The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัย เรื่อง การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Phatcharaphan Channawan, 2024-02-07 21:39:17

วิจัย เรื่อง การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม

วิจัย เรื่อง การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม

การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรของเด็กปฐมวัย โดยการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุม พัชราพรรณ จันนาวัน วิจัยในชั้นเรียนนี้เปนสวนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


ก หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยการจัด กิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม ผู้วิจัย นางสาวพัชราพรรณ จันนาวัน สาขาวิชา การศึกษาปฐมวัย อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์กัลยกร ภักดี ครูพี่เลี้ยง นางสาววิภาดา สิงมอ อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา ( ผศ.วรัญญา ศรีบัว ) วันที่.......…เดือน…….…………พ.ศ…………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................................. ประธานคณะกรรมการ (อาจารย์กัลยกร ภักดี) .................................................................................. กรรมการ (นางอัมรา คำกิ่ง) .................................................................................. กรรมการ (นางสาววิภาดา สิงมอ)


ข ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยการจัด กิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม ผูวิจัย นางสาวพัชราพรรณ จันนาวัน อาจารยที่ปรึกษา อาจารย์กัลยกร ภักดี อาจารยที่ปรึกษารวม อาจารย์ญาดา ช่อสูงเนิน ปการศึกษา 2566 บทคัดยอ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โดยการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มระหว่างก่อนเรียนและหลัง เรียน กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านหนองตูม จังหวัดอุดรธานีได้จาก การสุ่มแบบกลุ่ม จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดประสบการณ์และแบบ ประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ ผลการวิจัยพบว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยหลังการจัดกิจกรรมประกอบ อาหารแบบกลุ่ม จำแนกเป็นรายด้านอยู่ในระดับดีทั้ง 3 ด้าน คือ ทักษะด้านการรู้จำนวนมีคะแนน เฉลี่ย 4.73 ทักษะด้านการชั่งตวงมีคะแนนเฉลี่ย 4.40 ทักษะด้านการจำแนกเปรียบเทียบมีคะแนน เฉลี่ย 3.80 และเมื่อเปรียบเทียบผลระหว่างก่อนและหลังการทดลองพบว่าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 สรุปผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มมีทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ทักษะด้านการรู้จำนวน ทักษะด้านการชั่งตวง ทักษะด้าน การจำแนกเปรียบเทียบ หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนจัดกิจกรรม


ค กิตติกรรมประกาศ วิจัยฉบับนี้จะสำเร็จไม่ได้ถ้าหากขาดความกรุณาจากอาจารย์กัลยกร ภักดีอาจารย์ที่ปรึกษา วิจัยฉบับนี้ ที่ได้กรุณาให้คำปรึกษาชี้แนะแนวทางต่างๆ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาเป็นอย่างยิ่ง ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง ณ ที่นี้ ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองตูม นางอัมรา คำกิ่ง ที่ให้คำปรึกษาและเป็น ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแก้ไขแผนการจัดประสบการณ์ให้มีคุณภาพ ขอขอบพระคุณคุณครูสุภาวดี หลักมั่น ที่ให้คำปรึกษาและเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแก้ไข แผนการจัดประสบการณ์ให้มีคุณภาพ ขอขอบพระคุณคุณครูยุภารัตน์ หันตุลา ที่ให้คำปรึกษาและเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแก้ไข แผนการจัดประสบการณ์ให้มีคุณภาพ ขอขอบพระคุณอาจารย์กัลยกร ภักดีที่ให้คำปรึกษาและเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแก้ไข เครื่องมือวิจัยให้มีคุณภาพ ขอขอบพระคุณคุณครูวิภาดา สิงมอ ที่ให้คำปรึกษาและเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแก้ไข เครื่องมือวิจัยให้มีคุณภาพ ขอขอบพระคุณคุณครูกฤษณา ยางศรี ที่ให้คำปรึกษาและเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ แก้ไข เครื่องมือวิจัยให้มีคุณภาพ ขอขอบพระคุณคณะผู้บริหารโรงเรียน และคณะครูและนักเรียนชั้นอนุบาล 2 ทุกคน ที่ให้ ความอนุเคราะห์เสียสละเวลาอันมีค่าให้ความร่วมมือและให้ข้อมูลในการทำวิจัยครั้งนี้อย่างดียิ่ง ขอกราบขอบพระคุณ คุณพ่อ คุณแม่ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้วิจัยมีความมุ่งมั่นในการ ปฏิบัติงาน สนับสนุนและเห็นความสำคัญของการศึกษาของผู้วิจัยมาโดยตลอด และขอบคุณทุก กำลังใจในครอบครัวที่คอยห่วงใย ตลอดจนญาติมิตรทุกท่านที่คอยเป็นกำลังใจรับฟังปัญหา ท้ายนี้ผู้วิจัยขอขอบคุณความพยายาม ความมานะ ความอดทนของตนเองที่สามารถทำวิจัย ฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ พัชราพรรณ จันนาวัน


ง สารบัญ หน้า บทคัดยอภาษาไทย ................................................................................................................ กิตติกรรมประกาศ ................................................................................................................. สารบัญ .................................................................................................................................. สารบัญตาราง ........................................................................................................................ บทที่ 1 บทนํา .............................................................................................................................. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ................................................................... วัตถุประสงค์ของการวิจัย ......................................................................................... สมมติฐานของการวิจัย ............................................................................................. ขอบเขตของการวิจัย ................................................................................................ นิยามศัพท์เฉพาะ ..................................................................................................... ประโยชน์ที่จะได้รับ .................................................................................................. กรอบแนวคิดการวิจัย ............................................................................................... 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ .................................................................................... เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ความหมายของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ..................... ความสำคัญของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย เด็กปฐมวัย ......................................................................................................... จุดมุงหมายในการเตรียมความพรอมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรสําหรับ เด็กปฐมวัย ........................................................................................................ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับ เด็กปฐมวัย ......................................................................................................... แนวทางการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ............ ประเภทของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ........................ หลักการสอนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ..................................................... ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่เด็กปฐมวัยต้องเรียน ........................................ การวัดและการประเมินผลทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ….. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์ .......................... เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร ……………………. ข ค ง ฉ 1 1 3 3 3 4 5 5 6 7 7 8 10 12 14 16 19 23 26 29 32


จ สารบัญ (ตอ) หน้า ความหมายของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร …………………………………………. ความสำคัญของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร ………………………………………… ขั้นตอนของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร ………………………………………………. บทบาทครูในการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร .................................................... ข้อเสนอแนะและข้อควรระวังในการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร ...................... ประโยชน์ของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร ................................................... การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม .......................................................... งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร ...................................... 3 วิธีดําเนินการวิจัย ........................................................................................................... ประชากรและกลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัย ............................................................... การสรางเครื่องมือที่ใชในการวิจัย ............................................................................. การเก็บรวบรวมขอมูล .............................................................................................. การวิเคราะหขอมูลและสถิติที่ใช้ .............................................................................. 4 ผลการวิเคราะหขอมูล .................................................................................................... สัญลักษณ์ที่ใชในการวิเคราะห์ขอมูล ………………………………………………………………. การวิเคราะหขอมูล ………………………………………………………………………………………. ผลการวิเคราะหขอมูล ………………………………………………………………………………….. 5 สรุป อภิปรายผล และขอเสนอแนะ ............................................................................... วัตถุประสงค์ของการวิจัย .......................................................................................... สมมติฐานของการวิจัย ............................................................................................. ขอบเขตของการวิจัย ................................................................................................ เครื่องมือที่ใชในการวิจัย ........................................................................................... ขั้นตอนการดำเนินการทดลอง .................................................................................. การวิเคราะหขอมูล ................................................................................................... สรุปผลการวิจัย ……………………………………………………………………………………………. อภิปรายผลการวิจัย .................................................................................................. ขอสังเกตที่ไดจากการศึกษาคนควา ………………………………………………………………… ขอเสนอแนะทั่วไป ……………………………………………………………………………………….. ขอเสนอแนะในการทําวิจัยครั้งตอไป ………………………………………………………………. 32 33 34 36 37 39 40 41 45 45 45 49 51 54 54 54 54 57 57 57 57 58 58 59 59 60 62 63 64


ฉ สารบัญ (ตอ) หน้า บรรณานุกรม ......................................................................................................................... ภาคผนวก ภาคผนวก ก ............................................................................................................. ภาคผนวก ข ............................................................................................................. ภาคผนวก ค ............................................................................................................. ภาคผนวก ง ............................................................................................................. ภาคผนวก จ ............................................................................................................. ประวัติยอของผูวิจัย ..................................................................................................................... 65 70 71 79 92 94 96 100


ช สารบัญตาราง ตารางที่ เรื่อง หนา 1 2 3 4 5 รายการการประกอบอาหาร 24 กิจกรรมใน 8 สัปดาห์ …………………………………… แบบแผนการทดลอง .............................................................................................. ตารางการจัดกิจกรรมการประกอบอาหารเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ................................................................................... ค่าสถิติแสดงระดับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังที่ ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม ...................................................... การเปรียบเทียบคะแนนทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยแยกเป็น รายด้านก่อนและหลังที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม ................. 46 49 50 55 55


1 บทที่ 1 บทนํา ความเปนมาและความสําคัญของปญหา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (2542: 86) ทรงมีพระดำรัสว่า “มนุษย์ เป็นทรัพยากรที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ ประเทศใดที่คนในชา ติมีความรู้ความสามารถ ประเทศ นั้นย่อมมีความเจริญรุ่งเรือง ดังนั้น ประเทศต่างๆ จึงให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคนในชาติ ของตน โดยการให้ความสำคัญต่อการจัดการศึกษา เพราะการศึกษาคือการพัฒนาให้คนมีความรู้ ความสามารถที่จะสร้างคนให้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูงขึ้น และสร้างชาติให้อยู่อย่างมี ความสุขและรุ่งเรืองได้” จากข้อความดังกล่าวเน้นถึงความสำคัญของการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาและ สร้างคนในชาติ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ควรเริ่มต้นตั้งแต่ปฐมวัย เพราะเด็กเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ มีค่ายิ่งเป็นผู้สืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ เป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ อนาคตของชาติจึงขึ้นอยู่กับคุณภาพของเด็ก เด็กที่สมบูรณ์ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจและมีพัฒนาการ ทุกด้านที่เหมาะสมกับวัยจะเป็นผู้ที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เป็นประโยชน์ต่อ สังคมและประเทศชาติ การจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยควรเป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ (สถาบันแห่งชาติเพื่อการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาแห่งชาติ 2542:12) ดังที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาพุทธศักราช 2542 ฉบับที่แก้ไข เพิ่มเติม (2545) หมวด 4 มาตราที่ 22 และ 24 ที่กำหนดแนวทางในการจัดการศึกษาไว้ว่าต้องยึด หลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาจะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและตามศักยภาพ ความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้จัดกิจกรรมให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้คิดเป็น ทำเป็น และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาผู้เรียนควรเป็นการพัฒนาโดยองค์รวมในการจัดการศึกษาปฐมวัยที่เหมาะสมจึงควร คำนึงถึงการเสริมสร้างพัฒนาการทุกด้านอย่างได้สัดส่วน กล่าวคือเปิดโอกาสให้เด็กได้สร้างเสริม พัฒนาการทางด้านร่างกายทั้งกล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก ด้านอารมณ์จิตใจ สังคมและสติปัญญา อย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพื่อให้เด็กเจริญเติบโตเป็นบุคคลที่มีประสิทธิภาพและมีคุณค่าแก่สังคม (เยาวพา เดชะคุปต์. 2542 : 12,15) คณิตศาสตร์มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิด ทำให้มนุษย์คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน ตลอดจนมีการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และสามารถวิเคราะห์ปัญหา หรือสถานการณ์ได้ อย่างรอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์วางแผน แก้ปัญหา และนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม


2 และคณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศาสตร์อื่นๆ (สถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2551 : 2) การเรียนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ไม่ใช่ความยุ่งยากเด็กปฐมวัย ส่วนใหญ่คุ้นเคยกับตัวเลข โดยรอบตัวอยู่แล้ว กิจกรรมการเรียนรู้ต้อง สอดคล้องกับวัยและพัฒนาการของเด็กที่มีขีดจำกัด การเรียนรู้ต้องเพิ่มตามลำดับความสามารถและ ตามวัย การจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ต้องเน้นให้เด็กเห็นความสัมพันธ์ของคณิตศาสตร์ ในธรรมชาติ บ้านและโรงเรียน เช่น เล่นขายของ กิจกรรมการเรียนต้องสอดคล้องกับชีวิตประจำวัน ด้วยการสอดแทรกชีวิตจริงเชื่อมกับประสบการณ์เดิมที่มีอยู่จะช่วยในการพัฒนาทักษะทาง คณิตศาสตร์ที่ดีได้ครูต้องมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กโดยการสนทนา อภิปรายใช้คำถามให้กำลังใจและ สนับสนุนให้เด็กเกิดการเรียนรู้อย่างเข้าใจ (นิตยา ประพฤติกิจ. 2541 : 17-19) เด็กอายุ 3 – 5 ปี เป็นช่วงที่มีความคิดริเริ่มงอกงาม ต้องการแสดงออก มีจินตนาการ อยากรู้ อยากเห็นสามารถให้เหตุผลในการกระทำของตนเองได้ รู้จำนวนตัวเลข รู้จักการนับ ซึ่งเป็นทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็ก การเรียนคณิตศาสตร์จึงเป็นการกระตุ้นให้เด็กสนใจโลกรอบตัวเอง การตระหนักรู้ทุกสิ่งในธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลง รู้จักสังเกต ค้นหา ทดลองให้เด็กเกิดมโนทัศน์ คณิตศาสตร์ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเลขและเหตุผล สร้างความคุ้นเคยกับตัวเลข การนับ การเพิ่มและ การลด พัฒนาเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ฝึกทักษะในการคิดคำนวณจากการรู้ การนับ การเปรียบเทียบ หรือการจำแนก รับรู้การแก้ปัญหา และสร้างเสริมความคิดเชิงตรรกะหรือเหตุผล จากการมีความสามารถในการใช้เหตุผล ในการเปรียบเทียบ การจัดประเภท รู้เวลา รู้ตำแหน่ง รู้รูปทรง และขนาด (กุลยา ตันติผลาชีวะ. 2551 : 18) กิจกรรมประกอบอาหารเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานเร้าความสนใจในการเรียนรู้ของเด็กเป็น อย่างดี โดยเฉพาะเด็กปฐมวัยเรียนรู้ได้ดีด้วยการกระทำ อันจะนำไปสู่การเรียนรู้สิ่งที่สลับซับซ้อนขึ้น จากการที่เด็กได้ลงมือปฏิบัติโดยการสำรวจ ค้นคว้า ทดลอง ได้สังเกตลักษณะรูปร่าง รูปทรง ขนาด สี ปริมาณ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของอาหารดิบและสุก การรับรู้รส กลิ่นของอาหาร เปรียบเทียบ ความเหมือนความต่าง ซึ่งเรียนรู้ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า เด็กต้องใช้สติปัญญาและการคิด การ จัดประสบการณ์ดังกล่าวจะเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิดลงมือทำ ด้วยตนเอง นอกจากนี้เด็กยังได้เรียนรู้กระบวนการทำงานร่วมกับผู้อื่น เริ่มตั้งแต่การวางแผนไปจนถึง การทำความสะอาดอุปกรณ์และสถานที่ ซึ่งประสบการณ์จากการประกอบอาหารจะทำให้เด็กได้รับ ความรู้ เกิดความรู้สึกประสบผลสำเร็จ และเป็นการปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดีในการรับประทานอาหาร ต่อไป จากที่กล่าวมาข้างต้น จึงทำให้ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องของทักษะทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย โดยการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เด็กจะได้ลงมือ ปฏิบัติด้วยตนเองตั้งแต่การเตรียมอุปกรณ์และการลงมือประกอบอาหาร เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจและ


3 สนุกสนานมาช่วยพัฒนาและส่งเสริมทักษะการรู้จำนวน การชั่งตวง และการจำแนกเปรียบเทียบของ เด็กปฐมวัย ผลของการวิจัยในครั้งนี้จะช่วยให้ครูและผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยเลือกที่จะพัฒนาการ จัดประสบการณ์ เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ได้อย่างเหมาะสมและมี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น วัตถุประสงคของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โดยใช้การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม 2. เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โดยใช้การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มระหว่างก่อนและหลังจัดกิจกรรม สมมติฐานของการวิจัย เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มมีการพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สูงขึ้น ขอบเขตของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหนองตูม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 7 คน 2. กลุมตัวอยาง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชาย - หญิง อายุระหว่าง 4 - 5 ปี กำลัง ศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหนองตูม จำนวนนักเรียน 7 คน ได้แก่ นักเรียนชาย 2 คน นักเรียนหญิง 5 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกจากกลุ่มประชากร 3. ตัวแปรที่ศึกษา 3.1 ตัวแปรต้น คือ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม


4 3.2 ตัวแปรตาม คือ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ได้แก่ การรู้จำนวน การชั่งตวง การจำแนกเปรียบเทียบ 4. ระยะเวลาที่ใชในการวิจัย ผู้วิจัยดำเนินการทดลองในปีการศึกษา 2566 ใช้เวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ สัปดาห์ ละ 3 วัน วันละ 1 ชั่วโมง ในช่วงเวลา 09.30 – 10.30 น. รวมเป็นระยะเวลาในการทำการทดลอง ทั้งสิ้น 24 ครั้ง นิยามศัพทเฉพาะ 1. เด็กปฐมวัย หมายถึง นักเรียนชาย – หญิง อายุระหว่าง 4 – 5 ปี ระดับชั้นอนุบาล 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนบ้านหนองตูม ตำบลบ้านจั่น อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 2. ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ หมายถึง ทักษะเบื้องต้นที่เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ ทางคณิตศาสตร์ในระดับต่อไป ประกอบไปด้วยการรู้จำนวน การชั่งตวง และการจำแนกเปรียบเทียบ จากแบบประเมินโดยใช้แบบประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ซึ่งทดสอบเฉพาะ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ดังต่อไปนี้ 2.1 การรู้จำนวน หมายถึง เด็กสามารถรู้ในเรื่องของปริมาณบอกและจัดค่าจำนวนตาม ตัวเลข 1 – 10 ได้ 2.2 การชั่งตวง หมายถึง เด็กสามารถชั่งน้ำหนักและรู้จักการประมาณปริมาณของ ส่วนผสมต่างๆ เช่น ปริมาณน้ำ ปริมาณเครื่องปรุง เป็นต้น 2.3 การจำแนกเปรียบเทียบ หมายถึง เด็กสามารถบอกความแตกต่างความเหมือนของ วัสดุอุปกรณ์ส่วนผสมต่างๆ และกระบวนการในการประกอบอาหารตามคุณลักษณะและคุณสมบัติ บางประการ เช่น สี ขนาด รูปร่าง รูปทรง เป็นต้น 3. การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม หมายถึง การจัดกิจกรรมให้เด็กปฐมวัยได้มี ประสบการณ์ตรงในการประกอบอาหารร่วมกับเพื่อนในชั้นเรียน โดยเปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้สื่อ วัตถุดิบ อุปกรณ์ของจริงที่หลากหลาย เน้นให้เด็กได้ใช้การรู้จำนวน การชั่งตวง และการจำแนก เปรียบเทียบ วัตถุดิบ อุปกรณ์ กระบวนการและขั้นตอนในการประกอบอาหาร โดยมีกระบวนการใน การทำกิจกรรม 3 ขั้นตอน คือ ขั้นนำ ขั้นดำเนินกิจกรรม และขั้นสรุป ขั้นนำ เป็นการนำเข้าสู่กิจกรรมการประกอบอาหารด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การร้องเพลง การใช้คำถาม การสนทนาทั่วไป คำคล้องจอง เป็นต้น และการสร้างข้อตกลงเบื้องต้นในการประกอบ อาหาร


5 ขั้นดำเนินกิจกรรม เป็นการให้เด็กเข้ากลุ่ม กลุ่มละ 5 คน โดยให้เด็กจัดกลุ่มตามลักษณะ ของวัตถุดิบ อุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบอาหาร ได้แก่ สี ขนาด สัญลักษณ์ ภาชนะ ฯลฯ ด้วยกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ครูแนะนำเครื่องปรุง ขั้นตอนในการประกอบอาหาร สาธิตวิธีการ ประกอบอาหาร เด็กแบ่งหน้าที่ในการประกอบอาหาร และลงมือทำกิจกรรมประกอบอาหาร โดยในขั้นตอนนี้ครูมีหน้าที่ในการแนะนำและกระตุ้นให้เด็กได้สังเกตการรู้จำนวน การชั่งตวง และการจำแนกเปรียบเทียบ และเมื่อทำกิจกรรมเสร็จแล้ว เด็กช่วยกันเก็บอุปกรณ์และทำความ สะอาด ขั้นสรุป เป็นการที่ครูและเด็กช่วยกันสรุปขั้นตอนในการประกอบอาหาร เด็กนำเสนอ อาหารของกลุ่มตนเองโดยครูใช้คำถามปลายเปิดกระตุ้นให้เด็กๆ เสนอผลงานโดยเน้นให้เด็กได้สังเกต การรู้จำนวน การชั่งตวง และการจำแนกเปรียบเทียบ ประโยชนที่จะไดรับ 1. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารมีการทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สูงขึ้น 2. เพื่อเป็นแนวทางให้แก่ครูปฐมวัยในการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย และนำไปประยุกต์ในชีวิตประจำวันได้ 3. สามารถพัฒนาการศึกษาด้านทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยการจัดกิจกรรมประกอบ อาหารแบบกลุ่ม ช่วยให้นักเรียนที่ขาดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์มีการพัฒนาที่ดีขึ้น ส่งผลให้มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ตลอดจนการเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณค่าของสังคมใน อนาคต กรอบแนวคิดการวิจัย ตัวแปรตน ตัวแปรตาม ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย การจัดกิจกรรม ประกอบอาหารแบบกลุ่ม ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ - การรู้จำนวน - การชั่งตวง - การจำแนกเปรียบเทียบ


6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร ตำรา งานวิจัยและทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย มีรายละเอียดดังนี้ 1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 1.1 ความหมายของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 1.2 ความสำคัญของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 1.3 จุดมุ่งหมายในการเตรียมความพร้อมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก ปฐมวัย 1.4 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 1.5 แนวทางการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 1.6 ประเภทของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 1.7 หลักการสอนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 1.8 ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่เด็กปฐมวัยต้องเรียน 1.9 การวัดและการประเมินผลทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 1.10 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์ 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร 2.1 ความหมายของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร 2.2 ความสำคัญของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร 2.3 ขั้นตอนของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร 2.4 บทบาทครูในการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร 2.5 ข้อเสนอแนะและข้อควรระวังในการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร 2.6 ประโยชน์ของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร 2.7 การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร


7 1. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย 1.1 ความหมายของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย กุลยา ตันติผลาชิวะ (2547 : 158) กล่าวว่า คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย หมายถึง การเรียนรู้ด้วยการสร้างเสริมประสบการณ์เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานสำหรับเด็ก 6 ขวบ ซึ่งต่างจากคณิตศาสตร์สำหรับผู้ใหญ่ คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยเป็นความเข้าใจจำนวน การปฏิบัติเกี่ยวกับจำนวน หน้าที่และความสัมพันธ์ของจำนวนความเป็นไปได้ และการวัดทาง คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยจะเน้นที่การจดจำแนกสิ่งต่างๆ การเปรียบเทียบ และการเรียนรู้ สัญลักษณ์ของคณิตศาสตร์ซึ่งเด็กจะเรียนรู้ได้จากกิจกรรมปฏิบัติการ นุจิรา เหล็กกล้า (2561 : 46) กล่าวว่า คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจและความสามารถพื้นฐานที่ได้รับการส่งเสริมประสบการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ โดยการเปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมจริงด้วยตนเองจากสถานการณ์และกิจกรรมใน ชีวิตประจำวันของเด็ก ซึ่งเด็กได้ศึกษาค้นคว้า แก้ปัญหา เป็นพื้นฐานและสามารถนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ เพ็ญจันทร์ เงียบประเสริฐ (2542 : 9) กล่าวว่า คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ก็คือประสบการณจริงทางคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวันของเด็ก และกิจกรรมที่ครูจัดขึ้นเพื่อสร้าง ความรู้และทักษะที่เหมาะสมกับวัยทางคณิตศาสตร์ทั้งนี้การจัดประสบการณ์และการจัดกิจกรรม จะต้องมีการวางแผนและเตรียมการอย่างดีและมุ่งเน้นการทำงานเป็นกลุ่มแบบมีส่วนร่วม โดยเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้โอกาสเด็กได้สร้างความรู้และทักษะ ปลูกฝังให้เด็กรู้จักการค้นคว้า และแก้ปัญหาอย่างสนุกสนาน มีทักษะและความรู้ทางคณิตศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานการศึกษาที่สูงขึ้นและ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ต่อไป วันดี ภู่สุวรรณ์ (2559 : 9) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย คือ ความรู้เบื้องต้นทางการเรียนคณิตศาสตร์ การเรียนรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ในด้านการ สังเกต การจำแนก การเปรียบเทียบ การบอกตำแหน่ง การบอกตัวเลข การจับคู่ การนับ ความสูง – สั้น เป็นขั้นแรกของการเรียนเพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาที่สูงขึ้นในระดับประถมศึกษาต่อไป วัลนา ธรจักร (2544 : 25) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ คือ ความรู้เบื้องต้น ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ ซึ่งเด็กจะต้องมีประสบการณ์ และได้รับการฝึกฝนในเรื่องของ การสังเกต การจำแนกสิ่งต่างๆ ตามรูปร่าง การเปรียบเทียบ การบอกตำแหน่ง การเรียงลำดับ การนับและการวัด ซึ่งทักษะต่างๆ เหล่านี้จะช่วยเตรียมเด็กให้พร้อมที่จะก้าวไปสู่การเรียนรู้ ทางคณิตศาสตร์ในขั้นสูงต่อไป สุพิชฌาย์ ทนทาน (2559 : 28) กล่าวว่า คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย หมายถึง การ เรียนรู้จากสถานการณ์ในชีวิตประจำวันของเด็กในด้านจำนวน การวัด การจำแนกสิ่งต่างๆ การ


8 เปรียบเทียบ และการเรียนรู้สัญลักษณ์ของคณิตศาสตร์มาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาความรู้และทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยวางแผนการจัดประสบการณ์ และเปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริง และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีความสุข สุภาวิณี ลายบัว (2559 : 9) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย หมายถึง กิจกรรมที่ครูจัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้และทักษะที่เหมาะสมกับวัยทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้ โอกาสเด็กได้สร้างความรู้และทักษะ ปลูกฝังให้เด็กรู้จักการค้นคว้าและแก้ปัญหา ให้เด็กมี ประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ การวัด การจับคู่หนึ่งต่อหนึ่ง ก่อนที่เด็กจะ เรียนเรื่องตัวเลขและวิธีคิดคำนวณ และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ จากข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์หมายถึง ความรู้เบื้องต้น ที่จะนำไปสู่การเรียนคณิตศาสตร์ที่เด็กปฐมวัยควรได้รับประสบการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตประจำวัน เกี่ยวกับเรื่องของการนับ การรู้ค่าจำนวน การสังเกต การเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ การจำแนก ตามรูปร่าง ขนาด น้ำหนัก ความสูง ความยาว และการวัด เพื่อเป็นทักษะพื้นฐานในการเตรียมความ พร้อมทางคณิตศาสตร์ที่สูงขึ้นในระดับต่อไป 1.2 ความสําคัญของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย ชมนาด เชื้อสุวรรณทวี (2542 : 3) กล่าวว่า คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวกับความคิด เป็น โครงสร้างที่มีเหตุผลและสามารถนำคณิตศาสตร์ไปแก้ปัญหาในศาสตร์สาขาอื่น คณิตศาสตร์เป็น ศิลปะอย่างหนึ่ง ช่วยสร้างสรรค์จิตใจของมนุษย์ ฝึกให้คิดอย่างมีระเบียบแบบแผน คณิตศาสตร์ไม่ใช่ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับทักษะการคำนวณแต่เพียงอย่างเดียวหรือไม่ได้มีความหมายเพียงตัวเลขสัญลักษณ์ เท่านั้น ยังช่วยเสริมการสร้างและใช้หลักการรู้จักการคาดคะเน ช่วยในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และจากความแตกต่างระหว่างบุคคล ควรส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถคิดอย่างอิสระบนความ สมเหตุสมผล ไม่จำกัดว่าการคิดคำนวณต้องออกมาเพียงคำตอบเดียวหรือมีวิธีการเดียว นุจิรา เหล็กกล้า (2561 : 27) กล่าวว่า คณิตศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ ชีวิตประจำวันของมนุษย์ ทำให้เด็กคิดเป็นทำเป็นและแก้ปัญหาเป็น รู้จักใช้เหตุผล มีความละเอียด รอบคอบ ช่วยให้เด็กมีความพร้อมและขยายประสบการณ์ ช่วยฝึกทักษะเบื้องต้น ทำให้เด็กเกิด ความคิดรวบยอดและมีเจตคติที่ดี การมีประสบการณ์ที่เหมาะสมกับพัฒนาการความสนใจของเด็ก ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กได้เรียนรู้สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและเป็นพื้นฐานในการ เรียนรู้ต่อไป บรรพต สุวรรณประเสริฐ (2544 : 83) กล่าวว่า คณิตศาสตร์เป็นศาสตร์แห่งการคิด คำนวณ ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาศักยภาพทางการคิดของผู้เรียนให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์คิดอย่างมีเหตุผลเป็นระบบ ระเบียบ และมีแบบแผน สามารถช่วย


9 วิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ช่วยให้การตัดสินใจและแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ คณิตศาสตร์จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการศึกษาเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่รอบตัว รวมถึงศาสตร์อื่นๆ ในหลักสูตรทุกระดับการศึกษา อย่างไรก็ตามการเรียนรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ผู้เรียน มักประสบปัญหาทางการเรียน ทั้งนี้เพราะคณิตศาสตร์มีลักษณะของเนื้อหาสาระที่เป็น นามธรรม เพ็ญจันทร์ เงียบประเสริฐ (2542 : 7) กล่าวว่า ความสำคัญของคณิตศาสตร์เป็นทักษะ สำคัญที่ต้องใช้ทั้งในชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพ ตลอดจนช่วยปลูกฝังคุณลักษณะที่สำคัญ ของการเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดีคณิตศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการดำเนินชีวิตในสังคม ทั้งปัจจุบันและอนาคต วันดี ภู่สุวรรณ์ (2559 : 11) กล่าวว่า ความสำคัญของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ช่วย ให้ฝึกการคิดอย่างมีแบบแผนเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของเด็ก ใช้เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการ เรียนรู้วิชาอื่นๆ ทำให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผล รู้จักการคาดคะเนและรู้จัก การแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดี สุมารีย์ ไชยประสพ (2558 : 16) กล่าวว่า ความสำคัญของคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก ปฐมวัยว่า คณิตศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน มนุษย์เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ศาสตร์อื่นๆ การได้รับประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์ที่ถูกต้องตั้งแต่ระดับปฐมวัยทำให้ผู้เรียนมี ความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผลและใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดีเพราะในการดำเนิน ชีวิตตลอดจนการศึกษาการเรียนรู้ต้องอาศัยทักษะการสังเกต การเปรียบเทียบ การจัดหมวดหมู่ การเรียงลำดับ การแก้ปัญหา การคิดคำนวณอย่างมีเหตุผล การกระทำจึงมีความจำเป็นในการ ส่งเสริมให้มีการจัดประสบการณ์เกี่ยวกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยเพื่อให้เด็ก ได้เรียนรู้ฝึกฝน เป็นการเตรียมความพร้อมและสร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และเป็น พื้นฐานในการเรียนรู้ที่ดีในอนาคตต่อไปเมื่อเติบโตขึ้น สุวร กาญจนมยูร (2541 : 1) กล่าวว่า คณิตศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มีบทบาทสำคัญในการ พัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพและพร้อมที่จะดำเนินชีวิตในสังคมอนาคต ครูจึงต้องหาแนวทาง การจัดการเรียนการสอนให้เอื้อต่อการพัฒนาผู้เรียนตามแนวทางการปฏิรูปการเรียนรู้คือ เก่ง ดีมีสุข จากข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า ความสำคัญของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก ปฐมวัย เป็นสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ศาสตร์อื่นๆ การได้รับประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์ทำให้ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุมีผลและใช้ ในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างดี


10 1.3 จุดมุงหมายในการเตรียมความพรอมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรสําหรับเด็ก ปฐมวัย กุลยา ตันติผลาชีวะ (2555 : 160) กล่าวว่า จุดประสงค์ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่สำคัญสำหรับเด็ก มีดังนี้ 1. สร้างเสริมประสบการณ์ให้เกิดในทัศนะคณิตศาสตร์ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเลขและ เหตุผล 2. สร้างความคุ้นเคยกับตัวเลข การนับ การเพิ่ม การลด 3. สร้างเสริมความคิดเชิงตรรกะหรือเหตุผลจากการมีความสามารถในการใช้เหตุผลใน การเปรียบเทียบ การจัดประเภท รู้เวลา รู้ตำแหน่ง รู้รูปทรง และขนาด 4. ฝึกทักษะในการคิดคำนวณจากการเรียนรู้การนับ การเปรียบเทียบ หรือการจำแนก และรับรู้แก้ปัญหา 5. พัฒนาเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ นุจิรา เหล็กกล้า (2561 : 28) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายในการฝึกทักษะทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย เป็นการเตรียมเด็กให้พร้อมที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ในระดับสูงต่อไป โดย การให้เด็กมีโอกาสกระทำกับสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ สำรวจ ค้นพบและมีประสบการณ์ตรงทางคณิตศาสตร์ ที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน ได้แก่ การสังเกต จำแนก เปรียบเทียบ จัดลำดับ จัดหมวดหมู่ การนับ การวัด และการหาความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ นิตยา ประพฤติกิจ (2541 : 3) กล่าวว่า ได้กำหนดจุดมุ่งหมายในการสอนคณิตศาสตร์ใน ระดับปฐมวัยศึกษาไว้ ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ เช่น การบวกหรือการเพิ่ม การลบ หรือการลบ 2. เพื่อให้เด็กรู้จักการใช้กระบวนการในการหาคำตอบ เช่น เมื่อเด็กบอกว่า “กิ่ง” หนัก กว่า “ดาว” แต่บางคนบอกว่า “ดาว” หนักกว่า “กิ่ง” เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องมีการชั่งน้ำหนักและ บันทึกน้ำหนัก 3. เพื่อให้เด็กมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ เช่น รู้จักคำศัพท์ และสัญลักษณ์ ทางคณิตศาสตร์ขั้นต้น 4. เพื่อให้เด็กฝึกฝนทักษะคณิตศาสตร์พื้นฐาน เช่น การนับ การวัด การจับคู่ การจัด ประเภท การเปรียบเทียบ การลำดับ เป็นต้น 5. เพื่อส่งเสริมให้เด็กค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเอง 6. เพื่อส่งเสริมให้เด็กมีความรู้และอยากค้นคว้าทดลอง


11 ประจักษ์ เอนกฤทธิ์มงคล (2560 : 19) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายในการฝึกทักษะทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย เป็นการเตรียมเด็กให้พร้อมที่จะเรียนรู้ และทำกิจกรรมทาง คณิตศาสตร์ที่เหมาะสมกับวัย เช่น การทำแบบชุดฝึกกิจกรรมทางคณิตศาสตร์ด้วยความสามารถและ สนุกสนาน มีทักษะพื้นฐานในการสังเกตเปรียบเทียบ การจัดหมวดหมู่ การเรียงลำดับ การรู้ค่า ความหมาย และนำไปใช้ชีวิตประจำวันได้ เพ็ญจันทร์ เงียบประเสริฐ (2542 : 13) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของการสอนคณิตศาสตร์ ควรประกอบไปด้วยลักษณะต่างๆ ดังต่อไปนี้ 1. ให้มีความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ 2. ให้มีทักษะในการคิดคำนวณ 3. ให้มีความเข้าใจคณิตศาสตร์และใช้สื่อสารได้ 4. ให้สามารถใช้เหตุผลแก้ปัญหาได้ 5. ให้เห็นคุณค่า มีความมั่นใจและเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ เยาวพา เดชะคุปต์ (2558 : 71) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์มีความสำคัญใน การดำรงชีวิต ซึ่งควรปูพื้นฐานให้เด็กตั้งแต่ยังเล็ก การสอนคณิตศาสตร์ในระดับปฐมวัยควรมี จุดมุ่งหมายให้เด็กเกิดความเข้าใจถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้ 1. เกิดความคิดรวบยอดของวิชาคณิตศาสตร์ 2. มีความสามารถในการแก้ปัญหา 3. มีทักษะและวิธีในการคิดคำนวณ 4. สร้างบรรยากาศในการคิดอย่างสร้างสรรค์ 5. ส่งเสริมความเป็นเอกัตบุคคลในตัวเด็ก 6. ส่งเสริมกระบวนการในการสืบสวนสอบสวน 7. ส่งเสริมกระบวนการคิดโดยใช้เหตุผล วาโร เพ็งสวัสดิ์ (2542 : 59) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายในการสอนคณิตศาสตร์ ดังนี้ 1. เพื่อให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกี่ยวกับโลกทางกายภาพก่อนเข้าไปสู่โลกของการคิด ด้านนามธรรม 2. เพื่อให้มีการพัฒนาทักษะด้านคณิตศาสตร์เบื้องต้น อันได้แก่ การจัดหมวดหมู่ การเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ การจัดการการทำกราฟ การนับ การจัดการด้านจำนวน การสังเกต และการเพิ่มขึ้นและลดลง 3. เพื่อขยายประสบการณ์เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ให้สอดคล้อง โดยเรียงลำดับจากง่ายไป หายาก


12 4. เพื่อฝึกทักษะเบื้องต้นในด้านการคิดคำนวณ โดยเสริมสร้างประสบการณ์แก่เด็กใน การเปรียบเทียบรูปทรงต่างๆ บอกความแตกต่างของขนาด น้ำหนัก ระยะเวลา จำนวนของสิ่งของ ต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเด็ก สามารถแยกหมวดหมู่ เรียงลำดับใหญ่เล็ก หรือสูงต่ำ ซึ่งทักษะเหล่านี้จะช่วย ให้เด็กเกิดความพร้อมที่จะคิดคำนวณในขั้นต่อๆ ไป จากข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายในการเตรียมความพร้อมทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย คือ เพื่อเป็นการเตรียมเด็กให้พร้อมที่จะเรียนรู้และทำกิจกรรมทาง คณิตศาสตร์ได้เหมาะสมตามวัย มีทักษะวิธีการเบื้องต้นในการคิดคำนวณอย่างเหมาะสม โดยฝึกให้ เด็กได้รู้จักการสังเกต สามารถแยกหมวดหมู่ จัดหมวดหมู่ของสิ่งของต่างๆ รอบตัวเด็ก รู้จักการ เปรียบเทียบสิ่งต่างๆ จัดเรียงลำดับ บอกความแตกต่างของขนาด น้ำหนัก การวัด โดยผ่านกิจกรรม ต่างๆ ที่เด็กเกิดความสนุกสนานเร้าใจ เพื่อให้เด็กมีใจรักคณิตศาสตร์ และสามารถที่จะนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ 1.4 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวของกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย 1.4.1 ทฤษฎีการพัฒนาทางสติปญญาของเพียเจท (Piaget) เพียเจท์ (Piaget, 1965 อ้างถึงใน นิตยา ประพฤติกิจ, 2541 : 5-7) ได้แบ่งขั้น พัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น 4 ขั้น ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว (Sensorimotor Stage) ช่วงอายุ0 – 2 ปี ในขั้นนี้เด็กจะอาศัยประสาทสัมผัสในการติดต่อกับโรคภายนอก เด็กเชื่อว่าถ้าไม่เห็นวัตถุแสดงว่าไม่ มีเช่น เมื่อมารดาเอาผ้าคลุมลูกบอล เด็กก็จะคิดว่าไม่มีแต่เมื่ออายุระหว่าง 1 – 2 ขวบ เด็กเริ่มรู้ว่า แม้สิ่งนั้น จะไม่ปรากฏให้เห็นแต่อาจอยู่ที่นั่นก็ได้ ขั้นที่ 2 ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการ (Preoperational Stage) ช่วงอายุ2 – 7 ปีเด็กวัย นี้เริ่มรู้จักจำแนกรูปแบบ และแสดงความเข้าใจเกี่ยวกับการคงที่ของรูปแบบต่างๆ ในสภาพแวดล้อม ของตนแต่การรับรู้ของเด็กวัยนี้อาจผิดพลาดได้เด็กวัยนี้สามารถรับรู้และเปรียบเทียบสิ่งที่ปรากฏแก่ สายตาได้ เริ่มให้เหตุผลและเห็นความสัมพันธ์ระหว่างส่วนรวมและส่วนย่อยได้แต่ยังไม่สามารถคิด แบบนามธรรมได้ถ้าหากเหตุการณ์นั้นมิได้ประจักษ์แก่สายตา ขั้นที่ 3 ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม (Concrete Operational Stage) ช่วงอายุ7 – 11 ปี เด็กสามารถเข้าใจในเรื่องการอนุรักษ์ มีเหตุผลเข้าใจถึงผลที่จะเกิดขึ้นตามมา แสดงให้เห็นถึง หลักแห่งเหตุผลเบื้องต้นได้เช่น ลักษณะ 2 มิติได้ทันทีหรือเข้าใจว่าวัตถุเมื่อเปลี่ยนรูปทรงก็ยังมี ปริมาณเท่าเดิม ขั้นที่ 4 ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม (Formal Operation Stage) อายุ 11 หรือ 12 ปี ขึ้นไป เป็นขั้นที่พัฒนาการทางความคิดของเด็กเป็นขั้นสุดยอด สามารถใช้สัญลักษณ์แทนเพื่อ


13 แก้ปัญหา หรือใช้เหตุผลในขั้นนามธรรมได้สามารถตัดสินใจเลือกโดยอาศัยสัญลักษณ์เข้าช่วยโดยไม่ จำเป็นต้องดูหรือมีข้อมูลมาก สามารถมองเห็นความเป็นไปได้อย่างมีเหตุผล เพียเจท์ (Piaget, 1965 อ้างถึงใน นิตยา ประพฤติกิจ, 2541 : 7) ได้แบ่งความรู้ทางด้าน คณิตศาสตร์ตามพัฒนาการทางคณิตศาสตร์ของเด็กออกเป็น 2 ชนิด คือ ความรู้ทางด้านกายภาพ (Physical Knowledge) กับความรู้ทางด้านเหตุผลทางคณิตศาสตร์(Logico-mathematical Knowledge) 1.1 ความรู้ทางด้านกายภาพ เป็นความรู้ที่ได้จากการใช้ประสาทสัมผัสเป็นความรู้ ภายนอกที่เกิดจากการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมโดยตรง 1.2 ความรู้ทางด้านเหตุผลทางคณิตศาสตร์เป็นความรู้ที่ได้จากการเชื่อมโยงเข้ากับ ทฤษฎีโดยการลงมือกระทำ จึงเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นภายใน หรือเป็นผลสะท้อนที่ได้รับนั่นเอง ความรู้ ด้านเหตุผลทางคณิตศาสตร์จะเกิดขึ้นหลังจากที่เด็กได้ลงมือกระทำกิจกรรมโดยอาศัยการเชื่อมโยง จากข้อเท็จจริงที่เห็นไปสู่ความเข้าใจหรือความคิดรวบยอดต่อไป จากการที่เด็กรู้จักใช้เหตุผลนี่เองทำ ให้เด็กไม่ต้องอาศัยประสาทสัมผัสในการเรียนรู้เรื่องนามธรรมอีกเมื่อโตขึ้น 1.4.2 ทฤษฎีพัฒนาการทางดานสติปญญาของบรูเนอร (Bruner) บรูเนอร์ (Bruner, 1963 อ้างถึงใน สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2543 : 6) กล่าวถึงทฤษฎีพัฒนาการของคนทางความรู้ความคิด ซึ่งมีส่วนคล้ายกันกับทฤษฎีของ เพียเจท์อยู่มาก เขาเชื่อว่าการเรียนรู้ของเด็กเกิดจากกระบวนการทำงานภายในอินทรีย์(Organism) บรูเนอร์เน้นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมว่าส่งผลต่อความงอกงามทางสติปัญญาของ เด็ก โดยบรูเนอร์แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาและการคิดออกเป็น 3 ขั้น ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นประสบการณ์ตรงและสัมผัส (Enactive Stage) เปรียบได้กับขั้นประสาท สัมผัสและการเคลื่อนไหว (Sensorimotor Stage) เป็นขั้นที่เด็กเรียนรู้ด้วยการกระทำมากที่สุด และเข้าใจสิ่งแวดล้อมจากการกระทำ ในขั้นนี้ยังไม่มีการวาดภาพในสมอง (Imagery) มีลักษณะ พัฒนาการด้านทักษะ ขั้นที่ 2 ขั้นการใช้ภาพเป็นสื่อในการมองเห็น (Iconic Stage) เปรียบได้กับขั้นความคิด ก่อนปฏิบัติการ (Preoperational Stage) ของเพียเจท์ในวัยนี้เด็กจะเกี่ยวข้องกับความจริงมากขึ้น และเกิดความคิดจากการรับรู้เป็นส่วนใหญ่ อาจมีจินตนาการบ้างแต่ก็ไม่สามารถคิดได้ลึกซึ้ง ขั้นที่ 3 ขั้นการสร้างความสัมพันธ์และสัญลักษณ์(Symbolic Stage) เป็นขั้นพัฒนาการ สูงสุดของบรูเนอร์เปรียบได้กับขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม (Concrete Operational Stage) และ ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม (Formal Operation Stage) ของเพียเจท์ขั้นนี้เด็กสามารถคิดได้ อย่างอิสระ โดยแสดงออกทางภาษาและการใช้ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการคิดก่อนทำ มีการเรียนรู้


14 และใช้ภาษา มีเหตุผล และเรียนคณิตศาสตร์ได้ มีความเข้าใจสัญลักษณ์ ทำให้เข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ กว้างขวางขึ้น จากการศึกษาทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์ (Piaget) และบรูเนอร์ (Bruner) สามารถสรุปได้ว่า เด็กปฐมวัยสามารถเข้าใจคณิตศาสตร์ได้ ถ้าหากกิจกรรมที่ครูจัดมีความ เหมาะสมกับระดับความสามารถของเด็ก โดยเด็กปฐมวัยจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า จากสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว เด็กจะเรียนรู้จากสิ่งที่ง่ายไปหายาก จากสูงที่เป็นรูปธรรมไปหานามธรรม ซึ่งจะทำให้เด็กได้รู้จักการจัดระบบความคิด พัฒนาการคิดอย่างมีเหตุผล และรู้จักใช้กระบวนการ แสวงหาความรู้ด้วยตนเองได้ ซึ่งจะมีความแตกต่างหลากหลายในประสบการณ์ที่ต่างกัน 1.5 แนวทางการสงเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย นิตยา ประพฤติกิจ (2556 : 21) กล่าวว่า แนวทางการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ของเด็กในระดับปฐมวัยโดยใช้หลักดังนี้ 1. สอนให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน 2. เปิดโอกาสให้เด็กได้รับประสบการณ์ที่ทำให้พบคำตอบด้วยตนเอง 3. มีจุดมุ่งหมาย เป้าหมาย และการวางแผนที่ดีเป็นระบบ 4. เอาใจใส่เรื่องการเรียนรู้และลำดับขั้นตอนของการพัฒนาการความคิดรวบยอดของ เด็ก 5. ใช้วิธีการจดบันทึกพฤติกรรมหรือระเบียนพฤติกรรมเพื่อใช้ในการเก็บข้อมูลวางแผน และการปรับปรุง 6. จัดประสบการณ์ใหม่ให้สอดคล้องกับประสบการณ์เดิมของเด็ก 7. ใช้สถานการณ์ในขณะนั้นให้เกิดประโยชน์ในการเรียนรู้ 8. ใช้วิธีสอดแทรกจากชีวิตจริงเพื่อสอนความคิดรวบยอดที่ยากๆ 9. จัดกิจกรรมให้เด็กได้มีส่วนร่วมหรือปฏิบัติจริง 10. วางแผนส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ทั้งที่โรงเรียนและที่บ้านอย่างต่อเนื่อง 11. บันทึกปัญหาและการเรียนรู้ของเด็กอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหาแนวทางแก้ไขและ ปรับปรุง 12. ในหนึ่งคาบเรียนควรสอนเพียงความคิดรวบยอดเดียว 13. เน้นกระบวนการเล่นจากง่ายไปหายาก 14. ใช้การสอนสัญลักษณ์ ตัวเลขหรือเครื่องหมายเมื่อเด็กเข้าใจสิ่งนั้นแล้ว 15. ควรมีการเตรียมความพร้อมทุกครั้งที่มีการเรียนคณิตศาสตร์


15 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2546 : 619 – 620) กล่าวว่า แนวทางในการส่งเสริม ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ดังนี้ 1. ศึกษาและทำความเข้าใจหลักสูตร เพื่อให้ทราบวัตถุประสงค์ ขอบข่ายของเนื้อหา วิธีสอน วิธีการจัดกิจกรรม การใช้สื่อการเรียนการสอนและการประเมินผล เพื่อเป็นแนวทาง ในการ เตรียมความพร้อมด้านคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยได้ถูกต้อง 2. ศึกษาพัฒนาการด้านต่างๆ ความต้องการและความสามารถของเด็กปฐมวัย เพื่อจัด กิจกรรมให้สอดคล้องกับพัฒนาการ ความต้องการ ความสนใจและความสามารถของเด็ก 3. จัดหาสื่อการเรียนที่เด็กสามารถจับต้องได้ให้เพียงพอ โดยใช้ของจริง ของจำลอง รูปภาพจากสิ่งแวดล้อมและสิ่งที่เด็กคนเคย สื่อที่ใช้แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ วัสดุทำขึ้นเอง วัสดุราคา ถูก วัสดุเหลือใช้ และวัสดุท้องถิ่น 4. จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับประสบการณ์ในชีวิตประจำวนของเด็ก 5. เปิดโอกาสให้เด็กได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมได้ลงมือกระทำ ได้ใช้ความสามารถอย่าง เต็มที่ โดยมีครูดูแลใกล้ชิดตลอดเวลา 6. ฝึกให้เด็กได้คิดแก้ปัญหา ใช้ความคิดสร้างสรรค์ มีอิสระในการคิด ค้นคว้าหาเหตุผล ด้วยตนเองให้มากที่สุดจากการปฏิบัติกิจกรรม 7. จัดกิจกรรมโดยคำนึงถึงความแตกต่าง 8. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและบ้าน เพื่อให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการเตรียม ความพร้อมด้านคณิตศาสตร์ของเด็ก 9. จัดสภาพแวดล้อมทั้งในและนอกห้องเรียนให้เอื้อต่อการเรียนคณิตศาสตร์ เยาวพา เดชะคุปต์ (2542 : 112) กล่าวว่า แนวทางการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ของเด็กในระดับปฐมวัยใช้หลักดังนี้ 1. เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับขนาด รูปทรง ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อที่ เวลา อุณหภูมิ เงินตรา และอื่นๆ 2. เกิดความสามารถในการนับ 3. สามารถแยกความแตกต่างของรูปทรงได้ 4. เข้าใจถึงส่วนเต็มและส่วนย่อย 5. เข้าใจความสัมพันธ์ของเนื้อที่ 6. สามารถใช้นาฬิกาในการบอกเวลา และปฏิทินในการบอกวัน เดือน ปี 7. สามารถวัดในเชิงปริมาณ 8. เข้าใจเรื่องเงิน


16 วันดี ภู่สุวรรณ์ (2559 : 25) กล่าวว่า แนวทางในการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ครูผู้สอนควรจะศึกษาหลักสูตรการจัดกิจกรรมสำหรับเด็กปฐมวัยให้ เข้าใจ และควรจัดกิจกรรมที่หลากหลายจากสิ่งที่อยู่รอบตัวเด็ก เช่น เกมทั่วไป เกมการศึกษาที่ หลากหลาย ของเล่นไม่เป็นอันตรายต่อเด็กควรเป็นของเล่นที่เหมือนจริงหรือของจริงเพื่อให้เด็กได้ เรียนรู้ สี รูปร่าง ขนาด จากประสบการณ์จริง ฝึกให้เด็กได้ฝึกคิดแก้ปัญหา โดยการตั้งคำถามให้เด็กได้ ตอบปากเปล่าจากการคิดของตัวเอง หรรษา นิลวิเชียร (2535 : 119) กล่าวว่า แนวทางการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยใช้หลักการดังนี้ 1. เด็กมีโอกาสได้จัดการจัดกระทำและสำรวจวัสดุ ในขณะมีประสบการณ์เกี่ยวกับ คณิตศาสตร์ 2. เด็กมีส่วนในกิจกรรมที่เกี่ยวกับโลกทางด้านกายภาพ ก่อนเข้าไปสู่โลกของการคิดด้าน นามธรรม 3. เด็กมีโอกาสพัฒนาทักษะด้านการจัดหมวดหมู่ การเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ การวัด การทำกราฟ การนับ และการจัดการด้านจำนวน จากข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า แนวทางการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับ เด็กปฐมวัยนั้นควรให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงจากการลงมือปฏิบัติจริง เปิดโอกาสให้เด็กได้ มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม ได้ลงมือกระทำ 1.6 ประเภทของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย กรมวิชาการ (2546 : 18 – 21) กล่าวว่า ประเภทของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ไว้ ดังนี้ 1. การคิดโดยการรับรู้แสดงความรู้สึก ความคิดสร้างสรรค์ผ่านสื่อวัสดุของเล่น และผลงาน 2. การสังเกต การจำแนก และการเปรียบเทียบ โดยการสำรวจและอธิบายความเหมือน ความต่างของสิ่งต่างๆ การจับคู่ การจำแนก การจับกลุ่ม การเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ การใช้หรือ อธิบายสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีการที่หลากหลาย 3. จำนวน โดยการเปรียบเทียบจำนวนมากกว่า น้อยกว่า เท่ากัน การนับสิ่งต่างๆ การ จับคู่ 1 ต่อ 1 การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของจำนวนหรือปริมาณ 4. มิติสัมพันธ์(พื้นที่/ระยะ) โดยการต่อเข้าด้วยกัน การแยกออก การบรรจุและการเท ออก การอธิบายในเรื่องของตำแหน่งของสิ่งต่างๆ ที่สัมพันธ์กัน การสื่อความหมายของมิติสัมพันธ์ด้วย ภาพวาด ภาพถ่ายและรูปถ่าย


17 5. เวลา โดยการเริ่มต้น และการหยุดการกระทำ โดยสัญญาณ การเปรียบเทียบเวลา การเรียงลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ณัฐนันท์ คัมภีร์ภัทร (ม.ป.ป. : 32) กล่าวว่า แนวทางในการวัดและประเมินทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ดังนี้ 1. ทักษะการสังเกต หมายถึง ความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์โดยมีจุดประสงค์ที่จะหาข้อมูลโดย ไม่ใส่ความคิดของผู้สังเกตลงไป 2. ทักษะการจำแนกประเภท หมายถึง ความสามารถในการแบ่งประเภทสิ่งของโดยหา เกณฑ์หรือสร้างเกณฑ์ในการแบ่งขึ้น เกณฑ์ที่ใช้ในการจำแนกประเภทของสิ่งของมีอยู่ 3 อย่าง คือ ความเหมือน ความแตกต่างและความสัมพันธ์ร่วม 3. ทักษะการเปรียบเทียบ หมายถึง กระบวนการที่เด็กสืบเสาะ และอาศัยความสัมพันธ์ ของสิ่งของบนพื้นฐานคุณสมบัติบางอย่าง มีลักษณะเฉพาะอย่าง 4. การจัดหมวดหมู่ หมายถึง ความสามารถในการสังเกตความเหมือนและความแตกต่าง และคุณสมบัติอื่นๆ แล้วจัดกลุ่มสิ่งของเป็นกลุ่มต่างๆ 5. การเรียงลำดับ หมายถึง ความสามารถในการจัดลำดับ สิ่งของตามลักษณะต่างๆ 6. การวัด หมายถึง ความสามารถในการคาดคะเนและการกะปริมาณ ซึ่งการวัดสำหรับ เด็กปฐมวัย ได้แก่อุณหภูมิเวลา ระยะทาง ความยาว น้ำหนัก ปริมาณ นิตยา ประพฤติกิจ (2541 : 17 – 19) กล่าวว่า ประเภทของทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ในระดับปฐมวัย ควรประกอบด้วยทักษะดังต่อไปนี้ 1. การนับ (Counting) เป็นคณิตศาสตร์เกี่ยวกับตัวเลข อันดับแรกที่เด็กรู้จักเป็นการนับ อย่างมีความหมาย เช่น การนับตามลำดับ ตั้งแต่ 1 – 10 หรือมากกว่านั้น 2. ตัวเลข (Numeration) เป็นการให้เด็กรู้จักตัวเลขที่เห็นหรือใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ให้เด็กเล่นของเล่นเกี่ยวกับตัวเลขให้เด็กได้นับและคิดเองโดยครูเป็นผู้วางแผนจัดกิจกรรม อาจมีการ เปรียบเทียบแทรกเข้าไปด้วย เช่น มากกว่า น้อยกว่า ฯลฯ 3. การจับคู่ (Matching) เป็นการฝึกให้เด็กรู้จักสังเกตลักษณะต่างๆ และจับคู่สิ่งที่เข้าคู่ กันเหมือนกัน หรืออยู่ประเภทเดียวกัน 4. การจัดประเภท (Classification) เป็นการฝึกฝนให้เด็กรู้จักการสังเกตคุณสมบัติของ สิ่งต่างๆ ว่ามีความแตกต่างกัน หรือเหมือนกันในบางเรื่องและสามารถจัดเป็นประเภทต่างๆ ได้ 5. การเปรียบเทียบ (Comparing) เด็กจะต้องมีการสืบเสาะและอาศัยความสัมพันธ์ ระหว่างของสองสิ่งหรือมากกว่า รู้จักใช้คำศัพท์เช่น ยาวกว่า สั้นกว่า หนักกว่า เบากว่า ฯลฯ 6. การจัดลำดับ (Ordering) เป็นเพียงการจัดสิ่งของชุดหนึ่งๆ ตามคำสั่งหรือตามกฎ เช่น


18 จัดบล็อก 5 แท่งที่มีความยาวไม่เท่ากัน ให้เรียงตามลำดับจากสูงไปต่ำ หรือจากสั้นไปยาว ฯลฯ 7. รูปทรงและเนื้อที่ (Shape and Space) นอกจากให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องรูปทรงและเนื้อ ที่จากการเล่นตามปกติแล้วครูยังต้องจัดประสบการณ์ให้เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับวงกลม สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า ความลึก ตื้น กว้างและแคบ 8. การวัด (Measurement) มักให้เด็กลงมือวัดด้วยตนเองให้รู้จักความยาวและ ระยะทาง รู้จักการชั่งน้ำหนักและรู้จักการประมาณอย่างคร่าวๆ ก่อนที่เด็กจะรู้จักการวัด ควรให้เด็ก ได้ฝึกฝนการเปรียบเทียบและการจัดลำดับมาก่อน 9. เซต (Set) เป็นการสอนเรื่องเซตอย่างง่ายๆ จากสิ่งรอบๆ ตัว มีการเชื่อมโยงกับสภาพ รวม เช่น รองเท้ากับถุงเท้าถือว่าเป็นหนึ่งเซท หรือห้องเรียนมีบุคคลหลายประเภท แยกเป็นเซทได้3 เซท คือ นักเรียน ครูประจำชั้น ครูช่วยสอน เป็นต้น 10. เศษส่วน (Fraction) ปกติแล้วการเรียนเศษส่วนมักเริ่มเรียนในชั้นประถมปีที่ 1 แต่ครูปฐมวัยสามารถสอนได้โดยเน้นส่วนรวมให้เด็กเห็นก่อนมีการลงมือปฏิบัติเพื่อให้เด็กได้เข้าใจ ความหมายและมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับครึ่ง 11. การทำตามแบบหรือลวดลาย (Patterning) เป็นการพัฒนาให้เด็กจดจำรูปแบบหรือ ลวดลายและพัฒนาการจำแนกด้วยสายตาให้เด็กฝึกสังเกต ฝึกทำตามแบบต่อให้สมบูรณ์ 12. การอนุรักษ์ (Conservation) ช่วงวัย 5 ขวบขึ้นไป ครูอาจเริ่มสอนเรื่องการอนุรักษ์ ได้บ้าง โดยให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริง จุดมุ่งหมายของการสอนเรื่องนี้ก็คือให้เด็กมีความคิดรวบยอด เรื่องการอนุรักษ์ที่ว่าปริมาณของวัตถุจะยังคงที่ไม่ว่าจะย้ายที่หรือทำให้รูปร่างเปลี่ยนไปก็ตาม เยาวพา เดชะคุปต์(2542 : 87 – 88 ) ได้เสนอการสอนคณิตศาสตร์แนวใหม่และ ประเภทของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่ครูจัดประสบการณ์ให้กับเด็ก ดังนี้ 1. การจัดกลุ่มหรือเซต สิ่งที่ควรสอนได้แก่การจัดคู่ 1 : 1 การจับคู่สิ่งของการรวมกลุ่ม กลุ่มที่เท่ากัน และความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเลข 2. จำนวน 1 – 10 การฝึกนับ 1 – 10 จำนวนคู่จำนวนคี่ 3. ระบบจำนวนและชื่อของตัวเลข 1 = หนึ่ง 2 = สอง 4. ความสัมพันธ์ระหว่างเซตต่างๆ เช่น เซตรวม การแยกเซต ฯลฯ 5. สมบัติของคณิตศาสตร์จากการรวมกลุ่ม 6. ลำดับที่สำคัญและประโยคคณิตศาสตร์ได้แก่ ประโยคคณิตศาสตร์ที่แสดงถึงจำนวน ปริมาตรคุณภาพต่างๆ เช่น มาก – น้อย สูง – ต่ำ ฯลฯ 7. การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เด็กสามารถวิเคราะห์ปัญหาง่ายๆ ทางคณิตศาสตร์ ทั้งที่เป็นจำนวนและไม่เป็นจำนวน


19 8. การวัด ได้แก่ การวัดสิ่งของที่เป็นของเหลว สิ่งของ เงินตราอุณหภูมิรวมถึง มาตราส่วน และเครื่องมือในการวัด 9. รูปทรงเรขาคณิต ได้แก่การเปรียบเทียบ รูปร่างขนาด ระยะทาง เช่น รูปสิ่งของที่มี มิติต่างๆ จากการเล่นเกม และจากการศึกษาถึงสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว 10. สถิติและกราฟ ได้แก่ การศึกษาจากการบันทึกทำแผนภูมิการเปรียบเทียบต่างๆ สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์(2545 : 109) กล่าวว่า ประเภทของทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ประกอบด้วย 1. การรับรู้ด้วยประสารทสัมผัสทั้ง 5 2. การจำแนกเปรียบเทียบ 3. การจัดหมวดหมู่ 4. การเรียงลำดับ 5. การหาความสัมพันธ์ 6. การแก้ปัญหา 7. การรู้ค่าคำนวณ 8. การใช้ภาษา 9. ความคิดสร้างสรรค์ จากข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า ประเภทของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก ปฐมวัย หมายถึง การฝึกให้เด็กเกิดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์นั้น ควรจะต้องให้ครอบคลุมในเรื่อง ต่อไปนี้ คือ การใช้คำคุณศัพท์ที่แสดงจำนวน การเปรียบเทียบ การจัดกลุ่ม การเรียงลำดับ การนับ จำนวน การวัด อุณหภูมิน้ำหนัก รูปทรงต่างๆ การแบ่งค่าของเงิน มิติสัมพันธ์และเวลา 1.7 หลักการสอนคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย กุลยา ตันติผลาชีวะ (2549 : 39 – 40) กล่าวว่า การสอนให้เด็กปฐมวัยเรียนรู้ คณิตศาสตร์นั้น ครูต้องกำหนดจุดประสงค์และวางแผนการสอนที่จะทำให้เด็กได้ใช้วิธีการสังเกตซึม ซับสัมผัส โดยเฉพาะจากการแก้ปัญหาจริง ซึ่งสภาครูแห่งชาติจากประเทศสหรัฐอเมริกาให้ ข้อเสนอแนะหลักการสอนคณิตศาสตร์เด็กอายุ 3 – 6 ขวบไว้ 10 ประการ ดังนี้ 1. ส่งเสริมความสนใจคณิตศาสตร์ของเด็กด้วยการนำคณิตศาสตร์ที่เด็กสนใจนั้น เชื่อมสานไปกับโลกกายภาพและสังคมของเด็ก 2. จัดประสบการณ์ที่หลากหลายให้กับเด็กโดยสอดคล้องกับครอบครัว ภาษาพื้นฐาน วัฒนธรรม วิธีการเรียนของเด็กแต่ละคนและความรู้ของเด็กที่มี


20 3. ฐานหลักสูตรคณิตศาสตร์และการสอนต้องสอดคล้องกับพัฒนาการด้านปัญญา ภาษา ร่างกาย อารมณ์ สังคมของเด็ก 4. หลักสูตรและการสอนต้องเพิ่มความเข้มแข็งด้านการแก้ปัญหา กระบวนการใช้เหตุผล การนำเสนอ การสื่อสารและการเชื่อมแนวคิดคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย 5. หลักสูตรต้องสอดคล้องและบ่งชี้ข้อความรู้และแนวคิดสำคัญทางคณิตศาสตร์ 6. สนับสนุนให้เด็กมีแนวคิดสำคัญทางคณิตศาสตร์อย่างล้มลุกและยั่งยืน 7. บูรณาการคณิตศาสตร์เข้ากับกิจกรรมต่างๆ และนำกิจกรรมต่างๆ มาบูรณาการ คณิตศาสตร์ด้วย 8. จัดเวลา อุปกรณ์และครู ที่พร้อมสนับสนุนให้เด็กเล่น ในบรรยากาศที่สร้างให้เด็ก เรียนรู้แนวคิดคณิตศาสตร์ที่เด็กสนใจอย่างกระจ่าง 9. นำมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ วิธีการภาษา มาจัดประสบการณ์โดยกำหนดกลยุทธ์ การเรียนการสอนที่เหมาะสมกับพัฒนาการเด็ก 10. สนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กด้วยการประเมินความรู้ ทักษะ และความสามารถ ทาง คณิตศาสตร์ของเด็ก การจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยต้องเน้นเด็กเป็นสำคัญ กิจกรรมการเรียนรู้ต้องนำไปสู่การเรียนรู้คณิตศาสตร์ของเด็ก ทำให้เด็กชอบคิด สนุกกับการได้คิดค้น และตอบคำถาม รวมถึงการแก้ปัญหา ครูต้องสนองตอบความสนใจเรียนรู้ของเด็กให้ถูกต้อง จึงจะทำให้การเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ของเด็กเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปเป็นมโนทัศน์ คณิตศาสตร์ สำคัญที่เด็กปฐมวัยควรเรียนรู้ คู่มือกรอบมาตรฐานการเรียนรู้คณิตศาสตร์ปฐมวัย ตามหลักพุทธศักราช 2546 (2551 : 22 – 23) กล่าวว่า การจัดประสบการณ์การเรียนรู้คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย อายุ 3 – 5 ปี ควรจัดในกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการผ่านการเล่น เพื่อให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ และมีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ ครูผู้สอนหรือผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเลี้ยงดูและพัฒนาเด็ก ควรจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยคำนึงถึง ความเหมาะสม และความสอดคล้องกับวุฒิภาวะของเด็ก ซึ่งอาจดำเนินการตามหลักการและแนว ทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ดังนี้ 1. สร้างเสริมความสนใจในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามธรรมชาติของเด็ก และการสร้าง ความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ผ่านประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน 2. สร้างประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ โดยเชื่อมโยงจากพื้นฐาน ทางครอบครัว ภาษา วัฒนธรรมและชุมชน โดยเน้นการจัดเป็นรายบุคคล กลุ่มย่อยและในรูปแบบที่ ไม่เป็นทางการ ผ่านการเล่น การสำรวจ และการได้ลงมือปฏิบัติจริง


21 3. หลักสูตรและการจัดประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์ต้องให้ความสำคัญกับการส่งเสริม พัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญาไปพร้อมๆ กัน 4. หลักสูตรและการจัดประสบการณ์เน้นกระบวนการแก้ปัญหาและการให้เหตุผล รวมทั้งการนำเสนอ การสื่อสาร การเชื่อมโยง แนวความคิดต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ และการคิด สร้างสรรค์ 5. หลักสูตรและการจัดประสบการณ์ต้องเชื่อมโยงสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจ อย่างเป็นลำดับขั้นตอน โดยเริ่มต้นจากความเข้าใจพื้นฐาน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการ เรียนรู้ในลำดับที่ยากขึ้นไป 6. จัดโอกาสให้เด็กได้สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างลึกซึ้ง และฝังแน่นในแนวคิด หลักการและสาระสำคัญทางคณิตศาสตร์ 7. บูรณาการคณิตศาสตร์ในกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ และสอดแทรกกิจกรรมต่างๆ ใน การเรียนรู้คณิตศาสตร์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม 8. เสนอแนวคิด วิธีการ และการใช้ภาษาในการจัดประสบการณ์ ใช้สื่อการเรียนรู้ที่ หลากหลาย และใช้กลยุทธ์การสอนคณิตศาสตร์ที่เหมาะสม 9. สนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กโดยการพัฒนากระบวนการคิดและมีการประเมินผลการ เรียนรู้ในด้านความเข้าใจ และทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์อย่างต่อเนื่อง นิตยา ประพฤติกิจ (2541 : 19 – 24) กล่าวว่า หลักการสอนคณิตศาสตร์ไว้ดังนี้ 1. สอนให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กมองเห็น ความจำเป็นและประโยชน์ของสิ่งที่ครูกำลังสอน ดังนั้น การสอนคณิตศาสตร์แก่เด็กจะต้องสอดคล้อง กับกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กตระหนักถึงเรื่องคณิตศาสตร์ทีละน้อย และช่วยให้เด็กเข้าใจ เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ในขั้นต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้เด็กได้ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนกับครูและลง มือปฏิบัติด้วยตนเอง 2. เปิดโอกาสให้เด็กได้รับประสบการณ์ที่ทำให้ค้นพบคำตอบด้วยตนเอง เปิดโอกาสให้ เด็กได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายและเป็นไปตามสภาพ สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม มีโอกาสได้ลงมือ ปฏิบัติจริง ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้เด็กได้ค้นพบคำตอบด้วยตนเองพัฒนาความคิด และความคิดรวบ ยอดได้เองในที่สุด 3. มีเป้าหมายและมีการวางแผนที่ดีครูจะต้องมีการเตรียมการเพื่อให้เด็กได้ค่อยๆ พัฒนาการเรียนรู้ขึ้นเองและเป็นไปตามแนวทางที่ครูวางไว้ 4. เอาใจใส่เรื่องการเรียนรู้และลำดับขั้นการพัฒนาความคิดรวบยอดของเด็ก ครูต้องมี การเอาใจใส่เรื่องการเรียนรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะลำดับขั้นการพัฒนาความคิดรวบยอด ทักษะทางคณิตศาสตร์โดยคำนึงถึงหลักทฤษฎี


22 5. ใช้วิธีการจดบันทึกพฤติกรรม เพื่อใช้ในการวางแผนและจัดกิจกรรม การจดบันทึก ด้านทัศนคติทักษะและความรู้ความเข้าใจของเด็กในขณะทำกิจกรรมต่างๆ เป็นวิธิีการที่ทำให้ครู วางแผนและจัดกิจกรรมได้เหมาะสมกับเด็ก 6. ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของเด็ก เพื่อสอนประสบการณ์ใหม่ในสถานการณ์ใหม่ ประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์ของเด็ก อาจเกิดจากกิจกรรมเดิมที่เคยทำมาแล้วหรือเพิ่มเติมขึ้นอีกได้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องเดิมแต่อาจอยู่ในสถานการณ์ใหม่ 7. รู้จักการใช้สถานการณ์ขณะนั้นให้เป็นประโยชน์ครูสามารถใช้สถานการณ์ที่กำลัง เป็นอยู่และเห็นได้ในขณะนั้น มาทำให้เกิดการเรียนรู้ด้านจำนวนได้ 8. ใช้วิธีการสอดแทรกกับชีวิตจริงเพื่อสอนความคิดรวบยอดที่ยากการสอนความคิดรวบ ยอดเรื่องปริมาณ ขนาดและรูปร่างต่างๆ ต้องสอนแบบค่อยๆ สอดแทรกไปตามธรรมชาติให้ สถานการณ์ที่มีความหมายต่อเด็กอย่างแท้จริงให้เด็กได้ทั้งดูและจับต้อง ทดสอบความคิดของตนเอง ในบรรยากาศที่เป็นกันเอง 9. ใช้วิธีให้เด็กมีส่วนร่วมหรือปฏิบัติจริงเกี่ยวกับตัวเลข สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมล้วน มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาครูสามารถนำมาใช้ในกิจกรรมเกี่ยวกับตัวเลขได้ เพราะตามธรรมชาติ ของเด็กนั้นล้วนสนใจในเรื่องการวัดสิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่แล้ว รวมทั้งการจัดกิจกรรมการเล่นเกมที่เปิด โอกาสให้เด็กได้เข้าใจในเรื่องของตัวเลข 10. วางแผนส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ทั้งที่โรงเรียนและที่บ้านอย่างต่อเนื่อง การวางแผนการ สอนนั้น ครูควรวิเคราะห์และจดบันทึกด้วยว่ากิจกรรมใดที่ควรส่งเสริมให้มีที่บ้านและที่โรงเรียน โดยยึดหลักความพร้อมของเด็กเป็นรายบุคคลเป็นหลัก และมีการวางแผนร่วมกับผู้ปกครอง 11. บันทึกปัญหาการเรียนรู้ของเด็กอย่างสม่ำเสมอเพื่อแก้ไขและปรับปรุง การจดบันทึก อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ทราบว่ามีเด็กคนไหนยังไม่เข้าใจและต้องจัดกิจกรรมเพิ่มเติมอีก วาโร เพ็งสวัสดิ์(2542 : 59) กล่าวว่า การสอนคณิตศาสตร์มีดังนี้ 1. เพื่อให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกี่ยวกับโลกทางด้านกายภาพ ก่อนเข้าไปสู่โลกของการ คิดด้านนามธรรม 2. เพื่อให้มีการพัฒนาทักษะด้านคณิตศาสตร์เบื้องต้น อันได้แก่ การจัดหมวดหมู่ การเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ การจัดทำกราฟ การนับและการจัดการด้านคำนวณ การสังเกต และการเพิ่มขึ้นและลดลง 3. เพื่อขยายประสบการณ์เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ให้สอดคล้อง โดยเรียงลำดับจากง่ายไป หายาก 4. เพื่อฝึกทักษะเบื้องต้นในการคิดคำนวณ โดยส่งเสริมประสบการณ์เด็กในการ เปรียบเทียบรูปทรงต่างๆ บอกความแตกต่างของขนาด น้ำหนัก ระยะเวลา จำนวนของสิ่งต่างๆ ที่อยู่


23 รอบตัวเด็ก สามารถแยกหมวดหมู่ เรียงลำดับใหญ่ – เล็ก หรือสูง – ต่ำ ซึ่งทักษะเหล่านี้จะช่วยให้เด็ก เกิดความพร้อมที่จะคิดคำนวณในขั้นต่อๆ ไป จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า หลักการสอนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ต้องเน้น เด็กเป็นสำคัญ ครูต้องคำนึงถึงจุดประสงค์ในการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ เพื่อให้เด็กเกิด ความเข้าใจอย่างถ่องแท้และสามารถบูรณาการให้เข้ากับกิจกรรมอื่นๆ ได้และเรียนรู้อย่างมีความสุข 1.8 ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรที่เด็กปฐมวัยตองเรียน กระทรวงศึกษาธิการ (2540 : 32) กล่าวว่า กิจกรรมคณิตศาสตร์ไว้ในแนวการจัด ประสบการณ์ระดับก่อนประถมศึกษาไว้ว่า ควรมีวัสดุอุปกรณ์สื่อการเรียนที่เป็นรูปธรรมให้เด็กได้มี โอกาสสังเกต สัมผัส ทดลอง สำรวจ ค้นคว้า แก้ปัญหาด้วยตนเอง และมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่นๆ และผู้ใหญ่ ครูเป็นผู้จัดสภาพแวดล้อม เตรียมกิจกรรม จัดหาสื่อให้ คอยสังเกตพฤติกรรมเด็ก ตั้งคำถาม กระตุ้นให้เด็กคิด ให้ข้อเสนอแนะและให้ความช่วยเหลือ กุลยา ตันติผลาชิวะ (2547 : 158 - 159) กล่าวว่า พื้นฐานคณิตศาสตร์ที่เด็กปฐมวัย เรียนรู้มีอย่างน้อยทักษะ ดังนี้ 1. การบอกตำแหน่ง หมายถึง ความสามารถในการบอกตำแหน่งของสิ่งของในตำแหน่ง ต่างๆ บน - ล่าง ใน - นอก เหนือ - ใต้ ซ้าย - ขวา กลาง - หน้า - ข้างหลัง 2. การจำแนก หมายถึง ความสามารถในการสังเกต จำแนก เปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ในเรื่องปริมาณ ขนาด รูปร่าง สี และรูปทรง เป็นต้น 3. การนับ หมายถึง ความสามารถในการนับเลข 1 - 3 หรือ 1 - 10 หรือ 1 - 30 ตามอายุเด็ก 4. จำนวน หมายถึง ความสามารถในการเรียงลำดับมากไปน้อย หรือน้อยไปมาก ลำดับที่ 1 ลำดับที่ 2 5. การอ่านคำ หมายถึง การอ่านค่าเงินบาท เหรียญ ธนบัตร อ่านป้ายราคา การประเมิน เงิน การเพิ่มเป็นการรวมจำนวน รวมกลุ่มมากขึ้น การลด ได้แก่การแบ่ง การแยก การนำออกน้อยลง 6. การบอกเหตุผล หมายถึง การบอกความสัมพันธ์ของเหตุกับผลและผลกับเหตุได้ แผนการจัดประสบการณ์ชั้นอนุบาลของหน่วยศึกษานิเทศก์สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร (2543) ฉบับทดลอง ได้กำหนดจุดมุ่งหมาย เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสามารถพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ไว้ดังนี้ อนุบาลปที่1 1. สังเกต และจำแนกความเหมือน ความแตกต่าง ตามลักษณะรูปร่าง สิ่งที่สัมพันธ์กัน จำแนกคุณสมบัติโดยใช้ประสาทสัมผัส


24 2. เรียงลำดับขนาดใหญ่ - เล็ก เหตุการณ์ ความเข้มของสี 3. การฝึกทักษะการหาเหตุผล จำแนก เปรียบเทียบและทดลองค้นคว้าด้วยตนเอง 4. การเปรียบเทียบใกล้- ไกล หนัก - เบา จำนวนไม่เกิน 5 ร้อน - เย็น ใหญ่ - เล็ก 5. การนับปากเปล่า 1 - 20 6. รู้ค่าจำนวน 1 - 5 7. การจัดหมวดหมู่ตามประเภท 8. การรู้ตำแหน่งบน - ล่าง หน้า - หลัง ก่อน - หลัง 9. การรู้จักมาก – น้อย 10. การรู้จักรูปเรขาคณิต วงกลม สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม อนุบาลปที่2 1. การสังเกต และการจำแนกสิ่งของตามคุณลักษณะ สิ่งมีความสัมพันธ์ตามรูปร่าง จำแนกประเภท 2. เรียงลำดับเหตุการณ์ก่อน - หลัง หนัก - เบา 3. การฝึกทักษะการคิดหาเหตุผล การคิดหาความสัมพันธ์ของสิ่งของ การสังเกต และเสาะแสวงหาคำตอบด้วยตนเอง การลงความเห็น 4. การเปรียบเทียบจำนวนมาก - น้อย ระยะใกล้ - ไกล ขนาดและน้ำหนัก มีและไม่มี ร้อน - เย็น สั้น - ยาว หนา - บาง ใหญ่ - เล็ก 5. การนับปากเปล่า 1 - 50 6. รู้ค่าจำนวน 1 - 10 7. การสังเกตและทดลองค้นคว้าด้วยตนเอง และการฝึกทักษะการสังเกตเปรียบเทียบ และการจำแนกประเภทจากการปฏิบัติทดลอง 8. การนับเพิ่ม – ลดภายในจำนวน 1 - 10 9. การรู้จักรูปเรขาคณิต 10. การรู้ทิศทางซ้าย - ขวา 11. การรู้ตำแหน่ง ข้างใน - ข้างนอก บน - ล่าง 12. การรู้พื้นฐานการบวก 13. การรู้ความหมาย ลอย - จม 14. การรู้ความหมาย หนา - บาง 15. การรู้ทิศทาง ซ้าย - ขวา 16. การรู้ความหมาย สูง - ต่ำ


25 ศิราณี จันทร์บุตร (2562 : 29) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก ปฐมวัย ประกอบด้วย 1. การสังเกต 2. การจำแนก 3. การเปรียบเทียบ 4. การจัดกลุ่ม 5. การเรียงลำดับ 6. การบอกตำแหน่ง 7. การนับ 8. จำนวน 9. ขนาด 10. รูปทรง 11. การวัด 12. มิติสัมพันธ์ 13. เวลา สุพิชฌาย์ ทนทาน (2559 : 35) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก ปฐมวัย ประกอบด้วย 1. การสังเกต 2. การจำแนก 3. การเปรียบเทียบ 4. การนับจำนวน 5. การรู้จักค่าจำนวน 6. การเพิ่มและลดจำนวนมิติสัมพันธ์ (พื้นที่/ระยะ) 7. การเรียงลำดับ 8. การจัดหมวดหมู่ 9. รูปทรงเรขาคณิต 10. การหาความสัมพันธ์ 11. การแก้ปัญหา 12. การใช้ภาษา 13. การชั่ง ตวง วัด เวลา


26 สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ(2540 : 31) กล่าวว่า คณิตใน กิจกรรมประจำวันไว้ในแนวการจัดประสบการณ์ระดับก่อนประถมศึกษาไว้ดังนี้ 1. สิ่งต่างๆ รอบตัวเราสามารถแบ่งเป็นประเภท ชนิด ตามขนาด สี รูปร่าง 2. สามารถนับสิ่งต่างๆ ว่ามีจำนวนเท่าใด 3. เปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ตามขนาด จำนวน น้ำหนัก 4. สามารถจัดเรียงลำดับของตามขนาด ตำแหน่ง ลักษณะที่ตั้งได้ 5. สามารถเพิ่มลดสิ่งของออกจากจำนวน 6. เราใช้ตัวเลขในชีวิตประจำวัน เช่น เงิน โทรศัพท์ บ้านเลขที่ 7. สิ่งที่ช่วยเราในการวัดมีหลายอย่าง เช่น ไม้บรรทัด ถ้วยตวง ช้อนตวง บางอย่างเรา อาจใช้การคาดคะเนหรือกะประมาณได้ 8. ใช้เงินซื้อสิ่งต่างๆ อาหาร เสื้อผ้า 9. ใช้เวลาพูดถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น เมื่อวานนี้พรุ่งนี้วันนี้ตอนเช้า ตอนบ่าย ตอนเย็น 10. การนับปากเปล่า 1 – 30 11. การรู้ค่าจำนวน 1 – 10 จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า สาระทักษะทางพื้นฐานคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย นั้น ควรเน้นให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง จากเรื่องง่ายไปยาก จากรูปธรรมไปนามธรรม เด็กได้มีโอกาสสังเกต สัมผัส ทดลอง สำรวจ ค้นคว้า และแก้ปัญหา จากสภาพแวดล้อมในห้องเรียน และนอกห้องเรียน เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้อย่างมีความสุข และเป็นการขยายประสบการณ์ทาง คณิตศาสตร์ ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยมีครูเป็นผู้จัดกิจกรรมและคอยสังเกตดูแลให้ความช่วยเหลือเด็ก จัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัยความสามารถ และความแตกต่างระหว่างเด็กแต่ละคน ซึ่งหากเด็กในวัย นี้ได้รับ การส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์เป็นอย่างดียอมเป็นรากฐานของการเรียนรู้และ เข้าใจที่ดี ยอมเป็นรากฐานของการเรียนรู้ และเข้าใจที่ดีต่อคณิตศาสตร์ในระดับสูงต่อไป 1.9 การวัดและการประเมินผลทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย ณัฐนันท์ คัมภีร์ภัทร (ม.ป.ป. : 32) กล่าวว่า แนวทางในการวัดและประเมินทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ดังนี้ 1. ทักษะการสังเกต หมายถึง ความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์ โดยมีจุดประสงค์ที่จะหาข้อมูล โดยไม่ใส่ความคิดของผู้สังเกตลงไป


27 2. ทักษะการจำแนกประเภท หมายถึง ความสามารถในการแบ่งประเภทสิ่งของโดย หาเกณฑ์ หรือสร้างเกณฑ์ในการแบ่งขึ้น เกณฑ์ที่ใช้ในการจำแนกประเภทของสิ่งของมีอยู่ 3 อย่าง คือ ความเหมือน ความแตกต่าง และความสัมพันธ์ร่วม 3. ทักษะการเปรียบเทียบ หมายถึง กระบวนการที่เด็กสืบเสาะ และอาศัยความสัมพันธ์ ของสองสิ่ง บนพื้นฐานคุณสมบัติบางอย่างมีลักษณะเฉพาะอย่าง 4. การจัดหมวดหมู่ หมายถึง ความสามารถในการสังเกตความเหมือนและความแตกต่าง และคุณสมบัติอื่น แล้วจัดกลุ่มสิ่งของเป็นกลุ่มต่างๆ 5. การเรียงลำดับ หมายถึง ความสามารถในการจัดลำดับสิ่งของตามลักษณะต่างๆ 6. การวัด หมายถึง ความสามารถในการคาดคะเนและการกะปริมาณ ซึ่งการวัดสำหรับ เด็กปฐมวัย ได้แก่ อุณหภูมิ เวลา ระยะทาง ความยาว น้ำหนัก ปริมาณ สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ (2545 : 144 - 235) กล่าวว่า วิธีการในการวัดและประเมินเด็ก ปฐมวัย ดังนี้ 1. วิธีการวัดและประเมินผลแบบเป็นทางการ (Formal techniques) ได้แก่ การทดสอบชนิดต่างๆ ดังนี้ 1.1 แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น 1.1.1 แบบปฏิบัติจริง เป็นแบบทดสอบที่ให้ผู้สอบแสดงพฤติกรรมโดยการ กระทำ หรือลงมือทำจริง 1.1.2 แบบปากเปล่า เป็นการทดสอบที่อาศัยการซักถามเป็นรายบุคคล 1.1.3 แบบทดสอบวาดภาพเป็นคำตอบ 1.1.4 แบบเลือกตอบหลายตัวเลือก 1.1.5 แบบโยงจับคู่ 1.2 แบบทดสอบมาตรฐาน เป็นแบบทดสอบที่ได้รับการปรับปรุงและตรวจสอบ วินิจฉัยจนมีคุณภาพสูง สามารถใช้ได้กว้างขวาง 2. วิธีการวัดและประเมินผลแบบไม่เป็นทางการ (Informal techniques) ได้แก่ วิธีการ ประเมินแบบสื่อสารส่วนบุคคล ซึ่งมีรูปแบบเน้นการสังเกตพฤติกรรมการทำกิจกรรมของเด็กในด้าน การแสดงออก การซักถาม พูดคุย การปฏิบัติจริง วิธีการประเมินสภาพจริง และการประเมินด้วย พอตโฟลิโอ โดยใช้เทคนิคต่างๆ ดังนี้ 2.1 การสังเกต 2.2 การใช้การสนทนา 2.3 การสัมภาษณ์


28 2.4 การรวบรวมผลงานที่แสดงออกถึงความก้าวหน้าแต่ละด้านของเด็กเป็น รายบุคคล อรุณี เอี่ยมพงษ์ไพฑูรย์ (2546) กล่าวว่า วิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน พัฒนาการด้านคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย มีดังนี้ 1. การสังเกต (Observation) เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลอย่างง่ายๆ โดยสังเกตและ บันทึกพฤติกรรมของเด็กในขณะทำกิจกรรม ผู้บันทึกต้องมีจุดมุ่งหมายว่าจะสังเกตเด็กในเรื่องใด การสังเกตต้องกระทำโดยไม่ให้เด็กรู้ตัวว่ากำลังถูกสังเกตอยู่ เพื่อให้เด็กแสดงพฤติกรรมตามความเป็น จริง เป็นธรรมชาติของเด็กออกมา ครูควรสังเกตเด็กอย่างต่อเนื่องและจดบันทึกไว้เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ เป็นจริง เชื่อถือได้ การสังเกตและการบันทึกพัฒนาการเด็กสามารถบันทึกได้ 2 ลักษณะ คือ 1.1 แบบบันทึกพฤติกรรม ใช้บันทึกพฤติกรรมของเด็กตามจุดมุ่งหมายของครู ระบุวัน เวลาให้ชัดเจน บันทึกในรูปแบบของการบรรยายที่กะทัดรัด 1.2 แบบสำรวจรายการ ใช้บันทึกพฤติกรรมของเด็กตามรายการที่กำหนดไว้ บันทึกได้รวดเร็ว ง่าย ด้วยการทำเครื่องหมายในช่องพฤติกรรมที่แสดงออกมา 2. แบบประเมินค่า (Rating Scale) ใช้ในการประเมินพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกจะมี ส่วนของมาตราแสดงความมาก – น้อยของพฤติกรรม ผู้ใช้แบบประเมินค่าจะต้องพิจารณาเลือกให้ น้ำหนัก เปรียบเทียบให้ดีก่อนจะเลือกทำเครื่องหมายในช่องใด จะเห็นได้ว่าแบบประเมินค่าจะมี ลักษณะคล้ายแบบตรวจสอบรายการ แต่จะบอกคุณภาพระดับพฤติกรรมที่เด็กแสดงออก และระดับ นั้นจะมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน อาจใช้คำว่า ดีมาก ดีปานกลาง ต้องปรับปรุงก็ได้ 3. แบบทดสอบ (Test) ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนระดับปฐมวัยมุ่งเน้นให้เด็ก ได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ในการสำรวจค้นคว้าหาคำตอบ ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 กับสื่อที่เป็นของจริง ให้มากที่สุด การวัดและการประเมินการเรียนที่ใช้มากนอกเหนือจากการสังเกต คือ การใช้คำถามกับ เด็ก หรืออาจใช้แบบทดสอบปากเปล่า เพราะเด็กปฐมวัยยังอ่านหนังสือไม่ได้โดยครูควรปฏิบัติดังนี้ 3.1 สร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน น่าสนใจ และเป็นกันเอง 3.2 เตรียมแบบทดสอบไว้ล่วงหน้าว่าจะถามอะไร และถามอย่างไร แบบทดสอบ อาจจะเป็นรูปภาพหรือของจริง 3.3 ควรใช้วิธีนี้อย่างน้อยภาคเรียนละครั้ง เพื่อทราบผลการพัฒนาการด้าน สติปัญญาของเด็ก 3.4 การบันทึกการวัดผลใช้แบบการจัดอันดับคุณภาพ 4. แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) การประเมินด้วยการใช้แฟ้มสะสมผลงานหรือเรียกว่า พอตโฟลิโอ เป็นรูปแบบการประเมินที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน เป็นการรวบรวมข้อมูล และผลงาน ของเด็ก โดยเด็กเป็นผู้คัดเลือกผลงานเองหรือครูเป็นผู้ให้คำแนะนำอย่างเป็นระบบและมีจุดมุ่งหมาย


29 สามารถสะท้อนการเรียนรู้ของเด็กได้ดีในแต่ละช่วงเวลา ในการประเมินผลการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัยโดยใช้แฟ้มผลงานสามารถทำได้ โดยครูวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และให้เด็กร่วมคิดพิจารณาเลือกชิ้นงานที่เกี่ยวข้องกับทักษะด้านคณิตศาสตร์เพื่อรวบรวมจัดเก็บไว้ นอกเหนือจากชิ้นงานต่างๆ ที่จัดเก็บไว้แล้วควรจะต้องมีแบบบันทึก แบบสำรวจรายการ หรือแบบ ประเมินค่า เพื่อใช้ร่วมในการประเมินผลการเรียนรู้ของเด็ก ครูสามารถออกแบบการประเมินใน ลักษณะต่างๆ ได้โดยดูจากจุดประสงค์และพัฒนาการของเด็กเป็นพื้นฐาน 5. การประเมินสภาพจริง (Authentic Assessment) เด็กปฐมวัยสามารถเกิดการเรียนรู้ ได้ตลอดเวลาไม่จำกัดเฉพาะเวลาที่อยู่ในห้องเรียนเท่านั้น ครูต้องเป็นผู้จัดการและเปิดโอกาสให้เด็ก ได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ เมื่อรูปแบบการจัดการเรียนการสอนเปลี่ยนไป การประเมินผลการเรียนรู้ ต้องเปลี่ยนไปด้วย จะประเมินจากการสอนอย่างเดียวคงจะไม่เหมาะสม หากต้องหันมาสนใจ กับคุณภาพของงานหรือกิจกรรมที่เด็กได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองให้มากขึ้น หากครูเปลี่ยนบทบาทมา เป็นผู้อำนวยความสะดวกมากกว่าการเป็นผู้บอกความรู้แล้วเด็กจะมีโอกาสสร้างความรู้ด้วยตนเอง จะทำให้การประเมินตามสภาพจริงได้ผลที่ชัดเจนแน่นอนและเกิดประโยชน์สูงสุดกับตัวเด็ก วิธีการที่ ใช้ในการประเมินตามสภาพจริง ได้แก่การสังเกต การบันทึกพฤติกรรม การทดสอบ การสัมภาษณ์ การพูดคุย แฟ้มสะสมผลงาน ซึ่งเป็นการประเมินในด้านความรู้ ความคิด พฤติกรรม วิธีการปฏิบัติ รวมไปจนถึงผลของการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ของเด็ก จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า วิธีการวัดและประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของ เด็กปฐมวัยมีหลากหลายวิธี เนื่องจากการจัดกิจกรรมประกอบอาหารเป็นการจัดกิจกรรมที่เน้นให้เด็ก ได้ลงมือปฏิบัติจริงกับวัสดุอุปกรณ์ส่งเสริมให้เด็กได้ใช้ทักษะการรู้ค่าจำนวน การชั่งตวง และการ จำแนกเปรียบเทียบ และต้องมีกระบวนการวัดและประเมินควบคู่ไปกับการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัย จึงได้นำวิธีการใช้แบบประเมินเชิงปฏิบัติ หรือที่เรียกว่าแบบปฏิบัติจริงมาใช้ ซึ่งเป็นการสอบที่ให้ ผู้สอบแสดงพฤติกรรมโดยการกระทำหรือลงมือทำจริง โดยแบบทดสอบลักษณะนี้ความสำคัญอยู่ที่ การปฏิบัติ และวิธีการปฏิบัติ ดังนั้น การตรวจสอบผลการปฏิบัติ จึงต้องมีการกำหนดประเด็นมาเป็น วิธีวัดและประเมิน ซึ่งจะทำให้ทราบผลชัดเจนจากการแสดงออกทางพฤติกรรมตามสถานการณ์ที่ ผู้วิจัยได้กำหนดไว้ อีกทั้งแบบประเมินเชิงปฏิบัตินี้ ยังมีความรวดเร็วในการให้คะแนน และการใช้แบบ ประเมินเชิงปฏิบัติยังเป็นประโยชน์กับเด็กในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันอีกด้วย 1.10 งานวิจัยที่เกี่ยวของกับการเตรียมความพรอมทางคณิตศาสตร งานวิจัยในประเทศ ขนิษฐา สุยะเพียง (2558 : 82) ได้ศึกษาวิจัยเรื่องผลของการใช้เกมการศึกษาเพื่อพัฒนา ทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนอนุบาลจุน (บ้านบัวสถาน) สำนักงาน


30 เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดประสบการณ์ โดยใช้เกม การศึกษามีค่าประสิทธิภาพ อยู่ในระดับมาก และเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์โดยใช้เกม การศึกษามีคะแนนเฉลี่ยทักษะการคิดวิเคราะห์หลังเรียนอยู่ในระดับมาก ฉัตรมงคล สวนกัน (2556 : 108) ได้ศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยใช้เกมการศึกษาของเด็กปฐมวัย โรงเรียนบ้านเชียงเซา ผลการวิจัยพบว่า 1) เกมการศึกษาเพื่อ พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัยมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์อยู่ในระดับมาก 2) ทักษะการ คิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย หลังได้รับการจัดประสบการณ์ด้วยเกมการศึกษาสูงกว่าก่อนการจัด ประสบการณ์ที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยต่อเกมการศึกษา โดยภาพรวมอยู่ใน ระดับมาก นุจิรา เหล็กกล้า (2561 : 86) ได้ศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางด้าน คณิตศาสตร์โดยใช้เกมการศึกษาของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 โรงเรียนบ้านบางแก้ว โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการใช้เกม การศึกษาและศึกษาความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์ โดยใช้เกมการศึกษาของเด็กปฐมวัย จากเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 2 โรงเรียนบางแก้ว สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถด้านทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์หลังการจัดประสบการณ์ โดยใช้เกมการศึกษาสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 และ 2) ความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์ โดยใช้เกมการศึกษา โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ปณิชา มโนสิทธยากร (2553 : 66) ได้ศึกษาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ที่เล่นเกมการศึกษาเน้นเศษส่วนของรูปเรขาคณิต ผลการวิจัยพบว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ของเด็กปฐมวัย หลังการจัดกิจกรรมการเล่นเกมการศึกษาเน้นเศษส่วนของรูปเรขาคณิตมีสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และมีการเปลี่ยนแปลงความสามารถดังกล่าวจากระดับปาน กลางเป็นระดับดีทั้งโดยรวมและรายด้าน ลักษณา แก้วกอง (2559 : 61 - 64) ได้ศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ด้วยเกมการศึกษาของเด็กปฐมวัย โรงเรียนอนุบาลปราจีนบุรี ผลการวิจัยพบว่าแผนการจัด ประสบการณ์ ด้านความคิดสร้างสรรค์ด้วยเกมการศึกษามีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ และสามารถทำให้เด็กมีการพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น วรรณี วัจนสวัสดิ์ (2552 : 51) ได้ศึกษาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ด้วยกิจกรรมเกมการศึกษาลอตโต ผลการวิจัย พบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับกิจกรรมเกมการศึกษาลอตโต มีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01


31 วิจิตตรา จันทร์ศิริ (2559 : 9) ได้ศึกษาการพัฒนารูปแบบการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นสร้างความสนใจ 2) ขั้นวางแผน 3) ขั้นปฏิบัติกิจกรรม 4) ขั้นทบทวน 5) ขั้นนำเสนอ 6) ขั้นประเมินผลการเรียนรู้มีความเหมาะสม มากทุกด้าน โดยทุกประเด็นมีค่าเฉลี่ยความเหมาะสมระหว่าง 3.75 - 4.25 เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าการ เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เจตคติของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการจัดประสบการณ์การ เรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานอยู่ในระดับดี ศิริวรรณ บุญไชย (2557 : 88) ได้ศึกษาวิจัยเรื่องผลของกิจกรรมเกมการศึกษา และ กิจกรรมฝึกความพร้อมทางสติปัญญาในด้านการคิดแบบจัดประเภทแบบอันดับสัมพันธ์ และแบบอนุรักษ์ของเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ปีการศึกษา 2557 โรงเรียนบ้านกลางเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมฝึกความพร้อมทางการเรียน มีความสามารถทางสติปัญญาในด้านการคิดแบบจัดประเภทแบบอันดับสัมพันธ์และแบบอนุรักษ์ หลังการทดลองเพิ่มขึ้นจากก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญที่ .05 อารยา ระศร (2558 : 69 - 70) ได้ศึกษาวิจัยเรื่องผลการจัดประสบการณ์เพื่อส่งเสริม พัฒนาการด้านสติปัญญา โดยเกมการศึกษาตามแนวคิดพัฒนาการและการเรียนรู้ของสมอง ชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโสกน้ำขาว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายโสธร ผลการศึกษาค้นคว้า พบว่า แผนการจัดประสบการณ์การเพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา ชั้นอนุบาลปีที่ 2 โดยเกมการศึกษา ตามแนวคิดพัฒนาการและการเรียนรู้ของสมอง (Brain - based Learning) มีประสิทธิภาพในระดับมาก และการเรียนรู้ของสมอง (Brain - based Learning) มีคะแนน เฉลี่ยพัฒนาการด้านสติปัญญาหลังเรียนสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 งานวิจัยตางประเทศ คาร์ลตัน (Carton. 1990 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบความพร้อมทางการ อ่าน และคณิตศาสตร์ของเด็กเกรด 1 เกรด 2 และเกรด 3 โดยกลุ่มทดลองเป็นเด็กมาจากโครงการ พัฒนา พ่อ แม่ ลูก ในเวอร์จิเนีย และกลุ่มควบคุมไม่เคยผ่านอนุบาลเลยเป็นเด็กด้อยโอกาส ซึ่งนำมา อยู่ด้วยกันไม่ต่ำกว่า 40 วัน ทำการทดลองโดยครู ผลปรากฏว่าเด็กที่มาจากโครงการพัฒนาพ่อ แม่ ลูกจะได้รับการส่งเสริมที่ดีในเรื่องความพร้อมทางการอ่านและความพร้อมทางคณิตศาสตร์ บาร์โบซ่า (Barbosa, 2004 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาผลของการใช้เกมการศึกษา ในการสอนคณิตศาสตร์ให้กับเด็กก่อนวัยเรียนเกี่ยวกับตัวเลข จำนวนนับ และการคำนวณง่ายๆ


32 ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลองเด็กมีความเข้าใจและมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตัวเลขสูงกว่าก่อน การทดลอง มิเรียม (Miriam, 2012 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาผลของการจัดกิจกรรมเกม การศึกษา ในเด็กอายุ 5 - 6 ปี เกี่ยวกับพื้นที่ ระยะ รูปร่าง รูปทรง ผลการวิจัยพบว่าหลังการทดลอง เด็กมีความเข้าใจเรื่อง พื้นที่ ระยะ รูปร่าง รูปทรงสูงกว่าก่อนการทดลอง รูบิน และเมออน (Rubin and Maion, 2000 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาพัฒนาการทางการ เล่นเกมของเด็กด้านความสามารถในการแยก การจัดหมวดหมู่ การจัดประเภทของสิ่งต่างๆ และการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ผลการวิจัยพบว่า พัฒนาการทางการเล่นเกมของเด็กมี ความสัมพันธ์ในทางบวกคือ เด็กยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น และมีความสามารถในการแยก การจัด หมวดหมู่ การจัดประเภทของสิ่งต่างๆ สเตเบลอร์ (Stebler, et al. 2013 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาความสามารถทาง คณิตศาสตร์ของเด็กอนุบาลเรื่อง ปริมาณ จำนวน รูปร่าง ในเด็กอายุ 6 ปี โดยผ่านการเล่นเกม กระดาน ผลการวิจัยพบว่า เด็กกลุ่มทดลองมีความสามารถทางคณิตศาสตร์เรื่องปริมาณ จำนวน รูปร่าง หลังการทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม และเกมกระดานยังทำให้เด็กสามารถปรับตัว มีแรงจูงใจ และประสบความสำเร็จในการเล่นอีกด้วย 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของกับการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร 2.1 ความหมายของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร กรมวิชาการ (2546 : 37) กล่าวว่า การจัดกิจกรรมปฏิบัติการทดลองเป็นการสอน ที่ทำให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง เพราะเด็กได้ทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง ได้สังเกตเห็นการ เปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ตนเองทดลอง เป็นการฝึกทักษะการสังเกต การคิดแก้ปัญหา และส่งเสริมให้เด็ก มีความอยากรู้อยากเห็น และค้นพบข้อความรู้ด้วยตนเอง เช่น การประกอบอาหาร การทดลอง วิทยาศาสตร์อย่างง่ายๆ การเลี้ยงหนอนผีเสื้อ และการปลูกพืช ขนิษฐา บุนนาค (2561 : 1) กล่าวว่า การจัดกิจกรรมการประกอบอาหารสำหรับเด็ก ปฐมวัย หมายถึง เป็นกิจกรรมที่จะช่วยให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง และเรียนรู้การทำงานอย่างเป็น กระบวนการผ่านการทำอาหาร ช่วยให้เด็กรู้จักวางแผนในการจัดเตรียมวัตถุดิบที่หลากหลาย โดยเน้นการใช้กล้ามเนื้อมือและนิ้วมือในการลงมือปฏิบัติจริง จากการทำกิจกรรมประกอบอาหารตาม ขั้นตอนต่างๆ ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย ตลอดจนได้เรียนรู้และรู้จักอุปกรณ์ต่างๆ ในการ ประกอบอาหาร ช่วยให้เด็กเกิดความคิดรวบยอดและพัฒนาทักษะอย่างสมดุล ทั้งยังปลูกฝังให้เด็ก มีพฤติกรรมด้านสุขอนามัย และโภชนาการที่ดีอีกด้วย


33 ทำเนียบ เพียงตา (2557 : 8) กล่าวว่า กิจกรรมการประกอบอาหาร หมายถึง กิจกรรม ที่เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง เป็นการจัดกิจกรรมหรือประสบการณ์ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ลง มือทดลอง และปฏิบัติการทำอาหารแบบง่ายๆ ที่เหมาะกับวัยด้วยตนเองจากของจริง โดยใช้ประสาท สัมผัสทั้งห้าในการเรียนรู้เด็กได้เรียนรู้จากกระบวนการในการทำงาน รู้จักคิด รู้จักการวางแผนก่อน ลงมือกระทำ และได้ทำงานร่วมกับผู้อื่น วณิชชา สิทธิพล (2557 : 29) กล่าวว่า กิจกรรมการประกอบอาหาร เป็นกิจกรรมที่เปิด โอกาสให้เด็กลงมือกระทำด้วยตนเอง ตั้งแต่ขั้นตอนการทำแผน การปรุงอาหาร ตลอดจนการทำความ สะอาดซึ่งทำให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องอื่นๆ ด้วย สุพรพิศ ผลรักษา (2558 : 8) กล่าวว่า การจัดกิจกรรมการประกอบอาหาร หมายถึง การจัดกิจกรรมให้เด็กมีส่วนร่วมและลงมือปฏิบัติจริงในกระบวนการประกอบอาหาร โดยใช้ประสาท สัมผัสทั้งห้า โดยการมองเห็น การดมกลิ่น การฟังเสียง การชมรส และการให้สัมผัสอาหาร ได้เรียนรู้ ถึงส่วนผสมวัตถุดิบและอุปกรณ์ในการทำอาหาร เรียนรู้ถึงส่วนผสมวัตถุดิบและอุปกรณ์ในการ ทำอาหาร เรียนรู้กระบวนการทำงานร่วมกับผู้อื่น จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ความหมายของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร คือ กิจกรรมการประกอบอาหารที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือทำ รู้จักคิด วางแผนใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า เกิดกระบวนการทำงาน และพัฒนาเด็กได้ทั้งสี่ด้าน อีกทั้งยังเกิดความภาคภูมิใจในผลงานของตนเอง อีกด้วย 2.2 ความสําคัญของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร นิตยา ประพฤติกิจ (2539 : 41 - 42) กล่าวว่า การจัดประสบการณ์โดยการประกอบ อาหารมีส่วนช่วยให้เด็กเรียนรู้ในด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้ 1. ภาษา เด็กได้อภิปรายเกี่ยวกับการวางแผนร่วมกัน ได้ฟังและปฏิบัติตามวิธีทำ ได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ ได้อ่านสูตรและวิธีทำ 2. สังคมศึกษา เด็กได้เรียนรู้เกี่ยวกับกิจกรรมที่บ้าน ได้ทำงานเป็นกลุ่ม ได้เรียนรู้ว่า อาหารมาจากไหน และขนส่งมาได้อย่างไร 3. วิทยาศาสตร์ ได้เรียนรู้ว่าอาหารมาจากอะไรบ้าง และมีการเปลี่ยนรูปร่างอย่างไร 4. คณิตศาสตร์ ได้ชั่ง ตวง วัดเครื่องปรุง ได้เข้าใจเรื่องปริมาณและการซื้อขาย 5. สุขภาพและความปลอดภัย เด็กเข้าใจว่ามีอาหารหลายชนิดที่ช่วยให้ร่างกาย เจริญเติบโต เข้าใจว่าการทำอาหาร สามารถทำได้อย่างปลอดภัย เด็กได้ฝึกฝนเกี่ยวกับการสร้างสุข นิสัยที่ดี เช่น การล้างมือ การล้างภาชนะ อีกทั้งช่วยให้เด็กเกิดภาพพจน์ที่ดีเกี่ยวกับตนเอง เพราะได้ ทำในสิ่งที่มีคุณประโยชน์


34 วณิชชา สิทธิพล (2557 : 30) กล่าวว่า การจัดกิจกรรมการประกอบอาหาร เป็นกิจกรรม ที่ให้เด็กได้ลงมือทดลอง และปฏิบัติด้วยตนเองจากของจริง ได้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าในการเกิดการ เรียนรู้เด็กได้รู้จักกระบวนการทำงาน โดยเด็กได้คิดก่อนลงมือพร้อมกับนำไปสู่ผลลัพธ์ด้วยตัวของเด็ก เอง สุทธิพร ผลรักษา (2557 : 11) กล่าวว่า คุณประโยชน์ที่เด็กจะได้รับจากการมีส่วนร่วมใน การทำกิจกรรมการประกอบอาหารร่วมกับเพื่อน ครูและพ่อแม่ ทั้งในด้านการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ จากการสังเกตความเปลี่ยนแปลงของอาหารขณะประกอบอาหาร โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า การเรียนรู้คณิตศาสตร์จากการ ชั่ง ตวง วัด ปริมาตร เรียนรู้ภาษาจากการอภิปรายวางแผนร่วมกัน คำศัพท์จากชื่ออาหาร ผัก ผลไม้อุปกรณ์ต่างๆ การอ่านและการเขียนเมนูอาหาร ได้ฝึกความคิด จินตนาการ และได้พัฒนากล้ามเนื้อเล็กจากการลงมือปฏิบัติการประกอบอาหารในการ หยิบ จับ ล้าง หั่น ซอย สับ เช็ด ทำความสะอาด เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างประสบการณ์ในการทำงานร่วมกัน กับผู้อื่น รวมถึงการเรียนรู้เรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัยขณะประกอบอาหาร เด็กเกิดความ ภาคภูมิใจในตนเอง และเป็นการสร้างความรักและความผูกพันในครอบครัวได้อีกทางหนึ่ง สุปราณี งามหลอด (2557 : 31) กล่าวว่า ได้ทำการศึกษาการปั้นมีความสำคัญต่อเด็ก อย่างยิ่ง การปั้นจะช่วยให้เด็กมีประสบการณ์ มีความคิดจินตนาการที่หลากหลายและกว้างไกล นอกจากนี้เด็กยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับรูปทรงต่างๆ ผ่านการปั้น เด็กสามารถเปลี่ยนแปลงแนวความคิด ทางศิลปะของตนเอง เมื่อเด็กได้ลงมือปฏิบัติการปั้น และได้สัมผัสกับเนื้อแป้ง ทำให้เด็กได้ใช้ประสาท สัมผัสทั้ง 5 อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดการเพลิดเพลิน จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า คุณประโยชน์ที่เด็กจะได้รับจากการมีส่วนร่วมในการทำ กิจกรรมการประกอบอาหารร่วมกับเพื่อน ครู และพ่อแม่ ทั้งในด้านการเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากการ สังเกตความเปลี่ยนแปลงของอาหารขณะประกอบอาหารโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า เรียนรู้ภาษาจาก การอภิปรายวางแผนร่วมกัน 2.3 ขั้นตอนของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร ดนยา อาบวาร (2557 : 30) กล่าวว่า ขั้นตอนในการจัดประสบการณ์ประกอบอาหาร เริ่มตั้งแต่ขั้นการเตรียมงาน ปรึกษาหารือกันระหว่างครูกับเด็กจะทำอาหารอะไร วันไหน เพื่อจะได้ จัดเตรียม เครื่องมือ อุปกรณ์ในการประกอบอาหารให้พร้อม ในขั้นปฏิบัติให้เด็กวางแผนแบ่งงานกัน ทำ ครูแนะนำให้เด็กระมัดระวังการใช้อุปกรณ์ ดูแลความปลอดภัยในขณะที่เด็กทำกิจกรรม ให้เด็กลง มือประกอบอาหารด้วยตนเอง โดยครูคอยให้ความช่วยเหลือในโอกาสที่เหมาะสมหลังจากทำอาหาร เสร็จแล้ว เด็กเก็บอุปกรณ์ไปล้าง และทำความสะอาดสถานที่ สำหรับในขั้นสรุปให้เด็กเล่า ประสบการณ์ในการประกอบอาหาร โดยครูกระตุ้นให้เด็กแสดงความคิดเห็นจากการทำงานร่วมกัน


35 วณิชชา สิทธิพล (2557 : 34) กล่าวว่า การจัดประสบการณ์การประกอบอาหาร เริ่มตั้งแต่การวางแผน การเตรียมส่วนประกอบ การลงมือประกอบอาหาร การทำความสะอาด ทำให้เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย สุพรพิศ ผลรักษา (2557 : 13) กล่าวว่า กำหนดขั้นตอนในการจัดกิจกรรมการประกอบ อาหาร เป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นการเตรียมงาน 1.1 ระดมความคิด เรื่องวัตถุดิบและอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบอาหาร 1.2 ทำแผนภูมิรายการอาหารและขั้นตอนการทำร่วมกัน 1.3 แบ่งกลุ่มเด็กเป็น 4 กลุ่มๆ ละ 4 - 5 คน 1.4 ติดต่อขอความร่วมมือจากผู้ปกครองในการจัดเตรียมสิ่งที่จะนำมาประกอบ อาหาร เตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์ในการประกอบอาหาร ตลอดจนการมาเป็นพี่เลี้ยงดูแลเด็กในการ ประกอบอาหาร 2. ขั้นปฏิบัติ 2.1 การลงมือประกอบอาหาร 2.1.1 ติดแผนภูมิภาพ และขั้นตอนการประกอบอาหารให้เด็กเห็นชัดเจน 2.1.2 วางแผน และจัดแบ่งงานให้เหมาะสมกับความสามารถของเด็ก 2.1.3 จัดวางอุปกรณ์ทุกอย่างให้เด็กเห็นตามขั้นตอนการทำ 2.1.4 แนะนำขั้นตอนในการทำพร้อมกับแนะนำวิธีการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ข้อควรระวังในการใช้และความปลอดภัยในการทำกิจกรรม 2.1.5 ให้เด็กได้ล้างมือให้ละอาดก่อนเริ่มประกอบอาหาร 2.2 ขณะประกอบอาหาร 2.2.1 ให้เด็กลงมือปฏิบัติตามขั้นตอนไปพร้อมๆ กัน โดยครูให้โอกาสทั้ง ทางด้านอุปกรณ์และเวลา และกระตุ้นให้ใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายๆ อย่าง รวมกัน 2.2.2 ใช้คำถามปลายเปิด กระตุ้นให้เด็กได้หัดสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลง อาหารในขณะสาธิต เช่น สี กลิ่น รส ความข้น ใส รูปร่าง ลักษณะที่เปลี่ยนไป และเปิดโอกาสให้เด็ก ได้ฟัง ดู ดม และสัมผัสด้วยความระมัดระวัง 2.2.3 ฝึกให้เด็กรู้จักการรอคอย รู้จักมารยาทในการทำงานร่วมกัน 2.2.4 หลังจากประกออบอาหารเสร็จเรียบร้อยตามขั้นตอนให้เด็กแบ่ง หน้าที่ในการทำงาน เช่น จัดเก็บสิ่งของที่ใช้แล้วเข้าที่ เก็บโต๊ะ ทำความสะอาดโต๊ะ เก็บถ้วยชาม แก้วน้ำ และทำความสะอาดภาชนะ


36 3. ขั้นสรุปกิจกรรม 3.1 สนทนาถึงการเปลี่ยนแปลงของอาการ เช่น รูปร่าง สี กลิ่นรสชาติ ลักษณะที่ เปลี่ยนไป เป็นต้น 3.2 สนทนา พูดคุยกับเด็กข้อที่เกิดความสงสัยหรือแก้ปัญหา 3.3 ช่วยแนะนำส่วนที่ควรเรียนรู้จากกิจกรรม 3.4 กระตุ้นให้เด็กแสดงความคิดจากการร่วมกิจกรรม จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ขั้นตอนในการจัดกิจกรรมการประกอบอาหาร มี 3 ขั้นตอน ซึ่งมีรายละเอียดดำเนินกิจกรรมประกอบอาหาร ดังนี้ 1. ขั้นนำ สนทนากับเด็กกับการจัดกิจกรรมการประกอบอาหาร นำอาหารจริงหรือภาพ อาหารมาให้เด็กดู สร้างข้อตกลงเบื้องต้นถึงข้อควรปฏิบัติในการทำกิจกรรม 2. ขั้นสอน ครูแนะนำส่วนผสมและอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบอาหาร สนทนากับเด็ก ถึงขั้นตอนการทำอาหาร จัดวางอุปกรณ์ตามขั้นตอนการประกอบอาหาร แนะนำส่วนผสมและ อุปกรณ์ ครูสาธิตการทำตามขั้นตอน แบ่งเด็กออกเป็น 3 กลุ่มๆ ละ 5 คน เปิดโอกาสให้เด็กทุกคนได้ ลงมือทำผ่านการทำงานเป็นกลุ่ม ครูคอยสังเกตพฤติกรรม เมื่อประกอบอาหารเสร็จ เด็กและครู ช่วยกันเก็บอุปกรณ์ และทำความสะอาดสถานที่ให้เรียบร้อย 3. ขั้นสรุป เด็กเล่าประสบการณ์ในการทำอาหาร สนทนา พูดคุยกับเด็กในข้อที่เกิด ความสงสัยหรือปัญหาที่พบ ช่วยแนะนำสิ่งที่ควรรู้จากกิจกรรม ชมเชยและให้กำลังใจเด็กที่ช่วยเหลือ เพื่อน 2.4 บทบาทครูในการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร แจ็คแมน (Jackman, 1997 : 191 - 192) กล่าวว่า บทบาทครูในการจัดประสบการณ์ โดยการประกอบอาหาร ดังนี้ 1. วางแผนการจัดประสบการณ์การประกอบอาหาร 2. หาข้อมูลว่าเด็กแพ้อาหารประเภทใด 3. หาข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อและครอบครัวเกี่ยวกับอาหาร เช่น อาหารประเภทใด รับประทานได้ อาหารประเภทใดรับประทานไม่ได้ 4. บูรณาการจัดประสบการณ์การประกอบอาหารให้เข้ากับเนื้อหาในหน่วยการเรียน 5. อธิบายข้อจำกัดและบทบาทของเด็ก เช่น ล้างมือด้วยสบู่และน้ำก่อนและหลังการ เตรียมอาหารและให้เด็กช่วยกันตั้งกฎเกณฑ์ในขณะประกอบอาหาร 6. ในเด็กเล็กให้เด็กปฏิบัติง่ายๆ เช่น ล้างผัก - ผลไม้ หั่นผัก - ผลไม้ ผสมส่วนประกอบ เข้าด้วยกันแล้วชิม เพื่อให้เด็กรู้สึกว่าตนเองประสบผลสำเร็จโดยไม่ต้องลงมือประกอบอาหาร


37 7. ครูปฏิสัมพันธ์กับเด็ก ให้ข้อสรุปที่ถูกต้องเกี่ยวกับอาหาร การกะประมาณ อุปกรณ์ และกระบวนการต่างๆ พูดซ้ำๆ เพื่ออธิบายให้เด็กฟัง เด็กจะได้เกิดการเรียนรู้ทักษะทางภาษา 8. อภิปรายเกี่ยวกับอาหารร่วมกับเด็ก เช่น กลิ่นของอาหาร ส่วนผสม รสชาติ รูปร่าง เป็นต้น 9. มีเวลาเพียงพอในการประกอบอาหาร เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ทั้งจากระบวนการใน การทำงานและผลของงาน 10. ในเด็กโตครูอธิบายลำดับขั้นการเจริญเติบโตของอาหาร การเก็บเกี่ยว การบรรจุ การขนส่ง ร้านค้าหรือตลาด การย้าย การขนส่งไปยังบ้าน การประกอบอาหารและการเสริฟ ครูมี เวลาเพียงพอที่จะตอบคำถามของเด็ก ให้เด็กได้ทบทวนสิ่งที่เรียนรู้ด้วยวิธีที่หลากหลาย เช่น เล่น เกมลอตโต เกมจับคู่ อ่านหนังสือ สร้างหนังสือ ทัศนศึกษา จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า บทบาทครูในการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์การ ประกอบอาหาร ครูจะต้องวางแผนการจัดประสบการณ์ ทราบข้อมูลเกี่ยวกับเด็กแต่ละคนว่าแพ้ อาหารหรือไม่ สามารถรับประทานอาหารประเภทใดได้ให้โอกาสเด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง ให้เวลา อย่างพอเพียงในการรับประทานอาหาร และในขณะเด็กประกอบอาหารครูมีปฏิสัมพันธ์กับเด็ก กระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้ 2.5 ขอเสนอแนะและขอควรระวังในการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร นิตยา ประพฤติกิจ (2539 : 40 - 41) กล่าวว่า ในการจัดประสบการณ์การประกอบ อาหาร มีสิ่งที่ครูจะต้องคำนึงถึง ดังนี้ 1. เลือกสูตรง่ายๆ ที่เด็กสามารถปฏิบัติตามได้โดยดูจากรูปภาพ 2. คอยดูแลอย่างสม่ำเสมอ และพร้อมที่จะให้คำแนะนำ 3. ฝึกฝนและดูแลอย่างใกล้ชิดเมื่อใช้เตาและของร้อน ถ้าไม่สะดวกครูอาจทำเองเมื่อถึง ขั้นตอนนี้ 4. สนทนาเกี่ยวกับการปฏิบัติที่ถูกต้อง และการป้องกันอันตราย 5. ฝึกให้เด็กมีนิสัยที่ถูกสุขลักษณะ นั่นคือการล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังทำอาหาร และภาชนะต้องสะอาด 6. การทำอาหารต้องสัมพันธ์กับเนื้อเรื่องที่กำลังสอนอยู่ เช่น สุขภาพอนามัย วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา และวันเทศกาล 7. วาดรูปภาพเครื่องปรุงบนกระดาษชาร์ท เพื่อให้เด็กได้ดูและตรวจสอบ 8. ให้เด็กได้รู้จักเครื่องชั่ง ตวง วัด ก่อนปฏิบัติจริง เช่น ให้รู้จักใช้ช้อนตวง ถ้วยตวง โดยให้ตวงแป้งหรือเม็ดทรายละเอียดก่อน


38 9. พยายามเลือกการทำอาหารที่ง่ายๆ เพื่อให้เด็กสามารถทำได้เอง ได้รับความสำเร็จ ภาคภูมิใจ และพึงพอใจในประสบการณ์ที่ได้รับ 10. ให้เวลาเด็กอย่างพอเพียงในการรับประทานอาหาร 11. ควรให้เด็กทั้งห้องทำอาหารพร้อมๆ กัน แต่ผลัดเปลี่ยนกันมาทำจนกระทั่งทุกคน ได้ทำอาหาร ซึ่งอาจเป็นขั้นตอนใดก็ได้ ดาห์ล และบรูเวอร์ (Dahl. 1982: 82 - 83, Brewer, 1995 : 396 - 397) กล่าวว่า ในการจัดประสบการณ์การประกอบอาหารว่ามีข้อเสนอแนะและข้อควรระวัง ดังนี้ 1. เลือกประกอบอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีวิธีปรุงอาหารง่ายๆ และ ส่วนประกอบของอาหารหาได้ง่าย มีในท้องถิ่น 2. วุฒิภาวะและความสามารถของเด็ก อาจให้เด็กทำเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มเด็ก 3. คำนึงถึงความปลอดภัยของเด็ก เช่น การใช้มีดหรือให้เด็กอยู่ห่างจากแหล่งที่ให้ความ ร้อน 4. ระมัดระวังในเรื่องความสะอาด ให้เด็กล้างมือก่อนและหลังการประกอบอาหาร 5. ให้เด็กลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง เด็กมีอิสระในการทำงาน และแสดงความ คิดเห็น 6. เลือกหาวิธีการปรุงอาหารที่มีขั้นตอนง่ายๆ จากมารดา ผู้ปกครองหรือจากหนังสือ ต่างๆ พร พันธ์โอสถ (2543 : 32 - 33) กล่าวว่า ข้อที่พึงตระหนักในการดำเนินกิจกรรมการ ประกอบอาหาร มีดังนี้ 1. เด็กควรมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะเป็นการพัฒนาความคิด การมองสิ่งต่างๆ อย่างสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน 2. เด็กควรจะมีส่วนร่วมในการทำอาหารร่วมกับครูไม่ใช่เป็นเพียงผู้ดู 3. ถ้าสามารถทำได้ ไม่ควรใช้ส่วนผสมของอาหารสำเร็จรูป เช่น ไม่ควรใช้กะทะสำเร็จรูป หรือผลไม้กระป๋อง 4. ส่วนประกอบของอาหารบางอย่างซึ่งต้องใช้เวลาในการตระเตรียม สามารถนำมาทำ ล่วงหน้าในระหว่างกิจกรรมเล่นสร้างสรรค์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (2535 : 8) กล่าวว่า ในการจัดประสบการณ์ การประกอบอาหาร มีสิ่งที่ครูจะต้องคำนึงถึง ดังนี้ 1. คำนึงถึงความสะอาด ให้เด็กล้างมือก่อนและหลังการทำอาหาร 2. คำนึงถึงเวลา


39 3. คำนึงถึงอันตรายและความปลอดภัย กรณีของมีคม ครูพยายามเลือกมีดที่ไม่คมมาก นัก และเลือกมีดที่มีขนาดเหมาะกับมือเด็ก ครูต้องใกล้ชิดกลุ่มที่ใช้อุปกรณ์ที่มีอันตราย จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า การจัดประสบการณ์โดยการประกอบอาหาร มีข้อเสนอแนะและข้อควรระวังในเรื่องของความสะอาด ความปลอดภัย เลือกประกอบอาหารที่มี คุณค่าทางโภชนาการ มีวิธีการปรุงง่ายๆ เหมาะกับวัยและความสามารถของเด็ก ส่วนประกอบของ อาหารหาได้ง่าย มีในท้องถิ่นและที่สำคัญคือ ให้เด็กลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง 2.6 ประโยชนของการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร ยุพิน พิพิธกุล (2523 : 88 - 89) กล่าวว่า ประโยชน์ของการจัดประสบการณ์แบบ ปฏิบัติการทดลองประกอบอาหาร ไว้ดังนี้ 1. นักเรียนสนใจ เพราะได้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง 2. การจัดประสบการณ์แบบปฏิบัติการยึดหลักจิตวิทยาสองประการ คือ การเรียนจาก รูปธรรม และการเรียนโดยการกระทำ 3. นักเรียนเข้าใจเนื้อหาวิชาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และสามารถค้นพบความจริงด้วยตัวของเขา เอง 4. นักเรียนมีอิสระในการทำงาน และมีพัฒนาการเป็นรายบุคคล ทำให้เกิดความเชื่อมั่น ในตนเอง วาศิล (นามแฝง) (2543 : 27 – 30) กล่าวว่า การจัดกิจกรรมการประกอบอาหารทำให้ เด็กสามารถเรียนรู้ในด้านต่างๆ ดังนี้ 1. ด้านร่างกาย ได้เคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายขณะทำกิจกรรมได้พัฒนา กล้ามเนื้อเล็ก เช่น ในขณะหั่นผัก 2. ด้านอารมณ์ เด็กๆ มีความสุขขณะที่ได้ลงมือทำกิจกรรมด้วยตนเอง รู้จักรอคอย เช่น คอยอาหารสุก 3. ด้านสังคม เมื่อทำอาหารร่วมกับเพื่อนก็ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือ ร่วมมือกัน 4. ด้านสติปัญญา เด็กจะได้ความรู้ครอบคลุมเกือบทุกวิชา ไม่ว่าจะเป็น 4.1 คณิตศาสตร์ ได้จากการนับจำนวน การตวงสิ่งต่างๆ ที่นำมาทานอาหาร เช่น น้ำปลา 2 ช้อนชา ไข่ 5 ฟอง น้ำตาลทราย 3 ช้อนชา ฯลฯ หรือการแบ่งครึ่งแตงกวา หั่นมะเขือเทศ เป็น 2 ส่วน แบ่งอีกครั้งเป็น 4 ส่วน ฯลฯ 4.2 วิทยาศาสตร์ ได้ดูการเปลี่ยนสถานะของสสาร เช่น น้ำตาลทรายละลายในน้ำ ร้อน น้ำเมื่อถูกความร้อนจะมีไอลอยขึ้นมา เนื้อดิบเมื่อมีการถูกความร้อนจะเปลี่ยนสี เช่น กุ้ง กลายเป็นสีส้ม เปลี่ยนกลิ่นจากคาวกลายเป็นกลิ่นหอม ชวนทาน ฯลฯ โดยที่ครูต้องคอยตั้งคำถาม


40 ให้เด็กหัดสังเกตด้วยภาษาไทย นอกจากจะได้เรียนรู้คำศัพท์เป็นชื่อของส่วนประกอบของอาหาร แล้วเด็กยังได้พูดคุยโต้ตอบกับครู หรือพูดคุยแสดงความคิดเห็นกับเพื่อนๆ ตลอดเวลาที่ทำกิจกรรม อีกทั้งเด็กยังได้เห็นและได้อ่านป้ายสวนผสมที่ครูติดไว้ ซึ่งทำให้เด็กๆ เข้าใจและเห็นความสำคัญของ การอ่านอีกด้วย 4.3 ภาษาไทย นอกจากจะเรียนรู้คำศัพท์ที่เป็นชื่อของส่วนประกอบของอาหาร แล้วเด็กยังได้พูดคุยโต้ตอบกับครู หรือพูดคุยแสดงความคิดเห็นกับเพื่อนๆ ตลอดเวลาทำกิจกรรม อีกทั้งยังได้เห็นได้อ่านป้ายส่วนผสมที่คุณครูติดไว้ ซึ่งทำให้เด็กเข้าใจ และเห็นความสำคัญของการอ่าน นอกจากนี้เด็กได้เรียนรู้สีต่างๆ เช่น แครอตสีส้ม แตงกวาสีเขียว หอมหัวใหญ่สีขาว น้ำมันสีเหลือง ได้เปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ที่ได้สัมผัส ได้ชิม เช่น จืด-เค็ม, เปรี้ยว-หวาน, เหนียว-เปื่อย, เย็น-ร้อน, นิ่มแข็ง ฯลฯ รวมทั้งยังรู้จักระเบียบวินัย เช่น รู้จักกวาด ล้างทำความสะอาด เก็บอุปกรณ์ข้าวของ เครื่องใช้ต่างๆ ที่นำออกมาใช้หลังทำอาหารเสร็จด้วย จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมประกอบอาหารจะช่วยส่งเสริมให้เด็กได้ เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง เปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือกระทำกับวัสดุอุปกรณ์ ได้พัฒนาทักษะทาง คณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นวิธีที่สอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กปฐมวัยที่เรียนรู้ด้วยการกระทำ สามารถ ค้นพบความจริงด้วยตนเอง ทำให้เด็กรู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่นและเกิดความสนุกสนาน 2.7 การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุม การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม หมายถึง การที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปทำ กิจกรรมหรือทำงานร่วมกัน เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ต้องการ การประกอบอาหารแบบกลุ่มนั้นจะ ก่อให้เกิดความเจริญงอกงามต่อมนุษย์ทั้งในส่วนตัวและส่วนรวม ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ และเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้มนุษย์นั้นประสบความสำเร็จในการทำงาน มีความก้าวหน้าใน อาชีพและประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต ลักษณะของการทำกิจกรรมร่วมกันของเด็กเป็นการ ร่วมกันทำงานหรือทำกิจกรรมโดยมีการวางแผนทำงาน คิดสนทนาแก้ปัญหาร่วมกัน ไตร่ตรองปัญหา ที่เกิดขึ้น มีการช่วยเหลือกัน มีน้ำใจยกย่องผู้อื่น เป็นผู้นำ รับผิดชอบร่วมกันได้ เพื่อให้กลุ่มประสบ ความสำเร็จในงานที่ทำ ซึ่งการส่งเสริมให้มีการทำงานร่วมกันแบบกลุ่มนั้นทำได้โดยให้เด็กได้เล่นหรือ ทำงานร่วมกันในกลุ่มย่อย โดยครูกระตุ้น สนับสนุน และเสริมแรงให้เด็กร่วมมือกัน ให้เด็กวาง แผนการทำกิจกรรมร่วมกัน เรียนรู้ความคิดผู้อื่น รู้จักแก้ปัญหาและทบทวนพฤติกรรมที่ได้กระทำ


41 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวของกับการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร งานวิจัยในประเทศ ชมพูนุช จันทรางกูร (2549 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษา ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารประเภทขนมไทย ผลการวิจัยพบว่า ทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยหลังการจัดกิจกรรมการทำอาหารประเภทขนมไทย โดยรวม อยู่ในระดับดี จำแนกรายด้านอยู่ในระดับดี 2 ด้าน คือ ด้านการจำแนกเปรียบเทียบ และด้านการจัด หมวดหมู่ และพอใช้ 2 ด้าน คือ ด้านการเรียงลำดับ และด้านการวัด และเมื่อเปรียบเทียบกับก่อน ทดลองพบว่าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ณัฐาวดี ชาญกล้า (2560 : 30) ได้ทำการศึกษา การจัดกิจกรรมการประกอบอาหาร พบว่า หลังการได้รับการใช้ชุดกิจกรรมการประกอบอาหาร สูงกว่าก่อนการได้รับการใช้ชุดกิจกรรม การประกอบอาหาร เพราะว่านักเรียนได้ใช้กล้ามเนื้อมือ นิ้วมือ และการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือ กับตา นักเรียนจึงมีการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กมากขึ้น โดยความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก หลังการใช้กิจกรรมการประกอบอาหาร มีความสามารถในระดับดีมาก มณทิพย์ ศรีวิเชียรอำไพ (2550 : บทคัดย่อ) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบพฤติกรรมการรับประทานผักของเด็กปฐมวัยก่อนและระหว่างได้รับการจัดกิจกรรม ประกอบอาหาร (2) ศึกษาความคงทนของพฤติกรรมการรับประทานผักของเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กปฐมวัย อายุระหว่าง 5 - 6 ปี ที่กำลังเรียนอยู่ในชั้นปฐมวัยปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 ในโรงเรียนเทศบาล 3 (บ้านนาตาล่วง) จังหวัดตรัง จำนวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแผนการ จัดประสบการณ์ การประกอบอาหารสำหรับเด็กปฐมวัย และแบบสังเกตการจัดประสบการณ์ ประกอบอาหารที่มีต่อความชอบบริโภคผักของเด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย ผลการวิจัยพบว่า (1) พฤติกรรมการรับประทานผักระหว่างได้รับ การจัดกิจกรรมเพิ่มขึ้น มากกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารและ (2) พฤติกรรมการ รับประทานผักยังคงทนอยู่ หลังจากยุติการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร มารุตร์ ฮวบจันทร์ (2559 : 108) ได้ทำการศึกษาผลของการเล่านิทานและกิจกรรมการ ประกอบอาหารที่มีต่อความรู้ ผลการวิจัยพบว่า คะแนนจากแบบวัดความรู้เกี่ยวกับการบริโภคผักของ เด็กปฐมวัยหลังการทดลองของกลุ่มทดลอง มีคะแนนสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .001 และการบริโภคผักของเด็กปฐมวัยหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง นอกจากนี้ยัง พบว่า เด็กปฐมวัยมีความตั้งใจ และมีความสนใจในการร่วมกิจกรรมประกอบอาหาร รวมทั้งเด็ก ปฐมวัยแสดงสีหน้าท่าทางในการรับประทาน อาหารที่มีผักเป็นส่วนประกอบอย่างมีความสุข ซึ่งแสดง ให้เห็นว่ากิจกรรมการเล่านิทานและการประกอบอาหารมีผลต่อพัฒนาการ ด้านสติปัญญาด้านจิตพิสัย และทักษะพิสัยของเด็กปฐมวัยและการบริโภคผักของเด็กปฐมวัย


42 ศรินยา ทรัพย์วารี (2552 : บทคัดย่อ) ได้ทำการจัดกิจกรรมประกอบอาหารที่มีต่อทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ผลการศึกษาพบว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็ก ปฐมวัยหลังการจัดกิจกรรมการประกอบอาหาร จำแนกเป็นรายด้านอยู่ในระดับดีทั้ง 4 ด้าน คือ ทักษะด้านการจำแนกเปรียบเทียบมีคะแนนเฉลี่ย 3.80 ทักษะด้านการจัดหมวดหมู่มีคะแนนเฉลี่ย 4.40 ทักษะด้านการเรียงลำดับมีคะแนนเฉลี่ย 4.47 ทักษะด้านการรู้จำนวนมีคะแนนเฉลี่ย 4.73 และ เมื่อเปรียบเทียบผลระหว่างก่อนและหลังการทดลอง พบว่าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สะใบ แพรวมวงศ์(2559: 6) ได้ทำการศึกษาการจัดประสบการณ์อาหารได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์ตรง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยโดยคำนึงถึงพัฒนาการและ ความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเปิดโอกาสให้เด็กได้เป็นผู้ลงมือกระทำกับวัสดุอุปกรณ์จริงที่ หลากหลาย เกิดการค้นพบด้วยตนเอง โดยเน้นให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ การมองเห็น การดมกลิ่น การชิมรส การฟัง และการได้สัมผัสจับต้องอย่างแท้จริงภายใต้การดูแลและนำจากครู อรพร ทับทิมศรี (2554 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เกี่ยวกับ การประกอบอาหารไทยโบราณที่มีต่อสัมพันธภาพทางสังคมของเด็กปฐมวัย ผลการวิจัยพบว่า สัมพันธภาพทางสังคมของเด็กปฐมวัยหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เกี่ยวกับการประกอบ อาหารไทยโบราณสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสัมพันธภาพทางสังคมหลังการ ทดลองมีการเปลี่ยนแปลงทุกด้านและโดยรวมด้านการแบ่งปันมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย -.80 คะแนน ซึ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p<.01 (t--16.42, sig=.00) ด้านการ ช่วยเหลือมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย -.60 คะแนน ซึ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ p<.01 (t=-7.54, sig=.00) ด้านความร่วมมือมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย -.68 คะแนน ซึ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p<.01 (t=-9.60, sig=.00) ด้านการทำงานเป็นกลุ่มมี การเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย -.72 คะแนน ซึ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p<.01 (t=-10.24, sig=.00) และสัมพันธภาพทางสังคมโดยรวมมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย -.70 คะแนน ซึ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p<.01 (t=-28.66, sig=.00) สรุปได้ว่าการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้เกี่ยวกับการประกอบอาหารไทยโบราณ มีผลต่อสัมพันธภาพทางสังคมของ เด็กปฐมวัยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน อารีรัตน์ ญาณะศร (2544 : 60 - 65) ได้ศึกษาพฤติกรรมความร่วมมือของเด็กปฐมวัยที่ ได้รับการจัดประสบการณ์การประกอบอาหารเป็นกลุ่ม ผลการศึกษาพบว่า เด็กปฐมวัยก่อนจัด ประสบการณ์และระหว่างการจัดประสบการณ์การประกอบอาหารเป็นกลุ่มในแต่ละสัปดาห์มี พฤติกรรมความร่วมมือแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .000 โดยเด็กปฐมวัยมี พฤติกรรมความร่วมมือระหว่างการจัดประสบการณ์การประกอบอาหารเป็นกลุ่มในแต่ละสัปดาห์สูง กว่าก่อนจัดประสบการณ์


Click to View FlipBook Version