The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จิราภรณ์ ชมศรี และคณะ. การพัฒนาเครื่องมือสำหรับการประเมินสมรรถนะประจำกลุ่มงาน นายสิบพยาบาล. โรงเรียนเสนารักษ์ กรมแพทย์ทหารบก, ม.ป.ป.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การพัฒนาเครื่องมือสำหรับการประเมินสมรรถนะประจำกลุ่มงาน นายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912

จิราภรณ์ ชมศรี และคณะ. การพัฒนาเครื่องมือสำหรับการประเมินสมรรถนะประจำกลุ่มงาน นายสิบพยาบาล. โรงเรียนเสนารักษ์ กรมแพทย์ทหารบก, ม.ป.ป.

Keywords: เสนารักษ์,ทหาร,โรงเรียนเสนารักษ์,นายสิบพยาบาล,กรมแพทย์ทหารบก

44

5.1.3 การทดสอบเครื่องมือประเมนิ สมรรถนะประจากลุ่มงานนายสบิ พยาบาล ชกท.911และ 912

จากผลการศึกษาวจิ ยั เมื่อได๎องค์ประกอบสมรรถนะ และทาการพัฒนาเคร่อื งมอื ในการประเมิน
สมรรถนะประจากลํมุ งานนายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912 ผลจากการทดสอบการใช๎เครือ่ งมือในการ
ประเมนิ สมรรถนะฯ พบวําความชัดเจนของเนือ้ หาในชํองพฤติกรรมบงํ ชี้ในแตสํ มรรถนะเปน็ สิ่งสาคญั ทีส่ งํ ผล
ตํอระดับการประเมิน ปัจจัยด๎านตวั บคุ คล ในทีน่ ี้หมายถึงผู๎ประเมินที่แตกตํางกนั จะทาให๎ผลการประเมินมี
ความแตกตํางกันได๎ ซ่ึงกองทัพบกสหรัฐอเมริกา มีการฝกึ อบรมใหก๎ บั ผป๎ู ระเมินกํอนที่จะทาการประเมินผล
ใหก๎ บั นายสบิ พยาบาล และ มีเวลาใหส๎ าหรบั การประเมินผลนายสิบพยาบาลแตลํ ะรายในทกุ สถานีเป็นเวลา 2
ชว่ั โมง (Headquarters, Department of The Army, 2007) ปัจจัยด๎านการกาหนดเวลาท่เี หมาะสมในการ
ประเมนิ เปน็ รายบุคคลก็เป็นอีกหนึง่ ปจั จยั ทจ่ี ะสงํ ผลตํอการประเมนิ ระดบั สมรรถนะประจากลมํุ งานนายสบิ
พยาบาล ชกท. 911 และ 912 ซ่งึ คําเฉลีย่ จากการทดลองประเมนิ สมรรถนะในครง้ั นี้ใชเ๎ วลาประมาณ 13-15
นาที

จากผลการศึกษาในครงั้ นี้พบวาํ สวํ นใหญนํ ายสบิ พยาบาลยงั ไมสํ ามารถผํานเกณฑ์การวัดสมรรถนะใน
ระดบั ท่ี 1 ซงึ่ เป็นขัน้ ของความร๎พู ้ืนฐานได๎ ซึ่งสอดคล๎องกับการวิจยั เชงิ คุณภาพในข้นั ตอนที่ 1 ทเ่ี ป็นข๎อมูลท่ีได๎
จากการเกบ็ ข๎อมลู ดว๎ ยการสนทนากลํมุ ข๎อมลู ที่ได๎พบวาํ นายสบิ พยาบาลขาดโอกาสในการเรยี นรูแ๎ ละฝึกฝน
ทกั ษะท่จี าเป็นในการปฏิบัติหน๎าท่ีนายสิบพยาบาล นอกจากนีอ้ งค์ความร๎แู ละทักษะท่มี ีอยํเู ปน็ องค์ความร๎ูเดิม
ที่ปัจจบุ นั มีการปรบั เปลี่ยนไปตามวิทยาการทางการแพทย์ เชนํ การชวํ ยฟ้ืนคืนชพี และ การหา๎ มเลอื ด

การชํวยฟ้นื คืนชพี มขี ้นั ตอนรายละเอียดการปฏิบตั ิท่ีแตกตาํ งกนั ซึ่งหลักการเดิมเนน๎ ลาดับ Airway ,
Breathing and Circulation ซ่งึ ต๎องทาการเปดิ ทางเดินหายใจกํอนท่ีจะทาการนวดหน๎าอก แตสํ าหรบั
หลกั การใหมํทีย่ ดึ หลัก CPR 2010 เนน๎ ลาดับ Circulation, Airway and Breathing โดยใหค๎ วามสาคญั กับ
การนวดหนา๎ อก เปิดทางเดินหายใจใหโ๎ ลงํ และ ดกู ารหายใจโดยการเปุาลมเข๎าปอด (สมาคมแพทย์โรคหัวใจ
แหงํ ประเทศไทย, 2555)

การหา๎ มเลอื ดมีการปรบั เปลยี่ นการวางตาแหนงํ ของรัดสายยางรดั ห๎ามเลอื ด หลกั การเดิมเน๎นทีก่ าร
วางสายยางรัดห๎ามเลือดไวเ๎ หนือบาดแผลหน่งึ ฝาุ มือ และใช๎วิธีการหา๎ มเลอื ดด๎วยสายยางรดั ห๎ามเลอื ดเป็นวิธี
สดุ ท๎าย แตอํ งคค์ วามร๎ูในปัจจุบนั ตามหลกั การชวํ ยเหลอื ชวี ิตทางยุทธวิธีเน๎นการรดั สายยางรัดหา๎ มเลือดที่
ตาแหนงํ ต๎นแขนหรือต๎นขาขา๎ งทม่ี บี าดแผล และพิจารณาใช๎สายยางรดั หา๎ มเลือดเป็นวิธแี รกในชํวงระยะเวลาท่ี
มีการปะทะ (Bond, et.al, 2005, กองการศึกษา โรงเรยี นเสนารกั ษ์, 2556) ด๎วยเหตุผลดังกลาํ วจึงทาให๎เมอื่
นายสิบพยาบาลถูกประเมินด๎วยองค์ความร๎ูใหมแํ ละใชเ๎ กณฑก์ ารวัดคนละแบบ จงึ ทาใหไ๎ มผํ ํานเกณฑ์


45

5.2 ข้อเสนอแนะ

5.2.1 จากผลการวิจยั ท่พี บวํานายสิบพยาบาลขาดโอกาสในการเรยี นรู๎และฝกึ ฝนทกั ษะท่ีจาเป็น จึง
ควรมกี ารสงํ เสริมหรือการสนับสนุนการเรยี น การฝึกปฏิบัติจากสวํ นกลางอยํางน๎อย ปลี ะ 1 ครง้ั เพอื่ ใหไ๎ ด๎องค์
ความรทู๎ นั สมยั เทําทนั กนั ในทุกหนวํ ย และสามารถทานายสิบพยาบาลได๎ทาการเพิ่มพนู องค์ความรู๎และทักษะ
และนาไปสํูพฤติกรรมที่แสดงออกของการเป็นนายสิบพยาบาลทพ่ี ึงประสงค์ได๎

5.2.2 ควรมกี ารผลติ สอ่ื การเรียนการสอน เพ่ือให๎หนํวยตาํ งๆสามารถจัดการเรยี นการสอนภายใน
หนวํ ยไดเ๎ ป็นมาตรฐานเดียวกัน

5.2.3 ควรมีระบบการกากับดูแลอยํางใกล๎ชดิ เพื่อใหเ๎ กิดผลสัมฤทธิ์ของการเป็นมอื อาชพี ของนายสบิ
พยาบาล

5.2.4 จากผลการวจิ ัยการทดสอบเคร่ืองมือในการประเมินสมรรถนะครั้งนี้ทีม่ ีขอ๎ จากัดในการให๎เกณฑ์
เพียงผาํ น หรอื ไมผํ าํ น ดังน้ันควรทาการศึกษาวจิ ัยเพม่ิ เติมของการพฒั นาระบบการประเมินสมรรถนะ เพ่อื ให๎
ไดเ๎ กณฑ์มาตรฐาน และสามารถกาหนดเปน็ ระดบั คะแนนท่ีเหมาะสมสาหรบั เกณฑ์การผาํ นสมรรถนะ ซง่ึ
จะตอ๎ งมกี ารกาหนดแนวทางทชี่ ดั เจนในการประเมนิ ผลเพ่ือทาให๎การประเมนิ สมรรถนะเปน็ ไปในทางเดียวกนั

5.2.5 ควรมีการจดั อบรมผู๎ทจ่ี ะต๎องทาหนา๎ ที่ในการประเมินนายสิบพยาบาลเพ่ือใหเ๎ ขา๎ ใจเครอื่ งมือ
ประเมินสมรรถนะอยาํ งทํองแท๎ และ สามารถทาการประเมินกาลังพลให๎กบั หนวํ ยตนเองได๎


46

เอกสารอา้ งองิ

ก.พ.ร. คูมํ ือการประเมินผลการปฏบิ ัตริ าชการ 2553-2554.
กรมแพทยท์ หารบก .(2513). คูํมือราชการสนาม 8-10 การบรกิ ารแพทยใ์ นยทุ ธบรเิ วณ. กรุงเทพฯ
กองการศึกษา โรงเรียนเสนารักษ.์ (2552). วิชาการพยาบาลพ้ืนฐาน. โรงเรยี นเสนารกั ษ์ กรมแพทยท์ หารบก.

กรุงเทพฯ
กองการศึกษา โรงเรยี นเสนารักษ์. (2556). การปฏบิ ตั ิการชํวยเหลอื ชีวิตของนายสิบพยาบาล.

(Perform Combat Medic Care). โรงเรียนเสนารกั ษ์ กรมแพทยท์ หารบก.
กองวิทยาการ กรมแพทยท์ หารบก.(2549). คูมํ ือปฏบิ ัตกิ ารพยาบาล นายสบิ พยาบาล ชกท.911 และ 912.

กองวิทยาการ กรมแพทย์ทหารบก
คาส่ังกองทัพบก ที่ 319/22837 เรอ่ื ง ให๎ใชร๎ ะบบหมายเลขความชานาญทางทหาร สาหรับนายทหารชัน้

ประทวน และพลทหาร ลง 9 พฤศจิกายน 2499
จริ ประภา อัครบวร .(2549). สรา๎ งคนสรา๎ งผลงาน.กรุงเทพฯ. ก.พลพมิ พ์.
ชาย โพธสิ ติ า. (2550). ศาสตร์และศิลปแ์ หํงการวจิ ัยเชงิ คณุ ภาพ. อัมรินทร์พริ้นต้งิ แอนด์พับลชิ ช่งิ จากดั

(มหาชน). กรงุ เทพฯ
ณฐั วัฒน์ นปิ กากร .(-).การจดั ทาสมรรถนะและแผนพัฒนารายบุคคล (Competency and individual
development plan).
www.203.152.146.10/intraplrh/department/dep10/filepdf/file.10/competency.ppt
ประจักษ์ ทรัพย์อดุ ม. (2550). แนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนษุ ยด์ ๎วยสมรรถนะCompetency.
ประชติ ศราธพนั ธ์ุ . (2555). สมรรถนะพยาบาล.www.ns.mahidol.ac.th
รงุํ ทิวา พมิ พส์ กั กะ. (2549). กระบวนการจัดทาสมรรถนะทางการพยาบาลของพยาบาล กพย.รพ.รร.6.

วารสารพยาบาลทหารบก.
วิสทุ ธ์ิ สุวทิ ยะศิริ .(2553). การพัฒนาการประเมนิ สมรรถนะบุคลากรงานการพยาบาล. วทิ ยาลัยแพทย์ศาสตร์

กรงุ เทพมหานครและวชิรพยาบาล.
http://www.msd.bangkok.go.th/present/130851%20morning/4.visuth.pdf
สมาคมแพทย์โรคหัวใจแหํงประเทศไทย .(2555). คูํมือการชวํ ยชีวิตขน้ั พืน้ ฐาน สาหรบั ประชาชนท่ัวไป

(Handbook of Basic Life Support For Citizen Update 2011. คณะกรรมการมาตรฐานการ
ชวํ ยชวี ิต สมาคมแพทยโ์ รคหวั ใจแหํงประเทศไทยในพระบรมราชูปถมั ภ์.กรุงเทพฯ.


47

อเนกลาภ สุทธนิ นั ท์ .(-). การพฒั นาบคุ คลกรตามหลักของสมรรถนะ (Competency base learning).
www.km.ru.ac.th/plan/document/competency.ppt
อรสา สุขดี .(2552). การประเมนิ สมรรถนะในการปฏบิ ตั ิงานของบุคลากรงานจํายกลางโรงพยาบาลสงั กัด

กองทัพบก วิทยานิพนธห์ ลกั สตู รปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑติ (สาธารณสุขศาสตร)์
สาขาเอกบรหิ ารสาธารณสขุ .มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล.
อัจฉรา สขุ มาก. (2549). การพฒั นาแบบประเมินสมรรถนะพยาบาลออรโ์ ธปิดกิ ส์
โรงพยาบาลสงั กดั กระทรวงกลาโหม. วทิ ยานพิ นธห์ ลกั สูตรพยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต
สาขาการบรหิ ารการพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Bons, et.at. (2005). Combat Medic Field Reference. Jones and Baratlett Publishers.
Cresswell, J,W. (1988). Qualitative Inquiry and Research Design Choosing Among Five
Traditions. SAGE. Publications.
Headquarters Department of The Army. (2007). TC 8-800 Medical Education and
Demonstrate of Individual Competence (Medic). Headquarters Department of The Army.
Washington DC, The US.
www.competency.rmutp.ac.th.


48

ภาคผนวก


49

คู่มอื การใชแ้ บบประเมนิ สมรรถนะประจากล่มุ งาน

นายสิบพยาบาล ชกท. 911 และ 912

ม.ี ค. 2558


50

เกณฑใ์ นการแบ่งระดบั สมรรถนะ

การแบงํ ระดับสมรรถนะประจากลมํุ งานแบงํ ได๎ 5 ระดับ ไดแ๎ กํ
ระดับท่ี 1 ขั้นพนื้ ฐาน (Basic level)

ระดับทกั ษะพ้ืนฐานทพ่ี นักงานควรมี ในทนี่ ้หี มายถงึ นายสบิ พยาบาลควรมีความร๎ู
(Knowledge) ในเร่อื งน้ันๆเปน็ อยาํ งดี
ระดบั ท่ี 2 ขั้นปฏิบัตงิ าน (Doing level)

ระดับทีพ่ นกั งานมคี วามสามารถจาเปน็ ต๎องมี ในความหมายน้ี นายสบิ พยาบาลจาเปน็ ต๎อง
มีความรแ๎ู ละสามารถปฏิบัตไิ ด๎อยํางถกู ต๎อง
ระดับท่ี 3 ขั้นประยกุ ต์ (Advance)

ระดบั ที่พนกั งานมคี วามสามารถในการประยุกตใ์ ชท๎ กั ษะในการปฏิบตั งิ านท่ตี นเอง
รบั ผดิ ชอบไดด๎ ี ซ่ึงในทนี่ ้ีไดก๎ าหนดไว๎วาํ นายสิบพยาบาลต๎องมคี วามรู๎ สามารถปฏิบตั ิได๎ และ ตอ๎ ง
สามารถแก๎ไขปัญหาทเ่ี กดิ ข้นึ ในระหวํางท่ใี ห๎การดูแลได๎ แกไ๎ ขปัญหาในสถานการณท์ ่ซี บั ซอ๎ นได๎
ระดับที่ 4 ขั้นก้าวหน้า (Advance)

ระดบั ที่พนกั งานสามารถใช๎ทกั ษะดว๎ ยความชานาญตามที่ตนรับผดิ ชอบ นายสิบพยาบาล
ต๎องมคี วามชานาญ และสามารถทาการถํายทอดองคค์ วามรใู๎ นเรอ่ื งน้นั ๆใหก๎ ับ ผบ.หนํวย หรอื
กาลงั พลได๎
ระดบั ท่ี 5 ขั้นเชี่ยวชาญ (Expert)

ระดบั ท่พี นักงานมคี วามเชี่ยวชาญในการใช๎ทักษะน้ันๆกับหน๎าทคี่ วามรบั ผิดชอบของตน ใน
ท่นี ี้ นายสบิ พยาบาลตอ๎ งมีความเชยี่ วชาญในทักษะนั้น สามารถถาํ ยทอดความร๎ูได๎ และสามารถ
คดิ ค๎นนวตั กรรมหรือทางานวิจัยในเรือ่ งน้ันสาหรบั การดูแลในสนามรบได๎ หรอื สามารถถํายทอด
ความรูน๎ อกหนํวยได๎ หรือ สามารถนาเสนอวสิ ัยทศั น์/แนวทางใหมๆํ สาหรับการดูแลในสนามรบได๎

สถานที ี่ 1. เรอ่ื งการคัดแยกผปู้ ่วยเพื่อการส่งกลบั ทางการแพทย์

การคดั แยกผ๎ปู วุ ยเจบ็ เพ่ือกาหนดความเรํงดวํ นในการรักษาและการสํงกลบั โดยทัว่ ไปการคัดแยก
นาไปใชใ๎ นสถานการณต์ ํางๆซ่ึงมผี ูป๎ วุ ยเจ็บเกดิ ขึน้ หลายคน ทั้งน้ี การคัดแยกผู๎ปวุ ยเจบ็ กระทาเพอื่ ใช๎ทรัพยากร
ท่มี ีอยูํอยํางจากดั ใหเ๎ กิดประโยชนส์ งู สดุ การคดั แยกผ๎บู าดเจบ็ มี 2 ลกั ษณะ คือ

1.การคัดแยกเพื่อการรกั ษา แบํงเป็น เขียว (เล็กน๎อย) เหลอื ง (รอได๎) แดง(เรงํ ดํวน) ดา(หมดหวงั )
2.การคดั แยกเพอ่ื การสํงกลับ แบํงเป็น ดวํ นท่ีสดุ (2 ชม.) ดํวนมาก (4 ชม.) ปกติ (24 ชม.) ดวํ นยทุ ธการ

เปาู หมายของการคดั แยกเพ่ือให๎เกดิ ผลสาเร็จท่ีเป็นประโยชน์ตอํ ผู๎ปวุ ยเจ็บไดเ๎ ป็นจานวนมากท่สี ุด โดย
ตอ๎ งคานึงถึงความเรงํ ดํวนสูงสุดในการใชท๎ รัพยากรทางการแพทย์ทมี่ ี


51

ประเภทของผูป๎ ุวยตามการคัดแยกแตํละประเภทแบํงได๎ดังตํอไปนี้ ไดแ๎ กํ
ก.ประเภทเรํงดํวน (สแี ดง) หมายถึง ผป๎ู ุวยทีต่ ๎องการการรกั ษาทันทเี พื่อรักษาชวี ติ แขน ขา ดวงตา
ไดแ๎ กํ -การอุดตนั ทางเดนิ หายใจ หัวใจและการหายใจลม๎ เหลว มีอาการตกเลือดมาก ช๏อค บาดแผลดดู ทรวง
อก บาดแผลไหมข๎ น้ั ที่ 2-3 ของบรเิ วณใบหนา๎ คอ หรอื ท่ีฝเี ย็บ
ข.ประเภทรอได๎ (สีเหลอื ง) หมายถึงผูป๎ ุวยเจ็บทต่ี ๎องทาใหอ๎ าการคงที่กํอน และ ทาการรักษาแตํ
สามารถรอไดห๎ ลายๆชว่ั โมง โดยทไ่ี มํเปน็ อันตรายตํอรํางกาย ได๎แกํ บาดแผลเปดิ ทห่ี นา๎ อก บาดแผลทะลุชํอง
ทอ๎ ง บาดเจ็บรนุ แรงที่ตา บาดแผลเปิดอน่ื ๆ กระดูกหัก บาดแผลไหม๎ ขนั้ 2 และ 3 ยกเวน๎ ทใ่ี บหน๎า คอ และ
ที่ฝเี ย็บ
ค.ประเภทเล็กน๎อย สเี ขยี ว หมายถงึ ผป๎ู ุวยเจบ็ ทต่ี ๎องการการรักษา แตํสภาพของผูป๎ วุ ยเจ็บรอไดเ๎ ปน็
วันๆ โดยทอ่ี าการไมํแยลํ งไปมากกวาํ เดิม ผูป๎ ุวยเจ็บเหลาํ นีส้ ามารถทาการชํวยเหลือตนเองได๎ ได๎แกํ บาดแผล
ฉีกขาดเล็กน๎อย บาดแผลฝกช้า ขอ๎ แพลง ปญั หาทางจิตประสาท บาดแผลไหม๎เพยี งบางสํวน
ง.ประเภทหมดหวงั (สีดา) หมายถงึ ผ๎ูปวุ ยเจบ็ ท่ีคาดวําจะเสียชีวติ ไดร๎ บั บาดเจ็บมากท่ศี รีษะ มีอาการ
ตํางๆของคนใกล๎เสียชีวิต กลไกสาคัญของรํางกายเสียหายมาก มีอาการตกเลือดอยํางรุนแรง
ขัน้ ตอนในการคัดแยกผป๎ู วุ ยเจ็บ


52

สมรรถนะการคัดแยกและการสํงกลับผ๎ูปวุ ยเจ็บของนายสิบพยาบาลหมายถึง พฤตกิ รรมท่ีนายสิบ
พยาบาลแสดงถึงการใชค๎ วามรูเ๎ ร่อื งเปน็ การคัดแยกผ๎ูปวุ ยเจ็บและการสงํ กลบั เพื่อใชท๎ รัพยากรทีม่ ีอยอูํ ยํางจากัด
ใหเ๎ กดิ ประโยชน์ สามารถคดั แยกและเตรียมผ๎ปู ุวยเจบ็ ออกจากพ้นื ทปี่ ฏิบัติการรบหรอื พน้ื ท่ีตาํ งๆไปยังสถานที่ให๎
การรักษาพยาบาลได๎อยาํ งมีประสทิ ธิภาพ โดยยดึ หลักการ “ความรวดเร็ว ถูกต๎อง ปลอดภัย”
ระดับท่ี 1 ขน้ั เรียนร้/ู พน้ื ฐาน (Basic) ใหผ้ ู้เขา้ รับการทดสอบอธบิ าย

1. วัตถปุ ระสงค์ของการคดั แยกผ๎ปู วุ ยเจ็บ
2. หลักการคดั แยกผู๎ปวุ ยเจบ็ เพอื่ การรักษา
3. หลักการคัดแยกผ๎ูปวุ ยเจบ็ เพือ่ การสงํ กลบั

ระดับที่ 2 ขั้นปฏิบตั ิ (Doing) ให้ผ้เู ข้ารบั การทดสอบปฏิบตั ิ
1. ให๎ผ๎ูเขา๎ รบั การทดสอบทาการคดั แยกผป๎ู วุ ยเจ็บจากผู๎ปวุ ยสมมติทก่ี าหนดไวเ๎ ปน็ โจทย์ในกระดาษ

A4 (วางแผนํ กระดาษท่ีมีรายละเอยี ดผ๎ปู วุ ยเจ็บไว๎)
2. ให๎ผเู๎ ข๎ารับการทดสอบทาการคัดแยกผู๎ปวุ ยเพื่อการสํงกลับทางการแพทย์

ระดบั ที่ 3 ขน้ั พฒั นา (Developing) ให้ผูเ้ ขา้ รับการทดสอบปฏิบตั ิ และ ทาการสัมภาษณเ์ พม่ิ เติม
1. ใหผ๎ ู๎เขา๎ รับการทดสอบทาการคดั แยกผูป๎ ุวยเจ็บจากผปู๎ วุ ยสมมติทกี่ าหนดไว๎เป็นโจทย์ในกระดาษ

A4 (วางแผนํ กระดาษทม่ี ีรายละเอยี ดผู๎ปวุ ยเจ็บไว๎ ใหท๎ าการจบั เวลาในการคดั แยกผป๎ู วุ ยตามหลักการการคดั
แยกเพื่อการรักษา)

2. กาหนดผป๎ู วุ ยสมมติ แล๎วใหผ๎ ูเ๎ ข๎ารับการทดสอบทาการเขา๎ หาผ๎ปู วุ ย และทาการเคลื่อนย๎ายผ๎ปู วุ ย
เจ็บได๎อยํางปลอดภัย

3. วางอุปกรณส์ าหรบั การทาเปลดัดแปลงไว๎ (คานไม๎ ผ๎าหํม เสื้อ) ใหผ๎ ๎ูเขา๎ รับการทดสอบทาเปล
ดัดแปลงสง่ิ อปุ กรณส์ าหรับการเคลื่อนย๎ายผู๎บาดเจ็บ
ระดบั ที่ 4 ขน้ั กา้ วหน้า (Advance) สมั ภาษณผ์ ู้เข้ารับการทดสอบ

1. ถามถึงประสบการณ์ในการถํายทอดความรูเ๎ รื่องการเคลื่อนย๎าย หรอื การสงํ กลบั ผู๎ปวุ ยเจ็บ
2. ปญั หาอุปสรรคที่พบในการเคลื่อนยา๎ ยผ๎บู าดเจบ็ และ หนทางการแกไ๎ ขปัญหา
3. การใหค๎ าปรกึ ษากับ ผบ.หนํวย หรือกาลงั พลอ่ืนๆ เรอ่ื งการเคลื่อนย๎ายผ๎ูปวุ ยเจบ็
ระดบั ที่ 5 ขั้นผเู้ ชยี่ วชาญ (Expert) สัมภาษณผ์ ู้เข้ารับการทดสอบ
1. ถามถึงแนวความคิดในการพัฒนาเร่อื งการเคลื่อนยา๎ ยผ๎ูปุวยเจบ็ และการสงํ กลับทางการแพทย์
2. แนวความคดิ ในการผลิตนวตั กรรม งานวิจยั เรอื่ งเคล่ือนยา๎ ยผปู๎ ุวยเจบ็ และการสํงกลับทาง
การแพทย์


53

FCc1 : การคดั แยกและการสํงกลับผ๎ปู ุวยเจ็บ

คาจากดั ความ:เป็นการกาหนดความเรงํ ดวํ นในการรักษาและการสงํ กลับ การคัดแยกผู๎ปุวยเจ็บกระทาเพือ่ ใช๎ทรพั ยากรที่

มอี ยํูอยํางจากัดใหเ๎ กิดประโยชน์ เพ่อื ใหเ๎ กิดผลสาเรจ็ ทเี่ ปน็ ประโยชนต์ ํอผ๎ูปุวยเจบ็ ไดเ๎ ป็นจานวนมากทสี่ ุด โดยตอ๎ ง

คานึงถงึ ความเรํงดํวนสูงสดุ ในการใช๎ทรัพยากรทางการแพทย์ทมี่ ีอยูํ และทาการสงํ กลับผ๎ูปวุ ยเจ็บไดอ๎ ยํางรวดเร็ว

ปลอดภัย

ระดับ พฤตกิ รรมบ่งช้ี หมายเหตุ

ผา่ น/ไม่ผา่ น

ระดับที่ 1 มคี วามรเ๎ู ร่อื งการคัด 1. อธบิ ายวัตถุประสงค์ของการคดั แยกผูป๎ วุ ยเจบ็ ได๎

ขนั้ เรยี นร๎ู แยกผู๎ปวุ ยเจบ็ 2. อธบิ ายหลกั การคัดแยกผปู๎ ุวยเจ็บเพ่ือการรกั ษาได๎อยาํ ง

Basic ถูกต๎อง

3. อธิบายหลักการคัดแยกผูป๎ ุวยเจบ็ เพอ่ื การสงํ กลบั ไดอ๎ ยาํ ง

ถูกต๎อง

ระดบั ท่ี 2 มรี ะดับที่ 1 และ 1. ทาการคัดแยกผู๎ปวุ ยเจ็บเพ่ือการรักษาได๎อยาํ งถูกตอ๎ ง

ขนั้ ปฏิบตั ิ สามารถทาการคัด 2. ทาการคัดแยกผู๎ปุวยเจ็บเพื่อการสํงกลับได๎อยาํ งถกู ต๎อง

Doing แยกผูป๎ วุ ยได๎

ระดับท่ี 3 มรี ะดบั ท่ี 1 2 และ 1. ทาคัดแยกผป๎ู วุ ยเจ็บไดอ๎ ยาํ งรวดเร็ว ถกู ต๎อง

ขั้นพัฒนา สามารถทาการคัด 2. สามารถเตรียมผู๎ปวุ ยเจ็บเพอ่ื รอการสงํ กลบั ได๎อยําง

Developing แยก และ เตรียม ถูกต๎อง เหมาะสม ปลอดภยั

ผูป๎ ุวยเพ่ือการสํงกลบั 3.สามารถดดั แปลงสง่ิ อปุ กรณ์เพ่อื การสํงกลับได๎

ทางการแพทย์

ระดับท่ี 4 มรี ะดบั ที่ 1 2 3และ 1. ถํายทอดความรู๎ และใหค๎ าแนะนา การปฏิบตั ิใหก๎ ับ ผบ.

ขน้ั ก๎าวหนา๎ ถาํ ยทอดความร๎ูได๎ หนวํ ย และ กาลังพล เกีย่ วกบั การคัดแยกและการสํงกลบั

Advance ผป๎ู ุวยเจ็บได๎

ระดบั ท่ี 5 มรี ะดับที่ 1 2 3 4 1. เสนอแนวทางการพฒั นาการคัดแยกผ๎ปู ุวยเจ็บ

ขนั้ ผ๎ูเชีย่ วชาญ และ สามารถเสนอ 2. พัฒนาคิดคน๎ นวัตกรรม งานวิจัย เร่ืองการคดั แยกผู๎ปวุ ย

Expert แนวทางการพัฒนา เจบ็ ได๎

นวัตกรรม หรือ

งานวจิ ยั


54

สถานีที่ 2 การห้ามเลือดด้วยอุปกรณ์ช่วยชวี ติ ประจากายทหาร

วตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
1.จาแนกลักษณะของเลือดท่ีออกจากบาดแผลได๎อยํางถูกต๎อง
2.อธบิ ายขน้ั ตอนการหา๎ มเลือดไดอ๎ ยํางถูกต๎อง
3.ใชอ๎ ุปกรณช์ วํ ยชวี ิตประจากายทหารเพ่ือห๎ามเลือดได๎อยํางถูกต๎องเหมาะสม
การเสยี เลอื ดเป็นสาเหตุการเสยี ชวี ิตอันดับหนง่ึ ในสนามรบ พบไดบ๎ ํอยทบี่ รเิ วณแขน-ขา เม่อื เกิดการ
บาดเจ็บท่เี ส๎นเลอื ดขนาดใหญํสามารถทาให๎เกิดภาวะชอ็ คและนาไปสูกํ ารเสยี ชีวติ ไดอ๎ ยํางรวดเร็ว
1.การจาแนกลกั ษณะของเลือดออกจากบาดแผล
-เลอื ดทอ่ี อกจากเสน๎ เลือดแดงมสี แี ดงสดไหลพํงุ แรง พุํงตามจงั หวะชีพจร หรือ การเตน๎ ของหวั ใจ
-เลอื ดทอ่ี อกจากเส๎นเลอื ดดา มีสีแดงคล้าไหลออกมาเรอื่ ยๆ
-เลือดท่อี อกจากเส๎นเลือดฝอย เลือดจะซึมออกมาช๎าๆ
2.อธิบายขั้นตอนการห๎ามเลือดไดอ๎ ยํางถูกต๎อง
ทหารทุกนายต๎องมคี วามรใู๎ นการปูองกนั การเสียเลือด สามารถทาการชํวยเหลือตัวเอง (self-aid) ควร
ใช๎สายยางรดั หา๎ มเลอื ดเป็นอุปกรณ์ชนิ้ แรกในการหา๎ มเลอื ดระหวํางการปะทะ วธิ กี ารห๎ามเลอื ดท่สี าคัญใน
สนามคือ การใชส๎ ายยางรดั หา๎ มเลือด การขนั ชะเนาะ และ การกดลงบนบาดแผลด๎วยผ๎าแตํงแผลและ
ผา๎ พนั แผลมว๎ นแบบยดื ได๎ (ชุดปฐมพยาบาลประจากาย)
การใชส้ ายยางรัดหา้ มเลอื ดและ ใช้การขนั ชะเนาะแบบแสวงเครือ่ ง ใชไ๎ ด๎กับการตกเลือดทีแ่ ขนขา
แขนขาขาด ถูกระเบิด บาดแผลฉกรรจ์ ตอ๎ งรดั ใหแ๎ นนํ พอท่จี ะทาใหเ๎ ลือดหยุดได๎ หรือคลาชพี จรสวํ นปลาย
ไมํได๎ การคลาชีพรใหใ๎ ชน๎ ้ิวชี้กบั น้วิ กลาง อยําใชน๎ ้วิ หวั แมํมือ การสงั เกตโลหิตทีอ่ อกหลังจากรดั แนํนพอ คือ
เลอื ดจากหลอดเลอื ดแดงหยุดไหล แตํเลือดจากหลอดเลือดดาในสํวนทอ่ี ยตํู ่าลงไปของแขนขาจะไหลออก
การวางสายรัดหา๎ มเลือดควรรัดให๎รดั เหนือตน๎ แขนหรอื ต๎นขาเพราะแขนขาทํอนลาํ งมีกระดกู 2 อันคํูขนาน
หลอดเลอื ดแดงจะอยูํระหวาํ งกระดูก ห๎ามใช๎สายยางรดั ห๎ามเลือด รดั บนขอ๎ ศอกและหัวเขํา การใชส๎ ายยางรัด
หา๎ มเลอื ดและวธิ ขี นั ชะเนาะ ไมคํ วรคลายสายรัดออกจนกวาํ จะถึงมือแพทย์เพราะอาจทาใหเ๎ สียเลือดมาก/เปน็
อนั ตรายแกํชีวิต ตอ๎ งรีบนาผ๎บู าดเจ็บสงํ แพทย์โดยเร็วท่สี ดุ
การกดโดยตรงท่ีบาดแผล เป็นวธิ ีทไี่ ด๎ผลดีถา๎ เป็นแผลเล็กน๎อย มขี ้นั ตอนการปฏิบตั ิคือให๎ใช๎นว้ิ มือท่ี
สะอาดหรือผ๎าสะอาดวางและกดโดยตรงบนบาดแผลจนกวําเลอื ดจะหยดุ ไหล ถ๎าเลือดยังไหลออกอีกใช๎ผ๎าแตํง
แผลอกี ผนื วางทับบนผ๎าผืนเดิม แลว๎ พนั ให๎แนํนดว๎ ยผา๎ พนั แผลม๎วนแบบยดื ได๎ (อลี าสติดแบนเดดจ)์ โดยดงึ ใหย๎ ดึ
พอควรแล๎วจงึ พันทับลงไปเป็นการเพิ่มแรงกดลงบนบาดแผลชํวยห๎ามเลือด หา๎ มเปลยี่ นผา๎ แตงํ แผลผืนเดมิ
เพราะจะทาให๎ลมิ่ เลือดทีแ่ ข็งแลว๎ หลุดออก เลือดจะไหลออกมาอกี
การใช้ผา้ แต่งแผล การปกปิดบาดแผลด๎วยผา๎ แตํงแผลในการปฐมพยาบาลผปู๎ ุวยเจ็บ จะทาให๎ดูดซบั
เลือด และปูองกันแบคทเี รยี เขา๎ สบํู าดแผล ผา๎ แตงํ แผลเป็นผ๎าสะอาดปราศจากเชื้อใช๎สาหรบั ปิดแผลโดยตรง
มกี ารใช๎ผา๎ พนั แผลม๎วนแบบยืดได๎ และ ใชผ๎ า๎ สามเหลยี่ ม ในการปฐมพยาบาลรํวมด๎วย


55

สมร ร ถน ะกา ร ห๎า มเ ลื อด ด๎ ว ย อุป กร ณ์ชํ ว ย ชี วิ ต ปร ะจ า กา ย ทห าร ของน า ย สิ บ พย า บ า ล ห มา ย ถึง
พฤติกรรมที่นายสิบพยาบาลแสดงถึงการใช๎ความรู๎เรื่องการประเมินลักษณะการบาดเจ็บได๎อยํางถูกต๎อง
สามารถทาการห๎ามเลือดได๎อยํางเหมาะสมภายใต๎ทรัพยากรที่มีอยํู เพอื่ ให๎ผป๎ู วุ ยเจบ็ มีความปลอดภัย
ระดับที่ 1 ขั้นพนื้ ฐาน (Basic): ใหผ้ ู้เขา้ รบั การทดสอบอธบิ าย

1. อุปกรณช์ ํวยชีวติ ประจากายทหาร
2. ลักษณะของบาดแผลเข๎า บาดแผลออก และ ลักษณะของเลือดท่ีไหลออกจากเส๎นเลือดแดง เส๎น
เลอื ดดา เส๎นเลอื ดฝอยได๎
3. อธบิ ายขั้นตอนการหา๎ มเลือด โดยการเลือกใชอ๎ ุปกรณ์ในชดุ อุปกรณ์ชวํ ยชวี ิตประจากายทหาร
ระดับท่ี 2 ข้นั ปฏบิ ัติ (Doing): ให้ผ้เู ข้ารับการทดสอบปฏบิ ตั ิ และ ทาการสัมภาษณ์เพมิ่ เตมิ
1. การประเมินการอาการบาดเจ็บ และปฏิบัติการหา๎ มเลอื ด
สมมติสถานการณ์วํามีผ๎ูปุวยเจ็บที่มีบาดแผลในลักษณะตํางๆ ให๎ผู๎เข๎ารับการประเมินทาการเลือกส่ิง
อปุ กรณ์ทางการแพทยใ์ ห๎เหมาะสมกบั บาดแผล
2. ประเมินอาการหลังจากท่ีทาการห๎ามเลือดไปแลว๎
บอกใหท๎ าการประเมนิ อาการและความสาเร็จในการใช๎อปุ กรณช์ ํวยชวี ิตประจากายทหาร
ระดบั ที่ 3 ข้ันพัฒนา (Developing): ใหผ้ ้เู ข้ารับการทดสอบปฏิบัติ และ ทาการสมั ภาษณเ์ พิม่ เติม
1. การดัดแปลงอปุ กรณ์ที่มอี ยเูํ พอ่ื ใช๎ในการห๎ามเลือด

ใหท๎ าขันชะเนาะแสวงเครือ่ ง โดยวางสิง่ อุปกรณไ์ ว๎ (ผ๎าสามเหล่ียม ไม๎)
2. ถามภาวะแทรกซอ๎ น/ภาวะเสี่ยงทีอ่ าจจะเกดิ ข้นึ จากใช๎สงิ่ อุปกรณ์ห๎ามเลอื ดหรืออุปกรณ์ช้ินอื่นๆ
3. ถามถงึ การตรวจสอบวาํ ทาการห๎ามเลือด ในกรณที หี่ า๎ มเลอื ดแล๎ว เลือดยังไมหํ ยดุ ไหลทาอยาํ งไร
ระดบั ท่ี 4 ขั้นกา้ วหน้า (Advance): สมั ภาษณผ์ เู้ ขา้ รับการทดสอบ
1. ถามประสบการณ์ในการถาํ ยทอดการใชอ๎ ปุ กรณ์ชํวยชวี ติ ประจากายทหาร
2. การให๎คาปรกึ ษากบั ผบ.หนวํ ย หรือกาลงั พลอ่นื ๆ เรอื่ งการปฐมพยาบาล
ระดับที่ 5 ขน้ั ผู้เชีย่ วชาญ (Expert): สัมภาษณ์ผเู้ ข้ารบั การทดสอบ
1. แนวทางการปรบั ปรงุ คุณภาพการห๎ามเลือด
2. แนวทางการพัฒนา/นวตั กรรมในการห๎ามเลอื ด


56

FCc2 : การห๎ามเลือดดว๎ ยอุปกรณ์ชํวยชวี ติ ประจากายทหาร

คาจากดั ความ: ความสามารถในการประเมนิ ลักษณะของบาดแผลได๎อยํางถูกตอ๎ ง และสามารถทาการห๎ามเลือดให๎

ผป๎ู วุ ยเจบ็ ได๎อยํางเหมาะสม ภายใตท๎ รัพยากรท่ีมีอยํูสํงผลให๎ผู๎ปวุ ยเกดิ ความปลอดภัย

ระดบั พฤตกิ รรมบ่งช้ี เกณฑ์

ผําน/ไมํผาํ น

ระดบั ท่ี 1 มคี วามรู๎เกยี่ วกับ 1.อธบิ ายอปุ กรณช์ วํ ยชวี ิตประจากายทหารได๎อยาํ งถกู ต๎อง

ขน้ั เรียนรู๎ อุปกรณช์ ํวยชวี ติ 2. อธบิ ายลักษณะของบาดแผลเขา๎ /บาดแผลออก และ ลักษณะ

Basic ประจากายทหาร เลอื ดท่ไี หลออกจากเสน๎ เลือดแดง เส๎นเลือดดา เสน๎ เลอื ดฝอยได๎

และอธบิ าย 3. อธบิ ายขัน้ ตอนการห๎ามเลือด โดยการเลอื กใชอ๎ ุปกรณ์ในชดุ

ลกั ษณะบาดแผล อุปกรณ์ชํวยชีวิตประจากายทหารได๎

ได๎

ระดับที่ 2 มีระดับที่ 1 และ 1.ทาการประเมินการอาการบาดเจ็บ

ขัน้ ปฏิบัติ ทาการปฐม 2.ทาการหา๎ มเลือดได๎ดว๎ ยอุปกรณ์ในชุดอุปกรณ์ชํวยชีวติ ประจา

Doing พยาบาลด๎วย กายทหารได๎

อุปกรณ์ปฐม 3.ประเมนิ ความสาเรจ็ ของการห๎ามเลอื ดได๎

พยาบาล

ระดับที่ 3 มรี ะดับท่ี 1 2 และ 1. ประยกุ ตห์ รอื ดัดแปลงอุปกรณท์ ีม่ ใี นพืน้ ที่ ได๎ตามลักษณะการ

ข้ันพัฒนา ดัดแปลงสง่ิ บาดเจบ็ ได๎อยาํ งเหมาะสม

Developing อปุ กรณ์สาหรบั 2.ปฏิบัตกิ ารโดยคานงึ ถึงภาวะแทรกซอ๎ นหรือความเสี่ยงท่ีอาจ

การปฐมพยาบาล เกดิ ข้นึ ไดอ๎ ยาํ งถูกต๎อง

3. ตรวจสอบและแก๎ไขปญั หาในการปฐมพยาบาลได๎อยําง

ทันทํวงที

ระดบั ท่ี 4 มรี ะดับที่ 1 2 3 1. การถํายทอดการห๎ามเลือดด๎วยอุปกรณ์ชํวยชีวิตประจากาย

ข้นั กา๎ วหน๎า และ ถาํ ยทอด ทหาร

Advance ความรเ๎ู รือ่ งได๎ 2. การให๎คาปรึกษากับ ผบ.หนํวย หรือกาลังพลอ่ืนๆ เรื่องการ

ห๎ามเลอื ดด๎วยอุปกรณ์ชวํ ยชีวติ ประจากายทหาร

ระดับที่ 5 มรี ะดบั ที่ 1 2 3 4 1. นาเสนอแนวทางการปรับปรุงการห๎ามเลือดด๎วยอุปกรณ์

ข้ัน และ ให๎คาแนะนา ชวํ ยชีวติ ประจากายทหาร

ผู๎เชี่ยวชาญ คิดคน๎ นวตั กรรมได๎ 2. นาเสนอแนวทางการพัฒนา/นวัตกรรม หรือ งานวิจัย ในการ

Expert ห๎ามเลอื ดด๎วยอปุ กรณช์ วํ ยชวี ติ ประจากายทหาร


57

สถานีที่ 3 การช่วยฟื้นคืนชพี

หลกั การช่วยฟ้นื คนื ชีพ (Cardiopulmonary resuscitation : CPR) หมายถงึ การชํวยเหลอื ผูท๎ ี่
หยดุ หายใจหรือหัวใจหยุดเตน๎ ให๎มีการหายใจและการไหลเวียนกลับคนื สสํู ภาพเดมิ ปูองกนั เน้อื เย่อื ได๎รบั
อันตรายจากการขาดออกซิเจนอยาํ งถาวรซึง่ สามารถทาไดโ๎ ดยการชวํ ยฟ้ืนคืนชพี ขนั้ พื้นฐาน (Basic life
support) ได๎แกํ การผายปอด และการนวดหัวใจภายนอก
ขอ้ บง่ ชี้ในการปฏบิ ตั ิการชว่ ยฟ้นื คืนชีพ

1. ผ๎ทู ่ีมภี าวะหยุดหายใจ โดยทีห่ วั ใจยงั คงเต๎นอยํปู ระมาณ 2-3 นาทใี ห๎ผายปอดทันที จะชํวยปอู งกนั
ภาวะหัวใจหยุดเตน๎ ได๎และชํวยปูองกนั การเกิดภาวะเนื้อเยื่อสมองขาดออกซเิ จนอยํางถาวร

2. ผู๎ท่มี ีภาวะหยุดหายใจและหัวใจหยดุ เต๎นพร๎อมกนั ซึง่ เรียกวาํ clinical death การชวํ ยฟน้ื คนื ชีพ
ทันทีจะชวํ ยปูองกนั การเกิด biological death คอื เนือ้ เยื่อโดยเฉพาะเนอ้ื เยอ่ื สมองขาดออกซิเจน

3.ผ๎ปู ุวยท่มี คี ลนื่ ไฟฟูาเป็น Ventricular Tachycardia หรือ Ventricular Fibrillation
4.ผู๎ปวุ ยท่มี ีความผิดปกติของจังหวะการเต๎นของหัวใจในลักษณะ Bradycardia ทม่ี ีอตั ราการหายใจน๎อย
กวาํ 50 ครงั้ /นาที และมีอาการเชํนเป็นลม หมดสตหิ รอื มีภาวะชัก
ขัน้ ตอนการชว่ ยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน(เม่ือสถานการณป์ ลอดภยั แลว้ )

1. หากพบผหู๎ มดสติ ให๎เรียกโดยการเขยําหรือตบบริเวณไหลํ เพ่ือตรวจดูวาํ หมดสตจิ ริง
หรอื ไมํ ถ๎าหากพบวาํ หยุดหายใจ (สงั เกตจากความเคล่ือนไหวของหนา๎ อกและท๎อง) หรอื หายใจชา๎ มากมี
แนวโน๎มวาํ จะหยุดหายใจ ให๎รีบโทรไปทเ่ี บอร์ 1669 ถา๎ สามารถเรียกขอความชํวยเหลือจากคนอ่นื ขอใหช๎ วํ ย
โทรแจ๎ง แล๎วเขา๎ สูํ ข้ันตอนที่ 2

2. ถา๎ ผ๎หู มดสตหิ ยดุ หายใจใหเ๎ ร่ิมการกดนวดหัวใจทันทีโดยเข๎าไปนัง่ ข๎างตวั ผูท๎ ่ีหมดสติ
ลากเส๎นจากหัวนมข๎างหนึ่งไปยงั หวั นมอีกขา๎ งหน่งึ วางส๎นมือบริเวณกง่ึ กลางระหวํางหัวนมท้งั สองขา๎ ง แลว๎ ใช๎
ส๎นมืออีกขา๎ งวางซอ๎ นทับลักษณะเอานิว้ ประสานกัน แขนตงึ หลังตรงทามุม 90 องศาโดยโนม๎ ตวั ไปข๎างหน๎า
กดให๎ได๎ความลกึ อยาํ งน๎อย 2 น้วิ (4-5 cm) รอให๎หนา๎ อกกระเดง๎ คนื กลบั มาตาแหนงํ กํอนจงึ เริ่มกดครั้งตอํ ไป
อตั ราการกดหนา๎ อกต๎องให๎ได๎อยํางน๎อย 100 คร้งั /นาที หากทํานรู๎สึกปลอดภยั ในการชํวยผู๎หมดสติหายใจโดย
การเปาุ ปากให๎ปฏบิ ตั ิตํอในข้ันตอนท่ี 3

ถา๎ หากทํานไมํมอี ุปกรณช์ วํ ยชวี ิตอ่นื ๆให๎กดหน๎าอกอยํางตํอเนอ่ื งจนกวําจะมีคนมาชวํ ยเหลอื
หรือผู๎หมดสตริ ูส๎ ึกตัว

ความสาเร็จของการชํวยฟ้ืนคืนชีพ คือความรวดเรว็ ในการชํวยเหลือและความถกู ต๎องในการปฏบิ ตั ิ
เม่ือเรม่ิ กดหนา๎ อกให๎กดอยํางตํอเนือ่ งและไมหํ ยดุ ถ๎าหากผ๎หู มดสตยิ ังไมรํ ส๎ู ึกตัว

3. เมอ่ื กดหนา๎ อกจนครบ 30 คร้งั ชวํ ยหายใจโดยการเปาุ ปาก 2 คร้งั โดยจัดทาํ เปดิ
ทางเดนิ หายใจให๎โลํงคือ การกดหนา๎ ผากลง-ยกคางใหส๎ งู ขึ้น (head tilt –chin lift) แตํถา๎ หากสงสัยวําผ๎ูท่ีหมด
สติอาจได๎รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ กระดกู สันหลงั สํวนคอให๎ใชท๎ ํา ดงึ ขากรรไกรขน้ึ ด๎านบน (Jaw thrust) บีบ
จมกู ผ๎หู มดสติ ประกบปากทาํ นกบั ปากผ๎ทู หี่ มดสติเปาุ ลมเข๎าไปใหไ๎ ด๎มากจนทาใหห๎ นา๎ อกของผูท๎ ่ีหมดสตยิ กข้นึ


58

ถ๎าหากหนา๎ อกไมยํ กข้ึนทํานอาจจัดทาํ เปดิ ทางเดนิ หายใจยงั ไมํถูกตอ๎ ง อาจลองกดหน๎าผากลงและยกคางดใู หมํ
ทาซ้ากัน 2 ครัง้ (ในขนั้ ตอนตํางๆต๎องทาอยาํ งรวดเร็ว)

4. กดหนา๎ อก 30 ครง้ั ในอัตราเร็ว 100 ครัง้ /นาทีอกี รอบ
5. เปาุ ปาก 2 คร้งั ในแตะละรอบของการกดหน๎าอก 30 ครั้งตอํ จากการกดหนา๎ อก 30
ครั้ง แลว๎ เปาุ ปาก 2 ครงั้ ทาประมาณ 2 นาทีหรือประมาณ 5 รอบทุกๆ 2 นาทีให๎หยดุ กดหน๎าอกแล๎วประเมนิ
ระดับความรู๎สกึ ตวั และประเมินการหายใจ ถา๎ หากยงั ไมรํ ส๎ู ึกตัวหรอื ยังไมํหายใจ ให๎เร่มิ กดหนา๎ อกรอบใหมํ
ทนั ที ทาจนกวําผ๎หู มดสตจิ ะร๎ูสึกตวั หรอื มีเจา๎ หน๎าที่มาชํวยเหลอื
กรณที ม่ี ีคนชํวยเหลอื ให๎ทาสลับกนั เน่ืองจากถา๎ หากผูท๎ ช่ี วํ ยฟ้นื คนื ชีพเหน่ือย การชวํ ยฟ้นื คนื ชพี จะขาด
ประสทิ ธิภาพ


59

สมรรถนะการชวํ ยฟนื้ คนื ชีพของนายสบิ พยาบาลหมายถึง พฤติกรรมท่ีนายสิบพยาบาลแสดงถึงการใช๎
ความรเ๎ู ร่ืองการชํวยฟื้นคนื ชพี ข้ันพืน้ ฐาน ไดแ๎ กํ การชวํ ยเหลือผู๎ที่หยุดหายใจหรอื หัวใจหยดุ เตน๎ ให๎มีการหายใจ
และการไหลเวียนกลับคืนสสํู ภาพเดมิ โดยการจดั ทาํ เปดิ ทางเดนิ หายใจ การผายปอด การนวดหัวใจภายนอก
ระดบั ที่ 1 ข้นั เรียนร้/ู พ้นื ฐาน (Basic): ให้ผเู้ ข้ารบั การทดสอบอธิบาย

1. การประเมินอาการ/ อาการแสดงของผ๎ูที่มีภาวะหยดุ หายใจ หัวใจหยุดเตน๎
2. หลักการและขน้ั ตอนการชํวยชวี ติ ข้ันพน้ื ฐาน ไดแ๎ กํ

-การคลาหาชีพจร
-ตาแหนงํ การกดหน๎าอก
-การกดนวดหัวใจ (อัตราเรว็ ความลึกในการกด ตอํ เนือ่ ง มปี ระสทิ ธิภาพ)
การเปิดทางเดินหายใจ และชํวยหายใจ
3. 3.ประเมนิ สภาพแวดลอ๎ มทปี่ ลอดภัยตํอการชวํ ยชวี ติ ขนั้ พ้ืนฐาน
ระดับที่ 2 ขั้นปฏิบัติ (Doing): ใหผ้ ู้เข้ารับการทดสอบปฏิบัติ และ ทาการสมั ภาษณ์เพมิ่ เติม
1. สมมตใิ ห๎มีผ๎ปู ุวยหมดสติ ดูขั้นตอนการปฏิบัติของผ๎เู ข๎ารบั การทดสอบต้ังแตํตน๎ จนจบ
ระดับที่ 3 ขน้ั พัฒนา (developing): ให้ผเู้ ข้ารับการทดสอบปฏบิ ัติ และ ทาการสมั ภาษณ์เพิ่มเติม
1. ถามการประเมินผลสาเรจ็ ของการชวํ ยฟืน้ คืนชีพ
2. ถามการปฏบิ ตั ิ โดยสมมตสิ ถานการณ์ผบ๎ู าดเจบ็ ในเง่ือนไขตาํ งๆ ได๎แกํ
-ผูบ๎ าดเจ็บมชี ีพจร หายใจได๎ จะทาอยํางไร –ตอบ จัดทาํ พกั ฟืน้ และใหก๎ ารดแู ลระหวํางการสงํ กลบั
-ผ๎ูบาดเจบ็ มชี ีพจร แตไํ มหํ ายใจ จะทาอยาํ งไร- ตอบ ชวํ ยหายใจ โดยตรวจสอบส่ิงแปลกปลอม
ถ๎ามีสงิ่ แปลกปลอมใหเ๎ อาออก ถ๎าไมํมใี ห๎เปุาปากเพอื่ ชํวยหายใจ
-ถ๎าผู๎บาดเจ็บไมํมีชีพจร และไมํหายใจ จะทาอยํางไร- ตอบ ทาการชํวยฟื้นคืนชีพตํอ ถ๎ามีผู๎ชํวยเหลือ
อกี คน ให๎สลบั กนั กดหน๎าอก เปาุ ปาก
ระดับที่ 4 ขั้นก้าวหน้า (Advance): สัมภาษณผ์ ู้เขา้ รบั การทดสอบ
1. ถามถึงสาเหตุของการชํวยฟืน้ คืนชีพไมํสาเรจ็ ได๎
2. ถามถึงประสบการณ์การถํายทอดความรู๎ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ หรือการให๎คาปรึกษากับ ผบ.หนํวย
กาลังพลอ่นื ๆ เร่อื งการชวํ ยฟ้ืนคืนชพี
ระดบั ท่ี 5 ขน้ั ผเู้ ชย่ี วชาญ(Expert): สมั ภาษณ์ผ้เู ข้ารับการทดสอบ
1. แนวทางการปรับปรุงคณุ ภาพการชํวยฟ้ืนคืนชีพ

2. การนาเสนอแนวทางการพฒั นา/ นวัตกรรม หรอื งานวิจัย ท่ีเกีย่ วกับการชํวยฟื้นคนื ชีพ


60

FCc3 : การช่วยฟนื้ คนื ชีพ

คาจากัดความ :ความสามรถในการชวํ ยเหลือผ๎ูทห่ี ยุดหายใจหรอื หัวใจหยดุ เต๎น ให๎มีการหายใจและการไหลเวียนกลับคืนสูํ

สภาพเดิม เพ่ือปูองกันเน้ือเย่ือไดร๎ ับอันตรายจากการขาดออกซิเจนอยาํ งถาวร ซ่ึงสามารถทาไดโ๎ ดยการชวํ ยฟ้นื คนื ชีพขนั้

พ้ืนฐาน (Basic life support) ไดแ๎ กํ การจัดทําเปิดทางเดินหายใจ การผายปอด และการนวดหวั ใจภายนอก

ระดบั พฤติกรรมบ่งช้ี เกณฑ์

ผําน/ไมผํ าํ น

ระดับท่ี 1 อธบิ ายอาการ/อาการ 1 . บอกอาการ/อาการแสดงของผู๎ทหี่ ยดุ หายใจ/หวั ใจหยุด

ขน้ั เรียนรู๎ แสดงของผูท๎ หี่ ยุดหายใจ เต๎นได๎อยํางถูกตอ๎ ง

Basic หรือหัวใจหยดุ เตน๎ และ 2. บอกได๎ถึงขัน้ ตอนการชวํ ยฟ้ืนคนื ชพี ขัน้ พ้ืนฐานไดอ๎ ยําง

ขัน้ ตอนการชวํ ยฟนื้ คืนชพี ถกู ต๎อง

ได๎ 3.ประเมินสภาพแวดล๎อมทป่ี ลอดภยั ตอํ การชวํ ยชวี ติ ขั้น

พน้ื ฐานได๎

ระดบั ท่ี 2 มีระดบั ท่ี 1 และมีทักษะ 1 คลาชีพจร

ขน้ั ปฏบิ ตั ิ ในการชํวยฟน้ื คืนชพี ขน้ั 2.การวางมอื สาหรบั การกดนวดหัวใจได๎อยาํ งถูกต๎อง

Doing พ้นื ฐาน (Basic life 3. กดนวดหนา๎ อกเปน็ จังหวะอยาํ งมีประสิทธภิ าพ โดย กด

support) และเตรยี ม เรว็ -กดลึก-กดโดยไมหํ ยุด

ผ๎ปู วุ ยเพ่อื รอการสํงกลบั ได๎ 4. เปดิ ทางเดนิ หายใจ และชวํ ยหายใจได๎อยาํ งถูกต๎อง

5. จดั ทาํ พักฟน้ื เพอื่ รอการสงํ กลับ

ระดับที่ 3 มรี ะดับที่ 1และ 2 และ 1.ประเมนิ ผลสาเร็จของการชํวยฟืน้ คนื ชีพขัน้ พ้ืนฐานได๎

ขนั้ พฒั นา ประเมินความสาเรจ็ ของ 2. แกป๎ ญั หาทเ่ี กดิ ข้นึ ในระหวํางการชํวยฟืน้ คืนชีพได๎

Developing การชวํ ยฟื้นคนื ชีพขน้ั

พ้นื ฐานและแก๎ปัญหาได๎

ระดับท่ี 4 มีระดับที่ 1 2 3 และ 1 ค๎นหาสาเหตุของการชวํ ยชวี ติ ข้นั พนื้ ฐานไมํสาเร็จ แล๎วทา

ขั้นกา๎ วหน๎า ทาการคน๎ หาสาเหตขุ อง การแก๎ไขได๎

Advance การชวํ ยชวี ติ ไมสํ าเร็จ และ 2.ประสบการณ์การถํายทอดความร๎ูทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ

มีประสบการณใ์ นถํายทอด หรือ การให๎คาปรึกษากับ ผบ.หนํวย กาลังพลอื่นๆ เร่ือง

ความรู๎ เร่อื งการชวํ ยฟนื้ การชํวยฟื้นคืนชีพ

คืนชพี ขน้ั พน้ื ฐาน

ระดบั ท่ี 5 มรี ะดบั ท่ี 1 2 3 4 และ มี 1. แนวทางการปรับปรงุ คุณภาพการชวํ ยฟ้นื คนื ชีพ

ขน้ั ผู๎เชี่ยวชาญ แนวทางในการพฒั นาการ 2. การนาเสนอแนวทางการพัฒนา/ นวัตกรรม หรือ

Expert ชวํ ยฟื้นคืนชพี งานวจิ ัย ที่เกี่ยวกบั การชํวยฟ้นื คนื ชพี


61

สถานที ่ี 4 การบรหิ ารยาในสนาม

การบริหารยาแกํผป๎ู วุ ยมีหลายวธิ ี ได๎แกํ การใหย๎ าทางปาก การฉดี การให๎ยาภายนอก
หลกั ในการบรหิ ารยานน้ั เป็นหลักประกนั ความปลอดภยั ในการใชย๎ า ผู๎ใหย๎ าต๎องคานงึ ถึงหลกั 5 R ในการ
บริหารยาประกอบดว๎ ย

Right patient ถกู คน
Right drug ถกู ยา
Right dose ถูกขนาด
Right route ถกู วถิ ที าง
Right time ถกู เวลา
ในการใหย๎ าผูใ๎ หย๎ าต๎องมีความรูเ๎ ก่ียวกบั ชื่อ ประเภท การออกฤทธ์อิ าการขา๎ งเคียง และ การปูองกนั ก
แก๎ไขอาการขา๎ งเคียง สามารถเตรียมยาไดถ๎ ูกต๎องตามมาตรฐาน ใหก๎ ารดแู ลผูป๎ ุวยขณะใหย๎ า ภายหลงั การใหย๎ า
ได๎อยาํ งถกู ตอ๎ ง ยกตัวอยํางเชนํ ยา tramadol injection. เป็นยาระงับปวด มีอาการขา๎ งเคยี งคือทาให๎คลน่ื ใส๎
อาเจียน หากต๎องฉีดยาให๎ทาง IV ต๎องเจือจางยากํอนฉีดยาให๎ผป๎ู วุ ย และ ฉีดยาช๎าๆเพื่อลดอาการขา๎ งเคยี ง
กํอนให๎ยาแกํผ๎ูปุวย ผใ๎ู ห๎ยาสามารถประเมินความจาเป็นและลาดับความเรํงดํวนในการให๎ยาได๎ และ
สามารถเลอื กใชย๎ าท่ีมีคณุ สมบตั ิคลา๎ ยคลึงกัน (สรรพคุณ/คล๎ายคลึงกนั )ทดแทนได๎ เชนํ ยา tramadol
injection หมด พจิ ารณาใหย๎ าระงบั ปวดรบั ประทานทดแทนได๎ เชํน paracetamol, diclofenac ibuprofen
และ หากเลอื กใชย๎ า ibuprofen จะต๎องทราบอาการข๎างเคียงวาํ ระคายเคอื งกระเพาะอาหาร ควรให๎
รบั ประทานยาพร๎อมอาหารหรอื หลังอาหารทนั ที
นายสิบพยาบาลควรมีความรเู๎ ก่ยี วกบั ยาทม่ี ีความเส่ยี งสูง เชํน อะดรีนาลีน อะโทรปนี เพ่ือจะได๎
สามารถประเมินให๎ยา และ ดูแลติดตามเฝาู ระวังภายหลังให๎ยาได๎


62

สมรรถนะการบรหิ ารยาของนายสบิ พยาบาลหมายถงึ พฤติกรรมทีน่ ายสบิ พยาบาลแสดงถึงการใช๎
ความรู๎ทางการบรหิ ารยา การใช๎ยาภายนอก ยารบั ประทาน การฉีดยาเข๎ากลา๎ มเนื้อ การฉดี ยาเข๎าเสน๎ เลือด
โดยเริม่ ต้งั แตขํ ั้นตอนการเตรียมยา การใหย๎ า ตามหลักการ 5 R และ การติดตามประเมินผลหลังการให๎ยา
รวมทง้ั การแก๎ไขภาวะแทรกซ๎อนภายหลงั การให๎ยาได๎อยาํ งถูกต๎อง
ระดบั ที่ 1 ข้ันพื้นฐาน (Basic): ให้ผเู้ ขา้ รบั การทดสอบอธิบาย

1. ประเภทของยา และสรรพคุณของยาแตลํ ะประเภท อาการข๎างเคียงของยา
2. การใช๎ยาตามหลกั 5 R
3. การใหย๎ ารบั ประทาน /ยาใชภ๎ ายนอก /ยาฉดี เข๎ากล๎ามเน้ือ
ระดบั ที่ 2 ขั้นปฏบิ ตั ิ (Doing): ให้ผู้เข้ารับการทดสอบปฏิบัติ และ ทาการสัมภาษณเ์ พม่ิ เตมิ
1. ถามผเู๎ ข๎ารับการประเมินสภาพผ๎ูปุวยกํอนการให๎ยา
2. สามารถคานวณยาได๎
3. ถามเกย่ี วกับการใหค๎ าแนะนาการใช๎ยาใหก๎ ับผู๎ปุวย เกยี่ วกับการใชย๎ าเพอื่ เสรมิ การออกฤทธิ์ยา และ
ลดอาการข๎างเคยี งทอ่ี าจจะเกิดขนึ้ ได๎
4.ถามถงึ หลกั ในการดูแลขณะให๎ยาและภายหลงั ใหย๎ า
ระดับที่ 3 ขัน้ พฒั นา (Develop): ให้ผเู้ ขา้ รับการทดสอบปฏบิ ัติ และ ทาการสมั ภาษณ์เพ่ิมเตมิ
1. ถามถึงการเฝาู ระวงั ติดตามผล ประเมินอาการผ๎ูปุวย วางแผนและแก๎ไขปัญหาท่ีเกิดข้ึนจากอาการ
ทไ่ี มพํ งึ ประสงค์จากการไดร๎ ับยา
2. ถามถงึ การปอู งกันและแก๎ไขอาการทีไ่ มํพึงประสงค์ของการใหย๎ า
ระดบั ท่ี 4 ขัน้ ก้าวหน้า: สัมภาษณ์ผู้เขา้ รบั การทดสอบ
1.ประสบการณ์ในการเลือกใช๎ยา กรณที ่ีไมํมียาทีต่ ๎องการ สามารถเลอื กใช๎ยาที่มีคณุ สมบัติคล๎ายคลึง
ทดแทนได๎
2. สามารถถาํ ยทอดความร๎ู ใหค๎ าปรึกษาแนะนากบั ผู๎อ่ืนเก่ียวกับวธิ ีการบรหิ ารยารวมทงั้ วธิ กี ารแกไ๎ ข
ปญั หาที่เกดิ ข้นึ ได๎
ระดบั ท่ี 5 ขั้นผ้เู ช่ยี วชาญ: สมั ภาษณผ์ ู้เขา้ รบั การทดสอบ
1. แนวทางการปรับปรงุ คุณภาพการบรหิ ารยา

2. การนาเสนอแนวทางการพฒั นา/ นวตั กรรม หรือ งานวิจัย ทีเ่ กยี่ วกับการการบรหิ ารยา


63

FCc4 : การบรหิ ารยาในสนาม

คาจากดั ความ:ความสามารถในการบริหารยา(การใช้ยาภายนอก ยารับประทาน การฉดี ยาเขา้ กลา้ มเน้อื การฉีดยา

เขา้ เสน้ เลือด) ตง้ั แตก่ ารเตรียมยา การใหย้ า ตามหลักการ 5 R และ การติดตามประเมินผลหลังการใหย้ า รวมทั้ง

การแก้ไขภาวะแทรกซ้อนภายหลังการให้ยาไดอ้ ยา่ งถูกต้อง

ระดับ พฤตกิ รรมบ่งชี้ หมายเหตุ

ผ่าน/ไม่ผา่ น

ระดบั ท่ี 1 มคี วามร้เู กยี่ วกับ 1. อธบิ ายประเภทของยา และสรรพคุณของยา อาการข๎างเคียง

ขั้นเรียนรู๎ การบริหารยา 2. อธิบายการบรหิ ารยาตามหลกั 5 R ได๎อยาํ งถูกต๎อง

Basic 3. การใหย๎ ารบั ประทาน /ยาใชภ๎ ายนอก /ยาฉีดเข๎ากล๎ามเน้ือ

ระดับที่ 2 แสดงสมรรถนะ 1. ประเมินสภาพผปู๎ ุวยกํอนการใหย๎ าได๎อยาํ งถูกต๎อง
ขนั้ ปฏิบัติ ระดบั ท่ี 1 และ 2. สามารถคานวณขนาดยา และ ทาการให๎ยาได๎อยาํ งถูกต๎อง
Doing สามารถประเมนิ เหมาะสม

ใหย้ าได้ อยา่ ง 3.แนะนาผ๎ูปวุ ยเกย่ี วกับการใชย๎ าเพื่อเสริมการออกฤทธิย์ า และ
ถูกต้องเหมาะสม ลดอาการข๎างเคยี งที่อาจจะเกิดขน้ึ ได๎

4. สังเกต ตดิ ตามผลการใหย๎ า
ระดับท่ี 3 แสดงสมรรถนะ 1.ตดิ ตามผลการใช๎ยาและบอกถึงอาการท่ไี มพํ ึงประสงค์ที่อาจจะ
ขน้ั พฒั นา ระดบั ท่ี 1 และ 2 เกิดขึน้ ได๎
Developing และแกไ้ ขอาการ 2.ทราบวธิ ีการแก๎ไขอาการทไี่ มพํ ึงประสงค์ของการให๎ยาได๎

ทีไ่ ม่พงึ ประสงค์
ระดบั ที่ 4 แสดงสมรรถนะ 1. ในกรณที ่ีไมมํ ียาทตี่ ๎องการ เลือกใชย๎ าท่ีมคี ุณสมบตั คิ ลา๎ ยคลงึ
ข้ันกา๎ วหน๎า ระดบั ที่ 1 2 3 ทดแทนได๎ถูกตอ๎ ง
Advance และแก้ปัญหา/ 2. สามารถสอน ใหค๎ าปรึกษาแนะนากับผ๎ูอ่นื เกี่ยวกับวิธีการ

ใหค้ าแนะนาได้ บริหารยารวมท้งั วิธกี ารแก๎ไขปัญหาที่เกดิ ขึน้ ได๎
ระดบั ท่ี 5 แสดงสมรรถนะ 1. มแี นวทางการปรบั ปรงุ คณุ ภาพการบริหารยา
ข้นั ผ๎เู ชีย่ วชาญ ระดับที่ 1 2 3 4 2.นาเสนอแนวทางการพัฒนา/ นวัตกรรม หรือ งานวิจัย ท่ี
Expert และพฒั นาการ เกีย่ วกับการบรหิ ารยา

บรหิ ารยา


64

สถานที ่ี 5 การใหส้ ารนา้ ทางหลอดเลอื ดดาของนายสิบพยาบาล

โดยปกติ ราํ งกายมีน้าเป็นสํวนประกอบรอ๎ ยละ 60 ของน้าหนกั ตวั ซงึ่ เปน็ สวํ นสาคัญในการควบคุม
สมดลุ ของนา้ และเกลือแรํในรํางกาย ซงึ่ เมอ่ื มีการสญู เสยี น้า เกลือแรํ หรือเลือด ไมวํ าํ สงิ่ ใดก็ตาม ยอํ มทาให๎
รํางกายเสียสมดลุ ไป โดยอาจมีอาการแสดงเชํน ริมฝีปากแหง๎ ปสั สาวะออกน๎อย ชีพจรเบาเรว็ ความดนั โลหิต
ต่า และอาจรนุ แรงถงึ ขนั้ หมดสตไิ ด๎ จึงควรรบี ให๎การรกั ษาโดยดํวน ซงึ่ การให๎สารน้าทางหลอดเลือดดาก็เป็นวธิ ี
หน่งึ ท่สี ามารถชํวยเหลือได๎เร็วและดที ส่ี ุด โดยสารน้าทใี่ ห๎ทดแทนมีหลายชนดิ ข้ึนอยูํกบั วํารํางกายเสยี สมดุลใด
ในราํ งกาย สํวนใหญํในสนามรบผบู๎ าดเจบ็ จะเกดิ บาดแผลและเสียเลอื ดอยํางรุนแรง สารนา้ ท่ีใหจ๎ งึ ควรมีความ
คล๎ายคลงึ กบั พลาสมามากที่สุด ซึ่งไดแ๎ กํ Normal saline 0.9% ,Lactated ringers เปน็ ต๎น

การดแู ลผ๎ูปุวยให๎ไดร๎ ับสารนา้ ทางหลอดเลือดดา ควรเลือกตาแหนํงท่ีเหมาะสม โดยเริ่มจากสํวนปลาย
ของแขนกํอน เพื่อใหง๎ ํายตํอการดแู ล แตํหากไมสํ ามารถใหไ๎ ด๎สามารถเลอื กตาแหนํงอ่นื ได๎ตามความเรงํ ดวํ น ใน
การเตรยี มอุปกรณเ์ น๎นย้าควรใชห๎ ลกั ปราศจากเชื้อ ( Aseptic technique ) ซง่ึ หากมกี ารปนเป้ือนสิง่ สกปรก
อาจเป็นสาเหตใุ หเ๎ กดิ ภาวะแทรกซ๎อนตาํ งๆได๎ เชํน การเกดิ การอักเสบของหลอดเลอื ดดา ,การเกดิ ลิ่มเลือดใน
หลอดเลือด และท่ีสาคัญท่ีสุด ควรปูองกันและไลํฟองอากาศไมํให๎อยูํในชุดให๎สารน้าโดยเด็ดขาด เพราะจะทา
ให๎เกิดภาวการณ์อุดตนั ของหลอดเลอื ดจากฟองอากาศ ซง่ึ มผี ลทาให๎เสยี ชีวิตไดอ๎ ยาํ งเฉียบพลัน

อีกส่งิ หนึง่ ท่สี าคญั ของการให๎สารน้าฯ คืออตั ราในการปรับหยดการใหส๎ ารนา้ ฯ ซ่ึงผู๎บาดเจ็บจะไดร๎ ับ
สารนา้ อยาํ งเพียงพอหรือไมํ ขึ้นอยํกู ับปรมิ าณของการสญู เสียนา้ และเกลือแรขํ องผู๎บาดเจบ็ แตลํ ะราย ทั้งนี้ต๎อง
ระวงั ในผูบ๎ าดเจบ็ ท่ีมีโรคประจาตวั เชนํ โรคหัวใจ , โรคไต ซ่งึ จะมีผลตํอการปรบั หยดการให๎สารนา้ ฯ ดังน้ันจึง
ตอ๎ งมีการบนั ทึก ชือ่ ผ๎ูบาดเจ็บ ตาแหนํงที่ให๎สารนา้ ฯ ชนิดของสารน้า เวลาท่เี ริ่มให๎และหยุดการใหส๎ ารน้าฯ
ปริมาณของสารนา้ ท่ีได๎รบั ท้ังหมด ตลอดชวํ งเวลาในการให๎การดูแลเสมอ

หากผ๎ูบาดเจบ็ ใหค๎ วามรวํ มมือในการรับการรักษา ประกอบกับผใู๎ ห๎การดแู ลตระหนกั ถึงความสาคัญ
และมีความร๎ู รวมถงึ ประสบการณ์ในการใหส๎ ารนา้ ทางหลอดเลอื ดดาเป็นอยํางดี การให๎สารน้าทางหลอดเลือด
ดาจึงสัมฤทธผ์ิ ลได๎


65

สมรรถนะการใหส๎ ารนา้ ทางหลอดเลือดดาของนายสิบพยาบาล คอื พฤตกิ รรมทีน่ ายสิบพยาบาลแสดง
ถึงการใช๎ความรทู๎ างการให๎สารนา้ ทางหลอดเลือดดากบั ผ๎ปู ุวย ต้ังแตกํ ารประเมินสภาพผปู๎ วุ ย การบอก
วตั ถปุ ระสงค์ของการใหส๎ ารน้าฯ การเตรยี มอปุ กรณ์ การเลือกตาแหนงํ ของหลอดเลอื ดดาท่เี หมาะสม ขน้ั ตอน
และวธิ กี ารใหส๎ ารน้าฯ การปรับอัตราหยดของสารน้าตามแผนการรักษา การดแู ล เฝาู ระวงั และแก๎ไข
ภาวะแทรกซ๎อนจากการใหส๎ ารน้าฯ ไดถ๎ ูกต๎อง
ระดบั ที่ 1 ขั้นพ้นื ฐาน: ใหผ้ ูเ้ ขา้ รบั การทดสอบอธิบาย

1. การประเมนิ สภาพผป๎ู วุ ยท่ีต๎องไดร๎ ับสารน้าทดแทน
2. วตั ถุประสงคข์ องการใหส๎ ารน้า
3. การเตรยี มอุปกรณ์
4. การเลอื กตาแหนํงของหลอดเลอื ดดาทเี่ หมาะสม
5. ข้นั ตอนและวิธีการใหส๎ ารนา้
6. การปรบั อตั ราหยดของสารน้า
ระดบั ที่ 2 ข้ันปฏบิ ัต:ิ ใหผ้ ูเ้ ขา้ รบั การทดสอบปฏบิ ัติ และ ทาการสมั ภาษณเ์ พิ่มเตมิ
1.ใหผ๎ ู๎เข๎ารบั การทดสอบเตรยี มการใหส๎ ารน้าฯ
2. ใหผ๎ ๎ูเข๎ารับการทดสอบเลือกตาแหนงํ ของหลอดเลอื ดดาที่เหมาะสมในการให๎สารน้า
3. ถามถงึ หลักการดแู ลขณะผปู๎ ุวยไดร๎ ับสารน้าทางหลอดเลอื ดดา
ระดับที่ 3 ข้ันพัฒนา: ให้ผเู้ ข้ารบั การทดสอบปฏิบตั ิ และ ทาการสัมภาษณเ์ พิ่มเตมิ
1.ถามถงึ การเฝูาระวังและการแก๎ไขภาวะแทรกซ๎อนที่เกิดจากการใหส๎ ารนา้ ทางหลอดเลือดดา
ระดบั ที่ 4 ข้นั กา้ วหน้า: สมั ภาษณผ์ เู้ ข้ารับการทดสอบ
1.ถามถึงประสบการณ์ในการ ถาํ ยทอดความร๎ูเกยี่ วกับการให๎สารน้าทางหลอดเลือดดา
2.ถามถงึ ประสบการณใ์ นการให๎คาปรกึ ษาแนะนาแกํ ผบ.หนํวย กาลังพลอ่ืนๆในเรือ่ งการใหส๎ ารน้าฯ
ระดับท่ี 5 ข้นั ผเู้ ช่ยี วชาญ: สมั ภาษณผ์ เู้ ขา้ รับการทดสอบ
1.นาเสนอแนะแนวทางการปรับปรงุ และแกไ๎ ขปญั หาที่อาจเกิดขน้ึ จากการให๎สารนา้ ทางหลอดเลือดดา
2.นาเสนองานวจิ ยั หรอื นวัตกรรมการใหส๎ ารน้าทางหลอดเลอื ดดา


66

FCc5 : การให้สารนา้ ทางหลอดเลือดดา

คาจากัดความ: ความสามารถในการใหส๎ ารนา้ ทางหลอดเลอื ดดา ต้ังแตํการประเมนิ สภาพผูป๎ วุ ย การบอก

วตั ถปุ ระสงค์ของการให๎สารน้าทางหลอดเลือดดา การเตรียมอุปกรณ์ การเลือกตาแหนงํ ของหลอดเลือดดาที่เหมาะสม

ขัน้ ตอนและวิธกี ารใหส๎ ารนา้ ทางหลอดเลือดดา การปรบั อัตราหยดของสารนา้ ตามแผนการรกั ษา การดูแล เฝูาระวงั และ

แก๎ไขภาวะแทรกซ๎อนจากการให๎สารน้าทางหลอดเลือดดาได๎อยํางถูกต๎อง ปลอดภัยและทนั เวลา รวมถึงจดั ทาบนั ทึก

ทางการแพทยเ์ ก่ยี วกบั การให๎สารนา้ ทางหลอดเลือดดา

ระดบั พฤติกรรมบ่งชี้ หมายเหตุ

ผา่ น/ไม่ผา่ น

ระดบั ท่ี 1 มคี วามรเู้ ก่ยี วกับ 1. อธิบายวัตถปุ ระสงค์ของการให๎สารน้า

ขั้นเรยี นร๎ู การใหส้ ารนา้ ทาง 2.อธิบายการเตรยี มอุปกรณ์

Basic หลอดเลือดดา 3. อธิบายขน้ั ตอนและวธิ ีการใหส๎ ารน้า

4.เลอื กตาแหนงํ การให๎สารน้าฯได๎เหมาะสม

ระดบั ท่ี 2 มสี มรรถนะระดบั ที่ 1. ใหส๎ ารน้าตามหลกั 5 R ได๎อยาํ งถกู ต๎อง

ขั้นปฏบิ ตั ิ 1และให้สารน้าได้ 2. ปรบั อัตราการให๎สารนา้ ไดเ๎ หมาะสมตามอาการ

Doing อยา่ งถกู ต้อง เปล่ยี นแปลงของผูป๎ ุวย

ระดับท่ี 3 มสี มรรถนะระดับที่ 1.เฝาู ระวังอาการเปลีย่ นแปลง แกไ๎ ขภาวะแทรกซ๎อนจากการ

ข้ันพัฒนา 1 และ 2 จัดการ ให๎สารน้าไดอ๎ ยํางถูกต๎อง

Developing กบั สถานการณ์ 2. ประยกุ ตใ์ ช๎อุปกรณ์การให๎สารน้าในสนามได๎อยําง

และแกไ้ ขปญั หาได้ เหมาะสมตามสถานการณ์

ระดบั ท่ี 4 สมรรถนะระดับที่ 1. ถํายทอดความร๎ู แนะนา การปฏบิ ตั กิ ารใหส๎ ารนา้ ทาง

ขน้ั กา๎ วหน๎า 1,2,3 และให้ หลอดเลอื ดดาให๎กบั กาลังพล

Advance คาแนะนา 2.การใหค๎ าปรึกษาแนะนาแกํ ผบ.หนํวย หรอื กาลงั พลอน่ื ๆ

ถา่ ยทอดความรู้ ในเร่ืองการให๎สารน้าฯ

และการปฏบิ ตั ิ

ระดบั ที่ 5 สมรรถนะระดบั ท่ี 1.นาเสนอแนะแนวทางการปรบั ปรุงและแก๎ไขปญั หาที่อาจ

ขัน้ ผ๎ูเช่ยี วชาญ 1,2,3,4 สร้าง เกิดขึ้นจากการให๎สารน้าทางหลอดเลอื ดดา

Expert นวตั กรรมในการ 2.นาเสนองานวิจัย หรอื นวัตกรรมการใหส๎ ารน้าทางหลอด

ใหส้ ารนา้ ทาง เลือดดา

หลอดเลือดดา


Click to View FlipBook Version