The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอน 30901-2108 การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันบนคอมพิวเตอร์พกพา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sathitsanom, 2023-09-11 04:11:29

เอกสารประกอบการสอน 30901-2108 การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันบนคอมพิวเตอร์พกพา

เอกสารประกอบการสอน 30901-2108 การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันบนคอมพิวเตอร์พกพา

เอกสารประกอบการสอน การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน บนคอมพิวเตอร์พกพา กระทรวงศึกษาธิการ นางสาวเบญญาภา ส ุ รส ุ ข ต าแหน ่ งคร ู ผ ้ ู ช ่ วย วิทยาลัยเทคนิควังน ้าเย็น ส้านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา อ้าเภอวังน ้าเย็น จังหวัดสระแก้ว 30901-2108 ระดับ ปวส.


ค ำน ำ เอกสารประกอบการสอนวิชา การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันบนคอมพิวเตอร์พกพา (30901-2108) จัดท าขึ้นเพื่อประกอบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 ของส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาของเอกสารประกอบการสอนมีด้วยกัน 10 หน่วยการเรียนรู้ ประกอบด้วย หลักการเทคโนโลยี อุปกรณ์พกพา ลักษณะเฉพาะทางของโปรแกรมประยุกต์บนอุปกรณ์คุณสมบัติและส่วนประกอบของ AppSheet การสร้างโปรเจกต์ก าหนดโครงร่าง ฯ(วิธีใช้งานเบื้องต้น) การเพิ่มฐานข้อมูล สร้างเมนู และ ค านวณอายุการสร้าง Form รับข้อมูล การใส่สูตร ตัวอย่างบันทึกเวลาเรียน ทดลองติดตั้งบนมือถือ สร้างบาร์ โคดอัตโนมัติและสร้างฟอร์มรับข้อมูลแบบ TAB ผู้เรียบเรียง หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารประกอบการสอนวิชา การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันบน คอมพิวเตอร์พกพา เล่มนี้ จะสามารถใช้ประกอบการศึกษาให้เกิดการเรียนรู้และเกิดประโยชน์แก่ผู้เรียน ผู้สอน ตลอดจนผู้สนใจศึกษาทั่วไปได้เป็นอย่างดี หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เรียบเรียง ขอน้อมรับค าติชมเพื่อเป็น ประโยชน์ในการปรับปรุงแก้ไขในโอกาสต่อไป เบญญาภา สุรสุข แผนกเทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาลัยเทคนิควังน้ าเย็น


สำรบัญ เรื่อง หน้า หน่วยที่ 1 หลักกำรเทคโนโลยีฮำร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ของอุปกรณ์พกพำ 1 ความรู้เกี่ยวกับหลักเทคโนโลยีอุปกรณ์พกพา 1 คอมพิวเตอร์พกพา Handheld Computer 4 Mobile Computer 5 องค์ประกอบของ Mobile Computer 8 วิธีการเลือก Mobile Computer 9 ข้อมูลเฉพาะที่ควรทราบเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พกพ 10 หน่วยที่ 2 เรื่อง ลักษณะเฉพำะทำงของโปรแกรมประยุกต์บนอุปกรณ์พกพำ 11 ความหมายของ Mobile Application 11 ลักษณะเฉพาะทางของโปรแกรมประยุกต์บนอุปกรณ์พกพา 11 การประยุกต์ใช้ Mobile Application 12 ประโยชน์ของการพัฒนา Mobile Application 14 การใช้โปรแกรมประยุกต์ประเภทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง Application 15 การพัฒนา Application 18 แอปพลิเคชั่นที่ได้รับความนิยม 19 แนวโน้มการใช้งานโมบายแปพลิเคชั่น 20 หน่วยที่ 3 คุณสมบัติของ AppSheet 21 AppSheet คืออะไร 21 Vision AppSheet 21 คุณสมบัติของ AppSheet 23 AppSheet เหมาะสมกับงานแบบไหน 23 หน่วยที่ 4 กำรสร้ำงโปรเจกต์ กำรก ำหนดโครงร่ำง วิธีใช้งำนเบื้องต้น : Appsheet 27 ขั้นตอนการเข้าใช้งาน AppSheet 27 หน่วยที่ 5 เพิ่มฐำนข้อมูล สร้ำงเมนู ค ำนวณอำยุ 52 การเพิ่มฐานข้อมูล 53 การจัดหน้า 64 การค านวณอายุ 69 หน่วยที่ 6 กำรสร้ำง Form รับข้อมูล 84 หน่วยที่ 7 กำรใส่สูตร ตัวอย่ำงบันทึกเวลำเรียน 107 หน่วยที่ 8 กำรติดตั้ง AppSheet ลงบนมือถือ 164


สำรบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า หน่วยที่ 9 วิธีสร้ำงบำร์โค้ดด้วย Google Sheets 170 บาร์โค้ดท างานอย่างไร 170 ประเภทของบาร์โค้ด 171 วิธีสร้างบาร์โค้ด 173 หน่วยที่ 10 สร้ำงฟอร์มรับข้อมูลแบบ TAB 175 แบบฟอร์มรับข้อมูลแบบแทบคืออะไร 175 วิธีการสร้างแบบฟอร์มแบบแทบ 175


หน่วยที่ 1 หลักกำรเทคโนโลยี ฮำร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ของอุปกรณ์พกพำ ควำมรู้เกี่ยวกับหลักกำรเทคโนโลยีอุปกรณ์พกพำ 1. ควำมหมำยของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computer ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การค านวณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ท าหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้ส าหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์" 2. องค์ประกอบของระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ ในความเป็นจริงแล้ว ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราเห็นๆ กันอยู่นี้เป็นเพียงองค์ประกอบส่วนหนึ่งของ ระบบคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ถ้าต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถท างานได้อย่างมี ประสิทธิภาพตามที่เราต้องการนั้น จ าเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบพื้นฐาน 4 ประการมาท างานประสานงาน ร่วมกัน ซึ่งองค์ประกอบพื้นฐานของระบบคอมพิวเตอร์ประกอบไปด้วย 2.1 ฮำร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ มี ลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามลักษณะการท างาน ได้ 4 หน่วย คือ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยเก็บ ข้อมูลส ารอง (Secondary Storage) โดยอุปกรณ์แต่ละหน่วยมีหน้าที่การท างานแตกต่างกัน 2.2 ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง ส่วนที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้โดยตรง (นามธรรม) เป็น โปรแกรมหรือชุดค าสั่งที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ท างาน ซอฟต์แวร์จึงเป็นเหมือนตัวเชื่อม ระหว่างผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ท าอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์ส าหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2.2.1 ซอฟต์แวร์ส ำหรับระบบ (System Software) คือ ชุดของค าสั่งที่เขียนไว้เป็นค าสั่ง ส าเร็จรูป ซึ่งจะท างานใกล้ชิดกับคอมพิวเตอร์มากที่สุด เพื่อคอยควบคุมการท างานของฮาร์ดแวร์ทุกอย่าง และ อ านวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ในการใช้งาน ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีก็คือ DOS, Windows, Unix, Linux รวมทั้งโปรแกรมแปลค าสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic, Fortran, Pascal, Cobol, C เป็นต้น นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Norton’s Utilities ก็นับเป็นโปรแกรม ส าหรับระบบด้วยเช่นกัน 2.2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่ม าให้ คอมพิวเตอร์ท างานต่างๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ไม่ว่าจะด้านเอกสาร บัญชี การจัดเก็บข้อมูล เป็นต้น ซอฟต์แวร์ ประยุกต์สามารถจ าแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ 2.2.2.1 ซอฟต์แวร์ส ำหรับงำนเฉพำะด้ำน คือ โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นเพื่อการท างานเฉพาะ อย่างที่เราต้องการ บางที่เรียกว่า User’s Program เช่น โปรแกรมการท าบัญชีจ่ายเงินเดือน โปรแกรมระบบ


เช่าซื้อ โปรแกรมการท าสินค้าคงคลัง เป็นต้น ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มักจะมีเงื่อนไข หรือแบบฟอร์มแตกต่างกัน ออกไปตามความต้องการ หรือกฎเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงานที่ใช้ ซึ่งสามารถดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติม (Modifications) ในบางส่วนของโปรแกรมได้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่ เขียนขึ้นนี้โดยส่วนใหญ่มักใช้ภาษาระดับสูงเป็นตัวพัฒนา 2.2.2.3 ซอฟต์แวร์ส ำหรับงำนทั่วไป เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มีผู้จัดท าไว้ เพื่อใช้ในการ ท างานประเภทต่างๆ ทั่วไป โดยผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถน าโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้กับข้อมูลของตนได้ แต่จะไม่ สามารถท าการดัดแปลง หรือแก้ไขโปรแกรมได้ ผู้ใช้ไม่จ าเป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง ซึ่งเป็นการประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายในการเขียนโปรแกรม นอกจากนี้ ยังไม่ต้องเวลามากในการฝึกและปฏิบัติ ซึ่งโปรแกรม ส าเร็จรูปนี้ มักจะมีการใช้งานในหน่วยงานมราขาดบุคลากรที่มีความช านาญเป็นพิเศษในการเขียนโปรแกรม ดังนั้น การใช้โปรแกรมส าเร็จรูปจึงเป็นสิ่งที่อ านวยความสะดวกและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ตัวอย่างโปรแกรม ส าเร็จรูปที่นิยมใช้ได้แก่ MS-Office, Lotus, Adobe Photoshop, SPSS, Internet Explorerและ เกมส์ ต่างๆ เป็นต้น 2.3 บุคลำกร (Peopleware) หมายถึง บุคลากรในงานด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ สามารถใช้งาน สั่งงานเพื่อให้คอมพิวเตอร์ท างานตามที่ต้องการ แบ่งออกได้ 4 ระดับ ดังนี้ 1. ผู้จัดกำรระบบ (System Manager) คือ ผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตาม เป้าหมายของหน่วยงาน 2. นักวิเครำะห์ระบบ (System Analyst) คือ ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และท า การวิเคราะห์ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน เพื่อให้โปรแกรมเมอร์เป็นผู่ เขียนโปรแกรมให้กับระบบงาน 3. โปรแกรมเมอร์ (Programmer) คือ ผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ ท างานตามความต้องการของผู้ใช้ โดยเขียนตามแผนผังที่นักวิเคราะห์ระบบได้เขียนไว้ 4. ผู้ใช้ (User) คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป ซึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง และวิธีการใช้งาน โปรแกรม เพื่อให้โปรแกรมที่มีอยู่สามารถท างานได้ตามที่ต้องการเนื่องจากเป็นผู้ก าหนดโปรแกรมและใช้งาน เครื่องคอมพิวเตอร์ มนุษย์จึงเป็นตัวแปรส าคัญในอันที่จะท าให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากค าสั่งและ ข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลได้รับจากการก าหนดของมนุษย์ (Peopleware) ทั้งสิ้น 2


2.4 ข้อมูล (Data) ข้อมูลเป็นองค์ประกอบที่ส าคัญอย่างหนึ่งในระบบคอมพิวเตอร์ เป็นสิ่งที่ต้อง ป้อนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ พร้อมกับโปรแกรมที่นักคอมพิวเตอร์เขียนขึ้นเพื่อผลิตผลลัพธ์ที่ต้องการออกมา ข้อมูลที่สามารถน ามาใช้กับคอมพิวเตอร์ได้ มี 5 ประเภท คือ ข้อมูลตัวเลข (Numeric Data) ข้อมูลตัวอักษร (Text Data) ข้อมูลเสียง (Audio Data) ข้อมูลภาพ (Images Data) และข้อมูลภาพเคลื่อนไหว (Video Data) ในการน าข้อมูลไปใช้นั้น เรามีระดับโครงสร้างของข้อมูลดังนี้ โครงสร้ำงข้อมูล (Data Structure) บิต (Bit) คือ ข้อมูลที่มีขนาดเล็กที่สุด เป็นข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจ และน าไปใช้งานได้ซึ่งได้แก่ เลข 0 หรือ เลข 1 เท่านั้น ไบต์ (Byte) หรือ อักขระ (Character) ได้แก่ ตัวเลข หรือ ตัวอักษร หรือ สัญลักษณ์พิเศษ 1 ตัว เช่น 0, 1, …, 9, A, B, …, Z และเครื่องหมายต่างๆ ซึ่ง 1 ไบต์จะเท่ากับ 8 บิต หรือ ตัวอักขระ 1 ตัว เป็นต้น ฟิลด์ (Field) ได้แก่ ไบต์ หรือ อักขระตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไปรวมกันเป็นฟิลด์ เช่น เลขประจ าตัว ชื่อพนักงาน เป็นต้น เรคคอร์ด (Record) ได้แก่ ฟิลด์ตั้งแต่ 1 ฟิลด์ ขึ้นไป ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องรวมกันเป็นเรคคอร์ด เช่น ชื่อ นามสกุล เลขประจ าตัว ยอดขาย ข้อมูลของพนักงาน 1 คน เป็น 1 เรคคอร์ด ไฟล์ (Files) หรือ แฟ้มข้อมูล ได้แก่ เรคคอร์ดหลายๆ เรคคอร์ดรวมกัน ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกัน เช่น ข้อมูลของประวัติพนักงานแต่ละคนรวมกันทั้งหมด เป็นไฟล์หรือแฟ้มข้อมูลเกี่ยวกับประวัติพนักงานของบริษัท เป็นต้น ฐำนข้อมูล (Database) คือ การเก็บรวบรวมไฟล์ข้อมูลหลายๆ ไฟล์ที่เกี่ยวข้องกันมารวมเข้าด้วยกัน เช่น ไฟล์ข้อมูลของแผนกต่างๆ มารวมกันเป็นฐานข้อมูลของบริษัท เป็นต้น 3


คอมพิวเตอร์พกพำ Handheld Computer กับกำรใช้งำนครอบคลุมที่สมบูรณ์แบบ Handheld Computer หรือที่เรียกกันว่า คอมพิวเตอร์พกพา เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือเครื่องใช้ที่ ทันสมัย ช่วยทุนแรงได้เยอะ ประหยัดเวลา ประหยัดพลังงาน ใช้งานง่ายได้หลากหลาย และก าลังเป็นที่นิยม กันอย่างแพร่หลายในแวดวงอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นก่อนที่จะใช้งานเจ้าตัว Handheld Computer คอมพิวเตอร์พกพานั้นเราต้องศึกษาคุณสมบัติต่างๆ และวิธีการใช้งานให้ดีอย่างละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน วันนี้เรา มีHandheld Computer คอมพิวเตอร์พกพายอดฮิตอีกหนึ่งตัวมาแนะน าคุณสมบัติและการใช้งานดีๆ ให้ ศึกษากันจร้า นั้นก็คือ Rugged Handheld Computer คอมพิวเตอร์พกพา DSIC DS5 ไปดูกันเลย Rugged Handheld Computer คอมพิวเตอร์พกพา DSIC DS5 มีคุณสมบัติแข็งแรง ทนทาน เหมาะสมกับการใช้งานในธุรกิจค้าปลีก คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และการบริการด้านอื่นๆ เครื่อง คอมพิวเตอร์มือถือมีประสิทธิภาพในการท างานมากกว่าเครื่องทั่วไป โดยมี ระบบประมวลผล ARM based Cortex A8 1GHz หน่วยความจ า RAM 512 MB, ROM 1 GB แบตเตอรี่มีความจุพิเศษ 5200 mAh มี หน้าจอการแสดงผลให้เลือกแบบ VGA 3.5 นิ้ว QVGA หรือ และ WVGA 4.3 นิ้ว ได้การรับรองมาตรฐาน IP67 ทนต่อฝุ่นละอองและการแช่น้ า มีน้ าหนักเบา ขนาดเหมาะมือ สะดวกในการใช้งาน 4


คุณสมบัติที่ส ำคัญของ Handheld Computer คอมพิวเตอร์พกพำ DSIC DS5 ออกแบบให้มีความสะดวกสบายในการถือใช้งาน รับรองมาตรฐาน IP67 และทนแรงกระแทกถึง 1.8 เมตร จอแสดงผลมีขนาดใหญ่ให้เลือกระหว่าง 3.5 นิ้ว หรือ 4.3 นิ้ว แบตเตอรี่มีความจุพิเศษ 5200 mAh หน่วยประมวลผล ARM Cortex A8 1Ghz ที่มีประสิทธิภาพ สามารถถอดเปลี่ยนแป้นพิมพ์ได้ง่าย การชาร์จไฟและรับส่งข้อมูลด้วยสาย USB2.0 Host & Client Mobile Computer (เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพำ) คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กสามารถพกพาได้ มีหน่วยความจ า หน่วยประมวลผล มีหน้าจอ แสดงผล และสามารถพิมพ์ข้อมูลเข้าไปในตัวเครื่อง สามารถติดตั้งโปรแกรมลงในตัวเครื่อง เข้าใจง่ายคือ ท างานได้เสมือนคอมพิวเตอร์ทุกอย่าง แต่ตัวเครื่อง และหน่วยประมวลผล มีขนาดเล็กกว่า Mobile Computer คือการใช้งานเทคโนโลยีของ Mobile และ Computer รวมกัน เพราะฉะนั้น Mobile Computer จึงมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับ สมาร์ทโฟน ที่เราใช้งานกันอยู่ปัจจุบัน และมีหน่วย ประมวลผลเหมือนคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ จะแยก Mobile Computer ออกเป็น 2 ส่วนหลัก ดังนี้ 1. Physical (ลักษณะของตัวเครื่อง) : ลักษณะตัวเครื่อง Mobile Computer ถูกพัฒนามาจาก PDA และเพิ่มในส่วนของ Scan Engine (หัวอ่านบาร์โค้ด) ส าหรับอ่านบาร์โค้ด เฉพาะนั้นตัวเครื่อง Mobile Computer ในช่วงแรกๆ จะมีขนาดใหญ่ 5


2. OS(ระบบปฏิบัติกำร) : ระบบปฏิบัติการเริ่มแรกที่ใช้งานบน Mobile Computer คือ "Windows CE" ซึ่งพัฒนามาจากระบบปฏิบัติการบน PDA เราจะแยกระบบปฏิบัติบน Mobile Computer ดังนี้ - Windows CE : พัฒนาจาก Windows 2000 บน PC และช่วงแรกถูกน ามาใช้บน PDA - Windows Mobile : พัฒนาจาก Windows CE แต่ลักษณะที่ทันสมัยมากขึ้น และมีรูปแบบเฉพาะ ส าหรับใช้งานบน Mobile Computer ซึ่งปัจจุบันทาง Windows หยุดพัฒนาไปแล้ว เนื่องจากปัญหาทางด้าน ธุรกิจ - Android : เป็นระบบ Free Ware ที่ใช้งานบน Smart Phone ทั่วไป ซึ่งระบบปฏิบัติการ Android ง่ายต่อการพัฒนาระบบ เนื่องจากเป็นระบบปฏิบัติแบบเปิด จึงถูกน ามาใช้งานบน Mobile Computer แต่ ระบบปฏิบัติการ Android มีข้อเสียคือระบบต้องการทรัพยากรในการประมวลที่มากกว่า Windows CE and Windows Mobile ท าให้ต้องเพิ่มหน่วยประมวลผลของ Mobile Computer ท าให้ราคาตัวเครื่องค่อนข้างสูง Mobile Computer สำมำรถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามลักษณะการใช้งาน คือ ประเภทใช้งานทั่วไป และประเภทใช้งานอุตสาหกรรม 1. Mobile Computer ประเภทใช้งำนทั่วไป คือ กลุ่มประเภทที่ใช้งานตัวเครื่องในสภาพแวดล้อม ปกติ ส่วนมากเน้นเรื่องการแสดงผลของข้อมูล ใช้งานมากในกลุ่มร้านสินค้าทั่วไป ใช้ในการแสดงผลสินค้า ตรวจสอบสินค้า ตรวจนับสต็อกสินค้า โดยสำมำรถแบ่งย่อยออกเป็น 2 ประเภท 1.1 Mobile Computer Non-Keypad : คือ Mobile Computer ที่ไม่มีปุ่มกดบนตัวเครื่อง แต่ อาศัยใช้งานปุ่มกดบนหน้าจอแสดงผลทดแทน เพื่อต้องให้หน้าจอมีขนาดใหญ่ ใช้ในการแสดงข้อมูลสินค้า เช่น ภาพสินค้า และข้อมูลต่างๆ ของสินค้า เช่น ร้านขายสินค้า ร้านขายเครื่องประดับ ตัวอย่างอุปกรณ์ดังนี้ Mobile Computer Non-Keypad(ประเภทใช้งานทั่วไป) จะใช้งานระบบปฏิบัติการ Android 6


1.2 Mobile Computer Keypad คือ Mobile Computer ที่มีปุ่มกดบนตัวเครื่อง ส่วนใหญ่ใช้ กับงานที่ต้องอาศัย การพิมพ์ตัวเลข หรือตัวอักษรในขณะใช้งานตัวเครื่อง ส่วนมากน ามาใช้งานในการรับสินค้า จ่ายสินค้าออกหรือตรวจเช็คสินค้า ตัวอย่างอุปกรณ์ดังนี้ Mobile Computer Non-Keypad(ประเภทใช้งานทั่วไป) จะใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows Mobile 2. Mobile Computer ประเภทใช้งำนในอุตสำหกรรม คือ Mobile Computer ที่สามารถใช้งาน ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างสมบุกสมบัน เช่น ใช้งานขณะฝนตก ฝุ่นมาก อากาศร้อน สารเคมี หรือป้องกันการ ระเบิด ส่วนใหญ่จะใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม การขนส่งสินค้า หรือห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ Mobile Computer ประเภทนี้ เน้นหนักไปทางด้านความทนทาน และมีหน่วยประมวลผลสูง เนื่องจากจะมีการรับส่งข้อมูลอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งขนาดตัวเครื่องจะใหญ่กว่าประเภทใช้งานทั่วไป โดยมากมัก มีด้านจับ(Gun) เพื่อง่ายต่อจับใช้งาน ส่วนมาก Mobile Computer(ประเภทอุตสาหกรรม) เป็นแบบมี Keypad เนื่องจาก Mobile Computer ประเภทดังกล่าวจะมีการเชื่อมต่อกับระบบตลอดเวลา และจะต้องมี การยืนยัน หรือพิมพ์ข้อมูลหน้างาน ตัวอย่างอุปกรณ์ Mobile Computer Keypad(ประเภทอุตสาหกรรม) จะใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows Mobile หรือ Windows CE 7


องค์ประกอบของ Mobile Computer - จอแสดงผล(Display) : จอแสดงผลของ Mobile Computer ทั้งหมดเป็นจอแสดงผลแบบสัมผัส (Touch Screen) แบบ "Resistive Touch" จึงท าให้ใช้งานได้กับทุกวัตถุสัมผัส รวมถึงสามารถใช้งานได้แม้ กระทั้งเปียกน้ า - หัวอ่ำนบำร์โค้ด(Scan Engine) : หัวอ่านบาร์โค้ดของ Mobile Computer ถูกพัฒนามาจาก เครื่องอ่านบาร์โค้ด เพราะฉะนั้นสามารถอ่านบาร์โค้ดเหมือนเครื่องอ่านบาร์โค้ดได้ทุกประการ - แป้นพิมพ์(Key-Pad) : คือแป้นพิมพ์บน Mobile Computer ปกติจะมีอยู่ 3 แบบ คือ 1. แป้นพิมพ์แบบ Numeric คือแป้นพิมพ์ที่เน้นแสดงตัวเลข 2. แป้นพิมพ์แบบ Qwerty คือแป้นพิมพ์ที่เน้นตัวอักษร 3. แป้นพิมพ์แบบผสม เช่น Function-Numeric, Function-Qwerty or Alpha-Numeric คือ แป้นพิมพ์รูปแบบผสมเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน - ระบบปฏิบัติกำร(OS) : ระบบปฏิบัติการบน Mobile Computer มีทั้งหมด 3 แบบ คืน Windows CE, Windows Mobile and Android Remark : Windows CE and Windows Mobile ไม่พัฒนำต่อ ปัจจุบันใช้งำนได้เฉพำะ Android - ระบบกำรเชื่อมต่อแบบไร้สำย : WLAN WWAN and WPAN - กล้องถ่ายรูป(Camera) : ใช้งานการถ่ายรูปเก็บข้อมูลสินค้า หรือวัตถุดิบ ส่วนมากกล้องบน Mobile Computer ความละเอียดจะไม่สูงมากนัก อยู่ระหว่าง 3 - 8 ล้านพิกเซล - ปำกกำ(Stylus) : เป็นปากกาส าหรับเขียนข้อมูลลงบน Mobile Computer - ด้ามจับ(Gun or Scan Handle) : เป็นด้ามจับส าหรับใช้งานร่วมกับ Mobile Computer - อุปกรณ์ชำร์ต(Charger) : เป็นอุปกรณ์ส าหรับชาร์ตแบตตารี่ของ Mobile Computer มี ด้วยกันหลากหลายแบบ เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ จะแยกออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. อุปกรณ์ส าหรับชาร์ตตัวเครื่อง Mobile Computer : เป็นอุปกรณ์ชาร์ต Mobile Computer ผ่านตัวเครื่อง เช่น Snap-On Adapter 8


2. อุปกรณ์ส าหรับชาร์ตแบตตารี่ Mobile Computer : เป็นอุปกรณ์ชาร์ตเฉพาะแบต ตารี่ของ Mobile Computer โดยไม่ต้องผ่านตัวเครื่อง เช่น Multi - Dock or Four Charge 3. อุปกรณ์ส าหรับชาร์ตเครื่อง และแบตตารี่ Mobile Computer : เป็นอุปกรณ์ชาร์ตที่ สามารถชาร์ตตัวเครื่อง และแบตตารี่ ของ Mobile Computer พร้อมกันได้ เช่น Single Dock Remark ส่วนใหญ่อุปกรณ์ที่ใช้ชาร์ตผ่านตัวเครื่อง Mobile Computer มักจะใช้งานในการเชื่อมต่อ กับ Host เพื่อรับส่งข้อมูลระหว่าง Mobile Computer and Host ในส่วนอุปกรณ์เสริมอื่นๆ จะมีหลากหลาย ชนิดขึ้นอยู่กับผู้ผลิต วิธีกำรเลือก Mobile Computer (เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพำ) 1. เลือก Mobile Computer ตามสภาพแวดล้อม หรือ สถานที่ในการใช้งาน ควรมีความทนทาน หน่วยประมวลผลที่เหมาะสมส าหรับการใช้งาน เช่น Mobile Computer ที่ใช้งานทั่วไป หรือ Mobile Computer ใช้งานอุตสาหกรรม 2. เลือก ระบบปฏิบัติการ ของ Mobile Computer ให้เหมาะสมกับระบบ ง่ายต่อพัฒนา และมอง ความเป็นไปได้ในการใช้งานในอนาคต 3. เลือก หน้าจอแสดงผล ของ Mobile Computer ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ต้องการใช้เพื่อ แสดงรูปสินค้า หรือใช้งานเน้นการส่งข้อมูล 9


4. เลือก Keypad ของ Mobile Computer ให้เหมาะสมกับการพิมพ์ข้อมูลหน้างาน ซึ่งแป้นพิมพ์ Mobile Computer มี 4. เลือกเครื่องอ่านบาร์โค้ด ที่เหมาะกับวิธีการใช้งานของเรา เช่น แบบมือจับ ตั้งโต๊ะ หรือ Fix-mount 5. เลือก การเชื่อมต่อไร้สาย ของ Mobile Computer ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เนื่องจากการ เชื่อมต่อของ Mobile Computer มีให้เลือกหลายแบบ ตามข้อมูลที่ได้แจ้งไว้ข้างต้น 6. เลือก อุปกรณ์เสริม Mobile Computer ให้เหมาะกับการใช้งาน เช่น กล้อง ที่ชาร์ตเครื่องบนรถ ด้ามจับ แบตตารี่ส ารอง หรือเครื่องส ารองใช้งาน 7. เลือก Mobile Computer จากผู้ขายที่ความรู้ ประสบการณ์ ที่สามารถเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสม กับองค์กรของเรา ไม่ใช่เลือกแค่เพียงราคาสินค้าเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเครื่องอ่านบาร์โค้ดในปัจจุบันมี หลากหลาย 8. เลือก Mobile Computer จากบริษัทที่พร้อมให้ความช่วยเหลือเรื่องการใช้งาน และบริการหลัง การขาย ข้อมูลเฉพำะ ที่ควรทรำบเกี่ยวกับ เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพำ (Mobile Computer) - การเชื่อมต่อแบบไร้สาย Mobile Computer - WWAN : หมายถึงสัญญาณของโทรศัพท์ เช่น 3G and 4G - WLAN : หมายถึงสัญญาณ Wi-Fi ที่ใช้งานกันอยู่ภายในองค์กร - WPAN : หมายถึงสัญญาณ Bluetooth เป็นสัญญาณวิทยุระยะใกล้ - ระบบปฏิบัติการแบบเปิด (Open Source) : หมายถึงระบบปฏิบัติการที่สามารถน าไปพัฒนาต่อได้ โดยไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ - Host หมายถึง อุปกรณ์ฝั่งรับข้อมูลจาก Mobile Computer ซึ่งอาจจะหมายถึง คอมพิวเตอร์ เครื่องจักร สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์ทุกชนิดที่สามารถรับส่งข้อมูลจาก Mobile Computer ได้ - ระบบ หมายโปรแกรมที่ลูกค้าใช้งานอยู่ หากพัฒนาเพื่อใช้งานบนความคอมพิวเตอร์จะไม่รองรับการ ใช้งานบน Mobile Computer เพราะฉะนั้นต้องมีทีมโปรแกรมที่พัฒนาระบบให้ใช้งาน Mobile Computer ได้ 10


หน่วยที่ 2 เรื่อง ลักษณะเฉพำะทำงของโปรแกรมประยุกต์บนอุปกรณ์พกพำ 1. ควำมหมำยของ Mobile Application Mobile Application คืออะไร MOBILE APPLICATION ประกอบขึ้นด้วยค าสองค า คือ MOBILE กับ APPLICATION MOBILE R มายถึง อุปกรณ์สื่อสารที่ใช้ในการพกพา ซึ่งนอกจากจะใช้งานได้ตามพื้นฐานของ โทรศัพท์แล้ว ยังท างานได้ เหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่พกพาได้จึงมี คุณสมบัติเด่น คือ ขนาดเล็ก น้ําหนักเบา ใช้พลังงานค่อนข้างน้อย ปัจจุบันใช้ท าหน้าที่ได้หลาย อย่างในการติดต่อแลกเปลี่ยนข่าวสารกับคอมพิวเตอร์ ส่วน APPLICATION หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่ใช้เพื่อช่วยการท างานของผู้ใช้งาน (USER) โดยแอปพลิเคชันจะต้อง มีสิ่งที่เรียกว่า ส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (USER INTERFACE หรือ UI) เพื่อเป็นตัวกลางส าหรับใช้งานต่างๆ 2. ลักษณะเฉพำะทำงของโปรแกรมประยุกต์บนอุปกรณ์พกพำ โมบายแอปพลิเคชันเป็นการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ส าหรับอุปกรณ์พกพา เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต เป็นต้น โดยโปรแกรมจะช่วยตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน อีกทั้งยัง สนับสนุนให้ผู้ใช้โทรศัพท์ ได้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น ในปัจจุบันโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ตโฟน มีหลาย ระบบปฏิบัติการที่พัฒนาออกมาให้ ผู้ใช้งาน ส่วนที่มีผู้ใช้และเป็นที่นิยมมาก ก็คือ IOS และ ANDROID จึงท าให้เกิดการเขียนหรือพัฒนาแอปพลิเค ชันลงบนสมาร์ตโฟนเป็นอย่างมาก เช่น แผนที่ เกมโปรแกรมสนทนาต่าง ๆ และหลายธุรกิจที่เข้าไปเน้นในการ พัฒนาโมบายแอปพลิเคชันเพื่อเพิ่มช่องทางการสื่อสาร กับลูกค้ามากขึ้น ตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชันที่ติดมากับ โทรศัพท์มือถืออย่างแอปพลิเคชันเกมที่ชื่อว่า ANGRY BRIDS หรือเฟชบุ๊คที่สามารถแชร์เรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะ เป็นความรู้สึก สถานที่ รูปภาพ ผ่าน ทางแอปพลิเคชันได้โดยตรงไม่ต้องเข้าเว็บเบราว์เซอร์


3. กำรประยุกต์ใช้โมบำยแอปพลิเคชัน โมบายแอปพลิเคชันเหมาะส าหรับธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ ในการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ รวมถึงขยาย การให้บริการผ่านโทรศัพท์มือถือ สะดวก ง่ายทุกที่ ทุกเวลา ตัวอย่างการประยุกต์ใช้โมบายแอปพลิเคชัน ได้แก่ 1. MOBILE APPLICATION FOR REAL ESTATE โมบายแอปพลิเคชันส าหรับอสังหาริมทรัพย์ ใช้ ใน การเก็บข้อมูลลูกค้า การจอง การขายบ้าน คอนโดมิเนียม ที่ดิน 2. MOBILE APPLICATION FOR TOURISM โมบายแอปพลิเคชันส าหรับการท่องเที่ยว โรงแรม บริษัท ทัวร์ สามารถดูข้อมูลการจองที่พักได้รวมถึงกลุ่ม MICE ที่สามารถจัดท าระบบการลงทะเบียน การช าระ เงิน ข้อมูลการประชุม สัมมนา และนิทรรศการ 3. MOBILE APPLICATION FOR RESTAURANT โมบ ายแอปพลิเคชัน ส าห รับภัตต า ค า ร ร้านอาหาร ร้าน เครื่องดื่ม เพื่อน าเสนอรายการอาหารรูปแบบใหม่ สร้างความแตกต่างและทันสมัย 12


4. MOBILE APPLICATION FOR RETAIL OR WHOLESALE โมบายแอปพลิเคชันส าหรับการขาย สินค้าหรือบริการ ทั้งแบบปลีก ค้าส่ง ตัวแทนจ าหน่าย หรือขายผ่านพนักงานขาย 5 . MOBILE APPLICATION FOR EDUCATION โ มบ า ย แ อ ปพ ลิ เ ค ชัน ส าห รับ ก า ร ศึ ก ษ า สถาบันการศึกษา ห้องสมุด ศูนย์ฝึกอบรม สามารถจัดหาสื่อการเรียนการสอน และการจัดท าบทเรียน 6. MOBILE APPLICATION FOR HEALTHCARE โมบ ายแอปพลิเคชันส าห รับบ ริก า รทาง การแพทย์ สาธารณสุขเพื่อการให้ค าปรึกษาทางไกล 7. MOBILE APPLICATION FOR LOGISTICS, MOBILE APPLICATION FOR GOVERNMENT โมบายแอปพลิเคชันส าหรับหน่วยงานราชการในการน าเสนอฐานข้อมูล ข่าวสาร กิจกรรม บริการต่าง ๆ ของ หน่วยงานในรูปแบบทันสมัยมากขึ้น 13


4. ประโยชน์ของกำรพัฒนำโมบำยแอปพลิเคชัน การพัฒนาโมบายแอปพลิเคชันมีประโยชน์ 2 ด้านอย่างเห็นได้ชัด คือ 1. กำรพัฒนำแอปพลิคชันเพื่อสร้ำงรำยได้หรือท ำเป็นธุรกิจ จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้ช่องทาง การหา รายได้กับเทคโนโลยีก าลังเป็นที่นิยม หลายคนเริ่มหาความรู้เพิ่มที่จะสร้างแอปพลิเคชันเพื่อ หวังว่าจะเป็น นวัตกรรมเพื่อดึงดูดผู้ใช้ให้เข้ามาดาวน์โหลด ยิ่งจ านวนยอดดาวน์โหลดมากเพียงใด นั่นก็เท่ากับว่าผู้สร้างแอป พลิเคชันก็จะมีรายได้มากเท่านั้น ช่องทางการขายแอปพลิเคชันหลัก ผู้พัฒนาน าไปขายหรือปล่อยให้ดาวน์ โหลดฟรีที่ PLAY STORE และ APP STORE ดังนั้น ตลาด แอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือยังมีโอกาสพัฒนา ไปได้อีกไกลเพราะจะมีผู้ใช้งานระบบ และ IOS เพิ่มขึ้นทุกวันอย่างต่อเนื่อง 2. กำรพัฒนำแอปพลิเคชันเพื่อใช้สนับสนุนภำพลักษณ์ขององค์กร ในปัจจุบันเกือบ ทุกองค์กรมี แอปพลิเคชันเป็นของตนเองเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการขององค์กร จึงท าให้สร้างความประทับใจ ให้กับผู้บริโภคได้ ยิ่งสะดวกมาก รวดเร็วมาก ลดการเดินทางหรือ การโทรศัพท์ ยิ่งสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร ได้มากขึ้น ท าให้ผู้บริโภคหันมาใช้บริการองค์กร นั้นๆ มากขึ้นอีกด้วย 14


5. กำรใช้โปรแกรมประยุกต์ประเภทต่ำงๆ ที่เกี่ยวข้องกับกำรสร้ำงแอปพลิเคชัน โปรแกรมประยุกต์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแอปพลิเคชันมีหลายโปรแกรม ได้แก่ 1. โปรแกรมฐำนข้อมูล SOLITE ฐานข้อมูล SQLITE เป็น DATABASE ขนาดเล็กที่ได้รับความนิยม อย่างมากกับ แอปพลิเคชันที่ท างานบนสมาร์ตโฟนประเภทต่างๆ รูปแบบการท างานของ SQLITE เป็นแบบ STANDALONE ท างานอยู่ใน แอปพลิเคชันนั้นๆ SQLITE มีโครงสร้างที่ง่ายต่อการจัดเก็บและน าไปใช้ และ ไฟล์ที่จัดเก็บนั้นก็มีขนาดเล็กมากเกือบเท่ากับ การเก็บข้อมูลจริง เพราะฉะนั้น SQLITE DATABASE จึงเหมาะ กับแอปพลิเคชันที่ท างานบนสมาร์ตโฟนอย่างมาก โดยเฉพาะอันเนื่องจากข้อจ ากัดทางด้านฮาร์ดแวร์และเมม โมรี รวมทั้งความสามารถในการ PROCESS ข้อมูลต่างๆ ใน สมาร์ตโฟนย่อมน้อยกว่า PC DESKTOP เป็น ธรรมดา 2. โปรแกรมภำษำ JAVA ภาษาจาวามีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ดังนี้ 2 . 1 JAVA VIRTUAL MACHINE (JVM) เป็ น ส่ ว นที่ท าห น้ าที่ เป็ น ตั ว อิ น เ ท อ ร์ พ รี เ ต อ ร์ (INTERPRETER) คือ จะท าการแปลภาษาจา วาไบต์โด้ ให้เป็นภาษาที่เครื่องเข้าใจ จาวาไบต์โค้ดสามารถรับได้ หลายแพลตฟอร์ม ถ้าแพลตฟอร์มนั้นมี (JVM) 2.2 JAVA RUNTIME ENVIRONMENT (JRE) เป็นส่วนที่ใช้ในการรันโปรแกรมภาษาจาวา โดยจะ ท างาน 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1) โหลดไบต์โค้ดโดยใช้ CLASS LOADER คือการโหลดคลาสทุกคลาสที่เกี่ยวข้องในการรัน โปรแกรม 2) ตรวจสอบไบต์ได้ดโดยใช้ BYTE CODE VERIFIER คือ การตรวจสอบว่าโปรแกรมจะต้องไม่ มีค าสั่งที่ท าให้เกิดความ พิดพลาดกับระบบ เช่น การแปลงข้อมูลที่ผิดพลาด หรือมีการแทรกแซงเข้าสู่ระบบ กายใน เป็นต้น 3) ธันไบต์โค้ด โดยใช้ RUNTIME INTERPRETER 2.3 JAVA 2 SOFTWARE DEVELOPER KIT (J2SDK) เป็นชุดพัฒนาโป รแกรมภาษ าจ าว า ประกอบด้วย โปรแกรมต่างๆ แต่ไม่มีโปรแกรม EDITOR รวมอยู่ด้วย ตัวอย่างเช่น 1) โปรแกรมคอมไพเลอร์ (JAVAC.EXE) 2) โปรแกรมอินเทอร์พรีเตอร์ (JAVA.EXE) 15


3. โปรแกรม ECLIPSE เป็นโปรแกรมที่ใช้พัฒนากายาง1วาที่เป็นซอฟต์แวร์แบบ OPEN SOURCE ที่ พัฒนามา จากผู้พัฒนาเอง จึงท าให้พัฒนาได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ECLIPSE มีองค์ประกอบที่เรียกว่า ECLIPSE PLATFORM ซึ่งให้บริการพื้นฐานหลักสาหรับรวบรวมเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อให้สามารถใช้งานในสถาพ แวดล้อมเดียวกัน และยังมี องค์ประกอบอื่น ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการท างานให้มากขึ้น เมื่อต้องการ เพิ่มเพียงแค่ต้องเพิ่ม PLUG-IN ส าหรับ งานนั้น ๆ ขึ้นมาแล้วน าไปติดตั้งเพิ่มให้กับ ECLIPSE เท่านั้น และ ECLIPSE ยังมีข้อดี เช่น ติดตั้งง่าย ใช้ได้คับ J2SDK ทุกเวอร์ชันเละรองรับภาษาต่างประเทศได้หลายภาษา อีก ทั้งมี PLUG-IN ที่ใช้เสริมประสิทธิภาพของโปรแกรม 4. โปรแกรม ANDROID STUDIO ANDROID STUDIO เป็น IDE TOOLS จาก GOOGLE ไว้พัฒนา โปรแกรมANDROID โดยเฉพาะ โดยพัฒนาจากแนวความคิดพื้นฐานมาจาก INTELLIJ IDEA คล้าย ๆ กับการ ท างานของ ECLIPSE และ ANDROID ADT PLUG-IN โดยวัตถุประสงค์ของ ANDROID STUDIO เพื่อต้องการ พัฒนาเครื่องมือ IDE ที่สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันบน ANDROID ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งด้านการ ออกแบบ GUI ที่ช่วยให้สามารถ PREVIEW ตัวแอปพลิเคชั่นมุมมองที่แตกต่างกันบนสมาร์ตโฟนแต่ละรุ่น และ สามารถแสดงผลบางอย่างได้ทันที โดยไม่ต้องท าการรันแอปพลิเคชันบน EMULATOR รวมทั้งยังแก้ไขปรับปรุง ในเรื่องของความเร็วของ EMULATOR ที่ยังพบปัญหากันอยู่ในปัจจุบัน 5. โปรแกรม APPMAKR โดยทั่วไปการสร้างแอปพลิเคชันตั้งแต่เริ่มต้นจนจบจ าเป็นต้องใช้ชั่วโมงการ ท างานของคน เป็นจ านวนมาก และบ่อยครั้งจ าเป็นต้องใช้ความรู้ในระดับวิศวกรรม โปรแกรม APPMAKR ดูแล ในส่วนที่มีความทับซ้อนเพื่อน าเสนอวิธีการสร้างที่ไม่ต้องใช้โค้ด และเป็นเพ็จเกจผสมของฟีเจอร์มากมาย จะมี การแจ้งเตือนในแอปพลิเคชัน มีฟังก์ชันการท างานของ HTML5 มีแกลเลอรีรูปภาพความละเอียดสูง นอกจากนี้ยังมีการปรับแต่ง การจัดท าแบรนด์สินค้าและการออกแบบเฉพาะตัว และอีกมากมาย ซึ่ง สามารฉสร้างแอปพลิเค วันที่สามารถไว้ใจในการท างานได้ เพื่อการน าเสนอเนื้อหาให้มีประสิทธิภาพ 16


6. โปรแกรม SWIFT ภาษาโปรแกรม "SWIFT" เป็นภาษาโปรแกรมใหม่ที่ APPLE ได้สร้างและ ออกแบบมาใหม่ เพื่อให้ผู้พัฒนาใช้พัฒนาโปรแกรมบน MAC OS X และ IOS โดยในอดีตจนถึงปัจจุบันภาษาที่ ใช้ คือ OBJECTIVE-C 9181 โปรแกรมเปรียบเสมือนภาษาตัวกลางที่ผู้พัฒนาโปรแกรมจะใช้สั่งงาน คอมพิวเตอร์ เพราะคนคุยกับคอมพิวเตอร์ตรง ๆ ไม่ รู้เรื่อง จึงต้องการภาษาตัวกลางที่เป็นภาษาที่ใกล้เคียงคน (ที่ผู้พัฒนาสามารถอ่านออกเขียนได้) ท าให้เมื่อผ่านสิ่งที่เรียกว่า นักแปลภาษา (COMPILER) แล้วคอมพิวเตอร์ ก็จะรู้ว่าควรท าอะไร และ SWIFT เป็นภาษาตัวกลางนั้น SWIFT เป็นภาษาที่ ออกแบบให้มีประสิทธิภาพสูง และง่ายต่อการพัฒนาโดยน าาข้อดีของกาษาสมัยใหม่เข้ามามากมาย เช่น TYPE INFERENCE, CLEAN SYNTAX, NO SEMICOLONS, CLOSURES, GENERICS ซึ่งคุณสมบัติที่กล่าวมาบางอย่างที่มีอยู่แล้วในภาษา OBJECTIVE-C แต่ใน SWIFT นั้นจะมีมากขึ้น ภาษา SWIFT ยังถูกออกแบบให้มีความปลอดภัยในการเขียน โปรแกรมมาขึ้น ท าให้ลดข้อผิดพลาดของโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น 7. โปรแกรม MIT APP INVENTOR 2 APP INVENTOR เป็นเครื่องมือที่ใช้ส าหรับสร้างแอปพลิเค ชันส าหรับ สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตที่เป็นระบบปฏิบัติการ ANDROID ซึ่งบริษัท GOOGLE ร่วมมือกับ MIT พัฒนาโปรแกรม APP INVENTOR ขึ้น ต่อมา GOOGLE ถอนตัวออกมาและยกให้ MIT พัฒนาต่อเอง (โดยเน้น กลุ่มผู้ใช้งานด้านการศึกษา มากกว่า) ในนาม MIT APP INVENTOR APP INVENTOR ใช้หลักการคล้าย ๆ กับ SCRATCH แต่ซับซ้อนกว่า โดยลักษณะ การเขียนโปรแกรมแบบ VISUAL PROGRAMMING คือ เขียน โปรแกรมด้วยการต่อบล็อกค าสั่งเน้นการออกแบบเพื่อ แก้ปัญหา (PROBLEM SOLVING) ด้วยการสร้าง โปรแกรมที่ผู้เรียนสนใจบนโทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟน APP INVENTOR จิต เป็นอีกโปรแกรมหนึ่งที่เหมาะสา หรับใช้ในการเรียนการสอนเขียนโปรแกรม ให้ผู้เรียนในระดับมัธยมปลายหรือระดับมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะ ผู้ใช้ที่ไม่เคยเขียนโปรแกรมมาก่อนหรือไม่ได้เรียนในสายคอมพิวเตอร์ 8. AppSheet AppSheet คือ เครื่องมือสร้างแอปพลิเคชันแบบเร็วที่สุดโดยที่คุณไม่ต้องมีทักษะการ เขียนโค้ดแต่อย่างใด เพราะ AppSheet นั้นคือ No-Code Platform แบบ 100% เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรม ใหม่จากค่าย Google ที่ก าลังได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว AppSheet สามารถสร้างแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว โดยข้อมูลที่คุณจะต้องน ามาใช้งานก็มาจาก Google Sheets ที่คุณใช้อยู่ทุกวันนั่นแหละ เพียงแต่ว่าคุณน าข้อมูลเหล่านี้มาสร้างกระบวนการการท างานให้ เป็นระบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยอ านวยความสะดวกให้การท างานของคุณง่าย สะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดย AppSheet สามารถรองรับได้ทั้ง Desktop version และ Mobile version เลย 17


6. กำรพัฒนำแอปพลิเคชัน ปัจจุบันอุปกรณ์พกพา (MOBILE DEVICE) ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีอยู่หลายระบบ (PLATFORMS) ได้แก่ IOS, ANDROID, WINDOWS, BLACKBERRY การพัฒนาโมบายแอปพลิเคชันโดยทั่วไปแบ่งออกได้ 3 ประเภท ดังนี้ 1. NATIVE APPLICATION คือ การพัฒนาโดยใช้ภาษาหลักของแพลตฟอร์มนั้น ๆ อาจเรียกว่า ภาษาแท้ ๆ ก็ได้ เช่น OBJECTIVE-C, SWIFT ส าหรับระบบปฏิบัติการ IOS หรือ JAVA ส าหรับระบบปฏิบัติการ ANDROID ฯลฯ มีข้อดีคือ เป็นภาษาแท้ ท าให้การงานมีประสิทธิภาพดี ความเร็วสูง การจัดการเมมโมรีท าได้ดี สามารถเข้าถึงฮาร์ดแวร์ เซนเซอร์ และ ระบบปฏิบัติการ (OS) ได้สมบูรณ์ 2. WEB APPLICATION หรือ HTML5 คือ แอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นโดยใช้ถาษาที่เป็นเทคโนโลยี เว็บ HTML5 CSS และ JAVASCRIPT ส่วนใหญ่มักใช้งานแบบออนไลน์เป็นหลัก โดยสคริปต์และ RESOURCES ต่าง ๆ เช่น รูปภาพ วิดีโอ จะอยู่บนเว็บไซต์ ไม่สามารถใช้ OS ของระบบได้ ส่วนระบบเซนเซอร์ และฮาร์ดแวร์จะใช้ได้ บางอย่างเท่านั้น เนื่องจากอาศัยเว็บเบราว์เวอร์เป็นหลัก 3. HYBRID APPLICATION คือ แอปพลิเคชันที่ไม่ได้ใช้ภาษาแท้ ๆ ของแพลตฟอร์ม แต่เป็นการ ผสมผสาน กับถาษาอื่น ๆ เข้ามาพัฒนา สามารถเข้าถึง API เซนเซอร์และฮาร์ดแวร์ของระบบได้เกือบครบ ได้แก่ กล้อง ระบบไฟล์เก็บ ข้อมูล เข็มทิศ เซนเซอร์ ACCELEROMETER (ขึ้นอยู่กับตัว PLUG-IN เสริมที่มีให้ ใช้งาน) เช่น PHONEGAP/CORDOVA ใช้ HTML5 + CSS + JAVASCRIPT มี PLUG-IN เสริมที่ท าให้สามารถ ใช้งาน กล้อง เซนเซอร์ เข็มทิศ แผนที่ และอื่น ๆ ได้ โดยไม่ต้องเขียนโค้ดถาษาที่เป็น NATIVE 18


7. แอปพลิเคชันที่ได้รับควำมนิยม แอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมตามเว็บไซต์ BUSINESS INSIDER ได้คัดเลือกไว้ 10 อันดับ โดยการจัด อันดับในครั้งนี้มาจาก NIELSEN ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการจัดอันดับได้ท าการส ารวจ แอปพลิเคชันในแต่ละปี มีดังนี้ 1. FACEBOOK มีจ านวนผู้ใช้งานที่ไม่ซ้ํากัน 118,023,000 USER : ฟรีเป็น SOCIAL NETWORK ที่ จะท าให้ผู้ใช้งานสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้ใช้เฟชบุ๊กคนอื่น ๆ ได้ไม่ว่าจะ เป็นการโพสต์รูปภาพ โพสต์คลิปวิโอ แชร์สิ่งต่างๆ การเขียนบทความ แชตคุยกันแบบ สด ๓ การถ่ายทอดสด โดยเฟซบุ๊กได้มีการพัฒนากันอยู่ เรื่อยๆ 2. GOOGLE SEARCH มีจ านวนผู้ใช้งานที่ไม่ซ้ํากัน 90,745,000 USER : ฟรีเป็นเครื่องมือที่ให้บริการ การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตของ เว็บไซต์ GOOGLE.COM และ ยังสามารถค้นหาข้อมูลที่เป็นไฟล์รูปภาพ กลุ่ม ข่าว และสารบบเว็บได้อีกด้วย 3. YOUTUBE มีจ านวนผู้ใช้งานที่ไม่ซ้ํากัน 88,342,000 USER : ฟรีเป็น เว็บไซต์ แลกเปลี่ยนวิโอ โดย ในเว็บไซต์นี้ผู้ใช้งานสามารถอัปโหลดภาพ วิดีโอ เข้าไปเปิดดูวิดีโอที่มีอยู่และแบ่งปันภาพวิดีโอเหล่านี้ให้คนอื่น ดูได้โดยไม่ต้องสียค่าใช้จ่าย 4. GOOGLE PLAY มีจ านวนผู้ใช้งานที่ไม่ซ้ํากัน 84,968,000 USER : ฟรีเป็นศูนย์ รวมคอนเทนต์ ต่าง ๆ ของGOOGLE เช่น เพลง แอปพลิเคชัน หนังสือ เกม และอื่น ๆ ที่ GOOGLE ตั้งใจท าเป็นแหล่งดาวน์ โหลด โดย ลักษณะคล้ายๆ กับ APPLE ITUNES 5. GOOGLE MAP มีจ านวนผู้ใช้งานที่ไม่ซ้ํากัน 79,034,000 USER : ฟรี เป็นบริการ ของ GOOGLE ที่ให้บริการเทคโนโลยีด้านแผนที่ที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้ง่าย รวดเร็วและแม่นย า 6. GMAIL มีจ านวนผู้ใช้งานที่ไม่ซ้ํากัน 72,405,000 USER : ฟรี เป็น บริการฟรี อีเมลของเว็บไซต์ GOOGLE.COM ซึ่งมีความพิเศษเหนือกว่าฟรี อีเมล ทั่ว ๆ ไป ตรงที่ GMAIL สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 2,500 MB ส่งอีเมล POP3 ได้ มีระบบป้องกันไวรัสที่ดี และใช้ง่าย 7. INSTAGRAM มีจ านวนผู้ใช้งานที่ไม่ซ้ํากัน - 43,944,000 USER : ฟรี เป็น โปรแกรมแบ่งปัน รูปภาพและคลิปวิดีโอสั้น ๆ ที่มาพร้อมกับลูกเล่นการแต่งภาพ ด้วย FILTERS ต่าง ๆ ที่ท าให้สามารถเลือกปรับ ภาพได้หลากหลายรูปแบบและ สามารถแชร์ บนสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ได้ 8. MUSIC (ITUNES RADIO/ICLOUD) มีจ านวนผู้ใช้งานที่ไม่ซ้ํากัน 42,546,000 USER : ฟรี เป็น บริการฟังเพลงออนไลน์ของ APPLE สามารฉ ฟังเพลงได้ฟรี 3 เดือน หลังจากนั้นต้องเสียค่าบริการรายเดือน 19


8. แนวโน้มกำรใช้งำนโมบำยแอปพลิเคชันบนมือถือ การใช้งาน MOBILE DEVICE อย่างสมาร์ตโฟนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่ก็ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็น ผลมาจากการพัฒนาโมบายแอปพลิเคชันและเทคโนโลยีของตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือจากค่ายผู้ผลิตโทรศัพท์ โดยเฉพาะ การพัฒนาต่อยอดแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ของบริษัทต่าง ๆ ที่ แข่งขันกัน เพื่อชิงความ เป็นหนึ่งในตลาดต้านโมบายแอปพลิเคชัน ซึ่งการพัฒนาแอปพลิเคชันแบ่งเป็น การพัฒนาแอบพลิเคชันระบบ (OPERATION SYSTEM) และ แอปพลิเคชั่นซอฟต์แวร์ (SOFTWARE APPLICATION) ที่ตอบสนองการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ และด้วย แอปพลิเคชั่นที่เพิ่มขึ้นและมี ประสิทธิภาพมากขึ้น ท าให้ผู้ใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่มีแนวโน้มใช้โปรแกรมต่าง ๆ เพื่อ ตอบสนองกิจกรรมใน ชีวิตประจ าวัน ได้แก่ ท าธุรกรรมทางการเงิน เชื่อมต่อ และสืบค้นข้อมูลบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ต ชมภาพยนตร์ ฟังเพลง หรือแม้แต่การเล่นเกมซึ่งมีทั้งออนไลน์และ ออฟไลน์ ด้วยอัตราการขยายตัวด้านการใช้งานอุปกรณ์เคลื่อนที่ท าให้บริษัทชั้นน าด้านโทรศัพท์มือถือหลายแห่ง หันมาให้ความส าคัญกับการพัฒนาโปรแกรมบนโทรศัพท์มือถือโดยเชื่อว่า จะมีอัตราการดาวน์โหลดเพื่อใช้งาน ที่เติบโตอย่างเห็นได้ชัด อุปกรณ์สื่อสารที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน คือ โทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ตโฟน โดยสัดส่วนของ ยอดจ าหน่ายสมาร์ตโฟนเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากการพัฒนาความสามารถของโทรศัพท์มือถือที่แต่เดิมมีได้สนทนา กันเท่านั้น แต่ปัจจุบันผู้ใช้มี กิจกรรมเพิ่มขึ้นจากการใช้งานโทรศัพท์มือถือ เช่น การเชื่อมต่อ เข้าสู่อินเทอร์เน็ต การเปิดรับข้อมูล ข่าวสาร การดูหนังหรือฟังเพลง การเล่นเกมทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทั้งนี้ เป็นผลมาจาก แอปพลิเค ชั้นบนอุปกรณ์เคลื่อนที่มีการพัฒนาต่อยอดมากขึ้น ทั้งจากค่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์หรือจากที่บริษัท พัฒนาซอฟต์แวร์ หลายบริษัทหันมาพัฒนาโปรแกรมบนโทรศัพท์มือถือ โดยเชื่อว่าจะมีอัตราการดาวน์โหลดเพื่อใช้งานที่ เติบโตอย่างเห็นได้ชัดและมีแนวโน้มที่ดีในอนาคตสิ่งส าคัญที่ท าให้อุปกรณ์ประเภท SMART DEVICE มีมูลค่า มากขึ้นก็คือ ความสามารถและ ความหลากหลายของแอปพลิเคชันต่าง ๆ ในประเทศไทยมีแนวโน้มว่าจ านวน การใช้งานผ่านโมบายแอป พลิเคชันมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ธุรกิจในอนาคตกาลังเคลื่อนเข้า สู่นวัตกรรมบนอุปกรณ์ SMART DEVICE เหล่านี้ ปัจจุบันนี้คนไทยมีโทรศัพท์มือถือประมาณหนึ่งร้อยล้านกว่าเครื่อง โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ มีโทรศัพท์มือถือคนละ 2 เครื่อง และแน่นอนว่า 1 ใน 2 เครื่องนั้น เอาไว้ส าหรับใช้งานโมบายแอปพลิเคชัน โดยเฉพาะ จึงไม่น่าแปลกใจว่าอัตราการเข้าดูสื่อต่าง ๆ จากอุปกรณ์โมบายนั้น จะมีอัตราถึง 1 ใน 4 จากช่อง ทางการเข้าถึงทั้งหมด และมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นกว่านี้ ในอนาคตหากธุรกิจไม่มีช่องทางโมบายแอปพลิเคชั่น แล้ว เท่ากับว่าเสียโอกาสทางธุรกิจทันที และโมบายแอปพลิเคชันจะกลายเป็นสิ่งจ าเป็นเหมือนกับที่เคยเกิด ขึ้นกับเว็บไซต์มา 20


หน่วยที่ 3 คุณสมบัติของ AppSheet 1. AppSheet คืออะไร ? AppSheet คือเครื่องมือที่ช่วยในการสร้าง Mobile Application ส าหรับใช้ในองค์กรโดยแทบไม่ต้อง เขียนโค้ด ซึ่งมีฟังก์ชั่นการท างานได้เทียบเท่าซอฟแวร์ส านักงานพวก Enterprise Resource Planning (ERP) ตั้งแต่การท าเอกสาร การท าบัญชี การท าระบบจองห้องประชุม การเก็บข้อมูลความพึงพอใจพนักงาน การ ตรวจวัดสต็อกสินค้า การติดตามยอดขายของฝ่ายแผนกการตลาด โดยสามารถเปิดใช้งานผ่าน Web Browser ได้ทั้งในสมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ความพิเศษของ AppSheet อีกอย่างหนึ่งคือ การที่ผู้ใช้สามารถสร้างฐานข้อมูลโดยใช้ Spread Sheet (เช่น Google Sheet หรือ Airtable) ได้ ซึ่งแตกต่างจากการพัฒนาแอปพลิเคชั่นแบบเดิม ที่ต้องสร้าง ฐานข้อมูลเฉพาะ 2. Vision AppSheet AppSheet บอก Vision ของตัวเองง่ำย ๆ ว่ำ เราพัฒนา AppSheet เพื่อให้ใครก็ได้สามารถพัฒนาแอปพลิเคชั่นใช้เองในองค์กร โดยไม่จ าเป็นต้องมี ความรู้ทางเทคโนโลยีAppSheet ที่ Vision ของ AppSheet เป็นแบบนี้เพราะ มีหลาย ๆ องค์กรที่ใช้ แอปพลิเคชั่นเพื่อปรับปรุงการท างานของตัวเอง แต่ก็ยังมีอีกหลายองค์กรที่พบว่าการพัฒนาแอปพลิเคชั่น แบบเดิม (code based programming app) นั้นมีราคาสูง ซับซ้อน และใช้เวลานาน ท าให้มีแต่บริษัทยักษ์ ใหญ่เท่านั้น ที่สามารถท าโปรเจค IT ดี ๆ ได้ทางทีม AppSheet เลยเกิดแรงบันดาลใจที่จะสร้างเครื่องมือที่จะ ช่วยให้ผู้ใช้ที่เป็นพนักงานบริษัทสามารถสร้าง Business application ในองค์กรของตัวเองได้


ตัวอย่ำงแอปพลิเคชั่นที่พัฒนำโดย AppSheet ในกรณีตัวอย่างนี้ ผู้เขียนได้ทดลองจัดท าแอปพลิเคชั่น ส าหรับติดตามการท างานของพนักงานท า ความสะอาดในอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง (ชื่อ และรายละเอียดในแอปพลิเคชั่น ถูกจ าลองขึ้นมา ไม่ได้อ้างอิงถึง องค์กร หรือบุคคลใด ๆ ในชีวิตจริง) ตัวอย่างแอปพลิเคชั่นที่จัดท าโดย AppSheet โดยแอปพลิเคชั่นนี้ เข้ำมำแก้ปัญหำกำรสื่อสำร และกำรรำยงำนของแผนกท ำควำมสะอำดใน อำคำรพำณิชย์ ที่ต้องมีกำรตรวจเช็คควำมสะอำดรอบเช้ำ รอบบ่ำย และแจ้งซ่อมให้กับทีมช่ำงเทคนิค ปัญหาที่ผู้เขียนสนใจเข้าไปแก้ในกรณีนี้คือ ความซ้ าซ้อนในกระบวนการท างานดั้งเดิม ที่ต้องกรอกรายละเอียด ลงกระดาษ (Paper process) และไปคีย์ข้อมูลหลังหมดวันเพื่อท ารายงานประจ าเดือน หรือแจ้งช่างเทคนิค เข้ามาซ่อม (ดังในรูปแผนภาพ Business process) ตัวอย่าง Business process ของแผนกท าความสะอาดในอาคารพาณิชย์ 22


3. คุณสมบัติของ AppSheet AppSheet ท ำอะไรได้บ้ำง ? โดยทั่ว ๆ ไป AppSheet สามารถสร้างแอปพลิเคชั่นส าหรับบันทึกข้อมูลทั่ว ๆ ไป โดยรองรับข้อมูลได้ หลายแบบ เช่นข้อมูลพิกัด location, ภาพถ่าย, ลายเซ็น, เวลาปัจจุบัน, บาร์โค้ด, QRcode, Barcode, RFID และอื่น ๆ รองรับการท า Automation เบื้องต้น เช่น การส่งอีเมล ,สร้างไฟล์เอกสารอัตโนมัติ หรือแม้แต่การ แจ้งเตือนผ่าน Line นอกจากนี้หากติดตั้งผ่าน AppSheet Engine จะท าให้สามารถ รองรับการใช้งานแบบออฟไลน์แคละ ส่ง Push Notification ผ่านสมาร์ทโฟน (เป็นแพคเกจ Pro Plan ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ AppSheet Pricing ท้ายที่สุดส าหรับผู้ใช้ที่ต้องการท า Dashboard หรือรายงานประจ าเดือน ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อ Google Sheet เข้ากับ Google Data studio หรือโปรแกรมอื่น ๆ เพื่อท ารายงานได้ 4. AppSheet เหมำะกับงำนแบบไหน ? ในความเป็นจริง AppSheet สามารถใช้สร้างแอปพลิเคชั่นที่ท างานได้หลากหลาย แต่คุณประโยชน์ หลักที่สรุปมาจากประสบการณ์ผู้เขียนในการท าแอปพลิเคชั่นให้องค์กรมีดังนี้ 1. เพิ่มประสิทธิภำพในกำรสื่อสำรด้วย (Real-time collaboration) 23


AppSheet เหมาะกับการใช้งานที่มีการท างานร่วมกันระหว่าง ทีมงานที่อยู่หน้างาน (ทีมขาย ทีมลง พื้นที่ หรือฝ่ายบริการลูกค้า) กับทีมที่ท างานเบื้องหลัง (ทีมการตลาด ทีมช่างเทคนิค เป็นต้น) ที่ปกติมักจะ สื่อสาร หรือส่งงานกับผ่าน Messenger App เช่น Line (ซึ่งจะมีปัญหาเรื่องความเป็นก ากวมในการสื่อสาร และการบันทึกข้อมูลในภายหลัง) โดยเราสามารถใช้ AppSheet เพื่อติดตามการท างานแบบ Real-time โดยที่ทุกคนเห็นข้อมูลตรงกัน ได้ผ่านสมาร์ทโฟน อีกกรณีศึกษานึงที่น่าสนใจคือ มีบริษัทขนส่งที่นึงใช้ AppSheet เพื่อสร้างแอปพลิเคชั่นติดตามการ ท างานของพนักงานขนส่งในระบบ (ในบริษัทนี้มีพนักงานขนส่งเกือบ 100 คน) โดยพนักงานขนส่งสามารถ รายงานสถานะการส่งต่าง ๆ ผ่านสมาร์ทโฟน และหัวหน้างานก็สามารถดูรายงานผ่าน Dashboard ที่ห้อง ประชุมได้เลย 2. ลดข้อผิดพลำด และกำรทุจริตที่เกิดจำกพนักงำน (Human error and fraud prevention) ลดข้อผิดพลาด และการทุจริตที่เกิดจากพนักงาน (Human error and fraud prevention) AppSheet ไม่ต่างอะไรกับการคีย์ข้อมูลผ่าน Spread Sheet แต่ AppSheet สามารถคีย์ข้อมูล ออนไลน์ได้ และมีช่องให้กรอก แบบ Application แทนที่จะเป็นตาราง Spread Sheet เฉย ๆ หนึ่งในปัญหาสุดคลาสสิกของการใช้ Spread Sheet ในอดีตคือการกรอกข้อมูลผิด ซึ่งปัญหานี้จะ หมดไปหากใช้ AppSheet ที่สามารถท าช่องให้กรอก โดยตรวจเช็คความถูกต้องก่อนบันทึกได้ เช่นกรอกอีเมล์ ต้องมี @gmail.com หรือกรอกบัตรประชาชนต้องมีเลข 13 หลัก อีกความพิเศษนึงคือ AppSheet ยังมีช่องให้กรอกแบบ Auto complete เช่น เวลาที่บันทึก สถานที่ ที่บันทึก ลายเซ็นของผู้บันทึก ท าให้ลดการทุจริตได้จากการไม่สามารถปลอมแปลงข้อมูลเหล่านี้ และ Feature Autocomplete ยังท าให้พนักงานไม่ต้องเสียเวลาบันทึกข้อมูลมากเกินจ าเป็นอีกด้วย 24


3. ลดงำนซ้ ำซ้อน (Duplicate work) และกำรใช้กระดำษ (Paper process) ลดงานซ้ าซ้อน (Duplicate work) และการใช้กระดาษ (Paper process) เมื่อบันทึกข้อมูลใน AppSheet แล้ว ข้อมูลที่บันทึกสามารถปริ้นออกมาเป็นรายงาน, ท าออกมาเป็น กราฟ หรือแม้แต่ส่งเป็นอีเมลอัตโนมัติทุก ๆ สิ้นเดือนก็ยังได้เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยลดงานซ้ าซ้อนบางอย่าง ที่ใน อดีตต้องมาท าซ้ า ลองนึกภาพการท างานรูปแบบเดิม ๆ ที่ทุก ๆ สิ้นเดือน ทุก ๆ แผนกจะต้องใช้เวลำช่วงเย็นเพื่อท ำ รำยงำนส่ง จะดีกว่ำมั้ย ถ้ำเรำสำมำรถท ำระบบรำยงำนอัตโนมัติแทน โดยที่ทุกคนจะไม่ต้องเสียเวลามาจะ ท าเอกสารใหม่ทุก ๆ เดือน การท าเอกสารแบบชิ้นต่อชิ้นนี้ยังหมายถึง เอกสารค าสั่งซื้อ (Purchasing order) และเอกสารเสนอ ราคา (Quotation) อีกด้วย ที่ AppSheet สามารถสร้างเอกสารนี้ให้อัตโนมัติ 5. ข้อจ ำกัดของ AppSheet 1. AppSheet ไม่เหมำะกับกำรสร้ำงแอปพลิเคชั่นที่เป็น Public Application ระบบ AppSheet ยังไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับ In-App purchase, ระบบการจัดการสิทธิการ เข้าถึงที่ซับซ้อน และ โทนของ User Interface ก็ไม่ได้มีให้เลือกหลากหลาย จึงท าให้AppSheet ไม่เหมาะ กับการใช้พัฒนา Application ให้คนทั่ว ๆ ไปใช้ แต่เหมาะแก่พัฒนาเพื่อใช้งานในองค์กรมากกว่า 2. AppSheet ไม่รองรับกำรเชื่อมต่อฐำนข้อมูลแบบ No SQL ระบบ AppSheet รองรับการใช้ Spread Sheet เป็นฐานข้อมูล หรือจะใช้ฐานข้อมูล SQL ที่มีอยู่ใน บริษัทก็ได้แต่ในปัจจุบัน AppSheet ยังไม่รองรับการเชื่อมต่อฐานข้อมูลแบบ No SQL ซึ่งอาจจะใช้ในงานที่ ซับซ้อนมาก ๆ 3. AppSheet ไม่เหมำะกับกำรสร้ำง Application ที่ซับซ้อน ที่มีกำรใช้ Third party API ระบบ AppSheet ในปัจจุบันยังไม่รองรับการเชื่อมต่อ Third party API เพื่อใช้บริการของนักพัฒนา เช่นการดึงข้อมูลมากจากที่อื่น หรือระบบสั่งซื้อของเป็นต้น แต่ถ้าหากเชื่อมต่อกับบริการอื่นจริง ๆ จะใช้ ผ่าน Zapier 25


4. AppSheet ใช้ Spreadsheet ในกำรเก็บข้อมูลท ำให้มีข้อจ ำกัดในกำรสเกลระบบ เคยสงสัยมั้ยว่า ถ้า Spreadsheet อย่าง Google Sheet, Airtable หรือ Excel สามารถน ามาใช้เป็น ฐานข้อมูลได้ ท าไมเรายังจ้องใช้ Database อยู่ล่ะ ? เพราะ Database มีประสิทธิภาพในการท างานมากกว่า ทั้งเรื่องความเร็ว ความเสถียร และการรองรับความสัมพันธ์ข้อมูลที่ซับซ้อนได้ ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เขียน เมื่อเราใช้ AppSheet ไปสักพัก เริ่มมีข้อมูลในระบบมากขึ้น ระบบ เราจะเริ่มช้า และกรณีที่มีหลาย ๆ Table ก็จะยิ่งช้าเข้าไปใหญ่ ซึ่งท าให้ไม่เหมาะกับการท าแอปพลิเคชั่นให้ คนทั่วไปใช้ AppSheet มีค่ำใช้จ่ำยยังไงบ้ำง ? AppSheet Pricing 26


หน่วยที่ 4 กำรสร้ำงโปรเจกต์ กำรก ำหนดโครงร่ำง วิธีใช้งำนเบื้องต้น : Appsheet *** โดย Appsheet นั้นจะไม่เปิดบริการให้เราใช้ทั้งหมดจะมีแค่บางบริการเท่านั้นที่เราสามารถใช้ได้ ถ้าจะใช้นั้นหมดจะต้องเสียค่าบริการเพิ่ม *** 1. Login ก่อน โดยเข้าไปที่ Website ของตัว Appsheet เพื่อจัดการสร้าง App ของเรา link website : https://www.appsheet.com/ เมื่อกดที่ Login จะมีให้เลือกว่าจะให้ Login โดยใช้อะไร ในตัวอย่างนี้จะเลือกใช้เป็นของ Google ขั้นตอนกำรใช้งำนและวิธีใช้งำน


2. เมื่อ Login เข้ำมำแล้วเรำจะเริ่มท ำกำรสร้ำง Application ของเราโดยจะสร้างเองทั้งหมดเลยก็ ได้หรือจะเอา Application ที่ระบบหรือคนอื่นท าไว้มาแก้ไขก็ได้ 2.1 เมื่อกด Make a new app จะมีหน้าต่างขึ้นมาให้เลือก Start with your own data : สร้างเองใหม่ทั้งหมด Start with an idea : แสดงตัวอย่าง application ตามความต้องการ ของเรา Start with a simple app : copy simple application ของทาง Appsheet 28


Start with your own data : 2.2 เมื่อเลือก Start with your own data แล้วจะเข้ามาที่หน้านี้เพื่อตั้งชื่อและเลือกประเภทให้กับ Application ของเราจากนั้นกด Next step : choose your data เพื่อเลือกที่เก็บข้อมูล 29


2.3 เมื่อ Next step : choose your data แล้วจะสามารถเลือกที่เก็บข้อมูลได้โดยจะดึงข้อมูลจาก Google Drive ของ Gmail ที่ใช้ login กับ Appsheet * โดยในตัวอย่างนี้จะเก็บข้อมูลไว้ที่ไฟล์ example.xlsx *** โดยในไฟล์ที่จะใช้เก็บข้อมูลนั้นจะต้องไม่เป็นไฟล์ที่ว่างเปล่าเพราะถ้าไฟล์ว่างเปล่าจะเกิด error ได้ ดังนั้น เราจะสร้างตารางไว้รอก่อน *** ในกรณีที่ไฟล์ที่ใช้เก็บข้อมูลมี Table กับ Columns ไว้ก่อนแล้วทาง Appsheet จะสร้างขึ้นมาให้เองโดย อัตโนมัติดังภาพตัวอย่างโดยข้อมูลชื่อ Table และ Columns จะเหมือนกันกับที่เราตั้งไว้ในไฟล์ที่ใช้เก็บข้อมูล 30


ในกรณีที่เราจะเพิ่ม Table และ Columns สามารถกดเพิ่มในตัว Appsheet ได้เลยแต่ว่าถ้าเพิ่มใน Appsheet ก็ต้องเพิ่มในไฟล์ที่ใช้เก็บข้อมูลด้วย สรุปก็คือถ้าเพิ่ม Table และ Columns จะต้องให้ข้อมูล เหมือนกันทั้งหมดทั้งชื่อ Table และ ชื่อ Columns เพราะถ้าไม่เหมือนกันจะเกิด Error ได้ ถ้าเราต้องการแก้ไขที่อยู่ของที่เก็บข้อมูลเพียงเลื่อน Scroll mouse ลงมาก็จะเจอกับการจัดการกับที่ เก็บข้อมูลโดยเราสามารถแก้ที่เก็บข้อมูลได้ Source Path : ไฟล์ที่เก็บข้อมูล Worksheet Name/Qualifier : เลือกชีตที่อยู่ในไฟล์ที่ใช้เก็บข้อมูล 31


**** ต่อไปจะเป็นตัวอย่างการเพิ่ม Table และ Columns ใน Appsheet **** อันดับแรกกดที่ Add New Table 32


พอกดเสร็จแล้วก็จะมีให้เลือกว่าจะเลือกเก็บข้อมูลไว้ที่เดิมหรือไม่ถ้าต้องการจะเปลี่ยนที่เก็บข้อมูลให้ เลือก New Data Source ในตัวอย่างนี้จะเก็บข้อมูลไว้ที่ไฟล์เดิมจะเลือกที่ Google เมื่อเลือกแล้วก็จะมาให้เลือกไฟล์ที่เก็บอีกทีนึงเราก็ จะเลือกไฟล์เดิม 33


หลังจากนั้นเลือกไฟล์ที่ต้องการบันทึกข้อมูลแล้วเลือก Sheet ที่ต้องการจะเก็บข้อมูลจากนั้นก็จะมี การให้ก าหนดสิทธิ์ส าหรับผู้ใช้มีก าหนดเสร็จแล้วก็กด Add This Table เพื่อท าการสร้าง Table **** หากมี Error ก็เพราะว่าใน Table ที่พึ่งสร้างนี้ไม่มี Columns เราต้องสร้างไว้ก่อนอย่าปล่อยให้ Table มันว่าง **** ท าการเพิ่ม Columns ให้กับ Sheet2 เพื่อไม่ให้ Table มันว่างเมื่อท าเสร็จแล้ว Error จะหายไป**** ชื่อ Table สามารถเปลี่ยนได้แต่ชื่อ Columns ถ้าจะเปลี่ยนต้องเปลี่ยนทั้งสองที่คือที่ Appsheet และไฟล์ที่ เก็บข้อมูลให้เหมือนกันเสร็จแล้วกด Regenerate **** 34


ต่อไปจะเป็นการเพิ่ม Columns โดยอันดับแรกให้เลือก Table ที่ต้องการจะเพิ่ม Columns จากนั้น กดที่ Virtual Columns เพื่อเป็นการสร้าง 35


จากนั้นตั้งชื่อ Columns หลังจากนั้นกด OK เพื่อยืนยันการสร้าง จากนั้นมันจะ Error เพราะว่าในไฟล์ที่ใช้เก็บข้อมูลไม่มี Columns นั้นอยู่ต้องไปสร้าง Columns ที่มี ชื่อเดียวกันในไฟล์ที่ใช้เก็บข้อมูล ท าการสร้าง Columns ที่มีชื่อเดียวกันกับ Columns ที่พึ่งสร้างไปเมื่อสักครู่โดยไปสร้างที่ Sheet1 เพราะว่า Table example นั้นลิ้งค์กับ Sheet1 อยู่โดยสามารถเช็คได้ที่ STORAGE *** เมื่อสร้าง Columns เสร็จแล้วท าการกด Regenerate ต้องกดทุกครั้งที่มีการสร้างหรือ เปลี่ยนแปลง Table *** ต่อไปเป็นการสร้าง Columns อีกวิธีหนึงคือสร้างในไฟล์ที่ใช้เก็บข้อมูลก่อนแล้วค่อยมา Regenerate ในตัวของ Appsheet ซึ่งวิธีนี้จะสะดวกและง่ายกว่าวิธีที่แล้ว 36


อันดับแรกสร้าง Columns รอไว้ที่ Sheet2 จากนั้นเข้าไปที่ Appsheet พอเข้าไปที่ Appsheet จะพบว่ามัน Error เพราะว่าเราไม่ได้กด Regenerate 37


เมื่อท าการกด Regenerate แล้ว Error จะหายไป Columns ที่เราสร้างไว้ก็จะมาโดยอัตโนมัติและ สามารถใช้งานได้โดยปกติ ต่อไปจะเป็นการก าหนดสิทธิ์ให้กับผู้ใช้ จากในภาพจะไม่สามารถเพิ่มหรือลบข้อมูลได้เลยเราจะท าการ ให้สิทธิ์กับผู้ใช้โดยเลือกได้เลย Updates : สามารถแก้ไขข้อมูลได้ Adds : สามารถเพิ่มข้อมูลได้ Deletes : สามารถลบข้อมูลได้ Read-Only : อนุญาตให้ดูข้อมูลได้อย่างเดียวไม่สามารถแก้ไข เพิ่มหรือลบได้ 38


เมื่อท าการให้สิทธิเรียบร้อยแล้วตัว Application ด้านขวามือจะมีปุ่มให้สามารถเพิ่มข้อมูลได้ โดยเมื่อกดปุ่มเพิ่มข้อมูลแล้วก็จะมีหน้าฟอร์มขึ้นมาให้กรอกข้อมูลโดยข้อมูลที่จะให้กรอกนั้นจะ เหมือนกันกับ Columns ถ้าข้อมูลใน Columns เป็นอย่างไรข้อมูลที่จะกรอกในฟอร์มก็จะเป็นอย่างนั้น ต่อไปนี้เราจะมาท าความรู้จักเกียวกับ Type ต่างๆของ Columns กันก่อนว่าแต่ละ Type เป็นอย่างไรและใช้ ส าหรับท าอะไรโดยจะยกตัวอย่าง Type เบื้องต้นดังนี้ 39


40


*** โดยแต่ละ Columns Type นั้นจะมีรูปแบบในการกรอกข้อมูลไม่เหมือนกันขี้นอยู่กับ Type ที่ เลือก เช่น Columns Type Date ก็จะมีปฏิทินขึ้นมาให้เลือกวัน *** Address : เมื่อเรากรอกข้อมูลเข้าไประบบจะท าการหาสถานที่ให้ตรงกับข้อมูลทีกรอก Color : ใช้ในการก าหนดสีให้กับข้อมูล เช่น ข้อมูลดี = สีเขียว , ข้อมูลเสีย = สีแดง Date : จะเป็นการกรอกและก าหนดวันที่ DateTime : จะเป็นการก าหนดวันที่และบันทึกเวลา ณ ขนาดนั้น Decimal : จะเป็นการกรอกข้อมูลแบบทศนิยม Drawing : จะเป็นการกรอกข้อมูลโดยการวาดรูปหรือบันทึกรูปภาพ Duration : จะเป็นการกรอกระยะเวลา Email : จะเป็นการกรอกอีเมล Enum : จะเป็นการเลือกกรอกข้อมูลแบบ Dropdownlist โดยสามารถเพิ่มตัวเลือกขณะกรอกข้อมูล ได้หรือเพิ่มจากการตั้งค่าที่ Columns ก็ได้ EnumList : จะเหมือนกับ Enum เลยแต่ว่าต้องเพิ่มตัวเลือกจากการตั้งค่า Columns ก่อน File : จะเป็นการกรอกข้อมูลโดยการเพิ่มไฟล์โดยใช้ไฟล์ภายในเครื่องที่ใช้ Application 41


Image : จะเป็นการกรอกข้อมูลโดยการถ่ายรูปภาพหรือเลือกรูปภาพภายในเครื่องที่ใช้ Application LatLong : การกรอกข้อมูลโดยอาศัยละติจูดและลองจิจูด Longtext : การกรอกข้อมูลแบบตัวอักษรและตัวเลข Number : การกรอกข้อมูลแบบตัวเลข Percent : การกรอกข้อมูลแบบเปอร์เซ็นต์ Phone : การกรอกข้อมูลแบบตัวเลขซึ่กสามารถกดโทรตามเบอร์ที่กรอกไว้ได้ Price : การกรอกข้อมูลแบบตัวเลขและมีสกุลเงินต่อท้ายสามารถเลือกได้โดยการตั้งค่าที่ Columns Progress : การกรอกข้อมูลแบบ Dropdownlist โดยข้อมูลที่กรอกนั้นเมื่อกรอกมาแล้วหน้าแสดงผล จะเป็นลักษณะของกราฟวงกลม เช่น เมื่อเลือก Full ก็จะได้กราฟวงกลมที่เต็มวง Ref : เป็นการดึงเอาข้อมูลจาก Columns ของ Table อื่นมาแสดงให้เลือกกรอกขอมูลในลักษณะ แบบ Dropdownlist โดยต้องตั้งค่าให้ Columns ที่ต้องการจะดึงข้อมูลมานั้นเป็น key 42


โดยอันดับแรกกดที่รูปดินสอเพื่อท าการตั้งค่าตัวของ Columns Type จากนั้นเลือกเป็น Ref แล้ว เลือก Table หรือ Columns ที่ต้องการจะเอาข้อมูลมาแสดง จากนั้นให้ไปติ๊ก Columns ที่ต้องการจะดึงข้อมูลไปแสดงเป็น Key Signature : การกรอกข้อมูลแบบลายเซ็นต์โดยตอนกรอกจะมีกรอบมาให้และจะเซฟเก็บไว้เป็นไฟล์ รูปภาพ Time : จะเป็นการเซฟเวลา ณ ขนาดตอนกรอกข้อมูล Url : กรอกข้อมูลโดยการน าเอา Link หรือ Url ของเว็ปไซต์ที่ต้องการมากรอก Yes/No : การกรอกข้อมูลโดยเลือกระหว่าง Y หรือ N ถ้าเลือก Y จะเก็บข้อมูลงไฟลข้อมูลว่า TRUE แต่ถ้าเป็น N จะเก็บข้อมูลงไฟลข้อมูลว่า FALSE 43


โดยเมื่อทราบ Columns Type เบื้องต้นแล้วก็สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการของงานได้เลย นอกจากนี้การตั้งค่า Columns นั้นยังมีการก าหนดสิทธิ์เพิ่มเติมอีกด้วยโดยมีรายระเอียดดังนี้ KEY : ถ้าเลือกให้ Columns ไหนให้เป็น KEY ในการกรอกข้อมูลลงใน Columns นั้นจะไม่สามรถ กรอกข้อมูลที่มีอยู่แล้วหรือซ้ ากันได้ เช่น ในกรณีที่เราต้องการให้ Columns นั้นใช้เก็บรหัสของสินค้า เพราะฉะนั้นข้อมูลไม่ควรจะซ้ ากัน READ-ONLY : ถ้าเลือกให้ Columns ไหนให้เป็น READ-ONLY ในการกรอกข้อมูลลงใน Columns นั้นจะไม่สามรถกรอกข้อมูลได้จะดูข้อมูลได้อย่างเดียวแต่ว่าข้อมูลจะยังถูกบันทึกลง Columns อยู่เช่น ในกรณี ที่ Columns ไม่จ าเป็นต้องแก้ไขให้บันทึกได้เลยก็ตั้งเป็น READ-ONLY เพื่อไม่ต้องต้องการให้แก้ไข HIDDEN : ถ้าเลือกให้ Columns ไหนให้เป็น HIDDEN Columns นั้นจะไม่แสดงในการกรอกข้อมูล ใช้ในการซ่อนข้อมูลที่ไม่ต้องการให้กรอกข้อมูล REQUIRED : ถ้าเลือกให้ Columns ไหนให้เป็น REQUIRED Columns นั้นจะต้องกรอกข้อมูลลงไป ถ้าไม่กรอกข้อมูลจะไม่สามารถเซฟหรือบันทึกข้อมูลทั้งหมดได้ เช่น ข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลที่จ าเป็นต้องกรอกก็ตั้ง ให้เป็น REQUIRED ก็จะไม่สามารถข้ามได้ กำรบันทึกข้อมูล ต่อไปจะเป็นการบันทึกข้อมูลลงในไฟล์ที่ใช้เก็บข้อมูลโดยมีทั้งหมด 2 วิธีดังนี้ 44


โดยวิธีแรกนั้นจะเป็นการบันทึกในเว็ปไซต์ของ Appsheet ที่เราใช้ตั้งค่าตัว Application ได้เลยโดย ท าการกดปุ่มเพิ่มข้อมูลและเพิ่มข้อมูลได้เลย เมื่อกดปุ่มเพิ่มข้อมูลแล้วจะมีแบบฟอร์มขึ้นมาดังภาพโดยการกรอกข้อมูลของแต่ละ Columns จะ เป็นไปตาม Columns ที่ได้ตั้งไว้ 45


ส่วนอีกวิธีนึงคือบันทึกข้อมูลโดยใช้โทรศัพท์ อันดับแรกต้องไปโหลด Application ที่มีชื่อว่า AppSheet มาก่อนโดยโดยมีทั้ง Android และ Ios 46


Click to View FlipBook Version