การพัฒนาเครือ่ งมอื สาหรับการประเมนิ สมรรถนะประจากลมุ่ งาน
นายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912
The Instrumental development for the Functional Competency
Combat Medic Assessment, Military Occupational Specialty No. 911 and 912
คณะผู้วจิ ัย
พ.ท.หญิง จริ าภรณ์ ชมศรี พ.ท.หญิง วรรณรัตน์ ศรีกนก พ.ท.หญิง ธัชมน มนัสิการ
พ.ท.หญิง จติ รลดา บญุ เพ็ญ พ.ท.นุกูล ลม้ิ ไพโรจน์ พ.อ.หญิง นภัสนันท์ สุผล
พ.อ.คทาวุธ ดปี รีชา พ.อ.หญงิ กฤตกิ า จนั ทรห์ อม พ.ท.ประเสรฐิ บุญเนาว์
พ.ท.ธารงศักดิ์ สงิ ห์โตขา พ.ท.ทศพล กิจนัทธี พ.ท.บุญเลิศ เรือนแก้ว
พ.ท.ณัฐพงศ์ นะราศรี พ.ท.หญิง กรณุ า ศนั สนายทุ ธ พ.ต.หญิง ฐติ ารีย์ สขุ วฒั นา
พ.ต.หญงิ พรพรรณ ดอกอุบล พ.ต.หญงิ วินติ า ชาตะเมธีกุล ร.อ.สมพงษ์ รงุ่ แสง
ร.ท.ธรรมสรณ์ วงศ์เกดิ ศรี จ.ส.อ.สพุ จน์ บณุ ะสวุ รรณ์ จ.ส.อ.สมเกียรติ ปักษช์ ยั ภูมิ
สารบญั ข
บทท่ี 1 บทคัดยอ่ หน้า
บทที่ 2 สารบญั แผนผัง ก
สารบัญรปู ภาพ จ
บทที่ 3 บทนา ฉ
1. ความสาคัญและทม่ี าของปัญหา 1
2. วัตถุประสงค์ของการวิจยั 2
3.กรอบการดาเนินการวจิ ัย 2
4.ประโยชน์ท่ีได้จากการวจิ ยั 3
การทบทวนวรรณกรรม 3
2.1 กลา่ วท่ัวไปเรอ่ื งสมรรถนะ (Competency) 4
2.2 นยิ ามความหมายของสมรรถนะ 4
2.3 สมรรถนะในการทางาน (Competency) และขดี ความสามารถ 6
7
2.4 สมรรถนะประจากล่มุ งาน (Functional competency) 8
2.5 แนวคดิ การประเมนิ สมรรถนะ 9
11
2.6 การปฏิบตั งิ านของนายสิบพยาบาล 15
15
ระเบียบวิธีวิจัย 16
16
3.1 วธิ กี ารวจิ ยั 17
17
3.2 ระยะเวลาในการดาเนินการวิจัย 18
18
3.3 ลักษณะตัวอยา่ งหรอื ประชากรทที่ าการศึกษา
3.4 พื้นท่ที าการวิจยั
3.5 เครอ่ื งมือที่ใช้ในการวจิ ยั
3.6 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
3.7 การวิเคราะห์ข้อมูล
ค
สารบญั (ต่อ)
บทที่ 4 3.8 คาจากดั ความ (Operational definition) หน้า
บทที่ 5 3.9 จริยธรรมการวิจยั 19
ผลการศกึ ษาวจิ ัย 19
4.1 คณุ ลกั ษณะนายสบิ พยาบาลท่ีพงึ ประสงค์ 20
20
4.1.1 การครองสติ 20
4.1.2 ความมน่ั ใจในตนเอง 21
4.1.3 ความใฝรุ ู้ 21
4.2 องค์ความรทู้ จ่ี าเป็นสาหรับนายสิบพยาบาล 22
4.3 สภาพแวดลอ้ มในการปฏิบัตงิ านปัจจบุ นั 26
4.3.1 ระบบ 26
4.3.2 คน (นายสิบพยาบาล) 27
4.3.3 ทรพั ยากรทางการแพทย์ 27
4.4 แนวความคดิ สาหรบั การแกไ้ ขปัญหาท่ีเกดิ ขึ้นจากการปฏบิ ัติงาน 27
4.4.1การจัดการฝกึ อบรมก่อนออกปฏบิ ัติหนา้ ที่ในพนื้ ท่ีจรงิ 27
4.4.2 การฝึกปฏิบัตใิ หเ้ ปน็ แบบอย่างเดยี วกนั 28
4.5 การกาหนดสมรรถนะประจากล่มุ งานสาหรบั นายสิบพยาบาล 28
ชกท. 911และ 912
สรปุ ผลการวจิ ัย อภิปรายผล และ ขอ้ เสนอแนะ 42
5.1 สรุปและอภิปรายผลการวจิ ยั 42
43
5.1.1 คณุ ลักษณะของนายสบิ พยาบาลท่ีพงึ ประสงค์ 43
5.1.2 องคป์ ระกอบสมรรถนะนายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912
ง
สารบัญ (ต่อ)
5.1.3 การทดสอบเครอื่ งมือประเมินสมรรถนะประจากลุ่มงานนายสิบพยาบาล หน้า
ชกท.911และ 912 44
5.2 ข้อเสนอแนะ 45
เอกสารอา้ งอิง 46
ภาคผนวก 48
สารบัญแผนผัง จ
แผนผงั หน้า
1 การดาเนนิ การวิจยั 3
2 องค์ประกอบของสมรรถนะ 5
3 ยุทธศาสตรข์ องกรมแพทยท์ หารบก 14
สารบญั รูปภาพ ฉ
รูปภาพ หน้า
1 ทกั ษะของนายสบิ พยาบาล 24
2 ทกั ษะของนายสบิ พยาบาล 24
3 ปญั หาการปฏบิ ตั ิงานของนายสบิ พยาบาล 26
4 สถานีที่ 1 การคัดแยกและการเคลื่อนย้ายผู้ปุวยเจบ็ 30
5 สถานีท่ี 1 การคัดแยกและการเคลื่อนยา้ ยผู้ปุวยเจ็บ 30
6 สถานีที่ 2 การห้ามเลือดด้วยชดุ อุปกรณช์ ว่ ยชวี ติ ประจากายทหาร 31
7 สถานที ่ี 2 การหา้ มเลือดดว้ ยชุดอุปกรณ์ช่วยชวี ิตประจากายทหาร 31
8 สถานีที่ 3 การช่วยฟืนคืนชพี 32
9 สถานที ี่ 3 การช่วยฟืนคนื ชีพ 32
10 สถานที ่ี 4 การบรหิ ารยาในสนาม 33
11 สถานที ่ี 4 การบริหารยาในสนาม 33
12 สถานที ี่ 5 การให้สารน้าทางหลอดเลือดดา 34
13 สถานที ่ี 5 การให้สารน้าทางหลอดเลอื ดดา 34
บทคดั ยอ่
การพฒั นาเครอื่ งมือสาหรบั การประเมินสมรรถนะประจากลุ่มงานนายสบิ พยาบาล ชกท. 911 และ 912
(The Instrumental development for the Functional Competency Combat Medic
Assessment, Military Occupational Specialty No. 911 and 912)
พ.ท.หญิง จิราภรณ์ ชมศรี พ.ท.หญิง วรรณรตั น์ ศรกี นก พ.ท.หญงิ ธชั มน มนสั ิการ และ คณะ
การศึกษาวิจัยครง้ั นี้ใช้รปู แบบการวจิ ัยเชิงคุณภาพ และ การวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณ เพื่อศึกษาองค์ประกอบและ
พฒั นาเคร่ืองมือสาหรบั การประเมินสมรรถนะประจากลุม่ งาน นายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912 โดยทา
การเก็บขอ้ มลู จากกลมุ่ ตวั อยา่ งในห้วงแรกทเี่ ปน็ การวจิ ยั เชิงคุณภาพจานวน 36 ราย และ ในห้วงการทาวจิ ยั
เชงิ ปริมาณได้ทาการทดสอบเคร่ืองมือในการประเมนิ สมรรถนะประจากลมุ่ งานจานวน 30 ราย
จากผลการศึกษาวิจยั คร้งั นี้ได้ประเดน็ สาคญั ซ่ึงสะท้อนคุณลักษณะของนายสบิ พยาบาลท่ีพึงประสงค์
ไดแ้ ก่ การครองสติ ความมน่ั ใจ และ ความใฝร่ ู้ เมือ่ รวมเข้ากับ องคค์ วามรู้ และทักษะ จะได้นายสิบพยาบาล
ที่มีสมรรถนะ การศึกษาครงั้ นี้ยงั พบปัญหาที่สาคัญใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ปญั หาเชิงระบบในเร่ืองการบรรจุนาย
สบิ พยาบาล 2) ปญั หาของนายสิบพยาบาลที่ขาดทกั ษะและขวญั ตา่ และ 3) ปญั หาด้านทรัพยากรทาง
การแพทยท์ มี่ ีขอ้ จากัดทั้งดา้ นปริมาณที่มไี มเ่ พียงพอ และด้านคณุ ภาพที่อุปกรณ์ล้าสมยั และชารดุ ใช้งานไม่ได้
องค์ความร้แู ละทกั ษะท่ีนายสบิ พยาบาล ชกท. 911 และ 912 จะต้องทราบและต้องสามารถปฏิบัติได้
มี 5 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1) การคดั แยกและการส่งกลับผปู้ ว่ ยเจบ็ 2) การหา้ มเลือดดว้ ยชดุ อปุ กรณป์ ระจากายทหาร
3) การชว่ ยฟื้นคืนชีพ 4) การบริหารยาในสนาม และ 5) การใหส้ ารนา้ ทางหลอดเลือดดา เมอื่ ทาการพัฒนา
พฤติกรรมบง่ ชขี้ องสมรรถนะท้ัง 5 ด้าน และนาไปทดลองกบั นายสิบพยาบาล พบว่าส่วนใหญ่ยงั ไม่ผ่าน
สมรรถนะระดบั ที่ 1 ซงึ่ เป็นระดบั พน้ื ฐานทีต่ ้องมีความรู้ในเร่อื งนนั้ ๆเปน็ อย่างดี โดยทั้งนี้มสี าเหตุปัจจยั มาจาก
1) นายสิบพยาบาลขาดโอกาสในการเรียนรแู้ ละฝึกฝนความชานาญตามวิชาชพี 2) เครื่องมือท่ีพัฒนาขนึ้ มายงั
มีขอ้ บกพร่อง 3) ผ้ปู ระเมนิ หรือผทู้ ่ีใชเ้ ครื่องมือยงั ขาดความเขา้ ใจในเร่ืองการประเมินสมรรถนะ
ขอ้ เสนอแนะจากการศกึ ษาครั้งน้ี 1) ควรมกี ารส่งเสริมการฝึกจากส่วนกลาง 2) ควรผลิตสื่อการเรยี น
การสอนสาหรับสมรรถนะท่ีสาคญั เพื่อใหห้ นว่ ยมีมาตรฐานเดยี วกนั 3) ควรจดั ระบบการกากบั ดแู ลอย่างใกลช้ ิด
4) ควรจัดอบรมผู้ทาหน้าทีป่ ระเมินนายสบิ พยาบาลเพ่ือให้เข้าใจเคร่ืองมือประเมนิ สมรรถนะ 5) ควรมีการ
ศกึ ษาวจิ ยั เพอ่ื พฒั นาระบบสมรรถนะนายสบิ พยาบาล ชกท. 911 และ 912 ตอ่ ไป
1
บทท่ี 1
บทนา
1.1 ความสาคัญและที่มาของปญั หา
สงั คมปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายท้ังทางด๎านเศรษฐกิจ สังคม ซ่ึงมีเทคโนโลยีเป็นสิ่งท่ีชํวยทาให๎
เกิดการเปล่ียนแปลงอยํางรวดเร็ว การบริหารจัดการภายในหนํวยงานจาเป็นต๎องมีการปรับตัวให๎ก๎าวทันตํอ
การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้น หนํวยงานท้ังภาครัฐและเอกชนมีการปรับองค์กรและลักษณะการทางานเพื่อให๎
เหมาะกับบรบิ ทที่เปลี่ยนแปลง และมงํุ เนน๎ ผลสมั ฤทธ์ขิ องงาน ภายในการบริหารจัดการท่ีเปลี่ยนแปลงน้ันสํวน
หนึ่งมีการนาแนวคิดสมรรถนะมาใช๎เป็นเคร่ืองมือในการบริหารงาน (อัจฉรา สุขมาก, 2549) ท้ังนี้เพราะวํา
สมรรถนะเปน็ สํวนหนง่ึ ท่ีชวํ ยขบั เคลอื่ นองค์กรใหป๎ ระสบความสาเรจ็ ได๎
นโยบายของรัฐบาลต๎องการให๎สํวนราชการมีการพัฒนาระบบราชการของตนเอง เพ่ือกํอให๎เกิดประโยชน์
สุขของประชาชนและประเทศ และก๎าวให๎ทันตํอการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นตลอดเวลา จึงได๎กาหนดให๎จัดตั้ง
คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ขึ้น โดย ก.พ.ร. ได๎ออกพระราชกฤษฎีกา วําด๎วยหลักเกณฑ์และ
วธิ กี ารบรหิ ารกิจการบ๎านเมืองทด่ี ี พ.ศ. 2546 เพอื่ ใหม๎ ีผลเปน็ “บทบงั คบั ” ใหส๎ ํวนราชการมีหน๎าท่ีต๎องปฏิบัติ
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข๎าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ได๎วางหลักการปฏิบัติราชการวํา ต๎องเป็นไปเพื่อ
ผลสัมฤทธิ์ตํอภารกิจของรัฐ ความมีประสิทธิภาพและความคุ๎มคํา โดยมาตรา 76 กาหนดให๎ผู๎บังคับบัญชามี
หน๎าที่ประเมินผลการปฏิบัติราชการของผ๎ูใต๎บังคับบัญชา เพ่ือใช๎ประกอบการพิจารณาแตํงต้ังและเล่ือนชั้น
เงินเดือน รวมถึงการพัฒนาและเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ซ่ึงนาไปสูํการจัดทาแผน
ยุทธศาสตรพ์ ัฒนาระบบราชการไทยประจาปีงบประมาณ 2555– 2559
วสิ ยั ทัศนข์ องกองทพั บก 2560 ท่ีกาหนดใหก๎ องทพั บกเปน็ กลไกด๎านความมั่นคงของรัฐที่มีศักยภาพ และมี
การกาหนดพนั ธกิจในการเตรียมกาลงั และใช๎กาลัง (กองทพั บก, ) ท้ังนี้กองทัพบกมีความต๎องการกองกาลังท่ี
มีประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั หิ น๎าท่ีดังกลําว จึงไดม๎ ีการจดั ตงั้ คณะกรรมการพฒั นาระบบราชการของกองทัพบก
ข้ึนตามคาส่ัง ทบ. (เฉพาะ) ที่ 126/46 ลง 23 ก.ย.46 เร่ืองแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการของ
ทบ. สอดคลอ๎ งกับแผนยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาระบบราชการไทย ตามทก่ี ลําวข๎างต๎น กองทัพบกมีกลยุทธ์ในการ
เตรียมความพร๎อมและพัฒนาแผนการปฏิบัติรวมท้ังกาลังพล และ เคร่ืองมือใช๎ในการสนับสนุนรัฐบาลและ
ประชาชน เพื่อแก๎ไขปัญหาสาคญั ๆของชาติ
2
กรมแพทย์ทหารบก ซ่ึงเป็นหนํวยข้ึนตรงตํอกองทัพบกจึงรับสนองนโยบายดังกลําวในการจัดทาแผน
ยทุ ธศาสตร์ พบ. ประจาปงี บประมาณ 2555– 2559 ในสํวนของ กองกาลังพล กรมแพทย์ทหารบก ได๎รับการ
แบงํ มอบใหร๎ ับผิดชอบในแผนยุทธศาสตร์ที่ 1“การเป็นมืออาชีพในสายการแพทย์ทหาร”มิติด๎านประสิทธิภาพ
กาหนดให๎กาลังพลเหลําทหารแพทย์ต๎องมีสมรรถนะตามเกณฑ์ท่ีกาหนด โดยปีงบประมาณ 2556 กองกาลัง
พล กรมแพทย์ทหารบก เล็งเห็นความสาคัญของการดาเนินโครงการประเมินสมรรถนะกาลังพล เหลําทหาร
แพทย์ โดยจัดลาดับความสาคัญในการประเมินกลุํมนายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912 เป็นลาดับแรก ซึ่ง
เน๎นท่ีการประเมินสมรรถนะประจากลํุมงาน (Functional Competency) แตํทั้งน้ีพบวําการประเมิน
สมรรถนะประจากลํุมงานยงั ขาดเครือ่ งมือทเี่ หมาะสม ซง่ึ ปัจจบุ นั มีแบบประเมินภาคปฏิบัติสาหรับ ชกท. 911
และ 912 (กองวิทยาการ, 2549) แตํพบวําแบบประเมินมีความซับซ๎อนยํุงยากในการทาประเมิน ประกอบกับ
บริบทของการบริการแพทย์ในสนามได๎เปลี่ยนแปลงไปตามความก๎าวหน๎าทางด๎านเทคโนโลยีด๎านการสงคราม
ทาให๎ตอ๎ งมีการพัฒนาเครื่องมือสาหรับประเมนิ สมรรถนะประจากลุํมงานท่ีสามารถนาไปปฏบิ ัตไิ ด๎
ดังนัน้ การศึกษาวิจัยครงั้ นี้เป็นการค๎นหาองค์ความร๎ูเพื่อกาหนดขอบเขตของการประเมินสมรรถนะประจา
กลํุมงานท่ีเหมาะสม โดยเป็นการค๎นหาองค์ประกอบความรู๎เพ่ือการพัฒนาเครื่องมือในการประเมินสมรรถนะ
ประจากลมํุ งานของนายสิบพยาบาล ชกท.911 และ 912 แลว๎ นาไปพัฒนาตํอเป็นระบบการประเมินสมรรถนะ
ประจากลํุมงานในโอกาสถดั ไป
1.2วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั
1.2.1 เพือ่ ศึกษาองค์ประกอบของสมรรถนะประจากลํุมงานของนายสบิ พยาบาล ชกท.911 และ 912
1.2.2 เพ่อื พัฒนาเครื่องมือการประเมินสมรรถนะประจากลํุมงานของนายสิบพยาบาล ชกท.911 และ 912
3
1.3 กรอบการดาเนินงานการวจิ ัย
ขนั้ ตอนท่ี 1 การศึกษาองคป์ ระกอบ การประชมุ คณะกรรมการดาเนินงานวิจัยเพ่ือราํ งเคร่ืองมอื ประเมนิ สมรรถนะ
ระบบการประเมนิ สมรรถนะประจากลุ่ม ประจากลุํมงาน นายสิบพยาบาล ชกท.911 และ 912
งานนายสบิ พยาบาล ชกท. 911 และ 912
1) การศึกษาขอ๎ มูลพ้ืนฐาน เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ ก่ียวขอ๎ ง
2) สรปุ รายละเอียดคณุ ลักษณะของนายสบิ พยาบาล ทพี่ ึงประสงค์
3) ดาเนินการสนทนากลมุํ (Focus Group Discussion)
เพอ่ื ระบุกรอบมาตรฐานของสมรรถนะประจากลํมุ งาน
ขน้ั ตอนท่ี 2 การพัฒนาระบบการประเมนิ ราํ งเคร่ืองมือสมรรถนะประจากลมํุ งาน การตรวจสอบเครื่องมอื
สมรรถนะประจากลมุ่ งาน นายสบิ พยาบาล ชกท. 911 และ 912 โดยผ๎ูเชี่ยวชาญ
นายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912
การทดลองใชเ๎ ครื่องมอื (Try out)
ขัน้ ตอนท่ี 3 การทดลองใช้เครือ่ งมอื ในกลมํุ ตัวอยาํ งจานวน 30 นาย
ประเมนิ สมรรถนะประจากลุม่ งาน นาย
สิบพยาบาลชกท.911 และ 912 การปรับปรุงเครื่องมือฯ
แบบประเมนิ สมรรถนะประจากลมุ่ งาน
นายสบิ พยาบาล ชกท.911 และ 912
แผนผงั ท่ี 1 แสดงแผนผังการดาเนินการวจิ ัย
1.4 ประโยชนท์ ไ่ี ด้จากการวิจัย
1.4.1 ทาใหท๎ ราบถึงขอบเขตของสมรรถนะประจากลํุมงานของนายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912
1.4.2 ไดเ๎ คร่ืองมือเพ่ือนาไปใชใ๎ นการประเมินสมรรถนะนายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912 โดยนาผล
การประเมนิ ทีไ่ ด๎ ไปใช๎ในการวางแผนการพัฒนาระบบการประเมนิ สมรรถนะประจากลุํมงานนายสิบพยาบาล
ชกท.911, 912 ตํอไป
4
บทที่ 2
การทบทวนวรรณกรรม
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ผู๎วิจัยได๎ศึกษาและรวบรวมวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข๎อง เพื่อใช๎เป็นแนวทางใน
การศกึ ษาสมรรถนะประจากลมุํ งาน โดยแบํงเนื้อหาสาระออกเป็น 5 ประเดน็ ไดแ๎ กํ
2.1 กลาํ วทวั่ ไปเร่อื งสมรรถนะ (Competency)
2.2 นยิ ามความหมายของสมรรถนะ
2.3 สมรรถนะในการทางาน (Competency) และขีดความสามารถ
2.4 สมรรถนะประจากลุมํ งาน (Functional competency)
2.5 แนวคิดในการประเมินสมรรถนะ
2.6 การปฏิบัติงานของนายสบิ พยาบาล
2.1 กลา่ วทัว่ ไปเร่ืองสมรรถนะ (Competency)
สมรรถนะเป็นเคร่อื งมือสาคญั ในการบรหิ ารจดั การและเสริมสรา๎ งระบบการบรหิ ารทรัพยากรบคุ คลในดา๎ น
ตาํ งๆใหม๎ ีประสิทธภิ าพมากข้ึนซง่ึ การกาหนดสมรรถนะตอ๎ งสอดคล๎องเช่ือมโยงและสนับสนุนตํอ วิสยั ทัศน์
พนั ธกิจ คาํ นยิ มรํวม และแผนขององค์กร ตลอดจนการพิจารณาคุณลักษณะและความร๎ูความสามารถทีต่ รงกับ
การปฏิบัติงาน ดังน้นั การพัฒนาสมรรถนะให๎กบั บคุ ลากรในองค์กรจงึ เปน็ การเพิ่มประสทิ ธิภาพในการทางาน
ของบุคลากรให๎ไดใ๎ ช๎ความรู๎ความสามารถเตม็ ศกั ยภาพและไดผ๎ ลลัพธต์ รงตามเปูาหมายขององค์กร
ปัจจบุ นั มีการนาแนวคิดเรอ่ื งการประเมนิ สมรรถนะมาใช๎เปน็ เคร่ืองมือในการบรหิ ารงานกันอยําง
แพรํหลาย ดว๎ ยเหตุท่สี มรรถนะเป็นสิง่ ที่มคี วามสาคญั ตํอการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กร ซ่งึ นามาใช๎
เปน็ เคร่ืองมือในการแปลงวิสัยทัศน์ พนั ธกจิ เปาู ประสงค์ สกูํ ระบวนการบริหารทรพั ยากรบคุ คล และเป็น
เคร่อื งมอื ในการพัฒนาความสามารถของบุคลากรในองค์กรอยํางมีระบบตํอเน่อื ง ตลอดจนเป็นมาตรฐานการ
แสดงพฤติกรรมทีด่ ใี นการทางานของบุคลากร (www.competency.rmutp.ac.th) สวํ นราชการได๎กาหนด
เรอ่ื งการประเมนิ สมรรถนะเป็นหลักเกณฑ์ในการประเมนิ ผลการปฏบิ ัตริ าชการ พฤติกรรมทแี่ สดงออกเป็นผล
มาจากความรู๎ ทกั ษะความสามารถ ในการปฏบิ ตั ิราชการตามตาแหนํงท่รี ับผดิ ชอบ (ก.พ.ร. คมํู ือการ
ประเมนิ ผลการปฏิบตั ิราชการ 2553– 2554 ) สมรรถนะหรอื ขีดความสามารถ (Competency) สามารถแบงํ
ไดเ๎ ป็น 3 ประเภท ไดแ๎ กํ ขีดความสามารถหลัก (Core Competency) เป็นพฤตกิ รรมของทุกคนในองค์กรท่ี
สะทอ๎ นให๎เหน็ ถงึ ความรู๎ ทักษะ ทัศนคติ ความเช่ือ ขดี ความสามารถดา๎ นการบริหาร (Managerial
Competency) เป็นความรู๎ความสามารถด๎านการบริหารจดั การ ขีดความสามารถตามตาแหนงํ งาน
5
(Functional Competency) เปน็ ความรู๎ ความสามารถตามตาแหนํงงาน ซ่ึงสะทอ๎ นถงึ ความรู๎ทักษะ และ
การกระทา ที่เกดิ ขึ้นจริงตามหน๎าที่ (ประจักษ์ ทรัพย์อดุ ม และจิรประภา อัครบรวร, 2549)
ปีค.ศ. 1970 David C Mc Cleland ไดท๎ าการศกึ ษาวิจัยเก่ียวกบั ความแตกตํางของบุคลากรพบวําสงิ่ ท่ีทา
ให๎บุคลากรมีผลการปฏบิ ตั งิ านดีเรียกวาํ สมรรถนะ (Competency) ซง่ึ จุดกาเนดิ ของสมรรถนะเริม่ ขนึ้ ในปี
ค.ศ.1973 เมอ่ื McCleland ไดเ๎ ขยี นบทความวชิ าการเรือ่ ง “Testing for Competence rather than
Intelligence” สมรรถนะท่ีอธิบายเปรียบเทยี บบุคลกิ ลักษณะเสมือนกับภเู ขานา้ แข็งสวํ นหน่ึงท่ีลอยอยเํู หนือ
น้าซ่ึงสามารถสังเกตและวัดได๎งาํ ยไดแ๎ กํความรส๎ู าขาตาํ งๆ (Knowledge) และสํวนของทักษะได๎แกคํ วาม
เช่ยี วชาญความชานาญพเิ ศษดา๎ นตาํ งๆ (Skill) เปาู หมายหรือมํุงสคํู วามสาเร็จ (จิระประภา อัครบวร, 2549)
องคป์ ระกอบของสมรรถนะประกอบดว๎ ย 5 สํวนดงั นค้ี อื
1. ความรู๎ (Knowledge) คอื ความร๎ูเฉพาะด๎านของบคุ คล
2. ทกั ษะ (Skill) คอื สิง่ ทีบ่ คุ คลกระทาได๎ดีและฝกึ ปฏบิ ัตเิ ป็นประจาจนเกดิ ความชานาญ
3. ความคดิ เห็นเกยี่ วกับตนเอง (Self-concept) คือทศั นคตคิ ํานยิ มและความคดิ เหน็ เก่ียวกบั
ภาพลักษณ์ของตนหรอื ส่ิงท่บี ุคคลเช่อื วําตนเองเปน็
4. บคุ ลิกลกั ษณะประจาตวั ของบคุ คล (Trait) เปน็ ส่ิงท่ีอธิบายถงึ บุคคลผูน๎ ัน้ เชํนความที่นาํ เช่ือถือและ
ไว๎วางใจได๎หรือลกั ษณะเป็นผู๎นาเปน็ ตน๎
5. แรงจงู ใจหรอื แรงขับภายใน (Motive) ซงึ่ ทาให๎บุคคลแสดงพฤติกรรมที่มงุํ ไปสูํผลสาเรจ็ ของงาน
จากองค์ประกอบทงั้ 5 ดา๎ นสามารถนามาเขียนเปน็ แผนภาพได๎ดังน้ี คอื
คุณลกั ษณะ - ทกั ษะ
- ความร๎ู - บุคลกิ ประจาตวั บคุ คล
- ความคิดเห็นเก่ียวกบั ตนเอง
- แรงจงู ใจ
พฤติกรรมการปฏบิ ตั หิ นา๎ ที่
ผลสาเรจ็ ของงาน
องค์กรบรรลเุ ปาู หมาย
แผนผงั ที่ 2 แสดงแผนผังองค์ประกอบของสมรรถนะ
6
2.2 นยิ ามความหมายของสมรรถนะ
การนิยามความหมาย หรอื คาจากดั ความของสมรรถนะ (Competency) ปรากฏในลกั ษณะตํางๆ
นาเสนอพอสงั เขปไดด๎ ังนี้
สมรรถนะ หมายถึง คณุ ลักษณะเชงิ พฤตกิ รรมท่เี ป็นผลมาจากความร๎ู ทักษะความสามารถ และ
คณุ ลกั ษณะอ่ืนๆที่ทาให๎บุคคลสามารถสร๎างผลงานได๎ หรอื หมายถงึ พฤติกรรมการปฏบิ ัตริ าชการหรอื ส่งิ ทผี่ ๎ู
ปฏิบตั ิแสดงออกในระหวํางปฏิบัตริ าชการอันเป็นผลจากแรงจูงใจหรอื แรงผลักดนั ภายในจติ ใจ ท่จี ะสงํ ผลตํอ
ความสาเรจ็ ในการปฏบิ ตั ิหน๎าท่ตี ามตาแหนํงท่รี บั ผิดชอบอยํูใหส๎ าเรจ็ ลลุ ํวงไปด๎วยดี (ก.พ.ร. 2553– 2554)
ประชติ ศราธพันธุ์ (2555) อธบิ ายความหมายของสมรรถนะวํา เป็นคุณลักษณะท้งั ในด๎านความรู๎ ทกั ษะ
และ พฤติกรรมของบคุ คล ซ่งึ จาเปน็ ตอํ การปฏิบัติงานในตาแหนงํ หน๎าที่ความรับผิดชอบให๎ประสบความสาเร็จ
วิสุทธิ์ สวุ ิทยะศริ ิ (2553) ได๎อธิบายความหมายของคาวํา “สมรรถนะ” ที่สามารถทาความเข๎าใจได๎อยําง
งาํ ยวํา “สมรรถนะ หมายถึง ความรู๎ (Knowledge) ทกั ษะ (Skill) คุณลักษณะของบุคคล (Personal
characteristic or attributes) ทแี่ สดงใหเ๎ หน็ ถงึ พฤติกรรม และ ความคิดของบุคคลนั้น ทางานในความ
รับผิดชอบไดด๎ ีกวาํ ผู๎อนื่
อเนกลาภ สทุ ธนิ นั ท์ ( ) ไดใ๎ ห๎ความหมายของสมรรถนะสาหรบั ตาแหนํงงาน คือ ความรู๎ ความเข๎าใจ
ความสามารถ ความชานาญ พฤติกรรมท่เี หมาะสมในการทางาน ทาใหบ๎ รรลุผลลัพธข์ ององคก์ ร และสามารถ
วัดไดอ๎ ยาํ งชดั เจน นอกจากช้นี ยี้ ังไดช๎ ใ้ี ห๎เห็นประเดน็ สาคัญของการจดั ทาสมรรถนะในการทางาน เนื่องจาก
สมรรถนะเป็นแนวทางการคดั เลอื ก พัฒนา บคุ ลากร เปน็ แนวทางการสรา๎ งวฒั นธรรมในการทางาน
ประเมินผลอยาํ งเปน็ ธรรม ตลอดจนเปน็ การสรา๎ งขวัญ กาลงั ใจใหแ๎ กํผู๎ปฏิบตั งิ าน เป็นต๎น
สเปนเซอรแ์ ละสเปนเซอร์ (Spencer & Spencer, 1993 อ๎างถึงใน อรสา สุขดี, 2552) กลาํ วถงึ
สมรรถนะวาํ หมายถงึ คุณลกั ษณะพ้นื ฐานของแตลํ ะบคุ คลที่มคี วามสมั พันธ์ ซง่ึ เปน็ สาเหตขุ องการบรรลุตาม
เกณฑ์ หรือผลการปฏบิ ตั งิ านท่ยี อดเยย่ี ม
David C. McClelland 1970 (อ๎างถงึ ใน www.competency.rmutp.ac.th) ไดใ๎ ห๎คาจากัด
ความไวว๎ าํ “สมรรถนะ หมายถงึ คณุ ลักษณะ ที่ซํอนอยํูภายในตัวบคุ คล ซ่งึ คณุ ลักษณะเหลาํ นีจ้ ะเป็นตวั
ผลกั ดันให๎บุคคลสามารถสร๎างผลการปฏบิ ตั งิ านในงานที่ตนรบั ผดิ ชอบให๎สูงกวํากวําเกณฑ์ทีก่ าหนดไว๎
จากนิยามที่กลาํ วมาข๎างต๎น พบข๎อสรปุ ท่ีมรี วํ มกันของความหมายสมรรถนะดังน้ี คือ สมรรถนะเปน็ สิ่งท่ี
ประกอบดว๎ ยความร๎ู ทักษะ พฤติกรรมทแี่ สดงออก เปน็ การกระทาที่บํงบอกถึงความสาเร็จในการปฏิบัตงิ าน
และบรรลเุ ปูาหมายขององค์กร
7
2.3 สมรรถนะในการทางาน (Competency) และขีดความสามารถ
สมรรถนะในการทางาน หมายถึง ความรู๎ ทักษะ และคุณลักษณะ (Knowledge, Skills, Personal
Attribute) ของกาลงั พล หรือ บุคคลทจ่ี าเปน็ ต๎องมี เพอ่ื ทาให๎การปฏบิ ัติหน๎าท่ี ใหป๎ ระสบผลสาเรจ็
(www.competency.rmutp.ac.th)
ความรู้ (Knowledge) หมายถงึ ความรท๎ู จ่ี าเป็นในการปฏบิ ตั หิ น๎าที่ ความรไ๎ู ดจ๎ ากการศึกษา อบรม
สมั มนา รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนความรก๎ู ับผม๎ู คี วามร๎ูในดา๎ นนนั้ ๆ
ทกั ษะ (Skills) หมายถงึ ทักษะ ความสามารถเฉพาะท่ีจาเป็นในการปฏบิ ัตหิ นา๎ ท่ี ทักษะน้มี ักจะได๎มาจาก
การฝกึ ฝน หรอื กระทาซา้ ๆอยํางตอํ เนื่อง จนทาใหเ๎ กิดความชานาญ
คุณลกั ษณะสว่ นบุคคล (Personal Attribute) หมายถึง คณุ ลักษณะ ความคิด ทศั นคติ คํานิยม แรงจูงใจ
และความต๎องการสํวนตัวของบุคคล คุณลักษณะเปน็ ส่งิ ท่ีติดตัว
ระดับขีดความสามารถ (Proficiency Level): หมายถึง ระดับพฤติกรรมท่ีแสดงออกให๎เห็น ถึง
ความสามารถ ความชานาญในแตลํ ะสมรรถนะ ซึ่งขดี ความสามารถของกลํุมสมรรถนะหลกั (Core
Competency) กลมํุ สมรรถนะตามบทบาทหน๎าที่ (Functional Competency) และกลุมํ ความร๎ใู นงาน
(Job Competency) แบํงออกเป็น 5 ระดบั ตามระดับความชานาญ (www.competency.rmutp.ac.th)
ไดแ๎ กํ
ระดบั ท่ี 1 ขน้ั พ้นื ฐาน (Novice) หมายถึง ระดับทกั ษะพ้ืนฐานท่ีพนกั งานควรมีความร๎ู (Knowledge) ใน
เรือ่ งนน้ั ๆเป็นอยาํ งดี
ระดับท่ี 2 ขัน้ ปฏบิ ัติงาน (Adequate) หมายถงึ ระดับความสามารถที่พนักงาน จาเปน็ ต๎องมใี นการ
ปฏบิ ัติงานประจาวนั
ระดับที่ 3 ขั้นประยุกต์ (Develop) หมายถึง ระดบั ที่พนกั งานมีความสามารถในการ ประยุกตใ์ ชท๎ ักษะใน
การปฏิบตั งิ านทต่ี นเองรบั ผิดชอบไดด๎ ี
ระดบั ท่ี 4 ข้ันกา๎ วหน๎า (Advance) หมายถงึ ระดบั ท่ีพนกั งานสามารถใชท๎ ักษะด๎วย ความชานาญในงานท่ี
ตนเองรับผิดชอบ
ระดบั ท่ี 5 ขั้นเช่ยี วชาญ (Expert) หมายถึง ระดับทีพ่ นักงานมคี วามเช่ยี วชาญในการใช๎ ทกั ษะนนั้ ๆกับ
หนา๎ ท่คี วามรบั ผดิ ชอบของตน
8
2.4 สมรรถนะประจากลุ่มงาน (Functional competency)
การคัดเลือกสมรรถนะประจากลํุมงานท่ีจาเป็นสาหรับองค์กรมีหลักเกณฑ์ท่ีสาคัญ ซึ่งสมรรถนะนั้นมี
ความสาคัญท่ีสุด มีผลกระทบตํอองค์กรมากท่ีสุด และ มีผลตํอความสาเร็จของงานในกลุํมงานนั้น เม่ือได๎
สมรรถนะที่ตอ๎ งการแลว๎ ต๎องมีการกาหนดคาจากัดความของสมรรถนะ ซ่ึงการกาหนดคาจากัดความนี้เป็นการ
ตกลงรํวมกันเพ่ือให๎ความหมายของชื่อสมรรถนะตํางๆตามท่ีบุคลากรในแตํละองค์กร กลุํมงาน มีความเข๎าใจ
ตรงกนั เขา๎ ใจภาพรวมของพฤตกิ รรมในแตํละสมรรถนะได๎อยํางถูกต๎องตรงกนั (ณฐั วฒั น์ นิปกากร, 2556)
จากการศึกษาทบทวนการจัดทาสมรรถนะประจากลมํุ งาน (ณฐั วัฒน์ นิปกากร, 2556, อเนกลาภ สุทธิ
นนั ท์, ) พบวํามีขั้นตอนที่สรปุ ไดด๎ งั น้ี
1. สารวจข๎อมลู เกี่ยวกบั หนา๎ ที่และความรบั ผดิ ชอบของงานที่ทาซงึ่ ทาการเกบ็ ข๎อมูลโดยการสมั ภาษณ์
และจดบันทึก
2. วเิ คราะห์หาตัวช้วี ัดตามตาแหนํง
3. วิเคราะหส์ มรรถนะท่จี าเปน็ ในการปฏบิ ตั ิงานและสนับสนุนให๎เกดิ ผลงานตามทีห่ วงั
4. ประเมนิ ความเหมาะสม ตรวจสอบความถูกต๎อง
5. นาสมรรถนะไปใช๎ และตดิ ตามผล
รปู แบบของสมรรถนะมีหลายแบบ แตสํ วํ นใหญทํ ่ีนามาประยกุ ต์ใชใ๎ นการกาหนดสมรรถนะในงานดา๎ น
โรงพยาบาลได๎ดีและเหมาะกับลักษณะงานคือ รูปแบบของแมคเคลแลนด์ ซ่ึงแบํงรปู แบบสมรรถนะเป็น 3
รูปแบบ ไดแ๎ กํ สมรรถนะหลัก สมรรถนะวิชาชพี และ สมรรถนะเชงิ เทคนคิ กระบวนการสร๎างสมรรถนะ หรือ
การกาหนดหรือจดั ทาสมรรถนะมีหลายวธิ ี (เพญ็ จันทร์ แสนประสาน และคณะ, 2549) ซึ่งวธิ ีท่ีนิยมมี 2 วิธี
ได๎แกํ
1. การหาสมรรถนะภายในองคก์ ร ซ่ึงได๎มาจาก การกาหนดวิสัยทัศน์ พันธกจิ คณุ คํา และแผนยุทธศาสตร์
การกาหนดจากกลยุทธ์ขององค์กร กาหนดสมรรถนะหลัก กาหนดสมรรถนะของงาน หรือ การกาหนดจาก
งานหรอื ภารกจิ หลกั ขององคก์ ร
2. การหาสมรรถนะจากการใช๎หลักการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช๎ข๎อมูลเน้ือหาจากสํวนตํางๆ ได๎แกํ ข๎อมูล
และการ ทาวิจัย การเปรียบเทียบกับผู๎อื่น (Benchmarking) ซ่ึงเป็นลักษณะการทางานชนิดเดียวกันโดยวัด
จากผลลัพธ์ การพิจารณาผลการทางานท่ีดีท่ีสุด (Best Practice) โดยพิจารณาถึงการทางานขององค์กรวําสิ่ง
ใดทาให๎การทางานมีผลงานออกมาดที ่สี ุด รวมถงึ การเตรียมความพรอ๎ มสาหรบั อนาคต
ข้ันตอนการจัดทาสมรรถนะ (เพ็ญจันทร์ แสนประสานและคณะ, 2549) เร่ิมต๎นจากการกาหนด
เปูาหมายหลักขององค์กร หลังจากน้ันจัดทาสมรรถนะหลักขององค์กรโดยการเปรียบเทียบกับรูปแบบของ
9
บทบาทหน๎าท่ีวําองค์กร และจัดทาสมรรถนะของผู๎ปฏิบัติงานจากการวิเคราะห์งาน ในข้ันตอนสุดท๎าย นา
สมรรถนะหลักขององค์กร สมรรถนะที่ไดจ๎ ากการวิเคราะห์ภาระงานมากาหนดกลํุมสมรรถนะ โดยจัดทาระดับ
ความสามารถ กาหนดความหมายของพฤติกรรมและการประยุกตใ์ ชง๎ าน
2.5 แนวคิดการประเมินสมรรถนะ
2.5.1 การประเมินสมรรถนะ (Competency Assessment) หมายถงึ กระบวนการในการประเมนิ ความรู๎
ความสามารถ ทักษะ และ พฤติกรรมการทางานของบุคคล เปรยี บเทยี บกบั ระดับสมรรถนะที่องค์กรคาดหวัง
(www.competency.rmutp.ac.th) หรอื อีกความหมายหนง่ึ การประเมนิ สมรรถนะ หมายถงึ กระบวนการท่ี
ใช๎กจิ กรรมการประเมนิ เพ่ือยืนยนั ความสามารถของบุคคลในการปฏิบตั ิหนา๎ ทที่ ่ีกาหนดไว๎ อยํางถูกต๎องตาม
เปูาหมาย (อจั ฉรา สุขมาก, 2549) การประเมินสมรรถนะควรเปน็ ไปอยาํ งเปน็ ระบบ (Systematic) มี
วัตถุประสงคใ์ นการประเมินอยาํ งชัดเจน (Objective) เป็นกระบวนการท่ีสามารถวดั ประเมินได๎
(Measurable) และควรใช๎เครือ่ งมือมีความเท่ียง (Validity) และความเชื่อถือได๎ (Reliability)
2.5.2 วิธีการประเมนิ สมรรถนะ
การประเมินระบบสมรรถนะ ทาเพื่อใชว๎ ัดระดับความสามารถทมี่ ีอยํูจริงของคนเปรียบเทียบกับระดับ
ของสมรรถนะที่องค์การคาดหวังในแตํละตาแหนํงงาน ซ่ึงการประเมินของแตํละองค์กรอาจแตกตํางกันไป
ขึ้นอยํกู ับวตั ถปุ ระสงค์ในการนาสมรรถนะมาใช๎ และความพร๎อมของบุคลากร ทรัพยากร เวลา เป็นต๎น วิธีการ
ประเมินระบบสมรรถนะ สามารถแบํงไดห๎ ลายรูปแบบไดแ๎ กํ
1) การประเมินโดยผ๎ูบังคับบัญชา เป็นเทคนิคการประเมินสมรรถนะที่ให๎ผ๎ูบังคับบัญชาเป็นผ๎ูประเมิน
ผ๎ูใต๎บังคับบัญชาฝุายเดียว โดยท้ังนี้เช่ือวําผ๎ูบังคับบัญชาร๎ูจักผู๎ใต๎บังคับบัญชามากท่ีสุด และรับผิดชอบตํอการ
ทางานของผ๎ูใต๎บังคับบัญชา อยํางไรก็ตามมีข๎อจากัดคือ ผู๎บังคับบัญชาอาจไมํเห็นพฤติกรรมของ
ผูใ๎ ต๎บงั คับบญั ชาตลอดเวลา การประเมนิ จากผ๎บู งั คบั บญั ชาแตํเพียงฝุายเดียวอาจไมํสามารถให๎คาแนะนาที่เป็น
ประโยชน์ตอํ การทางาน และอาจมอี คติได๎
2) การประเมินตนเองและผู๎บงั คบั บญั ชา เป็นเทคนคิ การประเมินสมรรถนะท่ีได๎รับความนิยมมากที่สุด
เพราะเปดิ โอกาสใหท๎ ั้งผู๎ใต๎บังคับบญั ชาและ ผบู๎ งั คับบญั ชารวํ มกนั ประเมิน มกี ารพูดคุยปรกึ ษาหารือรํวมกัน วิธี
นี้ทาได๎งําย ประหยดั คาํ ใชจ๎ าํ ย แตํกม็ ขี อ๎ จากัด คอื บางครัง้ ผลการประเมินที่พนักงานประเมินกับผู๎บังคับบัญชา
อาจมผี ล ประเมินไมํตรงกนั ทาใหเ๎ กิดความขดั แยง๎ ได๎
3) การประเมินโดยใช๎แบบทดสอบ เป็นเทคนิคการประเมินสมรรถนะโดยใช๎แบบทดสอบวัดความร๎ู
หรือทักษะตามสมรรถนะที่กาหนด เชํนแบบปรนัยเลือกตอบ แบบอัตนัยโดยให๎ผ๎ูเข๎าทดสอบเขียนอธิบาย
คาตอบ แบบทดสอบประเภทน้ีใชว๎ ัดความสามารถของบคุ คลภายใตเ๎ ง่ือนไขของการทดสอบ
10
4) การประเมนิ พฤตกิ รรมจากเหตกุ ารณ์หรือสถานการณ์ท่ีสาคัญ เป็นเทคนิคการประเมินสมรรถนะท่ี
มุํงเน๎นให๎ผู๎ประเมินพฤติกรรมบันทึกพฤติกรรมหลักจากเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ผ๎ูถูกประเมินแสดง
พฤตกิ รรมและนามาเปรยี บเทยี บกับระดบั สมรรถนะ ท่ีคาดหวงั วําสงู หรอื ตา่ กวาํ
5) การเขียนเรียงความ เป็นวธิ ีการประเมินทีง่ ํายทสี่ ดุ โดยให๎ผ๎ูถูกประเมินเขียนบรรยายผลการทางาน
ในชวํ งเวลาทผ่ี าํ นมาวําไดใ๎ ช๎ความรู๎ ทกั ษะและพฤติกรรมใดบ๎าง หลังจากน้ันผ๎ูที่ประเมินจะวิเคราะห์พฤติกรรม
จากการเขยี นบรรยายวาํ ผู๎รับการประเมินมีสมรรถนะอยํูในระดับใด
6) ประเมินโดยการสัมภาษณ์ เป็นเทคนิคท่ีผู๎ประเมินทาการสัมภาษณ์ตามสมรรถนะที่กาหนด และ
ประเมินวํามสี มรรถนะอยรูํ ะดับใด การใชเ๎ ทคนคิ น้มี ขี อ๎ จากัดคอื ตอ๎ งใชเ๎ วลามาก
7) การประเมินโดยใช๎แบบสอบถาม เป็นเทคนิคการประเมินสมรรถนะที่ สร๎างแบบประเมินโดยใช๎
มาตราสํวนประมาณคํา ซ่ึงแบบประเมินพฤติกรรมน้ีสร๎างได๎หลายแบบ แบบ ที่นิยมกันแพรํหลายได๎แกํแบบ
ประเมินท่ใี ชค๎ วามถ่ีหรือปรมิ าณกาหนดระดบั (Likert Scale)
8) ประเมินแบบสามร๎อยหกสิบองศา การประเมินสมรรถนะแบบ 360 น้ี เป็นการประเมินโดยใช๎
เคร่ืองมือที่เป็นแบบสอบถามหรือแบบประเมินจากพฤติกรรมการปฏิบัติงาน โดยให๎ผ๎ูที่เกี่ยวข๎องกับผ๎ูถูก
ประเมินเป็นผู๎ประเมินสมรรถนะ เชํน ผ๎ูบังคับบัญชา เพ่ือนรํวมงาน ลูกน๎อง ลูกค๎า เป็นต๎น และเมื่อทุกคน
ประเมินเสร็จแล๎วก็หาข๎อสรุปวําผ๎ูถูกประเมินมีสมรรถนะอยํูในระดับใด ข๎อดีของการประเมินแบบนี้ก็คือการ
ประเมินโดยบุคคลหลายคนหลายระดับทาให๎มีหลายมุมมอง ลดอคติจากการประเมินโดยบุคคลคน เดียว
ข๎อจากัดคือมีภาระเอกสารจานวนมาก บางครั้งผ๎ูประเมินมีความเกรงใจทาให๎ประเมินสูงกวํา ความเป็นจริง
หรือเกิดพฤติกรรมฮัว้ ซ่งึ กนั และกันเปน็ ตน๎
9) การประเมินแบบศูนย์ทดสอบ เป็นเทคนิคการประเมินท่ีใช๎เทคนิคหลายๆ วิธีรํวมกันและใช๎บุคคล
หลายคนรํวมกันประเมนิ เชํน แบบสอบถาม การสังเกต พฤติกรรม การสัมภาษณ์ การทดสอบ การใช๎แบบวัด
ทางจติ วทิ ยา กรณีศกึ ษา เป็นตน๎ ข๎อดขี อง การประเมนิ แบบนี้คือผลการประเมนิ มีความเที่ยง และความเช่ือถือ
ได๎สูงเพราะใช๎เทคนิคหลายวิธี รํวมกัน ใช๎คนหลายคนชํวยกันประเมิน สํวนข๎อจากัดก็คือต๎องเสียคําใช๎จํายสูง
ใชเ๎ วลามาก
11
2.6 การปฏิบตั ิงานของนายสิบพยาบาล
ประเทศไทยมีนาแนวคิดสมรรถนะมาใช๎ในการศึกษาในโรงพยาบาลหลายแหํง ประชิต ศราธพันธุ์
(2555) กลําวถึงสมรรถนะประจากลุํมงานของพยาบาลท่ีเป็นการสะท๎อนให๎เห็นถึงการมีความร๎ู ทักษะเพื่อให๎
การปฏบิ ตั พิ ยาบาลเกิดผลดี บรรลุเปาู หมาย ซ่ึงยังแบงํ ยํอยได๎เป็นสองประเภท คือ สมรรถนะประจากลุํมงานท่ี
ใช๎รํวมกันหลายหนํวยงาน (common functional competency) และ สมรรถนะท่ีใช๎เฉพาะหนํวยงาน
(specific functional competency) การพัฒนาสมรรถนะเป็นการสร๎างโอกาส หรือ ความก๎าวหน๎าให๎กับ
พนักงานได๎
แนวคดิ ของสมรรถนะถูกนามาใชใ๎ นการพัฒนาการประเมินสมรรถนะมีการจัดทาพจนานุกรรมการประเมิน
และใช๎แบบประเมินกับบุคลากรงานการพยาบาล ตึกสูตินารีเวชกรรม ภายในวชิรพยาบาล ซึ่งการศึกษานี้ใช๎
การวิเคราะห์ปัญหาด๎วยการใช๎แบบสอบถามเพื่อสอบถามพรรณนางาน (Job description) จากบุคคลกร
ทางการพยาบาล และเปรียบเทียบกับแบบประเมินท่ีมีอยํูเดิมเพื่อหาชํองวําง และนามาพัฒนาเป็นเครื่องมือ
หรือแบบประเมินสมรรถนะ และนากลยุทธ์ที่เปิดโอกาสให๎บุคคลกรเข๎ามามีสํวนรํวมในการกาหนดสมรรถนะ
เมื่อไดส๎ มรรถนะท่ีต๎องการแล๎วนารูปแบบท่ีได๎ปรึกษากับหัวหน๎าพยาบาลเพื่อปรับปรุงแก๎ไขตํอไป รูปแบบการ
ประเมินเป็นการประเมินตนเอง (วสิ ุทธ์ิ สวุ ิทยะศริ ,ิ 2553)
ในกองทัพบก พบการศึกษาเร่ืองสมรรถนะ 2 เร่ือง เรื่องท่ี 1 การศึกษาของ อัจฉรา สุขมาก (2549)
ทาการศึกษาสมรรถนะของพยาบาล เรื่องการพัฒนาแบบประเมินสมรรถนะพยาบาล ซึ่งเป็นการพิจารณา
ปัจจัยที่มีผลตํอสมรรถนะด๎านการพยาบาล พบวํา อายุ และประสบการณ์ในการทางานสํงผลตํอระดับ
สมรรถนะด๎านการพยาบาล เรื่องที่ 2 การศึกษาของ อรสา สุขดี (2552) เร่ืองการประเมินสมรรถนะในการ
ปฏิบัติงานของบุคลากรงานจํายกลาง โรงพยาบาลสังกัดกองทัพบก พบความสัมพันธ์ระหวํางกับปัจจัยด๎าน
รายได๎ คํานิยม และ แรงจูงใจ กับสมรรถนะในการทางาน
บทความของ รุํงทิวา พมิ สักกะ (2549) เรือ่ ง กระบวนการการจดั ทาสมรรถนะทางการพยาบาล (Nursing
Competency) ของพยาบาล กองการพยาบาลโรงพยาบาลพระมงกฎุ เกลา๎ กลาํ วไว๎วํามีการกาหนด Job
description และ Job specification ของบุคลากรพยาบาลไวเ๎ ป็นลายลักษณ์อักษร อยํางไรกต็ ามพบวาํ การ
กาหนดเพียงภาระงานจะทาให๎การพฒั นาบุคลากรทาได๎ไมํชดั เจนและไมํบรรลวุ ัตถุประสงค์ ประกอบกบั ภายใต๎
กระแสโลกาภิวัฒนค์ วามก๎าวหน๎าทางวทิ ยาการและเทคโนโลยีทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ ได๎มกี าร
เปลย่ี นแปลงและพัฒนาอยาํ งรวดเรว็ ประชาชนมีความรู๎ความเขา๎ ใจในเร่อื งของการรักษาสขุ ภาพการดูแล
รักษาพยาบาลและสิทธิผ๎ปู วุ ยมากขน้ึ ทาให๎วชิ าชพี พยาบาลต๎องมีการพัฒนาและเพิ่มสมรรถนะเพ่อื ใหท๎ ันตํอ
12
การเปล่ียนแปลงโดยเพิ่มทงั้ ทางด๎านการบรหิ ารและการปฏิบัตกิ ารพยาบาลเพ่ือใหก๎ ารพยาบาลมีคณุ ภาพได๎
มาตรฐานและตอบสนองความต๎องการของผใ๎ู ช๎บรกิ ารและสังคมได๎อยาํ งมีประสิทธิภาพ
ภารกิจเหลาํ ทหารแพทย์ คอื การอนุรักษ์กาลงั รบและครอบครัว จงึ ไดก๎ าหนดกลยทุ ธ์ด๎านกาลังพล โดย
กาหนดให๎มีการพฒั นาความเปน็ มอื อาชีพของกาลงั พลสายแพทย์ โดยเน๎นการความสาคัญของการปฏบิ ัติ
ภารกจิ หนา๎ ท่ขี องกาลังพลนายสบิ พยาบาล ชกท.911 และ 912 ซึ่งเปน็ กาลังพลเหลําทหารแพทย์ทป่ี ฏิบัติ
หน๎าทีใ่ ห๎การปัจจบุ ันพยาบาลให๎แกผํ ๎ูปุวยเจ็บในสนามรบในแนวหน๎า ให๎บริการทางการแพทยร์ ะดับหนํวยที่
เนน๎ การชวํ ยเหลอื ชีวิตแบบเรํงดํวน เชนํ การหา๎ มเลือด การเจาะปอด การเปดิ ทางเดนิ หายใจ การตกแตํง
บาดแผล การสงํ กลบั ทางการแพทย์ เป็นต๎น (กรมแพทย์ทหารบก, 2513, กองการศึกษา โรงเรยี นเสนารักษ์,
2552) ภาระหนา๎ ท่สี าคญั ในการชวํ ยชวี ิตทหารท่ีไดร๎ บั บาดเจบ็ จากการรบตัง้ แตํขอบหนา๎ พน้ื ท่ีการรบไปจนถงึ
โรงพยาบาลในเขตหลัง เมื่อทหารท่ีไดร๎ ับบาดเจ็บ การปฐมพยาบาลที่ถูกต๎องและการสํงกลบั อยํางรวดเร็ว จะ
ชํวยลดการเกดิ ทพุ พลภาพและการสูญเสียลงอยาํ งได๎มาก ( กองยุทธการและการขําว กรมแพทยท์ หารบก :
พ.ศ. 2548 ) โดยทั้งน้ภี ารกิจการชวํ ยเหลอื ชีวติ ดังกลําวตอ๎ งการการดแู ลรกั ษาทางการแพทย์ที่มปี ระสิทธิภาพ
ตั้งแตขํ อบหนา๎ ที่พืน้ ท่ีการรบ ซึ่งตอ๎ งอาศยั กาลังพลเหลําทหารแพทย์ท่มี ีศักยภาพในการให๎บรกิ าร
จากการศึกษาทบทวนเอกสารเรอ่ื งสมรรถนะของนายสิบพยาบาลของกองทัพสหรัฐอเมรกิ าพบวาํ ทักษะที่
จาเปน็ ตอ๎ งมีการทบทวน ฝกึ ฝนและทดสอบสรุปได๎ดังนคี้ ือ (Bond, et.al, 2005, Headquarters,
Department of the Army, 2007)
1. การจัดการผ๎ูบาดเจ็บ (trauma management skills) ประกอบด๎วยทักษะในด๎านตาํ งๆดงั ตอํ ไปน้ี
1.1 การประเมินอาการผู๎บาดเจบ็
1.2 การหา๎ มเลอื ด ประกอบด๎วยการใช๎สายรัดหา๎ มเลือด การใช๎ผา๎ แตงํ แผล
1.3 การดูแลบาดแผลทรวงอก ประกอบดว๎ ย การรักษาบาดแผลทท่ี รวงอก การเจาะปอด
1.4 การเข๎าเฝือก ประกอบดว๎ ย การใช๎ traction การใช๎ reel splint และดแู ลอาการปวด บวม
1.5 การใหส๎ ารนา้ ทางหลอดเลอื ดดา
2. การดแู ลรกั ษาทางการแพทย์ (medical management skills)
2.1 การประเมนิ อาการผ๎บู าดเจบ็
2.2 การเปดิ ทางเดนิ หายใจ ด๎วย J tube, NPA, Combine tube และ Cricothyroidotomy
2.3 การใช๎เคร่อื ง Defibrillator
2.4 การดแู ลทางสูตินารเี วช
3. การคดั แยกผูป๎ วุ ยเจ็บ และ การสํงกลับทางการแพทย์
13
การทบทวนคูํมือปฏิบตั ิการพยาบาล นายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912 (กองวทิ ยาการ, กรมแพทย์
ทหารบก, 2549) พบวาํ มีการทดสอบทักษะภาคปฏบิ ตั ิ 10 ทกั ษะท่สี าคัญๆ ได๎แกํ เทคนคิ การปราศจากเชือ้
การวัดสัญญาณชีพ การใหย๎ าทางปาก การฉดี ยาเข๎ากล๎ามเนอ้ื การเจาะเลือด การใหส๎ ารนา้ ทางหลอดเลือดดา
การทาความสะอาดบาดแผล การเย็บแผล การหา๎ มเลือด และ การชวํ ยฟ้ืนคนื ชีพ
จากการศึกษาทบทวนสมรรถนะของนายสบิ พยาบาลของสหรฐั อเมรกิ า พบวาํ ทักษะท่สี าคัญเบอ้ื งต๎น
สาหรบั นายสบิ พยาบาลในการดูแลผู๎บาดเจบ็ จากการรบจะรวมถึง การชวํ ยฟ้นื คนื ชีพ การประเมินผปู๎ ุวย การ
ห๎ามเลอื ด การดแู ลบาดแผลกระดูกหกั และ การปูองกนั อาการช็อก สาหรบั ทักษะทีส่ าคญั ๆจะมกี ารซ๎อนทบั
กนั กับสมรรถนะของ Emergency medical technician (EMT) แตํสวํ นใหญแํ ลว๎ นายสบิ พยาบาลจะมขี ดี
ความสามารถมากกวํา EMT-B ซง่ึ อาจจะเทียบเทําในระดับ EMT-I หรอื EMT-P ทักษะหลกั ทีส่ าคัญจะตอ๎ ง
สามารถทาการดูแลทางเดนิ หายใจข้ันสงู การจดั การกับอาการบาดเจบ็ การให๎มอร์ฟีน การดแู ลผปู๎ วุ ยท่ี
ปนเปื้อนสารพิษจากอาวุธ เคมี ชวี ะ รังสี นิวเคลียร์ ได๎ (Headquarters department of the army, 2007)
จากการศึกษาหาความเหมือนความตํางพบวําทักษะทต่ี ํางกันที่นายสิบพยาบาลของกองทัพสหรฐั อเมริกา
ทาได๎ สวํ นนายสบิ พยาบาลของกองทัพไทยไมไํ ด๎ทา ไดแ๎ กํ การเจาะปอด การเจาะคอ ท้ังนี้เป็นเพราะวํานายสิบ
พยาบาลไมไํ ด๎ปฏิบัติในบางทักษะเน่อื งจากข๎อจากัดของแถลงหลกั สตู รการเรียนการสอนในโรงเรียนเสนารักษ์
กรมแพทย์ทหารบก ไมํได๎มกี ารกาหนดไว๎ในเน้ือหาของแถลงหลักสูตร นอกจากนโี้ อกาสท่นี ายสบิ พยาบาลจะ
ไดก๎ ระทาหตั ถการเหลาํ นีย้ ังมีน๎อยมาก นนั้ จงึ เป็นอีกหนึ่งสาเหตทุ ท่ี าใหข๎ ีดความสามารถของนายสิบพยาบาล
จากประเทศไทยตาํ งจากสหรัฐอเมรกิ า
กองกาลังพลกรมแพทย์ทหารบก ไดร๎ ับการแบํงมอบให๎รบั ผดิ ชอบในแผนยทุ ธศาสตร์ท่ี 1 “การเปน็ มือ
อาชพี ในสายการแพทย์ทหาร” มติ ิดา๎ นประสิทธภิ าพกาหนดให๎กาลงั พลเหลํา พ. ตามรูปท่ี 1 ซ่ึงท้งั น้ีกาลังพล
จาเป็นต๎องมสี มรรถนะตามเกณฑท์ ่ีกาหนดโดยปีงบประมาณ 2556 กกพ.พบ. เลง็ เหน็ ความสาคัญของการ
ดาเนนิ โครงการประเมนิ สมรรถนะกาลงั พล เหลาํ ทหารแพทย์ โดยจัดลาดับความสาคัญในการประเมินกลุํม
นายสบิ พยาบาลใน ชกท. 911 และ 912 เปน็ ลาดบั แรก ซึ่งขณะน้ียงั ขาดรูปแบบการประเมินสมรรถนะประจา
กลํมุ งาน (Functional Competency) และเครื่องมือที่เหมาะสมสาหรับการช้ีวดั ระดบั สมรรถนะของกาลังพล
ในการปฏิบัตหิ น๎าประจากลํมุ งาน ซ่งึ การคดั เลือกสมรรถนะน้นั ได๎มาจากการพิจารณาวสิ ยั ทศั นข์ องกรมแพทย์
ทหารบกท่ีมงํุ เปน็ องค์ชั้นนาและเป็นท่ีเชอ่ื มั่นของกองทัพบกและประชาชน จากพนั ธกจิ ของกรมแพทย์
ทหารบกทัง้ 4 ประการ ไดแ๎ กํ การเวชกรรมปอู งกนั การรกั ษาพยาบาลและการสํงกลับ การสํงกาลังสายแพทย์
และบริการอืน่ ๆ ดงั นน้ั การศึกษาวจิ ัยคร้ังนเี้ ป็นการค๎นหาองคค์ วามรเู๎ พ่อื พัฒนาเครอ่ื งมอื ในการประเมนิ และ
นาไปพฒั นาระบบการประเมินสมรรถนะประจากลํุมงานนายสบิ พยาบาล ชกท. 911,912 ในขั้นตอนตํอไป
14
แผนผังท่ี 3 แสดงยทุ ธศาสตร์ของกรมแพทย์ทหารบก
15
บทท่ี 3
ระเบียบวธิ ีวจิ ยั
3.1 วธิ กี ารวจิ ัย
การวิจัยครงั้ นี้ใช๎ระเบียบวธิ วี ิจยั ทงั้ รูปแบบการวิจัยเชงิ คุณภาพ และ การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ เพื่อศกึ ษาแนว
ทางการสร๎างเคร่อื งมอื สาหรับการประเมนิ สมรรถนะประจากลํมุ งาน นายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912
สาหรบั ในสวํ นของการดาเนนิ การศึกษารูปแบบการพัฒนาระบบประเมินสมรรถนะประจากลํุมงาน นายสบิ
พยาบาลในคร้ังนี้ มรี ายละเอียดขนั้ ตอน ในการดาเนินการ 3 ข้ันตอนการดาเนินงาน ดังน้ี
3.1.1 ขนั้ ตอนที่ 1 การศึกษาองค์ประกอบของสมรรถนะประจากลมุํ งาน นายสิบพยาบาล
การดาเนินงานในขั้นตอนนี้มีวัตถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาองค์ประกอบของสมรรถนะประจากลุมํ งาน นาย
สิบพยาบาลโดยรายละเอยี ดข้ันตอนการดาเนนิ งานสามารถอธิบายไดด๎ ังน้ี
(1) การศกึ ษาข๎อมลู พื้นฐานเป็นการศึกษารวบรวมข๎อมูลพน้ื ฐานที่เก่ียวข๎องกับสมรรถนะ เพื่อนา
ข๎อมลู ท่ีได๎มากาหนดเปน็ สมรรถนะ และนาไปเปน็ ข๎อมูลพืน้ ฐานเพ่ือการพัฒนาตํอไป ท้งั น้มี ีรายละเอยี ดการ
ดาเนินงานยํอยดังนี้
ก. ศึกษาเอกสาร งานวจิ ัยท่ีเกี่ยวขอ๎ งกับสมรรถนะพ้ืนฐานทพี่ ึงประสงคใ์ นการรองรับการเปลีย่ นแปลง
องค์ประกอบของสมรรถนะประจากลํมุ งาน นายสบิ พยาบาลพร๎อมสรุปรายละเอียดคุณลกั ษณะของสมรรถนะ
ประจากลํมุ งาน นายสิบพยาบาลท่ีพงึ ประสงค์
ข. ดาเนินการสนทนากลุํม (Focus Group Discussion) และการสมั ภาษณ์เชงิ ลกึ (In-depth
interview) เจ๎าหนา๎ ที่ในแตํละสายงานเพื่อระบพุ ฤติกรรมบํงชสี้ มรรถนะประจากลุมํ งานนายสิบพยาบาล
(2) การตรวจสอบและยนื ยนั รายละเอียดพฤติกรรมบํงชี้ท่ีสะท๎อนถึงสมรรถนะท่ีพงึ ประสงค์
ขนั้ ตอนนีเ้ ป็นขนั้ ตอนการดาเนนิ การทใ่ี ห๎ความสาคญั กบั การสอบทานรายละเอยี ดพฤติกรรมบงํ ชี้
สมรรถนะประจากลุมํ งานนายสบิ พยาบาล ที่พึงประสงค์ ทมี่ ีการศึกษาและพฒั นาขึน้ มา โดยใชผ๎ เ๎ู ชีย่ วชาญ
ในด๎านการพัฒนาตวั บงํ ชี้ ผ๎ูเชี่ยวชาญดา๎ นเนอื้ หาของขอบเขตสมรรถนะประจากลํมุ งาน นายสบิ พยาบาล
จานวนรวม 6 ทําน
3.1.2 ขนั้ ตอนท่ี 2 การพฒั นาเคร่ืองมอื สาหรับการประเมินสมรรถนะประจากลมํุ งาน นายสิบพยาบาล
ชกท. 911 และ 912
สาหรับการดาเนินงานในข้นั ตอนที่ 2 มีวัตถปุ ระสงคเ์ พือ่ การพัฒนาเครื่องมือสาหรบั ประเมินสมรรถนะ
ประจากลุํมงาน นายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912 โดยรายละเอยี ดการดาเนนิ งานมีดงั นี้
16
(1) คน๎ หาสมรรถนะประจากลุํมงาน นายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912 ทีพ่ งึ ประสงค์
(2) ดาเนนิ การสนทนากลุํม ระหวาํ งคณะผวู๎ จิ ยั กบั ผเ๎ู ช่ียวชาญ เพอื่ วางแผนกาหนดรปู แบบเครือ่ งมือ
การประเมินสมรรถนะประจากลมํุ งาน นายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912 การดาเนนิ งานในสํวนนี้มี
เปาู หมายหลกั เพ่ือพัฒนา และ ตรวจทานเคร่ืองมือการประเมนิ สมรรถนะประจากลมุํ งาน นายสิบพยาบาล
ชกท. 911 และ 912
3.1.3 ข้นั ตอนท่ี 3 การทดลองใช๎เคร่ืองมือการประเมินสมรรถนะประจากลํุมงาน นายสบิ พยาบาล
ชกท. 911 และ 912 การดาเนินงานในขั้นตอนน้ีมีวัตถปุ ระสงคเ์ พอื่ ศกึ ษาประสทิ ธิผลการใช๎เครือ่ งมือการ
ประเมินสมรรถนะประจากลุํมงาน นายสบิ พยาบาล ชกท. 911 และ 912 และทาการปรบั ปรุงให๎ได๎
เครอ่ื งมอื ทสี่ ามารถนาไปใช๎พัฒนาระบบการประเมนิ นายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912 อยํางเปน็ ระบบ
ตํอไป
3.2 ระยะเวลาในการดาเนนิ การวิจยั
ระยะเวลาดาเนนิ การทัง้ หมด 14 เดอื น พ.ย. 56- ม.ี ค. 58
3.3 ลกั ษณะตวั อยา่ งหรือประชากรทท่ี าการศึกษา
3.3.1 ขัน้ ตอนที่ 1 และ 2 :
(1) กลุํมตัวอยาํ ง (Sampling)
สาหรับการศกึ ษาในระยะแรกใชว๎ ิธีการเลอื กแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) ทาการคัดเลือก
นายสบิ พยาบาลท่บี รรจุลงในตาแหนํง ชกท. 911 และ 912 ในแตลํ ะพนื้ ทข่ี องกองทพั ภาคจานวนทั้งหมดจาก
กองทพั ภาคที่ 2 ซง่ึ เป็นพ้นื ท่ที มี่ ีการวางกองกาลงั และ มีการปฏบิ ตั งิ านของนายสิบพยาบาลในสถานการณ์
การสร๎ู บตามแนวชายแดนดา๎ นตะวันออก จานวน 22 ราย และนายสิบพยาบาลจาก กองทัพภาคท่ี 4 ทเี่ ผชิญ
กับสถานการณ์การกอํ ความไมํสงบใน จชต. จานวน 14 ราย โดยทาการสนทนากลุํม โดยสนทนาเกีย่ วกับการ
ปฏิบตั ิหนา๎ ที่ให๎การพยาบาล และการปฏิบตั ิด๎านอนื่ ๆที่สาคัญสาหรบั การบรกิ ารแพทยใ์ นสนาม ซึง่ จานวน
ดังกลําวเพียงพอท่จี ะทาให๎ได๎ขอ๎ มูลที่ซา้ กัน ซึ่งถือเปน็ การอ่ิมตัวของขอ๎ มูล (Creswell, 1998)
17
(2) ผ๎ใู หข๎ อ๎ มลู สาคัญ (Key Informants)
การสัมภาษณผ์ ู๎ให๎ขอ๎ มูลสาคัญ มีเปาู หมายหลักเพ่อื ตรวจทานรูปแบบการพัฒนาระบบการประเมนิ
สมรรถนะประจากลํมุ งาน นายสบิ พยาบาลโดยการสงํ แบบประเมินรูปแบบการพฒั นาระบบการประเมิน
สมรรถนะประจากลํมุ งาน นายสบิ พยาบาล โดยแบงํ เป็น 3 กลมํุ โดยทาการสมั ภาษณเ์ ชิงลกึ
ก) กลํมุ ผบ๎ู ริหารของกรมแพทยท์ หารบกซง่ึ เป็นผูว๎ างนโยบาย จานวน 4 ราย
ข) กลมุํ ผบ๎ู ังคบั บัญชา นายทหารซ่ึงเปน็ ผบู๎ ังคับบัญชาโดยตรงของนายสบิ พยาบาล จานวน 6 ราย
ค) กลมุํ อาจารยแ์ ละครูฝกึ โรงเรยี นเสนารกั ษ์ ทท่ี าหน๎าทีส่ อนให๎กบั นายสบิ พยาบาล ซ่งึ เป็นผู๎ผลิต นาย
สิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912 จานวน 7 ราย
การสัมภาษณผ์ ูใ๎ ห๎ข๎อมูลจากหลายแหลํงเปน็ การตรวจสอบข๎อมูล เปน็ เทคนิคการทาให๎ขอ๎ มลู มีความ
นาํ เชื่อถือมากยิ่งขน้ึ ซึง่ เทคนิคนเ้ี รียกวาํ เทคนิคสามเสา๎ (Triangulation method) (Creswell, 1998, ชาย
โพธสิ ิตา, 2552)
3.3.2 ขัน้ ตอนท่ี 3 :
กลมํุ ตัวอยาํ ง นายสบิ พยาบาลจานวน 30 นาย
ใช๎เครอื่ งมือการประเมนิ สมรรถนะประจากลุมํ งาน นายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912 ไปทดลองใช๎ใน
กลมํุ ตวั อยําง โดยใชก๎ ารคัดเลือกจากนายสบิ พยาบาล ชกท. 911 และ 912 ท่ีอยูใํ นสงั กดั ของหนํวยในพนื้ ทีข่ อง
กองทพั ภาคที่ 1 และกองทัพภาคท่ี 2 ดาเนนิ การทดลองใชเ๎ ครอื่ งมือและปรบั ปรงุ เครื่องมือ ทาการประเมิน
และปรบั ปรุงเครื่องมือเพ่อื นาไปใช๎เปน็ ตน๎ แบบการประเมินสมรรถนะประจากลํมุ งานนายสบิ พยาบาล ชกท.
911 และ 912 ตํอไป
3.4 พ้นื ทที่ าการวจิ ัย
ใช๎พืน้ ทขี่ องกองทัพภาคท่ี 2, และ 4 ในชวํ งดาเนนิ การข้ันตอนที่ 1 และ 2
ใชพ๎ ื้นทข่ี องกองทัพภาคท่ี 1 และกองทัพภาคที่ 2 ในชํวงดาเนนิ การขัน้ ตอนท่ี 3
3.5 เครือ่ งมือท่ีใช้ในการวจิ ยั
เคร่อื งมือท่ีใชใ๎ นการวจิ ัยคร้งั นี้ ประกอบด๎วย
3.5.1 แบบสมั ภาษณ์เชงิ ลึก (In-depth interview) เปน็ รายบคุ คล เพ่ือใหแ๎ สดงความคดิ เหน็ ตํอ
สมรรถนะนายสบิ พยาบาล ชกท. 911 และ 912 ทพี่ งึ ประสงค์
3.5.2 การสนทนากลมุํ (Focus group interview) มีวตั ถุประสงคเ์ พอื่ ระดมความคดิ เห็นในการ
18
พัฒนาเครื่องมือประเมนิ สมรรถนะประจากลุํมงาน นายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912
3.5.3 ราํ งแบบประเมินสมรรถนะประจากลุมํ งาน นายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912 ทแ่ี บํงเปน็ 5
ระดับ ตามการแบงํ ระดบั ของสมรรถนะ
3.6 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
การเก็บรวบรวมข๎อมลู ในแตํละกิจกรรมในการวจิ ัยครงั้ นี้ คณะทางานจะเปน็ ผด๎ู าเนนิ การเก็บรวบรวม
ขอ๎ มูลตามขัน้ ตอนการศกึ ษาค๎นคว๎าในแตลํ ะกิจกรรมดงั น้ี
3.6.1 แบบสัมภาษณ์เชงิ ลึก (In-depth interview) เป็นรายบุคคล เพอื่ ใหแ๎ สดงความคิดเห็นตํอ
สมรรถนะท่ีพงึ ประสงค์ ทาการสัมภาษณเ์ ชงิ ลกึ ประมาณ 1 ชวั่ โมงตอํ คน และใชก๎ ารจดบนั ทึก การอดั เสยี ง
และ การถาํ ยภาพเป็นสง่ิ ชวํ ยในการบนั ทกึ ข๎อมลู ในขน้ั ตอนนี้จะทาการสัมภาษณ์กลํุมตัวอยาํ งทเ่ี ป็นนายสิบ
พยาบาล และ กลุํมผ๎ูให๎ข๎อมูลสาคญั
3.6.2 ดาเนนิ การสนทนากลุํม (Focus group discussion) มีวตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื ระดมความคดิ เหน็ ใน
การพฒั นาเครอ่ื งมอื การประเมินสมรรถนะประจากลมํุ งาน นายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912 โดยทาการ
สนทนากลมุํ ละประมาณ 3 ชว่ั โมงและใชก๎ ารจดบนั ทึก การอัดเสียง และ การถาํ ยภาพเป็นสงิ่ ชํวยในการบันทึก
ข๎อมูล ในข้ันตอนนจ้ี ะทาการสนทนากลุมํ ตัวอยํางทเ่ี ป็นนายสิบพยาบาล และ ผูเ๎ ช่ยี วชาญ
3.6.3 รํางแบบประเมนิ สมรรถนะระบบการประเมินสมรรถนะประจากลุํมงาน นายสิบพยาบาลที่เปน็
แบบมาตราสํวนประมาณคํา 5 ระดับ ซง่ึ จะได๎แบบประเมินสมรรถนะหลังจากการดาเนินการในขั้นตอนที่ 2
แลว๎ ซง่ึ จะนารํางแบบประเมินไปทดลองใช๎ 1 ครงั้ เพือ่ ปรับปรงุ เครือ่ งมอื
3.7 การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ขอ๎ มูลในแตํละกิจกรรมในการวจิ ยั ครั้งน้ี คณะทางานจะเป็นผูด๎ าเนินการวิเคราะหข์ ๎อมลู
โดยใช๎วธิ กี ารดงั น้ี ได๎แกํ
3.7.1 การวเิ คราะหเ์ นื้อหา (Content Analysis) ในสํวนของความคิดเหน็ จากการสัมภาษณ์กลุํมและ
รายบคุ คล เพ่ือระดมความคิดเห็นเพ่อื สร๎างสมรรถนะท่ีพึงประสงค์ และการสัมภาษณร์ ายกลํุมเพ่ือระดมความ
คดิ เห็นเพ่ือสร๎างรปู แบบการพัฒนาระบบการประเมนิ สมรรถนะประจากลมํุ งานนายสบิ พยาบาล ชกท. 911
และ 912
3.7.2 สถติ ิพรรณนา ได๎แกํ จานวน ร๎อยละ คาํ เฉล่ีย และสวํ นเบี่ยงเบนมาตรฐานในสวํ นการวิเคราะห์
การทดสอบเครอื่ งมือประเมินสมรรถนะประจากลมํุ งานนายสบิ พยาบาล ชกท. 911 และ 912
19
3.8 คาจากดั ความ (Operational definition)
3.8.1 กลํุมนายสิบพยาบาล (Combat medic) หมายถึง นายทหารประทวนเหลํา พ. ที่ทาหน๎าที่
เกี่ยวข๎องกับการรักษาพยาบาล จานวน 2 ชกท. คือ ชกท. 911 นายสิบปฐมพยาบาล / นายสิบพยาบาล
กองรอ๎ ย และ ชกท. 912 นายสิบพยาบาล (คาส่ังกองทัพบก, 2499)
3.8.2 สมรรถนะ (Competency) หมายถงึ ความร๎ู คณุ ลกั ษณะของบุคคลที่แสดงใหเ๎ หน็ ถึงพฤติกรรม
3.8.3 สมรรถนะประจากลุํมงาน (Functional Competency) คือความร๎ูความสามารถในงานซ่ึง
สะท๎อนให๎เห็นแจ๎งในด๎านความร๎ู ทักษะ และคุณลักษณะเฉพาะของงาน แสดงให๎เห็นถึงขีดความสามารถ
ทางดา๎ น ความรท๎ู กั ษะ การกระทา ที่เกิดขึน้ จรงิ ตามหน๎าที่
3.9 จริยธรรมการวจิ ัย
การรกั ษาความลบั ของผูใ๎ ห๎ขอ๎ มูล หลังจากการเก็บรวบรวมข๎อมลู และทาการวิเคราะห์ และทารายงาน
รปู เลํมเสรจ็ สนิ้ แล๎ว จะทาการทาลายขอ๎ มลู ด๎วยการลบออกจากคอมพิวเตอร์ และทาลายเอกสารทิ้ง หลังจาก
ทารูปเลมํ ไปแลว๎ 6 เดอื น
20
บทท่ี 4
ผลการศึกษาวิจัย
การนาผลการวิจัยจากการวิเคราะหข์ ๎อมูล ผ๎วู ิจยั จะขอนาเสนอผลการวเิ คราะหข์ ๎อมูลตาม
วัตถปุ ระสงค์การวจิ ยั โดยแบงํ การนาเสนอใน 3 ประเดน็ ในประเดน็ แรกนาเสนอคณุ ลักษณะของนายสิบ
พยาบาลที่พงึ ประสงค์ ประเด็นทสี่ องกลาํ วถงึ องคค์ วามรทู๎ จ่ี าเปน็ สาหรบั นายสิบพยาบาล ประเดน็ ท่ีสาม
อธบิ ายผลการทดสอบเครื่องมือในการประเมินสมรรถนะประจากลมํุ งานสาหรบั นายสิบพยาบาล ชกท. 911
และ 912
4.1 คุณลกั ษณะนายสบิ พยาบาลท่ีพึงประสงค์
จากการเกบ็ รวบรวมข๎อมลู ด๎วยการสนทนากลุมํ และ การสัมภาษณเ์ ชงิ ลกึ จากนายสิบพยาบาล ทาให๎
ทราบถงึ คุณลักษณะทส่ี าคัญทีม่ ผี ลทาให๎เกิดผลสมั ฤทธ์ิในการดูแลรักษาพยาบาล นายสิบพยาบาลไดส๎ ะท๎อน
คณุ ลักษณะท่ีสาคัญ 3 ประการ ซึ่งเปน็ คุณลกั ษณะท่ีนายสิบพยาบาลควรมีในการให๎ดูแลรกั ษาผบู๎ าดเจ็บ ได๎แกํ
1) การครองสติ
2) ความมนั่ ใจ
3) ความใฝุร๎ู
4.1.1 การครองสติ
การครองสติให๎มน่ั เมื่อให๎การดูแลรกั ษาพยาบาลแกํผู๎บาดเจ็บเป็นสิ่งสาคญั ทน่ี ายสิบพยาบาลควร
จะตอ๎ งมี ท้ังน้เี พื่อเสริมสร๎างความมน่ั ใจ และ เพื่อผลสมั ฤทธิ์ในการดแู ลรกั ษาพยาบาล ทาใหผ๎ ู๎บาดเจ็บจากการ
รบรอดพ๎นจากอนั ตราย และสญู เสยี น๎อยท่ีสุด
ในระหวํางท่ีกาลังปฏิบตั ิหน๎าทดี่ ูแลรกั ษาพยาบาลผบู๎ าดเจ็บจากการรบในระหวาํ งทเ่ี กิดเหตุการณ์
หรอื เกิดขน้ึ ในขณะทีเ่ กดิ การปะทะกบั ฝาุ ยตรงข๎าม การครองสติหรอื การมสี ติเปน็ สงิ่ สาคัญในการดแู ลผบ๎ู าดใน
ท่ีเกดิ เหตุ เพราะวําถ๎าไมํสามารถครองสติตนเองให๎ได๎ เมื่อเจอสถานการณ์วิกฤติ นายสบิ พยาบาลไมสํ ามารถ
นาความร๎ูทต่ี นมีอยํูออกมาใชใ๎ นการชํวยเหลอื ผู๎บาดเจบ็ ได๎อยาํ งทันเวลา ในบางคร้ัง จะเกิดอาการชะงักงัน ไมํ
สามารถลงมือทาได๎ หากครองสติจะรว๎ู ําตนตอ๎ งทาอะไร ใชเ๎ ครอื่ งมอื อะไร อยาํ งไร ดังนั้นนายสิบพยาบาลต๎อง
เปน็ คนที่ใจเย็น สขุ ุม มีจติ บริการ จะทาใหโ๎ อกาสที่ผบ๎ู าดเจ็บได๎รับการรักษาในข้นั ตอนถัดไปมีมากยิ่งข้ึน
21
4.1.2 ความมนั่ ใจในตนเอง
ความมั่นใจในตนเองเปน็ สิง่ ท่ีทาใหต๎ ดั สินใจให๎การดูแลรักษาพยาบาลได๎อยํางถกู ต๎อง รวดเรว็ ทนั เวลา
ในประเด็นสาคัญทัง้ สามประการในเรื่อง ความถูกต๎อง รวดเรว็ และทนั เวลา ท่ีกลําวถึงจะมีผลตอํ ความสาเรจ็
ในการใหค๎ วามชวํ ยเหลอื กับทหารท่ีไดร๎ บั บาดเจบ็ ดงั นน้ั ความมัน่ ใจของนายสิบพยาบาลในการให๎การ
รกั ษาพยาบาลทาให๎โอกาสที่การดแู ลรักษานั้นสมั ฤทธิ์ผลมากยงิ่ ข้นึ ซง่ึ ทัง้ นี้ความมั่นใจในตนเองท่ีกลําวถึง นาย
สิบพยาบาลได๎อธิบายวิธีการสรา๎ งความมั่นใจในตนเองดังตํอไปนี้ คือ การฝกึ หรือการปฏิบตั ิหนา๎ ที่นน้ั ๆให๎มาก
ขน้ึ เพื่อให๎เกิดความชานาญในการปฏิบัติ เมอื่ เกดิ ความชานาญในการปฏิบัตจิ ะสํงผลตํอการตัดสนิ ใจท่รี วดเรว็
ในการให๎การดูแลรักษาพยาบาล และสามารถลงมือปฏบิ ัติไดท๎ นั ทีทพี่ บเหตุการณ์ด๎วยความมัน่ ใจ และผลลัพธ์
สุดทา๎ ยทเี่ กดิ ขนึ้ คือโอกาสและความสาเร็จในการให๎การบริการทางดา๎ นสุขภาพในสนามเกดิ ผลสัมฤทธ์ิมาก
ยงิ่ ขึ้น
4.1.3 ความใฝ่รู้
นายสบิ พยาบาลยงั ไดส๎ ะท๎อนถึงความใฝรุ ู๎ ซ่งึ จากการสมั ภาษณท์ าให๎ทราบวาํ นายสิบพยาบาลตอ๎ งการ
หาความรเ๎ู พ่ิมเติมหรือวชิ าการใหมๆํ เนือ่ งจากวทิ ยาการโลกเปลี่ยนแปลงไปอยํางตํอเน่ือง ประกอบกับปัจจบุ นั
ภารกิจของกองทัพบกมีมากขึ้น ทาให๎บทบาทของเหลําทหารแพทย์มีมากขนึ้ จึงมคี วามจาเปน็ ท่นี ายสบิ
พยาบาลตอ๎ งเรยี นรู๎ตลอดเวลา
อยาํ งไรกต็ าม นายสิบพยาบาลกลาํ วถึงอุปสรรคดา๎ นทรัพยากร และเวลา ทีไ่ มสํ อดคลอ๎ งกับความ
ต๎องการ ในบางครั้งหนํวยไมํมีแหลงํ การเรียนร๎ู หรือ การทบทวนความรู๎ให๎กับนายสิบพยาบาลภายในหนํวย
นอกจากนี้ภารกิจของหนํวยทาให๎ไมํมเี วลาไดท๎ บทวนเนื้อหาวิชาความร๎เู กยี่ วกบั การพยาบาลในสนาม ทาให๎
ขาดความชานาญในทกั ษะของการเปน็ นายสบิ พยาบาล นอกจากนี้ นายสบิ พยาบาลได๎สะท๎อนถึงองค์ความร๎ู
เกย่ี วกับอปุ กรณ์ทางการแพทย์ ซ่ึงนายสิบพยาบาลแตํละนายตอ๎ งเรียนร๎ูอุปกรณท์ างการแพทย์ ในเร่อื งรจ๎ู ัก
วธิ ีการใชง๎ าน การเกบ็ รักษา อปุ กรณ์ทางการแพทย์ และ ประการสุดทา๎ ยต๎องสามารถทาการสอนถาํ ยทอด
ความรู๎เกยี่ วกับการชํวยชีวติ ใหก๎ บั บุคคลอ่ืนได๎
22
4.2 องค์ความรู้ทจ่ี าเป็นสาหรับนายสิบพยาบาล
การชวํ ยชวี ิตในสนามรบเป็นสิ่งสาคัญทจ่ี ะทาให๎ทหารรอดชีวติ เกดิ การสูญเสีย ทุพลภาพน๎อยทสี่ ุด
จากการเกบ็ รวบรวมข๎อมูลดว๎ ยการสนทนากลุมํ และ การสัมภาษณเ์ ชิงลึก จากนายสบิ พยาบาล ทาใหท๎ ราบถึง
ทักษะที่จาเปน็ สาหรับนายสิบพยาบาล นายสิบพยาบาล หรอื ผ๎ใู หค๎ วามชํวยเหลอื ทางการแพทยค์ วรมที ักษะ
ในการชวํ ยเหลือผูบ๎ าดเจ็บในสนามรบเป็นอยํางดี นายสิบพยาบาลควรมีความร๎ูความสามารถในการรักษา
ผู๎บาดเจ็บอยํางถูกวิธี การมคี วามรูท๎ ่เี พียงพอทาใหน๎ ายสิบพยาบาลสามารถปฏบิ ัตงิ านในสถานการณ์ตํางๆได๎
อยาํ งรวดเรว็ ถูกต๎อง นายสิบพยาบาลควรรว๎ู ําตอ๎ งให๎การรักษาอยํางไร นอกจากนีจ้ ะทาให๎ร๎จู ักการเลือกใช๎
อุปกรณ์ทางสายแพทย์อยาํ งถูกตอ๎ ง และตรงกบั สถานการณ์ท่ีกาลงั เผชญิ อยํู
จากที่กลาํ วข๎างต๎นสะท๎อนใหเ๎ หน็ ถึงองคค์ วามรู๎ที่จาเป็นในการรักษาผ๎ูบาดเจ็บในสนาม ในเร่ืองการ
ปฐมพยาบาลเบื้องตน๎ และ การชํวยเหลือเชงิ ยุทธวธิ ใี ห๎มปี ระสทิ ธภิ าพ ซึ่งองค์ประกอบของเนื้อหาจะ
ครอบคลุมในประเด็นตํางๆ ตามรปู ภาพท่ี 1 และ 2 พรอ๎ มมเี น้อื หารายละเอยี ด ไดแ๎ กํ
1) การประเมนิ ผ๎บู าดเจ็บ
เมอ่ื พบผูบ๎ าดเจบ็ ต๎องทาการประเมินเพอ่ื ทาการคัดแยกผบู๎ าดเจบ็ ในกรณีที่มีผ๎ูบาดเจ็บหลายรายกํอน
หลงั จากนัน้ นายสบิ พยาบาลจะประเมนิ ระดับการร๎ูสติ ระดับอาการเจ็บปวด ตรวจราํ งกายของผบ๎ู าดเจ็บเพ่ือให๎
ทราบตาแหนงํ ของบาดแผลวาํ มีทจ่ี ดุ ใดบ๎าง และ จดั เรยี งลาดับความเรงํ ดวํ นในการรักษา
ขอ๎ มูลสนับสนุนจากผใู๎ ห๎ข๎อมูลสาคญั เหน็ ดว๎ ยวําการประเมินผู๎บาดเจบ็ มีความสาคัญ เพราะถ๎าหาก
ไมํไดท๎ าการประเมนิ จะทาให๎การรกั ษาผิดพลาด ไมทํ ันทวํ งที การรักษาผดิ พลาด จากการประเมินจะสามารถ
บอกได๎วาํ ผ๎ปู ุวยมีการช๏อกหรือไมํ มีบาดแผลที่ใด การท่ีไมํร๎วู าํ ผู๎บาดเจบ็ มีบาดแผลหรือเงอื่ นไขแบบใด ทาให๎
ผู๎บาดเจ็บเสยี โอกาสในการรักษา ถา๎ หากทาการประเมนิ ผู๎บาดเจ็บต่ากวําความเป็นจริง จะทาให๎เกิดการคับคั่ง
ของผ๎ูปุวย
2) การชํวยฟ้ืนคืนชีพ รวมความถงึ การกดหน๎าอกและการชํวยหายใจ โดยท้งั นค้ี วรมรี ปู แบบการ
ชวํ ยเหลอื ทเ่ี ป็นอันหนึง่ อนั เดียวกนั หรือเปน็ แบบอยํางเดยี วกัน ณ ปัจจุบนั การชวํ ยฟ้นื คนื ชพี กระทาเพื่อทาให๎
หวั ใจของผู๎บาดเจบ็ กลับมาเต๎นได๎อีกครงั้ หน่ึง และ มเี ลือดไปเลย้ี งสมอง ไมํใหส๎ มองขาดออกซิเจน ผ๎ูให๎ข๎อมลู
สาคัญมองเห็นวําการชํวยฟื้นคืนชพี นน้ั เป็นองคค์ วามรู๎ท่จี าเปน็ อยาํ งยิง่ ท่ีนายสบิ พยาบาลจาเป็นตอ๎ งทาได๎ เพ่ือ
สามารถชํวยคนได๎ท้ังในสถานการณป์ กติ และ สถานการณ์ฉกุ เฉนิ
3) การหา๎ มเลอื ด และ การปอู งกันอาการชอ็ ก ทาเพ่ือไมํให๎ผปู๎ วุ ยสูญเสียเลือดจานวนมาก กํอนทจ่ี ะ
เกิดอาการชอ็ ก ซ่ึงอาการช็อกจะแสดงออกโดยทผ่ี ูบ๎ าดเจ็บมรี ะดบั การรู๎สติน๎อยลง ปาก-เท๎าซดี ชพี จรเตน๎ เบา
เรว็ ความดันโลหิตตา่ ลง จนกระทงั่ เสียชวี ติ ในท่สี ดุ ผ๎ูใหข๎ ๎อมูลสาคัญให๎ความสาคัญมากเปน็ อยาํ งยงิ่ เพราะการ
23
หา๎ มเลอื ดเป็นสง่ิ จาเป็นมาก ถา๎ ห๎ามเลือดได๎ถกู วธิ ี จะทาให๎เกดิ การสูญเสียมาก ไมํใชเํ พยี งแตนํ ายสบิ พยาบาล
เทําน้ันแตํยงั รวมถึงทหารทุกคนในกองทัพ จะต๎องทาได๎ เพราะการห๎ามเลือดคือหลักการเบื้องตน๎ ของการ
ชวํ ยเหลอื ตนเอง (self aid)
4) การเย็บแผล เม่ือมบี าดแผลเปิดเกิดขนึ้ ต๎องทาแผลและเยบ็ แผลเพ่ือปิดปากแผลไมํให๎ปากแผล
เปดิ ซ่ึงแผลเปดิ จะมลี ักษณะผวิ หนงั บริเวณท่ีเป็นแผล เนอ้ื เยื้อและผิวหนังแยกขาด ในบางครง้ั เปน็ เน้ือรํงุ ริ่ง
อาจจะทาให๎เกิดภาวะตดิ เชื้อทีบ่ าดแผลได๎และนาไปสํูภาวะเนื้อเย้ือตายไดใ๎ นทสี่ ดุ ดังน้ันการเย็บแผลจงึ เป็น
การชวํ ยใหผ๎ ิวหนังบรเิ วณท่มี ีบาดแผลปดิ ติดสนทิ กนั เพื่อลดการติดเช้ือจากบาดแผลและเนอ้ื ตาย การดแู ล
บาดแผลได๎อยํางถูกวธิ จี ะชวํ ยทาใหล๎ ดการสํงกลบั ท่ีไมจํ าเป็น ถ๎ามกี ารสงํ กลับมากข้นึ จะทาใหเ๎ กิดการคับค่ัง
ของผู๎ปวุ ย ทาให๎การอนรุ ักษ์กาลังรบไมมํ ีประสทิ ธภิ าพมาก
5) การให๎สารนา้ เปน็ การให๎สารน้าทดแทน จะให๎ในกรณีทีม่ ีการสูญเสยี เลือด หรือราํ งกายมีอาการ
ออํ นเพลีย การให๎สารนา้ เป็นการเพิ่มจานวนของเหลวในราํ งกายให๎มีปริมาตรท่เี พยี งพอกับความต๎องการของ
ระบบไหลเวยี นของราํ งกาย ข๎อมลู สนบั สนุนจากผ๎ูให๎ข๎อมูลคนสาคัญมองวาํ การให๎สารน้าเปน็ สวํ นหนงึ่ ในการ
ชวํ ยเหลือทางการแพทย์ ทง้ั ในยามปกติ และ ยามสงคราม การปฐมพยาบาลเบื้องต๎นได๎ถกู วิธี จะชวํ ยลดการ
สงํ กลบั ทางการแพทยร์ วมถึงการใช๎ทรพั ยากรทางการแพทยไ์ ด๎
6) การให๎ยา สวํ นใหญํนายสิบพยาบาลใหย๎ าเพื่อบรรเทาอาการเจบ็ ปวด ซง่ึ นายสบิ พยาบาลจะค๎ุนเคย
กับการให๎ยาแกป๎ วดเชนํ พาราเซทตามอล ยาทามอลแบบกนิ ยาทามอลแบบฉดี เปน็ ต๎น ขอ๎ มลู สนับสนนุ จาก
ผู๎ใหข๎ อ๎ มูลคนสาคัญเล็งเหน็ วาํ นายสิบพยาบาลจาเปน็ ต๎องทาใหไ๎ ด๎ เปน็ สวํ นหน่งึ ของการปฐมพยาบาลเบ้ืองต๎น
ลดภาระที่จะเกิดข้นึ กบั หนํวยแพทย์ทีอ่ ยูํข๎างหลัง รวมถงึ เป็นการเสรมิ สรา๎ งศักยภาพของนายสบิ พยาบาล
7) การคดั แยกและการสงํ กลับผู๎ปุวยเจ็บ การสํงกลับผปู๎ ุวยเจ็บจะตอ๎ งกระทาอยํางรวดเรว็ และ
ปลอดภัยที่สุด เพ่ือทาใหผ๎ ปู๎ วุ ยเจบ็ เกิดความสูญเสียน๎อยทสี่ ุด หรอื มโี อกาสรอดชวี ิตมากทส่ี ดุ ประเด็นนา้ หนัก
ทผี่ ใ๎ู หข๎ อ๎ มลู คนสาคัญเน๎นคือ การเคลือ่ นย๎ายเพื่อไปให๎ผป๎ู วุ ยไดร๎ ับการรักษาทเ่ี หมาะสม ภายใตท๎ รัพยากรทีม่ ีอยํู
อยํางจากัด ได๎อยาํ งเพียงพอ
24
รูปท่ี 1 ทักษะของนายสบิ พยาบาล
รูปท่ี 2 ทักษะของนายสบิ พยาบาล
25
จากการสัมภาษณเ์ ชิงลึกผบ๎ู ริหารท่ีเกีย่ วข๎องกับการวางแนวทางการศึกษาของโรงเรยี นเสนารกั ษ์ กรม
แพทย์ทหารบก ผบ๎ู ังคบั บัญชาและครูอาจารย์ โรงเรียนเสนารักษ์ และ นายทหารสัญญาบัตรท่เี ปน็ ระดบั
ผ๎ูบงั คบั บญั ชาของนายสบิ พยาบาล ได๎สะท๎อนถึงองค์ความร๎ูทจ่ี าเป็นสาหรบั นายสิบพยาบาล พอสรปุ ไดว๎ าํ นาย
สิบพยาบาลตอ๎ งสามารถตอบสนองตํอพันธกจิ 4 ประการของกรมแพทย์ทหารบก ซึ่งพนั ธกจิ ของกรมแพทย์
ทหารบก ครอบคลุมถึง งานเวชกรรมปอู งกนั การรักษาพยาบาลและการสงํ กลบั การสํงกาลงั สายแพทย์ และ
บรกิ ารอืน่ ๆ โดยทั้งน้ีให๎ความสาคญั กบั 2 ประเดน็ หลกั คือ การชํวยเหลอื ชีวติ ทางยทุ ธวิธี และการแพทย์ฉุกเฉนิ
งานดา๎ นเวชกรรมปูองกนั เป็นสิง่ สาคญั ในการชวํ ยลดความเจ็บปวุ ยท่มี ใิ ชํเกิดจากการรบ นายสิบ
พยาบาลตอ๎ งสามารถทาการสอบสวนโรคได๎ ควบคมุ โรคได๎ และตอ๎ งสามารถทาการถํายทอดความร๎ูในเรื่อง
ตาํ งๆเชนํ โรคตดิ ตอํ จากแมลง โรคตดิ ตํอทางเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ เปน็ ตน๎
งานด๎านการรักษาพยาบาลและการสงํ กลบั ทางการแพทย์ แบํงไดใ๎ น 2 สถานการณ์ ได๎แกํใน
สถานการณ์ฉุกเฉิน และ ในสถานการณป์ กติ ในสถานการณฉ์ ุกเฉนิ นายสบิ พยาบาลตอ๎ งสามารถทาการ
ชวํ ยชีวิตทางยุทธวิธีได๎ ซึ่งต๎องมีทกั ษะในด๎านตํางๆดงั นี้ คือ การหา๎ มเลือดได๎ เพราะการเสียเลือดทาให๎ทหาร
บาดเจบ็ เสียชีวิตมากท่สี ดุ การเจาะปอด การชวํ ยฟนื้ คืนชีพ การให๎สารนา้ ทางหลอดเลือดดา การคัดแยกและ
การเคลือ่ นย๎ายผู๎บาดเจบ็
สํวนในสถานการณ์ปกตินายสิบพยาบาลควรมีความรเู๎ กยี่ วกับหัตถการตาํ งๆ และการบริหารยา
เบอื้ งตน๎ ควรมีขีดความสามารถใหก๎ ารดูแลผูป๎ ุวยที่มอี าการเจบ็ ปวุ ยท่ัวไป เชํน ไขห๎ วดั เจบ็ คอ ท๎องเสยี เปน็
ตน๎ นอกจากนนี้ ายสบิ พยาบาลควรมีขดี ความสามารถในการใช๎อปุ กรณ์ในกระเป๋านายสบิ พยาบาลได๎อยําง
ถูกต๎อง และ เช่ยี วชาญ
สาหรบั การสงํ กาลังสายแพทย์ และ บรกิ ารอนื่ ๆ เป็นสิ่งท่นี ายสิบพยาบาลควรทราบไวเ๎ พื่อเปน็
ประโยชนใ์ นการปฏิบตั หิ น๎าที่อนื่ ๆในโอกาสถดั ไป
26
4.3 สภาพแวดล้อมในการปฏบิ ตั งิ านปจั จบุ นั
จากการเก็บรวบรวมข๎อมลู ดว๎ ยการสัมภาษณเ์ ชงิ ลึก ผลการเกบ็ รวบรวมและการวเิ คราะห์ขอ๎ มลู
สามารถจาแนกปญั หาทเ่ี กิดขึ้นในการปฏบิ ัตงิ านของนายสิบพยาบาลได๎เป็น 3 ประเดน็ หลักตามรปู ที่ 3 ไดแ๎ กํ
-ระบบ
-คน
-ทรพั ยากรทางการแพทย์
รูปท่ี 3 ปัญหาการปฏบิ ตั งิ านของนายสบิ พยาบาล
4.3.1 ระบบ
นายสบิ พยาบาลสะท๎อนถงึ ระบบการบรรจุนายสบิ พยาบาลในหนํวยตํางๆ บางคร้ังถูกบรรจุลงไมํตรง
ตาม ชกท. มอี ีกบางสํวนท่ี บรรจลุ งตาม ชกท. แตํไมไํ ดป๎ ฏิบตั ิหนา๎ ทตี่ ามตาแหนํงทบี่ รรจุ โดยเฉพาะหนวํ ยรบ
นายสิบพยาบาลถูกใช๎งานไมตํ รงตามหนา๎ ที่ ทางานผิด ชกท. ทาให๎ไมํไดป๎ ฏิบัติงานตรงตามสายงานทเ่ี รียนมา
ปฏิบัตงิ านไมตํ รงกบั ความร๎ูความสามารถ เชนํ ปฏิบตั หิ นา๎ ที่ หน.ชุด พลขบั บางคร้ัง ผบ.หนํวยให๎ทาหน๎าท่ี
เหมือนเป็นทหารราบ นอกจากน้ยี ังต๎องทางานอ่ืนๆที่ไมํได๎มคี วามเก่ียวข๎องกับงานดา๎ นการพยาบาล แตํ
สวํ นมากทางานธุรการ งานเอกสาร รายงานตาํ งๆ และทาใหจ๎ านวนนายสบิ พยาบาลทที่ าหนา๎ ทีต่ าม ชกท.
เหลอื จานวนนอ๎ ยลง นอกจากนี้นายสบิ พยาบาลมีโอกาสท่ีจะใชค๎ วามรู๎ของตนเองน๎อย บางคร้ังการปฏิบัตกิ ับ
ผ๎ปู ุวยจริงๆ ใน รพ.ทบ. มขี ๎อจากัดดา๎ นกฎหมาย
ระบบการสํงเสริมการเรียนรู๎อยํางตํอเนื่องยังมีนอ๎ ย นายสิบพยาบาลไมไํ ด๎มกี ารฝกึ ทักษะเพมิ่ เตมิ ท่ี
หนํวย เชนํ นายสบิ พยาบาลท่ีอยํูใน พนั ร. ทั้งนเี้ พราะผ๎ูบังคับบัญชาไมเํ หน็ ความสาคัญ แม๎วาํ จะมโี ครงการ
สร.รวม ท่ี รพ.ทบ. แตหํ นํวยไมํได๎สํงกาลังพลฝกึ ฝน ระบบการพัฒนาความรใู๎ หมํๆใหก๎ ับบุคคลากรทาง
การแพทย์ยงั ไมํทั่วถึง
27
4.3.2 คน (นายสบิ พยาบาล)
นายสบิ พยาบาลปฏบิ ัตงิ านได๎ไมํเป็นไปตามท่ตี ามทคี่ าดหวังไว๎ ทั้งนเ้ี น่อื งมาจาก นายสิบพยาบาลได๎
สะทอ๎ นถึงขดี ความสามารถของตนเองที่อยํูในระดับต่ากวําเมือ่ เทยี บกับประเทศอ่ืนๆ ท้ังนี้เปน็ เพราะโอกาสท่ี
ไดป๎ ฏิบตั จิ รงิ กบั ผูป๎ ุวยจรงิ มนี ๎อย ประสบการณ์ในการทาหัตถการตาํ งๆยงั มนี ๎อย ในบางโอกาสไมรํ ู๎จักวธิ ีการใช๎
อุปกรณ์ทางการแพทย์ นอกจากนี้ขวญั และกาลังใจของนายสบิ พยาบาลอยํูในระดับต่า อนั เนือ่ งมาจากอัตรา
การเลื่อนชัน้ ยศทสี่ งู ขนึ้ มีน๎อยมาก การเติบโตในชีวิตราชการเป็นไปด๎วยความยากลาบาก ในบางหนวํ ยสะท๎อน
ถึงการขาดแคลนกาลังพล ทาให๎นายสิบพยาบาลต๎องทาหน๎าทีค่ รอบจักรวาล และทาให๎ขาดความเชี่ยวชาญ
สาหรบั งานในหน๎าที่นายสบิ พยาบาล
4.3.3 ทรัพยากรทางการแพทย์
ความไมํเพยี งพอด๎านทรัพยากรทางการแพทยป์ รากฏข้นึ ทั้งในเชิงปริมาณ และ คุณภาพ ความขาด
แคลนในเชิงปรมิ าณพบวาํ ทรัพยากรทางการแพทย์ทมี่ ีอยํูไมเํ พียงพอกับการปฏบิ ตั ิงานซึ่งเป็นส่ิงท่สี าคัญทีน่ าย
สิบพยาบาลได๎ใหค๎ วามคิดเห็นสะทอ๎ นออกมาอยาํ งชดั เจน รวมถึงจานวนยาและเวชภัณฑ์ ท่ีมอี ยํูไมํเพียงพอ
ความขาดแคลนเชงิ คุณภาพ พบวําส่ิงอปุ กรณท์ างการแพทยท์ ม่ี อี ยํูลา๎ สมยั ใชง๎ านไมํเหมาะสมกบั ยุคปจั จุบนั สิ่ง
อุปกรณ์ทางการแพทย์มีอายกุ ารใชง๎ านมานานมาก เชนํ อุปกรณ์การปฐมพยาบาลทรดุ โทรมมาก เม่ือนามาใช๎
งานจรงิ ทาใหข๎ าดประสิทธิภาพ นอกจากนสี้ ิ่งอปุ กรณป์ ระจาตวั นายสิบพยาบาลลา๎ สมัย
ทรัพยากรในการเรยี นรมู๎ ีขอ๎ จากดั นายสบิ พยาบาลไดส๎ ะท๎อนใหเ๎ หน็ ถงึ การขาดแคลนอุปกรณ์
เครือ่ งชํวยฝกึ ทมี่ ีคณุ ภาพ และเอกสารหรอื ตาราทม่ี อี ยูํในปจั จุบันภายในหนํวยยังไมํไดร๎ บั การปรบั ปรุงให๎
ทนั สมยั กับสถานการณ์ปจั จุบัน ทาใหก๎ ารพฒั นาองคค์ วามร๎มู ขี ๎อจากดั และ ไมํสามารถปฏิบตั ิได๎ตามเกณฑ์ที่
สวํ นกลางกาหนดไว๎ได๎
4.4 แนวความคดิ สาหรับการแก้ไขปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการปฏิบตั ิงาน
จากการนาเสนอปญั หาท่ีเกิดขึน้ จากการปฏบิ ตั ิงานของนายสิบพยาบาลทก่ี ลาํ วมา นายสิบพยาบาลได๎
นาเสนอหนทางในการแกไ๎ ขปัญหาตํางๆเหลาํ นั้น ซึ่งสามารถสรุปและแบํงออกได๎เป็น ประเดน็ ไดแ๎ กํ
4.4.1การจัดการฝกึ อบรมกอํ นออกปฏิบัตหิ นา๎ ท่ีในพน้ื ท่ีจริง ซ่ึงควรมีจานวนครงั้ ในการจัดฝึกอบรม
บอํ ยๆ ดว๎ ยองค์ความรู๎ที่ทันสมยั เชํน บางหนวํ ยงานยงั ไมเํ คยรจ๎ู กั เน้อื หาวิชาเร่ืองการชวํ ยเหลือชีวิตทางยุทธวิธี
เปน็ ต๎น ซึ่งควรมวี งรอบการฝึกประจาปี โดยจัดเปน็ การอบรมระยะสนั้ ๆประมาณ 3-7 วนั โดยมเี นื้อหาวชิ าท่ี
เน๎นเรือ่ งทจี่ าเปน็ ต๎องใชจ๎ ริงๆในสนามรบ
28
4.4.2 การฝึกปฏบิ ัตใิ ห๎เป็นแบบอยาํ งเดยี วกัน เชนํ การปฐมพยาบาลควรใหเ๎ ป็นไปในทางเดียวกนั และ
มีความเหมาะสมกบั ยุคสมัย การจัดโครงการ ควรเกิดข้นึ รวํ มกนั ระหวํางหนํวยงาน ได๎แกํ รพ.ทบ. และ พัน สร.
ซ่ึงหนํวยเหนือควรให๎ความสาคญั และเข๎ามากากับดแู ล เพ่ือทาให๎กาลังพลมีทักษะทด่ี ี และ ได๎วิชาการท่ใี หมํ
ทันสมัยตลอดเวลา
4.5 การกาหนดสมรรถนะประจากลมุ่ งานสาหรับนายสบิ พยาบาล ชกท. 911และ 912
จากการเก็บรวบรวมขอ๎ มูลเชิงคุณภาพที่ไดจ๎ ากการสมั ภาษณ์เชิงลกึ นามาทาการวเิ คราะห์เน้ือหา
พบวาํ องคค์ วามรู๎ที่จาเปน็ สาหรบั นายสบิ พยาบาล เปน็ สิง่ ท่ีจาเป็นต๎องใชใ๎ นสนามรบ และมคี วามจาเป็นสาหรบั
การดแู ลผบ๎ู าดเจบ็ จากการรบ ซึ่งองค์ความรู๎เหลาํ น้นั นายสิบพยาบาลจาเปน็ ต๎องรแู๎ ละปฏิบตั ิไดอ๎ ยาํ งชานาญ
จากการวเิ คราะห์ข๎อมลู และทบทวนกับองคค์ วามรู๎ท่ไี ด๎จากการทบทวนวรรณกรรมในบทที่ 2 ได๎
ข๎อสรุปเกีย่ วกับการกาหนดสมรรถนะไว๎ ซึง่ กาหนดสมรรถนะท่ีกาหนดข้ึนน้เี ป็นสิง่ ทน่ี ายสิบพยาบาลได๎สะท๎อน
ถงึ ทกั ษะและองค์ความรูท๎ ี่จาเปน็ หลงั จากนั้นไดส๎ รปุ และนาเขา๎ มาสกูํ ารสนทนากลํุมระหวาํ งอาจารย์ผู๎ทาการ
สอนซ่งึ เลือกมาแบบเฉพาะเจาะจง ไดค๎ นท่เี หมาะสมในการให๎ข๎อมูลท่ีเปน็ ประโยชน์ ทาการสนทนากลํมุ และ
ทาการกลั่นกรองความรู๎ ออกมาเปน็ องค์ความรู๎ท่จี าเป็นสาหรบั นายสิบพยาบาลใน 5 ดา๎ น ได๎แกํ
- การคดั แยกและการสํงกลบั ผ๎ูปวุ ยเจบ็
- การหา๎ มเลือดดว๎ ยชุดอปุ กรณ์ประจากายทหาร
- การชํวยฟน้ื คืนชพี
- การบริหารยาในสนาม
- การใหส๎ ารนา้ ทางหลอดเลือดดา
หลงั จากน้ันนาองค์ความร๎ูท่ไี ด๎ทัง้ 5 ดา๎ นมาเขียนพฤตกิ รรมบํงช้ที ีจ่ าแนกเปน็ 5 ระดบั โดยใช๎การ
สนทนากลํุมระหวาํ งนักวจิ ัยและผ๎เู ชี่ยวชาญด๎านสมรรถนะ จนกระท่ังได๎หลักเกณฑ์ที่เรียงลาดับจากระดับท่ี 1
ถึง 5 ซึ่งเกณฑ์หลักๆท่ีใชใ๎ นการแบํงระดับขดี ความสามารถเปน็ 5 ระดบั ตามแนวคิดของสมรรถนะ (ศนู ย์
บริหารงานทรัพยากรบุคคล โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล๎า, 2555) โดยมีรายละเอียดดังน้ี
ระดบั ท่ี 1 ขั้นพื้นฐาน (Basic level) หมายถึงระดับทกั ษะพ้ืนฐานท่ีกาลงั พลควรมี ในท่ีนี้หมายถึงนาย
สบิ พยาบาลควรมีความรู๎ (Knowledge) ในเรอ่ื งน้ันๆเปน็ อยาํ งดี
ระดับท่ี 2 ข้นั ปฏิบตั ิงาน (Doing level) หมายถงึ ระดบั ท่กี าลงั พลมคี วามสามารถจาเปน็ ต๎องมี ใน
ความหมายนี้ นายสิบพยาบาลจาเป็นต๎องมีความรแ๎ู ละสามารถปฏิบตั ไิ ด๎อยาํ งถูกต๎อง
29
ระดบั ท่ี 3 ขนั้ ประยุกต์ (Advance) หมายถงึ ระดบั ท่ีกาลังพลมคี วามสามารถในการประยกุ ตใ์ ชท๎ กั ษะ
ในการปฏิบตั ิงานที่ตนเองรบั ผิดชอบไดด๎ ี ซ่ึงในท่นี ี้ไดก๎ าหนดไว๎วาํ นายสบิ พยาบาลต๎องมีความร๎ู สามารถปฏิบัติ
ได๎ และ ต๎องสามารถแก๎ไขปัญหาท่เี กิดขึ้นในระหวาํ งท่ีให๎การดูแลได๎ แก๎ไขปัญหาในสถานการณท์ ซ่ี ับซ๎อนได๎
ระดบั ที่ 4 ขั้นก๎าวหน๎า (Advance) หมายถงึ ระดับท่ีกาลงั พลสามารถใชท๎ ักษะด๎วยความชานาญ
ตามทีต่ นรับผิดชอบ นายสิบพยาบาลตอ๎ งมีความชานาญ และสามารถทาการถํายทอดองค์ความร๎ใู นเรื่องนัน้ ๆ
ใหก๎ ับกาลงั พลได๎
ระดับท่ี 5 ขั้นเช่ยี วชาญ (Expert) หมายถงึ ระดบั ท่ีกาลังพลมคี วามเชี่ยวชาญในการใช๎ทักษะน้ันๆกับ
หนา๎ ท่คี วามรบั ผดิ ชอบของตน ในที่นี้ นายสิบพยาบาลต๎องมีความเชยี่ วชาญในทักษะนน้ั สามารถถํายทอด
ความร๎ูได๎ และสามารถคิดค๎นนวัตกรรมหรือทางานวจิ ัยในเรอ่ื งนนั้ สาหรบั การดูแลในสนามรบได๎ หรือ สามารถ
ถํายทอดความรนู๎ อกหนวํ ยได๎ หรือ สามารถนาเสนอวสิ ัยทัศน/์ แนวทางใหมํๆสาหรบั การดูแลในสนามรบได๎
จากการรวบรวมและจัดทาเคร่ืองมือการประเมินสมรรถนะประจากลมํุ งาน โดยใชเ๎ กณฑ์ดังกลําว
ข๎างตน๎ และได๎ทาการทดสอบแบบประเมนิ สมรรถนะประจากลํมุ งาน ชกท. 911 และ 912 กับกลมุํ ตัวอยาํ ง
จานวน 30 นาย จาก พัน.สร.ในสังกัดกองทัพภาคที่ 1 และ กองทัพภาคท่ี 2 โดยมีรายละเอยี ดขอ๎ มูลกลุํม
ตัวอยาํ ง ตามตารางที่ 1 และ 2 ที่มอี ายุระหวําง 22-56 ปี ระยะเวลาสาหรับการปฏิบัติหน๎าทน่ี ายสบิ พยาบาล
ตัง้ แตํ 4-32 ปี
ตารางท่ี 1 แสดงข๎อมูลชวํ งอายุ และ ระยะเวลาการปฏิบัติหน๎าที่
ขอ้ มูล คา่ ตา่ สุด-สงู สดุ (ปี) คา่ เฉล่ีย
อายุ 22-56 35.4
ระยะเวลาการปฏิบตั หิ น๎าท่ี 4-32 14.1
ตารางท่ี 2 แสดงขอ๎ มูลกลุํมตัวอยํางจาแนกตามระดับการศึกษา
ระดับการศึกษา จานวน (ราย) ร้อยละ
16.7
ปริญญาตรี 5 23.3
3.3
อนปุ ริญญา 7 6.7
100.0
มัธยมปลาย 16
มธั ยมต๎น 2
รวม 30
30
รูปท่ี 4 แสดงสถานที ี่ 1 การคัดแยกและการเคล่ือนยา๎ ยผปู๎ ุวยเจ็บ
รูปที่ 5 แสดงสถานีที่ 1 การคัดแยกและการเคลอ่ื นยา๎ ยผปู๎ วุ ยเจ็บ
31
รูปท่ี 6 แสดงสถานีที่ 2 การห๎ามเลอื ดด๎วยชุดอุปกรณช์ วํ ยชวี ิตประจากายทหาร
รูปที่ 7 แสดงสถานที ี่ 2 การห๎ามเลอื ดดว๎ ยชดุ อุปกรณ์ชวํ ยชวี ติ ประจากายทหาร
32
รูปท่ี 8 แสดงสถานที ี่ 3 การชํวยฟนื คืนชีพ
รปู ที่ 9 แสดงสถานที ี่ 3 การชวํ ยฟืนคืนชีพ
33
รูปท่ี 10 แสดงสถานีที่ 4 การบรหิ ารยาในสนาม
รูปท่ี 11 แสดงสถานีที่ 4 การบริหารยาในสนาม
34
รูปท่ี 12 แสดงสถานีท่ี 5 การให๎สารนา้ ทางหลอดเลือดดา
รปู ท่ี 13 แสดงสถานีท่ี 5 การใหส๎ ารนา้ ทางหลอดเลือดดา
35
ผลจากการทดลองใชแ๎ บบประเมนิ สมรรถนะประจากลุํมงาน ชกท. 911, 912 พบวํานายสบิ พยาบาล
ทกุ นายยงั ไมสํ ามารถมีองค์ความร๎ูตามที่กาหนดไว๎ในตารางการประเมนิ ได๎ครบทั้ง 5 สถานี แม๎วาํ บางรายจะ
สามารถปฏิบตั ไิ ด๎ แตํทั้งนี้ยงั ไมํสามารถตอบข๎อคาถามทเ่ี ป็นองคค์ วามรู๎พ้ืนฐานได๎อยํางถูกต๎องตามลาดับ
ขั้นตอนท่ีกาหนดไว๎ได๎ และ ไมสํ ามารถตอบคาถามพนื้ ฐานท่เี ปน็ องค์ความร๎ูได๎ครบ ทัง้ นอ้ี าจจะมาจากหลาย
สาเหตุไดแ๎ กํ
1.ข๎อกาหนดพฤตกิ รรมบํงช้ีไมํชัดเจน ทาใหผ๎ ูป๎ ระเมนิ เข๎าใจพฤติกรรมบงํ ช้ีได๎ไมตํ รงกัน
2.พนื้ ฐานของผูป๎ ระเมินทม่ี ีระดับความรแู๎ ละทักษะความเชีย่ วชาญท่แี ตกตํางกนั ซึ่งสงํ ผลถึงระดบั การ
ประเมนิ สมรรถนะ
3.ผ๎ูเขา๎ รับการประเมนิ ไมมํ ีการพัฒนาตนเองในทักษะตํางๆ เป็นเวลานาน ทาให๎ไมสํ ามารถผาํ นเกณฑ์
การประเมินสมรรถนะได๎
ผลจากการทบทวนหลังการปฏิบัติเมือ่ การทดสอบแบบประเมินสมรรถนะเสร็จส้ิน ทาการสนทนากลมํุ
เพ่ือทาใหแ๎ บบประเมินสมรรถนะมคี วามชัดเจนและสามารถนาไปใชง๎ านไดง๎ ํายข้นึ โดยไดข๎ ๎อสรุปเก่ียวกบั
เครอ่ื งมอื ในการประเมินสมรรถนะ ท้งั 5 ดา๎ น ตามตาราง ดงั นี้
36
ตารางแสดงการสมรรถนะประจากลมุ่ งานนายสบิ พยาบาล ชกท. 911 และ 912
FCc1 : การคัดแยกและการสํงกลับผูป๎ ุวยเจบ็
คาจากัดความ:เป็นการกาหนดความเรํงดวํ นในการรกั ษาและการสํงกลับ การคัดแยกผู๎ปุวยเจบ็ กระทาเพื่อใชท๎ รพั ยากรท่ี
มีอยูํอยํางจากัดให๎เกดิ ประโยชน์ เพ่ือใหเ๎ กิดผลสาเร็จทีเ่ ปน็ ประโยชน์ตํอผป๎ู ุวยเจบ็ ไดเ๎ ป็นจานวนมากทีส่ ดุ โดยต๎อง
คานงึ ถงึ ความเรํงดํวนสูงสุดในการใช๎ทรัพยากรทางการแพทยท์ ่มี ีอยูํ และทาการสงํ กลบั ผู๎ปวุ ยเจ็บไดอ๎ ยํางรวดเร็ว
ปลอดภัย
ระดับ พฤติกรรมบ่งช้ี หมายเหตุ
ผ่าน/ไมผ่ า่ น
ระดบั ท่ี 1 มีความรเู๎ ร่ืองการคดั 1. อธบิ ายวัตถปุ ระสงค์ของการคดั แยกผู๎ปวุ ยเจ็บได๎
ขน้ั เรยี นรู๎ แยกผู๎ปุวยเจบ็ 2. อธบิ ายหลักการคดั แยกผูป๎ ุวยเจบ็ เพือ่ การรกั ษาได๎อยาํ ง
Basic ถกู ต๎อง
3. อธิบายหลกั การคดั แยกผูป๎ ุวยเจ็บเพื่อการสํงกลบั ไดอ๎ ยําง
ถกู ต๎อง
ระดับท่ี 2 มรี ะดับท่ี 1 และ 1. ทาการคดั แยกผู๎ปุวยเจ็บเพื่อการรักษาไดอ๎ ยํางถูกตอ๎ ง
ขั้นปฏบิ ตั ิ สามารถทาการคัด 2. ทาการคดั แยกผป๎ู ุวยเจ็บเพื่อการสํงกลับได๎อยํางถกู ต๎อง
Doing แยกผู๎ปวุ ยได๎
ระดบั ที่ 3 มีระดบั ท่ี 1 2 และ 1. ทาคัดแยกผู๎ปุวยเจบ็ ได๎อยาํ งรวดเรว็ ถกู ตอ๎ ง
ขนั้ พัฒนา สามารถทาการคดั 2. สามารถเตรยี มผปู๎ ุวยเจ็บเพอื่ รอการสงํ กลับได๎อยําง
Developing แยก และ เตรียม ถูกต๎อง เหมาะสม ปลอดภัย
ผ๎ูปวุ ยเพื่อการสํงกลับ 3.สามารถดดั แปลงสิง่ อุปกรณ์เพอ่ื การสงํ กลบั ได๎
ทางการแพทย์
ระดับท่ี 4 มรี ะดบั ท่ี 1 2 3และ 1. ถํายทอดความรู๎ และให๎คาแนะนา การปฏิบัติให๎กับ ผบ.
ขั้นก๎าวหนา๎ ถาํ ยทอดความรู๎ได๎ หนวํ ย และ กาลังพล เกย่ี วกับการคดั แยกและการสํงกลับ
Advance ผป๎ู วุ ยเจ็บได๎
ระดบั ที่ 5 มรี ะดับที่ 1 2 3 4 1. เสนอแนวทางการพัฒนาการคดั แยกผู๎ปวุ ยเจบ็
ข้นั ผูเ๎ ชีย่ วชาญ และ สามารถเสนอ 2. พฒั นาคดิ คน๎ นวตั กรรม งานวิจัย เรือ่ งการคดั แยกผู๎ปุวย
Expert แนวทางการพัฒนา เจ็บได๎
นวัตกรรม หรือ
งานวิจัย
37
FCc2 : การหา๎ มเลือดด๎วยอุปกรณ์ชวํ ยชีวิตประจากายทหาร
คาจากัดความ: ความสามารถในการประเมินลักษณะของบาดแผลได๎อยํางถูกตอ๎ ง และสามารถทาการห๎ามเลือดให๎
ผูป๎ ุวยเจบ็ ไดอ๎ ยํางเหมาะสม ภายใต๎ทรัพยากรที่มีอยูํสํงผลให๎ผู๎ปวุ ยเกิดความปลอดภัย
ระดบั พฤติกรรมบ่งชี้ เกณฑ์
ผําน/ไมํผาํ น
ระดบั ที่ 1 มคี วามรู๎เกย่ี วกับ 1.อธบิ ายอปุ กรณ์ชวํ ยชวี ิตประจากายทหารได๎อยํางถกู ต๎อง
ขัน้ เรยี นร๎ู อปุ กรณ์ชวํ ยชวี ิต 2. อธิบายลักษณะของบาดแผลเข๎า/บาดแผลออก และ ลักษณะ
Basic ประจากายทหาร เลอื ดที่ไหลออกจากเส๎นเลือดแดง เส๎นเลอื ดดา เสน๎ เลอื ดฝอยได๎
และอธบิ าย 3. อธบิ ายขัน้ ตอนการหา๎ มเลือด โดยการเลอื กใช๎อุปกรณ์ในชุด
ลกั ษณะบาดแผล อุปกรณ์ชวํ ยชีวิตประจากายทหารได๎
ได๎
ระดบั ท่ี 2 มรี ะดบั ที่ 1 และ 1.ทาการประเมินการอาการบาดเจบ็
ขนั้ ปฏิบัติ ทาการห๎ามเลือด 2.ทาการหา๎ มเลือดได๎ด๎วยอุปกรณใ์ นชดุ อุปกรณ์ชวํ ยชวี ิตประจา
Doing ด๎วยอปุ กรณ์ กายทหารได๎
ชวํ ยชีวติ ประจา 3.ประเมินความสาเร็จของการหา๎ มเลือดได๎
กายทหาร
ระดบั ที่ 3 มีระดับที่ 1 2 และ 1. ประยกุ ต์หรอื ดัดแปลงอปุ กรณท์ ่ีมีในพืน้ ที่ ได๎ตามลักษณะการ
ขน้ั พฒั นา ดดั แปลงส่ิง บาดเจ็บได๎อยาํ งเหมาะสม
Developing อุปกรณ์สาหรับ 2.ปฏิบตั กิ ารโดยคานึงถึงภาวะแทรกซ๎อนหรือความเสี่ยงท่ีอาจ
การห๎ามเลือด เกดิ ขน้ึ ไดอ๎ ยาํ งถูกตอ๎ ง
3. ตรวจสอบและแก๎ไขปญั หาในการห๎ามเลือดได๎อยํางทนั ทํวงที
ระดับที่ 4 มีระดับที่ 1 2 3 1. การถํายทอดการห๎ามเลือดด๎วยอุปกรณ์ชํวยชีวิตประจากาย
ขั้นก๎าวหนา๎ และ ถํายทอด ทหาร
Advance ความรูเ๎ รือ่ งได๎ 2. การให๎คาปรึกษากับ ผบ.หนํวย หรือกาลังพลอื่นๆ เรื่องการ
หา๎ มเลอื ดด๎วยอุปกรณ์ชวํ ยชวี ิตประจากายทหาร
ระดบั ท่ี 5 มรี ะดับท่ี 1 2 3 4 1. นาเสนอแนวทางการปรับปรุงการห๎ามเลือดด๎วยอุปกรณ์
ข้นั และ ให๎คาแนะนา ชํวยชวี ิตประจากายทหาร
ผเู๎ ชี่ยวชาญ คิดคน๎ นวตั กรรมได๎ 2. นาเสนอแนวทางการพัฒนา/นวัตกรรม หรือ งานวิจัย ในการ
Expert หา๎ มเลอื ดด๎วยอุปกรณ์ชํวยชวี ิตประจากายทหาร
38
FCc3 : การช่วยฟน้ื คืนชีพ
คาจากัดความ :ความสามรถในการชํวยเหลอื ผูท๎ ่หี ยดุ หายใจหรือหัวใจหยดุ เต๎น ให๎มีการหายใจและการไหลเวียนกลับคืนสูํ
สภาพเดิม เพื่อปูองกันเนื้อเยื่อไดร๎ บั อนั ตรายจากการขาดออกซิเจนอยาํ งถาวร ซ่งึ สามารถทาได๎โดยการชํวยฟ้ืนคนื ชีพข้นั
พ้นื ฐาน (Basic life support) ได๎แกํ การจดั ทําเปิดทางเดินหายใจ การผายปอด และการนวดหวั ใจภายนอก
ระดับ พฤติกรรมบ่งชี้ เกณฑ์
ผาํ น/ไมํผําน
ระดบั ที่ 1 อธบิ ายอาการ/อาการ 1 . บอกอาการ/อาการแสดงของผ๎ูทห่ี ยดุ หายใจ/หวั ใจหยุด
ข้นั เรยี นรู๎ แสดงของผทู๎ หี่ ยดุ หายใจ เต๎นไดอ๎ ยํางถูกตอ๎ ง
Basic หรอื หวั ใจหยดุ เตน๎ และ 2. บอกได๎ถงึ ข้ันตอนการชวํ ยฟืน้ คืนชีพขนั้ พน้ื ฐานไดอ๎ ยําง
ขน้ั ตอนการชํวยฟืน้ คืนชพี ถูกต๎อง
ได๎ 3.ประเมนิ สภาพแวดล๎อมทีป่ ลอดภัยตํอการชํวยชวี ิตขัน้
พืน้ ฐานได๎
ระดับท่ี 2 มีระดับที่ 1 และมีทกั ษะ 1 คลาชพี จร
ขนั้ ปฏบิ ัติ ในการชวํ ยฟน้ื คืนชีพขัน้ 2.การวางมือสาหรบั การกดนวดหัวใจไดอ๎ ยาํ งถูกต๎อง
Doing พื้นฐาน และเตรียมผู๎ปุวย 3. กดนวดหนา๎ อกเป็นจังหวะอยํางมีประสทิ ธภิ าพ โดย กด
เพ่อื รอการสํงกลับได๎ เร็ว-กดลกึ -กดโดยไมํหยดุ
4. เปดิ ทางเดนิ หายใจ และชวํ ยหายใจได๎อยาํ งถูกต๎อง
5. จัดทาํ พักฟื้นเพือ่ รอการสงํ กลับ
ระดบั ท่ี 3 มีระดับที่ 1และ 2 และ 1.ประเมนิ ผลสาเร็จของการชํวยฟืน้ คนื ชีพขนั้ พืน้ ฐานได๎
ข้ันพัฒนา ประเมินความสาเรจ็ ของ 2. แก๎ปญั หาทเ่ี กดิ ขนึ้ ในระหวํางการชวํ ยฟน้ื คืนชีพได๎
Developing การชํวยฟ้นื คืนชีพข้ัน
พน้ื ฐานและแกป๎ ัญหาได๎
ระดับท่ี 4 มีระดบั ที่ 1 2 3 และ 1 คน๎ หาสาเหตุของการชํวยชวี ติ ข้นั พ้นื ฐานไมสํ าเร็จ แลว๎ ทา
ขัน้ ก๎าวหนา๎ ทาการค๎นหาสาเหตขุ อง การแก๎ไขได๎
Advance การชํวยชวี ิตไมํสาเร็จ และ 2.ประสบการณ์การถํายทอดความรู๎ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ
มปี ระสบการณใ์ นถํายทอด หรือ การให๎คาปรึกษากับ ผบ.หนํวย กาลังพลอ่ืนๆ เร่ือง
ความร๎ู เรื่องการชํวยฟน้ื การชํวยฟน้ื คืนชีพ
คนื ชีพข้นั พนื้ ฐาน
ระดับท่ี 5 มีระดับท่ี 1 2 3 4 และ มี 1. แนวทางการปรบั ปรุงคุณภาพการชวํ ยฟื้นคนื ชพี
ขัน้ ผเ๎ู ชี่ยวชาญ แนวทางในการพัฒนาการ 2. การนาเสนอแนวทางการพัฒนา/ นวัตกรรม หรือ
Expert ชวํ ยฟื้นคนื ชีพ งานวจิ ยั ท่เี กี่ยวกับการชํวยฟื้นคืนชพี
39
FCc4 : การบรหิ ารยาในสนาม
คาจากัดความ:ความสามารถในการบริหารยา(การใช๎ยาภายนอก ยารับประทาน การฉีดยาเข๎ากล๎ามเนือ้ การฉดี ยาเขา๎
เสน๎ เลือด) ตงั้ แตํการเตรยี มยา การใหย๎ า ตามหลกั การ 5 R และ การตดิ ตามประเมนิ ผลหลังการให๎ยา รวมท้งั การแก๎ไข
ภาวะแทรกซ๎อนภายหลังการใหย๎ าไดอ๎ ยาํ งถูกตอ๎ ง
ระดับ พฤตกิ รรมบ่งชี้ เกณฑ์
ผา่ น/ไม่ผ่าน
ระดบั ที่ 1 มีความรูเ๎ กี่ยวกับ 1. อธบิ ายประเภทของยา และสรรพคุณของยา อาการข๎างเคียง
ข้นั เรียนร๎ู การบรหิ ารยา 2. อธบิ ายการบรหิ ารยาตามหลัก 5 R ได๎อยํางถูกต๎อง
Basic 3. การให๎ยารับประทาน /ยาใช๎ภายนอก /ยาฉีดเข๎ากล๎ามเน้อื
ระดบั ที่ 2 แสดงสมรรถนะ 1. ประเมินสภาพผ๎ปู วุ ยกํอนการใหย๎ าได๎อยาํ งถูกต๎อง
ขน้ั ปฏิบตั ิ ระดับท่ี 1 และ 2. สามารถคานวณขนาดยา และ ทาการใหย๎ าได๎อยํางถูกต๎อง
Doing สามารถประเมนิ เหมาะสม
ให๎ยาได๎ อยําง 3.แนะนาผ๎ูปุวยเก่ยี วกับการใชย๎ าเพือ่ เสรมิ การออกฤทธ์ยิ า และ
ระดับที่ 3 ถกู ต๎องเหมาะสม ลดอาการขา๎ งเคยี งท่ีอาจจะเกิดขึ้นได๎
ขัน้ พัฒนา 4. สงั เกต ตดิ ตามผลการใหย๎ า
Developing แสดงสมรรถนะ 1.ติดตามผลการใชย๎ าและบอกถึงอาการทไ่ี มํพึงประสงค์ท่ีอาจจะ
ระดับท่ี 1 และ 2 เกดิ ขน้ึ ได๎
ระดับที่ 4 และแก๎ไขอาการ 2.ทราบวธิ ีการแก๎ไขอาการที่ไมพํ งึ ประสงค์ของการให๎ยาได๎
ขัน้ กา๎ วหนา๎ ท่ไี มํพึงประสงค์
Advance แสดงสมรรถนะ 1. ในกรณที ี่ไมํมียาที่ต๎องการ เลอื กใช๎ยาที่มคี ุณสมบัตคิ ล๎ายคลึง
ระดับที่ 1 2 3 ทดแทนไดถ๎ ูกต๎อง
ระดับที่ 5 และแกป๎ ัญหา/ให๎ 2. สามารถสอน ให๎คาปรึกษาแนะนากับผู๎อื่นเกยี่ วกับวธิ กี าร
ข้ันผ๎ูเชย่ี วชาญ คาแนะนาได๎ บรหิ ารยารวมทั้งวธิ ีการแก๎ไขปญั หาท่เี กิดข้ึนได๎
แสดงสมรรถนะ 1. มีแนวทางการปรบั ปรงุ คณุ ภาพการบริหารยา
Expert ระดับที่ 1 2 3 4 2.นาเสนอแนวทางการพัฒนา/ นวัตกรรม หรือ งานวิจัย ที่
และพัฒนาการ เก่ยี วกับการบรหิ ารยา
บรหิ ารยา
40
FCc5 : การใหส้ ารน้าทางหลอดเลือดดา
คาจากัดความ: ความสามารถในการใหส๎ ารนา้ ทางหลอดเลอื ดดา ต้ังแตํการประเมนิ สภาพผูป๎ วุ ย การบอก
วัตถุประสงค์ของการให๎สารน้าทางหลอดเลือดดา การเตรียมอุปกรณ์ การเลือกตาแหนงํ ของหลอดเลือดดาที่เหมาะสม
ขัน้ ตอนและวธิ กี ารใหส๎ ารนา้ ทางหลอดเลอื ดดา การปรบั อัตราหยดของสารนา้ ตามแผนการรกั ษา การดูแล เฝูาระวงั และ
แกไ๎ ขภาวะแทรกซ๎อนจากการใหส๎ ารนา้ ทางหลอดเลือดดาได๎อยํางถูกต๎อง ปลอดภัยและทนั เวลา รวมถึงจดั ทาบนั ทึก
ทางการแพทยเ์ กยี่ วกับการให๎สารนา้ ทางหลอดเลือดดา
ระดบั พฤติกรรมบ่งชี้ หมายเหตุ
ผา่ น/ไม่ผา่ น
ระดบั ท่ี 1 มคี วามรู๎เก่ียวกับ 1. อธิบายวัตถปุ ระสงค์ของการให๎สารน้า
ขน้ั เรยี นรู๎ การให๎สารน้าทาง 2.อธบิ ายการเตรยี มอุปกรณ์
Basic หลอดเลือดดา 3. อธิบายขน้ั ตอนและวธิ ีการใหส๎ ารน้า
4.เลือกตาแหนงํ การให๎สารน้าฯได๎เหมาะสม
ระดบั ที่ 2 มสี มรรถนะระดบั ที่ 1. ใหส๎ ารน้าตามหลกั 5 R ได๎อยาํ งถกู ต๎อง
ข้นั ปฏบิ ตั ิ 1และใหส๎ ารนา้ ได๎ 2. ปรบั อัตราการให๎สารนา้ ไดเ๎ หมาะสมตามอาการ
Doing อยาํ งถูกต๎อง เปลีย่ นแปลงของผูป๎ ุวย
ระดบั ท่ี 3 มีสมรรถนะระดบั ท่ี 1.เฝูาระวังอาการเปลีย่ นแปลง แกไ๎ ขภาวะแทรกซ๎อนจากการ
ขั้นพฒั นา 1 และ 2 จดั การกับ ใหส๎ ารน้าไดอ๎ ยํางถูกต๎อง
Developing สถานการณ์และ 2. ประยกุ ตใ์ ช๎อุปกรณ์การให๎สารน้าในสนามได๎อยําง
แก๎ไขปญั หาได๎ เหมาะสมตามสถานการณ์
ระดบั ที่ 4 สมรรถนะระดบั ท่ี 1. ถํายทอดความร๎ู แนะนา การปฏบิ ตั กิ ารใหส๎ ารนา้ ทาง
ขั้นกา๎ วหนา๎ 1,2,3 และให๎ หลอดเลอื ดดาให๎กบั กาลังพล
Advance คาแนะนา 2.การใหค๎ าปรึกษาแนะนาแกํ ผบ.หนํวย หรอื กาลงั พลอน่ื ๆ
ถํายทอดความร๎ู ในเร่อื งการให๎สารน้าฯ
และการปฏิบัติ
ระดบั ที่ 5 สมรรถนะระดบั ที่ 1.นาเสนอแนะแนวทางการปรบั ปรุงและแก๎ไขปญั หาที่อาจ
ขนั้ ผ๎ูเชี่ยวชาญ 1,2,3,4 สรา๎ ง เกิดข้นึ จากการให๎สารน้าทางหลอดเลอื ดดา
Expert นวตั กรรมในการให๎ 2.นาเสนองานวิจัย หรอื นวัตกรรมการใหส๎ ารน้าทางหลอด
สารนา้ ทางหลอด เลอื ดดา
เลอื ดดา
41
บทท่ี 5
สรุปผลการวจิ ยั อภปิ รายผล และ ขอ้ เสนอแนะ
การวิจยั คร้ังนมี้ วี ัตถปุ ระสงค์เพ่ือศกึ ษาองค์ประกอบของสมรรถนะประจากลํมุ งานของนายสบิ
พยาบาล ชกท. 911 และ 912 และ เพ่ือพัฒนาเคร่ืองมือการประเมินสมรรถนะประจากลุมํ งานนายสบิ
พยาบาล ชกท. 911 และ 912 ในการศึกษาครงั้ นแ้ี บงํ เปน็ 3 ข้ันตอน
ข้นั ตอนที่ 1 เป็นการศึกษาหาองคป์ ระกอบสมรรถนะประจากลุํมงานนายสบิ พยาบาล ชกท. 911 และ
912 ผู๎วจิ ัยทาการศึกษาคน๎ หาองคป์ ระกอบของสมรรถนะประจากลุํมงานนายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ
912 ซ่ึงองค์ประกอบท่ีค๎นพบเป็นสง่ิ ทีส่ ะท๎อนมาจากการปฏบิ ัตงิ านของนายสบิ พยาบาล และ ไดม๎ าจากความ
คดิ เห็นของผ๎บู ังคับบัญชาซ่งึ ปฏิบัตงิ านรํวมกนั กับนายสิบพยาบาล และข๎อมูลบางสวํ นได๎มาจากกลํุมผูบ๎ รหิ าร
ซ่ึงเป็นผ๎กู าหนดทิศทางการผลติ บคุ คลากร การจัดการฝึก การอบรม ตลอดจนการสํงเสรมิ องค์ความรู๎ของนาย
สิบพยาบาลเพ่ือตอบสนองภารกจิ ของกองทัพบก
การศึกษาในขนั้ ตอนน้ีใช๎กลมํุ ตัวอยาํ งนายสิบพยาบาลในสงั กัดกองทัพภาคท่ี 2 จานวน 22 ราย และ
กองทพั ภาคที่ 4 จานวน 14 ราย เกบ็ ข๎อมลู ดว๎ ยการสนทนากลมุํ ภายในกลมํุ นายสบิ พยาบาล และเก็บข๎อมูล
ดว๎ ยการสนทนากลํมุ กบั ผใู๎ หข๎ ๎อมูลสาคญั (Key informant) ในกลํมุ อาจารย์จานวน 7 ราย ผ๎บู งั คับบญั ชาของ
นายสบิ พยาบาล จานวน 6 ราย ทาการสัมภาษณเ์ ชิงลกึ จากกลํุมผู๎บริหาร จานวน 4 ราย หลงั จากนัน้ จากการ
เกบ็ รวบรวมข๎อมูลและทาการวเิ คราะห์ข๎อมูลด๎วยวิธีการวเิ คราะห์เน้ือหา จนกระท่ังได๎องค์ความร๎ทู จี่ าเปน็ หรือ
องค์ประกอบของสมรรถนะประจากลํุมงานนายสบิ พยาบาล ชกท. 911 และ 912 จากการศึกษาครัง้ น้ีพบวาํ มี
สมรรถนะทจี่ าเปน็ ไดแ๎ กํ 1) การคัดแยกและการสงํ กลบั ผป๎ู ุวยเจ็บ 2) การหา๎ มเลือดด๎วยอุปกรณ์ชํวยชวี ติ
ประจากายทหาร 3) การชํวยฟื้นคืนชีพ 4) การบรหิ ารยาในสนาม 5) การให๎สารนา้ ทางหลอดเลือดดา
ข้นั ตอนที่ 2 ทาการพฒั นาเครอ่ื งมือการประเมินสมรรถนะประจากลุํมงานนายสบิ พยาบาล ชกท. 911
และ 912 โดยพัฒนาพฤติกรรมบํงชใ้ี นแตํละสมรรถนะ โดยแบํงแตลํ ะสมรรถนะออกเป็น 5 ระดับ ตง้ั แตํระดับ
ท่ี 1 ข้นั พ้นื ฐาน ระดับที่ 2 ขน้ั ปฏิบัติ ระดับท่ี 3 ขัน้ พัฒนา ระดับท่ี 4 ข้นั ก๎าวหนา๎ ระดบั ที่ 5 ข้ันผเู๎ ช่ยี วชาญ
ในข้นั ตอนนี้ใช๎การสนทนากลํมุ จากผเู๎ ชี่ยวชาญเพ่อื ตรวจสอบความถูกตอ๎ งเนื้อหา
ขั้นตอนท่ี 3 เป็นการทดสอบเครอ่ื งมือในการประเมินสมรรถนะประจากลมํุ งานนายสบิ พยาบาล ชกท.
911 และ 912 ใชก๎ ลํุมตวั อยําง จากกองทัพภาคท่ี 1 และกองทัพภาคที่ 2 จานวน 30 คน โดยใช๎เกณฑผ์ ําน/ไมํ
ผําน คูมํ ือการประเมนิ มีคาอธิบายรายละเอียดของพฤตกิ รรมบํงช้ีทีเ่ ก่ยี วข๎องกับสมรรถนะ ซง่ึ รายละเอยี ด
42
พฤติกรรมบงํ ชี้ต้งั แตํระดับท่ี 1-5 รายละเอยี ดมคี าอธบิ ายอยูํในภาคผนวก ทาการวิเคราะห์ด๎วยสถิติ ไดแ๎ กํ ร๎อย
ละ คาํ เฉลย่ี หลงั จากนั้นทาการทบทวนหลังการปฏิบตั ิและ ทาการปรับแกไ๎ ขเคร่ืองมือในการประเมิน
สมรรถนะประจากลมุํ งานนายสบิ พยาบาล ชกท. 911 และ 912
5.1 สรปุ และอภิปรายผลการวิจัย
5.1.1 คณุ ลกั ษณะของนายสิบพยาบาลท่ีพึงประสงค์
จากผลการศึกษาวจิ ยั ครัง้ น้ีได๎ข๎อค๎นพบท่สี าคัญประการสาคัญท่ีเปน็ สวํ นหน่งึ ท่ที าให๎เกิดประสทิ ธผิ ล
ในการให๎บรกิ ารทางการแพทยข์ องนายสิบพยาบาล คณุ ลักษณะท่ีกลําวถึงในที่นีป้ ระกอบด๎วย คุณลักษณะที่
สาคัญสามประการ ได๎แกํ การครองสติ ความม่ันใจ และ ความใฝรุ ู๎ คณุ ลกั ษณะทัง้ สามประการดงั กลําวเปน็ ไป
ในทางเดยี วกนั กับองคป์ ระกอบของสมรรถนะใน 5 ดา๎ น ตามแนวทางที่ Mc Cleland ไดศ๎ ึกษาไว๎ (จริ ประภา
อัครบวร, 2549) ซึ่งองคก์ รจะบรรลเุ ปาู หมายไดบ๎ ุคลากรจาเปน็ ตอ๎ งมีคุณลกั ษณะ 5 ดา๎ น ไดแ๎ ดํ ความรู๎ ทักษะ
ความคดิ เห็นเกย่ี วกบั ตนเอง บคุ ลกิ ประจาตัว และ แรงจงู ใจ ซง่ึ ทั้ง 5 ประการดงั กลําวนั้นจะสํงผลถึงพฤติกรรม
ในการปฏบิ ัตหิ นา๎ ท่ี สงํ ผลถงึ ผลสาเรจ็ ของงาน และ มผี ลตอํ เปูาหมายสุดท๎ายคอื การทาใหอ๎ งค์กรบรรลุ
เปูาหมาย
“การครองสติ ความมัน่ ใจ และ ความใฝรุ ู๎” เปน็ การให๎ความสาคญั กบั ความคิดเห็นเกย่ี วกับตนเองเป็น
หน่งึ ในองค์ประกอบสมรรถนะทส่ี าคญั หนึ่งตามแนวทางที่ McCleland ได๎กลาํ วไว๎ ความคดิ เห็นเกย่ี วกับ
ตนเองของนายสบิ พยาบาลตระหนกั ถึงการครองสติซึ่งจะต๎องร๎ูวาํ ตนเองกาลงั อยํใู นสถานการณ์เชํนไรจะทาให๎
ควบคุมอารมณ์ความร๎สู กึ และสงํ ผลตํอการปฏิบตั ิหน๎าทีไ่ ด๎ ความคดิ เห็นเก่ยี วกบั ตนเองในเร่ืองความมั่นใจใน
การให๎การรักษาพยาบาลก็เป็นส่งิ สาคัญ ซง่ึ ความม่ันใจในตนเองนเี้ กิดจากการได๎ปฏิบตั ติ ามหนา๎ ที่นายสิบ
พยาบาล สวํ นความใฝรุ ๎ูของนายสิบพยาบาลก็เป็นสวํ นทเ่ี ชื่อมโยงกับองค์ประกอบของสมรรถนะในด๎านความรู๎
และทักษะ ซ่ึงนายสบิ พยาบาลเลง็ เหน็ วาํ จาเปน็ ต๎องมีองค์ความร๎ทู ่ีเทํากนั กบั สถานการณ์ทเี่ ปลี่ยนแปลงไป
จากข๎อมูลท่ีได๎จากการศึกษาวิจัยน้ีพบปญั หาเชิงระบบในเรื่องการบรรจนุ ายสบิ พยาบาลตาม ชกท.
ตลอดจนการใช๎งานนายสบิ พยาบาลไมํตรงกับ ชกท. นอกจากนีค้ วามขาดแคลนทางดา๎ นทรพั ยากรท้งั ในเชงิ
ปริมาณและคุณภาพ ทรพั ยากรท่ีมีอยมํู ีจานวนไมํเพียงพอและสิ่งทมี่ ีอยูํบางประเภทใชก๎ ารไมไํ ด๎ ปจั จยั ทีก่ ลาํ ว
มาสํงผลทาใหข๎ าดการฝึกฝนทางดา๎ นวชิ าชพี ที่ตํอเน่ืองสม่าเสมอ ทาให๎นายสิบพยาบาลขาดโอกาสในการเรียนรู๎
และสํงผลตอํ องค์ความรู๎ และการปฏิบตั ไิ ดต๎ ามสมรรถนะท่ีกาหนดไว๎
43
5.1.2 องค์ประกอบสมรรถนะนายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912
จากผลการศึกษาวิจัยพบวําสมรรถนะที่สาคญั ๆสาหรบั นายสิบพยาบาลมี 5 ทกั ษะที่สาคัญได๎แกํ
การคดั แยกและการสงํ กลับผ๎ปู ุวยเจบ็
การห๎ามเลอื ด
การชวํ ยพืน้ คืนชีพ
การบริหารยา
การให๎สารนา้ ทางหลอดเลอื ดดา
ผลการศึกษาวจิ ัยเป็นไปในแนวทางเดยี วกันกบั การฝกึ นายสิบพยาบาลของกองทัพบกสหรฐั อเมริกา
Headquarters, Department of The Army. (2007) ทีม่ ีการกาหนดสมรรถนะของนายสบิ พยาบาล และ
มกี ารจัดตารางการฝึกฟน้ื ฟูความรู๎ประจาปี และมีทักษะที่ตรงกนั กบั การปฏบิ ตั กิ ารพยาบาลทก่ี องวิทยาการ
ไดศ๎ ึกษาไวเ๎ มือ่ ปี พ.ศ. 2549 (กองวิทยาการ,กรมแพทย์ทหารบก, 2549) และเป็นสวํ นหน่งึ ของเน้ือหาใน
หลักสูตรนกั เรียนนายสบิ ทหารบก เหลาํ ทหารแพทย์ (กองการศึกษา,โรงเรยี นเสนารกั ษ์, 2552) ได๎จดั ให๎มี
การเรียนการสอนรวมถึงการฝกึ ปฏบิ ัติ อยํางไรก็ตาม จากการศกึ ษาครั้งนี้ได๎องคป์ ระกอบสมรรถนะ หรอื
จานวนทกั ษะมจี านวนน๎อยกวําเนื้อหาในหลักสตู ร ท้ังน้ีเพราะเป็นการค๎นหาทักษะทจ่ี าเป็นจริงๆเพ่ือการ
ประเมินสมรรถนะของนายสิบพยาบาลประจากลํมุ งาน ชกท. 911 และ 912 ซง่ึ ทกั ษะทัง้ 5 ดา๎ น ไดแ๎ กํ การ
คัดแยกและการสงํ กลบั ผูป๎ วุ ยเจ็บ การหา๎ มเลอื ดด๎วยอุปกรณ์ชวํ ยชวี ติ ประจากายทหาร การชวํ ยพื้นคนื ชพี
การบรหิ ารยาในสนาม การใหส๎ ารนา้ ทางหลอดเลือดดา ทักษะดังกลาํ วทั้งหมดเปน็ ทักษะทจี่ าเป็นต๎องทาให๎
ไดท๎ ้ังในท่ีต้งั ปกตแิ ละ ในสนาม เพื่อมํุงสํูการเป็นนายสิบพยาบาลท่ีมีความเปน็ มืออาชีพ