ค ำน ำ เอกสารประกอบการสอนการสอน ระบบเคร ื อข ่ ายโทรศ ั พท ์ เคล ื ่ อนท ี ่ 20901-2007 นางสาวเบญญาภา สุรสุข ครูผู้ช่วย แผนกเทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาลยัเทคนคิวังน ้าเย ็ น ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562
คำนำ เอกสารประกอบการสอนวิชา ระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (20901-2007) จัดทำขึ้น เพื่อ ประกอบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาของเอกสารประกอบการสอนมีด้วยกัน 6 หน่วยการเรียนรู้ ประกอบด้วย ระบบเครือข่าย โทรศัพท์เคลื่อนที่ วิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือ ติดตั้งระบบปฏิบัติการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซ่อมบำรุง โทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างง่าย ตรวจสอบระบบเครือข่ายที่ใช้กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพ ของระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที ผู้เรียบเรียง หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีเรือข่ายไร้สาย เล่มนี้ จะ สามารถใช้ประกอบการศึกษาให้เกิดการเรียนรู้และเกิดประโยชน์แก่ผู้เรียน ผู้สอน ตลอดจนผู้สนใจศึกษาทั่วไป ได้เป็นอย่างดี หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เรียบเรียง ขอน้อมรับคำติชมเพื่อเป็นประโยชน์ในการปรับปรุง แก้ไขในโอกาสต่อไป เบญญาภา สุรสุข แผนกเทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาลัยเทคนิควังน้ำเย็น
สารบัญ เรื่อง หน้า หลักสูตรรายวิชา ระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ รหัสวิชา 20901-2007 1 หน่วยที่ 1 ระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 1. ความหมายและระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 2. ความรู้ทั่วไปของเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ 5 3. การจัดการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 6 4. หลักการทำงานของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 8 5. โครงสร้างพื้นฐานระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 9 หน่วยที่ 2 วิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือ 13 1. พัฒนาการของโทรศัพท์มือถือ 14 2. ความแตกต่างของ ระบบ 3G 4G 5G 28 3. สรุปวิวัฒนาการโดยย่อ 30 หน่วยที่ 3 ติดตั้งระบบปฏิบัติการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 31 1. ระบบปฏิบัติการบนมือถือ 32 2. การติดตั้งระบบปฏิบัติการบนมือถือ 50 หน่วยที่ 4 ซ่อมบำรุงโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างง่าย 57 1. ความรู้เบื้องต้นสำหรับการซ่อมโทรศัพท์เคลื่อนที่ 58 2. อุปกรณ์เบื้องต้นในการซ่อมโทรศัพท์มือถือ 59 3. การซ่อมบำรุงโทรศัพท์มือถืออย่างง่าย 62 หน่วยที่ 5 ตรวจสอบระบบเครือข่ายที่ใช้กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ 71 1. ตรวจสอบระบบเครือข่ายง่ายๆ ด้วย Network Info 72 2. การตรวจสอบว่าอุปกรณ์ต่างๆ ใช้เครือข่าย Wi-Fi เดียวกันอยู่ 78 หน่วยที่ 6 วิเคราะห์ประสิทธิภาพของระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 79 1. บทวิเคราะห์ เครือข่ายมือถือ และ 4G ในประเทศไทย 80 2. การวิเคราะห์ระดับประเทศ 81 3. การวิเคราะห์ระดับภูมิภาค 84
หลักสูตรรายวิชา ชื่อวิชา ระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ รหัสวิชา 20901-2007 ทฤษฎี 1 ปฏิบัติ 4 หน่วยกิต 3 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ แผนกวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ จุดประสงค์รายวิชา เพื่อให้ 1. เข้าใจเกี่ยวกับระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2. สามารถใช้งานระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3. มีกิจนิสัยในการทำงานด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ประณีตรอบคอบ ปลอดภัย และมีคุณธรรม สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรู้และปฏิบัติงานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2. ใช้และตรวจสอบระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ คำอธิบายรายวิชา ศึกษาเกี่ยวกับระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ วิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือ ติดตั้งระบบปฏิบัติการ โทรศัพท์เคลื่อนที่ ซ่อมบำรุงโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างง่าย ตรวจสอบระบบเครือข่ายที่ใช้กับโทรศัพท์เคลื่อ นที่ วิเคราะห์ประสิทธิภาพของระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1
หน่วยที่ 1 ระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1. หัวข้อเรื่อง 1. ความหมายและระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2. ความรู้ทั่วไปของเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3. การจัดการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 4. หลักการทำงานของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 5. โครงสร้างพื้นฐานระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2. สมรรถนะประจำหน่วย 1. บอกความหมายระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2. อธิบายเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลือนที่ได้ 3. ระบุหลักการทำงานของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ 4. อธิบายโครงสร้างของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ 2
1. ความหมายและระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ โทรศัพท์มือถือ หรือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการสื่อสารสองทางผ่าน โทรศัพท์มือถือใช้คลื่นวิทยุในการติดต่อกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือโดยผ่านสถานีฐาน โดยเครือข่ายของ โทรศัพท์มือถือแต่ละผู้ให้บริการจะเชื่อมต่อกับเครือข่ายของโทรศัพท์บ้านและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของผู้ ให้บริการอื่นโทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถเพิ่มขึ้นในลักษณะคอมพิวเตอร์พกพาจะถูกกล่าวถึงในชื่อสมาร์ท โฟน โทรศัพท์มือถือ หรือ โทรศัพท์เคลื่อนที่ คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการสื่อสารสองทางผ่าน โทรศัพท์มือถือใช้คลื่นวิทยุในการติดต่อกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือโดยผ่านสถานีฐาน โดยเครือข่ายของ โทรศัพท์มือถือแต่ละผู้ให้บริการจะเชื่อมต่อกับเครือข่ายของโทรศัพท์บ้านและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของผู้ ให้บริการอื่นโทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถเพิ่มขึ้นในลักษณะคอมพิวเตอร์พกพาจะถูกกล่าวถึงในชื่อสมาร์ท โฟน 3
โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันนอกจากจากความสามารถพื้นฐานของโทรศัพท์แล้ว ยังมีคุณสมบัติพื้นฐาน ของโทรศัพท์มือถือที่เพิ่มขึ้นมา เช่น การส่งข้อความสั้นเอสเอ็มเอส ปฏิทิน นาฬิกาปลุก ตารางนัดหมาย เกม การใช้งานอินเทอร์เน็ต บลูทูธ อินฟราเรด กล้องถ่ายภาพ เอ็มเอ็มเอสวิทยุ เครื่องเล่นเพลง และ จีพีเอส และมี การพัฒนา 2G และ 3G G ย่อมาจากคำว่า (Generation) โทรศัพท์มือถือในยุค 2 G เป็นระบบโทรศัพท์มือถือ แบบ digital ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น GSM, cdmaOne, PDC มีการพัฒนารูปแบบการส่งคลื่นเสียงแบบ Analog มาเป็น Digital โดยการเข้ารหัส โดยส่งคลื่นเสียงมาทางคลื่นไมโครเวฟ และพัฒนามาเป็นยุคของ 2.5 G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ digital ที่เริ่มนำระบบ packet switching มาใช้ ระบบที่จัดอยู่ในยุคนี้เช่น GPRS ซึ่งพัฒนาในเรื่องของการรับส่งข้อมูลที่มากขึ้น หน้าจอ โทรศัพท์เริ่มเข้าสู่ยุคหน้าจอสี และเสียงเรียกเข้าก็ถูก พัฒนาให้เป็นเสียงแบบ Polyphonic จากของเดิมที่เป็น Monotone และเข้ามาสู่ยุคที่ เสียงเรียกเข้าเป็นแบบ MP3 2.75G ยุคนี้เป็นยุคของ EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution) ที่พัฒนาต่อยอดมา จาก GPRS นั่นเอง และในปัจจุบันนี้เราก็ยังคงได้ยินและมีการใช้เทคโนโลยีนี้กันอยู่ ซึ่งได้พัฒนาในเรื่องของ ความเร็วในการรับส่งข้อมูลไร้สาย ต่อมาเทคโนโลยีได้มีการพัฒนามาถึง 3G ระบบโทรศัพท์มือถือแบบ digital ยุคนี้จะเน้นการสื่อสารทั้งการพูดคุยแบบเสียงตามปกติและ แบบรับส่งข้อมูลซึ่งในส่วนของการรับส่งข้อมูล ที่ ทำให้ 3G นั้นต่างจากระบบเก่า 2G ที่มีพื้นฐานในการพูดคุยแบบเสียงตามปกติอยู่มากเนื่องจากเป็นระบบที่ทำ ขึ้นมาใหม่เพื่อให้รองรับกับการรับส่งข้อมูลโดยตรง มีช่องความถี่และความจุในการรับส่งสัญญาณที่มากกว่า ส่งผลให้การรับส่งข้อมูลหรือการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือนั้นเร็วมากขึ้นแบบก้าวกระโดด ประสิทธิภาพในการ ใช้งานด้านมัลติมีเดียดีขึ้น ซึ่ง นิยมกันมากในปัจจุบัน ในปัจจุบันเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลทางโทรศัพท์มือถือได้พัฒนามาถึงยุคที่ 4 หรือ 4G ระบบ โทรศัพท์มือถือแบบ Real-Digital พัฒนาในเรื่องความเร็วในการรับส่งข้อมูล ที่ทำได้เร็วขึ้นถึง 100 Mpbs เลย ทีเดียว สำหรับความเร็วขนาดนี้นั้น ทำให้สามารถใช้งาน โทรศัพท์มือถือ หรือ Tablet ของคุณได้หลากหลาย ยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การดูไฟล์วีดิโอออนไลน์ด้วยความคมชัด และไม่มีการกระตุก, การสื่อสารข้ามประเทศ อย่างโทรศัพท์แบบเห็นหน้ากันแบบโต้ตอบทันที (Video Call) หรือจะเป็นการประชุมผ่านโทรศัพท์ (Mobile 4
teleconferencing) ก็เป็นเรื่องง่ายขึ้น แถมยังมีค่าใช้จ่ายน้อยลงอีกด้วย สามารถเชื่อมต่อข้อมูล 3 แบบ ภาคพื้นดิน CDMA PA-H และการเชื่อมต่อ ewifi และ Wi-Max เพื่อการเชื่อมภาพและเสียงเป็นข้อมูลเดียวกัน LTE หรือ Long term Evolution ความหมายเดิมทางวิศวกรรมของ LTE ก็คือเป็นชื่อยุค 3.9G แต่ ในบรรดาผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ-โอเปอเรเตอร์ในต่างประเทศยกให้ LTE เป็น 4G หรือโทรศัพท์ยุคที่ 4 มี ความเร็วมากกว่ายุค 3 G 10 เท่า ด้านคลื่นความถี่ของ 4G LTE ในแต่ละประเทศหรือแต่ละทวีปจะใช้ย่าน คลื่นความถี่แตกต่างกันไป อย่างเช่น อเมริกาเหนือ ใช้ LTE คลื่นความถี่ 700, 800, 1700 และ 1900 MHz, ทวีปยุโรป ใช้คลื่นความถี่ 800, 900, 1800 และ 2600 MHz, ทวีปเอเชีย นิยมใช้คลื่นความถี่ 1800, 2600 MHz, ออสเตรเลีย ใช้คลื่นความถี่ 1800 MHz ส่วนในประเทศไทยได้ทดสอบ 4G แล้วเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยทดสอบบนคลื่นความถี่ 1800 และ 2300 MHz หลังจากการทดสอบแล้วก็ต้องรอต่อไปว่าจะเลือกใช้คลื่น ความถี่ไหน เป็นคลื่นความถี่หลักในการให้บริการ 4G LTE ในไทยในอนาคต 2. ความรู้ทั่วไปของเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ วิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดเป็นระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ เริ่มต้นจากวิทยุโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Radiotelephone) ซึ่งเป็นวิทยุโทรศัพท์แบบหนึ่งที่สามารถพกพาติดตัวไปด้วย แต่จะสามารถ ติดต่อสื่อสารกันได้เฉพาะในบริเวณที่คลื่นวิทยุเดินทางไปถึงอีกเครื่องหนึ่งเท่านั้น การทดลองใช้วิทยุ โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้เริ่มครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2483 และได้มีปรับปรุงพัฒนามาจนในที่สุดปี พ.ศ.2489 บริษัท AT&T จำกัด ได้เริ่มให้บริการวิทยุโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นรายแรก แต่ในเวลานั้นวิทยุโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังคงใช้ งานได้แต่เฉพาะในกลุ่มจำกัด ซึ่งขณะนั้นมีช่องสัญญาณใช้งานเพียง 6 ช่องเท่านั้น โดยใช้การส่งแบบเอเอ็ม (AM) ซึ่งมีข้อจำกัดอยู่หลายประการเช่น ข้อจำกัดด้านเครือข่ายของการสื่อสาร เนื่องจากช่องสัญญาณแต่ละ ช่องอนุญาตให้มีผู้ใช้บริการได้เพียงคนเดียว การติดต่อเลขหมายปลายทางจะต้องเรียกผ่านศูนย์ควบคุมเท่านั้น โดยต้องมีพนักงานเป็นผู้เชื่อมต่อสัญญาณให้ และข้อเสียประการสำคัญคือมีความจุของช่องสัญญาณต่ำ ใน 5
ที่สุดระบบวิทยุโทรศัพท์เคลื่อนที่นี้ต้องถูกระงับการให้บริการลง แต่ยังมีความต้องการใช้วิทยุโทรศัพท์เคลื่อนที่ มากขึ้น จึงได้มีผู้พัฒนาระบบเพื่อให้มีความจุของสัญญาณสูงขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีแบบเอฟเอ็ม (FM) ทำให้ใช้ แถบกว้างของช่องสัญญาณสื่อสารลดลงจากเดิมจาก 120 กิโลเฮิรตซ์ มาเป็น 25 กิโลเฮิรตซ์ สามารถช่วยเพิ่ม จำนวนช่องสัญญาณใช้ในการติดต่อสื่อสารได้มากขึ้น และนอกจากนั้นยังได้แบ่งช่องว่างความถี่ในพื้นที่บริการ ให้ใช้งานหลายช่องความถี่ และได้ได้นำความถี่ที่ใช้งานในพื้นที่อื่นกลับมาใช้งานใหม่ในอีกพื้นที่หนึ่ง จึงสามารถ ใช้ช่องสัญญาณเพื่อติดต่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นลักษณะของระบบวิทยุโทรศัพท์เคลื่อนที่ใน สมัยแรกๆ ในปี พ.ศ. 2490 ห้องทดลองเบลล์ได้จดสิทธิบัตรของระบบนี้และได้พัฒนาระบบวิทยุ โทรศัพท์เคลื่อนที่จนกลายมาเป็นระบบโทรศัพท์แบบรวงผึ้ง (Cellular Mobile Telephone System) หรือ เรียกสั้นๆ ว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cellular Telephone) โครงสร้างของระบบประกอบด้วยอุปกรณ์ทวน สัญญาณ (Repeater) จำนวนมากประกอบกันเครือข่าย แต่ระบบยังมีความสามารถไม่เพียงพอที่จะใช้งาน ในทางธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตามระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ถูกติดตั้งและเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2526 โดยพื้นที่ ให้บริการทั้งหมดจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนเล็กๆ เรียกว่า เซลล์ (Cell) แต่ละเซลล์เล็กๆจะมีรัศมีและจัดสรร ความถี่ใช้งานเฉพาะเซลล์พ่วงต่อกันเป็นแบบรวงผึ้ง เนื่องจากพื้นที่ให้บริการมีขนาดเล็กจึงไม่จำเป็นต้องใช้ เครื่องส่งที่กำลังส่งสูงๆ สามารถนำความถี่ซ้ำๆ ไปใช้งานได้เพิ่มมากขึ้นดังแสดงในรูป การแบ่งกลุ่มเซลล์ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3. การจัดการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาให้เหมาะสมกับการใช้งานได้ในปัจจุบัน สามารถ ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการได้กว้างมากขึ้น ขยายขอบเขตการให้การบริการได้ต่อเนื่องตามความต้องการ ในเขต พื้นที่มีประชากรหนาแน่น ซึ่งจะมีความต้องการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวนมากก็ต้องออกแบบให้มีจำนวน เซลล์เป็นจำนวนมากขึ้นเพื่อรับรองอัตราใช้บริการแบบทราฟฟิก (Traffic) ที่เพิ่มขึ้น ส่วนในเขตที่มีประชากร ไม่หนาแน่นนั้นจะมีความต้องการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่มีจำนวนน้อยกว่า ก็จะออกแบบให้เซลล์มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ละเซลล์ที่ติดกันจะใช้ย่านความถี่ที่แตกต่างกันเพื่อการนำความถี่กลับมาใช้อีก (Frequency Reuse) โดย ไม่ให้เกิดสัญญาณรบกวนแทรกสอด (Interference) แต่หากต้องการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นก็จะแบ่ง จำนวนเซลล์ออกแบบเป็นเซลล์ย่อย (Cell Splitting) ให้มากขึ้นตามต้องการได้ ทำให้ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 6
สามารถนำความถี่กลับมาใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้หลักการติดตั้งเครื่องรับส่งวิทยุ (Transceiver) ที่กำลังส่งต่ำ ๆ จำนวนมากกระจายเป็นจุดๆ ไปทั่วพื้นที่ให้บริการ จุดที่ติดตั้งเครื่องรับส่งวิทยุ เหล่านี้เรียกว่า สถานีฐาน (Base Station : BS) หรืออาจเรียกว่าที่ตั้งเซลล์ (Cell Site) ซึ่งทำหน้าที่เป็น ศูนย์กลางเซลล์ ลักษณะโครงสร้างระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังแสดงในรูป โครงสร้างพื้นฐานของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ โครงสร้างพื้นฐานของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละเซลล์จะเชื่อมต่อถึงกัน ซึ่งแต่ละเซลล์มีรัศมี ครอบคลุมกว้างหรือแคบนั้นขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของความต้องใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในพื้นที่มีความ หนาแน่นไม่มากจำนวนเซลล์จะครอบคลุมพื้นที่ได้เป็นบริเวณกว้าง โดยมาตรฐานทั่วไปที่นิยมใช้ขนาดของ เซลล์มีรัศมีตั้งแต่ 250 เมตร จนถึง 30 กิโลเมตร แต่ถ้ามีความต้องใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หนาแน่นมากจำนวน เซลล์จะมีขนาดลดลงเพื่อเพิ่มการใช้ความถี่ซ้ำให้มากขึ้นและจะต้องเพิ่มสถานีฐานมากขึ้นตามไปด้วย แต่ เครื่องส่งของแต่ละเซลล์จะลดกำลังส่งลงให้ครอบคลุมอยู่เฉพาะพื้นบริการเท่านั้น ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นต้องนำความถี่ที่ใช้แล้วกลับมาใช้อีกในเซลล์ต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป จำนวนช่องสัญญาณมากน้อยขึ้นอยู่กับแถบความถี่ที่จัดสรรให้โดยผู้ให้บริการที่รับผิดชอบ และช่วงห่างของ ช่องสัญญาณที่เป็นมาตรฐานใช้กันอยู่เป็นเครือข่ายช่องสัญญาณในกลุ่มเซลล์ที่ติดกันจะต้องใช้ความถี่ที่ แตกต่างกัน ระบบทำงานของโทรศัพท์เคลื่อนที่จะต้องป้องกันการรบกวนสัญญาณที่ใช้ความถี่เดียวกันใน บริเวณที่ใกล้เคียง ซึ่งเรียกว่าการแทรกสอดช่องสัญญาณร่วม (Co-Channel Interference) ต้องให้อยู่ใน ขีดจำกัดที่ยอมรับได้ตามมาตรฐานการสื่อสารในระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 7
การนำความถี่เดิมมาใช้ใหม่ต้องแบ่งพื้นบริการหรือเซลล์เป็นจำนวนที่เหมาะสมในทางเทคนิคมักใช้ตัว แปรจำนวนเซลล์ที่จะจัดกลุ่มคือ K โดยแต่ละเซลล์ที่ติดกันต้องใช้ช่องสัญญาณที่ต่างความถี่กัน สำหรับจำนวน เซลล์หรือ K นั้นควรมีมากที่สุดที่จะจัดได้เท่าที่จำเป็น ซึ่งจะต้องไม่ให้เกิดการซ้อนทับกันหรือเกิดช่องว่าง ระหว่างเซลล์ โดยส่วนมากการจัดสรรเซลล์ที่นิยมจะมีจำนวน K เท่ากับ 4, 7, 12 และ 19 เซลล์ เป็นต้น ลักษณะการวางพื้นที่บริการหรือเซลล์ที่แตกต่างกันดังแสดงในรูป K=4 K=7 K=14 K=19 4. หลักการทำงานของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ หลักการทำงานของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่จะต้องประกอบด้วยตัวเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Station ; MS) สถานีฐาน (Base Station ; BS) และ ชุมสายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Public Switched Telephone Network ; PSTN) ทั้งหมดนั้นจะต่อกันเป็นเครือข่ายระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งมีขั้นตอนการ ทำงานดั้งนี้ 1. เมื่อเปิดเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ ลำดับแรกโทรศัพท์เคลื่อนที่จะตรวจสอบหาสัญญาณจาก ช่องสัญญาณที่มีอยู่ในบริเวณหรือเซลล์นั้นโดยอัตโนมัติ และปรับความถี่ให้ตรงกับช่องสัญญาณที่มีความแรง มากที่สุดของสถานีฐานที่อยู่ใกล้ที่สุด และคงสถานะไว้จนกว่าเครื่องโทรศัพท์จะเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่อื่นและมี ความแรงของสัญญาณมากกว่าเซลล์เดิม 2. ขณะที่ผู้ใช้เครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ต้องการติดต่อเลขหมายปลายทางโดยกดเลขหมายที่ต้องการ ติดต่อด้วยเรียบร้อยและกดส่ง เครื่องโทรศัพท์จะส่งสัญญาณออกไปให้กับสถานีฐาน ที่สถานีฐานเมื่อรับ สัญญาณนั้นจะทำหน้าที่เลือกช่องสัญญาณให้โดยอัตโนมัติ ซึ่งข้อมูลของสัญญาณควบคุมและสัญญาณเรียกจะ แฝงอยู่ในคลื่นวิทยุในระดับกำลังส่งต่ำออกจากเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านอากาศส่งไปยังสถานีฐาน ในส่วน ของสถานีฐานจะเชื่อมต่ออยู่กับชุมสายโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งเป็นส่วนทำหน้าที่ควบคุมและเชื่อมต่อสัญญาณ และต่อกันเป็นระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยจะมีฐานข้อมูลเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่หาก สัญญาณนั้นเป็นเลขหมายของโทรศัพท์พื้นฐานหรือโทรศัพท์ประจำที่ สัญญาณเรียกเข้าจะถูกส่งต่อเข้าไป เชื่อมต่อกับระบบชุมสายโทรศัพท์พื้นฐาน (PSTN) เช่นชุมสายของ บริษัท ทีโอที คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 3. กรณีใช้โทรศัพท์เรียกเข้าหาเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ ชุมสายโทรศัพท์ประจำที่จะสามารถแยกได้ว่า เป็นการเรียกไปยังปลายทางชนิดใด โดยตรวจสอบจากกลุ่มรหัสเลขหมายนำหน้า ซึ่งถ้าเป็นเครื่อง 8
โทรศัพท์เคลื่อนที่จะขึ้นต้นด้วยเลข 08x หรือ 09x ตามด้วยเลขหมายโทรศัพท์ ชุมสายโทรศัพท์เคลื่อนที่ต้องส่ง ข้อมูลสั้นๆ เข้าหาเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามข้อมูลของหมายเลขนั้นในการค้นหาเครื่องลูกข่าย แต่ละสถานี ฐานทำการส่งข้อความเรียกผ่านทางช่องปรับแต่ง เมื่อเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่รับทราบว่ามีผู้เรียกเข้าหาตัวเอง จะทำการติดต่อกลับผ่านทางช่องปรับแต่ง สถานีฐานจัดการหาช่องสัญญาณที่ว่างให้สามารถเชื่อมต่อการ สนทนาได้ เครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ทำการปรับจูนหาความถี่ของช่องสัญญาณตามคำสั่งของสถานีฐาน 4. การเคลื่อนที่เปลี่ยนเซลล์ของโทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถทราบระดับความ แรงของสัญญาณวิทยุที่ติดต่อกับเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ ระดับความแรงของสัญญาณที่ลดจะหมายถึง เครื่องโทรศัพท์นั้นได้เคลื่อนที่ออกห่างจากสถานีฐานของเซลล์ที่ให้บริการอยู่ และถ้าสัญญาณต่ำลงมาก ระบบ จะเปลี่ยนให้โทรศัพท์เคลื่อนที่นี้ย้ายไปติดต่อกับสถานีฐานในเซลล์อื่นซึ่งโทรศัพท์กำลังเคลื่อนที่เข้าใกล้และมี การรับสัญญาณแรงที่สุด เรียกวิธีการนี้ว่า แฮนด์ออฟ (Handoff) หรือแฮนด์โอเวอร์ (Handover) 5. การสิ้นสุดการสนทนา เมื่อใช้เครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่กดปุ่มสิ้นสุดการสนทนาจะมีสัญญาณสิ้นสุด การสนทนาส่งไปยังสถานีฐาน สัญญาณจะถูกส่งต่อไปยังชุมสายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ชุมสายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทำ การยกเลิกใช้ช่องสัญญาณดังกล่าว และสถานีฐานก็ยกเลิกการใช้ช่องสัญญาณเช่นกัน เครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ จะกลับไปวัดสัญญาณช่องปรับแต่งตามเดิม การเชื่อมต่อสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ 5. โครงสร้างพื้นฐานระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ โครงสร้างพื้นฐานของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ประกอบด้วยส่วนประกอบหลักๆ คล้ายกันไม่ว่าระบบ โทรศัพท์เคลื่อนที่จะเป็นระบบใด ซึ่งในระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นอาจแบ่งเป็นเครื่องลูกข่ายหรือตัว โทรศัพท์เคลื่อนที่ และเครือข่ายในระบบซึ่งติดตั้งประจำที่ และในส่วนที่เป็นเครือข่ายของระบบ โทรศัพท์เคลื่อนที่อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ Base Station System (BSS) และ Network Switching System (NSS) ซึ่งในแต่ละส่วนจะแยกเป็นองค์ประกอบอื่นๆ ได้อีกที่แต่ละส่วนทำหน้าที่ต่างๆ โดยแต่ละองค์ประกอบคืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ โปรแกรม และฐานข้อมูล 9
องค์ประกอบพื้นฐานของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ เครื่องลูกข่าย (Mobile Station: MS) เครื่องลูกข่ายจะประกอบด้วยสองส่วนที่สำคัญได้แก่ เครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ Mobile equipment (terminal) แต่ละเครื่องจะต้องมีการระบุคุณสมบัติของเครื่องโดยมี International Mobile Equipment Identity (IMEI) ซึ่งจะแสดงว่าเครื่องโทรศัพท์นั้นสามารถใช้ในระบบใดได้บ้าง ส่วนที่สองคือ SIM (Subscriber Identity Module) ซึ่งจะมี International Mobile Subscriber Identity (IMSI) จะเก็บข้อมูลต่างๆ ของ หมายเลขที่จะใช้กับโทรศัพท์เคลื่อนที่สำหรับอ้างอิงข้อมูลสำหรับการให้บริการ ซึ่ง IMEI กับ IMSI จะแยกเป็น อิสระกัน เพื่อให้ผู้ที่ใช้สามารถนำหมายเลขที่อยู่ใน SIM ไปใช้กับเครื่องโทรศัพท์เครื่องอื่นได้ ระบบสถานีฐาน (Base Station System: BSS) เป็นส่วนซึ่งทำหน้าที่เชื่อมต่อกับลูกข่ายหรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านคลื่นวิทยุ แบ่งออกเป็นสองส่วน หลักได้แก่ ส่วนสถานีฐาน และส่วนอุปกรณ์ควบคุมสถานีฐาน สถานีฐาน (Base Transceiver Station: BTS) ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อสื่อสารโดยตรงระหว่างเครื่องโทรศัพท์ลูกข่าย MS กับเครือข่าย โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้คลื่นวิทยุในการติดต่อสื่อสารต้องทำงานร่วมกับอุปกรณ์ BSC และชุมสายโทรศัพท์ เคลื่อนที่ ส่วนประกอบของสถานีฐานสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนหลักๆด้วยกัน ส่วนแรกได้แก่ส่วนของ ระบบควบคุมการทำงานและการติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ BSC ส่วนที่เหลือเป็นภาคการจักการสื่อสารทางคลื่น ความถี่วิทยุสำหรับการติดต่อสื่อสารกับเครื่องลูกข่าย หน้าที่โดยทั่วไปของ BTS มีดังนี้ 1. รายงานเกี่ยวกับคุณภาพช่องสัญญาณที่ไม่มีการใช้งานให้ BSC ทราบ 2. ทำการเข้ารหัสช่องสัญญาณ (Channel Code) และถอดรหัส (Decode) 3. เอ็นคริปชั่น (Encryption) 4. ทำการซิงโครไนซ์ (Synchronize) กับ MS 10
อุปกรณ์ควบคุมสถานีฐาน (Base Station Controller: BSC) ทำหน้าที่ควบคุมการจัดสรรทรัพยากรหลัก นั้นก็คือช่องสัญญาณความถี่ในกลุ่มสถานีฐาน ควบคุมการ สร้างเส้นทางเชื่อมต่อเพื่อใช้ในการสนทนาต่อผ่านสถานีฐานไปยังเครื่องโทรศัพท์ลูกข่าย โดยติดต่อสื่อสารกับ ชุมสายโทรศัพท์เคลื่อนที่อุปกรณ์ BSC โดยจะทำหน้าที่ในการบริหารการทำงานอุปกรณ์ BTS ทั้งหมดทำให้ ชุมสายสามารถรองรับจำนวนผู้ใช้งานมากขึ้น จำนวนของอุปกรณ์ BSC ในเครือข่ายหนึ่งจะมีอยู่เท่าใดนั้นก็ ขึ้นอยู่กับการออกแบบของผู้วางระบบแต่ละราย โดยทั่วไปแล้ว BSC แต่ละตัวจะมีความสามารถรองรับจำนวน สถานีฐานที่ถูกควบคุมอยู่ จำนวนอุปกรณ์รับส่งสัญญาณความถี่ของสถานีฐานทั้งหมดยังขึ้นอยู่กับรูปแบบการ เชื่อมต่อของสถานีฐาน สรุปหน้าที่ของ BSC มีดังนี้ 1. จัดการเกี่ยวกับช่องสัญญาณวิทยุ 2. จัดการเกี่ยวกับ RF Link 3. จัดการเกี่ยวกับ Frequency Hopping 4.ควบคุมกำลังส่งของ MS และ BTS 5. ควบคุมคุณภาพ และระดับกำลังงานของสัญญาณในช่องสัญญาณที่ใช้งาน 6. จัดการเกี่ยวกับการทำ Handover โครงข่ายสวิทช์ชิ่งย่อย (Network Switching Subsystem ;NSS) NSS ประกอบด้วย Function หลักๆที่ทำหน้าที่ในการ Switch แก่ระบบ ซึ่งจะมี Function unit ดังนี้ สวิทช์ชิ่งบริการเคลื่อนที่ (Mobile Service Switching Center ; MSC) MSC หรือเรียกกว่าชุมสายของเครือข่ายระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ จะเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่าง BSC ซึ่งเป็นส่วนที่ดูแลการรับส่งสัญญาณระหว่างเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ และส่วนอีกด้านหนึ่งจะต่อเชื่อมกับ เครือข่ายทั้งหมดของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่รวมทั้งเครือข่ายอื่นด้วย โดยหน้าที่ของ MSC คือเป็นส่วนสวิตช์ และเชื่อมต่อคู่สายระหว่างเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เข้าด้วยกัน รวมทั้งคู่สายระหว่างโทรศัพท์เคลื่อนที่ กับโทรศัพท์ประเภทอื่นด้วย นอกจากนี้ MSC มีหน้าที่ในการย้ายเซลล์ให้บริการหรือ Handover รวมทั้งต้อง รายงานตำแหน่งของโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วย ในระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่จะมี MSC หลายๆ ตัวเชื่อมต่อ กัน จะมีจำนวนเท่าไรนั้นขึ้นกับการออกแบบให้เหมาะสมเพื่อรองรับจำนวนผู้ใช้บริการ สำหรับเมื่อต้องการ เชื่อมต่อกับเครือข่ายโทรศัพท์อื่น เช่น เครือข่ายของระบบโทรศัพท์พื้นฐาน PSTN จะต้องเชื่อมต่อเส้นทางของ สัญญาณไปยังเครือข่ายอื่นโดย GMSC (Gateway Mobile Service Switching Center) ในส่วนของ MSC นั้นต้องทำงานรวมกับส่วนประกอบหลักที่สำคัญอีก 3 ส่วนคือ HLR VLE และ AUC 11
การลงทะเบียนตำแหน่งเครื่อง (Home Location Register ; HLR) เป็นฐานข้อมูลสำหรับ MSC ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ข้อมูลที่สำคัญที่ต้อง บันทึก เช่น สถานะของเครื่องโทรศัพท์ การปิดและเปิด การใช้งานโทรออก การรับสายเข้า การใช้งานของ เครื่องโทรศัพท์ครั้งล่าสุด และรวมถึงการใช้บริการเสริมต่างๆ สรุปหน้าที่ของ HLR ได้คือ 1. จัดการเกี่ยวกับข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ 2. Location Register และ Call Handle 3. ช่วยในการทำ Encryption และตรวจสอบความถูกต้อง 4. จัดการเกี่ยวกับบริการเสริม 5. SMSC (Short Message Service Center) การลงทะเบียนตำแหน่งโทรศัพท์ต่างถิ่น (Visitor Location Register ; VLR) เป็นฐานข้อมูลอีกแบบหนึ่งที่จะทำงานร่วมกับ MSC หนึ่งชุดหรือกลุ่มของ MSC โดย VLR มีหน้าที่ เก็บข้อมูลชั่วคราวของผู้ที่ใช้บริการในขณะที่มีการใช้งานอยู่ เช่น เก็บตำแหน่งหรือบริเวณที่เครื่องโทรศัพท์ใช้ งานอยู่ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังเป็นส่วนที่เก็บข้อมูลโทรศัพท์เคลื่อนที่เมื่อเป็น โทรศัพท์ต่างถิ่น เช่น เครื่องโทรศัพท์จากต่างประเทศ จะเห็นว่าหน้าที่หลักของ VLR นั้นจะมาช่วยการทำงาน ของ HLR เพื่อลดปริมาณการร้องขอข้อมูลจาก HLR ที่เครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้นได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิกไว้ ศูนย์ข้อมูลลับ (Authentication Center ; AUC) เป็นฐานข้อมูลซึ่งเก็บข้อมูลที่เป็นความลับ จึงต้องมีการจัดเก็บไว้ในสถานที่ ที่ปลอดภัย โดยจะอนุญาต ให้เข้าได้เฉพาะบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องดู แลและรับผิดชอบกับระบบเท่านั้น การจะเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ก็ จะต้องมีการใส่รหัสลับผ่านด้านนอกจากนี้ ข้อมูลที่เก็บอยู่ในฐานข้อมูลยังต้องมีการเข้ารหัสอีก โดย AUC นี้จะ ติดต่อเฉพาะกับ HLR เท่านั้น 12
หน่วยที่ 2 วิวัฒนาการโทรศัพท์มือถือ 1. หัวข้อเรื่อง 1. พัฒนาการของโทรศัพท์มือถือ 2. ความแตกต่างของ ระบบ 3G 4G 5G 3. สรุปวิวัฒนาการโดยย่อ 2. สมรรถนะประจำหน่วย 1. ลำดับขั้นตอนของวิวัฒนาการโทรศัพท์มือถือได้ 2. อธิบายความแตกต่างของระบบ 3G 4G 5G ได้ รูปที่ 1.1 วิวัฒนาการโทรศัพท์มือถือ
1. พัฒนาการของโทรศัพท์มือถือ เราแบ่งยุคของการพัฒนาโทรศัพท์มือถือเป็น Generation เริ่มตั้งแต่ 1G, 2G และ 3G ยุค 1 G ยุค 1 G หรือ First Generation เป็นยุคที่ใชัสัญญาณอนาล็อก โดยผสมคลื่นเสียงในสัญญาณวิทยุ สามารถใช้งานด้านเสียง (Voice)เพียงอย่างเดียว ไม่รองรับการส่งผ่านข้อมูลอื่นใดเลย คุณภาพเสียงไม่ดีนัก ขนาดโทรศัพท์ใหญ่เทอะทะ เริ่มมีใช้ประมาณ 1980 ปริมาณการยังมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะอยู่ในแวดวงนัก ธุรกิจ รูปที่ 1.2 โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 1G ยุค 2 G ยุค 2 G เริ่มนำมาใช้ประมาณ 1990 เปลี่ยนเป็นการส่งคลื่นวิทยุแบบอนาล็อกเป็นการส่งแบบเข้ารหัส ดิจิตอล เริ่มมีความสามารถใช้งานทางด้านรับส่งข้อมูล แต่เป็นข้อมูลขนาดเล็ก เช่น ข้อความสั้น ๆ (SMS – Short Message Service) มีความยาวไม่เกิน 160 ตัวอักษร ประสิทธิภาพการรับส่งถูกพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ สามารถกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับสถานีฐาน(Cell site) ราคาโทรศัพท์มือถือเริ่มลดต่ำลง ทำให้มีผู้ใช้มากขึ้น เริ่มมีดาวน์โหลด Ring tone แบบ monotone ,ภาพ Graphic, Wall paper ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพขาวดำ มี ความละเอียดต่ำ รูปที่ 1.3 โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 2G 14
มาตรฐานที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือยุคที่ 2 คือ 1. GSM – Global System for Mobile Communication เป็นมาตรฐานหลักในทวีปยุโรป และ เอเซียประมาณ 160 ประทเศ โทรศัพท์เพียงหมายเลขเดียวสามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลก (Roaming) ใช้ข้าม เครือข่ายได้ 2. CDMA – Code Division Multiple Access นิยมใช้ในอเมริกาและเกาหลีใต้ ผู้ใช้ไม่สามารถใช้ โทรศัพท์ข้ามเครือข่ายได้ คุณภาพเสียงและสัญญาณข้อมูลที่ได้มีคุณภาพดีกว่าแบบ GSM ยุค 2.5 G เป็นยุคระหว่าง 2G กับ 3G เทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) เกิดขึ้นในยุคนี้ มีความเร็วสูงสุดในการรับส่งข้อมูลถึง 115 Kbps แต่ในทางปฏิบัติ ความเร็วของ GPRS จะถูกจำกัดให้อยู่ที่ ประมาณ 40 kbps เท่านั้น เริ่มมีการใช้งานในเชิง Data มากขึ้น SMS กลายเป็น MMS Ringtone ก็กลายเป็น Polyphonic และ True tone จอภาพมีขนาดใหญ่ขึ้นและเป็นภาพสีที่มีความคมชัด ก่อนจะเข้ายุค 3G มีการใช้เทคโนโลยี EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution) บาง คนเรียกแบบไม่เป็นทางการว่า ยุค 2.75G EDGE นั้นถือเป็นเทคโนโลยีต่อยอดของ GPRSเป็นการพัฒนา ปรับปรุงคุณภาพความเร็วจากพื้นฐานของ GPRSให้มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลได้สูงขึ้นประมาณ 3 เท่า ยุค 3G ยุค 3G หรือ Third Generation เป็นการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ความถี่ 2.1 GHz มีอยู่ 2 มาตรฐานคือใช้เทคโนโลยีใหม่ ที่เรียกว่า Universal Mobile Telecommunication Systems (UMTS)บางแห่งเรียกว่า WCDMA (Wideband Code Division Multiple Access) ซึ่งพัฒนาต่อ ยอดมาจาก GSM และอีกมาตรฐานคือเทคโนโลยี CDMA2000 พัฒนามาจากเครือข่าย CDMA การเข้าถึงเครือข่ายแบบไร้สายมาสามารถกระทำได้ด้วยอุปกรณ์หลากหลาย เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น สามารถเชื่อมโยงกับระบบอินเตอร์เนตได้อย่างสมบูรณ์ การรับส่งข้อมูลมีความเร็วตั้งแต่ 384 kbps จนถึง 2 Mbps เพียงพอต่อการรับส่งข้อมูลประเภทสื่อประสม หรือ multimedia สามารถรับส่ง ไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ download เพลง ดู TV Streaming และประชุมแบบ Video Conference ในอนาคต E learning จะเปลี่ยนเป็น M learning หรือ Mobile learning เมื่อเราเปิดโทรศัพท์ระบบ 3G จะเชื่อมต่อกับ โทรศัพท์ของเราตลอดเวลา รูปที่ 1.4 โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 3G 15
ลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกับระบบ 3G ในไทย – ก่อนปี พ.ศ. 2540 หน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมในประเทศไทยมี 3 องค์กร คือ 1. กรมไปรษณีย์โทรเลข เป็นหน่วยงานราชการ 2. องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เป็นรัฐวิสาหกิจ ให้บริการโทรศัพท์ภายในประเทศ และ 3.การสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็นรัฐวิสาหกิจ ให้บริ การโทรศัพท์ ระหว่างประเทศและการสื่อสารชนิดอื่นๆ เช่น อินเทอร์เน็ต โดยที่ทั้งสามหน่วยงาน สังกัดกระทรวงคมนาคม – รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 บทบัญญัติใน มาตรา 40 กำหนดให้มีองค์กร อิสระที่ไม่ขึ้นกับรัฐบาล มาดูแลกิจการวิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคม ได้มีการยกร่างและประกาศใช้กฎหมาย พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์และกิจการ โทรคมนาคม พ.ศ. 2543 จึงได้มีการจัดตั้ง กทช. (คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (NTC)The National Telecommunications Commission)และ กสช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการ โทรทัศน์แห่งชาติ) ต่อมามีการเปลี่ยนระบบสัมปทานคลื่นความถี่มาเป็นระบบ “ใบอนุญาต” หรือ License แทน กำหนดให้กรมไปรษณีย์โทรเลข ย้ายมารวมอยู่กับ กทช. และแยกหน่วยงานด้านไปรษณีย์ ไปเป็นบริษัท ไปรณีย์ไทย จำกัด – 3 ตุลาคม 2545 ได้มีการประกาศปฏิรูประบบราชการไทยใหม่ (ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี) มีการตั้งกระทรวงใหม่ ๆ เพิ่มเติม หลายกระทรวง รวมทั้งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)หน่วยงานทั้งสามหน่วยที่เคยสังกัดกระทรวงคมนาคม ถูกย้ายมาสังกัดกระทรวงไอซีทีแทน -14 สิงหาคม พ.ศ. 2546 ทางด้านการสื่อสารแห่งประเทศไทย ถูกแปรรูปเป็นบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)(CAT) ซึ่งมีกระทรวงการคลังถือหุ้น 100% โดยมีหน้าที่ให้บริการโทรศัพท์ ระหว่างประเทศ และการสื่อสารชนิดอื่นๆ เช่น อินเทอร์เน็ต – วันที่1 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 แยกองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย แปรรูปเป็น บริษัท ทีโอที จำกัด มหาชน (TOT)เมื่อ โดยมีหน้าที่ให้บริการโทรศัพท์ภายในประเทศกิจการโทรคมนาคมในประเทศไทยใช้ ระบบสัมปทาน โดยมี TOT และ CAT เป็นผู้ผูกขาดเพียง 2 องค์กรเท่านั้น ทั้งสองบริษัททำหน้าที่เป็นผู้ ให้บริการโทรคมนาคมเพียงอย่างเดียว ด้านการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้งTOTและ CAT ได้เปิดให้เอกชน ประมูลคลื่นความถี่สำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วย TOT ได้ ให้สัมปทานคลื่นความถี่แก่บริษัท AIS และCATได้ให้สัมปทานคลื่นความถี่แก่บริษัท DTAC และ TRUE ส่วน หน้าที่ในการกำกับดูแลและจัดสรรคลื่นความถี่ถูกโอนย้ายไปอยู่กับ กทช – ถ้าเป็นไปตามแผนการประมูลระบบ 3G ของ กทช. ในช่วงกลางปี 2552 จะมีการออกใบอนุญาต 4 ใบ โดยให้ผู้ประกอบการรายเก่า 3 ใบ ซึ่งได้แก่ AIS DTAC และTRUE และให้ผู้ประกอบการรายใหม่อีก 1 ใบ TOT และ CAT ซึ่งอยู่ในรูปบริษัทของรัฐ จึงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมประมูล ตามกฎเกณฑ์ที่ กทช. ตั้งไว้ กระทรวงไอซี ที ซึ่งดูแลบริษัททั้งสองอยู่ได้เข้าร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรีให้ กทช. เปลี่ยนกฎเกณฑ์ – กันยายน พ.ศ.2549 เกิดการรัฐประหาร มีการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ พ.ศ. 2550 ระบุว่าให้เหลือองค์กรที่ดูแลจัดสรรเพียงหน่วยงานเดียว ทำให้ พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ฯ พ.ศ. 16
2543 ที่ระบุว่าต้องมี 2 องค์กร ต้องถูกยกเลิกไปเพราะขัดกับรัฐธรรมนูญฯฉบับปี50 ดังนั้น รัฐบาลจึงต้อง รีบเร่งสรรหากสทช. ขึ้นมาใหม่ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น ยังไม่ได้มีการแต่งตั้ง กสช. ขึ้นมาแต่อย่างใด – สิงหาคม 2553 กทช. ประกาศให้บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์ค่าย DTAC , AIS และ TRUE เข้าร่วม ประมูลใบอนุญาตการให้บริการ 3G ได้ ซึ่งจะเปิดประมูลวันที่ 20 กันยายน 2553 กทช. แต่ กสท. ได้.ยื่นฟ้อง ต่อศาลปกครอง เมื่อ 13 กันยายน 2553 ให้เพิกถอนการประกาศประมูลคลื่น 3G ของ กทช. โดยอ้างว่า กทช. ไม่มีอำนาจในการจัดสรรคลื่นความถี่ 3G (ความถี่ย่าน 2.1 GHz) ซึ่งสามารถส่งได้ทั้งเสียง(วิทยุ) ข้อมูลและ ภาพ(โทรทัศน์) จึงเป็นระบบการสื่อสารที่ใช้ได้ทั้งการโทรคมนาคมการกระจายเสียงและโทรคมนาคม พรบ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ฯ ปี พ.ศ. 2543ให้ กทช.มีอำนาจออกใบอนุญาต และกำกับดูแลการใช้คลื่นความถี่ เพื่อกิจการโทรคมนาคมเท่านั้น ส่วน กิจการกระจายเสียง และโทรทัศน์แห่งชาติ เป็นอำนาจของ กสช. ซึ่ง จนถึง ณ เวลานี้ก็ยังไม่มีการแต่งตั้ง – 16 กันยายน 2553 ศาลปกครองพิจารณาไต่สวนฉุกเฉินและมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในคดีที่ กสท. (CAT) ยื่นฟ้องคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ว่า ไม่มีอำนาจในการเปิดประมูลใบอนุญาต 3Gตามรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2550เป็นผลให้การเปิดประมูลใบอนุญาตโครงข่ายโทรศัพท์ระบบ 3G ที่กำลังจะมี ขึ้นต้องถูกระงับไปอย่างไม่มีกำหนด – 22 กันยายน 2553 กทช.ยื่นอุทธรณ์คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวต่อศาลปกครองสูงสุด ขอให้ยกเลิกคำสั่ง คุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองชั้นต้นที่ให้ระงับการ ประมูลใบอนุญาต 3G – 23 กันยายน 2553 ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งที่ 379/2553 ให้ยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง ที่คุ้มครองชั่วคราว ทำให้ กทช.ต้องระงับการเปิดประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G – 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553 พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการ กิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มีผลบังคับใช้ ทำให้สถานะของ กทช. ต้องยุติลง และจัดตั้ง กสทช.คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติ (กสทช.) The National Broadcasting and Telecommunications Commission ขึ้นแทนดังนั้น การใช้งาน 3G(คลื่นความถี่ 2.1GHz)จึงต้องรอต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้ง คณะกรรมการ กสทช. เกิดขึ้นมา ได้เสียก่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) (นายจุติ ไกรฤกษ์) กล่าวว่า ถึงแม้ศาลปกครองจะสั่งคุ้มครองชั่วคราว แต่ยืนยันว่านโยบายของรัฐบาลยังคงผลักดันให้คนไทยได้ใช้โครงข่าย 3Gในอนาคตอันใกล้ ถ้าต้องรอให้มีการแต่งตั้ง กสทช. อย่างเร็วที่สุดก็ปีครึ่งถึง 2 ปีถึงจะแต่งตั้งกันได้ เมื่อนั้น เทคโนโลยี 3G ก็น่าจะล้าสมัย ทางออกในปัจจุบันที่จะให้ประเทศไทยมี 3G ตอนนี้คือ ให้ TOT เปิดประมูลโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ทั่ว ประเทศ เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2554 ผู้ชนะการประมูลคือกลุ่มเอสแอล คอนซอร์เตียม ประกอบด้วย บริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น บริษัท ล็อกซเล่ย์ บริษัทโนเกีย-ซีเมนส์ และบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) ด้วย ราคา 16,290 ล้านบาท จากราคากลางที่ตั้งไว้ที่ 17,440 ล้านบาท จะมีการเซ็นสัญญาจ้างอย่างเป็นทางการใน วันที่ 31 มกราคม 2554 17
แล้ว TOT ใช้สิทธิอะไรในการเปิดประมูล 3G ในขณะที่ กทช. ไม่สามารถกระทำได้ เรื่องนี้ต้อง ย้อนกลับไปดูเรื่องราวในอดีตก่อนปี พ.ศ. 2540 องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (TOT) และ การสื่อสารแห่งประเทศไทย (CAT)ในฐานะผู้กำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมในขณะนั้น ได้ถือครองคลื่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่วนที่ TOT ถือครองคลื่นความถี่ 900 MHz และ 2.1 GHz และ CAT ถือครองความถี่ 850 MHz และ 1.8 GHz ทั้งสองหน่วยงานได้เปิดให้เอกชนประมูลคลื่นความถี่สำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ ปรากฏว่า AIS ชนะการประมูลคลื่อน 900 MHzของ TOT ได้รับสัมปทานถึง พ.ศ. 2558 DTAC เป็นผู้ชนะการประมูล คลื่น 1800 MHz ของ CAT ได้รับสัมปทานถึง พ.ศ. 2561 ต่อมา DTAC ได้แบ่งคลื่น 1800 บางส่วนให้กับ บริษัท TA ซึ่งภายหลังกลายมาเป็น Orange และ TRUE MOVE และบริษัท DPC ของกลุ่มสามารถซึ่ง ให้บริการ Hello 1800 ภายหลังถูก AIS ควบกิจการจนกลายเป็น GSM 1800 นอกจากนั้น CAT ได้ให้สัมปทานคลื่น 850MHz บางส่วนกับบริษัท DTAC และ ที่เหลือให้บริษัท Hutch เป็น MVNO (Mobile Virtual Network Operator คือผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยที่ไม่ได้ ครอบครองคลื่นความถี่ หรือโครงข่ายที่จำเป็น ได้ทำข้อตกลงการใช้ทรัพยากรเพื่อให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ได้) ทำตลาดในกรุงเทพ และปริมณฑล 25 จังหวัด ในระบบ CDMA ซึ่งเป็นเครือข่ายของ CAT ส่วนต่างจังหวัด นั้น CAT เป็นผู้ดำเนินการเองทั้งหมด จะเห็นว่าคลื่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G เป็นสมบัติของ TOT และ CAT อยู่ แล้ว แต่ไม่นำออกมาดำเนินการให้ใช้งานได้เท่านั้นเอง(แล้วทำไมไม่ทำ นั่นเป็นเรื่องต้องค้นคว้าในเชิงลึกต่อไป) – 31 มกราคม 2554 TRUE ซื้อกิจการการให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA ที่มีชื่อ ว่า “Hutch” ของบริษัทในกลุ่มฮัทชิสัน และเซนสัญญากับ CAT ในการดูแลเพื่อโอนถ่ายลูกค้าระบบCDMA เข้าสู่ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่เทคโนโลยี HSPA (High-Speed Packet Access- เป็นระบบของเครือข่ายมือถือ 3G รองรับความสามารถในการส่งผ่านข้อมูลได้ถึง 14.4 เมกะบิตต่อวินาทีมีความเร็วของการสื่อสารสูงกว่า EDGE ถึง 36 เท่า หรือเร็วกว่า GPRS ถึง 100 เท่า) โดยจะลงทุนปรับปรุงโครงข่าย CDMA 3000 สถานีฐาน เป็นโครงข่ายเทคโนโลยี HSPA ทั้งหมด สัญญาเช่าใช้โครงข่ายเพื่อให้บริการเครือ ข่ายโทรศัพท์เคลื่อนครั้งนี้ทำ ให้เวลาที่ได้สัมปทาน เพิ่มขึ้นอีก 15 ปี ทั้ง ๆ ที่ สัญญาสัมปทานที่ TRUE ทำกับ CAT เหลืออายุสัญญาเพียง 2 ปี ในระหว่างนั้น พนักงาน CAT ได้ยื่นหนังสือกับประธานคณะกรรมการของ CAT เพื่อคัดค้านการลง นามตามสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3Gกับ TRUEโดยระบุว่าเป็นการเร่งรัดจนผิดสังเกต ต่อมา คณะทำงานร่าง สัญญาดังกล่าวซึ่ง ได้ตัดสินใจลาออกยกชุด 17คน เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการเซ็นสัญญา โดยต้องการให้ส่ง ร่างสัญญาให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาก่อน รวมถึงให้บอร์ดบริหารเห็นชอบ แม้ที่ผ่าน มามีการส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบแล้วก็ตามก็ และเห็นว่าไม่จำเป็นต้องเร่งเซ็นสัญญา – 26 มกราคม 2554 บริษัท Ericson ซึ่งเป็นบริษัทหนึ่งในการร่วมประมูล 3G ของ TOT ได้ยื่นฟ้อง ต่อศาลปกครอง ในกรณีที่ TOTไม่ให้ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้น สาเหตุจากขาดเอกสารด้านเทคนิค ตกมาศาล ปกครองได้ยกคำร้องของบริษัท Ericson เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2554 ทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์การพัฒนา 3G ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ส่วนประชาชนชาวไทยจะได้ใช้ 3G กัน ได้อย่างจริงจังเมื่อใดนั้นคงเป็นเรื่องที่ต้องดูกันต่อไป 18
ตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของเราดูสิ – กด *#06# หน้าจอโทรศัทพ์มือถือ จะปรากฏหมายเลขเครื่อง serial number หรือที่เรียกว่า อิมี่ จำนวน 15- 17 หลัก ให้จดเก็บเลขนี้ไว้ ถ้าโทรศัพท์หาย หรือตกหล่น ให้โทรศัพท์ไปที่ศูนย์และแจ้งหมายเลขนี้ ศูนย์ ฯ จะบล็อกเครื่องที่หายให้เรา ผู้ที่ขโมย หรือเก็บได้ ไม่สามารถนำไปใช้ได้ตลอดไปถึงแม้จะเปลี่ยน Sim card ใหม่ก็ตาม – หมายเลขสากลฉุกเฉิน 112 ใช้ได้ทั่วโลก เมื่อมีเหตุร้ายหรือเหตุฉุกเฉิน ให้กด 112 ถึงแม้จะล็อคปุ่ม ก็ยังกดเบอร์นี้ได้ – สำหรับมือถือยี่ห้อ Nokia ถ้าแบตเตอรีเหลือน้อยจนใกล้หมด แต่มีความจำเป็นต้องโทรออก ให้กด *3370# มันจะนำพลังงานสำรองที่ซ่อนเก็บไว้ออกมาใช้ จะเห็นว่าขีดแสดงพลังงานจะเพิ่มขึ้นมาอีก 50% มัน จะนำมาชดเชยไว้เหมือนเดิม เมื่อเราชาร์จแบตเตอรีครั้งต่อไป ยุค 4G เมื่อเข้าสู่ช่วงปี 2010s มือถือ 4G ที่รองรับเทคโนโลยีเครือข่ายแบบ LTE ก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้น ทำ ให้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วที่สูงกว่า 3G หลายเท่าตัว โดยมือถือในยุคนี้จะมีการพัฒนาให้มีขนาด หน้าจอใหญ่ขึ้น เริ่มมีการตัดปุ่มโฮมออก ทำรูหรือรอยบากบนหน้าจอเพื่อฝังกล้องหน้า ทำให้มีขอบจอน้อยลง หน้าจอมีขนาดใหญ่และอัตราส่วนยาวขึ้น บางรุ่นเป็นหน้าจอแบบขอบโค้ง และยังมีมือถือบางยี่ห้อที่เริ่มพัฒนา โทรศัพท์พับได้เป็นรุ่นแรก ๆ ออกมาอีกด้วย รูปที่ 1.5 โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 4G 19
4G เริ่มนำมาใช้ช่วง พ.ศ. 2553 ถึงปัจจุบัน โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า LTE (Long Term Evolution) ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการ QoS (Quality of Service) และการใช้งานที่ต้องการแบนด์ วิดท์และความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง เช่น การส่งข้อความมัลติมีเดีย (MMS) การคุยผ่านวิดีโอ ทีวีบนมือถือ HDTV และการออกอากาศวิดีโอดิจิทัล (Digital Video Broadcasting : DVB) มารู้จักเทคโนโลยี 4G กัน เทคโนโลยี 4G ( Forth Generation ) เป็นเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงชนิดพิเศษ หรือเป็นเส้นทาง ด่วนสำหรับข้อมูลที่ไม่ต้องอาศัยการลากสายเคเบิล โดยระบบเครือข่ายใหม่นี้ จะสามารถใช้งานได้แบบไร้สาย รวมถึงคุณสมบัติการเชื่อมต่อเสมือนจริงในรูปแบบสามมิติ (three-dimensional) ระหว่างผู้ใช้โทรศัพท์ ด้วยกันเอง นอกจากนั้น สถานีฐาน ซึ่งทำหน้าที่ในการส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่จากเครื่องหนึ่งไปยัง อีกเครื่องหนึ่ง และมีต้นทุนการติดตั้งที่แพงลิ่วในขณะนี้ จะมีให้เห็นกันอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับหลอดไฟฟ้า ตามบ้านเลยทีเดียว สำหรับ 4จี จะสามารถส่งผ่านข้อมูลแบบไร้สายด้วยระดับความเร็วสูงที่เพิ่มขึ้นถึง 100 เม กะไบต์ต่อวินาที ซึ่งห่างจากความเร็วของชุดอุปกรณ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ที่ระดับ 10 กิโลบิตต่อวินาที ลักษณะเด่นของ 4G 4G คือ Forth Generation ซึ่งในบ้านเรายังไม่มีให้เห็นกัน เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีสื่อสารในยุค 4G เรื่องความเร็วนั้นเหนือกว่า 3G มาก คือทำความเร็วในการสื่อสารได้ถึงระดับ 20-40 Mbps เมื่อเทียบกับ ความเร็วที่ได้จาก 3G นั้นคนละเรื่องกันเลย ที่ญี่ปุ่นนั้นเครือข่ายโทรศัพท์ที่ใช้เทคโนโลยี 4G สามารถให้บริการ รับชมรายการโทรทัศน์ผ่านมือถือได้แล้ว หรือจะโหลดตัวอย่างภาพยนตร์มาชมบนโทรศัพท์มือถือก็มีให้เห็น เช่นกัน ทำไมญี่ปุ่นถึงรีบกระโดดไปสู่ยุค 4G กันเร็วเหลือเกิน คำตอบง่าย ๆ ก็คือ “ดิจิตอลคอนเทนต์” เป็น ตัวผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นนั่นเอง เมื่อผู้ให้บริการหลายหลายรูปแบบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดย จำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายที่มีความเร็วสูง สามารถรับส่งข้อมูลได้ในปริมาณมาก ๆ ดังนั้น การผลักดันตัวเอง ให้เข้าสู่ยุค 4G ที่ใช้เทคโนโลยีที่เหนือกว่า 3G ก่อนคู่แข่ง น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด ความโดดเด่นของ 4G คือ ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานบนเครือข่ายที่กินพื้นที่กว้างก็ได้หรือจะทำ เป็นเครือข่ายขนาดย่อมๆ แบบ WLAN ได้อีกด้วย นั่นจึงทำให้หลายคนมองว่า 4G จะมาเบียดเทคโนโลยีของ Wi-Fi หรือไม่ เพราะสามารถใช้งานได้ทั้งสองแบบ อย่างไรก็ตามในประเทศไทยยังคงอิงกับมาตรฐานของ 3G อยู่ ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับขยายไปสู่ยุค 4G เลย เพราะว่า Wimax กำลังเข้ามานั่นเอง ระบบสื่อสารแห่ง อนาคตที่ให้ความยืดหยุ่นสูง สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างไกล ความเร็วในการสื่อสารสูงสุดในขณะนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมไม่รวมเทคโนโลยี 3G กับ WiMAX เข้าด้วยกัน และพัฒนาให้เป็น “interim 4G” หรือ “4G เฉพาะกิจ” เพื่อไปเร่งพัฒนา “4G ตัวจริง” (Real 4G) กันออกมาไม่ดีกว่าหรือ จึงเป็นเสียงที่ คิดดังๆจากหลายกลุ่มในปัจจุบัน แน่นอนที่ว่า คงจะไม่ใช่แนวคิดของ 4G ที่หลายฝ่ายตั้งความหวังไว้ เพราะอย่างน้อยที่เห็นได้ชัดเจน อย่างหนึ่งคือ เทคโนโลยีทั้งสองยังไม่สามารถรองรับความเร็วในการสื่อสารข้อมูลที่ดาวน์ลิงค์/อัพลิงค์ (downlink/uplink) ขณะกำลังเคลื่อนที่ในกรณีของ GSM ที่ 100 mbps/50 mbps และกรณี CDMA ที่ ต้องการให้เหนือกว่า GSM โดยจะให้มีความเร็วเป็น 129 mbps/75.6 mbps 20
คุณสมบัติพื้นฐานและลักษณะทั่วไปของเทคโนโลยีในยุค 4G 1) ความเร็วในการรับส่งข้อมูล 10 Mbps ถึง 1 Gbps 2) รองรับบริการสตรีมมิงวิดีโอความระเอียดสูง 3) ความปลอดภัยสูง 4) ราคาต่อปริมาณข้อมูลต่ำลง 5) โครงข่าย 4G มีความซ้อนซับ 6) สามารถให้บริการต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายตามความต้องการของผู้ใช้ เนื่องจากสามารถรองรับ การใช้งานได้มากขึ้น ยุค 5G 5G เป็นเทคโนโลยีเซลลูลาร์ไร้สายยุคที่ 5 ซึ่งให้ความเร็วในการอัพโหลดและดาวน์โหลดที่สูงขึ้น ให้ การเชื่อมต่อที่สม่ำเสมอมากขึ้น และให้ศักยภาพที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับเครือข่ายยุคก่อนหน้านี้ 5G นั้นเร็วกว่าและ เชื่อถือได้มากกว่าเครือข่าย 4G ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันอย่างมาก และอาจเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราใช้อินเทอร์เน็ต เพื่อเข้าถึงแอปพลิเคชัน เครือข่ายสังคม และข้อมูลได้ เทคโนโลยีต่างๆ เช่น รถยนต์ที่ขับด้วยตนเอง แอปพลิเคชั่นเกมขั้นสูง และสื่อไลฟ์สตรีมที่ต้องใช้การเชื่อมต่อข้อมูลความเร็วสูงที่เชื่อถือได้อย่างสูง จะได้รับ ประโยชน์อย่างมากจากการเชื่อมต่อ รูปที่ 1.6 โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 5G 21
รูปที่ 1.7 การเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 5G 5G สำคัญอย่างไร ความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตร่วมกับการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Internet of Things (IoT) และระบบอัตโนมัติ กำลังขับเคลื่อนการเพิ่มปริมาณข้อมูลสูงขึ้นอย่างมาก การสร้าง ข้อมูลกำลังเติบโตอย่างทวีคูณ โดยจะมีปริมาณข้อมูลเพิ่มขึ้นหลายร้อยเซตตะไบต์ในทศวรรษหน้า โครงสร้าง พื้นฐานของอุปกรณ์พกพาในปัจจุบันไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการโหลดข้อมูลปริมาณมาก และจำเป็นต้องมี การอัปเกรด ในขณะเดียวกัน ด้วยความเร็วสูง ความจุมหาศาล และเวลาแฝงต่ำ 5G จึงสามารถช่วยสนับสนุนและ ปรับขนาดแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น การควบคุมการจราจรที่เชื่อมต่อคลาวด์ บริการขนส่งด้วยโดรน การสนทนา ผ่านวิดีโอ และการเล่นเกมคุณภาพระดับคอนโซลขณะเดินทาง ตั้งแต่การชำระเงินทั่วโลกและการตอบสนอง ฉุกเฉิน ไปจนถึงการศึกษาทางไกลและการทำงานนอกสถานที่ ประโยชน์และการประยุกต์ใช้งาน 5G นั้นไร้ ขีดจำกัด มันมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนโลกของการทำงาน เศรษฐกิจโลก และชีวิตของผู้คนได้ 22
5G มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง ความสามารถของ 5G สามารถใช้ในการส่งเสริมนวัตกรรมและปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าสำหรับ ธุรกิจได้ นี่คือบางเรื่องที่ต้องพิจารณา - โซลูชั่นการขับเคลื่อนอัตโนมัติ ก่อนหน้านี้ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติโดยสมบูรณ์ยังไม่ถือว่าใช้งานได้จริง เนื่องจากระยะเวลาที่ต้อง ใช้ในการรับและส่งข้อมูลของรถยนต์ อย่างไรก็ตาม เวลาแฝงที่ต่ำของ 5G หมายความว่าเราจะได้เห็นรถยนต์ที่ ขับเคลื่อนด้วยตนเองกลายเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปมากขึ้น ด้วยถนนที่เชื่อมต่อกับเครื่องรับส่งสัญญาณ และ เซ็นเซอร์ที่รับและส่งข้อมูลไปยังยานพาหนะในเวลาเพียง 1/1,000 วินาที เวลาที่ลดลงนี้สำคัญสำหรับ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีเรดาร์ ในการจะตีความสิ่งที่รถยนต์มองเห็น (รถยนต์คันอื่น คนเดิน ถนน ป้ายหยุดรถ) และควบคุมรถตามสถานการณ์ - โรงงานอัจฉริยะ เครือข่ายมือถือ 5G เป็นโอกาสที่ผู้ผลิตจะสร้างโรงงานอัจฉริยะที่มีการเชื่อมต่อแบบยิ่งยวด 5G รองรับ Internet of Things (IoT) นั่นหมายความว่าโรงงานจะสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์อัจฉริยะหลายพันชิ้น เช่น กล้องและเซ็นเซอร์ไร้สาย เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลโดยอัตโนมัติได้แบบเรียลไทม์ โรงงานสามารถวิเคราะห์และ ประมวลผลข้อมูลนี้ เพื่อให้การดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากขึ้น ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ อัจฉริยะสามารถทำนายวงจรชีวิตของอุปกรณ์ได้อย่างแม่นยำ ให้ข้อมูลในการตัดสินใจในการวางแผน และ ทำนายว่าเครื่องจักรต้องการการบำรุงรักษาเมื่อใด - ความจริงเสมือน เทคโนโลยีความจริงเสมือนและเทคโนโลยีความจริงเสริม (VR/AR) จะเพิ่มการซ้อนทับดิจิทัลลงในการ แสดงผลภาพสดของโทรศัพท์มือถือ ชุดหูฟัง แว่นตาอัจฉริยะ และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออื่น ๆ VR/AR มีกรณีการ ใช้งานมากมายมหาศาล ซึ่งรวมถึงการบำรุงรักษา การซ่อมแซม การดำเนินงานในโรงงานอุตสาหกรรม การ ฝึกอบรมในสถานที่ทำงาน การขายและการตลาด และการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ โดยมีการแนะนำ แนวทาง ความหน่วงต่ำและแบนด์วิดธ์กว้างของเทคโนโลยีมือถือ 5G จะทำให้ธุรกิจและกรณีการใช้งานต่างๆ สามารถเข้าถึง VR/AR ได้มากขึ้น - การประมวลผล Edge Edge Computing คือกระบวนการนำความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลไปไว้ใกล้ กับตำแหน่งข้อมูลของคุณมากขึ้น คุณสามารถสร้างแอปพลิเคชันสมรรถนะสูงที่สามารถประมวลผลและจัดเก็บ ข้อมูลได้ใกล้กับแหล่งกำเนิดข้อมูล ทำให้มีเวลาแฝงต่ำเป็นพิเศษ ชาญฉลาด และตอบสนองได้แบบเรียลไทม์ ด้วยการที่กรณีการใช้งาน Edge Computing และข้อกำหนดด้านข้อมูลมีความต้องการคุณภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ เครือข่ายความเร็วสูงจึงจำเป็นต่อการตอบสนองความต้องการที่เกือบเรียลไทม์ ด้วยเหตุนี้ โครงสร้างพื้นฐาน เครือข่าย 5G จึงสนับสนุนและช่วยให้สามารถเพิ่มความซับซ้อนและความเฉพาะทางของ Edge Computing ได้ 23
5G มีประโยชน์ต่อสังคมอย่างไรบ้าง เป็นที่คาดหมายกว่าการเติบโตของเครือข่าย 5G จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้หลายล้านล้าน ดอลลาร์ และสร้างงานหลายล้านตำแหน่ง แต่ก็ยังมีอีกหลายแง่มุมที่อาจเป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย - เมืองอัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ อาศัยอุปกรณ์ IoT ในการรวบรวมข้อมูลการจราจร ผู้คน และโครงสร้างพื้นฐานแบบ เรียลไทม์ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว นักวางผังเมืองจะตัดสินใจโดยมีการรับทราบข้อมูลได้ดีขึ้น ลดการ ปล่อยมลภาวะ ปรับปรุงบริการสาธารณะ ลดการจราจรติดขัด และปรับปรุงคุณภาพอากาศ การเกิดขึ้นของ 5G อาจเป็นตัวเร่งให้เมืองใหญ่ของโลกเชื่อมต่อกันได้อย่างแท้จริง - การดูแลสุขภาพ เครือข่าย 5G สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับเทคโนโลยีการดูแลสุขภาพได้อย่างมหาศาล ตัวอย่างเช่น เวลา แฝงต่ำจะช่วยให้สามารถแชร์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านวิดีโอคุณภาพสูงได้ ซึ่งอาจทำให้การผ่าตัดทางไกล กลายเป็นเรื่องปกติทั่วไปมากขึ้น ยังเป็นที่คาดการณ์ว่าอุปกรณ์สวมใส่และอุปกรณ์แบบกลืนเข้าร่างกายจะเป็น เรื่องปกติทั่วไปมากขึ้น และให้ข้อมูลฟีดแบคแก่บุคลากรทางการแพทย์ การตรวจติดตามแบบเรียลไทม์จะ ส่งผลให้มีการดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้นสำหรับผู้ป่วย และช่วยให้แพทย์ตรวจพบสัญญาณของโรค ได้เร็วขึ้น - สิ่งแวดล้อม มีความเป็นไปได้ที่ 5G จะสามารถช่วยลดการปล่อยมลภาวะทั่วโลก ข้อดีอย่างหนึ่งของ 5G คือ ประสิทธิภาพของการรับส่งสัญญาณและการใช้พลังงานต่ำเมื่อเทียบกับเครือข่ายยุคก่อนหน้า นอกจากนี้ยัง สนับสนุนการติดตามตรวจสอบการปล่อยมลภาวะ คุณภาพอากาศ คุณภาพน้ำ และตัวบ่งชี้ด้านสิ่งแวดล้อม อื่นๆ แบบเรียลไทม์ 5G จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า อาคารอัจฉริยะ โครงข่ายไฟฟ้าสมาร์ทกริด และการทำงานจากระยะไกล ซึ่งทั้งหมดนี้จะให้ประโยชน์ต่อโลกผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและ ลดมลภาวะลง เทคโนโลยี 5G ทำงานอย่างไร เทคโนโลยี 5G ใช้เซลล์ไซต์ที่ส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุ เช่นเดียวกับเครือข่ายเซลลูลาร์ยุคก่อนหน้านี้ เซลล์ไซต์เชื่อมต่อกับเครือข่ายด้วยเทคโนโลยีไร้สายหรือการเชื่อมต่อแบบมีสาย เทคโนโลยี 5G ทำงานโดยการ เปลี่ยนวิธีการเข้ารหัสข้อมูลที่เพิ่มจำนวนคลื่นวิทยุพาหะที่ผู้ให้บริการสามารถใช้งานได้ - OFDM Orthogonal Frequency Division Multiplexing (OFDM) เป็นส่วนสำคัญของเทคโนโลยี 5G OFDM เป็นรูปแบบการมอดูเลตสัญญาณที่เข้ารหัสคลื่นความถี่สูงที่เข้ากันไม่ได้กับ 4G และให้เวลาแฝงที่ต่ำลง และความยืดหยุ่นที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับเครือข่าย LTE 24
- หอสัญญาณขนาดเล็กลง เทคโนโลยี 5G ยังใช้เครื่องส่งสัญญาณขนาดเล็กลง ซึ่งติดตั้งอยู่ในอาคารและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ 4G และเทคโนโลยีเซลลูลาร์ก่อนหน้านั้นอาศัยหอสัญญาณมือถือแบบสแตนด์อโลน ความสามารถในการ ทำงานของเครือข่ายจากเซลล์ไซต์ขนาดเล็กจะช่วยในการสนับสนุนอุปกรณ์จำนวนมากด้วยความเร็วที่ เหนือกว่า - การสไลซ์เครือข่าย ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือใช้เทคโนโลยี 5G เพื่อติดตั้งใช้เครือข่ายเสมือนที่เป็นอิสระจากกันหลาย เครือข่ายบนโครงสร้างพื้นฐานเดียวกัน คุณสามารถปรับแต่งแต่ละสไลซ์ของเครือข่าย ให้ใช้สำหรับบริการและ กรณีธุรกิจต่างๆ เช่น บริการสตรีมมิ่งหรืองานขององค์กรได้ ด้วยการรวบรวมฟังก์ชันเครือข่าย 5G สำหรับกรณี การใช้งานหรือรูปแบบธุรกิจเฉพาะแต่ละกรณี คุณจึงสามารถรองรับความต้องการที่แตกต่างกันจาก อุตสาหกรรมแนวดิ่งทั้งหมดได้ การแยกบริการ หมายความว่าผู้ใช้จะได้รับประโยชน์จากประสบการณ์ที่มีความ น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น และให้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในอุปกรณ์ของพวกเขา 5G กับ 4G/3G แตกต่างกันอย่างไร ขณะที่ 5G ทำงานบนความถี่วิทยุเดียวกับเครือข่ายยุคที่ผ่านมา แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญหลาย ประการระหว่าง 5G และ 4G, 4G LTE และ 3G ซึ่งรวมถึง: - ความเร็วสูงขึ้น เครือข่าย 5G สามารถทำความเร็วได้ถึง 10 กิกะบิตต่อวินาที จึงเร็วกว่าเครือข่าย 4G ถึง 10 เท่า นี่ หมายความว่าสิ่งที่เคยเป็นงานหนักก่อนหน้านี้ เช่น การดาวน์โหลดภาพยนตร์หรือการสำรองข้อมูลจาก ฐานข้อมูล จะใช้เวลาเพียงเสี้ยวเดียวเทียบกับยุคก่อนหน้า 25
- เวลาแฝงต่ำ สาเหตุหลักที่ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดคือเวลาแฝงที่ต่ำ เวลาแฝง คือความล่าช้า ระหว่างการส่งและรับข้อมูล เครือข่าย 4G สามารถทำเวลาแฝงได้ต่ำถึงประมาณ 200 มิลลิวินาที ซึ่งจะลดลง เหลือเพียงหนึ่งมิลลิวินาทีใน 5G - แบนด์วิดธ์กว้างขึ้น 5G สามารถทำงานในย่านความถี่ช่วงกว้างขึ้น (ช่วงคลื่นต่ำ ช่วงคลื่นกลาง ช่วงคลื่นสูง) โดยการขยาย ทรัพยากรคลื่นความถี่วิทยุจากช่วงต่ำกว่า 3 GHz ที่ใช้ใน 4G ไปจนถึง 100 GHz และสูงกว่านั้น 5G สามารถ ทำงานได้ทั้งในย่านความถี่ต่ำและคลื่นมิลลิเมตร (mmWave) ซึ่งเพิ่มความจุขึ้นอย่างมาก ให้อัตราการโอนถ่าย ข้อมูลหลาย Gbps และเวลาแฝงต่ำ แบนด์วิดท์นี้หมายความว่าจะสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากขึ้นเพื่อ การส่งและรับข้อมูลในขณะใดๆ โครงการ AWS 5G คืออะไร AWS มีการทำงานร่วมกับองค์กรหลายแห่งในโครงการ 5G ต่างๆ ซึ่งรวมถึง: Verizon Verizon เป็นบริษัทแรกในโลกที่เปิดตัวเครือข่ายมือถือ 5G เชิงพาณิชย์ด้วยสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด Verizon ใช้ บริการ AWS Cloud เพื่อสนับสนุนการเปิดตัวระบบ 5G โดยใช้ ประโยชน์จากความสามารถในการประมวลผลขนาดใหญ่เพื่อลดเวลาและต้นทุนที่ใช้ Ericsson Ericsson เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารชั้นนำแก่ผู้ให้บริการต่างๆ เมื่อความสามารถของระบบเครือข่าย 5G ได้เข้าสู่ตลาดและการสื่อสารที่มีเวลาแฝงต่ำมีการขยายตัวขึ้น Ericsson จำเป็นต้องนำข้อดีเหล่านี้ไปไว้ ณ ตำแหน่งข้อมูลเพื่อส่งมอบกรณีการใช้งานที่มีมูลค่าสูงสำหรับ ลูกค้าระดับองค์กรของตน บริษัทใช้ AWS Outposts ซึ่งเป็นตระกูลโซลูชันที่มีการจัดการเต็มรูปแบบ ซึ่ง นำเสนอบริการ เครื่องมือ และโครงสร้างพื้นฐานของ AWS ในสถานที่ใดๆ ด้วยแกนกลาง 5G ของพวกเขาเพื่อ ส่งมอบความสามารถในการประมวลผลไปยังองค์กรของลูกค้าโดยตรง Dish AWS และ DISH ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างเครือข่าย 5G แบบ cloud-native เต็มรูปแบบเครือข่ายแรก ของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในสหรัฐฯ โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของ AWS เช่น AWS Regions, AWS Local Zones และ AWS Outposts เพื่อสร้างเครือข่าย 5G ที่ยืดหยุ่น คล่องตัว และคุ้มต้นทุนมากขึ้น ซึ่งจะกำหนด ประสบการณ์ใหม่ให้ผู้ใช้ปลายทาง เครือข่ายที่ให้ซอฟต์แวร์เป็นศูนย์กลางนั้นเป็นมิตรกับนักพัฒนา บริษัท จำนวนมากจึงสามารถสร้างแอปพลิเคชั่น 5G ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่จะมาปฏิวัติอุตสาหกรรมของตนเองได้ อย่างรวดเร็ว 26
ประโยชน์ของเครือข่าย 5G ส่วนตัวคืออะไรบ้าง มีเหตุผลหลายประการที่องค์กรควรพิจารณาใช้งานเครือข่าย 5G ส่วนตัวในหน่วยงานของตนเอง ซึ่ง รวมถึง: - การเชื่อมต่อเครือข่ายที่ดีขึ้น - ระยะการส่งสัญญาณไกลขึ้นเมื่อเทียบกับเครือข่าย WiFi - ความครอบคลุมพื้นที่ที่ดีขึ้น - เวลาแฝงต่ำสำหรับสภาพแวดล้อมการผลิตและโรงงานอัจฉริยะ - ควบคุมอุปกรณ์ขององค์กรได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งอุปกรณ์เหล่านั้นสามารถกำหนดค่าเพื่อให้การ รักษาความปลอดภัยของเครือข่ายที่ดีขึ้น AWS สนับสนุนข้อกำหนดความต้องการ 5G ของคุณได้อย่างไร AWS Private 5G เป็นบริการที่มีการจัดการ ซึ่งติดตั้งใช้จริง ดำเนินงาน และปรับขนาดเครือข่าย เซลลูลาร์ส่วนตัวของคุณเองได้อย่างง่ายดาย โดยใช้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นทั้งหมดที่ AWS ให้มา ด้วย AWS Private 5G คุณจะสามารถ: - เชื่อมต่ออุปกรณ์และเครื่องหลายพันเครื่องด้วยเวลาแฝงต่ำและแบนด์วิดธ์สูง ในเครือข่าย 5G ส่วนตัว - เตรียมเครือข่ายของคุณให้พร้อมใช้งานภายในไม่กี่วันโดยไม่ต้องมีรอบการวางแผนที่ยาวนาน ไม่มี การรวมระบบที่ซับซ้อน และให้การตั้งค่าอัตโนมัติ - รักษาความปลอดภัยเครือข่ายของคุณด้วยการควบคุมการเข้าถึงแบบละเอียดสำหรับอุปกรณ์ เชื่อมต่อทั้งหมด ผสานรวมเข้ากับนโยบายไอทีที่มีอยู่ - ปรับศักยภาพเครือข่ายของคุณตามความต้องการ หรือเพิ่มอุปกรณ์ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง และ จ่ายเงินสำหรับขนาดความจุและอัตราการโอนถ่ายข้อมูลตามที่คุณใช้เท่านั้น 27
2. ความแตกต่างของ ระบบ 3G 4G 5G ตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ หรือจะโลกอินเตอร์เน็ต เรามักจะได้ยินศัพท์ที่พูดกันว่า 3G บ้าง 4G บ้าง หรือแม้แต่ 5G ก็เริ่มฟังคุ้นหูกันแล้ว โดยที่ได้ยินกันบ่อยๆคงไม่พ้นเรื่องของความเร็วอินเตอร์เน็ตจากค่าย โทรศัพท์มือถือบ้านเรานั่นเอง สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร ทุกอย่างจะรวดเร็วมากขึ้น ข้อมูลจำนวนมหาศาลจะ ถูกถ่ายโอนภายในแทบจะทันที แต่ก่อนที่ประเทศไทยเราจะไปถึง 5G ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนวิจัยและพัฒนานั้น เรามาทำความรู้จักความเป็นมาของ 1G 2G 3G และ 4G กันก่อนดีกว่า รู้กันไหมเอ่ยว่า ตัว G ในคำว่า 1G, 2G, 3G, 4G รวมถึง 5G นั้น มาจากคำว่า Generation แปลว่ายุค , สมัย, รุ่น เมื่อรวมกับตัวเลขด้านหน้าจะหมายถึงยุคของเทคโนโลยีการสื่อสาร โดยมีรายละเอียดคร่าวๆ ดังนี้ ยุค 1G (1st Generation) ยุคแรกเริ่มเป็นระบบ อนาล็อก (Analog) เราอาจคุ้นตากับโทรศัพท์ เครื่องเล็กบางเฉียบอย่างโทรศัพท์มือถือในยุคปัจจุบัน แต่ย้อนกลับไปประมาณ 10 ปีก่อน ต้นกำเนิดของ โทรศัพท์เคลื่อนที่ในอดีตมีขนาดที่ใหญ่มาก ใครรู้จักโทรศัพท์รุ่นกระดูกหมาหรือรุ่นกระติกน้ำบ้าง? ระบบอนาล็อกคือการใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง (Voice) โดยสามารถโทรออก-รับสายได้ อย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถส่งผ่านข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งส่งรูปหรือข้อความ แม้แต่การรับ-ส่ง SMS ก็ไม่ สามารถทำได้ เพราะในยุคนั้นผู้คนยังไม่มีความจำเป็นในการใช้งานอื่นๆ นอกจากการโทรเข้าออกอยู่แล้ว นอกจากนี้ในยุคนั้น กลุ่มคนที่สามารถใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ในเวลานั้น มักเป็นผู้มีฐานะหรือนักธุรกิจที่ใช้ ติดต่องาน เนื่องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ในเวลานั้นมีราคาสูงมาก ในประเทศไทยบ้านไหนมีพกไว้เป็นการบ่งบอก ฐานะของบ้านนั้นเลยทีเดียว ยุค 2G (2nd Generation) ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง และเฟื่องฟูของตลาดโทรศัพท์มือถือ เพราะมี การเปลี่ยนระบบการส่งคลื่นสัญญาณวิทยุแบบอนาล็อค มาเป็นการเข้ารหัสดิจิตอล (Digital) แทน การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ นอกจากเราจะโทรศัพท์คุยกันได้ด้วยเสียงแล้ว เราสามารถส่ง ข้อความ SMS ได้อีกด้วย ถัดมาได้มีการนำเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) เพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่ง ข้อมูลให้มีการรับ-ส่งข้อมูลได้มากขึ้น ทำให้นอกจากส่งข้อความ SMS แล้วยังสามารถส่ง MMSได้อีกด้วย การ พัฒนาของโทรศัพท์ยุคนี้ทำให้หน้าจอการแสดงผลเริ่มมีลักษณะหน้าจอสี และมีความเร็วในการใช้งานที่สูงขึ้น กว่าเดิมมาก การพัฒนาทางเทคโนโลยีในยุคนี้ ทำให้เกิดการแข่งขันกันทางการตลาดของวงการโทรศัพท์มือถือมาก ขึ้น ทั้งในเรื่องของการดาวน์โหลดเสียงรอสาย, Ringtone, การรับ-ส่งภาพผ่าน MMS ดาวน์โหลดภาพต่างๆ ซึ่ง ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งาน ทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานสู่ยุคต่อไป ยุค 3G (3rd Generation) เข้าสู่ยุค 3G ที่เราเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว ความโดดดเนของยุคนี้คือความเร็ว ในการเชื่อมต่อที่เรียกได้ว่าก้าวกระโดดจากระบบเก่า เพื่อรองรับการใช้งานกับอุปกรณ์สมัยใหม่ ที่ช่วยให้ สามารถส่งข้อมูลทั้งภาพและเสียงในระบบไร้สายด้วยความเร็วที่สูง ซึ่งก่อให้เกิดการใช้งานที่หลากหลายไม่ว่า 28
จะเป็นการโทรทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ต (นึกถึงการโทรแบบไลน์), การโทรแบบเห็นหน้าหรือ Video Call, การ ดูทีวีหรือวีดิโอออนไลน์, เล่นเกมออนไลน์, การดาวน์โหลดที่มีความรวดเร็วกว่าระบบ 2 G อย่างมาก นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติ ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา (Always On) อธิบายง่ายๆคือ จะมี การเตือน (Alert) ขึ้นมาทันที หากมีอีเมล์เข้ามาเช่น ลูกค้าส่งอีเมลล์กลับ หรือมีการส่งข้อความต่างๆ จาก โปรแกรมทางอินเทอร์เน็ตของเราโปรโมชั่นร้านขายออนไลน์ที่เราติดตามอยู่เด้งขึ้นมาเพื่อเตือนสินค้าลดราคาที่ เรากำลังสนใจอยู่ เป็นต้น สำหรับประเทศไทยได้นำเทคโนโลยีUMTS ( Universal Mobile Telecommunications System) มาใช้ ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายมาตรฐานใหม่ที่ถูกพัฒนามาจาก ระบบมาตรฐานคลื่นความถี่ GSM ที่มีเทคโนโลยี หลักคือ W-CDMA ต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็นเทคโนโลยี HSPA+ ที่สามารถรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดถึง 42 Mbps ยุค 4G (4th Generation) ถึงแม้ว่าเราจะสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โหลดได้รวดเร็วมากขึ้น คนทั้งโลกถูกเชื่อมเข้าหากัน รู้จักกันแม้จะอยู่ห่างกันขั้วโลก แต่ก็มีมีหลายครั้งที่เราต้อง ประสบกับปัญหาสัญญาณข้ดข้อง ดู YouTube แล้วภาพกระตุกบ้าง ค้างบ้าง ไม่โหลดบ้าง วีดิโอกับแฟนอยู่ๆก็ ไม่สามารถทำได้เพราะเน็ตไม่สเถียร หรือแม้แต่การสื่อสารเพื่อทำธุรกิจ สิ่งเหล่านี้ก็ให้เกิดการพัฒนาให้โลกเข้า สู่ยุค 4G ยุค 4G เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากระบบไร้สายในอดีตทั้งหมด ทั้ง 1G, 2G และ 3G มารวมกันเป็น ระบบที่มีประสิทธิภาพขึ้น การพัฒนาในเรื่องความเร็วในการรับส่งข้อมูล ที่ทำได้เร็วขึ้นถึง 100 Mpbs ทำให้ การดูไฟล์วีดิโอออนไลน์มีความคมชัด และไม่มีการกระตุก นอกจากนี้การสื่อสารข้ามประเทศที่ไม่มีติดขัด การ ประชุมสายเพื่อวีดิโอคอล หรือที่เราชินกับคำว่า Group Call เป็นเรื่องง่ายขึ้นและยังมีค่าใช้จ่ายน้อยลงอีกด้วย สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้ในยุค 4G นี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ระบบด้วยกัน คือ WiMAX (Worldwide Interoperability of Microwave Access) และ LTE (Long Term Evolution) ซึ่งทั้งสองระบบนี้ เป็น เทคโนโลยีไร้สายที่มาช่วยในเรื่องของการรับส่งข้อมูลให้เร็วขึ้นกว่าในยุคก่อนๆ นั่นเอง โดยในส่วนของ WiMax นั้นนิยมใช้แค่ในบางประเทศเช่น ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, บังคลาเทศ ซึ่ง LTE นั้นเป็นที่นิยมใช้มากกว่ารวมถึงบ้านเรา ด้วยเช่นกัน ยุค 5G (5th Generation) ในยุคสมัยของ 5G นี้ จะเป็นยุคแห่งข้อมูล โดยจะไม่ได้จำกัดแค่การใช้ งานกับอุปกรณ์ Smart Phone, Tablet หรือ Computer แต่จะหมายถึง อุปกรณ์ในยุคนี้ทั้งหมด จะถูก เปลี่ยนแปลงให้รองรับการใช้งาน Data ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นยุคแห่ง IOT และเมื่ออุปกรณ์ต่างๆ สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ จึงเกิดเป็น Big Data และ นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างก้าวกระโดดตามมา ยุค 5G สามารถรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ และทำความเร็วได้สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยสามารถ ทำความเร็วสูงสุด ได้ที่ 10-50Gbps กันเลยทีเดียวครับ นอกจากความเร็วแล้ว ยังสามารถเพิ่มความจุในการ รองรับอุปกรณ์ Smart Device ได้เยอะขึ้นเช่นกัน ซึ่งเดิมทีอุปกรณ์พวกนี้ทำงานแยกกัน แต่สำหรับยุค 5G อุปกรณ์ต่างๆ จะสามารถพูดคุยสื่อสารกันเองได้ อุปกรณ์จะมีความฉลาดมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น 29
Connected Car คือการที่รถยนต์แต่ละคันบนท้องถนน สื่อสารกัน แจ้งตำแหน่ง ทิศทางการเคลื่อนที่และ ความเร็วต่อกัน ทำให้รถยนต์สามารถ หลบหลีกกันเองได้ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ และลดปัญหา การจราจรติดขัดได้มากขึ้น ในยุคของ 5G ได้เริ่มเกิดขึ้นและใช้งานกันแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2561 โดยมีเทคโนโลยี พื้นฐาน คือ MIMO (Multiple Input Multiple Output – 64-256 antennas) ซึ่งทำให้เกิดประสิทธิภาพสูง กว่า 4G มีความแรงและเร็วกว่า ถึง 20เท่า รองรับผู้ใช้งานได้มากขึ้น 10เท่า การตอบสนองไวขึ้น ความไว ระดับ 1ใน1000วินาที เรียกได้ว่าแทบจะทันทีที่เรามีการสั่งงานลงไป อุปกรณ์ที่รับคำสังจะสามารถตอบสนอง เราได้โดยไม่รู้สึกถึงความหน่วงเลย 3. สรุปวิวัฒนาการโดยย่อ 1G เป็นระบบ อนาล๊อค เซลลูล่า AMPS, TACS มีการรับส่ง voice อย่างเดียว 2G เป็นระบบ ดิจิตอล เซลลูล่า (GSM), GPRS,EDGE มีการรับส่ง ทั้ง voice, data และ MMS, ความเร็ว 10-437Kbps 3G เป็นระบบ ดิจิตอล WCDMA, HSPA, HSPA+ มีการรับส่ง ทั้ง voice, data, MMS, VDO call, Media ความเร็ว 384Kbps-30Mbps 4G เป็นระบบ ดิจิตอล LTE, Wi-MAX, VOLTE , LTE Advance มีการรับส่ง ทั้ง voice, data, MMS, VDO call, Media, high speed ความเร็ว 30Mbps-1Gbps 5G เป็นระบบ ดิจิตอล NR and eLTE (ที่กำลังจะมาไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า) มีการรับส่ง ทั้ง voice, data, MMS, VDO call, Media, high speed, IoT ความเร็ว 6.4Gbps 30
หน่วยที่ 3 ติดตั้งระบบปฏิบัติการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1. หัวข้อเรื่อง 1. ระบบปฏิบัติการบนมือถือ 2. การติดตั้งระบบปฏิบัติการบนมือถือ 2. สมรรถนะรายวิชา - แสดงความรู้และขั้นตอนการติดตั้งระบบปฏิบัติการมือถือแบบง่าย
1. ระบบปฏิบัติการบนมือถือ 1. Symbian เป็นระบบปฏิบัติการที่มีโนเกียเป็นหุ้นส่วนใหญ่ และกำลังจะกลายไปเป็น Symbian Foundation (มูลนิธิซิ มเบียน) ที่อาจจะเปิดเป็น OpenSource ในอนาคต ซิมเบียน ถือเป็นระบบที่ใช้ทรัพยากรได้ค่อนข้างคุ้มค่า มากกว่าตัวอื่นๆ และมีปัญหาในระบบค่อนข้างน้อย โดยซิมเบียนในปัจจุบัน มี 2 สายคือ สาย S60 (โนเกียเป็น หัวหอกหลัก) และ สาย UIQ (โซนี่อีริคสันเป็นหัวหอกหลัก) แต่ปัจจุบัน S60 ได้รับความนิยมมากกว่า โดย พัฒนามาจนถึงรุ่น 9.3 แล้ว ระบบปฏิบัติการ Symbian 1. ใช้หน่วยความจำน้อย ทำให้มีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้เป็นระบบปฏิบัติการบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2. โปรแกรม Application มีขนาดเล็ก ไม่เปลือง memory 3. เป็นระบบเปิด ทำให้นักพัฒนาโปรแกรม สามารถสร้างโปรแกรมหรือเกมส์ต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้งาน กับระบบ Symbian ทำให้เกิดการพัฒนาทางด้าน Software 4. รองรับเทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สายในรูปแบบใหม่ (Developing wireless service) 2. Windows Mobile วินโดวส์โมบาย (Windows mobile) คือระบบปฏิบัติการที่เล็กกะทัดรัดประกอบด้วยชุดแอปพลิเคชั่น พื้นฐาน สำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่บน Microsoft Win32 API อุปกรณ์ที่ใช้ระบบวินโดวส์โมบายมี พ็อกเก็ตพีซี, สมาทโฟน, ฟอร์เทบายมีเดียเซ็นเตอร์ ออนบอร์ดคอมพิวเตอร์ 32
3. Android เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาโดย Google เจ้าพ่อแห่ง Search Engine ที่ไม่มีใครต้านทานได้ เป็น ระบบปฏิบัติการหน้าใหม่ที่เปิดเผยรหัส ทำให้ผู้พัฒนาสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้Google Android Phone ถูกแนะนำตัวอย่างเป็นทางการในงานแสดงเทคโนโลยี Mobile World Congress 2008 เมืองบาร์ เซโลน่า ประเทศสเปน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความเคลือบแคลงใจว่าเมื่อไรจะมีสินค้าออกมา จริงๆ และสมาร์ทโฟนที่นำมาออกงานนี้ใช่ตัวจริงหรือเปล่า เพราะดูจากรูปร่างน่าตาแล้วออกไปทางเครื่อง Palm ที่มีแผงแป้นพิมพ์ QWERTY ขนาดค่อนข้างเล็กและมีความบาง อย่างไรก็ตาม Google เคยปล่อยชุด พัฒนาโปรแกรม (SDK – SoftwareDevelopment Kit) ออกมาให้ดาวน์โหลด เพื่อไปต่อยอดหรือพัฒนา แอพพลิเคชั่นใน Google Android Phone ซึ่งในชุด SDK ก็จะพบกับภาพ Emulator เหมือนกับที่เปิดตัวใน งานนี้จริงๆ จึงเป็นที่คาดการณ์กันว่าโทรศัพท์มือถือที่จะใช้ระบบปฏิบัติการ Android คือระบบปฏิบัติการ (OS) หรือแพลตฟอร์ม ที่จะใช้ควบคุมการทำงานบนอุปกรณ์อีเล็คทรอนิกส์ต่างๆ โดยเริ่มใช้แพลตฟอร์มนี้บน โทรศัพท์มือถือ ที่จะออกในนาม Google เป็นอันดับแรก โดย Android เป็นระบบปฏิบัติการแบบ Open Source คือ สามารถนำไปพัฒนาโปรแกรม หรือ ต่อยอดแอพพลิเคชั่นได้อย่างอิสระ ไม่มีขีดจำกัด ซึ่งโครงการ ที่เห็นเป็นรูปเป็นร่างก็คือ การแข่งขัน Android Developer Challenge เปิดโอกาสให้นักพัฒนาโปรแกรม ออกแบบแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ Android เป็นระบบปฏิบัติการระบบเปิดที่สามารถใช้กับ โทรศัพท์มือถือทั้งที่มีจอสัมผัสและไม่มี โดยมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป มีโปรแกรมการใช้งานมากมาย ไม่ว่า จะเป็นเรื่องการท่องอินเตอร์เน็ท การใช้งานแผนที่ ดูคลิปวีดีโอ เป็นต้น 33
Version ของ Android 1.0 ไม่มี 1.1 ไม่มี 1.5 Cupcake 1.6 Donut 2.0 Eclair 2.0.1 Eclair 2.1 Eclair 2.2 Froyo 2.3 Gingerbread 3.0 Honeycomb 2.4 Ice Cream (Sandwich) 4. Linux เป็นระบบปฏิบัติการที่คิดค้นโดยนักศึกษาจาก ม. เฮลซิงกิ ฟินแลนด์ (ประเทศเดียวกับโนเกีย) ชื่อ ลี นุส ทอวาลด์ ตอนนี้เขาเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ Linux แต่เพียงผู้เดียว แต่เนื่องจากระบบของเขาเปิดเผยรหัส ทำ ให้สามารถนำไปพัฒนาได้ตามใจชอบโดยไม่คิดเงิน จึงได้มีผู้พัฒนามาใช้กับมือถือ โดยคุณสมบัติเบื้องต้นจะ แตกต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อ 5. Palm Palm จริงๆแล้วก็คือ electronic organizer ที่เปรียบเหมือน computer ขนาดเล็กตัวหนึ่งซึ่งจะมี การทำงานได้เกือบจะเหมือน PC ที่คุณใช้อยู่ แต่ Palm จะมีขนาดเล็กกว่า สามารถพกพาไปไหนต่อไหนได้ สะดวกกว่า และมีระบบปฏิบัติการเฉพาะของ Palm เอง นั่นก็คือ Palm OS platform ซึ่งคล้ายกับเครื่อง PC ที่ส่วนมากใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 95/98 จากเหตุผลนี้เองจึงทำให้ Palm มีโปรแกรมการใช้งานต่างๆ 34
ที่มารองรับเป็นของระบบปฏิบัติการของ Palm เอง และในปัจจุบันนี้ Palm เป็นcomputer มือถือขนาดเล็กที่ เข้ามามีบทบาทและเป็นที่นิยม ใช้กันมากทั้งในเมืองไทย และต่างประเทศ ในหลายสาขาอาชีพที่แตกต่างกัน เช่น หมอ ,วิศวกร หรือแม้กระทั่งในด้านการทหาร เพราะระบบปฏิบัติการ Palm OS นั้น ที่มีลักษณะเด่นกว่า ระบบปฏิบัติการของเครื่อง computer มือถือขนาดเล็กอื่นๆ เพราะ Palm เป็นเครื่อง computer ที่เน้นการ ใช้งานที่ง่าย สะดวกซึ่งเหมาะแก่การพกพาและสามารถเรียกการใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็วจึงทำให้ Palm เป็น PDA ที่สามารถใช้งานได้จริงและอย่างสมบูรณ์ ในชิวิตประจำวัน 6. BADA บาดา (เกาหลี: 바다 - Bada) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับโทรศัพท์มือถือพัฒนาโดยซัมซุง โดย ออกแบบมาสำหรับโทรศัพท์มือถือทั่วไปและโทรศัพท์แบบสมาร์ตโฟน[1] คำว่า "บาดา" (바다) เป็นภาษา เกาหลีหมายถึง มหาสมุทร หรือ ทะเล สมาร์ตโฟนซัมซุงรุ่นแรกที่ใช้ระบบปฏิบัติการบาดาคือ ซัมซุง เวฟ เอส8500 ออกวางจำหน่ายในเดือน เมษายน ค.ศ. 2010ทำยอดขายได้ 1 ล้านเครื่องภายในเวลา 4 สัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 ซัมซุงประกาศยุติการพัฒนาระบบปฏิบัติการบาดาเพื่อหันไป พัฒนาระบบปฏิบัติการไทเซน (Tizen) แทน 35
bada เป็นแพล็ตฟอร์ม ไม่ใช่แค่ OS คือมีระบบปฏิบัติการของตนเอง มีแอพพลิเคชั่นของตัวเอง มีรูปแบบการสั่งงาน ควบคุมการทำงานของตนเอง โดยได้รับการพัฒนาโดย Samsung Electronics ได้รับการ ออกแบบเพื่อใช้งานบนสมาร์ทโฟนระดับไฮเอ็นต์และหลายๆรุ่นซึ่งทาง Samsung มั่นใจกับ bada ในการ ทำงานที่รวดเร็ว สามารถตอบสนองการสั่งงานที่หลายๆคนต้องชอบ เรียกได้ว่าทำให้ feature phone (โทรศัพท์มือถือระดับกลาง) ปกติ มีความสามารถที่ฉลาดขึ้น ติดตั้งแอพพลิเคชั่นได้มากขึ้น เรียกว่าได้แปลง โฉมเปลี่ยนฟีเจอร์โฟนธรรมดาเป็นสมาร์ทโฟนได้เลยด้วยการทำงานที่รันได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้มือถือจาก Samsung ทำงานเป็นมือถืออัจฉริยะได้เลย ดังนั้น bada ถือว่าเป็นมิติใหม่ที่น่าจับตามองบนสมาร์ทโฟน ระดับไฮเอ็นต์และระดับกลาง เพราะน่าสนใจในการใช้งานบนทุกอุปกรณ์พกพา ที่ซัมซุงประกาศว่า ไม่ใช่แค่มือ ถือเท่านั้น ลองหันไปมองว่า อุปกรณ์พกพาต่างๆของซัมซุง ล้วนแต่สามารถใช้ bada ได้จะวิเศษขนาดไหนใจ กว้างดั่งมหาสมุทร ความหมายของ Bada ก็คือมหาสมุทรหรือทะเลนั่นเอง เปรียบเทียบระหว่าง Bada กับ Android 1. ทั้ง Android และ BADA ใช้ฐานเป็น Linux เหมือนกัน 2. ทั้ง Android และ BADA มีทั้ง Java App และ Native App Java ใน Android ไม่ได้ใช้ JavaME แต่ใช้ Dalvik VM ถ้าจะเขียนโดยใช้ Java ก็ใช้ได้แต่ Android SDK เอาของเจ้าอื่นมาลงไม่ได้ และใน App Store จะเป็น Java ซะเยอะ เพราะ Android Native Development Kit (Android NDK) มันเพิ่งออกมาไม่ นานมานี่เอง ส่วน BADA ใช้ C++ คอมไพล์เป็น Native ส่วน Java ใช้ JavaME ทั่วไป แต่ดูเหมือน App ไม่ ค่อยเยอะเท่าไหร่ เพราะตัว BADA มันก็เพิ่งเปิดตัว แต่เรื่อง UI Design ใช้ XML เหมือนกันทั้งคู่ 3. UI ของ BADA หน้า Home มันไปทำคล้ายๆกับ Android + HTC Sense ข้างในก็ไปคล้ายๆกับ IOS (มีช่องเก็บ App ใช้บ่อย 4 ช่องข้างล่าง) +Android แต่ Android แล้วแต่คนเอาไปใช้ เช่น HTC ลง Sense แทนหน้า Home 4. จอ BADA มัน Optimize มาเพื่อจอแบบ Captivative SAMOLED (เทคโนโลยีของ Samsung เอง) โดยเฉพาะ ส่วน Multimedia แว่วๆมาว่า BADA มี Music Player ที่เจ๋งแบบ Out-of-box มาเลย แต่ ทว่า เรื่อง Video ใน Android มี Youtube Client!!!! 36
7. “IOS” “IOS” ย่อมาจาก iPhone Operating System เป็นระบบปฏิบัติการที่ถูกพัฒนา ขึ้นมาใช้ใน ผลิตภัณฑ์ที่บริษัท Apple เป็นผู้ผลิต เช่น iPod, iPad และ iPhone ข้อดี คือ มี Application หลากหลาย มีบริการซื้อสินค้าผ่านโปรแกรม App Store และโปรแกรม iTunes ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สนับสนุนการจัดการอุปกรณ์ มีเมนูการใช้งาน รวดเร็วและเข้าใจง่าย นอกจากนี้ยังมี โปรแกรม เว็บเบราเซอร์ Safari ช่วยให้สามารถดูเอกสารจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น ภาพ เสียง ได้อย่างรวดเร็ว ข้อเสีย คือ ผู้ใช้งานไม่สามารถออกแบบปรับเปลี่ยนหน้าจอได้ตามความต้องการ และไม่สามารถเปิด ใช้งานแอพพลิเคชั่นพร้อมกันได้ เช่น ไม่สามารถเปิดเพลงพร้อมเปิดกับเปิดเว็บเบราเซอร์ เพื่อใช้งาน อินเทอร์เน็ตได้ 8. Harmony OS Harmony OS ระบบปฏิบัติการของหัวเว่ย (Huawei) เป็นระบบปฏิบัติการแบบกระจาย (Distributed Operating System) และเป็น Open Source คืออนุญาตให้นักพัฒนาสามารถนำไปพัฒนาต่อ ได้ ซึ่งรองรับการใช้งาน smart device ต่าง ๆ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต สมาร์ทวอทช์ ลําโพง ทีวี คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่ในรถยนต์ โดยระบบ Harmony OS นี้แตกต่างจากระบบปฏิบัติการอื่น ๆ อย่าง Android หรือ iOS คือมีการใช้ไมโครเคอร์เนล (Microkernel) หรือตัวจัดการทรัพยากรระบบ ทำให้การ ประมวลผลนั้นรวดเร็วมากยิ่งขึ้น จุดเด่นของระบบปฏิบัติการ Harmony OS 1. สามารถทำงานได้ต่อเนื่องในทุกอุปกรณ์ทั้งในรูปแบบ Shared Communications Platform, Distributed Data Management, Distributed Task Scheduling และ Virtual 2. มีการใช้เทคโนโลยี Deterministic Latency Engine และ high-performance (IPC) ที่ทำให้ สามารถจัดลำดับคำสั่งการทำงานก่อน-หลัง และตั้งกรอบเวลาไว้ล่วงหน้าได้ ช่วยให้ทรัพยากรของระบบ สามารถจัดการ หรือจัดลำดับความสำคัญของงานได้ ลดอาการหน่วงของแอปพลิเคชันลงได้ถึง 25.7% 3. มีวิธีการจัดการระบบแบบไมโครเคอร์เนล (Microkernel) ซึ่งเป็นระบบการยืนยันแบบ Formal Verification ที่ทำงานบน Trusted Execution Environment (TEE) ทำให้มีความปลอดภัยสูง การทำงาน ลื่นไหล และมีความน่าเชื่อถือ 4. ใช้เทคโนโลยี Multi-Device (IDE) ที่รองรับภาษาคอมพิวเตอร์ที่หลากหลาย และรองรับการพัฒนา แอปพลิเคชันแบบเฉพาะ ตัวระบบปฏิบัติการจึงสามารถปรับขนาดให้เหมาะสมกับหน้าจอ ตัวป้อนคำสั่ง หรือ เครื่องมือสำหรับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งานที่แตกต่างกันได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังรองรับทั้งการลากและวาง รวมไปถึงการพรีวิวซอฟต์แวร์แบบเสมือนจริงในขั้นตอนการพัฒนาอีกด้วย จึงทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชัน เพียงครั้งเดียวก็สามารถใช้งานได้ทุกอุปกรณ์ 37
ระบบปฏิบัติการอุปกรณ์พกพาในปัจจุบัน 1. แอนดรอยด์ (ของกูเกิล) แอนดรอยด์ (อังกฤษ: Android) เป็นระบบปฏิบัติการที่มีพื้นฐานอยู่บนลินุกซ์ ในอดีตถูกออกแบบมา สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้จอสัมผัส เช่นสมาร์ตโฟน และแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันได้แพร่ไปยังอุปกรณ์หลาย ชนิดเพราะเป็นมาตรฐานเปิด เช่น Nikon S800C กล้องดิจิตอลระบบแอนดรอยด์ หม้อหุงข้าว Panasonic ระบบแอนดรอยด์ และ Smart TV ระบบแอนดรอยด์ รวมถึงกล่องเสียบต่อ TV ทำให้สามารถใช้ระบบแอน ดรอยด์ได้ด้วย Android Wear นาฬิกาข้อมือระบบแอนดรอด์ เป็นต้น ถูกคิดค้นและพัฒนาโดยบริษัท แอน ดรอยด์ (Android, Inc.) ซึ่งต่อมา กูเกิล ได้ทำการซื้อต่อบริษัทในปี พ.ศ. 2548 แอนดรอยด์ถูกเปิดตัวเมื่อ ปี พ.ศ. 2550 พร้อมกับการก่อตั้งโอเพนแฮนด์เซตอัลไลแอนซ์ ซึ่งเป็นกลุ่มของบริษัทผลิตฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์ และการสื่อสารคมนาคม ที่ร่วมมือกันสร้างมาตรฐานเปิด สำหรับอุปกรณ์พกพา โดยสมาร์ตโฟนที่ใช้ ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เครื่องแรกของโลกคือ เอชทีซี ดรีม วางจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ. 2551 หน้าจอหลักของแอนดรอยด์ 11 38
ผู้พัฒนา หลายแห่ง (ส่วนใหญ่กูเกิลและโอเพนแฮนด์เซตอัลไลแอนซ์) เขียนด้วย ซี, ซี++, Kotlin, XML Schema, จาวา ตระกูล ยูนิกซ์(ลินุกซ์เคอร์เนลแบบปรับแต่ง) วันที่เปิดตัว 23 กันยายน 2008; 13 ปีก่อน รุ่นเสถียร แอนดรอยด์11 / 8 กันยายน 2020; 13 เดือนก่อน รุ่นทดลอง แอนดรอยด์ 12 เบตา 5 ยูเซอร์แลนด์ Bionic libc, mksh shell, Toybox ในส่วนโปรแกรมอรรถประโยชน์หลัก (ตั้งแต่ แอนดรอยด์ 6.0) ส่วนติดต่อผู้ใช้ปริยาย กราฟิก (มัลติทัช) สัญญาอนุญาต • สัญญาอนุญาตอะแพชี2.0 สำหรับซอฟต์แวร์ userspace • GNU GPL v2 สำหรับการปรับแต่งของลินุกซ์เคอร์เนล เว็บไซต์ www.android.com แอนดรอยด์เป็นระบบปฏิบัติการโอเพนซอร์ซ และกูเกิลได้เผยแพร่ภายใต้ลิขสิทธิ์อาปาเช ซึ่งโอเพน ซอร์ซจะอนุญาตให้ผู้ผลิตปรับแต่งและวางจำหน่ายได้ (ภายใต้เงื่อนไขที่กูเกิลกำหนด) รวมไปถึงนักพัฒนาและ ผู้ให้บริการเครือข่ายด้วย อีกทั้งแอนดรอยด์ยังเป็นระบบปฏิบัติการที่รวมนักพัฒนาที่เขียนโปรแกรมประยุกต์ มากมาย ภายใต้ภาษาจาวา ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 มีโปรแกรมมากกว่า 700,000 โปรแกรมสำหรับแอน ดรอยด์ และยอดดาวน์โหลดจากกูเกิล เพลย์ มากถึง 2.5 หมื่นล้านครั้ง จากการสำรวจในช่วงเดือน เมษายน ถึง พฤษภาคม ในปี พ.ศ. 2556 พบว่าแอนดรอยด์เป็นระบบปฏิบัติการที่นักพัฒนาเลือกที่จะพัฒนาโปรแกรม มากที่สุด ถึง 71% ปัจจัยเหล่านี้ทำให้แอนดรอยด์เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน นำหน้าซิมเบียน ในไตรมาสที่ 4 ของปี พ.ศ. 2553 และยังเป็นทางเลือกของผู้ผลิตที่จะใช้ซอฟต์แวร์ ที่มีราคาต่ำ, ตอบสนอง ความต้องการของผู้ใช้ได้ดี สำหรับอุปกรณ์ในสมัยใหม่ แม้ว่าแอนดรอยด์จะดูเหมือนได้รับการพัฒนาเพื่อใช้กับ สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ต แต่มันยังสามารถใช้ได้กับโทรทัศน์, เครื่องเล่นวิดีโอเกม, กล้องดิจิทัล และอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ แอนดรอยด์เป็นระบบเปิด ทำให้นักพัฒนาสามารถพัฒนาคุณสมบัติใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา 39
ส่วนแบ่งทางการตลาดของสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์ นำโดยซัมซุง มากถึง 64% ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2556 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 มีอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มากถึง 11,868 รุ่น จาก 8 เวอร์ชันของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ความสำเร็จของระบบปฏิบัติการทำให้เกิดคดีด้านการละเมิด สิทธิบัตรที่เรียกกันว่า "สงครามสมาร์ตโฟน" (smartphone wars) ระหว่างบริษัทผู้ผลิต ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 โปรแกรม 4.8 หมื่นล้านโปรแกรมได้รับการติดตั้งบนอุปกรณ์จากกูเกิล เพลย์ และในวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556 มีอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 1 พันล้านเครื่อง ได้ถูกเปิดใช้งาน โลโก้แอนดรอยด์ 39
2. IOS ไอโอเอส (ของแอปเปิล) IOS ไอโอเอส (ชื่อเดิมคือ ไอโฟนโอเอส) คือระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์พกพา (สมาร์ตโฟน,แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์) พัฒนาและจำหน่ายโดยแอปเปิล เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 2007 เพื่อใช้บนไอโฟน และได้มีการ พัฒนาเพิ่มเติมเพื่อใช้บนอุปกรณ์พกพาอื่น ๆ ของแอปเปิล เช่น ไอพอดทัช (ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2007), ไอ แพด (ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2010), ไอแพด มินิ (พฤศจิกายน ค.ศ. 2012) และ แอปเปิลทีวี รุ่นที่ 2 (ในเดือน กันยายน ค.ศ. 2010) ไอโอเอสแตกต่างจากวินโดวส์โฟนของไมโครซอฟท์และแอนดรอยด์ของกูเกิล ตรงที่ แอปเปิลไม่อนุญาตให้นำไอโอเอสไปติดตั้งบนอุปกรณ์ที่ไม่ใช่อุปกรณ์ของแอปเปิล ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 แอปสโตร์ของแอปเปิลมีแอปพลิเคชันมากกว่า 2.1 ล้าน แอปพลิเคชัน และ 1 ล้านแอพที่ออกแบบมาเพื่อ ไอ แพด แอปพลิเคชันเหล่านี้มียอดดาวโหลดน์รวมกันมากกว่า 1.3 แสนล้านครั้ง ไอโอเอสมีส่วนแบ่ง 28% ของ ส่วนแบ่งระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์พกพาในไตรมาสที่ 3 ของปี ค.ศ. 2018 ซึ่งเป็นรองจากแอนดรอยของกู เกิลเท่านั้น ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012 ไอโอเอสมีส่วนแบ่งคิดเป็น 65% ของการบริโภคข้อมูลบนอุปกรณ์ พกพา (ซึ่งรวม ไอพอดทัช และ ไอแพด) ในกลางปี ค.ศ. 2012 มีอุปกรณ์ไอโอเอสมากกว่า 410 ล้านเครื่องที่ เปิดใช้งาน จากการอ้างอิงจากงานแถลงเปิดตัวต่อสื่อโดยแอปเปิลใน วันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2012 มีอุปกรณ์ ไอโอเอส 400 ล้านตัวที่จำหน่ายไปแล้วในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012 ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ (user interface) ของไอโอเอสมีพื้นฐานแนวคิดมาจาก "การควบคุมโดยตรง" (direct manipulation) ด้วยการใช้มัลติทัช องค์ประกอบของการควบคุมก็คือการใช้นิ้วเลื่อน, สวิทช์ และปุ่ม เพื่อเป็นการควบคุมอุปกรณ์รวมถึงท่าทางอย่างอื่น เช่น การนำนิ้วมือ (มากกว่าสองนิ้ว) บีบเข้าหาศูนย์กลาง (swipe), แตะเบา ๆ (tap), การนำนิ้วสองนิ้วบีบเขาหาศูนย์กลาง (pinch), การนำนิ้วสองนิ้วกางออกจาก ศูนย์กลาง (reverse pinch) ซึ่งทั้งหมดนี้มีความหมายที่เจาะจงในบริบทต่าง ๆ ของไอโอเอสและถือเป็นการใช้ งานแบบส่วนต่อประสานกับผู้ใช้แบบมัลติทัช ภายในอุปกรณ์ที่ติดตั้งไอโอเอสจะมีเซนเซอร์ตรวจจับการ เคลื่อนไหวเพื่อใช้กับบางแอปพลิเคชันเพื่อตอบสนองการสั่นของอุปกรณ์ หรือการหมุนอุปกรณ์ที่คำนวณใ น รูปแบบสามมิติ ไอโอเอสมีต้นกำเนิดมาจากแมคโอเอสซึ่งได้รากฐานมาจากดาร์วินและแอปพลิเคชันเฟรมเวิร์คต่าง ๆ ไอโอเอสคือรุ่นพกพาของแมคโอเอสที่ใช้บนคอมพิวเตอร์ของแอปเปิล ในงาน WWDC ปี พ.ศ. 2562 ไอโอเอส 13 ที่จะอัปเดทในไอแพด ได้แยกจากที่จะแตกต่างไปจากไอ โอเอสคือไอแพดโอเอส ซึ่งเป็นนัยถึงการแยกระบบปฏิบัติการที่จะแตกต่างไปจากไอโอเอสซึ่งใช้สำหรับในไอ แพด รุ่นหลักของไอโอเอสจะมีการเปิดตัวทุก ๆ ปี จนถึงปัจจุบันนี้ ได้มีการปล่อยตัว iOS 17 ซึ่งเป็นรุ่น ล่าสุดในวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2566 ในงาน WWDC ปี พ.ศ. 2566 40
ไอโอเอสแต่ละรุ่น รุ่น เปิดตัวครั้งแรก รายละเอียดหลัก 1 29 มิถุนายน พ.ศ. 2550 เปิดตัวพร้อมกับ iPhone 2G รุ่นแรก โดยใช้ชื่อว่า iPhone OS 2 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 รองรับสำหรับการใช้งานใน iPhone 3G และ iPod Touch ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้ง แรก ทั้งยังรองรับ App store เป็นครั้งแรก 3 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552 รองรับสำหรับการใช้งานใน iPhone 3GS สามารถคัดลอกและวางข้อความ และส่ง MMS ได้ 4 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553 รองรับสำหรับการใช้งานใน iPhone 4 เป็นรุ่นแรกที่ใช้ชื่อว่า iOS อย่างเป็น ทางการ โดยใช้ชื่อว่า iOS 4 โดยเป็นเวอร์ชันแรกที่ iPhone รุ่นแรกไม่รองรับ ในรุ่นนี้รองรับฟังก์ชันมากมาย อาทิ Multitasking เป็นต้น และในรุ่น 4.2.1 เป็นรุ่นแรกที่เริ่มใช่งานใน ไอแพด ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรก 5 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554 รองรับสำหรับการใช้งานใน iPhone 4S รุ่นนี้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบหน้าตา ของฟังก์ชันพื้นฐาน และรองรับระบบต่างๆมากมาย อาทิไอ คลาวด์และ สิริเป็นต้น 6 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555 รองรับสำหรับการใช้งานใน iPhone 5 และไอพอดทัช รุ้นที่ 5 เปลี่ยนไปใช้ ระบบแผนที่ของ TomTom, สามารถ Facetime ผ่านระบบเซลลูล่าร์, การ ถ่ายภาพแบบพาโนรามา, คีย์บอร์ดภาษาไทยแบบ 4 แถว, แอปพลิเคชัน นาฬิกาสำหรับ iPad 7 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เปลี่ยนส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ใหม่ทั้งหมดให้เป็นแบบเรียบง่าย เพิ่มสถานีวิทยุ ไอจูนส์ ศูนย์การตั้งค่าด่วน บริการส่งไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ของแอปเปิลผ่าน แอร์ดรอป และเสริมความสามารถของซีรี(อังกฤษ: Siri) หรือที่แผลงเป็น สิริ 8 2 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เพิ่มไอคลาวด์ไดรฟ์ การแจ้งเตือนแบบอินเตอร์แอกทีฟ การสนับสนุน แป้นพิมพ์จากผู้พัฒนาอื่นนอกเหนือแอปเปิล การแบ่งปันข้อมูลในอุปกรณ์ของ แอปเปิลภายในครอบครัว และระบบการค้นหาใหม่ 41
รุ่น เปิดตัวครั้งแรก รายละเอียดหลัก 9 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558 ปรับปรุง Siri ให้มีความแม่นย้ำมากขึ้นกว่าเดิม , เปลี่ยนแอปพลิเคชัน จาก Passbook เป็น Wallet , เพิ่มแอปพลิเคชัน News , ปรับปรุงอินเทอร์เฟส Multitasking และอื่นๆ - สำหรับ iPad โดยเฉพาะ : เพิ่มฟีเจอร์ QuickType keyboard , เพิ่มการ รองรับ Slide Over , เพิ่มการรองรับ รูปภาพข้างในรูปภาพ (Picture in Picture) และ เพิ่มการรองรับ Split View • Split View รองรับเฉพาะบน iPad Air 2 และ iPad Pro (ทั้ง 12.9 นิ้ว และ 9.7 นิ้ว) • Slide Over และ รูปภาพข้างในรูปภาพ (Picture in Picture) รองรับเฉพาะ iPad Air ขึ้นไป , iPad Mini 2 ขึ้นไป และ iPad Pro (ทั้ง 12.9 นิ้ว และ 9.7 นิ้ว) 10 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559 - เปลี่ยนหน้าตา Lock Screen ใหม่ พร้อมฟังค์ชั่น Raise To Wake โดยใช้ Apple M9 คอยตรวจการเคลื่อนไหวของตัวเครื่อง , เปลี่ยนเสียงเอกเฟคบาง ส่วน , เปลี่ยนหน้าตา Control Center , เปลี่ยนหน้าตาแอพต่างๆ เช่น Apple Music News Maps - ปรับปรุงการใช้ 3D Touch , ปรับปรุง QuickType - สามารถลบแอพที่มา พร้อมกับ iOS ได้แล้ว , การแจ้งเตือน สามารถลบออกทั้งหมดได้ในแตะครั้ง เดียว - เพิ่มลูกเล่นสำหรับแอพ Messages , Photos - เพิ่มแอพ ใหม่ Home - เพิ่มฟังค์ชั่นการตรวจสอบเบอร์โทรเป็นสแปม , VoIP ทำได้บน แอพโทรศัพท์ได้แล้ว 11 19 กันยายน พ.ศ. 2560 ใน ไอโอเอส 11 มีการออกแบบหน้าตาของระบบ โปรแกรม และไอคอนใหม่ โดยมีการปรับปรุงให้ใช้งานง่ายและสะดวกมากขึ้น เช่น Control Center Notification Calculator App Store เป็นต้น -ปรังปรุง Siri ทั้งไอคอน หน้าจอ เสียง หรือความฉลาดที่มากขึ้น -เพิ่มแอปฯ Files[4] 12 17 กันยายน พ.ศ. 2561 ปรับปรุงประสิทธิภาพของตัวเครื่องให้เปิดแอพได้เร็วขึ้น , เพิ่ม Screen Time , รองรับแอพที่ทำด้วย ARKit 2 , รองรับการใช้แผนที่จากแอพฯภายนอก บน Carplay ได้ 42
รุ่น เปิดตัวครั้งแรก รายละเอียดหลัก 13 4 มิถุนายน 2562 - เพิ่ม Dark mode สำหรับใช้งานตอนกลางคืน - ปรับปรุง Portrait Lightning ให้ดียิ่งขึ้น - สามารถหมุนและปรับการสะท้อน ของวีดีโอ - แอพกล้องสามารถแต่งรูปภาพโดยใช้แสงและสี โดยเครื่องมือมีความ ละเอียดมากยิ่งขึ้น - แยก iPad ออกจาก iOS โดยตั้งระบบปฏิบัติการใหม่ใน ชื่อ iPadOS - เพิ่มการใช้งานการลงชื่อเข้าสู่ระบบ โดยใช้อีเมลและรหัสผ่านของ แอปเปิลเอง (Sign in with Apple) - ปรับปรุง Siri ให้มีเสียงพูดที่ธรรมชาติมาก ยิ่งขึ้น - สามารถนำ Memoji ส่งเป็นสติกเกอร์ในแอพ iMessage 14 23 มิถุนายน 2563 - เพิ่มวิดเจ็ตที่สามารถแสดงข้อมูลจากแอปพลิเคชันต่างๆ บนหน้าจอโฮมได้ - เพิ่มหน้า App Library ที่จะแบ่งกลุ่มของแอพลิเคชั่นในเครื่องตามฟังก์ชันโดย อัตโนมัติ - ปรับปรุง Apple CarPlay ให้ดียิ่งขึ้น สามารถเปลี่ยนภาพพื้นหลังของหน้าจอ หลักได้ - เพิ่มรูปลักษณ์ใหม่ไปยัง Memoji และ Animoji - ปรับปรุงอินเตอร์เฟสของหน้าจอโทรเข้า และ Siri ให้มีความกะทัดรัดมากขึ้น - สามารถเล่นวิดิโอแบบ Picture-in-Picture บน iPhone ได้แล้ว - ปรับปรุงแอพลิเคชั่นแผนที่ ให้สามารถนำเส้นทางโดยการใช้จักรยาน หรือ รถยนต์ไฟฟ้าได้ - ปรับปรุงความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของเว็บเบราว์เซอร์ซาฟารี - เพิ่มฟีเจอร์ App Clips ที่จะเป็นการเปิดแอปพลิเคชันขนาดเล็กขึ้นอย่างทันที มาจากการสแกนแท็ก NFC, การใช้ลิงก์ หรือการใช้ QR Code ได้ - เพิ่มการตรวจจับหน้าสำหรับกล้องความปลอดภัย ในแอปพลิเคชัน Home 15 20 กันยายน 2564 - เพิ่มระบบ "SharePlay" สำหรับ FaceTime โดยเป็นการแชร์ภาพยนตร์, รายการโทรทัศน์, หน้าจอ และเพลง - เพิ่มระบบ "แชร์กับคุณ" ที่จะเป็นการส่งต่อข้อความไป-มาระหว่างแอปต่าง ๆ ได้ - ปรับปรุง Meemmoji ให้ดียิ่งขึ้น มีการเพิ่มเสื้อผ้าเข้ามาและเครื่องประดับอีก มากมาย - เพิ่มระบบโฟกัส ซึ่งมีการทำงานคล้ายระบบ "ห้ามรบกวน" โดยผู้ใช้จะเลือก ช่วงเวลาที่โฟกัสกับการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ระบบนี้จะช่วยกรองการแจ้งเตือนต่าง ๆ เพื่อจะได้ไม่รบกวนผู้ใช้ตามช่วงเวลาที่เลือกไว้ - การปรับปรุงระบบอื่น ๆ ให้ดียิ่งขึ้นไป 43
รุ่น เปิดตัวครั้งแรก รายละเอียดหลัก 16 14 กันยายน 2565 - เพิ่มระบบการตกแต่งหน้าจอ Lock Screen - ปรับหน้าจอล็อกและสามารถปรับลุคและอารมณ์และเชื่อมต่อกับ Focus ได้ - แสดงบางแอปที่หน้าล็อก Lock Screen - แอปสภาพอากาศ - Visual Look Up เพิ่มความสามารถใหม่ไดคัทรูปได้ - แอปแปลภาษาสามารถรองรับ ภาษาไทย - Live Text รองรับไฟล์วีดีโอ - จัดระบบแสดงผล Notification ใหม่ - เพิ่มแอป Fitness - แอปสุขภาพเพิ่มฟีเจอร์การทานยา - เพิ่มการแชร์กลุ่ม แท็บของ Safari - แอปข้อความ เพิ่มความสามารถแก้ไขข้อความและยกเลิกการ ส่งได้ - แอปเมลปรับปรุงใหม่ - ดูรหัส Wi-fi ที่เชื่อมต่อ - การปรับปรุงระบบ เพิ่มเติม ให้ดียิ่งไป 17 18 กันยายน 2566 - เพิ่มฟีเจอร์Name Drop และ StandBy Mode - แอปข้อความปรับปรุงหน้าตาแอปและเพิ่มในการสร้าง Sticker - สร้าง Live Sticker - การปรับปรุงระบบเพิ่มเติม ให้ดียิ่งไป 44
3. Harmony OS (ฮาร์โมนีโอเอส) (ของหัวเหว่ย) ระบบปฏิบัติการ ฮาร์โมนีโอเอส (Harmony OS) เป็นระบบปฏิบัติการของหัวเว่ย (Huawei) เป็น ระบบปฏิบัติการแบบกระจาย (Distributed Operating System) และเป็น Open Source คืออนุญาตให้ นักพัฒนาสามารถนำไปพัฒนาต่อได้ ซึ่งรองรับการใช้งาน smart device ต่าง ๆ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต สมาร์ทวอทช์ ลําโพง ทีวี คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่ในรถยนต์ โดยระบบ Harmony OS นี้แตกต่างจาก ระบบปฏิบัติการอื่น ๆ อย่าง Android หรือ iOS คือมีการใช้ไมโครเคอร์เนล (Microkernel) หรือตัวจัดการ ทรัพยากรระบบ ทำให้การประมวลผลนั้นรวดเร็วมากยิ่งขึ้น HarmonyOS เป็นระบบปฏิบัติการตัวหนึ่งที่เหมือนกับ Android OS และ OS อื่่นๆ นั้นแหละครับ ความพิเศษของมันก็อยู่ตรงที่เป็นระบบปฏิบัติการตัวแรกของ Huawei ที่เปิดตัวขึ้นมานับตั้งแต่เข้ามาลุยตลาด ไอทีหลายสิบปี โดยมีเป้าหมายคือการก้าวขึ้นเป็นระบบปฏิบัติการแบบไร้รอยต่อ (Seamless) ระดับโลก ซึ่ง ทาง Huawei ประกาศไว้ว่า HarmonyOS เป็นระบบปฏิบัติการแบบเปิด (Open Source) ที่นักพัฒนาทุกคน สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้อย่างอิสระ จุดเด่นของระบบปฏิบัติการ Harmony OS 1. สามารถทำงานได้ต่อเนื่องในทุกอุปกรณ์ทั้งในรูปแบบ Shared Communications Platform, Distributed Data Management, Distributed Task Scheduling และ Virtual 2. มีการใช้เทคโนโลยี Deterministic Latency Engine และ high-performance (IPC) ที่ทำให้ สามารถจัดลำดับคำสั่งการทำงานก่อน-หลัง และตั้งกรอบเวลาไว้ล่วงหน้าได้ ช่วยให้ทรัพยากรของระบบ สามารถจัดการ หรือจัดลำดับความสำคัญของงานได้ ลดอาการหน่วงของแอปพลิเคชันลงได้ถึง 25.7% 45
3. มีวิธีการจัดการระบบแบบไมโครเคอร์เนล (Microkernel) ซึ่งเป็นระบบการยืนยันแบบ Formal Verification ที่ทำงานบน Trusted Execution Environment (TEE) ทำให้มีความปลอดภัยสูง การทำงาน ลื่นไหล และมีความน่าเชื่อถือ 4. ใช้เทคโนโลยี Multi-Device (IDE) ที่รองรับภาษาคอมพิวเตอร์ที่หลากหลาย และรองรับการพัฒนา แอปพลิเคชันแบบเฉพาะ ตัวระบบปฏิบัติการจึงสามารถปรับขนาดให้เหมาะสมกับหน้าจอ ตัวป้อนคำสั่ง หรือ เครื่องมือสำหรับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งานที่แตกต่างกันได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังรองรับทั้งการลากและวาง รวมไปถึงการพรีวิวซอฟต์แวร์แบบเสมือนจริงในขั้นตอนการพัฒนาอีกด้วย จึงทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชัน เพียงครั้งเดียวก็สามารถใช้งานได้ทุกอุปกรณ์ iOS vs Android ต่างกันอย่างไร iOS vs Android ต่างกันอย่างไรบ้าง มาดูเปรียบเทียบจุดเด่นต่าง ๆ ของระบบปฏิบัติการสำหรับ โทรศัพท์มือถือ Android และ iPhone กัน ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือจะมีแบ่งออกเป็น 2 ระบบปฏิบัติการหลัก ๆ คือ iOS vs Android ซึ่งแต่ละ ระบบต่างก็มีจุดเด่นและข้อดีที่แตกต่างกันไป สำหรับบางคนที่กำลังจะซื้อมือถือใหม่ และอาจลังเลหรือ ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกใช้ iPhone ที่เป็นระบบ iOS หรือใช้มือถือ Android ดี วันนี้เราจึงรวมข้อมูลเกี่ยวกับ จุดเด่นหลัก ๆ ของทั้ง 2 ระบบมาให้ลองพิจารณากันดังต่อไปนี้ 46