The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อานันท์ กาญจนพันธุ์ และคณะ. คนไทยใจดี ทบทวนแนวคิดจิตสาธารณะกับสังคมไทย. คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2565.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

คนไทยใจดี ทบทวนแนวคิดจิตสาธารณะกับสังคมไทย

อานันท์ กาญจนพันธุ์ และคณะ. คนไทยใจดี ทบทวนแนวคิดจิตสาธารณะกับสังคมไทย. คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2565.

Keywords: จิตสาธารณะ,สังคมไทย,คนไทย

2 5 6 5 อานันท์ กาญจนพันธุ์ และคณะ : ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะ กับสังคมไทย คนไทย ใจดี


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 1 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ค น ไ ท ย ใ จ ดีี แผนงานยุทธศาสตร์ เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 อานันท์ กาญจนพันธ์ุ และคณะ 2565 : ท บ ท ว น แ น ว คิิ ด จิิ ต ส า ธ า ร ณ ะ กัั บ สัั ง ค มไทย


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 2 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี คนไทยใจดีี: ทบทวนแนวคิิดจิิตสาธารณะ กัับสัังคมไทย อานันท์ กาญจนพันธ์ุ และคณะ พิมพ์ครั้งแรก: มีนาคม 2565 จำ นวนพิมพ์: 300 เล่ม เลขมาตรฐานสากลประจำ หนังสือ: 978-616-398-680-1 จัดทำ โดย: แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สนับสนุนโดย: สำ นักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พิมพ์ที่: หจก.ล๊อคอินดีไซน์เวิร์ค ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ อานันท์ กาญจนพันธุ์. คนไทยใจดี: ทบทวนแนวคิดจิตสาธารณะกับสังคมไทย.-- เชียงใหม่ : คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2565. 256 หน้า. 1. จิตสาธารณะ. I. ชื่อเรื่อง. 361.37 ISBN 978-616-398-680-1


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 3 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ส า ร บั ญ บทนำ� จิตสาธารณะของพลเมืองในพื้นที่ของความเคลื่อนไหวทางสังคม 5 01. การก้าวข้ามกับดักของความคิดคู่ตรงข้ามระหว่างปั จเจกชนกับประชาสังคม 7 02. จิตสาธารณะ: จากคุณค่าและอุดมการณ์สู่ความเคลื่ อนไหวทางสังคม 12 03. องค์กรให้ทุนเพื่ อสังคมเป็นกลไกเพื่ อผลักดันการเปลี่ ยนแปลงไปทางไหน 16 04. พลเมืองที่ ตื่ นตัวในการเมืองของอัตลักษณ์ 21 05. พื้ นที่ สาธารณะ พื้ นที่ ขัดแย้ง หรือพื้ นที่ ช่วงชิงทิศทางของการพัฒนา 26 บรรณานุกรม 33 I. บทความที่ 1: การพัฒนากรอบแนวคิดเพื่อศึกษาจิตสาธารณะไทยในยุค 4.0 35 01. วิวัฒนาการประชาสังคมไทยหลังการเปลี่ ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 37 02. แนวคิดว่าด้วยจิตอาสา จิตสาธารณะ และประชาสังคม 56 03. สู่แนวคิดว่าด้วยประชาสังคมไทยในยุค 4.0 85 II. บทความที่ 2: จิตสาธารณะ (public minds) 93 01. การทบทวนบริบทสังคมตะวันตกก่อนทุนนิยมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ : ศาสนาและการปรับ แนวคิดในศาสนาเรืองก่าร “ทำ�บุญ” 96 02. จิตสาธารณะในภาคประชาชน และคนชันกล้าง 99 03. แนวคิดเกี่ ยวกับประชาสังคมในความหมายทางการเมือง และปริมณฑลทางศีลธรรม 101 04. ทุนนิยมและการเคลื่ อนไหวทางสังคมการเมือง ที่ เน้นเรืองมนุษยนิยม ่103 05. จิตสาธารณะในภาคประชาชน และการจัดรูปแบบองค์กรให้เลี้ ยงตนเองได้ 106 06. ทุนนิยมอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกา จิตสาธารณะ และการสร้างมูลนิธิโดยมหาเศรษฐี 13 107 07. จิตสาธารณะ และมูลนิธิในเยอรมัน : เติบโตช่วงการขยายตัวของทุนนิยมและพึ่ งพิงรัฐช่วง เศรษฐกิจตกตํ ่ า 110 08. ลักษณะสาธารณกุศล (Philanthropy) ในอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และเยอรมัน 112 09. โลกาภิวัตน์ และสิ่ งแวดล้อมนิยม : ตัวอย่าง “จิตสาธารณะ” รูปแบบใหม่ 117 10. โลกสมัยใหม่ และอิทธิพลของสื่ อมวลชน 118 11. การทบทวนบริบทสังคมไทยก่อนทุนนิยมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ 119 12. ศาสนา ชุมชน สาธารณะประโยชน์ : เปรียบเทียบสังคมตะวันตกกับสังคมไทย 127 13. ประชาสังคม NGO คนชันกล้าง และความขัดแย้งในสังคมเปลี่ ยนผ่าน 129 14. จากการ “ทำ�ทาน” มาสู่ “สิทธิ” ที่ จะได้รับการดูแลจากรัฐ 134 15. โควิด 19 และจิตสาธารณะ : ตัวอย่างวัตถุประสงค์ที่ ชัดเจนและการมีองค์กรที่ มีการจัดตัง้139 16. สรุป 143 17. ปั จฉิมบท : บทเรียนเชิงกรอบคิดจากนักคิดศตวรรษที่ 19 (ช่วงที่ ตะวันตกเปลี่ ยนเข้าสู่ ความเป็นอุตสาหกรรม) 146 บรรณานุกรม 150 ค น ไ ท ย ใ จ ดีี : ท บ ท ว น แ น ว คิิ ด จิิ ต ส า ธ า ร ณ ะ กัั บ สัั ง ค มไทย


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 4 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ส า ร บั ญ III. บทความที่ 3: ความหลากหลายและการเปลี่ยนแปลงการบริจาคเพื่อการกุศล ในประเทศไทย 157 01. บทนำ� 157 02. การพึ่ งพาอาศัยกันและการแลกเปลี่ ยนตอบแทนกันช่วยหล่อหลอมความเมตตากรุณา 160 03. การทำ�บุญเป็นตัวขับเคลื่ อนการบริจาคในพุทธศาสนาแบบเถรวาท 162 04. ความหลากหลายของการทำ�บุญในพุทธศาสนา 165 05. การทำ�บุญตามประเพณีของศาสนาอืน่169 06. การให้ของชาวมุสลิมอยู่ระหว่างหน้าที่ กับความสมานฉันท์ 171 07. ศรัทธาขับเคลื่ อนการบริจาคของบุคคลเพื่ อเหตุผลทางศาสนา 173 08. สถาบันทางศาสนาภายใต้จุดสนใจ 178 09. มูลนิธิโครงการหลวงและการส่งเสริมการพัฒนา 185 10. ความริเริมของครอบครัวและองค์กรธุรกิจครองบทบ่าทหลักในภาคการให้ทุนเพื่ อสังคม 188 11. รูปแบบการบริจาคแบบใหม่นำ�ไปสู่วิถีใหม่หรือไม่ 194 12. ระบบนิเวศที่ เหมาะสมสำ�หรับการบริจาค 196 13. สรุป 200 บรรณานุกรม 201 IV. บทความที่ 4: Sense of Belonging: พลเมืองกับความไม่เป็นอื่น 206 01. บทนำ� 206 02. แนวคิดทฤษฎี การทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่ เกี่ ยวข้อง 212 03. ที่ มาและการดำ�เนินการของกลุ่มอาสาสมัครจิตสาธารณะและเครือข่ายเพื่ อสังคม 227 04. การก่อรูปของการทำ�งานอาสาสมัครจิตสาธารณะและแนวทางการขับเคลื่ อนเพื่ อการ เปลี่ ยนแปลงทางสังคม 235 05. บทสรุป 248 บรรณานุกรม 252 ค น ไ ท ย ใ จ ดีี : ท บ ท ว น แ น ว คิิ ด จิิ ต ส า ธ า ร ณ ะ กัั บ สัั ง ค มไทย


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 5 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี บ ท นำำ จิิตสาธารณะ ของพลเมืืองในพื้้นที่่ ของความเคลื่่อนไหว ทางสัังคม ศ.เกีียรติิคุุณ ดร.อานัันท์์ กาญจนพัันธุ์์ แม้ปัจจุบันนี้ (พ.ศ. 2564) ผู้คนส่วนหนึ่งมักจะเข้าใจกันว่า คนไทยส่วนใหญ่ มีความรู้สึกเป็นปัจเจกชนมากขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายใต้บริบทของการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ สังคมทุนนิยมสมัยใหม่ หรือสังคมประชาธิปไตย และการขยายตัวของสังคมเมืองก็ตาม ขณะเดียวกัน ก็มีกระแสในสังคมไทยที่หันมาให้ความสำ คัญกับความคิดเรื่องความเป็น ชุมชนและจิตสาธารณะควบคู่ปะปนกันไป ดังบทความต่างๆ ในหนังสือเล่มนี้พยายาม ยืนยันความคิดดังกล่าวอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ปัจเจกชนไม่จำ เป็นต้องเห็นแก่ตัว เสมอไป แต่พวกเขายังคิดถึงคนอื่นๆ ด้วย ผ่านการเอื้อประโยชน์ให้แก่สาธารณะ ในรูปแบบต่างๆ ตลอดจนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อผลักดันให้ปรับเปลี่ยนคุณค่าหรือ อุดมการณ์บางอย่างร่วมกัน แต่ผู้คนในสังคมไทยบางส่วนก็อาจจะยังคงให้ความสำ คัญกับ ความเป็นชุมชน ซึ่งอาจก่อให้เกิดประเด็นปัญหาบางอย่างตามมา เมื่อยังสับสนระหว่าง จิตสาธารณะกับความเป็นชุมชนที่มักจะซ้อนทับกันอยู่ เพราะคนในสังคมไทยทั่วๆ ไป ยังยึดติดอยู่ในกับดักของความคิดคู่ตรงข้ามระหว่างปัจเจกชน สังคมและชุมชน บทความทั้ง 4 บทความในหนังสือเล่มนี้ ส่วนใหญ่จะเห็นสอดคล้องกันว่า จิตสาธารณะเช่นนี้ดำ รงอยู่ก่อนแล้วในสังคมไทย บนพื้นฐานของอุดมการณ์ทางศาสนาต่างๆ โดยเฉพาะพุทธศาสนา แม้สังคมไทยจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมากแล้วก็ตาม แต่ความคิดเรื่องจิตสาธารณะในปัจจุบันก็ยังตั้งมั่นอยู่บนคติธรรมในศาสนาต่างๆ ซึ่งอาจ จะจำ กัดอยู่เฉพาะในด้านการทำ บุญทำ ทานหรือการกุศลเป็นหลัก จึงอาจจะยังไม่ครอบคลุม ความหมายทั้งหมดของจิตสาธารณะที่กำ ลังก่อตัวขึ้นมาใหม่ในสังคมไทยขณะนี้ จากการ ขยายนัยใหม่ๆ เพิ่มเติมให้มีลักษณะของทุนทางสังคมมากขึ้น บทความส่วนใหญ่จึงหันไป ศึกษาเชิงเปรียบเทียบกับความคิดจิตสาธารณะและการให้ทุนทางสังคมในสังคมตะวันตก


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 6 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ขณะที่เปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมสมัยใหม่ก่อนหน้าสังคมไทย เพื่อเทียบเคียงกระบวนการและ เงื่อนไขต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว และการพัฒนาในระยะต่อๆ มา โดยเฉพาะ การก่อตัวขึ้นมาของภาคประชาสังคม ในฐานะกลไกสำ คัญในการจัดการและจัดสรรทรัพยากร สาธารณะหรือทุนทางสังคม ซึ่งสะท้อนนัยที่แตกต่างไปจากทั้งความเป็นปัจเจกชนและ ความเป็นชุมชน ตามความเข้าใจที่ดำ รงอยู่เดิมในสังคมไทยอย่างมาก แต่ปัญหาสำ คัญในการแสวงหาแนวทางในการเชื่อมโยงแนวความคิดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำ ความเข้าใจบทความทั้ง 4 บทความ ในหนังสือเล่มนี้ก็คือ แต่ละบทความ จะใช้แนวทางการเขียนแตกต่างกันอย่างมาก ตั้งแต่ความพยายามทบทวนแนวความคิดต่างๆ ในสังคมตะวันตก และการศึกษาพัฒนาการของประชาสังคมในสังคมไทยอย่างกว้างๆ เพื่อพัฒนากรอบความคิดในการศึกษาจิตสาธารณะของไทย การศึกษาทบทวนจิตสาธารณะ ในเชิงอุดมการณ์ ที่ก่อตัวขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านของสังคมเข้าสู่ยุคทุนนิยมอุตสาหกรรม ทั้งในสังคมตะวันตกและในสังคมไทยเชิงเปรียบเทียบด้วยรูปธรรมของกิจกรรมต่างๆ โดยสังเขป ตลอดจนการทบทวนและประมวลข้อมูลรายละเอียดเชิงประจักษ์ต่างๆ เกี่ยวกับ รูปธรรมของความหลากหลายของการบริจาค เพื่อการกุศลในสังคมไทยและการเปลี่ยนแปลง ไปสู่กลไกและองค์กรของการให้ทุนทางสังคม ไปจนถึงการศึกษาวิจัยภาคสนามเกี่ยวกับ การเคลื่อนไหวของพลเมืองจิตสาธารณะในด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมของ เชียงใหม่อย่างเฉพาะเจาะจง แม้จะมีแนวทางในการเขียนแตกต่างกันอย่างมาก แต่ทุกบทความล้วนพยายาม ใช้แนวความคิดต่างๆ มาสนับสนุนการอภิปรายและวิเคราะห์ประเด็นปัญหา ตามแนวทาง ที่แต่ละบทความพยายามทบทวนและศึกษาอยู่อย่างเฉพาะเจาะจง ซึ่งมักจะใช้หลาย แนวความคิดร่วมกันในบางแง่มุม หรืออาจจะใช้ในความหมายแตกต่างกันไปบ้างก็ตาม นอกจากแนวความคิดหลักเรื่องจิตสาธารณะและประชาสังคมแล้ว แต่ละบทความยัง พยายามเชื่อมโยงกับแนวความคิดอื่นๆ ประกอบด้วย แนวความคิดสำ คัญๆ ไม่ว่าจะเป็น แนวความคิดปัจเจกบุคคล สังคม ชุมชน ปริมณฑลทางศีลธรรม อรรถประโยชน์นิยม มนุษย นิยม ปรัตถนิยม หรือการเสียสละเพื่อผู้อื่น จิตอาสา การกุศล ความเป็นพลเมือง สิทธิ อัตลักษณ์ ทุนทางสังคม ความรู้สึกว่ามีส่วนร่วม เครือข่ายทางสังคม คุณภาพชีวิต และพื้นที่ ทางสังคม เป็นต้น นอกจากนั้น ยังรวมถึงการนำ เสนอข้อมูลในการทำ งานของกลไกและ องค์กรต่างๆ เช่น องค์กรสาธารณกุศล สวัสดิการสังคม การให้ทุนเพื่อสังคม และวิสาหกิจ เพื่อสังคม แนวความคิดต่างๆ ทั้งหมดนั้นจะเชื่อมโยงกับบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม หลากหลายแง่มุม ทั้งการเปลี่ยนแปลงเกษตรกรรมเข้าสู่สังคมทุนนิยมอุตสาหกรรม การพัฒนาประชาธิปไตย การกระจายอำ นาจสู่ท้องถิ่น และความหลากหลายทางวัฒนธรรม และชาติพันธุ์ ตลอดจนการกระจายตัวของกลุ่มชนต่างๆ โดยเฉพาะการก่อตัวของชนชั้นกลาง และกลุ่มคนชายขอบหรือคนระดับรากหญ้าต่างๆ ดังนั้น การสังเคราะห์แนวความคิดต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ทั้งความหลากหลาย และความซับซ้อน เพื่อช่วยในการแสวงหาความเข้าใจในความเชื่อมโยงของแนวความคิดต่างๆ


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 7 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมทั้ง อธิบายถึงความสัมพันธ์กับกลไกและองค์กรเกี่ยวกับจิตสาธารณะ รูปแบบต่างๆ จึงจำ เป็นต้องแยกแยะแนวความคิดต่างๆ เหล่านั้นออกตามประเด็นและ ข้อถกเถียงที่อาจจะยังคลุมเครือ ซ้อนทับ และขัดแย้งกันอยู่บ้าง ทั้งในเชิงการทบทวน จากการอภิปรายที่ปรากฏอยู่ในแต่ละบทความและจากการศึกษาเปรียบเทียบกับกรณีอื่นๆ เพื่อประกอบการสังเคราะห์ความคิดให้มองเห็นความเชื่อมโยงกันได้อย่างชัดเจนมากขึ้น บทนำ นี้จึงจะได้พยายามแยกแยะออกมาอภิปรายและวิเคราะห์ข้อถกเถียงต่างๆ ทั้งหลาย เหล่านั้น แต่ละประเด็นตามลำ ดับ โดยหวังให้เป็นเสมือนแนวทางสำ หรับช่วยให้การอ่าน บทความต่างๆ ในหนังสือเล่มนี้ด้วยความเข้าใจมากขึ้น พร้อมทั้งเปิดข้อถกเถียงใหม่ๆ ต่อไป บ ท นำำ 01. ก า ร ก้้ า ว ข้้ า ม กัั บ ดััก ข อ ง ค ว า ม คิิ ด คู่่� ต ร ง ข้้ า ม ระห ว่่า ง ปััจ เ จก ช น กัั บ ป ระชา สัั ง ค ม แม้บทความแรก (กฤติยาพร วงษา) จะพยายามสาวรากเหง้าของประชาสังคม ในสังคมตะวันตกอย่างยาวไกลกลับไปจนถึงยุคกรีกและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ แต่ความ หมายของประชาสังคมในช่วงนั้นคงจะยังไม่ได้แตกต่างหรือแยกออกไม่ได้จากสังคม การเมืองมากนัก เนื่องจากในยุคดังกล่าว สังคมตะวันตกยังไม่ได้พัฒนาสำ นึกของความ เป็นปัจเจกชนขึ้นมาอย่างชัดเจน ส่วนการก่อตัวของความหมายและสำ นึกเกี่ยวกับความ เป็นปัจเจกชนนั้นน่าจะเริ่มปรากฎให้เห็นอย่างเด่นชัดในปรัชญาของนักคิดต่างๆ ของยุค รู้แจ้งหรือยุคแสงสว่างทางปัญญา (Age of Enlightenment) เมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 17 นี้เอง เมื่อผู้คนในสังคมตะวันตกพยายามแยกตัวออกมาให้เป็นอิสระจากคริสตจักร ที่เคยครอบงำ สังคมตะวันตกมาอย่างยาวนานตลอดช่วงสมัยอันยาวนานของยุคกลาง (Medieval) อย่างน้อยก็จากคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 15 โดยหันมาเน้นความเป็นตัวตน ของปัจเจกชน ในฐานะผู้มีเหตุผลมากขึ้น ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีสัญญาประชาคม (The Social Contract Theory) เริ่มต้นจากความคิดของนักปรัชญาชาวอังกฤษชื่อ โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes, 1588-1679) ซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมากจากการเขียนหนังสือเรื่อง Leviathan (1651) และนำ เสนอความคิดแบบเสรีนิยม ที่สนับสนุนความคิดปัจเจกชนนิยมบนสมมติฐานที่ว่า ภายใต้สภาวะทางธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนมักจะเห็นแก่ตัว มนุษย์จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ จะพยายามต่อสู้และป้องกันตัวเอง เพื่อเอาชีวิตรอดตามสิทธิและความจำ เป็นของตน


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 8 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี เสมือนหนึ่งว่าทุกคนต้องทำ สงครามระหว่างกันและกัน สมมติฐานดังกล่าวมีอิทธิพล อย่างมากต่อการก่อรูปของทฤษฎีสัญญาประชาคม ซึ่งสนับสนุนให้ประชาชนต้องยอม ลดสิทธิบางส่วนของตน และมอบอำ นาจบางส่วนของตนให้แก่รัฐในฐานะองค์อธิปัตย์ โดยมีพันธสัญญาในการสร้างประชาสังคม (Civil Society) ขึ้นมา เพื่อดูแลเสรีภาพและ ความมั่นคงให้แก่ประชากรในสังคมอย่างเสมอภาคกัน (Macpherson, 1962: 9-29) ต่อจากนั้น นักปรัชญาชาวอังกฤษอีกคนหนึ่งคือ จอห์น ล็อก (John Locke, 1632-1704) ก็ได้สานต่อความคิดปัจเจกชนนิยม เสรีนิยม และทฤษฎีสัญญาประชาคม ดังปรากฏให้เห็นในหนังสือเล่มหลักของเขาชื่อ Two Treatises of Government (1689) โดยล็อกมีสมมติฐานว่า มนุษย์มองว่าตัวเองมีตัวตน (self) ที่รู้จักสำ นึกคิดได้อย่างต่อเนื่อง รักความอิสระและความเท่าเทียม มนุษย์ตามธรรมชาติจะเป็นทั้งผู้มีเหตุผลและอดทนอดกลั้น จากพื้นฐานของแนวความคิดดังกล่าว ล็อกจึงเริ่มประกอบสร้างทฤษฎีของเขา ด้วยการเน้นถึง สิทธิตามธรรมชาติของปัจเจกชนในการปกป้องทรัพย์สินของตน เพราะเป็นเงื่อนไขสำ คัญ ในการดำ รงชีวิตและมีเสรีภาพ แต่เขาก็จะคล้อยตามฮอบส์ด้วย ในประเด็นเกี่ยวกับมนุษย์ ในสภาวะธรรมชาติที่มักจะเห็นแก่ตัว ดังนั้น มนุษย์จึงต้องสร้างประชาสังคมผ่านการทำ สัญญาประชาคม เพื่อให้รัฐเข้ามาช่วยจัดการกับความขัดแย้งอย่างสันติวิธี (Macpherson, 1962: 194-203) เมื่อมองจากมุมของความคิดแบบปัจเจกชนนิยม ทั้งในความคิดของโทมัส ฮอบส์ และจอห์น ล็อกความหมายของประชาสังคม จึงเป็นเพียงพันธะทางสังคมระหว่าง ประชาชนกับรัฐ โดยมีรัฐเป็นศูนย์กลางอำ นาจเท่านั้น แต่ประชาสังคมในปัจจุบันมีความ แตกต่างและสลับซับซ้อนมากกว่าความเข้าใจข้างต้น จึงควรต้องตั้งคำ ถามกันต่อไปว่า แล้วประชาสังคมในปัจจุบันตั้งอยู่บนฐานความคิดอื่นๆ อะไรอีกบ้าง และมีลักษณะของ ความสัมพันธ์อย่างหลากหลายอย่างไร ที่จริงนักปรัชญาชาวตะวันตกรุ่นต่อๆ มา ก็ได้เริ่มต้น ตั้งคำ ถามและพยายามถกเถียงประเด็นทำ นองนี้ไว้บ้างแล้ว นักคิดรุ่นต่อมาคนแรกที่ออกมาโต้แย้งทฤษฎีสัญญาประชาคมและประชาสังคม โดยเฉพาะแนวคิดของโทมัส ฮอบส์ ก็คือ นักปรัชญาชาวเจนีวา ชื่อ ฌอง จ๊าค รุสโซ (Jean-Jacques Rousseau, 1717-1778) ซึ่งเริ่มต้นด้วยการโต้แย้งพื้นฐานความคิด เกี่ยวกับมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของ ทั้งของโทมัส ฮอบส์ และจอห์น ล็อก ในหนังสือ สำ คัญเล่มหนึ่งของเขาเรื่อง Discourse on the Origin and Basis of Inequality among Men (1754) แทนที่รุสโซจะมองมนุษย์จากมุมมองของปัจเจกชนที่เห็นแก่ตัว เขากลับเสนอว่ามนุษย์ตามธรรมชาติเป็นผู้มีศีลธรรม และสามารถแสดงศีลธรรมนั้นออก มาในเจตจำ นงร่วมกัน (General Will) จากพื้นฐานความคิดดังกล่าว รุสโซยังมีชื่อเสียงมาจากวลีโด่งดังที่มีผู้คนมัก จะนำ ไปกล่าวอ้างถึงอย่างกว้างขวางที่ว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่กลับต้องถูกล่ามด้วย โซ่ตรวนอยู่ทุกหนทุกแห่ง” ซึ่งปรากฏอยู่ในบรรทัดแรกของหนังสืออีกเล่มหนึ่งของเขา เรื่อง The Social Contract (1762) ทั้งนี้ รุสโซต้องการจะโต้เถียงต่อไปว่า เมื่อมนุษย์


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 9 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี เข้ามารวมกันอยู่ในประชาสังคมแล้วผ่านสัญญาประชาคม และต้องยอมสละการอ้าง สิทธิตามธรรมชาติบางอย่างไปบ้างนั้น พวกเขายังคงสงวนรักษาสิทธิและมีเสรีภาพอยู่ เพราะพวกเขาจะยอมรับเฉพาะอำ นาจตามเจตจำ นงร่วมกันของพวกเขาเท่านั้น (Bertram, 2004) ซึ่งหมายความว่า ประชาชนต้องเป็นผู้ออกกฎหมายมากำ กับดูแลพวกเขาเอง แทนที่จะมอบอำ นาจของพวกเขาทั้งหมดให้กับรัฐตามความคิดของทั้งฮอบส์และล็อก นัยเช่นนี้จึงไม่ได้มองประชาสังคมเป็นเพียงพันธะทางสังคมระหว่างประชาชนกับรัฐเท่านั้น แต่ยังเป็นเจตจำ นงร่วมกันทางศีลธรรมของประชาชนเอง ในทำ นองเดียวกัน นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศสชื่อ เอมิล เดอร์ไคม์ (Emile Durkheim, 1858-1917) หลังจากนั้นก็ได้พยายามสานต่อความคิดเจตจำ นงร่วมกัน ที่มีศีลธรรมของรุสโซ ซึ่งเขาเรียกเสียใหม่ว่า สำ นึกร่วม (Collective Consciousness) ในความหมายที่เสมือนเป็นศีลธรรมของสังคม ซึ่งช่วยผนึกให้ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างเป็น ปึกแผ่น แม้ผู้คนในสังคมจะยังคงดำ รงความเป็นปัจเจกชนอยู่ก็ตาม เดอร์ไคม์นั้นเน้น ความสำ คัญของความคิดนี้ในช่วงที่สังคมฝรั่งเศสกำ ลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมเมือง ขณะที่ก่อให้เกิดความคิดแบบปัจเจกชนนิยมมากขึ้น จากแนวคิดดังกล่าวเดอร์ไคม์จึงไม่ได้คัดค้านความเป็นปัจเจกชนโดยตรง แต่เขา ไม่เห็นด้วยกับความคิดปัจเจกชนนิยมแบบสุดขั้ว (Atomistic Individualism) เพราะเขา มองว่าปัจเจกชนเช่นนั้นยึดติดกับผลประโยชน์ของตนเองมากเกินไป เขาจึงหันไปนำ เสนอ ให้ปัจเจกชนมีศีลธรรม (Moral Individualism) (อานันท์, 2555: 171-180) และเขียนถึง ความคิดนี้ไว้ในบทความต่างๆ ที่ต่อมารวมเล่มเป็นหนังสือรวมบทความเล่มเล็กๆ 2 เล่ม คือ On Morality and Society (พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1898, Durkheim, 1973) และ Sociology and Philosophy (พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1906, Durkheim, 1953) ซึ่งระยะหลัง มีการให้ความสำ คัญกับความคิดนี้อย่างกว้างขวางมากขึ้น (Cristi, 2012: 411-416) ข้อเสนอเช่นนี้แสดงถึงความพยายามของเดอร์ไคม์ ในการเริ่มก้าวข้ามออกจาก กับดักของความคิดคู่ตรงข้าม โดยเฉพาะระหว่างปัจเจกชนกับสังคม โดยเฉพาะสังคมนิยม เพราะเขาเกรงว่าความเป็นสังคมจะมีอำ นาจเหนือปัจเจกชนมากเกินไป จนขาดการคำ นึง ถึงเสรีภาพของปัจเจกชน (อานันท์, 2555: 176-180) เนื่องจากบริบทในประเทศรัสเซีย ขณะนั้นเริ่มส่อเค้าว่าสังคมนิยมกำ ลังจะก่อรูปก่อร่างขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงระบอบการ ปกครองไปเป็นสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งต่อมาได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1917 ก่อนหน้าที่ เดอร์ไคม์จะเสียชีวิตลงในปีเดียวกันนั้นเอง การติดอยู่ในกับดักของความคิดคู่ตรงข้ามระหว่างปัจเจกชนกับสังคมกลายเป็น ข้อถกเถียงที่ปรากฏอยู่โดยทั่วไปในสังคมยุโรปมาตั้งแต่เริ่มยุครู้แจ้ง แม้จะมีความ พยายามนำ เสนอความคิดประชาสังคมผสมผสานอยู่ด้วย แต่ประชาสังคมดังกล่าวก็มัก จะไม่ต่างไปจากหน่วยทางสังคมหน่วยหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะมีรากฐานมาจากการมอง ทั้งปัจเจกชนและสังคมเฉพาะในเชิงคุณค่าและอุดมการณ์ จนมาถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักปรัชญาการเมืองตะวันตกจึงเริ่มปรับเปลี่ยนมุมมอง ด้วยการหันมาให้ความสำ คัญกับ ความคิดต่างๆ ในเชิงบริบทและความสัมพันธ์ทางสังคมมากขึ้น


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 10 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ดังตัวอย่างข้อถกเถียงของนักปรัชญาการเมืองชาวแคนาดา ชื่อ ซี. บี. แม็ก เฟอร์สัน (Crawford Brough Macpherson, 1911-1987) ซึ่งวิพากษ์ความคิดปัจเจกชน นิยมของทั้งโทมัส ฮอบส์ และจอห์น ล็อก ว่ามีลักษณะเป็นเพียงปัจเจกชนแบบเจ้าเข้า เจ้าของ (Possessive Individualism) ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ หากเป็นเพียงการสะท้อนลักษณะของมนุษย์ในบริบทของสังคมตลาดแบบทุนนิยม ซึ่งกำลังก่อตัวขึ้นมาเท่านั้นเอง จากการเน้นความเป็นเจ้าของทรัพย์สินกับการแข่งขันและ ต่อสู้เพื่ออรรถประโยชน์ของตนเอง ส่วนมนุษย์ตามธรรมชาตินั้น แม็กเฟอร์สันโต้แย้งว่า น่าจะมีลักษณะของความเป็นส่วนรวมมากกว่าความเป็นส่วนตัว (Macpherson, 1962: 255-257) ต่อมา แม็กเฟอร์สันก็ได้ขยายความเรื่องความเป็นส่วนรวมนี้เพิ่มเติมในหนังสือ เรื่อง Property: Mainstream and Critical Positions แทนที่เขาจะมองทรัพย์สิน ว่าเป็นเพียงสิ่งของที่มนุษย์สามารถอ้างสิทธิในความเป็นเจ้าของได้ ตามแนวคิดของ จอห์น ล็อก เขากลับเสนอให้หันมามองทรัพย์สินว่าเป็นความสัมพันธ์ทางสังคม นัยที่ตาม มาจึงช่วยให้มองทรัพย์สินส่วนบุคคลเป็นเพียงความสัมพันธ์เชิงอำ นาจระหว่างผู้อ้างสิทธิ กับผู้อื่นที่อาจถูกกีดกันออกจากการเข้าถึงทรัพย์สินนั้นได้ ด้วยเหตุนี้เอง ทรัพย์สินส่วน บุคคลก็ดี หรือทรัพย์สินของรัฐก็ดี จึงเป็นเพียงการอุปโลกน์หรือสมมติขึ้นมาด้วยการ นิยามของกฎหมาย ขณะที่ทรัพย์สินแท้จริงนั้นเป็นทรัพย์สินตามธรรมชาติที่ผู้คนสามารถ เข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ร่วมกัน (Macpherson, 1978: 1-14) อิทธิพลทางความคิดที่ตามมาจากความคิดของแม็กเฟอร์สันน่าจะสอดคล้อง กับแนวทางในการจำ แนกประชาสังคมในเบื้องต้นแนวที่ 3 ตามข้อเสนอในบทความแรก (กฤติยาพร วงษา) นั่นคือ ประชาสังคมแยกออกมาจากกลไกตลาดและรัฐ แต่แม็กเฟอร์สัน จะเน้นถึงความสัมพันธ์หรือการมีส่วนร่วมของปัจเจกชนในประชาสังคมมากกว่า ขณะที่เขา ก็เสนอว่าประชาสังคมไม่สามารถแยกออกจากรัฐได้อย่างเด็ดขาด เพราะยังต้องสัมพันธ์ อยู่กับรัฐ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับทรัพย์สินส่วนรวมบนพื้นฐานของสิทธิต่างๆ โดยเฉพาะสิทธิมนุษยธรรม (Macpherson, 1978: 13-14) แม้ว่าบทความแรกจะเริ่มจากการมองประชาสังคมแยกออกมาจากกลไกตลาด และรัฐ บนพื้นฐานของความคิดในสังคมตะวันตก แต่ด้วยการทบทวนนักคิดจำ นวนหนึ่งใน สังคมไทยก็พบว่า ในปัจจุบันความเข้าใจประชาสังคมในสังคมไทยนั้น มีความหลากหลาย และสลับซับซ้อนอย่างมาก สามารถจัดแบ่งประเภทออกได้ 3 กลุ่ม คือ ประชาสังคม เอกภาคี ประชาสังคมทวิภาคี และประชาสังคมไตรภาคี ซึ่งอาจจะสัมพันธ์เกี่ยวข้องอยู่กับ ทั้งรัฐและภาคธุรกิจเอกชน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของการพัฒนาสังคมประชาธิปไตยและความ เข้าใจอุดมการณ์เกี่ยวกับจิตสาธารณะต่างๆ ทั้งในสังคมตะวันตกและการก่อตัวขึ้นมาใน สังคมไทยปัจจุบัน ส่วนบทความที่ 2 (จามะรี เชียงทอง) จะมองประชาสังคมเชื่อมโยงกับ การเกิดขึ้นของชนชั้นกลางและพื้นที่ของขัดแย้งในสังคมเปลี่ยนผ่าน โดยเฉพาะการถกเถียง หรือโต้แย้งความหมายของสิทธิจากการที่กลุ่มต่างๆ ในสังคมมีความเข้าใจแตกต่างกัน


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 11 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี หากมองย้อนกลับไปในกระแสความคิดของสังคมตะวันตกก็จะพบว่า คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx, 1818-1883) ถือเป็นนักคิดคนแรกๆ ที่พยายามผลักดันให้มอง อุดมการณ์หรือความคิดต่างๆ ว่าล้วนยึดโยงอยู่กับความสัมพันธ์เชิงอำ นาจด้วยการโต้ แย้งความคิดแบบจิตนิยมของเฮเกล (Georg William Friedrich Hegel, 1770-1831) ในทำ นองเดียวกันกับที่แม็กเฟอร์สันนำ มาใช้วิเคราะห์ความคิดเกี่ยวกับทรัพย์สินนั่นเอง แม้ว่าคาร์ล มาร์กซ์ อาจจะไม่ได้มอง “Civil Society” ในความหมายตรงกับประชาสังคม ในปัจจุบันเสียทีเดียว แต่เขาจะเน้นว่า “ประชาสังคม” (Civil Society) หมายถึง ความสัมพันธ์ เชิงอำ นาจที่ขัดแย้งและต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมีลักษณะเสมือนเป็นจุดตัดหรือ จุดปะทะกันของประเด็นปัญหาต่างๆ ที่นำ ไปสู่การผลักดันการเปลี่ยนแปลง ดังปรากฏ อยู่ในหนังสือช่วงแรกของเขาเรื่อง The German Ideology (Marx and Engels, 1970) ซึ่งเขาเขียนร่วมกับเองเกลส์ (Frederick Engels) ระหว่างปี ค.ศ. 1845-46 (ดูเพิ่มเติม ใน อานันท์, 2564) ภายหลังนักคิดและนักเคลื่อนไหวชาวอิตาลีในสำ นักมาร์กซิสต์คนหนึ่งชื่อ อันโตนิโอ กรัมชี (Antonio Gramsci, 1891-1937) ได้พยายามขยายความด้วยการมอง ความขัดแย้งเชิงอำ นาจดังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่าเป็นปฏิบัติการของการช่วงชิงความหมาย ระหว่างกลุ่มที่อยู่ก้นบึ้งของสังคม (Subaltern) หรือผู้อ่อนแอ และกลุ่มที่ครองอุดมการณ์ อำ นาจนำ หรืออุดมการณ์ครอบงำ (Hegemony) และเรียกการช่วงชิงเช่นนี้ว่าเป็นการ ต่อสู้เชิงประเด็น (War of Position) ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือรวบรวมความคิดของเขา จากการเขียนขณะถูกคุมขังอยู่ในคุกช่วงทศวรรษที่ 1930 ภายใต้การปกครองแบบ เผด็จการของเบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini) และต่อมาจึงถูกนำ มาแปลและ พิมพ์เป็นหนังสือเรื่อง Selections from the Prison Notebooks (Gramsci, 1971) เมื่อไม่นานมานี้ นักคิดในสำ นักมาร์กซิสต์ชาวฝรั่งเศสอีกคนหนึ่งชื่อ อองรี เลอแฟบวร์ (Henri Lefebvre, 1901-1991) ได้เสนอให้มองความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งดังกล่าวนี้ เพิ่มเติมอีกว่าเป็น “พื้นที่” (Space) ในเชิงที่เป็นทั้งสนามของความสัมพันธ์เชิงอำ นาจ และประเด็นของการต่อสู้ เพื่อช่วงชิงมโนทัศน์ในการสร้างสังคมของผู้คนกลุ่มต่างๆ (Lefebvre, 1992) (ดูเพิ่มเติมใน อานันท์ บก., 2563) แนวความคิดเรื่อง “พื้นที่” นี้ ปรากฏอยู่ในเกือบทุกบทความในหนังสือเล่มนี้ แต่อาจจะยังมองแตกต่างกันอยู่บ้าง ดังจะได้อภิปรายและวิเคราะห์ในหัวข้อต่อๆ ไป


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 12 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี บ ท นำำ 02. จิิ ต ส า ธ า ร ณ ะ : จ า กคุุ ณ ค่่าและ อุุดม ก า ร ณ์์ สู่่�ค วามเ คลื่่�อนไหวทาง สัั ง ค ม แม้บทความแรกจะพยายามเสนอให้มองจิตสาธารณะยึดโยงอยู่กับแนวความคิด ว่าด้วยประชาสังคม โดยเฉพาะที่มาจากรากเหง้าในปรัชญาของสังคมตะวันตก ซึ่งมีอิทธิพล ต่อการก่อตัวของประชาสังคมในสังคมไทยด้วย เริ่มต้นจากชนชั้นนำ เช่น คณะราษฎร ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย แล้วจึงค่อยๆ ขยายออกไปสู่กลุ่มชนอื่นๆ ที่อาจจัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นกลาง จนในปัจจุบัน ได้ขยายตัวลงไปสู่กลุ่มคนระดับฐานรากอย่างกว้างขวาง แต่อีกสองบทความที่ตามมาจะ หันมามองจิตสาธารณะในเชิงอุดมการณ์และคุณค่า โดยเริ่มจากคุณค่าในศาสนาต่างๆ ขณะที่บทความที่สอง เริ่มจากคุณค่าทางศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนา แล้วจึงหันไปให้ความสำ คัญกับแนวความคิดเรื่องปริมณฑลทางศีลธรรม ตามนัยในทำ นอง คล้ายคลึงกับเจตจำ นงค์ร่วมกันของฌอง จ๊าค รุสโซ และสำ นึกร่วมของเอมิล เดอร์ไคม์ ซึ่งไม่ได้จำ กัดอยู่เฉพาะในโลกทางศาสนาเท่านั้น แต่เป็นศีลธรรมในโลกนี้ หรือ โลกสามัญ (Secular World) ซึ่งบทความที่สองจะเจาะจงหมายถึง อุดมการณ์มนุษยนิยม รวมทั้ง ความคิดเกี่ยวกับสาธารณะกุศลและสาธารณะประโยชน์ พร้อมทั้ง หยิบยกองค์กรหรือ มูลนิธิต่างๆ ที่ดำ เนินการตามอุดมการณ์ดังกล่าว ซึ่งมีพัฒนาการมาตามลำ ดับขึ้นมา เป็นตัวอย่างโดยสังเขป ส่วนบทความที่สาม (โรซาเลีย ชอร์ติโน) เริ่มต้นจากมองจิตสาธารณะจากคุณค่า ทางศาสนาต่างๆ เช่นเดียวกัน แต่จะมุ่งเน้นการนำ เสนอข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อสนับสนุน ความเข้าใจดังกล่าวอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับสถาบัน องค์กรและกลไกในการดำ เนินงาน ตามคุณค่าด้านการทำ บุญและการกุศลเหล่านั้น จากแง่มุมของความหลากหลายทาง ศาสนาและชาติพันธุ์ในสังคมไทย ผ่านสถาบัน องค์กรและกลไกต่างๆ ซึ่งอาจตีความ คุณค่าแตกต่างกันไปบ้าง ส่วนมากก็จะยังคงเน้นการทำ บุญทางศาสนาโดยตรง ขณะที่ บางส่วนเริ่มหันไปทำ บุญทำ ทานเพื่อสาธารณประโยชน์อยู่บ้าง เช่น ด้านการศึกษา สวัสดิการ และสาธารณสุข เป็นต้น เมื่อได้รับอิทธิพลของระบบทุนนิยมมากขึ้น แม้ภายใน ศาสนาเดียวกัน แต่ต่างนิกายกันก็อาจจะมองคุณค่าทางศาสนาแตกต่างกัน จนภายหลัง ก็เริ่มมีแนวโน้มจะให้ความสำ คัญกับคุณค่าเชิงพาณิชย์ และหันไปทำ บุญเพื่อสร้าง ถาวรวัตถุต่างๆ ทางศาสนามากขึ้น สำ หรับศาสนาอิสลามแล้วยังรวมเอาพื้นฐานของ คุณค่าเกี่ยวกับหน้าที่และความสมานฉันท์ในหมู่ชาวมุสลิมไว้ด้วย เพื่อการกุศลด้าน สาธารณประโยชน์


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 13 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี จากนั้นบทความที่สามจึงหันมามององค์กรและกลไกในโลกสามัญที่ดำ เนินงาน ด้านการทำ บุญและการกุศล ตั้งแต่มูลนิธิโครงการหลวง ไปจนถึงองค์กรการกุศลของ ครอบครัวและธุรกิจ ตลอดจนเครือข่ายภาคประชาสังคมรูปแบบใหม่ๆ ที่ระดมทุนทางสังคม เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ด้วยการอธิบายว่า นอกจากคุณค่าทางศาสนาแล้ว องค์กรเหล่านี้ยังตั้งอยู่บนพื้นฐานของวัฒนธรรมของการพึ่งพาอาศัยและการแลกเปลี่ยน ตอบแทนกัน ซึ่งกลายเป็นพันธะที่หล่อหลอมให้เกิดคุณค่าของความเมตตากรุณาตามมา พร้อมทั้ง การหันไปมุ่งเน้นการสนับสนุนสาธารณประโยชน์ด้านต่างๆ ที่ไม่ใช่ด้านศาสนา โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา สาธารณสุข และการพัฒนาคุณภาพชีวิต ในท้ายที่สุด บทความที่สามก็เริ่มขยายนิยามสถาบันที่บริจาคทุนเพื่อสาธารณประโยชน์ (Philanthropy) เหล่านี้ว่าเป็นองค์กรให้ทุนเพื่อสังคม เพื่อแยกแยะความแตกต่างออกจากองค์กรสาธารณ กุศลทั่วๆ ไป ทั้งนี้ เพราะองค์กรเหล่านี้ไม่ได้จำ กัดอยู่เฉพาะคุณค่าด้านสาธารณกุศลและ สาธารณประโยชน์เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงด้านกลยุทธ์ในการสร้างผลกระทบต่างๆ อย่างยั่งยืนด้วย ขณะที่บทความที่สอง นอกจากจะมองจิตสาธารณะยึดโยงอยู่กับแนวความคิด หลักในปริมณฑลทางศีลธรรม ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นได้รับอิทธิพลมาจากสังคมตะวันตก ทั้งด้าน จิตวิญญาณและการสร้างกุศลเพื่อสาธารณประโยชน์ในโลกนี้ด้วยแล้ว เมื่อนำ มาอธิบาย ร่วมกับกรณีของสังคมไทย จิตสาธารณะจะแฝงอยู่กับอุดมการณ์ต่างๆ ทั้งการทำ บุญทำ ทาน ในพุทธศาสนาและการอุปถัมภ์ด้วย มากกว่าการเชื่อมโยงกับแนวคิดด้านกลยุทธ์ของการ ให้ทุนเพื่อสังคม บทความที่สองจึงยังคงเรียกองค์กรที่บริจาคทุนเพื่อสาธารณประโยชน์ (Philanthropy) เหล่านี้ว่า องค์กรหรือกองทุนสาธารณกุศล แม้จะมองเห็นอยู่บ้างแล้ว ว่าบางมูลนิธิพยายามก้าวไปสู่แนวทางการผลักดันการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางสังคม ด้วยก็ตาม ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของภาคประชาสังคมที่พยายามพัฒนาประชาธิปไตย ความเป็นธรรม และความเท่าเทียม ขณะเดียวกัน บทความที่สองยังเสนอเพิ่มเติมอีกด้วยว่าค่านิยมและอุดมการณ์ เช่น จิตสาธารณะนั้นเกี่ยวข้องอยู่กับความสัมพันธ์ทางสังคมด้วย ซึ่งไม่ได้มีลักษณะ1 สมานฉันท์เสมอไป หากยังอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งตามมาด้วย โดยผู้เขียนบทความ ที่สองมุ่งเน้นเฉพาะความหมายเกี่ยวกับความขัดแย้งของการถกเถียงกันในเรื่องของสิทธิ ในบริบทของการเกิดความคิดใหม่ๆ เท่านั้น เพียงแต่ยังไม่ได้พิจารณาไปถึงความสัมพันธ์ เชิงอำ นาจ ตามแนวทางของ ซี. บี. แม็กเฟอร์สัน ดังที่ได้เสนอไว้แล้วข้างต้น องค์กรหรือกองทุนสาธารณกุศลหรือสาธารณประโยชน์เหล่านี้ ตามความเข้าใจ ของบทความต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น มักจะมองจิตสาธารณะในมิติของทุนทาง สังคม แต่ความหมายของทุนทางสังคมในทางสังคมศาสตร์นั้นยังมีความเห็นแตกต่างกัน 1 ส่วนนี้ผู้เขียนบทความที่สองใช้คำ ว่า “พื้นที่” ซึ่งแตกต่างจาก ความหมายของ เลอแฟบวร์ ซึ่งจะได้ขยายความต่อไปในภายหลัง


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 14 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี สำ หรับแนวคิดแบบชุมชนนิยม ดังตัวอย่างเช่น โรเบิร์ต พัทนัม (Robert Putnam) จะมอง ทุนทางสังคมเกี่ยวข้องกับการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ในฐานะที่เป็นพลังในสังคม และในทางการเมือง สำ หรับสนับสนุนการเลือกตั้งในสังคมประชาธิปไตย จากกรณีศึกษา สังคมอเมริกัน โดยเริ่มจากการแยกแยะระหว่างทุนทางกายภาพ ทุนมนุษย์ และทุนทาง สังคม ซึ่งแสดงว่าเขาให้ความสำ คัญกับทุนมนุษย์ที่เป็นคุณสมบัติของปัจเจกชน ส่วนทุน ทางสังคมนั้นเกี่ยวข้องกับเครือข่ายและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลบนพื้นฐานของความไว้ วางใจกัน เขาจึงเห็นว่าหากปัจเจกชนมีความสัมพันธ์ร่วมกันมากเท่าใด ก็จะเกิดทุนทาง สังคมมากขึ้นเท่านั้น จนกลายเป็นพลังทางสังคมและการเมืองตามมา (Putnam, 2000) ตามนัยดังกล่าวอาจถือได้ว่าความไว้วางใจก็เป็นมิติหนึ่งของจิตสาธารณะด้วย แต่ความคิดเกี่ยวกับทุนทางสังคมดังกล่าวแตกต่างอย่างมากจากมุมมองของ ปิแอร์ บูร์ดิเออร์ (Bourdieu, 1986) ซึ่งพยายามถกเถียงว่า ทุนทางสังคมไม่ใช่เป็นเพียง ความสัมพันธ์เท่านั้น แต่ต้องเป็นความสัมพันธ์เพื่อปฏิบัติการบางอย่างร่วมกันอย่างมี เป้าหมายในการเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำ นาจ ในสนาม (field) ของการต่อสู้กับความ สัมพันธ์เชิงอำ นาจที่ขัดแย้งกัน ด้วยการเสนอให้แยกแยะรูปแบบต่างๆ ของทุนออกจากกัน ไม่ใช่มองเฉพาะทุนในเชิงเศรษฐกิจ แต่ยังต้องรวมถึงทุนทางสังคม ทุนทางวัฒนธรรม และสัญลักษณ์เอาไว้ด้วย เพื่อเปิดให้ผู้กระทำ การต่างๆ ในสังคมสามารถพลิกแพลงทุนที่ แตกต่างกันเหล่านั้น ด้วยการแปรรูปแบบของทุนแต่ละประเภทให้ปรับเปลี่ยนกลับไปมาได้ เพื่อช่วยให้ผู้กระทำ การทางสังคมสามารถเลือกนำ มาใช้ในการเคลื่อนไหวและดิ้นรนต่อสู้ กับอำ นาจครอบงำ ต่างๆ (ดูเพิ่มเติมใน อานันท์, 2559) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจิตสาธารณะ ไม่ใช่เป็นเพียงความคิดโดดๆ เท่านั้น แต่ต้องเป็นความคิดที่ควบคู่อยู่กับการปฏิบัติการ ของการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงอำ นาจอีกด้วยนั่นเอง ทั้งนี้เพราะหากจิตสาธารณะมีความหมายจำ กัดอยู่เฉพาะในอุดมการณ์เกี่ยวกับ การทำ บุญทำ ทาน หรือการกุศลเป็นหลักตามที่มักจะเข้าใจกันแล้ว ก็จะไม่สามารถเข้าใจ ปฏิบัติการของอุดมการณ์ดังกล่าวในบริบทของสังคมภาคเหนือของไทย ดังกรณีศึกษาวิจัย ในบทความของโบวี่เรื่อง “The alchemy of charity: Of class and Buddhism in northern Thailand” (Bowie, 1998) ซึ่งเสนอข้อโต้แย้งความคิดดังที่ปรากฏอยู่ในบทความที่สาม จากการให้ความสำ คัญกับวัฒนธรรมของการพึ่งพาอาศัยและการแลกเปลี่ยนตอบแทนกัน บนพื้นฐานที่ว่า วัฒนธรรมเช่นนั้นตั้งอยู่บนกระบวนทัศน์ที่มองจากมุมของสังคมแบบ สมานฉันท์เท่านั้น แต่จากการศึกษาวิจัยภาคสนามของโบวี่ พบว่า สังคมชนบทในภาคเหนือ ของไทยมีความแตกต่างทางชนชั้นและขัดแย้งกัน ในบริบทดังกล่าว การกุศลจึงไม่ใช่ ทั้งการแลกเปลี่ยนตอบแทนกัน หรือแม้แต่การอุปถัมภ์ ตามแนวคิดที่นำ เสนอไว้ใน บทความที่สองด้วย โบวี่ได้วิเคราะห์ว่า การทำ บุญทำ ทานในสังคมชนบทเป็นเสมือนอุดมการณ์นำ หรือครอบงำ (Hegemony) ตามแนวคิดของกรัมชีที่ช่วยสร้างความชอบธรรมให้แก่การดำ รง อยู่ของชนชั้นนำ ขณะเดียวกัน ก็ถือเป็นอุดมการณ์ปฏิบัติการด้วย เพราะหากกลุ่มชนอื่นๆ


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 15 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ไม่ยินยอมน้อมรับความชอบธรรมเช่นนั้น ก็จะกระตุ้นให้พวกเขาลุกขึ้นมาช่วงชิงความหมาย ของอุดมการณ์ดังกล่าว (Gramsci, 1971) การทำ บุญทำ ทานจึงอาจจะกลายเป็นอาวุธของ ชนชั้นล่างหรือผู้อ่อนแอไปด้วยพร้อมๆ กัน ตามแนวความคิดของสก๊อต (Scott, 1985) ด้วยเหตุนี้เอง การกุศลอาจจะกลายเป็นกลไกหนึ่งสำ หรับลดความตึงเครียดระหว่างชนชั้น ผ่านการช่วยเหลือผู้ยากไร้ ซึ่งไม่ใช่เป็นการกระทำ เพื่อการกุศลโดยสมัครใจเสมอไปทั้งหมด เพราะอาจเกิดจากผู้อ่อนแอได้ช่วงชิงความหมายของการทำ บุญทำ ทานด้วยการต่อสู้ เรียกร้องและกดดันให้ชนชั้นนำ ต้องทำ บุญทำ ทานต่างๆ เพื่อรักษาสถานภาพของตนเอาไว้ ก็ได้ (Bowie, 1998: 474-478) ตามนัยดังกล่าวจิตสาธารณะจึงไม่น่าจะจำ กัดอยู่เฉพาะในเรื่องของอุดมการณ์ ด้านการกุศลเท่านั้น หากดำ รงอยู่ในบริบทของความขัดแย้งในสังคมด้วย ทั้งนี้ผู้เขียน ได้เคยเสนอให้หันมามองในมุมของ “การระดมทุนเพื่อสังคม” ตามแนวคิดของบูร์ดิเออร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเคลื่อนไหวการต่อสู้ เพื่อปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำ นาจในสังคม ในความหมายของความเคลื่อนไหวในภาคประชาสังคม เพื่อผลักดันการสร้างคุณค่าใหม่ๆ ที่ให้ความสำ คัญกับศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะการสร้างความเป็นตัวตนหรือ อัตลักษณ์ และการช่วงชิงการนิยมความหมายใหม่ๆ ของสิทธิ เพื่อให้ภาคส่วนต่างๆ ของสังคม มีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรมากขึ้น แทนการรอคอยน้ำ ใจของคนใจบุญเท่านั้น แต่ต้อง ผนึกกำลังของทุกภาคส่วนของสังคมผ่านกลไกหนึ่งของภาคประชาสังคม โดยเฉพาะองค์กร หรือกลไกในการให้ทุนเพื่อสังคม ซึ่งจะมีบทบาทมากขึ้นต่อการสนับสนุนการเคลื่อนไหว ทางสังคมในสังคมสมัยใหม่ (อานันท์, 2541) สำ หรับนักคิดชาวฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของฟูโกต์ (Michael Foucault, 1926-1984) ซึ่งมักจะหวาดระแวงความคิดหรือจิตสำ นึกต่างๆ ในสังคมสมัยใหม่ อยู่แล้ว เขาจึงมักจะวิพากษ์วิจารณ์จิตสำ นึกในสังคมปัจจุบันอย่างรุนแรง ด้วยการวิพากษ์ จิตสำ นึกอย่างเช่น จิตสาธารณะต่างๆ นั้นว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “การปกครองชีวญาณ” (Governmentality) ในความหมายที่แตกต่างไปจากการปกครองด้วยอำ นาจรัฐโดยตรง เพราะรัฐเป็นสถาบันที่มีอำ นาจอยู่นอกตัวคน ขณะที่การปกครองชีวญาณเป็นการปกครอง ที่มีพลังอำ นาจบังคับอยู่ภายในตัวของผู้คนเอง โดยไม่ผูกติดอยู่กับสถาบันใดๆ เพราะเกิด จากการที่คนเรายอมรับความคิดอย่างหนึ่งว่าเป็นความจริง จนรับเอาความจริงนั้นมาปกครอง หรือควบคุมตนเอง ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการปกครองตัวเองด้วยจิตสำ นึกของสังคม แบบเสรีนิยมใหม่ ในความหมายของการครอบงำ นั่นเอง (ดูเพิ่มเติมใน อานันท์, 2562: 124-125) ในอีกด้านหนึ่ง ฟูโกต์ก็จะมองอำ นาจในแง่บวกด้วย ในมุมมองที่เขาเรียกว่า เป็นการเมืองชีวะ (Bio-politics) คือเป็นการเมืองที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ซึ่งทั้งรัฐและระบบ ทุนนิยมจะเน้นชีวิตในโลกนี้ ด้วยการมองพลเมืองว่าเป็นเสมือนทรัพยากร ซึ่งต้องได้รับการ ดูแลทั้งด้านสวัสดิการ การศึกษาและสุขภาพ เพื่อจะได้เป็นทรัพยากรที่ดีของระบบเศรษฐกิจ และทำ งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฟูโกต์บรรยายประเด็นนี้ไว้ที่วิทยาลัยแห่งชาติฝรั่งเศส


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 16 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ในปี ค.ศ. 1978-79 และภายหลังถูกนำ มาแปลและรวมพิมพ์ในหนังสือชื่อ Security Territory, Population (Foucault, 2009) (ดูเพิ่มเติมใน อานันท์, 2562: 143-144) แนวคิด ดังกล่าวของฟูโกต์ ช่วยเปิดให้เห็นมุมมองของการวิเคราะห์ที่แตกต่างออกไปว่า ทำ ไม จิตสาธารณะต่างๆ จึงมักจะเน้นการดูแลผู้คนในด้านสวัสดิการ การศึกษาและสุขภาพ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติการของปัจเจกชนเอง และผ่านองค์กรให้ทุนเพื่อสังคมหรือไม่ก็ตาม แต่นักวิชาการทั่วๆ ไปก็ไม่ได้เห็นคล้อยตามฟูโกต์ไปเสียทั้งหมด ดังจะเห็นได้ว่า นักวิชาการส่วนหนึ่งยังมักจะแบ่งรับแบ่งสู้ แต่บางส่วนเริ่มการหันมามององค์กรให้ทุนเพื่อ สังคม (Philanthropy) ว่าเป็นสถาบันสำ คัญ ซึ่งอยู่ในกระบวนการของการสร้างคุณค่าหรือ จิตสาธารณะ ทั้งนี้ ไม่ใช่เพราะเป็นเพียงองค์กรที่ไม่แสวงหากำ ไรเท่านั้น แต่ยังช่วยนำ เสนอ กลยุทธ์ที่ท้าทายในการกระตุ้นและสนับสนุนการสร้าง “พื้นที่ที่สาม2 ” (Third Space) ที่มีนัย ของพื้นที่ต่อรองระหว่างกลุ่มชนต่างๆ ในสังคมเมือง (ดูเพิ่มเติมใน Soja, 1996) ซึ่งจำ เป็น ต่อการบ่มเพาะความคิดในการเปลี่ยนแปลงสังคมและสร้างดุลยภาพให้ทรัพยากรระหว่าง เป้าหมาย เพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนด้านหนึ่ง และเพื่อนำ ไปใช้เปลี่ยนแปลงสังคม ในวงกว้างในอีกด้านหนึ่ง (Mendel and Brudney, 2014) แต่ปฏิบัติการที่เกิดขึ้นจริง ในแต่ละสังคมจะสอดคล้องกับข้อสังเกตนี้หรือไม่ คงต้องพิจารณาศึกษาในเชิงเปรียบเทียบ กันต่อไปอีก บ ท นำำ 03. อ ง ค์์ก ร ใ ห้้ทุุ น เ พื่่�อ สัั ง ค ม เ ป็็ น ก ล ไ ก เ พื่่�อ ผ ลัักดัั น ก ารเ ปลี่่�ยนแ ป ล ง ไ ป ทางไหน ในปัจจุบัน มักเชื่อกันว่าจิตสาธารณะจะปรากฏอยู่ในรูปขององค์กรหรือกลไก ของการบริจาคทุนเพื่อสังคมหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า การให้ทุนเพื่อสังคม (Philanthropy) ดังกล่าวไว้แล้วข้างต้น ขณะที่บทความที่สองจะใช้ในเฉพาะความหมายขององค์กรสาธารณ กุศลหรือองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์เท่านั้น จากกรณีตัวอย่างต่างๆ ในสังคมตะวันตก ซึ่งเริ่มต้นจากองค์กรทางศาสนา ตั้งแต่ก่อนระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม แต่หลังจากการ ก่อตัวของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมแล้วก็เกิดมูลนิธิของมหาเศรษฐีตามมา ทั้งองค์กร ทางศาสนาและมูลนิธิต่างก็มีจุดมุ่งหมายร่วมกันอยู่บ้าง ในการดูแลชีวิตใน “โลกนี้” โดยมี กิจกรรมหลักคล้ายกัน ในการสนับสนุนและช่วยเหลือสังคมในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการ 2 ดังจะได้ขยายความต่อไปในหัวข้อที่ 5


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 17 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี สงเคราะห์กลุ่มเปราะบางในสังคม ด้านการแพทย์ และด้านการศึกษา บนพื้นฐานของหลัก มนุษยธรรมหรืออุดมการณ์มนุษยนิยม แต่ในปัจจุบันบางมูลนิธิก็เริ่มหันมาสนับสนุนและ ส่งเสริมด้านศิลปวัฒนธรรม เพื่อสร้างสังคมที่ดีขึ้น และในระยะหลังก็ขยายไปสนับสนุน ด้านการอนุรักษ์และดูแลสิ่งแวดล้อม ในท้ายที่สุดมูลนิธิ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาก็เริ่ม มีส่วนในด้านการผลักดันการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางสังคมด้านอื่นๆ อีกด้วย ในกรณีของสังคมไทย ทั้งบทความที่หนึ่งและสองต่างนำ เสนอข้อมูลคล้ายๆ กัน เกี่ยวข้องกับองค์กรสาธารณกุศลหรือองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ที่มีลักษณะใกล้เคียง กับมูลนิธิในสังคมตะวันตก จากการก่อตัวขึ้นมาในกลุ่มชนชั้นสูงก่อน โดยเฉพาะคณะราษฎร พร้อมๆ กับการจัดตั้งมูลนิธิในตระกูลต่างๆ ของพ่อค้าจีน ซึ่งมีกิจกรรมในด้านการสงเคราะห์ และการสร้างโรงพยาบาลเป็นหลัก แต่บทความที่หนึ่งยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนของการ จัดตั้งมูลนิธิในระยะต่อๆ มา ที่ชนชั้นกลางเริ่มมีส่วนร่วมด้วยมากขึ้น จนสามารถขยาย กิจกรรมไปสู่ด้านการพัฒนาสังคมและการสนับสนุนผู้ด้อยโอกาส ส่วนใหญ่ข้อมูลรายละเอียดเชิงประจักษ์ต่างๆ เกี่ยวกับองค์กรสาธารณกุศล หรือองค์เพื่อสาธารณประโยชน์ในประเทศไทยจะอยู่ในบทความที่สาม ทั้งนี้ บทความที่สาม ยังเพิ่มเติมความหมายขององค์กรดังกล่าว ด้วยการหันมาให้ความสำ คัญกับมิติของการ บริจาคทุนเพื่อสังคมด้วย ซึ่งไม่ได้จำ กัดอยู่เฉพาะในส่วนของศาสนา และองค์กรธุรกิจเอกชน เท่านั้น ในสังคมไทยยังมีกองทุนในรูปของมูลนิธิโครงการหลวง และกองทุนเพื่อสังคม ที่รัฐจัดตั้งขึ้นมาเป็นองค์กรอิสระด้วยเงินจากภาษีสุราและยาสูบ เช่น สำ นักงานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นต้น แต่ความน่าสนใจของบทความที่สามอยู่ที่การตั้งข้อสังเกตเชิงเปรียบเทียบ ระหว่างองค์กรที่ให้ทุนเพื่อสังคมในสังคมไทยและในประเทศตะวันตก โดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา เช่น มูลนิธิฟอร์ด และมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ ที่สำ คัญก็คือองค์กรให้ทุนใน สังคมไทยมักจะเน้นเป้าหมายระยะสั้น มากกว่าการลงทุนเพื่อสร้างผลกระทบอย่างยั่งยืน ในระยะยาวให้กับผู้รับประโยชน์ ขณะเดียวกัน ก็มักจะบริหารจัดการแบบไม่เป็นทางการ ตลอดจนมักจะให้ความสำ คัญกับการตอกย้ำ ความชอบธรรมและสร้างสถานภาพทางสังคม ของตนเองมากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับข้อถกเถียงของโบวี่ข้างต้น เพียงแต่ไม่ได้นำ เอา ด้านการต่อสู้ของชนชั้นล่างมาพิจารณาร่วมด้วยเท่านั้น นอกจากนั้น บทความที่สาม ยังพยายามชี้ให้เห็นถึงเหตุผลในเชิงปฏิบัติการจริงของกองทุนในองค์กรธุรกิจต่างๆ ว่า ไม่ใช่เพียงการยกระดับสถานภาพในชุมชนเท่านั้น แต่อยู่ที่การสร้างอิทธิพลทางการเมือง หรือธุรกิจและการอุปถัมภ์มากกว่า ซึ่งแสดงถึงความคลุมเครือระหว่างการให้ทุนเพื่อสังคม และธุรกิจ โดยเฉพาะแนวโน้มในปัจจุบันที่เรียกว่า ธุรกิจเพื่อสังคม หรือความรับผิดชอบ ต่อสังคม (Corporate Social Responsibility หรือ CSR) ขณะเดียวกัน บทความที่สามยังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมอีกด้วยว่า แม้แต่กองทุน เพื่อสังคมที่รัฐจัดตั้งขึ้นก็ไม่ได้มีอิสระอย่างแท้จริง ทั้งๆ ที่มีความพยายามในการบริหาร อย่างเป็นทางการ ด้วยการพัฒนากลยุทธ์ในการให้ทุนอย่างชัดเจน พร้อมทั้งกำ หนดเป้าหมาย


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 18 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี และการตั้งคำ ถามกับรากเหง้าของปัญหา เพื่อสร้างผลกระทบจากการรวมพลัง ทั้งด้าน การวิจัย การรณรงค์เชิงนโยบาย และการเคลื่อนไหวทางสังคมก็ตาม เพราะการพึ่งพา ทุนจากรัฐ มักจะเปิดช่องให้ถูกการเมืองแทรกแซง และถูกครอบงำ จากระบบราชการ แนวอนุรักษ์นิยม แต่ก็ยังชี้ให้เห็นถึงข้อจำ กัดของการรับการบริจาคอย่างอิสระที่เริ่มขยายตัว เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการณ์ทางสังคมต่างๆ เพราะยังขาดระบบ ติดตามตรวจสอบ ในท้ายที่สุด บทความที่สามจึงเสนอแนวทางในการพัฒนาและการสร้างกองทุน สำ หรับการให้ทุนเพื่อสังคม โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการบริจาค จากที่มี เป้าหมายในตัวเอง มาสู่การมีอิสระจากเงื่อนไขแวดล้อมต่างๆ ทั้งเชิงนโยบายและการเงิน ด้วยสนับสนุนการบริจาคเชิงกลยุทธ์ในการสร้างผลกระทบที่ยั่งยืน พร้อมๆ ไปกับการพัฒนา กองทุนให้เป็นองค์กรทางการและมีระบบติดตามและตรวจสอบอย่างโปร่งใส ที่ต้อง จดทะเบียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งบทความที่สามได้แสดงตัวอย่างไว้แล้วอย่างละเอียด แตกต่างจากการระดมทุนเป็นครั้งคราวที่มักมีปัญหาขาดการตรวจสอบ แต่การเป็น องค์กรทางการก็อาจจะขาดอิสระ เพราะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ พร้อมๆ กับ การสนับสนุนด้านภาษี แม้บทความที่สามจะเสนอให้มุ่งเน้นความสำ คัญไปที่ระบบนิเวศที่เหมาะสม สำ หรับการบริจาค ซึ่งล้วนเป็นเงื่อนไขภายนอกดังกล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ซึ่งอาจแตกต่างกับ กรณีการศึกษาจากปฏิบัติการจริงในภาคสนามที่พบในสังคมอื่นๆ ด้วยการโต้แย้งหลักการ ตามข้อเสนอของบทความที่สาม เช่น ในกรณีศึกษาสังคมอินเดีย บอร์นสตีน ได้โต้แย้ง แนวคิดการกำ กับและควบคุมการบริจาค เพื่อสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะมอง เห็นว่าเป็นเรื่องของการใช้เหตุผลเป็นเพียงเครื่องมือ (Instrumentally Rationality) เท่านั้น ซึ่งมักจะก่อให้เกิดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ ตามมาด้วย โดยเฉพาะการ ต่อสู้และต่อรองเพื่อควบคุมทรัพยากร ที่ได้มาจากการบริจาค ขณะเดียวกันก็ถกเถียง ต่อไปด้วยว่า การให้ทุนเพื่อสังคมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความคิดแบบมนุษยธรรมนิยม มักจะเน้นพันธะทางสังคมและศีลธรรม พร้อมๆ กับสิทธิของผู้รับทุน มากกว่าเสรีภาพ ของการให้ ในฐานะที่เป็นจิตวิญญาณจากภายใน ตามคติเรื่อง “ทาน” ในศาสนาฮินดู ซึ่งจะยิ่งตอกย้ำ ความไม่เท่าเทียมให้ดำ รงอยู่ต่อไป เพราะตั้งอยู่บนหลักการที่ขัดแย้งกันเอง ของการให้ทุนเพื่อสังคมในปัจจุบัน (Bornstein, 2009: 639-643) เมื่อเปรียบเทียบกับการให้ทุนเพื่อสังคมในประเทศตะวันตก โดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา เช่น มูลนิธิฟอร์ด และมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์แล้ว บทความที่สามจะให้ความ สำ คัญกับการพัฒนาการให้ทุนเพื่อสังคมเป็นองค์กรทางการ เพราะจะมีระบบตรวจสอบ อย่างโปร่งใส รับผิดชอบต่อสังคม และยังสามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงระยะยาวได้ เพิ่มมากขึ้นด้วย แต่การศึกษาวิจัยที่ผ่านๆ มาได้ยืนยันและสนับสนุนความเข้าใจเช่นนั้น เพียงบางส่วนเท่านั้น


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 19 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ดังตัวอย่างกรณีศึกษาวิจัยในวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ วริยา ศิวะศริยานนท์ (ชินวรรโณ) ซึ่งศึกษาบทบาทของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ในการถ่ายทอดความรู้ด้านการแพทย์ จากสังคมตะวันตกสู่สังคมไทยในยุคแรกๆ ของการพัฒนาการแพทย์แบบตะวันตก ในสังคมไทย แม้จะประสบความสำ เร็จอย่างดี แต่ก็สร้างผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆ ตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้ชนชั้นนำ พร้อมๆ กับการพึ่งพาทาง วัฒนธรรมภายนอกมากขึ้น โดยเฉพาะจากความรู้แบบตะวันตก จนละเลยความรู้ในด้าน การรักษาพยาบาลที่ดำ รงอยู่เดิมในสังคมไทย (Wariya, 1984) ในทำ นองเดียวกับการศึกษาชิ้นอื่นๆ เกี่ยวกับบทบาทของมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ ในการสร้างอิทธิพลต่อการก่อตัวของวิชาสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะสาขามานุษยวิทยา ในสังคมอังกฤษ อเมริกาและออสเตรเลียในช่วงต้นๆ ของคริสต์ศตวรรษที่ 20 แม้มูลนิธิ ร็อกกี้เฟลเลอร์จะสนับสนุนการให้ทุนเพื่อสังคมและผลักดันการเปลี่ยนแปลงระยะยาวก็ตาม แต่ก็แฝงไว้ด้วยวาระที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนต่างๆ เมื่อพิจารณาจากบริบทของพลวัตทางสังคม การเมืองในช่วงเวลานั้น เช่น ปัญหาขัดแย้งรุนแรงด้านการจัดการแรงงาน มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ จึงสนับสนุนการศึกษาวิจัย ซึ่งนำ เสนอแนวคิดด้านทุนนิยมสวัสดิการที่พึ่งพาพลังของตลาด เพื่อช่วยเพิ่มการผลิตและกำ ไรให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ (Baba, 2012: 33-35 และ 57-58) ทั้งนี้ มูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ยังมีบทบาทในการสนับสนุนการศึกษาด้านมานุษยวิทยา ในสามประเทศดังกล่าว ด้วยการเลือกสนับสนุนนักมานุษยวิทยาบางคนและบางภาควิชา ในบางประเทศ เพื่อเป้าหมายบางอย่าง เพราะบริบทของประเทศอังกฤษในขณะนั้นกำ ลัง ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักจากประเทศภายใต้อาณานิคมของตน เพื่อเร่งให้กระตุ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างขึงขันมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าการให้ทุนเพื่อสังคมของมูลนิธิ ต่างๆ นั้นไม่ได้วนเวียนเฉพาะอยู่รอบๆ ปริมณฑลของตลาด เทคโนโลยีและนโยบาย เท่านั้น แต่ยังยึดโยงอยู่กับบริบทของประเด็นปัญหาของความขัดแย้งทางการเมืองหลักๆ ในสังคมร่วมสมัยขณะนั้นด้วย (Baba, 2012: 58-63) จากการศึกษาทบทวนพื้นฐานทางสังคมของการให้ทุนเพื่อสังคมเมื่อไม่นานมานี้ ในบทความเรื่อง “The social bases of philanthropy” (Barman, 2017) บาร์แมน เสนอให้นักสังคมวิทยาหันมามองทิศทางของการให้ทุนเพื่อสังคม ในบริบทของสังคมที่ มีทั้งความเป็นสังคมโลกและเสรีนิยมใหม่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ เขาพบว่าองค์กรหรือมูลนิธิ ที่ให้ทุนเพื่อสังคมขยายตัวอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการ กระจุกตัวของความมั่งคั่งอยู่ในมือของคนจำ นวนน้อยเท่านั้น การวิจัยต่างๆ เกี่ยวกับมูลนิธิ เหล่านี้จึงมักจะมุ่งเน้นไปที่การวิจัยถึงความพยายามปกป้องผลประโยชน์ทางชนชั้น ด้วยการสร้างอุดมการณ์อำ นาจนำ ทางวัฒนธรรม (Cultural Hegemony) ซึ่งมักจะเกี่ยวข้อง กับการสนับสนุนประชาสังคมระดับโลก และโครงการด้านการศึกษาต่างๆ ที่ช่วยสร้าง ความมั่นคงให้กับการจายตัวของประชาธิปไตยในยุคหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ด้วยการมุ่งเน้นให้ใช้เทคโนโลยีเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาสังคม รวมทั้ง การใช้กลไก ตลาดเป็นพื้นฐานในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคมด้วย เช่น ในรูปของ


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 20 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี วิสาหกิจเพื่อสังคม และกองทุนการเงินระดับรากหญ้า (Microfinance) ซึ่งก่อให้เกิด ข้อถกเถียงที่ยังไม่ยุติ เพราะมีทั้งการตั้งคำ ถามและช่วงชิงความหมายกันอยู่ว่า กองทุน การเงินเช่นนี้จะถือเป็น กลยุทธ์เพื่อสร้างแหล่งทุนใหม่ๆ หรือการสร้างเสริมอำ นาจให้ คนจนกันแน่ (Barman, 2017: 281-285) การศึกษาเชิงประจักษ์ในสังคมไทยเรื่อง “Payments for ecosystem services and corporate social responsibility: perspectives on sustainable production, stakeholder relations, and philanthropy in Thailand” (Thompson, 2018) ก็พบ ข้อถกเถียงที่น่าสนใจ จากความพยายามเชื่อมโยงธุรกิจเพื่อสังคมหรือความรับผิดชอบ ต่อสังคมกับการให้ทุนเพื่อสังคม ผ่านกรณีศึกษาการจ่ายค่าตอบแทนเพื่อนิเวศบริการ (Payments for Ecosystem Services) ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เพื่อการผลิตอย่างยั่งยืน ตามหลักการจึงถือได้ว่าเป็นการให้ทุนเพื่อสังคมประเภทหนึ่งได้ เช่นเดียวกัน ในการศึกษาครั้งนี้ใช้ตัวอย่างกรณีศึกษา 2 กรณี กรณีแรกเป็นการจ่ายเงิน ให้ชุมชนเพื่อร่วมกันดูแลรักษาป่าชายเลนในภาคใต้ ในการสนับสนุนธุรกิจเพาะเลี้ยงกุ้ง ส่วนกรณีที่สอง ธุรกิจน้ำแร่บรรจุขวดจ่ายเงินให้ชุมชนเพื่ออนุรักษ์ป่าบนพื้นที่สูงในภาคเหนือ แต่ทั้งสองกรณีคนในชุมชนเข้าร่วมเพราะเห็นว่าการดูแลรักษาระบบนิเวศเช่นนี้สอดคล้อง กับทั้งคุณค่าและการปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่มีมาแต่เดิม ในกรณีนี้การจ่ายค่าตอบแทน เพื่อนิเวศบริการจึงไม่ถือเป็นกลยุทธ์ของการแลกเปลี่ยนเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืน เพราะสอดรับอย่างดีกับความต้องการของท้องถิ่นอยู่แล้ว ผู้ศึกษาจึงเสนอให้มองกรณีนี้ ว่ามีนัยของการให้ทุนเพื่อสังคมในเชิงจริยธรรม มากกว่าเชิงการเมืองในการสนับสนุน ภาพลักษณ์ของธุรกิจ แต่ก็ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนเพื่อการเข้าถึงทรัพยากร จึงอาจถือได้ว่า เป็นลูกผสมระหว่างความรับผิดชอบต่อสังคมและการจ่ายค่าตอบแทนเพื่อนิเวศบริการ สำ หรับตัวผู้ศึกษาเองนั้นสนับสนุนให้นำ แนวคิดการจ่ายค่าตอบแทนเพื่อนิเวศบริการมาใช้ ตามหลักการในฐานะที่เป็นกลยุทธ์ เพื่อการผลิตอย่างยั่งยืนมากกว่า (Thompson, 2018: 503-509) ดังนั้นการศึกษาองค์กรหรือมูลนิธิที่ให้ทุนเพื่อสังคมในปัจจุบัน จึงอาจสรุปเป็น ข้อสังเกตไว้เบื้องต้นได้ว่า องค์กรเช่นนี้มีลักษณะแบบลูกผสมของสามภาคส่วนในความ สัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจการเมือง ระหว่างภาคของการให้ทุนเพื่อสังคม ภาครัฐ และภาคธุรกิจ ซึ่งอาจแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงได้ตามแบบจำ ลองของการทับซ้อนกันระหว่างแนวทาง และเป้าหมายของทั้งปัจเจกชนและสาธารณประโยชน์ ดังแผนภูมิที่ 1 ที่นำ เสนออยู่ใน บทความเรื่อง “On the modern meaning of philanthropy” (Sulek, 2010)


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 21 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี แผนภููมิิที่่� 1 แบบจำำ ลองแสดงสามภาคส่่วนของเศรษฐกิิจการเมืือง องค์กรให้ทุนเพื่อสังคม การบังคับ อาสาสมัคร แนวทางของปัจเจก แนวทางของปัจเจก สาธารณประโยชน์ สาธารณประโยชน์ การเก็บภาษี การแลกเปลี่ยน ที่่�มา: Sulek, 2010: 202 บ ท นำำ 04. พ ล เ มืือ ง ที่่�ตื่่�น ตัั ว ใ น ก ารเ มืือ ง ข อ ง อัั ต ลััก ษ ณ์์ แม้จิตสาธารณะจะถือว่าเป็นสำ นึกในภาคประชาสังคมเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อ ภาคประชาสังคมมีลักษณะที่สลับซับซ้อน เพราะเป็นที่รวมตัวกันของกลุ่มคนต่างๆ ซึ่งอาจ เกี่ยวพันกับทั้งภาคธุรกิจเอกชน และรัฐด้วย จิตสาธารณะจึงไม่ได้จำ กัดอยู่เฉพาะในรูป ขององค์กรสาธารณกุศลหรือองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ และองค์กรให้ทุนเพื่อสังคม เท่านั้น ดังที่ได้อภิปรายมาแล้วข้างต้น ที่จริงแล้วภาคพลเมืองน่าจะถือเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ ในภาคประชาสังคมด้วยซ้ำ ไป และยังถือเป็นผู้กระทำ การสำ คัญในการเคลื่อนไหวเพื่อขับเคลื่อน จิตสาธารณะด้วย แต่ปัญหาอยู่ที่ความหมายของภาคพลเมืองนั้นยังคงถกเถียงกันอยู่อย่าง ต่อเนื่อง ว่าจะทำ ความเข้าใจกันอย่างไร เพราะส่วนหนึ่งยังติดอยู่ในกับดักของความคิด คู่ตรงข้ามระหว่างปัจเจกชนและสังคม จึงเกิดคำ ถามถึงสถานภาพของความพลเมืองว่า


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 22 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี อยู่ตรงไหนในระหว่างคู่ตรงข้ามนี้ ขณะเดียวกันยังมีปัญหาจากมายาคติของวาทกรรม ครอบงำ หรืออุดมการณ์อำ นาจนำ ที่มองพลเมืองอย่างคับแคบเฉพาะในเชิงกฎหมายและ การเมืองเท่านั้น ในกรณีของบทความที่หนึ่งในหนังสือเล่มนี้ เริ่มต้นจากพื้นฐานในการมอง พลเมืองว่าเป็นส่วนหนึ่งของภาคประชาสังคม ในบริบทของการพัฒนาประชาธิปไตย ในสังคมไทย ซึ่งก่อตัวขึ้นมาจากชนชั้นสูงก่อน เช่น คณะราษฎร ผู้นำ ทางศาสนา และ กลุ่มพ่อค้าจีน แล้วจึงค่อยๆ ขยับขยายออกไปครอบคลุมกลุ่มชนชั้นกลางในองค์กรพัฒนา เอกชน จนในปัจจุบันได้รวมชนชั้นรากหญ้าเอาไว้ด้วย หลังจากการกระจายอำ นาจออกไป สู่ท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งสะท้อนนัยว่าสนับสนุนแนวความคิดที่แยกภาคประชาสังคมออกมา เป็นอิสระจากภาครัฐและตลาดในเบื้องต้น แต่ก็เสนอว่าในปัจจุบันภาคประชาสังคม สามารถเชื่อมโยงกับภาคส่วนอื่นๆ ในเชิงปฏิบัติการได้ด้วย ขณะเดียวกันผู้เขียนบทความที่หนึ่งก็มองความเป็นพลเมืองซ้อนทับกันอยู่ 2 นัย โดยไม่ได้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน ในด้านหนึ่งมองพลเมืองในเชิงปฏิบัติการ ซึ่งมี ส่วนร่วมใน “พื้นที่ส่วนรวมเพื่อสาธารณะ” และเรียกพลเมืองตามนัยนี้ว่า พลเมืองที่ตื่นตัว (Active Citizen) ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งผู้เขียนยังมองพลเมืองในมิติของสำ นึกพลเมือง และแฝงอยู่ในแนวคิดชุมชนนิยม (Communitarianism) ซึ่งหมายความว่า “พื้นที่ส่วนรวม เพื่อสาธารณะ” ดังกล่าวมีนัยของพื้นที่ของสำ นึกแบบชุมชนนิยมนั่นเอง ซึ่งแตกต่างจาก พื้นที่ทางสังคมในความคิดของ เลอแฟบวร์ ตามได้กล่าวถึงไว้แล้วข้างต้น ทั้งนี้ ยังสังเกตได้อีกว่าผู้เขียนบทความที่หนึ่งสนับสนุนแนวคิดชุมชนนิยม ในทำ นองคล้ายคลึงกับในสังคมตะวันตก แต่ผู้เขียนเชื่อว่าความคิดเช่นนี้น่าจะดำ รงอยู่แล้ว ในคติทางพุทธศาสนาของสังคมไทย มุมมองเช่นนี้สะท้อนถึงทั้งความสับสนและข้อจำ กัด ที่ผู้เขียนยังก้าวไม่ข้ามออกจากกับดักของความคู่ตรงข้ามระหว่างเสรีนิยมของปัจเจกชน และชุมชนนิยม แม้ว่าผู้เขียนจะเริ่มจากการมองพลเมืองที่ตื่นตัวจากการมีส่วนร่วมในการ ปกป้องสิทธิ ความเสมอภาค และความเป็นธรรมบ้างแล้วก็ตาม แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้ขยาย ความประเด็นนี้มากนัก จึงยังไม่สามารถเข้าใจความเป็นพลเมืองในความคิดของผู้เขียน ได้ชัดเจนเท่าที่ควร โดยเฉพาะการวิเคราะห์ว่าทำ ไมพลเมืองจึงตื่นตัว และภายใต้เงื่อนไข อะไรบ้าง ส่วนหนึ่งผู้เขียนบทความที่หนึ่งอาจจะยังไม่ได้ให้ความสำ คัญกับประเด็น ความขัดแย้งต่างๆ มากนัก แม้จะพาดพิงถึงการเรียกร้องต่อสู้และคัดค้านของชนชั้นกลาง และชาวบ้านในการอนุรักษ์ทรัพยากรอยู่บ้าง แต่ผู้เขียนกลับไปเน้นความสำ คัญของการ สร้างเครือข่ายของกลุ่มเคลื่อนไหวเหล่านี้ แทนการวิเคราะห์ลึกลงไปถึงกระบวนการก่อตัว ของพลเมืองที่ตื่นตัวเหล่านี้ ในทำ นองเดียวกันกับบทความแรก บทความที่สองก็มองพลเมืองว่าเป็นส่วน สำ คัญของภาคประชาสังคม ซึ่งหมายถึงภาคประชาชนและชนชั้นกลาง ที่ไม่ใช่ส่วนหนึ่ง ของภาครัฐ แต่อาจคาบเกี่ยวอยู่กับภาคธุรกิจเอกชนได้บางส่วน ตามที่เคยก่อตัวขึ้นมาก่อน ในสังคมตะวันตก โดยไม่ได้กล่าวถึงสำ นึกพลเมือง แต่กลับเน้นความสำ คัญของพลเมือง


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 23 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ที่ตื่นตัว ซึ่งไม่ได้คิดถึงตัวเองในฐานะปัจเจกชนเท่านั้น ด้วยการหันมาให้ความสำ คัญ กับการมีส่วนร่วมของพลเมืองที่ตื่นตัว ในปฏิบัติการและการเคลื่อนไหวต่างๆ ในด้าน มนุษยนิยม และการปกป้องสิทธิ ขณะที่ยังไม่ชัดเจนนักว่าผู้เขียนหมายรวมถึงปฏิบัติการ และการเคลื่อนไหว เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงอำ นาจ และการช่วงชิง ความหมายของวาทกรรมและอุดมการณ์ครอบงำ ต่างๆ ตามแนวคิดของกรัมชี ดังได้ กล่าวไว้แล้วข้างต้นหรือไม่ มากน้อยเพียงใด พลเมืองที่ตื่นตัวเหล่านี้ มักจะประกอบด้วยชนชั้นกลาง ที่เติบโตมาจากการ พัฒนาเศรษฐกิจและการกระจายอำ นาจสู่ท้องถิ่น ซึ่งแตกตัวออกมาจากกลุ่มนายทุน นักธุรกิจและชาวนา จนกลายเป็นกลุ่มชนที่อยู่ระหว่างคนสองกลุ่มดังกล่าว ภายหลังกลุ่ม ชนชั้นกลางในเมืองเหล่านี้จะรวมตัวกันเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ส่วนในชนบทก็จะรวมตัว กันเคลื่อนไหวในนามของเครือข่ายภาคประชาชนต่างๆ แต่บทความนี้ยังไม่ได้วิเคราะห์ ถึงเงื่อนไขที่ชักนำ ให้พลเมืองเหล่านี้ตื่นตัว และลุกขึ้นมาปฏิบัติการในการเคลื่อนไหว ในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างชัดเจนนัก แม้จะกล่าวพาดพิง ถึงการขัดแย้งในพื้นที่สาธารณะอยู่บ้างก็ตาม ส่วนบทความที่สามไม่ได้อภิปรายในมิติของพลเมืองโดยตรง เพราะเน้นเฉพาะ องค์กรสาธารณกุศลหรือองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ และองค์กรให้ทุนเพื่อสังคม ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของภาคประชาสังคมเท่านั้น สำ หรับบทความที่สี่ (ไพลิน ภู่จีนาพันธุ์) นั้นจะหันมามองความเป็นพลเมือง อย่างเฉพาะเจาะจงมากขึ้น แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีนัยและความหมายใกล้เคียงกับพลเมือง ที่ตื่นตัวในบทความก่อนหน้านี้ ในแง่ของการมีสำ นึกสาธารณะ ชุมชนนิยม หรือการ เคลื่อนไหวในด้านมนุษยธรรม แต่บทความที่สี่จะเน้นความเป็นพลเมืองยึดโยงอยู่กับ แนวคิดสิทธิมนุษยชนในระดับสากล ในแง่ที่พลเมืองสามารถสร้างข้อตกลงร่วมกัน ในพื้นที่ชีวิตที่พวกเขาร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งได้ เพื่อจะได้ไม่ถูกแปลกแยกให้กลายเป็นอื่น ภายใต้บริบทของการกลายเป็นสังคมเมือง ผู้เขียนบทความยังพยายามจะชี้ให้เห็นด้วยว่า ความเป็นพลเมืองตามนัยดังกล่าวจะช่วยให้มองพลเมืองเป็นอิสระจากวาทกรรมครอบงำ ของรัฐ ที่มักจะนิยามพลเมืองตามกฎหมายเท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้เขียนโน้มเอียงมา ให้ความสำ คัญกับสำ นึกพลเมือง ในทำ นองใกล้เคียงกับบทความที่หนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็น ได้จากการมีจิตสาธารณะ ขณะเดียวกันบทความนี้จะพยายามเชื่อมโยงสำ นึกพลเมือง กับการเคลื่อนไหวต่อสู้ในประเด็นปัญหาสาธารณะต่างๆ เพื่อปรับเปลี่ยนทิศทางการพัฒนา ที่เน้นคุณค่ามากขึ้น แม้บทความที่สองและสี่จะเริ่มเดินมาตามแนวทางของนักคิดที่กล่าวถึงมาก่อน หน้านี้บางส่วน เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นพลเมือง ในแง่ที่เชื่อมโยงความเป็น พลเมืองกับการเคลื่อนไหวต่อสู้ในประเด็นสาธารณะและสิทธิต่างๆ แต่อาจจะยังมองข้าม ความสนใจในมิติอื่นๆ ไปบ้าง ตามแนวทางของนักสังคมศาสตร์ที่ศึกษาความเป็นพลเมือง ในรุ่นแรกๆ เคยถกเถียงเอาไว้ โดยเฉพาะผลงานชิ้นบุกเบิกของนักสังคมวิทยาชาวอังกฤษ


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 24 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ชื่อ ที.เอช. มาร์แชล (T. H. Marshall, 1893-1981) ในหนังสือเรื่อง Citizenship and Social Class: And Other Essays (Marshall, 1950) ซึ่งเขาพยายามถกเถียงว่าความ เป็นพลเมืองนั้นมองโดดๆ ไม่ได้ แต่ต้องมองเป็นความสัมพันธ์เชิงอำ นาจของชนชั้นทาง สังคมด้วย เพราะความเป็นพลเมืองนั้นก่อตัวขึ้นมาในบริบทของความขัดแย้งหรือปัญหาใน ระบอบประชาธิปไตยเอง เนื่องจากคนบางกลุ่มจะถูกกีดกันทั้งสิทธิและการเข้าถึงทรัพยากร ต่างๆ ดังตัวอย่างในกรณีของประเทศอังกฤษก็คือ สวัสดิการสังคม ซึ่งคนบางกลุ่มไม่สามารถ เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน ความเป็นพลเมืองจึงผูกพันอยู่กับการเคลื่อนไหวในภาค ประชาสังคม เพื่อรวมตัวกันเคลื่อนไหวต่อสู้ในประเด็นปัญหาใดปัญหาหนึ่ง ตามบริบท และเงื่อนไขของปัญหาที่แตกต่างกันไปในแต่ละสังคม (ดู อานันท์, 2560: 175-185) ในปัจจุบัน เมื่อกลุ่มคนบางกลุ่มในสังคมถูกกีดกัน โดยเฉพาะการถูกกีดกันจาก การเข้าถึงทรัพยากรที่พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งมักจะมีที่มาจากวาทกรรม ครอบงำ ต่างๆ จนทำ ให้พวกเขากลายเป็นมนุษย์ล่องหนหรือไร้ตัวตน จากการนิยามต่างๆ ของรัฐและระบบตลาดแบบทุนนิยม (Hall et al., 2011) พวกเขาจึงต้องรวมตัวกันลุกขึ้น มาต่อสู้และช่วงชิงความหมายกับวาทกรรมครอบงำ เหล่านั้น ด้วยการนิยามตัวตนของ พวกเขาใหม่ให้อิสระจากการนิยามความหมายต่างๆ อย่างคับแคบ ซึ่งนักสังคมศาสตร์ เรียกการต่อสู้เช่นนี้ว่า การเมืองของอัตลักษณ์ (Identity Politics) (Clifford, 2000) เพราะสามารถเอื้อให้พวกเขาเปลี่ยนสถานภาพและกลายเป็นพลเมืองที่ตื่นตัว ทั้งด้วยการ นิยามอัตลักษณ์ของพวกเขาเองใหม่ และนิยามความหมายอื่นๆ เช่น สิทธิ ทิศทางของ การพัฒนาเมือง และสภาวะแวดล้อม เป็นต้น การเคลื่อนไหวเช่นนี้ก็อาจจัดได้ว่าเป็นการ ปฏิบัติการของจิตสาธารณะได้ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเกิดจากการรวมตัวกันเพื่อผลักดัน การเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ในฐานะขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่ (ไชยรัตน์, 2545) ซึ่งมีตัวอย่างของกรณีศึกษามากมายในสังคมไทย ในบทความเรื่อง Constructing Thailand: regulation, everyday resistance and citizenship (Vandergeest, 1993) ซึ่งศึกษากรณีชาวบ้านแห่งหนึ่งในภาคใต้ของไทย ลุกขึ้นต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ในโครงการก่อสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน ของพวกเขา แวนเดอกีสต์ ได้ใช้กรณีศึกษาดังกล่าวโต้แย้งมายาคติต่างๆ ที่มักเข้าใจว่า ชาวบ้านในชนบทมองตัวเองเป็นเพียงราษฎรที่ถูกปกครอง และเห็นแก่ผลประโยชน์เฉพาะ หน้าของตนเองเท่านั้น แต่การรวมตัวกันและลุกขึ้นมาต่อต้านต่อประเด็นปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำ วันดังกล่าวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการนิยามอัตลักษณ์หรือตัวตนใหม่ ของชาวบ้าน ในฐานะพลเมืองของประเทศไทยที่ตื่นตัว โดยไม่ยอมให้ถูกปกครองและ ถูกกีดกันออกจากการเข้าถึงทรัพยากรของรัฐ แต่กลับลุกขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์ ระยะยาว ด้วยการนิยามทิศทางในการพัฒนาใหม่ ว่าเป็นการสร้างท้องถิ่นและประเทศชาติ ให้เจริญก้าวหน้า แทนการยอมรับวาทกรรมการพัฒนาของรัฐที่ไร้การมีส่วนร่วมของพลเมือง เพราะพวกเขามองเห็นผลกระทบในระยะยาวว่า การฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นการบ่อนทำลาย ความเจริญก้าวหน้าของชุมชนและประเทศ


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 25 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี เมื่อไม่นานมานี้ก็มีอีกกรณีศึกษาหนึ่งที่ได้นำ เสนอข้อถกเถียงเกี่ยวกับทิศทาง ในการพัฒนาเมืองของเชียงใหม่ ในหนังสือที่ปรับปรุงมาจากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง Ghosts of the New City: Spirits, Urbanity, and the Ruins of Progress in Chiang Mai (Johnson, 2014) ซึ่งหยิบยกมุมมองที่ขัดแย้งกันระหว่างคนท้องถิ่นที่อาศัย อยู่ในเมืองเชียงใหม่กับนักวางแผนและพัฒนาเมือง ทั้งในภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน จากกรณีของการก่อสร้างตึกสูงที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ แต่ต้องล้มเลิกไปหลังวิกฤต เศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 สำ หรับคนท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองเชียงใหม่แล้ว พวกเขานิยามตึกร้าง เหล่านั้นด้วยมุมมองของทุนเชิงสัญลักษณ์ ตามแนวคิดของบูร์ดิเออร์ว่าตึกผีสิง ซึ่งสะท้อน ทั้งการต่อต้านและการช่วงชิงทิศทางในการพัฒนาเมือง ในเชิงการเมืองของอัตลักษณ์ เพราะเป็นความพยายามแสดงตัวตนของพวกเขา ในฐานะพลเมืองของเชียงใหม่ ที่มักจะถูก กีดกัน จนไร้การมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมือง ที่มักจะให้ความสำ คัญเฉพาะกับผลประโยชน์ ตอบแทนทางธุรกิจ แต่กลับนำ ไปสู่ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจและปัญหาอื่นๆ ตามมาอีก มากมาย โดยเฉพาะคุณภาพชีวิตของสังคมเมือง ด้วยการเสนอให้นำ มิติอื่นๆ มาช่วยเสริม การวางแผนพัฒนาเมือง โดยเฉพาะมิติด้านวัฒนธรรม และการมีส่วนร่วมของคนท้อง ถิ่น (Johnson, 2014) พลเมืองที่ตื่นตัวจึงถือเป็นการรวมตัวกันของคนกลุ่มต่างๆ ในภาคประชาสังคม เพื่อโต้แย้งและต่อต้านวาทกรรมหรืออุดมการณ์ครอบงำ ที่ทำ ให้พวกเขากลายเป็นคนอื่น หรือการถูกกีดกันออกจากเข้าถึงทรัพยากรในกระบวนการทางการเมืองของการสร้าง อัตลักษณ์ ด้วยการนิยามตัวตนของพวกเขาใหม่ ให้แตกต่างจากวาทกรรมหรืออุดมการณ์ ครอบงำ พร้อมทั้ง การเข้าไปมีส่วนร่วมในพื้นที่ช่วงชิงความหมายของประเด็นปัญหาต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นมิติหนึ่งในปฏิบัติการของจิตสาธารณะ ภายใต้บริบทของการพัฒนาที่ไร้การ มีส่วนร่วม แต่ความเข้าใจความหมายของพื้นที่ในแต่ละบทความอาจจะยังแตกต่างกัน ไปบ้าง จึงควรจะต้องนำ มาอภิปรายถกเถียงและวิเคราะห์กันต่อไป เพื่อเปิดให้เห็นความ เชื่อมโยงกันอย่างชัดเจนมากขึ้น


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 26 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี บ ท นำำ 05. พื้้�น ที่่�ส า ธ า ร ณ ะ พื้้�น ที่่�ขััดแ ย้้ ง ห รืือ พื้้�น ที่่�ช่่ว ง ชิิ ง ทิิศทาง ข อ ง ก า ร พััฒนา ในเกือบทุกบทความที่นำ มารวมอยู่ในหนังสือเล่มนี้จะพยายามเชื่อมโยง จิตสาธารณะกับแนวความคิดเรื่อง “พื้นที่” ไม่ในลักษณะใดก็ลักษณะหนึ่ง ยกเว้นบทความ ที่สาม ซึ่งเน้นการมองจิตสาธารณะผ่านองค์กรต่างๆ ทั้งองค์กรการกุศล องค์กรเพื่อ สาธารณะประโยชน์ และองค์กรให้ทุนเพื่อสังคม แทนการกล่าวถึงแนวความคิดเรื่องพื้นที่ อย่างเฉพาะเจาะจง ส่วนบทความอื่นๆ ล้วนมองจิตสาธารณะว่าไม่ใช่เป็นเพียงจิตสำ นึก คุณค่า หรืออุดมการณ์เท่านั้น แต่ยังแสดงออกมาในรูปของความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างใด อย่างหนึ่งของกลุ่มคนต่างๆ โดยเฉพาะพลเมืองที่ตื่นตัวในประชาสังคม พร้อมทั้งแฝง แนวความคิดบางอย่างเพื่อขยายความเข้าใจจิตสาธารณะให้กว้างขวางมากขึ้นด้วย บทความแรกจะใช้แนวความคิด “พื้นที่” ในความหมายของ “พื้นที่ทางสังคม” (Communal Space) ในฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ของความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างหนึ่ง ในยุคปัจจุบัน ในเบื้องต้นจะกล่าวถึงพื้นที่ในโลกเสมือนจริง ที่ช่วยหนุนให้ประชาสังคม สามารถผนึกจิตสาธารณะและประสานกันเป็นเครือข่ายได้ผ่านโลกดิจิทัล จนในที่สุดได้ กลายเป็นมรรควิธีที่มาช่วยเสริมให้จิตสาธารณะสามารถแสดงออกมาได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น หรืออาจกล่าวได้ว่า จิตสาธารณะเป็นพื้นที่ดำ เนินงานในการประสานเครือข่ายของประชาสังคม เพื่อสาธารณะประโยชน์ต่างๆ โดยเฉพาะการระดมทุน ในความหมายนี้ “พื้นที่” จึงแฝงไว้ ด้วยความคิดเรื่องของเครือข่ายและชุมชนนิยม ขณะเดียวกันผู้เขียนก็ยังได้มองเห็นความ เชื่อมโยงของเครือข่ายกับการระดมเสียงคัดค้านนโยบายของรัฐ อันเป็นพื้นฐานของความ สัมพันธ์ที่ขัดแย้ง และการปฏิบัติการในความเคลื่อนไหวเพื่อช่วงชิงทิศทางการพัฒนา แต่ใน ประเด็นนี้ยังขาดการอภิปรายขยายความเท่าที่ควร ซึ่งแสดงถึงข้อจำ กัดบางส่วนที่แฝงอยู่ ในความคิดชุมชนนิยมนั่นเอง ส่วนบทความที่สองจะมองแนวความคิด “พื้นที่” ในความหมายของ “พื้นที่ สาธารณะ” โดยมุ่งเน้นเฉพาะในสังคมเมืองเป็นหลัก ซึ่งหมายถึงพื้นที่สิทธิของผู้คนแตกต่าง หลากหลายที่เข้ามารวมกันอยู่ในเมือง เพื่อเข้าถึงประโยชน์ส่วนรวม พร้อมทั้งแฝงไว้ด้วย ความคิดหรืออุดมการณ์ความเสมอภาค ขณะเดียวกันก็จะมอง “พื้นที่” ในความหมายของ ปริมณฑล ทั้งทางการเมืองและศีลธรรมของชีวิตในโลกนี้ ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นประชาสังคม และอยู่เหนือความเป็นปัจเจกชน เพราะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความคิดมนุษยนิยมนั่นเอง


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 27 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี บทความสุดท้ายก็มองแนวความคิด “พื้นที่” ในความหมายของ พื้นที่สาธารณะ ภายใต้บริบทของกระบวนการกลายเป็นเมืองเช่นเดียวกัน แต่แทนที่จะเน้นสิทธิเช่นเดียวกับ บทความที่สอง บทความนี้กลับให้ความสำ คัญกับพื้นที่ทางกายภาพที่ผูกพันอยู่กับชีวิต สาธารณะ ซึ่งผู้คนกลุ่มต่างๆ สามารถเข้าถึงได้ร่วมกัน เพื่อสาธารณประโยชน์ จนมีส่วน ช่วยผลักดันให้เกิดสำ นึกสาธารณะและสำ นึกพลเมือง ในการเคลื่อนไหวเพื่อต่อสู้กับประเด็น สาธารณะต่างๆ โดยมีเป้าหมายในการสร้างพื้นที่เมืองที่สมดุลระหว่างกลุ่มชนต่างๆ ทั้งชนชั้นกลางและคนจนเมือง ในภายหลังผู้เขียนบทความนี้ยังเรียกพื้นที่นี้อีกอย่างหนึ่งว่า “พื้นที่ทางสังคม” ของพลเมือง ซึ่งแฝงไว้ด้วยความคิดของความรับผิดชอบ การมีส่วนร่วม และความเป็นธรรมในสังคม นัยต่างๆ ในความหมายของแนวความคิด“พื้นที่” ตามที่นำ เสนอในทั้งสาม บทความดังกล่าวข้างต้นจึงให้ความสำ คัญกับ “พื้นที่ทางสังคม” และ“พื้นที่สาธารณะ” เป็นหลัก เพราะตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางสังคม ไม่ว่าจะเป็น แนวความคิดเรื่องเครือข่าย สิทธิ หรือสำ นึกพลเมืองก็ดี ในการสร้างสมดุลย์ให้กับการ เข้าถึงทรัพยากรส่วนรวมหรือสาธารณะประโยชน์ของทุกกลุ่มชนในสังคม ซึ่งสอดรับอย่างดี กับแนวคิดความสัมพันธ์เชิงอำ นาจบางส่วนของแม็กเฟอร์สันดังได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ขณะเดียวกัน แม้บทความแรกจะได้กล่าวพาดพิงถึงการระดมเสียงคัดค้านนโยบายของรัฐ และบทความที่สี่เน้นการศึกษากรณีต่างๆ อย่างมากมายของประชาสังคม ในการเคลื่อนไหว เพื่อต่อสู้กับประเด็นสาธารณะต่างๆ แต่บทความทั้งสองยังไม่ได้อภิปรายวิเคราะห์ แนวความคิด “พื้นที่” ในมิติของ พื้นที่ของประเด็นขัดแย้งต่างๆ ที่กลุ่มชนต่างๆ ต้องเข้ามา ร่วมกันช่วงชิงมากนัก โดยเฉพาะประเด็นปัญหาของความขัดแย้งและการช่วงชิงทิศทาง การพัฒนา ตามแนวความคิดของนักสังคมศาสตร์ที่เน้นการศึกษาแนวความคิด “พื้นที่” ดังกล่าวไว้บ้างแล้วข้างต้น การศึกษาแนวความคิด “พื้นที่” นั้นอาจกล่าวได้ว่า เริ่มตั้งแต่ คาร์ล มาร์กซ์ เสนอให้มอง “Civil Society” ว่ามีลักษณะของความขัดแย้งและการต่อสู้ เสมือนเป็นจุดตัด หรือจุดปะทะกันของประเด็นปัญหาต่างๆ ที่นำ ไปสู่การผลักดันการเปลี่ยนแปลง และ ภายหลังแอนโทนีโอ กรัมชี ก็ได้ขยายความต่อมาว่า “Civil Society” เป็นปฏิบัติการ ของการช่วงชิงความหมายระหว่างกลุ่มที่อยู่ก้นบึ้งของสังคม และกลุ่มที่ครองอุดมการณ์ อำ นาจนำ ในฐานะที่เป็นการต่อสู้เชิงประเด็น ในท้ายที่สุด อองรี เลอแฟบวร์ จึงเริ่มเรียก ความสัมพันธ์ขัดแย้งเช่นนี้ว่า “พื้นที่” (Space) ในแง่ที่เป็นทั้งสนามของความสัมพันธ์ เชิงอำ นาจและประเด็นของการต่อสู้ เพื่อช่วงชิงมโนทัศน์ในการสร้างสังคมของผู้คน กลุ่มต่างๆ ขณะเดียวกันเมื่อไม่นานมานี้ นักวิชาบางส่วนก็เริ่มหันมามององค์กรให้ทุน เพื่อสังคม (Philanthropy) ว่าเป็นเสมือน “พื้นที่ที่สาม” ในการกระตุ้นและสนับสนุนการสร้าง พื้นที่ต่อรองระหว่างกลุ่มชนต่างๆ ในสังคมเมือง ในฐานะพื้นที่ของการจัดความสัมพันธ์ ใหม่ระหว่างภาคเอกชนและภาคสาธารณะ (Mendel and Brudney, 2014: 25-26) ดังได้ กล่าวถึงไว้บ้างแล้วข้างต้น


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 28 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี แนวความคิด “พื้นที่ที่สาม” นี้ เอ็ดเวิร์ด โซจา (Edward W. Soja) ซึ่งเป็น นักภูมิศาสตร์ได้เสนอครั้งแรกในหนังสือเรื่อง Third Space: Journeys to Los Angeles and Other Real-and-Imagined Places (Soja, 1996) เพื่อถกเถียงเกี่ยวกับทิศทางใหม่ๆ ในการพัฒนาสังคมเมือง สำ หรับพื้นที่แรกนั้นเขาหมายถึงพื้นที่ครอบงำ ส่วนพื้นที่ที่สอง คือ พื้นที่ต่อต้าน ขณะที่พื้นที่ที่สามสะท้อนนัยของจุดปะทะกันของความคิดที่แตกต่างกัน ของกลุ่มคนต่างๆ ในความพยายามที่จะสร้างความคิดใหม่ๆ ซึ่งไม่ใช่ทั้งความคิดครอบงำ หรือต่อต้าน แต่อาจจะสถาปนาขึ้นมาใหม่ภายใต้ความคิดเรื่องความเป็นธรรมเชิงพื้นที่ (Spatial Justice) สำ หรับคนทุกกลุ่มในสังคมเมือง (ดูเพิ่มเติมใน อานันท์, 2559) ซึ่งใกล้เคียงกับแนวทางความเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาสังคมต่างๆ ในบทความที่สี่ เพียงแต่บทความที่สี่ยังไม่ได้นำ แนวคิด “พื้นที่ที่สาม” มาช่วยในการวิเคราะห์เท่านั้น สำ หรับนักมานุษยวิทยานั้น เริ่มหันกลับมาให้ความสนในแนวความคิดเรื่อง “พื้นที่ทางสังคม” นี้อีกครั้งหนึ่ง ในปี ค.ศ.1972 ดังตัวอย่างในบทความของคูเปอร์ เรื่อง The language of sites in the politics of space (Kuper, 1972) โดยถือว่า พื้นที่ทางสังคมเป็นปฏิสัมพันธ์ ซึ่งทับซ้อนในระดับต่างๆ ทั้งในระดับพื้นที่ทางกายภาพ ทางนิเวศและทางโครงสร้าง ด้วยการยกตัวอย่างพื้นที่ทางสังคมในระดับโครงสร้างว่า เกี่ยวข้องกับการให้คุณค่าหรือความหมาย เช่น กรณีการให้ความหมายอาคารสถานที่หนึ่ง ในบริบทของเหตุการณ์ทางการเมือง เมื่อกลุ่มชนพื้นเมืองได้รับเอกราช กลับไม่ยอมใช้ อาคารของเจ้าอาณานิคมเป็นสถานที่ประชุมสภาการเมือง เพื่อแสดงการต่อต้านสภาวะที่ เคยอยู่ใต้อำ นาจของอาณานิคม เพราะสถานที่นั้นมีนัยของอำ นาจทางการเมืองของระบอบ อาณานิคมแอบแฝงอยู่ กรณีนี้จึงชี้อย่างชัดเจนว่าสถานที่ก็อาจถูกนำ มาเป็นส่วนหนึ่งของ การเมืองเรื่องพื้นที่ได้ด้วย ในฐานะที่เป็นประเด็นของการช่วงชิงความหมายทางการเมือง นั่นเอง (ดูเพิ่มเติมใน อานันท์, 2563: 21-22) ซึ่งก็คล้ายคลึงกับกรณีของท้องถิ่นในเมือง เชียงใหม่นิยามตึกร้างว่าตึกผีสิงดังกล่าวไว้แล้วข้างต้น “พื้นที่ทางสังคม” ตามแนวทางของนักคิดต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว จึงเป็นทั้ง พื้นที่ครอบงำ เชิงอุดมการณ์และพื้นที่ปฏิบัติการของจิตสาธารณะ ที่เกิดขึ้นในความขัดแย้ง เชิงอำ นาจ จนผลักดันให้เกิดพื้นที่ของการต่อสู้และช่วงชิงความหมายที่ขัดแย้งกันนั้น ผ่านการเคลื่อนไหวอย่างมีส่วนร่วมของกลุ่มคนต่างๆ แต่เมื่อนักวิชาการแต่ละคนนำ มาปรับ หรือประยุกต์ใช้ในกรณีศึกษาภาคสนามของตนก็มักจะเลือกจุดเน้นในความหมายของพื้นที่ แตกต่างกันไปบ้าง แม้จะมองเห็นร่วมกันว่าพื้นที่มีนัยของความสัมพันธ์เชิงอำ นาจที่ทั้ง ครอบงำ ซ้อนทับ และขัดแย้งกันเกี่ยวกับความหมายหรือความรู้ ดังตัวอย่างของกรณี ศึกษาต่อไปนี้ ในกรณีศึกษาของวิทยานิพนธ์ปริญญาโทเรื่อง การเคลื่อนไหวในพื้นที่สาธารณะ ของผู้หญิงในการจัดการป่าชุมชนจังหวัดลำ พูน (วิเศษ, 2544) นิยามพื้นที่สาธารณะว่าเป็น พื้นที่ของประเด็นขัดแย้งกันในการจัดการพื้นที่ป่าที่ตั้งอยู่ติดกับหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัด ลำ พูน ระหว่างชาวบ้านและรัฐ โดยรัฐอ้างความคิดครอบงำ ว่าพื้นที่ป่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของ


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 29 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อกีดกันชาวบ้านจากการเข้าถึงสิทธิในการจัดการและใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรในป่า ทั้งๆ ที่ชาวบ้านได้ดูแลพื้นที่ป่านั้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง ที่เป็นผู้นำ ในการดูแลและใช้ประโยชน์จากป่า ซึ่งก่อให้เกิดรายได้จากการหาของป่า เช่น เห็ด และหน่อไม้ กลุ่มผู้หญิงจึงรวมตัวกันเคลื่อนไหว ด้วยการสร้างอัตลักษณ์ของผู้ดูแลป่า ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นจิตสาธารณะรูปแบบหนึ่ง เพื่อช่วงชิงอำ นาจในการจัดการป่า ในฐานะป่าชุมชน ของหมู่บ้าน ส่วนวิทยานิพนธ์ปริญญาโทอีกชิ้นหนึ่งศึกษากรณีของ ‘การจัดการร่วมในฐานะ พื้นที่ต่อรองเพื่อสร้างธรรมาภิบาลท้องถิ่นของเครือข่ายการจัดการทรัพยากรในจังหวัด เชียงใหม่’ (บุญตา, 2556) โดยมองว่า “พื้นที่ทางสังคม” เป็นพื้นที่ต่อรอง ในประเด็นขัดแย้ง เกี่ยวกับความหมายของการจัดการร่วมระหว่างชาวบ้านกับรัฐ ในการจัดการทรัพยากรของ พื้นที่ป่า ชาวบ้านหลายแห่งที่ดูแลรักษาป่าอยู่แล้ว แต่ถูกรัฐกีดกันสิทธิ ด้วยการอ้างวาทกรรม การอนุรักษ์ในเชิงครอบงำ เนื่องจากพื้นที่ป่านั้นตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ชาวบ้านเหล่านั้น จึงรวมตัวกันเป็นเครือข่าย พร้อมทั้งสร้างกฎเกณฑ์ในการดูแลป่าร่วมกันที่เรียกว่า ธรรมาภิบาล ท้องถิ่น ในการต่อรองให้รัฐรับรองความชอบธรรมของกฎเกณฑ์ดังกล่าว เพื่อจะได้เข้าถึง สิทธิในการมีส่วนในการจัดการพื้นที่ป่าร่วมกับรัฐ เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนบทนำ นี้ก็ได้เคยเสนอให้มอง “พื้นที่ทางสังคม” ในฐานะที่เป็น “พื้นที่ความรู้” ในบทความเรื่อง Multiplicity of Community Forestry as Knowledge Space in the Northern Thai Highlands (Anan, 2008) ด้วยการถกเถียงว่า “พื้นที่ความรู้” ในกรณีนี้หมายถึง ประเด็นขัดแย้งกันในชุดความรู้ที่แตกต่างกันเกี่ยวข้องกับการจัดการ ป่าชุมชน ซึ่งมักถูกครอบงำ ด้วยมายาคติว่าเป็นเสมือนการยกป่าให้ชาวบ้าน แต่ผู้เขียน เสนอให้เปิด “พื้นที่ความรู้” เพื่อแสดงให้เห็นจุดตัดหรือจุดปะทะกันของชุดความรู้ที่ขัดแย้ง กันนั้น จนในที่สุดก็เผยให้เห็นทางเลือกอื่นๆ ซึ่งในปัจจุบันมักจะเรียกว่าพื้นที่ที่สาม ด้วยการ หันมาให้ความสำ คัญกับการจัดการเชิงซ้อน แทนการจัดการเชิงเดี่ยว ที่เคยให้อำ นาจเบ็ดเสร็จ เด็ดขาดกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการจัดการป่า โดยปรับเปลี่ยนทิศทางในการจัดการป่า มาสู่หลักการของสิทธิเชิงซ้อน ที่เปิดให้ฝ่ายต่างๆ มีส่วนในจัดการป่าร่วมกัน บนพื้นฐาน ของสิทธิที่แตกต่างกัน โดยให้ชาวบ้านมีสิทธิในการจัดการและใช้ประโยชน์จากป่า และ องค์กรอิสระหรือประชาสังคมมีสิทธิในการตรวจสอบและถ่วงดุลกับรัฐ ในฐานะผู้มีสิทธิ เป็นผู้รับผิดชอบดูแลป่าตามกฎหมาย ภายหลังผู้เขียนยังได้ขยายความเกี่ยวกับนัยต่างๆ ของ “พื้นที่ความรู้” ในหนังสืออีกหลายเล่มต่อๆ มา (อานันท์ 2560, อานันท์, 2564 และ อานันท์ (บก.), 2563) นอกจากนั้น ยังมีกรณีศึกษาที่พยายามนำ แนวความคิดพื้นที่ลักษณะอื่นๆ อีก เช่น “พื้นที่ร่วมกันของชุมชน” (Communal Space) มาปรับใช้ศึกษาความเคลื่อนไหวของ กลุ่มคนต่างๆ ในสังคมเมืองของภาคใต้ ในวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง Class, Culture


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 30 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี and Space: The Construction and Shaping of Communal Space in South Thailand (Horstmann, 2002) ซึ่งพบว่า เมื่อแนวทางในการพัฒนาเมืองเริ่มมีลักษณะ ครอบงำ ให้หันเหไปในทิศทางที่เน้นความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ด้วยการนำ พื้นที่สาธารณะ มาใช้เชิงธุรกิจมากขึ้น ขณะที่มองข้ามมุมมองทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม จึงมีผล ผลักดันให้กลุ่มคนในเมือง ต่างชนชั้น ต่างศาสนา และต่างชาติพันธุ์ สามารถเข้ามาร่วมกัน เคลื่อนไหวต่อต้าน เพื่อนำ เสนอทางเลือกของการพัฒนาเมือง ที่มุ่งเน้นให้ความสำ คัญกับ กลุ่มคนต่างชนชั้นและต่างวัฒนธรรมสามารถอยู่ร่วมกันได้ ดังนั้น “พื้นที่” จึงถือว่าเป็นแนวความคิดสำ คัญอย่างยิ่ง ในการช่วยเปิดให้เห็น ความเชื่อมโยงในมิติด้านต่างๆ ของจิตสาธารณะได้อย่างครอบคลุม พร้อมทั้งช่วยตอบ คำ ถามได้อีกว่าเกี่ยวข้องกับมิติอื่นๆ ของจิตสาธารณะได้อย่างไร ทั้งนี้ เพราะแนวความคิด เรื่องพื้นที่ ดังที่ได้ทบทวนพร้อมกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องต่างๆ มาแล้วนั้นได้ช่วยเพิ่มมิติในการ เชื่อมโยงให้เห็นปฏิบัติการที่เป็นจริงของจิตสาธารณะในมิติต่างๆ ทั้งภายใต้การถูกครอบงำ ด้วยวาทกรรมและการช่วงชิงต่อรองความหมายในการเมืองเชิงอัตลักษณ์ของพลเมือง ที่ตื่นตัวได้มากขึ้น นอกเหนือไปจากการมองจิตสาธารณะที่มักจะมองในมิติด้านองค์การกุศล และอุดมการณ์มากกว่า ซึ่งบทความส่วนใหญ่จะมุ่งไปในทิศทางดังกล่าว ส่วนการเชื่อมโยง กับประชาสังคมและพลเมืองที่ตื่นตัวก็ดีอาจจะยังคลุมเครืออยู่บ้าง เพราะยังไม่สามารถ เชื่อมโยงกับแนวความคิดพื้นที่ได้เท่าที่ควร โดยสรุปแล้ว บทนำ นี้ถือเป็นความพยายามจำ ลองความเชื่อมโยงระหว่าง แนวความคิดหลักๆ ดังที่ได้อภิปรายวิเคราะห์มาแล้วข้างต้นทั้งหมดออกมาเป็นแผนภูมิ เพื่อช่วยสร้างความเข้าใจให้ได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น ด้วยการวางจิตสาธารณะไว้ที่ศูนย์กลาง ของแผนภูมิ เพื่อแยกแยะความเชื่อมโยงกับมิติอื่นๆ อีก 4 ทิศทาง เพื่อชี้ให้เห็นว่าจิตสาธารณะ เป็นแนวความคิดที่สังคมสมัยใหม่พยายามก้าวข้ามออกมาจากกับดักของความคิดคู่ตรงข้าม ระหว่างปัจเจกชนและสังคมที่เคยครอบงำ อยู่ในอดีต ตามที่แสดงไว้ในแผนภูมิที่ 2 ในช่วงต้นๆ ของบทความส่วนใหญ่ในหนังสือเล่มนี้มักจะมองจิตสาธารณะ ไปตามมุมมองต่างๆ ด้านบน ในเชิงอุดมการณ์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นอุดมการณ์มนุษยนิยม หรือชุมชนนิยม เพราะอยู่ภายใต้บริบทของการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ด้านล่างโดยเฉพาะการ เปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมทุนนิยมอุตสาหกรรมและประชาธิปไตย ขณะเดียวกันในส่วนต่อๆ มาของบทความจะเริ่มค่อยๆ ตกผลึกทางความคิด และแสดงอุดมการณ์เหล่านั้นออกมา ในเชิงรูปธรรมมากขึ้น ในรูปแบบขององค์กรการกุศลและองค์กรให้ทุนเพื่อสังคม ซึ่งมัก จะจัดให้เชื่อมโยงอยู่กับภาคประชาสังคม หรือภาคของพลเมืองเป็นหลัก โดยจัดวางไว้ ในมุมมองด้านซ้ายของจิตสาธารณะ


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 31 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ในระยะหลังๆ องค์กรสาธารณประโยชน์ต่างๆ เริ่มจะสัมพันธ์โยงใยกับภาครัฐ และธุรกิจเอกชนมากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะในแง่ของความร่วมมือเท่านั้น หากแต่ในที่สุดยังช่วย เปิดให้กลายเป็นพื้นที่ที่สาม สำ หรับการต่อรองระหว่างกลุ่มชนต่างๆ ในการจัดความ สัมพันธ์ใหม่ในสังคมเมือง โดยมีนัยของพื้นที่ช่วงชิง ซึ่งจัดวางไว้ในมุมมองด้านขวาของ จิตสาธารณะ ส่วนในด้านซ้ายมือมีพลเมืองที่ตื่นตัว ซึ่งเข้าไปมีส่วนร่วมในการต่อสู้ช่วงชิง ความหมายต่างๆ ในพื้นที่ผ่านการเมืองของอัตลักษณ์ แต่บทความต่างๆ ยังไม่ได้สานต่อ ประเด็นนี้ให้กระจ่างมากนัก แผนภููมิิที่่� 2 จิิตสาธารณะในพื้�้นที่่�ช่่วงชิิงความหมาย จิตสาธารณะ ปฏิบัติการ ในความ เคลื่อนไหว พลเมืองที่ตื่นตัว อัตลักษณ์ วาทกรรม ประชาสังคม เครือข่าย พื้นที่ช่วงชิง สิทธิ ทิศทางการพัฒนา สิ่ งแวดล้อม ปัจเจกชน กับดัก สังคม ความสัมพันธ์เชิงอํานาจที่ขัดแย้ง บริบทของการเปลี่ยนแปลง การช่วงชิงและต่อรอง สํานึก อุดมการณ์ มนุษยนิยม ชุมชนนิยม การกุศล องค์กร ทุนเพื่อ รัฐ ธุรกิจเอกชน ทั้งนี้ เพราะแม้ทุกบทความในหนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงประชาสังคมและพลเมือง ที่ตื่นตัว พร้อมๆ กับความคิดเรื่องพื้นที่อยู่บ้างก็ตาม แต่บทความส่วนใหญ่ยังไม่ได้ให้ ความสำ คัญกับมิติด้านล่างเท่าที่ควร ซึ่งเชื่อมโยงจิตสาธารณะกับความสัมพันธ์เชิงอำ นาจ


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 32 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ที่ขัดแย้ง เพราะจิตสาธารณะก็อาจแฝงไว้ด้วยวาทกรรมหรืออุดมการณ์ครอบงำ ต่างๆ ที่ผลักดันให้เกิดปฏิบัติการของทั้งการต่อต้าน การช่วงชิงและต่อรองอำ นาจ และจะปรากฏ ออกมาในพื้นที่ช่วงชิง ทั้งสิทธิ ทิศทางการพัฒนา และการมีส่วนร่วมในการจัดการสิ่งแวดล้อม ในบทความที่ 4 มีกรณีศึกษามากมายเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทำ นองนี้ แต่ยังขาดการ วิเคราะห์แต่ละกรณีเหล่านั้นให้เห็นความเชื่อมโยงตามแนวทางที่ได้แสดงไว้แผนภูมิที่ 2 ได้ โดยเฉพาะการเผยให้เห็นถึงกระบวนการของการสร้างพื้นที่ที่สาม ซึ่งสามารถใช้เป็นจุดเน้น ของการศึกษาเชิงวิเคราะห์ได้อย่างดี การอภิปรายถกเถียงแนวความคิดต่างๆ ในบทนำ นี้ ตั้งแต่กับดักความคิด คู่ตรงข้ามระหว่างปัจเจกชนกับประชาสังคม จิตสาธารณะ: จากคุณค่าและอุดมการณ์ สู่ความเคลื่อนไหวทางสังคม องค์กรให้ทุนเพื่อสังคมเป็นกลไกเพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลง ไปทางไหน พลเมืองที่ตื่นตัวในการเมืองของอัตลักษณ์ และพื้นที่สาธารณะ พื้นที่ขัดแย้ง หรือพื้นที่ช่วงชิงทิศทางของการพัฒนา รวมทั้งแผนภูมิที่ 2 จึงสามารถนำ มาใช้เป็นเสมือน แผนที่ให้แนวทางสำ หรับช่วยการอ่านบทความในหนังสือเล่มนี้ได้อย่างเชื่อมโยง และยังจะ ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลรูปธรรมของการเคลื่อนไหวที่นำ เสนอในบทความที่ 4 ให้เข้าใจ นัยสำ คัญของการเคลื่อนไหวเหล่านั้นมากยิ่งขึ้นด้วย


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 33 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี บรรณา นุุก ร ม ไชยรััตน์์ เจริิญสิินโอฬาร. 2545. รููปแบบการเคลื่่�อนไหวทางสัังคมรููปแบบใหม่่. กรุุงเทพฯ: วิิภาษา. บุุญตา สืืบประดิิษฐ์์. 2556. การจััดการร่่วมในฐานะพื้้นที่่ต่่อรองเพื่่อสร้้างธรรมาภิิบาลท้้องถิ่่นของ เครืือข่่ายการจััดการทรััพยากรในจัังหวััดเชีียงใหม่่. วิิทยานิิพนธ์์ปริิญญาโท มหาวิิทยาลััย เชีียงใหม่่. วิิเศษ สุุจิินพรััหม. 2544. ‘การเคลื่่อนไหวในพื้้นที่่สาธารณะของผู้้หญิิงในการจััดการป่่าชุุมชนจัังหวััด ลำพููน’ วิิทยานิิพนธ์์ศิิลปศาสตร์์มหาบััณฑิิต สาขาวิิชาการพััฒนาสัังคม มหาวิิทยาลััย เชีียงใหม่่. อานัันท์์ กาญจนพัันธุ์์. 2541. การระดมทุุนเพื่่�อสัังคม. กรุุงเทพฯ: สถาบัันชุุมชนท้้องถิ่่นพััฒนา. 2555. ถกความคิิดสัังคมศาสตร์์ในสัังคมไทย. เชีียงใหม่่: ภาควิิชาสัังคมวิิทยาและ มานุุษยวิิทยา คณะสัังคมศาสตร์์ มหาวิิทยาลััยเชีียงใหม่่. 2559. ทุุนทางสัังคมกัับการพััฒนาเมืือง. กรุุงเทพฯ: ศููนย์ศึ์ ึกษามหานครและเมืือง วิิทยาลััย รััฐกิิจมหาวิิทยาลััยรัังสิิต. 2560. “พลเมืืองไทยในระยะเปลี่่ยนผ่่าน” ใน พื้้�นที่่�ความรู้้ มานุุษยวิิทยา คนสามััญ 70 ปีี อานัันท์์ กาญจนพัันธุ์. เ ์ ชีียงใหม่่: ภาควิิชาสัังคมวิิทยาและมานุุษยวิิทยา คณะสัังคมศาสตร์์ มหาวิิทยาลััยเชีียงใหม่่. 2562. คิิดอย่่างมิิเชล ฟููโกต์์ คิิดอย่่างวิิพากษ์์. กรุุงเทพฯ: สำนัักพิิมพ์์สยาม. 2564. ก้้าวข้้ามวาทกรรมสู่่พื้้�นที่่�ความรู้้: จุุดตััดของข้้อถกเถีียงทางสัังคมศาสตร์์. กรุุงเทพฯ: สำนัักพิิมพ์์สยาม. อานัันท์์ กาญจนพัันธุ์์ (บก.) 2563. จุุดตััดของเรื่่�องต้้องห้้ามในพื้้�นที่่ค�วามรู้้. เชีียงใหม่่: ภาคสัังคมวิิทยา และมานุุษยวิิทยา คณะสัังคมศาสตร์์ มหาวิิทยาลััยเชีียงใหม่่. Anan Ganjanapan. 2008. “Multiplicity of Community Forestry as Knowledge Space in the Northern Thai Highlands”, Working Paper Series No 35, Afrasian center for Peace and Development Studies, Ryukoku University, Kyoto, Japan. Baba, Marietta L. 2012. “Anthropology and business: Influence and interests”, Journal of Business Anthropology 1(1):20-71. Barman, Emily. 2017. “The social bases of philanthropy”, Annual Review of Sociology 43: 271-90. Bertram, Christopher. 2004. Routledge Philosophy Guidebook to Rousseau and The Social Contract. London and New York: Routledge. Bornstein, Erica. 2009. “The impulse of philanthropy”, Cultural Anthropology 24(4): 622-651. Bourdieu, Pierre. 1986. “The forms of capital”, in J. G. Richardson (ed.) Handbook of Theory and Research for the Sociology of Education (241–58). New York: Greenwood Press. Bowie, Katherine. 1998. “The alchemy of charity: of class and Buddhism in northern Thailand”, American Anthropologist 100(2): 469-481. Clifford, James. 2000. “Taking identity politics seriously: the contradictory, stony ground”, in Paul Gilroy, Lawrence Grossberg and Angela McRobbie (eds) Without Guarantees: Essays in Honour of Stuart Hall (94-112). London: Verso. Cristi, Marcela. 2012. “Durkheim on moral individualism, social justice, and rights: a gendered construction of rights”, Canadian Journal of Sociology 37(4): 409- 438.


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 34 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี Durkheim, Emile. 1953. Sociology and Philosophy. (ตีีพิิมพ์์ครั้้งแรก 1906) London: Cohen and West Ltd. 1973. Emile Durkheim: On Morality and Society. (ตีีพิิมพ์์ครั้้งแรก 1898) Chicago: University of Chicago Press. Foucault, Michel. (2009) Security, Territory, Population: Lectures at the College de France 1977-1978. New York: Picador. Gramsci, Antonio. 1971. Selections from the Prison Notebooks. New York: Interna- tional Publishers. Hall, Derek, Philip Hirsch and Tania Li. 2011. Powers of Exclusion: Land Dilemmas in Southeast Asia. Singapore: National University of Singapore Press. Horstmann, Alexander. 2002. Class, Culture and Space: The Construction and Shap- ing of Communal Space in South Thailand. Bielefeld: Transcript Verlag. Johnson, Andrew Alan. 2014. Ghosts of the New City: Spirits, Urbanity, and the Ruins of Progress in Chiang Mai. Hawaii: University of Hawaii Press. Kuper, Hilda. 1972. “The language of sites in the politics of space”, American Anthro- pologist 74(3): 411-425. Lefebvre, Henri. 1992. The Production of Space. Oxford, UK: Wiley-Blackwell. Macpherson, C.B. 1962. The Political Theory of Possessive Individualism: Hobbes to Locke. Oxford: Oxford University Press. 1978. Property: Mainstream and Critical Positions. Toronto: University of Toronto Press. Marshall, T.H. 1960. Citizenship and Social Class: And Other Essays. Cambridge: Cambridge University Press. Marx, Karl and Frederick Engles. 1970. The German Ideology. New York: Internation- al Publishers. Mendel, Stuart C. and Jeffrey L. Brudney. 2014. “Doing good, public good, and pub- lic value: why the difference matter”. Nonprofit Management and Leadership 25(1): 23-40. Putnam, Robert D. 2000. Bowling Alone: The Collapse and Revival of American Community. New York: Simon & Schuster. Scott, James C. 1985. Weapons of the Weak: Everyday Forms of Peasant Resistance. New Haven: Yale University Press. Soja, Edward W. 1996. Third Space: Journeys to Los Angeles and Other Re- al-and-Imagined Places. Malden (Mass.): Blackwell. Sulek, Marty. 2010. “One the modern meaning of philanthropy”, Non-Profit and Vol- untary Quarterly 39(2): 193-212. Thompson, Bejamin S. 2019. “Payments for ecosystem services and corporate social responsibility: perspectives on sustainable production, stakeholder relations and philanthropy in Thailand”, Business Strategy and Environment 28: 497- 511. Vandergeest, Peter. 1993. “Constructing Thailand: regulation, everyday resistance and citizenship”, Comparative Studies in Society and History 35(1): 133-158. Wariya Siwasariyanon. 1984. ‘The transfer of medical technology from the first world to the third world: a case study of the Rockefeller foundation’s role in a Thai medical school (1923-1935)’. PhD. Dissertation, University of Hawaii.


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 35 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจด่ I. การพัฒนากรอบแนวคิดี เพื่อศึกษาจิตสาธารณะไทย ในยุค 4.0 กฤติยาพัร วงษา1 ชนเหล่าใด ปลูกสวน ปลูกป่า สร้างสะพัาน ให้แหล่งน�ำา บ่อน�ำา และที�พัักอาศัย บุญของชนเหล่านั�นย่อมเพัิ�มพัูนทุกเม่�อ ทั�งคุ่น ทั�งวัน2 -สิทธัตถะ โคตมะ (563-483BCE) ใช่หรือไม่ว่า จิตอาสาและจิตสาธารณะ อันเป็นมูลฐานของประชาสังคมไทย ในยุคปัจจุบันมีรากเหง้าสำาคัญมาจากวัฒนธรรมความเชื่อใน ‘การทำาบุญทำาทาน’ ที่มีอยู่ใน ความเชื่อของทุกศาสนาหรือแม้แต่ในผู้ไม่นับถือศาสนาใดก็ตาม ไม่จำาเพาะพุทธศาสนา ที่เป็นศาสนาหลักในประเทศไทย3 ดังที่ เงื่อม พานิช (พ.ศ.2449-2536) หรือที่รู้จักในนาม 1 นักวิจัยอิสระภายใต้การกำากับของมูลนิธิสถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 2 พระพุทธพจน์ ใน พระสุตตันตปิฎก สคาถวรรค-พระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐ เล่มที่ 15 ข้อที่ 146 หน้า 46: อารามโรปา วนโรปา เย ชนา เสตุการกา | ปปญฺจ อุทปานญฺจ เย ททนฺติ อุปสฺสยำ | เตสำ ทิวา จ รตฺโต จ สทา ปุญฺญำ ปวฑฺฒติ แปลงบาลีอักขระไทยเป็นอักขระพราหมี (Brāhmī) โดย ผู้เขียน คำาแปลภาษาไทยอ้างอิงจาก พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) (2548). อมฤตพจนา: พุทธศาสนสุภาษิต. กรุงเทพฯ: สถาบันบันลือธรรม. หน้า 106 3 การสำารวจสภาวะทางสังคม วัฒนธรรม และสุขภาพจิต ปี 2561 โดยสำานักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า จากครัวเรือนตัวอย่าง 27,960 ครัวเรือน ประชากรของประเทศไทยร้อยละ 93.5 เป็นผู้ที่ นับถือศาสนาพุทธ รองลงมานับถือศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 5.4) และศาสนาคริสต์ (ร้อยละ 1.1) ที่เหลือเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ รวมทั้งผู้ที่ไม่มีศาสนา (น้อยกว่าร้อยละ 0.1) อ้างใน ข่าวประชาสัมพันธ์สำานักงานสถิติแห่งชาติ ประจำาเดือนกันยายน 2561 ค้นที่ http://www. nso.go.th/sites/2014/DocLib14/News/2561/09-61/N21-09-61-1.pdf เมื่อเมษายน 2563


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 36 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวสรุปอย่างกระชับชัดเจนไว้ว่า ‘ชีวิตที่ดีที่สุด คือ ชีวิตที่สงบ-เย็น และเป็นประโยชน์’ การกระทำ ตนให้เป็นประโยชน์จึงเป็นเป้าหมายและหลักการดำ เนินชีวิต ที่สำ คัญของพุทธศาสนิกชน4 สำ หรับศาสนาอิสลาม มีบทบัญญัติในคัมภีร์อัลกุรอาน ว่าด้วยการบริจาคทานแก่ผู้ขัดสนยากไร้อยู่หลายโองการ โดยจัดเป็นการทำ ความดีด้วย การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนอื่นใดนอกเหนือไปจากความโปรดปรานจากพระผู้เป็นเจ้า5 ส่วนในศาสนาคริสต์นั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าหลักคำสอนที่สำ คัญที่สุดได้แก่ ‘ความรักความ เมตตา’ อันหมายความถึงการให้ความช่วยเหลือ ความเสียสละ และการให้อภัย ฉะนั้นการ ช่วยเหลือผู้อื่นโดยเฉพาะกับผู้ที่มีความทุกข์ยากลำ บากจึงถือเป็นการแสดงออกถึงความรัก ความเมตตาอย่างเป็นรูปธรรม6 ดังนั้น ในเชิงองค์รวมแล้วการบำ เพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ ต่อส่วนรวมไม่ว่าจะเป็นการหยิบยื่นความช่วยเหลือ การเอื้อเฟื้อด้วยวัตถุทรัพย์สิน หรือ การดำ เนินการใดๆ ที่ยังประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมดังเช่นการดำ เนินงานของจิตอาสาและ จิตสาธารณะในฐานะภาคประชาสังคมดังเช่นในสังคมยุคปัจจุบันจึงอาจนับได้ว่าหยั่งรากลึก ในวัฒนธรรมความเชื่อของทุกศาสนา จึงเกิดเป็นข้อสงสัยต่อเนื่องว่า มีปัจจัยอนใดอีกที ื่ เก่อหนุนผลักดันให้บุ ื้ คคลใด บุคคลหนึงมีจิตสา่ธารณะจนก้าวสู่ความเป็นผู้นำ จิตอาสาก่อเกิดเป็นภาคประชาสังคม ในประเทศไทย หรือกล่าวย้อนกลับกันว่า ภาคประชาสังคมไทยในปัจจุบัน หรือ ประชา สังคมไทย 4.0 ก่อกำ เนิดขึ้นมาได้อย่างไร? บทความฉบับนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อนำ ไปสู่กรอบแนวคิดในการตอบคำ ถามนี้ โดยการ ศึกษาค้นคว้าวิวัฒนาการของแนวคิดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับจิตอาสาและจิตสาธารณะ อาทิ แนวคิดว่าด้วยปัจเจกนิยม (individualism) ชุมชน/ส่วนรวม (Collectivism/Communalism) พลเมือง (citizenship) สำ นึกพลเมือง (civil virtue) สิทธิและหน้าที่ (rights & responsibilities) ความเสมอภาค (equity) ความเป็นธรรม (justice) ปรัตถนิยม (altruism) และแนวคิดประชาสังคม (civil society) เป็นต้น ตลอดจนแนวคิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์ จัดทำ กรอบแนวคิดที่เหมาะสมสำ หรับการศึกษาปัจจัยและ สภาวะแวดล้อมที่เกื้อหนุนผลักดันความมีจิตสาธารณะในปัจเจกบุคคลโดยเฉพาะบุคคลที่ เป็นผู้นำ จิตอาสาในภาคประชาสังคมของไทยในยุคปัจจุบัน หรือ ยุค 4.0 เพื่อก้าวไปเป็น 4 พระไพศาล วิสาโล (2553). สงบเย็นและเป็นประโยชน์. กรุงเทพฯ: สำ นักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์ 5 อาทิ “They ask you, [O Muhammad], what they should spend. Say, ‘Whatever you spend of good is [to be] for parents and relatives and orphans and the needy and the traveler. And whatever you do of good-indeed, Allah is Knowing of it.’”-Surah Al-Baqarah [2:215], Al-Qur’an al-Kareem และ “We feed you only for the countenance of Allah. We wish not from you reward or gratitude.”-Surah Al-Insan [76:9], Al-Qur’an al-Kareem เป็นต้น ค้นที่ https://quran.com/ เมื่อเมษายน 2563 6 อาทิ “จงอย่าละเลยที่จะกระทำ การดี และจงแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน”-ฮบ [13:16] และ “จะต้องเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าได้กระทำ ดี เช่น ได้เอาใจใส่เลี้ยงดูลูก ได้มีน้ำ ใจรับรองแขก ได้ล้างเท้า ธรรมิกชน ได้สงเคราะห์คนที่มีความทุกข์ยาก และได้บำ เพ็ญคุณความดี”-1 ทธ [5:10] เป็นต้น


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 37 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ประเทศไทย 4.0 ที่มี สังคมไทย 4.0 ที่ยึดมั่นในคุณงามความดี และประกอบด้วย คนไทย 4.0 ที่เก่ง คิดเป็น ทำ เป็น และ มีคุณธรรมครบ 5 ประการ คือ พอเพียง มีวินัย สุจริต มีจิตสาธารณะ และมีความรับผิดชอบ อันจะเป็นพลังขับเคลื่อนไปสู่ประเทศไทย 4.0 ที่มี ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน สืบต่อไป อนึ่ง ในบทความฉบับนี้ มีการใช้คำ สำ คัญ 3 คำ ที่จำ เป็นจะต้องกำ หนดนิยาม จำ กัดความไว้เป็นเบื้องต้นเฉพาะสำ หรับบริบทของบทความนี้เท่านั้น ดังนี้ 1. จิตสาธารณะ (นาม; public-mindedness) หมายถึง การมีจิตสำ นึกมุ่งหมาย ประโยชน์ต่อสาธารณะ โดยอาจร่วมหรือไม่ร่วมดำ เนินการเพื่อสาธารณะ/กิจกรรมจิตอาสา อย่างเป็นรูปธรรมก็ได้ หากร่วมก็แต่เฉพาะในระดับทุติยภูมิขึ้นไป อาทิ การสนับสนุน โภคทรัพย์ การช่วยเผยแพร่/ประชาสัมพันธ์ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ การแสดงความ คิดเห็นในการแก้ปัญหาสังคม เป็นต้น 2. จิตอาสา (นาม; volunteer) หมายถึง ผู้ที่อาสาสมัครดำ เนินกิจกรรมที่เป็น ประโยชน์ต่อสาธารณะโดยตรง จิตอาสาจึงเป็นผู้ที่มีจิตสาธารณะโดยปริยาย อนึ่ง สำ หรับ คำ ว่า ผู้นำ จิตอาสา หมายความถึง จิตอาสาที่มีความริเริ่มดำ เนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ ต่อสาธารณะด้วยตนเอง อาจจะโดยเอกเทศเพียงลำ พัง หรืออาจเป็นลักษณะกลุ่มผู้นำ จิตอาสา 3. ประชาสังคม (นาม; civil society) หมายถึง การรวมกลุ่มของประชาชน ที่มีจิตสำ นึกร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาสังคม สร้างประโยชน์สาธารณะ เป็นภาคส่วนที่นอกเหนือ ไปจากภาครัฐและนอกเหนือไปจากภาคธุรกิจ กลไกตลาด) I. 01. วิิวััฒนา ก า ร ป ระชา สัั ง ค มไทย ห ลัั ง ก ารเ ปลี่่�ยนแ ป ล ง ก า ร ปกค รอง พ .ศ.2475 หากจะนับวิวัฒนาการของประชาสังคมในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน นับเนื่องย้อนกลับยังตั้งแต่ยุคเริ่มประวัติศาสตร์ไทยในยุคอาณาจักรมอญ-เขมรในพุทธ ศตวรรษที่ 6-17 อันได้แก่ ฟูนาน หริภุญไชย ตามพรลิงค์ ทวาราวดี ละโว้ รวมถึง จักรวรรดิเขมร สืบต่อมาในยุคอาณาจักรของคนไท (พุทธศตวรรษที่ 17-20) ได้แก่ สุโขทัย ล้านนา นครศรีธรรมราช ลพบุรี พะเยา สุพรรณบุรี และน่าน ต่อมายังยุคกรุงศรีอยุธยา นครรัฐปัตตานี กรุงธนบุรี นครเชียงใหม่ จวบจนกรุงรัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน อาจกล่าว โดยนับเนื่องจากจิตอาสาและจิตสาธารณะโดยอิงหลักความเชื่อข้อปฏิบัติในทางศาสนา


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 38 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นศาสนาพุทธแทบทั้งสิ้น7 เว้นแต่ศาสนาอิสลามในนครรัฐปัตตานี และ ฮินดูในบางช่วงบางส่วนของจักรวรรดิเขมร แต่ไม่ว่าจะศาสนาใดล้วนแล้วแต่มีหลักคำสอน ให้เมตตาช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นโดยเฉพาะในศาสนาพุทธที่มีคำ กล่าวของพระพุทธเจ้า ที่ว่าการบำ เพ็ญสาธารณประโยชน์เป็นการทำ บุญกุศล แม้ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่อาจกล่าวสรุปตามปัจจัยได้ว่า ประชาสังคมไทยจึงไม่ใช่ปรากฏการณ์สมัยใหม่แต่อย่างใด ประชาสังคมแบบไทยในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันมีมาตั้งแต่เมื่อประวัติศาสตร์ ไทยนับย้อนกลับไปตั้งแต่อย่างน้อยในพุทธศตวรรษที่ 6 เป็นต้นมา หากแต่ขาดซึ่งหลักฐานเชิงประจักษ์อย่างสมัยใหม่ดังที่กล่าวไป บทความฉบับนี้ จึงจะกล่าวถึงวิวัฒนาการของประชาสังคมในประเทศไทยย้อนกลับไปเท่าที่ยังพอมีหลักฐาน หลงเหลือและมีนัยยะเกี่ยวเนื่องกับสังคมไทยในปัจจุบัน โดยเริ่มนับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลง การปกครอง พ.ศ.2475 เป็นต้นมา โดยแบ่งเป็น 4 ช่วง ได้แก่ • ระยะต้น (พ.ศ.2475-พ.ศ.2500) เป็นช่วงระยะของประชาสังคมของชนชั้นนำ • ระยะกลาง (พ.ศ.2500-พ.ศ.2535) เป็นระยะของประชาสังคมยุคองค์กร พัฒนาเอกชน • ระยะเปลี่ยนผ่าน (พ.ศ.2525-พ.ศ.2535) ต้นกล้าประชาสังคมเพื่อชีวิต • ระยะปัจจุบัน ตั้งแต่ พ.ศ.2535 เป็นต้นมา เป็นระยะของประชาสังคมฐานราก ดังต่อไปนี้ • ระยะต้้น (พ.ศ.2475-พ.ศ.2500): ประชาสัังคมของชนชั้้น�นำำ หากพิจารณาตามกรอบนิยามอย่างกว้างของคำ ว่า ประชาสังคม ว่าไม่ใช่ภาครัฐ และไม่ใช่ภาคธุรกิจ แต่เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มประชาชนที่มีจิตสำ นึกร่วมกันเพื่อแก้ ปัญหาสังคมและสร้างประโยชน์สาธารณะแล้วหากนับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 อาจกล่าวได้ว่า คณะราษฎร (พ.ศ.2469-2490) หรือ สมาคมคณะราษฎร หรือต่อมา ใช้ว่า สโมสรราษฎร์สราญรมย์ เป็นประชาสังคมที่โดดเด่นเป็นกลุ่มแรกของไทย ทั้งนี้จำ ต้อง กล่าวถึง สภาอุณาโลมแดง8 ซึ่งก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ ปี พ.ศ.2436 โดยเจ้านายฝ่ายสตรี ของไทยในรัชสมัยราชการที่ 5 จนกระทั่งเปลี่ยนชื่อด้วยมีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วย สภากาชาดสยาม ขึ้นในปี พ.ศ.2461 แล้วจึงเปลี่ยนชื่อเป็น สภากาชาดไทย เมื่อปี พ.ศ.2482 7 การเผยแพร่พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมายังสุวรรณภูมิ (ดินแดนสุวรรณภูมิ คือดินแดนแถบ ลุ่มแม่น้ำ โขง ได้แก่ พม่า ไทย ลาว ญวน เขมร และมลายู) เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (พ.ศ.239-312) เมื่อการทำ สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่สามสิ้นสุดลง พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ส่งสมณทูต 9 สายออกเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยส่งคณะพระโสณะ และพระอุตตระ มายัง สุวรรณภูมิ ค้นจาก “ประวัติศาสตร์พุทธศาสนา: การสังคายนา” ค้นที่ https://sites.google. com/site/prawatiphraphuththsasnakk/ng-1 เมื่อเมษายน 2563 8 สภากาชาดไทย (2563). จากสภาอุณาโลมแดงถึงสภากาชาดไทย. ค้นที่ https://www.redcross. or.th/aboutus/history/ เมื่อเมษายน 2563


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 39 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี เนื่องจากสภากาชาดไทยจัดตั้งองค์กรมาร่วม 40 ปีก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ จึงไม่นับรวมเป็นองค์กรประชาสังคมหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ ด้วยเหตุนี้ คณะราษฎรแต่แรกเริ่มมีผู้ริเริ่มก่อตั้ง 7 คนด้วยกัน9 แม้บางคนรับราชการ แต่ก็มิได้ก่อตั้งในนามของภาครัฐ และมิได้ก่อตั้งด้วยเป้าหมายทางธุรกิจหรือประกอบ เป็นอาชีพ หากเมื่อพิจารณาว่าเป็นกลุ่มที่มีจิตสำ นึกร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาสังคม และสร้างประโยชน์สาธารณะหรือไม่นั้น หลัก 6 ประการของคณะราษฎร โดยเฉพาะข้อที่ 3 ‘จะต้องบำ รุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก’10 บ่งถึง ความมีจิตสำ นึกร่วมกันเพื่อสร้างสาธารณประโยชน์อย่างชัดแจ้ง แม้ว่าจะไม่สามารถพิสูจน์ ให้เห็นจริงอย่างไร้ข้อกังขาได้ว่า การดำ เนินงานของคณะราษฎรในฐานะประชาสังคม จนนำ ไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 นั้นสามารถแก้ปัญหาสังคม และสร้างสาธารณประโยชน์ได้จริงแท้แค่ไหน แต่อาจอนุโลมได้ว่า คณะราษฎร นับเป็น ภาคประชาสังคมกลุ่มแรกที่มีบทบาทอย่างยิ่งต่อสังคมไทยนับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลง การปกครอง พ.ศ.2475 จิตสาธารณะถัดมาที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายแต่ไม่มีผู้ใดกล่าวอ้างถึงในฐานะ ภาคประชาสังคมนัก ได้แก่ อินท์เฟือน (พ.ศ.2421-2482) หรือ ครูบาศรีวิชัย สิริวิชฺโช พระมหาเถระแห่งมณฑลพายัพในขณะนั้น ครูบาศรีวิชัยนับเป็นตัวอย่างของ ‘ผู้นำจิตอาสา’ อย่างชัดเจนที่สุดคนหนึ่ง ท่านได้ร่วมกับศรัทธาสาธุชนบูรณปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมวัดและ โบราณสถานร่วม 280 แห่งเป็นอย่างน้อย11 ได้แก่ ในจังหวัดเชียงใหม่ (86 แห่ง) เชียงราย (54 แห่ง) ลำ พูน (41 แห่ง) ลำ ปาง (63 แห่ง) พะเยา (26 แห่ง) แพร่ (2 แห่ง) แม่ฮ่องสอน (4 แห่ง) ตาก (1 แห่ง) และสุโขทัย (1 แห่ง) ผลงานที่เป็นที่ประจักษ์จวบจนปัจจุบันคือ เป็นผู้ริเริ่มก่อสร้างถนนลูกรังระยะทาง 11.53 กิโลเมตรขึ้นสู่ดอยสุเทพ นครเชียงใหม่ กล่าวกันว่ามีศรัทธาสาธุชนมาร่วมกันสร้างถนนวันละไม่ต่ำ กว่า 5,000 คน จึงสามารถสร้าง ถนนแล้วเสร็จภายในระยะเวลาเพียง 5 เดือน 22 วัน (9 พฤศจิกายน 2477-30 เมษายน 2478)12 9 ประกอบด้วย (1) ร้อยโท แปลก ขีตตะสังคะ นักเรียนวิชาทหารปืนใหญ่ ประเทศฝรั่งเศส (2) ปรีดี พนมยงค์ นักเรียนวิชากฎหมาย ประเทศฝรั่งเศส (3) ร้อยโท ประยูร ภมรมนตรี นักเรียน วิชารัฐศาสตร์ ประเทศฝรั่งเศส (4) ร้อยตรี ทัศนัย มิตรภักดี นักเรียนวิชาทหารม้า ประเทศ ฝรั่งเศส (5) ตั้ว ลพานุกรม นักเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (6) จรูญ สิงห เสนี ผู้ช่วยราชการสถานทูตสยามในประเทศฝรั่งเศส และ (7) แนบ พหลโยธิน นักเรียนวิชา กฎหมาย ประเทศอังกฤษ ที่มา: รุ่งมณี เมฆโสภณ (2555). อำ นาจ II: ต่อสู้กู้ชาติ เอกราษฎร์ อธิปไตย. กรุงเทพฯ: สำ นักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ 10 เพิ่งอ้าง. รุ่งมณี, 2555 11 พระสมชาย ธมฺมสาโร (พรมมา) (2555). การศึกษาบทบาทพระครูบาศรีวิชัย สิริวิชฺโช ในฐานะ นักบุญล้านนา: กรณีศึกษาการบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถานในล้านนา. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร มหาบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 12 ประวัติการสร้างถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพโดยครูบาศรีวิชัย ป้ายถาวรตั้งแสดง ณ บันไดทางขึ้นวัด พระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร. เมื่อเมษายน 2563


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 40 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี อนึ่ง มีการตั้งข้อสังเกตว่า การดำ เนินกิจกรรมของครูบาศรีวิชัยนั้นจัดเป็น กิจกรรมจิตอาสาหรือไม่ หรือเป็นหน้าที่เป็นบทบาทที่สงฆ์พึงกระทำ กล่าวคือเป็นอาชีพ ของความเป็นภิกษุสงฆ์นั่นเอง การนี้ หากพิจารณาถึง ‘งาน’ หรือ ‘ธุระ’ ที่ สิทธัตถะ โคตมะ (20 ปีก่อนพุทธศักราช-พ.ศ.60) ศาสนาของศาสนาพุทธได้กำ หนดไว้ให้ภิกษุสงฆ์ ปฏิบัติมี 2 อย่างด้วยกัน ได้แก่ คันถธุระ และ วิปัสสนาธุระ ทั้งนี้ คันถธุระ หมายถึง ธุระฝ่ายคัมภีร์ ได้แก่การเรียนพระคัมภีร์ การศึกษาและเผยแพร่ปริยัติธรรม ส่วนวิปัสสนาธุระ หรือ ธุระฝ่ายวิปัสสนา หมายถึงธุระด้านการเจริญวิปัสสนาและกิจพระศาสนาในด้านการ บำ เพ็ญกรรมฐาน13 ธุระอื่นใดนอกเหนือจากนี้จึงจัดเป็นการประกอบการโดยสมัครใจ แม้แต่ การบูรณปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมวัดซึ่งนับเป็นอสังหาริมทรัพย์ของสถาบันสงฆ์จะจัดว่าเป็น การดำ เนินงานเพื่อสถาบันของตนหรือไม่ หากพิจารณาเปรียบดั่งครูผู้หนึ่งเดินทางไป ซ่อมแซมปรับปรุงพัฒนาโรงเรียนและการเรียนการสอนทั่วไปนอกเหนือจากโรงเรียนที่ ตนบรรจุเป็นครู หรือแพทย์ผู้หนึ่งดำ เนินการปรับปรุงพัฒนาสถานพยาบาลอื่นๆ ทั่วไป นอกเหนือจากสถานที่ทำ งานของตน ซึ่งในทั้งสองกรณีนับเป็นการพัฒนาปรับปรุงสถาบัน ของตน หากการดำ เนินการของครูหรือแพทย์ผู้นั้นเป็นกิจกรรมจิตอาสาเช่นไร การดำ เนิน งานของครูบาศรีวิชัยย่อมนับเป็นกิจกรรมจิตอาสาเช่นเดียวกัน ภาคประชาสังคมในช่วงระยะต้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ นอกจาก การดำ เนินงานเป็นกลุ่มเช่นคณะราษฎร หรือเป็นผู้นำ จิตอาสาอย่างเอกเทศดังเช่น ครูบาศรีวิชัยแล้วยังมีการดำ เนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ในลักษณะของ มูลนิธิ อีกด้วย มูลนิธิที่ดำ เนินงานในช่วงดังกล่าวสืบต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ได้แก่ มูลนิธิฮั่วเคี้ยวป่อเต็ก เซี่ยงตึ๊ง (พ.ศ.2480-) หรือรู้จักในนาม ป่อเต๊กตึ๊ง โดยริเริ่มดำ เนินการตั้งแต่ปี พ.ศ.2452 ในนาม คณะเก็บศพไต้ฮงกง ประกอบด้วยกลุ่มพ่อค้าชาวจีนในกรุงเทพฯ จำ นวน 12 คน ได้บำ เพ็ญสาธารณประโยชน์โดยการเก็บศพไร้ญาติ โดยในช่วงปี พ.ศ.2455-2463 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาพระราชทานเงินช่วยเหลือให้ปีละ 2,000 บาท คณะเก็บศพไต้ฮงกงดำ เนินการและขยายจำ นวนสมาชิกเรื่อยมาจนในปี พ.ศ.2480 นักธุรกิจจีนได้ร่วมกับบรรดาสมาคมและหนังสือพิมพ์จีนระดมความคิดปฏิรูป คณะเก็บศพไต้ฮงกงขึ้นใหม่โดยการจดทะเบียนเป็นมูลนิธิเพื่อดำ เนินการเก็บศพไร้ญาติ ตลอดจนดำ เนินการเพื่อบรรเทาสาธารณภัยไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย อัคคีภัย ภัยแล้ง และ ภัยหนาว รวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือแก่คนยากจนและการสนับสนุนด้านการรักษา พยาบาล ได้แก่ การก่อตั้งโรงพยาบาลหัวเฉียวและหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชนในปี พ.ศ.2485 นอกจากนี้ยังดำ เนินงานด้านการศึกษาโดยได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยหัวเฉียว 13 พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) (2556). พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์.กรุงเทพฯ: ธรรมสภาและสำ นักพิมพ์บันลือธรรม


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 41 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี เฉลิมพระเกียรติขึ้นในปี พ.ศ.2524 อีกด้วย14 ทั้งนี้ มูลนิธิป่อเต๊กตึ๊ง นับเป็นมูลนิธิลำ ดับที่ 11 ของสยาม15 ซึ่งบ่งข้อเท็จจริงได้อีกประการหนึ่งว่าภาคประชาสังคมของไทยในลักษณะ มูลนิธินั้นมีมาตั้งแต่ครั้งประเทศไทยยังเป็นประเทศสยาม นอกจากกรณีของจิตอาสาดังที่นำ เสนอไปแล้วนั้น ในช่วงหลังเปลี่ยนแปลง การปกครองยังมีกรณีตัวอย่างของจิตสาธารณะที่โดดเด่น ได้แก่ การสงเคราะห์ทรัพย์สิน เพื่อสร้างโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ซึ่งมีคำ ว่าประชานุเคราะห์ต่อท้ายเนื่องจาก ได้รับการสนับสนุนในการจัดสร้างจากประชาชน ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ คณะราษฎรได้ประกาศ พรบ.สาธารณสุข พ.ศ.2477 กำ หนดนโยบายสร้างโรงพยาบาล ในหัวเมือง ในปี พ.ศ.2479 พระพนมนครารักษ์ ข้าหลวงประจำจังหวัดเชียงราย จึงมีดำ ริ ที่จะสร้างโรงพยาบาลประจำ จังหวัด พ่อค้าคหบดีและประชาชนในจังหวัดนำ โดย นายสีห์ศักดิ์และนางกิมเฮียะ ไตรไพบูลย์ ได้บริจาคที่ดินจำ นวน 19 ไร่ ผนวกกับที่ดินข้างเคียง ของประชาชนที่ร่วมบริจาค แล้วจึงได้ดำ เนินการก่อสร้างด้วยเงินบริจาคจากพ่อค้าประชาชน อาทิ ขุนวิศิษฐิอุดรการ ขุนสุวรรณรัตนราช และกลุ่มพ่อค้าโรงสีภายใต้การนำของนายมุ่ย เตวิทย์ รวมไปถึงหลวงพิศิษฐ์ไกรกรและหลวงศรีนครานุกูลจากจังหวัดพะเยา โรงพยาบาลเชียงราย ประชานุเคราะห์ได้รับการอนุมัติให้เป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาด 50 เตียง ประกอบพิธีเปิด โรงพยาบาลในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2480 มีแพทย์ 1 คน คือ นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ซึ่งดำ รงตำ แหน่งผู้อำ นวยการในช่วง 14 ปีแรกของการดำ เนินการ ปัจจุบันโรงพยาบาล เชียงรายประชานุเคราะห์มีจำ นวน 756 เตียง ในเนื้อที่ 73 ไร่16 ดังจะเห็นได้ว่าในระยะต้นนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองฯ ภาคประชาสังคม ของไทยล้วนแล้วแต่เกิดมีขึ้นจากชนชั้นนำ อย่างใหม่ (Neo-elite-ที่ไม่ใช่ชนชั้นสูง Aristocrat) ไม่ว่าจะเป็นปัญญาชนในกรณีของคณะราษฎร หรือ พระมหาเถระในกรณีของครูบา ศรีวิชัย หรือ กลุ่มปัญญาชนและนักธุรกิจชาวจีนในกรณีของมูลนิธิป่อเต๊กตึ๊ง หรือกลุ่ม ชนชั้นปกครองและนักธุรกิจในกรณีของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ • ระยะกลาง (พ.ศ.2500-พ.ศ.2535): ประชาสัังคมยุุคองค์ก์รพััฒนาเอกชน ปี พ.ศ.2500 นอกจากจะเป็นการเปลี่ยนพุทธศตวรรษแล้วยังนับว่าเป็นการ เริ่มต้นแห่งการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทย เริ่มตั้งแต่การก่อตั้งสำ นักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี พ.ศ.2493 และเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 14 มูลนิธิฮั่วเคี้ยวป่อเต็กเซี่ยงตึ๊ง (21 มิถุนายน 2561). ประวัติมูลนิธิ. ค้นที่ https://www.pohteck tung.org/index.php?option=com_content&view=article&id=380&Itemid=228 เมื่อ เมษายน 2563 15 กรรณิการ์ ตันประเสริฐ และ คณะ (2545). ป่อเต็กตึ๊ง บนเส้นทางประวัติศาสตร์สังคมไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำ นักพิมพ์มติชน 16 โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ (2020). รู้จักโรงพยาบาลเชียงราย: ประวัติโรงพยาบาล. ค้นที่ https://www.crhospital.org/home/index1.php?group=1 เมื่อ 5 มิถุนายน 2563


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 42 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี และสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ตั้งแต่ พ.ศ.2504 กล่าวคือประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุค แห่งการพัฒนาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2500 นั่นเอง เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการพัฒนา จึงเริ่ม มีองค์กรพัฒนาเอกชน (Non-governmental organizations: NGOs) เกิดขึ้นมากมาย บ้างเป็นองค์กรทางศาสนาที่มีภารกิจในด้านการส่งเสริมและสนับสนุนที่เอื้อประโยชน์ต่อสังคม โดยรวม บ้างเป็นองค์กรด้านการแพทย์การพยาบาล บ้างเป็นองค์การด้านการศึกษา ดังรายนามปรากฏในประกาศกระทรวงการคลัง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.253517 มีองค์กร สถาน สาธารณกุศล สถานพยาบาล และสถานศึกษา ซึ่งจดทะเบียนเป็นมูลนิธิ สมาคม กองทุน ตลอดจนองค์การและโครงการที่ดำ เนินงานสงเคราะห์เพื่อสาธารณประโยชน์ จำ นวนมาก ถึง 906 รายการ นับเป็นยุคทองขององค์กรพัฒนาเอกชนในประเทศไทย ตารางที่่� 1 การกระจายตััวขององค์ก์รพััฒนาเอกชน 375 แห่่ง แยกตามพื้�้นที่่�และประเภท พ.ศ.2533 พื้�้นที่่� กิิจกรรม กทม. ภาคกลาง และภาคเหนืือ ตอนล่่าง ภาคเหนืือ ตอนบน ภาคใต้้ภาคอีีสาน สัังคมสงเคราะห์์ (150 ; 40%) 35.7 (50) 42.3 (11) 39.2 (31) 57.7 (30) 35.9 (28) สัังคมสงเคราะห์จั์ ัดตั้้งโดย � รััฐบาล (12 ; 3.2%) 0.7 (1) 3.8 (1) - - 15.4 (8) 2.6 (2) สิิทธิิมนุุษยชน (9 ; 2.4%) 4.3 (6) - - 1.3 (1) 1.9 (1) 1.3 (1) พััฒนา (105 ; 28.0%) 14.3 (20) 50.0 (13) 40.5 (32) 13.5 (7) 42.3 (33) ข้้อมููลข่า่วสาร/สััมมนาวิจัิัย (12 ; 3.2%) 2.1 (3) - - 7.6 (6) - - 3.8 (3) สนัับสนุุนประสานงาน/ ฝึึกอบรม (24 ; 6.4%) 14.3 (20) - - 2.5 (2) 1.9 (1) 1.3 (1) ให้้เงิินทุุน (4 ; 1.1%) 2.9 (4) - - - - - - - - รณรงค์์เผยแพร่่ (59 ; 15.7%) 25.7 (36) 3.8 (1) 8.9 (7) 9.6 (5) 12.8 (10) รวม 100.0 (140) 100.0 (26) 100.0 (79) 100.0 (52) 100.0 (78) ที่่�มา: สถาบัันวิจัิัยสัังคม จุุฬาลงกรณ์์มหาวิิทยาลััย และคณะ (2533). อ้า้งใน อนุุชาติิ พวงสำำ�ลีี และ กฤตยา อาชวนิิจกุุล (2542). ขบวนการประชาสัังคม ไทย: ความเคลื่่�อนไหวภาคพลเมืือง. กรุุงเทพฯ: มหาวิิทยาลััยมหิิดล, หน้้า 242 17 ประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒) เรื่อง กำ หนดองค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาลและสถานศึกษา ตามมาตรา ๔๗(๗)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา ๓(๔)(ข) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๓๙) พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกา ออกตาม ความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๕๔) พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้อ 3 รวมทั้งสิ้น 941 รายการ ประกอบด้วย เดิม 906 รายการ เพิ่มเติมในภายหลัง 35 รายการ


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 43 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี องค์กรต่างๆ เหล่านี้ โดยส่วนใหญ่เป็นองค์กรสังคมสงเคราะห์มุ่งแก้ปัญหาและ พัฒนาสังคมและส่งเสริมผู้ยากไร้ตลอดจนผู้ด้อยโอกาสทางสังคม อาทิ มูลนิธิเด็กกำ พร้า อิสาน กองทุนพัฒนาเด็กชนบท องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก มูลนิธิสงเคราะห์ ผู้ประสบภัย มูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ มูลนิธิบูรณะชนบท แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย มูลนิธิช่วยเหลือ เด็กกำ พร้าของสตรีไทยมุสลิมแห่งประเทศไทย มูลนิธิชัยพัฒนา มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร และมูลนิธิเด็ก เป็นต้น โดยในปี พ.ศ.2533 สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ทำ การศึกษาวิเคราะห์องค์กรพัฒนาเอกชนจำ นวน 375 แห่ง พบว่า กรุงเทพมหานคร เป็นที่ตั้งขององค์กรพัฒนาเอกชนมากที่สุดถึง 140 องค์กร โดยเป็นเพียงศูนย์กลางการประสานงาน ส่วนการดำ เนินกิจกรรมเกิดขึ้นในพื้นที่ชนบท รองลงมาได้แก่ภาคเหนือตอนบนและภาคอีสาน มีจำ นวน 79 แห่ง และ 78 แห่ง ตามลำ ดับ เมื่อแยกตามประเภทแล้วองค์กรสังคมสงเคราะห์มีจำ นวนมากที่สุดถึง 150 แห่ง รองลงมา ได้แก่ องค์กรพัฒนา มีจำ นวน 105 แห่ง และองค์กรรณรงค์เผยแพร่ 59 แห่ง (ตารางที่ 1) ในระยะกลางนี้ มีปรากฏการณ์ที่จำ ต้องกล่าวถึง ได้แก่ ความเป็น ‘บิดา จิตอาสาไทย’ ของ ป๋วย อึ้งภากรณ์ (พ.ศ.2459-2542) ป๋วย เริ่มก่อร่างสร้างงานพัฒนาชนบท ในช่วงปลายแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2509) ในขณะดำ รง ตำ แหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ โดยเป็นแกนหลักก่อตั้งองค์กรและโครงการเพื่อพัฒนาชนบทที่สำ คัญ 3 โครงการ ได้แก่18,19 1. มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นองค์กร พัฒนาเอกชนที่จดทะเบียนเป็นองค์กรแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2510 โดย ป๋วยได้ชักชวนนักวิชาการ นักการศึกษา นักธุรกิจ นักการคลัง นักการเมือง และเชื้อพระวงศ์ ร่วมกันก่อตั้งมูลนิธิฯ นี้ขึ้นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาชนบทตามแนวทางที่ Y.C.James Yen ประธานสถาบันฟื้นฟูชนบทสากล (International Institute of Rural Reconstruction) ซึ่งเดินทางมาประเทศไทยเพื่อเผยแพร่แนวคิดการจัดตั้งองค์การบูรณะชนบทภาคเอกชน ในช่วงต้นปี พ.ศ.2010 โดยเน้นการพัฒนา 4 ด้าน ได้แก่ การประกอบอาชีพ การศึกษา เรียนรู้ สุขภาพอนามัย และการจัดองค์กรชุมชน ผ่าน ‘ความร่วมมือ’ ของ ‘คน’ กับ ‘องค์กรชุมชน’ ให้สามารถ ‘พึ่งตนเอง’ ทั้งนี้ เหล่านักพัฒนาที่เริ่มต้นปฏิบัติงานและ เติบโตมากับมูลนิธิฯ อาทิ เสน่ห์ จามริก และ คำสิงห์ ศรีนอก ได้กลายไปเป็นผู้นำแนวคิด 18 วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) (2020). เว็บไซต์ ป๋วย อึ้งภากรณ์. ค้นที่ http://puey-ungpakorn.org/index.php และ เว็บไซต์ วิทยาลัยพัฒน ศาสตร์ฯ ค้นที่ https://www.psds.tu.ac.th/ ค้นเมื่อเมษายน 2563 19 ประชาไท (24 สิงหาคม 2561). 50 ปี “บัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” โครงการ ที่ผมรัก. ค้นที่ https://prachatai.com/journal/2018/08/78411 เมื่อเมษายน 2563


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 44 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี การพัฒนาชนบทแบบผสมผสานไปเผยแพร่และขยายผล จึงอาจกล่าวได้ว่ามูลนิธิฯ ได้สร้างอิทธิพลทางความคิดด้านพัฒนาชนบทให้แก่ภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชน อย่างกว้างขวาง 2. สำ นักบัณฑิตอาสาสมัคร ในฐานะคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ป๋วยได้จัดทำ โครงการประกาศนียบัตรอาสาสมัครขั้นบัณฑิต เริ่มต้นในปี พ.ศ.2512 การคัดเลือกใช้วิธีการสอบสัมภาษณ์ “อย่างเข้มงวด” โดยรุ่นแรกได้คัดเลือกบัณฑิต อาสาสมัครจำ นวน 18 คน เมื่อเรียนสำ เร็จแล้วได้ไปทำ งานเป็นครูโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยกระจายไปอยู่ทั่วทุกภาค อาทิ แม่สะเรียง แม่สอด สุไหงโก-ลก และบุรีรัมย์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 ได้โอนโครงการนี้จากคณะเศรษฐศาสตร์ไปขึ้นตรงกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเปลี่ยนชื่อเป็น “สำ นักบัณฑิตอาสาสมัคร” พร้อมทั้งได้ขยายขอบเขตเพิ่มเติมออกไป เป็นการสอนในทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาโดยโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน ทุรกันดารทั้งพื้นราบและที่สูง นอกจากการสอนตามหลักสูตรแล้ว ยังให้ความรู้ด้านอนามัย โภชนาการ และการเกษตร และในระยะหนึ่งสำ นักบัณฑิตฯ ได้รับบุคลากรที่ส่งมาจาก กองทัพบกและตำ รวจเข้าร่วมโครงการด้วย หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตอาสาสมัคร ดำ เนินการต่อเนื่องมาจนในปัจจุบันโดยย้ายไปขึ้นตรงกับ วิทยาลัยพัฒนาศาสตร์ ป๋วย อึ้งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลักสูตรฯ ยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ของป๋วย กล่าวคือ เรียนภาควิชาการ 3 เดือน เข้าไปอยู่อาศัยกินนอนกับชาวบ้าน 7 เดือน และเขียนรายงานวิจัย หรือรายงานสร้างสรรค์ 2 เดือน รวมเป็นระยะเวลา 1 ปี ผลิตบัณฑิตอาสาสมัครได้ปีละ 25-30 คน ในปัจจุบันมีศิษย์เก่าบัณฑิตอาสาสมัครกว่า 1,500 คน เข้าทำงานในองค์กรชั้นนำ ทั้งภาครัฐและเอกชน และมีศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงมากมายที่ทำ งานอยู่ในภาคส่วนต่างๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ 3. โครงการพัฒนาชนบทลุ่มนำ้แม่กลอง ป๋วยและกลุ่มนักวิชาการในมหาวิทยาลัย หลายแห่งของไทยมีความเห็นว่าการพัฒนาชนบทไทยควรใช้รูปแบบการพัฒนาแบบ ผสมผสานบูรณาการโดยหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลการพัฒนาชนบทควรคำ นึงถึงกิจกรรม การพัฒนาทุกด้านให้สอดคล้องและเกื้อหนุนกันและกันกับการดำ เนินชีวิตของชาวชนบท เพื่อมุ่งให้ชาวชนบทแก้ปัญหาด้วยตนเองอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การคัดเลือกปัญหา การวิเคราะห์สาเหตุและทางออก การวางแผน และการลงมือแก้ไขร่วมกัน อันจะนำ ไปสู่ ความสามารถในการพึ่งตนเองได้ในที่สุด ป๋วยจึงได้เชิญชวนอธิการบดีของมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมก่อตั้ง “โครงการ พัฒนาชนบทลุ่มน้ำ แม่กลอง” เพื่อเป็นโครงการสาธิตนำ ร่องในการใช้รูปแบบการพัฒนา ชนบทแบบผสมผสานบูรณาการ แบ่งระยะเวลาดำ เนินงานเป็น 3 ระยะ โดยเริ่มดำ เนินการ ระยะที่ 1 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2517-2518 ระยะที่ 2 ปี พ.ศ.2518-2520 และ ระยะที่ 3 ปี พ.ศ.2520 เป็นต้นไป อนึ่ง ตามแผนปฏิบัติงานที่กำ หนดไว้ โครงการฯ จะสิ้นสุดการดำ เนินงาน ระยะที่สองในเดือนมิถุนายน 2520 แต่เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ได้ส่ง ผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำ เนินโครงการฯ จนต้องล้มเลิกโครงการนี้ไปกลางคัน


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 45 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ทำ ให้ความพยายามที่จะสรรหารูปแบบการพัฒนาชนบทที่เหมาะสมสำ หรับประเทศไทย ต้องสลายไปด้วย อีกปรากฏการณ์หนึ่งที่สำ คัญยิ่ง ได้แก่ องค์กรสังคมสงเคราะห์ที่จัดตั้งโดย รัฐบาล ซึ่งจากการศึกษาของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2533) พบว่ามี จำ นวนอย่างน้อย 12 แห่ง องค์กรประเภทนี้ที่มีบทบาทสืบเนื่องมาจวบจนปัจจุบัน ได้แก่ โครงการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำ หมู่บ้าน (อสม.) ตามแนวคิด ‘สาธารณสุขมูลฐาน’ ดำ เนินการโดยกระทรวงสาธารณสุข เริ่มดำ เนินโครงการนำร่องในปี พ.ศ.2520 ใน 20 จังหวัด แล้วยกขึ้นเป็นโครงการระดับชาติในปี พ.ศ.2522 ต่อมาในปี พ.ศ.2536 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติให้ทุกวันที่ 20 มีนาคม ของทุกปีเป็นวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ ในปัจจุบัน โครงการ อสม. อยู่ภายใต้การดูแลของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข โดยมีจำ นวน อสม. ทั้งสิ้นสูงถึงกว่า 1 ล้านคน 4 หมื่นคน ทั้งนี้ อสม. เป็นการดำ เนินงาน แบบอาสาสมัครที่ไม่มีค่าตอบแทนกระทั่งมีค่าตอบแทนในลักษณะสินน้ำ ใจครั้งแรกในสมัย รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พ.ศ.2551-2554) เป็นจำ นวน 600 บาทต่อเดือน แล้วเพิ่มเป็น 1,000 บาทต่อเดือนในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (2554-2557) และ 1,200 บาทต่อเดือน ในปัจจุบัน โครงการ อสม. มีกิจกรรมคล้ายคลึงกับ สำ นักบัณฑิตอาสาสมัคร ของ ป๋วย อึ้งภากรณ์ ในลักษณะเป็นหน่วยผลิตอาสาสมัครรุ่นใหม่ที่เป็นชนชั้นกลางในกรณีของ สำ นักบัณฑิตอาสาสมัคร และชนชั้นฐานราก/ท้องถิ่นในกรณีของ อสม. จึงอาจสรุปได้ว่า ภาคประชาสังคมในระยะกลาง มีการดำ เนินงานอย่างเป็นระบบ มีระเบียบแบบแผน มีลักษณะเป็นองค์กรมากกว่าจะเป็นการดำ เนินงานของปัจเจกบุคคล หรือกลุ่มบุคคล ทั้งยังมีองค์กรพัฒนาเอกชนเกิดขึ้นอย่างมากมายในระยะนี้ที่เป็นความริเริ่ม จากชนชั้นนำ และได้รับอิทธิพลจากตะวันตกทั้งในแง่แนวคิดและทุนดำ เนินการ โดยมีทั้ง อาสาสมัครที่ร่วมดำ เนินกิจกรรมอย่างจิตอาสาโดยไม่มีค่าตอบแทน และทั้งนักพัฒนา มืออาชีพที่ประกอบสัมมาชีพด้านการพัฒนาและสังคมสงเคราะห์ (โดยกลุ่มนี้ไม่นับรวม เสมียนเจ้าพนักงานในองค์กรฯ เป็นต้น) ซึ่งทั้งอาสาสมัครและนักพัฒนานักสังคมสงเคราะห์ มาจากชนชั้นกลางเป็นส่วนใหญ่ จึงจัดเป็นช่วงระยะแห่งการแพร่กระจายขยายตัวของ ภาคประชาสังคมของไทยจากชนชั้นผู้นำ และชนชั้นกลางในเมืองไปสู่ชนชั้นกลางและ ชนชั้นฐานรากในชนบท • ระยะเปลี่่�ยนผ่่าน (พ.ศ.2525-พ.ศ.2535): ต้้นกล้้าประชาสัังคมเพื่่�อชีวิี ิต ในช่วงประมาณปี พ.ศ.2525-2535 เป็นช่วงพิเศษที่แม้จะซ้อนทับคาบเกี่ยวกับ วิวัฒนาการประชาสังคมระยะกลางในแง่ที่มีการเกิดขึ้นองค์กรพัฒนาเอกชน แต่เป็นช่วง ที่มีลักษณะจำ เพาะที่มีความพิเศษเป็นอย่างยิ่งจึงจำ ต้องแยกไว้ต่างหากเป็นอีกระยะหนึ่ง กล่าวคือ เป็นช่วงระยะแห่งการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศไทยจากเกษตรกรรม ไปสู่อุตสาหกรรม โดยอาจนับเนื่องย้อนกลับไปถึงการค้นพบก๊าซธรรมชาติเป็นจำ นวนมาก


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 46 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ครั้งแรกในอ่าวไทยในปี พ.ศ.2516 กระทั่งเริ่มผลิตก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยเมื่อปี พ.ศ.2524 โดยนำ มาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าและใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อทดแทนการใช้ถ่านหินและน้ำ มันเตาซึ่งมีราคาสูงและต้องนำ เข้าจากต่างประเทศ ความสามารถในการผลิตพลังงานไฟฟ้าได้เองจากก๊าซธรรมชาติในประเทศส่งผลให้ ประเทศไทยเข้าสู่ยุค ‘โชติช่วงชัชวาล’ ปรับโครงสร้างการผลิตจากเกษตรกรรมสู่ อุตสาหกรรม20พัฒนาฐานการผลิตเพื่อส่งออก เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เป็นช่วงที่ประเทศไทยกำ หนดนโยบายเพื่อย่างเข้าสู่กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NICs) เป็น ‘เสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย’ พร้อมกับเริ่มให้ความสำ คัญกับการกระจายการพัฒนาสู่ระดับ จังหวัดและชนบท ดังปรากฏในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 5 (พ.ศ.2525-29) และ ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2530-34)21 การเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจดังกล่าว ผนวกกับผลพวงของเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ที่นำ มาซึ่งการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หลังจาก รัฐบาลได้ออกคำสั่งสำ นักนายกรัฐมนตรีที่ 66/252322 เพื่อนิรโทษกรรมแก่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ ในปี พ.ศ. 2523 ประกอบกับปัญหาแย่งชิงผลประโยชน์ภายในพรรคจึงเป็นเหตุให้พรรค คอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยสลายไปในที่สุด นิสิตนักศึกษาที่เป็นผลพวงของเหตุการณ์ 6 ตุลา ที่ได้เข้าป่าเพื่อเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ จึงได้ทยอยเดินทางจากป่าสู่เมือง หลายต่อหลายคนยังกลับมาพร้อมอุดมการณ์เพื่อสังคมที่ได้รับการขัดเขลาด้วยประสบการณ์ และขวบวัย กลายมาเป็นจิตอาสานักพัฒนาที่ทำ คุณประโยชน์ต่อสังคมชุมชนฐานราก แม้กระทั่งกลุ่มนักศึกษาเยาวชนคนหนุ่มสาวที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลา แต่มิได้ต้องโทษ หรือเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ได้กลายเป็นจิตอาสาที่ทำ คุณประโยชน์ มากมาย ตัวอย่างเช่น พระไพศาล วิสาโล พระนักพัฒนาที่มีบทบาทในการดูแลป่าภูหลง ต้นน้ำ ชี (ซี)-ลำ ปะทาวกว่า 5 พันไร่ในเขตจังหวัดชัยภูมิในปัจจุบัน23 การเปลี่ยนผ่านโครงสร้างในครั้งนั้นนำ ไปสู่เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ (17-24 พฤษภาคม พ.ศ.2535) แม้การประท้วงด้วยการชุมนุมและอดอาหารนั้นจะเกิดจากความ ไม่พอใจต่อการขึ้นดำ รงตำ แหน่งของคณะรัฐประหารและด้วยการกล่าวอ้างถึงความไม่เป็น ประชาธิปไตยของรัฐธรรมนูญ หากวิเคราะห์ถึงรากเหง้าของเหตุการณ์นั้นจะพบว่าเป็นการ 20 กฤติยาพร วงษา (2558). บทความเรื่อง อนาคตพลังงานไทย. ในหนังสือชุด สู่อนาคตไทย -มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด บรรณาธิการ. เชียงใหม่: สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ. ค้นที่ https:// www.ppsi.or.th/รวมบทความสู่อนาคตไทย/ เมื่อเมษายน 2563 21 สำ นักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2563). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ. ค้นที่ https://www.nesdc.go.th/ewt_w3c/main.php?filename=develop_issue เมื่อเมษายน 2563 22 คำสั่งสำ นักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 เรื่อง นโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ออกเมื่อ วันที่ 23 เมษายน 2523 ลงนามโดยนายกรัฐมนตรี พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ 23 OK Nation Blog (16 พฤษภาคม 2552). พระไพศาลนำ มวลชนบวชป่าภูหลงกว่า 5 พันไร่ ฟื้นลำ ปะทาวต้นน้ำ ชี (ซี) ชัยภูมิ. ค้นที่ http://oknation.nationtv.tv/blog/suttipongna- tion/2009/05/16/entry-1 เมื่อเมษายน 2563


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 47 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี ต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำ นาจเหนือทรัพยากรโดย ‘ชนชั้นกลางใหม่’ ที่มีอุดมการณ์อย่างใหม่โดย จะขอเรียกว่าเป็น ‘อุดมการณ์เพื่อชีวิต’ ด้วยความคิดความเชื่อความฝันของชนชั้นกลางใหม่ หรือกลุ่มคนหนุ่มสาวในยุคนั้นสะท้อนผ่านความนิยมในรูปแบบและบทเพลงในแนวดนตรี โฟล์คในเนื้อหาที่สะท้อนสภาพปัญหาและความเป็นจริงของสังคมโดยเฉพาะความยาก ลำ บากในการใช้ชีวิตและการถูกเอารัดเอาเปรียบของชนชั้นฐานราก ที่เรียกกันว่า ‘เพื่อชีวิต’ ซึ่งหากจะกล่าวย้อนไป นับเป็นแนวดนตรีที่ได้รับอิทธิทางความคิดสืบมาจากแนวคิด ‘ศิลปะเพื่อชีวิต’ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ นักคิดนักเขียนที่มีชีวิตอยู่ในช่วง พ.ศ.2473-250924 ความนิยมในศิลปะแนวเพื่อชีวิตนี้ สะท้อนความนิยมแม้กระทั่งรูปแบบการ แต่งกายแบบ กล่าวคือ ไว้ผมยาว สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ สะพายกระเป๋าย่าม และสวม รองเท้าแตะ ที่เป็นที่นิยมโดยเฉพาะในหมู่นักเคลื่อนไหวและจิตอาสาในสมัยนั้น สำ หรับ ความนิยมในดนตรีเพื่อชีวิตในระยะนั้นเป็นปรากฏการณ์ในระดับตำ นาน ดังที่เกิดขึ้นกับ บทเพลงและวงดนตรี ‘คาราวาน’ (พ.ศ.2518) และ ‘คาราบาว’ (พ.ศ.2524) วงคาราวาน ที่ตั้งขึ้นมาก่อนนั้น ในยุคเหตุการณ์ 6 ตุลา ได้เข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์พร้อมกับ นักศึกษา สมาชิกผู้ก่อตั้งวงได้แก่ สุรชัย จันทิมาธร ได้รับการยกย่องให้เป็น อาจารย์ใหญ่ แห่งวงการเพลงเพื่อชีวิต และเป็นศิลปินแห่งชาติ ประจำ ปี พ.ศ. 2553 สาขาวรรณศิลป์ และ พงษ์เทพ กระโดนชำ นาญ เจ้าของฉายา กวีศรีชาวไร่ ที่เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ตราบจนปัจจุบัน สำ หรับวงคาราบาว เริ่มเป็นที่รู้จักในปี พ.ศ.2526 จากเพลงชุดวณิพก และชุด ท.ทหารอดทน และโด่งดังจากชุดเมดอินไทยแลนด์ เป็นที่นิยมสืบมากระทั่ง ปัจจุบัน คาราบาวจัดทำ เพลงมาแล้วมากมายนับพันเพลงจนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ตำ นานเพลงเพื่อชีวิต25 นอกจากนั้นยังมีวงดนตรี ‘คีตาญชลี’ (พ.ศ.2522) ที่นำ เพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ซึ่งประพันธ์โดย จิตร ภูมิศักดิ์ ในช่วงปี พ.ศ.2503-2505 ขณะถูกขัง อยู่ที่คุกลาดยาว มาขับร้อง ต่อมาคาราวานนับไปขับร้องในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา จนกลายเป็นเพลงที่ใช้ปลุกพลัง ความหวังและศรัทธาของนักเคลื่อนไหวสังคมในยุคนั้น เช่นเดียวกับเพลง “รางวัลแด่คนช่างฝัน” ของจรัล มโนเพ็ชร (พ.ศ.2494-2544) ศิลปินชาวเชียงใหม่ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นราชาโฟล์คซองคำ เมือง ทั้งสองเพลง บ่งจินตทรรศนะของนักเคลื่อนไหวในยุคบุกเบิกได้เป็นอย่างดี กระแสประชาสังคมในช่วงนั้นจึงเป็นกระแสของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์ เพื่อชีวิต กอปรกับการเกิดขึ้นของหน่วยผลิตอาสาสมัคร อาทิ สำ นักบัณฑิตอาสาสมัคร ของป๋วย อึ้งภากรณ์ ที่ได้กล่าวไปข้างต้น นอกจากนี้หน่วยผลิตจิตอาสาสำ คัญเกิดขึ้น ในช่วงนี้ ได้แก่ โครงการอาสาสมัครเพื่อสังคม (คอส.) ของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เริ่มต้นดำ เนินโครงการเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2523 โดยมี จอน อึ้งภากรณ์ 24 (1) ทีปกร (จิตร ภูมิศักดิ์) (2552). ศิลปะเพื่อชีวิต. กรุงเทพฯ: สำ นักพิมพ์แม่คำ ผาง และ (2) ธนาพล อิ๋วสกุล และคณะ (2547). ชีวิตและงาน จิตร ภูมิศักดิ์. นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2547 25 คาราบาว (2563). ประวัติ. ค้นที่ http://www.carabao.net/Biography/ เมื่อเมษายน 2563


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 48 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี บุตรชายของ ป๋วย อึ้งภากรณ์ เป็นผู้อำ นวยการโครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกฝัง ‘จิตสำ นึกจิตอาสา’ ให้แก่เยาวชนคนหนุ่มสาวในลักษณะคล้ายคลึงกับสำ นักบัณฑิต อาสาสมัครของป๋วย กระทั่งในปี พ.ศ.2529 จึงจดทะเบียนเป็น มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) ในปัจจุบัน มูลนิธิ มอส. ผลิตอาสาสมัครเต็มเวลาทั้งหมดประมาณ 1,000 คน และอาสาสมัครนอกเวลาอีกหลายร้อยคน26 อาสาสมัครของโครงการ/มูลนิธิอาสาสมัคร เพื่อสังคม และ สำ นักบัณฑิตอาสาสมัคร ในช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ หลายต่อหลายคน ได้กลายมาเป็นผู้นำ จิตอาสาในเวลาต่อมา อาทิ ชัชวาลย์ ทองดีเลศ อาสาสมัครรุ่นแรก ของโครงการอาสาสมัครเพื่อสังคมที่ได้กลายมาเป็นผู้นำ รุ่นใหญ่ของประชาสังคมในจังหวัด เชียงใหม่ จึงอาจกล่าวได้ว่าระยะแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้เป็นช่วงแห่งการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ ต้นกล้าจิตอาสาในปัจจุบันหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นระยะเปลี่ยนผ่านมิใช่เฉพาะเศรษฐกิจและ สังคมเท่านั้น แต่เป็นระยะเปลี่ยนผ่านของภาคประชาสังคม จากเมืองสู่ชนบท ด้วยเช่นกัน • ปััจจุบัุ ัน (พ.ศ.2535 เป็็นต้้นมา): เครืือข่่ายประชาสัังคมฐานราก ปี พ.ศ.2535 นับเป็นจุดเริ่มต้นหลังการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของ ประเทศไทยจากเกษตรกรรมสู่อุตสาหกรรม สภาพเศรษฐกิจและสังคมตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2535 เป็นต้นมาจึงเป็นสังคมของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่มีการกระจายการพัฒนาไปสู่ ระดับท้องถิ่นฐานรากมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อมีปรับโครงการการบริหารราชการโดยการ กระจายอำ นาจสู่ท้องถิ่นมากขึ้น เริ่มตั้งแต่พระราชบัญญัติกำ หนดแผนและขั้นตอนการ กระจายอำ นาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 ผนวกการเข้ามาของเทคโนโลยี สารสนเทศ คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ตอย่างแพร่หลายในทุกระดับ ชนชั้นกลาง ตลอดจนชนชั้นรากหญ้าจึงเข้ามามีบทบาทในภาคประชาสังคมอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ชนชั้นกลางใหม่หรือแม้กระทั่งชนชั้นรากหญ้าที่แตกหน่อต่อยอดมาตั้งแต่ยุค เปลี่ยนผ่านโดยเข้ามาในฐานะ ‘ผู้นำ จิตอาสา’ ริเริ่มจัดตั้งผลักดันองค์กรประชาสังคม ตลอดจนดำ เนินโครงการ/กิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชย์ด้วยตนเองและมีการสร้าง เครือข่ายระหว่างกันและกันตลอดจนประสานความร่วมมือกับภาครัฐและภาคธุรกิจ จวบจนปัจจุบันที่อาจกล่าวได้ว่าภาคประชาสังคมของไทยเป็นเครือข่ายประชาสังคมฐานราก อย่างสมบูรณ์ กรณีศึกษาที่เด่นชัดที่สุดของวิวัฒนาการประชาสังคมในระยะปัจจุบัน ได้แก่ เครือข่ายภาคประชาสังคมในการบริหารจัดการเมืองเชียงใหม่ ภาคประชาสังคมในการบริหารจัดการเมืองเชียงใหม่ เป็นเครือข่ายที่ประกอบด้วย องค์กรพัฒนาเอกชน กลุ่มจิตอาสา และจิตอาสาปัจเจก มีทั้งที่เป็นจดทะเบียนเป็นสถาบัน 26 มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (2563). มอส.คือใคร: จาก คอส. ถึง มอส. การก่อเกิดและเดินทาง. ค้นที่ https://www.thaivolunteer.org/tvs-มอส/ ค้นเมื่อเมษายน 2563


Khon Thai 4.0 แผนงานยุทธศาสตร์เป้ าหมาย (Spearhead) ด้านสังคม คนไทย 4.0 49 ทบทวนแนวคิด จิตสาธารณะกับสังคมไทย คนไทย ใจดี มูลนิธิ กองทุน องค์การ สมาคม ชมรม และที่ไม่จดทะเบียนอย่างเป็นทางการ เช่น ชุมนุม กลุ่ม สื่อ และ การร่วมตัวบนพื้นที่อิเล็กทรอนิกส์ เช่น เฟซบุ๊ก (Facebook) และ ไลน์ (LINE) เป็นต้น โดยรวมตัวกันในลักษณะเครือข่ายหลวมๆ อย่างไม่เป็นทางการ เพื่อดำ เนินงานใดงานหนึ่งในการบริหารจัดการเมืองเชียงใหม่โดยความสมัครใจไม่เป็น ไปเพื่อการพาณิชย์ ภาคประชาสังคมที่มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเมืองเชียงใหม่ มีการรวมกลุ่มใหญ่เล็กแตกต่างกันไป โดยมีทั้งกลุ่มที่ดำ เนินการอย่างต่อเนื่องถาวร และ กลุ่มเฉพาะกิจที่รวมตัวขึ้นมาเพื่อดำ เนินการใดการหนึ่งเป็นการเฉพาะกิจ มีทั้งการรวมตัว เชิงประเด็นและในเชิงพื้นที่ ฯลฯ การก่อกำ เนิดภาคประชาสังคมในเชียงใหม่อาจย้อนกลับไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 ตั้งแต่ครั้งการเริ่มดำ เนินโครงการอาสาสมัครเพื่อสังคม (คอส.) ของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาสาสมัครเพื่อสังคมรุ่นแรกมี ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ เป็นหนึ่งในนั้น โดย ชัชวาลย์ ได้ไปปฏิบัติงานในภาคอิสานกระทั่งครบระยะเวลา ต่อมาในช่วงปี พ.ศ.2525 จึงได้เข้าปฏิบัติงานในโครงการชนบทสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นโครงการที่ดำ เนินงานโดย สำ นักงานเกษตรภาคเหนือด้วยการสนับสนุนจากมูลนิธิฟรีดริชนอยมาน (Friedrich Naumann Foundation) เยอรมนี ดำ เนินงานในเขตอำ เภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำ พูน เมื่อโครงการฯ เสร็จสิ้นในปี พ.ศ.2527 ได้มีกลุ่มนักวิชาการ อาทิ อานันท์ กาญจนพันธ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เข้ามาประเมินผลสำ เร็จของโครงการ จากผลการประเมิน กอปรกับการได้ศึกษาแนวคิดจากนักคิดนักปราชญ์หลายท่านทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับ ประเทศ ชัชวาลย์ ได้เกิดการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการทำ งานจากบนสู่ล่างไปสู่การ ทำ งานร่วมกับชาวบ้านจากล่างสู่บนโดยได้ก่อตั้ง ชุมนุมวัฒนธรรมภาคเหนือ เพื่อการ พัฒนาเพื่อดำ เนินการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของชาวบ้านในท้องถิ่น แม้ว่าชัชวาลย์จะไม่มีภาระผูกพันกับโครงการอาสาสมัครเพื่อสังคมแต่ยังคงมี การติดต่อเชื่อมสายสัมพันธ์กับโครงการฯ และอาสาสมัครท่านอื่นอย่างแน่นแฟ้น ในปี พ.ศ.2525 ชัชวาลร่วมกับนักพัฒนาท่านอื่น อาทิ ศรีสุข ดารานนท์ จากมูลนิธิศึกษาพัฒนา ชนบท วัดป่าดาราภิรมย์ และ ก่อตั้ง ชมรมนักพัฒนาภาคเหนือ ซึ่งได้พัฒนามาเป็น มูลนิธิ พัฒนาภาคเหนือ ในเวลาต่อมา นอกจากนี้ในปี พ.ศ.2527 ได้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการ ประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือ เพื่อเชื่อมโยงประสานงานกับทุกภูมิภาค ทั่วประเทศเป็นคณะกรรมการในระดับชาติเพื่อดำ เนินการประสานการทำ งานของสำ นักงาน สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดำ เนินงานจวบจนปัจจุบัน จึงอาจกล่าวได้ว่าการ รวมตัวอย่างเป็นรูปร่างของภาคประชาสังคมเชียงใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2525 เป็นต้นมาโดยเริ่มต้นจากกลุ่มนักพัฒนาสังคมและอาสาพัฒนาสังคมในภาคเหนือ การดำ เนินความร่วมมือที่อาจนับเป็นจุดเริ่มต้นของเครือข่ายภาคประชาสังคม เชียงใหม่เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2531 ในช่วงนั้นรัฐบาลมีนโยบายให้เอกชนสามารถขอเช่า พื้นที่ป่าไม้เพื่อดำ เนินกิจกรรมตามที่รัฐบาลกำ หนด ชนวนเหตุเกิดจากกลุ่มทุนภาคเหนือ กลุ่มหนึ่งได้เช่าซื้อที่ดินในเขตป่า ต.ห้วยแก้ว อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เป็นพื้นที่ประมาณ


Click to View FlipBook Version