติดตามมาด้วยซึ่งได้แก่เลือกอาชีพ การเปลี่ยนงาน ความสำเร็จในอาชีพ ความ
สามารถเฉพาะ พฤติกรรมทางการศึกษาและสังคม
ทฤษฎีความต้องการทางอาชีพของฮอพพอค (Hoppock’s composite
theory) แบ่ง ออกเป็นส่วนย่อย ๆ ดังนี้
1. คนเราเลือกอาชีพเพื่อสนองความต้องการเป็นความต้องการ ทั้งทาง
ร่างกายและจิตใจ ความต้องการที่หลากหลายของมนุษย์เป็นตัวกำหนดให้เขาเลือก
อาชีพที่จะ สนองความต้องการของ เขาได้
2. อาชีพที่เราเลือกมักจะเป็นอาชีพที่สามารถตอบสนองความต้องการ ที่
สูงสุดของเราได้
3. ความต้องการที่เกิดขึ้นนี้ ชัดเจนแน่ นอนในบุคคลบางคน แต่สำหรับบาง
คน ก็อาจคลุมเครือ แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตามมักจะมีอิทธิพลต่อการเลือกอาชีพ
ของเราทั้งสิ้ น
4. พัฒนาการทางอาชีพเริ่มจากจุดที่บุคคลตระหนั กว่ามีอาชีพบางชนิ ด ที่
ทำให้เขาได้รับ ความพึงพอใจและสามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้
5. สิ่งที่จะเป็นเครื่องแสดงว่าเรามีพัฒนาทางการเลือกอาชีพขึ้นหรือไม่นั้ น
ขึ้นอยู่กับว่าเรา เข้าใจการเลือกอาชีพของเราได้ดีเพียงใดสนองตอบความต้องการ
ของตนเองเพียงไร
6. การเข้าใจตนเองทำให้เราได้รู้ถึงสิ่งที่เราต้องการและรู้ว่าเรามีอะไร จะไป
แลกเปลี่ยนกับสิ่ง ที่ต้องการนั้ น
7. ความรู้เกี่ยวกับอาชีพก็มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจเลือกอาชีพ เราได้ 9
ประจักษ์แก่ตนเองว่า อาชีพนั้ น ๆ สนองตอบความต้องการของเราหรือไม่เราจะได้
อะไรจากการ ประกอบอาชีพนั้ นและเรา จะต้องให้อะไรจากอาชีพนั้ น ๆ บ้าง
8. ความพึงพอใจในอาชีพเกิดจากการได้ประกอบอาชีพที่ตรงกับความ
ต้องการของเรา
9. ความพึงพอใจในการทำงานมิได้หมายถึงเฉพาะสิ่งที่บุคคลได้รับใน
ปัจจุบันเท่านั้ นอาจเป็น สิ่งที่เขาคาดหวังว่างานจะมีอนาคตที่สดใสกล่าวง่าย ๆ คือ
งานเป็นบันใด ไปสู่ตำแหน่ งงหรืองานใหม่ใน อนาคตที่ดีกว่าก็เป็นได้
10. คนเราเมื่อเลือกอาชีพแล้ว เปลี่ยนแปลงได้เสมอถ้าเขารู้สึกว่าการ
เปลี่ยนจะทำให้เขา ได้รับการตอบสนองที่ดีกว่างานเก่าจะเห็นได้ว่าฮอพพอคมี
ความเชื่อว่าบุคคลจะ เลือกอาชีพที่สนอง ความต้องการของตนเองได้มากที่สุดทั้ง
ในปัจจุบันและอนาคต การเลือกอาชีพของ ฮอพพอคเน้ นถึง ความสำคัญของการ
รู้จักตนเองอย่างแท้จริงในเรื่องความสามารถ ความสนใจ ความถนั ด ลักษณะ
นิ สัย จุดเด่น จุดด้อย เพื่อนำไปเทียบเคียงกับข้อมูลทางด้านอาชีพซึ่งจะช่วยให้
บุคคลเลือกอาชีพได้อย่าง ถูกต้อง และประสบความสำเร็จ จากทฤษฎีพัฒนาการ
ทางด้านอาชีพและ ทฤษฎีการเลือกอาชีพจะ เห็นได้ว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความ
สนใจในการเลือกประกอบอาชีพอิสระของ บุคคลมีหลายปัจจัยไม่ว่า จะเป็นด้าน
มโนภาพแห่งตนซึ่ง ได้แก่ ความแตกต่างระหว่างบุคคล ความสามารถ ความถนั ด
การศึกษา สติปัญญา ความสัมพันธ์กับเพื่อน อารมณ์ความพอใจ สำหรับ ด้านการ
ตระหนั กรู้ในอาชีพ ได้แก่สภาพแวดล้อมด้านการศึกษา เพศสภาพร่างกาย อารมณ์
ความพอใจ และวุฒิภาวะ และส่วน ด้านสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา ได้แก่
ประสบการณ์จากการศึกษา ทักษะ จากการประกอบอาชีพ ในสถานประกอบการ
บุคลิกภาพความคิดสร้างสรรค์ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ จะเป็น องค์ประกอบที่ทำให้ บุคคล
ตัดสิ นใจเลือกประกอบอาชีพอิสระและประสบความสำเร็จ
แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับอาชีพอิสระ
กรมอาชีวศึกษา (อ้างใน วิมล วีระพัฒน์ , 2552 : 6-9) กล่าวว่า อาชีพอิสระ
คล้ายกับ อุตสาหกรรมขนาดย่อม คือ อุตสาหกรรมขนาดย่อมมีความหมาย
ครอบคลุมถึงการประกอบ กิจการ ขนาดเล็กที่ทำด้วยตนเองหรืออาชีพอิสระที่มี
ลักษณะเป็นการผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อมบำรุง ทดสอบ ปรับปรุง แปรสภาพ
หรือทำลายสิ่งใด ๆ รวมทั้งการบริหารประกอบกิจการอื่น ๆ ที่มักมี ลักษณะ
คล้ายคลึงกับสิ่ งเหล่านี้
กรมวิชาการ (อ้างใน วิมล วีระพัฒน์ , 2552 : 6) ได้ให้ความหมาย อาชีพ
อิสระ หมายถึง อาชีพที่ประกอบกันเป็นธุรกิจภายในครอบครัว ที่ต้องใช้ความรู้
หรือทักษะที่ต้องผ่าน การฝึกฝนอบรม พอสมควร เช่น อาชีพทำของที่ระลึกด้วย
วัสดุที่มีในทเองถิ่น การปลูกผัก การเลี้ยงปลา และยัง หมายถึง ผู้ประกอบการ
ขนาดย่อมที่เป็นธุรกิจในครอบครัว
10
เสริมศักดิ์วิศาลาภรณ์ (อ้างใน วิมล วีระพัฒน์ , 2552 : 6) ได้ให้ความหมาย
อาชีพอิสระ หมายถึง เป็นอาชีพที่สามารถดำเนิ นการเองได้โดยลงทุนน้ อย ใช้ความ
คิด ใช้กำลังกาย ค่อนข้างมาก เน้ นการพึ่งตนเอง คำว่า อาชีพอิสระมีความหมาย
คล้ายกันกับอาชีพส่วนตัว ธุรกิจ ขนาดย่อม การ ประกอบการขนาดย่อม เป็นต้น
สำหรับในสภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ต้องขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของโลก
และการ เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทางการเมือง ซึ่งบางช่วงเวลาก็ก่อให้เกิดความตกต่ำ
ของเศรษฐกิจและ ความผัน ผวนต่าง ๆ แต่ในสภาวะเช่นนี้ พบว่า อุตสาหกรรม
ขนาดย่อมจะสามารถปรับตัวได้ดีดังที่ สมชอบ ไวย เวช (2526) ได้กล่าว
ไว้“อุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นอุตสาหกรรมที่ทนต่อภาวะ เศรษฐกิจที่ตกต่ำได้
เป็นอย่างดีเพราะปรับตัวได้ดี” จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าอาชีพอิสระ
หมายถึง อาชีพที่ มีขนาดของกิจการขนาดย่อม สามารถดำเนิ นการด้วยตนเอง โดย
ลงทุนน้ อย ใช้กำลังกายและ ความคิดค่อนข้างมาก เน้ นการพึ่งพาตนเอง คำว่า
อาชีพอิสระมีความหมายคล้ายกับอาชีพส่วนตัว ธุรกิจขนาดย่อม ซึ่งอาศัยความรู้
ความสามารถ ทักษะและเทคนิ คการจัดการให้เกิดรายได้ซึ่งเกิด จากการลงทุนมี
ผลตอบแทนในรูปของกำไร มีลักษณะเป็นการผลิตและการบริการ ในการส่งเสริม
ทางด้านอาชีพอิสระจะต้องเน้ นทางด้านความสามารถในการประกอบอาชีพอิสระ
ซึ่งการส่งเสริมการ ประกอบอาชีพอิสระให้กับประชาชนจึงเป็นทางออกที่ดีในการ
แก้ปัญหาการว่างงาน
แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง
ความต้องการในการพัฒนาตนเอง เพื่อให้เพิ่มพูนความรู้ ทำให้มีการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ต่าง ๆ ไปตามวัตถุประสงค์ของแต่ละบุคคล รวมทั้ง
สามารถดำรงอยู่ในสังคมหรือประสบความสำเร็จ ในชีวิต หน้ าที่การงาน ควรมี
แนวคิดเกี่ยวกับความต้องการในการพัฒนาตนเอง
ความหมายการพัฒนาตนเอง
ปัจจุบันโลกเจริญก้าวหน้ ามาก รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การพัฒนาตนเองจึงเป็น สิ่งสำคัญที่บุคคลต้องพยายามปรับปรุงพัฒนาตนเองให้
ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงนั้ น ๆ
กรกนก วงศ์พันธุเศรษฐ์ (อ้างถึงในเกศรินทร์ วิริยะอาภรณ์, 2545) ได้
กล่าวว่า การพัฒนา ตนเอง หมายถึง การขยายขอบเขตความสามารถในการใช้
ความรู้ ความสามารถของบุคคลได้อย่าง เต็มที่และประยุกต์ใช้ความรู้ และ
ประสบการณ์ที่ได้รับมา เพื่อแก้ปัญหาหรือหาข้อยุติปัญหาใน สถานการณ์ใหม่ๆที่
แตกต่างออกไป ในเรื่องนี้
ศศลักษณ์ ทองปานดี (2551) การพัฒนาตนเอง หมายถึง การดำเนิ นการ
เกี่ยวกับการ ส่งเสริมบุคคลให้มีความรู้ ความสามารถ มีทักษะการทำงานดีขึ้น
ตลอดจนมีทัศนคติที่ดีในการ ทำงาน อันจะเป็นผลให้การปฏิบัติงานมี
ประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และการพัฒนาบุคคลควรส่งเสริม และ พัฒนาทั้งร่างกาย
อารมณ์ สังคม และสติปัญญาอย่างทั่วถึงสม่ำเสมอและต่อเนื่ อง
11
โสภณ ช้างกลาง (2550) การพัฒนาตนเองหมายถึง การดึงเอาศักยภาพ
ของตนเองออกมา แก้ไขปรับเปลี่ยนให้เกิดความเจริญดีขึ้นกว่าอดีต สร้างความ
แปลกใหม่ให้กับตนเอง เป็นการสร้าง ศักยภาพของตนเองให้ดีขึ้น เพื่อให้สามารถ
ดำรงชีวิตอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้อย่างมีความสุข เป็นกระบวนการที่จะ
เพิ่มพูนความรู้ เพื่อยกระดับมาตรฐานหรือความชำนาญในการปฏิบัติงานให้ สูงขึ้น
และตนเองมีความเจริญก้าวหน้ า
ศรีแพร ทวิลาภากุล (2549) การพัฒนาตนเอง หมายถึง การปฏิบัติตัวของ
บุคคลในอันที่จะ สร้างเสริมศักยภาพของตนเองให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เป็นผลให้สามารถ
ดำเนิ นชีวิตได้อย่างมีคุณภาพได้ทุก สถานการณ์แวดล้อม ทำงานได้อย่างมี
ประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในชีวิตในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ให้ผู้ตอบ
แบบสอบถามประเมินตนเองว่ามีการพัฒนาตนเองในประเด็นต่าง ๆ มากน้ อย
เพียงใด โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ การพัฒนาตนเองโดยตนเอง และ
การพัฒนาตนเองโดยผู้อื่น
เกศรินทร์ วิริยะอาภรณ์ (2545) สรุปการพัฒนาตนเองได้ว่า องค์ประกอบ
ของการพัฒนา ตนเองอยู่ที่การเตรียมความพร้อมของร่างกายและจิตใจ พร้อมจะ
เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทั้งใน ตนเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว รวมทั้ง
สถานการณ์ ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เบญจลักษณ์ มุสิกะชะนะ (2553:บทคัดย่อ) พฤติกรรมการเลือกซื้อเบเก
อรี่ของผู้บริโภคใน จังหวัดสุราษฎร์ธานี การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา
พฤติกรรมของผู้บริโภคเบเกอรี่ ปัจจัยทาง การตลาดที่มีผลต่อผู้บริโภคเบเกอรี่
ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับพฤติกรรมของ ผู้บริโภคเบเกอรี่
ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการตลาดกับพฤติกรรมของผู้บริโภคเบเกอรี่ และ
เพื่อ ศึกษาปัญหาและความคิดเห็นของผู้บริโภคเบเกอรี่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ประชากรที่ใช้ใน การศึกษา จำนวน 400 ตัวอย่างใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ
เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าความถี่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบไค-สแควร์ ผลการวิจัยพบวา่ ผู้ตอบ
แบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ26 -35 ปี สถานภาพ สมรสแล้ว การ
ศึกษาระดับ ปริญญาตรีอาชีพลูกจ้างทั่วไป/พนั กงานบริษัทรายได้เฉลี่ย ต่อเดือน
10,001 - 15,000 บาท และ จำนวนสมาชิกในครอบครัว 3 - 4 คน ดา้นพฤติกรรม
การบริโภคเบเกอรี่ พบว่า ส่วนใหญ่เลือกซื้อเบ เกอรี่จากร้านเบเกอรี่ทั่วไปแบบ
มีหน้ าร้าน ประเภทของเบเกอรี่ที่เลือกซื้อคือเค้ก เหตุผลสำคัญ ในการ ซื้อเนื่ อง
จากเบเกอรี่อร่อย โอกาสในการซื้อเพื่อรับประทานเอง ช่วงเวลาที่เลือกซื้อคือเวลา
15.00 - 18.00 นาฬิกา ค่าใช้จ่ายในการซื้อครั้งละ 51 -100 บาท ความถี่ในการซื้อ 1
-2 ครั้งต่อสัปดาห์และ สื่อที่ทำให้รู้จักร้านเบเกอรี่คือ ป้ายโฆษณา/ป้ายร้าน ปัจจัย
ทางการตลาดที่มีผลต่อผู้บริโภคเบเกอรี่ พบว่าปัจจัยที่มีผลมากที่สุด คือ ด้าน
ผลิตภัณฑ์รองลงมาคือ ด้านบุคลากร ด้านกระบวนการให้บริการ ด้านราคา ด้าน
ลักษณะทางกายภาพ ด้านช่องทางการจัดจำหน่ าย และด้านการส่งเสริมการตลาด
12
ตามลำดับ ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับพฤติกรรมของ
ผู้บริโภคเบเกอรี่ พบว่า เพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้
เฉลี่ยต่อเดือน และจำนวนสมาชิกใน ครอบครัว มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมของ
ผู้บริโภคเบเกอรี่
อุมาวดี วุฒินาม (2556:บทคัดย่อ) การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเปิดร้าน
เบเกอรี่บริเวณ มหาวิทยาลัยมหิดล อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม การศึกษา
วิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ปัจจัยความคาดหวังและความต้องการของผู้
บริโภคที่มีต่อร้านเบเกอรี่และเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อ การตัดสินใจเลือกซื้อผลิต
ภัณฑ์เบเกอรี่ บริเวณมหาวิทยาลัยมหิดล อำเภอพุท ธมณฑล จังหวัด นครปฐม
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้การศึกษามีจำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น
แบบสอบถาม เกี่ยวกับปัจจัยด้านความคาดหวังและความต้องการของผู้บริโภคที่มี
ต่อร้านเบเกอรี่และปัจจัยที่มีผลต่อ การตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ สถิติที่
ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าร้อยละค่าเฉลี่ย และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน
นภัสพร นิ ยะวานนท์ (2552:บทคัดย่อ) ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อ
เบเกอรี่ของ ประชาชนในอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อ
ศึกษาพฤติกรรมการซื้อเบเกอรี่ ของประชาชนในอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม 2.
เพื่อศึกษาปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ของประชาชน ที่เคยซื้อเบเกอรี่ในอำเภอ
เมือง จังหวัดนครปฐม 3. เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและ ธุรกิจ
เสริมในร้านเบเกอรี่ที่ประชาชนในอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ให้ความสำคัญ
กลุ่มตัวอย่างคือผู้ ที่เคยซื้อเบเกอรี่ในอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม จำนวน 400
คน เก็บรวบรวม ข้อมูลด้วย แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยโปรแกรม
SPSS หาค่าร้อยละค่าเฉลี่ยค่าส่วน เบี่ยงเบน มาตรฐาน นำเสนอในรูปแบบตาราง
แจกแจงความถี่สรุปเป็นค่าร้อยละประกอบการแปล ความเชิง อธิบายและการ
พรรณนาวิเคราะห์
แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการประเมินผลโครงการ
ความหมายของโครงการ
มีผู้ให้คำนิ ยามของคำว่าโครงการไว้อย่างหลากหลายได้แก่
รัตนะ บัวสนธ์ (2540, หน้ า 4) ได้ให้ความหมายของโครงการไว้ว่าคือ
ส่วนย่อยหนึ่ งของ แผนงาน ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรม ทรัพยากรในการดำเนิ นงาน
และระยะเวลาดำเนิ นงาน เพื่อบรรลุ เป้าหมาย/ วัตถุประสงค์ของโครงการนั้ น
สมคิด พรมจุ้ย (2542, หน้ า 11) ได้ให้ความหมายของโครงการไว้ว่าคือ
กลุ่มของกิจกรรม ที่มี ความสัมพันธุ์เกี่ยวข้องกันและแต่ละกิจกรรมมีเป้าหมาย
เดียวกัน มีเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานและ มักจะเป็นงานพิเศษ ต่างจากงาน
ประจำโครงการจะประกอบด้วยงานและกิจกรรม
13
สุวิมล ดิรกานั นท์ (2545, หน้ า 17) ได้ใหความหมายของโครงการไว้ว่า
คือแผนย่อยที่เป็น แผนปฏิบัติการและถูกจัดทำขึ้นในลักษณะเป็นรูปธรรม มีความ
ชัดเจนในระดับที่สามารถนำไป เป็น แนวทางในการปฏิบัติได้
เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี (2546, หน้ า 79) ได้ให้ความหมายของ
โครงการไว้ว่าคือ งานหรือ ส่วนหนึ่ งของงานที่ต้องกระทำให้สำเร็จตามเปาหมาย
ภายในระยะเวลาและงบประมาณที่กำหนดไว้ โดยให้สอดคล้องกับข้อกำหนดอื่นที่
เกี่ยวข้องด้วย
จากความหมายของโครงการดังกล่าว สรุปได้ว่าโครงการคือแผนงาน
หรือกิจกรรมที่ ดำเนิ นการอย่างต่อเนื่ องที่ต้องใช้ทรัพยากรในการดำเนิ นการเพื่อ
ให้บรรลุวัตถุประสงค์ภายใน ระยะเวลาที่กำหนด
ความหมายของการประเมินผลโครงการ
ความหมายของการประเมินผลโครงการ ได้มีนั กวิชาการต่าง ๆ ได้ให้
ความหมายของการ ประเมินผลที่หลากหลายสามารถรวบรวมได้ดังนี้
โพรวัส (Provus) การประเมินคือ การวัด (Measurement) ในระยะแรก
“การวัด”และการ” การประเมิน”ถือเป็นสิ่งที่มีความหมายเดียวกันเนื่ องจากการ
ประเมินเป็นศาสตร์ที่มีแหลงกำเนิ ดมา จากศาสตร์แห่งการวัดในด้านหนึ่ งการ
นิ ยามว่าเป็นการประเมินคือ การวัด มีข้อดีในแง่ที่ทำให้การ ประเมินมีความเป้นวิ
ทยาศาสตร์ที่มีความเป็นปรนั ยและความเที่ยงตรง (Provus. 1971)
รอสซี่และฟรีแมน (Rossi and Freeman) การประเมินคือ การช่วยการ
ตัดสินใจ (Assistant in decision-making) กล่าวคือ การประเมินช่วยเสนอ
สารสนเทศที่เป็นประโยชน์ ต่อกาตัดสินใจการ บริหารงาน การประเมินจึงขยาย
ขอบเขตนอกเหนื อไปจากการประเมิน (Rossi and Freeman. 1993: 103)
ครอนบัค (Cronbach) กล่าวเสริมนิ ยามดังกล่าวว่าการประเมินเป็นกระ
บวนการที่เป็นระบบ ในการเก็บรวบรวมและใช้สารสนเทศสำหรับการตัดสินใจ
จุดมุ่งหมายหลักของการประเมินโครงการ อยู่ที่ความต้องการทราบผลของ
โครงการและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการดำเนิ นงานรวมทั้งส่วน ใดของ
โครงการที่ควรปรับปรุงแก้ใข (Cronbach.1963)
แอลคิน (Alkin) กล่าวว่า การประเมินเป็นกระบวนการของการทำให้
เกิดความมั่นใจในการ ตัดสินใจด้วยการคัดเลือกข้อมูลที่เหมาะสมรวบรวมข้อมูลที่
เหมาะสมรวบรวมและวิเคราะห์เพื่อจัดทำ รายงานสรุปสารสรเทศที่เป็นประโยชน์
ต่อผู้บริหารตัดสินใจเลือกทางเลือกที่เหมาะสม (Alkin:2-9)
ไทเลอร์ (Tyler) กล่าวว่า การประเมินเป็นการเปรียบเทียบระห่าง “สิ่งที่
เป็นจริง” (What is) กับ”สิ่งที่ควรจะเป็น” (what should be) (Tyler.1950)
14
สตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam) กล่าวว่า การประเมินเป็นการกำหนด
ปัญหาการเก็บรวมรวม ข้อมูลและเสนอสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ ต่อการตัดสิน
ใจนั่ นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด (Stufflebeam.1971)
สตรีฟเว่น (Scriven) การประเมินคือ การตัดสินคุณค่า (Determining
of worth or value) นิ ยามดังกล่าวถือเป็นนิ ยามกระแสหลัก (Mainstream) ของ
การประเมินโดยผู้ประเมินนจะต้องมี ความเชี่ยวชาญในการสังเกตและอาศัยหลัก
เหตุผลกล่าวอีกอย่างก็คือแนวคิดดังกล่าวถือว่าถ้าผู้ ประเมินมิได้ตัดสินคุณค่าของ
สิ่งที่ประเมินถือว่าผู้ประเมินยังทำหน้ าที่ไม่สมบูรณ์ (Scriven.1967)
แนวคิดในการติดตามและประเมินผล
ในปี ค.ศ. 1971 สตัฟเฟิลบีมและคณะได้เขียนหนั งสือทางการประเมิน
ออกมาหนึ่ งเล่ม ชื่อ “Educational Evaluation and decision Making” หนั งสือเล่ม
นี้ ได้เป็นที่ยอมรับกันอย่าง กว้างขวางในวง การศึกษาของไทยเพราะได้ให้แนวคิด
และวิธีการทางการวัดและประเมินผลการศึกษา ได้อย่างน่ าสนใจและ ทันสมัยด้วย
นอกจากนั้ น สตัฟเฟิลบีมก็ได้เขียนหนั งสือเกี่ยวกับการประเมินและ รูปแบบของ
การประเมินอีก หลายเล่มอย่างต่อเนื่ อง จึงกล่าวได้ว่า ท่านผู้นี้ เป็นผู้มีบทบาท
สำคัญใน การพัฒนาทฤษฎีการประเมินจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในปัจจุบัน เรียก
ว่า CIPP Model
ภาพที่ 2.1 รูปแบบการประเมินแบบซิป (CIPP Model)
รูปแบบการประเมินแบบซิป (CIPP Model) เป็นการประเมนภาพรวม
ของโครงการ ตั้งแต่ บริบท ปัจจัย ป้อน กระบวนการ และผลผลิต (Context,
Input, Process and product) โดยจะใช้ วิธีการสร้าง เกณฑ์และประสิทธิภาพของ
โครงการ ทั้งภาพรวมหรือรายปัจจัยเป็นสำคัญ ซึ่งพออธิบาย ได้ดังนี้
การประเมินด้านบริบท หรือประเมินเนื้ อความ (context Evaluation )
เป็นการศึกษา ปัจจัยพื้นฐานที่นำไปสู่การพัฒนาเป้าหมายของโครงการ ได้แก่
บริบทของสภาพแวดล้อม นโยบาย
15
วิสัยทัศน์ ปัญหา แหล่งทุน สภาพความผันผวนทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และ
การเมือง ตลอดจน แนวโน้ มการก่อตัวของปัญหาที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการ
ดำเนิ นโครงการ เป็นต้น
การประเมินปัจจัยป้อน (Input Evaluation) เพื่อต้นหาประสิทธิภาพของ
องค์ประกอบที่ นำมาเป็น ปัจจัยป้อน ซึ่งในด้านการท่องเที่ยวอาจจะจำแนกเป็น
บุคคล สิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือ อุปกรณ์ครุภัณฑ์ ศักยภาพการบริหาร
งาน ซึ่งแต่ละปัจจัยก็ยังจำแนกย่อยออกไปอีก เช่น บุคคล อาจพิจารณา เป็น เพศ
อายุ มีสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ ความพึงพอใจ ความคาดหวัง ทัศนคติ
ศักยภาพ ความสามารถ ประสบการณ์ ความรู้ คุณวุฒิทางการศึกษา ถิ่นที่อยู่และ
ลักษณะ กระบวนการกลุ่ม เป็นต้น
การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation) เป็นการศึกษาต่อจาก
การประเมินบริบท และ ปัจจัยป้อนว่า กระบวนการเป็นไปตามแผนที่วางไว้
เป็นการศึกษาค้นหาข้อบกพร่อง จุดอ่อน หรือจุดแข็งของกระบวนการบริหาร
จัดการโครงการที่จะนำโครงการบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ว่ามี ประสิทธิภาพมาก
น้ อย เพียงใด
การประเมินผลิตผล (Product Evaluation) เป็นการตรวจสอบ
ประสิทธิผลของโครงการ โดยเฉพาะความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์กับ
ผลลัพธ์ที่ได้แล้วนำเกณฑ์ที่กำหนดไว้ไปตัดสิน เกณฑ์มาตรฐานนั้ นอาจจะกำหนด
ขึ้นเองหรืออาศัยเกณฑ์ที่บุคคลหรือหน่ วยงานอื่นกำหนดไว้ ก็ได้ การติดตามและ
ประเมินผลในปัจจุบันนั้ น ตามแนวคิดของ Robert S. Kaplan และ David P.
Norton (อัญชนา ณ ระนอง, ออนไลน์ ) ได้เสนอแนวคิด Balanced Scorecard
เพื่อใช้ในการวัดผล ของ กิจการที่จะทำให้ผู้บริหารระดับสูงเห็นภาพรวมของ
องค์กรได้ชัดเจนขึ้น ให้ได้ภาพรวมขององค์กร อย่างสมดุล ขึ้น โดยการวัดผล
นอกจากการวัดทางด้านการเงินที่เป็นผลของการดำเนิ นงานที่เกิดขึ้น มาแล้ว
ต้องมีการวัดผล ด้านกระบวนการบริหารงาน การสร้างความพอใจให้แก่ลูกค้า
ตลอดจนสร้าง นวัตกรรมและการเรียนรู้ให้แก่องค์กรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถใน
การแข่งขันและการสร้างอนาคต ให้แก่องค์กรด้วย ด้วยแนวคิดนี้ ผู้บริหาร
สามารถประเมินศักยภาพโดยรวมขององค์กรและ ความสามารถในการแข่งขันและ
อนาคตขององค์กรนั้ น ๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นโดยขอบเขตหรือ องค์ประกอบในการ
วัดผลตามแนวคิดของBalanced Scorecard ภายใต้มุมมอง แต่ละด้านนั้ นจะ
ประกอบด้วยประเด็นต่าง ๆ ได้แก่
1. วัตถุประสงค์(objective) เพื่อเป็นการกำหนดวัตถุประสงค์ของ
แต่ละมุมมองที่ต้องการจะ ชี้วัด
2. ตัวชี้วัด (Performance Indication) คือ ตัวชี้วัดนั้ นจะแสดงให้เห็น
ว่าองค์กรได้บรรลุถึง วัตถุประสงค์ในแต่ละด้านหรือไม่
3. เป้าหมาย (Target) คือ เป้าหมายหรือค่าตัวเลขที่ตั้งไว้เพื่อให้องค์กร
บรรลุถึงค่านั้ น ๆ
16
4. แผนงาน โครงการที่ตั้งใจ (Initiatives) คือ แผนการปฏิบัติงานที่มี
การลำดับเป็นขั้นๆ ใน การจัดทำกิจกรรม ซึ่งจากแนวคิดดังกล่าว สามารถนำมา
กำหนดเป็นตัวแบบเพื่ออธิบายกระบวนการ บริหารจัดการ องค์กรในภาพรวม ซึ่ง
เป็นการผสมผสานระหว่างแนวคิดด้านการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์, วัดผลตาม
แนวคิด ของ Balanced Scorecard ภายใต้ตัวแบบของทฤษฎีระบบได้ดังนี้
ภาพที่ 2.2 ตัวแบบแสดงกระบวนการบริหารจัดการองค์กรในภาพรวมตาม
แนวคิดทฤษฎีระบบ
จากแผนภาพข้างต้น แสดงให้เห็นถึงกระบวนการในการบริหาร
จัดการองค์กรโดยจะเริ่ม ตั้งแต่ปัจจัย นำเข้า (Input) อันประกอบด้วยความ
ต้องการหรือข้อเรียกร้อง (Demand) และแรง สนั บสนุน (Support) ที่เป็นเสมือน
แรงผลักดันหรือแรงกระตุ้นให้องค์กรเริ่มกระบวนการในการ บริหารจัดการ
(Internal Process) เพื่อก่อให้เกิดผลผลิต (Output) หรือผลลัพธ์(Outcome) ที่
สามารถสนองตอบต่อความต้องการหรือการสนั บสนุนต่าง ๆ ซึ่งผลผลิตหรือ
ผลลัพธ์ดังกล่าวนี้ จะเป็น ผลสะท้อน (Feed Back) กลับมาเป็นปัจจัยนำเข้าอีกครั้ง
หนึ่ ง โดยมีกระบวนการควบคุมและ ประเมินผลเป็นอีกปัจจัยในการช่วยสะท้อน
ผลการดำเนิ นงาน ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของผลลัพธ์ และผลผลิต กลับไปสู่
กระบวนการบริหารจัดการ เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ พัฒนา กระบวนการ ปรับปรุง
หรือขยายผลการดำเนิ นการต่อไป (Stufflebeam.1971)
ทฤษฎีและโมเดลการประเมิน
เยาวดี รางชัย กุลวิบูลย์ศรี (2542, หน้ า 96 - 103) กล่าวว่าวิวัฒนาการ
ของการพัฒนา แนวคิด และเทคนิ ควิธีการประเมินจนถึงยุคของการประเมินเป็น
วิชาชีพ ทำให้ความก้าวหน้ าของ ศาสตร์แขนงการประเมินมีหลักการที่ชัดเจน มี
ความเป็นระบบตลอดจนนั กประเมินหลายท่านได้
พัฒนารูปแบบที่เรียกกันว่า “แบบจำลอง” หรือ “โมเดล” (Model) ขึ้น
หลายรูปแบบ จนทำ ให้แนวคิดและหลักการเหล่านั้ นสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้
อย่างกว้างขวาง เมื่อพิจารณาลักษณะ ของ “รูปแบบ” หรือ “แบบจำลอง” หรือ
“โมเดล” แล้วจะเห็นได้ว่า “โมเดล” ไม่เพียงแต่เป็น แบบจำลอง ภาพหรือความคิด
เท่านั้ น แต่ยังมุ่งสื่อสาร รวมทั้งแนวคิดหลักการ ตลอดจนปรากฏการณ์
17
ในเชิงสัมพันธ์อย่างเป็นระบบอีกด้วย ดังนั้ น การกำหนดโมเดลที่เป็นระบบ และมี
หลักการที่ สมเหตุสมผลจะทำให้การวางแผนการทำงานต่าง ๆ เข้าใจได้ง่ายขึ้น ใน
ศาสตร์ของการประเมินก็ เช่นเดียวกัน นั กการประเมินได้เสนอแนวคิด และโมเดล
ที่ช่วยให้สามารถทำการประเมินได้ดีขึ้น จน กล่าวได้ว่า “รูปแบบ” หรือ “โมเดล”
การประเมินนี้ สามารถที่จะถือว่าเป็นทฤษฎีการประเมินก็ได้ เพราะมีลักษณะของ
ความสมเหตุสมผลบนพื้นฐานของข้อตกลงเบื้องต้นในเชิงทฤษฎีเช่นกัน นอกจาก
นั้ น “รูปแบบ” การประเมินยังสามารถเป็นที่เข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ในเชิง
ปฏิบัติได้ตาม โครงการต่าง ๆ ทำให้สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ให้กับศาสตร์
ของการประเมินจะเห็นได้ว่า รูปแบบการประเมินได้แพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง
นั กประเมินมีความรู้เกี่ยวกับรูปแบบการประเมิน เพิ่มมากขึ้น ตลอดจนมีการนำไป
ใช้ในการปฏิบัติเพื่อช่วยการตัดสินความต้องการและ คุณภาพของ โครงการต่าง ๆ
การใช้รูปแบบการประเมิน ซึ่งบ่งชี้ว่า เมื่อเป็นทฤษฎีการประเมินแล้วย่อมจะต้องมี
การตรวจสอบถึงงคุณภาพด้านความเป็นปรนั ยว่าปราศจากอคติหรือไม่มีความ
ตรงของการประเมิน และวิธีการประเมินที่มีความเชื่อถือได้มากน้ อยเพียงใด
การประเมินผลโครงการที่อิงทฤษฎีการประเมิน ควรมีลักษณะของ
ความเป็นวิทยาศาสตร์2 ประการคือ มีการใช้วิธีวิทยาเชิงทฤษฎีในการตัดสิน
คุณค่าของโครงการ มีการวิเคราะห์เนื้ อหา เชิง ทฤษฎีกระบวนการประเมินต้องมี
รูปแบบที่มีโครงสร้างอย่างเป็นระบบขั้นตอนของ กระบวนการ ประเมินต้องมี
ความสอดคล้องที่ สมเหตุสมผลในเชิงทฤษฎีที่ยอมอรับได้รวมทั้งต้องมีความ
ชัดเจนใน การอธิบายธรรมชาติของการประเมินด้วย
แนวคิด หลักการและโมเดลการประเมินของไทเลอร์(Tyler’s
Rationale and Model of Evaluation)
แนวคิดทางการประเมินของไทเลอร์จัดเป็นแนวคิดของการประเมินใน
ระดับชั้นเรียน โดยไท เลอร์มีความเห็นว่าการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ
นั กเรียน จะมีส่วนช่วยอย่างมากในการ พัฒนากระบวนการเรียนการสอน
ไทเลอร์ได้เริ่มต้นการนำเสนอแนวความคิดทางการประเมินโดยยึด
กระบวนการเรียนการสอน เป็นหลักกล่าวคือไทเลอร์ได้นิ ยามว่ากระบวนการ
จัดการเรียนการสอนเป็นกระบวนการที่มุ่งจัดขึ้นเพื่อ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมที่พึงปรารถนาในตัวของผู้เรียน ด้วยเหตุนี้ จุดเน้ นของการเรียน การ
สอน จึงขึ้นอยู่กับการที่ผู้เรียนจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหลังการสอน
ดังนั้ น เพื่อให้การ สอนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในตัวผู้เรียนตามที่มุ่งหวัง
กระบวนการ ดังกล่าวจึงมีขั้นตอนในการ ดำเนิ นการ ดังนี้
ขั้นที่ 1 ต้องมีการระบุหรือกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนลงไปว่าเมื่อสิ้น
สุดการจัดการเรียน การสอนแล้วผู้เรียนควรเกิดพฤติกรรมใดหรือสามารถกระทำ
สิ่งใดได้บ้างหรือที่เรียกว่า วัตถุประสงค์ เชิงพฤติกรรม
18
ขั้นที่ 2 ต้องระบุต่อไปว่าจากวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ดังกล่าวนั้ นมี
เนื้ อหาใดบางที่ผู้เรียน จะต้องเรียนรู้หรือมีสาระใดบ้างที่เมื่อผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
แล้วจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม
ขั้นที่ 3 หารูปแบบและวิธีการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับ
เนื้ อหาและจุดประสงค์ที่ กำหนดไว้
ขั้นที่4 ประเมินผลโครงการโดยการตัดสินด้วยการวัดผลทางการศึกษา
หรือการทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ในการเรียน
แนวคิดดังกล่าวนี้ เป็นแนวคิดในช่วงต้น ๆ ของไทเลอร์ต่อมาไทเลอร์ได้
สร้างวงจรของ วัตถุประสงค์ในการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลขึ้น
ซึ่งเขียนเป็นโมเดลพื้นฐานได้ดังนี้
ภาพที่ 2.3 โมเดลการประเมินของไทเลอร์
จากโมเดลดังกล่าวจะเห็นว่า หัวลูกศรจะชี้ไปยังทิศทางทั้งสองทิศทาง
ของทุกองค์ประกอบ มี ความหมายว่า ในการจดการเรียนการสอนนั้ น ตามทัศนะ
ของไทเลอร์แล้วองค์ประกอบทั้ง 3 คือ 1. วัตถุประสงค์2. การจัดการเรียนการสอน
และ 3. การประเมินผลผู้เรียน จะต้องดำเนิ นการให้ประสาน สัมพันธ์กันไปเสมอ
จากแนวคิดของไทเลอร์เกี่ยวกับการประเมินผลโครงการเห็นได้ว่าการ
ประเมินผลดังกล่าว แล้วง่ายต้อการตรวจสอบความสำเร็จของโครงการเพราะ
เป็นการวัดและประเมินผล เฉพาะแต่ จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้เท่านั้ น แต่ว่าการประเมิน
ผลดังกล่าวนี้ มีคุณค่าค่อนข้างจำกัด เนื่ องจากว่าเป็นการ ประเมินผลความก้าวหน้ า
และให้ความสำคัญของคุณค่าของจุดมุ่งหมายเพียง เล็กน้ อยเท่านั้ น และ เกณฑ์ใน
การตัดสินการบรรลุวัตถุประสงค์ยังเป็นอัตนั ยมาก โดยสรุปก็คือการประเมินใน
ความคิดเห็น ของไทเลอร์จึงหมายถึงการเปรียบเทียบสิ่งที่ผู้เรียนสามารถกระทำ
ได้จริงหลังจากได้จัดการเรียนการ สอนแล้วกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมซึ่ง ได้
กำหนดขึ้นไว้ก่อนที่จะจัดการเรียนการสอนนั้ น ๆ
19
แนวคิด หลักการและโมเดลการประเมินของสครีฟเวน (Scriven’s
Evaluation Ideologies and Model)
สครีฟเวน ได้ให้นิ ยามการประเมินไว้ว่า “การประเมิน” เป็นกิจกรรมที่
เกี่ยวข้องกับ การ รวบรวมข้อมูลการตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือเพื่อเก็บข้อมูลและ
การกำหนดเกณฑ์ประกอบใน การ ประเมินเป้าหมายสำคัญของการประเมินก็คือ
การตัดสินคุณค่าให้กับกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องการจะ ประเมิน สครีฟเวน ได้จำแนก
ประเภทและบทบาทของการประเมินออกเป็น 2 ลักษณะคือ
1. การประเมินระหว่างดำเนิ นการ (Formative Evaluation) เป็น
บทบาทของการประเมิน งาน กิจกรรมหรือโครงการใด ๆ ที่บ่งชี้ถึงข้อดีและข้อ
จำกัด ที่เกิดขึ้นในระหว่างการดำเนิ นงาน นั้ น ๆ อาจเรียกการประเมินประเภทนี้ ว่า
เป็นการประเมินเพื่อการปรับปรุง
2. การประเมินผลรวม (Summative Evaluation) เป็นบทบาทของการ
ประเมินเมื่อกิจกรรม หรือโครงการใด ๆ สิ้นสุดลงเพื่อเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณค่าความ
สำเร็จของโครงการนั้ น ๆ จึงอาจเรียกการประเมินประเภทนี้ ว่าเป็นการประเมิน
สรุปรวม
นอกจากนี้ สครีฟเวน ยังได้เสนอสิ่งที่ต้องประเมินออกเป็นส่วนสำคัญ
อีก 2 ส่วน คือ
1. การประเมินเกณฑ์ภายใน (Intrinsic Evaluation) เป็นการประเมิน
ในส่วนทเกี่ยวข้อง กับ คุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลรวมทั้งคุณภาพ
ของคุณลักษณะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ ดำเนิ นโครงการ
2. การประเมินความคุ้มค่า (Payoff Evaluation) เป็นการประเมินใน
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับ คุณภาพของโครงการ ทฤษฎีหรือสิ่งอื่น ๆ ของโครงการ
เป็นการประเมินในส่วนซึ่งเป็นผลที่มีต่อ ผู้รับบริการจากการดำเนิ นโครงการ
สรุปได้ว่า สครีฟเวนให้ความสำคัญต่อการประเมินเกณฑ์ภายในมาก
แต่ขณะเดียวกัน จะต้อง ตรวจสอบผลผลิตในเชิงสัมพันธ์ของตัวแปรระหว่าง
กระบวนการกับผลผลิตอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ด้วย แนวคิดทางการประเมินของสครีฟ
เวนได้พัฒนาไปจากแนวคิดเดิมของการประเมินที่ยึดตาม วัตถุประสงค์แต่เพียง
อย่างเดียว มาเป็นการประเมินที่มุ่งเน้ นถึงผลผลิตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำ
กิจกรรมหรือโครงการใด ๆ ในทุกด้านโดยให้ความสนใจต้อผลผลิตต่าง ๆ ที่เกิด
ขึ้นทั้งที่เป็นผลโดยตรง
จากโครงการและผลกระทบหรือผลพลอยได้ซึ่งแนวคิดของสครีฟเวน
แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ การประเมินที่ยึดวัตถุประสงค์เป็นหลัก (Goal - Based
Evaluation) และการประเมินที่ไม่ยึด วัตถุประสงค์เป็นหลัก (Goal - Free
Evaluation)
สำหรับการประเมินที่ไม่ยึดวัตถุประสงค์เป็นหลัก มิได้หมายความ
ว่าการประเมินจะไม่มี วัตถุประสงค์แต่การประเมินนั้ นนอกจากพิจารณา
วัตถุประสงค์แล้วยังต้องมีการคัดเลือกข้อมูล ข่าวสารที่จำเป็นอื่น ๆ ซึ่งเกี่ยวข้อง
กับโครงการโดยอาศั ยพื้นฐานของการตัดสิ นคุณค่าอย่างมี
20
คุณธรรม รวมทั้งมีการเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ด้วยโดยนั ก
ประเมินต้องมีอิสระ ใน การเลือกเกณฑ์มาตรฐานเอง ดังนั้ น มโนทัศน์ การ
ประเมินที่ไม่ยึดวัตถุประสงค์เป็นหลัก จึงจำเป็นต้อง มีการออกแบบการประเมิน
ให้สามารถรวบรวมสารสนเทศ ทั้งผลผลิตโดยตรงและผลกระทบอื่น ๆ ที่ เกิดขึ้น
จากการดำเนิ นโครงการทั้งหมดที่มีคุณค่าต้อการตัดสินโครงการนั้ น ๆ
แนวคิด หลักการและโมเดลการประเมินของสเตก (Stake’s
Concepts and Model of Evaluation)
การประเมินในทัศนะของสเตก เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากหลาย ๆ
แหล่ง เพื่อนำมา จัด ให้เป็นระบบระเบียบ และมีความหมายในการประเมิน โดยส
เตกได้สร้างแบบจำลองทาง ความคิด เกี่ยวกับการประเมินขึ้นเรียกว่าโมเดลเคา
น์ ทิแนนซ์ (Stake’s Countenance Model) ซึ่ง ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
ภาพที่ 2.4 โมเดลเคาน์ ทิแนนซ์ (Stake’s Countenance Model, 1971)
จากภาพประกอบจะเห็นได้ว่า สเตกได้เน้ นว่าการประเมินโครงการจะ
ต้องมี 2 ส่วน คือ การ บรรยายและการตัดสินคุณค่า
ในภาคการบรรยายนั้ น ผู้ประเมินจะต้องหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ
โครงการให้ได้มากที่สุด ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1. เป้าหมายหรือความคาดหวัง (Goals or Internts) ประกอบด้วย 3
ส่วน คือ
1.1 สิ่งนำ (Antecedence) หมายถึง ภาวะสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ก่อน
ก่อนที่จะมีกิจกรรม หรือการกระทาอย่างใดอย่างหนึ่ งตามมา
1.2 การปฏิบัติ (Transactions) หมายถึง ภาวะของการกระทำการ
เคลื่อนไหวหรือการจัด กิจกรรมใด ๆ ตามวัตถุประสงค์หรือเป้ามายของงานใน
โครงการนั้ น ๆ
1.3 ผลผลิต (Output) หมายถึงผลที่เกิดขึ้นจากการที่มีภาวะของ
การกระทำในโครงการ
21
2. สิ่งที่เป็นจริงหรือสังเกตได้(Observations) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงใน
สภาพความเป็นจริง มี ส่วนประกอบ 3 ส่วน คือสิ่งนำ ปฏิบัติการและผลลัพธ์ความ
สอดคล้องระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่ เป็นจริง มิได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าข้อมูลที่ได้มี
ความเที่ยง (Reliability) หรือความตรง (Validity) แต่เป็น เพียงสิ่งที่แสดงให้เห็น
ว่าสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้เกิดขึ้นจริงเท่านั้ น
ในภาคการตัดสินคุณค่า เป็นส่วนที่จะตัดสินว่าโครงการประสบความ
สำเร็จหรือไม่เพียงใด นั กประเมินต้องพยายามศึกษาดูว่า มาตรฐานอะไรบ้างที่
เหมาะสมในการที่จะนำมา เปรียบเทียบเพื่อ ช่วยในการตัดสินใจโดยทั่ว ๆ ไป
เกณฑ์ที่ใช้มี 2 ชนิ ด คือ
1. เกณฑ์สมบูรณ์(Absolute Criterion) เป็นเกณฑ์ที่ตั้งไว้อาจจะเกิดขึ้น
ก่อน โดยมีความ เป็นอิสระจากพฤติกรรมของกลุ่ม
2. เกณฑ์สัมพัทธ์(Relative Criterion) เป็นเกณฑ์ที่ได้จากพฤติกรรม
ของกลุ่ม ถ้าผู้ประเมิน ไม่สามารถหามาตรฐานที่นำมาเปรียบเทียบได้ก็ต้อง
พยายามหาโครงการอื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน มาเปรียบเทียบ เพื่อช่วยในการ
ตัดสินใจแบบจำลองนี้ มุ่งเน้ น ความสอดคล้องและความสมเหตุสมผล ของเมตริก
บรรยายและเมตริกตัดสินคุณค่าสำหรับ ความสอดคล้องนั้ น มี 2 ลักษณะคือ
1. ความสอดคล้องเชิงเหตุผล (Contingence) จะพิจารณาความสัมพันธ์
ในแนวตั้ง ตาม แบบจำลองของสเตก
2. ความสอดคล้องที่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นความสอดคล้องในเชิง
ประจักษ์ (Congruence) พิจารณาความสัมพันธ์ในแนวนอนตามแบบจำลองของส
เตก
ข้อดีของแบบจำลองการประเมินของสเตกคือเสนอวิธีการประเมินเป็น
ระบบเพื่อจัดเตรียม ข้อมูลเชิงบรรยายและตัดสินคุณค่ามีมาตรฐานในการประเมิน
ปรากฏชัดเจน แต่มีข้อจํากัดก็คือเซล บางเซลของเมตริก มีความคาบเกี่ยวกัน และ
ความแตกต่างระหว่างเซลไม่ชัดเจน ซึ่งอาจทำให้เกิด ความขัดแย้งภายในโครงการ
ได้
นอกจากนี้ สเตกยังได้เสนอแนะแนวทางการประเมินที่ไม่ยึด
วัตถุประสงค์เป็นหลักว่า ประกอบด้วยกระบวนการประเมินอย่างมระบบ ดังนี้
1. พูดคุยกับบุคลากรและผู้รับบริการที่เกี่ยวข้องกับโครงการ
2. กำหนดขอบเขตของโครงการ
3. ศึกษาทบทวนกิจกรรมทิ้งหมดของโครงการ
4. ค้นหาจุดมุ่งหมายและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับโครงการ
5. รวบรวมประเด็นและปัญหาต่าง ๆ ที่น่ าจะประเมิน
6. กำหนดข้อมูลที่จำเป็นตามประเด็นปัญหาที่กำหนด
7. คัดเลือกผู้สังเกต ผู้ตัดสิน และเครื่องมืออย่างเป็นระบบ
22
8. สังเกตข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งนำเข้าหรือปัจจัยเบื้องต้น กระบวนการปฏิบัติ
รวมทั้งผลผลิต ของ โครงการ
9. เตรียมการพรรณนาและกรณีศึกษา
10. ชี้ประเด็นปัญหาของผู้เกี่ยวข้อง
11. เตรียมและนำเสนอรายงานการประเมินฉบับสมบูรณ์อย่างเป็น
ทางการ
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามกระบวนการที่กล่าวมาข้างต้นนั้ น ไม่
จำเป็นต้อง ดำเนิ นการตามลำดับเสมอไป ขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ที่เอื้ออำนวยได้
มากหรือน้ อยตามควรแก่กรณี
จากแนวคิดการประเมินของสเตกเป็นการประเมินที่มีระบบมากขึ้น มุ่ง
เน้ นการตัดสิน คุณค่าของโครงการโดยมีหลักเกณฑ์การประเมินเป็นมาตรฐาน
และคำนึ งถึงผู้เกี่ยวข้องจากหลาย ฝ่ายเพื่อให้ ได้ข้อมูลที่่ หลากหลายและได้
แนวทางในการพัฒนาปรับปรุงโครงการได้ดียิ่งขึ้น
ความมุ่งหมายของการประเมินโครงการ
ประชุม รอดประเสริฐ (2539 : 74-75) ได้กล่าวถึงความมุ่งหมายการ
ประเมินโครงการว่า การประเมินโครงการมีความมุ่งหมาย 3 ประการ
1. เพื่อแสดงผลการพิจารณาถึงคุณค่าของโครงการ
2. เพื่อช่วยให้ผู้ตัดสินใจมีการตัดสินใจที่ถูกต้อง
3. เพื่อการบริการข้อมูลแก่ฝ่ายการเมือง เพื่อใช้ในการกำหนดนโยบาย
และการประเมิน โครงการมีความมุ่งหมายเฉพาะ ดังต่อไปนี้
3.1 เพื่อแสดงถึงเหตุผลที่ชัดเจนของโครงการอันเป็นพื้นฐานที่สำคัญ
ของการตัดสินใจว่า ลักษณะใดของโครงการมีความสำคัญมากที่สุดซึ่งจะต้อง
ทำการประเมินเพื่อหาประสิทธิภาพและ ข้อมูลชนิ ดใดที่จะต้องเก็บรวบรวมไว้เพื่อ
การวิเคราะห์
3.2 เพื่อรวบรวมหลักฐานความเป็นจริง และข้อมูลที่จำเป็น เพื่อนำไป
สู่การพิจารณาถึง ประสิทธิผลของโครงการ
3.3 เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูล และข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพื่อการนำไปสู่การ
สรุปผลของ โครงการ
3.4 การตัดสินใจว่าข้อมูล หรือข้อเท็จจริงใดที่สามารถนำไปใช้ได้
สำราญ มีแจ้ง (2543: 8-9) กล่าวว่าการประเมินโครงการทางการ
ศึกษามีความสำคัญ ดังต่อไปนี้
1. ช่วยชี้ให้เห็นว่าจุดประสงค์ของการดำเนิ นงานนั้ นเหมาะสมและเป็น
ไปได้
2. ทำให้ทราบว่าการดำเนิ นงานนั้ นบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่
3. กระตุ้นให้มีการเร่งรัดปรับปรุงการดำเนิ นงาน
23
4. ช่วยให้มองเห็นข้อบกพร่องในการดำเนิ นงานแต่ละขั้นตอน ซึ่งจะใช้
เป็นหลักในการ ปรับปรุงการดำเนิ นงาน
5. ช่วยควบคุมการดำเนิ นงานให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ซึ่งจะ
เป็นการลดความสูญเปล่า ในการใช้ทรัพยากร
6. ช่วยให้ข้อสนเทศแก่ผู้บริการในด้านการดำเนิ นงาน
7. ใช้เป็นแนวทางในการกำหนดวิธีการดำเนิ นงานที่เหมาะสมในครั้ง
ต่อ ๆ ไป
สรุปได้ว่าการประเมินโครงการมีความมุ่งหมายเพื่อแสดงผลการ
พิจารณาถึงคุณค่าของ โครงการ ด้วยการนำข้อมูลไปวิเคราะห์หาประสิทธิผลเพื่อ
ช่วยให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจนำไปใช้ได้ โดย คำนึ งถึงความสำคัญของโครงการว่ามี
ความเหมาะสมเพียงใด บรรลุตามวัตถุประสงค์หรือไม่ เพราะ ผลการประเมินจะ
เป็นตัวกระตุ้นให้การดำเนิ นงานมีข้อบกพร่องน้ อยลง ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่ม
ประสิ ทธิภาพให้มากขึ้นในการทำงานของแต่ละโครงการ
ประโยชน์ ของการประเมินโครงการ
จากความมุ่งหมายและความสำคัญดังกล่าวแล้ว พอสรุปได้ว่าการ
ประเมินโครงการมี ประโยชน์ ในการกำหนดวัตถุประสงค์ และมาตรฐานของการ
ดำเนิ นงานมีความชัดเจนทำให้องค์กร ได้รับประโยชน์ เต็มที่ ทำให้แผนงานบรรลุ
วัตถุประสงค์ เพราะโครงการเป็นส่วนหนึ่ งของแผน ดังนั้ น เมื่อโครงการได้รับการ
ตรวจสอบวิเคราะห์ปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ดำเนิ นการไปด้วยดีช่วยการแก้ปัญหา อัน
เกิดจากผลกระทบ (impact) ของโครงการ และทำให้โครงการมีข้อที่ทำให้ความ
เสียหายน้ อยลงทำ ให้การควบคุมคุณภาพของงาน เพราะการประเมินโครงการ
เป็นการตรวจและควบคุมชนิ ดหนึ่ ง ช่วยในการสร้างขวัญและกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติ
งานตามโครงการ ทำให้การวางแผนหรือการกำหนดนโยบาย ของผู้บริหารและ
ฝ่ายการเมืองเป็นสารสนเทศช่วยการตัดสิ นใจในการบริหารโครงการ
การจัดกลุ่มรู ปแบบการประเมินโครงการ
การประเมินสามารถจัดเป็นกลุ่มโดยจำแนกตามวัตถุประสงค์ของการ
ประเมินออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้ (เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี, 2542: 63-64 )
1. กลุ่มรูปแบบการประเมินเพื่อการตัดสินใจ (decision oriented
evaluation) นั ก ประเมินกลุ่มนี้ มีความเชื่อในการประเมินที่เป็นระบบ โดยมีขั้น
ตอนการประเมินที่ครบวงจรซึ่งให้ สาร สน เ ท ศเ พ ื ่อ การ ตั ด สิ นใจท ี เ่ หมาะ
สมน ั กปร ะเ มิ นก ลุ ม่ นี ้ ไ ด ้ แก ่ คร อ น บาค (Cronbach,1963) สตัฟเฟิลบีม
(Stufflebeam,1990) อัลคิ(Alkin,1969) โปรวัส (Provus,1971) รวมทั้งรูปแบบ CSE
(Center for the Study of Evaluation) ซึ่งพัฒนาโดยมหาวิทยาลัย แคลิฟอร์เนี ยที่
ลอสแอนเจลิส (UCLA) ด้วย นั กทฤษฎีการประเมินยุคใหม่ ได้ให้ความสนใจต่อรูป
แบบ ของกลุ่มนี้ มาก เพราะสามารถนำผลการประเมินไปใช้ในการตัดสินใจสำหรับ
การบริหารงานได้เป็น อย่างดี
24
2. กลุ่มรูปแบบการประเมินเพื่อการตัดสินคุณค่า (value oriented
evaluation) นั ก ประเมินกลุ่มนี้ เห็นว่า การประเมินเป็นการให้คุณค่าหรือตีราคา
สิ่งที่ถูกประเมิน การประเมินใน ลักษณะนี้ ในยุคแรก ๆ มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์
และขาดความเชื่อถือ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันรูปแบบ การประเมินในกลุ่มนี้ ได้มีผู้
นิ ยมนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการเพื่อบริการ สังคม
หรือโครงการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของรัฐบาล ซึ่งมักจะมีความซับซ้อน จึงต้องอาศัย
วิธีการ ประเมินทั้งแบบมีระบบและแบบวิธีการธรรมชาติ (naturalistic
approach) ควบคู่กันไปโดยให้ ความสำคัญกับผลผลิตที่เกิดจากโครงการ
ทั้งหมด แม้จะเป็นผลกระทบก็ถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญต่อการ ตัดสินใจคุณค่าเช่น
กัน
แนวคิด หลักการและโมเดลการประเมินของอัลคิน (Alkin’s
Concepts Evatuation)
อัลคิน เห็นว่า “การประเมิน” คือกระบวนการของการคัดเลือก
ประมวลข้อมูลและการ จัดระบบสารสนเทศที่มีประโยชน์ เพื่อนำเสนอผู้มีอำนาจ
ในการตัดสินใจหรือเพื่อกำหนดทางเลือกใน การทำกิจกรรมหรือโครงการใด ๆ
อัลคิน ได้แบ่งการประเมินออกเป็น 5 ส่วน คือ
1. การประเมินเพื่อทำการกำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการการ
ประเมินส่วนนี้ เป็นการ ประเมินที่เกิดขึ้นก่อนที่จะทำกิจกรรมหรือโครงการใด ๆ
เป็นการประเมินเพื่อกำหนดวัตถุประสงค์ ของโครงการหรือเพื่อกำหนดเป้าหมาย
ของโครงการให้สอดคล้องกับภาวะความต้องการที่เป็นอยู่
2. การประเมินเพื่อการวางแผนโครงการการประเมินส่วนนี้ เป็นการ
ประเมินเพื่อหาวิธีการที่ เหมาะสมในการที่จะวางแผนให้การดำเนิ นงานใน
โครงการนั้ น ๆ ได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
3. การประเมินขณะกำลังดำเนิ นโครงการการประเมินส่วนนี้ จะเน้ นถึง
การพิจารณา ขั้นตอน การทางานว่าเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้หรือไม่หรือได้
ดำเนิ นการไปตามขั้นตอนที่ควรจะเป็นเพียงใด
4. การประเมินเพื่อการพัฒนางาน การประเมินส่วนนี้ เป็นการประเมิน
เพื่อค้นหารูปแบบ แนวทางหรือข้อเสนอแนะในการที่จะทำให้งานที่กำลังดำเนิ น
การอยู่นั้ นมีประสิทธิภาพมากที่สุด
5. การประเมินเพื่อรับรองงาน และเพื่อการยุบขยายหรือปรับเปลี่ยน
โครงการการประเมิน ส่วนนี้ เป็นการประเมินภายหลังการดำเนิ นงานตาม
โครงการ มีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบผลที่ได้กับ วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้รวมทั้ง
การประมวลผลข้อแนะนำ เพื่อนำไปใช้กับโครงการต่อไป และเพื่อให้ ข้อเสนอแนะ
ในการที่ จะยุบ เลิกขยาย หรือปรับเปลี่ยนโครงการใน ช่วงระยะเวลาต่อไปด้วย
จากแนวคิดหลักตามรูปแบบการประเมินของอัลคินนั้ นจะเห็นว่า
เป็นการประเมินเพื่อนำไปใช้ ในการตัดสินใจโดยนั กประเมินทำหน้ าที่เป็นผู้
เชี่ยวชาญในการหาและการเตรียมข้อมูลรวมทั้งสรุป และรายงานให้ผู้มีอำนาจใน
การตัดสินใจได้ทราบเพื่อหาทางเลือกที่เหมาะสมนั บว่าเป็นการประเมินที่ มีระบบ
คือมีการประเมินการวางแผนโครงการเพื่อช่วยให้ได้วิธีการที่บรรลุวัตถุประสงค์
ของโครงการ มี การประเมินการดำเนิ นโครงการเพื่อหาทางปรับปรุงจาก การ
ตรวจสอบ และสุดท้ายคือการประเมิน
25
เพื่อรับรองโครงการอย่างไรก็ตามแนวคิดดังกล่าวยังขาด แนวปฏิบัติที่ชัดเจน จึง
ยังไม่แพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำไปใช้ยังไม่กว้างขวางเท่าที่ควรแต่ก็ได้ให้
แนวคิดพื้นฐานของการประเมิน โครงการ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าควรจะมีการ
ประเมินที่เป็นระบบเพื่อให้การดำเนิ นโครงการเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
กรอบแนวคิดการประเมินผลของโครงการ
ภาพที่ 2.5 กรอบแนวคิดการประเมินผลของโครงการ
26
บทที่ 3
วิธีการประเมินโครงการ
รู ปแบบการประเมินโครงการ
การประเมินโครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้างรายได้ใช้รูป
แบบการประเมิน โครงการแบบ CIPP MODEL ของสตัฟเฟลบีม (D.L.
Stufflebeam, 1997 , P. 261-265) ดังนี้
ภาพที่ 3.1 รูปแบบการประเมินโครงการแบบ CIPP MODEL ของสตัฟเฟลบีม
27
วิธีการประเมินโครงการ
วิธีการประเมินโครงการของโครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการ
สร้างรายได้มีวิธีการ ประเมินผลโครงการเป็นแบบ การศึกษาเชิงคุณภาพ โดยใช้
รูปแบบการประเมินโครงการแบบ CIPP MODEL ของสตัฟเฟิลบีม ในการติดตาม
ผลการดำเนิ นโครงการ
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากร คือ ลูกค้า จำนวน 5 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้า จำนวน 3
คน ผู้รับผิดชอบโครงการ จำนวน 2 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่าง แบบเฉพาะเจาะจง
เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินโครงการ
การประเมินโครงการใช้กระบวนการศึกษาเชิงคุณภาพ จึงมีเครื่องมือที่
ใช้ในการประเมิน โครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้างรายได้ประกอบ
ไปด้วย แบบสัมภาษณ์การสังเกต โดยการทำแบบสัมภาษณ์ มีจำนวน 5 ฉบับ โดย
จะมีเนื้ อหาในแต่ละส่วนของแบบสัมภาษณ์ ดังนี้ ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามข้อมูล
ทั่วไปของผู้ตอบแบบสัมภาษณ์ได้แก่ เพศ อายุอาชีพ การศึกษา รายได้โดยเป็น
แบบปลายเปิดให้เลือกตอบตามที่กำหนด ส่วนที่ 2 เป็นแบบสัมภาษณ์การประเมิน
โครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้าง รายได้โดยใช้แบบประเมิน CIPP
MODEL มี 4 ด้าน จำนวน 12 ข้อ ดังนี้ 1. ด้านสภาวะแวดล้อม (Context) จำนวน 3
ข้อ 2. ด้านปัจจัย (Input) จำนวน 3 ข้อ 3. ด้านกระบวนการ (Process) จำนวน 3
ข้อ 4. ด้านผลผลิต (Product) จำนวน 3 ข้อ ส่วนที่ 3 ปัญหาหรือข้อเสนอแนะเกี่ยว
กับการดำเนิ นโครงการโดยเป็นแบบปลายเปิด
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้จัดทำได้ทำหน้ าที่ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ด้วยตนเอง โดยมี รายละเอียดในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้
1. ขอความร่วมมือจากลูกค้าเพื่อทำแบบสัมภาษณ์ในการทำงานของ
โครงการ
2. การทำแบบสัมภาษณ์จะใช้เวลาคนละประมาณ 10 - 15 นาที
28
3. จากนั้ นผู้สัมภาษณ์ตรวจสอบความถูกต้อง เพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์
ต่อไป
การวิเคราะห์ผลการประเมินโครงการ
วิเคราะห์ผลการประเมินโครงการ โดยใช้การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ
ขั้นตอนที่ 1 การจัดระเบียบข้อมูล คือ การทำให้ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมา
อยู่ในสภาพที่สะดวก และง่ายต่อการนำไปวิเคราะห์
ขั้นตอนที่ 2 การทำดัชนี หรือกำหนดรหัสของข้อมูล การทำดัชนี หรือ
เรียกอีกอย่างหนึ่ งว่า การกำหนดรหัสของข้อมูล (Coding) นั้ นเป็นการจัดระเบียบ
ทางเนื้ อหา ซึ่งต่างจากจัดระเบียบข้อมูล ในขั้นตอนที่ 1 ที่เป็นการจัดข้อมูลให้เป็น
หมวดหมู่หรือเป็นประเภทตามข้อมูลที่เก็บรวบรวมมา หรือ เรียกว่า การจัดระเบียบ
ข้อมูลทางกายภาพ แต่การทำดัชนี ข้อมูลหรือกำหนดรหัสข้อมูลนั้ น คือ การ จัด
ข้อมูลโดยการใช้คำหลักซึ่งอาจมีลักษณะเป็นวลีหรือข้อความหนึ่ งมาแทนข้อมูลที่
บันทึกไว้ในบันทึก ภาคสนาม ส่วนที่เป็นการบันทึกพรรณนา หรือบันทึกละเอียด
ส่วนใดส่วนหนึ่ ง เพื่อแสดงให้เห็นข้อมูล ในการบันทึกพรรณนาส่วนนั้ นเป็นเรื่อง
เกี่ยวกับอะไร คำหลัก (วลีหรือข้อความ) ที่กำหนดขึ้นนั้ นจะมี ลักษณะเป็นมโน
ทัศน์ (concep) ซึ่งมีความหมายแทนข้อมูลบันทึกละเอียดส่วนนั้ น การจัดทำดัชนี
หรือกำหนดรหัสของข้อมูลนั้ น สามารถทำได้สองลักษณะคือ จัดทำไว้ล่วงหน้ า
ก่อนเช้า สนามวิจัย และจัดทำตามข้อมูลที่ปรากฎในบันทึกภาคสนาม หรือบางครั้ง
เรียกว่า การจัดทำดัชนี ข้อมูลแบบนิ ร นั ย (deductive coding) และแบบอุปนั ย
(inductive coding) การกำหนดดัชนี หรือกำหนดรหัสของ ข้อมูลไว้ล่วงหน้ าก่อน
เข้า สนามวิจัยหรือแบบการกำหนดดัชนี แบบนิ รนั ย จะพิจารณาจากกรอบ แนวคิด
ทฤษฎี ปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัยว่าต้องการศึกษาหาคำตอบให้กับ
ปัญหาใดและ ปัญหาดังกล่าวอาศัยแนวคิดหรือทฤษฎีใด ๆ รองรับหรือช่วยชี้
แนวทางวิจัยใดบ้าง
ขั้นตอนที่ 3 การกำจัดข้อมูลหรือสร้างข้อสรุปชั่วคราว ในขั้นตอนนี้ คือ
การสรุปเชื่อมโยงดัชนี คำหลักเข้าด้วยกันภายหลังจากผ่านกระบวนการทำดัชนี
หรือกำหนดรหัส ข้อมูลแล้ว การเชื่อมโยง คำหลักเข้าด้วยกันจะเขียนเป็นประโยค
ข้อความที่แสดงความสัมพันธ์ ระหว่างคำหลัก และจากการ เชื่อมโยงดัชนี คำหลัก
ในตัวอย่างเข้าด้วยกันจะเห็นว่าทำให้ข้อมูลในส่วนที่เป็นบันทึกละเอียดที่มีอยู่ มาก
นั้ นถูกลดทอนหรือ ตัดทิ้งไปจนกระทั่งเหลือเฉพาะประเด็นหลัก ๆ ที่นำมาผูกโยง
กันเท่านั้ น ซึ่งทำ ให้ข้อมูลมีความกระชับชัดเจนมากขึ้น
ขั้นตอนที่ 4 การสร้างบทสรุป ในขั้นตอนการสร้างบทสรุป ก็คือ การ
เขียนเชื่อมโยงข้อสรุป ชั่วคราวที่ผ่านการตรวจสอบยืนยันแล้วเข้าด้วยกัน การเชื่อม
ข้อสรุปชั่วคราวนั้ นจะเชื่อมโยงตามลำดับ ข้อสรุปแต่ละข้อสรุปเป็นบทสรุปย่อยและ
เชื่อมโยงบทสรุปย่อยแต่ละ บทสรุปเข้าด้วยกันเป็นบทสรุป สุดท้าย การเชื่อมโยง
แต่ละครั้งจะพิจารณา ความสัมพันธ์ ระหว่างข้อมูลที่สรุปว่า ข้อมูลชุดใดสัมพันธ์
29
กับข้อมูลชุดใดและสัมพันธ์ในลักษณะ "เป็นส่วนหนึ่ ง" หรือ "อยู่ภายใต้ข้อมูลชุด
ใด" นั่ นคือ การ เชื่อมโยงจัดลำดับ ข้อสรุปและบทสรุปย่อยเข้าด้วยกันนั้ นจะมี
ลักษณะลดหลั่นตามลำดับขั้น ความสัมพันธ์ (Hierarchy) จนกระทั่งผลสุดท้ายจะ
ได้บทสรุปใหญ่ที่มีความสัมพันธ์ครอบคลุมข้อสรุป และบทสรุปย่อย ๆ ในรูปของ
ข้อความเชิงอธิบายที่มีลักษณะเป็นนามธรรม สูงกว่าข้อสรุปและบทสรุป ย่อย
ข้อความที่กล่าวนี้ สามารถใช้อธิบายปรากฎการณ์ หรือข้อเท็จจริงได้อย่างรอบด้าน
ขั้นตอนที่ 5 การพิสูจน์ ความน่ าเชื่อถือของผลการวิเคราะห์ภายหลัง
จากที่ได้สร้างบทสรุป แล้ว ก็จะทำให้ได้ชุดของข้อความที่มีลักษณะเป็นนามธรรม
ทั้งนี้ เพื่อจะ ให้บทสรุปดังกล่าว มีความ น่ าเชื่อถือจึงจำเป็นต้องย้อนกลับไป
พิจารณาข้อมูลที่มีลักษณะเป็นไปธรรม เพื่อพิสูจน์ ว่าบทสรุป นั้ น สอดคล้องกัน
หรือไม่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการพิสูจน์ บทสรุปก็มักจะเป็นการพิจารณาวิธีการเก็บ
ข้อมูลนั้ น ว่าดำเนิ นการอย่าง รอบคอบหรือไม่เพียงไร และข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้
มานั้ นเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพ น่ าเชื่อถือหรือไม่ ทั้งนี้ วิธีการพิสูจน์ ความ น่ าเชื่อถือ
ของบทสรุปซึ่งเป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูล สามารถ กระทำได้โดยการตรวจสอบ
ความเป็นตัวแทนที่ดีของข้อมูลว่าข้อมูลที่เก็บได้มาจากแหล่งบุคคลที่เป็น ตัวแทน
ของกลุ่มบุคคลส่วนใหญ่หรือไม่ หรือว่าได้มาจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ งเพียงคน
เดียว ผู้วิจัยได้รับ ความไว้วางใจจากผู้ให้ข้อมูลมากน้ อยเพียงใด นอกจากนี้ ยังอาจ
มีใช้วิธีการตรวจสอบข้อมูลโดยการ ตรวจสอบผลว่าอาจจะเกิดขึ้นจากอิทธิพลของ
นั กวิจัย
30
บทที่ 4
ผลการประเมินโครงการ
การศึ กษาการประเมินโครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้าง
รายได้ได้ใช้วิธีการ สัมภาษณ์จากผู้รับผิดชอบโครงการ และลูกค้า (ผู้ซื้อสินค้า)
เพื่อใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์และ ประเมินผลโครงการ
จากการดำเนิ นโครงการ ผู้รับผิดชอบโครงการจะนำเสนอผลการ
ดำเนิ นโครงการออกเป็น 3 ส่วน ซึ่งมีหัวข้อนำเสนอดังนี้
1. ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสัมภาษณ์
2. ผลการประเมินโครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้างราย
ได้
3. ปัญหาหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนิ นโครงการ
ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสั มภาษณ์
จากการเก็บรวบรวมข้อมูลในการประเมินผลโครงการทำเค้กกล้วยหอม
เพื่อต่อยอดการสร้าง รายได้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ได้
ทั้งหมด 5 คน จำแนกรายละเอียดของผู้ที่ให้ สัมภาษณ์ได้ดังนี้
ตารางที่ 4.1 จำนวนผู้ให้สัมภาษณ์และประเภทของผู้ให้สัมภาษณ์ข้อมูล
ผลการประเมินโครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้างรายได้
ผลการประเมินโครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้างราย
ได้การนำเสนอผลการ ประเมินโครงการ ผู้รับผิดชอบโครงการได้นำเสนอผลการ
ประเมินโครงการ จำนวน 4 ด้าน ดังนี้
1. ผลการประเมินด้านสภาวะแวดล้อม
2. ผลการประเมินด้านปัจจัยเบื้องต้น ปัจจัยป้อน
3. ผลการประเมินด้านกระบวนการ
4. ผลการประเมินด้านผลผลิต
31
ผลการประเมินด้านสภาวะแวดล้อม
ด้านที่1 ผลการประเมินด้านสภาวะแวดล้อม หลังการดำเนิ นโครงการ
ประเด็นคำถาม และ มีผู้สัมภาษณ์ตอบแบบสัมภาษณ์ตามข้อคำถามต่าง ๆ ของการ
ประเมินโครงการด้านสภาวะแวดล้อม ดังตารางที่ 4.2 – 4.4
วัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการมีความสอดคล้องกับตัวสิ นค้ามากน้ อย
เพียงใด
ตารางที่ 4.2 วัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการมีความสอดคล้องกับตัวสินค้า
มากน้ อยเพียงใด
จากตารางที่ 4.2 คำตอบของผู้ให้สัมภาษณ์ของข้อคำถาม วัตถุประสงค์
และเป้าหมายของ โครงการมีความสอดคล้องกับตัวสินค้ามากน้ อยเพียงใด โดย
รวมผู้ให้สัมภาษณ์ได้ให้รายละเอียดการ ประเมินไว้คือ วัตถุประสงค์และเป้าหมาย
ของโครงการมีความสอดคล้องกับตัวสินค้า และสามารถนำ ได้ทำได้จริงตาม
วัตถุประสงค์ของโครงการ
ระยะเวลาในการผลิตสิ นค้ามีความเหมาะสมกับเป้าหมายของโครงการหรือไม่
อย่างไร
ตารางที่ 4.3 ระยะเวลาในการผลิตสินค้ามีความเหมาะสมกับเป้าหมายของ
โครงการหรือไม่ อย่างไร
32
จากตารางที่ 4.3 คำตอบของผู้ให้สัมภาษณ์ของข้อคำถาม ระยะเวลาในการ
ผลิตสินค้ามีความ เหมาะสมกับเป้าหมายของโครงการหรือไม่ อย่างไร โดยรวมผู้
ให้สัมภาษณ์ได้ให้รายละเอียดการ ประเมินไว้คือ ระยะเวลาในการผลิตสินค้ามี
ความเหมาะสมกับเป้าหมายของโครงการ และสามารถ ผลิตสินค้าได้ตามเป้าหมาย
จริง
มีการจัดบรรยากาศในการขายสิ นค้ามีความเหมาะสมมากน้ อยเพียงใด
ตารางที่ 4.4 มีการจัดบรรยากาศในการขายสินค้ามีความเหมาะสมมากน้ อยเพียงใด
จากตารางที่ 4.4 คำตอบของผู้ให้สัมภาษณ์ของข้อคำถาม มีจัด
บรรยากาศในการขายสินค้ามี ความเหมาะสมมากน้ อยเพียงใด โดยรวมผู้ให้
สัมภาษณ์ได้ให้รายละเอียดการประเมินไว้คือ บรรยากาศในการขายสินค้ามีความ
เหมาะสม เพราะบรรยากาศคือสิ่งที่สำคัญในการขายสินค้า และ บรรยากาศทำให้
การขายดูซื้อมากขึ้น
ผลรวมด้านที่1 การประเมินด้านสภาะแวดล้อม
จากตารางที่ 4.2 – 4.4 ผลการประเมินด้านสภาวะแวดล้อม คือ
วัตถุประสงค์และเป้าหมาย ของโครงการมีความสอดคล้องกับตัวสินค้า และ
สามารถนำได้ทำได้จริงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ระยะเวลาในการผลิตสินค้า
มีความเหมาะสมกับเป้าหมายของโครงการ และสามารถผลิตสินค้าได้ตาม เป้า
หมายจริง บรรยากาศในการขายสินค้ามีความเหมาะสม เพราะบรรยากาศคือสิ่งที่
สำคัญในการ ขายสินค้า และบรรยากาศทำให้การขายดูซื้อมากขึ้น
33
ผลการประเมินด้านปัจจัย
ด้านที่ 2 ผลการประเมินด้านปัจจัย หลังการดำเนิ นโครงการประเด็น
คำถาม และมีผู้ สัมภาษณ์ตอบแบบสัมภาษณ์ตามข้อคำถามต่าง ๆ ของการประเมิน
โครงการด้านสภาวะแวดล้อม ดัง ตารางที่ 4.5 - 4.7
ในการผลิตสินค้าใช้งบประมาณเหมาะสมกับการดำเนินงานหรือไม่ อย่างไร
ตารางที่ 4.5 ในการผลิตสินค้าใช้งบประมาณเหมาะสมกับการดำเนิ นงาน
หรือไม่ อย่างไร
จากตารางที่ 4.5 คำตอบของผู้ให้สัมภาษณ์ของข้อคำถาม ในการผลิต
สินค้าใช้งบประมาณ เหมาะสมกับการดำเนิ นงานหรือไม่อย่างไร โดยรวมผู้ให้
สัมภาษณ์ได้ให้รายละเอียดการประเมินไว้ คือ งบประมาณพอเพียงในการดำเนิ น
งานและสามารถนำไปใช้ได้จริง หากอยากทำเป็นอาชีพ และ งบประมาณที่ใช้มี
ความเหมาะสมกับการดำเนิ นงาน
วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิตสิ นค้ามีความเหมาะสมมากน้ อย
เพียงใด
ตารางที่ 4.6 วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ในการผลิตสินค้ามีความเหมาะสม
มากน้ อยเพียงใด
34
จากตารางที่4.6 คำตอบของผู้ให้สัมภาษณ์ของข้อคำถาม วัสดุอุปกรณ์และ
เครื่องมือเครื่องใช้ ในการผลิตสินค้ามีความเหมาะสมกมากน้ อยเพียงใด โดยรวม
ผู้ให้สัมภาษณ์ได้ให้รายละเอียดการ ประเมินไว้คือ วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือ
เครื่องใช้มีความเหมาะสมกันและมีความพร้อมในการผลิต สินค้า เครื่องมือเรรื่อง
ใช้ในการผลิตสิ นค้ามีความเหมาะสมกัน
สถานที่ในการดำเนินโครงการมีความเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร
ตารางที่ 4.7 สถานที่ในการดำเนิ นโครงการมีความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร
จากตารางที่ 4.7 คำตอบของผู้ให้สัมภาษณ์ของข้อคำถาม สถานที่ในการ
ดำเนิ นโครงการมี ความเหมาะสมหรือไม่อย่างไร โดยรวมผู้ให้สัมภาษณ์ได้ให้ราย
ละเอียดการประเมินไว้คือ มีความ เหมาะสม เพราะสถานที่ดำเนิ นโครงการเป็น
บ้านของผู้รับผิดชอบโครงเอง ดังนั้ นจึงมีความสะดวกใน การดำเนิ นงาน
ผลรวมด้านที่2 การประเมินด้านปัจจัย
จากตารางที่ 4.5 – 4.7 ผลการประเมินด้านปัจจัย คือ งบประมาณพอ
เพียงในการดำเนิ นงาน และสามารถนำไปใช้ได้จริง หากอยากทำเป็นอาชีพ และ
งบประมาณที่ใช้มีความเหมาะสมกับการ ดำเนิ นงาน วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือ
เครื่องใช้มีความเหมาะสมกันและมีความพร้อมในการผลิตสินค้า เครื่องมือเครื่อง
ใช้ในการผลิตสินค้ามีความเหมาะสมกัน มีความเหมาะสม เพราะสถานที่ดำเนิ น
โครงการเป็นบ้านของผู้รับผิดชอบโครงเอง ดังนั้ นจึงมีความสะดวกในการดำเนิ น
งาน
35
ผลการประเมินด้านกระบวนการ
ด้านที่3 ผลการประเมินด้านกระบวนการ หลังการดำเนิ นโครงการ
ประเด็นคำถาม และมีผู้ สัมภาษณ์ตอบแบบสัมภาษณ์ตามข้อคำถามต่าง ๆ ของการ
ประเมินโครงการด้านสภาวะแวดล้อม ดัง ตารางที่ 4.8 – 4.10
การจัดทำโครงการสามารถวัดความรู้ความสามารถมากน้ อยเพียงใด
ตารางที่ 4.8 การจัดทำโครงการสามารถวัดความรู้ความสามารถมากน้ อยเพียงใด
จากตารางที่ 4.8 คำตอบของผู้ให้สัมภาษณ์ของข้อคำถาม การจัดทำ
โครงการสามารถวัด ความรู้ความสามารถมากน้ อยเพียงใด โดยรวมผู้ให้สัมภาษณ์
ได้ให้รายละเอียดการประเมินไว้คือ ใน การจัดทำโครงการสามารถวัดความรู้ความ
สามารถได้มาก เพราะสามารถนำความรู้ความสารถที่ได้ จากการจัดทำโครงการไป
ใช้ให้เก้ดประโยชน์ ได้
กิจกรรมของโครงการมีความเหมาะสมกับการผลิตสิ นค้ามากน้ อยเพียงใด
ตารางที่ 4.9 กิจกรรมของโครงการมีความเหมาะสมกับการผลิตสินค้ามากน้ อยเพียงใด
36
จากตารางที่4.9 คำตอบของผู้ให้สัมภาษณ์ของข้อคำถาม กิจกรรมของ
โครงการมีความ เหมาะสมกับการผลิตสินค้ามากน้ อยเพียงใด โดยรวมผู้ให้
สัมภาษณ์ได้ให้รายละเอียดการประเมินไว้ ค่ือ กิจกรรมของโครงการมีความเหมาะ
สมกับการผลิตสินค้า เพราะในกิจกรรมของโครงการเชื่อมโยง กับการผลิตสินค้า
และในกิจกรรมของโครงการมีความสอดคล้องกับการผลิตสิ นค้า
การผลิตสิ นค้าและการขายสิ นค้าสามารถนำความรู้มาปฏิบัติได้มากน้ อยเพียงใด
ตารางที่ 4.10 การผลิตสินค้าและการขายสินค้าสามารถนำความรู้มา
ปฏิบัติได้มากน้ อยเพียงใด
จากตารางที่ 4.10 คำตอบของผู้ให้สัมภาษณ์ของข้อคำถาม การผลิต
สินค้าและการขายสินค้า สามารถนำความรู้มาปฏิบัติได้มากน้ อยเพียงใด โดยรวมผู้
ให้สัมภาษณ์ได้ให้รายละเอียดการประเมินไว้ คือ สามารถนำความรู้มาปฏิบัติได้
เพราะในการทำจัดโครงการ ได้ทำการผลิตสินค้าและทำการขาย สินค้าจริง
สามารถนำความรู้มาปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์ ได้
ผลรวมด้านที่3 การประเมินด้านกระบวนการ
จากตารางที่ 4.8 – 4.10 ผลการประเมินด้านกระบวนการ คือ ในการ
จัดทำโครงการสามารถ วัดความรู้ความสามารถได้มาก เพราะสามารถนำความรู้
ความสารถที่ได้จากการจัดทำโครงการไปใช้ ให้เก้ดประโยชน์ ได้กิจกรรมของ
โครงการมีความเหมาะสมกับการผลิตสินค้า เพราะในกิจกรรมของ โครงการเชื่อม
โยงกับการผลิตสินค้า และในกิจกรรมของโครงการมีความสอดคล้องกับการผลิต
สินค้า สามารถนำความรู้มาปฏิบัติได้เพราะในการทำจัดโครงการ ได้ทำการผลิต
สินค้าและทำการขายสินค้า จริง สามารถนำความรู้มาปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์
ได้
37
ผลการประเมินด้านผลผลิต
ด้านที่4 ผลการประเมินด้านผลผลิต หลังการดำเนิ นโครงการประเด็น
คำถาม และมีผู้ สัมภาษณ์ตอบแบบสัมภาษณ์ตามข้อคำถามต่าง ๆ ของการประเมิน
โครงการด้านสภาวะแวดล้อม ดัง ตารางที่ 4.11 - 4.13
สามารถนำความรู้จากการปฏิบัติไปใช้ในชีวิตประจำวันได้หรือไม่อย่างไร
ตารางที่ 4.11 สามารถนำความรู้จากการปฏิบัติไปใช้ในชีวิตประจำวันได้หรือไม่
อย่างไร
จากตารางที่ 4.11 คำตอบของผู้ให้สัมภาษณ์ของข้อคำถาม สามารถนำ
ความรู้จากการปฏิบัติ ไปใช้ในชีวิตประจำวันหรือไม่ อย่างไร โดยรวมผู้ให้
สัมภาษณ์ได้ให้รายละเอียดการประเมินไว้คือ ความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติสามารถนำ
ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง และเห็นผล และยังสามารถนำ แนวทางในการปฏิบัติ
ไปต่อยอดได้
ผู้ประเมินคิดว่าทางผู้จัดสามารถนำความรู้จากการทำโครงการไปต่อยอดเพื่อ
ประกอบอาชีพ ได้มากน้อยเพียงใด
ตารางที่ 4.12 ผู้ประเมินคิดว่าทางผู้จัดสามารถนำความรู้จากการทำโครงการไป
ต่อยอดเพื่อประกอบอาชีพได้มากน้ อยเพียงใด
38
จากตารางที่ 4.12 คำตอบของผู้ให้สัมภาษณ์ของข้อคำถาม ผู้ประเมินคิด
ว่าทางผู้จัดสามารถ นำความรู้จากการทำโครงการไปต่อยอดเพื่อประกอบอาชีพได้
มากน้ อยเพียงใด โดยรวมผู้ให้สัมภาษณ์ ได้ให้รายละเอียดการประเมินไว้คือ ผู้จัด
ทำสามารถนำความรู้จากการทำโครงการไปต่อยอดเพื่อ ประกอบอาชีพได้จริง
และสามารถทำเป็นอาชีพหลักได้สามารถต่อยอดเป็นอาชีพได้ในอนาคต
จากการเข้าร่วมโครงการ ผู้เข้าร่วมสามารถนำความรู้มาปรับใช้อย่างไรได้บ้าง
ตารางที่ 4.13 จากการเข้าร่วมโครงการ ผู้เข้าร่วมสามารถนำความรู้มาปรับใช้
อย่างไรได้บ้าง
จากตารางที่ 4.13 คำตอบของผู้ให้สัมภาษณ์ของข้อคำถาม จากการเข้า
ร่วมโครงการ ผู้เข้าร่วมสามารถนำความรู้มาปรับใช้อย่างไรได้บ้าง โดยรวมผู้ให้
สัมภาษณ์ได้ให้รายละเอียดการ ประเมินไว้คือ จากการที่ได้เข้าร่วมโครงการ
สามารถนำวิธีการทำมาใช้เพื่อการต่อยอดได้สามารถนำ ความรู้มาปรับใช้ใน
ทางการประกอบอาชีพในอนาคตได้
ผลรวมด้านที่4 การประเมินด้านผลผลิต
จากตารางที่4.11 – 4.13 ผลการประเมินด้านผลผลิต คือ ความรู้ที่ได้
จากการปฏิบัติสามารถ นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง และเห็นผล และยัง
สามารถนำแนวทางในการปฏิบัติไปต่อยอดได้ ผู้จัดทำสามารถนำความรู้จากการ
ทำโครงการไปต่อยอดเพื่อประกอบอาชีพได้จริง และสามารถทำเป็น อาชีพหลักได้
สามารถต่อยอดเป็นอาชีพได้ในอนาคต จากการที่ได้เข้าร่วมโครงการสามารถนำ
วิธีการ ทำมาใช้เพื่อการต่อยอดได้สามารถนำความรู้มาปรับใช้ในทางการประกอบ
อาชีพในอนาคตได้
39
ปัญหาหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนิ นโครงการ
ปัญหาหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนิ นโครงการ ที่ได้จากผู้ให้
สั มภาษณ์ ในตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 4.14 ปัญหาหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกันบการดำเนิ นโครงการ
จากตารางที่ 4.14 คำตอบของผู้ให้สัมภาษณ์ของข้อคำถาม ปัญหาหรือข้อ
เสนอแนะเกี่ยวกับ การดำเนิ นโครงการ โดยรวมผู้ให้สัมภาษณ์ได้ให้รายละเอียดไว้
คือ ควรยืดเวลาในการขายสินค่้า และ การปรับเปลี่ยนรสชาติให้มีหลากหลายเพื่อ
เป็นตัวเลือกให้แก่ลูกค้า ปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้ดู เหมาะสม ควรปรับขนาด
ขนมได้ความเหมาะสมและเปลี่ยนแปลงได้ตามโอกาส สามารถปรับเวลาใน การนึ่ ง
ขนมเพื่อให้ดูมีสี สั นที่สวยงาม
40
บทที่ 5
สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
สรุ ปผลการประเมินโครงการ
ผลการประเมินโครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้างรายได้
หลังการดำเนิ นงาน โดยรวมเฉลี่ยทุกด้านอยู่ในระดับที่ค่อยข้างดีและมีราย
ละเอียดในแต่ละด้านของการประเมิน ดังนี้
ผลการประเมินโครงการด้านสภาวะแวดล้อม
วัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการมีความสอดคล้องกับตัวสิ นค้า
และสามารถนำได้ทำ ได้จริงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ระยะเวลาในการผลิต
สินค้ามีความเหมาะสมกับเป้าหมายของ โครงการและสามารถผลิตสินค้าได้ตาม
เป้าหมายจริง บรรยากาศในการขายสินค้ามีความเหมาะสม เพราะบรรยากาศคือ
สิ่งที่สำคัญในการขายสินค้า และบรรยากาศทำให้การขายดูซื้อมากขึ้น
ผลการประเมินโครงการด้านปัจจัย
งบประมาณพอเพียงในการดำเนิ นงานและสามารถนำไปใช้ได้จริง หาก
อยากทำเป็นอาชีพ และงบประมาณที่ใช้มีความเหมาะสมกับการดำเนิ นงาน วัสดุ
อุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้มีความ เหมาะสมกันและมีความพร้อมในการผลิต
สินค้า เครื่องมือเรรื่องใช้ในการผลิตสินค้ามีความเหมาะสมกัน มีความเหมาะสม
เพราะสถานที่ดำเนิ นโครงการเป็นบ้านของผู้รับผิดชอบโครงเอง ดังนั้ นจึงมีความ
สะดวกในการดำเนิ นงาน
ผลการประเมินโครงการด้านกระบวนการ
ในการจัดทำโครงการสามารถวัดความรู้ความสามารถได้มาก เพราะ
สามารถนำความรู้ความ สารถที่ได้จากการจัดทำโครงการไปใช้ให้เก้ดประโยชน์
ได้กิจกรรมของโครงการมีความเหมาะสมกับการผลิตสินค้า เพราะในกิจกรรม
ของโครงการเชื่อมโยงกับการผลิตสินค้า และในกิจกรรมของโครงการมีความ
สอดคล้องกับการผลิตสินค้า สามารถนำความรู้มาปฏิบัติได้เพราะในการทำจัด
โครงการ ได้ทำการผลิตสินค้าและทำการขายสินค้าจริง สามารถนำความรู้มา
ปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์ ได้
41
ผลการประเมินโครงการด้านผลผลิต
ความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง และ
เห็นผล และยัง สามารถนำแนวทางในการปฏิบัติไปต่อยอดได้ผู้จัดทำสามารถนำ
ความรู้จากการทำโครงการไปต่อ ยอดเพื่อประกอบอาชีพได้จริง และสามารถทำ
เป็นอาชีพหลักได้สามารถต่อยอดเป็นอาชีพได้ใน อนาคต จากการที่ได้เข้าร่วม
โครงการสามารถนำวิธีการทำมาใช้เพื่อการต่อยอดได้สามารถนำความรู้ มาปรับใช้
ในทางการประกอบอาชีพในอนาคตได้
อภิปรายผล
โครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้างรายได้ได้จัดทำขึ้นโดยมี
วัตถุประสงค์1. เพื่อ สร้างเสริมการสร้างรายได้เสริม 2. เพื่อพัฒนาสามารถที่มีอยู่
เพื่อนำไปประกอบอาชีพ 3. เพื่อให้ สมาชิกสามารถทำเค้กกล้วยหอมเป็น โดย
โครงการที่ได้จัดทำขึ้มานั้ นมีเป้าหมาย คือ เพื่อให้ได้เค้ก กล้วยหอมจากการลงมือ
ทำ จำนวน 100 – 120 ชิ้น ภายใน 1 วัน จัดจำหน่ ายเค้กกล้วยหอมให้กับ ลูกค้า
จำนวน 100 ชิ้น ภายใน 1 วัน และเมื่อสิ้นสุดโครงการ สมาชิกในกลุ่มมีความเข้าใจ
วิธีการทำได้ ร้อยละ 80 ในการทำเค้กกล้วยหอม และสามารถทำเค้กกล้วยหอมได้
ในการดำเนิ นโครงการได้มีการ จัดกิจกรรม คือ การทำเค้กกล้วยหอม เป็นการจัด
ทำรายวันในระยะเวลา 1 เดือน นั บจากวันที่เริ่มทำ โครงการ และมีการติดตามผล
การประเมินผลโครงการใช้รูปแบบการประเมิน CIPP MODEL ของสตัฟเฟลบีม
โดยมีรายละเอียดการประเมินในด้านทั้ง 4 คือ ด้านสภาวะแวดล้อม วัตถุประสงค์
และเป้าหมายของโครงการมีความสอดคล้องกับตัวสินค้า และสามารถนำได้ทำได้
จริงตาม วัตถุประสงค์ของโครงการด้านปัจจัย งบประมาณพอเพียงในการดำเนิ น
งานและสามารถนำไปใช้ได้ จริง วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้มีความเหมาะ
สมกันและมีความพร้อมในการผลิตสินค้า ด้าน กระบวนการ ในการจัดทำ
โครงการสามารถวัดความรู้ความสามารถได้มาก สามารถนำความรู้มา ปฏิบัติได้
เพราะในการทำจัดโครงการ ได้ทำการผลิตสินค้าและทำการขายสินค้าจริง
สามารถนำ ความรู้มาปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์ ได้ด้านผลผลิต ความรู้ที่ได้จาก
การปฏิบัติสามารถนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวันได้จริง และเห็นผล และยังสามารถนำ
แนวทางในการปฏิบัติไปต่อยอดได้สามารถนำ ความรู้มาปรับใช้ในทางการ
ประกอบอาชีพในอนาคตได้ โครงการทำเค้กกล้วยหอมเพื่อต่อยอดการสร้างราย
ได้ถือว่าประสบควทมสำเร็จ และ สามารถจัดทำขึ้นได้อีกในครั้งต่อ ๆ ไป อีกทั้ง
ทางผู้จัดทำโครงการยังสามารถพัฒนาโครงการนี้ ไปได้อีกด้วย
42
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะจากการดำเนิ นโครงการ
ควรยืดเวลาในการขายสินค่้า และการปรับเปลี่ยนรสชาติให้มีหลากหลาย
เพื่อเป็นตัวเลือก ให้แก่ลูกค้า ปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้ดูเหมาะสม ควรปรับขนาด
ขนมได้ความเหมาะสมและ เปลี่ยนแปลงได้ตามโอกาส สามารถปรับเวลาในการนึ่ ง
ขนมเพื่อให้ดูมีสีสันที่สวยงาม ในการทำเค้ก กล้วยยังสามารถเปลี่ยนแปลงรูป
แบบ ขนาดได้ตามความเหมาะสมและแต่ละโอกาสได้อีกด้วย