เอกสาร วปอ. หมายเลข ๐๐๖
ค่มู อื การเขียนเอกสารวิจัยส่วนบคุ คล
และบทความทางวชิ าการ
ของ
วิทยาลัยป้องกนั ราชอาณาจกั ร
หลกั สตู รการป้องกนั ราชอาณาจักร (วปอ.)
ฉบบั ปรบั ปรงุ ตลุ าคม ๒๕๖๔
เ อ ก ส า ร ฉ บั บ นี้ เ ป็ น ลิ ข สิ ท ธ์ิ ข อ ง วิ ท ย า ลั ย
ป้องกันราชอาณาจักรฯ การท้าซ้า หรือการดัดแปลง
และการเผยแพร่ต่อสาธารณชน ตามความหมายใน
พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ ลิ ข สิ ท ธิ์ พ . ศ . ๒ ๕ ๓ ๗ จ ะ ต้ อ ง
ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้อ้านวยการ
วิทยาลัยปอ้ งกันราชอาณาจกั รฯ
วทิ ยาลัยปอ้ งกนั ราชอาณาจกั ร
สถาบนั วิชาการปอ้ งกันประเทศ
ลิขสิทธข์ิ อง วทิ ยาลยั ปอ้ งกันราชอาณาจักร ฯ
พมิ พแ์ จก นกั ศกึ ษาวิทยาลัยป้องกนั ราชอาณาจักร
ปที พ่ี ิมพ์ ตลุ าคม ๒๕๖๔
จ้านวนพิมพ์ ๕๐๐ เลม่
ก หน้า
สารบญั ๑
บทท่ี ๑ บทนา ๑
บทที่ ๒
บทที่ ๓ ความมุง่ หมายของการเขียนเอกสารวิจัยสว่ นบคุ คล ๒
คุณลกั ษณะของเอกสารวจิ ัยสว่ นบุคคล ๓
อาจารย์ทป่ี รึกษาการจัดทาเอกสารวจิ ัยส่วนบคุ คล ๓
แนวทางปฏิบตั ใิ นการเขยี นเอกสารวิจัยส่วนบคุ คล ๘
สว่ นประกอบของเอกสารวจิ ยั สว่ นบุคคล ๑๓
ข้นั ตอนการจัดทาเอกสารวจิ ยั ส่วนบคุ คลของนักศกึ ษา วปอ. ๑๖
การแถลงเอกสารวจิ ยั สว่ นบคุ คล ๑๗
รางวลั เอกสารวจิ ัยสว่ นบุคคล ๑๙
จรรยาบรรณนักวิจัย ๒๑
การเขยี นโครงการวจิ ัย ๒๑
หัวข้อโครงการวจิ ยั ๒๑
คาแนะนาการเขยี นโครงการวจิ ยั ๒๘
หนงั สอื นาสง่ โครงการวจิ ยั ๒๙
รูปแบบการจดั พมิ พ์โครงการวจิ ัย ๓๑
รปู แบบการจัดพมิ พ์โครงเรอ่ื ง ๓๒
ตวั อย่างการเขียนโครงการวิจยั และโครงเรอ่ื ง ๔๑
ตัวอยา่ งกรอบแนวคิดของการวิจัย ๔๒
การจดั พมิ พ์เอกสารวจิ ัยส่วนบคุ คล ๔๒
๔๓
การใชต้ ัวพมิ พ์ ๔๓
การใช้กระดาษพมิ พ์ ๔๕
การเวน้ ว่างรมิ ขอบกระดาษ ๔๕
การเว้นระยะการพิมพ์ ๔๖
การลาดบั หน้า ๔๘
การพิมพบ์ ท หวั ขอ้ สาคัญ หัวขอ้ ย่อย และเน้ือหา ๔๘
ตาราง และแผนภาพ
อญั พจน์
ข
สารบญั (ต่อ) หน้า
๕๑
บทที่ ๔ การอา้ งองิ
๕๑
การอา้ งองิ แบบแทรกอยใู่ นเนื้อเรอื่ ง ๕๕
การอ้างองิ แบบเชิงอรรถ
๖๕
บทที่ ๕ การเขียนบรรณานกุ รม
๖๕
หลกั เกณฑก์ ารจดั ทาบรรณานกุ รม ๖๗
๗๒
รูปแบบการจดั ทาบรรณานกุ รม ๗๓
การเรียงลาดับบรรณานกุ รม ๗๖
ตวั อยา่ งการจัดเรียงบรรณานุกรม ๗๗
๗๗
บทที่ ๖ การเขยี นบทความทางวิชาการของวิทยาลัยปอ้ งกนั ราชอาณาจกั ร ๗๙
ลักษณะสาคัญของบทความวชิ าการ ๘๐
คาแนะนาในการเขยี นบทความทางวชิ าการ ๘๒
ขอ้ กาหนดของบทความทางวิชาการ
๘๓
บรรณานกุ รม ๑๐๖
ภาคผนวก ๑๐๗
๑๐๙
ผนวก ก ตัวอย่างรูปแบบการพิมพเ์ อกสารวิจยั ส่วนบคุ คลของ วปอ. ๑๑๐
ผนวก ข หนังสือนาสง่ เอกสารวิจัยส่วนบุคคลเพอื่ ขออนมุ ัติ ๑๑๒
ผนวก ค ตัวอยา่ งการพมิ พ์สรปุ ยอ่
ผนวก ง หนังสอื นาสง่ บทความทางวชิ าการ ๑๒๕
ผนวก จ รูปแบบการพิมพบ์ ทความวชิ าการ
ผนวก ฉ ตวั อยา่ งการเขยี นบทความวิชาการ ๑๒๖
ผนวก ช แบบประเมนิ การแถลงเอกสารวจิ ยั สว่ นบคุ คล
๑๒๙
ของนักศกึ ษา วปอ. (ปม.๑)
ผนวก ซ แบบประเมินคณุ คา่ และคุณภาพเอกสารวจิ ยั ส่วนบุคคล
ของนักศกึ ษา วปอ. (ปม. ๒)
ผนวก ฌ ระเบยี บวทิ ยาลัยปอ้ งกันราชอาณาจกั ร สถาบนั วชิ าการป้องกัน
ประเทศ ว่าด้วย การใหร้ างวัลเอกสารวิจยั พ.ศ. ๒๕๖๔
ค หนา้
สารบญั ตาราง ๙
ตารางที่
๑ – ๑ แสดงการแบง่ บทและหวั ขอ้ สาคญั ท่คี วรมีในบท
ง หนา้
สารบญั แผนภาพ ๑๔
๑๕
แผนภาพที่ ๔๔
๔๗
๑ – ๑ ขั้นตอนจัดทาเอกสารวิจยั ส่วนบุคคลของนกั ศึกษา วปอ. ๕๗
๑ – ๒ แผนการทาวิจัยของนักศกึ ษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
๓ – ๑ ตวั อยา่ งการเวน้ ว่างริมขอบกระดาษ
๔ – ๒ ตวั อย่างการพิมพ์บท หัวขอ้ สาคัญ หัวขอ้ ย่อย และเน้อื หา
๔ – ๓ แบบการวางตาแหน่งเชงิ อรรถ
บทท่ี ๑
บทนา
เอกสารวิจัยสว่ นบุคคล
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (วปอ.สปท.) ได้กาหนด
ให้นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (นักศึกษา วปอ.) ทุกคนเขียนเอกสารวิจัยส่วนบุคคล
ในประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งชาติด้านต่าง ๆ คือ ยุทธศาสตร์ การเมือง การทหาร
การเศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา และวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (การพลังงาน และส่ิงแวดล้อม) โดยใช้
กระบวนการวิจัย ในการค้นคว้าและวิเคราะห์ข้อมูลให้ได้ผลการวิจัยท่ีเป็นประโยชน์ เป็นที่น่าเช่ือถือ
ในการนาไปใช้ประโยชน์ในระดับนโยบายได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและ
เป็นแนวทางการพัฒนาในอนาคต ซ่ึงการเขียนเอกสารวิจัยฯ น้ี นับว่าเป็นคุณสมบัติประการหน่ึง
ของผู้ที่จะสาเร็จการศกึ ษาจากวิทยาลยั ป้องกันราชอาณาจักรฯ ตามระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วย
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ พ.ศ.๒๕๔๗ และฉบับแก้ไข
พ.ศ.๒๕๕๑ พ.ศ.๒๕๕๗ และ พ.ศ.๒๕๕๙ โดยในข้อ ๑๖ กาหนดไวด้ งั น้ี
“ข้อ ๑๖ ผทู้ ่จี ะได้รับการพจิ ารณาว่าสาเรจ็ การศกึ ษาจากวิทยาลัยปอ้ งกันราชอาณาจกั ร
สถาบันวิชาการปอ้ งกนั ประเทศ จะตอ้ ง
ฯลฯ
๑๖.๒ เสนอเอกสารวิจัยต่อวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ ตามกาหนดและ
ได้รบั อนมุ ัติ
ฯลฯ
๑๖.๔ จัดทารายงานส่วนบคุ คล เสนอตอ่ วทิ ยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ”
ฯลฯ
ความม่งุ หมายของการเขียนเอกสารวจิ ัยส่วนบคุ คล
๑. เพอ่ื ให้นักศึกษาได้แสดงความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในเร่ืองท่ีเก่ียวกับ
ความม่ันคงแห่งชาติ ที่นักศกึ ษามคี วามเชย่ี วชาญ และ/หรือมคี วามสนใจเปน็ พเิ ศษ โดยการบรู ณาการ
ความคดิ ทัง้ ปวงให้ปรากฏเป็นเอกสารวิจยั ฯ
๒. เพ่ือให้ได้ผลการวิจัยท่ีเป็นประโยชน์อย่างย่ิงต่อการเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการ
และการนาไปปฏิบัติได้จริงในระดับนโยบายแก่หน่วยงานที่เกี่ยวขอ้ ง ทั้งภาครฐั และภาคเอกชน
๒
คณุ ลกั ษณะของเอกสารวจิ ัยสว่ นบุคคล
๑. เป็นเอกสารทางวิชาการที่นาเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับความม่ันคงแห่งชาติและ
ยุทธศาสตร์ชาติ จัดทาข้ึนบนความสนใจ และ/หรือประสบการณ์ของนักศึกษา มีคุณค่าในระดับ
นโยบาย สอดคลอ้ งกบั สถานการณ์ปัจจบุ นั ประเดน็ ปัญหาสาคัญ แนวทางการพัฒนาในอนาคตและ
สนบั สนนุ การขบั เคล่อื นยทุ ธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี มีกระบวนการจัดทาที่น่าเชื่อถือตามมาตรฐาน
งานวิจัยและรูปแบบเป็นไปตามเอกสารคู่มือการเขียนเอกสารวิจัยฯ ของ วปอ. (เอกสาร วปอ.
หมายเลข ๐๐๖) องคค์ วามรู้ ข้อพจิ ารณา ข้อเสนอแนะ ซึ่งเป็นผลการวิจัยสามารถนาไปปรับใช้เป็น
ประโยชน์ต่อส่วนราชการและหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งเป็นรูปธรรม
๒. เปน็ งานวิจัยทีน่ กั ศึกษา วปอ. ต้องจัดทาโดยใช้หลักวิชาการในแต่ละสาขาที่ตนเอง
เชย่ี วชาญหรือสนใจเป็นพน้ื ฐานในการทาวิจัย เพอื่ ใหไ้ ดผ้ ลการวจิ ัยท่ีเป็นประโยชน์แก่สังคมแยกเป็น
ลักษณะวิชาด้านต่าง ๆ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ การเมือง (ในประเทศ/ระหว่างประเทศ) การทหาร
(การป้องกนั ประเทศ) การเศรษฐกจิ สงั คมจิตวทิ ยา และวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (การพลังงานและ
ส่งิ แวดล้อม)
๓. เอกสารวิจัยส่วนบุคคลของนักศึกษา วป อ. จะเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ
(Qualitative Research) หมายถึง การวิจัยท่ีไม่เน้นข้อมูลท่ีเป็นตัวเลขเป็นหลัก แต่เน้นให้
ทาการศกึ ษาเพ่ือกอ่ ให้เกดิ ความรู้ ความเขา้ ใจอยา่ งลึกซ้ึงในเร่ืองน้ัน ๆ ไม่ใช่ความถูกต้องทางสถิติ
โดยข้อมลู หรอื ขอ้ คน้ พบทไี่ ดจ้ ะมาจากการวิเคราะหเ์ อกสาร สมั ภาษณ์ สนทนา จดบนั ทึก และสังเกต
เป็นต้น
อยา่ งไรกต็ าม ในการวิจยั เชิงคุณภาพน้ีสามารถใช้เครื่องมือของเชิงปริมาณมาอธิบาย
สนับสนนุ ผลการวิจยั ให้สมบรู ณ์ข้ึน เช่น แบบสอบถาม เปน็ ต้น
การวิจัยเชิงคุณภาพ มีความสาคัญต่อการนาไปสู่การกาหนดนโยบาย
การประเมินผล เพ่ือท่ีจะเข้าใจว่าอย่างไร (How) และทาไม (Why) ของผลทจี่ ะเกิดขึน้ และยงั อธบิ าย
ผลที่ไม่คาดหวงั วา่ จะเกดิ ข้ึนดว้ ย เช่นการก่อความไม่สงบ การก่อการร้าย การแพร่กระจายของเช้ือ
โรคร้ายแรง อาชญากรรมทางทะเล ยาเสพติด การเสื่อมสลายของสิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติร้ายแรง
การคอรปั ชน่ั ฯลฯ
คณุ ประโยชน์ : การวิจัยเชิงคุณภาพช่วยให้ได้ข้อมูลท่ีหลากหลาย ไม่เพียงแต่คาตอบเดียว
หรือตามทไ่ี ดอ้ อกแบบไวห้ รอื ตามทตี่ อ้ งการทดสอบสมมุตฐิ านเทา่ นัน้ แตย่ งั อาจจะพบประเด็นใหม่ ๆ
ท่ีสามารถพัฒนาและศกึ ษาต่อเนื่องในประเด็นทไ่ี ม่เคยคิดหรอื คาดหวังมาก่อนทเี่ กดิ ข้ึนในระหวา่ งท่ีทา
วจิ ัย
ข้อดีของการวิจัยเชิงคุณภาพคือการให้ข้อมูลในระดับลึกมากกว่าข้อมูลเชิงสถิติ
เน้นการอธิบายเฉพาะกรณีมากกว่าต้องการจะอธิบายภาพกว้าง ๆ มุ่งวิเคราะห์ความหมายท่ีอยู่
เบ้ืองหลังปรากฏการณ์ทางสงั คมหรอื ท่ีเรียกว่าความเป็นนามธรรม มากกวา่ การอธิบายภาพที่ปรากฏ
เบอื้ งหน้าท่ีเป็นภาพเชิงวัตถุ หรือเน้นการสร้างความความรู้ความเข้าใจต่อกระบวนการต่าง ๆ ได้เป็น
อย่างดี เชน่ ประเด็นในเรื่องความมัน่ คงแห่งชาติ อกี ทัง้ วธิ ีวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพยงั มหี ลายรปู แบบใหเ้ ลือกใช้
อยา่ งเหมาะสมกบั เป้าหมายของการทางานวจิ ยั ในแต่ละเรื่อง
๓
อาจารย์ท่ปี รกึ ษาการจัดทาเอกสารวจิ ยั ส่วนบุคคล
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ จะจัดอาจารย์ท่ีปรึกษาการจัดทาเอกสารวิจัย
ส่วนบุคคลและบทความทางวิชาการในลักษณะวิชาต่าง ๆ ให้กับนักศึกษา ประกอบด้วย อาจารย์
ทป่ี รึกษาหลัก และอาจารยท์ ่ีปรึกษารว่ ม ดงั น้ี
๑. อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาหลัก ไดแ้ ก่
๑.๑ นายทหารชั้นนายพลที่ปฏิบัติราชการที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ
และไดร้ ับมอบหมายให้ปฏิบตั ิหน้าทเี่ ป็นที่ปรกึ ษาการจัดทาเอกสารวิจัยฯ ในแต่ละลักษณะวชิ า และ
๑.๒ นายทหารสญั ญาบัตรของกองวิชาการทีไ่ ด้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในแต่ละ
ลกั ษณะวชิ า ไดแ้ ก่ กองยุทธศาสตร์และความมั่นคง กองการเมืองและการทหาร กองการเศรษฐกิจ
และสงั คมจิตวิทยา และกองวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การพลังงานและสิง่ แวดลอ้ ม
๑.๓ อาจารยท์ ปี่ รกึ ษาหลัก มีหน้าท่ี
๑.๓.๑ พิจารณา สัมภาษณ์ ตรวจ แก้ไข ปรับปรุงโครงการและโครงเรื่อง
เอกสารวจิ ัยของนักศกึ ษาให้เป็นไปตามแนวทางท่ี วปอ.สปท. กาหนด
๑.๓.๒ ให้คาปรึกษา คาแนะนาในการจัดทาเอกสารวิจัยส่วนบุคคล และ
บทความทางวิชาการ ตรวจเอกสารวิจัยฯ ในด้านเน้ือหาทางวิชาการ ความสอดคล้อง ต่อเนื่อง ชัดเจน
การกลา่ วอา้ งทฤษฎี วรรณกรรมที่เก่ยี วขอ้ ง วิธีดาเนนิ การวิจยั ให้เป็นไปตามมาตรฐานของระเบียบ
วิธีวิจัย รวมท้ังติดตามความก้าวหน้าในการจัดทาเอกสารวิจัยฯ ตามแผนการจัดทาเอกสารวิจัยฯ
ตามกรอบเวลาที่ วปอ.สปท. กาหนด
๒. อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ได้แก่ นายทหารสัญญาบัตรของกองเอกสารวิจัยและ
ห้องสมดุ ฯ ท่ไี ดร้ ับมอบหมายให้รับผิดชอบในแต่ละลกั ษณะวิชา
อาจารยท์ ีป่ รึกษารว่ ม มหี น้าท่ี
๒.๑ เปน็ เลขานกุ ารในการพิจารณา สัมภาษณ์ ตรวจ แก้ไข ปรับปรุงโครงการและ
โครงเรอ่ื งเอกสารวจิ ยั ฯ ของนกั ศึกษาใหเ้ ปน็ ไปตามแนวทางท่ี วปอ.สปท. กาหนด
๒.๒ ตรวจเอกสารวิจัยฯ ในเร่ืองของรูปแบบการจัดพิมพ์ การอ้างอิง และวิธีดาเนิน
การวิจัยให้เป็นไปตามคู่มือการเขียนเอกสารวิจัยส่วนบุคคล และบทความทางวิชาการของ วปอ.
(เอกสาร วปอ.หมายเลข ๐๐๖)
แนวทางปฏบิ ตั ิในการเขียนเอกสารวิจยั ส่วนบุคคล
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ มีความประสงค์ที่จะให้เอกสารวิจัยส่วนบุคคลของ
นักศกึ ษา วปอ. มีคณุ ประโยชนก์ ับประเทศชาติ บุคลากรและหนว่ ยงานทเี่ กยี่ วขอ้ ง สามารถนาไปศกึ ษา
พิจารณาสาหรับเป็นแนวทางปฏิบัติ หรือแก้ปัญหาที่สาคัญในด้านต่าง ๆ ของประเทศได้
เอกสารวิจัยส่วนบุคคล จงึ ควรจะมีรปู แบบทีเ่ ป็นมาตรฐานของงานวจิ ัย ซ่ึงเป็นท่ียอมรับโดยท่ัวไป
วทิ ยาลยั ป้องกันราชอาณาจักรฯ ได้จดั ทาแนวทางปฏิบัติในการเขียนเอกสารวิจัยฯ เพอ่ื ใหน้ ักศึกษาได้
นาไปใช้ในการทาวจิ ยั ดงั น้ี
๔
๑. วางแผนการวิจยั
๑.๑ การกาหนดเรื่องท่จี ะทาวิจัย
การกาหนดเร่ืองที่จะทาวิจัย เป็นงานที่สาคัญที่สุดและเป็นงานที่ยากที่สุด
นักศกึ ษาสว่ นใหญจ่ ะใชเ้ วลาในการเลอื กเรื่องท่ีทาวจิ ัยมากทส่ี ดุ การเลอื กเรอื่ งทจี่ ะทาวจิ ัยได้เหมาะสม
กบั ผวู้ จิ ยั จะเปน็ การเรม่ิ ตน้ ทด่ี ี สง่ ผลให้การวจิ ัยราบร่นื และรดุ หน้าไปอยา่ งรวดเร็ว ท้ังนี้ มีข้อพจิ ารณา
สาหรบั นักศึกษาในการกาหนดเรอ่ื งทจี่ ะทาการวจิ ัยบางประการ ดังน้ี
๑.๑.๑ เปน็ ปัญหาสาคัญเกี่ยวกับความมนั่ คงแห่งชาติ
เรื่องที่จะทาการวิจัยต้องเป็นเร่ืองที่เป็นปัญหาสาคัญเกี่ยวกับ
ความมน่ั คงแหง่ ชาตใิ นด้านตา่ ง ๆ ซง่ึ วทิ ยาลยั ปอ้ งกนั ราชอาณาจักรฯ กาหนดไว้เป็น ๖ ลักษณะวิชา
ได้แก่ ยุทธศาสตร์ การเมือง การเศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา การทหาร และวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
การพลงั งานและส่ิงแวดลอ้ ม
ระดับของเรื่องต้องเป็นปัญหาสาคัญในระดับนโยบายหรือระดับ
ประเทศที่จะส่งผลกระทบต่อสังคมมากทีส่ ุดและตอ้ งมที ศิ ทางของเรอ่ื งทจี่ ะทาวิจยั อยา่ งชัดเจน
๑.๑.๒ เป็นปัญหาท่ีผู้วิจัยมีความสนใจ มีประสบการณ์ มีความถนัด และ
มีความสามารถเช่ยี วชาญของตนเอง
ความสนใจเป็นแรงผลักดันที่มีคุณค่ายิ่งต่อการวิจัย เพราะความอยากรู้
อยากเห็นในผลการวิจัยจะเป็นการดึงดูดความสนใจของผู้ทาการวิจัยให้หมกมุ่นอยู่กับงานวิจัย
และการท่ีผู้วิจัยมีความถนัดและความสามารถเช่ียวชาญในแขนงวิชาที่ทาการวิจัย จะทาให้ลด
ระยะเวลาท่ีใช้ในการวจิ ยั ลงได้มาก เพราะผู้วจิ ยั มคี วามรู้ความเข้าใจในเรื่องราวนั้นดีอยู่แล้ว การค้นคว้าหา
ข้อมูลจะง่ายรวดเร็ว และทราบดีว่าควรจะหาข้อมูลอะไรจากท่ีไหน การวิเคราะห์และสังเคราะห์
จะเป็นไปอยา่ งรอบคอบและรดั กมุ สามารถมองเห็นปญั หาและปัจจัยทเี่ กยี่ วขอ้ งได้ชัดเจน
๑.๑.๓ เป็นเรอื่ งท่ีสอดคลอ้ งกบั สถานการณ์ปัจจุบนั และท่จี ะเกดิ ในอนาคต
เอกสารวิจัยควรเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และ
แนวทางการพฒั นาในอนาคต ช่วยสร้างเสริมความรู้ใหม่ และสามารถนาผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์
ได้อย่างแท้จรงิ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการนาไปใช้ประโยชน์ระดับนโยบายหรือสนับสนุนการขับเคล่ือน
ยทุ ธศาสตรช์ าตไิ ด้อย่างเหมาะสม
๑.๑.๔ แหล่งขอ้ มลู ในการค้นคว้า
นักศึกษาต้องคานึงถึงว่าเร่ืองท่ีจะทาการวิจัยสามารถหาข้อมูลและ
เอกสารตา่ ง ๆ ได้โดยไมย่ ากลาบาก และมีปรมิ าณเพยี งพอท่ีจะใช้ทาวิจัย หรือต้องใช้เวลานานหรือไม่
ในการรวบรวมข้อมลู ท้ังน้เี นือ่ งจากนักศกึ ษามขี อ้ จากดั ด้วยเรื่องเวลาทใี่ ช้ในการทาวิจัย นอกจากนั้น
เร่อื งชน้ั ความลับของข้อมูลก็เป็นเรื่องสาคัญ เพราะหากข้อมูลมีช้ันความลับ อาจทาให้การเผยแพร่
ข้อมลู ลงในเอกสารวิจยั ฯ มีขอ้ จากดั
๑.๒ การให้คาแนะนาจากอาจารยท์ ่ีปรกึ ษาการจัดทาเอกสารวจิ ัยส่วนบคุ คล
นกั ศกึ ษาสามารถขอรับคาปรกึ ษาการจดั ทาเอกสารวิจัยส่วนบคุ คลจากอาจารย์
ที่ปรึกษาหลัก และอาจารย์ท่ีปรึกษาร่วม ตามท่ีวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ ได้จัดให้ไว้ในแต่ละ
ลกั ษณะวิชา
๕
๑.๓ การเสนอชือ่ เรือ่ งและโครงการวิจยั
๑.๓.๑ นักศึกษาต้องจัดทาโครงการวิจัย ซึ่งประกอบด้วย โครงการวิจัยและ
โครงเรื่อง จานวน ๕ ชุด ส่งทกี่ องเอกสารวจิ ยั และห้องสมุดฯ เพอื่ ใช้ประกอบการสมั ภาษณ์โครงการวิจัย
และขออนมุ ัตกิ ารจดั ทาเอกสารวจิ ยั ฯ ตอ่ ไป
๑.๓.๒ กองเอกสารวิจัยและหอ้ งสมดุ ฯ จะกาหนดวัน เวลา และสถานท่ีสาหรับ
นักศกึ ษาเข้ารับการสัมภาษณ์โครงการวิจัยกับอาจารย์ที่ปรึกษาการจัดทาเอกสารวิจัยฯ ของวิทยาลัย
ป้องกันราชอาณาจักรฯและจะแจ้งให้นักศึกษาทราบเป็นการล่วงหน้า พร้อมท้ังคาแนะนาในการ
ดาเนนิ การ
๑.๓.๓ นักศึกษาจะต้องเข้ารับการสัมภาษณ์โครงการวิจัยท่ีเสนอไว้โดยใน
ขั้นตอนของการสัมภาษณ์นกั ศกึ ษาจะได้รับการประเมนิ คา่ จากอาจารย์ท่ีปรกึ ษาการจัดทาเอกสารวิจยั ฯ
ในแง่ของความเหมาะสมและความเป็นไปได้ที่จะทาวิจัยในเร่ืองนั้น ๆ ให้สาเร็จลุล่วงทันตาม
กรอบเวลาที่วทิ ยาลัยปอ้ งกันราชอาณาจักรฯ กาหนด
๑.๓.๔ ในการสัมภาษณ์โครงการวิจัย นักศึกษาจะต้องตอบข้อซักถามของ
อาจารย์ที่ปรึกษาการจัดทาเอกสารวิจัย ซึ่งนักศึกษาจะได้รับคาแนะนา และอาจมีการปรับแก้ไข
โครงการวิจัย และโครงเร่ืองการวิจัยในบางเรื่องเพ่ือความเหมาะสม โดยนักศึกษาจะต้องรับฟัง
ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษาเอกสารวิจัยและทาการบันทึกข้อคิดเห็น
ขอ้ เสนอแนะตา่ ง ๆ ไว้เพอื่ นาไปปรับแกไ้ ขต่อไป
๑.๓.๕ หลังจากการสัมภาษณ์โครงการวิจัย นักศึกษาจะต้องปรับแก้และจัดทา
โครงการวิจัยใหม่ (ตามที่ได้รับคาแนะนา ให้ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากอาจารย์ที่ปรึกษาการจัดทา
เอกสารวิจัย หรือไม่มีการแก้ไข) จานวน ๖ ชุด ส่งให้กองเอกสารวิจัยและห้องสมุด ฯ ภายใน
๓ วันทาการ เพอ่ื
๑.๓.๕.๑ รวบรวมนาเรียนขออนุมัติจากผู้อานวยการวิทยาลัยป้องกัน
ราชอาณาจักร ฯ
๑.๓.๕.๒ ใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงในการตรวจการจัดทาเอกสารวิจัยฯ
ของนักศึกษา ใหเ้ ปน็ ไปตามทไ่ี ดส้ ัมภาษณไ์ ว้
๑.๓.๖ กรณนี กั ศึกษามคี วามประสงค์จะขอเปล่ียนชื่อเร่ืองและโครงการวิจัย
ภายหลังจากได้รับอนุมัติแล้ว ให้จัดทาหนังสือขอเปลี่ยนช่ือเรื่อง พร้อมจัดทาโครงการวิจัย
(ประกอบด้วยโครงการ และโครงเร่อื ง) ท่จี ะทาใหม่ ส่งท่กี องเอกสารวจิ ยั และห้องสมุดฯ เพื่อนาเรียนขอ
อนุมัตติ อ่ ผ้อู านวยการวิทยาลยั ป้องกันราชอาณาจักรฯ
แต่ถ้าเป็นการเปล่ียนแปลงเฉพาะช่ือเร่ืองโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เค้าโครงเร่ืองอย่างส้นิ เชิง ยังคงอนุญาตให้นักศกึ ษาทาการวิจยั ได้ แต่จะตอ้ งขอรับความเห็นชอบจาก
ผู้อานวยการกองวชิ าการที่รับผิดชอบในแต่ละลกั ษณะวชิ า และกองเอกสารวิจัยและหอ้ งสมุดฯ กอ่ น
๒. ดาเนินการวิจยั
๒.๑ นักศึกษาควรจะเร่ิมงานค้นคว้าหาข้อมูลและดาเนินการวิจัยโดยทันทีท่ีผ่าน
ความเห็นชอบจากอาจารย์ทปี่ รกึ ษาการจัดทาเอกสารวิจยั ฯ ในการสัมภาษณ์แลว้ เพือ่ ใหก้ ารส่งตรวจ
รายบทเปน็ ไปตามกรอบเวลาที่ วปอ.ฯ กาหนดไว้
๖
๒.๒ ในระหว่างดาเนินการวิจัย นักศึกษาจะต้องติดต่อปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา
การจัดทาเอกสารวจิ ัยทว่ี ทิ ยาลัยป้องกนั ราชอาณาจักรฯ แตง่ ต้งั อย่างใกล้ชิด เพื่อรายงานความก้าวหน้า
ในการทาเอกสารวิจยั ฯ อย่างตอ่ เนอ่ื ง
๒.๓ การเก็บรวบรวมข้อมูลสาหรับการจัดทาเอกสารวิจัยฯ ของนักศึกษาหาก
นักศึกษามีความประสงคข์ อรับการสนับสนุนข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ขอให้ประสาน
กองเอกสารวจิ ยั และหอ้ งสมุด ฯ เพอ่ื จดั ทาหนงั สอื ขอรับการสนบั สนนุ ใหต้ ่อไป
๓. การจดั ทาเล่มรายงานเอกสารวจิ ยั สว่ นบุคคล
๓.๑ นักศึกษาจะต้องจัดทาเล่มเอกสารวิจัยตามรูปแบบท่ีวิทยาลัยป้องกัน
ราชอาณาจักรฯ กาหนด
๓.๒ ในการอ้างอิงข้อมูลถ้ามีการอ้างอิงถึงเอกสารท่ีมีช้ันความลับให้ถือช้ันความลับ
สูงสุดของเอกสารอ้างอิงน้ันเป็นชั้นความลับของเอกสารวิจัยฯ และให้นักศึกษารักษาความลับของ
เอกสาร ซึง่ หมายถึง การรกั ษาความลบั ในขั้นตอนต่าง ๆ คือ การจัดทา การแจกจ่าย การเก็บรักษา
และการทาลาย โดยให้ปฏิบตั ติ ามพระราชบญั ญตั ขิ อ้ มูลขา่ วสารของราชการ พ.ศ.๒๕๔๐ และระเบยี บ
ว่าด้วยการรกั ษาความปลอดภัยแหง่ ชาติ พ.ศ.๒๕๑๗ โดยเคร่งครดั
ทั้งนี้ นักศึกษาจะต้องทาเคร่ืองหมายแสดงชั้นความลับของเอกสาร โดยการ
พิมพ์ชน้ั ความลบั ใหเ้ ดน่ ชัดด้วยตัวอักษรสแี ดง ตวั หนาขนาดตวั อักษร ๔๐ พอยท์ ณ ตาแหน่งก่ึงกลาง
ดา้ นบนและด้านลา่ งของเอกสารทุกหนา้ รวมท้งั ปกหนา้ ด้วย
๔. การสง่ เอกสารวจิ ัยสว่ นบคุ คล
๔.๑ ให้นักศกึ ษาสง่ เอกสารวิจัยฯ เป็นรายบท จานวน ๑ ชุด ส่งที่กองเอกสารวิจัย
และห้องสมุดฯ ตามเวลาท่ีวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ กาหนด ทั้งน้ี เน้ือหาในแต่ละบท
ต้องเป็นไปตามโครงการ และโครงเรอ่ื งตามทเ่ี สนอและปรบั แกไ้ ขไวใ้ นการสัมภาษณโ์ ครงการวจิ ัย
๔.๒ กองเอกสารวิจัยและห้องสมุดฯ จะนาส่งเอกสารวิจัยฯ รายบทที่นักศึกษา
สง่ ตามข้อ ๔.๑ ใหอ้ าจารยท์ ่ีปรึกษาการจดั ทาเอกสารวจิ ยั ฯ ทาการตรวจและให้คาแนะนาตามลาดับ
คอื อาจารย์ทป่ี รกึ ษาหลกั ตรวจเนอ้ื หาด้านวิชาการ และอาจารย์ท่ปี รกึ ษารว่ ม ตรวจรูปแบบการพิมพ์
เอกสารวจิ ยั ฯ
๔.๓ เม่ือนักศึกษาส่งเอกสารวิจัยฯ ครบทุกบท และแก้ไขตามท่ีอาจารย์ท่ีปรึกษา
การจดั ทาเอกสารวิจยั ใหค้ าแนะนาแลว้ ใหจ้ ดั ทาสว่ นประกอบตา่ ง ๆ ของเอกสารวจิ ัยฯ ตามท่กี าหนด
ไว้ในคู่มือการเขียนเอกสารวิจัยฯ เล่มน้ี เพ่ือเป็นร่างเอกสารวิจัยฉบับสมบูรณ์ จานวน ๑ ชุด
ส่งทีก่ องเอกสารวจิ ัยและห้องสมดุ ฯ เพื่อตรวจสอบความถูกตอ้ งกอ่ นจัดทาเลม่ จริง โดยสว่ นประกอบ
ของเอกสารวิจัยฯ ประกอบดว้ ย
๔.๓.๑ ส่วนนา ได้แก่ ปกใน หนังสือรับรอง บทคัดย่อ Abstract คานา
กิตติกรรมประกาศ (ถ้ามี) สารบัญ สารบัญตาราง (ถ้ามี) สารบัญแผนภาพ (ถ้ามี) คาอธิบายคาย่อ
และสัญลักษณ์ (ถา้ ม)ี
๔.๓.๒ สว่ นเน้ือหาประกอบด้วยเน้อื หาของเอกสารวจิ ัยในบทที่ ๑ – บทสดุ ท้าย
๔.๓.๓ สว่ นอา้ งอิง ได้แก่ บรรณานกุ รม
๔.๓.๔ ภาคผนวก
๗
๔.๓.๕ ประวัติยอ่ ผู้วจิ ยั
๔.๓.๖ สรปุ ยอ่ จานวน ๑ ชุด ให้จดั ทาแยกออกจากเลม่ เอกสารวจิ ยั ฯ
๔.๔ เม่ือร่างเอกสารวิจัยฉบับสมบูรณ์ได้รั บการตรวจแก้ไขเรียบร้อยแล้ว
กองเอกสารวจิ ยั และหอ้ งสมุดฯ จะแจ้งให้นักศกึ ษาทราบ เพือ่ ดาเนินการดงั น้ี
๔.๔.๑ จัดทาเอกสารวิจัยฯ ฉบับสมบูรณ์ โดยมีส่วนประกอบเล่มเช่นเดียวกับ
ร่างเอกสารวิจัยฉบับสมบรู ณ์ตามขอ้ ๔.๓ จานวน ๓ เล่ม (ไมต่ อ้ งเย็บเล่ม)
๔.๔.๒ จดั ทาสรปุ ย่อ เพิ่มเติมอกี ๑ ชุด แยกออกจากเลม่ เอกสารวจิ ยั ฯ
๔.๔.๓ บันทึกข้อมูลเอกสารวิจัยทั้งหมดลงในแผ่นบันทึกข้อมูล (CD-ROM)
จานวน ๑ แผน่ ในรปู แบบ Microsoft Word และในรปู แบบ PDF โดยบนั ทึกข้อมูลแยกเปน็ สว่ น ๆ ดังน้ี
๔.๔.๓.๑ โฟลเดอร์ เอกสารวิจัย ประกอบด้วย File เอกสารตามข้อ
๔.๓ ได้แก่ ปกใน หนังสือรับรอง บทคัดย่อ Abstract คานา กิตติกรรมประกาศ (ถ้ามี) สารบัญ
สารบัญตาราง (ถา้ ม)ี สารบญั แผนภาพ (ถา้ ม)ี คาอธบิ ายคายอ่ และสัญลกั ษณ์ (ถ้ามี) บทท่ี ๑ บทท่ี ๒
บทท่ี ๓ บทท่ี ๔ บทท่ี ๕/บทสดุ ทา้ ย บรรณานกุ รม ภาคผนวก (ถา้ มี) ประวตั ิย่อผู้วจิ ยั
๔.๔.๓.๒ File สรปุ ย่อ
๔.๕ เอกสารวจิ ัยที่นกั ศึกษาสง่ จานวน ๓ เล่ม จะได้รับการอนุมัติจากผู้อานวยการ
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ ให้เป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาตามหลักสูตรฯ ทั้งน้ี วิทยาลัยฯ
จะเป็นผู้ดาเนินการจัดทาปกนอกและเยบ็ เล่มให้ และส่งคนื ให้กบั นกั ศึกษา จานวน ๑ เล่ม
กรณที ่ีนักศกึ ษาประสงคจ์ ะจัดทาเอกสารวิจัยฯ เพิ่มเติมนอกเหนือจาก ๓ เล่ม
ให้อยใู่ นความรบั ผดิ ชอบของนกั ศึกษาในการจัดทาปกและเย็บเลม่ เอง
๕. ลขิ สิทธ์ิในเอกสารวจิ ัยฯ
๕.๑ เอกสารวิจัยที่นักศึกษาจัดทาเป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาตาม หลักสูตร
การป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) และถือว่าเป็นลิขสิทธ์ิของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ
การทาซ้าหรือการดดั แปลงและการเผยแพร่ต่อสาธารณชนตามความหมายในพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ
พ.ศ.๒๕๓๗ จะตอ้ งไดร้ ับอนญุ าตเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรจากผอู้ านวยการวทิ ยาลยั ปอ้ งกนั ราชอาณาจักรฯ
๕.๒ นกั ศกึ ษาทต่ี ้องการทาซ้า หรือดัดแปลง หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมิใช่
วตั ถุประสงค์ทางการคา้ ให้รายงานขออนญุ าตเป็นลายลักษณ์อักษรต่อผู้อานวยการวิทยาลัยป้องกัน
ราชอาณาจกั รฯ โดยแจง้ วตั ถปุ ระสงค์และจานวนเลม่ ในการจัดพิมพแ์ ละเผยแพร่
เอกสารวิจยั ของ วปอ.สปท.
ในส่วนของเนือ้ หา (บทท่ี ๑ – บทสดุ ทา้ ย) ตอ้ งมีความยาว
ไม่ต่ากว่า ๕๐ หน้า และไม่ควรมากกวา่ ๑๕๐ หนา้ ไม่รวมภาคผนวก
๘
ส่วนประกอบของเอกสารวิจัยส่วนบุคคล
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ ได้กาหนดรูปแบบการจัดทาเอกสารวิจัยส่วนบุคคล
ของนกั ศึกษาวทิ ยาลยั ป้องกนั ราชอาณาจักร โดยกาหนดให้เอกสารวจิ ยั ฯ มีสว่ นประกอบ ดงั นี้
๑. สว่ นนา
ส่วนนาในการจัดทาเอกสารวิจัยส่วนบุคคลของวิทยาลัยป้องกันราชอาณ าจักรฯ
มสี ว่ นประกอบซ่ึงต้องจดั ให้เรยี งตามลาดับ ดังนี้
๑.๑ ปกใน คือหน้าชอื่ เร่ือง ผู้เขียน และหลกั สตู ร
๑.๒ หนังสอื รับรอง เปน็ หนงั สอื รับรองของวิทยาลยั ป้องกนั ราชอาณาจักร ที่ได้อนุมัติ
ให้เอกสารวิจยั ฯ ฉบบั ดังกลา่ วเปน็ สว่ นหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ซึ่งนกั ศึกษาต้องจดั พมิ พม์ าดว้ ย
๑.๓ บทคัดย่อ และ Abstract นักศึกษาต้องจัดทาบทคัดย่อ ทั้งภาษาไทย และ
ภาษาอังกฤษ (Abstract) สาระสาคัญของบทคัดย่อควรระบุถึงวัตถุประสงค์ของการวิจัย ขอบเขต
ของการวิจยั วิธกี ารดาเนนิ การวิจยั ผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ
บทคดั ย่อ และ Abstract ควรสรุปเฉพาะสาระสาคัญ ๆ เท่านั้น ความยาว
ไม่ควรเกนิ ๑ หนา้ โดยให้เขียนเปน็ ร้อยแก้วตดิ ตอ่ กนั ไป โดยไมต่ ้องแยกเปน็ หวั ขอ้
๑.๔ คานาและกิตติกรรมประกาศ ในการเขียนเอกสารวิจัยส่วนบุคคลของวิทยาลัย
ปอ้ งกันราชอาณาจักรฯ จะต้องมคี านาเสมอ ส่วนกิตตกิ รรมประกาศจะมหี รอื ไมม่ ีกไ็ ด้
๑.๕ สารบัญ เป็นรายการทแ่ี สดงถึงส่วนประกอบสาคัญทั้งหมดของเอกสารวิจัยฯ
ทเ่ี รยี งตามลาดับหมายเลขหน้าแล้ว
๑.๖ สารบัญตาราง (ถ้ามี) เปน็ ส่วนทีแ่ จง้ ใหท้ ราบเลขหน้าของตารางทง้ั หมดทมี่ อี ยู่
ในเอกสารวิจยั ฯ เล่มน้นั ๆ
๑.๗ สารบัญแผนภาพ (ถ้ามี) เป็นส่วนท่ีแจ้งให้ทราบเลขหน้าของรูปภาพ แผนที่
แผนภูมิ กราฟ ฯลฯ ทั้งหมดที่อยู่ในเอกสารวิจัยฯ
๑.๘ คาอธิบายคาย่อและสัญลักษณ์ (ถ้ามี) เป็นส่วนที่อธิบายถึงคาย่อ หรือ
สญั ลักษณ์ทีใ่ ช้ในการวจิ ยั คร้งั น้ี ซงึ่ มคี วามหมายเดยี วกันตลอดทง้ั เลม่
๒. ส่วนเน้อื หา
เป็นส่วนแสดงสาระสาคัญของเอกสารวิจัยฯ การแบ่งจานวนบทขึ้นอยู่กับเนื้อหา
ของการวจิ ัยมากนอ้ ยเพยี งใด โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น ๕ บท ทั้งน้ี ส่วนประกอบภายในบทเป็นไป
ตามตารางที่ ๑ – ๑ แสดงการแบง่ บท และหัวขอ้ สาคญั ทค่ี วรมีในบท
๙
ตารางที่ ๑ – ๑ แสดงการแบ่งบท และหวั ขอ้ สาคัญที่ควรมีในบท รายละเอียด/ตวั อยา่ ง
บทที่ ช่อื บท หวั ข้อสาคญั ที่ควรมใี นบท
๑ บทนา ความเปน็ มา และความสาคญั ความเป็นมา และความสาคัญของปญั หา
ของปญั หา เป็นการกล่าวถึงข้อเท็จจริง หรือสถานการณ์ท่ี
วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย เก่ียวข้อง หรือความสาคัญของส่ิงที่จะทาการวิจัย
ขอบเขตของการวิจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทย์หรือปัญหาท่ีจะทาการวิจัย
วธิ ดี าเนินการวิจยั รวมทั้งเหตุผลท่ีต้องทาการวิจัย และการวิจัยจะ
ข้อจากัดของการวิจยั สามารถตอบโจทยห์ รือแก้ปัญหาได้อย่างไร การเขียน
(ถา้ มี) ความสาคัญของการวิจัยน้นั ควรมีการแบ่งเป็นย่อหน้า
ประโยชนท์ ไี่ ดร้ บั จากการ โดยแต่ละย่อหน้าให้กล่าวถึงปัญหา หรือโจทย์วิจัย
วจิ ยั สถานการณ์ในปัจจุบันที่เกี่ยวข้อง (นโยบายรัฐบาล/
คาจากดั ความ ข้อเทจ็ จริง/ข้อมูลทางสถิติ) ในย่อหน้าสุดท้ายควรจะ
กล่าวสรุปเพื่อเช่ือมโยงถึงวัตถุประสงค์ของการวิจัย
และตอบโจทย์ของปัญหาให้ชัดเจนย่ิงขึ้น ทั้งนี้ แต่ละ
ยอ่ หน้าควรมคี วามเชอ่ื มโยงกันโดยการเขียนจากภาพ
กว้างไปส่ภู าพท่ีแคบลง มคี วามสมเหตุสมผล และควรใช้
ภาษาและการเรยี บเรียงทเี่ ขา้ ใจง่าย
วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย
๑. สอดคลอ้ ง/สมั พันธ์ กับชอื่ เรอ่ื งการวิจยั
๒. ระบอุ ยา่ งชัดเจนวา่ ตอ้ งการศกึ ษาอะไร กับใคร ที่ไหน
๓. ถ้าเรื่องท่วี ิจัยเก่ียวขอ้ งกบั ตัวแปรหลาย ๆ ตัว
ควรเขียนแยกเป็นข้อ ๆ
๔. ภาษาที่ใช้ตอ้ งเข้าใจง่าย และแจม่ ชดั ในตัวเอง
๕. สามารถเก็บขอ้ มลู ได้ ประเด็นนส้ี าคญั มาก
เพราะถา้ เขียนแลว้ ผวู้ ิจัยไมร่ ู้ หรอื ไมส่ ามารถทจี่ ะเกบ็
ข้อมลู ได้ จะทาใหก้ ารวิจัยประสบความลม้ เหลวได้
ขอบเขตของการวจิ ัย
๑. ขอบเขตดา้ นพนื้ ที่ (ตามลักษณะภมู ศิ าสตร์
สถาบัน หรือพนื้ ทที่ ี่ศึกษา)
๒. ขอบเขตด้านประชากรหรอื ประชากร
กลมุ่ เป้าหมาย (ประเภทและจานวนกลมุ่ เปา้ หมาย)
๓. ขอบเขตดา้ นเนอ้ื หา (ควรมีความสัมพันธก์ บั
วตั ถปุ ระสงคก์ ารวิจัยในแตล่ ะขอ้ )
๔. ขอบเขตดา้ นระยะเวลา
วิธดี าเนนิ การวิจยั
๑. แหลง่ ขอ้ มลู
๒. ประชากร (ประเภทและจานวน)
๓. การเลือกกลมุ่ ตวั อย่าง / ผู้ใหข้ ้อมลู หลกั
(มเี กณฑก์ ารเลอื กอย่างไร)
๔. เครื่องมอื ทใี่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
(แบบสอบถาม , แบบสมั ภาษณ์ การสนทนากล่มุ )
๕. วิธีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
๑๐
บทที่ ชือ่ บท หัวขอ้ สาคญั ที่ รายละเอยี ด/ตวั อยา่ ง
ควรมใี นบท ๖ การวเิ คราะหแ์ ละประมวลผลข้อมูล(ตามเกณฑ์
ทีม่ คี วามน่าเชือ่ ถือและวดั ได)้
๒ ตั้งช่อื บทตาม (หัวขอ้ สาคญั ) คาจากดั ความ
ความเหมาะสม ............ เป็นการให้ความหมายของตัวแปร หรือ คาศัพท์
(การทบทวน (หวั ข้อสาคัญ) ท่ีนามาใชใ้ นการวิจยั ให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ระหว่าง
วรรณกรรม ............ ผู้อ่านงานวิจัยกับผู้วิจัย คาที่ควรเขียนเป็นนิยามศัพท์
ท่ีเกี่ยวขอ้ ง) (หวั ขอ้ สาคัญ) เฉพาะ ควรเป็นตัวแปร หรือคาท่ีผู้วิจัยเขียนบ่อยมาก
............ ในงานวิจัยคร้งั นน้ั
กรอบแนวคิดการ ก า ร เ ขี ย น ท บ ท ว น ว ร ร ณ ก ร ร ม ท่ี เ ก่ี ย ว ข้ อ ง
วิจยั ๑. ควรสรปุ เป็นคาพูดของตนเอง เขียนในลักษณะ
สรปุ ของการวิเคราะห์มากกว่าท่ีจะนาเอามาย่อ และเรียง
เนอ้ื หาในบทท่ี ๒ ลาดับกนั
จะเปน็ ข้อมูลท่ี ๒. ควรเขียนให้ต่อเนื่องเกี่ยวโยงกันตลอดเนื้อหา
ไดม้ าจากการ ไม่เขยี นในลักษณะการนามาเรียงต่อกันเพราะจะทา
ทบทวน ให้การอ่านไมต่ อ่ เนือ่ งและราบเรยี บ การเขียนต้องให้
วรรณกรรม เชื่อมโยงความสมั พันธ์ระหว่างทฤษฎี แนวคิด หลักการ
แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวจิ ยั
และงานวิจัย ฯลฯ ๓. ไมค่ วรเขยี นเรียงตามปีทพ่ี ิมพ/์ วิจัย หรือ เรียงตาม
ท่ีเกยี่ วข้องและจะ ช่ือผู้เขียน แตค่ วรเรยี บเรียงใหมต่ ามแนวคิด และตัวแปร
นามาเปน็ ข้อมลู ท่ีศึกษา โดยระบุความสาคัญ และความสัมพันธ์ของตัว
สนับสนุนการ แปรตา่ ง ๆ
วเิ คราะหใ์ นบทท่ี ๔. ควรแบง่ กลุ่มหรือประเภทเนือ้ หาทน่ี ามาอ้างองิ
๔ จดั ใหเ้ ป็นหมวดหมู่ โดยแบ่งออกเป็นประเด็นต่าง ๆ
หรือ แยกเป็นหัวเร่ืองต่าง ๆ อยา่ งชดั เจน
๕. ทฤษฏี แนวคิด หลักการ และงานวิจัยท่ีนามา
เขียนหรอื อา้ งองิ ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
ทีศ่ ึกษาโดยตรงเทา่ น้นั
๖. ควรมีการสรุปประเด็นหรือหัวเร่ืองที่นาเสนอ
ทกุ เร่อื งตามแนวคดิ ของผ้วู จิ ยั เอง เพอื่ ให้ผู้อา่ นเข้าใจ
ในหัวเรือ่ งน้ัน โดยใชค้ าว่า จากทก่ี ล่าวมาแลว้ นน้ั สรุป
ได้วา่ ……. หรอื จะเหน็ ไดว้ า่ ………….. เป็นต้น
๗. ควรมีการอ้างอิงอย่างถูกต้องและชัดเจน ตาม
รูปแบบการอ้างอิง โดยต้องระบุที่มาของเอกสารว่า
เอกสารช่ืออะไร ใครเป็นผู้เขียน พิมพ์ที่ไหน
เมื่อไหร่
๑๑
บทท่ี ช่อื บท หวั ขอ้ สาคัญ รายละเอยี ด/ตวั อยา่ ง
๓ ต้ังช่ือบทตาม ทีค่ วรมใี นบท ชอ่ื บท ตอ้ งใหม้ คี วามสอดคลอ้ งกบั วัตถปุ ระสงคก์ าร
(หัวขอ้ สาคญั ) วิจัยข้อท่ี ๑ และ/หรือ ๒
ความเหมาะสม ............ ส่วนนาของบท การศกึ ษาในบทที่ ๓ จะศกึ ษาเน้อื หา
(ขอ้ มลู ของเรอ่ื ง (หวั ขอ้ สาคญั ) อยู่ในบริบทของวัตถุประสงค์ของการวิจัยข้อท่ี ๑
ท่ีทาการวจิ ัย) ............ และ/หรือ ๒ เพือ่ ศึกษา
(หวั ข้อสาคัญ) ................................................โดยมีลาดับการศึกษา
............ ดังน้คี อื
สรปุ
๑. หัวขอ้ สาคัญ (ตัวอย่าง : สภาพทว่ั ไป)
๔ ตั้งช่อื บทตาม (หัวข้อสาคญั ) ๒. หวั ข้อสาคัญ (ตวั อยา่ ง : การจัดโครงสร้างของ
ความเหมาะสม ................. หนว่ ยงานทีเ่ ก่ียวขอ้ ง)
(ผลของการวิจยั ) (หัวข้อสาคญั ) ๓. หัวข้อสาคัญ (ตัวอย่าง : กฎหมาย ระเบียบที่
................. เก่ยี วข้อง)
(หัวขอ้ สาคญั ) ๔. หวั ขอ้ สาคญั (ตวั อยา่ ง : การดาเนินการท่ผี ่านมา)
ในบทน้ีจะเปน็ ................. ๕. หัวขอ้ สาคัญ(ตวั อย่าง : ปัญหาและอุปสรรคที่สาคัญ)
การวิเคราะห์ สรปุ
ข้อมูลทไ่ี ดจ้ าก ฯลฯ
สบื ค้น หรอื เน้ือเร่ือง ( ให้ดาเนินการศึกษาตามลาดับหัวข้อที่
สมั ภาษณ์ และ กาหนดไว้ในส่วนนาของบท)
ไดผ้ ลการ สรปุ (ทา้ ยบท )
ศึกษาวิจัย
ออกมา ส่วนนาของบท จะตอ้ งพจิ ารณาวัตถปุ ระสงค์การ
วิจัย และจะต้องตอบวัตถุประสงค์ของเรื่องท่ีวิจัย
เป็นหลัก ตวั อย่างการลาดับหัวขอ้ ในบทนี้ มดี ังนี้
- การวเิ คราะห์ปญั หาอปุ สรรค(ที่ไดจ้ ากบทที่ ๓ทผ่ี า่ นมา)
- การกล่าวถึงหลักวิชาการตามการทบทวน
วรรณกรรมที่ค้นคว้ามาจากข้อมูลทุติยภูมิต่าง ๆ
เพ่ิมเติมจากท่ที บทวนวรรณกรรมในบทที่ ๒ แล้ว
- นาทฤษฎีที่ได้มีการทบทวนไว้แล้วในบทท่ี ๒ มาใช้
ประกอบการวิเคราะห์ และสังเคราะห์เพื่อให้ได้
แนวทางหรอื ใหไ้ ดต้ วั แบบเพ่อื การแกไ้ ขปญั หาในบทนี้
- นาบทสัมภาษณ์มาประกอบการวเิ คราะหส์ ังเคราะห์
ในบทน้ดี ้วย
- นางานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ งทไี่ ด้ทบทวนวรรณกรรมไว้
แล้วมาประกอบการวเิ คราะห์และสงั เคราะหใ์ นบทนี้
ดว้ ย
- ผลการวจิ ัยในบทนจี้ ะตอบวัตถุประสงคก์ ารวจิ ัยข้อ
สุดทา้ ย อาจจะเป็น
o แนวทาง ( ในการแก้ปญั หา)
o ยุทธศาสตร์ ( ในการแก้ไขปญั หา)
o แนวความคิด (ในการแก้ไขปญั หา)
ฯลฯ
๑๒
บทท่ี ชื่อบท หัวข้อสาคัญ รายละเอียด/ตวั อยา่ ง
๕ สรปุ และ ทค่ี วรมใี นบท สรุป ในบทท่ี ๔ น้ีผู้วิจัยต้องแสดงให้เห็นว่า
สรปุ ผลการวจิ ัยทไ่ี ด้ทงั้ แนวทาง........ยทุ ธศาสตร์.......และ
ขอ้ เสนอแนะ ข้อเสนอแนะ แนวความคิด....................ในการแก้ไขปัญหาน้ันมี
ความเป็นมาอย่างไร ทฤษฎีที่เลือกไว้ในบทท่ี ๒
นามาใช้ในบทท่ี ๔ อย่างไร
การเขียน สรุป เป็นการสรุปเนื้อหาจากบทที่ผ่านมา
โดยเขียนตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อช้ีว่าผล
การศึกษาได้บรรลุวัตถุประสงค์ของการวิจัยหรือไม่
โดยเขียนให้ตรงประเด็นไม่เพิ่มเติมความเห็นของ
ผู้วิจยั
การเขียน ข้อเสนอแนะ จะต้องได้มาจากการวิจัย
โดยใชฐ้ านขอ้ มูลจากการวจิ ัยเป็นพน้ื ฐานในการเขียน
ข้อเสนอแนะควรประกอบด้วย ข้อเสนอแนะของ
ผู้วิจัยในเร่ืองท่ีเกี่ยวข้อง รวมท้ังข้อเสนอแนะเชิง
นโยบายและมาตรการต่าง ๆ ท่ีรัฐหรือหน่วยงานที่
เก่ียวข้องพึงนาไปใช้และข้อเสนอแนะในการทาวิจัย
คร้ังตอ่ ไป ซงึ่ ขอ้ เสนอแนะจะต้องเป็นเรื่องใหม่ ไม่ใช่
เรอื่ งทรี่ กู้ ันอยู่ท่ัวไป สามารถนาไปปฏิบัติได้จริงและ
ในการเขยี นข้อเสนอแนะควรลาดับเป็นข้อ ๆ
๓. สว่ นอ้างองิ
การวจิ ยั เปน็ กระบวนการคน้ ควา้ หาความจริงอย่างถูกต้องตามหลกั วิชาอยา่ งเปน็ ระบบ
และมีรากฐานอย่บู นข้อเท็จจรงิ ดงั นัน้ ผู้ทาการวิจยั ต้องมีการอา้ งอิงแหลง่ ท่ีมาของข้อมลู ท่ีนามาใช้ใน
การศกึ ษาดว้ ย มิฉะน้ันจะถือว่าไม่เป็นเอกสารวิจัยฯ เพราะขาดลักษณะของการวางรากฐานอยู่บน
ขอ้ เท็จจรงิ
๔. ภาคผนวก
เป็นส่วนประกอบของเอกสารวิจัยฯ ที่ช่วยเพ่ิมความเข้าใจเรื่องราวให้ดีขึ้นหรือ
ใหป้ ระโยชน์แกผ่ ู้อา่ นนอกเหนือจากเนื้อเรือ่ ง ซึ่งไม่สมควรรวมไว้ด้วยกันกับเนื้อความ จึงต้องแยกไว้
ต่างหาก เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ กฎหมาย ระเบียบ ขอ้ บงั คบั นโยบายทีม่ หี ลักฐานอยู่แล้ว
หน้าแรกของภาคผนวกให้ข้ึนหนา้ ใหม่มีคาว่า ภาคผนวก อยู่กลางหนา้ กระดาษ
ในกรณีมหี ลายผนวก ในหน้าตอ่ ไปใหพ้ มิ พค์ าว่า ผนวก ก ไว้ห่างจากขอบบน ๑.๕ น้ิว
บรรทัดต่อมาพิมพ์ชื่อผนวก เมื่อภาคผนวกมีหลายภาคให้ใช้พยัญชนะไทยเรียงลาดับ จาก ก – ฮ
เช่น ผนวก ก ผนวก ข ผนวก ค ฯลฯ ถ้าภาคผนวกมีเชิงอรรถ ให้ลาดับหมายเลขของเชิงอรรถ
โดยแยกแต่ละภาคผนวก วธิ ีลงเชงิ อรรถและวิธพี มิ พ์ใหท้ าเช่นเดียวกบั เชงิ อรรถของเนือ้ เรอ่ื ง
๑๓
๕. ประวตั ิยอ่ ผวู้ ิจัย
ประกอบด้วย
๕.๑ ช่อื นามสกลุ พรอ้ มด้วยคานาหนา้ นาม เชน่ ยศ ฐานันดรศักด์ิ ฯ
๕.๒ วนั เดือน ปีเกดิ
๕.๓ การศึกษา
๕.๔ ประวตั กิ ารทางานโดยย่อ
๕.๕ ตาแหน่งปัจจุบัน
ข้นั ตอนการจัดทาเอกสารวจิ ัยส่วนบคุ คลของนกั ศึกษา วปอ.
วิทยาลยั ป้องกันราชอาณาจักร ฯ กาหนดขั้นตอนในการจัดทาเอกสารวิจัยส่วนบุคคล
ของนักศีกษา วปอ. ตามแผนภาพที่ ๑ – ๑ ดงั นี้
๑๔
แผนภาพท่ี ๑-๑ ข้นั ตอนจดั ทาเอกสารวิจยั ส่วนบคุ คลของนกั ศึกษาวทิ ยาลยั ปอ้ งกันราชอาณาจักร
ช้แี จงการเขยี นเอกสารวจิ ยั จดั บรรยายการเขยี น
ฯ เอกสารวจิ ยั ฯและการ
ใหค้ าแนะนาปรกึ ษา
หัวขอ้ เอกสาร
นักศกึ ษาสง่ โครงการวจิ ยั +โครงเร่อื ง คัดแยกกลมุ่ ตามลกั ษณะวิชา
จานวน ๕ ชดุ ที่ กอส.วปอ.ฯ
แก้ไข ดาเนนิ การสมั ภาษณต์ ามห้วงเวลา นดั วัน-เวลาสมั ภาษณ์
นกั ศึกษา นักศึกษาสง่ โครงการวจิ ัย+โครงเรื่องใหม่ กอส.ฯ ขออนุมัตโิ ครงการวิจยั
แก้ไขตาม จานวน ๖ ชดุ (หลงั การสมั ภาษณ์)
เพือ่ ขออนุมัตกิ ารจดั ทา กอส.ฯ ตรวจสอบและแจ้งเตือน
ขอ้ คดิ เหน็ ที่ กอส.วปอ.ฯ การส่งงานของนักศกึ ษา
ของอาจารย์ นักศกึ ษาสง่ รายบท ๑ - ๕ ตามห้วงเวลาท่กี าหนด
ท่ีปรกึ ษา
กองวิชาการกาหนด จัดตารางแถลงเอกสารวจิ ยั ฯ
ผทู้ รงคุณวฒุ ิ ตามลักษณะวชิ า
และแจง้ ให้ กอส.ฯ ทราบ นกั ศึกษา
เพื่อขออนุมตั ิในท่ีประชุม แก้ไขตาม
คณะกรรมการวชิ าการ วปอ. ขอ้ คดิ เหน็
ดาเนนิ การแถลงเอกสารวิจัยฯ แก้ไข ของ
ผู้ทรงคณุ วุฒิ
ปษ.วปอ.และกองวชิ าการตรวจเนอ้ื หาด้าน
วชิ าการ และ กอส.ฯ ตรวจสอบความถกู นักศกึ ษาสง่ รา่ งฉบบั สมบรู ณ์ ๑ เล่ม
ตอ้ งรปู แบบการพิมพ์เอกสาร ตามเอกสาร
วปอ. หมายเลข ๐๐๖
นกั ศกึ ษาสง่ ฉบบั สมบรู ณ์ ๓ เลม่ พร้อม CD
แกไ้ ข กอส.ฯ จัดทาหนงั สือนาเรียนเพือ่ ขออนุมัติเอกสาร
วิจยั ฯ
นกั ศึกษาแก้ไข
กอส.ฯ จัดทาเลม่ เอกสารสง่ เกบ็ ทหี่ อ้ งสมดุ
และจดั ทา DVD ทาเนียบเอกสารวจิ ยั ฯ สาหรับการ
เผยแพร่
แผนภาพท่ี ๑ – ๒ แผนการทาวิจัยข
ลาดับ การดาเนินการ
๑. กาหนดประเด็นปัญหา และสารวจขอ้ มูลท่ีเกี่ยวขอ้ ง
๒. สง่ โครงการวิจยั (ประกอบด้วยโครงการวิจยั และโครงเร่ือง)
๓. ชแ้ี จงโครงการวิจัย (สมั ภาษณ)์
๔. ดาเนินการวิจยั
- รวบรวมขอ้ มลู จัดระเบียบข้อมลู และ
- วเิ คราะหข์ อ้ มลู
๕. สง่ รา่ งเอกสารวจิ ยั เป็นรายบท
๕.๑ บทท่ี ๑ บทนา
๕.๒ บทที่ ๒ แนวคดิ ทฤษฎวี รรณกรรมข้อมลู ทัว่ ไปทเ่ี กยี่ วข้อง
๕.๓ บทที่ ๓ ข้อมูลเชงิ ลกึ ทเี่ กี่ยวข้อง
๕.๓ บทท่ี ๔ วิเคราะห/์ ผลการวจิ ัย
๕.๔ บทที่ ๕ สรปุ และขอ้ เสนอแนะ
๖. แถลงผลงานวจิ ยั โดยส่งสรปุ ยอ่ งานวจิ ยั ภายใน ๑๐ วันทาการ
กอ่ นวนั ท่จี ะทาการแถลงผลงานวจิ ยั
๗. สง่ รา่ งเอกสารวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ ๑ ชดุ
8. ส่งเอกสารวิจยั ฉบับสมบรู ณ์ ๓ เล่ม และสรปุ ยอ่ ๑ ชดุ
พร้อมบันทกึ ข้อมูลทัง้ หมดลงแผ่นบันทึกข้อมลู จานวน ๑ แผ่น
๑๕
ของนักศกึ ษาวทิ ยาลยั ป้องกนั ราชอาณาจกั ร
ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. ม.ี ค. เม.ย. พ.ค. ม.ิ ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย.
๑๖
การแถลงเอกสารวิจัยส่วนบุคคล
การแถลงเอกสารวจิ ัยส่วนบุคคล คือ การทนี่ กั ศึกษาผทู้ าการวิจัยนาผลงานวิจัยของตน
โดยสรุป เสนอตอ่ วิทยาลยั ป้องกันราชอาณาจักรฯ และนักศึกษาในรนุ่ ในลกั ษณะการนาเสนอต่อหน้าช้ัน
ซงึ่ ถือเป็นสว่ นหน่งึ ของการประเมนิ ค่าเอกสารวิจยั
กาหนดการแถลงเอกสารวิจัยส่วนบคุ คล
๑. กาหนดการแถลงเอกสารวิจยั ส่วนบุคคลของนักศึกษาต่อหน้าชั้น กาหนดจัด
ในช่วงเดือนกรกฎาคม และวทิ ยาลยั ป้องกันราชอาณาจักรฯ จะแจ้งกาหนดการแถลงเอกสารวิจัย
ส่วนบุคคลของนักศึกษาใหท้ ราบเป็นการล่วงหน้าก่อนวนั แถลงวันแรก ประมาณ ๑ เดือน (นักศึกษา
ต้องสง่ ร่างเอกสารวจิ ยั ฯรายบทครบทุกบทแล้วเท่านั้นจึงจะได้รับสิทธ์ิในการแถลง) เพ่ือให้นักศึกษา
มีเวลาจดั ทาสรุปย่อสาหรบั แจกจ่ายผเู้ ขา้ ฟังและเตรียมอุปกรณช์ ่วยในการแถลงผลงานวจิ ยั
๒. เวลาที่ใช้ในการแถลงเอกสารวจิ ัยสว่ นบคุ คล
นกั ศึกษาแตล่ ะคนจะใช้เวลาแถลงเอกสารวิจัยส่วนบุคคล รวม ๔๕ นาที แยกเป็น
- การนาเสนอผลงานวิจัย ๒๐ นาที
- ตอบข้อ ซักถามและ รับฟังการเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติมจากผู้ทรงคุณวุฒิ
อาจารยท์ ี่ปรกึ ษาเอกสารวิจัย วปอ. และผู้เขา้ รว่ มรับฟงั ๒๐ นาที
- เวลาทางธรุ การ ๕ นาที
การเตรียมการแถลงเอกสารวจิ ัยส่วนบุคคล
ในการแถลงเอกสารวจิ ัยสว่ นบคุ คล ให้นักศกึ ษาดาเนินการ ดงั นี้
๑. จัดทาสรปุ ยอ่ ตามรูปแบบของวิทยาลยั ป้องกันราชอาณาจักรฯ โดยย่อเนื้อหาสาคัญ
ของเอกสารวิจัยฯ (ตามรูปแบบในหน้า ๑๐๑) ความยาวประมาณ ๕ หน้า จานวน ๓๐ ชุด ส่งให้
กองวิชาการท่ีรับผิดชอบในลักษณะวิชาน้ัน ๆ ก่อนวันแถลงผลงานวิจัย ๑๐ วันทาการ
เพอื่ แจกจา่ ยให้ผทู้ รงคุณวฒุ ิ และนักศกึ ษาทีเ่ ข้าฟัง โดยสรปุ ยอ่ จะมีเน้อื หาตามหัวขอ้ ตอ่ ไปนี้
๑.๑ ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา
๑.๒ วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย
๑.๓ ขอบเขตของการวิจัย
๑.๔ วธิ ดี าเนินการวิจัย
๑.๕ ผลการวจิ ัย
๑.๖ ข้อเสนอแนะ
๒. เตรียมอุปกรณ์ประกอบการแถลงเอกสารวิจัยส่วนบุคคล เช่น แผ่นใส ภาพนิ่ง
ภาพยนตร์ มัลติวิช่ัน วีดิทัศน์ ฯลฯ และควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ประจาห้องโสตทัศนูปกรณ์ทราบ
เปน็ การลว่ งหนา้ เพอื่ เตรียมการอานวยความสะดวก
๑๗
การรว่ มรับฟงั การแถลงเอกสารวิจยั ส่วนบคุ คล
เน่ืองจากเอกสารวจิ ัยฯ แตล่ ะเร่ือง มิใช่เปน็ แต่เพียงผลการศกึ ษาวิจัยทไี่ ด้จากการศึกษา
ค้นคว้าทางวชิ าการเทา่ น้นั หากได้รวมถงึ ความชานาญประสบการณแ์ ละทัศนะ ซง่ึ ไดส้ ่ังสมไว้จากการ
ปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบในตาแหน่งหน้าท่ีต่าง ๆ หลายระดับ เป็นเวลานาน ผลการวิจัย
ท่ีได้จึงมีคุณค่าอย่างย่ิงต่อการนาไปประยุกต์ใช้ หรือเป็นแบบอย่างในการแก้ปัญหา นอกจากนี้
วัตถุประสงค์ข้อหนึ่งของการจัดให้มีการแถลงผลงานวิจัยต่อหน้าช้ัน คือ ต้องการให้ผู้ฟังได้เสนอ
ข้อคดิ เหน็ หรือข้อมูลท่ีเปน็ ประโยชน์ตอ่ การวจิ ยั เพ่ือให้ผู้วิจัยนาความคิดเห็นหรือข้อมูลเหล่านั้นไป
พิจารณาปรับปรุงเอกสารวิจัยของตนให้มีความสมบูรณ์ย่ิงขึ้น ดังน้ัน นักศึกษาทุกคนควรให้ความ
สนใจต่อการแถลงผลงานวิจัยของเพ่ือนนักศึกษา นอกจาก จะเป็นการให้กาลังใจแก่ผู้แถลง
ผลงานวิจัยดว้ ยแลว้ ยังเปน็ โอกาสท่จี ะได้เสนอแนะข้อมูล หรือทัศนะที่เป็นประโยชน์ต่อผลงานวิจัย
ในเรือ่ งนนั้ ๆ อกี ด้วย
การประเมนิ การแถลงเอกสารวิจัยส่วนบคุ คล
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ จะเชิญคณะอาจารย์ที่ปรึกษาการจัดทาเอกสารวิจัย
ทั้งอาจารย์ท่ีปรึกษาหลัก และอาจารย์ท่ีปรึกษาร่วมของนักศึกษาเข้าฟังการแถลงผลงานวิจัย
และทาการประเมินคา่ นอกจากนั้น จะมีผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นมาฟังการแถลงเพิ่มเติม
เพ่ือให้ได้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงงานวิจัย โดยใช้แบบประเมินใบ ปม.๑ ในการ
ประเมินการแถลงเอกสารวิจัยสว่ นบคุ คล
รางวลั เอกสารวจิ ัยสว่ นบคุ คล
แนวทางการพิจารณารางวัลเอกสารวจิ ัยฯ เป็นไปตามระเบียบ วปอ.สปท. ว่าด้วย การให้
รางวัลเอกสารวจิ ัย พ.ศ.๒๕๕๗ มีขนั้ ตอนและการปฏบิ ัติท่เี กยี่ วขอ้ ง ดังนี้
๑. รางวลั เอกสารวจิ ยั ฯ แบ่งเป็น ๓ ระดับ ได้แก่
๑.๑ เอกสารวิจัยฯ ดีเด่น หมายถึง หมายถึง เอกสารวิจัยฯ ที่สภา วปอ. มีมติอนุมัติ
ให้เป็นเอกสารวจิ ัยฯ ดีเดน่
๑.๒ เอกสารวจิ ัยฯ ชมเชย หมายถงึ เอกสารวิจยั ฯ ที่ได้รับการเสนอเข้ารบั การพจิ าณา
รางวลั แตไ่ ม่ผ่านเกณฑอ์ นุมตั ิในข้อ ๑.๑
๑.๓ เอกสารวิจัยฯ ท่ีสมควรได้รับเกียรติบัตร วปอ. หมายถึง เอกสารวิจัยฯ ที่ได้รับ
การเสนอเข้ารบั การพจิ าณารางวัล แต่ไม่ผา่ นเกณฑ์อนุมตั จิ ากคณะกรรมการการศึกษา วปอ. เพ่ือนาเข้า
พิจารณาในข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ และ/หรอื เอกสารวิจัยฯ ท่ี วปอ.ฯ มีมตอิ นมุ ตั ิรางวลั ให้
๒. คณุ ลกั ษณะของเอกสารวิจยั ฯ
เอกสารวจิ ัยฯ ที่จะเสนอเขา้ รับการพิจารณารางวลั ตอ้ งผา่ นการประเมินในประเด็น
ต่าง ๆ ดงั นี้
๒.๑ การประเมนิ ทัว่ ไป
๑๘
พิจารณาในประเด็นท่เี ก่ยี วขอ้ ง ไดแ้ ก่
๒.๑.๑ ไม่เป็นวิทยานิพนธ์ หรือเอกสารวิจัย หรือเอกสารวิชาการท่ีเป็น
สว่ นหนงึ่ ของการรับปริญญา หรอื วฒุ ิบัตรของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ
๒.๑.๒ เขียนเป็นภาษาไทย สาหรับนักศึกษาจากมิตรประเทศเขียนเป็น
ภาษาองั กฤษได้
๒.๑.๓ มีรูปแบบการพิมพ์ การอ้างอิง และส่วนประกอบอื่น ๆ ของเอกสาร
ตามมาตรฐานของ วปอ.ฯ ที่กาหนดไว้ในค่มู อื การเขียนเอกสารวิจัยฯ (เอกสาร วปอ.หมายเลข ๐๐๖)
๒.๑.๔ ส่งเนื้อหาครบทั้ง ๕ บท ภายในกรอบเวลาท่ี วปอ.ฯ กาหนด และ
มคี ะแนนการประเมินตามแบบประเมนิ คณุ ค่าและคณุ ภาพเอกสาร (ปม.๒) ระหว่าง ๙๐ - ๑๐๐ คะแนน
รวมทง้ั อาจารย์ทีป่ รกึ ษาการจดั ทาเอกสารวิจยั ฯ มคี วามเห็นรว่ มกนั ให้เสนอเขา้ รับการพจิ ารณารางวัล
๒.๒ การประเมนิ ดา้ นคุณคา่
พจิ ารณาในประเดน็ ที่เก่ียวข้อง ได้แก่
๒.๒.๑ ความสาคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติ โดยพิจารณาจาก ความถี่และ
ความรุนแรงของปัญหาในปัจจุบัน มีผู้เกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบจากปัญหาจานวนมากมาก
น้อยเพียงใด มีแนวโน้มของปญั หาและผลกระทบทจ่ี ะเกิดขึ้นในอนาคต และมีความเร่งด่วนที่ต้องได้รับ
การแก้ไข เป็นต้น
๒.๒.๒ ความเหมาะสมของเรือ่ งทที่ าการวจิ ัย โดยพจิ ารณาจากความเหมาะสม
กบั สภาพแวดล้อมความมั่นคงแหง่ ชาติ เป็นการวิจัยที่มีรากฐานมาจากสถานการณ์หรือปัญหาที่เกิด
ขึ้นจริง เป็นการวิจัยที่ยังไม่มีผู้ทาวิจัยมาก่อนหรือมีแต่ยังไม่มีคาตอบท่ีสามารถนาไปแก้ปัญหาน้ัน
และเปน็ การวิจยั ท่ีค้นพบประเด็นใหม่ ๆ และทันตอ่ เหตกุ ารณ์ เปน็ ต้น
๒.๒.๓ ประโยชนแ์ ละขอ้ เสนอแนะทไี่ ด้จากการวจิ ยั โดยพิจารณาจาก สามารถ
นาไปใช้ปฏิบัติได้จริงในปัจจุบัน และเป็นการเตรียมการเพื่ออนาคต เป็นการวิจัยท่ีเพิ่มพูนความรู้
และความก้าวหน้าทางวิชาการเป็นที่ยอมรับได้ เป็นข้อเสนอแนะท่ีเช่ือมโยงสัมพันธ์กับผลการวิจัย
และนาไปใช้แก้ปัญหาได้ รวมทง้ั มีขอ้ เสนอแนะ (เชิงนโยบาย และทั่วไป) ทส่ี ามารถนาไปใชป้ ระโยชน์
ได้กวา้ งขวางและเปน็ ไปได้ เปน็ ตน้
๒.๓ การประเมินคณุ ภาพเอกสารวิจัยฯ พจิ ารณาในประเดน็ ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง ได้แก่
๒.๓.๑ ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหาแสดงให้เห็นถึงประเด็นปัญหา
และความสาคัญในการทาวิจัย ครอบคลุมประเด็นท่ีศึกษาโดยมีเหตุผลสนับสนุน ข้อความมีความ
กระชบั ชัดเจน
๒.๓.๒ วัตถปุ ระสงค์ชัดเจนและช้ีเฉพาะตามเนือ้ หา
๒.๓.๓ การทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องครอบคลุม แนวคิด ทฤษฎี ข้อมูล
วิชาการอน่ื ๆและเชือ่ มโยงกบั หวั ขอ้ วจิ ยั
๒.๓.๔ กระบวนการวิจยั ทกุ ขัน้ ตอนถกู ต้องเหมาะสมตามระเบียบวิธีการวจิ ยั
๒.๓.๕ การวเิ คราะหผ์ ลการวิจัยจากแนวคดิ ทฤษฎบี นพืน้ ฐานขอ้ มูลเชงิ ประจกั ษ์
และหลักวิชาการ มคี วามชดั เจน น่าเชอ่ื ถือ สอดคล้องตรงตามวัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั
๒.๓.๖ การสรุปผลการวิจัย มีความกระชับ ชัดเจน สอดคล้องวัตถุประสงค์
ของการวิจยั ทต่ี ัง้ ไว้บนพ้ืนฐานหลักวิชาการ
๑๙
๒.๓.๗ ความสมบูรณ์ของส่วนประกอบอื่น ๆ ของเอกสารวิจัยฯ (อาทิ ตาราง
รูปภาพ แบบจาลอง สถิติ ฯลฯ) และมีการอ้างอิง การจัดทาบรรณานุกรมที่ครบถ้วนสมบูรณ์และ
ถูกตอ้ ง รวมทั้งความสามารถในการลาดบั เช่อื มโยงเน้ือหาตอ่ เนอ่ื งระหวา่ งบท การลาดับหัวข้อต่าง ๆ
เปน็ หมวดหมู่ ชดั เจน
๓. ขนั้ ตอนการพจิ ารณารางวัลเอกสารวจิ ัยฯ
ดาเนินการโดยคณะกรรมการชดุ ต่าง ๆ ตามลาดบั ขัน้ ตอน ดงั น้ี
๓.๑ อาจารย์ที่ปรึกษาการจัดทาเอกสารวิจัยฯ พิจารณาเอกสารวิจัยฯ ในความ
รับผดิ ชอบ และเสนอรายชอื่ เอกสารวิจัยฯที่สมควรไดร้ บั การพิจารณารางวัล
๓.๒ คณะกรรมการกลั่นกรองการให้รางวัลเอกสารวิจัยฯ (หมายถึง
คณะกรรมการตามที่กาหนดไว้ในระเบียบ วปอ.สปท. ว่าด้วย การให้รางวัลเอกสารวิจัย พ.ศ.๒๕๕๗)
พจิ ารณาเอกสารวจิ ัยฯ ตามข้อ ๓.๑ เพ่ือคดั เลอื กเอกสารวจิ ัยฯ พรอ้ มท้งั ระดบั รางวัลท่ีเหมาะสม เสนอ
ตอ่ คณะกรรมการการศึกษา วปอ.
๓.๓ คณะกรรมการการศึกษา วปอ. พิจารณาเอกสารวิจัยฯ ตามข้อ ๓.๒ เพื่อ
คัดเลอื กเอกสารวิจัยฯ ทีส่ มควรได้รบั รางวัลระดับดเี ด่น และ/หรือระดับชมเชย เสนอต่อ สภา วปอ.
๓.๔ คณะกรรมการสภา วปอ. พิจารณาเอกสารวิจัยฯ ตามข้อ ๓.๓ เพ่ืออนุมัติ
เปน็ เอกสารวิจยั ฯ ระดบั ดีเดน่ และ/หรือ เอกสารวจิ ยั ฯ ระดบั ชมเชย
๔. แบบประเมนิ เอกสารวจิ ยั ฯ (ประเมินคณุ คา่ และคณุ ภาพของเอกสาร)
ใช้แบบประเมิน ปม.๒ ซ่ึงประกอบด้วย ส่วนท่ี ๑ ประเมินคุณค่าเอกสารวิจัยฯ
(๕๐ คะแนน) ส่วนที่ ๒ ประเมินคุณภาพเอกสารวิจัยฯ (๕๐ คะแนน) และ ส่วนที่ ๓ ข้อคิดเห็น
เพ่ิมเติมของผปู้ ระเมนิ (ไมม่ คี ะแนน)
จรรยาบรรณนักวิจยั
สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สภาวิจัยแห่งชาติ ได้จัดทาเรื่องจรรยาบรรณ
นักวิจัยและแนวทางปฏิบัติข้ึน เพื่อให้เป็นข้อสังวรณ์ทางคุณธรรม และจริยธรรมในการทางาน
ของนักวิจัย วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ ได้คัดลอกบางส่วน ซ่ึงเกี่ยวข้องกับการจัดทาเอกสาร
วิจยั ส่วนบุคคลของ วปอ.ฯ มาเพ่ือเผยแพร่ใหน้ ักศึกษาไดท้ ราบแนวทางปฏิบัติตามหลักจรรยาบรรณ
นักวจิ ยั มีรายละเอียดดังน้ี
แนวทางปฏบิ ตั ิ
๑. นักวจิ ัยตอ้ งซือ่ สัตย์และมคี ุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ
นักวจิ ยั ตอ้ งมีความซื่อสตั ยต์ ่อตนเองไมน่ าผลงานของผอู้ ่ืนมาเป็นของตนไมล่ อกเลยี น
งานของผู้อื่น ต้องให้เกียรติและอ้างถึงบุคคล หรือแหล่งที่มาของข้อมูลท่ีนามาใช้ในงานวิจัย
ต้องซอื่ ตรงตอ่ การแสวงหาทุนวจิ ยั และมีความเป็นธรรมเก่ยี วกับผลประโยชนท์ ่ไี ดจ้ ากการวจิ ัย
๒. นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการท่ีทาวิจัยอย่างเพียงพอ และมีความรู้
ความชานาญ หรือมีประสบการณ์เก่ียวเน่ืองกับเร่ืองที่ทาวิจัยเพ่ือนาไปสู่งานวิจัยท่ีมีคุณภาพ
และเพ่ือป้องกันปัญหาการวิเคราะห์ การตีความ หรือการสรุปที่ผิดพลาด อันอาจก่อให้เกิดความ
เสียหายตอ่ งานวิจัย
๒๐
๓. นกั วิจยั ตอ้ งมีความรบั ผดิ ชอบตอ่ สงิ่ ทศ่ี ึกษาวจิ ยั ไม่ว่าจะเปน็ สิง่ ที่มชี วี ติ หรือไม่มีชีวิต
นักวิจัยต้องดาเนินการด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง และมีจิตสานึก และมีปณิธานท่ีจะอนุรักษ์
ศลิ ปวฒั นธรรมทรพั ยากร และสิ่งแวดล้อม
๔. นักวิจัยต้องเคารพศักด์ิศรีและสิทธิของมนุษย์ท่ีใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัยนักวิจัย
ต้องไม่คานึงถึงผลประโยชน์ทางวิชาการจนละเลยและขาดความเคารพในศักด์ิศรีของเพื่อนมนุษย์
ต้ อ ง ถื อ เ ป็ น ภ า ร ะ ห น้ า ที่ ท่ี จ ะ อ ธิ บ า ย จุ ด มุ่ ง ห ม า ย ข อ ง ก า ร วิ จั ย แ ก่ บุ ค ค ล ที่ เ ป็ น ก ลุ่ ม ตั ว อ ย่ า ง
โดยไมห่ ลอกลวง หรือบีบบงั คบั และไม่ละเมิดสทิ ธิ
๕. นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิดโดยปราศจากอคติในทุกข้ันตอนของการทาวิจัย
นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิด ต้องตระหนักว่าอคติส่วนตน หรือความลาเอียงทางวิชาการ
อาจสง่ ผลใหม้ กี ารบิดเบือนขอ้ มลู และข้อค้นพบทางวิชาการ อันเปน็ เหตใุ หเ้ กิดผลเสียหายตอ่ งานวิจยั
๖. นกั วิจัยพงึ นาผลงานวจิ ยั ไปใช้ประโยชนใ์ นทางที่ชอบนักวิจัยพึงเผยแพร่ผลงานวิจัย
เพ่อื ประโยชนท์ างวชิ าการและสงั คม ไม่ขยายผลข้อค้นพบจนเกินความเปน็ จรงิ และไมใ่ ช้ผลงานวิจัย
ไปในทางมิชอบ
๗. นักวจิ ัยพึงเคารพความคิดเหน็ ทางวชิ าการของผู้อืน่ นักวจิ ัยพึงมีใจกว้าง พร้อมที่จะ
เปิดเผยข้อมูลและขั้นตอนการวิจัย ยอมรับฟังความคิดเห็นและเหตุผลทางวิชาการของผู้อ่ืน
และพรอ้ มท่ีจะปรบั ปรงุ แก้ไขงานวจิ ยั ของตนให้ถูกต้อง
๘. นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ นักวิจัยพึงมีจิตสานึกท่ีจะอุทิศ
กาลังสติปัญญาในการทาวิจัยเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการเพื่อความเจริญ และประโยชน์สุข
ของสงั คมและมวลมนุษย์ชาติ
บทท่ี ๒
การเขยี นโครงการวิจยั
หัวข้อโครงการวจิ ัย
โครงการวจิ ัยท่ีนกั ศกึ ษาตอ้ งจดั ทาและเสนอให้วิทยาลัยปอ้ งกนั ราชอาณาจักรฯ อนุมัตินั้น
ใหจ้ ัดทา ๒ ส่วน ไดแ้ ก่ โครงการวิจยั และโครงเรอื่ ง มรี ายละเอียดดงั นี้
๑. โครงการวจิ ยั จะเป็นหวั ขอ้ สาคัญในการเขียนงานวิจัย ประกอบดว้ ย
๑.๑ ชอ่ื เรอ่ื ง (Research Topic)
๑.๒ ลกั ษณะวชิ า (Field)
๑.๓ ผู้วจิ ยั (Researcher)
๑.๔ ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา (Background and Significance of
Problem)
๑.๕ วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย (Objectives of Research)
๑.๖ การทบทวนวรรณกรรมทเ่ี กี่ยวขอ้ ง (Literatures Review)
๑.๗ ขอบเขตของการวจิ ยั (Scope of Research)
๑.๘ กรอบแนวคิดของการวจิ ยั (Conceptual Framework)
๑.๙ วิธดี าเนินการวจิ ยั (Methodology)
๑.๑๐ ข้อจากัดของการวจิ ยั (Limitations and/or Delimitation) ถา้ มี
๑.๑๑ ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รบั จากการวจิ ยั (Research Results for
Utilizations)
๑.๑๒ คาจากดั ความ (Definitions) ถา้ มี
๒. โครงเรอ่ื ง
จะเป็นหัวข้อสาคัญในแต่ละบทของงานวิจัย โดยมีรายละเอียดของเนื้อหาต่าง ๆ
ท่เี กยี่ วข้องกับงานวจิ ยั ของนักศกึ ษา
คาแนะนาการเขยี นโครงการวิจยั
ในหวั ขอ้ โครงการวจิ ยั ทกี่ ลา่ วมาแล้วข้างตน้ มีคาแนะนาการเขียนดงั นี้
๑. ชือ่ เรื่อง (Research Topic)
ชื่อเร่ือง หรือหัวข้อวิจัย เป็นส่ิงท้าทายอันดับแรกของการเขียนเอกสารวิจัย
การกาหนดช่ือเรื่อง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านทราบถึงสาระสาคัญของการวิจัยให้ชัดเจน และ
กระชับทสี่ ดุ เทา่ ทจ่ี ะทาได้
๒๒
๑.๑ แนวทางก่อนทจี่ ะกาหนดช่อื เรอื่ ง
๑.๑.๑ ให้เริ่มจากเร่ืองท่ีมีความสนใจ หรือจากประสบการณ์การทางาน
ของนกั ศึกษาเอง
๑.๑.๒ ค้นคว้าเร่ืองท่ีสนใจนั้นเพ่ิมเติม ด้วยการตรวจสอบเอกสาร (การ
ทบทวนวรรณกรรม) เพ่ือจะได้ทราบว่ามีผู้ใดได้ศึกษาในเร่ืองดังกล่าวไว้บ้างแล้ว และยังมีประเด็น
อะไร ท่ีควรศึกษาเพิม่ เติมใหส้ มบูรณม์ ากขนึ้
๑.๑.๓ นอกจากน้ีอาจมาจากข้อคิด ข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ
หรอื จากเรอื่ งทีย่ งั มีประเด็นถกเถียง มีข้อโตแ้ ย้งท่ยี งั ไม่ได้ทาการตรวจสอบด้วยงานวจิ ัย
๑.๒ การกาหนดชือ่ เรอื่ ง
๑.๒.๑ ควรมีความยาวไม่เกิน ๑ บรรทดั พิมพ์ หรือประมาณ ๑๐ ถงึ ๑๒ คา
๑.๒.๒ ต้องไม่กว้างเกินไป เพราะจะทาให้การวิจัยออกมาคลุมเครือ
ต้องคานงึ ถงึ ความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
๑.๒.๓ ควรมีขอบเขตทีแ่ นน่ อน อย่ใู นวิสัยที่ทาได้
๑.๒.๔ ช่ือเรื่องควรมีความสอดคล้อง และเกี่ยวขอ้ งกับปัญหาทจ่ี ะทา
๑.๒.๕ มคี วามชดั เจนและช้เี ฉพาะในปญั หาทจ่ี ะศกึ ษา
๑.๒.๖ ไมค่ วรใช้คาวา่ “การวจิ ยั ” “การศึกษา” หรือ “การวเิ คราะห”์
นาหน้าชือ่ เรอื่ งโดยไมจ่ าเป็น
๑.๒.๗ ควรขึ้นต้นชื่อเร่ืองด้วยคาที่สาคัญของปัญหาซ่ึงเป็นภาษา
ง่าย ๆ สน้ั รัดกมุ
๑.๒.๘ นอกจากน้ีต้องไม่เลือกชื่อเร่ืองท่ีต้องอาศัยข้อมูลต่าง ๆ ท่ีมี
การปกปิด หรอื เป็นความลับจนไม่สามารถเกบ็ ข้อมูลได้
๑.๒.๙ ช่ือเร่ืองมักกล่าวในรูปวลี (ไม่เป็นรูปประโยคท่ีสมบูรณ์
และตอ้ งไมเ่ ปน็ ประโยคคาถาม)
๑.๒.๑๐ ไม่ควรใช้คา หรือประโยคท่ีไม่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
หรือคาที่ยังไมเ่ คยมกี ารบญั ญัติใชม้ าก่อน หากจาเป็นต้องใชอ้ าจเขยี นภาษาอังกฤษกากับไวด้ ว้ ย
๑.๒.๑๑ ชื่อเรื่องควรคานึงถึงมิติต่าง ๆ ของการวิจัย ได้แก่ พ้ืนฐาน
ทางทฤษฎี ลกั ษณะของการเก็บข้อมูล ประชากรเป้าหมายหรือสถานทที่ าการศึกษาวิจัย การกาหนด
ประเด็นสาระสาคญั ของการวิจยั และประโยชน์ต่อการทางาน
๒. ลักษณะวิชา (Field)
ใหน้ กั ศกึ ษาพิจารณาว่างานวจิ ยั ของท่านควรจัดอยู่ในลักษณะวิชาใดใน ๖ ลักษณะ
วิชา ดังนี้ ยุทธศาสตร์ (Strategy) การเมือง (Politics) การทหาร (Military) การเศรษฐกิจ
(Economics) สังคมจิตวิทยา (Social-Psychology) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and
Technology)
การวจิ ัยบางเร่อื งอาจจดั อย่ไู ด้ตั้งแต่ ๒ ลักษณะวิชาขึ้นไป วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ
โดยกองเอกสารวิจัย ฯ และกองวิชาการจะร่วมกันพิจารณา เพื่อกาหนดให้อยู่ในลักษณะวิชาท่ีมี
๒๓
เนื้อหา หรือมีจุดเน้นด้านนั้นมากที่สุด โดยแยกตามช่ือเรื่อง และรายละเอียดของโครงการวิจัย
ซงึ่ มีแนวทางการแบ่งลักษณะวชิ า ดงั น้ี
๒.๑ ยุทธศาสตร์ (Strategy)
ยทุ ธศาสตร์ชาติยุทธศาสตร์ความมั่นคงในภูมิภาค ผลประโยชนข์ องชาติ
การก่อการร้ายข้ามชาติ อาชญากรรมข้ามชาติ การร่วมรกั ษาสันตภิ าพ
การก่อการร้ายในประเทศ ปัญหาชายแดน เขตทับซ้อน เขตไหล่ทวีป
เขตเศรษฐกิจจาเพาะ ปญั หาความมั่นคงตามแนวชายแดนการข่าวระดับชาติ
ชนกลุม่ น้อยแรงงานตา่ งด้าวคนต่างด้าว ผอู้ พยพผหู้ นี/หลบภัย
การมีส่วนร่วมของประชาชน การประชาพิจารณ์ การเข้าชื่อของประชาชน
สิทธิมนุษยชน การประทว้ ง การชุมนมุ
ศาสตร์พระราชา โครงการพระราชดาริ โครงการพระราชทาน เศรษฐกิจ
พอเพยี งพระราชกรณียกจิ การถวายความปลอดภยั
ภัยคุกคาม ภยั คกุ คามรปู แบบใหม่
๒.๒ การเมือง (Politics)
การบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น การปฏิรูประบบ
ราชการ การกระจายอานาจ การตรวจราชการ การตรวจเงินแผ่นดิน การบริหารราชการท่ีดี (Good
Governance) การบริหารงานบคุ คล การบรหิ ารแบบใหม่
งานนิติบญั ญตั ิ พรรคการเมือง การเลือกต้งั
งานตลุ าการ
อุดมการณ์ทางการเมือง การปกครอง ความเปน็ ชาตินยิ ม
องค์กรอสิ ระ องคก์ รระหว่างประเทศ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งประเทศ การทูต
๒.๓ การเศรษฐกิจ (Economics)
การเงิน การคลัง การตลาด การคา้ การลงทนุ หลกั ทรัพย์ งบประมาณ
การเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การบริการ การประมง ปศุสัตว์ หัตถกรรม
การทอ่ งเท่ียว
โครงสรา้ งพน้ื บ้าน การขนส่ง คมนาคม ชลประทาน กอ่ สรา้ ง
รัฐวิสาหกจิ วิสาหกจิ ชุมชน โครงการของรฐั ด้านเศรษฐกิจ เช่น กองทุนหมู่บ้าน
OTOPการพกั หนเี้ กษตรกรการสหกรณ์
การส่งออก – นาเข้า ศุลกากร ภาษี การประกันชวี ิต ประกันภยั
อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ทรัพย์สินทางปัญญาระบบสิทธิประโยชน์ การให้
สมั ปทานการแปรสญั ญาการคุม้ ครองผบู้ รโิ ภค
๒.๔ สงั คมจติ วิทยา (Social–Psychology)
การศึกษา ศาสนา จริยธรรม จรรยาบรรณ ประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ กีฬา
ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปวฒั นธรรม โบราณคดี
ทัศนคติ คา่ นิยม ความเช่อื แรงจงู ใจ ขวัญ กาลงั ใจ ผู้นาภาวะผนู้ า ความพงึ พอใจ
๒๔
ปัญหาสตรีเยาวชนเด็กคนพิการการค้ามนุษย์ ปัญหาแรงงานไทย ประชากร
ทรัพยากรมนษุ ย์ การประชาสงเคราะห์
การแพทย์ สาธารณสุข สุขภาพอนามัย สขุ าภิบาล
การพัฒนาชนบท เมือง ชุมชนแออัด ความยากจน การวางผังเมือง ที่ดิน
ทอี่ ยู่อาศัย การสรา้ งชมุ ชนเขม้ แข็ง ภมู ิปัญญาทอ้ งถน่ิ
ส่ือ สือ่ มวลชน การประชาสมั พนั ธ์ การสรา้ งภาพลกั ษณ์
อบุ ตั ิภัย สาธารณภยั อุบัติเหตุ อุทกภัย วาตภัย
ยาเสพตดิ อาชญากรรม การสืบสวน สอบสวน การบังคับใช้กฎหมายการทุจริต
การฟอกเงิน การพนัน การจัดระเบยี บสังคม
๒.๕ การทหาร (Military)
เรือ่ งทเ่ี กยี่ วข้องกับภารกิจของหน่วยทหารทงั้ หมด
การพัฒนา หลักนิยม ระบบการบริหาร ระบบอาวุธ ระบบการฝึกศึกษา
การกาลงั สารอง การส่งกาลังบารุง การขา่ ว และอ่ืน ๆ ที่เป็นภารกิจของหน่วยทหาร
การประยุกต์ใช้ทรัพยากรทางการทหาร เพ่ือการพัฒนาประเทศ และการพาณิชย์
ความรว่ มมอื กับหน่วยทหารตา่ งประเทศ เพื่อความมั่นคงในภูมิภาค
การวิจยั และพฒั นากองทพั เพอ่ื การพงึ่ ตนเอง และความเปน็ สากล
๒.๖ วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (Science and Technology)
วทิ ยาศาสตร์สาขาตา่ ง ๆ
เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ เช่น ด้านอาหาร การเกษตร ชีวภาพ อวกาศ
ภูมิสารสนเทศเทคโนโลยีสารสนเทศ การสือ่ สารโทรคมนาคม คอมพิวเตอร์
พลงั งานสง่ิ แวดลอ้ ม นเิ วศวทิ ยา สัตว์ป่า พนั ธุ์พชื ทรัพยากรธรรมชาตมิ าตรวิทยา
๓. ผ้วู จิ ยั (Researcher)
ให้ใส่ชอ่ื นักศึกษา และชอื่ หลกั สตู รท่ีศกึ ษา โดยพิมพ์คาย่อของหลักสูตร พร้อมระบุ
รนุ่ ท่ีเข้ารับการศกึ ษาด้วย
๔. ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา (Background and Significance
of Problem)
เปน็ ส่วนประกอบแรกของเอกสารวิจยั (ควรมีความยาวของเนื้อหาในส่วนน้ีประมาณ
๒ - ๓ หน้า) สภาพปัญหาท่ีเลือกมาศึกษา ต้องอ้างอิงหลักฐานจากทฤษฎีหรืองานวิจัยอื่น
เพ่อื สรา้ งความหนักแนน่ ใหแ้ กเ่ หตุผลทีจ่ ะตอ้ งศกึ ษาเรื่องน้ี
ความสาคญั ของปญั หา พจิ ารณาไดจ้ าก
๑. จานวนบุคคลทเี่ กย่ี วข้องหรือถกู กระทบกระเทอื นจากปัญหาหรอื เรอ่ื งทีจ่ ะทาการวิจัย
๒. ความถ่แี ละความกวา้ งของการเกดิ ข้นึ ของเหตุการณ์
๓. ความเป็นไปได้
๔. ความน่าสนใจและทนั ตอ่ เหตกุ ารณ์
๕. ความสนใจของผวู้ จิ ัย
๖. ความสามารถท่ีจะทาการวิจยั ให้ลลุ ่วง (หมายถงึ ข้อมูลท่มี ี/แนวคดิ ทีม่ )ี
๒๕
ขนั้ ตอนในการเขียนความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา ควรมีลาดับ ดังน้ี
๑. กล่าวนาเข้าสู่ปัญหาอย่างมีลาดับข้ันตอน ชัดเจน รัดกุมโดยมีการทบทวน
วรรณกรรมพอสังเขป โดยเขียนอธิบายในภาพรวมของปัญหา (Macro) ลงไปสู่ประเด็นปัญหา
ที่เจาะจงจะศกึ ษาวจิ ัยทีแ่ คบลง (Micro)
๒. ระบวุ ่าปัญหาคอื อะไร มีข้อมูล หลกั ฐานที่ยืนยันว่าเป็นความจริง
๓. กล่าวถึงความรุนแรงของปัญหามีมากน้อยเพียงใด ส่งผลกระทบถึงส่วนรวม
อย่างไรบ้าง และมแี นวโน้มทีจ่ ะรนุ แรงตอ่ ไปในอนาคตอย่างไร
๔. ระบุความจาเป็นที่จะตอ้ งมกี ารวิจยั
๕. ผลทไ่ี ดจ้ ากการวิจัยจะชว่ ยแก้ปัญหาอย่างไร
๕. วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย (Objectives of Research)
เปน็ การระบุกิจกรรมหรืองานที่ผู้วิจัยต้องทาในอันที่จะได้มาซึ่งคาตอบในการวิจัย
เป็นการแยกแยะแจกแจงรายละเอียดของหวั เรือ่ งท่ีจะศึกษาออกเป็นหัวข้อย่อย ๆ (ประมาณ ๒–๓ ข้อ)
ในการกาหนดประเด็นหรอื วัตถุประสงคท์ จ่ี ะศกึ ษา มีหลกั ดงั นคี้ อื
๕.๑ ควรมีความชดั เจน ความไม่ซ้าซ้อน และความสัมพันธ์ระหว่างประเด็นเรียบ
เรียงจากวัตถุประสงคห์ ลกั ไปส่วู ตั ถุประสงคย์ ่อย
๕.๒ ควรเป็นขอ้ ความบอกเลา่
๕.๓ ควรเป็นข้อความสนั้ ๆ มกั ขน้ึ ตน้ ด้วยวลีดังตอ่ ไปนี้
เพ่อื หา.......... เพ่ือศึกษา......... เพ่ือสารวจ........เพื่อวิเคราะห์.......เพ่ือประเมิน
...........เพ่ือเปรียบเทียบ.............
๕.๔ วัตถุประสงค์แต่ละข้อควรมีนัยสาคัญเพียงอย่างเดียว หากมีวัตถุประสงค์
มากกว่า ๑ ข้อ ควรแยกเป็นรายข้อให้ชัดเจน
๕.๕ ตรง สอดคล้องกับปัญหาท่ีต้องการทาวิจัยไม่ควรเพิ่มเติมประเด็นอื่น ๆ
ที่ไมเ่ กย่ี วข้องกับปญั หาเข้ามา
๕.๖ ควรเรียงลาดบั ความเชอ่ื มโยงกอ่ นหลงั ในกรณที ่มี หี ลายประเดน็
๖. การทบทวนวรรณกรรมทีเ่ กยี่ วขอ้ ง (Literatures Review)
นกั ศกึ ษาควรทาการทบทวนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้องในเบ้ืองต้นก่อนว่าจะนาทฤษฎี
แนวความคดิ อะไรมาใช้ในการวิจยั อย่างพอสงั เขป เพื่อให้เกิดความรู้ ความเขา้ ใจในเร่อื งทจ่ี ะทา
๗. ขอบเขตของการวจิ ัย (Scope of Research)
ขอบเขตการวิจัย เป็นการกาหนดขอบเขตในด้านต่าง ๆ ของการวิจัยให้แคบลง
เพ่ือไม่ให้งานวิจัยมีขอบเขตการศึกษากว้างขวางจนเกินไป ซึ่งหมายถึงสาระหรือวัตถุประสงค์หรือ
ประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยต้องการจะศึกษารวมท้ังประเภทและลักษณะของประชากรที่เป็นเป้าหมาย
ของการศกึ ษา
๘. กรอบแนวคดิ ของการวิจยั (Conceptual Framework)
กรอบแนวคดิ ของการวิจยั หมายถงึ ความคิดของผูว้ ิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง
ตัวแปรต่าง ๆ ในการเลือกตัวแปรมาศึกษา ผู้วิจัยควรเลือกตัวแปรท่ีผู้วิจัยสามารถนาข้อค้นพบ
ทเ่ี กี่ยวข้องกับตวั แปรน้นั มาเปน็ ประโยชนเ์ ชิงปฏิบตั ไิ ด้ ตัวแปรแตล่ ะตวั ที่จะเลือกเข้ามาศึกษาจะต้อง
๒๖
มพี ื้นฐานทางทฤษฎคี วามมีเหตผุ ลวา่ มีความสมั พนั ธ์ หรอื เกีย่ วข้องกบั ส่งิ ที่ต้องการศึกษากรอบแนวคิด
ในการวจิ ยั สามารถนาเสนอไดโ้ ดยการพรรณนาความและ / หรอื แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง
ตัวแปรตา่ ง ๆ ท่ีอย่ใู นกรอบแนวคดิ ของผวู้ จิ ัย
๙. วิธดี าเนินการวจิ ัย (Methodology)
ใหร้ ะบุรายละเอยี ดต่าง ๆ ของการดาเนินการวิจัย แต่อย่างไรก็ตาม บางเรื่องอาจ
จะไมต่ ้องระบุครบทุกหัวข้อกไ็ ด้ ข้นึ อย่กู บั วธิ กี ารวิจัยที่ใช้ ดงั นี้
๙.๑ วธิ ีการวิจยั ใชว้ ธิ ีการวจิ ัยประเภท หรอื แบบใดด้วยเหตุผลอยา่ งไร
๙.๒ แหลง่ ข้อมลู ท่ีสัมภาษณ์ และ/หรือการวิเคราะห์เอกสารเป็นหลัก ให้ระบุว่า
ได้ข้อมลู เรือ่ งอะไร จากที่ไหนบ้าง
๙.๓ เครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ รวมรวมข้อมูล เป็นการระบุว่าในการจัดทาเอกสาร
วจิ ัย มกี ารใช้เครอื่ งมอื ในการเก็บข้อมูลอะไรบ้าง เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ ฯลฯ ลักษณะ
ของเครื่องมือเป็นอย่างไร ให้คะแนนอย่างไร และมีวิธีการสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
อย่างไร
๙.๔ การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นการอธิบายว่าผู้วิจัยมีขั้นตอนการเก็บรวบรวม
ขอ้ มลู อยา่ งไร
๙.๕ การวิเคราะหข์ ้อมลู เป็นการอธิบายถึงการนาข้อมูลท่ีทาการเก็บรวบรวมมา
ทาการวเิ คราะห์ โดยมีวธิ ีการวเิ คราะห์ขอ้ มลู อย่างไร
๑๐. ขอ้ จากัดของการวิจยั (Limitations and/or Delimitation)
ขอ้ จากัดของการวจิ ยั หมายถงึ ขอ้ จากัดของการวิจัยท่เี กิดข้ึนจากรูปแบบการวิจยั
(Research Design) ที่ผู้วิจัยได้กาหนดขึ้นเอง ปกติจะเป็นข้อจากัดเกี่ยวกับกลุ่มประชากร
ที่ทาการศึกษาท่ีจะมีผลทาให้การนาผลการวิจัยน้ีไม่สามารถนาไปใช้อย่างกว้างขวาง ตัวอย่างเช่น
ผู้วิจัยอาจกาหนดท่ีจะศึกษากลุ่มประชากรเฉพาะที่เกี่ยวข้องเร่ืองท่ีทาวิจัย หรือการกาหนดให้
ใช้การสัมภาษณเ์ ชงิ ลึก ทาให้เกิดขอ้ จากดั ต่อกลุ่มประชากร ซ่ึงผลท่ีไดจ้ ึงเป็นความคิดเหน็ ของเฉพาะ
กล่มุ ทศ่ี ึกษา ไม่สามารถนาไปใช้ไดท้ ว่ั ไป
กล่าวโดยสรุป การเขียนข้อจากัดของการวิจัย มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ผู้อ่าน
ไดร้ ะมัดระวังในการนาผลของการวจิ ยั ไปใช้
๑๑. ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับจากการวิจัย (Research Results for
Utilizations)
การเขียนประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย ต้องไม่เขียนกว้างเกินไป แต่ต้องระบุ
อย่างเจาะจงลงไปวา่ เปน็ ประโยชน์ตอ่ ใคร หรือหน่วยงานใด ในแง่มุม หรือด้านใด งานวิจัยมีคุณค่า
หรือผลดีที่ไดร้ บั จากการนาผลวิจัยไปใช้เป็นอยา่ งไร ซ่ึงอาจเปน็ ทางทฤษฎี แนวทางในการดาเนินงาน
กจิ กรรม นโยบาย การวางแผน โดยเขียนลาดับเป็นขอ้ ๆ
ในหัวขอ้ น้ี เม่ืออยูใ่ นบทที่ ๑ จะเปลี่ยนหัวข้อเป็น “ประโยชน์ท่ีได้รับ
จากการวจิ ัย” แทน
๒๗
๑๒. คาจากดั ความ (Definitions)
เป็นหัวข้อท่ีกล่าวถึงความหมายของคา หรือข้อความท่ีผู้วิจัยต้องการทาความ
เข้าใจกบั ผู้อ่านใหเ้ ข้าใจตรงกับผู้วิจยั คาหรอื ข้อความทคี่ วรนามาใหค้ วามหมายไว้ในหัวข้อน้ี ควรเป็น
คาศัพท์ทางวิชาการ (Technical Terms) ที่รู้กันเฉพาะสาขาวิชา คาศัพท์ท่ีมีหลายความหมาย
คาศัพท์ท่ีมีความหมายไม่แน่นอน และคาหรือข้อความท่ีเป็นวลียาว ๆ แต่ตัดคาขยายต่าง ๆ ออก
มงุ่ ใหก้ ารเขยี นรายงานสน้ั กะทัดรัด
๒๘
หนังสือนาส่งโครงการวจิ ัย
ส่วนราชการ วปอ.สปท. บนั ทกึ ขอ้ ความ
ที่ กห ๐๓๑๗.๒/ วนั ท่ี
เรอ่ื ง เสนอโครงการวจิ ัย
เรยี น ผอ.วปอ.สปท.
สิง่ ทส่ี ง่ มาดว้ ย ๑. โครงการวิจัย เรอ่ื ง ...........................................................................
๒. โครงเร่อื งการวิจัย
กระผม/ดฉิ ัน .......................................................................ตาแหน่ง..............................
ขอเสนอโครงการวิจัยในลกั ษณะวชิ า ............................................................ตามสง่ิ ทสี่ ่งมาดว้ ย
สาเหตุทกี่ ระผม/ดฉิ นั สนใจทจ่ี ะทาการวจิ ยั เร่ืองดังกล่าว เพราะ ..........................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………….................................................................................................
จึงเรียนมาเพ่อื กรณุ าพิจารณา
(ลงชอ่ื )
(.........……………………………….)
นักศกึ ษาวทิ ยาลยั ป้องกันราชอาณาจกั ร
หลักสตู ร วปอ. รนุ่ ท่ี ………เลขประจาตวั .............
๒๙
รปู แบบการจดั พมิ พโ์ ครงการวิจัย
ก้ันหนา้ โครงการวจิ ยั (๒๔) กั้นหลงั
๑.๕ นิ้ว เวน้ ระยะ ๑.๕ บรรทัด ๑ นว้ิ
หรอื ๓.๗๕ หรอื ๒.๕
ซม. เรอ่ื ง(๑๘) ...................................................................................................................... ซม.
ลักษณะวิชา(๑๘).................................................................................................................
ผวู้ ิจัย (๑๘)..................................................................หลกั สูตร......................รนุ่ ท่ี ...........
ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา(๒๐) เวน้ ระยะ ๑.๕ บรรทัด/หรอื กด ctrl ๗
เว้นระยะ ๑.๕ บรรทัด/หรอื กด ctrl ๗
ย่อหน้า ๒ ซม. เน้อื หาใหพ้ มิ พต์ ัวอักษรขนาด
๑๖.....................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................. ...................................
...............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......
เวน้ ระยะ ๑.๕ บรรทัด/หรอื กด ctrl ๗
วัตถุประสงค์ของการวิจยั (๒๐)
เว้นระยะ ๑.๕ บรรทัด/หรอื กด ctrl ๗
ยอ่ หนา้ ๒ ซม. เนอ้ื หาให้พมิ พต์ วั อกั ษรขนาด ๑๖.................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..................................
……………………………………………………………………… เว้นระยะ ๑.๕ บรรทัด/หรือกด ctrl ๗
การทบทวนวรรณกรรมท่เี ก่ยี วข้อง(๒๐)
เวน้ ระยะ ๑.๕ บรรทัด/หรอื กด ctrl ๗
ยอ่ หน้า ๒ ซม. เน้ือหาใหพ้ ิมพ์ตวั อกั ษรขนาด ๑๖...................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
..........................................................................................................
ยขอ่ หอนบ้าเ๒ขตซขม.อเงนกื้อหาารใวหจิ้พัยิมพ(๒ต์ ัว๐อ)กั ษรขนเวาเ้นดวร้นะ๑รยะะ๖ย.ะ๑....๑๕....๕.บ..ร.บ.ร.ร.ท.ร.ัด.ท./.ัด.ห./.ร.ห.อื.ร.ก.ือ.ด.ก..ด.c..t.cr..tl.r..๗l...๗......................................
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
............................................................................................................................. ...................................
เวน้ ระยะหา่ งจากบรรทดั สดุ ทา้ ยของหน้า ถงึ
ขอบลา่ ง ๑ นิ้ว/หรือ ๒.๕ ซม.
เว้นระยะจากขอบบนถงึ เลขหนา้ ๑ น้วิ
๓๐
กรอบแนวคดิ ของการวิจัย (๒๐) เว้นระยะจากเลขหนา้ ถึงบรรทัดแรกของเน้อื หา ๑/๒ น้ิว
ย่อหนา้ ๒ ซม. เนือ้ หาให้พิมพ์ตัวอักษรขนาด เวน้ ระยะ ๑.๕ บรรทัด/หรือกด ctrl ๗
๑๖.................................................................................
..............................................................................................................................................................
วิธีดาเนนิ การวิจัย(๒๐) เวน้ ระยะ ๑.๕ บรรทัด
ยอ่ หน้า ๒ ซม. เนื้อหาให้พมิ พ์ตัวอักษรขนาด ๑๖ ..............................................................................
............................................................................................................................. ................................
ขอ้ จากดั ของการวจิ ยั (ถ้าม)ี (๒๐) เวน้ ระยะ ๑.๕ บรรทัด/หรอื กด ctrl ๗
เวน้ ระยะ ๑.๕ บรรทัด/หรอื กด ctrl ๗
ย่อหน้า ๒ ซม. เนือ้ หาให้พมิ พ์ตัวอักษรขนาด ๑๖
.............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวจิ ัย(๒๐) เวน้ ระยะ ๑.๕ บรรทัด/หรือกด ctrl ๗
เว้นระยะ ๑.๕ บรรทัด/หรือกด ctrl ๗
ยอ่ หนา้ ๒ ซม. เนอื้ หาให้พมิ พต์ วั อักษรขนาด ๑๖ ................................................................................
..........................................(ดแู นวทางการเขียนประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะไดร้ ับใน หนา้ ๒๑)...............................
................................................................................................................................................................
เวน้ ระยะ ๑.๕ บรรทัด/หรอื กด ctrl ๗
คาจากัดความ (ถา้ ม)ี (๒๐) เว้นระยะ ๑.๕ บรรทัด/หรือกด ctrl ๗
คาจากดั ความ หมายถึง (๑๖) ........................................................................................................
........................................................................................................
คาจากัดความ หมายถงึ (๑๖) ..........................................................................................................
........................................................................................................
หมายเหตุ ๑. ชื่อลักษณะวชิ าที่ทาการศึกษาวจิ ัย ใน วปอ. ประกอบด้วย ลักษณะวิชา ยุทธศาสตร์
การเมือง การเศรษฐกจิ สังคมจิตวทิ ยา การทหาร และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
๒. ตัวเลขในวงเลบ็ คอื ขนาดตัวพมิ พ์ และใหใ้ ช้ตัวพมิ พ์ Angsana New หรือ TH SarabunPSK
๓๑
รูปแบบการจัดพมิ พโ์ ครงเรือ่ ง
โครงเร่ือง (๒๔)
บทที่ ๑ บทนา(๑๘)
ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา
วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั ตัวอกั ษร AngsanaNew
หรอื TH SarabunPSK
ขอบเขตของการวิจัย (ด้านเนอ้ื หา, ดา้ นประชากร, ดา้ นพ้ืนทศ่ี ึกษา) ขนาดตัวอกั ษร ๑๖
วธิ ดี าเนินการวิจยั (ขอ้ มลู ปฐมภมู ,ิ ข้อมลู ทุติยภมู )ิ
ขอ้ จากัดของการวจิ ัย (ถ้าม)ี
ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะไดร้ ับจากการวจิ ัย
คาจากัดความ (ถา้ มี)
บทท่ี ๒ การทบทวนวรรณกรรม และงานวิจยั ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง (๑๘)
(หวั ข้อสาคัญ) (๑๖) ....................................................................
(หวั ข้อสาคญั ) (๑๖) ....................................................................
กรอบแนวคดิ ของการวจิ ยั
สรปุ
บทที่ ๓ ต้ังชอื่ บทตามความเหมาะสม (ขอ้ มูลของเร่ืองทที่ าการวจิ ยั ) (๑๘)
(หัวข้อสาคัญ) (๑๖) ....................................................................
(หวั ข้อสาคัญ) (๑๖) ....................................................................
สรปุ
บทที่ ๔ ต้ังช่อื บทตามความเหมาะสม (การวเิ คราะหข์ ้อมลู ) (๑๘)
(หัวขอ้ สาคญั ) (๑๖) ....................................................................
(หัวข้อสาคญั ) (๑๖) ....................................................................
สรปุ
บทท่ี ๕ สรุปและขอ้ เสนอแนะ(๑๘)
สรปุ (๑๖)
ขอ้ เสนอแนะ (๑๖)
บรรณานกุ รม (๑๘)
ภาคผนวก (๑๘)
ชอ่ื ผนวก ...... (ใส่ชอ่ื ผนวก) (๑๖) .....................................................................
ประวตั ิยอ่ ผ้วู จิ ยั (๑๘)
หมายเหตุ ๑. โครงเรื่องมลี กั ษณะคลา้ ยการเขยี นสารบญั คอื ใส่เฉพาะหวั ขอ้ สาคญั ซง่ึ หัวขอ้ ทเี่ สนอสามารถปรับได้
๒. ตวั เลขในวงเลบ็ หมายถงึ ขนาดตัวพิมพ์ และให้ใชต้ ัวพิมพ์ Angsana New หรอื TH SarabunPSK
๓. กรณีมีวัตถุประสงค์ ๓ ข้อ ในบทที่ ๓ อาจจะต้งั ช่อื บทตามวตั ถุประสงค์ขอ้ ที่ ๑ และ ๒ รวมกนั
และใช้วตั ถปุ ระสงค์ข้อที่ ๓ ไปตั้งเปน็ ชอื่ บทท่ี ๔
๓๒
ตัวอยา่ งการเขยี นโครงการวิจัยและโครงเร่อื ง
๓๓
โครงการวิจัย
เรื่อง การปฏริ ปู ยุทธศาสตร์ทางเรอื
ลกั ษณะวชิ า ยุทธศาสตร์
ผ้วู จิ ยั พลเรือตรี คารณ พิสณฑ์ยทุ ธการ หลักสตู ร วปอ. รนุ่ ท่ี ๕๘
ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา
กองทัพเรือ (ทร.) เป็นหน่วยงานด้านความม่ันคงทางทะเลท่ีมีบทบาทหลัก ๓ ด้าน
ด้วยกัน คือ การปฏิบัติการทางทหาร/การปฏิบัติการทางเรือ (Military/Naval Operations)
การรักษากฎหมาย (Constabulary Operations) และการช่วยเหลือต่าง ๆ (Benign Operations)
การปฏิบัติภารกิจต่างๆ ตามบทบาทหลักทั้ง ๓ ด้านน้ัน ดาเนินการภายใต้นโยบายความมั่นคง
แห่งชาติ นโยบายและแผนความม่ันคงแห่งชาติทางทะเลตามท่ีรัฐบาลกาหนด รวมท้ังนโยบายและ
ยุทธศาสตร์ทหารตามท่ีกระทรวงกลาโหม (กห.) และกองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) เป็น
ผู้กาหนด โดย ทร.ได้มีการกาหนดยุทธศาสตร์ทางเรือ (Naval Strategy) เพ่ือรองรับนโยบายและ
ยุทธศาสตรด์ ้านความมนั่ คงตา่ งๆ ดังกลา่ ว
ยุทธศาสตร์ทางเรือ (Naval strategy) เป็นยุทธศาสตร์ระดับเหล่าทัพที่เน้นการคิด
วางแผนเตรียมการและดาเนินการรบทางทะเลในอนาคต โดยใช้กาลังรบทางเรือ (Naval Power)
เป็นเครื่องมือในการดาเนินการ ซึ่งมักกาหนดห้วงเวลาให้ครอบคลุม ๕ ปีหรือ ๑๐ ปีข้างหน้า
มีลักษณะเหมือนกบั หรอื เทียบเทา่ กับการกาหนดยุทธศาสตรท์ างบกของกองทพั บก (ทบ.) ที่ใช้กาลังทาการ
รบบนบก หรือยุทธศาสตร์ทางอากาศของกองทัพอากาศ (ทอ.) ยุทธศาสตร์ทางเรือน้ันจะมีความ
เกีย่ วพันกบั แนวคดิ ของยทุ ธศาสตรท์ ะเล (Maritime strategy) ซงึ่ เกี่ยวข้องกับการปกป้อง คุ้มครอง
แสวงประโยชน์ และอนุรักษ์การใช้ทะเล โดยคานึงถึงผลประโยชน์ของชาติทางทะเลเป็นหลัก
ยทุ ธศาสตร์ทางเรือเปน็ แนวทางปฏิบตั ิในภาพรวมให้เกิดชยั ชนะในการรบทางเรือ ใน ๒ ประเด็น คือ
๑. การใช้กาลงั ซึง่ หมายรวมถงึ การวางแผนและการปฏบิ ัติการรบทางเรือในสาขาต่างๆ ซึ่งปัจจุบัน
เน้นระดับต่างๆ ต้ังแต่การปฏิบัติการในยามปกติ ไปจนถึงการรบขนาดใหญ่ในระดับการทัพ
(Campaigns) หรือท่ีเข้าใจง่ายๆ คือ การรบขนาดใหญ่ร่วมกับเหล่าทัพอื่น โดยท่ีผู้บังคับบัญชา
ของกองทัพเรือ วางแผนการเคลื่อนย้ายกาลังและจัดกาลังรบทางเรือเข้าทาการรบให้ได้เปรียบและ
มีชยั ชนะต่อข้าศกึ และ ๒. การเตรียมกาลงั เปน็ การคิด วางแผน และจัดเตรยี ม/กาหนดกาลังรบ รวมท้งั
การจัดสรรงบประมาณใหม้ ีจานวนกาลงั รบทม่ี ปี ระสิทธภิ าพและมขี ดี ความสามารถที่ทันสมัย มีความ
เพียงพอพร้อมรบตอบสนองต่อแนวคิดในการปฏิบัติการทางเรือในอนาคต ( Future Naval
Operational Concept : FNOC) ซึ่งเน้นให้ทราบว่า ทร. จะทาการรบด้วยยุทธศาสตร์ ยุทธการ
และยทุ ธวิธี รวมทั้งใชเ้ ครอ่ื งมือ หรือเทคโนโลยีอย่างไรในอนาคต กาลังรบทางเรือท่ีได้จึงจะสามารถ
รองรับการวางแผนตอ่ ภัยคกุ คาม (Threat-Based Planning) หรอื การวางแผนให้มีขีดความสามารถ
(Capability-Based Planning) ท่ตี อ้ งการมใี นอนาคต
๓๔
ยทุ ธศาสตร์ทางทะเล (Maritime Strategy) เป็นยุทธศาสตร์สาขาหน่ึงของยุทธศาสตร์ชาติ
ที่เก่ียวข้องกับเศรษฐกิจทางทะเล (Maritime Economy) และการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
ได้แก่ การปกป้อง คุ้มครอง แสวงประโยชน์ และอนุรักษ์การใช้ทะเลดังกล่าวแล้ว การรักษา
ผลประโยชนข์ องชาติทางทะเลน้ี จะใชก้ าลงั อานาจทางทะเล (Maritime/Sea Power) ซ่ึงมีท้ังกาลัง
รบทางเรอื จาก ทร. และกาลงั ทางเรอื จากหนว่ ยงานทางทะเลอ่ืน ๆ มาร่วมกันในการทางาน ในหลาย ๆ
ประเทศงานด้านความม่ันคงทางทะเลในยุทธศาสตร์ทะเล จะเป็นงานท่ีเก่ียวกับการปฏิบัติการทาง
ทหารทไ่ี มใ่ ช่สงคราม (Military Operations Other Than War: MOOTW) แต่ในบางประเทศ เช่น
สหรัฐฯ หน่วยงานความม่ันคงทางทะเล ได้แก่ ทร.สหรัฐฯ หน่วยยามฝ่ังสหรัฐฯ และนาวิกโยธิน
จะใช้ยุทธศาสตร์ทะเลเพียงยุทธศาสตร์เดียว (ไม่มีการกาหนดยุทธศาสตร์ทางเรือ) ในการกาหนด
แนวทางในการรบ และการปฏิบัติการทางทหารที่ไม่ใช่สงคราม หรืองานในการรักษาผลประโยชน์
ของชาติทางทะเล (MOOTW) ไว้ด้วยกัน จงึ ไม่มคี วามจาเปน็ ตอ้ งมีการกาหนดยุทธศาสตร์ทางเรืออีก
อย่างไรก็ตาม ยุทธศาสตร์ทะเลของสหรัฐฯ ก็ต้องรองรับยุทธศาสตร์อ่ืน ๆ เช่น ยุทธศาสตร์ความ
มนั่ คงแหง่ ชาติ (National Security Strategy) ยทุ ธศาสตร์การป้องกันประเทศแห่งชาติ (National
Defence Strategy) และ ยุทธศาสตร์ทหารแห่งชาติ (National Military Strategy) ด้วย ในกรณี
ของสหรัฐฯ น้ีเนื่องจากยุทธศาสตร์ทางเรือและยุทธศาสตร์ทะเลเป็นยุทธศาสตร์เดียวกัน จึงไม่มี
ปญั หาเร่ืองความไมส่ อดคลอ้ งของยทุ ธศาสตรท์ างเรือและยุทธศาสตรท์ ะเล
สาหรับประเทศไทยน้ันเน่ืองจากท่ีผ่านมา เราไม่เคยมีการกาหนดยุทธศาสตร์ชาติ
มีแตก่ ารจดั ทาและนาเสนอของ นศ.วปอ.เท่านั้น และยังไม่เคยมีการจัดทายุทธศาสตร์ทะเลมาก่อน
เช่นกัน ทาให้ ทร. ต้องจัดทายุทธศาสตร์ทางเรือข้ึนใช้เอง โดยอาศัยแผนพัฒนาด้านต่าง ๆ ของ
สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นตัวตั้งต้น โดยมองว่ายุทธศาสตร์ทางเรือกับยุทธศาสตร์ทะเล
เป็นยุทธศาสตร์คนละระดับ การจัดทายุทธศาสตร์ทางเรือเป็นงานท่ี ทร. รับผิดชอบรองลงมาจาก
ยทุ ธศาสตร์ทหาร ซึ่งจดั ทาโดย บก.ทท. ทร. จงึ ต้องดาเนนิ การกาหนดยุทธศาสตรท์ างเรือของตนเอง
รองรับยุทธศาสตร์ทหาร และต่อมา สมช. ได้มีการจัดยุทธศาสตร์ทะเลข้ึนเป็นยุทธศาสตร์ระดับ
เดยี วกบั ยุทธศาสตรช์ าติ โดยเม่อื ๒๑ ต.ค.๒๕๕๗ ไดเ้ สนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการกาหนด
ยุทธศาสตร์ทะเล ปี พ.ศ.๒๕๕๘-๒๕๖๔ แต่ให้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น “แผนความม่ันคงแห่งชาติทาง
ทะเล” เปรียบเสมือนประเทศไทยได้มียุทธศาสตร์ทะเลใช้อย่างเป็นทางการแล้ว แต่เน่ืองจากการ
ท่ียุทธศาสตร์ทางเรือและยุทธศาสตร์ทะเลท้ังสองฉบับได้ถูกจัดทาข้ึนมาใช้ต่ างกรรมต่างวาระกัน
จึงทาใหเ้ กดิ ปญั หาความไมส่ อดคล้องรองรบั ระหวา่ งกันกบั แผนความม่นั คงแห่งชาติทางทะเลที่จัดทา
ขึ้นใหม่ อีกทั้งในกระบวนการจัดทายุทธศาสตร์ทางเรือเองก็ยังมีปัญหาเร่ืองรูปแบบการกาหนด
ยทุ ธศาสตร์ท่ีต้องการปรับปรุงแก้ไขด้านแนวคิดในการทาการรบในอนาคตและการเตรียมกาลังรบ
ในอนาคต ท่ีต้องคิดใหม่ให้รองรับท้ังกาลังรบที่ไปทางานด้านการรบตามยุทธศาสตร์ทางเรือและ
ด้านการปฏบิ ัตกิ ารท่ีไมใ่ ช่สงครามตามยุทธศาสตรท์ ะเลและตามบทบาทด้านการรักษากฎหมายและ
การชว่ ยเหลือต่าง ๆ ของ ทร. จงึ ทาให้ยทุ ธศาสตร์ทางเรือมีการกาหนดกาลังรบท่ีขาดประสิทธิภาพ
มกี าลังรบไม่ครอบคลุมการทางานด้าน MOOTW
๓๕
ดังน้ัน จึงเป็นท่ีมาของงานวิจัยฉบับน้ี ท่ีมุ่งจะศึกษาค้นหาแนวทางหรือรูปแบบ
การกาหนดยุทธศาสตร์ทางเรือใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและให้สามารถรองรับแผนความม่ันคง
แห่งชาตทิ างทะเลหรอื ยทุ ธศาสตร์ทะเลของไทย ให้กองทัพเรือสามารถกาหนดกาลังรบท่ีเหมาะสม
ต่อการใช้งานในการรบและสามารถสนับสนุนงานของแผนความม่ันคงแห่งชาติทางทะเลได้อย่าง
มีประสิทธภิ าพ สามารถคุ้มครองและรักษาผลประโยชนแ์ หง่ ชาติทางทะเลท่มี ีมูลค่ามหาศาลปีละกว่า
๒๔ ลา้ นล้านบาทได้
วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจยั
๑. เพื่อศึกษา วิเคราะห์ การกาหนดยุทธศาสตร์ด้านความม่ันคงแห่งชาติทางทะเล
ได้แก่ ยุทธศาสตรท์ างเรือ และยทุ ธศาสตรท์ ะเล ศกึ ษา ปญั หา อปุ สรรค/ข้อขัดข้อง ความไม่สมบูรณ์
สอดคล้องระหวา่ งยุทธศาสตร์ท้ังสอง รวมท้งั กบั สภาวะแวดลอ้ มด้านความม่นั คงทางทะเลในอนาคต
๒. เพื่อหาแนวทางในการปฏิรูปการกาหนดยุทธศาสตร์ทางเรือ ให้สอดคล้องรองรับ
กับการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมความมั่นคงทางทะเล และการรักษาผลประโยชน์ของชาติ
ทางทะเล ตามแผนความม่ันคงแห่งชาติทางทะเลของไทย ให้ได้มาซ่ึงการกาหนดกาลังรบทางเรือ
ท่เี หมาะสม
การทบทวนวรรณกรรมทเ่ี ก่ยี วข้อง
ในการศึกษาหัวข้อเรื่อง การปฏิรูปยุทธศาสตร์ทางเรือ ได้มีการนาทฤษฎีและแนวคิด
ท่ีเก่ียวขอ้ งมาใชเ้ พื่อเป็นแนวทางในการศึกษา ดังนี้
๑. ทฤษฎี หลักการ และแนวคิดในการกาหนดยุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์ทหาร
แห่งชาติ ยทุ ธศาสตรท์ างเรอื และยุทธศาสตร์ทะเล ทง้ั ของไทยและต่างประเทศ
๒. ทฤษฎคี วามสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศ การทตู เชิงป้องกนั (Preventive Diplomacy)
๓. แนวคิดทางยทุ ธการในการใชก้ าลงั รบทางเรือในอนาคตของประเทศตา่ ง ๆ
๔. เอกสาร บทความ เกยี่ วกบั การกาหนดยทุ ธศาสตร์ทางเรือของไทยและต่างประเทศ
เชน่ สหรัฐฯ เครอื รฐั ออสเตรเลีย นวิ ซีแลนด์ ฯลฯ
๕. งานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วข้อง
ขอบเขตของการวิจัย
๑. ขอบเขตดา้ นเนอ้ื หา
๑.๑ การวิจัยนี้เน้นการศึกษาวิเคราะห์ กระบวนการและรูปแบบการกาหนด
ยทุ ธศาสตร์ทางเรือและยุทธศาสตร์ทะเลเท่านนั้
๑.๒ การวิจัยน้ีเป็นการศึกษาแนวคิด/หลักการระดับยุทธศาสตร์ จะไม่ลงลึก
ในรายละเอยี ดการปฏิบัติ หรือการดาเนินการระดบั ยทุ ธการและยทุ ธวิธี
๑.๓ การวิจัยจะเนน้ เฉพาะหลักการหรือการกาหนดกาลังรบที่สามารถเปิดเผยได้
เท่านนั้
๓๖
๒. ขอบเขตดา้ นประชากร
ประชากรท่ีใชใ้ นการศึกษาคร้ังนี้ ไดแ้ ก่ นักวชิ าการด้านยุทธศาสตร์ของกองทพั เรอื
วธิ ีดาเนินการวจิ ัย
ดาเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ร่วมกับใช้การวิจัยเชิงพรรณนา
(Descriptive Research) ดงั น้ี
๑. การรวบรวมขอ้ มูล
๑.๑ ข้อมูลปฐมภูมิ ดาเนินการโดยการสัมภาษณเ์ ชิงลกึ นักวิชาการด้านยุทธศาสตร์
ของกองทัพเรอื
๑.๒ ข้อมลู ทตุ ิยภมู ิ ดาเนินการโดยการศกึ ษาจากตาราและเอกสารต่างๆ
๒. การวิเคราะห์ขอ้ มูล
ดาเนินการโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Context Analysis) และการวิเคราะห์
เปรยี บเทียบ และสังเคราะห์ขอ้ มลู ทฤษฎี หลกั การตา่ ง ๆ
๓. การนาเสนอขอ้ มลู
นาเสนอขอ้ มลู แบบรายงานวิจัยเชิงพรรณนาและวิเคราะห์ นาเสนอแนวคิดใหม่ ๆ
จากการวจิ ัย
ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะไดร้ บั จากการวจิ ยั
๑. ทาใหท้ ราบปญั หา อปุ สรรค/ขอ้ ขัดข้อง ความไมส่ มบรู ณ์ของการกาหนดยุทธศาสตร์
ทางเรอื และยุทธศาสตรท์ ะเล กบั สภาวะแวดล้อมดา้ นความมัน่ คงทางทะเล
๒. ทาให้ทราบแนวทางในการปฏริ ูปการกาหนดยุทธศาสตร์ทางเรอื ใหส้ อดคล้องรองรับ
กบั แผนความมั่นคงแหง่ ชาติทางทะเล (ยทุ ธศาสตรท์ ะเล) และแนวทางการกาหนดกาลังรบท่ีเหมาะสม
๓. ผลการวจิ ัยจะทาให้ ทร.และหนว่ ยงานดา้ นความมนั่ คงทางทะเลของไทย มีแนวทาง
ในการกาหนดยุทธศาสตร์ทางเรือและแผนความม่ันคงแห่งชาติทางทะเล (ยุทธศาสตร์ทะเล) ท่ีมี
สมบรู ณ์และสมดุลทง้ั การใช้กาลงั ในการรบ (War) และการใชก้ าลังในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ
ทางทะเล (Military/Naval Operations Other Than War : M/NOOTW)
คาจากัดความ
ยุทธศาสตร์ หมายถึง วิธีการ (WAYS) ท่ีจะนา เคร่ืองมือ (MEANS) ท่ีมีอยู่อย่างจากัด
ยทุ ธศาสตรช์ าติ หมายถงึ มาใช้อย่างดที ส่ี ุดให้บรรลจุ ุดมุ่งหมาย (ENDS) ท่ีต้ังไว้
ศลิ ป์และศาสตร์ในการพัฒนา และการใช้การเมือง การเศรษฐกิจ
สังคมจิตวทิ ยา การทหารของชาติ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม
ท้ังในยามปกติและยามสงคราม เพ่ือส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติ
และเพ่อื ให้บรรลวุ ตั ถุประสงคข์ องชาติ และอีกความหมายหน่ึงคือ
๓๗
ศิลป์และศาสตร์ในการพัฒนาและการใช้กาลังอานาจของชาติ
ทั้งในยามสงบและยามสงครามทาการสนับสนุนนโยบายของชาติ
ให้ได้ผลดีที่สุด เพ่ือเพ่ิมพูนโอกาสและความได้เปรียบที่ได้มา
ซง่ึ ชัยชนะและลดโอกาสทป่ี ระสบความพา่ ยแพใ้ หน้ อ้ ยลง
ยทุ ธศาสตรค์ วามม่นั คงแหง่ ชาติ
หมายถึง ศิลป์และศาสตรใ์ นการพัฒนา ประยกุ ต์ และประสานงานในการใช้
กาลังอานาจแหง่ ชาติ ไดแ้ ก่ การเมอื ง/การทตู การเศรษฐกิจ การทหาร
สังคมจิตวิทยา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมและข้อมูล
ขา่ สาร ฯลฯ เพ่ือบรรลุวัตถุประสงค์ ท่ีเก้ือกูลต่อความม่ันคงแห่งชาติ
สามารถได้วา่ คอื ยุทธศาสตร์ชาตหิ รือมหายทุ ธศาสตร์
ยทุ ธศาสตรท์ หารแหง่ ชาติ
หมายถึง ศิลป์และศาสตร์ในการใช้กาลังกองทัพเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
แห่งชาติ โดยการใช้กาลังหรือคุกคามด้วยกาลัง เป็นการใช้กาลัง
ทหารในยามสงบและยามสงคราม
กาลังอานาจทางทะเล หมายถงึ ความสามารถของรัฐในการนาทรัพยากรท่ีเก่ียวข้องกับทะเลไป
ใช้ได้อย่างเต็มที่ เพื่อประโยชน์ของรัฐโดยไม่มีรัฐใดสามารถขัดขวางได้
และขีดความสามารถในการป้องกันมิให้รัฐอ่ืนเข้ามาใช้ประโยชน์
ในทะเลนั้นได้ ซึง่ มผี ลตอ่ การครองอากาศและอาณาบรเิ วณทต่ี ิดต่อ
กับทะเล ดังน้ันจึงกล่าวได้ว่า กาลังอานาจทางทะเลมีอิทธิพลต่อ
การปฏิบัติการในทุกมิติ ได้แก่ บนผิวน้า ใต้น้า ในอากาศเหนือผิวน้า
รวมทัง้ พ้นื ดนิ ที่ตดิ ต่อกบั ทะเล
ยุทธศาสตร์ทะเล (Maritime Strategy)
หมายถงึ เป็นยทุ ธศาสตร์ระดบั ชาติในส่วนทเี่ กย่ี วข้องกับทะเล ซ่งึ ดาเนนิ การ
โดยใชก้ าลังอานาจของชาตทิ างทะเลท่ีเรียกวา่ สมทุ ทานุภาพ (Sea
Power) โดยกาลังทางเรือ หรือนาวิกานุภาพ ถือเป็นองค์ประกอบ
สาคัญย่ิงอย่างหนึ่งในสมุททานุภาพ ยุทธศาสตร์ทะเลยุคใหม่
จ ะ เ กี่ ย วข้ อ ง กั บ บ ท บ า ท ข อ ง ห น่ ว ย ง า น ค ว า ม มั่ น ค ง ท า ง ท ะ เ ล
ทุกหน่วยงาน ในยุคโลกาภิวัตน์และภายใต้สภาวะความมั่นคง
ที่ไมแ่ น่นอน
ความมั่นคงทางทะเล (Maritime Security)
หมายถึง ความอยู่รอดปลอดภัยของรัฐจากการรุกรานทางทะเล รวมท้ัง
การละเมิดอานาจอธิปไตย (Sovereignty) และสิทธิอธิปไตย
(Sovereign Rights) ทางทะเล ตลอดจน ความมีเสรีภาพและ
ความปลอดภัยของประชาชนในกิจกรรมการแสวงประโยชน์จาก
ทะเลดา้ นตา่ ง ๆ เพ่ือความม่งั คัง่ ด้วยความย่ังยืน
๓๘
ยุทธศาสตรท์ างเรอื (Naval Strategy)
หมายถึง ยุทธศาสตร์ระดับเหล่าทัพท่ีเน้นการคิดวางแผนเตรียมการและ
ดาเนนิ การรบทางทะเลในอนาคต โดยใช้กาลังรบทางเรือ (Naval
Power) เป็นเคร่ืองมือในการดาเนินการ ซ่ึงมักกาหนดห้วงเวลา
ให้ครอบคลุม ๕ ปหี รอื ๑๐ ปีขา้ งหนา้ เป็นการวางแผนและการทาการ
รบในทะเลเก่ียวขอ้ งกบั แนวคดิ ของยทุ ธศาสตร์ทะเลที่ต้องการเอาชนะ
การรบในทะเล ทั้งนี้ การวางแผนการทัพ การเคลื่อนย้ายการประกอบ
กาลังทางเรือโดยผู้บัญชาการรบพยายามรักษาความได้เปรียบ
ในการรบโดยเลือกยุทธภูมิที่เหมาะสม รวมท้ังทาการลวงข้าศึก
ยุทธศาสตร์ทางเรือ ยังรวมถึงการปฏิบัติตามแผนและการนาเรือ
กระบวนเรือหรือกองเรือในพน้ื ที่ทาการรบ
แนวคิดในการปฏิบัติการทางเรอื ในอนาคต (Future Naval Operational Concept : FNOC)
หมายถงึ แนวทางหรือความต้องการใช้กาลังรบทางเรือในระยะยาวเป็น
เอกสารท่ีจัดทาขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางสาหรับกองทัพเรือในการ
พัฒนาการใช้กาลังรบในอนาคต ภายใต้สภาวะแวดล้อมด้านความม่ันคง
ทางทะเลในอนาคต
การปฏิบัตกิ ารทางทหารทไ่ี ม่ใชส่ งคราม (Military Operations Other Than War : MOOTW)
หมายถึง การปฏิบัติการท่ีใช้ขีดความสามารถทางทหารในการปฏิบัติการต่างๆ
ท่ีไม่ใช่การรบ การปฏิบัติการเหล่านี้สามารถใช้กับกาลังอานาจ
ของชาติด้านอื่นๆ โดยอาจปฏิบัติก่อน ระหว่าง หรือภายหลังจาก
สงคราม เรียกอีกอย่างว่า MOOTW ซ่ึงเน้นการขจัด/ยุติสงคราม
แกป้ ญั หาความขัดแย้ง สง่ เสรมิ ให้เกิดสันตภิ าพสนบั สนุนช่วยเหลือ
พลเรอื นในความขดั แย้งภายในประเทศ
๓๙
โครงเรือ่ ง
บทที่ ๑ บทนา
บทท่ี ๒
ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา
วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั
ขอบเขตของการวิจยั
วธิ ีดาเนินการวจิ ยั
ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ ับจากการวิจัย
คาจากัดความ
ทฤษฎีและแนวคดิ ในการกาหนดยุทธศาสตร์ทางเรอื และ
แผนความม่ันคงแหง่ ชาติทางทะเล (ยทุ ธศาสตร์ทะเล)
กล่าวนา
การจัดระดับของยทุ ธศาสตร์ต่าง ๆ (Levels of Strategy)
ทฤษฎกี ารกาหนดยุทธศาสตร์
ทฤษฎีการกาหนดยทุ ธศาสตร์ของ Liotta P.H. และ Richmond M. Lloyd
ทฤษฎีการกาหนดยทุ ธศาสตร์ของ USAF Air War College Model
ทฤษฎีการกาหนดยุทธศาสตร์ชาติของสหรฐั ฯ
ทฤษฎกี ารกาหนดยุทธศาสตร์ชาติของวิทยาลยั ปอ้ งกันราชอาณาจกั ร
การกาหนดยทุ ธศาสตรป์ ้องกันประเทศ/ยทุ ธศาสตรท์ หาร
การกาหนดยทุ ธศาสตรท์ างเรือ (Naval Strategy) และยุทธศาสตร์ทะเล (Maritime
Strategy)
หลกั การพน้ื ฐานท่นี ามาใชใ้ นการตรวจสอบยทุ ธศาสตร์
การกาหนดยทุ ธศาสตรท์ ะเลและแผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล
ทฤษฎคี วามสัมพนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ
หลกั การทเ่ี กี่ยวข้องกับการสง่ เสรมิ ความร่วมมอื
การกาหนดยทุ ธศาสตรด์ า้ นความม่นั คงแห่งชาติของต่างประเทศ เชน่ สหรฐั ฯ
สหราชอาณาจกั ร เครือรฐั ออสเตรเลยี และนิวซีแลนด์
ยทุ ธศาสตร์ความมนั่ คงแหง่ ชาติของสหรฐั ฯ ประจาปี ๒๐๑๕
ยุทธศาสตร์ความมัน่ คงแหง่ ชาติของสหราชอาณาจกั ร (UK National Security
Strategy)
ยุทธศาสตร์ทะเลของสหราชอาณาจักร (British Maritime Strategy)
ยทุ ธศาสตรท์ างเรือแบบวงแหวน (Ring-fenced Naval Strategy) ของประเทศ
นิวซแี ลนด์
การกาหนดแนวคิดในการปฏิบัติการทางเรอื ในอนาคตที่ดี(Future Naval Operational
Concepts)
องคป์ ระกอบในการจัดทา Future Operating Concepts
๔๐
การทบทวนวรรณกรรมทเี่ ก่ยี วข้อง
กรอบแนวคดิ ของการวิจยั
สรปุ
บทที่ ๓ การกาหนดยทุ ธศาสตรท์ างเรอื และแผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล
(ยุทธศาสตร์ทะเล)
กลา่ วนา
ธรรมชาตขิ องการกาหนดยทุ ธศาสตร์
วิเคราะหก์ ารกาหนดยุทธศาสตรแ์ ละกาลังรบของกองทัพเรอื
ยทุ ธศาสตรท์ างเรอื และแนวคดิ ในการใช้กาลงั ทางเรอื ในอดตี และปจั จบุ นั
หลักการกาหนดยทุ ธศาสตร์และกาลงั รบทางเรอื ของกองทัพเรือ
แนวคิดทางยุทธการทางเรอื ในอนาคตกับการสร้างสมดลุ ในการกาหนดยทุ ธศาสตร์
ทางเรอื
การใชก้ าลงั รบ (Use of Forces) ตาม Spectrum of Conflicts
การนาหลกั การกาหนดยทุ ธศาสตรท์ างเรอื แบบวงแหวน (Ring-Fenced Naval
Strategy) มาประยุกตใ์ ช้
วเิ คราะหก์ ารกาหนดแผนความมัน่ คงแหง่ ชาติทางทะเล (ยุทธศาสตร์ทะเล) เปรยี บเทียบ
รปู แบบการกาหนดแผนความมน่ั คงแหง่ ชาติทางทะเล/ยทุ ธศาสตร์ทะเลของไทยกบั
ต่างประเทศ
สรปุ
บทท่ี ๔ การปฏริ ปู การกาหนดยทุ ธศาสตร์ทางเรือ
กระบวนการในการปฏริ ปู การกาหนดยทุ ธศาสตร์ทางเรือ
ยุทธศาสตรท์ างเรือของกองทพั เรือควรคิดใหม่และสรา้ งสมดลุ ใหม่
รูปแบบและความสัมพนั ธร์ ะหว่างยทุ ธศาสตรท์ างเรือกบั
สรปุ แนวทางการปฏริ ูปการกาหนดยทุ ธศาสตร์ทางเรอื ใหม้ คี วามสมบรู ณแ์ ละสอดคลอ้ ง
กบั แผนความม่นั คงแห่งชาตทิ างทะเล (ยุทธศาสตรท์ ะเล)
สรปุ
บทท่ี ๕ สรปุ อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ
สรปุ
ขอ้ เสนอแนะ
บรรณานกุ รม
ภาคผนวก
ประวตั ิย่อผู้วจิ ยั
๔๑
ตวั อย่าง กรอบแนวคดิ ของการวิจยั
กรอบแนวคดิ ของการวิจัย
ศกึ ษา / วเิ คราะห์ ค้นคว้า สร้างแนวทางใหม่
ยทุ ธศาสตร์ทะเล ความไม่สมบูรณ์ แนวทาง กาลงั ทางทะเล
(Maritime Strategy) (Mismatch) ใน กาหนด (Maritime/
ยุทธศาสตร์
การกาหนด Force)
ยุทธศาสตรท์ ะเล ทะเล
วเิ คราะห์องคป์ ระกอบ ทฤษฎ/ี Overlapping
และปัจจัยที่เกย่ี วขอ้ ง
หลักการ
กาหนด
ยุทธ
ศาสตร์
ยุทธศาสตร์ทางเรอื ความไมส่ มบูรณ์ แนวทาง กาลังรบ
(Naval Strategy) (Mismatch) ใน กาหนด ทางเรือ
ยทุ ธศาสตร์ (Naval
การกาหนด Power/Force)
ยทุ ธศาสตร์ทาง ทางเรือ
เรอื
บทที่ ๓
การจดั พิมพเ์ อกสารวิจยั สว่ นบุคคล
เอกสารวิจัยส่วนบุคคลของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เป็นเอกสารทางวิชาการ
ที่มปี ระโยชน์ และได้รับความสนใจจากบุคคลท่ัวไป ดังน้ันเพ่ือให้การจัดทาเอกสารวิจัยส่วนบุคคล
ของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรเป็นไปในแนวทางเดียวกัน วิทยาลัยฯ จึงได้กาหนด
รูปแบบการจัดทาให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน นักศึกษาต้องศึกษาวิธีการพิมพ์ และการอ้างอิง
อย่างละเอียด โดยในบทนี้จะครอบคลุมการจัดพิมพ์เอกสารวิจัยส่วนบุคคลตั้งแต่หน้าแรกจนถึง
หนา้ สุดท้าย
การใช้ตัวพิมพ์
การจดั พิมพเ์ อกสารวจิ ยั มรี ายละเอียด ดังน้ี
๑. จดั พมิ พ์ด้วยคอมพิวเตอร์ โปรแกรม Microsoft word 2007 เปน็ ต้นไป
๒. ใช้ตัวพิมพ์แบบ Angsana New หรือ TH Sarabun PSK ท้ังนี้ เม่ือใช้ตัวพิมพ์
แบบใดแลว้ ต้องจดั พิมพ์ตวั พมิ พแ์ บบเดยี วกนั ทัง้ เล่ม รวมถึงสรุปย่อ และ Abstract ดว้ ย
๓. ขนาดของตัวพมิ พ์
๓.๑ บททีแ่ ละชอ่ื บท ขนาด ๒๔ ตวั หนา
๓.๒ หวั ขอ้ สาคญั ขนาด ๒๐ ตัวหนา
๓.๓ หัวข้อย่อย ขนาด ๑๘ ตวั หนา
๓.๔ ข้อความในเนือ้ หานอกเหนือจากข้อ ๓.๑ - ขอ้ ๓.๓ ใช้ขนาด ๑๖ ตวั ธรรมดา
๔. การพิมพ์ตัวเลข จะใชเ้ ลขไทย หรอื เลขอารบคิ ก็ได้ แต่ให้เหมือนกันท้ังเล่ม ยกเว้น
ในสรปุ ยอ่ และ Abstract ใหใ้ ชเ้ ลขอารบคิ
๕. หากมีตัวพิมพ์ภาษาอังกฤษ จะใช้ตัวพิมพ์ใหญ่หมดทุกคา หรือจะใช้ตัวพิมพ์ใหญ่
เฉพาะตัวแรกของคา และตัวต่อ ๆ ไปของคาใชต้ ัวพิมพเ์ ล็กก็ได้ แต่ใหเ้ หมือนกนั ทงั้ เลม่
กรณีมีตวั พิมพภ์ าษาองั กฤษ และมตี ัวเลขประกอบ ใหใ้ ช้เลขอารบคิ
๖. กรณมี ีการคดั ลอกข้อมูลมาจากภาษาตา่ งประเทศ ให้แปลเป็นภาษาไทยกากับดว้ ย
๗. กรณเี อกสารวจิ ยั ฯ กาหนดใหม้ ชี ้นั ความลับ ให้พิมพ์ชั้นความลับด้วยตัวอักษรสีแดง
ด้านบนและดา้ นลา่ งของเอกสาร ขนาดตวั อักษร ๔๐ ตวั หนา
๘. สาหรับนักศึกษาจากมิตรประเทศ ให้จัดพิมพ์ด้วยภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ
เท่านั้น กรณีพิมพเ์ ปน็ ภาษาอังกฤษ ให้จัดพมิ พโ์ ดยมีรายละเอยี ดดังน้ี
๘.๑ จดั พมิ พ์ดว้ ยคอมพิวเตอรโ์ ปรแกรม Microsoft word 2007 ขน้ึ ไป
๘.๒ ใช้ตัวพมิ พแ์ บบ Time New Roman โดยมขี นาดตวั พิมพ์ ดงั นี้
๘.๒.๑ บทที่ และชือ่ บท ขนาด ๑๖ ตวั หนา
๘.๒.๒ หัวข้อสาคัญ ขนาด ๑๔ ตัวหนา