รายงานฉบบั สมบรู ณ์
โครงการปลูกผักสวนครัว
ปีการศกึ ษา 2564
สาขาวิชารฐั ประศาสนศาสตร์
คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสรุ าษฎร์ธานี
รายงานฉบบั สมบูรณ์
โครงการปลกู ผักสวนครวั
จัดทำโดย
นางสาวธนิสรา ไชยสาลี 6216209001163
นางสาวเปรมกมล ศักดา 6216209001177
นายศิวกร อัครกานต์ 6216209001187
เสนอ
อาจารย์ อยับ ซาดคั คาน
สาขาวชิ ารัฐประศาสนศาสตร์
คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภัฏสุราษฎร์ธานี
ก
คำนำ
โครงการปลูกผักสวนครัวจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์1.เพื่อให้มีพืชผักเพียงพอต่อการบริโภค
ในครอบครัว2. เพื่อส่งเสริมให้ผู้ทำโครงการมีความรู้และมีประสบการณ์ด้านการเกษตร3. มีอาหารท่ี
ผลิตขึ้นมาเองทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งการกำหนดจุดพัฒนา การวางแผน การปฏิบัติงานตาม
แผนและประเมนิ โครงการ เพอื่ นำผลการประเมนิ โครงการไปใช้ในการพัฒนางานอยา่ งและเป็นระบบ
และผลการดำเนินงานช่วยให้นักศึกษาได้พัฒนาตนเอง ในการเสริมทักษะความรู้ในเรื่องที่ศึกษาสง่ ผล
ใหน้ กั ศกึ ษามคี ณุ ภาพตามจดุ หมายของหลกั สูตร
ขอขอบคุณอาจารย์ อยับ ซาดัคคาน (ที่ให้คำปรึกษา แนะนำ) และคณะผู้จัดทำโครงการ
สมาชิกทั้งหมดที่ให้ความร่วมมือในการดำเนินโครงการปลูกผักสวนครัวและประเมินโครงการปลูกผัก
สวนครัวซึ่งเป็นโครงการพัฒนาตนเองในช่วงโรคระบาด covid 19 ทำให้การดำเนินงานบรรลุผลตาม
เป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับคือคณะผู้จัดทำโครงการได้ความรู้และประสบการณ์ด้าน
การเกษตรอีกท้งั ยงั มพี ชื ผกั เพียงพอต่อการบรโิ ภคในครอบครัวและผ้เู กย่ี วข้อง สำหรบั ใช้ในการพัฒนา
งาน ใหม้ คี วามกา้ วหนา้ ตอ่ ไป
เปรมกมล ศักดา
(นางสาวเปรมกมล ศกั ดา)
หวั หน้าโครงการ
ข
สารบญั
หนา้
คำนำ…………………………………………………………………………………………………………………………………….ก
สารบญั …………………………………………………………………………………………………………………………………ข
สารบัญ (ต่อ)………………………………………………………………………………………………………………………….ค
สารบญั ภาพ…………………………………………………………………………………………………………………………..ง
สารบญั ตาราง…………………………………………………………………………………………………………………........จ
บทคดั ย่อ………………………………………………………………………………………………………………………….......ฉ
บทท่ี 1 บทนำ……………………………………………………………………………………………………………………….1
ความเปน็ มาและความสำคัญของโครงการ…………………………………………………………………….1
วัตถุประสงคข์ องโครงการ…………………………………………………………………………………………..1
ขอบเขตของโครงการ…………………………………………………………………………………………………1
เป้าหมายของโครงการ……………………………………………………………………………………………….1
งบประมาณของโครงการ…………………………………………………………………………………………….2
ปจั จยั ในการดำเนินโครงการ……………………………………………………………………………………….2
กจิ กรรมในการดำเนนิ งานโครงการ………………………………………………………………………………2
ระยะเวลาดำเนนิ งานตามโครงการ.........................................................................................3
นยิ ามศัพท…์ ……………………………………………………………………………………………………………..4
ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะได้รบั ………………………………………………………………………………………….4
กระบวนการดำเนนิ โครงการ……………………………………………………………………………………….4
บทท่ี 2 เอกสารและแนวคิด ทฤษฎีทีเ่ กี่ยวขอ้ ง………………………………………………………………………….7
แนวคิด ทฤษฎที ี่เกย่ี วกบั การดำเนินโครงการ.........................................................................7
หลักการแนวคดิ ทฤษฎีทเี่ ก่ียวกบั การประเมนิ ผลโครงการ……………………………………………20
กรอบแนวคดิ การประเมินผลโครงการ………………………………………………………………………..37
บทท่ี 3 วธิ กี ารประเมนิ โครงการ…………………………………………………………………………………………….38
รปู แบบการประเมินโครงการ…………………………………………………………………………………….38
วธิ กี ารการประเมนิ โครงการ………………………………………………………………………………………39
ประชากรกล่มุ ตัวอย่าง……………………………………………………………………………………………..39
เคร่อื งมือทใี่ ช้ในการประเมนิ โครงการ…………………………………………………………………………39
การวิเคราะหข์ อ้ มูลเชิงคณุ ภาพ............................................................................................40
บทท่ี 4 ผลการประเมนิ โครงการ…………………………………………………………………………………………...41
ผลประเมินโครงการข้อมูลท่วั ไปผ้ตู อบแบบสอบถาม............................................................41
ผลการประเมนิ ด้านสภาวะแวดล้อม……………………………………………………………………………41
ผลการประเมนิ ดา้ นปจั จยั …………………………………………………………………………………………43
ผลการประเมนิ ดา้ นกระบวนการ……………………………………………………………………………….45
ค
สารบญั (ต่อ)
หน้า
ผลการประเมนิ ดา้ นผลผลติ ……………………………………………………………………………………….46
บทที่ 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ………………………………………………………………………49
สรปุ ผลการประเมินด้านสภาวะแวดล้อม…………………………………………………………………….49
สรปุ ผลการประเมนิ ดา้ นปัจจยั …………………………………………………………………………………..49
สรปุ ผลการประเมนิ ด้านกระบวนการ…………………………………………………………………………49
สรปุ ผลการประเมนิ ด้านผลผลิต………………………………………………………………………………...49
ข้อเสนอแนะ……………………………………………………………………………………………….49
บรรณนกุ รม…………………………………………………………………………………………………………………………50
ภาคผนวก……………………………………………………………………………………………………………………………51
ภาคผนวก ก แบบประเมนิ ของโครงการ……………………………………………………………………..52
ภาคผนวก ข รปู ภาพ………………………………………………………………………………………………..57
ง
สารบญั ภาพ
หน้า
ภาพที่ 1 แผนภาพหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง...............................................................................9
ภาพที่ 2 หลักการ PDCA……………………………………………………………………………………………………..24
ภาพท่ี 3 หลักการประเมนิ ผลรูปแบบ CIPP MODEL……………………………………………………………….35
ภาพที่ 4 กรอบแนวคดิ การประเมินผลโครงการ………………………………………………………..................37
ภาพท่ี 5 รูปแบบการประเมนิ โครงการแบบ CIPP MODEL…………………………………………………………38
จ
สารบญั ตาราง
หน้า
ตารางท่ี 1 ระยะเวลาดำเนนิ งานตามโครงการ…………………………………………………………………………..3
ตารางที่ 2 ข้ันตอน/วธิ กี ารดำเนินงาน (ตามกระบวนการ PDCA) ……………………………………………….5
ผลประเมินโครงการขอ้ มลู ทัว่ ไปผูต้ อบแบบสอบถาม......................................................................41
ผลการประเมนิ ดา้ นสภาวะแวดล้อม……………………………………………………………………………...........41
ตารางท่ี 1.1 คำถามขอ้ ที่ 1……………………………………………………………………………………….41
ตารางที่ 1.2 คำถามข้อที่ 2……………………………………………………………………………………….42
ตารางที่ 1.3 คำถามขอ้ ที่ 3..................................................................................................42
ผลการประเมนิ ดา้ นปจั จัย………………………………………………………………………………………….............43
ตารางท่ี 2.1 คำถามข้อที่ 4……………………………………………………………………………………….43
ตารางที่ 2.2 คำถามข้อที่ 5……………………………………………………………………………………….44
ตารางที่ 2.3 คำถามขอ้ ท่ี 6……………………………………………………………………………………….44
ผลการประเมนิ ด้านกระบวนการ………………………………………………………………………………..............45
ตารางที่ 3.1 คำถามข้อที่ 7..................................................................................................45
ตารางที่ 3.2 คำถามข้อท่ี 8..................................................................................................45
ตารางท่ี 3.3 คำถามข้อท่ี 9..................................................................................................46
ผลการประเมนิ ด้านผลผลติ ……………………………………………………………………………………….............46
ตารางที่ 4.1 คำถามขอ้ ท่ี 10……………………………………………………………………………………..46
ตารางท่ี 4.2 คำถามขอ้ ท่ี 11……………………………………………………………………………………..47
ตารางท่ี 4.3 คำถามข้อที่ 12................................................................................................47
ฉ
บทคดั ยอ่
ชื่อเร่อื ง การประเมนิ โครงการปลูกผักสวนครวั
ผรู้ ับผดิ ชอบ 1.นางสาวธนิสรา ไชยสาลี รหัสนกั ศกึ ษา 6216209001163
2.นางสาวเปรมกมล ศกั ดา รหัสนกั ศึกษา 6216209001177
3.นายศิวกร อคั รกานต์ รหสั นกั ศึกษา 6216209001187
ระยะเวลาการประเมนิ โครงการ วันท่ี 1 กนั ยายน - 25 ตลุ าคม 2564
วัตถุประสงคโ์ ครงการ
1. เพ่อื ใหม้ ีพืชผกั เพยี งตอ่ การบรโิ ภคในครอบครวั
2. เพือ่ ส่งเสริมใหผ้ ูท้ ำโครงการมีความรู้และประสบการณ์ด้านการเกษตร
3. มีอาหารท่ีผลติ ขึ้นมาเองทำใหป้ ระหยดั ค่าใช้จ่าย
วธิ ดี ำเนนิ โครงการ
การประเมินโครงการปลกู ผกั สวนครัว ดำเนินในระหว่าง วันที่ 1 กนั ยายน 2564 – 25
ตุลาคม 2564 โดยใช้กลุม่ ตัวอย่าง ประกอบด้วย สมาชิกในครอบครวั และญาตพิ น่ี ้องของคณะผู้จัดทำ
โครงการ จำนวน 10 คน
เครือ่ งมอื ที่ใช้ประเมนิ โครงการ คือ CIPP MODEL
ผลการประเมนิ โครงการ
ผลการประเมนิ โครงการในแต่ละดา้ นดงั นี้
1. ประเมินสภาวะแวดล้อม
2. ประเมนิ การปจั จยั เบ้อื งต้น
3. ประเมินกระบวนการ
4. การประเมินผลผลิต
ก
บทที่ 1
บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคญั ของโครงการ
ผักเป็นอาหารประจำวันของมนุษย์เป็นแหล่งอาหารให้แร่ธาตุวิตามินที่มีคุณค่าทาง
อาหารสูงที่มีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อสัตว์จากข้อมูลวิจัยกล่าวว่ามนุษย์เราควรบริโภคผัก
วันละประมาณ 200 กรัมเพื่อให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุและวิตามินอย่างเพียงพอผลการวิจัยของ
ศูนย์วิจัยและพัฒนาพืชผักแห่งเอเชียชี้ให้เห็นว่าประชากรของประเทศไทยโดยเฉพาะสตรีมีครรภ์
และพวกเด็กๆมักคลานแคลนแร่ธาตุวิตามินกันมากประกอบกับปัญหาด้านเศรษฐกิจที่ส่งผล
กระทบทำให้มีค่าครองชีพที่สูงขึ้นและการปฏิบัติตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยยึดหลัก 3 ข้อคือ
การพอประมาณถ้ารู้รายรับรายจ่ายก็จะใช้แบบพอประมาณ แต่มีเหตุผลรู้ว่ารายจ่ายใดจำเป็นไม่
จำเป็นและเมื่อเหลือจากใช้จ่ายก็เก็บออมนั่นคือภูมิคุ้มกันที่เอาไว้คุ้มกันตัวเราและครอบครัวการ
ปลูกพืชผักสวนครัวก็เป็นการปฏิบัติตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงเช่นกันหากเราปลูกไว้ใช้ภายใน
ครัวเรือนมีมากเหลือก็นำไปจำหน่ายเกิดเป็นรายได้ให้ครอบครัวอีกทาง (พีระชาติ สันธะนันชัย ;
2559)
ดังนั้น ทางคณะผู้จัดทำโครงการได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการปลูกผักสวนครัวไว้
รบั ประทานเองในครอบครัวจงึ ได้จัดทำโครงการปลกู ผกั สวนครัวขึ้นเพอื่ ให้มพี ืชผักเพียงพอตอ่ การ
บรโิ ภคในครวั เรือนทำให้ได้รบั สารอาหารครบตามความตอ้ งของร่างกายและชว่ ยลดภาระค่าครอง
ชพี
วัตถุประสงค์ของการประเมนิ โครงการ
1. เพอื่ ใหม้ ีพชื ผักเพยี งพอตอ่ การบรโิ ภคในครอบครวั
2. เพ่อื สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้ทำโครงการมคี วามรูแ้ ละมีประสบการณด์ ้านการเกษตร
3. มอี าหารท่ผี ลิตขึ้นมาเองทำใหป้ ระหยดั คา่ ใช้จา่ ย
ขอบเขตของโครงการ
สถานทีด่ ำเนนิ การ บา้ นมณฑาแลนด์แอนด์เฮาส์ หม่ทู ่ี ตำบลปากพูน อำเภอเมอื ง จงั หวดั
นครศรีธรรมราชในการทำโครงการคร้ังนใี้ ช้กระถางปลกู ผกั จำนวน 10 กระถางพืชทใ่ี ช้ปลกู ได้แก่
ผักบุง้ จนี โหระพา และตะไคร้
เปา้ หมายของโครงการ
ดา้ นปรมิ าณ คณะผจู้ ัดทำโครงการมีการปลูกผักสวนครัวทง้ั หมด 10 กระถาง
ดา้ นคณุ ภาพ คณะผ้จู ัดทำโครงการทุกคนไดร้ ้จู ักวิธกี ารปลูกผักสวนครัวในกระถางจากผักท่ี
เหลอื ใช้จากการใชป้ ระโยชน์โดยนำมาปลูกใหม่
2
งบประมาณ
งบประมาณในการดำเนินโครงการมาจากสมาชิกในกลุ่มรวมกันเปน็ เงนิ 200 บาทในการ
ปฏิบัตโิ ครงการ โดยวัสดุ อุปกรณใ์ นการดำเนินโครงการบางสว่ นมไี วอ้ ยู่แลว้
ปจั จยั ในการดำเนนิ โครงการ
วัสดอุ ุปกรณ์
1.กระถาง
2.ตน้ กล้า
3.ดนิ
4.บวั รดน้ำ
5.เสยี ม
6.นำ้
บคุ คลทีร่ ว่ มดำเนนิ โครงการ นางสาวธนสิ รา ไชยสาลี นางสาวเปรมกมล ศกั ดา นายศวิ กร
อัครกานต์
เอกสาร แหลง่ เรียนรู้ สถานประกอบการ Google Youtube
อาคารสถานท่ี
บา้ นท่งุ มว่ ง ตำบลนาสกั อำเภอสวี จงั หวดั ชุมพร
บา้ นน้ำพุ ตำบลเขาถ่าน อำเภอท่าฉาง จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี
บ้านมณฑาแลนดแ์ อนด์เฮาส์ ตำบลปากพนู อำเภอเมือง จงั หวดั นครศรธี รรมราช
กจิ กรรมในการดำเนินงานโครงการ
กิจกรรมการประเมินการเจรญิ เตบิ โตของผักสวนครัว
กจิ กรรมการปลูกผกั สวนครวั ไวบ้ รโิ ภคในครวั เรือน
รายละเอียดกจิ กรรมการดำเนนิ โครงการ
1.กิจกรรมการประเมนิ การเจริญเติบโตของผกั สวนครวั
1.1 วัตถุประสงค์
1.1.1 เพ่อื วัดหรอื ประเมินการเจริญเตบิ โตของผักสวนครวั
1.1.2 เพ่อื ให้ผกั สวนครวั มคี ณุ ภาพมากท่สี ุด
1.2 การดำเนนิ โครงการ
1.2.1 เรม่ิ จากการนำผักทเ่ี หลือใช้มาปลกู ลงดิน
1.2.2 ดแู ลรดนำ้ ผักสวนครัว
1.2.3 วิเคราะหจ์ ากการปลูกโดยดูการเจริญเติบโตไปทีระยะ
1.3 เครอ่ื งมือในการประเมินผล
1.3.1 การสังเกตวเิ คราะหข์ องสมาชกิ ในกลุ่ม และดกู ารเปล่ียนแปลงของผกั สวน
ครัว
1.4 ผลทค่ี าดว่าจะได้รบั
3
1.4.1 ผักสวนครวั ทปี่ ลูกออกมามีคณุ ภาพ
2.กจิ กรรมการปลกู ผักสวนครวั ไวบ้ รโิ ภคในครวั เรือน
2.1 วัตถุประสงค์
2.1.1 เพื่อใหม้ ีผักสวนครวั ไว้บรโิ ภคภายในครวั เรอื น
2.1.2 เพอื่ ใช้เวลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์
2.2 การดำเนนิ โครงการ
2.2.1 ดแู ลผักสวนครวั ท่ีปลูกในแตร่ ะยะเวลา
2.2.2 นำผกั สวนครัวทีป่ ลกู มารบั ประทานภายในครัวเรอื น
2.3 เครอ่ื งมือในการประเมนิ ผล
2.3.1 ประเมินจากผลผลิตของผกั สวนครัวทป่ี ลกู ว่าเพยี งพอต่อการบริโภคใน
ครัวเรือนและได้ผักสวนครวั ทปี่ ลอดภัย
1.4 ผลท่คี าดว่าจะไดร้ บั
1.4.1 ผู้ทำโครงไดค้ วามรแู้ ละได้ประสบการณใ์ นดา้ นการเกษตร
1.4.2 ผทู้ ำโครงการมพี ืชผกั เพียงพอตอ่ การบริโภคในครัวเรอื น
1.4.3 ผทู้ ำโครงการรู้จักคุณค่าของการลงมือปฏิบัตแิ ละยังได้ผลผลิตที่ปลอดภัย
ตารางท่ี 1 ระยะเวลาดำเนนิ งาน
ระหวา่ งวนั ที่ 1 เดือน กนั ยายน พ.ศ. 2564 ถึง วันที่ 25 เดอื น ตุลาคม พ.ศ. 2564
โดยมีปฏทิ นิ ปฏบิ ัตงิ านตามโครงการดงั น้ี
ระยะเวลา กจิ กรรม ผรู้ ับผดิ ชอบ
1-4กนั ยายน ปรบั สถานท่ี 1.นางสาว ธนิสรา ไชยสาลี
1-7กันยายน เพาะปลูกต้นกล้าท่ีเหลอื จากการรบั ประทาน 2.นางสาว เปรมกมล ศักดา
8กนั ยายน 3.นาย ศิวกร อคั รกานต์
8-20กันยายน นำต้นกล้าปลกู ลงในกระถาง
21-27กันยายน ดูแลรดนำ้ และสังเกตผลรายสัปดาห์ท่ี1
28-4ตุลาคม ดแู ลรดน้ำและสงั เกตผลรายสัปดาห์ที2่
5-11ตลุ าคม ดูแลรดน้ำและสงั เกตผลรายสปั ดาหท์ 3่ี
12-18ตลุ าคม ดแู ลรดน้ำและสังเกตผลรายสปั ดาห์ท4่ี
19-25ตุลาคม ดูแลรดนำ้ และสังเกตผลรายสัปดาหท์ ี่5
เกบ็ เกี่ยวผลผลิตและประเมนิ ผล
4
นยิ ามศพั ท์
การปลูก เอาต้นไมห้ รือเมลด็ หนอ่ หวั เปน็ ตน้ ใสล่ งในดนิ หรอื ส่ิงอ่นื เพือ่ ใหง้ อกหรือให้
เจริญเติบโต ทาํ ใหเ้ จริญเติบโต ทําใหง้ อกงาม ซึ่งการปลกู มหี ลายวธิ ี เช่น การปลกู ดว้ ยเมล็ดโดยตรง
การปลูกโดยวธิ ยี ้ายกล้าปลกู การปลกู โดยใชส้ ว่ นเจรญิ ของพืช
ผักสวนครัว พืชผักทป่ี ลูกในบรเิ วณบา้ นหรอื โรงเรียนในพนื้ ท่ีเลก็ นอ้ ย เพ่อื ใช้รบั ประทานใน
ครัวเรือน การทำสวนครัวนอกจากจะไดผ้ กั ทีป่ ลอดสารพิษแล้ว ยังชว่ ยประหยัดรายจ่าย เหมาะ
สำหรบั งานอดเิ รกใช้เวลาวา่ งใหเ้ กดิ ประโยชน์
ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รับ
ช่วยประหยดั ค่าใชจ้ า่ ยในครวั เรือนและนำความร้แู ละประสบการณ์ท่ไี ดน้ ำผกั ไปปลูก
รับประทานเองซ่ึงผทู้ ศี่ ึกษาสามารถนำไปปรับใชไ้ ด้จริงในชีวติ ประจำวนั และยงั สามารถนำผักทป่ี ลูก
เอง นำไปขายเพ่ือเป็นรายไดใ้ นครอบครวั หรอื แจกจา่ ยแบ่งปนั ให้กับผูอ้ นื่
กระบวนการประเมนิ โครงการ
รายงานผลการจดั ทำโครงการปลูกผักสวนครวั ได้มกี ารนำหลักการคุณภาพของ “ เดมมง่ิ ”
PDCA มาใช้ในการดำเนินการ 4 ขนั้ ตอน ดงั น้ี
1.ข้นั ตอนการรว่ มกันวางแผน (Plan)
2.ขั้นตอนการร่วมกนั ปฏิบตั ิ (Do)
3.ข้ันตอนการรว่ มประเมนิ (Check)
4.ขน้ั ตอนการร่วมปรับปรงุ (Act)
1.ขัน้ ตอนการร่วมกนั วางแผน (Plan)
ขน้ั ตอนน้ีเปน็ การวางแผนในการดำเนินโครงการโดยมีข้นั ตอนดังนี้
1.1 สมาชกิ ในกลมุ่ ร่วมกนั ประชุมปรกึ ษากนั ในการเสนอชือ่ โครงการพรอ้ มท้ังรว่ มกนั ศึกษา
ข้อมูลทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ชอื่ โครงการและศึกษาถึงปัจจัยต่างๆ
1.2 สมาชกิ ในกลุ่มได้จัดทำโครงการปลกู ผกั สวนครวั พรอ้ มทง้ั วางแผนและแนวทางขั้นตอนใน
การดำเนินโครงการพรอ้ มท้งั จัดเตรียมงบประมาณในการดำเนนิ โครงการ
1.3 สมาชิกในกลุม่ ได้มีการประสานงานไปยังสถานท่ใี นการจดั ทำโครงการพร้อมท้งั
ประสานงานไปยงั ผูม้ ีสว่ นได้ส่วนเสยี
1.4 สมาชกิ ในกลมุ่ จดั เตรียมจัดหาวสั ดุอปุ กรณ์เครื่องมอื เคร่ืองใช้ตา่ งๆในการดำเนนิ โครงการ
2. ขั้นตอนการรว่ มกนั ปฏบิ ตั ิ (Do)
ขั้นตอนนเี้ ปน็ การลงมอื ปฏบิ ตั ิดำเนนิ โครงการโดยมีขน้ั ตอนดงั นี้
2.1 สมาชิกในกลุ่มได้ทำการเสนอโครงการต่ออาจารยท์ ่ปี รกึ ษาเพอ่ื ขออนุมตั ใิ นการดำเนิน
โครงการ
2.2 ดำเนนิ โครงการปลูกผกั สวนครวั ในชว่ งเวลาตามปฏทิ ินท่ีทางโครงการได้กำหนดไวโ้ ดย
สมาชกิ ในกลมุ่ ได้ลงมอื ปฏบิ ัติโครงการโดยมกี ารปฏบิ ัตดิ ังนี้
5
• ศึกษาขอ้ มูลของผกั บุง้ ตะไคร้ และโหระพารวมถึงวิธีการปลูก
• สมาชกิ ในกลมุ่ รว่ มลงมือปฏบิ ัติการปลูกผักบุ้ง ตะไคร้ และโหระพาพร้อมทง้ั ได้รบั ฟัง
และรบั คำแนะนำจากผู้มคี วามรู้
• ทำการดูแลและรักษาผกั ในทกุ ๆสัปดาหพ์ รอ้ มกับถา่ ยภาพ และจดบนั ทกึ ผล
• สมาชกิ ในกลมุ่ ไดน้ ำผักท่ีได้ไปใช้ประโยชน์ในครอบครวั และแจกจา่ ยใหก้ บั ญาตพิ ี่
น้อง
3. ขัน้ ตอนการรว่ มกนั ประเมิน (Check)
โครงการปลูกผักสวนครัวไดจ้ ดั ทำแบบประเมินในด้านตา่ งๆซงึ่ เป็นแบบประเมินเชงิ คณุ ภาพ
เพอ่ื ให้สอดคลอ้ งกับวตั ถุประสงคเ์ ป้าหมายและผลทค่ี าดวา่ จะได้รับจากโครงการเพอื่ ประเมินโครงการ
และวดั ผลของการดำเนินโครงการ
4. ขนั้ ตอนการร่วมกนั ปรบั ปรงุ (Act)
สมาชกิ ในกลมุ่ ได้ทำการตดิ ตามประเมินผลโครงการแลว้ รวบรวมข้อมูลตา่ งๆทีจ่ ัดทำโครงการ
รวมไปจนถึงความสำเร็จปญั หาและอปุ สรรคขอ้ เสนอแนะต่างๆในการดำเนินโครงการครั้งน้ีมาสรุปผล
เพ่อื นำไปปรบั ปรุงและพัฒนาในการดำเนินโครงการในครงั้ ถดั ไป
จากที่ได้นำหลักการคณุ ภาพของวงจรคณุ ภาพเดมมิ่ง“ PDCA” มาใชใ้ นการดำเนนิ โครงการ
สามารถแจกแจงเป็นตารางได้ดงั นี้
ตารางท่ี 2 ขั้นตอน/วิธดี ำเนนิ งาน (ตามกระบวนการ PDCA)
ขั้นตอน รายละเอียดกจิ กรรม
P=PLAN ระยะที่ 1
การวางแผน - เลอื กหวั ข้อทจ่ี ะศกึ ษาทำโครงการ
- ประชุมวางแผนข้นั ตอนการดำเนนิ โครงการ
- ศกึ ษาปจั จัยสภาพแวดล้อมต่างๆและข้อมลู เก่ยี วกับโครงการ
D=DO ระยะท่ี 2-3
การปฏบิ ตั ิ - รวบรวมข้อมูลจดั ทำโครงร่างโครงการเพ่ือนำเสนออาจารย์ผสู้ อน
- ปฏิบัตจิ ดั ทำโครงการเตรียมพื้นท่ีในการปลูก
- จดั ทำเอกสารรายงานโครงการ
- ลงพ้ืนทปี่ ฏิบัตดิ ำเนินการปลกู ผัก
- ติดตามและสงั เกตผลโดยจดบนั ทกึ ถา่ ยภาพการเจรญิ เติบโตในแต่ละ
รายสปั ดาห์
C=Check ระยะที่ 4-5
การตรวจสอบ - จดั ทำแบบประเมินผลโครงการในเชิงคณุ ภาพดา้ นต่างๆเพื่อให้
สอดคลอ้ งกับวัตถุประสงคข์ องโครงการ เป้าหมายและผลทค่ี าดวา่ จะ
ไดร้ บั จากโครงการ เพ่ือใช้สำหรับการประเมนิ ผลโครงการและวัดผล
การดำเนนิ โครงการ
6
A=Action ระยะที่ 6
การปรับปรุง - ทำการติดตามผลการดำเนินโครงการ การแก้ไขปัญหาในระหว่างการ
ดำเนินโครงการ
พฒั นา - รวบรวมขอ้ มลู ความสำเรจ็ ของโครงการในดา้ นตา่ ง ๆ รวมถึงปัญหา
และอุปสรรคขอ้ เสนอแนะอื่น ๆ ระหว่างการดำเนนิ โครงการมา
สรปุ ผล
- พัฒนาต่อยอดเพอื่ สร้างความเขม้ แข็งของโครงการและสรา้ ง
ความสำเร็จของโครงการการดำเนินการโครงการในครง้ั ตอ่ ไปและ
เพอ่ื ยกระดบั ในคร้ังต่อไป
7
บทท่ี 2
เอกสารและแนวคิดทฤษฎที ี่เก่ยี วข้อง
1.หลกั การแนวคดิ ทฤษฎีท่เี กีย่ วกับการดำเนินโครงการ
2.หลักการแนวคิด ทฤษฎที เ่ี กย่ี วกับการประเมินโครงการ
หลักการแนวคดิ ทฤษฎีท่เี กย่ี วกบั การดำเนินโครงการ
แนวคิดทฤษฏีเกยี่ วกับการมสี ว่ นร่วม ทฤษฎีทเ่ี ก่ียวกับการมสี ว่ นร่วมมี 5 ทฤษฎี ซึง่ อคนิ
รพพี ัฒน์ (อ้างถึงใน ยพุ าพร รูปงาม, 2545,หนา้ 7-9) ไดส้ รุปไว้ ดงั นี้
1. ทฤษฎกี ารเกลีย้ กล่อมมวลชน (Mass Persuation)
Maslow (อ้างถึงใน อคิน รพีพัฒน์, 2527, หน้า 7-8) กล่าวว่า การเกลี้ยกล่อม หมายถึง การใช้คำพดู
หรือการเขียน เพื่อมุ่งให้เกิดความเชื่อถือและการกระทำ ซึ่งการ เกลี้ยกล่อมมีประโยชน์ในการแก้ไ ข
ปัญหาความขดั แย้งในการปฏบิ ัติงานและถา้ จะใหเ้ กิดผลดผี ้เู กล้ียกล่อมจะต้องมศี ิลปะในการสร้าความ
สนใจในเรื่องที่จะเกลี้ยกล่อมโดยเฉพาะในเรื่อง ความต้องการของคนตามหลักทฤษฎีของ Maslow ท่ี
เรียกว่าสำดบั ข้นั ความตอ้ งการ (hierarchy of needs) คอื ความต้องการของคนจะเป็นไปตามสำดับ
จาก นอ้ ยไปมาก มีท้ังหมด 5 ระดบั ดงั น้ี
1.1 ความต้องการทางด้านสรีระวิทยา (physiological needs) เป็นความต้องการ ข้ัน
พนื้ ฐานของมนษุ ย์ (survival needร) ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการทางตา้ นอาหาร ยา เครอ่ื งนงุ่ ห่ม ทีอ่ ยู่อาศยั
ยารักษาโรค และความต้องการทางเพศ
1.2 ความต้องการความม่นั คงปลอดภยั ของชวี ติ (safety and security needs) ได้แก่ ความ
ต้องการทอี่ ยู่อาศยั อยา่ งมีความปลอดภัยจากการถูกทำรา้ ยร่างกาย หรือถูก ขโมยทรัพย์สนิ หรือความ
ม่ันคงในการทำงานและการมชี ีวติ อยอู่ ย่างมน่ั คงในสงั คม
1.3 ความตอ้ งการทางดา้ นสังคม (social needs) ไดแ้ ก่ ความตอ้ งการความรกั ความต้องการ
ที่จะให้สงั คมยอมรับวา่ ตนเป็นสว่ นหนง่ึ ของสังคม
1.4 ความตอ้ งการทีจ่ ะมีเกียรตยิ ศชอื่ เสยี ง (self-esteem needs) ไดแ้ ก่ ความภาคภมู ิใจ
ความตอ้ งการดีเด่นในเรือ่ งหน่ึงทจี่ ะใหไ้ ต้รบั การยกย่องจากบุคคลอ่ืน ความต้องการ ตา้ นนเี้ ป็นความ
ตอ้ งการระดับสูงทเี่ ก่ียวกบั ความมัน่ ใจในตวั เองในเร่อื งความเความสามารถและความสำคญั ของบุคคล
1.5 ความตอ้ งการความสำเร็จแห่งตน (self-actualization needs) เป็นความ ต้องการในระบบสงู สุด
ที่อยากจะให้เกิดความสำเร็จในทุกสิ่งทุกอย่างตามความนึกคิดของตนเองเพื่อจะพัฒน าตนเองให้ดี
ที่สุดเท่าที่จะทำได้ความต้องการนี้จึงเป็นความต้องการพิเศษของบุคคลที่จะพยายามลักดันชีวิตของ
ตนเองให้เปน็ แนวทางทด่ี ที ี่สดุ
2. ทฤษฎกี ารระดมสรา้ งขวญั ของคนในชาติ (National Morale)
คนเรามคี วามต้องการทางกายและใจถ้าคนมีขวัญดีพอผลของการทำงานจะสงู ตามไปด้วยแต่
ถ้าขวัญไมด่ ผี ลงานกต็ ํ่าไปดว้ ย ทง้ั น้ี เนอื่ งจากว่าขวัญเป็นสถานการณ์ทางจิตใจท่ีแสดงออกพฤติกรรม
ตา่ งๆนนั่ เองการจะสร้างขวญั ให้ดีต้องพยายามสร้างทศั นคตทิ ีด่ ตี ่อผู้รว่ มงานการใหข้ อ้ เทจ็ จรงิ เก่ียวกับ
8
งานการเปิดโอกาสใหแ้ สดงความคิดเหน็ เปน็ ต้น และเม่ือใดกต็ ามถ้าคนทำงานมขี วัญดจี ะเกดิ สำนึกใน
ความรบั ผดิ ชอบอนั จะเกิดผลดีแกห่ น่วยงานทัง้ ในสว่ นทีเ่ ปน็ ขวญั สว่ นบคุ คและขวญั ของกลมุ่ เปน็ ไปได้
ว่าขวญั ของคนเราโดยเฉพาะคนมีขวญั ท่ีดยี อ่ มเป็นปจั จยั หนึ่งทจ่ี ะนำไปสกู่ ารมีส่วนรว่ มในกจิ กรรต่างๆ
ไดเ้ ช่นกัน (ยุพาพรทรูปงาม,2545,หนา้ 8)
3.ทฤษฎีสร้างความร้สู กึ ชาตนิ ยิ ม (Nationalism)
ปัจจัยประการหนึง่ ทีน่ ำสู่การมสี ว่ นรว่ มคือ การสรา้ งความรสู้ ึกชาตนิ ยิ มให้ เกิดข้นึ หมายถึง ความรสู้ กึ
เปน็ ตัวของตัวเองทจ่ี ะอทุ ิศหรือเน้นคา่ นยิ มเรือ่ งผลประโยชน์ ส่วนรวมของชาติ มคี วาพอใจในชาตขิ อง
ตัวเอง พอใจเกียรตภิ มู ิ จงรกั ภักดี ผูกพันตอ่ ท้องถน่ิ ( ยพุ าพร รปู งาม, 2545, หนา้ 8)
4. ทฤษฎกี ารสรา้ งผู้นำ (Leadership)
การสร้างผู้นำจะช่วยจูงใจให้ประชาชนทำงานควยความเต็มใจเพื่อบรรลุเป้าหมายหรื อ
วัตถุประสงค์ร่วมกันทั้งนี้เพราะผู้นำเป็นปัจจัยสำคัญของการร่วมกลุ่มคนจูงใจไปยังเป้าประสงค์
โดยทั่วไปแล้วผู้นำอาจจะมีทั้งผู้นำที่ดีเรียกว่าผู้นำปฎิฐาน(positive leader) ผู้นำพลวัต คือ
เคลื่อนไหวทำงานอยู่เสมอ (dynamic leader) และผู้นำไม่มีกิจ ไม่มีผลงานสร้างสรรค์ ที่เรียกว่า
ผู้นำนิเสธ (negative leader) ผลของการให้ทฤษฎีการสร้างผู้นำ จึงทำให้เกิดการระดมความร่วมมือ
ปฏิบัติงานอย่างมีขวัญกำลังใจ งานมีคุณภาพ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และร่วมรับผิดชอบ ตังนั้น
การสรา้ งผนู้ ำทด่ี ี ยอมจะนำไปสู่การมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมต่าง ๆ ดว้ ยดนี ่ันเอง (ยพุ าพร รปู งาม, 2545,
หนา้ 8)
5. ทฤษฎกี ารใช้วิธแี ละระบบทางการบรหิ าร (Administration and Method)
การใช้ระบบบริหารในการระดมความร่วมมือเป็นวิธีหนึ่งที่ง่ายเพราะใช้กฎหมาย ระเบียบ
แบบแผน เปน็ เครือ่ งมอื ในการดำเนินการ แต่อย่างใดกต็ ามผลของ ความรว่ มมอื ยังไม่มีระบบใดดีที่ชุด
ในเรื่องการใช้บริหาร เพราะธรรมชาติของคน ถ้าทำงานตามความสมัครใจอย่างตั้งใจไม่มีใครบังคับก็
จะทำงานด้วยความรัก แต่ถ้าไม่ ควบคุมเลยก็ไม่เป็นไปตามนโยบายและความจำเป็นของรัฐ เพราะ
การใช้ระบบบริหาร เป็นการให้ปฏิบัติตามนโยบายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเพิ่มความคาดหวัง
ผลประโยชน์ (ยพุ าพร รูปงาม, 2545, หนา้ 8-9)
แนวคิดทฤษฎีเศรษฐกจิ พอเพยี ง
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ทรงปรับปรุงพระราชทานเป็นที่มาของนิยาม “3 ห่วง 2
เงื่อนไข” ที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำมาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงผ่าน
ช่องทางสื่อต่าง ๆ อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยความ “พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน” บน
เง่ือนไข “ความร”ู้ และ “คณุ ธรรม” (สำนกั งานสง่ เสรมิ การปลกู ปา่ กรมป่าไม)้
ระบบเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน และใช้จ่ายเงนิ
ให้ได้มาอย่างพอเพียงและประหยัด ตามกำลังของเงินของบุคคลนั้น โดยปราศจากการกู้หนี้ยืมสิน
และถ้ามีเงินเหลือ ก็แบ่งเก็บออมไว้บางส่วน ช่วยเหลือผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัย
เสริมอีกบางสว่ น สาเหตุทีแ่ นวทางการดำรงชวี ิตอย่างพอเพยี ง ไดถ้ กู กลา่ วถึงอย่างกวา้ งขวางในขณะน้ี
เพราะสภาพการดำรงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น ให้เกิดการใช้
9
จ่ายอย่างเกินตัว ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว
ความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนันหรือเสี่ยงโชค
เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน
เกิดเป็นวฏั จกั รท่ีบุคคลหนงึ่ ไมส่ ามารถหลดุ ออกมาได้ ถ้าไม่เปลีย่ นแนวทางในการดำรงชวี ิต
บทสรุป ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง 3 ห่วง 2 เง่อื นไข
ภาพที่ 1 แผนภาพหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 3 หว่ ง
ห่วง 1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่
เบียดเบียนตนเองและผูอ้ ื่น เชน่ การผลติ และการบรโิ ภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ
ห่วง 2. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้นจะต้อง
เป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดข้ึน
จากการกระทำนั้น ๆ อยา่ งรอบคอบ
ห่วง 3. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึงการเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการ
เปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะ
เกิดขนึ้ ในอนาคตทงั้ ใกลแ้ ละไกล
ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2 เง่อื นไข
1. เงื่อนไข ความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน
ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความ
ระมัดระวังในขนั้ ปฏิบตั ิ
2. เงื่อนไข คุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความ
ชือ่ สัตยส์ จุ รติ และมคี วามอดทน มีความพากเพยี ร ใชส้ ติปญั ญาในการดำเนินชีวติ
สว่ นคำถามท่วี ่า 3 ห่วง 2 เง่ือนไข 4 มติ ิ คอื อะไร sufficiency-economy
หลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง Sufficiency Economy
10
เศรษฐกิจพอเพียง คืออะไร 3 ห่วง 2 เงื่อนไข สมดุล 4 มิติ3 ห่วง ความพอประมาณ มีเหตุผล มี
ภูมิคุ้มกัน2 เงื่อนไข มีคุณธรรม นำความรู้(เงื่อนไขความรู้ 3 รอบรู้ รอบครอบ ระมัดระวัง) (เงื่อนไข
คณุ ธรรม ซอ่ื สตั ย์สุจรติ อดทน เพียร มีสติ)
สมดุล 4 มติ ิ เศรษฐกจิ สิง่ แวดลอ้ ม สงั คม วัฒนธรรม (กจิ ล้อม สงั วฒั นธรรม)
หลกั ความพอดี 5 ประการ หลักเหตุผล 5 ประการ หลกั ภมู คิ ุม้ กัน 2 หลกั
จิตใจ ประหยัด ลดคา่ ใช้จา่ ยทกุ ดา้ น ภมู ปิ ญั ญา
รอบรู้ รอบครอบ ระมดั ระวัง
สังคม ประกอบอาชพี สุจริต
ทรัพยากร เลกิ แกง่ แย่งผลประโยชน์
เทคโนโลยี ไมห่ ยดุ นง่ิ ในการแกป้ ัญหาความทุกขย์ ากในชีวิต ภูมธิ รรม
ซอ่ื สัตยส์ จุ ริต ขยนั อดทนและแบง่ ปนั
เศรษฐกิจ ปฏบิ ัตติ นลดละเลกิ อบายมุข
เป้าหมายของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
พึ่งตนเองได้ระดับหนึ่ง อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างสันติสุข อยู่ร่วมกับธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียง เริ่มจากระดับตัวเอง ครอบครัว องค์กร
ชมุ ชน สังคม ประเทศชาต3ิ ห่วง 2 เงอื่ นไข สมดลุ 4 มติ ิ (ด้านวตั ถุ สังคม ส่ิงแวดลอ้ ม และวฒั นธรรม)
ลำดบั ขั้นตอนการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงได้ ตวั เอง ครอบครวั องคก์ ร ชุมชน สงั คม ประเทศชาติ
หลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ตรงกบั หลักธรรม สปั ปรุ สิ ธรรม 7
1.(ความพอประมาณ)
มตั ตญั ญุตา เปน็ ผู้รู้จกั ประมาณ
อตั ตัญญุตา เปน็ ผูร้ จู้ กั ตน
2. (ความมเี หตุผล)
ธมั มัญญุตา เปน็ ผู้รูจ้ ักเหตุ
อตั ถญั ญุตา เป็นผูร้ ู้จักผล
3.(การมีภมู ิคุม้ กันที่ดใี นตวั )
กาลญั ญุตา เปน็ ผู้รจู้ กั กาล
ปริสัญญุตา เป็นผู้รจู้ กั บริษทั ชุมชน
ปคุ คลญั ญตุ า หรอื ปคุ คลปโรปรัญญุตา เป็นผู้รจู้ กั บคุ คล
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้อัญเชิญมาครั้งแรกในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 9
วิสัยทัศน์ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 11 ตรงกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงการสร้าง
ภูมิคุม้ กันข้อใดเรียงลำดับ หลักการสร้างภูมคิ ุ้มกันกบั เกษตรทฤษฎีใหม่ 3 ชั้นจัดการตน – รวมกลุ่ม –
เครอื ขา่ ย หลกั สมดลุ ของปรัชญาเศรษฐกจิ ข้อใดสำคัญท่ีสุดในวิสยั ทศั น์ของรฐั บาลยง่ิ ลกั ษณ์ ชินวัตร 1
เศรษฐกิจตาม ROAD MAP พัฒนาคุณภาพผู้เรียน ของ สพฐ. ควรจัดให้มีการสอนปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพยี ง ในสถานศึกษาสำหรบั ชน้ั ใดโดยเฉพาะ ม.1-3
11
“เศรษฐกิจพอเพียง” (Sufficiency Economy) เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดรวมถึงการพัฒนา
และบริหารประเทศ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ทางสายกลาง คำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล
การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน
การตดั สนิ ใจ และการกระทำ
ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง มีหลกั พจิ ารณาอยู่ 5 สว่ น
1. กรอบแนวคิด เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเปน็
โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตด้ังเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการ
มองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัย และวิกฤตเพื่อความ
ม่นั คง และความยง่ั ยนื ของการพัฒนา
2. คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ
โดยเนน้ การปฏิบตั บิ นทางสายกลาง และการพฒั นาอยา่ งเปน็ ขัน้ ตอน
3. คำนยิ าม ความพอเพยี งจะต้องประกอบดว้ ย 3 คณุ ลักษณะ พร้อม ๆ กนั ดังนี้
3.1 ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดที ไี่ ม่นอ้ ยเกินไป และไมม่ ากเกนิ ไปโดยไม่
เบียดเบียนตนเองและผอู้ นื่ เช่น การผลติ และการบรโิ ภคท่อี ยู่ในระดับพอประมาณ
3.2 ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น
จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลท่ี
คาดว่าจะเกิดขนึ้ จากการกระทำนั้นๆ อยา่ งรอบคอบ
3.3 การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการ
เปลี่ยนแปลงด้านต่างๆที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึง ความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาด
วา่ จะเกิดขึ้นในอนาคตท้งั ใกลแ้ ละไกล
4.เงื่อนไข การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัย
ทง้ั ความรู้ และคณุ ธรรมเป็นพ้ืนฐาน
4.1 เง่ือนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรเู้ กยี่ วกบั วิชาการต่างๆ ที่เกยี่ วขอ้ งอยา่ ง
รอบด้านความรอบคอบ ที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน
และความระมดั ระวงั ในข้นั ปฏิบตั ิ
4.2 เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วยมีความตระหนักในคุณธรรม
มคี วามซอ่ื สัตยส์ จุ รติ และมีความอดทน มีความเพียรใช้สตปิ ัญญาในการดำเนนิ ชีวติ
5.แนวทางปฏิบัติ/ผลที่คาดว่าจะได้รับ จากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมา
ประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืนพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลง ในทุกด้าน ทั้งด้าน
เศรษฐกจิ สงั คม สิ่งแวดลอ้ ม ความรแู้ ละเทคโนโลยี
แนวคิดการปลูกผักสวนครัว ในสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของสังคมเมืองประกอบกับการ
ทำงานการใช้ชีวิตประจำวันอาจทำให้หลายคนที่คิดอยากปลูกพืชผักสวนครัว เลิกล้มความตั้งใจไป
หลายครั้งต่อหลายครั้งเลยทีเดียว การปลูกผักสวนครัวฉบับคนทำงาน ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เอาใจคนรัก
พ้ืนท่ีสีเขียวไมน่ อ้ ย โดยมีแนวคิดดงั นี้
12
1. การเลือกปลูกผักที่เราชอบรับประทาน ซึ่งการปลูกผักที่เราชอบจะเป็นแรงจูงใจในการ
เริ่มลงมือทำครั้งแรก และถ้าประสบผลสำเร็จก็มีแรงจูงใจเพิ่มมาเป็นกอง มีแนวโน้มที่จะอยากทำ
ตอ่ ไปเร่อื ยๆ
2. การเลือกปลูกผักที่เจริญเติบโตง่าย หากผู้ปลูกกลัวว่าจะปลูกผักไม่ขึ้น หรือปลูกแล้วตาย
ไม่เจริญเติบโต ก็ให้เลือกผักสวนครัวชนิดที่ปลูกง่าย ดูแลง่าย เช่น ผักบุ้งจีน ผักชี หอมแบ่ง ฯลฯ ซ่ึง
จะทำให้ผู้ปลูกไม่เหนื่อยในการดูแล และยังสามารถมีผักสวนครัวสวยๆ ไว้รับประทานด้วยและถ้า
ประสบผลสำเรจ็ ก็มแี รงจูงใจเพ่มิ มาเปน็ กอง มีแนวโนม้ ทจ่ี ะอยากทำตอ่ ไปเรอื่ ยๆ
3. การสร้างภาพความประทับใจ หากผู้ปลูกนิยมการถ่ายภาพการถ่ายภาพพืชผักสวนครัวที่
ปลกู ดว้ ยตนเองกเ็ ปน็ อีกโมเมนตด์ ีทคี่ วรจะเก็บไว้และยังสามารถแชร์ไลฟส์ ไตลแ์ บบเก๋ ๆ ทไี่ ม่ซำ้ ใคร
4. สนุกกับการกิน ผู้ปลูกที่เป็นสายกินแน่นอนคุณต้องไม่ลืมนำผักสวนครัวมาประกอบอาหา
หารดว้ ยเมนูตา่ งๆท่ีคุณชื่นชอบ
5. ปันสุข ผู้ปลูกที่เป็นสายแจกก็จะได้ส่งต่อพืชผักสวนครัวให้เพื่อนสนิทมิตรสหายต่างๆหรือ
จะวางไว้ในขั้นของตู้ปนั สขุ
6. รายได้เสริม หากผู้ปลูกที่มีความสามารถในการปลูกผักอาจทำให้ได้ผลผลิตปริมาณมาก
คณุ อาจสร้างรายไดเ้ ปน็ กอบเปน็ กำจากพืชผักสวนครวั ทค่ี ณุ ลงทุนลงแรงไป
ข้อมูลของผักบุ้ง
ผักบงุ้ : Morning Glory,water convolvulu,water spinash,kangkong
ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Ipomoea aquatica Forssk
อยู่ในวงศ์ : Convolvulaceae
ผักบุ้ง หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ผักทอดยอด เป็นพืชผักสมุนไพร ต้นมีลักษณะกลมๆ ลำต้น
ที่อยู่บนบกจะตั้งตรง ถ้ามีความสูงมากๆ ลำต้นจะโน้มลงเลื้อยบนพื้น เป็นเถายาวเลื้อยลอยน้ำ ใบมีสี
เขียว ดอกจะออกเปน็ ชอ่ จะมสี มี ว่ งออ่ นหรือสีขาว ใช้ลำต้น ใบและยอดอ่อนรับประทาน
ผักบุ้งมีในประเทศไทยจะแบง่ ออกเปน็ 2 พันธ์ุ คือผักบงุ้ ไทยและผักบ้งุ จีน
1. ผักบุ้งไทย เป็นพันธุ์ผักบุ้งท้องถิ่น เป็นผักบุ้งสายพันธุ์ธรรมชาติ เป็นพันธุ์ผักบุ้งดั้งเดิมของ
ประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 พนั ธุ์
1.1 ผักบุ้งไทยต้นขาว ซึ่งเป็นที่นิยมนำมารับประทาน และใช้ประกอบอาหารมาก
จะมีลำต้นกลวงและใบใหญ่ ให้รสชาติกรอบหวาน ลำต้นและใบไม่เหนียว ซึ่งจะมียาง
มากกว่าผกั บุ้งจีน โดยผกั บุง้ ไทยนิยมปลูกในน้ำ เพราะเจรญิ เตบิ โตได้ดกี ว่าบนบก
1.2 ผักบุ้งไทยต้นแดง ผักบุ้งนา ลำต้นกลวงมีสีแดง ยอดเรียวเล็ก มีรสฝาด เป็น
ผกั บุ้งทข่ี ึ้นอยู่ในนำ้ จะทนน้ำท่วมไดด้ ี
2. ผักบุ้งจีน เป็นพันธุ์ที่นำมาจากต่างประเทศ ผักบุ้งจีนจะปลูกในดิน เพราะต้องการธาตุ
อาหาร จากในดินมากกว่า นิยมปลูกขาย เพราะลำต้นค่อนข้างขาว ใบเขียวอ่อน ดอกขาว มียางน้อย
กวา่ ผักบุ้งไทย จงึ ได้รับความนิยมในการรบั ประทาน มากกวา่ ผักบ้งุ ไทย
13
2.1 ตน้ ผักบงุ้ มีลกั ษณะกลวงกลมๆ ลำต้นท่อี ยูบ่ นบกจะต้งั ตรง หากสงู มากลำตน้ จะ
โนม้ ลงพรอ้ มเลอ้ื ย พรอ้ มเล้อื ยหากต้นยาวมาก แต่หากอยใู่ นแหล่งนำ้ จะเปน็ เถาเล้ือยลอยน้ำ
สามารถแตกรากตามข้อได้ดี แตกกิ่งได้มาก ลำต้นมีลักษณะกลวงอวบใหญ่ ลำต้นกลวงมีสี
เขียวอมขาว หรือแดงม่วง
2.2 ใบผักบุ้ง มีลักษณะเป็นใบเดี่ยว ออกใบแบบสลับตรงข้ามกัน ก้านใบใหญ่ยาว
ฐานใบใหญ่ ฐานใบมีลักษณะมนเป็นรูปหัวใจ ใบแหลมยาว ก้านใบมีสีเขียวอมขาว ใบมีสี
เขยี วสด
2.3 รากผักบุ้ง มีลักษณะเป็นฝอยๆ มีรากแก้ว จะมีสีน้ำตาล สามารถแตกรากฝอย
ออกตามขอ้ ไดด้ ี รากผักบุง้ มีรสชาติรสจืดเฝอ่ื น
2.4 ดอกผักบ้งุ ออกเปน็ ชอ่ ดอกจะมีลักษณะคลา้ ยรปู ระฆัง ดอกจะมีสมี ว่ งอ่อนหรือ
สขี าว บรเิ วณโคนดอกสจี ะเข้มกว่าด้านบน กา้ นชอ่ ดอกยาว กา้ นช่อดอกเปน็ ก้านโดด ดอกจะ
เร่มิ บานช่วงเชา้ และหบุ ชอ่ ดอกในยามเย็น
2.5 ผล มลี กั ษณะคล้ายแคปซูล ภายในมเี มล็ด มสี ดี ำ
2.6 เมล็ดผกั บ้งุ มลี กั ษณะรปู ร่างคลา้ ยสามเหลยี่ ม สว่ นฐานเมลด็ มนใหญ่ มีสดี ำ
ผักบงุ้ มปี ระโยชนม์ ีสรรพคุณ คือ
มีคาร์โบไฮเดรต มีเส้นใย มีไขมัน มีโปรตีน มีวิตามนิ ซี มพี ลังงาน มธี าตุแคลเซียม มีธาตุเหล็ก
มีธาตุแมกนีเซียม มีธาตุแมงกานีส มีธาตุฟอสฟอรัส มีธาตุโพแทสเซียม มีธาตุโซเดียม มีธาตุสังกะสี มี
วิตามินเอ มีวิตามินบ1ี มีวติ ามนิ บ2ี มวี ติ ามนิ บี3 มวี ติ ามินบ5ี มวี ติ ามินบ6ี มวี ติ ามินบี9
ช่วยป้องกนั โรคมะเร็ง มีสารต่อตา้ นอนุมลู อิสระ ชว่ ยชะลอวัยความชรา ชะลอการเกิดร้ิวรอย
แห่งวัย ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ช่วยในด้านความจำ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิด
โรคเบาหวาน ช่วยแก้อาการปวดศรี ษะ แก้อ่อนเพลีย ช่วยแก้อาการเหงือกบวม ช่วยรักษาแผลร้อนใน
ในปาก ช่วยป้องกันการเกิดโรคกระเพาะอาหาร ช่วยป้องกันการเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร แก้
โรคทอ้ งผกู ช่วยถอนพษิ เบื่อเมา ช่วยตอ่ ตา้ นเช้ือแบคทีเรีย ช่วยขบั สารพษิ ใช้บำบัดรักษาผปู้ ว่ ยยาเสพ
ติด แกผ้ ู้ท่ีไดร้ บั สารพิษตา่ งๆ
ผักบงุ้ ไทย จะมวี ิตามนิ ซีสูง และสรรพคณุ ทางยามากกว่าผักบุ้งจีน แต่จะมแี คลเซียม เบตา้ แค
โรทนี วติ ามนิ เอ ท่ชี ่วยบำรุงสายตา น้อยกว่าผักบ้งุ จีน ช่วยบำรงุ ธาตุ ชว่ ยบำรุงสายตา รกั ษาอาการตา
ตอ้ ตาฝา้ ฟาง ตาแดง สายตาส้นั อาการคันนยั นต์ า
ต้นของผักบุ้ง ใช้เป็นยาดับร้อน แก้อาการร้อนใน ช่วยในการบำรุงโลหิต แก้เลือดกำเดาไหล
ออกมากผดิ ปกติ แก้อาการปสั สาวะเป็นเลอื ด ถ่ายออกมาเป็นเลอื ด แก้หนองใน ช่วยแก้ริดสดี วงทวาร
แกแ้ ผลมีหนองช้ำ ช่วยแกพ้ ษิ ตะขาบกดั ชว่ ยบำรงุ กระดกู และฟนั
ยอดผักบุ้ง ช่วยแก้โรคประสาท ช่วยแก้อาการเสื่อมสมรรถภาพ ช่วยทำความสะอาดของเสีย
ท่ีตกค้างในลำไส้ช่วยแก้อาการเหงือ่ ออกมาก ใชแ้ ก้อาการไอเรือ้ รัง ใช้แกโ้ รคหืด
ราก ชว่ ยแกป้ วดฟัน ช่วยฟันเปน็ รู ช่วยแกอ้ าการตกขาวมากของสตรี ช่วยถอนพิษสำแดง
ผกั บงุ้ จีน ชว่ ยในการขับปสั สาวะ แก้ปัสสาวะเหลือง ช่วยใหเ้ จรญิ อาหาร
ผักบุ้งไทยต้นขาว ใช้ถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย ช่วยแก้อาการฟกช้ำ ดอกของผักบุ้งไทย
ต้นขาว เป็นยาแก้กลากเกลื้อน ต้นสดของผักบุ้งไทยต้นขาว ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยลด
14
การอักเสบ อาการปวดบวมนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ ช่วยบำรุงกระดูก
และฟนั
การปลูกและขยายพนั ธผ์ุ กั บ้งุ
การปลูกผักบุ้งมี 2 วธิ ี การปลูกโดยใช้เมล็ดพนั ธ์ุ และการปลูกด้วยการแตกเหง้าใหม่
1. การปลูกโดยเมล็ดพันธุ์ วิธีนี้หมาะสำหรับปลูกผักบุ้งจีน ก่อนปลูกนำเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีน
นำเมล็ดไปแช่น้ำข้ามคืน เพื่อให้เมล็ดผักบุ้งจีนงอกเร็วขึ้น และสม่ำเสมอกัน เตรียมดินปลูกควรใช้ดิน
ร่วน หรือดินร่วนปนทราย เพื่อจะได้ถอนต้นผักบุ้งจีนได้ง่าย แล้วจะนำเมล็ดพันธุ์มาหว่าน ให้กระจาย
ทั่วทั้งแปลง ให้เมล็ดห่างกันเล็กน้อย นำดินร่วนหว่านกลบเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีน ถ้าอยู่ใกล้แหล่งน้ำ
สะดวกรดน้ำ ใหร้ ดน้ำให้ชน้ื ทกุ วันๆ ละ 2 ครั้ง เมลด็ เริ่มงอกประมาณ 2 วนั ใช้เวลาประมาณ 1 เดอื น
แลว้ จึงทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตได้
2. การปลูกด้วยการแตกเหง้าใหม่ วิธีนี้หมาะสำหรับปลูกผักบุ้งไทย ด้วยการนำเหง้าหรือลำ
ต้น ไปปล่อยเลี้ยงตามแหล่งน้ำ ซึ่งผักบุ้งจะแตกเหง้าใหม่เองตามธรรมชาติ ลำต้นและใบที่เติบโตบน
บกจะค่อนข้างเล็ก และให้เนื้อเหนียวมากกว่า การปลูกขยายพันธุ์ในน้ำ ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน
ผักบุ้งจะเจริญเติบโต สามารถเก็บเกี่ยวผลลิตมาบริโภคได้ โดยตัดยอดออกมา แล้วผักบุ้งจะแตกยอด
ออกมาใหมเ่ พิม่ ขึน้
วิธดี ูแลรักษาผักบงุ้
ผักบุ้งจีนเป็นพืชที่ชอบน้ำ เป็นพืชผักที่บริโภคใช้ลำต้น ใบและยอดอ่อน มีอายุการเก็บเกี่ยว
สั้น การให้น้ำ ผักบุ้งจีนเป็นพืชที่ชอบดินปลูกในที่ชุ่มชื้น ระบายน้ำดี น้ำไม่ขัง ควรรดน้ำผักบุ้งจีนอยู่
เสมอทุกวันๆ ละ 2 ครั้ง หมั่นรดน้ำให้ชุ่ม โดยรดน้ำเช้าเยน็ ให้โดนแดดตลอดวนั อย่าให้ผักบุง้ จีนขาด
น้ำได้ จะทำให้ผักบุ้งจีนชะงักการเจริญเติบโต คุณภาพไม่ดี ต้นแข็งกระด้างเหนียว ไม่น่ารับประทาน
และเกบ็ เกยี่ วได้ชา้ กวา่ ปกติ
การเก็บเก่ยี วผักบุ้ง
ผักบุ้งจีนเป็นพืชผักที่บริโภคลำต้น ใบและยอดอ่อน มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น การปลูกแบบหว่านเมล็ด
ลงบนแปลงปลกู โดยตรง อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 1 เดือน ผักบุ้งจีนจะเจริญเติบโต มีความสูงประมาณ
30 เซนตเิ มตร จะถอนตน้ ผกั บุ้งจีนทงั้ ต้นและราก ออกจากแปลงปลกู ควรรดน้ำก่อนถอนต้นผักบงุ้ จีน
ขึ้นมา เพราะจะทำให้ถอนผักบุ้งจีนได้สะดวก รากไม่ขาดมาก แล้วนำมาล้างน้ำให้สะอาด ล้างรากให้
สะอาด แล้วเดด็ ใบและแขนงทโ่ี คนต้นออก แล้วนำมาผึง่ ไว้ ให้สะเดด็ น้ำออก แต่ไม่
ควรไว้กลางแดด เพราะผักบุ้งจีนจะเหี่ยวเฉาได้ง่าย แล้วจัดเรียงต้นผักบุ้งจีนเป็นมัด เตรียม
บรรจุภาชนะการปลูกด้วยการแตกเหง้าใหม่ ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ผักบุ้งจะเจริญเติบโต พร้อม
เกบ็ เกี่ยวผลผลติ มาบรโิ ภคได้ โดยตดั ยอดออกมา แล้วผกั บุ้งจะแตกยอด ออกมาใหม่เพ่มิ ขนึ้ เรือ่ ยๆ
ข้อมลู ของโหระพา
ชอ่ื สามัญ : Common Basil, Sweet Basil
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum basilicum Linn.
วงศ์ : LABIATAE
ช่อื อืน่ ๆ : หอ่ กวยซวย, โหระพาไทย, ห่อวอซุ (กะเหรี่ยง-แมฮ่ อ่ งสอน)
15
ลกั ษณะท่ัวไป
ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรงมีความสูง 8-28 นิ้ว ลักษณะของลำต้น และกิ่งก้าน
เป็นเหลี่ยม แตกกิ่งก้านสาขามีมากผิวเปลือกลำต้นมีเป็นสีเขียวอมม่วง และมีขนปกคลุมทั้งลำต้นมี
กลนิ่ หอม
ใบ : ใบออกเป็นใบเดี่ยว มีลักษณะเป็นรูปรียาว ปลายและโคนใบเรยี วแหลม ริมขอบใบเรียบ
หรือมีหยักเล็กน้อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1-3.5 ซม. ยาวประมาณ 2-6 ซม. ใบมีสีเขียวเข้ม ก้าน
ใบยาวประมาณ 0.7-2 ซม.
ดอก : ดอกออกเป็นช่อ ช้นั ๆ คล้ายฉัตร ออกอยู่ตามบรเิ วณปลายยอด ลกั ษณะของดอกยอ่ ย
มีกลีบเลี้ยง เชื่อมติดกันเป็นหลอด ส่วนปลายแยกเป็น 5 กลีบ มีสีขาวหรือสีแดงเรื่อ กลีบดอกยาว
ประมาณ 9 มม.
ผล : พอดอกร่วงโรยก็จะติดผล เป็นสีน้ำตาล ผลหนึ่งมีเมล็ด .4 เม็ด ลักษณะของเมล็ดเป็น
รปู กลมรี มีขนาดยาวประมาณ 2 มม.
โหระพาเป็นพืชที่แพร่หลายเป็นอย่างมากในแทบทวีปเอเชยี และตะวันตก มีต้นกำเนิดมาจาก
ประเทศอินเดียโหระพาเป็นไม้ล้มลุก มีอายุหลายปี ลำต้นและกิ่งก้าเป็นเหลี่ยม มีสีม่วงหรือแดงเข้ม
ใบเป็นรูปไข่หรือรูปวงรี ปลายแหลมขอบจักเป็นฟันเลื่อยห่างๆ ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง มีสีขาว
หรอื ชมพูออ่ น ยาวประมาณ 7-12 เซนตเิ มตร
การปลูกและขยายพนั ธ์ุ
พันธุ์การค้า-จัมโบ้ เป็นพันธุ์ที่มีใบใหญ่ นิยมทั่วไป พันธุ์พื้นเมืองมักมีกลิ่นหอมแรง - การ
เตรียมดิน ไถดินให้ลึก 30-40 ซม.ตากดิน 2 อาทิตย์ ย่อยดินให้ละเอียดใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ให้มี
อินทรียวัตถุสูง ดินร่วน มีความชื้นในดินสูง และแสงแดดปานกลางการปลูกใช้ระยะปลูก ระยะ
ระหว่างต้น 25 ซม. ระหว่างแถว 50 ซม. ให้น้ำสม่ำเสมอ - ใช้กิ่งปักชำในกระบะทราย หรือแกลบดำ
ชน้ื ในท่ีประมาณ 1 สัปดาห์ กย็ ้ายปลูกได้ หรือเพาะดว้ ยเมลด็ อาจใช้วิธหี ว่านเมลด็ ให้ท่วั แปลง ใชฟ้ าง
กลบหรือปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายดีแล้วโรยทับบางๆ รดน้ำตามทันทีด้วยบัวรดน้ำตาถี่ในกระบะเพาะชำ
กล้าเจริญเติบโดสูงประมาณ 10-15ซม. จึงย้ายปลูก - การเก็บเกี่ยว ใช้มีดคมๆ ตัดกิ่งที่เจริญเติบโต
เต็มท่ี อายเุ กบ็ เกย่ี ว 50 วนั หลังหยอดเมล็ดสามารถเก็บเกย่ี วไดห้ ลายครั้ง ผลผลติ 4-6 ตน้
ขอ้ มลู ของตะไคร้
ตะไคร้ (ชื่อวทิ ยาศาสตร:์ Cymbopogon citratus);
ชือ่ ท้องถน่ิ : จะไคร (ภาคเหนอื ), หวั ซงิ ไค (ภาคอีสาน), ไคร (ภาคใต้), คาหอม (แมฮ่ อ่ งสอน),
เชิดเกรย, เหลอะเกรย (เขมร-สรุ ินทร)์ , ห่อวอตะโป่ (กะเหรยี่ ง-แมฮ่ อ่ งสอน) ) เป็นพืชลม้ ลกุ
ในวงศห์ ญา้ (Poaceae) ความสงู ประมาณ 4-6 ฟุต ใบยาวเรยี ว ปลายใบมีขนหนาม ลำตน้
รวมกนั เปน็ กอ มกี ล่ินหอม เป็นช่อยาวมีดอกเลก็ ฝอยเปน็ จำนวนมาก ตะไครเ้ ปน็ พชื ทส่ี ามารถนำสว่ น
ตน้ หวั ไปประกอบอาหาร และจัดเป็นพชื สมนุ ไพรด้วย
ประโยชน์
ใช้ส่วนของเหง้าและลำต้นแก่ ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารที่สำคัญหลายชนิดเช่น ต้มยำ
และอาหารไทยหลายชนิด ให้กลิ่นหอม มีสรรพคุณทางยาเช่น บำรุงธาตุ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ขับ
16
ลมในลำไสท้ ำให้เจรญิ อาหาร แก้โรคหืด แกอ้ หวิ าตกโรค บำรงุ สมอง ช่วยใหส้ มาธิดี ต้มกบั น้ำใช้ด่ืมแก้
อาเจียน ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมาในกรณีผู้ที่เมามาก ๆ ช่วยให้สร่างเร็ว ส่วนหัว
สามารถใช้แก้โรคเกลื้อน ท้องอืดท้องเฟ้อ โรคนิ่ว มากไปกว่านั้นยังสามารถทำเป็นยาช่วยนอนหลับ
ช่วยลดความดันสูง น้ำมันตะไคร้หอมใช้ทากันยุงได้ ถ้าปลูกใกล้ผักอื่น ๆ จะช่วยกันแมลงได้และยังให้
กลิ่นหอม ที่ดับกลิ่นบางชนิดใช้ตะไคร้เป็นส่วนผสมเพราะมีกลิ่นที่หอม และที่กำจัดยุงบางชนิดก็ใช้
ตะไคร้เป็นส่วนผสมด้วยเนื่องจากมีกลิ่นที่แรงจึงช่วยทำให้ไล่ยุงได้ นอกจากนี้ตะไคร้ยังแก้กลิ่นคาว
หรือดับกลิ่นคาวของปลา และเน้ือสัตว์ได้ดีมาก ๆ
สรรพคุณ : ทั้งต้น ใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือ
ทำเป็นยาทานวดก็ได้ และยังใช้รวมกับสมนุ ไพรชนิดอืน่ รักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และ
ขบั เหงอ่ื และมกี ล่ินฉนุ สามารถไล่แมลงได้
หัว เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้อาการ
ขัดเบา ถ้าใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะเป็นยาแก้อาเจียน แก้ทราง ยานอนหลับลดความดันสูง แก้
ลมอมั พาต แกก้ ษัยเส้น และแก้ลมใบ ใบสด ๆ จะชว่ ยลดความดันโลหติ สงู แกไ้ ข้
ราก ใช้เปน็ ยาแกไ้ ข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสยี
ตน้ ใชเ้ ป็นยาแก้ขบั ลม แกเ้ บือ่ อาหาร แก้ผมแตก แก้โรคทางเดนิ ปสั สาวะ นว่ิ เป็นยาบำรุงไฟ
ธาตุให้เจริญ แต่ถ้าเอาผสมกับสมุนไพรชนดิ อืน่ จะแก้โรคหนองใน และนอกจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นคาวได้
ด้วย
การปลูกและขยายพันธ์ุ
ปลูกได้การปักชำต้นเหง้า โดยตัดใบออกให้เหลือตอนโคนประมาณหนึ่งคืบ นำมาปักชำไว้สัก
หนึ่งสัปดาห์ก็จะมีรากงอกออกมา แล้วนำไปลงแปลงดินที่เตรียมไว้ หรืออาจใช้วิธีเอาโคนปักลงไป
ทดี่ นิ ซ่ึงเตรยี มไว้เลย ใหห้ า่ งประมาณหนึ่งศอก ถ้าปลูกในกระถางใช้วธิ ีปกั โคนลงในกระถาง ๆ ละ 2-3
ตน้ กไ็ ด้ แลว้ หม่ันรดนำ้ ใหช้ ุม่ เชา้ เยน็ ต้ังไวใ้ ห้โดนแดดตลอดวันจะทำให้โตไดเ้ รว็ ตะไคร้ชอบดินร่วนซุย
เป็นพืชที่ชอบน้ำ ชอบแดด ดูแลรดน้ำเสมอและโดนแดดได้ตลอดวัน เจริญได้ในดินแทบทุกชนิด เวลา
จะใช้กใ็ ห้ตัดที่โคนสุดส่วนรากเลย แล้วถอนออกมาทั้งตน้ ตามต้องการ ต้องคอยตรวจดเู มื่อตะไครม้ ีกอ
เจริญเติบโตได้เต็มที่แล้ว ต้องถอนทิ้งหรือแยกออกไปปลูกใหม่บ้างหรือเอาไปใช้บ้าง จะนำมาหั่นเป็น
ฝอย ๆ ตากลมไว้ให้แห้งสนิทแล้วแพ็คเก็บไว้ใช้ได้นาน ๆ เพื่อให้ต้นอ่อนโตขึ้นมาใหม่ ถ้าไม่แยก
ออกไปต้นจะเล็กและลีบลงเรื่อย ๆ และบางที่ก็แคระแกร็น ต้นและกอก็จะโทรม ต้องล้างและปลูก
ใหมท่ ้ังหมดเปล่ียนเป็นการแตกหน่อทำให้การปลูกและการขยายพนั ธ์ไดง้ ่าย
แนวคดิ และทฤษฏีเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง
ความต้องการในการพัฒนาตนเอง เพื่อให้เพิ่มพูนความรู้ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ต่างๆ ไปตามวัตถุประสงค์ของแต่ละบุคคล รวมทั้งสามารถดำรงอยู่ในสังคมหรือประสบความสำเร็จ
ในชวี ติ หน้าท่ีการงาน ควรมแี นวคดิ เก่ียวกบั ความต้องการในการพฒั นาตนเอง
ความหมายการพัฒนาตนเองปัจจุบันโลกเจริญก้าวหน้ามาก รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงอย่าง
รวดเร็ว การพฒั นาตนเองจึงเป็นสง่ิ สำคญั ที่บคุ คลตอ้ งพยายามปรับปรุงพัฒนาตนเองให้ก้าวทันกับการ
เปลย่ี นแปลงน้นั ๆ
17
กรกนก วงศ์พันธุเศรษฐ์ (อ้างถึงในเกศรินทร์ วิริยะอาภรณ์, 2545) ได้กล่าวว่า การพัฒนา
ตนเอง หมายถึง การขยายขอบเขตความสามารถในการใช้ความรู้ ความสามารถของบุคคลได้อย่าง
เต็มที่และประยุกต์ใช้ความรู้ และประสบการณ์ที่ได้รับมา เพื่อแก้ปัญหาหรือหาข้อยุติปัญหาใน
สถานการณ์ใหมๆ่ ท่แี ตกตา่ งออกไป ในเร่อื งน้ี
ศศิลักษณ์ ทองปานดี (2551) การพัฒนาตนเอง หมายถึง การดำเนินการเกี่ยวกับการ
สง่ เสริมบุคคลใหม้ ีความรู้ ความสามารถ มีทักษะการทำงานดขี นึ้ ตลอดจนมที ศั นคติทด่ี ีในการทำงาน
อนั จะเปน็ ผลให้การปฏบิ ตั งิ านมีประสิทธิภาพดยี งิ่ ขน้ึ และการพฒั นาบุคคลควรสง่ เสรมิ และพัฒนาทง้ั
รา่ งกาย อารมณ์ สงั คม และสติปญั ญาอยา่ งท่วั ถงึ สม่ำเสมอและต่อเนือ่ ง
โสภณ ช้างกลาง (2550) การพัฒนาตนเองหมายถึง การดึงเอาศักยภาพของตนเองออกมา
แก้ไขปรับเปลี่ยนให้เกิดความเจริญดีขึ้นกว่าอดีต สร้างความแปลกใหม่ให้กับตนเอง เป็นการสร้าง
ศกั ยภาพของตนเองให้ดขี ้นึ เพอ่ื ให้สามารถดำรงชีวติ อยใู่ นสถานการณ์ท่แี ตกต่างกนั ได้อยา่ งมีความสุข
เป็นกระบวนการที่จะเพิ่มพูนความรู้ เพื่อยกระดับมาตรฐานหรือความชำนาญในการปฏิบัติงานให้
สูงขน้ึ และตนเองมีความเจรญิ ก้าวหนา้
ศรีแพร ทวิลาภากุล (2549) การพัฒนาตนเอง หมายถึง การปฏิบัติตัวของบุคคลในอันที่จะ
สร้างเสริมศักยภาพของตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นผลให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพได้ทุก
สถานการณ์แวดล้อม ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในชีวิตในการศึกษาครั้งนี้
ผู้วิจัยได้ให้ผู้ตอบแบบสอบถามประเมินตนเองว่ามีการพัฒนาตนเองในประเดน็ ต่างๆ มากน้อยเพียงใด
โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ การพฒั นาตนเองโดยตนเอง และการพฒั นาตนเองโดยผู้อ่นื
เกศรินทร์ วิริยะอาภรณ์ (2545) สรุปการพัฒนาตนเองได้ว่า องค์ประกอบของการพัฒนา
ตนเองอยู่ที่การเตรียมความพร้อมของร่างกายและจิตใจ พร้อมจะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทั้งใน
ตนเองและสงิ่ แวดลอ้ มรอบตวั รวมท้ังสถานการณ์ทีเ่ ปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
สำหรับพุทธปรัชญานั้น พระเทพเวที ประยุทธ์ ปยุตโต (2528, อ้างถึงในดำรงศักดิ์ ตอ
ประเสริฐ, 2544) สรุปการพัฒนาตนเองคือ การศึกษาหรือเรียกว่าไตรสิกขาเป็นการศึกษาอบรมหรือ
การพัฒนาชีวิตแก่ตนเอง 3 ด้าน คือ ศีล ได้แก่ การพัฒนาพฤติกรรมทางวาจาให้สัมพันธ์ด้วยดีกับ
สิ่งแวดล้อมทางสังคม ทางวัตถุ สมาธิ ได้แก่ การฝึกฝนพัฒนาจิตใจที่ให้มีคุณธรรมมีประสิทธิภาพมี
ความสุข และปัญญา ได้แก่ การพัฒนาความรู้ความเข้าใจเป็นการพัฒนาตนเองโดยการสร้างปัญญา
แก้ปัญหา รู้จักการเรียนรู้ รู้จักคิด มีความอดทน มีความขยันมีความคิดแยบคายและสภาพจิตใจท่ี
เกื้อกูลต่อการที่จะคิดพร้อมที่จะแสวงหาและทำให้เกิดปัญญา สามารถดำเนินชีวิตอยู่ด้วยดีไม่มีทุกข์
จากแนวคิดและทฤษฏีเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง สรุปได้ว่า การพัฒนาตนเองเพื่อให้มีการเพิ่มพูน
ความรู้ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่างๆ ไปตามวัตถุประสงค์ของแต่ละบคุ คล รวมทั้งสามารถ
ดำรงตนอยู่ในสังคม หรือประสบความสำเร็จในชีวิต หน้าที่การงาน ตลอดจนมีทัศนคติที่ดีในการ
ทำงาน อันเป็นผลให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น การพัฒนาบุคคลควรส่งเสริมพัฒนาท้ัง
รา่ งกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาอยา่ งทวั่ ถงึ สม่ำเสมอ และต่อเนอื่ ง
ความสำคัญของการพัฒนาตนเอง
ในปัจจุบันการศึกษาเรื่องการพัฒนาตนเองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากสภาพของโลกและ
เหตุการณ์ในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อย่างเข้าสู่ยุคของข่าวสาร
18
ข้อมูล (Information Era) หรือที่เรียกว่าเป็นยุคของโลกคลื่นที่สาม (Third Wave) ให้เกิดการรวมตัว
ของทรัพยากรขึ้น เมื่อโลกอยู่ในสภาวะที่ไร้พรมแดนการแข่งขันเพื่อช่วงชิงทรัพยากรจึงมีมากขึ้นเป็น
ทวีคูณ ซึ่งอาจเปรียบได้ว่าเป็นสงครามข่าวสารในด้านข้อมูลความรู้ จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลง
เช่นนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดำเนินไปโดยไม่พยายามก้าวให้ทันจะกลายเป็นผู้ล้าหลังและเสีย
ประโยชน์ในเวลาอนั รวดเรว็ ดังน้นั การพัฒนาตนเองเพอ่ื ให้เรียนร้ไู ดเ้ ท่าทนั การเปลีย่ นแปลงของโลก
ยุคโลกาภวิ ตั นเ์ พอื่ ความอยรู่ อดของชีวติ จึงเป็นสง่ิ ที่จำเป็น (ศศนิ า ปาละสิงห,์ 2547)
องค์ประกอบในการพัฒนาตนเอง
องคป์ ระกอบในการพัฒนาตนเองด้านต่างๆ ดงั น้ี
1. บุคลิกท่าทาง นับเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง เพราะกิริยาท่าทางคือการสื่อสารที่สำคัญซึ่งจะ
ทำให้ผูอ้ นื่ ร้ถู งึ จิตใจตลอดจนความนึกคิดของบุคคลผู้นั้น ดงั นนั้ กรยิ าทา่ ทางหรือบุคลิกภาพที่สามารถ
สรา้ งความเชอ่ื ม่นั ใหส้ มาชิกกลุ่ม จึงทำให้ผู้อ่นื ยกย่องและเช่ือถือไวว้ างใจ
2. การพูด นับเป็นการสื่อสารที่จะทำให้ผู้อื่นปฏิเสธหรือยอมรับในตัวผู้พูดได้เช่นกัน ซึ่งการ
พูดในที่นี้รวมทั้งการพูดคุยแบบธรรมดาและการพูดแบบเป็นทางการ การพูดที่จะประสบความสำเร็จ
นั้นมหี ลกั การเบอื้ งแรกทีส่ ำคญั คอื การระมัดระวังมิใหค้ ำพดู ออกไปเปน็ การประทุษรา้ ยจติ ใจผู้ฟงั
3. พัฒนาคุณสมบัติทางด้านมนุษย์สัมพันธ์ ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นเป็นทางที่จะทำให้ผู้อ่ืน
ยอมรบั และยกย่อง บุคคลท่ีมคี วามสัมพนั ธ์ทดี่ ีต่อคนอื่น ย่อมจะทำใหไ้ ดร้ ับความสนับสนุนและร่วมมือ
4. พัฒนาคุณสมบัติเฉพาะตัว ทำให้ได้รับการยอมรับจากสมาชิกส่วนใหญ่ ดังนั้นนอกจาก
ความรู้ ความสามารถแล้ว คุณสมบัติเฉพาะตัวบางประการก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้บุคคลได้รับ
การยอมรับจากทุกฝ่าย เป็นผู้มีคุณธรรม ได้แก่ เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตและประพฤติตนอยู่ภายใต้
คุณธรรม ความดี ตามบรรทัดฐานของสังคมนนั้ ๆ
ทฤษฏเี กย่ี วกบั การพฒั นาตนเอง
มนุษย์ทุกคนมีความต้องการในการพัฒนาตนเอง ต้องการที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือสร้าง
แรงจงู ใจในการพฒั นาตนเอง เพ่อื ความก้าวหน้าในอาชพี การงาน เพือ่ ความมั่นคงในรายได้
ทฤษฏีเกี่ยวกับการพัฒนา บอยเดล (Boydell, 1985 อ้างถึงใน เกศรินทร์ วิริยะอาภรณ์, 2545) ซ่ึง
เป็นนักจิตวิทยา ได้กำหนดขอบเขตเนื้อหาสาระสำคัญของทฤษฎีการพัฒนาตนเอง แบ่งเป็น 4 ด้าน
สรปุ ได้ ดงั นี้
1. ด้านสุขภาพ สิ่งสำคัญในการพัฒนาตนเอง บุคคลจะต้องมีสุขภาพจิตที่ดีและร่างกาย
จะตอ้ งแข็งแรง แยกเปน็ 3 ระดบั
1.1 ระดบั ความคิด ไม่ด้ือรัน้ ดันทุรัง แตจ่ ะตอ้ งยึดม่ันในความคิดเห็นและความเช่ือท่ี
มน่ั คงและตอ่ เน่ือง ในเวลาเดียวกนั กส็ ามารถมชี ีวิตอยูก่ บั ความคลุมเครือขัดแยง้ ได้
1.2 ระดับความรู้สึก รับรู้ ยอมรับความรู้สึก มีความสมดุลทั้งภายในและภายนอก
อยา่ งมัน่ คง
1.3 ระดับความมุ่งมั่นคุณค่าของโภชนาการในเรื่องอาหารการกินสุขภาพที่แข็งแรง
มีรปู แบบชวี ิตทดี่ ี
19
2. ด้านทักษะ จะต้องการพัฒนาทักษะทางสมอง และการสร้างสรรค์ความคิดในหลาย
รูปแบบ รวมทั้งความทรงจำ ความมีเหตุผล ความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาทักษะประกอบด้วย 3
ระดบั คือ
2.1 ระดับความคิด ทักษะทางใจและการคิดคำนึงที่ดี เช่น ความรู้สึกในเรื่องงาน
ความทรงจำท่ีมเี หตุผล การสรา้ งสรรค์ มีความคิดริเริ่ม
2.2 ระดับความรู้สึก ทักษะด้านสังคม ด้านศิลปะและการแสดงออก ต้องนำ
ความรู้สึกของตนเขา้ รว่ มกบั แตล่ ะสถานการณ์ และสามารถถ่ายทอดความรสู้ ึกได้
2.3 ระดับความมุ่งมั่น มีทักษะทางเทคนิค ทางกายภาพ สามารถกระทำได้อย่าง
ศลิ ปิน มใิ ชเ่ ป็นผทู้ ม่ี ีความชำนาญเท่านั้น
3. ดา้ นการกระทำให้สำเร็จ การกระทำหรอื การปฏบิ ตั สิ ่ิงตา่ งๆ ให้สำเร็จลลุ ว่ งโดยกลา้ กระทำ
ดว้ ยตัวเองโดยไมต่ ้องรอคำส่งั หรอื ไม่รอคอยให้เกิดข้ึนเอง มี 3 ระดบั คือ
3.1 ระดับความคดิ มีความสามารถทจี่ ะเลือก และเสยี สละได้
3.2 ระดับความรู้สึก มีความสามารถในการจัดการเปลี่ยนสภาพจากความไม่สมหวัง
ไมเ่ ป็นสุขใหเ้ ปน็ ความเข้มแขง็
3.3 ระดบั ความมงุ่ ม่ัน สามารถลงมือริเริ่มการกระทำได้ ไมร่ อคอยให้เกดิ ขน้ึ เอง
4. ด้านเอกภาพของตนเอง เป็นการยอมรับข้อดี และข้อเสียของตนเองด้วยความพอใจใน
ความสามารถและยอมรับข้อบกพรอ่ งของตนเองและพยายามแก้ไขใหด้ ีทีส่ ุด มี 3 ระดับ คือ
4.1 ระดับความคดิ มคี วามยอมรบั รจู้ กั และเขา้ ใจตนเอง
4.2 ระดับความรู้สึก ยอมรับตนเองแม้แต่ความอ่อนแอ และยินดีในความเข้มแข็ง
ของตนเอง
4.3 ระดับความมั่นคง มีแรงผลกั ดนั ตนเอง มีเป้าหมายภายใน มีจุดประสงค์ในชวี ติ
กระบวนการในการพัฒนาตนเอง
การพัฒนาตนเองให้ประสบความสำเร็จ ควรจะมีกระบวนการตามขั้นตอนซึ่ง (สุวรี เที่ยว
ทศั น์, 2542) ได้กลา่ วถึงกระบวนการในการพัฒนาตนเอง สรุปดงั น้ี
1. สำรวจตัวเอง การที่คนเราจะประสบความสมหวังหรอื ไม่ สาเหตุท่ีสำคัญ คือ จะต้องมีการ
สำรวจตนเองเพราะตนเองเป็นผกู้ ระทำตนเอง คนบางคนไมป่ ระสบความสำเร็จในชวี ติ เนอ่ื งจากบุคคล
มีจุดอ่อนหรอื คุณสมบัติที่ไมด่ ี การที่จะทราบว่า ตนมีคุณสมบตั ิอย่างไร ควรจะได้รับการสำรวจตนเอง
ทัง้ นี้ เพือ่ ท่จี ะได้ปรบั ปรงุ แกไ้ ข หรอื พฒั นาตนเองใหด้ ีขึ้น เพอื่ จะได้มีชวี ิตทีส่ มหวังตอ่ ไป
2. การปลูกคุณสมบัติที่ดีงาม โดยคุณสมบัติของบุคคลสำคัญของโลกเป็นแบบอย่าง ซ่ึง
คณุ สมบตั ิของบุคคลไมใ่ ช่ส่ิงทต่ี ดิ ตวั มาแต่เกิด แต่สามารถเกดิ ขน้ึ ได้
3. การปลูกใจตนเอง เป็นสิ่งสำคัญ เพราะบุคคลที่มีกำลังใจดี ย่อมมุ่งมั่นดำเนินการให้บรรลุ
เปา้ หมายของชีวติ ทก่ี ำหนดไว้
4. การส่งเสริมตนเอง คือการสร้างกำลังกายที่ดี สร้างกำลังใจให้เข้มแข็ง และสร้างกำลัง
ความคดิ ของตนให้เปน็ เลศิ
5. การดำเนินการพัฒนาตนเอง เป็นการลงมือปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างตนเองให้บรรลุ
วตั ถุประสงคต์ ามที่ตงั้ ไว้
20
6. การประเมินผล เพื่อจะได้ทราบว่าการดำเนนิ การพัฒนาตนเองตามที่บุคคลได้ต้ังเป้าหมาย
ไว้ดำเนนิ การไปได้ผลมากน้อยเพียงไร จงึ จำเป็นตอ้ งอาศยั การวดั ผลและการประเมนิ ผล
แนวคิดทฤษฎเี ก่ยี วกับการประเมินโครงการ
ทฤษฎีและโมเดลการประเมิน เยาวดี รางชัยกุลวิบูลยศรี (2542, หนา 96 - 103) กลาววา
วิวัฒนาการของการพัฒนา แนวคิด และเทคนิควิธีการประเมินจนถึงยุคของการประเมินเป็นวิชาชีพ
ทําใหความกาวหนาของศาสตรแขนงการประเมินมีหลักการที่ชัดเจน มีความเปนระบบตลอดจนนัก
ประเมินหลายทานได้พัฒนารูปแบบที่เรียกกันว่า“ แบบจำลอง” หรือ“ โมเดล” (Model) ขึ้นหลาย
รูปแบบจนทำให้แนวคิดและหลักการเหล่านั้นสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างกว้างขวางเม่ือ
พิจารณาลักษณะของ“ รูปแบบ” หรือ“ แบบจำลอง” หรือ“ โมเดล” แล้วจะเห็นได้ว่า“ โมเดล” ไม่
เพียง แต่เป็นแบบจำลองภาพหรือความคิดเท่านั้น แต่ยังมุ่งสื่อสารรวมทั้งแนวคิดหลักการตลอดจน
ปรากฏการณ์ในเชิงสัมพันธ์อย่างเป็นระบบอีกด้วยดังนั้นการกำหนดโมเดลที่เป็นระบบและมีหลักการ
ที่สมเหตุสมผลจะทำให้การวางแผนการทำงานต่างๆเข้าใจได้ง่ายขึ้นในศาสตร์ของการประเมิน
เช่นเดียวกันนักการประเมินได้เสนอแนวคิดและโมเดลที่ช่วยให้สามารถทำการประเมินได้ดีขึ้นจน
กล่าวได้ว่า“ รูปแบบ” หรือ“ โมเดล” การประเมินนี้สามารถที่จะถือว่าเป็นทฤษฎีการประเมินได้
เ พร าะม ี ล ั ก ษ ณ ะข องค วาม ส ม เ ห ตุ สม ผ ลบน พื ้ น ฐาน ข องข ้ อตก ลงเ บื ้ องต้ น ใ น เ ชิ งท ฤ ษ ฎี เ ช่ นกัน
นอกจากนั้น“ รูปแบบ” การประเมินยังสามารถเป็นที่เข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงปฏิบัติได้ตาม
โครงการต่าง ๆ ทำให้สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ให้กับศาสตร์ของการประเมินจะเห็นได้ว่า
รูปแบบการประเมินได้แพร่หลายไปอย่างกว้างขวางนักประเมินมีความรู้เกี่ยวกับรูปแบบการประเมิน
เพิ่มมากขึ้นตลอดจนมีการนำไปใช้ในการปฏิบัติเพื่อช่วยการตัดสินความต้องการและคุณภาพของ
โครงการต่าง ๆ การใช้รูปแบบการประเมินซึ่งบ่งชี้ว่าเมื่อเป็นทฤษฎีการประเมินแล้วย่อมจะต้องมีการ
ตรวจสอบถึงคุณภาพด้านความเป็นปรนัยว่าปราศจากอคติหรือไม่มีความตรงของการประเมินและ
วธิ ีการประเมินท่มี ีความเชอ่ื ถอื ได้มากน้อยเพยี งใดการประเมินผลโครงการห้องทฤษฏีการประเมินการ
ลักษณะของความเป็นวิทยาศาสตร์2 ประการคือมีการใช้วิธีวิทยาเชิงทฤษฎีในการตัดสินคุณค่าของ
โครงการมีการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงทฤษฎีกระบวนการประเมินต้องมีรูปแบบที่มีโครงสร้างอย่างเป็น
ระบบขั้นตอนของกระบวนการประเมนิ ตอ้ งมคี วามสอดคลอ้ งท่สี มเหตุสมผลในเชิงทฤษฎที ่ียอมอรับได้
รวมท้ังตอ้ งมคี วามชัดเจนในการอธบิ ายธรรมชาตขิ องการประเมินดว้ ย
แนวคิดหลักการและโมเดลการประเมินของ ไทเลอร์ (Tyler's Rationale and Model
of Evaluation) แนวคิดทางการประเมินของไทเลอร์จัดเป็นแนวคิดของการประเมินในระดับช้ัน
เรียนโดยไทเลอร์มีความเห็นว่าการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนจะมีส่วนช่วยอย่าง
มากในการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนไทเลอร์ได้เริ่มต้นการนำเสนอแนวความคิดทาง การ
ประเมินโดยยึดกระบวนการเรียนการสอนเป็นหลักกล่าวคือไทเลอร์ได้นิยามว่ากระบวนการจัดการ
เรียนการสอนเป็นกระบวนการที่มุ่งจัดขึ้นเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่พึงปรารถนาใน
ตัวของผู้เรียนด้วยเหตุนี้จุดเน้นของการเรียนการสอนจึงขึ้นอยู่กับการที่ผู้เรียนจะต้ องมีการ
21
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหลังการสอนดังนั้นเพ่ือให้การสอนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในตัวผู้เรียน
ตามทม่ี ่งุ หวังกระบวนการดังกล่าวจึงมขี ั้นตอนในการดำเนนิ การดงั น้ี
ขั้นที่ 1 ต้องมีการระบุหรือกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนลงไปว่าเมื่อสิ้นสุดการจัดการเรียน
การสอนแล้วผู้เรียนควรเกิดพฤติกรรมใดหรือสามารถกระทำสิ่งใดได้บ้างหรือที่เรียกว่าวัตถุประสงค์
เชงิ พฤติกรรม
ขั้นที่ 2 ต้องระบุต่อไปว่าจากวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ดังกล่าวนั้นมีเนื้อหาใดบ้างที่ผู้เรียน
จะต้องเรียนรู้หรือมีสาระใดบ้างที่เมื่อผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แล้วจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรม
ขั้นที่ 3 หารูปแบบและวิธีการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับเนื้อหาและจุดประสงค์ที่
กำหนดไว้
ขั้นที่ 4 ประเมินผลโครงการโดยการตัดสินด้วยการวัดผลทางการศึกษาหรือการทดสอบ
ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนแนวคิดดังกล่าวนี้เป็นแนวคิดในช่วงต้น ๆ ของไทเลอร์ต่อมาไทเลอร์ได้สร้าง
วงจรของวัตถุประสงค์ในการจัดการเรียนการสอนและการประเมนิ ผลข้ึนซึง่ เขียนเป็นโมเดลพ้นื ฐานได้
โดยสรุปก็คือการประเมินในความคิดเห็นของไทเลอร์จึงหมายถึงการเปรียบเทียบสิ่งที่ผู้เรียนสามารถ
กระทำได้จริงหลังจากได้จัดการเรียนการสอนแล้วกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมซึ่งได้กําหนดขึ้นไว้
กอ่ นทจ่ี ะจัดการเรียนการสอนนั้น ๆ
แนวคิดหลักและโมเดลการประเมินของ ASOHUA (Cronbach's Concepts and
Model) ตามทัศนะของครอนบาคเชื่อว่าการประเมินเป็นการรวบรวมข้อมูลการใช้สารสนเทศเพื่อ
การตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดโปรแกรมทางการศึกษาในส่วนของการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการจัด
การศึกษานัน้ ครอนบาคได้แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1. การตดั สินใจเพือ่ การปรบั ปรุงรายวชิ า
2. การตัดสนิ ใจท่เี กยี่ วขอ้ งกบั ตัวนกั เรียนเปน็ รายบุคคล
3. การจัดการบริหารโรงเรียนครอนบาคมีความเห็นว่าการประเมินนั้นไม่ควรกระทำโดยใช้
แบบทดสอบ แต่เพียงอย่างเดียว แต่ควรมีมาตรการอื่นประกอบด้วยครอนบาคได้เสนอแนวทางการ
ประเมินเพ่ิมเติมไวอ้ ีก 4 แนวทางคอื
3.1 การศึกษากระบวนการ (Process Studies) ได้แก่ การศึกษาภาวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชัน้
เรยี น
3.2 การวัดศักยภาพของผู้เรียน (Proficiency Measurement) ครอนบาคได้ให้ความสำคัญ
ต่อคะแนนรายข้อมากกว่าคะแนนจากแบบทดสอบทั้งฉบับและให้ความสำคัญต่อการสอนเพื่อวัด
สมรรถภาพของผู้เรียนระหว่างการเรียนการสอนว่ามีความสำคัญมากกว่าการสอบประจำปลายภาค
เรียนหรอื การสอบปลายปี
3.3 การวดั ทศั นคติ (Attitude Measurement) ครอนบาคให้ทัศนะวา่ การวัดทศั นคติเป็นผล
ท่เี กิดจากการจัดการเรียนการสอนสว่ นหนึ่งซ่งึ มคี วามสำคญั เชน่ กัน
3.4 การติดตาม (Follow-Up Studies) เป็นการติดตามผลการทำงานหรือภาวะการเลือก
ศึกษาต่อในสาขาต่างๆรวมทั้งการให้บุคคลที่เรียนในระดับขั้นพื้นฐานที่ผ่านมาแล้วได้ประเมินถึงข้อดี
22
และขอ้ จำกดั ของวชิ าต่าง ๆ ว่าควรมีการปรบั ปรงุ เพม่ิ เติมอย่างไรเพอื่ ชว่ ยในการพฒั นาหรอื ปรับปรุง
รายวชิ าเหล่านัน้ ตอ่ ไปเมื่อสรปุ แนวคดิ ของครอนบาคข้างต้นแล้วจะเหน็ ว่าครอนบาคมีความเชื่อวา่ การ
ประเมินที่เหมาะสมนั้นต้องพิจารณาหลาย ๆ ด้านดังที่กล่าวมาแล้วทั้ง 4 ประการโดยเน้นว่าการ
ประเมินโครงการดา้ นการเรยี นการสอนนน้ั ไมค่ วรประเมนิ เฉพาะ แต่จดุ มงุ่ หมายทีต่ งั้ ไว้เทา่ นน้ั แตค่ วร
ประเมินหรือตรวจสอบผลข้างเคียงของโครงการด้วยครอนบาคยังมีความเห็นเพิ่มเติมอีกว่าหน้าท่ี
สำคัญประการหนึ่งของการประเมินโครงการด้านการเรียนการสอนก็คือการค้นหาข้อบกพร่องของ
โครงการเพื่อจะได้หาทางปรับปรุงแก้ไขกระบวนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพต่อไป แนวคิด
หลักการและโมเดลการประเมินของสตรีฟเวน (Scriven's Evaluation Ideologies and Model) สค
รีฟเวนไดใ้ หน้ ิยามการประเมินไว้วา่ “ การประเมนิ ” เป็นกจิ กรรมทเี่ กย่ี วข้องกบั การรวบรวมข้อมูลการ
ตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือเพื่อเก็บข้อมูลและการกำหนดเกณฑ์ประกอบในการประเมินเป้าหมาย
สำคัญของการประเมินก็คือการตัดสินคุณค่าให้กับกิจกรรมใด ๆ ประเมินสกรีฟเวนได้จำแนกประเภท
และบทบาทของการประเมนิ ออกเปน็ 2 ลักษณะคอื ท่ตี อ้ งการ
3.4.1 การประเมินระหว่างดำเนินการ (Formative Evaluation) เป็นบทบาทของการ
ประเมินงานกิจกรรมหรือโครงการใด ๆ ที่บ่งชี้ถึงข้อดีและข้อ จำกัด ที่เกิดขึ้นในระหว่างการ
ดำเนินงานน้ัน ๆ อาจเรียกการประเมินประเภทนว้ี ่าเป็นการประเมินเพ่อื การปรับปรุง
3.4.2 การประเมินผลรวม (Summative Evaluation) เป็นบทบาทของการประเมินเมื่อ
กิจกรรมหรือโครงการใด ๆ สิ้นสุดลงเพื่อเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณค่าความสำเร็จของโครงการนั้น ๆ จึงอาจ
เรียกการประเมินประเภทนี้ว่าเป็นการประเมินสรุปรวมนอกจากนี้สกรีฟเวนยังได้เสนอสิ่งที่ต้อง
ประเมินออกเป็นส่วนสำคัญอีก 2 ส่วนคือ 1. การประเมินเกณฑ์ภายใน (Intrinsic Evaluation) เป็น
การประเมินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลรวมทั้งคุณภาพของ
คุณลักษณะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการ 2. การประเมินความคุ้มค่า (Payoff
Evaluation) เป็นการประเมินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของโครงการทฤษฎีหรือสิ่งอื่น ๆ ของ
โครงการเป็นการประเมินในส่วนซึ่งเป็นผลที่มีต่อผู้รับบริการจากการดำเนินโครงการ ๆ สรุปได้ว่าสค
รีฟเวนให้ความสำคัญต่อการประเมินเกณฑ์ภายในมาก แต่ขณะเดียวกันจะต้องตรวจสอบผลผลิตใน
เชิงสัมพันธ์ของตัวแปรระหว่างกระบวนการกับผลผลิตอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นด้วยแนวคิดทางการประเมิน
ของสครีฟเวนได้พัฒนาไปจากแนวคิดเดิมของการประเมินที่ยึดตามวัตถุประสงค์ แต่เพียงอย่างเดียว
มาเป็นการประเมินที่มุ่งเน้นถึงผลผลิตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำกิจกรรมหรือโครงการใด ๆ ในทุก
ด้านโดยให้ความสนใจต่อผลผลติ ต่าง ๆ ทเี่ กิดข้นึ ที่ตา่ ง ๆ ทเ่ี กิดข้นึ ท้ังที่เป็นผลโดยตรง
แนวคดิ หลักการและโมเดลการประเมินของ อลั คนิ (Alkin's Concepts Evatuation)
อลั คินเห็นว่า“ การประเมิน” คอื กระบวนการของการคดั เลอื กประมวลขอ้ มูลและการจดั ระบบ
สารสนเทศท่มี ปี ระโยชนเ์ พื่อนำเสนอผมู้ ีอำนาจในการตดั สนิ ใจหรอื เพื่อกำหนดทางเลอื กในการทำ
กจิ กรรมหรือโครงการใด ๆ อัลคนิ ได้แบง่ การประเมนิ ออกเปน็ 5 ส่วนคอื
1. การประเมินเพื่อทำการกำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการการประเมินส่วนนี้เป็นการ
ประเมินที่เกิดขึ้นก่อนที่จะทำกิจกรรมหรือโครงการใด ๆ เป็นการประเมินเพื่อกำหนดวัตถุประสงค์
ของโครงการหรือเพื่อกำหนดเปา้ หมายของโครงการให้สอดคล้องกับภาวะความต้องการทเ่ี ป็นอยู่
23
2. การประเมินเพื่อการวางแผนโครงการการประเมินส่วนนี้เป็นการประเมินเพื่อหาวิธีการท่ี
เหมาะสมในการทจ่ี ะวางแผนใหก้ ารดำเนนิ งานในโครงการนน้ั ๆ ได้บรรลวุ ัตถปุ ระสงคท์ ี่กําหนดไว้
3. การประเมินขณะกำลังดำเนินโครงการการประเมินส่วนนี้จะเน้นถึงการพิจารณาขั้นตอน
การทาํ งานเปน็ ไปตามแผนงานที่วางไวห้ รอื ไมห่ รือได้ดำเนินการไปตามข้นั ตอนทคี่ วรจะเป็นเพยี งใด
4. การประเมินเพื่อการพัฒนางานการประเมินส่วนนี้เป็นการประเมินเพื่อค้นหารูปแบบ
แนวทางหรือข้อเสนอแนะในการทีจ่ ะทำใหง้ านทก่ี ำลังดำเนนิ การอยนู่ ้ันมปี ระสทิ ธภิ าพมากท่ีสดุ
5. การประเมินเพื่อรับรองงานและเพื่อการยุบขยายหรือปรับเปลี่ยนโครงการการประเมิน
ส่วนนี้เป็นการประเมินภายหลังการดำเนินงานตามโครงการมีจุดมุ่งหมายเพื่อ ตรวจสอบผลที่ได้กับ
วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้รวมทั้งการประมวลผลข้อแนะนำเพื่อนำไปใช้กับโครงการต่อไปและเพื่อให้
ข้อเสนอแนะในการที่จะยุบเลิกขยายหรือปรับเปลี่ยนโครงการในช่วงระยะเวลาต่อไปด้วยจากแนวคิด
หลักตามรูปแบบการประเมินของอัลคินนั้นจะเห็นว่าเป็นการประเมินเพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจโดย
นักประเมินทำหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการหาและการเตรียมข้อมูลรวมทั้งสรุปและรายงานให้ผู้มี
อำนาจในการตัดสินใจได้ทราบเพื่อหาทางเลือกที่เหมาะสมนับว่าเป็นการประเมินที่มีระบบคือมีการ
ประเมินการวางแผนโครงการเพือ่ ช่วยให้ได้วิธีการท่ีบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการมีการประเมินการ
ดำเนินโครงการเพือ่ หาทางปรับปรุงจากการตรวจสอบและสดุ ท้ายคือการประเมินเพ่ือรับรองโครงการ
อย่างไรก็ตามแนวคิดดังกล่าวยังขาดแนวปฏิบัติที่ชัดเจนจึงยังไม่แพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการ
นำไปใช้ยังไม่กว้างขวางเท่าที่ควร แต่ก็ได้ให้แนวคิดพื้นฐานของการประเมินโครงการซึ่งเป็นที่ยอมรับ
กนั วา่ ควรจะมีการประเมนิ ท่เี ปน็ ระบบเพื่อให้การดำเนินโครงการเปน็ ไปอย่างมปี ระสทิ ธิภาพต่อไป
แนวคิดหลักการและโมเดลการประเมินของ แฮมมอนด์ (Hammond's Concepts and
Model of Evaluation) แฮมมอนด์ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการประเมินโปรแกรมการศึกษาโดย
เน้นหนักทางด้านโครงการนวัตกรรมในระดับท้องถิ่นซึ่งมี ลักษณะดังนี้วอร์เทนและซานเดอร์
(Worthen & Sanders, 1973, p. 158) เป็น 3 มติ ิ
1.ดา้ นพฤตกิ รรมการเรยี นร้มู ิติในส่วนนแี้ บ่งออกเป็น 3 ส่วนยอ่ ยคือ
1.1 พุทธิพิสัย หมายถึง การเรียนรู้เนื้อหาวิชาการต่าง ๆ ที่ต้องใช้ปัญญาและสมองเป็นการ
สอน
1.2 จิตพิสัย หมายถึง การอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีมีความประพฤติที่ถูกต้องมีความสนใจใน
คา่ นยิ มท่ีเหมาะสม
1.3 ทกั ษะพสิ ัย ไดแ้ ก่ การเรยี นรูท้ ่เี นน้ ดา้ นการทำงานดว้ ยการใช้ทักษะทางกล้ามเน้อื
2. มิตดิ า้ นการจดั การเรยี นการสอนมติ ใิ นส่วนนแ้ี บง่ รายละเอียดได้ดังนค้ี ือ
2.1 การจัดระบบการจัดระบบในส่วนนส้ี ามารถแบง่ ออกเป็น 2 สว่ นยอ่ ยคือ
2.1.1 เวลาหมายถึงช่วงเวลาและลำดับขั้นตอนของการใช้เวลาในการจัดการเรียน
การสอน
2.1.2 การจัดกลุ่มนักเรียนแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะย่อยคือการจัดกลุ่มนักเรียนตาม
ระดบั ของการพัฒนาการทางการเรยี นรแู้ ละการจดั กลมุ่ นกั เรยี นเพ่อื การจดั กิจกรรมการเรียน
การสอน
24
2.2 เน้อื หาหมายถงึ องคค์ วามรู้ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั หลกั สูตรและการจัดการเรียนการสอน
2.3 วธิ กี ารหมายถงึ กระบวนการท่ีกอ่ ใหเ้ กิดหรือนำไปส่กู ารเรยี นการสอนทเ่ี หมาะสม
2.4 สิ่งอำนวยความสะดวกหมายถึงวัสดุอุปกรณ์และครุภัณฑ์ที่อำนวยความสะดวกในด้าน
ต่าง ๆ
2.5 คา่ ใช้จ่ายหมายถงึ รายจ่ายในการจัดหาวสั ดุอปุ กรณแ์ ละครภุ ัณฑ์ท่ีอำนวยความสะดวกใน
ดา้ นตา่ ง ๆ รวมทง้ั ค่าใชจ้ า่ ยในการจดั โปรแกรมการศึกษา
3. มิติสถาบันมิติในส่วนนี้แบ่งออกเป็น 6 ด้านคือ 1. ตัวนักเรียน 2. ครู 3. ผู้บริหาร 4. ผู้เชี่ยวชาญ 5.
ครอบครวั 6. ชมุ ชนแวดลอ้ ม
หลกั วงจรคุณภาพเดมม่ิง
แนวคดิ เกีย่ วกบั วงจร PDCA เริม่ ขน้ึ เป็นคร้งั แรกโดยนกั สถิติ Walter Shewhart ซึ่งได้พัฒนา
จากการควบคุมกระบวนการเชิงสถิติท่ี Bell Laboratories ในสหรัฐอเมริกาเมื่อทศวรรษ 1930 ใน
ระยะเริ่มแรก วงจรดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในช่ือ "วงจร Shewhart" จนกระท่ังราวทศวรรษท่ี 1950 ได้
มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวางโดย W.Edwards Deming ปรมาจารย์ทางด้านการบริหารคุณภาพ
หลายคนจงึ เรียกวงจรนว้ี า่ “วงจรเดมม่งิ ”
วงจรเดมมิ่ง (The Deming Cycle) หรือวงล้อ PDCA ก็คือ วิธีการที่เป็นขั้นตอนในการที่ทำ
ให้งานเสร็จอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และเชื่อถือวางใจได้ โดยการใช้วงจร PDCA เป็นเครื่องมือ
การบรหิ ารงานอย่างตอ่ เน่อื งในการตดิ ตาม ปรับปรงุ พัฒนาใหบ้ รรลุตามเป้าหมาย โดยประกอบด้วย P
(Plan) เป็นการวางแผนงานจากวัตถุประสงค์ และเป้าหมายที่ได้กำหนดขึ้น D (Do) เป็นการปฏิบัติ
ตามขั้นตอนในแผนงานทไี่ ด้เขียนไวอ้ ยา่ งเป็นระบบและมีความต่อเนื่อง C (Check) เปน็ การตรวจสอบ
ผลการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนของแผนงานว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไข
แผนงานในขั้นตอนใด A (Action) เป็นการปรับปรุงแก้ไขส่วนที่มีปัญหาหรือถ้าไม่มีปัญหาใด ๆ ก็
ยอมรับแนวทางการปฏบิ ตั ติ ามแผนงานท่ไี ดผ้ ลสำเร็จ เพอื่ นำไปใชใ้ นการทำงานคร้งั ต่อไป
ภาพที่ 2 หลกั การวงจร PDCA
25
P (Plan)
การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning) เป็นกระบวนการตัดสินใจเพื่อกำหนดทิศทาง
ในอนาคตขององค์กร โดยกำหนดเป้าหมายในอนาคตที่ต้องการจะบรรลุและกำหนดแนวทางในการ
บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ที่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่รอบด้าน คือ จะต้องคำนึงถึงเป้าหมายท่ี
ต้องการให้เกิดศักยภาพหรือขีดความสามารถขององค์กรและการเปลีย่ นแปลงของสภาพแวดล้อมตา่ ง
ๆ ท้งั ดา้ นเศรษฐกจิ สังคม การเมือง และสงิ่ แวดลอ้ ม
การวางแผนเชิงกลยทุ ธม์ ีองคป์ ระกอบ 5 ประการดังน้ี
ประการที่ 1 มีการวิเคราะห์เปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม เพื่อหา
โอกาส (Opportunity) และภยันตราย (Treat) เพื่อให้ปรับตัวได้ทันและเตรียมพร้อมในการรองรับ
และได้ประโยชนส์ ูงสดุ จากการเปลย่ี นแปลง
ประการที่ 2 มีการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน กล่าวคือ วิเคราะห์องค์กร บุคลากร
การเงิน คอมพิวเตอร์ เพื่อหาจุดอ่อน และจุดแข็งดังนั้นจะเห็นว่าองค์ประกอบท่ี 1 และ 2 จะมุ่งเน้น
วเิ คราะห์ SWOT นั่นเอง
S (Strengths) คือ จดุ เดน่ หรอื จดุ แข็ง ซงึ่ เป็นผลมาจากปัจจยั ภายใน เป็นการมุ่งเนน้
วิเคราะห์เกี่ยวกับข้อดีที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายในองค์กรธุรกิจ เช่น จุดแข็งด้านส่วน
ประสม, จุดแข็งดา้ นการเงนิ , จดุ แข็งดา้ นการผลติ , จุดแขง็ ด้านทรัพยากรบุคคล, องค์กรธุรกจิ
จะตอ้ งใชป้ ระโยชนจ์ ากจดุ แขง็ ในการกำหนดกลยุทธ์การตลาด
W (Weaknesses) คือ จดุ ดอ้ ยหรอื จดุ ออ่ น ซึง่ เปน็ ผลมาจากปจั จัยภายใน เป็น
ปญั หาหรอื ขอ้ บกพร่องทีเ่ กิดจากสภาพแวดล้อมภายในตา่ ง ๆ ขององคก์ รธุรกจิ ซ่งึ องค์กร
ธรุ กิจจะต้องหาวิธีในการแกป้ ญั หานนั้
O (Opportunities) คือ โอกาส ซึ่งเกิดจากปัจจัยภายนอก เป็นผลจากการที่
สภาพแวดลอ้ มภายนอกขององค์กรธุรกจิ เอื้อประโยชนห์ รอื ส่งเสรมิ การดำเนนิ งานขององค์กร
โอกาสแตกต่างจากจุดแข็งตรงที่โอกาสนั้นเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อมภายนอก แต่จุดแข็ง
นั้นเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อมภายใน นักการตลาดที่ดีจะต้องเสาะแสวงหาโอกาสอยู่เสมอ
และใช้ประโยชน์จากโอกาสนนั้
T (Threats) คือ อุปสรรค ซึ่งเกิดจากปัจจัยภายนอก เป็นข้อจำกัดที่เกิดจาก
สภาพแวดล้อมภายนอก ซึ่งธุรกิจจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การตลาดให้สอดคล้องและพยายาม
ขจดั อปุ สรรคตา่ ง ๆ ที่เกิดขึ้นใหไ้ ด้จริง
ประการที่ 3 เป็นการวางแผนที่มีระยะยาว อันเป็นแผนทิศทางที่มีลักษณะเป็นนามธรรม
(Abstract) แผนระยะกลาง และระยะสั้น ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปธรรม (Concrete) โดยมีการกำหนด
เงื่อนไขด้านเวลา และแนวทางในการดำเนินงานที่สามารถวัดได้ การดำเนินแผนระยะสั้นจะเป็น
ทิศทางสู่การบรรลุเป้าหมายระยะกลาง และการบรรลุเป้าหมายระยะกลางก็จะไปสู่ทิศทางที่กำหนด
ไวเ้ ป็นระยะยาว
26
ประการที่ 4 การวางแผนกลยุทธ์เป็นการวางแผนและขั้นตอนอย่างเป็นระบบ (Systematic)
โดยทุก ๆ ส่วนจะสัมพันธ์และผูกพันต่อกันอย่างมีโครงสร้าง ทุกเวลาที่เสียไปและทุก ๆ ส่วนของ
กจิ กรรมทท่ี ำจะสัมพนั ธ์และเสริมสรา้ งเพื่อบรรลเุ ป้าหมายทก่ี ำหนดไว้
ประการที่ 5 การวางแผนกลยทุ ธ์ จะต้องเปน็ การวางแผนทสี่ ามารถปฏิบตั ไิ ด้ (Realistic) มใิ ช่
การวางแผนที่อยากได้มากกว่าแผนที่ทำได้โดยสรุปองค์ประกอบที่สำคัญของการวางแผนเชิงกลยุทธ์
ได้แก่ กำหนดวิสัยทัศน์ ภารกิจ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ขององค์กร การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
ภายนอกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในเพื่อหาจุดแขง็ และ
จุดอ่อนเพื่อให้ทราบถึงทรัพยากร และความสามารถต่าง ๆ ในองค์กร เพื่อจะได้นำไปสร้างให้องค์กร
บรรลุความได้เปรยี บในการแข่งขัน
D (Do)
การบริหารโดยการควบคุมคุณภาพหรือกลุ่มคุณภาพ (Quality Control Circle: QCC) ซึ่งในปัจจุบัน
นี้องค์กรธุรกิจเอกชนต่าง ๆ รัฐวิสาหกิจ ได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก คำว่า คุณภาพ หมายถึง
คุณสมบัติหรือลักษณะต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์หรือการบริการที่ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคหรือ
ผู้บริการ การควบคุมคุณภาพ หมายถึง การปฏิบัติงานต่าง ๆ ในระหว่างการผลิตที่ป้องกันไม่ให้เกิด
ของเสีย ป้องกันไม่ให้การทำงานผิดไปจากกำหนด หาทางลดปริมาณของเสีย เพิ่มปริมาณการผลิต
และคุณภาพให้ดีอยู่ตลอดเวลา กลุ่มสร้างคุณภาพ หมายถึง กลุ่มคนเหมาะสม ขนาดเหมาะสมท่ี
ทำงานอย่างเดียวเกี่ยวข้องกัน รวมตัวอย่างอิสระ เพื่อร่วมมือและช่วยกันปรับปรุงงานให้เป็นไปตาม
วัตถปุ ระสงคท์ ตี่ ้องการ
ขนั้ ตอนและวธิ ีการดำเนินกจิ กรรม QCC
1. การจดั ต้งั กลุ่มกจิ กรรม QCC ประกอบดว้ ย
1.1 พนักงานรวมตัวกัน 3-10 คน การรวมตัวเป็นกลุ่มกิจกรรม QCC มีเป้าหมายสำคัญคือ
คุณภาพการทำงาน ดงั นน้ั พนักงานจึงควรเปน็ พนักงานทม่ี กี ารทำงานรว่ มกันและมเี ปา้ หมายเดยี วกนั
1.2 ตั้งชื่อกลุ่มและจดทะเบียนกลุ่มกับองค์กร เพื่อให้องค์กรยอมรับ และสนับสนุนกิจกรรม
QCC ของกลมุ่
1.3 แม้ว่าสมาชิกของกลุ่มจะเท่าเทียมกันทุกคน แต่ก็ควรจัดตำแหน่งหน้าที่ที่จำเป็นในการ
ทำงาน เช่น ประธานกลุ่ม เพื่อเป็นผู้นำ รองประธาน เพื่อเป็นผู้ช่วยผู้นำ เลขานุการ เพื่อบันทึกการ
ประชุมและเตรียมเอกสาร เหรัญญิก เพื่อดูแลการใช้จ่ายเงินและปฏิคม เพื่อเป็นผู้ประสานงานกับ
กลุ่มอ่ืน ๆ
1.4 กำหนดสัญลกั ษณแ์ ละคำขวญั ประจำกลมุ่
1.5 จัดการประชุมกลุ่ม
2. ค้นหาปญั หา
กจิ กรรม QCC เปน็ กจิ กรรมทม่ี ุ่งสคู่ ณุ ภาพตามข้อกำหนด หรือมาตรฐาน ดงั นนั้ กลุ่มกจิ กรรม
QCC จงึ ตอ้ งค้นหาปัญหาทเ่ี ปน็ อุปสรรคต่อการสร้างคุณภาพ แต่การมองปญั หาหรอื เห็นความสำคญั
ของปัญหาของพนกั งานมักจะแตกตา่ งกัน ดงั นนั้ จงึ ต้องเร่มิ จากการวิเคราะหป์ ญั หา (Problem
Solving Oriented) ไดแ้ ก่
27
2.1 การเสนอประเด็นปัญหาวา่ จะดำเนนิ การในส่วนใดกอ่ น เชน่ วิธกี ารทำงาน ผลงาน ความ
ปลอดภยั เครอื่ งจักร ส่งิ แวดลอ้ ม
2.2 เลือกประเด็นปญั หาทจี่ ะดำเนนิ การปรับปรุง ตัวอย่างเชน่ ด้านความปลอดภัยกน็ ำหวั
ขอ้ ความปลอดภยั มาวเิ คราะห์วา่ มปี ญั หาอะไรบ้าง
2.3 ทำการวเิ คราะหล์ ำดับความสำคัญของปัญหาดว้ ยตาราง
3. รวบรวมขอ้ มูล
ซึ่งในการเสนอปัญหาและวิเคราะห์ปัญหา สมาชิกทุกคนจะต้องดำเนินการโดย รวบรวม
ข้อมูลจากความเป็นจริง สถานการณ์จริง ถูกต้อง เชื่อถือได้ บันทึกข้อมูลด้วยแผ่นข้อมูล (Data
Sheet) และนำเสนอข้อมูลด้วยพาลาโตไดอะแกรม (Pareto Diagram)
4. ใชแ้ ผนภูมิก้างปลาในการวิเคราะห์และแก้ปัญหา (Cause-Effect Diagrams)
ผังแสดงเหตุและผล (Cause and Effect Diagram) ผังก้างปลา (Fish Diagram) หรือผังอิชิ
กาวา สามารถนำมาใช้เพื่อหาสาเหตุของปัญหาอันก่อให้เกิดผล โดยปกติจะใช้เป็นเครื่องมือในการ
ประชุมระดมความคิดจากระดับหัวหน้างานและคนงาน ผังก้างปลามีลักษณะคล้ายก้างปลา กล่าวคือ
ที่ปลายด้านหนึ่งจะเป็นผลที่กำลังประสบอยู่ และในส่วนของก้างที่แตกกิ่งออกไปจะแทนปัจจัยหรือ
สาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดผลอันนั้นขึ้น เมื่อนำปัญหาที่วิเคราะห์ได้จากตาราง จะเห็นว่าควรแก้ไข
เร่งด่วนที่สดุ มาวิเคราะห์หาสาเหตุบนแผนภูมิก้างปลา ซงึ่ สาเหตแุ ห่งปัญหามกั จะเกิดจากพนักงานเอง
เครื่องจักร อุปกรณ์ วัตถุดิบ หรือวิธีการทำงาน เขียนสาเหตลุ งในก้างปลาย่อย เมื่อเราเขียนสาเหตุแต่
ละสาเหตลุ งในกา้ งปลาย่อยจะทำให้เราเหน็ ต้นเหตุของปญั หาอย่างชัดเจน ซ่งึ เมือ่ ระดมความคิดคน้ หา
สาเหตุแห่งปัญหาได้แล้ว ก็ช่วยกันระดมความคิดหาวิธีแก้ปัญหาต่อไปเลย โดยพิจารณาในแต่ละก้าง
หาวิธีแก้ และเขียนวิธีแกล้ งไปในก้างปลาตวั ใหม่ จะได้แผนภูมิก้างปลา 2 ตัว ตัวแรกแสดงสาเหตุของ
ปัญหา ตัวที่สองแสดงวิธีการแก้ปัญหา สำหรับแผนภูมิ เป็นแผนภูมิตัวอย่าง สาเหตุอาจจะเป็น
ลักษณะอื่น ๆ ได้อย่างไรก็ตามการดำเนินงานของกลุ่ม QCC เรื่องที่กลุ่ม QCC เลือกมาดำเนินการ
ต้องไม่ขดั ต่อนโยบายของบริษัท/หน่วยงานสามารถทำไดเ้ องและต้องทำเป็นกลุม่ โดยใช้เทคนิคตา่ ง ๆ
ที่ใช้ในการทำกลุ่ม QCC ให้มีประสิทธิผล โดยเน้น การพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creative
Thinking) คือการเชื่อมโยงความคิด และประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ เพื่อสังเคราะห์เป็นความคิดใหม่
เพื่อแก้ไขปัญหา ปรับปรุง ในลักษณะเฉพาะหน้า โดยการเปิดใจกว้างที่จะรับรู้สิ่งที่อยู่รอบตัว
เหตกุ ารณ์ต่าง ๆ
ฝึกคิดในเรื่องเดียวกันให้ได้ในหลาย ๆ แง่มุม สร้างทัศนคติในเชิงสร้างสรรค์และค้นหาสิ่ง
ใหม่ ๆ อย่างไม่ลดละ ฝึกเป็นคนช่างสังเกต จดจำสิ่งที่พบเห็นรวบรวมมาใช้ประโยชน์ เป็นคนชอบ
อ่าน ชอบค้นคว้า ขี้สงสัยในส่วนที่ยงั สงสัย ชอบคิดหาความแปลกใหม่ ชอบหาเหตุผลมาอธิบาย ตอบ
คำถาม ต้องรู้จักคิดแปลงความคิดเป็นการกระทำ และ การระดมสมอง (Brain Storming) คือความ
พยายามในการกระตุ้นให้เกิดความคิดริเริ่ม หรือแสดงความคิดอย่างเสรีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดย
พยายามรวบรวมความคิดให้มากที่สุด อย่างรวดเร็วต่อเนื่อง โดยต้องไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ความ
คิดเห็นของคนอื่นๆการปล่อยความคิดอย่างเป็นอิสระและเป็นกันเอง มุ่งเน้นปริมาณความคิดเป็น
สำคัญ และกระตุ้นให้ทุกคนพยายามเสริมต่อความคิดของผู้อื่น จึงจะทำให้การทำกิจกรรมกลุ่ม QCC
ประสบผลสำเรจ็
28
ประโยชนข์ อง QCC
1. สร้างขวัญและกำลังใจใหแ้ กพ่ นักงานของหน่วยงาน ให้อยากอยู่ อยากทำ และอยากคิด
2. พัฒนาทีมงานให้เข้าใจบทบาทของตนเอง เพ่อื การประสานงานกนั ตลอดจนการพฒั นา
เพือ่ การเป็นหัวหน้างานในอนาคต เป็นการสร้างความเข้มแข็งใหก้ ับหนว่ ยงาน
3. เพอ่ื ช่วยกำหนดมาตรฐานในการควบคุมงาน และยกระดบั คุณภาพ และมาตรฐานการ
ทำงานของพนกั งานใหส้ ูงขน้ึ
4. ชว่ ยให้ต้นทนุ ลดลง คณุ ภาพสูงขน้ึ ประสทิ ธิภาพของงานสูงขน้ึ และทำใหไ้ ด้สินคา้ และ
บรกิ ารมคี ุณภาพและสรา้ งความพงึ พอใจให้กับลูกคา้
การจดั การคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management: TQM)
หมายถึง วัฒนธรรมขององค์กรที่สมาชิกทุกคนต่างให้ความสำคัญ และมีส่วนร่วมในการ
พัฒนาการดำเนินงานขององค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งที่จะตอบสนองความต้องการและความพอใจ
ให้แกล่ ูกค้า โดย TQM จะมเี อกลักษณ์ท่ีแตกต่างจากแนวคดิ การบริหารงานอน่ื ซง่ึ เราสามารถกล่าวได้
ว่า TQM จะมีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือการให้ความสำคัญกับลูกค้า การพัฒนาอย่าง
ตอ่ เน่อื ง และสมาชกิ ทุกคนมสี ่วนรว่ ม
1. การให้ความสำคัญกับลูกคา้ (Customer Oriented) การให้ความสำคัญกับลูกค้าจะไม่ถูก
จำกัดอยู่ที่ลูกค้าจริง ๆ หรือที่เรียกว่า ลูกค้าภายนอก (External Customer) ท่ีซื้อสินค้าหรือบริการ
ของธุรกิจเท่านั้น แต่จะขยายตัวครอบคลุมไปถึงพนักงาน หรือหน่วยงานที่อยู่ถัดไปจากเรา ซึ่งรอรับ
ผลงานหรือบริการจากเรา ที่เรยี กว่า ลูกคา้ ภายใน (Internal Customer) โดยเราจะทำหนา้ ทเ่ี ป็นผู้ส่ง
มอบภายใน (Internal Supplier) ในการสง่ มอบผลงานและสรา้ งความพอใจให้แก่พวกเขา ซ่งึ จะสร้าง
ความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันเป็นห่วงโซ่คุณภาพ (Quality Chain) จากผู้ขายวัตถุดิบ (Supplier) ผู้ส่ง
มอบ และลูกค้าภายใน ไปจนถึงลูกค้าภายนอกที่ซื้อสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพของธุรกิจ โดย
ความสัมพันธ์จะต้องเป็นระบบที่สอดคล้อง ส่งเสริม และต่อเนื่องกันอย่างเหมาะสม ถ้าโซ่ห่วงใดมี
ความบกพร่อง ก็จะทำให้การส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพขาดความสมบูรณ์ และสร้างปัญหาข้ึน
ดังนั้นพนักงานทุกคนจึงต้องมีสำนึกแห่งคุณภาพ และความเป็นเลิศ (Excellence) ไม่ทำงานให้เสร็จ
แบบขอไปที แต่ต้องระลึกเสมอว่าผลงานของเขาจะมีผลกระทบต่อคุณภาพของสินค้า หรือบริการท่ี
ธุรกิจส่งมอบให้แก่ลูกค้า ถ้าผลงานของเขามีปัญหาก็จะส่งผลให้การดำเนินงานในขั้นตอนต่อไปมี
อุปสรรค และทำให้ลูกคา้ ได้รับสนิ คา้ หรอื บริการท่ีไม่มีคณุ ภาพ
2. การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) ซึ่งสามารถดำเนินงานได้
ดังต่อไปนี้คือ ศึกษา วิเคราะห์ และทบทวนข้อมูลการดำเนินงานและสภาพแวดล้อม เพื่อหาแนวทาง
ในการพฒั นา และปรับปรงุ คณุ ภาพของระบบและผลลัพธอ์ ยา่ งสร้างสรรค์ และต่อเนอื่ งพยายามหาวิธี
ในการแก้ไขปัญหา และพัฒนาการดำเนินงานที่เรียบง่ายแต่ให้ผลลัพธ์สูงติดตาม ตรวจสอบ และ
ประเมินผลงานอย่างเป็นระบบ เปน็ ธรรมชาติ และไมส่ รา้ งความสญู เสียจากการตรวจสอบ
3. สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วม (Employees Involvement) ตั้งแต่พนักงานระดับปฏิบัติการ
จนถึงหัวหน้าคณะผู้บริหาร (Chief Executive Officers: CEOs) ที่ไม่ใช่เพียงปฏิบัติงานแบบขอไปที
เท่านั้น แต่ต้องมีความเข้าใจและยอมรับในการสร้างคุณภาพสูงสุดให้เกิดขึ้น ไม่เฉพาะบุคคลใหน่วย
งาน แต่ทุกหน่วยงานจะต้องร่วมมือกันในการพัฒนา แต่ทุกหน่วยงานจะต้องร่วมมือกันในการพัฒนา
29
คุณภาพของธุรกิจอย่างสอดคล้องและลงตัว โดยมองข้ามกำแพงหรือฝ่าย/แผนกที่แตกต่างกัน แต่ทุก
คนต้องปฏบิ ัติงานในฐานะสมาชกิ ขององค์กรคณุ ภาพเดียวกนั เพื่อให้สมาชิกสามารถทำงานให้ถูกต้อง
ตั้งแต่เริ่มต้น และถูกต้องเสมอ (Do it right the first time and Every time) โดยอาจจะจัดต้ัง
ทีมงานข้ามสายงาน (Cross Functional Team) เข้ามาร่วมรับผิดชอบในการดำเนินงาน และพัฒนา
คุณภาพของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยทีมงานจะเป็นกลจักรสำคัญในการผลักดันธุรกิจไปข้างหน้าอย่าง
สม่ำเสมอ
วัตถุประสงคข์ อง TQM
1. การลดตน้ ทนุ และการพฒั นาคณุ ภาพสนิ ค้าหรือบริการ จะเปน็ วตั ถุประสงค์เบ้ืองตน้ ในการ
ดำเนินงานด้านคณุ ภาพ เพ่ือการดำรงอยู่และการแข่งขันขององคก์ ร
2. สร้างความพอใจและความซ่ือสัตยข์ องลกู คา้ เพราะลกู ค้าเปน็ บุคคลทมี่ ีความสำคญั ทส่ี ุด
สำหรับปัจจุบันและอนาคต ซึง่ ธรุ กิจจะตอ้ งดำเนนิ ในเชงิ รุก เพ่ือใหไ้ ดแ้ ละธำรงรกั ษาลกู คา้ ไปอย่าง
ต่อเนื่อง
3. สร้างความพงึ พอใจในงาน และพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของพนกั งาน ใหเ้ ขามคี วามมงุ่ มัน่ และ
ทุ่มเทในการทำงานของธรุ กจิ
4. ประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการเจริญเติบโตในอนาคต โดยมีจุดมงุ่ หมายเพ่อื สร้าง
องคก์ รคณุ ภาพโดยสมบรู ณ์ (Perfect Quality Organization) ซง่ึ จะสอดคล้องกบั ปรัชญาขององคก์ ร
เรยี นรู้ (Learning Organization) ทใ่ี หค้ วามสำคญั กับการเรยี นรแู้ ละพฒั นาการ เพื่อความอยู่รอด
ขององค์กร
ประโยชนข์ อง TQM
1. ชว่ ยใหผ้ บู้ ริหารและองคก์ รสามารถรบั รู้ปญั หาของลูกค้า และความตอ้ งการท่ีแท้จรงิ ของ
ตลาด สามารถจะสรา้ งสนิ ค้าและบริการใหเ้ ป็นท่ีพึงพอใจแกล่ ูกค้า ซง่ึ จะสรา้ งรายได้ กำไร ความอยู่
รอด และการเจรญิ เติบโตของธรุ กจิ
2. ให้ความสำคญั กับระบบทเี่ รียบงา่ ยและผลลัพธ์ ท่ีลดความสญู เสยี และความสูญเปล่าใน
การดำเนนิ งาน สามารถบริหารตน้ ทุนการดำเนนิ งานอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
3. พฒั นาระบบ ข้ันตอน และการจัดเกบ็ ข้อมลู การทำงานให้มีประสทิ ธิภาพ โปร่งใส
ตรวจสอบและแกไ้ ขได้ง่าย ไม่เสียเวลากบั งานที่ไมส่ ร้างมลู ค่าเพิม่ ใหก้ ับธุรกิจ
4. พนกั งานมีสว่ นร่วมในการดำเนินงาน การแกไ้ ขปญั หา และการสรา้ งรายได้ของธุรกิจ จึง
เกดิ ความพงึ พอใจในการทำงาน
5. มงุ่ พฒั นาการดำเนนิ งานขององค์กร ให้มคี ุณภาพสงู สดุ ในทกุ มติ ิ โดยพฒั นาขีด
ความสามารถในการแขง่ ขันของธรุ กจิ อย่างตอ่ เน่ือง
การบริหารกระบวนการผลิต (Production Management)
กระบวนการผลิต เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงสภาพของปัจจัยนำเข้า (Input) ให้เป็น
ผลิตผล (Output) ที่ต้องการ ซึ่งผลผลิต (Output) เป็นสิ่งที่เป็นผลลัพธ์ที่ได้จากกระบวนการผลิต
จำแนกเป็น 2 ลักษณะ คือ สินค้าและบริการโดยที่สินค้า (Goods) เป็นผลผลิตที่มีตัวตน จับต้องได้
แบ่งเป็น สินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Goods) เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคซื้อไปใช้ในการดำเนิน
ชีวิตประจำวันโดยตรง และสินค้าอุตสาหกรรม (Industrial Goods) เป็นสินค้าที่ผู้ซื้อจัดหามาเพื่อ
30
นำไปผลติ เปน็ สินคา้ ตอ่ การบรกิ าร (Service) เปน็ ผลผลติ จากกระบวนการผลิตที่ไมม่ ีตัวตน แต่มีค่า มี
ราคา ซื้อขายกันได้ แบ่งเป็น การบริการโดยตรง (Direct Services) คือ บริการที่นำเสนอแก่ผู้บริโภค
โดยตรงในการท่ีจะใช้คุณค่าจากบริการนน้ั เช่น โรงแรม การทอ่ งเทีย่ ว ขนสง่ มวลชน และ การบริการ
โดยออ้ ม (Indirect Services) คือ การท่ีนำเสนอแกผ่ ู้ผลิตหรอื ผปู้ ระกอบการ ซง่ึ เปน็ ผู้ทำการผลติ และ
บรกิ ารไปยังผบู้ ริโภค เช่น การเงนิ การประกนั ภัย
โดยที่กระบวนการผลิต ควรผลิตสินค้าโดยใช้แนวคิดของเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาด (Cleaner
Technology: CT) ซึ่งเป็นการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตหรือผลิตภัณฑ์เพื่อใช้เป็น
วัตถุดิบ พลังงาน และทรัพยากรธรรมชาติ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้เปลี่ยนเป็นของเสีย
น้อยที่สุดหรือไม่มีเลย จึงเป็นการลดมลพิษที่แหล่งกำเนิด ทั้งนี้รวมถึงการเปลี่ยนวัตถุดิบ การใช้ซ้ำ
และการนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งจะช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและลดต้นทุนในการผลิตไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ยังหมายถึง การพัฒนา เปลี่ยนแปลง ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องของกระบวนการผลิต การ
บริการ และการบรโิ ภค โดยก่อใหเ้ กิดผลกระทบหรอื ความเสี่ยงอนั จะเกิดข้นึ ตอ่ มนุษย์และส่ิงแวดล้อม
น้อยที่สุด และต้องมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งทำได้โดยการลดมลพิษที่แหล่งกำเนิด และการ
ใชซ้ ้ำและ/หรือการเปลีย่ นแปลงเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ โดยได้รับความรว่ มมอื จากทุกคนในองคก์ ร บา้ น
และชมุ ชน
C (Check)
การวจิ ยั และพฒั นา (Research & Development)เป็นการศึกษา คน้ คว้า และเรยี นรสู้ ่ิงหนึ่ง
สิ่งใด เช่น ผลิตภัณฑ์ วิธีการ กระบวนการ กลุ่มคน องค์ความรู้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อสิ่งดังกล่าว
เป็นอย่างดี และนำความรู้ความเข้าใจนั้นมาใช้ใหเ้ กิดการปรับปรงุ หรือพัฒนาในสิ่งที่มีอยู่ให้ดีขึ้น หรือ
เป็นการสร้างสิ่งใหม่ (Innovation) ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นด้านนวัตกรรมใหม่ ๆ หรือ
เป็นด้านที่ทำเพื่อให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาสิ่งเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งข้ึน ซึ่งเมื่อทำการวิจัยและพัฒนา
โดยมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อที่จะปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมให้ดีขึ้น เราก็อาจค้นพบนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้
อยา่ งไมค่ าดคดิ ปรัชญาของการพัฒนาที่ว่า “ทุก ๆ อยา่ งสามารถพัฒนาและปรับปรุงตอ่ ไปได้อีก” จึง
ต้องใช้ Research & Development of Products เป็นเครื่องมือเชิงรุกในการแข่งขันทางธุรกิจ
พอจะสรปุ เหตผุ ลในการใช้ Research & Development of Products ได้ดังตอ่ ไปนค้ี ือ
1. สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เพราะว่าลูกค้ามีความคาดหวังในคุณภาพหรือ
บริการเป็นประเด็นหลกั
2. สามารถเพ่มิ มูลคา่ ให้กับผลติ ภณั ฑ์ ซึ่งทำให้ก่อให้เกิดกำไรมากขน้ึ
3. ผู้ประกอบการเกิดความภูมิใจต่อผลิตภัณฑ์ของตนเอง ทำให้พนักงานในองค์กรเกิดความ
ภมู ใิ จ ตัง้ ใจทำงาน และซอ่ื สตั ยต์ อ่ องค์กร
4. เป็นแบบอย่างให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หน่วยงานต่าง ๆ องค์กรได้เรียนรู้
และนำไปปรับใช้ ซึ่งจะทำให้ในองค์กรมีแต่หน่วยงานที่มีคุณภาพ และเป็นการยกระดับคุณภาพของ
องคก์ ร
โดยมีมุมมองของการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่จะทำให้เห็นภาพรวมในมุมกว้างหรือกล่าว
ได้ว่าเป็นแผนที่โดยรวมของเส้นทางเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ทำให้สามารถจัดระบบรวมถึงจัดการกับ
31
ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการทำการวิจัยและพัฒนา โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ส่วนหลัก
ดว้ ยกัน ได้แก่
องค์ประกอบท่ี 1 การกำหนดเป้าหมายของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Targets Identification)
การกำหนดเป้าหมายของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของความต้องกของ
ลูกค้าและความเหมาะสมขององค์กรธุรกิจของตนเป็นสำคัญ แต่ถ้าหากสามารถกำหนดเป้าหมาย
ผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์สูงได้ ก็นับได้ว่าเป็นความได้เปรียบสำหรับการแข่งขันเป็นอย่างยิ่ง
จากเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ที่ได้ ยังต้องอาศัยรายละเอียดของข้อมูลทางเทคนิคของผลิตภัณฑ์ ซ่ึง
จำเปน็ ต้องเรียนรู้กนั โดยทวั่ ไป ไดแ้ ก่
1. หลักการพื้นฐาน (Basic Concept) ได้แก่ หลักการทำงาน หลักการออกแบบ หลักการ
ทางวชิ าการ การคำนวณทงั้ ทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
2. หลักการผลิต (Manufacturing Concept) ได้แก่ วิธีการผลิต ชนิดของเครื่องจักร ชนิด
ของวัตถุดิบ หรือวัสดุต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มาตรฐานการทดสอบ ซึ่งรายละเอียดต่าง ๆ ของหลักการ
ผลิตจะมีแง่มุมของความหลากหลายมากกว่าหลักการพื้นฐานอยู่มากเมื่อได้ข้อมูลของผลิตภัณฑ์อย่าง
ครบถ้วนมากที่สุดแล้ว เราจะต้องทำความเข้าใจกับข้อมูลเหล่านั้นอย่างถ่องแท้เสียก่อน เนื่องจากว่า
ข้อมูลของผลิตภัณฑ์ถือเป็นพื้นฐานสำหรับข้อมูลด้านอื่น ๆ ต่อไป และนอกจากข้อมูลของผลิตภัณฑ์
โดยตรงแล้ว บางครั้งอาจจำเป็นต้องหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้หลักการพื้นฐานหรือ
หลักการผลิตที่คล้ายคลึงกัน เนื่องจากว่าข้อมูลของผลิตภัณฑ์อื่น อาจจะมีประโยชน์ต่อการวิจัยและ
พฒั นาผลติ ภัณฑข์ องเราในแงข่ องการประยุกตใ์ ช้งาน บางกรณีอาจถงึ ขน้ั ทำให้เกิดการสร้างนวัตกรรม
ใหมเ่ ลยกเ็ ป็นได้
องค์ประกอบท่ี 2 แนวทางของการดำเนินการ (Ways to Targets)
วิธีการวิจัยและพัฒนาใด ๆ ก็ตามที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความปลอดภัย (Safety) ของชีวิตและ
ทรัพย์สิน ก็จะถือว่าวิธีการวิจัยและพัฒนาดังกล่าวนั้นเป็นวิธีการที่ถูกต้องทั้งสิ้น ซึ่งยังต้องการข้อมูล
พน้ื ฐานในการพจิ ารณาท่ีใชก้ นั อยา่ งแพร่หลาย ได้แก่
1. พิจารณาจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน อาศัยตำรา เอกสารทางวิชาการ และ
อนิ เตอรเ์ นต็
2. พิจารณาจากผู้มีประสบการณ์ด้านนั้น ๆ โดยทั่วไปจะหาได้จากบุคลากรภายในองค์กร
โดยยดึ หลกั ความสอดคล้องกับเทคโนโลยีของตนเองเป็นหลกั
3. พิจารณาจากสมมุติฐานของตนเอง คือการคาดเดาอย่างมีเหตุผล ที่ต้องการการพิสูจน์
ตอ่ ไป
4. พิจารณาจากความเหมาะสมขององค์กร ได้แก่ นโยบาย ทิศทางของตลาด ซึ่งจะต้องได้
จากการประชุม ปรึกษาจากทุกฝา่ ยท่ีเก่ียวข้องข้อมูลพื้นฐานสำหรับการวิจัยและพัฒนา ถือเป็นข้อมูล
ทีส่ ำคัญ มคี วามหลากหลายและไมต่ ายตวั ขนึ้ อยูก่ บั ผ้ใู ชง้ านจะให้ความสำคัญตอ่ ปัจจัยใดเป็นหลกั
องค์ประกอบท่ี 3 บุคลากรที่มีศักยภาพ (Potential Man)บุคลากรเป็นตัวแปรที่มี
ความสำคัญที่สุดสำหรบั การวจิ ยั และพัฒนาทกุ ประเภท ผลสำเร็จหรอื ความลม้ เหลวมากกว่า 80-90%
เกิดจากตัวบุคลากรทั้งสิ้น แต่มิได้หมายความว่าจะต้องให้ความสำคัญกับบุคคลเหล่านี้เป็นพิเศษ
เหนือกว่าบุคลากรฝ่ายอื่น ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมักจะมีจุดสมดุลของตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งระบบการจัดการ
32
สมยั ใหม่ เช่น ระบบบรหิ ารคณุ ภาพ หรอื วธิ ีการจัดการภายในของฝ่ายวิจยั และพฒั นาเอง ก็เป็นระบบ
บริหารที่จัดวางรูปแบบของการวิจัยพัฒนาให้เป็นระบบ สามารถสืบค้นย้อนกลับได้ มีการจัดประชุม
แลกเปลี่ยนความรู้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้สามารถถ่ายทอดความรู้จากคนหนึ่งไปสู่ผู้อื่นได้อย่างเป็น
ขั้นตอน ถึงแม้ว่าจะไม่มีระบบการจัดการใดที่สามารถให้แนวทางความคิด ความอ่าน และจินตนาการ
กับมนุษย์ได้ แต่ระบบการจัดการประเภทนี้ก็สามารถจัดการเพื่อไม่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกรวมอยู่ในตัว
ของคนเพียงคนเดียว ซึ่งก็เป็นการช่วยลดความเสี่ยงขององค์กรธุรกิจในยามที่ต้องขาดแคลนบุคคล
เหล่านไ้ี ป ให้ไมต่ ้องเสียเวลามานั่งนบั หน่ึงใหม่ ซงึ่ พอจะสรปุ ลักษณะตา่ ง ๆ ของบคุ คลที่เหมาะกับงาน
นี้ได้ ดังน้ี เป็นคนมีความรู้พื้นฐานเหมาะสมกับงาน เป็นคนที่สามารถเรยี นรู้สิ่งใหม่ ๆ เพิ่มเติมได้ เป็น
คนที่มองได้ทั้งภาพรวมและภาพเฉพาะ เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และเป็นคนที่มีทักษะการ
ประยุกต์สูง โดยที่องค์กรจะต้องพิจารณาจากศักยภาพของบุคลากรเหล่านี้มากกว่าจำนวนของ
บุคลากร และบุคลากรเหล่านี้ต้องได้รับการฝึกฝนและฝึกอบรมอยู่ตลอดเวลาทั้งภายในและภายนอก
องค์กร เพอื่ ปรบั ทศั นคติ สร้างความรู้ ความเขา้ ใจ และเปิดวิสัยทศั นใ์ หก้ ับบุคลากรเหล่านี้
องค์ประกอบท่ี 4 เคร่ืองมือและอุปกรณ์ทีจ่ ำเป็น (Needed Equipment)
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ต้องใช้งานเหล่านี้มีราคาแพง แต่องค์กรธุรกิจไม่จำเป็นต้องจัดหามาเป็น
เจ้าของทั้งหมด จัดหาเท่าที่จำเป็นในการใช้งาน ที่เหลือเพียงแต่ไปขอใช้บริการเครื่องมือต่าง ๆ จาก
สถาบันศึกษา หรือสถาบันวิจัยต่าง ๆ ที่มีอยู่ในประเทศรวมถึงต่างประเทศได้ โดยที่บุคลากรผู้ที่มี
หน้าที่รับผิดชอบการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ จะต้องมองภาพรวมของการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ให้ชัดเจน
โดยต้องสรุปให้ได้ว่า องค์กรต้องการอะไรและจำเป็นต้องใช้เครื่องมือชนิดใดในการวิเคราะห์ ซึ่งถ้า
เครือ่ งมือดงั กลา่ วไมส่ ะดวกจะสามารถใชเ้ ครื่องมือตวั ใดทดแทน และผลการวเิ คราะห์จากเครื่องมอื แต่
ละตัวมีความน่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใดหรือมีข้อยกเว้นอะไรบ้าง ถ้าผลการวิเคราะห์จากเครื่องมือ
วิเคราะห์ชนิดนี้เป็นอย่างนี้แล้วจะต้องนำไปวิเคราะห์ต่อด้วยเครื่องมือชนิดใดอีก หรือในระหว่างการ
วิเคราะห์ด้วยเครื่องมือชนิดนี้อยู่ จะสามารถส่งไปวิเคราะห์ด้วยเครื่องมืออีกชนิดหนึ่งไปพร้อม ๆ กัน
ได้หรือไม่ ซึ่งถ้าบุคลากรสามารถมองงานออกได้ตลอดทั้งกระบวนการ ก็จะสามารถลดปัญหาความ
ซับซอ้ นของการใช้เครือ่ งมือลงได้มาก เป็นการประหยัดเวลาและค่าใช่จ่ายที่เกิดจากการใช้เครื่องมือท่ี
ไมต่ รงกับความต้องการ
ซึ่งงานวิจัยและพัฒนา (Research & Development) โดยทั่วไปมุ่งเน้นในเรื่องของความคิด
สร้างสรรค์ใหม่ ๆ การหาผลิตภัณฑ์ใหม่ การหาวัตถุดิบใหม่ การปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิมให้มี
คณุ ภาพท่ีดีขึน้ ให้มตี ้นทุนที่ถกู ลง ให้การทำงานง่ายขนึ้
การตลาด (Marketing)
เป็นกระบวนการของการสื่อสารคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการไปยังลูกค้า การตลาดอาจ
ถูกตคี วามว่าเปน็ ศลิ ปะแห่งการขายสินค้าในบางคร้ัง แต่การขายน้ันเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของ
การตลาด การตลาดอาจถูกมองว่าเป็นหน้าที่ขององค์กรและกลุ่มกระบวนการเพื่อการผลิต การส่ง
สินค้าและการสื่อสารคุณค่าไปยังลูกค้า และการจัดการความสัมพันธ์ต่อลูกค้า ในทางที่เป็นประโยชน์
แก่องค์กรและผู้ถือหุ้น การจัดการการตลาดเป็นศิลปะของการเลือกตลาดเป้าหมาย ตลอดจนการ
ได้มาและการรักษาลูกค้า ผ่านทางการจัดหาคุณค่าของลูกค้าที่เหนือกว่า ซึ่งการบริหาร จัดการ
การตลาดนิยมใช้กลยุทธ์ 8Ps ทส่ี ำคัญคอื
33
1. กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ (Product Strategy) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ ในส่วนท่ี
เกี่ยวเนื่องกับตัวผลิตภัณฑ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นส่วนของคุณสมบัติส่วนตัวที่ต้องตั้งเป้าว่าจะสามารถ
ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้ในระดับความพึงพอใจขนาดไหน การนำสินค้าไป
เปรียบเทียบกบั ผลิตภัณฑข์ องคู่แข่งขนั ในทอ้ งตลาด ว่ามีจดุ เดน่ และจุดด้อยอย่างไร นอกจากน้ยี ังมีใน
ส่วนของวัตถุดบิ และสายงานการผลิตด้วย
2. กลยุทธ์ราคา (Price Strategy) การกำหนดราคาของผลิตภัณฑ์สินค้า ถือเป็นกลยุทธ์
สำคัญของแผนงานทางการตลาด ที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบมากขึ้น โดยการกำหนดราคาจะต้อง
คำนึงถึงปัจจัยของต้นทุนการผลิตบวกกับผลกำไรที่ต้องการจะได้จากการขายผลิตภัณฑ์ แล้วจึง
กำหนดราคาขายออกมา โดยต้องคำนึงสภาพการแข่งขันของตลาดสินค้า นอกจากนี้การกำหนดราคา
ยังมีนัยที่บ่งบอกถึงตำแหน่งที่ต้องการจะให้สินค้าไปยืนอยู่ด้วย ซึ่งการตั้งราคาอาจจะตั้งให้ใกล้เคียง
กับสินค้าประเภทเดียวกันบนท้องตลาด หรือน้อยกว่าถ้าต้องการแย่งชิงฐานลูกค้า และมากกว่าถ้า
ตอ้ งการวางตำแหน่งผลติ ภณั ฑ์ให้อยู่เหนอื กว่าผลิตภัณฑ์ท่ัวไป
3. กลยุทธ์ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place Strategy) เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของการ
วางกลยุทธ์ทางการตลาด เพราะถ้าสามารถหาช่องทางการกระจายสินค้าไปสู่มือผู้บริโภคได้มาก
เท่าไหร่ ผลกำไรก็จะเพิ่มสูงขึ้นมากเท่านั้น โดยช่องทางการจัดจำหน่ายที่นิยมใช้กันในปัจจุบันมีอยู่
ด้วยกันสองรูปแบบ คือ การขายไปสู่มือของผู้บริโภคโดยตรงและการขายผ่านพ่อค้าคนกลาง ซึ่งสอง
วิธีนี้จะมีข้อแตกต่างอยู่ตรงที่ว่าการขายตรงไปสู่มือผู้ใช้สินค้าจะได้กำไรที่มากกว่า ในขณะที่การขาย
ผ่านพ่อค้าคนกลางจะช่วยในเรื่องของยอดการจำหน่ายที่สูงขึ้น อันมีผลมาจากเครือข่ายที่พ่อค้าคน
กลางได้วางเอาไวน้ ่ันเอง
4. กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด (Promotion Strategy) การส่งเสริมการตลาดหาก
โปรโมชั่นสินค้าที่ออกมาตรงใจผู้บริโภค ยอดขายและกำไรก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยกลยุทธ์
การตลาดนีจ้ ะตอ้ งใช้ส่งเสริมและสอดคล้องไปกนั ได้กบั กลยุทธ์อย่างอ่ืนด้วย โดยการส่งเสรมิ การตลาด
น้สี ามารถทำไดห้ ลายวิธี ไมว่ ่าจะเป็นการลด แลก แจก แถม
5. กลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ (Packaging Strategy) ในการเลือกซื้อสินค้า สิ่งที่ปรากฏต่อสายตา
ของผู้บริโภคเป็นอย่างแรก ก็คือ บรรจุภัณฑ์ จึงสามารถกล่าวได้ว่า บรรจุภัณฑ์เป็นหน้าตาของสินค้า
ดังนั้นการออกแบบดีไซน์รูปลักษณ์บรรจุภัณฑ์ จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญ โดยหลักสำคัญคือจะต้องมี
ความสวยงามเหมาะสมกับผลติ ภัณฑ์อีกทงั้ ความโดดเดน่ เมอ่ื นำไปวางบนชั้นสินคา้ เปรียบเทยี บกันกับ
ของคู่แขง่ จะตอ้ งมีความเหนอื ชน้ั กว่าจึงจะประสบความสำเรจ็ ตามแผนงาน
6. กลยุทธ์การใช้พนักงานขาย (Personal Strategy) พนักงานขายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญท่ี
ไม่เพียงจะส่งผลตอ่ การตดั สนิ ใจซ้ือ แตย่ งั สง่ ผลตอ่ ทศั นคติของผบู้ รโิ ภคทีม่ ีต่อสนิ ค้าขององค์กรอีกด้วย
เพราะพนักงานเป็นผู้ที่ติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภค ดังนั้น พนักงานขายที่มีความสามารถและเอาใจใส่
ลูกค้าเป็นอย่างดี จะทำให้ผู้บริโภคมีทัศนคติที่ดีต่อสินค้าขององค์กรไปด้วย และสามารถนำไปสู่การ
ซ้ือซำ้ หรอื การบอกต่อไดอ้ กี ด้วย
7. กลยุทธ์ข่าวสาร (Public Relation Strategy) ในปัจจุบันเป็นยุคแห่งการสื่อสาร ผู้บริโภค
มักจะหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ก่อนจะตัดสินใจซื้อ ดังนั้น ยิ่งผลิตภัณฑ์ขององค์กรมีข้อมูลรายละเอียด
ปรากฏตามสอ่ื ตา่ ง ๆ มากเทา่ ใด ผ้บู ริโภคกส็ ามารถตัดสนิ ใจซ้อื ไดง้ ่ายข้นึ เท่านน้ั
34
8. กลยุทธ์การใช้พลัง (Power Strategy) เป็นเรื่องที่แน่นอนว่าองค์กรจะไม่ใช่ผู้เดียวที่ทำ
ธุรกิจในตลาด การต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับผู้เล่นรายอื่น จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ดังนั้น การแสวงหาหรือสร้างอำนาจในการต่อรอง จึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อให้บริษัทได้รับข้อเสนอ ที่ดี
ท่ีสุดในกรณีทไี่ ม่สามารถตกลงกนั ตามแบบได้อยา่ งลงตวั
A (Action)
การแก้ไขปัญหา (Action) เป็นการตรวจสอบ ทบทวน หากพบว่าเกิดข้อบกพร่องเกิดขึ้น ทำให้งานท่ี
ไดไ้ มต่ รงเป้าหมายหรอื ผลงานไมไ่ ดม้ าตรฐาน ใหป้ ฏบิ ตั ิการแกไ้ ขตามลกั ษณะปัญหาทีพ่ บ
บทสรุป
จากที่กล่าวมาดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การบริหารองค์กรด้วยวงจรเดมมิ่ง (The
Deming Cycle) เป็นการบริหารองค์กรที่ประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญคือ การวางแผน P (Plan) ซึ่ง
มุ่งเน้นการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นการกำหนดวิสัยทัศน์ ภารกิจ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของ
องค์กร การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร การวิเคราะห์
สภาพแวดล้อมภายในเพื่อหาจุดแข็งและจุดอ่อนเพื่อให้ทราบถึงทรัพยากร และความสามารถต่าง ๆ
ในองค์กร เพื่อจะได้นำไปสร้างให้องคก์ รบรรลุความได้เปรียบในการแข่งขัน แล้วมาปฏิบัติ D (Do) ซ่ึง
เป็นการปฏิบัติตามแผนแบบมีส่วนร่วม ที่สำคัญคือ การควบคุมคุณภาพหรือกลุ่มคุณภาพ เพราะ
พนักงานเปน็ ผู้อย่ใู นสายการผลิต (Production Line) จงึ ทำใหพ้ วกเขาค้นหาปญั หา และมุ่งแก้ปัญหา
ด้วยการระดมสมอง การจัดการคุณภาพโดยรวม เป็นการทำให้ทุกขั้นตอนการผลิตมีคุณภาพตามท่ี
ลูกค้าทั้งภายในและภายนอกองค์กรธุรกิจต้องการและมุ่งการบริหารกระบวนการผลิต โดยใช้แนวคิด
เทคโนโลยีการผลิตที่สะอาด ที่ไม่สร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม หลังจากนั้นก็จะดำเนินการตรวจสอบ
C (Check) ในสิ่งที่ผลิต หรือกำลังจะผลิตออกไปสู่ตลาด โดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา
(Research & Development) และการตลาด (Marketing) เป็นเครื่องมือที่สำคัญ และกลับมา
ตรวจสอบ ทบทวน A (Action) ผลการดำเนินงานว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้หรือไม่ มีอะไร
ให้ต้องปรับปรุงแก้ไข แล้วเข้าสู่กระบวนการวางแผน P (Plan) ซึ่งจะส่งผลให้องค์กร ธุรกิจมีลักษณะ
เปน็ พลวัต (Dynamic) มีความตอ่ เน่ืองในการบรหิ าร จัดการ และปรับปรุงงานอยตู่ ลอดเวลา สามารถ
ปรับตัว รองรับ และแขง่ ขนั ในตลาดกระแสโลกาภวิ ัฒน์ไดอ้ ยา่ งดเี ยย่ี ม
หลักการประเมนิ ผลโครงการรูปแบบ CIPP MODEL
แนวคิด การประเมินของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam’s CIPP Model) ในปี ค.ศ. 1971
สตัฟเฟิลบีม และคณะ ได้เขียนหนังสือทางการประเมินออกมาหนึ่งเล่ม ชื่อ “Educational
Evaluation and decision Making” หนังสือเล่มนี้ ได้เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง เพราะให้
แนวคิดและวิธีการทางการวัดและประเมินผล ได้อย่างน่าสนใจและทันสมัยด้วย นอกจากน้ัน
สตัฟเฟิลบีมก็ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการประเมินและรูปแบบของการประเมินอีกหลายเล่มอย่าง
ต่อเนื่อง จึงกล่าวได้ว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทฤษฎีการประเมิน จนเป็นที่
ยอมรับกันทวั่ ไปในปัจจบุ นั เรยี กว่า CIPP Model
35
เป็นการประเมินที่เป็นกระบวนการต่อเนื่อง มีจุดเน้นที่สำคัญ คือ ใช้ควบคู่กับการบริหาร
โครงการ เพื่อหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจ อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา วัตถุประสงค์การประเมิน คือ
การให้สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ เน้นการแบ่งแยกบทบาทของการทำงานระหว่าง ฝ่ายประเมินกับ
ฝา่ ยบริหารออกจากกนั อย่างเด่นชัด กล่าวคือฝา่ ยประเมินมีหน้าท่ีระบุ จดั หา และนำเสนอสารสนเทศ
ให้กับฝ่ายบริหาร ส่วนฝ่ายบรหิ ารมหี น้าที่เรยี กหาข้อมลู และนำผลการประเมนิ ทีไ่ ดไ้ ปใชป้ ระกอบการ
ตัดสินใจ เพื่อดำเนินกิจกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี ทั้งนี้เพื่อป้องกันการมีอคติในการประเมิน
และ เขาไดแ้ บ่งประเด็นการประเมนิ ผลออกเปน็ 4 ประเภท ดงั รูปตอ่ ไปน้ี
ภาพที่ 3 หลกั การประเมนิ ผลตามรูปแบบ CIPP MODEL
1. การประเมินด้านบริบทหรือสภาวะแวดล้อม (Context Evaluation : C) เป็นการ
ประเมินให้ได้ข้อมูลสำคัญ เพื่อช่วยในการกำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการ ความเป็นไปได้ของ
โครงการ เป็นการตรวจสอบว่าโครงการที่จะทำสนองปัญหาหรือความต้องการจำเป็นที่แท้จริงหรือไม่
วัตถุประสงค์ของโครงการชัดเจน เหมาะสม สอดคล้องกับนโยบายขององค์การ หรือ นโยบายหน่วย
เหนือหรือไม่ เป็นโครงการที่มีความเป็นไปได้ในแง่ของโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่าง
ๆ หรอื ไม่ เป็นต้น
การประเมินสภาวะแวดล้อมจะช่วยในการตัดสินเกี่ยวกับเรื่อง โครงการควรจะทำใน
สภาพแวดล้อมใด ต้องการจะบรรลุเป้าหมายอะไร หรือต้องการบรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะอะไร เป็น
ตน้
36
2. การประเมินปัจจัยเบื้องต้นหรือปัจจัยป้อน (Input Evaluation : I ) เป็นการประเมินเพ่ือ
พิจารณาถึง ความเป็นไปได้ของโครงการ ความเหมาะสม และความพอเพียงของทรัพยากรที่จะใช้ใน
การดำเนินโครงการ เช่น งบประมาณ บุคลากร วัสดุอุปกรณ์ เวลา รวมทั้งเทคโนโลยีและแผนการ
ดำเนนิ งาน เปน็ ตน้
การประเมินผลแบบนี้จะทำโดยใช้ เอกสารหรืองานวิจัยที่มีผู้ทำไว้แล้ว หรือใช้วิธีการวิจัยนำ
ร่องเชิงทดลอง (Pilot Experimental Project) ตลอดจนอาจให้ผู้เชี่ยวชาญ มาทำงานให้ อย่างไรก็
ตาม การประเมินผลนี้จะต้องสำรวจสิ่งทีม่ ีอยูเ่ ดิมกอ่ นว่ามีอะไรบา้ ง และตัดสินใจวา่ จะใช้วิธีการใด ใช้
แผนการดำเนนิ งานแบบไหน และตอ้ งใช้ทรพั ยากรจากภายนอก หรอื ไม่
3. การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation : P ) เป็นการประเมินระหว่างการ
ดำเนินงานโครงการ เพื่อหาข้อบกพร่องของการดำเนินโครงการ ที่จะใช้เป็นขอ้ มูลในการพฒั นา แก้ไข
ปรับปรุง ให้การดำเนินการช่วงต่อไปมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นการตรวจสอบกิจกรรม เวลา
ทรัพยากรที่ใช้ในโครงการ ภาวะผู้นำ การมีส่วนร่วมของประชาชนในโครงการ โดยมีการบันทึกไว้เปน็
หลักฐานทุกขั้นตอน การประเมินกระบวนการน้ี จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการค้นหาจุดเด่น หรือ
จุดแข็ง (Strengths) และจุดด้อย (Weakness) ของนโยบาย/แผนงาน/โครงการ มักจะไม่สามารถ
ศกึ ษาไดภ้ ายหลังจากสิน้ สุดโครงการแล้ว
การประเมินกระบวนการจะมีบทบาทสำคัญในเรื่องการให้ข้อมูลย้อนกลับเป็นระยะ ๆ เพ่ือ
การตรวจสอบการดำเนนิ ของโครงการโดยทว่ั ไป การประเมนิ กระบวนการมีจดุ มงุ่ หมาย คือ
3.1 เพื่อการหาข้อบกพร่องของโครงการ ในระหว่างที่มีการปฏิบัติการ หรือการ
ดำเนินงานตามแผนนั้น
3.2 เพื่อหาข้อมูลต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินงาน ของ
โครงการ
3.3 เพื่อการเก็บขอ้ มูลตา่ ง ๆ ท่ีได้จากการดำเนนิ งานของโครงการ
4. การประเมินผลผลิต (Product Evaluation : P ) เป็นการประเมินเพื่อเปรียบเทียบ
ผลผลิตที่เกิดขี้นกับวัตถุประสงค์ของโครงการ หรือความต้องการ/ เป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมทั้งการ
พิจารณาในประเด็นของการยุบ เลิก ขยาย หรือปรับเปลี่ยนโครงการและการประเมินผล เรื่อง
ผลกระทบ (Impact) และผลลพั ธ(์ Outcomes ) ของนโยบาย / แผนงาน / โครงการ โดยอาศยั ขอ้ มลู
จากการประเมินสภาวะแวดล้อม ปัจจัยเบื้องต้นและกระบวนการร่วมด้วย จะเห็นได้ว่า การประเมิน
แบบ CIPP เป็นการประเมินที่ครอบคลุมองค์ประกอบของระบบทั้งหมด ซึ่งผู้ประเมินจะต้องกำหนด
วัตถุประสงค์ของการประเมินที่ครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน กำหนดประเด็นของตัวแปรหรือตัวชี้วัด กำหนด
แหล่งข้อมูลผู้ให้ข้อมูล กำหนดเครื่องมือการประเมิน วิธีการที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล กำหนด
แนวทางการวิเคราะหข์ ้อมูล และเกณฑ์การประเมินท่ีชดั เจน
เมื่อพิจารณาถึงช่วงเวลาของการประเมินผลโครงการ เพื่อจำแนกประเภทของการประเมินผล
โครงการโดยละเอยี ดแล้ว เราสามารถจำแนกไดว้ า่ การประเมนิ ผลโครงการมี 4 ระยะดงั ต่อไปนี้
1) การประเมินผลโครงการก่อนการดำเนินงาน (Pre-evaluation) เป็นการประเมินว่ามี
ความจำเป็นและความเป็นไปได้ในการกำหนดให้มีโครงการหรือแผนงานนั้น ๆ หรือไม่ บางครั้ง เรียก
37
การประเมินผล ประเภทนี้ว่า การศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) หรือการประเมินความ
ต้องการที่จำเป็น (Need Assessment)
2) การประเมินผลโครงการขณะดำเนินงาน (On-going Evaluation) เป็นการประเมินผล
โครงการเพ่ือติดตามความก้าวหนา้ ของการดำเนินงาน (Monitoring) และการใช้ทรพั ยากรต่าง ๆ
3) การประเมินผลโครงการเม่อื สน้ิ สดุ การดำเนนิ งาน (Post-evaluation) เปน็ การประเมินวา่
ผลของการดำเนนิ งานน้ัน เปน็ ไปตามวตั ถุประสงค์ของโครงการที่วางไวห้ รอื ไม่
4) การประเมินผลกระทบจาการดำเนินโครงการ (Impact Evaluation) เป็นการประเมินผล
โครงการ ภายหลังจากการส้ินสุดการดำเนิน โครงการหรือแผนงาน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อตรวจสอบ
ผลการดำเนินงานท่ีเกิดข้นึ ซ่ึงอาจจะไดร้ ับอิทธิพลจากการมีโครงการหรือปัจจัยอ่ืน ๆ
กรอบแนวคิดการประเมินผลโครงการ
ภาพท่ี 4 กรอบแนวคดิ การประเมนิ ผลโครงการ
38
บทท่ี 3
วธิ ีการประเมินโครงการ
รูปแบบการประเมินโครงการ
การประเมินโครงการปลูกผกั สวนครัวใช้รูปแบบการประเมนิ โครงการแบบ CIPP MODEL
ของสตฟั เฟลบีม ( D.L. Stufflebeam, 1997 , P. 261-265 ) ดงั นี้
ประเมนิ สภาวะแวดล้อม • หลักการ
( Context Evaluation ) • วตั ถุประสงคข์ องโครงการ
• เปา้ หมายของโครงการ
• การเตรียมการภายในโครงการ
ประเมินการปจั จยั เบื้องตน้ • บุคลากร
( Input Evaluation ) • วสั ดุอปุ กรณ์
• เคร่ืองมอื เครือ่ งใช้
• งบประมาณ
ประเมนิ กระบวนการ • การดำเนนิ โครงการ
( Process Evaluation ) • กจิ กรรมการดำเนนิ งานตามโครงการ
• การนิเทศตดิ ตามกำกับ
• การประเมินผล
การประเมินผลผลิต • ผลการดำเนนิ โครงการ
( Product Evaluation )
• คุณภาพผู้เรียน
ภาพท่ี 5 รปู แบบการประเมนิ โครงการแบบ CIPP MODEL
39
วิธีการประเมนิ โครงการ
โครงการปลกู ผกั สวนครวั มีวิธีการประเมนิ โครงการแบบ การประเมนิ โครงการ
คุณภาพ โดยใช้หลกั การวงจรเดมม่ิง “PDCA” ตามแนวคดิ “CIPP” ของสตัฟเฟลบีม ในการติดตาม
และประเมินผลโครงการ
ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง
ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ งท่ใี ชใ้ นการติตตามและประเมนิ ผลโครงการปลูกผักสวนครัว มดี ังนี้
ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง จำนวน
1.สมาชิกในครอบของคณะผจู้ ดั ทำโครงการ 5 คน
2.ญาติพีน่ ้องของคณะผจู้ ดั ทำโครงการ 5 คน
รวม 10 คน
โดยใชว้ ธิ สี ุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง
เครื่องมอื ทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ โครงการ
การประเมินโครงการใช้กระบวนการศึกษาคุณภาพ จึงมีเครื่องมือที่ใช้ในการประเมิโครงการ
ปลกู ผกั สวนครวั ประกอบดว้ ย แบบสอบถาม การสังเกต การมีส่วนรว่ มและการบนั ทึกภาพ
โดยเครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ โครงการปลูกผักสวนครัว มจี ำนวน 10 ฉบบั ดังนี้
ส่วนท่ี 1. เปน็ แบบสอบถามขอ้ มูลท่ัวไปของผูต้ อบแบบสมั ภาษณไ์ ด้แก่ เพศ อายอุ าชพี
การศึกษา รายได้โดยเป็นแบบปลายเปิดให้เลอื กตอบในช่องท่ีกำหนด
สว่ นท่ี 2. เปน็ แบบสอบถามประเมนิ โครงการปลูกผกั สวนครวั โดยใชแ้ บบประเมนิ
CIPP MODEL มี4 ดา้ น จำนวน 12 ขอ้ ดังนี้
1.1 สภาวะดา้ นแวดลอ้ ม ( Context ) จำนวน 3 ขอ้ โดยผู้ตอบสามารถเขยี น
รายละเอียดการตอบได้
อย่างอสิ ระ
1.2 ดา้ นปัจจัย ( Input ) จำนวน 3 ข้อ โดยผ้ตู อบสามารถเขยี นรายละเอยี ดการ
ตอบไดอ้ ย่างอสิ ระ
1.3 ดา้ นกระบวนการ ( Process ) จำนวน 3 ขอ้ โดยผู้ตอบสามารถเขยี น
รายละเอยี ดการตอบได้
อย่างอสิ ระ
1.4 ด้านผลผลติ ( Product ) จำนวน 3 ขอ้ โดยผูต้ อบสามารถเขียนรายละเอียด
การตอบไดอ้ ยา่ ง
อสิ ระ
สว่ นที่ 3 ปัญหาหรือขอ้ เสนอแนะเกีย่ วกับการดำเนนิ งานในการจัดทำโครงการ
โดยเปน็ แบบปลายเปิดให้ตอบแบบบรรยาย
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
การเก็บรวบรวมข้อมูล ผจู้ ัดทำไดท้ ำหนา้ ทใี่ นการเก็บรวบรวมข้อมลู ดว้ ยตนเอง โดยมี
รายละเอยี ดในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ดงั นี้
40
1. แจ้งให้ทราบลว่ งหน้าว่าจะทำการตดิ ต่อสมั ภาษณเ์ พอ่ื ในการประเมินผลโครงการ
2. ใชเ้ วลาสัมภาษณ์ 5-10 นาทตี ่อคนโดยประมาณ
3. ผูส้ มั ภาษณท์ ำการตรวจสอบความถูกตอ้ งสมบรู ณเ์ พอ่ื นำไปใชใ้ นการเคราะหข์ ้อมลู ของ
โครงการต่อไป
การวิเคราะหผ์ ลการประเมนิ โครงการ
วิเคราะห์ผลการประเมินโครงการ โดยใช้การวเิ คราะหเ์ ชิงคณุ ภาพ
การวิเคราะห์ขอ้ มลู เชิงคุณภาพ
ขั้นตอนท่ี 1 การทำให้ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มาอยู่ในสภาพที่สะดวกและง่ายต่อการนำไป
วเิ คราะห์
ขั้นตอนที่ 2 ทำดัชนีหรือกำหนดรหัสของข้อมูล ซึ่งเป็นการจัดระเบียบของเนื้อหา คือ การ
จดั ขอ้ มลู โดยการใช้คำหลกั ซ่ึงอาจมีลกั ษณะเป็นวลีหรือขอ้ ความหนึง่ มาแทนข้อมูลท่บี ันทึกไว้ในบันทึก
ภาคสนาม ส่วนที่เป็นการบันทึกพรรณนา หรือบันทึกละเอียดส่วนใดส่วนหนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นข้อมูล
ในการบันทึกพรรณนาส่วนนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร คำหลัก (วลีหรือข้อความ) ที่กำหนดขึ้นนั้นจะมี
ลกั ษณะเป็นมโนทัศน์(concep) ซึ่งมคี วามหมายแทนขอ้ มูลบันทึกละเอยี ดสว่ นนนั้ การจัดทำดัชนีหรือ
กำหนดรหัสของข้อมูลนั้น สามารถทำได้สองลักษณะคือ จัดทำไว้ล่วงหน้าก่อนเช้า สนามวิจัยและ
จัดทำตามข้อมูลที่ปรากฎในบันทึกภาคสนาม หรือบางครั้งเรียกว่า การจัดทำดัชนีข้อมูลแบบนิรนัย
(deductive coding) และแบบอุปนยั (inductive coding)
ข้ันตอนท่ี 3 การกำจัดขอ้ มลู หรือสร้างข้อสรุปช่วั คราว น้ีคอื การสรปุ เชอ่ื มโยงดชั นีคำหลักเข้า
ด้วยกันภายหลังจากผ่านกระบวนการทำดัชนีหรือกำหนดรหัส ข้อมูลแล้ว การเชื่อมโยงคำหลักเข้า
ด้วยกันจะเขียนเป็นประโยคข้อความที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำหลัก และจากการเชื่อมโยงดัชนี
คำหลักในตัวอย่างเข้าด้วยกันจะเห็นว่าทำให้ข้อมูลในส่วนที่เป็นบันทึกละเอียดที่มีอยู่มากนั้นถูก
ลดทอนหรือตดั ทงิ้ ไปจนกระทง่ั เหลือเฉพาะประเด็นหลกั ๆ ท่ีนำมาผูกโยงกันเท่านน้ั
ขั้นตอนที่ 4 สร้างบทสรุป คือ การเขียนเชื่อมโยงข้อสรุปชั่วคราวที่ผ่านการตรวจสอบยืนยัน
แล้วเข้าด้วยกัน การเชื่อมข้อสรุปชั่วคราวนั้นจะเชื่อมโยงตามลำดับข้อสรุปแต่ละข้อสรุปเป็นบทสรุป
ยอ่ ยและเชอื่ มโยงบทสรปุ ยอ่ ยแต่ละบทสรปุ เขา้ ดว้ ยกนั เป็นบทสรปุ สุดท้าย
ขั้นตอนที่ 5 พิสูจน์ความน่าเชื่อถือของผลการวิเคราะห์เพื่อพิสูจน์ว่าบทสรุป นั้นสอดคล้อง
กันหรือไม่ซ่ึงโดยทั่วไปแล้วการพิสูจน์บทสรุปก็มักจะเป็นการพิจารณาวิธีการเก็บข้อมูลนั้นว่า
ดำเนินการอย่างรอบคอบหรือไม่เพียงไร และข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มานั้นเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพ
น่าเช่อื ถอื หรอื ไม่
41
บทท่ี 4
ผลการประเมนิ โครงการ
การนำเสนอผลการประเมินโครงการ ผู้รับผดิ ชอบโครงการได้นำเสนอผลการประเมิน
โครงการ จำนวน 2 ตอน คือ
ตอนท่ี 1 ข้อมลู ทวั่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
ตอนท่ี 2 ผลการประเมินโครงการปลกู ผกั สวนครวั มี 4 ดา้ น ประกอบด้วยผลการประเมิน
จากคำถาม จำนวน 12 ข้อ
ด้านที่ 1 ผลการประเมนิ โครงการด้านสภาวะแวดลอ้ ม
ดา้ นท่ี 2 ผลการประเมนิ โครงการด้านปัจจัย
ดา้ นที่ 3 ผลการประเมินโครงการดา้ นกระบวนการ
ดา้ นท่ี 4 ผลการประเมินโครงการด้านผลผลติ
ตอนที่ 1 สรปุ ข้อมลู ทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
ผู้ประเมิน เพศ อายุ อาชพี การศกึ ษา รายได้
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 15,000 บาท/เดอื น
คนที่ 1 ชาย 33 ปี รบั จ้าง
ปรญิ ญาตรี -
คนที่ 2 ชาย 20 ปี นกั ศกึ ษา ปริญญาตรี -
ปริญญาตรี 45,000 บาท/เดือน
คนท่ี 3 ชาย 20 ปี นักศึกษา ปริญญาตรี 30,000 บาท/เดือน
ปรญิ ญาตรี 11,0000 บาท/เดอื น
คนท่ี 4 ชาย 53 ปี รบั ราชการ ปริญญาตรี 20,000 บาท/เดอื น
ปรญิ ญาตรี 12,000 บาท/เดอื น
คนที่ 5 ชาย 60 ปี ขา้ ราชการบำนาญ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 25,000 บาท/เดอื น
ปริญญาตรี -
คนที่ 6 ชาย 21 ปี นักศกึ ษา
คนที่ 7 หญงิ 23 ปี ครู
คนท่ี 8 ชาย 29 ปี รบั จ้าง
คนท่ี 9 ชาย 26 ปี ทำสวน
คนท่ี 10 หญิง 21 ปี นักศกึ ษา
ตอนที่ 2 ผลการประเมนิ โครงการปลูกผักสวนครัว มี 4 ด้าน ประกอบดว้ ยผลการประเมินจำนวน
12 ขอ้ แบง่ เปน็ ตารางสรปุ ดงั นี้
ดา้ นท่ี 1 ผลการประเมนิ โครงการดา้ นสภาวะแวดล้อม
ตารางท่ี 1.1 ผลการประเมนิ จากผูส้ ัมภาษณ์
ผู้ประเมนิ คำถามขอ้ ท1่ี .ท่านคดิ วา่ ผกั สวนครวั ทค่ี ณะผจู้ ดั ทำ
โครงการปลกู เพยี งพอตอ่ การบรโิ ภค
คนท่ี 1 เพยี งพอต่อการบริโภคสำหรับคนในครอบครวั
คนท่ี 2 เพียงต่อการบริโภคในในครัวเรือน
คนที่ 3 เพียงพอต่อการบรโิ ภค
42
คนท่ี 4 เพียงพอต่อการบรโิ ภค
คนที่ 5 เพยี งพอต่อการบรโิ ภค
คนที่ 6 เพยี งพอต่อการบริโภค
คนที่ 7 เพยี งพอต่อการบรโิ ภค
คนที่ 8 เพียงพอต่อการบริโภค
คนท่ี 9 เพยี งพอต่อการบรโิ ภค
คนที่ 10 เพียงพอต่อการบรโิ ภค
จากตารางท่ี 1.1 ขอ้ คำถาม ท่ี 1. ผู้สัมภาษณม์ ีความคิดเหน็ สอดคล้องกนั วา่ ผักสวนครวั ท่ี
คณะผ้จู ัดทำโครงการปลูกเพียงพอตอ่ การบริโภคโดยพาะในครอบครวั หรอื ในครัวเรือน
ตารางท่ี 1.2 ผลการประเมนิ จากผสู้ มั ภาษณ์
ผู้ประเมนิ คำถามขอ้ ท่ี 2.ท่านคิดว่าผักสวนครัวทค่ี ณะผจู้ ดั ทำ
โครงการปลกู มปี ระโยชน์
คนที่ 1 มีประโยชน์เปน็ ผกั ท่ีปลูกเอง
คนท่ี 2 มปี ระโยชน์เพราะการรับประทานผกั ทำให้สุขภาพดี
และมปี ระโยชน์
คนท่ี 3 มีประโยชนอ์ ยา่ งมาก ผกั ทผี่ ้จู ัดทำปลกู สามารถนำมา
รับประทานภายในครอบได้
คนที่ 4 มีประโยชน์ รับประทานได้จรงิ
คนท่ี 5 ประโยชนม์ าก ผักมีวิตามินมากมายเปน็ ประโยชน์ต่อ
สขุ ภาพ
คนที่ 6 มปี ระโยชน์ สามารถนำมารบั ประทานได้
คนที่ 7 มปี ระโยชนแ์ ละทำให้ประหยัดรายจ่าย
คนที่ 8 มีประโยชนแ์ ละทำให้ประหยัดรายจ่าย
คนท่ี 9 มปี ระโยชน์
คนที่ 10 มปี ระโยชน์
จากตารางที่ 1.2 ขอ้ คำถาม ท่ี 2. ผู้สมั ภาษณม์ คี วามคิดเห็นสอดคล้องกันวา่ ผักสวนครัวที่
คณะผู้จัดทำโครงการปลกู นั้นมปี ระโยชนเ์ น่ืองจากเปน็ ผักทีเ่ ราปลกู เองและยังชว่ ยประหยัดค่าใช้จ่าย
ตารางท่ี 1.3 ผลการประเมนิ จากผสู้ ัมภาษณ์
ผู้ประเมิน คำถามข้อท่ี 3.ทา่ นคดิ ว่าผกั สวนครวั ทค่ี ณะผจู้ ัดทำ
โครงการปลกู สร้างเสริมการอนรุ กั ษส์ ิง่ แวดลอ้ ม
คนท่ี 1 เสรมิ สร้างการอนุรกั ษ์ส่ิงแวดลอ้ ม
คนท่ี 2 โครงการปลูกผกั สรา้ งเสริมการอนุรักษส์ งิ่ แวดล้อม
ประหยดั คา่ ใช้จ่าย