จุดเด่นของ iOS 1. ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่น ๆ ของแอปเปิลได้ดี สำหรับผู้ที่ใช้อุปกรณ์อื่น ๆ ของแอปเปิลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Mac, iPad หรือ Apple Watch การ เลือกใช้ iPhone ก็จะช่วยให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ดังกล่าวได้สะดวกขึ้น เนื่องจากแอปเปิลได้ ออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกันได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว แถมยังใช้งานได้คล่องและถนัดโดยไม่ ต้องเสียเวลาปรับตัวมากนัก 2. แอปฯ (บางส่วน) ใช้งานลื่นไหลกว่า เนื่องจาก iPhone มีเพียงยี่ห้อเดียวและมีแค่ไม่กี่รุ่น ทำให้การพัฒนาแอปฯ ออกมารองรับ ระบบปฏิบัติการ iOS นั้นทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพกว่า หลาย ๆ แอปฯ จึงใช้งานได้ลื่นไหลและพบบั๊กน้อย กว่าบนระบบ Android ที่มีอุปกรณ์หลากหลายยี่ห้อสารพัดรุ่น ซึ่งพัฒนาแอปฯ มาให้เสถียรได้ยากกว่า 3. การอัปเดตระบบที่รวดเร็วสม่ำเสมอ เนื่องจาก iOS เป็นระบบปฏิบัติการที่แอปเปิลเป็นผู้ดูแลเองทั้งหมด จึงมีการอัปเดตที่รวดเร็วและ สม่ำเสมอ เมื่อพบบั๊กหรือช่องโหว่ใด ๆ ก็จะมีอัปเดตออกมาแก้ในไม่ช้า แถม iPhone แต่ละรุ่นก็จะได้อัปเดต ค่อนข้างยาวนานหลายเวอร์ชั่น ซึ่งต่างจาก Android ที่การอัปเดตขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิตมือถือยี่ห้อนั้น ๆ แถม ในแต่ละรุ่นก็ได้รับการอัปเดตและการสนับสนุนที่แตกต่างกันไป 4. ความปลอดภัยสูงกว่า iOS เป็นระบบปฏิบัติการแบบปิดที่ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้งแอปฯ จากนอก App Store เองได้ อีกทั้ง แอปฯ ต่าง ๆ ที่จะเข้ามาอยู่ใน App Store ได้นั้นจะต้องผ่านการคัดกรองของแอปเปิลอย่างเข้มงวดมากกว่า Google Play Store ของฝั่ง Android จึงทำให้ iOS มีความปลอดภัยที่สูงกว่า เสี่ยงเจอมัลแวร์หรือแอปฯ ปลอมได้น้อยกว่านั่นเอง 47
ข้อสังเกตของระบบ iOS 1. ความไม่สะดวกในการถ่ายโอนไฟล์กับอุปกรณ์ระบบอื่น ในการส่งหรือแชร์ไฟล์ระหว่าง iOS กับอุปกรณ์ที่ใช้ระบบอื่น ๆ อย่าง Android หรือคอมพิวเตอร์ที่รัน Windows นั้น จะไม่สามารถถ่ายโอนไฟล์ผ่าน USB หรือ Bluetooth โดยตรงได้ แต่จำเป็นจะต้องมีการติดตั้ง แอปฯ อื่น ๆ เพิ่มเติม หรืออาจใช้การแชร์ฝ่ายแบบออนไลน์ผ่านระบบ Cloud แทน 2. พอร์ต Lightning เนื่องจาก iPhone ปัจจุบันยังคงใช้พอร์ต Lightning เป็นหลักอยู่ ทำให้การใช้สายชาร์จหรือ อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ นั้นมักจะต้องใช้แบบที่เป็นพอร์ต Lightning เท่านั้น ไม่สามารถใช้ร่วมกับของมือถือ Android ที่เป็น USB Type-C ได้ 3. iPhone มีราคาค่อนข้างสูง หากต้องการจะใช้มือถือที่เป็นระบบ iOS นั้น ก็จำเป็นจะต้องซื้อ iPhone มาใช้เท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับ มือถือ Android ทั่วไปแล้ว จะมีจำนวนรุ่นให้เลือกน้อยกว่า และมีราคาเริ่มต้นที่สูงกว่า ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับ คนงบน้อยที่อยากได้โทรศัพท์มือถือราคาประหยัด จุดเด่นของ Android 1. มีมือถือให้เลือกหลากหลายรุ่นกว่า นอกจาก iPhone ของแอปเปิลแล้ว มือถือยี่ห้ออื่น ๆ ส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นระบบปฏิบัติการ Android แทบทั้งหมด จึงทำให้ผู้ใช้ Android มีตัวเลือกที่หลากหลาย มีตั้งแต่มือถือรุ่นราคาประหยัดไปจนถึง รุ่นระดับเรือธง ชอบดีไซน์แบบไหน สเปกยังไง ก็มีให้เลือกตามต้องการ 2. ปรับแต่งและใช้งานได้อิสระกว่า เนื่องจาก Android เป็นระบบแบบเปิด ที่บริษัทผู้ผลิตมือถือและผู้พัฒนาต่าง ๆ สามารถปรับแต่ง ระบบเองได้ รวมทั้งตัวผู้ใช้ก็สามารถใช้งานได้อิสระมากกว่า iOS อย่างเช่นสามารถเชื่อมต่อกับ PC ที่เป็น Windows ได้ง่าย ถ่ายโอนไฟล์กับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้สะดวกกว่า เป็นต้น 48
3. ติดตั้งแอปฯ นอก Store หลักได้ มือถือรวมทั้งแท็บเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android สามารถติดตั้งแอปฯ นอก Google Play Store ได้อย่างง่ายดายในรูปแบบของไฟล์ APK ทำให้มีช่องทางในการเลือกและติดตั้งแอปฯ หลากหลายมากกว่าฝั่ง iOS (แต่ก็ต้องระวังเจอมัลแวร์ด้วยนะ) 4. ใช้พอร์ต USB Type-C ในขณะที่ iPhone จนถึงปัจจุบันยังคงใช้พอร์ต Lightning เป็นหลักอยู่ แต่มือถือ Android ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะใช้พอร์ต USB Type-C เหมือนกันหมด ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ได้ง่ายกว่า รวมทั้งใช้สายชาร์จร่วมกันได้อีกด้วย ข้อสังเกตของระบบ Android 1. ความเสถียรในการใช้งาน ความลื่นไหลและความเสถียรในการใช้งานของระบบ Android รวมทั้งแอปฯ ต่าง ๆ นั้น อาจแตกต่าง กันไปขึ้นอยู่กับโทรศัพท์มือถือแต่ละรุ่น เนื่องจากมีสเปกและระบบที่ถูกปรับแต่งจากบริษัทผู้ผลิตมือถือไม่ เหมือนกัน ทำให้การพัฒนาแอปฯ ออกมาให้สามารถใช้งานบนมือถือทุกรุ่นได้เสถียรนั้นทำได้ยากกว่า 2. การสนับสนุนและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ หากผู้ใช้มือถือ Android พบปัญหาใด ๆ ในการใช้งาน บริการช่วยเหลือสนับสนุนหรือความรวดเร็วใน การออกอัปเดตเพื่อแก้ไขปัญหา อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือแต่ละยี่ห้อ 3. เสี่ยงโดนมัลแวร์สูงกว่า เนื่องจาก Android นั้นเป็นระบบเปิด และสามารถติดตั้งแอปฯ จากนอก Google Play Store ได้ จึง ทำให้มีโอกาสเสี่ยงโดนไวรัสและมัลแวร์เล่นงานได้สูงกว่า iOS นอกจากจุดเด่นและข้อดีต่าง ๆ ของแต่ละระบบปฏิบัติการที่ได้กล่าวไปแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่แตกต่างกันก็ คือแอปฯ ที่มีให้ใช้บนแต่ละระบบ ซึ่งบางแอปฯ หรือบางเกมก็อาจมีเฉพาะบน iOS แต่บางแอปฯ ก็มีแต่บน Android จึงไม่สามารถฟันธงได้ว่าของระบบไหนจะดีกว่ากัน กรณีนี้คงต้องพิจารณากันตามความต้องการใน การใช้งานของแต่ละคน รวมถึงความชื่นชอบในเรื่องของดีไซน์ความสวยงามหรือปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย นั่นเอง 49
2. การติดตั้งระบบปฏิบัติการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1. การติดตั้ง แอนดรอยด์ จะติดตั้ง Android บนโทรศัพท์มือถือได้อย่างไร? ในส่วนของระบบปฏิบัติการ Android ของ Google เป็นซอฟต์แวร์ที่มีแหล่งที่มาเปิดอยู่ รวมถึงใน ส่วนที่เกี่ยวกับตลาดสำหรับทุกสิ่งที่เป็นสมาร์ทโฟน ซึ่งสามารถให้โอกาสโปรแกรมเมอร์อิสระในการสร้างแอป พลิเคชัน เกม และเว็บเบราว์เซอร์สำหรับแพลตฟอร์มดังกล่าว ระบบปฏิบัติการนี้ มีการรองรับคุณสมบัติต่างๆ เช่น หน้าจอสัมผัส, ภาพถ่ายดิจิทัล และนำทางด้วย GPS แม้ว่าคุณสนใจที่จะอ่านโพสต์ต่อไป แต่คุณจำเป็นต้องรู้วิธีติดตั้งระบบปฏิบัติการ Android บน โทรศัพท์มือถือของคุณ และการคัดลอกและวางไม่ใช่คำตอบ คุณต้องมีความคิดที่จะทำ สิ่งแรกคือต้องทราบ ยี่ห้อและรุ่นของอุปกรณ์ และขึ้นอยู่กับที่นั่น คุณมองหา ROM ที่ตรงกับเครื่องปลายทาง การติดตั้งระบบปฏิบัติการ Android มักจะทำได้ในบางขั้นตอนหรือขั้นตอนที่เฉพาะเจาะจงกับรุ่นของ อุปกรณ์ที่คุณมี. ที่นี่คือขั้นตอนทั่วไปที่สามารถปฏิบัติได้: ๑. ตรวจสอบระบบปฏิบัติการเดิม: ก่อนที่จะติดตั้งระบบปฏิบัติการ Android ใหม่, ตรวจสอบว่าอุปกรณ์ของคุณมีระบบปฏิบัติการเดิม อยู่หรือไม่. ในบางกรณี, คุณอาจต้องทำการอัปเกรดหรือลบระบบปฏิบัติการเดิม. ๒. สำรองข้อมูล: ทำการสำรองข้อมูลที่สำคัญออกจากอุปกรณ์ เช่น รูปภาพ, วีดีโอ, และไฟล์อื่น ๆ เพื่อป้องกันการ สูญเสียข้อมูล. ๓. เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์: ใช้สาย USB เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ Android ของคุณกับคอมพิวเตอร์. ๔. เปิดในโหมดผู้ใช้ (User Mode): ในบางกรณี, คุณต้องเปิดในโหมดผู้ใช้ (User Mode) โดยใช้คำสั่งเฉพาะหรือกดปุ่มที่กำหนดไว้ใน อุปกรณ์ของคุณ. ๕. ติดตั้งไดรเวอร์: ติดตั้งไดรเวอร์ที่จำเป็นสำหรับอุปกรณ์ Android ของคุณบนคอมพิวเตอร์. ๖. เปิดตัวโปรแกรมติดตั้ง (Installer): คลิกที่ไฟล์ติดตั้ง Android (ไฟล์ .apk) หรือใช้โปรแกรมติดตั้งที่เป็นทางการ. ๗. ปฏิบัติตามขั้นตอนการติดตั้ง: ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Android ตามขั้นตอนที่แสดงบนหน้าจอ. ๘. รอให้ขั้นตอนเสร็จสิ้น: รอให้กระบวนการติดตั้งเสร็จสิ้น. หลังจากนั้น, คุณสามารถกำหนดค่าระบบปฏิบัติการ Android ใหม่ ของคุณตามต้องการ. ๙. รีสตาร์ท: 50
หลังจากติดตั้งเสร็จ, รีสตาร์ท (รีบูต) อุปกรณ์เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงมีผล. กรุณาทราบว่าขั้นตอนเหล่านี้อาจมีความแตกต่างไปตามรุ่นของอุปกรณ์และรุ่นของระบบปฏิบัติการ Android ที่กำลังใช้อยู่ ดังนั้น คำแนะนำที่ได้แสดงมีเพียงคำแนะนำทั่วไปเท่านั้นและควรตรวจสอบคู่มือของ ผู้ผลิตหรือเว็บไซต์ทางการของ Android สำหรับข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง. แต่โดยทั่วไประบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ จะมีระบบสำรองข้อมูล และอัปเดต ซึ่งผู้ใช้สามารถติดตั้ง ล้างข้อมูลและอัปเดต โดยเลือกและทำตามที่ระบบแต่ละยี่ห้อ วิธีการติดตั้ง Android OS บนเครื่องพีซี เมื่อมีคนคิดถึงการใช้ Android บนพีซีพวกเขามักคิดถึงตัวเลียนแบบ แต่วันนี้ฉันจะแสดงวิธีการ ติดตั้ง Android ให้เป็นระบบปฏิบัติการที่สมบูรณ์แบบบนพีซีของคุณ นี้มีประโยชน์อย่างมากมากกว่าแค่ใช้ Android emulator บนเดสก์ท็อปของคุณ สำหรับหนึ่งระบบปฏิบัติการ Android จะสามารถใช้ประโยชน์จากฮาร์ดแวร์ระบบของคุณได้อย่าง สมบูรณ์ในขณะที่เครื่องจำลองใช้ทรัพยากร CPU / RAM ร่วมกับสภาพแวดล้อมระบบปฏิบัติการแบบเดิม ซึ่ง หมายความว่าแอนดรอยด์และแอปพลิเคชันจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบและเนียนเรียบบนฮาร์ดแวร์พีซีเมื่อ ติดตั้ง Android เป็นระบบปฏิบัติการของตัวเอง ลองนึกภาพแอพพลิเคชันและเกมแอนดรอยด์ที่คุณชื่นชอบทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบบนหน้าจอ คอมพิวเตอร์ 32 เครื่องของคุณพร้อมด้วยการสนับสนุนเมาส์และคีย์บอร์ด ฉันไม่ควรต้องอธิบายวิธีที่ยอดเยี่ยม สำหรับเกมเช่น Clash of Clans หรือ Mobile Legends หากคุณเคยน้ำลายไหลด้วยตัวคุณเองอ่านต่อไป เพราะฉันจะนำคุณไปทีละขั้นตอนผ่านการติดตั้ง Android OS บนคอมพิวเตอร์ของคุณ หมายเหตุ: สำหรับคู่มือนี้ฉันใช้ Remix OS แต่ได้เชื่อมโยงกับตัวเลือก Android-for-PC อื่น ๆ แต่ Remix OS เป็นวิธีที่ดีที่สุดในความคิดของฉันและเวอร์ชันล่าสุดมาก่อนมีรากฐานดังนั้นคุณจึงสามารถเริ่มติดตั้งแอพพลิเค ชันรากที่คุณชื่นชอบได้ทันที ที่ต้องการ: - ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่ทำขึ้นสำหรับเครื่องพีซี: คุณมีหลายตัวเลือกที่นี่ - เป็นที่นิยมมากที่สุด คือ Remix OS และ Phoenix OS นอกจากนี้คุณยังสามารถทดลองใช้โครงการ x86 หรือ OpenThos ได้ แต่ สำหรับคู่มือนี้ฉันจะใช้ Remix OS เนื่องจากมีความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์พีซีมาก - ไดรฟ์ USB ที่จัดรูปแบบพร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลอย่างน้อย 8GB (ไม่จำเป็นสำหรับวิธีการ USB ที่ สามารถบู๊ตได้) 51
วิธีการติดตั้ง Package Exe มีสองวิธีในการติดตั้ง Remix OS ถ้าคุณใช้ Windows 7/8/10 คุณสามารถใช้เครื่องมือการติดตั้ง. exe ได้ เพียงแค่คว้าแพ็คเกจ 64 บิตหรือ 32 บิตจากหน้าดาวน์โหลด Remix OS เปิดเครื่องมือติดตั้ง. exe และทำตามคำแนะนำบนหน้าจอ ตอนนี้คุณสามารถเลือกที่จะติดตั้ง Remix OS ลงใน HDD ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถบูตได้ระหว่าง Windows หรือ Remix OS โดยไม่ต้องใช้ USB หรือคุณสามารถติดตั้ง Remix OS ได้โดยตรงบนไดรฟ์ USB สร้างระบบปฏิบัติการพกพาและคุณต้องบูตจาก USB ในเมนู BIOS / UEFI ของคุณ เลือก Hard Disk หรือการติดตั้ง USB ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการระบบบูตแบบ dual หรือ ระบบปฏิบัติการแบบพกพาที่จะบูตจาก USB PRO TIP: หากปัญหาเกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์หรือแล็ปท็อป / โน้ตบุ๊คคุณควรลองใช้ซอฟต์แวร์ Reimage Plus ซึ่งสามารถสแกนที่เก็บข้อมูลและแทนที่ไฟล์ที่เสียหายได้ วิธีนี้ใช้ได้ผลในกรณีส่วนใหญ่เนื่องจากปัญหาเกิดจาก ความเสียหายของระบบ คุณสามารถดาวน์โหลด Reimage Plus โดยคลิกที่นี่ เมื่อเสร็จแล้วให้รีบูตเครื่องคอมพิวเตอร์และเข้าสู่เมนูบูต UEFI เพียงแค่กดปุ่มที่ถูกต้องระหว่างช่วงการบู๊ตเพื่อ เข้าสู่เมนู UEFI: F12 สำหรับ Dell, F9 สำหรับ HP, F12 สำหรับ Lenovo, Option Key for MAC ปิดใช้งาน Secure Boot หากเปิดอยู่และเลือก Remix OS จากเมนูการบูต แค่นั้นแหละ! วิธี USB แบบบูตเดียว วิธีนี้เป็นการติดตั้ง Remix OS เป็นระบบปฏิบัติการ เดี่ยว ซึ่งหมายความว่า Remix OS จะเป็น ระบบปฏิบัติการเดียวในเครื่องพีซีของคุณ นี่อาจฟังดูไม่มีจุดหมาย แต่เนื่องจาก Android ได้รับการออกแบบ มาให้ทำงานได้อย่างราบรื่นบนอุปกรณ์ที่มี RAM และพลังงานต่ำจำนวนมากคุณจึงสามารถนำชีวิตกลับสู่พีซี เครื่องเก่าได้ ผู้คนรายงานว่า Remix OS ใช้เนยเนยเรียบกับพีซีเดสก์ท็อปที่มีแรมเพียง 1GB คุณจำเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์ที่สามารถเขียน / เขียนไฟล์. ISO ไปยัง USB และสร้าง USB สำหรับบู๊ต ได้ - ขอแนะนำให้ใช้ Rufus นอกจากนี้คุณยังต้องใช้ซอฟต์แวร์พาร์ทิชันสำหรับพาร์ติชั่น 3 พาร์ติชันที่สามารถแบ่งพาร์ติชัน ฮาร์ดดิสก์ออกจากบูตได้เช่น BootCD ของ Hiren เพียงแค่เผา. ISO จาก Hiren's BootCD ลงในแผ่นซีดีหรือ USB สำหรับการสร้าง ISO ที่สามารถบู๊ตได้ใน CD ให้ใช้สิ่งต่างๆเช่น Free ISO Burner หรือ IMGBurn สำหรับการสร้าง USB สำหรับบูตระบบ Remix โปรดใช้ Rufus ที่ฉันได้กล่าวมาก่อน ใน Rufus ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการเปิดใช้การตั้งค่าต่อไปนี้: - ระบบไฟล์: FAT32 - รูปแบบด่วน - สร้างดิสก์สำหรับบูตโดยใช้ภาพ ISO - สร้างไฟล์ป้ายชื่อและไอคอนที่เพิ่มขึ้น 52
อย่า! พยายามสร้างซีดีสำหรับบูตสำหรับ Remix OS แม้ว่าคุณจะสร้างซีดีสำหรับบูลีนสำหรับ Hiren ใช้ Rufus เพื่อสร้าง USB! ตอนนี้เริ่มระบบคอมพิวเตอร์ของคุณลงในเมนู UEFI / boot เลือกไดรฟ์สำหรับ Hiren BootCD ที่ คุณทำแล้วเลือก Parted Magic เปิด GParted และสร้าง Partition Table ใหม่และพาร์ติชั่น ext4 ใหม่โดย ใช้ พื้นที่ฮาร์ดดิสก์ทั้งหมดที่มีอยู่ บันทึก / ใช้และบูตเครื่องใหม่ในเมนู UEFI / boot อีกครั้ง ตอนนี้เลือกไดรฟ์ USB ที่มีโปรแกรมติดตั้ง Remix OS ของคุณ เมนู Boot Grub จะปรากฏขึ้นเพื่อ กด E บนแป้นพิมพ์เมื่อเลือกโหมด Resident Mode ตอนนี้ตั้งค่าสถานะการบูตเป็น INSTALL = 1 คุณต้องมองหา SRC = DATA = CREATE_DATA_IMG = 1 และเปลี่ยนเป็น SRC = DATA = INSTALL = 1 ตัวช่วยสร้างการติดตั้งจะปรากฏขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกันในขณะนี้ เลือก ไดรฟ์เป้าหมาย สำหรับการติดตั้งระบบปฏิบัติการ - โดยปกติจะเป็น sda1 เลือกไม่จัดรูปแบบและตกลงที่จะติดตั้ง Grub Boot Loader นอกจากนี้เลือกที่จะ ไม่ อนุญาตให้สิทธิ์ การอ่าน / เขียนสำหรับโฟลเดอร์ระบบ / กดปุ่ม ENTER และการติดตั้งจะเริ่มขึ้น หยิบกาแฟขึ้นมาและเมื่อทำเสร็จแล้วรีบูตเครื่องคอมพิวเตอร์ ของคุณ ตอนนี้ขอรับกาแฟใหม่เพราะการบูตระบบ Remix OS เป็นครั้งแรกจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที เมื่อเสร็จสิ้นแล้วคุณจะถูกนำไปยังหน้าจอการตั้งค่าซึ่งเกือบจะเหมือนกับการเปิดใช้โทรศัพท์เครื่อง ใหม่ คุณจะเลือกภาษาข้อตกลงผู้ใช้การตั้งค่า WiFi เปิดใช้งานบัญชี Google ฯลฯ เพลิดเพลินไปกับระบบปฏิบัติการ Android ใหม่บนพีซี! PRO TIP: หากปัญหาเกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์หรือแล็ปท็อป / โน้ตบุ๊คคุณควรลองใช้ซอฟต์แวร์ Reimage Plus ซึ่งสามารถสแกนที่เก็บข้อมูลและแทนที่ไฟล์ที่เสียหายได้ วิธีนี้ใช้ได้ผลในกรณีส่วนใหญ่เนื่องจากปัญหา เกิดจากความเสียหายของระบบ คุณสามารถดาวน์โหลด Reimage Plus โดยคลิกที่นี่ 53
วิธีการติดตั้ง iOS 14 & iPadOS โปรแกรมซอฟต์แวร์เบต้า 14 – ทดสอบอนาคต iOS al iPhone 12 1. เข้าถึงลิงค์จากอุปกรณ์: https://เบต้าapplecom / sp / betaprogram/ และเข้าสู่ระบบด้วย บัญชีของคุณ Apple (iCloud). 2. หลังจากการตรวจสอบสิทธิ์ ในหน้าเว็บที่เปิดขึ้น ให้เลือกระบบปฏิบัติการที่คุณต้องการลงทะเบียน ไอโอเอส, iPadOS, macOS, tvOS หรือ watchOS. 3. เลื่อนไปด้านล่างและคลิกที่ลิงค์ "ลงทะเบียน .ของคุณ iOS เครื่อง"จากนั้นในหน้าถัดไปที่ปุ่ม"ดาวน์ โหลดโปรไฟล์" 54
4. หลังจากกล่องโต้ตอบปรากฏขึ้น “Profile Downloaded", เข้าไป Settings → ทั่วไป → Software Update เพื่อติดตั้งโปรไฟล์ iOS เบต้า 5. คลิกที่โปรไฟล์ที่ดาวน์โหลดใหม่และเริ่มการติดตั้งโดยคลิก "ติดตั้ง" 6. หลังจากเสร็จสิ้นการติดตั้ง คุณจะถูกขอให้รีสตาร์ท iPhone 7. หลังจากรีสตาร์ทไปที่ Settings → ทั่วไป → Software Update และเริ่มการติดตั้งสำหรับ . เวอร์ชันเบต้าล่าสุด iOS หรือ iPadOS. ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว iPad มีขั้นตอนการลงทะเบียนอุปกรณ์เหมือนกัน ไม่แนะนำให้ติดตั้งเวอร์ชันเบต้าของ iOS ถ้าคุณมี iPhone บริการที่คุณใช้อย่างหนาแน่น อย่างที่บอก ไปก่อนหน้านี้โดยทั่วไปแล้วเวอร์ชันเบต้าจะมีไว้สำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์และผู้ที่ต้องการทดสอบก่อนที่ เวอร์ชันจะวางจำหน่าย "Public Beta"เป็นอีกหนึ่งสำหรับนักพัฒนา Apple นักพัฒนาโปรแกรม. 55
รุ่น "public beta" ไม่ได้ส่งมอบเพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของคนใจร้อน แต่สำหรับการ รวบรวมข้อมูลอัตโนมัติจากอุปกรณ์ที่ติดตั้งเวอร์ชันเหล่านี้ ข้อมูลนี้ประกอบด้วยรายงานการใช้งานที่สมบูรณ์ ประสิทธิภาพ การโต้ตอบกับแอปพลิเคชันบุคคลที่สาม ข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์การใช้งาน บางอย่าง และข้อมูลอื่น ๆ อีกมากมายที่จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาเวอร์ชันสุดท้าย 56
หน่วยที่ 4 ซ่อมบำรุงโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างง่าย 1. หัวข้อเรื่อง 1. ความรู้เบื้องต้นสำหรับการซ่อมโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2. อุปกรณ์เบื้องต้นในการซ่อมโทรศัพท์มือถือ 3. การซ่อมบำรุงโทรศัพท์มือถืออย่างง่าย 2. สมรรถนะประจำหน่วย - แสดงความรู้ความสามารถในการบำรุงรักษาเครื่องโทรศัพท์มือถืออย่างง่ายได้
1. ความรู้เบื้องต้นสำหรับการซ่อมโทรศัพท์เคลื่อนที่ โทรศัพท์มือถือมีพื้นฐานมากจาก icrocontroller และ icrocontroller จะมีส่วนประกอบหลัก 2 ส่วน คือ ฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์ icrocontroller จะทำงานได้ต้องมีการเขียนโปรแกรม ซึ่งก็คือซอฟต์แวร์ เพื่อควบคุมการทำงานฮาร์ดแวร์ ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จะต้องทำงานด้วยการสื่อสารกันด้วยระบบดิจิตอล การซ่อมแซมมือถือจึงต้อง เข้าในดิจิตอลและวงจรดิจิตอลอิเล็กทรอนิกส์ แต่ในบททนี้จะศึกษาเพื่อการซ่อมและบำรุงรักษาจึงเพียงเรียนรู้รูปแบบการสื่อสารและหลักการ ทำงานของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงรับบการสั่งงานว่ามีการควบคุมและสั่งงานกันอย่างไร จึงควรเรียนรู้ไป ตามข้นตอนเพื่อให้สามารถดูแลรักษาเบื้องต้นได้ และที่สำคัญต้องมีทักษะในการเครื่องมือในการซ่อม จำไว้ว่า การซ่อมโทรศัพท์เป็นพรแสวง ไม่ใช่พรสวรรค์ การทำงานของโทรศัพท์มือถือแบ่งออกเป็น 2 ภาคหลัก คือ 1. ภาคแอปพลิเคชั้น 2. ภาคสัญญาณ การทำงานทั้ง 2 ภาคมีความคล้ายคลึงกันมาก คือใช้ IC Power จัดการพลังงานเหมือนกัน ใช้ CPU ในการประมวลผลเหมือนกัน และใช้รูปแบบการสื่อสารที่เหมือนกัน แต่ใช้ชื่อเรียกที่แตกต่างกัน 58
2. อุปกรณ์เบื้องต้นในการซ่อมโทรศัพท์มือถือ หลายๆคนอยากซ่อมโทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้าเองเนื่องจากสามารถทำเองได้ อยากทำเป็นมุม ส่วนตัวงานอดิเรกในบ้านพัก แต่งงๆว่าจะจัดโต๊ะซ่อม เครื่องมือช่าง อะไรบ้างที่ต้องมี เพราะเดินๆที่บ้านหม้อ ร้านอมรเห็นมีเยอะหลายแบบ หลายชนิด กำลังวัตต์เท่าไรดี สารพัดเป็นข้อกังวลใจ วันนี้เรามาแนะนำอุปกรณ ์ เครื่องมือช่าง บนโต๊ะช่างของเรากันดีกว่า ใครที่เคยเดินดูในร้านแล้วเง๊งงง ว่าไอ้นี้คืออะไรใช้อย่างไร วันนี้มี คำตอบครับ 1. โคมไฟ 2. คีมหรือแหนบ 3. ไขควง 4. ปลายมีดแหลม หรือคัดเตอร์ 4. ลวดซับตะกั่ว สำหรับดูดซับตะกั่วออกจาพื้นผิวเมนบอร์ด หรือตัวเครื่อง 59
5. ตะกั่ว ใช้ในการบัดกรีเชื่อมต่อจุดต่างๆ 6. น้ำยาประสานสำหรับบัดกรี 7. แว่นขยาย สำหรับส่องดู IC ที่มีขนาดเล็ก 8. คีมตัด 9. ตะกั่วเหลว สำหรับติด IC ใหม่ที่เปลี่ยน 10. น้ำยาซับเป็นน้ำยาร้อยใส่ใต้ IC เพื่อให้ตะกั่วละลาย 11. ตัวดึงหน้าจอ 12. เครื่องวัดไฟในขณะชาร์จ 60
13. เพาเวอร์ซับพลาย ใช้กระตุ้นแบตเตอรี่ หรือใช้แทนแบตเตอรี่จากตัวเครื่อง 14. หัวแร้ง 15. Hot Air ลมร้อน สำหรับใช้ยก IC และไล่น้ำ 16. ทินเนอร์ ใช้ทำสะอาดบอร์ด นอกจากนี้ จะต้องมีกาว 2 หน้า สก็อตเทป กาว B7000 แปรงสีฟันเก่า เป็นต้น 61
3. การซ่อมบำรุงโทรศัพท์มือถืออย่างง่าย 3.1 ปัญหาที่เกิดกับมือถือ มีอะไรบ้างที่เราสามารถซ่อมเองได้ มือถือเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็น บางคนถึงกับกล่าวว่ามันเป็นอวัยวะที่ 33 เลยทีเดียว เพราะเราขาดมือถือ ไม่ได้เลย แต่มือถือสมาร์ทโฟนในปัจจุบันก็มักจะมีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้น ตามราคาและคุณภาพของมือถือ แต่ ปัญหาที่เกิดกับมือถือนั้น ก็จะคล้ายๆ กัน มีหลายอย่างที่เราสามารถซ่อมเองได้ ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาช่างซ่อม มือถือให้เสียเงิน การซ่อมมือถือนั้น ช่างซ่อมจะคิดแพงมาก เป็นค่าวิชา และค่าโง่ของเราเอง ยิ่งใช้มือถือแพง ก็จะยิ่ง ถูกคิดค่าบริการแพง ไม่ใช่ว่ามีต้นทุนเพิ่มแต่อย่างใด แต่ช่างบางคนก็บอกว่า เพื่อให้สมกับฐานะ เอา iPhone มาซ่อมก็ต้องคิดแพงๆ ให้ผู้ใช้รู้สึกว่า เครื่องแพง ค่าซ่อมแพง จะได้เอาไปคุยโม้กับคนอื่นได้ว่า เครื่องตัวเองค่า ซ่อมแพง แต่จริงๆ แล้วมันเป็นความขี้โกงของช่างซ่อมมือถือ ช่างซ่อมมือถือมีทั้งช่างประจำร้านและรับจ้างรับงานจากร้านมาซ่อมที่บ้าน ซึ่งก็จะบวกกำไรกันหลาย ต่อ เช่น การเปลี่ยนจอของ ASUS Fonepad ต้นทุนอะไหล่ประมาณ 300 กว่าบาท ช่างรับจ้างรับงานจากร้าน มือถือคิดค่าซ่อม 900 แต่หน้าร้านคิด 2,2000 นี่คือตัวอย่างประสบการณ์ตรงที่เจอมา หากเราสามารถทำเองได้ ก็จะประหยัดเงินอย่างมาก ซึ่งก็ยังมีหลายรายการที่เราสามารถทำเองได้ไม่ ต้องพึ่งพาช่างให้เสียเงินเปล่า โดยปัจจุบันจะมีวิดีโอใน Youtube สอนวิธีซ่อมมือถือแทบทุกรุ่น ตัวอย่างรายการซ่อมมือถือที่เราสามารถซ่อมเองได้ 1) การเปลี่ยนแบตเตอรี่มือถือ การเปลี่ยนแบตเตอรี่เป็นสิ่งที่เราสามารถทำเองได้ไม่ยากเลย เพียงแต่ต้องเลือกซื้อให้ตรงรุ่น ซึ่งก็จะมี แบตเตอรี่แท้ราคาแสนแพง และแบตเตอรี่เทียมเกรด A คุณภาพใกล้เคียงแต่ราคาถูกกว่า ให้เลือกใช้มากมาย การเปลี่ยนแบตเตอรี่ในมือถือบางรุ่น ผู้ผลิตอาจจะสร้างความยุ่งยากให้เล็กน้อย อาจจะต้องถอดสกรู เปิดฝา แล้วเปลี่ยนแบตเตอรี่ ซึ่งก็จะเป็นสายแพร์เชื่อมต่อกับเมนบอร์ด ก็ไม่ยาก ทำเองได้ แต่ต้องรู้วิธีถอดฝา ครอบ 62
2) การซ่อมจอทัชสกรีน จอทัชสกรีนของมือถือมีโอกาสแตก เพราะอาจจะเผลอทำเครื่องร่วงหล่นกระแทกพื้น การซ่อมจอ ทัชสกรีนเอง สามารถสั่งซื้ออะไหล่จากร้านในเน็ต หรือใน Lazada แล้วจัดการเปลี่ยนเองได้เลย ไม่ยาก เพราะ แค่ถอดออกจอที่แตกออก ติดตั้งของใหม่ลงไป ทากาว ต่อสายแพร์กับจอ แค่นี้ก็จะใช้งานได้ ไม่ต้องมีการบัดกรี ให้วุ่นวาย 3) ลำโพงมือถือ ในมือถือบางรุ่นลำโพงจะมีความบอบบางมากอย่างของ ASUS Zenfone แต่วิธีเปลี่ยนก็ง่ายมาก แต่ ถอดของเก่าออก แล้วนำของใหม่ใส่เข้าไป ราคาประมาณ 150 บาท เท่านั้นเอง วางแปะที่เดิม ไม่ต้องมีการ บัดกรี หรือต่อสายแต่อย่างใด ง่ายมาก 63
ส่วนในมือถือบางรุ่นลำโพงการเปลี่ยนลำโพงอาจจะต้องต่อสายกับตัวเมนบอร์ด ซึ่งก็ไม่ยากเช่นกัน เสียบหัวต่อเข้าตำแหน่งของมัน ก็ใช้ได้ ไม่ต้องเสียเงินให้ช่างซ่อมแต่อย่างใด อาการจอขาวในมือถือ ความชื้นเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้มือถือเกิดปัญหาหน้าจอขาว กรณีนี้ก็ต้องถอดสายแพร์ที่เชื่อมต่อ ระหว่างเมนบอร์ดของมือถือมาทำความสะอาดอินเตอร์เฟสสำหรับเชื่อมต่อสายแพ เช่น ใช้น้ำยา รอนสัน ซึ่ง ช่างนิยมใช้กัน หาซื้อได้ตามร้านค้า มือถือตกน้ำ กรณีทำเครื่องตกน้ำ อาจจะลองซ่อมเอง ด้วยการรื้อให้หมด แล้วใช้น้ำยารอนสัน ล้างทำความสะอาด น้ำยาจะระเหยไปเอง ไม่มีติดค้าง ตากแดดให้แห้ง แล้วลองประกอบเข้าด้วยกัน หากไม่ได้ผลก็จำเป็นต้องพา เข้าศูนย์หรือใช้บริการช่างซ่อมตามร้านอีกที ทางแก้เบื้องต้นง่าย ๆ 1. รีบนำขึ้นจากน้ำทันที อย่ามัวแต่ตกใจอ้าปากค้าง เพราะยิ่งแช่น้ำนานเท่าไหร่ ความเสียหายก็ยิ่งมากขึ้นตาม เมื่อโทรศัพท์ตก น้ำ คว้าขึ้นมาได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีที่สุด 2. อย่ากดปุ่มเปิด-ปิดเด็ดขาด รวมถึงปุ่มต่าง ๆ ที่อยู่บนตัวเครื่องด้วย เพราะความชื้นจากการตกน้ำหรือแช่น้ำอาจทำให้เกิดการลัดวงจรและ เสียหายหนักกว่าเดิมหรือถาวรได้ 3. ถอดส่วนประกอบให้ไว ส่วนประกอบที่ว่านี้หมายถึงซิมการ์ด เมมโมรี่การ์ด แบตเตอรี่ หน้ากาก ฝาหลัง ฯลฯ ที่สามารถถอด เองได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ จากนั้นให้นำผ้าหรือทิชชู่ชนิดที่ไม่มีขนมาซับน้ำออกให้แห้งและไวที่สุด 4. ข้าวสารช่วยชีวิต เมื่อหิว เอ๊ย เมื่อมือถือและอุปกรณ์ต่าง ๆ เริ่มแห้งพอสมควรแล้ว ให้นำไปวางทิ้งไว้ในถังข้าวสารหรือ ในถุงพลาสติกที่บรรจุซิลิก้าเจลหรือสารกันความชื้นที่เราแอบเก็บสะสมมาจากถุงขนมต่าง ๆ เพื่อช่วยดูด ความชื้นที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่ในส่วนของอุปกรณ์ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน เพื่อให้ แน่ใจว่าความชื้นได้หายไปหมดแล้วจริง ๆ 5. เปิดเครื่องเช็คชีพจร หลังจากนำไปไว้ในถังข้าวสารจนแน่ใจว่าแห้งดีแล้ว ลองเปิดเครื่องดู หากเปิดได้ก็เช็คอาการพื้นฐาน ต่าง ๆ เช่น หน้าจอติดปกติไหม โทรเข้า-ออกได้หรือเปล่า ลำโพงดังหรือไม่ ปุ่มกดใช้งานได้ปกติทุกปุ่มไหม ใช้ งานกล้องได้หรือเปล่า ตรวจเจอการ์ดหน่วยความจำหรือไม่ รวมถึงลองใช้เมนูฟังก์ชั่นและแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ว่ายังใช้งานได้ปกติดีใช่ไหม หากไม่พบปัญหาอะไรก็อย่าเพิ่งนอนใจ หาเวลาไปเข้าศูนย์ฯ ให้ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจเช็คอาการภายในเครื่องด้วยก็ดี 64
Tips 1. หากโทรศัพท์ตกน้ำ ห้ามนำมาเสียบสายชาร์จแบตฯ เด็ดขาด อาจทำให้ไฟช็อต ระเบิด และไฟลุก ไหม้ได้ 2. ถ้าโทรศัพท์มีปุ่มต่าง ๆ ก็อย่าไปเผลอกด เช่น ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง เป็นต้น 3. อย่าเขย่าโทรศัพท์ อาจจะทำให้น้ำในเครื่องแพร่กระจายเป็นวงกว้างขึ้น 4. ห้ามเป่าลม เพราะอาจจะทำให้น้ำไหลเข้าลึกไปอีกได้ 5. ห้ามใช้ความร้อนกับโทรศัพท์ เช่น ใช้ไดร์ป่าผม เอาเข้าไมโครเวฟ วางตากแดด ฯลฯ ตูดชาร์จ ตูดชาร์จหรือพอร์ไมโครยูเอสบีสำหรับเสียบสายชาร์จหรือสายดาต้า ในมือถือบางรุ่นจะมีปัญหาบ่อย จากประสบการณ์ที่ใช้เครื่องมานั้น จะมีปัญหากับมือถือราคาถูก คุณภาพของวัสดุ ก็ต่างกันไป เมื่อมีปัญหาก็ จะชาร์จแบตเตอรี่ไม่เข้า ชาร์จไม่ได้ การเปลี่ยนตูดชาร์จ ในมือถือบางรุ่นจำเป็นต้องพึ่งพาช่าง เพราะการบัดกรี ต้องมีความชำนาญ ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้แผงวงจรเกิดปัญหาได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องลองค้นหาข้อมูลดูก่อน เพราะ มือถือในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะผลิดอะไหล่แยกเป็นชิ้นไว้สำหรับเปลี่ยนโดยเฉพาะไม่ต้องซ่อม ซึ่งผู้ใช้ก็จะ สามารถทำเองได้ รายละเอียดและขั้นตอนในการซ่อมแซมนักเรียนนักศึกษา สามารถศึกษาในยูทูป หรือหลักสูตรในการ ซ่อมบำรุงรักษาโทรศัพท์ขั้นสูงต่อไป https://www.youtube.com/watch?v=70cVl4D255M&list=PL2d53cRuoZZMEzdhn1Q h7HWEYfw9zF1Ex 65
3.2 การบำรุงรักษาโทรศัพทเคลื่อนที่ เชื่อได้เลยว่าในการซื้อโทรศัพท์มือถือมาใช้งานสักเครื่อง ไม่ว่าจะถูกหรือแพงอย่างไร ผู้ใช้ทุกคนย่อม คาดหวังว่าจะได้ใช้มือถือเครื่องนั้นให้คุ้มค่ายาวนานไปจนกว่าจะถึงเวลาที่อยากเปลี่ยนมือถือใหม่โดยความ ตั้งใจ ไม่ใช่เพราะเหตุสุดวิสัยหรือเพราะมือถือพังก่อนเวลาอันควร และแน่นอนว่าการที่โทรศัพท์มือถือจะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานแค่ไหน นั่นก็ย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะ การใช้งานของแต่ละคนด้วย ฉะนั้นเราควรมาเรียนรู้เทคนิคการใช้งานที่จะช่วยดูแลรักษามือถืออย่างถูกต้องกัน สักหน่อย เพื่อที่จะทำให้เจ้าอุปกรณ์ในมือคุณได้อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ 1) ใส่เคสกันกระแทก ติดฟิล์มกันรอย น่าจะเป็นขั้นตอนแรกที่ควรทำเลยหลังจากซื้อมือถือ ก็คือการติดฟิล์มกันรอยหน้าจอหรือรอบตัว เครื่อง พร้อมทั้งใส่เคสกันรอยเพื่อกันกระแทก ซึ่งมือถือบางรุ่นก็จะมีแถมมาให้ในกล่อง เราก็จัดแจงให้ พนักงานขายใส่ให้ได้เลย หรืออาจไปซื้อพวกกระจกนิรภัยและเคสชนิดพิเศษมาใช้ก็ได้เช่นกัน เพื่อความ ปลอดภัยที่มากกว่า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใช้มือถืออย่างระมัดระวังด้วยนะ 66
2) ทำความสะอาดตัวเครื่องและพอร์ตเชื่อมต่อ ใครจะรู้ว่าปัญหาบางอย่างของมือถือนั้น อาจแก้ได้ง่าย ๆ เพียงแค่ทำความสะอาดตัวเครื่องและพอร์ต เชื่อมต่อต่าง ๆ ให้สะอาด เพราะปัญหาอาจเกิดจากพวกฝุ่นผงและคราบไขมันที่เข้าไปสะสมตามซอกต่าง ๆ ของเครื่อง โดยให้ทำความสะอาดมือถือของคุณด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ ใช้คอตตอนบัดเช็ดตามซอกเล็ก ๆ และ ช่องพอร์ตให้เรียบร้อย 3) อย่านำมือถือไปไว้ใกล้ความชื้น ถึงมือถือสมัยนี้จะกันน้ำกันฝุ่นได้ดีแค่ไหน แต่โอกาสที่มือถือตกน้ำแล้วเครื่องช็อตหรือพังก็ยังมีอยู่ ทาง ที่ดีไม่ควรนำมือถือไปอยู่ใกล้แหล่งความชื้น โดยเฉพาะใครที่ชอบหยิบมือถือเข้าห้องน้ำไปด้วย ถ้าเกิดตกน้ำตก ท่าขึ้นมา มือถืออาจจะพังก็ได้ หรือคุณผู้หญิงที่ใส่มือถือรวมกับเครื่องสำอางในกระเป๋า ก็ให้ระวังเครื่องสำอาง จำพวกของเหลวให้ดี ถ้าเกิดมีอะไรรั่วซึมจนเลอะกระเป๋า มือถือของคุณก็อาจจะพลอยโดนไปด้วย 4) รักษามือถือให้ดีอย่าให้เจอรอยขีดข่วน แม้การใส่เคสกันกระแทกและติดฟิล์มกันรอยรอบตัวเครื่องจะเป็นวิธีป้องกันที่ดี แต่ยังไงการป้องกันไว้ ย่อมดีกว่าแก้ อย่างน้อยก็อย่าเก็บมือถือไว้รวมกับสิ่งของเหล่านี้ เช่น พวงกุญแจ เศษเหรียญ ของชิ้นเล็กที่มี ความแหลมคม เพราะเป็นตัวการสร้างรอยขีดข่วนบนมือถือเลยล่ะ 67
5) เคลียร์ความจุเครื่องให้เหลือพื้นที่ว่างอยู่เสมอ สำหรับปัญหามือถือช้า อืด จนทำให้หลายคนตัดสินใจซื้อมือถือใหม่ไปเลย ความจริงแล้วยังมีทางแก้ เบื้องต้นก็คือ ลบรูปภาพ วิดีโอ หรือแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็นออก แต่ถ้าลบเท่าไรพื้นที่ความจุเครื่องก็ยังไม่ค่อย เพิ่มสักที ให้ลองลบไฟล์ขยะจากแอปฯ ต่าง ๆ ออก ส่วนใหญ่จะเป็นแอปฯ ที่ใช้งานบ่อยอย่าง Facebook, LINE เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้พื้นที่ว่างเพิ่มขึ้นแล้ว หรือจะย้ายไฟล์เก่า ๆ ไปเก็บไว้บน Cloud เช่น Google Drive หรือ Dropbox แล้วลบไฟล์เก่าในเครื่องทิ้งก็ได้เหมือนกัน 6) Reset เครื่องใหม่บ้าง เพราะมือถือที่ผ่านการใช้งานมานาน ย่อมมีไฟล์ขยะและอื่น ๆ สะสมตามระยะเวลาการใช้งาน แต่จะ ให้ไล่ค้นหาแล้วลบทีละไฟล์ก็เป็นเรื่องเสียเวลา หรือเกิดลบผิดลบถูกขึ้นมาอาจสร้างปัญหาเพิ่มได้ ทางที่ดีควร สำรองไฟล์ในมือถือเอาไว้ แล้ว Reset ตัวเครื่องใหม่ เพื่อล้างการตั้งค่าใหม่หมด ก็จะได้มือถือเครื่องใหม่ในร่าง เดิมกลับมาอีกครั้ง 7) ไม่โหลดแอปฯ นอก App Store และ Google Play แอปพลิเคชันที่มีอยู่ใน App Store ของไอโฟน และ Google Play Store ของแอนดรอยด์นั้นถือว่า เยอะมาก ๆ เมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่สมาร์ตโฟนเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมา ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องหาแอปพลิเค ชันจากแหล่งอื่นมาใช้งานอีกต่อไป เพราะแอปฯ ที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจาก App Store และ Google Play Store อาจมีมัลแวร์แฝงหรือก่อให้เกิดอันตรายกับตัวเครื่องได้ 68
8) ใช้โหมดประหยัดพลังงานบ้าง ถึงแม้ว่าแบตเตอรี่มือถือจะมีความจุมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องมีวันที่แบตฯ หมดกลางคันกันบ้าง นอกจากจะพกแบตเตอรี่สำรองหรือสายชาร์จเตรียมไว้ จึงควรตั้งค่าให้ใช้งานโหมดประหยัดพลังงานเมื่อ แบตเตอรี่ใกล้หมด หรืออาจตั้งค่าอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปิด Wi-Fi, Bluetooth เพื่อไม่ให้ค้นหาสัญญาณระหว่าง ที่ไม่ได้ใช้งาน รวมทั้งปิดการปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติ และปรับแสงหน้าจอให้สว่างพอดีเพื่อถนอม สายตาและลดการกินไฟ 9) อัปเดตซอฟต์แวร์ให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่ ใครที่ใช้สมาร์ตโฟนน่าจะได้ยินคำนี้กันบ่อย โดยเฉพาะหลาย ๆ รุ่นที่ต้องอัปเดตระบบปฏิบัติการเป็น เวอร์ชั่นใหม่ ซึ่งการอัปเดตตัวเครื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะมักจะมีการแก้ไขบั๊กให้มีประสิทธิภาพการใช้งานที่ ดีขึ้น หรืออุดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยต่าง ๆ แต่อย่าลืมเช็กว่าคนอื่น ๆ ที่ใช้สมาร์ตโฟนรุ่นเดียวกันนั้นเจอ ปัญหาหลังจากอัปเดตหรือไม่ หรือใครที่มั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาใด ๆ ก็ทำการอัปเดตได้เลย 10) อย่าลืมว่ามือถือซ่อมได้ ใครที่เจอปัญหามือถือหนัก ๆ แล้วกำลังตัดสินใจว่าซื้อเครื่องใหม่เลยดีไหม ซึ่งจริง ๆ แล้วปัญหา บางอย่างสามารถแก้ไขเองได้ หรือถ้าไม่รู้วิธีแก้ปัญหา อย่างน้อยก็ให้เป็นหน้าที่ของศูนย์บริการหรือร้านซ่อมมือ ถือในการช่วยเหลือ เพราะบางปัญหาอาจเกิดจากความเข้าใจผิดของผู้ใช้มือถือก็ได้ แต่ถ้าเป็นปัญหาอย่างพวก ตัวเครื่องค้าง กระจกหน้าจอแตก แบตเตอรี่เสื่อม ก็แนะนำให้ส่งศูนย์หรือร้านซ่อมจะดีกว่า ยิ่งถ้าเครื่องใครอยู่ ในช่วงประกัน อาจได้ซ่อมฟรีก็ได้นะ 69
เห็นแบบนี้แล้ว การดูแลรักษามือถือให้ใช้งานได้ยาวนานก็ไม่ยากเลย เพียงแค่ใส่ใจและป้องกันปัญหา ที่อาจเกิดได้ทุกเมื่อ อย่างน้อย 10 วิธีเหล่านี้ก็เป็นวิธีการแก้ปัญหามือถือเบื้องต้นที่จะช่วยถนอมมือถือไม่ให้ เสื่อมเร็ว และจะได้ใช้มือถือให้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปอีกด้วย 70
หน่วยที่ 5 ตรวจสอบระบบเครือข่ายที่ใช้กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1. หัวข้อเรื่อง 1. ตรวจสอบระบบเครือข่ายง่ายๆ ด้วย Network Info 2. การตรวจสอบว่าอุปกรณ์ต่างๆ ใช้เครือข่าย Wi-Fi เดียวกันอยู่ 2. สมรรถนะประจำหน่วย - แสดงความรู้การตรวจสอบระบบเครือข่ายที่ใช้กับโทรศัพท์เคลื่อนที่
1. ตรวจสอบระบบเครือข่ายง่ายๆ ด้วย Network Info บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์จะมีข้อได้เปรียบระบบปฏิบัติการอื่นๆ อยู่ส่วนหนึ่งที่ว่า สามารถ ปรับแต่งและอนุญาตให้แอพพลิเคชั่นต่างๆ เข้าถึงข้อมูลในส่วนของระบบปฏิบัติการได้ลึกพอสมควร ไม่ว่าจะ เป็นข้อมูลตัวเครื่อง หรือข้อมูลการเชื่อมต่อต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนของการเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายนั้น หลายครั้งที่มีการเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายที่มีความซับซ้อนมาก หรือจำเป็นต้องมีการกำหนดค่าการ ทำงานต่างๆ ให้เข้ากับระบบด้วย วิธีการดูและตรวจสอบข้อมูลจากระบบเครือนั้นถ้าเป็นระบบปฏิบัติการอื่นอาจจะทำได้ยาก ต้องมี วิธีการหรือพลิกแพลงสักนิดจึงจะได้มา แต่สำหรับแอนดรอยด์แล้วเพียงติดตั้ง “Network Info II” ก็จะดึง ข้อมูลออกมาให้เราได้ทันที สำหรับเลข 2 ที่ต่อท้ายนั้น มีหมายเหตุจากผู้พัฒนามาว่า ถ้าใช้แอนดรอยด์ 2.3 ขึ้นไป ให้ใช้เวอร์ชั่นที่มี II ต่อท้าย เมื่อทำการติดตั้งแล้วเรียกใช้งาน รอสักครู่ 72
จะพบข้อมูลการเชื่อมต่อ มีให้ดูครบๆ เลย เริ่มจากการเชื่อมต่อพื้นฐาน ข้อมูล WLAN หรือ Wireless LAN แบบเบื้องต้น 73
แถบเมนู Device แสดงการเชื่อมของระบบโทรศัพท์มือถือ ซึ่งในประเทศไทยก็คือ GSM, ใช้งานกับผู้ ให้บริการใด, มีการเชื่อต่อข้อมูลแบบใด รวมไปถึงความแรงของสัญญาณที่ได้รับอีกด้วย 74
ข้อมูล Wi-Fi มาแบบครบๆ ให้ข้อมูลได้ครบมากไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการเชื่อมต่อไปจนถึงยี่ห้อของ อุปกรณ์ที่เราทำการเชื่อมต่อด้วย สถานะของอุปกรณ์ใดที่ไม่ได้เปิดใช้งาน อย่างบลูทูธก็จะไม่แสดง 75
มีข้อมูลตำแหน่งหรือว่า Location ให้ด้วย เพราะถือว่าเป็นการเชื่อมต่อที่ได้รับสัญญาณมาจาก ดาวเทียม GPS นั่นเอง ข้อมูลของ IP V6 ที่กำลังจะเป็นมาตรฐาน IP address ในอนาคตก็มีรอไว้แล้ว 76
กดที่ปุ่มเมนูมีการใช้งานเมนูเพิ่มเติมให้เลือกใช้ ถ้าต้องการส่งข้อมูลออกไปเป็นไฟล์ ก็เลือกได้ที่ Export ถ้าต้องการกำหนดค่าการใช้งานเลือกได้ที่ Preference 77
โดยรวมแล้ว น่าใช้มาก โดยเฉพาะในส่วนของการแสดงผลการข้อมูลของการเชื่อมต่อต่างๆ ที่มีให้เรา ได้ทราบอย่างครบครัน เพราะว่าจะได้ทราบถึงกำหนดค่าที่ทางระบบกำหนดมาให้และแก้ไขปัญหาต่อไป เช่น เราอยู่ในพื้นที่อับสัญญาณ Wi-Fi หรืออับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ มีการแสดงผลความแรงของสัญญาณเป็นตัว เลขที่อ้างอิงได้แน่นอน จะได้แจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องทำการปรับปรุงให้ดีขึ้นต่อไปได้ 2. การตรวจสอบว่าอุปกรณ์ต่างๆ ใช้เครือข่าย Wi-Fi เดียวกันอยู่ หากต้องการตรวจสอบว่าอุปกรณ์เคลื่อนที่และลำโพงหรือจอแสดงผล Google Nest หรือ Home อยู่ ในเครือข่าย Wi-Fi เดียวกันหรือไม่ ให้ทำตามขั้นตอนด้านล่าง ขั้นตอนที่ 1 ตรวจสอบเครือข่าย Wi-Fi ของมือถือหรือแท็บเล็ต 1. ในอุปกรณ์ Android ให้แตะการตั้งค่า จากนั้น เปิดการตั้งค่าเครือข่ายและ Wi-Fi ของอุปกรณ์ เครือข่าย Wi-Fi ที่มีป้ายกำกับว่า "เชื่อมต่ออยู่" คือเครือข่ายที่มือถือเชื่อมต่ออยู่ ซึ่งต้องตรงกับเครือข่ายที่ ลำโพงหรือจอแสดงผลเชื่อมต่ออยู่ 2. หากเครือข่าย Wi-Fi ไม่ตรงกันหรือหากต้องการเปลี่ยนเครือข่าย ให้ทำดังนี้ - แตะเครือข่ายใหม่ จากนั้น ป้อนรหัสผ่าน จากนั้น เชื่อมต่อ - หากเคยป้อนรหัสผ่านของเครือข่ายนั้นมาก่อนก็เพียงแค่แตะเครือข่าย จากนั้นอุปกรณ์ควร เชื่อมต่อโดยอัตโนมัติ ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบเครือข่าย Wi-Fi ของลำโพงหรือจอแสดงผล 1. เปิดแอป Google Home แอป Google Home 2. แตะรายการโปรด หรืออุปกรณ์ 3. แตะการ์ดของอุปกรณ์ค้างไว้ 4. แตะการตั้งค่า จากนั้น ข้อมูลอุปกรณ์ จากนั้น Wi-Fi หากเครือข่าย Wi-Fi ของโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตไม่ตรงกับเครือข่าย Wi-Fi ของลำโพงหรือ จอแสดงผล ให้ดูวิธีเปลี่ยนเครือข่าย Wi-Fi ของลำโพงหรือจอแสดงผล 78
หน่วยที่ 6 วิเคราะห์ประสิทธิภาพของระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ หัวข้อเรื่อง 1. บทวิเคราะห์ เครือข่ายมือถือ และ 4G ในประเทศไทย 2. การวิเคราะห์ระดับประเทศ 3. การวิเคราะห์ระดับภูมิภาค สมรรถนะประจำหน่วย - แสดงความรู้เกี่ยวกับบทวิเคราะห์ประสิทธิภาพของระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่
1. บทวิเคราะห์ เครือข่ายมือถือ และ 4G ในประเทศไทย 5G เทคโนโลยีที่ได้รับการจับตามอง ไม่เพียงแต่จากกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป ซึ่งให้ความสนใจในฐานะของความ เปลี่ยนแปลงด้านการสื่อสาร และการใช้ชีวิตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาคอุตสาหกรรมการผลิต และอุตสาหกรรม อื่น ๆ อีกมาก ทั้งในฐานะของเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทใน Industry 4.0 และ IoT เช่น การทำงาน ทางไกล (Remote Work) ที่จะนำมาซึ่งความสะดวกสบายของผู้ผลิตในการเข้าถึงข้อมูล และควบคุมการ ทำงาน หรือกระทั่งความต้องการผลิตภัณฑ์ และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่จะนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจใหม่ใน อนาคต แต่ก่อนหน้า 5G จะเข้ามาใช้งานจริงในไทยนั้น ก็มาทราบสถานการณ์ปัจจุบันของเครือข่ายมือถือใน ไทยกันเสียก่อน โดยสำนักวิเคราะห์เครือข่ายมือถือ Opensignal ได้จัดทำรายงานบทวิเคราะห์ไว้ ดังนี้ ประสบการณ์ด้านเครือข่ายมือถือในประเทศไทยกำลังพัฒนาดีขึ้น ในรายงานนี้ซึ่งอ้างอิงข้อมูล ช่วงเวลา 90 วันนับจากต้นเดือนกรกฎาคม เราได้เห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องของความพร้อมใช้งานของ เครือข่าย 4G ในประเทศไทย โดยมีผู้ให้บริการเครือข่ายรายหนึ่งผ่านหลักชัยที่ระดับร้อยละ 90 ขณะที่ผู้ ให้บริการเครือข่ายรายอื่น ๆ ตามหลังมาติด ๆ และผู้ใช้เครือข่ายผู้ให้บริการทั้งสามรายก็กำลังเห็นการปรับปรุง ประสบการณ์ที่ดีขึ้นทั้งในแง่ของวิดีโอ ความหน่วงของสัญญาณ ความเร็วการดาวน์โหลดและอัปโหลด TrueMove H ยังคงเป็นผู้นำในลีดเดอร์บอร์ดของเราต่อไป แต่ AIS ก็สมควรได้รับการยกย่องจากคะแนนที่ เพิ่มขึ้นมากที่สุดบางส่วน รายงานนี้เราวิเคราะห์ประสบการณ์เครือข่ายมือถือของผู้ให้บริการระดับประเทศทั้งสามรายใน ประเทศไทยคือ AIS, DTAC และ TrueMove H ในมาตรวัดรางวัลทุกด้านของเรา รวมถึงด้านประสบการณ์แอ ปด้านเสียงที่เราเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกและเป็นเพียงผู้เดียวที่วัดค่าดังกล่าวนี้ นอกจากการวิเคราะห์ระดับประเทศ แล้ว เรายังวัดประสบการณ์ของผู้ใช้ในภูมิภาคอื่นของประเทศอีก 12 ภูมิภาค เพื่อเปรียบเทียบผลว่าออกมา เป็นอย่างไร ตารางรางวัล Opensignal 80
2. การวิเคราะห์ระดับประเทศ 2.1 การเข้าถึง 4G คะแนนความพร้อมใช้งานของเครือข่าย 4G ที่น่าประทับใจของประเทศไทยยังคงปรับปรุงขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง AIS ยังคงได้รับรางวัลของเราต่อไป และได้เป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ได้คะแนนเครือข่าย 4G มากกว่า ร้อยละ 90 ในระดับประเทศ แต่ผู้ใช้งานบริการเครือข่ายทั้งสามรายในประเทศไทยพบว่าคะแนนของทุก เครือข่ายเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 3 ซึ่งหมายความว่าทั้ง DTAC และ TrueMove H กำลังเข้าใกล้ร้อยละ 90. การเติบโตอย่างต่อเนื่องของคะแนนความพร้อมใช้งานของเครือข่าย 4G ของผู้ใช้ทำให้เราคาดว่าผู้ ให้บริการเครือข่ายทั้งสามรายของประเทศไทยจะได้คะแนนร้อยละ 90 ในรายงานฉบับต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่า ประทับใจอย่างมาก เนื่องจากมีเพียง 15 ประเทศที่เราเห็นคะแนนความพร้อมใช้งานของเครือข่าย 4G โดย เฉลี่ยอยู่เหนือระดับนี้ สถานะของประสบการณ์เครือข่ายมือถือ (State of Mobile Network Experience) ทั่วโลกของเราและประเทศเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นตลาดเครือข่าย 4G ที่มีการพัฒนาสูงกว่า เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ แต่ถึงแม้ประเทศไทยจะมีความพร้อมใช้งานเครือข่าย 4G ที่น่าประทับใจ แต่ก็ยังคงมีหลาย สิ่งที่ต้องปรับปรุงเพื่อจะสูสีกับประเทศระดับเดียวกันในตัวชี้วัดอื่น ๆ ของเรา 2.2 ประสบการณ์วีดีโอ ในด้านประสบการณ์วิดีโอ ผู้ใช้เครือข่าย TrueMove H พบคะแนนสูงขึ้นเกือบ 5 คะแนน (จาก คะแนน 0-100) ซึ่งไม่เพียงแค่ทำให้เข้าใกล้อันดับ “ดี” (55-65) แต่ยังหนีการตีเสมอของ DTAC จากที่ TrueMove H ก้าวนำหน้าและได้รับรางวัลใน รายงานล่าสุดของเรา ผู้ใช้บริการเครือข่ายทั้งสามล้วนพบว่า ประสบการณ์วิดีโอของพวกเขาดีขึ้น: DTAC ได้คะแนนเพิ่ม 1.3 คะแนน แต่ AIS ซึ่งเป็นอันดับที่สามมีการ พัฒนาก้าวกระโดดที่น่าประทับใจถึง 6.2 คะแนน ทำให้ตามคู่แข่งอยู่ไม่ถึง 5 คะแนน 81
คะแนนผู้ใช้ที่ดีขึ้นของ AIS ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายทั้งสามรายของประเทศไทยอยู่ในหมวดหมู่การ จัดอันดับพอใช้ (40-55) ซึ่งหมายความว่าประสบการณ์วิดีโอของพวกเขาในอุปกรณ์พกพาอาจเป็นที่ยอมรับได้ ในความละเอียดที่ต่ำลง แต่อาจพบการโหลดช้าและค้างบ่อย ๆ ในความละเอียดที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม คะแนน เหล่านี้มีการปรับปรุงดีขึ้น และผู้ใช้เครือข่าย TrueMove H ก็ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นกับคะแนนที่ดีจากการ วัดประสบการณ์วิดีโอเฉพาะ 4G ซึ่งหมายถึงวิดีโอมีการสตรีมที่ดีในความละเอียดต่ำ และแม้แต่ที่ความละเอียด สูงก็มีการปรับปรุงประสบการณ์ที่ดีขึ้นด้วยเมื่อเทียบกับคู่แข่ง 2.3 ประสบการณ์ใช้งานแอปพลิเคชันโทรด้วยเสียง ในรายงานนี้ เราเริ่มดูประสบการณ์แอปด้านเสียงในประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวชี้วัดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเป็นการวัดผลคุณภาพประสบการณ์ของบริการเสียงแบบ over-the-top (OTT) กล่าวคือแอปด้านเสียงใน มือถือ เช่น WhatsApp, Skype และ Facebook Messenger โดยใช้แบบจำลองจากสหภาพโทรคมนาคม ระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union) ที่วัดคุณภาพการโทรด้วยเสียงโดยรวมใน เชิงปริมาณ ด้วยชุดพารามิเตอร์ทางเทคนิคที่ปรับเทียบแล้ว ในประเทศไทย เราเห็นว่าทั้ง DTAC และ AIS ได้รับการจัดอันดับประสบการณ์แอปด้านเสียงอยู่ใน ระดับที่น่าพอใจได้ (ช่วงอันดับ 74-80 คะแนน จาก 100 คะแนน) ซึ่งหมายความว่าโดยทั่วไปผู้ใช้เครือข่าย เหล่านี้มีความพึงพอใจและสามารถโทรออกและรับสายได้โดยไม่ต้องโทรซ้ำ แต่อาจมีความบกพร่องด้าน คุณภาพที่รับรู้ได้อยู่บ้าง เช่น เสียงคลิกสั้นๆ หรือเสียงเพี้ยน โดย TrueMove H ตามหลัง DTAC เพียง 1.9 คะแนน แต่ยังอยู่ในระดับที่ไม่ดี (66-74 คะแนน) ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้จะได้รับผลกระทบจากเสียงเพี้ยนหรือ เสียงคลิกสั้น ๆ ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ความดังของเสียงอาจอยู่ในระดับที่ยอมรับไม่ได้ สิ่งที่น่าสนใจคือ คะแนนของผู้ใช้ในด้านประสบการณ์ใช้งานแอปเสียงเฉพาะ 3G อย่างเดียว นั้น ใกล้เคียงกับของเครือข่าย 4G ในประเทศไทย โดยมีคะแนนต่ำกว่าคะแนน 4G ไม่ถึง 10 คะแนน และความ แตกต่างด้านประสบการณ์แอปด้านเสียงระหว่างเครือข่าย 4G และโดยรวมนั้นอยู่ที่ประมาณ 2 คะแนน สำหรับผู้ให้บริการเครือข่ายทั้งสามราย ซึ่งสะท้อนถึงระดับความพร้อมใช้งานของเครือข่าย 4G ที่กำลังเพิ่มขึ้น ในประเทศไทย 82
2.4 ประสบการณ์ความเร็วในการดาวน์โหลด ประเทศไทยกำลังชกข้ามรุ่นด้านความพร้อมใช้งานของเครือข่าย 4G และประสบการณ์ด้านแอปเสียง แต่น่าเสียดายที่ไม่เป็นเช่นนั้นในส่วนของประสบการณ์ผู้ใช้ด้านความเร็ว ในรายงานทั่วโลกฉบับล่าสุดของเรา ประเทศไทยอยู่ในลำดับท้าย ๆ ของตารางทั้งประสบการณ์ด้านความเร็วการดาวน์โหลดและการอัปโหลด ข่าว ดีคือคะแนนเหล่านี้เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ดี ในรายงานฉบับนี้ ผู้ใช้เครือข่าย DTAC และ TrueMove H พบว่าคะแนนความเร็วในการดาวน์โหลด ของพวกเขาเพิ่มขึ้นประมาณ 1 Mbps - แต่การปรับปรุงของ TrueMove H ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะ ทำให้ขึ้นมาตีเสมอกับ DTAC ในรายงานฉบับล่าสุด อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้เครือข่าย AIS คือผู้ที่เห็นการปรับปรุง แบบก้าวกระโดดมากที่สุด เนื่องจากคะแนนของพวกเขาเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 Mbps ผู้ให้บริการรายนี้ยังคงอยู่ใน อันดับสาม แต่ระยะห่างการตามติดคู่แข่งลดเหลือเพียง 2 Mbps 2.5 ประสบการณ์ความเร็วในการอัพโหลด TrueMove H ยังคงเป็นผู้นำด้านประสบการณ์ความเร็วการอัปโหลด โดยที่ผู้ใช้จะเห็นคะแนนของผู้ ให้บริการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย นั่นคือยังคงนำหน้าคู่แข่งอยู่ 2 Mbps อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอย่างรวดเร็วที่น่า ประทับใจเกือบ 1.6 Mbps ของ AIS ทำให้เข้าใกล้ผู้นำมาติด ๆ ในขณะเดียวกันผู้ใช้บริการเครือข่าย DTAC จะเห็นการเพิ่มขึ้นเฉพาะในส่วนของประสบการณ์ด้านความเร็วการอัปโหลดเท่านั้น และตอนนี้ผู้ให้บริการราย นี้ก็ขยับลงไปสู่อันดับสาม 83
ภาพรวมในส่วนนี้แย่ลงไปอีกสำหรับ DTAC ในการวัดประสบการณ์ความเร็วการอัปโหลดเฉพาะ 4G เนื่องจากได้คะแนนลดลงเล็กน้อย เช่นเดียวกับ TrueMove H ความเร็วที่ลดลงนี้อาจเกี่ยวข้องกับความพร้อม ใช้งานของเครือข่าย 4G ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ใช้ของเราสามารถใช้เวลาในเครือข่ายเหล่านี้ได้มากขึ้น จึงอาจทำ ให้มีความแออัดเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันนี้ AIS เป็นผู้ให้บริการเพียงรายเดียวที่มีความเร็วในการอัปโหลด 4G เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญถึง 1.6 Mbps ซึ่งทำให้ DTAC ตกไปอยู่ในอันดับรั้งท้าย 2.6 ประสบการณ์ด้านความหน่วง ประเทศไทยมีอนาคตที่สดใสจากผลการวิเคราะห์ด้านความหน่วงของสัญญาณ ผู้ให้บริการเครือข่าย ทั้งสามรายมีคะแนนประสบการณ์ความหน่วงของสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างน้อย 4.5 มิลลิวินาที (หรือร้อยละ 11) ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา TrueMove H ได้รับรางวัลของเราด้วยการมีคะแนนความหน่วงสัญญาณเร็วกว่า ระดับ 40ms ซึ่งในขณะนี้อยู่ในระดับที่เทียบเคียงได้กับตลาดเครือข่ายมือถือที่มีการพัฒนาสูงกว่าจำนวนมาก ทั้งในยุโรปและเอเชีย ในขณะที่ตอนนี้ทั้ง DTAC และ AIS ทำคะแนนความเร็วได้ต่ำกว่า 45ms ได้ทั้งคู่ 3. การวิเคราะห์ระดับภูมิภาค จากการวิเคราะห์ใน 12 จังหวัดที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เรายังคงเห็นความพร้อมใช้งานของ เครือข่าย 4G ที่น่าประทับใจอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ใช้ในเจ็ดภูมิภาคสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่าย 4G ของผู้ ให้บริการเครือข่ายทั้งสามรายในสัดส่วนเวลาถึงร้อยละ 90 แต่ AIS ได้ยกระดับคะแนนด้านนี้ไปอีกขั้น โดยที่ ผู้ใช้ในห้าจังหวัดได้รับประสบการณ์ที่ดีจากความพร้อมให้บริการของเครือข่าย 4G มากกว่าร้อยละ 95 ของ เวลาใช้งาน ซึ่งรวมถึงร้อยละ 96.4 ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นคะแนนที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง และ ใกล้เคียงกับตลาดเครือข่ายมือถือที่มีการพัฒนาสูงกว่า AIS ครองความเป็นผู้นำใน 12 ภูมิภาคที่เราวิเคราะห์ความพร้อมให้บริการของเครือข่าย 4G โดยชนะ แปดรายการ และเสมอสี่รายการ แต่ผลที่ออกมาก็ใกล้เคียงกันอย่างมากในการวัดประสบการณ์ด้านความเร็ว การดาวน์โหลด ซึ่งเราเห็นผลเสมอกันใน 9 ภูมิภาคจาก 12 ภูมิภาค AIS ได้รับรางวัลของเราในกรุงเทพ แต่ เมืองหลวงของประเทศก็เป็นที่เดียวที่ผู้ใช้บริการเครือข่ายทั้งสามรายได้รับคะแนนสูงกว่า 10 Mbps 84
TrueMove H ได้รับส่วนแบ่งใหญ่ในรางวัลด้านประสบการณ์ความเร็วการอัปโหลดของเรา ขณะที่ผู้ ให้บริการรายนี้สมควรได้รับการกล่าวขวัญเป็นพิเศษในสามจังหวัดคือ กรุงเทพ นนทบุรี และปทุมธานี ซึ่งทำ คะแนนประสบการณ์ความหน่วงสัญญาณได้ต่ำกว่า 30ms 85
ค ำน ำ แผนกเทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาลยัเทคนคิวังน ้าเย ็ น ส านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
คำนำ