The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัย เรื่อง การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Phatcharaphan Channawan, 2024-02-07 21:39:17

วิจัย เรื่อง การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม

วิจัย เรื่อง การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม

43 งานวิจัยนอกประเทศ การศึกษาของเพียเจท์ และคนอื่น ๆ (Piaget and others. N.d. อ้างถึงใน พวงน้อย ศรีตลานนท์, 2515 : 12) ซึ่งทำการศึกษาเกี่ยวกับการจำแนกความเหมือน และแตกต่างกันของเด็ก ระดับอายุ 1 - 4 ปี พบว่าเด็กเหล่านี้มีพัฒนาการในการรับรู้ความแตกต่างกันตามลักษณะที่ปรากฏให้ เห็น และเด็กสามารถนึกถึงรูปร่างของสิ่งของได้ ถึงแม้ว่าสิ่งของนั้นไม่ปรากฏต่อหน้าเด็กอีก ในการ มองเห็นความแตกต่างของสิ่งของนั้น ในขั้นแรกของพัฒนาการ เด็กสามารถมองเห็นรูปร่างของ สิ่งของง่ายๆ ไม่ซับซ้อนกันเหมือนอายุมากขึ้น คือ ประมาณ 5 - 7 ปี จึงจะสามารถแยกแยะ รายละเอียดรูปร่างของสิ่งของที่ซับซ้อนได้มากขึ้นว่าแตกต่างกันหรือคล้ายคลึงกัน กิโรม่า และบาร์กาวา (Kiroma, Anna & Bhargava. 2002: Abstract) ได้ศึกษา ความสัมพันธ์ของความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ของเด็กอนุบาลที่ใช้วิธีการเรียนแบบมีครูเป็นผู้ชี้แนะ กับความก้าวหน้าในวิชาชีพครู พบว่า ความสำคัญของพื้นฐานการเล่นของเด็กอนุบาลกับการพัฒนา และการเข้าใจเกี่ยวกับความคิดอย่างลึกซึ้งทางคณิตศาสตร์จากสังคม สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ สามารถเป็นไปได้มากถ้าผู้ใหญ่ หรือคนที่มีความสามารถมากกว่าเป็นสื่อชี้แนะให้เด็กมีประสบการณ์ การเรียนรู้ โดยเน้นความสำคัญของพัฒนาการ หลักสูตร และสิ่งแวดล้อม ภายในศูนย์ของเล่นจะมีครู คอยทำหน้าที่แนะนำการเรียนรู้คณิตศาสตร์ให้กับเด็กขณะที่เล่นกับวัสดุอุปกรณ์ เหล่านั้นทุกๆ วัน จากความก้าวหน้าในวิชาชีพครูนั้นได้ค้นพบขั้นตอนการสอน เพื่อก่อให้เกิดการเรียนรู้ด้านมโนทัศน์ ทางคณิตศาสตร์เป็น 3 ขั้น ดังนี้ คือ ขั้นที่ 1 ใช้วิธีการสาธิตจากของจริงเพื่อให้เด็กสามารถจำแนกสิ่ง ต่างๆ ได้ ขั้นที่ 2 ยกตัวอย่างและชี้แนะจากการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันที่มีความหมายทาง คณิตศาสตร์ให้เด็กเข้าใจ และขั้นที่ 3 มีการประเมินเด็กอย่างเป็นระบบ สำหรับมโนทัศน์ทาง คณิตศาสตร์ที่พัฒนาให้กับเด็กอนุบาลนั้นมี 3 ด้าน คือ ความสัมพันธ์แบบ 1 ต่อ 1 การจัดหมวดหมู่ และการเรียงลำดับ คอแนลด์สัน และมาการ์เร็ต (ชลลดา อุระสนิท, 2547: อ้างอิงจาก Donalson; & Magaret, 1968 : 461 - 471) ได้ศึกษาความเข้าใจของเด็กในเรื่องการจำแนกความต้องการของ จำนวน มากกว่าน้อยกว่ากับเด็กอายุ 3 - 4 ปี จำนวน 15 คน ผลจากการศึกษาพบว่า เด็กระดับอายุ 3 - 4 ปี จะสามารถเข้าใจคำว่า "มากกว่า” และ “น้อยกว่า” ได้แล้วแต่มีแนวโน้มว่าเด็กจะเข้าใจ ความหมาย ของคำว่า “มากกว่า” ได้ดีกว่าคำว่า "น้อยกว่า” คอร์วิน (Corwin 1978 - 6584-A-6585-A) ได้เปรียบเทียบวิธีสอนแบบปฏิบัติการโดย ใช้การทดลองกับวัสดุอุปกรณ์ เทคนิคการพับกระดาษกับวิธีสอนเดิม ซึ่งใช้วิธีบรรยายอภิปราย ไม่มี กิจกรรมปฏิบัติการเลยทดลองกับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา กลุ่มทดลองเรียนจากวิธีสอนที่มีกิจกรรม ปฏิบัติการรวม 18 กิจกรรม ประกอบกับการศึกษาจากตำรา กลุ่มควบคุม เรียนจากวิธีสอนแบบ บรรยายอภิปราย ผลการวิจัยพบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนทั้งสองกลุ่มมีค่า


44 สหสัมพันธ์ทางบวกด้านเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ นอกจากนั้นนักเรียน และครูในกลุ่มทดลอง มีความเป็นทางบวกต่อการใช้กิจกรรมปฏิบัติการ และมีการลงความเห็นว่าการทดลองกับวัสดุอุปกรณ์ ช่วยให้นักเรียนเกิดจินตนาการเห็นภาพและเข้าใจสังกัปทางเรขาคณิต ฮอง (Hong, 1996 : 477 - 494) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และความ สนใจทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนโดยทำการศึกษาเด็กอนุบาล 57 คน โดยกลุ่มทดลองได้เรียนรู้ คณิตศาสตร์ที่สัมพันธ์กับหนังสือสำหรับเด็กที่อ่านและมีช่วยเวลาในการอภิปราย และในช่วงเล่น อิสระได้เล่นกับสื่อวัสดุทางคณิตศาสตร์ที่สัมพันธ์กับสาระการเรียนรู้ในหนังสือสำหรับเด็ก ส่วนกลุ่ม ควบคุมได้อ่านหนังสือสำหรับเด็ก ผลการทดลองพบว่า เด็กกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีผลสัมฤทธิ์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยที่กลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์สูงกว่ากลุ่มควบคุม ในด้านการ จำแนก การรวมกันของจำนวน เรื่องของรูปเรขาคณิต และกลุ่มทดลองชอบเข้ามุม คณิตศาสตร์เลือก ทำงานด้านคณิตศาสตร์ และใช้เวลาในการทำกิจกรรมในมุมคณิตศาสตร์มากกว่ากลุ่มควบคุม


45 บทที่ 3 วิธีดําเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์โดยใช้การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม และเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ โดยใช้การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มระหว่างก่อนและหลังจัด กิจกรรม ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินตามขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ ประชากรและ กลุ่มตัวอย่าง แบบแผนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ ข้อมูล ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ประชากรและกลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัย 1.1 ประชากรที่ใชในการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหนองตูม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 7 คน 1.2 กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชาย - หญิง อายุระหว่าง 4 - 5 ปี กำลัง ศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหนองตูม จำนวนนักเรียน 7 คน ได้แก่ นักเรียนชาย 2 คน นักเรียนหญิง 5 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกจากกลุ่มประชากร การสรางเครื่องมือที่ใชในการวิจัย เครื่องมือที่ใชในการวิจัย 1. ประเภทของเครื่องมือที่ใชในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดประสบการณ์การประกอบอาหาร จำนวน 24 แผน 1.2 แบบประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยก่อนและหลัง การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม 2. การสรางเครื่องมือและการหาคุณภาพเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 ขั้นตอนในการสรางและหาคุณภาพของแผนการจัดกิจกรรมประกอบ อาหาร


46 2.1.1 ศึกษาคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 สำหรับเด็ก อายุ 3 – 6 ปี และตัวอย่างแผนการจัดประสบการณ์สำหรับการศึกษาปฐมวัย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ 2.1.2 ศึกษาหนังสือ และนิตยสาร ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการ ประกอบอาหารสำหรับเด็ก 2.1.3 จากการศึกษาเอกสาร หนังสือ และนิตยสาร ตำราเกี่ยวกับการ ประกอบอาหาร ผู้วิจัย ได้นำเอกสารมาประมวลรายชื่ออาหารที่ได้ประมาณ 30 ชื่อ ผู้วิจัยทำการ คัดเลือกรายการอาหารได้ ทั้งหมด 24 ชื่อ ที่เหมาะแก่การส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ให้แก่ เด็กปฐมวัย เหมาะกับวัยและความสามารถของเด็ก ดังตาราง 1 ตาราง 1 รายการการประกอบอาหาร 24 กิจกรรมใน 8 สัปดาห์ สัปดาหที่ วันที่ 1 วันที่ 2 วันที่ 3 1 สลัดไก่ ขนมจีบหมู ข้าวโพดคลุก 2 น้ำส้มคั้น ไข่ตุ๋นทรงเครื่อง สลัดผลไม้ 3 แซนวิช ยำไส้กรอก น้ำส้มคั้น 4 ไข่เจียวหมีห่อผ้า น้ำแตงโมปั่น วุ้นผลไม้ 5 บัวลอยแฟนซี เต้าหู้ทรงเครื่อง น้ำสับปะรด 6 บาร์บีคิวหมู ขนมปังแต่งหน้า สลัดโยเกิร์ตผลไม้ 7 กล้วยทอด ข้าวผัดกุ้ง น้ำแอปเปิ้ลปั่น 8 เปาะเปี๊ยะทอดกรอบ วุ้นมะพร้าวใบเตย ผักทอดหลากสี 2.1.4 ดำเนินการสร้างแผนการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร โดยกำหนด จุดประสงค์ เนื้อหา การดำเนินกิจกรรม สื่อการเรียนและการประเมินผล ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ 1) กิจกรรมประกอบอาหาร เป็นส่วนที่ระบุถึงกิจกรรมต่างๆ ที่จัดให้เด็กใน แต่ละวัน 2) จุดประสงค์ เป็นผลสัมฤทธิ์ที่แสดงถึงความสามารถในการปฏิบัติตาม กิจกรรม จนบรรลุเป้าหมาย 3) ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม เป็นส่วนที่ระบุถึงขั้นตอนการดำเนิน กิจกรรมโดยแบ่ง ออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ คือ


47 ขั้นนำ เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนด้วยวิธีการต่างๆ เช่น บทเพลง คำถาม การสนทนา ทั่วไป บทกลอน ขั้นดำเนินกิจกรรม เป็นการให้เด็กเข้ากลุ่มกลุ่มละ 5 คน โดยให้เด็กจัดกลุ่ม ตามลักษณะของวัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหาร ได้แก่ สี ขนาด สัญลักษณ์ ภาชนะ และอุปกรณ์ เช่น ส้ม มะนาว ไข่ ชาม ฯลฯ ด้วยกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ครูแนะนำเครื่องปรุง ขั้นตอนในการ ทำอาหาร สาธิตวิธีการทำอาหาร และสร้างข้อตกลงเบื้องต้นในการประกอบอาหาร เด็กแบ่งหน้าที่ใน การประกอบอาหาร และลงมือทำกิจกรรมประกอบอาหาร โดยในขั้นตอนนี้ครูมีหน้าที่ในการแนะนำ และกระตุ้นให้เด็กได้สังเกตการรู้จำนวน การชั่งตวง และการจำแนกเปรียบเทียบ เมื่อทำกิจกรรมเสร็จ แล้ว เด็กช่วยกันเก็บอุปกรณ์และทำความสะอาด ขั้นสรุป เป็นขั้นตอนที่ครูและเด็กช่วยกันสรุปขั้นตอนในการประกอบ อาหาร เด็กนำเสนออาหารของกลุ่มตนเองโดยครูใช้คำถามปลายเปิดกระตุ้นให้เด็กๆ เสนอผลงานโดย เน้นให้เด็กได้สังเกตการรู้จำนวน การชั่งตวง และการจำแนกเปรียบเทียบในการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ ขั้นตอนการทำกิจกรรมและการใช้วัสดุอุปกรณ์ 2.1.5 นำแผนการจัดประสบการณ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน แผนการจัดประสบการณ์ จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์ เนื้อหา การดำเนินกิจกรรม สื่อการเรียน และการประเมินผล ดังต่อไปนี้ 1) นางอัมรา คำกิ่ง ตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองตูม 2) นางสาวสุภาวดี หลักมั่น ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย 3) นางสาวยุภารัตน์ หันตุลา ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย 2.1.6 นำแผนการจัดกิจกรรมการประกอบอาหารที่ผ่านการตรวจสอบจาก ผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ 2.1.7 นำแผนการจัดกิจกรรมการประกอบอาหารที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปทดลองใช้กับเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 เพื่อหาข้อบกพร่องของแผนการจัดกิจกรรมการประกอบอาหาร แล้วปรับปรุงอีกครั้งให้สมบูรณ์ 2.2 ขั้นตอนในการสรางและหาคุณภาพของแบบประเมินทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัยกอนและหลังการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุม 2.2.1 ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการสร้างแบบประเมินทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 2.2.2 วิเคราะห์จุดมุ่งหมายเพื่อสร้างแบบประเมินให้ครอบคลุมทักษะทาง คณิตศาสตร์พื้นฐานสำหรับเด็กปฐมวัย


48 2.2.3 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 (สำหรับเด็กอายุ 3 – 6 ปี) 2.2.4 นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษานำมาสร้างแบบประเมินทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มและหลังการจัดกิจกรรม ประกอบอาหารแบบกลุ่ม พร้อมคู่มือประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ใช้ประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านการรู้จำนวน การชั่งตวง และการจำแนกเปรียบเทียบ ตามรูปแบบที่กำหนดไว้ โดยกำหนดเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ 0 คะแนน หมายถึง เด็กตอบผิดหรือตอบไม่ได้ 1 คะแนน หมายถึง เด็กตอบได้ถูกต้อง 2.2.5 นำแบบประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านการรู้จำนวน การชั่งตวง และการจำแนกเปรียบเทียบก่อนและหลังการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มไปให้ อาจารย์ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่อง เพื่อทำการปรับปรุงแก้ไข แล้วนำมาหาค่า IOC ดังต่อไปนี้ 1) อาจารย์กัลยกร ภักดี ตำแหน่ง อาจารย์สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย 2) นางกฤษณา ยางศรี ตำแหน่ง ครูชำนาญการพิเศษ 3) นางสาววิภาดา สิงมอ ตำแหน่ง ครู ซึ่งมีการให้คะแนนแบบทดสอบ ตามเกณฑ์ดังนี้ +1 รู้สึกว่าแน่ใจข้อสอบสามารถวัดได้ตามจุดประสงค์ 0 รู้สึกว่าไม่แน่ใจข้อสอบสามารถวัดได้ตามจุดประสงค์ -1 รู้สึกว่าแน่ใจข้อสอบไม่สามารถวัดได้ตามจุดประสงค์ โดยการแปรความ คือ ถ้า IOC มากกว่า = 0.5 แสดงว่าข้อสอบนั้นวัดจุดประสงค์ข้อนั้นจริง ถ้า IOC น้อยกว่า = 0.5 แสดงว่าข้อสอบนั้นไม่วัดจุดประสงค์ข้อนั้น 2.2.6 นำแบบประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านการรู้จำนวน การชั่งตวง และการจำแนกเปรียบเทียบก่อนและหลังการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม ที่ได้ตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องและทำการปรับปรุงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไปคำนวณหาค่าความยาก (P) และค่าอำนาจจำแนก (r) โดยให้มีความยากง่ายอยู่ระหว่าง .20 - .80 และค่าอำนาจจำแนกมีค่า ตั้งแต่ .20 ขึ้นไป 2.2.7 นำแบบประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านการรู้จำนวน การชั่งตวง และการจำแนกเปรียบเทียบก่อนและหลังการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มที่ได้


49 ตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องและทำการปรับปรุงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างเป็นเด็ก ปฐมวัยที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 2 จำนวน 7 คน โรงเรียนบ้านหนองตูม การเก็บรวบรวมขอมูล การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลกับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านหนองตูม อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีการดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลในแต่ละขั้น มีดังนี้ แบบแผนการทดลอง ในการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาค้นคว้าแบบกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองตามแบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pretest - Posttest Design (บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์, 2521ก: 120) ดังตาราง 2 ตาราง 2 แบบแผนการทดลอง กลุ่มทดลอง สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง ทดลอง T1 X T2 เมื่อ T1 แทน การทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ก่อนการทดลอง X แทน การจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ทดลองการประกอบอาหาร T2 แทน การทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์หลังการทดลอง วิธีดําเนินการเก็บรวบรวมขอมูล การทดลองครั้งนี้ ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน คือในวันพุธ พฤหัสบดี และศุกร์ วันละ 60 นาที ทำการทดลองในช่วงเวลา 09.30 - 10.30 น. รวมระยะเวลาทดลองทั้งสิ้น 24 ครั้ง ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 1. ผู้วิจัยสร้างความคุ้นเคยกับเด็กและจัดเตรียมสภาพแวดล้อม ก่อนการทดลอง 1 สัปดาห์ เป็นระยะเวลา 3 วัน วันละ 1 ครั้ง ในวันพุธ พฤหัสบดี และศุกร์ ใช้เวลาครั้งละ 60 นาที 2. ก่อนการทดลองผู้วิจัยทดสอบ (Pretest) กับเด็กด้วยแบบประเมินทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย และนำคะแนนเรียงลำดับจากคะแนนที่น้อยที่สุดไปหาคะแนนที่มาก ที่สุด


50 3. ดำเนินการทดลองโดยการจัดกิจกรรมการประกอบอาหารกับประชากรที่ใช้ทดลองทำวิจัย เป็นเวลา 8 สัปดาห์ๆ ละ 3 วัน ได้แก่ วันพุธ วันพฤหัสบดี และวันศุกร์วันละ 60 นาที โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 3.1 ขั้นนำ 3.1.1 นำเข้าสู่กิจกรรมด้วยการสนทนา การร้องเพลง การท่องคำคล้องจอง ปริศนา คำทาย หรือการใช้สื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจและสร้างความพร้อมก่อน เริ่มกิจกรรม 3.2 ขั้นดำเนินการ 3.2.1 ครูแนะนำชื่ออาหาร เครื่องปรุง วัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้ในการประกอบอาหาร โดยเน้นให้เด็กได้สังเกตการรู้จำนวน การชั่งตวง และการจำแนกเปรียบเทียบ จากวัสดุอุปกรณ์ และส่วนผสมที่ใช้ในการประกอบอาหาร 3.2.2 เด็กและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับขั้นตอนการทำกิจกรรมประกอบอาหาร และสาธิตถึงวิธีการทำอาหาร 3.2.3 เด็กและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับข้อตกลงเบื้องต้น เกี่ยวกับข้อปฏิบัติและ ข้อควรระวังในขณะปฏิบัติกิจกรรมประกอบอาหาร 3.2.4 เด็กเข้ากลุ่มตามขั้นตอนทางคณิตศาสตร์กลุ่มละ 5 คน 3.2.5 เด็กแต่ละกลุ่มวางแผนแบ่งหน้าที่ในการทำกิจกรรมประกอบอาหารร่วมกัน 3.2.6 ตัวแทนเด็กแต่ละกลุ่มออกมารับวัสดุอุปกรณ์ แล้วลงมือทำกิจกรรมตามที่ได้ วางแผนไว้ โดยครูมีบทบาทในการให้คำแนะนำ และกระตุ้นให้เด็กได้รู้จำนวน ชั่งตวง และจำแนก เปรียบเทียบ 3.2.7 เมื่อทำกิจกรรมเสร็จแล้ว ให้ทุกคนแต่ละกลุ่มร่วมกันเก็บอุปกรณ์และทำความ สะอาดสถานที่ให้เรียบร้อย 3.3 ขั้นสรุป เด็กและครูร่วมกันสรุปขั้นตอนในการประกอบอาหาร โดยที่ครูใช้คำถามปลายเปิด กระตุ้นให้เด็กเสนอผลงานและทบทวนกระบวนการทำงาน 4. เมื่อดำเนินการทดลองไปครบ 8 สัปดาห์ ผู้วิจัยทำการทดสอบ (Posttest) กับเด็ก เพื่อดู ความเปลี่ยนแปลงทางทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็ก 5. นำข้อมูลที่ได้จากการประเมินไปทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติต่อไป ตาราง 3 ตารางการจัดกิจกรรมการประกอบอาหารเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็ก ปฐมวัย


51 วิธีดําเนินการ วัน เวลา ก่อนการทดลอง กิจกรรมประกอบอาหาร 1 สัปดาห์ก่อนการทดลอง วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ 09.30 – 10.30 น. ดำเนินการทดลอง กิจกรรมการประกอบอาหาร 8 สัปดาห์ วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ 09.30 – 10.30 น. กำหนดการจัดกิจกรรมในการทดลอง ระยะเวลาสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 60 นาที เป็นเวลา 8 สัปดาห์ รวม 24 ครั้ง การวิเคราะหขอมูลและสถิติที่ใช การวิเคราะหขอมูล 1. หาค่าสถิติพื้นฐานการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ทั้งก่อน และระหว่างทำการทดลองในแต่ละสัปดาห์ โดยนำข้อมูลไปหาคะแนนเฉลี่ย และหาค่าความเบี่ยงเบน มาตรฐาน 2. เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนการทดสอบประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้สูตร t-test แบบ Dependent Samples (บุญเชิด ภิญโญอนันต พงษ์. 2521ข: 99) สถิติที่ใชในการวิเคราะหขอมูล 1. สถิติพื้นฐาน 1.1 หาค่าเฉลี่ยของคะแนน ใช้สูตร (บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์. 2521ข: 36) เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ย ∑x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนนักเรียนจากประชากรที่ใช้ทำวิจัย 1.2 หาค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน ใช้สูตร (บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์. 2521ข: 55)


52 เมื่อ S แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑x แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน ∑x2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกำลังสอง N แทน จำนวนนักเรียนจากประชากรที่ใช้ทำวิจัย 2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ 2.1 ค่าความเที่ยงตรงรายข้อ ด้วยการคำนวณความสอดคล้องระหว่างการประเมินทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์กับจุดประสงค์ทางคณิตศาสตร์ ใช้สูตร (บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์. 2521ข: 89) เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างแบบประเมินแต่ละ ข้อกับจุดประสงค์ ∑R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ เนื้อหาทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 2.2 การหาค่าความยากง่าย (Difficulty : P) ของแบบประเมินทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ ใช้สูตร (บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์. 2521ข: 89) เมื่อ P แทน ค่าความยากง่าย R แทน จำนวนคนที่ตอบข้อสอบนั้นถูก N แทน จำนวนคนที่ทำข้อสอบนั้นทั้งหมด 3. สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบสมมติฐาน ทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยทำการทดลองและ หลังทำการทดลอง โดยคำนวณจากสูตร t-test แบบ Dependent (บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์. 2521ข: 99)


53 เมื่อ t แทนค่า ค่าสถิติที่ใช้พิจารณาใน t-distribution D แทนค่า คะแนนความแตกต่าง N แทนค่า จำนวนข้อ แทนค่า ค่าเฉลี่ยคะแนนความแตกต่าง แทนค่า ค่าเฉลี่ยเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน ผลต่าง


54 บทที่ 4 ผลการวิเคราะหขอมูล สัญลักษณที่ใชในการวิเคราะหขอมูล สำหรับการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยกำหนดสัญลักษณ์และอักษรย่อที่ใช้ในการวิเคราะห์และแปร ข้อมูลดังนี้ N แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มทดลอง K แทน จำนวนข้อของแบบประเมินรายด้าน X แทน คะแนนเฉลี่ย S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t แทน ค่าสถิติที่ใช้พิจารณาใน t-distribution Sig แทน ค่าระดับนัยสำคัญทางสถิติ การวิเคราะหขอมูล การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลและการแปรผลการวิเคราะห์ข้อมูลในการทดลอง เสนอ ตามลำดับ ดังนี้ 1. ระดับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรม ประกอบอาหารแบบกลุ่ม 2. การเปรียบเทียบคะแนนทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยรวมของเด็กปฐมวัยก่อนและ หลังการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม 3. การเปรียบเทียบคะแนนทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังที่ ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มแยกเป็นรายด้าน ผลการวิเคราะหขอมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดังนี้ 1. ระดับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรม ประกอบอาหารแบบกลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนนี้ ผู้วิจัยได้นำคะแนนของแบบประเมินทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยในแต่ละทักษะทั้งก่อนและหลังการทดลองมาหาค่าคะแนนเฉลี่ยโดยแยก เป็นด้านการรู้จำนวน การชั่งตวง การจำแนกเปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยที่คำนวณได้จะใช้เป็นค่าบ่งชี้ระดับ ของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ปรากฏผลดังแสดงในตาราง


55 ตาราง 4 ค่าสถิติแสดงระดับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังที่ได้รับการจัด กิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ N K ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง X S.D. X S.D. 1. การรู้จำนวน 7 5 2.07 1.907 4.73 0.594 2. การชั่งตวง 7 5 2.87 0.743 4.40 0.737 3. การจำแนกเปรียบเทียบ 7 5 2.20 0.941 3.80 1.146 รวม 7 15 7.14 3.591 12.93 2.477 ผลการวิเคราะห์ตามตารางปรากฏว่า ก่อนการทดลองเด็กปฐมวัยมีระดับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยรวมและรายด้านอยู่ใน ระดับพอใช้ทุกด้าน เรียงตามลำดับ คือ ด้านการชั่งตวง (ค่าเฉลี่ย 2.87) ด้านการจำแนกเปรียบเทียบ (ค่าเฉลี่ย 2.20) ด้านการรู้จำนวน (ค่าเฉลี่ย 2.07) หลังการทดลองพบว่าเด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยรวมและรายด้านอยู่ใน ระดับดีทั้ง 3 ด้าน โดยเรียงตามลำดับ ดังนี้ ด้านการรู้จำนวน (ค่าเฉลี่ย 4.73) ด้านการชั่งตวง (ค่าเฉลี่ย 4.40) และด้านการจำแนกเปรียบเทียบ (ค่าเฉลี่ย 3.80) ในภาพรวมก่อนการทดลองเด็กปฐมวัยมีระดับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์อยู่ในระดับ พอใช้ โดยมีค่าเฉลี่ย 7.14 และหลังการทดลองเด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์อยู่ในระดับ ดีโดยมีค่าเฉลี่ย 12.93 2. ผลของการจัดกิจกรรมที่มีต่อทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังที่ ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนนี้ ผู้วิจัยได้นำคะแนนแบบ ประเมินเชิงปฏิบัติทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยแยกเป็นรายด้านทั้งก่อนและหลังการ ทดลองมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน และทดสอบความแตกต่างเฉลี่ยว่า มีความแตกต่างมากน้อยเพียงใดโดยใช้สถิติ t – test แล้วทดสอบค่านัยสำคัญทางสถิติของแบบ ประเมิน ตาราง 5 การเปรียบเทียบคะแนนทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยแยกเป็นรายด้าน ก่อนและหลังที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม ทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ K ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง t Sig X S.D. X S.D. 1. การรู้จำนวน 5 2.07 1.907 4.73 0.594 2.67 1.799 5.739** .000


56 2. การชั่งตวง 5 2.87 0.743 4.40 0.737 1.53 1.125 5.277** .000 3. การจำแนก เปรียบเทียบ 5 2.20 0.941 3.80 1.146 1.60 1.121 5.527** .000 รวม 5 7.14 3.591 12.93 2.477 7.93 3.453 8.898** .000 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามตารางพบว่า เมื่อแยกเป็นรายด้านปรากฏว่าเด็กปฐมวัยมีทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านการรู้จำนวน การชั่งตวง การจำแนกเปรียบเทียบ หลังการทดลองมี ค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 4.73 4.40 และ 3.80 ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยค่า P < .01 แสดงว่าหลังการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม ส่งผลให้เด็กปฐมวัยมีทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์สูงขึ้นทุกด้าน และด้านที่มีทักษะเพิ่มมากขึ้นที่สุด คือ ด้านการรู้จำนวน รองลงมา คือ ด้านการชั่งตวง และการจำแนกเปรียบเทียบ แสดงว่าทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สูง กว่าก่อนที่ได้รับการจัดกิจกรรม และเมื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย โดยรวม พบว่าหลังการทดลองมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 7.93 ซึ่งสูงกว่าก่อนการทดลอง


57 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และขอเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง ศึกษาเกี่ยวกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของ เด็กปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางและประโยชน์สำหรับ ครู และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย วัตถุประสงคของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โดยใช้การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม 2. เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โดยใช้การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มระหว่างก่อนและหลังจัดกิจกรรม สมมติฐานของการวิจัย เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มมีการพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สูงขึ้น ขอบเขตของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการวิจัย ดังนี้ 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหนองตูม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 7 คน 2. กลุมตัวอยาง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชาย - หญิง อายุระหว่าง 4 - 5 ปี กำลัง ศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหนองตูม จำนวนนักเรียน 7 คน ได้แก่ นักเรียนชาย 2 คน นักเรียนหญิง 5 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกจากกลุ่มประชากร 3. ตัวแปรที่ศึกษา 3.1 ตัวแปรต้น คือ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม 3.2 ตัวแปรตาม คือ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ได้แก่ การรู้จำนวน การชั่งตวง การจำแนกเปรียบเทียบ


58 4. ระยะเวลาที่ใชในการวิจัย ผู้วิจัยดำเนินการทดลองในปีการศึกษา 2566 ใช้เวลาในการทดลอง 8 สัปดาห์ สัปดาห์ ละ 3 วัน วันละ 1 ชั่วโมง ในช่วงเวลา 09.30 – 10.30 น. รวมเป็นระยะเวลาในการทำการทดลอง ทั้งสิ้น 24 ครั้ง เครื่องมือที่ใชในการวิจัย 1. แผนการจัดประสบการณ์การประกอบอาหาร จำนวน 24 แผน 2. แบบประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัด กิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม ขั้นตอนการดําเนินการทดลอง การทดลองครั้งนี้ ดำเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 เป็นเวลา 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน คือในวันพุธ พฤหัสบดี และศุกร์ วันละ 60 นาที ทำการทดลองในช่วงเวลา 09.30 - 10.30 น. รวมระยะเวลาทดลองทั้งสิ้น 24 ครั้ง ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 1. ผู้วิจัยสร้างความคุ้นเคยกับเด็กและจัดเตรียมสภาพแวดล้อม ก่อนการทดลอง 1 สัปดาห์ เป็นระยะเวลา 3 วัน วันละ 1 ครั้ง ในวันพุธ พฤหัสบดี และศุกร์ ใช้เวลาครั้งละ 60 นาที 2. ก่อนการทดลองผู้วิจัยทดสอบ (Pretest) กับเด็กด้วยแบบประเมินทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย และนำคะแนนเรียงลำดับจากคะแนนที่น้อยที่สุดไปหาคะแนนที่มาก ที่สุด 3. ดำเนินการทดลองโดยการจัดกิจกรรมการประกอบอาหารกับประชากรที่ใช้ทดลองทำวิจัย เป็นเวลา 8 สัปดาห์ๆ ละ 3 วัน ได้แก่ วันพุธ วันพฤหัสบดี และวันศุกร์วันละ 60 นาที โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 3.1 ขั้นนำ 3.1.1 นำเข้าสู่กิจกรรมด้วยการสนทนา การร้องเพลง การท่องคำคล้องจอง ปริศนา คำทาย หรือการใช้สื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจและสร้างความพร้อมก่อน เริ่มกิจกรรม 3.2 ขั้นดำเนินการ 3.2.1 ครูแนะนำชื่ออาหาร เครื่องปรุง วัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้ในการประกอบอาหาร โดยเน้นให้เด็กได้สังเกตการรู้จำนวน การชั่งตวง และการจำแนกเปรียบเทียบ จากวัสดุอุปกรณ์ และส่วนผสมที่ใช้ในการประกอบอาหาร


59 3.2.2 เด็กและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับขั้นตอนการทำกิจกรรมประกอบอาหาร และสาธิตถึงวิธีการทำอาหาร 3.2.3 เด็กและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับข้อตกลงเบื้องต้น เกี่ยวกับข้อปฏิบัติและ ข้อควรระวังในขณะปฏิบัติกิจกรรมประกอบอาหาร 3.2.4 เด็กเข้ากลุ่มตามขั้นตอนทางคณิตศาสตร์กลุ่มละ 5 คน 3.2.5 เด็กแต่ละกลุ่มวางแผนแบ่งหน้าที่ในการทำกิจกรรมประกอบอาหารร่วมกัน 3.2.6 ตัวแทนเด็กแต่ละกลุ่มออกมารับวัสดุอุปกรณ์ แล้วลงมือทำกิจกรรมตามที่ได้ วางแผนไว้ โดยครูมีบทบาทในการให้คำแนะนำ และกระตุ้นให้เด็กได้รู้จำนวน ชั่งตวง และจำแนก เปรียบเทียบ 3.2.7 เมื่อทำกิจกรรมเสร็จแล้ว ให้ทุกคนแต่ละกลุ่มร่วมกันเก็บอุปกรณ์และทำความ สะอาดสถานที่ให้เรียบร้อย 3.3 ขั้นสรุป เด็กและครูร่วมกันสรุปขั้นตอนในการประกอบอาหาร โดยที่ครูใช้คำถามปลายเปิด กระตุ้นให้เด็กเสนอผลงานและทบทวนกระบวนการทำงาน 4. เมื่อดำเนินการทดลองไปครบ 8 สัปดาห์ ผู้วิจัยทำการทดสอบ (Posttest) กับเด็ก เพื่อดู ความเปลี่ยนแปลงทางทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็ก 5. นำข้อมูลที่ได้จากการประเมินไปทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติต่อไป การวิเคราะหขอมูล การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลและการแปรผลการวิเคราะห์ข้อมูลในการทดลอง เสนอ ตามลำดับ ดังนี้ 1. ระดับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรม ประกอบอาหารแบบกลุ่ม 2. การเปรียบเทียบคะแนนทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยรวมของเด็กปฐมวัยก่อนและ หลังการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม 3. การเปรียบเทียบคะแนนทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังที่ ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มแยกเป็นรายด้าน สรุปผลการวิจัย เด็กปฐมวัยหลังจากที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มมีทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ ดังนี้


60 1. ระดับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยก่อนการทดลองเด็กปฐมวัยมีระดับ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับพอใช้ทุกด้านมีค่าเฉลี่ย 7.14 เรียง ตามลำดับ คือ ด้านการชั่งตวง (ค่าเฉลี่ย 2.87) ด้านการจำแนกเปรียบเทียบ (ค่าเฉลี่ย 2.20) ด้านการ รู้จำนวน (ค่าเฉลี่ย 2.07) แต่หลังการทดลองพบว่าเด็กปฐมวัยมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยรวม และรายด้านอยู่ในระดับดีทั้ง 3 ด้าน มีค่าเฉลี่ย 12.93 โดยเรียงตามลำดับ คือ ด้านการรู้จำนวน (ค่าเฉลี่ย 4.73) ด้านการชั่งตวง (ค่าเฉลี่ย 4.40) และด้านการจำแนกเปรียบเทียบ (ค่าเฉลี่ย 3.80) 2. ผลการเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยหลังจากที่ได้รับการจัด กิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 โดยก่อนการ ทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยเป็น 7.14 คะแนน และหลังการทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยเป็น 12.93 คะแนน อภิปรายผลการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อการศึกษาและเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยรวมและรายด้านโดยการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มทั้งก่อน และหลังการทดลอง ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม มีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ ได้ตั้งไว้ และเมื่อจำแนกรายด้าน พบว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์อยู่ในระดับดีทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านการรู้จํานวน (ค่าเฉลี่ย 4.73) ด้านการชั่งตวง (ค่าเฉลี่ย 4.40) และด้านการจำแนกเปรียบเทียบ (ค่าเฉลี่ย 3.80) แสดงให้เห็นว่าการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มช่วยส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมี ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่ดีขึ้น ทั้งนี้สามารถอภิปรายผลได้ ดังนี้ คือ 1. ระดับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยแยกเป็นรายด้าน พบว่า เด็กปฐมวัยที่ ได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง มีระดับทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์สูงขึ้นทุกด้าน อภิปรายได้ดังนี้ 1.1 ด้านการรู้จำนวน เด็กปฐมวัยมีระดับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ก่อนการทดลอง อยู่ในระดับพอใช้ คือ ค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.07 คะแนน แต่หลังการทดลองเด็กปฐมวัยมีระดับ ทักษะพื้นฐานอยู่ในระดับดี คือ คำคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.73 คะแนน แสดงว่าในการจัดกิจกรรม ประกอบอาหารนั้นได้เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ในด้านการรู้จำนวน จากการปฏิบัติจริงกับสิ่งของที่ เป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น ในสัปดาห์ที่ 2 เด็กทำสลัดผลไม้ครูได้สอดแทรกความรู้ด้านการรู้จำนวน โดยนำผลไม้มาให้เด็กๆ ช่วยกันนับและเด็กๆ จะรู้จักการนับจำนวนจากการนับจำนวนการใส่ส่วนผสม ต่างๆ ลงไปด้วย ในสัปดาห์ที่ 5 เด็กๆ ทำบัวลอยแฟนซีครูได้สอดแทรกความรู้ด้านการรู้จำนวน โดยนำบัวลอยมาให้เด็กๆ แยกสีว่ามีกี่สีและพัฒนาในการรู้จักจำนวนมากน้อย ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า รูปแบบการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร ช่วยส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยเกิดการเรียนรู้ได้ดี และส่งผลให้


61 ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านการรู้จำนวนอยู่ในระดับที่ดีขึ้น ประกอบกับทักษะด้านการรู้จำนวน เป็นทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่เด็กจะต้องเรียนรู้เพื่อสามารถที่จะนำไปใช้ในการดำเนิน ชีวิตประจำวัน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของนิตยา ประพฤติกิจ (2541: 243) ที่กล่าวว่า ครูจะต้องเน้น ให้เด็กลงมือปฏิบัติจริงและได้ทำกิจกรรมที่มีความหมายเกี่ยวกับตัวเด็ก ให้เด็กได้ทั้งดู ทั้งจับต้องและ ทดสอบความคิดของเขาในบรรยากาศที่เป็นกันเองในชั้นเรียนหรือนอกชั้นเรียน เด็กควรจะได้รับการ ฝึกฝนให้มีความเข้าใจหรือมีแนวคิดเกี่ยวกับคณิตศาสตร์การสอนแต่ละครั้งครูควรสอนความคิดรวบ ยอดเพียงเรื่องเดียว เช่น เพิ่มหรือลดโดยอาศัยกิจกรรมที่เด็กได้ลงมือปฏิบัติและเรียนรู้ด้วยคนเองคือมี การนับกันจริงๆ 1.2 ด้านการชั่งตวง เด็กปฐมวัยมีระดับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ก่อนการทดลองอยู่ ในระดับพอใช้ คือ ค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.87 คะแนน แต่หลังการทดลองเด็กปฐมวัยมีระดับทักษะ พื้นฐานอยู่ในระดับดี คือ คำคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.40 คะแนน แสดงว่าในการจัดกิจกรรมประกอบ อาหารนั้นได้เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ในด้านการชั่งตวง จากการปฏิบัติจริงกับสิ่งของที่เป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น ในสัปดาห์ที่ 3 เด็กทำน้ำส้มคั้น ครูได้สอดแทรกความรู้ด้านการชั่งตวง โดยนำน้ำส้มมา ตวงปริมาณให้เหมาะสม และใส่ส่วนผสมต่างๆ ลงไปด้วย ในสัปดาห์ที่ 8 เด็กๆ ทำวุ้นมะพร้าวใบเตย ครูได้สอดแทรกความรู้ด้านการชั่งตวง โดยนำน้ำใบเตยและนำกะทิมาชั่งตวงและเทแยกชั้นได้อย่าง เท่าๆ กัน ทั้งนี้จะเห็นได้ว่ารูปแบบการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร ช่วยส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยเกิดการ เรียนรู้ได้ดี และส่งผลให้ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านการชั่งตวงอยู่ในระดับที่ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้อง กับแนวคิดของนิตยา ประพฤติกิจ (2541 : 19 – 24) ที่กล่าวว่า สอนให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กมองเห็นความจำเป็นและประโยชน์ของสิ่งที่ครูกำลังสอน ดังนั้น การสอนคณิตศาสตร์แก่เด็กจะต้องสอดคล้องกับกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กตระหนักถึงเรื่อง คณิตศาสตร์ทีละน้อย และช่วยให้เด็กเข้าใจเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ในขั้นต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการ ให้เด็กได้ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนกับครูและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เช่น เด็กสามารถชั่งน้ำหนักและรู้จัก การประมาณปริมาณของส่วนผสมต่างๆ เช่น ปริมาณน้ำ ปริมาณเครื่องปรุง เป็นต้น 1.3 ด้านการจำแนกเปรียบเทียบ เด็กปฐมวัยมีระดับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ก่อน การทดลองอยู่ในระดับพอใช้ คือ ค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 2.20 คะแนน แต่หลังการทดลองอยู่ใน ระดับดี ค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 3.80 คะแนน แสดงว่าการจัดกิจกรรมประกอบอาหารช่วยส่งเสริมใน เรื่องการสังเกต จำแนกเปรียบเทียบได้ ตัวอย่างเช่น สัปดาห์ที่ 8 การทำผักทอดหลากสีครูนำผักที่มีสี ต่างๆ มาให้เด็กได้สังเกต โดยใช้คำถามกระตุ้นให้เด็กสังเกตเปรียบเทียบความแตกต่างสี และขนาด ของผักแต่ละชนิด โดยเด็กมีการแสดงการจำแนกเปรียบเทียบในเรื่องสีได้ดี เพราะเนื่องจากเด็กได้ เรียนรู้เรื่องสีมาแล้ว ดังนั้นจะเห็นได้ว่ารูปแบบการจัดกิจกรรมประกอบอาหารช่วยส่งเสริมให้เด็ก ปฐมวัยเกิดการเรียนรู้ได้ดี และส่งผลให้ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านการจำแนกเปรียบเทียบอยู่


62 ในระดับที่ดีขึ้น ประกอบกับทักษะด้านการจำแนกเปรียบเทียบเป็นทักษะแรกของทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ของเด็กที่จะได้เรียนรู้ก่อนที่จะไปสู่ทักษะด้านอื่นๆ ต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ประไพจิตร เนติศักดิ์ (2529: 49 53) ได้กล่าวถึง ความหมายของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ว่าเด็ก ควรจะได้เตรียมความพร้อมในเรื่องของการสังเกต การเปรียบเทียบรูปร่าง น้ำหนัก ขนาด สิ่งที่เหมือน และแตกต่างกัน การบอกตำแหน่งของสิ่งของ การเปรียบเทียบของจำนวน และการจัดเรียงลำดับ ความยาว ความสูง และขนาด ขอสังเกตที่ไดจากการศึกษาคนควา 1. เด็กบางคนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร คือจากที่ไม่ชอบ รับประทานอาหารและเลือกรับประทานเฉพาะอย่าง เช่น มะเขือเทศ ต้นหอม หัวหอม เมื่อเด็กได้ สัมผัสและลงมือประกอบอาหารเอง อีกทั้งได้รับประทานอาหารฝีมือของตนเองร่วมกับเพื่อนในกลุ่ม เด็กก็พอใจที่จะรับประทานอาหารที่ไม่เคยรับประทานมาก่อนมากขึ้น 2. การเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้จากสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ของจริง ให้เด็กได้ลงมือกระทำกับสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ด้วยตนเอง ทำให้เกิดความสนใจ ตั้งใจ มีความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรม ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยที่ควรสร้างให้เกิดในตัวเด็ก แม้ว่าเด็กได้เคยเห็นสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ใน ชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่เด็กก็ไม่มีโอกาสได้ลงมือกระทำกับสื่อ วัสดุ อุปกรณ์เหล่านั้น เมื่อเด็กได้รับ โอกาส เด็กจึงให้ความสนใจ มีช่วงความสนใจในการทำกิจกรรมเป็นเวลานาน สนุกสนาน ไม่เบื่อ 3. เด็กมีการเรียนรู้คณิตศาสตร์อย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน และยังได้รับสารอาหารที่เป็น ประโยชน์กับร่างกาย ตลอดจนเรียนรู้การบริโภคอาหารที่เป็นประโยชน์จากการจัดกิจกรรมประกอบ อาหาร 4. การจัดประสบการณ์การประกอบอาหารเป็นกลุ่ม เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้รับ ประสบการณ์ตรงจากการลงมือกระทำกับสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ ที่เป็นของจริงและหลากหลาย เด็กได้ทำ กิจกรรมร่วมกับเพื่อนทั้งด้านความคิดและการกระทำ จึงส่งผลให้เด็กเกิดการพัฒนาโดยองค์รวม ดังนี้ 4.1 เด็กมีพัฒนาการทางด้านร่างกาย เด็กได้พัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก ได้พัฒนาทักษะในการใช้ประสาทสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา 4.2 เด็กมีพัฒนาการทางด้านอารมณ์ จิตใจ เด็กมีความสนุกสนานจากการลงมือ กระทำ กิจกรรมด้วยตนเองจนประสบความสำเร็จ เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง เรียนรู้อารมณ์และ ความรู้สึกของผู้อื่น ปรับความต้องการของตนเอง เด็กได้พัฒนาความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าคิด เด็กได้ พัฒนาความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าคิดกล้าแสดงออก


63 4.3 เด็กมีพัฒนาการทางสังคม เป็นการปลูกฝังให้เด็กมีระเบียบวินัย รู้จักหน้าที่ตนเอง ช่วยเหลือ แนะนำและยอมรับคำแนะนำจากเพื่อน รู้จักอดทน รอคอย มีเหตุผล เป็นผู้นำ ผู้ตามที่ดีใน การทำกิจกรรมร่วมกัน 4.4 เด็กมีพัฒนาการทางสติปัญญา มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ทักษะการคิดอย่างมีระบบตลอดจนทักษะการแก้ปัญหา มีความคิด สร้างสรรค์ มีการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมายให้ครูและเพื่อนรับรู้ในการปฏิบัติ กิจกรรม ขอเสนอแนะทั่วไป 1. ในการประกอบอาหารหากครูต้องมีการนำสิ่งอื่นมาทดแทนวัตถุดิบในการทำอาหารก็จะ ทำให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้นด้วย 2. ครูควรเปิดโอกาสให้เด็กกล้าพูด กล้าแสดงออก โดยใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้เด็กรู้จักคิด และควรเป็นคำถามปลายเปิดที่เด็กสามารถตอบได้อย่างหลากหลาย 3. ครูควรเปิดโอกาสให้เด็กได้ผ่านขั้นตอนการทำอาหารทุกๆ ขั้นตอนเพื่อให้เด็กได้ ประสบการณ์ตรงจากการเรียนรู้จากประสาทสัมผัสทั้ง 5 จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการในด้านต่างๆ ของ เด็ก และส่งเสริมในการเรียนรู้ด้านอื่นๆ ด้วย 4. ครูต้องใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้เด็กรู้จักคิด สังเกต ยั่วยุให้เด็กอยากทดลองประกอบ อาหาร และเป็นคำถามปลายเปิดที่เด็กสามารถตอบได้อย่างหลากหลาย เพื่อขยายประสบการณ์การ เรียนรู้ของเด็ก 5. ครูควรเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ให้เหมาะสมปลอดภัย และมีจำนวนเพียงพอกับเด็ก สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม และมีการกระตุ้นให้เด็กเกิดการสนใจ และอยากลงมือทำอาหารด้วย ตนเอง โดยอยู่ในเงื่อนไขที่กำหนด เพื่อความปลอดภัย และครูต้องมีการยืดหยุ่นในการทำกิจกรรม และดูแลคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด 6. ในการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร อาหารบางชนิดมีการนำผักและผลไม้มาเป็นวัตถุดิบใน การทำ ครูอาจมีการปรับเปลี่ยนประเภทของผักและผลไม้ให้เหมาะสมตามสภาพแวดล้อมและฤดูกาล ได้ 7. การสอนในระดับปฐมวัยควรพัฒนาการด้านต่างๆ ทุกด้านไปพร้อมๆ กันมากกว่าการ มุ่งเน้นในด้านวิชาการ การจัดกิจกรรมควรเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง โดยให้เด็กมีส่วนร่วมกับครูในทุก ขั้นตอนในกิจกรรมอย่างทั่วถึงและให้มากที่สุด


64 ขอเสนอแนะในการทําวิจัยครั้งตอไป 1. ควรมีการศึกษาการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ เช่น การคิดแก้ปัญหา ด้านภาษา 2. ควรมีการศึกษาวิจัยถึงผลของการจัดกิจกรรมประกอบอาหารเพื่อพัฒนาทักษะทางด้าน อื่นๆ ของเด็กปฐมวัย เช่น ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะทางภาษา เป็นต้น 3. ควรมีการวิจัยต่อเนื่องเกี่ยวกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ในเด็กปฐมวัยกลุ่มตัวอย่าง เดียวกันเพื่อศึกษาถึงความเปลี่ยนแปลงของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่ชัดเจนขึ้น 4. ควรมีการศึกษาวิจัยถึงผลของการจัดกิจกรรมประกอบอาหารในด้านต่างๆ กับโรงเรียนใน ท้องถิ่น ซึ่งหลังจากการจัดกิจกรรมแล้วยังสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของโรงเรียน โดยสามารถ นำไปประยุกต์ใช้กับการจัดอาหารกลางวันสำหรับเด็กได้ เช่น การจัดบุฟเฟ่ต์อาหารให้เด็กๆ ได้เลือก ทานอาหารเอง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความภูมิใจให้กับเด็กอีกด้วย


65 บรรณานุกรม


66 บรรณานุกรม กรมวิชาการ. (2546). คูมือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 (สําหรับเด็กอายุ 3 - 5 ป). กรุงเทพฯ : หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมฯ. ขวัญนุช บุญยอง. (2546). การสงเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรของเด็กปฐมวัยโดยการเลา “นิทานคณิต”. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. คัทนีย์ แก้วมณี. (2544). การพัฒนาโปรแกรมการเรียนการสอนสําหรับเด็กวัยอนุบาลโดยใชศูนย การเรียนที่มีสัญญาการเรียน. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ถ่ายเอกสาร. จินตนาวรรณ เดือนฉาย. (2541). ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรของเด็กปฐมวัยที่ไดรับการจัด กิจกรรมศิลปะวาดภาพนอกหองเรียน. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. จีระพันธ์ พูลพัฒน์ และคำแก้ว ไกรสรพงษ์. (2543). การเรียนรูของเด็กปฐมวัยตามแนวคิดมอน เตสซอรี่. กรุงเทพฯ : อัมรินทร์พลินติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. ชมนาด เชื้อสุวรรณทวี. (2542). การสอนคณิตศาสตร. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. ชมพูนุท จันทรางกูร. (2549). ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรของเด็กปฐมวัยที่ไดรับการจัด กิจกรรมประกอบอาหารประเภทขนมไทย. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ชลลดา อุระสนิท. (2547). การพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรโดยใชการละเลนพื้นบาน ของไทย. วิทยานิพนธ์ ศศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). ขอนแก่น : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ขอนแก่น. ถ่ายเอกสาร. ณัฐนันท์ คัมภีร์ภัทร. (ม.ป.ป.). เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตรสําหรับเด็ก ปฐมวัย. กรุงเทพ : ภาควิชาการศึกษาปฐมวัย สถาบันราชภัฏสวนดุสิต. นิตยา ประพฤติกิจ. (2541). คณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ : โอ เอส.พริ้นติ้งเฮ้าส์. น้อมศรี เคท. (2549). การสอนวิทย – คณิตสําหรับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ : คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. เบญจา แสงมะลิ. (2545). การพัฒนาเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ. ปิยรัตน์ โพธิสอน. (2542). การพัฒนาความสามารถทางคณิตศาสตรของเด็กอนุบาลโดยใชการ ประเมินผลแบบพอรทโฟลิโอ. กรุงเทพ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.


67 บรรณานุกรม (ตอ) พร พันธ์โอสถ. (2543). การเรียนรูของเด็กปฐมวัยไทย : วอลดอรฟ. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์. พัชรี ผลโยธินและคณะ. (2543). การเรียนรูของเด็กปฐมวัย : ตามแนวคิดไฮสโคป. กรุงเทพฯ : อัมรินทร์พลินติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. เพ็ญจันทร์ เงียบประเสริฐ. (2542). คณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย. ภูเก็ต : คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏภูเก็ต. มูลนิธิชมรมไทย – อิสราเอลในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ. (2543). การเรียนรู ของเด็กปฐมวัย : ตามแนวการเรียนรูภาษาอยางธรรมชาติแบบองครวม. กรุงเทพฯ : พริกหวานกราฟฟิค. เยาวพา เดชะคุปต์. (2542). กิจกรรมสําหรับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพ : เจ้าพระยาระบบการพิมพ์. ราศี ทองสวัสดิ์. (2542). หลักการจัดการศึกษาระดับกอนประถมศึกษา : ในเอกสารประกอบการ อบรมครูโรงเรียนเอกชนระดับกอนประถมศึกษา. หน้า 1 – 9. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว. วาศิล (นามแฝง). (2543). แสนสนุกทํา cooking รักลูก : Kids & School. 1(11) : 26 – 29. วาโร เพ็งสวัสด์. (2542). การวิจัยทางการศึกษาปฐมวัย. สกลนคร : โปรแกรมวิชาการวัดผล การศึกษา คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏสกลนคร. วัฒนา ธรจักร. (2544). ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรของเด็กปฐมวัยที่ไดรับการจัด ประสบการณดวยกิจกรรมเกมการศึกษาประกอบการประเมินสภาพจริง. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วัลนา ธรจักร. (2544). ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรของเด็กปฐมวัยที่ไดรับการจัดประสบการณ ดวยกิจกรรมเกมการศึกษาประกอบการประเมินสภาพจริง. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. วไลพร พงศ์ศรีทัศน์. (2538). ผลของการจัดผลประสบการณแบบปฏิบัติการทดลองประกอบ อาหารกับแบบปกติที่มีตอทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรของเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ. ศรินยา ทรัพย์วารี. (2552). ผลของการจัดกิจกรรมประกอบอาหารที่มีตอทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตรของเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : บัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.


68 บรรณานุกรม (ตอ) ศรีสุดา คัมภีร์ภัทร. (2534). ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรและความเชื่อมั่นในตนเองของเด็ก ปฐมวัยที่ไดรับการจัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะที่เนนองคประกอบพื้นฐาน. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ. สุจินดา ขจรรุ่งศิลป์และธิดา พิทักษ์สินสุข. (2543). การเรียนรูของเด็กปฐมวัยไทยตามแนวคิด เรกจิโอ เอมิเลีย. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์. (2545). การวัดและประเมินแนวใหม : เด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สรรพมงคล จันทร์ดัง. (2544). การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรของเด็กปฐมวัยที่ ไดรับการจัดประสบการณทางคณิตศาสตรดวยโปรแกรมคอมพิวเตอรชวยสอนทาง คณิตศาสตรดวยโปรแกรมคอมพิวเตอรชวยสอนทางคณิตศาสตรแบบรายคูและแบบ รายบุคคล. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. อำพวรรณ์ เนียมคำ. (2545). ผลการจัดประสบการณแบบโครงการที่มีตอความสามารถทาง คณิตศาสตรของเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. อารีรัตน์ ญาณะศร. (2544). พฤติกรรมความรวมมือของเด็กปฐมวัยที่ไดรับการจัดประสบการณ การประกอบอาหารเปนกลุม. Bryant, C.K and HR. Unngeriordu. (1977). “An Analysis of Strategles for Teaching Environmental Concepts and Values Clarfication in Kindergarten". Joumal of Enviromental Educatian. 9(1): 4 49 : fall Corwin, V.W. (1978). "A Comparision of Learning Geomatry with or Without Laboratory Activities using Manipulatives Aids and Paper Eolding Techniques". Dissertation Abstracts. 11: 6584 – A – 6585 – A Hong,H. (1996). Effects of mathematics learing through children Iiterature on math Achievement and dispositional outcomes. Earty Chidhood Rassarch Quarterty. 11 : 477 – 494


69 บรรณานุกรม (ตอ) Jackman, H.L. (1997). Early Education Cumicolum : A Chid's Connection to The Word. Albany. New York : Delmar. Kiroma, Anna & Bhargava, Ambiha. (2002). Leaming to Guide Preschool Children's Mathematical Understanding : A Teacher's Professional Growth. (Online). : http://www.ecrp.uiuc.edu/4n1/kirova.html.


70 ภาคผนวก


71 ภาคผนวก ก - คูมือดําเนินการประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย - แบบประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย


72 คูมือดําเนินการ ประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย ลักษณะทั่วไปของแบบประเมิน 1. แบบประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยนี้ ผู้วิจัยสร้างขึ้น เพื่อใช้สำหรับ การประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านการรู้จำนวน การชั่งตวง และการจำแนกเปรียบเทียบ ของเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 (อายุ 4 - 5 ปี) โดยการจัดกิจกรรมการประกอบอาหาร โดยเป็นการประเมิน รายบุคคล 2. แบบประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ประกอบด้วยชุดคำถาม 3 ชุด ซึ่งรวมทั้งสิ้น 30 ข้อ และเป็นการประเมินโดยการสร้างสถานการณ์แล้วให้เด็กลงมือปฏิบัติจริงด้วย ตนเอง ซึ่งคำถาม 3 ชุด จำแนก ดังนี้ ชุดที่ 1 การรู้จำนวน จำนวน 5 ข้อ ชุดที่ 2 การชั่งตวง จำนวน 5 ข้อ ชุดที่ 3 การจำแนกเปรียบเทียบ จำนวน 5 ข้อ การตรวจให้คะแนนความถูกต้อง แบบประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย มีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ถ้าปฏิบัติและตอบได้ถูกต้อง ได้ 1 คะแนน ได้ 1 คะแนน 0 ถ้าปฏิบัติไม่ได้ หรือตอบผิด ได้ 0 คะแนน กําหนดเวลาในการประเมิน ระยะเวลาที่ใช้ในการประเมินกำหนดให้ข้อละ 1 นาที ถ้าเด็กเสร็จก่อนให้เริ่มประเมินในข้อ ต่อไปได้เลย การเก็บคะแนน การเก็บคะแนน ผู้วิจัยจะทำการเก็บคะแนนโดยการตรวจให้คะแนนจากการปฏิบัติกิจกรรม ตามสถานการณ์ และบันทึกคะแนนทันทีหลังการประเมินสถานการณ์นั้น การเตรียมการประเมิน 1. ผู้ดำเนินการประเมินศึกษาแบบประเมินให้เข้าใจทั้งหมด โดยพยายามใช้ภาษาชัดเจน และเป็นธรรมชาติกับเด็ก 2. จัดเตรียมสถานการณ์ และวัสดุ อุปกรณ์แต่ละข้อให้พร้อมสำหรับการประเมิน 3. ให้เด็กเข้าทำการประเมินครั้งละ 1 คน


73 วิธีดําเนินการประเมิน 1. ผู้ดำเนินการประเมินสร้างสัมพันธภาพจึงเริ่มดำเนินการประเมิน 2. ดำเนินการประเมินตามลำดับ 3. ในขณะดำเนินการประเมิน เมื่อผู้เข้ารับการประเมินทำเสร็จ ผู้ดำเนินการจะทำการบันทึก คะแนนลงในแบบบันทึกคะแนน 4. ให้เวลาผู้เข้ารับการประเมินในการทำแต่ละข้อ 1 นาที หากผู้เข้ารับการประเมินทำเสร็จ ให้เริ่มประเมินในข้อต่อไปได้เลย วัสดุ และอุปกรณที่ใชในการประเมิน 1. คู่มือดำเนินการประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย 2. วัสดุ และอุปกรณ์ที่กำหนดไว้ในแต่ละข้อในรายการการประเมิน 3. แบบบันทึกคะแนน 4. นาฬิกาสำหรับจับเวลา


74 แบบประเมินทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย ชุดที่ 1 การรูจํานวน สถานการณ์ที่ใช้ประเมิน 1. จงทำเครื่องหมาย / ลงในช่องมีจำนวน 4 ให้ถูกต้อง 2. จงทำเครื่องหมาย / ลงในช่องมีจำนวน 1 ให้ถูกต้อง 3. จงทำเครื่องหมาย / ลงในช่องมีจำนวน 7 ให้ถูกต้อง 4. จงทำเครื่องหมาย / ลงในช่องมีจำนวนน้อยกว่า 6 ให้ถูกต้อง 5. จงนับจำนวนอาหารแล้วเติมลงในช่องว่างให้ถูกต้อง =


75 ชุดที่ 2 การชั่งตวง สถานการณ์ที่ใช้ประเมิน หมายเหตุ ประเมินจากการปฏิบัติจริง 1. นำภาชนะใส่น้ำ แก้วตวง ให้เด็กตวงน้ำตามที่ครูกำหนด จำนวน 1 ถ้วย 2 ช้อนโต๊ะ 2. นำแก้วใส่น้ำที่มีเส้นกำหนดไว้ ให้เด็กใส่น้ำให้มีปริมาณเท่าเส้นที่กำหนดไว้ 3. นำน้ำตาลใส่ภาชนะไว้ ให้เด็กตวงน้ำตาลตามที่ครูกำหนด จำนวน 5 ช้อนโต๊ะ


76 4. นำน้ำปลาและน้ำตาลใส่ภาชนะไว้ ให้เด็กตวงตามที่ครูกำหนด น้ำปลาจำนวน 5 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 3 ช้อนชา 5. นำน้ำมะนาวใส่ภาชนะไว้ ให้เด็กตวงตามที่ครูกำหนด จำนวน 8 ช้อนโต๊ะ


77 ชุดที่ 3 การจําแนกเปรียบเทียบ สถานการณ์ที่ใช้ประเมิน 1. จงวงกลม รูปภาพแฮมเบอร์เกอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเล็กที่สุด 2. จงวงกลม รูปภาพแซนวิชที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเล็กที่สุด 3. จงวงกลม รูปภาพขนมปังไส้กรอกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเล็กที่สุด 4. จงทำเครื่องหมาย / ลงในช่องที่มีน้ำหนักมากกว่า


78 5. จงทำเครื่องหมาย / ลงในช่องที่มีน้ำหนักน้อยกว่า


79 ภาคผนวก ข - คูมือการใชแผนการจัดประสบการณการประกอบอาหาร - ตัวอยางแผนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณประกอบอาหาร


80 คูมือการใชแผนการจัดประสบการณการประกอบอาหาร หลักการและเหตุผล การส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ให้กับเด็กปฐมวัย สามารถส่งเสริมได้หลายวิธี และ วิธีหนึ่งที่สามารถส่งเสริมสามารถจัดให้กับเด็กได้ คือ การจัดกิจกรรมประกอบอาหาร แผนการจัด ประสบการณ์ประกอบอาหารที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นการจัดประสบการณ์ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ เรียนรู้ จากประสบการณ์ตรง เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ในการจำแนกเปรียบเทียบ การชั่งตวง และการรู้ จำนวน ทั้งนี้เพื่อให้เด็กได้มีการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ โดยครูมีบทบาทในการจัด สภาพแวดล้อมและบรรยากาศในการเรียนรู้ โดยจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ การใช้คำถามเชิง เปรียบเทียบเพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดทักษะการจำแนกเปรียบเทียบ การชั่งตวง และการรู้จำนวน โดยจัด กิจกรรมสัปดาห์ละ 3 วัน คือ วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ ทั้งนี้เพื่อให้เด็กได้พัฒนาทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ในระดับสูงต่อไป วัตถุประสงค 1. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โดยใช้การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่ม 2. เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โดยใช้การจัดกิจกรรมประกอบอาหารแบบกลุ่มระหว่างก่อนและหลังจัดกิจกรรม เนื้อหา การจัดกิจกรรมประกอบอาหารเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ใน ด้านการจำแนกเปรียบเทียบ ด้านการชั่งตวง ด้านการรู้จำนวน โดยที่เด็กได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมการ ประกอบอาหารด้วยตนเองจากวัสดุอุปกรณ์จริง เกณฑในการเลือกอาหารสําหรับเด็ก อาหารที่ให้เด็กทำต้องปรุงง่าย และให้คุณค่าทางโภชนาการอาหาร ทั้งนี้เพราะเมื่อทำเสร็จ แล้วเด็กต้องได้กินอาหารที่ทำขึ้นมาด้วย ชนิดอาหารคาวที่เลือกให้เด็กควรประกอบด้วยส่วนประกอบ ของอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ส่วนอาหารหวานหรือเครื่องดื่มควรเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ หลักการจัดกิจกรรม 1. การจัดประสบการณ์การประกอบอาหารจัดในช่วงกิจกรรมเสริมประสบการณ์ สัปดาห์ละ 3 วัน ได้แก่ วันพุธ วันพฤหัสบดีวันศุกร์รวมทั้งสิ้น 8 สัปดาห์ 2. ลักษณะของการจัดกิจกรรมประกอบอาหารเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เป็นการจัดให้เด็กปฐมวัยได้มีประสบการณ์ตรงในการประกอบอาหาร โดยเปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้สื่อ


81 อุปกรณ์ของจริงที่หลากหลาย เน้นให้เด็กได้ใช้ด้านการจำแนกเปรียบเทียบ ด้านการชั่งตวง ด้านการรู้ จำนวน โดยมีกระบวนการในการทำกิจกรรม 3 ขั้นตอน คือ ขั้นนำ ขั้นดำเนินการ และขั้นสรุป 3. ก่อนการทดลอง 1 สัปดาห์ สร้างความคุ้นเคยกับเด็ก สัปดาห์ที่ 1 – 8 ดำเนินการจัด กิจกรรมเสริมประสบการณ์การทดลองการประกอบอาหาร วิธีดําเนินกิจกรรม การจัดกิจกรรมการประกอบอาหารเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์จะแบ่งเด็ก ออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 3 – 4 คน ซึ่งมีรายละเอียดในการดำเนินกิจกรรม ดังนี้ ขั้นนํา 1. นำเข้าสู่กิจกรรมด้วยการสนทนา การร้องเพลง การท่องคำคล้องจอง ปริศนา คำทาย หรือ การใช้สื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดความสนใจและสร้างความพร้อมก่อนเริ่มกิจกรรม ขั้นดําเนินการ 1. ครูให้เด็กเลือกเข้ากลุ่มตามขั้นตอนทางคณิตศาสตร์ กลุ่มละ 3 – 4 คน 2. ครูแนะนำชื่ออาหาร เครื่องปรุง วัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้ในการประกอบอาหาร โดยเน้นให้เด็ก ได้สังเกตการจำแนกเปรียบเทียบ การชั่งตวง และการรู้จำนวน จากวัสดุอุปกรณ์ และส่วนผสมที่ใช้ใน การประกอบอาหาร 3. ครูและเด็กร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับขั้นตอนการทำกิจกรรมประกอบอาหาร และสาธิตถึง วิธีการทำอาหาร 4. ครูและเด็กร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับข้อตกลงเบื้องต้น เกี่ยวกับข้อปฏิบัติและข้อควรระวัง ในขณะปฏิบัติกิจกรรมประกอบอาหาร 5. ครูให้เด็กแต่ละกลุ่มวางแผนแบ่งหน้าที่ในการทำกิจกรรมประกอบอาหารร่วมกัน 6. ตัวแทนเด็กแต่ละกลุ่มออกมารับวัสดุอุปกรณ์ แล้วลงมือทำกิจกรรมตามที่ได้วางแผนไว้ โดยครูมีบทบาทในการให้คำแนะนำ และกระตุ้นให้เด็กได้จำแนกเปรียบเทียบ ชั่งตวง และรู้จำนวน 7. เมื่อทำกิจกรรมเสร็จแล้ว ให้ทุกคนแต่ละกลุ่มร่วมกันเก็บอุปกรณ์และทำความสะอาด สถานที่ให้เรียบร้อย ขั้นสรุป เด็กและครูร่วมกันสรุปขั้นตอนในการประกอบอาหาร โดยที่ครูใช้คำถามปลายเปิดกระตุ้นให้ เด็กเสนอผลงานและทบทวนกระบวนการทำงาน บทบาทครู 1. ศึกษาแผนการจัดกิจกรรมการประกอบอาหาร และวิธีทำให้เข้าใจอย่างชัดเจน ก่อนลงมือ จัดกิจกรรม


82 2. จัดเตรียมสิ่งแวดล้อม และบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ โดยครูจัดหาวัสดุอุปกรณ์ ต่างๆ ให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง โดยเน้นให้เด็กจำแนกเปรียบเทียบ ชั่งตวง และรู้จำนวน ในกระบวนการต่างๆ ในการประกอบอาหาร 3. นำเข้าสู่กิจกรรมด้วยการสนทนา การร้องเพลง การท่องคำคล้องจอง ปริศนาคำทาย โดย ใช้สื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดการสนใจ และมีความพร้อมก่อนเข้าสู่กิจกรรม 4. แนะนำส่วนผสมและวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการประกอบอาหาร 5. สนทนาเกี่ยวกับขั้นตอนการประกอบอาหาร และสาธิตวิธีการประกอบอาหาร 6. อธิบายข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับสิ่งที่ควรปฏิบัติ และข้อควรระวังในการใช้วัสดุอุปกรณ์ ต่างๆ ในการประกอบอาหาร 7. ครูใช้คำถามเชิงเปรียบเทียบกระตุ้นให้เด็กได้จำแนกเปรียบเทียบ ชั่งตวง และรู้จำนวนกับ เด็กทุกกลุ่ม ขณะประกอบอาหาร 8. ครูให้การสนับสนุนและให้การช่วยเหลือเด็กในรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสม บทบาทของเด็ก 1. มีการวางแผนการประกอบอาหารร่วมกัน 2. ลงประกอบอาหารตามที่กลุ่มวางแผนไว้ 3. เด็กแต่ละกลุ่มแสดงความคิดเห็นถึงผลที่ได้จากการประกอบอาหาร ตารางรายการอาหาร การจัดประสบการณ์ประกอบอาหารใช้ระยะเวลา 8 สัปดาห์ๆ ละ 3 วัน ดังนี้ สัปดาหที่ วันที่ 1 วันที่ 2 วันที่ 3 1 สลัดไก่ ขนมจีบหมู ข้าวโพดคลุก 2 น้ำส้มคั้น ไข่ตุ๋นทรงเครื่อง สลัดผลไม้ 3 แซนวิช ยำไส้กรอก น้ำส้มคั้น 4 ไข่เจียวหมีห่อผ้า น้ำแตงโมปั่น วุ้นผลไม้ 5 บัวลอยแฟนซี เต้าหู้ทรงเครื่อง น้ำสับปะรด 6 บาบีคิว ขนมปังแต่งหน้า สลัดโยเกิร์ตผลไม้ 7 กล้วยทอด ข้าวผัดกุ้ง น้ำแอปเปิ้ลปั่น 8 เปาะเปี๊ยะทอดกรอบ วุ้นมะพร้าวใบเตย ผักทอดหลากสี


83 แผนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณประกอบอาหาร เมนู “ขนมจีบหมู” ชั้นอนุบาลปที่ 2 สัปดาหที่ 1 ครั้งที่ 2 เวลา 1 ชั่วโมง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 1. จุดประสงคการเรียนรู 1) เพื่อให้เด็กสามารถฝึกการจำแนกเปรียบเทียบ การชั่งตวง และการรู้จำนวนได้ 2) เพื่อให้เด็กสามารถรู้จักวัสดุอุปกรณ์และใช้วัสดุอุปกรณ์ทำขนมจีบหมูได้ 3) เพื่อให้เด็กทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้ 2. ขั้นตอนดําเนินกิจกรรม ขั้นนํา (10 นาที) 1) ครูและเด็กร่วมกันร้องเพลง “ขนมจีบ” พร้อมทำท่าทางประกอบเพลง 2) ครูและเด็กร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับเพลง “ขนมจีบ” ขั้นดําเนินการ (40 นาที) 1) ครูใช้เพลง “ชายทะเล” เพื่อแบ่งกลุ่มละ 3 – 4 คน 2) ครูแนะนำส่วนผสม และวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำขนมจีบหมู และครูสาธิตวิธีการทำ 3) ครูและเด็กร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับข้อตกลงเบื้องต้นที่ควรปฏิบัติขณะทำกิจกรรม ได้แก่ - ล้างมือก่อนและหลังการทำกิจกรรมทุกครั้ง - ไม่พูดคุยเสียงดังหรือเล่นกันขณะประกอบอาหาร - ระมัดระวังอันตรายจากมีด และความร้อน - หลังทำกิจกรรมแล้วช่วยกันเก็บอุปกรณ์ของกลุ่ม และทำความสะอาดให้เรียบร้อย 4) เด็กแต่ละกลุ่มแบ่งหน้าที่กันในการทำขนมจีบหมู 5) ครูให้ตัวแทนเด็กออกมารับอุปกรณ์ แล้วลงมือทำขนมจีบหมู 6) เด็กทำขนมจีบหมูร่วมกับเพื่อนในกลุ่ม 7) เมื่อเด็กทำขนมจีบหมูเสร็จแล้ว ครูให้เด็กช่วยกันล้างและเก็บอุปกรณ์ ขั้นสรุป (10 นาที) 1) ครูให้เด็กนั่งรวมกลุ่ม และร่วมสรุปขั้นตอนในการทำขนมจีบหมู 2) ครูให้เด็กทุกกลุ่มนำขนมจีบหมูมารวมกัน แล้วครูใช้คำถาม ดังต่อไปนี้ - วัตถุดิบที่ใช้มีสีอะไรบ้าง - ลองดูจำนวนชิ้นขนมจีบหมูของแต่ละจานว่ามีกี่ชิ้น


84 - ขนมจีบหมูของแต่ละกลุ่มมีรูปร่างอย่างไร 3. สื่อประกอบการจัดกิจกรรม 1) คำคล้องจอง “ขนมจีบ” 2) ส่วนผสมในการทำขนมจีบหมู 3) อุปกรณ์สำหรับใช้ประกอบอาหาร 4. การวัดและประเมินผล สังเกต 1) พฤติกรรมขณะปฏิบัติงาน 2) การสนทนาโต้ตอบ 3) การจำแนกเปรียบเทียบ การชั่งตวง และการรู้จำนวน 5. ภาคผนวก 1) เพลง “ขนมจีบ” เพลง ขนมจีบ ผู้แต่ง : ไม่ทราบนามผู้แต่ง ขนมจีบ ขนมจีบ ขนมจีบ ซาลาเปา ซาลาเปา ซาลาเปา ไก่สับ ไก่สับ ไก่สับ แล้วก็เป็นข้าวต้มมัด 2) สูตรการทำขนมจีบหมู สวนผสม - แผ่นเกี๊ยว 1 ห่อ (ชนิดบาง สำหรับห่อขนมจีบ) - หมูสับ 500 กรัม - ไข่ไก่ 1 – 2 ฟอง - แป้งมัน 2 – 3 ช้อนโต๊ะ - กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ - หอมแดง 2 ช้อนโต๊ะ - น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ - น้ำมันงา 1 ช้อนชา - ซีอิ๊วขาวเห็ดหอม 2 ช้อนชา - น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ - ผงปรุงรส 1 ช้อนชา


85 - น้ำเย็น หรือน้ำแข็ง ½ ถ้วย - แครอทสับ 1 ถ้วย - ต้นหอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทํา 1) เตรียมเครื่องบดสับ ใส่เนื้อหมูสับลงไปปั่นให้ละเอียด ใส่ไข่ไก่ แป้งมัน กระเทียมสับ หอมแดงสับ น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาวเห็ดหอม น้ำมันหอย น้ำมันงา ปั่นให้ละเอียดเข้ากันดี ใส่แครอท สับ ต้นหอมซอย ผสมพอเข้ากัน แล้วตักพักไว้ในตู้เย็นประมาณ 10 – 20 นาที ถ้าอยากให้เหนียวหนึบ ขึ้นให้นวดด้วยมืออีกรอบก่อนห่อขนมจีบ 2) นำแผ่นแป้งมาตัดมุมให้เป็นวงกลม เตรียมถาดวางขนมจีบ รองด้วยใบตอง ทาน้ำมันที่ได้ จากการเจียวกระเทียม ทาลงบางๆ ให้ทั่ว 3) นำเอาแผ่นแป้งทาขอบขนมจีบ แล้วจึงตักไส้ใส่ลงไปลงกลาง จับให้เป็นจีบ เป็นคำๆ วาง เรียงใส่ถาดไว้ก่อน 4) เตรียมซึ้งรองด้วยใบตอง แล้วทาใบตองด้วยน้ำมันที่ได้จากการเจียวกระเทียม 5) นำขนมจีบมาเรียงเว้นให้มีระยะห่าง เพื่อทำให้สุกทั่วถึง แล้วนึ่งขนมจีบประมาณ 5 – 10 นาที ทาน้ำมันเจียวกระเทียมให้ทั่วๆ แล้วนึ่งต่ออีก 1 นาที 6) ขนมจีบหมูสับเสร็จเรียบร้อยจัดใส่จาน โรยกระเทียมเจียวกรอบๆ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม จิ๊ก โฉ่ว ผักสดผักชี ผักกาดหอม


86 แผนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณประกอบอาหาร เมนู “สลัดผลไม” ชั้นอนุบาลปที่ 2 สัปดาหที่ 2 ครั้งที่ 3 เวลา 1 ชั่วโมง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 1. จุดประสงคการเรียนรู 1) เพื่อให้เด็กสามารถฝึกการจำแนกเปรียบเทียบ การชั่งตวง และการรู้จำนวนได้ 2) เพื่อให้เด็กสามารถรู้จักวัสดุอุปกรณ์และใช้วัสดุอุปกรณ์ทำสลัดผลไม้ได้ 3) เพื่อให้เด็กทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้ 2. ขั้นตอนดําเนินกิจกรรม ขั้นนํา (10 นาที) 1) ครูและเด็กร่วมกันท่องคำคล้องจอง “ผลไม้แสนอร่อย” 2) ครูและเด็กร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับลักษณะและประโยชน์ของผลไม้ โดยใช้คำถามต่อไปนี้ - ผลไม้ที่ครูหยิบได้มีสีอะไรบ้าง - ลักษณะของผลไม้แต่ละชนิดเป็นอย่างไร - เด็กๆ คิดว่าผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอย่างไร ขั้นดําเนินการ (40 นาที) 1) ครูจับสลากสัญลักษณ์ของเด็ก เพื่อแบ่งกลุ่มละ 3 – 4 คน 2) ครูแนะนำส่วนผสม และวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำสลัดผลไม้และครูสาธิตวิธีการทำ 3) ครูและเด็กร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับข้อตกลงเบื้องต้นที่ควรปฏิบัติขณะทำกิจกรรม ได้แก่ - ล้างมือก่อนและหลังการทำกิจกรรมทุกครั้ง - ไม่พูดคุยเสียงดังหรือเล่นกันขณะประกอบอาหาร - ระมัดระวังอันตรายจากมีด และความร้อน - หลังทำกิจกรรมแล้วช่วยกันเก็บอุปกรณ์ของกลุ่ม และทำความสะอาดให้เรียบร้อย 4) เด็กแต่ละกลุ่มแบ่งหน้าที่กันในการทำสลัดผลไม้ 5) ครูให้ตัวแทนเด็กออกมารับอุปกรณ์ แล้วลงมือทำสลัดผลไม้ 6) เด็กทำสลัดผลไม้ร่วมกับเพื่อนในกลุ่ม 7) เมื่อเด็กทำสลัดผลไม้เสร็จแล้ว ครูให้เด็กช่วยกันล้างและเก็บอุปกรณ์ ขั้นสรุป (10 นาที) 1) ครูให้เด็กนั่งรวมกลุ่ม และร่วมสรุปขั้นตอนในการทำสลัดผลไม้


87 2) ครูให้เด็กทุกกลุ่มนำสลัดผลไม้มารวมกัน แล้วครูใช้คำถาม ดังต่อไปนี้ - สลัดผลไม้ของแต่ละกลุ่มมีใช้ผลไม้อะไรบ้าง - ส่วนผสมของสลัดผลไม้มีกี่อย่าง - เด็กๆ ช่วยกันเรียงปริมาณสลัดผลไม้จากจานที่มากที่สุดไปน้อยที่สุด 3. สื่อประกอบการจัดกิจกรรม 1) คำคล้องจอง “ผลไม้แสนอร่อย” 2) ส่วนผสมในการทำสลัดผลไม้ 3) อุปกรณ์สำหรับใช้ประกอบอาหาร 4. การวัดและประเมินผล สังเกต 1) พฤติกรรมขณะปฏิบัติงาน 2) การสนทนาโต้ตอบ 3) การจำแนกเปรียบเทียบ การชั่งตวง และการรู้จำนวน 5. ภาคผนวก 1) คำคล้องจอง “ผลไม้แสนอร่อย” คำคล้องจอง ผลไม้แสนอร่อย ผู้แต่ง : ไม่ทราบนามผู้แต่ง ผลไม้ของไทย ใครใครก็ชอบ ทั้งหวาน ทั้งกรอบ ชอบกัน หนักหนา ฝรั่ง มังคุด ละมุด พุทธา อีกทั้ง น้อยหน่า หนูจ๋า น่าทาน 2) สูตรการทำสลัดผลไม้ สวนผสม - เมลอน 20 ชิ้น - แตงโม 20 ชิ้น - องุ่นแดง 10 ลูก - แอปเปิลเขียว 1 ลูก - สตรอว์เบอร์รี 5 ลูก - ผักสลัด 1 กำ


88 - น้ำครีมสลัด วิธีทํา 1) นำเมลอนใส่ลงในชามผสม ตามด้วยแตงโม องุ่นแดง แอปเปิลเขียว สตรอว์เบอร์รี จากนั้นนำน้ำสลัดราดลงไปบนผลไม้ แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน


89 แผนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณประกอบอาหาร เมนู “แซนวิช” ชั้นอนุบาลปที่ 2 สัปดาหที่ 3 ครั้งที่ 1 เวลา 1 ชั่วโมง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 1. จุดประสงคการเรียนรู 1) เพื่อให้เด็กสามารถฝึกการจำแนกเปรียบเทียบ การชั่งตวง และการรู้จำนวนได้ 2) เพื่อให้เด็กสามารถรู้จักวัสดุอุปกรณ์และใช้วัสดุอุปกรณ์ทำแซนวิชได้ 3) เพื่อให้เด็กทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้ 2. ขั้นตอนดําเนินกิจกรรม ขั้นนํา (10 นาที) 1) ครูและเด็กร่วมกันท่องคำคล้องจอง “แซนวิช” 2) ครูและเด็กร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับลักษณะและส่วนผสมของแซนวิช โดยใช้คำถาม ต่อไปนี้ - แซนวิชมีส่วนผสมอะไรบ้าง - ลักษณะของแซนวิชมีกี่ชั้น - เด็กๆ คิดว่าแซนวิชมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอย่างไร ขั้นดําเนินการ (40 นาที) 1) ครูให้เด็กเลือกสีที่ชอบ เพื่อแบ่งกลุ่มละ 3 – 4 คน 2) ครูแนะนำส่วนผสม และวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำแซนวิช และครูสาธิตวิธีการทำ 3) ครูและเด็กร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับข้อตกลงเบื้องต้นที่ควรปฏิบัติขณะทำกิจกรรม ได้แก่ - ล้างมือก่อนและหลังการทำกิจกรรมทุกครั้ง - ไม่พูดคุยเสียงดังหรือเล่นกันขณะประกอบอาหาร - ระมัดระวังอันตรายจากมีด และความร้อน - หลังทำกิจกรรมแล้วช่วยกันเก็บอุปกรณ์ของกลุ่ม และทำความสะอาดให้เรียบร้อย 4) เด็กแต่ละกลุ่มแบ่งหน้าที่กันในการทำแซนวิช 5) ครูให้ตัวแทนเด็กออกมารับอุปกรณ์ แล้วลงมือทำแซนวิช 6) เด็กทำแซนวิชร่วมกับเพื่อนในกลุ่ม 7) เมื่อเด็กทำแซนวิชเสร็จแล้ว ครูให้เด็กช่วยกันล้างและเก็บอุปกรณ์


90 ขั้นสรุป (10 นาที) 1) ครูให้เด็กนั่งรวมกลุ่ม และร่วมสรุปขั้นตอนในการทำแซนวิช 2) ครูให้เด็กทุกกลุ่มนำแซนวิชมารวมกัน แล้วครูใช้คำถาม ดังต่อไปนี้ - แซนวิชของแต่ละกลุ่มมีการใช้อะไรบ้าง - ส่วนผสมของแซนวิชมีกี่อย่าง - เด็กๆ ช่วยกันเรียงปริมาณชั้นของแซนวิชจากจานที่มากที่สุดไปน้อยที่สุด 3. สื่อประกอบการจัดกิจกรรม 1) คำคล้องจอง “แซนวิช” 2) ส่วนผสมในการทำแซนวิช 3) อุปกรณ์สำหรับใช้ประกอบอาหาร 4. การวัดและประเมินผล สังเกต 1) พฤติกรรมขณะปฏิบัติงาน 2) การสนทนาโต้ตอบ 3) การจำแนกเปรียบเทียบ การชั่งตวง และการรู้จำนวน 5. ภาคผนวก 1) คำคล้องจอง “แซนวิช” คำคล้องจอง แซนวิช ผู้แต่ง : ไม่ทราบนามผู้แต่ง แซนวิชเด็กๆ ทำเป็น เพราะเคยเห็นคุณครูทำไว้ ฮอทดอก ผัก ปูอัดวางไว้ แซนวิชจากใจแสนอร่อยจริง 2) สูตรการทำแซนวิช สวนผสม - ฮอทดอก 3 ชิ้น - ปูอัด 3 ชิ้น - แฮม 3 แผ่น - ผักสลัด - แครอทหั่นฝอย - มายองเนส


91 วิธีทํา 1) นำขนมปังแผ่นแรกมาวางเป็นฐาน และใส่ผักสลัดลงไปจากนั้นนำฮอทดอก ปูอัด แฮม พร้อมทั้งปิดมายองเนส แล้วนำขนมปังอีกแผ่นมาปิดข้างบนเป็นอันเสร็จ


92 ภาคผนวก ค บัญชีรายชื่อผูเชี่ยวชาญ


Click to View FlipBook Version