1
โรงเรยี นเสนารกั ษ์ กรมแพทยท์ หารบก
Army Medical Field Service School
ค่มู ือการชว่ ยเหลือชีวิตของพลรบ
A HANDBOOK OF COMBAT
LIFESAVER CARE
จดั ทาเมื่อ ตลุ าคม 2561
2
คมู่ อื การชว่ ยเหลอื ชวี ติ ของพลรบ
ประเภทองคค์ วามรู้ แนวทางการปฏบิ ัตงิ าน
จดั ทาเมอ่ื ตลุ าคม 2561
รายชอ่ื คณะผจู้ ดั ทา 1. พ.อ.วัฒนายุทธ สรรพานชิ รอง ผบ.รร.สร.พบ.
ผอ.กศ.รร.สร.พบ.
2. พ.อ.พฤษพงศ์ ศรสี วสั ดิ์ อจ.หน.รร.สร.พบ.
อจ.หน.รร.สร.พบ.
3. พ.อ.หญิง ปวรส บุตะเขยี ว อจ.รร.สร.พบ.
อจ.รร.สร.พบ.
4. พ.อ.ธีรวฒุ ิ สว่างวารี อจ.รร.สร.พบ.
5. พ.ท.หญิง นภัสสภรณ์ วงษ์จาด
6. พ.ท.หญงิ ลาวัลย์ สุฤทธิกามล
7. พ.ท.บญุ เลศิ เรือนแกว้
3
คานา
พลรบ มหี นา้ ทีใ่ นการรบ และรกั ษาความม่นั คงของชาติ ซงึ่ เป็นผทู้ เ่ี ส่ยี งต่อการบาดเจ็บหรือเสยี ชีวติ
จากถกู กระทาของฝา่ ยตรงขา้ ม จาเป็นที่พลรบทุกนายตอ้ งมีความร้แู ละทกั ษะในการช่วยเหลอื ชวี ติ ตนเอง
เพอ่ื ให้สามารถทาการรบต่อไปได้ และบรรลภุ ารกิจท่ีได้รบั มอบหมาย
โรงเรียนเสนารักษ์ กรมแพทยท์ หารบก ตระหนกั ถึงความสาคัญของการการช่วยเหลือชีวิตของ
พลรบในสนามรบ ท้งั น้ีการเพ่ิมประสทิ ธิภาพของการปฐมพยาบาลในสนามของพลรบให้สามารถช่วยชวี ิต
ตนเองและเพื่อนร่วมรบเพื่อลดอตั ราการตายของพลรบจากการปฏบิ ัติหน้าท่ี จึงบรรจุเนื้อหาวิชาการดูแล
ผู้บาดเจบ็ ทางยทุ ธวธิ ี ในทกุ หลกั สูตรการเรียนการสอนของโรงเรยี น เพ่อื ใหผ้ ู้เรียนนาไปขยายผลส่กู าลังพล
คณะทางานการจัดการความรู้ กรมแพทย์ทหารบก ได้ดาเนนิ การจัดทาคมู่ ือการช่วยเหลือชีวิตของ
พลรบเพ่ือสนบั สนุนยุทธศาสตร์ พบ. ที่ ๑ พฒั นาความเป็นมืออาชีพของกาลงั พลสายแพทย์ทหาร และ
ยทุ ธศาสตร์ พบ. ท่ี ๓ มุ่งสู่ความเป็นเลิศในการบริการแพทย์ในสนาม ทั้งน้ีได้รับความร่วมมือจากโรงเรียน
เสนารกั ษ์ กรมแพทย์ทหารบก และผู้ทรงคุณวุฒิจนสาเรจ็ ได้ด้วยดี จงึ ขอขอบคุณมา ณ ท่ีนี้ คมู่ ือเลม่ นี้มี
เนอื้ หาทีเ่ กย่ี วกับการดูแลผบู้ าดเจบ็ ทางยทุ ธวิธรี ะหวา่ งการปะทะ ในพื้นท่ีหลงั การปะทะ และการสง่ กลบั
ผู้บาดเจบ็ ทางยทุ ธวิธี มีวัตถปุ ระสงค์ เพื่อเปน็ คู่มอื ในการจดั การเรียนการสอนสาหรบั พลรบ เพอ่ื ใหส้ ามารถ
ชว่ ยเหลอื ชีวิตตนเองและทหารทไ่ี ดร้ ับบาดเจบ็ ณ จดุ เกิดเหตุการปะทะ จนกระทั่งผ้บู าดเจบ็ ไดร้ บั การดูแล
รกั ษาจากแพทย์ ในหน่วยรักษาพยาบาลทใี่ กล้ทส่ี ดุ เพ่ือลดอัตราการตายและพิการจากการสูร้ บ
พ.อ.
(พฤษพงศ์ ศรีสวัสด์ิ)
ผอ.กศ.รร.สร.พบ
ต.ค.61
4
สารบญั
คานยิ ามศัพท์ หนา้
สว่ นที่ 1 องคค์ วามรเู้ รื่องการชว่ ยเหลือชวี ติ ของพลรบ ก-ข
1. กลา่ วนาการดแู ลชว่ ยเหลอื เชิงยุทธวธิ ี 1
2. การดูแลระหว่างการปะทะ (Care Under Fire) 1
3
- แนวทางการดูแลผบู้ าดเจบ็ ระหวา่ งการปะทะ 3
- การเคลอ่ื นย้ายผูบ้ าดเจบ็ เข้าสู่ทกี่ าบัง 3
- ลาดับความเรง่ ดว่ นของการปฐมพยาบาล ในระหว่างการปะทะ 4
- การหา้ มเลอื ดระหวา่ งการปะทะ 5
- การสงั เกตเลือดที่ออกจากบาดแผล 5
- วธิ ีการหา้ มเลอื ดในระหว่างการปะทะ 5
- วิธกี ารใช้สายยางรดั ห้ามเลือด 7
- การใชค้ อมแบท แอพพลเิ คช่นั ทนู ิเกต์ The Combat Application
8
(CAT แคท) 8
- สรุปประเดน็ การหา้ มเลือด 9
- สรปุ ประเด็นสาคัญ ระหว่างการปะทะ 9
3. การดแู ลในพน้ื ทหี่ ลังการปะทะ (Tactical Field Care) 10
- แนวทางการปฏิบัตติ วั เพื่อความปลอดภยั ณ ที่เกดิ เหตุ (Scene safety) 10
- แนวทางการประเมินผ้บู าดเจ็บ 11
- การรักษาพยาบาลในระยะ Tactical Field Care 11
- ขน้ั ตอนการปฏบิ ัตใิ นระยะ Tactical field care เมอื่ ถึงท่ีปลอดภัย 12
- การเปิดชอ่ งทางเดินหายใจผู้บาดเจบ็ 14
- แผลเปดิ ทรวงอก (Open pneumothorax) 16
- การหา้ มเลือด ในพืน้ ที่หลงั การปะทะ 22
- สรุปประเดน็ สาคญั ในระยะการดแู ลในพ้นื ที่หลังการปะทะ
4. การส่งกลับผูบ้ าดเจบ็ ทางยทุ ธวธิ ี (Combat Casualty Evacuation Care) 5
- การลาเลียงผ้บู าดเจ็บ
- การลาเลยี งผูบ้ าดเจ็บดว้ ยเปล หนา้
- การคดั แยกผูบ้ าดเจ็บ 23
23
5. การกรอกข้อมลู ลงแบบบันทึกการเจบ็ ป่วยในสนาม 31
สว่ นท่ี 2 รายละเอยี ดการฝึกปฏบิ ตั ิ 2 วนั 33
37
1. ตารางการฝึกปฏบิ ตั ิ 2 วัน
2. รายละเอยี ดการฝึกและสิ่งอปุ กรณ์สาหรบั การฝึกในแต่ละสถานี 41
สว่ นท่ี 3 รายการตรวจสอบการปฏบิ ตั ิ (Check list) 42
45
------------------------------
ก
คานยิ ามศพั ท์
การชว่ ยเหลอื ชวี ติ หมายถึง การปจั จบุ นั พยาบาลให้แกผ่ ปู้ ่วยเจ็บในสนามรบอยา่ งถูกต้อง ใหก้ ารชว่ ยเหลือ
ชวี ติ แก่ผ้บู าดเจบ็ ในแนวหนา้ การปฐมพยาบาลตนเองในเบ้ืองต้น ( Self aid ) และการปฐมพยาบาลเพ่ือน
ทหารทร่ี ว่ มรบท่ีอยใู่ กลเ้ คยี งกัน ( Buddy aid ) โดยเนน้ ชว่ ยเหลอื ผบู้ าดเจบ็ ท่มี ีโอกาสรอดชีวิตได้ เพื่อความ
ปลอดภยั รวมถึงลดการสญู เสยี ของกาลังพลและเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของกาลงั พลท่ีไดร้ บั บาดเจ็บ ก่อน
ส่งกลับผบู้ าดเจ็บไปข้างหลัง
การปฐมพยาบาลตนเองในเบอ้ื งตน้ ( Self aid ) หมายถึง นายสิบพยาบาลหรือทหารทท่ี าการรบเปน็ ผู้ท่ี
ชว่ ยเหลือชวี ติ ตัวของเขาเอง
การปฐมพยาบาลเพือ่ นทหารท่รี ว่ มรบทอี่ ยใู่ กล้เคยี งกนั ( Buddy aid ) หมายถงึ นายสบิ พยาบาลหรอื
ทหารท่ที าการรบชว่ ยเหลือชวี ติ ของเพ่ือนทหารท่รี ว่ มรบทีอ่ ยใู่ กลเ้ คียงกัน
การดแู ลระหวา่ งการปะทะ ( Care Under Fire ) หมายถงึ การช่วยเหลอื ชีวติ ณ จดุ เกดิ เหตุ ในขณะท่ผี ู้
ชว่ ยเหลอื ชวี ิตและผู้บาดเจบ็ ยงั อยภู่ ายใตก้ ารยงิ หวงั ผลของขา้ ศกึ หรอื ยงั ตกอยู่ในภาวะอนั ตรายโดยตรงจาก
การกระทาของขา้ ศึก สงิ่ แรกที่สาคญั ทสี่ ดุ ในการช่วยชีวิตของผู้บาดเจบ็ คือ การยิงตอบโต้ขา้ ศกึ ดว้ ยอานาจ
การยงิ ทเ่ี หนอื กว่า และบอกให้ผ้บู าดเจ็บทาการชว่ ยเหลือตนเองกอ่ นโดยใชส้ ายยางรัดหา้ มเลอื ดที่มปี ระจา
กายตนเอง รอจนสถานการณ์ปลอดภยั จงึ เขา้ ทาการช่วยเหลอื ผบู้ าดเจบ็ ซง่ึ อปุ กรณท์ างการแพทยม์ ีอยู่
อยา่ งจากัด
การดูแลในพนื้ ทห่ี ลงั การปะทะ (Tactical Field Care) หมายถงึ การช่วยเหลอื ชีวิตเม่อื ผชู้ ่วยเหลือ และ
ผู้บาดเจบ็ ไมต่ กอยภู่ ายใตก้ ารยิงหรอื โจมตขี องข้าศกึ มีทกี่ าบังปลอดภัยเพยี งพอ แต่ยังไม่ปลอดภยั เต็มที่ อาจ
มีการปะทะอีกเม่ือใดก็ได้ และยงั มีขดี จากดั ในเรอ่ื ง เวลา และอปุ กรณ์ทางการแพทย์ที่มีจากัด ดังนน้ั การดูแล
รักษาทจ่ี าเป็นแกผ่ ู้บาดเจ็บจะทาให้ถงึ แก่ชวี ติ ก่อน เชน่ การห้ามเลอื ด การเปดิ ทางเดนิ หายใจ การหายใจ การ
ดามกระดูก เป็นต้น
การสง่ กลบั ผบู้ าดเจบ็ ทางยุทธวธิ ี (Tactical Evacuation Care) หมายถึง การเตรยี มผบู้ าดเจบ็ ใหพ้ รอ้ ม
ในการส่งกลบั ซง่ึ อาจเป็นพาหนะทางการแพทย์ (MEDEVAC) หรอื การสง่ กลบั โดยไมใ่ ชพ่ าหนะ
ทางการแพทย์ (CASEVAC) ซง่ึ หากผบู้ าดเจบ็ เดนิ ไมไ่ ด้ ใหเ้ คลอ่ื นยา้ ยผบู้ าดเจบ็ โดยใชเ้ ปล หรอื เปล
แสวงเครอ่ื ง และหากการสง่ กลบั นนั้ เป็นผบู้ าดเจบ็ ทห่ี มดสตแิ ละเดนิ ทางโดยพาหนะทไ่ี มใ่ ช่ทางการ
แพทย์ ผชู้ ว่ ยเหลอื ชวี ติ ทางยทุ ธวธิ อี าจตอ้ งไปกบั ผบู้ าดเจบ็ (ขน้ึ กบั การสงั่ การของผนู้ าหน่วย , อาการ
ผบู้ าดเจบ็ ) ซง่ึ หากเป็นเช่นนนั้ ผชู้ ว่ ยเหลอื ชวี ติ ทางยทุ ธวธิ จี ะสามารถทาการดแู ลรกั ษาโดยเฝ้าดใู นเร่อื ง
ของทางเดนิ หายใจ การหายใจ การเสยี เลอื ดของผบู้ าดเจบ็ ตลอดการเดนิ ทาง และอาจตอ้ งทาการดแู ล
รกั ษาเพม่ิ เตมิ เท่าทจ่ี าเป็นและตามขดี ความสามารถทม่ี ใี นขณะนนั้
พลรบ หมายถงึ ทหารที่ต้องทาการรบในแนวหน้า
ข
วตั ถปุ ระสงค์
๑. เพ่อื เป็นคูม่ อื ในการจัดการเรยี นการสอนสาหรับทหารทต่ี ้องทาการรบในแนวหนา้
๒. เพื่อให้ผูเ้ ขา้ รับการศึกษา/ฝึกอบรบสามารถชว่ ยเหลอื ชีวติ ตนเองและทหารที่ไดร้ บั บาดเจ็บ ณ จดุ
เกดิ เหตุการณ์ปะทะ จนกระท่ังผบู้ าดเจบ็ ได้รับการดแู ลรักษาจากแพทย์ ในหน่วยรักษาพยาบาลที่ใกล้ทสี่ ุด
๓. เพ่อื ลดอตั ราการตายและพิการของกาลังพลจากการสู้รบจากการสู้รบ โดยเนน้ การดแู ลรักษาและ
ป้องกันการเสียชีวติ ท่ีสามารถทาการรกั ษาได้ ณ จุดเกิดเหตุ
กลมุ่ เปา้ หมาย
ทหารท่ตี อ้ งทาการรบในแนวหน้า
1
สว่ นที่ 1 องคค์ วามรู้
เรอื่ ง การชว่ ยเหลอื ชวี ติ ของพลรบ
COMBAT LIFESAVER CARE
วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรหู้ ลกั
สามารถอธบิ ายหลกั การ ขนั้ ตอนและการจัดการดแู ลผู้บาดเจบ็ ทางยทุ ธวิธไี ด้
วตั ถปุ ระสงค์การเรยี นรทู้ ่คี วรทราบ
(1) สามารถดูแลผบู้ าดเจ็บทางยทุ ธวธิ ีได้
(2) สามารถดแู ลผบู้ าดเจ็บระหว่างการปะทะ (Care Under Fire) และเนน้ การหา้ มเลือดดว้ ยสาย
ยางรัดหา้ มเลอื ดได้ถูกต้อง
(3) สามารถอธบิ ายและปฏบิ ตั ิตามขน้ั ตอนการดแู ลในพน้ื ที่หลังการปะทะ (Tactical Field Care)
สามารถทาการหา้ มเลือดเพิ่มเติมดว้ ยผ้าแต่งแผล และอปุ กรณ์หา้ มเลอื ดอ่นื ๆ การเปิดทางเดนิ หายใจ การดูแล
ทางเดินหายใจ และบาดแผลทรวงอก การประเมนิ ระดับการรสู้ ติ
(4) สามารถอธิบายและส่งกลบั ทางยุทธวธิ ี การลาเลยี ง และ การคัดแยกผูบ้ าดเจ็บได้ถูกต้อง
(5) สามารถอธิบายและกรอกข้อมูลลงแบบบนั ทกึ การเจ็บปว่ ยในสนามได้ถกู ต้อง
1. กลา่ วนา การดแู ลผบู้ าดเจบ็ ทางยทุ ธวธิ ี
การดแู ลผู้บาดเจบ็ ทางยุทธวธิ ี (Tactical Combat Casualty Care, TCCC) ทาใหผ้ ู้บาดเจ็บใน
สนามรบ มโี อกาสรอดชีวิตมากขน้ึ ซึ่งแบ่งออกเปน็ ไดเ้ ป็น 3 ระยะท่สี าคัญคือ การดูแลระหวา่ งการปะทะ การ
ดูแลในพ้ืนท่หี ลงั การปะทะ และ การสง่ กลบั ทางยทุ ธวธิ ี
การพัฒนาบริการแพทย์ในสนาม มหี ลากหลายวิธี เช่น การพฒั นาสิ่งอปุ กรณป์ ้องกันตน การดูแล
ผู้บาดเจ็บทางยุทธวธิ ี การส่งกลบั ใหเ้ รว็ ขึน้ และ ฝึกฝนทกั ษะนายสบิ พยาบาล ฯลฯ
ความแตกต่างของการดแู ลก่อนถึง รพ. ระหว่างทหารกบั พลเรือน
1. การดูแลภายใตก้ ารปะทะ
2. สภาพแวดลอ้ มทเี่ ลวร้าย
3. ลกั ษณะความแตกต่างทางระบาดวทิ ยาของบาดแผล
4. เครื่องมอื อปุ กรณ์ทีจ่ ากดั
5. ความตอ้ งการทางยุทธวิธี
6. ระยะเวลาการส่งไปยังสถานพยาบาลท่ียาวนาน
7. การฝกึ และประสบการณข์ องนายสบิ พยาบาล
2
ความสาคัญของผ้ใู ห้ความชว่ ยเหลือคนแรก พบวา่ ประมาณ ร้อยละ 90 ของการเสียชีวิตในสนาม
รบเกิดขึน้ กอ่ นทผ่ี ้บู าดเจ็บจะไปถงึ สถานพยาบาล ชวี ติ ของผูบ้ าดเจบ็ อยใู่ นมือของบุคคลแรกทเ่ี ขา้ ไปให้ความ
ชว่ ยเหลอื เช่น นายสิบพยาบาล นายสิบกชู้ พี หรือ แม้แตก่ าลังพลเหล่าอนื่ ๆท่ีไม่ใชเ่ หล่าแพทย์
การจัดการดูแลผู้บาดเจ็บ ถ้าผบู้ าดเจบ็ ถูกนาส่งไปยงั รพ.พลเรอื น หรือ ศูนยด์ ูแลผ้บู าดเจบ็ ได้รับ
การรกั ษาจากทีมแพทย์ที่ใชเ้ ทคโนโลยีทที่ ันสมยั ทสี่ ุด และ ทางานภายใตเ้ ง่อื นไขทีส่ ามารถควบคุมได้ อย่ใู น
พ้ืนท่ีปลอดภัย ถา้ เปน็ การบาดเจ็บในสถานการณ์ทางยุทธวธิ ี จะเกิดอะไรขน้ึ ? ควรตอ้ งคานึงถงึ สิ่งใดบ้าง
การดแู ลผู้บาดเจ็บทางยุทธวิธี จะช่วยนาทางใหเ้ รารู้ว่าเราควรจะทาอยา่ งไร นอกจากนี้ การดูแล
ผู้บาดเจบ็ ทางยทุ ธวธิ ยี งั ชว่ ยทาใหเ้ กิดส่งิ ทเี่ รยี กว่า “การแพทย์ดี ด้วยเทคนิควิธกี ารทีด่ ี”
พบว่าประมาณ ร้อยละ 90 ของการเสยี ชีวติ ในสนามรบ เกดิ ขนึ้ ก่อนท่ีผู้บาดเจ็บจะไปถงึ
สถานพยาบาล การเสยี ชวี ิตสว่ นใหญเ่ หลา่ นไี้ ม่สามารถทจี่ ะปอ้ งกันได้ ตวั อย่างเชน่ การบาดเจบ็ ที่ศรี ษะอยา่ ง
รนุ แรง การบาดเจบ็ ท่ีร่างกายอยา่ งรุนแรง เปน็ ต้น ซึ่งการเสยี ชีวติ ในการรบจากบาดแผลประเภทต่างๆมีดงั น้ี
- แผลทะลุทีศ่ รี ษะ รอ้ ยละ 31
- บาดแผลฉกรรจ์ที่ลาตัว รอ้ ยละ 25
- บาดเจบ็ ทต่ี อ้ งผา่ ตดั รอ้ ยละ 10
- การตกเลือดจากบาดแผลท่ีแขน/ขา รอ้ ยละ 9
- แผลอวัยวะฉีกขาดจากการระเบิด ร้อยละ 7
- แรงดนั ในช่องเย่อื หุ้มปอด รอ้ ยละ 4
- ปญั หาทางเดินหายใจ รอ้ ยละ 2
- เสยี ชวี ิตจากบาดแผลจากการติดเช้อื และอาการช็อกแทรกซอ้ น ร้อยละ 12
ผบู้ าดเจ็บประมาณ ร้อยละ 15 ทส่ี ามารถรอดชวี ติ ได้ ถา้ ได้รับการรกั ษาพยาบาลที่เหมาะสมเชน่
การห้ามเลือด การลดแรงดันในชอ่ งเย่อื ห้มุ ปอดและ การเปิดทางเดินหายใจ ซ่ึงเปน็ สาเหตกุ ารทาให้เสียชีวติ ใน
สนามรบอันดบั 1, 2 และ 3 ตามลาดบั
นายสบิ กู้ชพี (Combat lifesaver) มีหนา้ ทีห่ ลกั คือการรบ ส่วนการทาหน้าทีเ่ ปน็ ผชู้ ่วยเหลือชวี ติ
เป็นหน้าทร่ี อง ควรให้การรกั ษาพยาบาลก็ต่อเมื่อการรกั ษาพยาบาลน้นั ไมก่ ่อให้เกิดอนั ตรายตอ่ ภารกิจหลัก
เป้าหมายของการช่วยเหลอื ชีวติ ดว้ ยหลักการการดแู ลผูบ้ าดเจบ็ ทางยทุ ธวธิ ี คือปฏิบัตภิ ารกิจทีห่ นว่ ย
มอบหมายให้สาเรจ็ ลุล่วงแลว้ จงึ ทาการชว่ ยเหลอื การเสยี ชีวติ ท่ีป้องกนั ได้และป้องกันไม่ให้มีผบู้ าดเจบ็ เพมิ่ เติม
การเข้าช่วย ณ ตอนไหนโดยใครให้ผบู้ ังคบั ชุดหรือผูบ้ ังคับบัญชาสูงกว่าเป็นผูส้ ัง่ การ
การดูแลผูบ้ าดเจ็บทางยุทธวิธี (Tactical Combat Casualty Care) แบง่ เปน็ 3 ระยะคือ
(1) ดแู ลระหว่างการปะทะ (Care Under Fire)
(2) การดูแลในพน้ื ทห่ี ลงั การปะทะ (Tactical Field Care)
(3) การสง่ กลับทางยุทธวิธี (Tactical Evacuation Care)
ในบทเรียนนีม้ งุ่ เน้นในการประเมนิ ผ้บู าดเจ็บในสถานการณ์แรกทเี่ นน้ การดแู ลระหวา่ งการปะทะ
และร้จู กั วธิ กี ารห้ามเลือดในสนามรบดว้ ยสายยางรัดห้ามเลือดได้อย่างถูกต้อง
3
2. การดแู ลระหวา่ งการปะทะ (CARE UNDER FIRE)
วัตถปุ ระสงค์ท่ีควรทราบ - สามารถดูแลผูบ้ าดเจบ็ ระหวา่ งการปะทะ (Care under fire) ในระยะน้ีสิง่ ที่ควร
เน้นยา้ ได้แก่ เน้นการยิงโตต้ อบ การหา้ มเลือดดว้ ยสายยางรดั หา้ มเลอื ด
ในสถานการณน์ ้ีท้ังผู้เข้าชว่ ยเหลอื และผู้บาดเจบ็ ยังอย่ภู ายใต้การโจมตขี องข้าศึก ซงึ่ อยู่ในภาวะอนั ตราย
และอยู่ในระยะประชดิ การรักษาพยาบาลที่สามารถจะทาได้นน้ั จากดั มาก
2.1แนวทางการดแู ลผบู้ าดเจบ็ ระหวา่ งการปะทะ
2.1.1 รวมอานาจการยิงให้เหนอื กว่าขา้ ศึก เน้น ความปลอดภัยของเราก่อนเปน็ ลาดบั แรก
2.1.2 เขา้ ชว่ ยเหลือผู้บาดเจบ็ เม่ือสถานการณ์ปลอดภยั
2.1.3 เคล่ือนย้ายผบู้ าดเจบ็ เข้าสทู่ ่ีกาบังและให้ผู้บาดเจบ็ ทาการชว่ ยเหลอื ตวั เองก่อน (Self aid)
หากสามารถช่วยเหลือตวั เองได้ และใหท้ าการรบต่อไป
2.1.4 หลีกเล่ยี งการทาให้มีผบู้ าดเจ็บเพม่ิ เติมจากการถูกซมุ่ ยงิ หรือสะเก็ดระเบดิ
2.1.5 ปอ้ งกันการเสียชวี ิตจากการเสยี เลอื ดทนั ทีท่ีทาได้
- ใชส้ ายยางรดั หา้ มเลือดทาการหา้ มเลือดในบริเวณที่ถูกต้องอย่างถกู วิธี
- ใช้สายยางรัดห้ามเลือดรัดตน้ แขนหรอื ตน้ ขา เหนือบรเิ วณทม่ี ีเลอื ดออก ทับไปบน
เสื้อผา้ ใหแ้ น่นพอ และเคล่ือนยา้ ยผบู้ าดเจ็บเข้าท่ีกาบัง
2.1.6 เนน้ การทาภารกจิ ใหส้ าเรจ็ และทาการดแู ลผบู้ าดเจบ็ ภายใตก้ ารยงิ เมอื่ ปลอดภยั การดแู ล
ผูบ้ าดเจ็บอาจจะไม่ใช่ส่งิ ทีด่ ที ่ีสุดในการปฏบิ ตั ิภารกจิ แต่การดูแลผ้บู าดเจ็บ ควรขน้ึ อยู่กับสถานการณ์ที่เกดิ ขน้ึ
2.1.7 ถา้ ยงั มีการยงิ เกิดข้นึ อย่จู ะยังไมท่ าการเข้าไปช่วยเหลอื ผ้บู าดเจบ็ ในบรเิ วณท่มี ีอนั ตราย
(Killing zone)
2.1.8 ยงิ ตอบโต้ข้าศึกดว้ ยอานาจการยิงทเี่ หนอื กวา่ แลว้ จงึ เข้าไปช่วยเหลอื ผ้บู าดเจ็บและ
เคลอ่ื นย้ายเข้าส่ทู กี่ าบังเมื่อสถานการณ์ปลอดภัย
2.1.9 ยงิ ตอบโตข้ า้ ศึกดว้ ยอานาจการยิงทีเ่ หนือกว่า จะชว่ ยลดความเสย่ี งของทมี ทจ่ี ะเข้าไป
ชว่ ยเหลือผบู้ าดเจบ็ เพือ่ ไมใ่ ห้มผี ู้บาดเจ็บเพิ่มข้นึ
2.1.10 อานาจการยงิ เกิดจากการช่วยกนั ของทีมท่ีจะเข้าช่วยและตัวผบู้ าดเจบ็ เอง เพื่อใหเ้ กดิ
อานาจการยิงท่ีเหนือกวา่ “ยาทดี่ ที ส่ี ดุ ในสนามรบคอื อานาจการยงิ ที่เหนือกวา่ ”
2.2 การเคลอ่ื นยา้ ยผบู้ าดเจบ็ เขา้ สทู่ ่กี าบัง
ถ้าผู้บาดเจบ็ สามารถเคลื่อนที่เองได้ ให้เคลอ่ื นทเ่ี ขา้ ที่กาบังเองโดยให้ระวงั การยงิ จากฝา่ ยขา้ ศกึ แต่
ถ้าหากวา่ ผู้บาดเจ็บไมส่ ามารถเคล่ือนทีเ่ องได้หรือไมร่ ู้สึกตัว การเขา้ ช่วยเหลือจะต้องรอก่อนจนกว่าสถานการณ์
จะปลอดภยั
แนวทางการเคลื่อนย้ายผบู้ าดเจ็บถ้าจาเปน็ ต้องเคลื่อนย้ายผบู้ าดเจบ็ ระหวา่ งการปะทะ ให้พิจารณา:
- หาท่กี าบงั ท่ใี กล้ทสี่ ดุ
- วิธีการที่ดที ส่ี ดุ ในการเคลื่อนที่เขา้ สู่ทีก่ าบัง
4
- ความเสย่ี งของทีมทจี่ ะเข้าทาการช่วยเหลอื
- ประเมินความคุ้มค่าในการเข้าช่วยเหลือ
- ระยะทางในการเข้าทกี่ าบัง
- วิธีทดี่ ที ส่ี ุดคือการตอบโตด้ ว้ ยอานาจการยิงทเี่ หนือกวา่
2.2.1 การเคลอื่ นย้ายเข้าสทู่ ี่กาบัง ดว้ ยการลากดว้ ยบคุ คลคนเดยี ว
- ใชเ้ มือ่ สถานการณ์ปลอดภัย ใชเ้ คลือ่ นย้ายในระยะทางสั้นๆ
- ผูเ้ ข้าทาการชว่ ยเหลอื จงึ เขา้ หาผบู้ าดเจบ็ ด้วยความระมดั ระวงั
- ใช้มือขา้ งถนดั ถืออาวธุ ปืนเพ่ือระวังปอ้ งกัน
- ใชม้ ือข้างไม่ถนัดจับเส้ือ/คอเส้ือ/สายโยงบ่า/เสื้อเกราะของผู้บาดเจ็บเพื่อใช้ใน
การเคล่ือนย้าย
- ขณะเคลอ่ื นย้ายผ้บู าดเจ็บเข้าทีก่ าบัง จะต้องทาการระวังป้องกนั จากการยิงของข้าศึก
ไปด้วย
ขอ้ ดี : สามารถถืออาวุธได้, ใชค้ นชว่ ยเหลอื คนเดียว
ขอ้ เสีย: เคลอ่ื นท่ีได้ช้า, ผู้บาดเจ็บต้องถกู ลากอาจอยู่ในท่าทีไ่ ม่เหมาะสม อาจจะ
ทาใหผ้ บู้ าดเจบ็ ไดร้ ับบาดเจบ็ เพมิ่ มากขึ้นในภูมิประเทศที่ขรุขระ
2.2.2 การเคลอื่ นยา้ ยเขา้ สทู่ ก่ี าบงั ดว้ ยการลากดว้ ยบคุ คลสองคน
- เม่อื สถานการณ์ปลอดภยั
- ผเู้ ขา้ ทาการช่วยเหลอื จึงเขา้ หาผู้บาดเจ็บด้วยความระมดั ระวงั
- ผูช้ ่วยเหลือคนหน่งึ ใชม้ ือข้างถนัดถอื อาวธุ ปนื เพื่อระวังป้องกัน
- ใช้มอื ข้างไม่ถนดั จบั เสื้อ/คอเสอ้ื /สายโยงเป้/เสือ้ เกราะของผู้บาดเจ็บเพื่อใช้ในการ
เคล่ือนย้าย
- ขณะเคลือ่ นยา้ ยผูบ้ าดเจ็บเข้าทก่ี าบงั ผชู้ ว่ ยเหลอื คนท่ถี ือปืนจะต้องทาการระวังป้องกัน
จากการยงิ ของข้าศึกไปดว้ ย
- การลากควรลากไปตามแนวยาวของลาตวั ของผบู้ าดเจบ็
- การลากด้วยวิธกี ารนี้สามารถใช้ในสถานทีท่ เ่ี ปน็ อาคาร การลากลงบนั ไดในน้าระดับต้นื ๆได้
ขอ้ ดี : เคลอื่ นทเี่ ขา้ สูท่ ่กี าบงั ได้เรว็ กวา่ แบบคนเดยี ว
ข้อเสยี : ใช้ทีมเข้าช่วยเหลอื มีความเส่ยี งเพม่ิ ข้ึน
2.3 ลาดบั ความเรง่ ดว่ นของการปฐมพยาบาล ในระหวา่ งการปะทะ
- รบี ทาการห้ามเลือด บรเิ วณท่ีมีเลอื ดออกจานวนมาก
- การเสยี เลอื ดปริมาณมากจากบาดแผลที่แขน-ขาเปน็ สาเหตุของการเสยี ชีวิตท่สี ามารถป้องกันได้
และเป็นสาเหตทุ ่ีพบบ่อยทีส่ ุด
5
- ทหารมากกว่า 2,500 นาย ที่ได้รบั บาดเจบ็ จากการส้รู บในสงครามเวียดนาม เสยี ชีวติ จากเลือด
ไหลออกที่แขน-ขา จานวนมาก เกิดภาวะชอ็ ก และเสยี ชีวิต
- ควรรบี ทาการห้ามเลือดท่ีทาใหเ้ กิดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ในระหว่างการปะทะ
- ถา้ มีเส้นเลอื ดใหญ่บริเวณตน้ ขาฉีกขาด ผู้บาดเจบ็ จะเสียชีวติ ภายในเวลาเพยี งสามนาทีเท่าน้นั
2.4 การหา้ มเลอื ดระหวา่ งการปะทะ
ทหารทกุ นาย ที่ออกปฏบิ ตั ภิ ารกจิ ตอ้ งมคี วามร้ใู นการป้องกันการเสียเลือด ควรมีสายยางรัดหา้ ม
เลือดประจากาย ต้องทาการฝึกและรู้วิธกี ารใช้อย่างถูกตอ้ ง และสามารถห้ามเลอื ดได้ เพือ่ เป็นการชว่ ยเหลอื
ตวั เองในเบ้ืองต้น (self-aid)
ภาพที่ 1 การสายยางรดั หา้ มเลอื ดเพื่อชว่ ยเหลอื ตวั เอง (self-aid)
การเสียเลือดที่พบไดบ้ อ่ ยคอื บรเิ วณ แขน-ขา ถ้าพบการบาดเจบ็ ต่อเสน้ เลอื ดขนาดใหญ่ตอ้ งทาให้
เลือดหยดุ ไหลโดยเรว็ ทสี่ ดุ เพราะสามารถทาให้เกดิ ภาวะช็อกได้
2.5 การสงั เกตเลอื ดท่อี อกจากบาดแผล
2.5.1 เลอื ดท่ีออกจากเส้นเลือดแดง มีสีแดงสด ไหลแรง พงุ่ ออกตามจังหวะการเต้นของหัวใจ
ถ้าเจอเลือดออกลักษณะนีใ้ ห้รีบใชส้ ายยางรดั หา้ มเลอื ดทันที
2.5.2 เลือดท่ีออกจากเสน้ เลือดดา มสี ีแดงคลา้ ไหลออกมาเร่ือยๆ ไหลไม่แรง
2.5.3 เลอื ดที่ออกจากเสน้ เลือดฝอย มีสแี ดงคลา้ ไหลซึมออกมาช้าๆ
2.6 วธิ กี ารหา้ มเลอื ดในระหวา่ งการปะทะ
ควรใช้สายยางรัดห้ามเลอื ดเป็นอปุ กรณ์ช้ินแรก ในการห้ามเลือดระหว่างการปะทะ สายยางรดั ห้าม
เลือดใชไ้ ด้กับการตกเลอื ดที่แขนขา แขนขาขาด ถูกระเบิด บาดแผลฉกรรจ์ การใชส้ ายยางรดั ห้ามเลอื ด ต้อง
รดั ให้สูงท่สี ุดจนเกือบชดิ รักแร้ หรอื ขาหนีบ และขนั ให้แน่น จนเลือดหยดุ ไหล (ให้สูงและแนน่ พอ: High and
Tight) ท่จี ะทาใหเ้ ลือดหยดุ ได้ หรือคลาชพี จรสว่ นปลาย (ตา่ กว่าสายยางรัดหา้ มเลือด) ไม่ได้ การใช้สายยาง
รดั ห้ามเลอื ดควรใช้ก่อนที่ผู้บาดเจบ็ จะเสยี เลอื ดมากจนเกิดอาการช็อก
6
ข้อควรระวัง:การคลาชพี จรให้ใช้น้ิวชีแ้ ละนิ้วกลาง ห้ามใชน้ ิ้วหัวแม่มอื เพราะเส้นเลือดท่ีน้วิ หวั แมม่ อื
ของผู้จบั ชพี จร เตน้ แรงอาจทาใหส้ บั สนวา่ เป็นชพี จรของผู้บาดเจ็บหรือผ้จู บั ชพี จร
ภาพที่ 2 ตาแหนง่ ทคี่ ลาชีพจร
การคลาชีพจรที่ข้อมือ (Radial pulse)ได้ ความดันโลหิต (Systolic Blood Press ure:SBP)
ประมาณ 80 mmHg (ถ้าจบั ชีพจรทีข่ ้อมือไม่ไดใ้ ห้จบั ชีพจรที่ขาหนีบ),การคลาชพี จรท่ขี าหนบี (Femoral
pulse)ได้ SBP ประมาณ 70 mmHg (ถ้าจับชพี จรท่ีขาหนบี ไมไ่ ด้ใหจ้ บั ชีพจรท่ีคอ),และการคลาชีพจรท่คี อ
(Carotid pulse)ได้ SBP ประมาณ 60 mmHg หากคลาชีพจรทค่ี อไม่ได้ ให้งดการช่วยเหลือผู้บาดเจบ็
การสังเกตเลือดที่ออกหลังจากรัดแนน่ พอ คือเลือดจากหลอดเลือดแดงหยุดไหล แตเ่ ลือดจากหลอด
เลอื ดดาในส่วนท่ีอยูต่ ่าลงไปของแขนขาจะไหลออกจนกระทงั่ เลอื ดที่อย่ใู นหลอดเลือดดาไหลออกหมดจงึ จะ
หยุด ฉะน้ันอย่ารดั ให้แนน่ ข้ึนอีก ถ้ารดั แน่นเกินไปทาให้ขาดเลือดไปเล้ยี งส่วนทต่ี ่ากวา่ สายรดั อาจทาให้
เนื้อเย่ือส่วนนั้นตาย จนต้องถูกตดั แขนหรือขา
การวางสายยางรดั ห้ามเลือดควรรดั ใหเ้ หนอื บาดแผลบรเิ วณต้นแขนหรือต้นขาข้างนั้นๆ เพราะมี
กระดูกชิน้ เดยี วจึงกดเสน้ เลือดแดงได้ดกี ว่า แขนขาท่อนลา่ งซึ่งมีกระดูก 2 ชน้ิ
7
ภาพท่ี 3 การวางสายยางรดั หา้ มเลือดเหนอื บาดแผลบรเิ วณตน้ ขาข้างทไ่ี ดร้ บั บาดเจบ็
ข้อควรจา: 1. ไมค่ วรรัดสายยางรัดห้ามเลอื ดบนข้อศอกและข้อเขา่ ไมร่ ดั บนอปุ กรณ์ท่ตี ดิ ตัวผปู้ ว่ ย
2. ไมค่ วรคลายสายยางรดั หา้ มเลอื ดออกจนกวา่ จะถึงมือแพทย์ ต้องรบี นาผบู้ าดเจบ็
สง่ แพทย์เรว็ ท่สี ุด
ขอ้ ดี : 1. ทาไดง้ า่ ยและรวดเร็ว ไดผ้ ลเร็วที่สุด
2. เหมาะสมที่จะใชใ้ นช่วงเวลาที่มกี ารปะทะ
ข้อเสีย : 1. เพม่ิ ความเจบ็ ปวดใหแ้ กผ่ บู้ าดเจ็บ
2. ทาให้เสน้ ประสาท หลอดเลอื ดและเนอื้ เย่อื ไดร้ บั บาดเจบ็ และขาดเลือดมา
เลย้ี งของอวยั วะทต่ี า่ กวา่ สายรัด อาจตอ้ งตดั อวัยวะนน้ั ทงิ้
2.7 วธิ กี ารใชส้ ายยางรดั ห้ามเลอื ด
2.7.1 ยดื สายยางรัดออกให้มากที่สดุ แล้วพนั รัดท่ีบรเิ วณต้นแขนหรือต้นขาข้างท่ีไดร้ บั บาดเจบ็
พัน 2 รอบ รัดลงบนเส้ือผา้ โดยไม่ต้องตัดเส้ือผา้ ออก ผกู เง่อื นตายให้แน่นทสี่ ุด
2.7.2 ในกรณีท่ีใชส้ ายยางรัดเสน้ ที่ 1 แลว้ เลือดยังไมห่ ยุดไหล ให้ใชส้ ายยางรดั หา้ มเลือดอันที่ 2
รัดเหนือสายรดั เสน้ ท่ี 1 ขน้ึ มา พนั 2 รอบ ห้ามถอดเสน้ แรกออก ใช้ผา้ แต่งแผลปดิ บาดแผลและพนั ใหแ้ นน่
2.7.3 ห้ามคลายสายยางรัดออกโดยเด็ดขาด จนกวา่ จะถึงมือแพทย์ เขยี นตวั T (Tourniquet) ไว้ท่ี
หน้าผากผู้บาดเจ็บดว้ ยปากกา หรอื ใชเ้ ลือดของผบู้ าดเจ็บเขียนถา้ ทาได้ หากทาไม่ไดใ้ ห้เปดิ บริเวณที่ใช้สายรดั
หา้ มเลือดให้เหน็ ชดั เจน
2.7.4 บนั ทึกเวลารดั สายยางฯไว้ในบัตรบันทกึ ผปู้ ่วยเจ็บ หรือบริเวณท่ีท่ีเจา้ หน้าท่ีแพทย์สามารถ
มองเห็นไดง้ ่าย
ภาพท่ี 4 วธิ กี ารใชส้ ายยางรัดหา้ มเลือด ยดื สายยางรัดออกให้มากทสี่ ดุ
8
ภาพที่ 5 พนั สายยางรดั หา้ มเลือด 2 รอบ บริเวณตน้ ขาขา้ งทไี่ ดร้ บั บาดเจบ็ ผกู เงื่อนตายใหแ้ นน่ ทสี่ ดุ
2.8 การใช้คอมแบท แอพพลเิ คชนั่ ทนู เิ กต์ The Combat Application Tourniquet (CATแคท) เป็น
สายรดั หา้ มเลือดในสนามรบท่ีประเทศสหรฐั อเมรกิ านิยมใช้ เน่ืองจากมปี ระสทิ ธภิ าพ ใช้ได้
รวดเร็ว สะดวก สามารถใชไ้ ด้ดว้ ยมอื ขา้ งเดยี ว มีขนาดเล็กและเบา
วิธกี ารใช้คอมแบท แอพพลิเคชน่ั ทนู ิเกต์ The Combat application tourniquet (CAT-แคท)
2.8.1 สอดห่วง Tourniquet เขา้ ไปตามแขนขาข้างท่ีมีแผลเลือดออกมาก
2.8.2 วาง Tourniquet ไวท้ ตี่ น้ แขนหรือตน้ ขาข้างท่ีมีบาดแผล
ภาพที่ 6 วาง Tourniquet ไวท้ ี่ตน้ แขนขา้ งทีม่ บี าดแผล
2.8.3 ดึงปลายสายของหว่ ง ให้เกิดการรัดท่ีแนน่ ข้นึ
2.8.4 ดงึ ปลายสายห่วงรัดให้แนน่ รอบแขน โดยยังไม่ให้ผ่านตัว clip
2.8.5 หมนุ แท่งขันให้แน่นจนเลือดหยดุ
2.8.6 ยึดแทง่ ขันไว้กับตัว clip เพือ่ ปอ้ งกนั การคลายเกลียว
2.8.7 พนั สายหว่ งทับผ่านแท่งขันไป
2.8.8 พันทบั สายหว่ งและแท่งขนั ด้วยสายรดั clip (Windlass Strap) โดยตอ้ งรัดให้แน่น
2.9 สรปุ ประเดน็ การหา้ มเลอื ด
2.9.1 ทหารทุกนายต้องสามารถใชส้ ายยางรัดหา้ มเลอื ด เพ่ือทาการชว่ ยเหลือตนเองได้
9
2.9.2 ควรมกี ารทาการฝึกฝนทักษะการใช้สายยางรดั ห้ามเลือด จากชดุ ปฐมพยาบาลประจากาย
ทหารที่เก็บไวใ้ นบรเิ วณที่ทราบโดยท่ัวกัน
2.9.3 การรดั สายยางรดั ห้ามเลือด ใหร้ ัดบนเสื้อผา้ ไดเ้ ลย ไมจ่ าเป็นต้องถอดเส้ือผ้าออก
2.9.4 ตอ้ งรดั ใหแ้ น่นพอ เพื่อทาให้เลอื ดหยดุ ไหล
2.9.5 รดั เส้นที่สองให้เหนือเส้นแรกขนึ้ ไป
2.9.6 ไม่รดั บนข้อศอกหรือ ข้อเขา่ ไมร่ ดั บนกระเปา๋ ซง่ึ อาจจะมีสิง่ ของอยภู่ ายใน ทาใหเ้ กิดแรงกด
และไดร้ บั บาดเจ็บมากขึ้น นอกจากน้ยี งั ทาให้การรัดห้ามเลือดดอ้ ยประสิทธภิ าพ
2.9.7 ควรใช้สายยางรัดห้ามเลือดเม่ือควรใช้ เช่น ควรรดั ก่อนทผ่ี ู้บาดเจบ็ จะเสียเลือดมากจน
เกิดภาวะช็อก
2.9.8 ไม่ควรใชส้ ายยางรัดหา้ มเลอื ดเม่อื ยงั ไม่ควรใช้ เชน่ กรณีท่เี ลอื ดไหลออกไมม่ ากไม่เปน็
อันตรายถึงชีวิต ควรทาการห้ามเลือดในระยะถัดไปที่อยูใ่ นหว้ งหลังการปะทะส้นิ สุดลง
2.9.10 ไม่คลายสายยางรดั หา้ มเลอื ดเดด็ ขาดจนกวา่ จะถงึ มอื แพทย์
2.10 สรปุ ประเดน็ สาคญั ระหวา่ งการปะทะ
2.10.1 ทาการยงิ ตอบโต้ เพื่อขม่ ขา้ ศึกให้ได้
2.10.2 แนะนาให้พลรบ และ คนทบี่ าดเจบ็ ให้ทาการยิงต่อสู้ต่อไป
2.10.3 บอกใหผ้ บู้ าดเจ็บเข้าทก่ี าบงั บอกให้ผบู้ าดเจบ็ ทาการห้ามเลอื ดดว้ ยตนเอง ถา้ เป็นไปได้
2.10.4 ปอ้ งกนั ไม่ใหม้ ีการบาดเจ็บเพิ่มเติม
2.10.5 นาผู้บาดเจบ็ ออกจากยานพาหนะ อาคารทกี่ าลังลุกไหม้ โดยเรว็ ทส่ี ุด
2.10.6 การลากดว้ ยบคุ คลสองคน จะชว่ ยผู้บาดเจบ็ ได้รวดเรว็ กว่า แต่มคี วามเสยี่ งมากกว่า
2.10.7 การเปิดทางเดนิ หายใจไม่ควรทาในระยะน้ี แตค่ วรทาในระยะถดั ไป ที่การปะทะสิน้ สดุ ลง
2.10.8 ควรรีบทาการหา้ มเลือดใหไ้ ดเ้ ร็วที่สดุ การใช้สายยางรัดหา้ มเลอื ดเปน็ สงิ่ สาคัญใน
การชว่ ยรักษาชีวติ ควรรดั สายยางรดั ห้ามเลอื ดก่อนท่ีผู้บาดเจบ็ จะเสียเลือดมากจนทาใหเ้ กิดอาการชอ็ ก
2.10.9 ตาแหนง่ ท่ีรัดสายยาง ควรรดั บริเวณต้นแขน-ตน้ ขา ข้างที่ไดร้ บั บาดเจ็บ
3. การดแู ลในพนื้ ทห่ี ลงั การปะทะ (Tactical Field Care)
วตั ถุประสงค์ท่ีควรทราบ : สามารถอธิบายขัน้ ตอนการดูแลในพนื้ ทหี่ ลังการปะทะ (Tactical Field Care)
เนน้ การหา้ มเลือดเพ่ิมเติมด้วยผ้าแตง่ แผล และอปุ กรณห์ ้ามเลือดอน่ื ๆ การเปดิ ทางเดินหายใจ การดแู ลการ
หายใจและบาดแผลทรวงอก การประเมินระดับการรสู้ ติ การประเมินอาการผูบ้ าดเจ็บ
เปน็ สถานการณ์เม่อื ผเู้ ขา้ ชว่ ยเหลือและผบู้ าดเจ็บไม่อยใู่ นระหว่างการปะทะ การดแู ลในระยะน้ีมีเปา้ หมาย
คอื ผูเ้ ข้าช่วยเหลอื สามารถดแู ลผ้บู าดเจ็บปฐมพยาบาลบาดแผลทไ่ี มเ่ ปน็ อันตรายถึงชีวติ ในกรณีทีพ่ บ
ผู้บาดเจบ็ ทม่ี ีอาการ เพ้อ สบั สน หวาดระแวง ซมึ มอี าการจิตประสาทจากการรบ หรือมีความผดิ ปกติทางดา้ น
จติ ใจ ควรรบี ปลดอาวธุ ทนั ที
10
3.1 แนวทางการปฏบิ ตั ติ วั เพ่อื ความปลอดภยั ณ ทเี่ กดิ เหตุ (Scene safety)
3.1.1 สวมถงุ มือทุกครั้งทีท่ าการประเมินอาการผบู้ าดเจบ็
3.1.2 ตรวจสอบความปลอดภยั ของสถานการณ์ เพือ่ ความปลอดภัยของผู้ชว่ ยเหลือและผบู้ าดเจบ็
3.1.3 รายงานสถานการณ์ใหผ้ บู้ ังคับบัญชารบั ทราบ
3.1.4 ทาการประเมินผบู้ าดเจ็บ ตรวจระดบั การมสี ติด้วยหลกั AVPU
- A - Alert (ต่นื ) ผบู้ าดเจบ็ ตืน่ ตวั สามารถตอบคาถามไดถ้ ูกตอ้ ง รวู้ ่าตวั เองเปน็ ใคร
อยทู่ ่ีไหน รู้ วนั ที่ และ อื่นๆ
- V - Verbal (เรียกตนื่ ) ผบู้ าดเจ็บไม่ตน่ื ตัวแต่มกี ารตอบสนองต่อเสียงเรียก และทาตาม
คาสั่งได้
- P - Pain (เจ็บตนื่ ) ผูบ้ าดเจบ็ มีการตอบสนองเมื่อถูกกระตุ้นดว้ ยความเจบ็ ปวด
- U - unresponsive (ไมต่ ่ืน) ผู้บาดเจบ็ ไม่มีการตอบสนอง หรือ หมดสติ
- หากผู้บาดเจบ็ มีระดบั ความรู้สติทีต่ า่ กว่า A-Alert ใหป้ ลดอาวุธเครอ่ื งกระสนุ และ
วัตถุระเบิดท้ังหมดทนั ที
3.2 แนวทางการประเมนิ ผบู้ าดเจบ็
ควรประเมินอาการสาคญั และสิง่ ทบี่ ่งบอกอาการที่จะเป็นสาเหตแุ ห่งการเสยี ชีวิต ถามผ้บู าดเจ็บวา่
เกิดอะไรข้ึน เกดิ อย่างไร มบี าดเจ็บท่ีไหนหรือไม่ เหตเุ กิดเม่ือใด ลงบันทึกเปน็ คาพดู ของผู้บาดเจ็บ ถามขอ้ มลู
เบ้อื งต้น ช่อื และอายุ และอนื่ ๆ
3.2.1 การตรวจร่างกายอย่างรวดเร็ว ทาการประเมินร่างกายทกุ ส่วนคร่าวๆโดย
- ต้องตรวจสอบบาดแผลท่รี ดั ห้ามเลอื ดไวว้ า่ เลือดหยุดหรือไม่
- ประเมินดูบาดแผลและปรมิ าณการเสียเลือด ดูทางเข้า-ออกของบาดแผล
- ตรวจหาบาดแผลท่มี ีเลอื ดออกมากเพมิ่ เติม ดเู ลือดท่ีเปยี กชุ่มบนเส้ือผา้
3.2.2 การประเมนิ เบ้อื งตน้ เริ่มดว้ ย:
- ทาการห้ามเลือด ถ้ายังมเี ลือดไหลออก ให้ทาการห้ามเลือดใหไ้ ด้
- หลงั จากนน้ั ใหป้ ระเมินตามหลัก ABC
- A – Airway - การดูทางเดินหายใจ
- B – Breathing - ดูการหายใจ
- C – Circulation - การไหลเวยี นของเลอื ด
3.2.3 ประเมินทางเดินหายใจและการหายใจ
- ตรวจหาส่งิ แปลกปลอมในช่องปาก เช่น เลือด เสมหะ อาเจยี น ฟันปลอม พร้อมทง้ั นา
ออกเพ่ือไม่ให้อดุ กั้นทางเดนิ หายใจ
- ถ้ามองเหน็ ถึงจะทาการใชน้ ้ิวล้วงออก
- Head-tilt/Chin-lift method(ดรู ายละเอยี ดหน้า 11) ไม่ควรใส่ head-tilt
- Look – ดกู ารเคล่ือนไหวของอกและท้อง
11
- Listen – ฟงั เสยี งหายใจ
- Feel – รสู้ กึ ถึงลมหายใจที่มากระทบแก้ม
3.2.4 ดูการหายใจ:
- ดูการขยบั ของทรวงอกท้งั สองขา้ งว่าเทา่ กันหรือไม่ โดยควรเปิดเส้ือผา้ ออกเพื่อเห็นชดั เจน
และสารวจบาดแผลได้
- ถ้ามีบาดแผลเปดิ ทีช่ อ่ งอกและมีการหายใจลาบาก ให้หยดุ ทาการประเมนิ ก่อนแลว้ รีบ
ปดิ บาดแผล
**ถา้ ผบู้ าดเจบ็ ไมห่ ายใจ ไมม่ ชี พี จร จะไมท่ าการฟน้ื คนื ชีพ หรอื ป๊มั หวั ใจ ผบู้ าดเจบ็ คนนน้ั **
3.3 การรกั ษาพยาบาลในระยะ Tactical Field Care
การประเมินตามลาดบั คือ A B C D
A- Airway ตรวจการอุดกน้ั ทางเดินหายใจ และแก้ไข
B- Breathing ประเมินและรกั ษาการบาดเจ็บที่ทรวงอก
C- Circulation ตรวจสอบการมีเลือดไหล หรือตรวจรอยชา้ แล้วแกไ้ ขเพิ่มเตมิ
D- Disability ตรวจและแก้ไขภาวะกระดูกหัก
การเปิดทางเดินหายใจ เป็นวธิ ีพ้นื ฐานที่ง่าย รวดเร็ว ไม่ตอ้ งใช้อุปกรณ์ช่วย สามารถเปดิ ทางเดิน
หายใจช่วยผู้ปว่ ยได้รวดเร็ว และมีประสิทธภิ าพ โดยเฉพาะในสถานการณ์ท่อี ปุ กรณ์ไมพ่ ร้อม เชน่ ในสถานที่
เกิดเหตุ ในรถพยาบาล นอกจากน้ยี ังเปน็ ข้นั ตอนแรกในการเรม่ิ กู้ชพี ขนั้ พน้ื ฐาน (Basic life support)
ถ้าผ้บู าดเจบ็ ไมห่ ายใจ ต้องทาใหก้ ารหายใจกลับคืนเรว็ ที่สุดเท่าที่จะทาได้ ดงั น้นั ผ้ชู ่วยเหลอื และ
ผบู้ าดเจบ็ ต้องอยใู่ นท่ปี ลอดภัยจากการพน้ื ท่กี ารยิงต่อสูก้ ่อนทาการแกป้ ัญหาการหายใจ ถ้ายงั อยู่ในพื้นท่ีการ
ปะทะ ตอ้ งรบี ทาการเคลื่อนยา้ ยตัวเองและผบู้ าดเจ็บไปยังพน้ื ทปี่ ลอดภยั เพ่ือสามารถทาการช่วยให้ผบู้ าดเจบ็
ใหห้ ายใจได้ปกติต่อไป
การเปิดทางเดินหายใจท่ดี ี เป็นการปอ้ งกันการเสียชวี ิตทท่ี าได้เป็นอันดบั 3 สามารถรอไดจ้ น
สถานการณ์ปลอดภยั ถ้ายงั อยภู่ ายใต้การยงิ จะยงั ไมท่ าการเปดิ ทางเดนิ หายใจ
ลนิ้ เป็นอวยั วะทจ่ี ะไปอุดทางเดนิ หายใจที่พบบ่อยที่สุดพบว่า เมือ่ หมดสติ จะทาให้กลา้ มเนื้อล้นิ
หยอ่ นตวั ทาใหล้ นิ้ เลอื่ นไปด้านหลังอุดทางเดนิ หายใจ
3.4 ขนั้ ตอนการปฏบิ ตั ใิ นระยะ Tactical Field Care เม่อื ถงึ ทป่ี ลอดภยั มีดงั น้ี
3.4.1. การตรวจสอบการตอบสนองของผ้บู าดเจ็บ ถา้ พบวา่ ผ้บู าดเจ็บไม่ไดส้ ติ ใหท้ าการตรวจการ
ตอบสนองของผูบ้ าดเจ็บด้วยการ ถามเสียงดงั ๆ แตช่ า้ วา่ “คณุ เป็นอะไรไหม” และจับตัวเขยา่ เบาๆ หรอื จับท่ี
ไหลผ่ ูบ้ าดเจบ็ ถ้าผูบ้ าดเจบ็ ไม่มีการตอบสนอง ต้องจัดท่านอนผ้บู าดเจ็บและทาการเปิดชอ่ งทางเดนิ หายใจ
12
3.4.2 การจดั ทา่ ผู้บาดเจ็บ การจดั ทา่ ก่อนเรมิ่ เปดิ ทางเดนิ หายใจ ควรจัดให้ผู้ปว่ ยนอนราบบนพื้น
แขง็ ในท่านอนหงายมือของผปู้ ว่ ยอยู่ขา้ งลาตวั ถา้ ผบู้ าดเจ็บไม่นอนหงาย ใหจ้ ัดทา่ นอนหงายด้วยวิธกี ารต่อไปนี้
3.4.2.1 คุกเข่าขา้ งๆ ผู้บาดเจบ็
3.4.2.2. ยกแขนผบู้ าดเจ็บขา้ งที่ใกลท้ ่ีสดุ ข้นึ เหนอื ศีรษะเขาเอง
3.4.2.3 จบั ขาท้ังสองของผบู้ าดเจ็บให้ชดิ กนั และเหยียดให้ตรงหรือเกอื บตรง
3.4.2.4 ใชม้ ือขา้ งหน่งึ สอดเข้าใต้ศีรษะและคอของผู้บาดเจ็บ
3.4.2.5 ใช้มือขา้ งท่วี ่างข้ามดา้ นหลังของผู้บาดเจ็บไปจับใต้ทอ่ นแขนของเขา
(ให้ห่างจากบรเิ วณขอ้ พับ)
3.4.2.6 ดึงช้าๆและสมา่ เสมอเขา้ หาตัว ตอ้ งรกั ษาระดบั ศรี ษะและคอให้อยู่แนวเดยี ว
กับลาตัว
3.4.2.7 หมนุ ตัวผบู้ าดเจ็บให้เปน็ เหมือนวตั ถุชิน้ เดียวไปพร้อมกัน ศรี ษะและคอ
เพ่มิ รปู (Lock roll )
3.4.2.8 หลังจากจัดใหผ้ บู้ าดเจ็บนอนหงายแล้ว จัดใหแ้ ขนทงั้ สองอยู่ข้างลาตัว
หมายเหตุ - วธิ กี ารพลกิ ตัวผบู้ าดเจบ็ นี้เพื่อลดการบาดเจ็บที่อาจก่อใหเ้ กิดกับกระดูกสันหลังในกรณที ี่
ผ้บู าดเจ็บไดร้ ับบาดเจ็บทีศ่ ีรษะ คอและหลงั
- หากสงสัยวา่ ผบู้ าดเจ็บมีอาการบาดเจ็บบริเวณลาคอ ให้ใสเ่ ฝอื กดามคอ
3.5 การเปิดชอ่ งทางเดนิ หายใจผบู้ าดเจบ็
เมอ่ื ผบู้ าดเจ็บหมดสติ กลา้ มเนื้อทกุ ส่วนจะคลายตวั ซ่ึงจะมีผลทาใหล้ น้ิ เล่อื นตวั ลงไปด้านหลังและอดุ
ตนั ช่องทางเดนิ หายใจ การเปดิ ชอ่ งทางเดนิ หายใจอาจช่วยทาใหผ้ ้บู าดเจบ็ สามารถหายใจได้ด้วยตวั เองอกี คร้ัง
วิธกี ารเปิดชอ่ งทางเดินหายใจมี 2 วิธี คือ การกดหนา้ ผาก/ยกคาง และการยกกราม ถ้าคาดวา่ ผบู้ าดเจ็บได้รบั
บาดเจบ็ ที่คอหรือกระดูกสนั หลัง ใหใ้ ชว้ ิธกี ารงา้ งขากรรไกร
หมายเหตุ 1. แมว้ ่าผบู้ าดเจบ็ จะยังหายใจได้ การจัดท่าทีด่ กี จ็ ะชว่ ยให้เขาหายใจไดส้ ะดวกข้นึ
2. ถา้ พบเห็นสง่ิ แปลกปลอมในช่องปากผบู้ าดเจ็บ (เชน่ เลือด เสมหะ วัตถุแปลกปลอม ฟนั หลดุ
วัสดุแข็งๆ เศษอาหาร ฯลฯ) ให้ใชน้ ว้ิ มือลว้ งออกโดยเรว็ ทีส่ ดุ เทา่ ท่ีจะทาได้ เพ่อื ทาให้ทางเดินหายใจโลง่
3.5.1 การกดหนา้ ผาก/เชยคาง (Head tilt-Chin lift)
การกดหน้าผาก/เชยคาง (Head tilt-Chin lift) ปฏบิ ตั โิ ดยผชู้ ว่ ยเหลือใชม้ ือข้างหน่ึงจับ
หนา้ ผากผปู้ ว่ ย และมืออีกข้างประคองคอดา้ นหลงั ของผู้บาดเจบ็ จดั ใหศ้ ีรษะของผู้ปว่ ยอยใู่ นท่าเงยหน้า
เลก็ นอ้ ย (Sniffing position) เม่อื อยู่ในท่าท่เี หมาะสมแล้ว มือขา้ งท่ีจับหน้าผากกดศีรษะของผปู้ ว่ ยไวเ้ บา ๆ
เพื่อไมใ่ ห้ขยับ จากนั้นใชม้ อื อีกข้างหน่ึงจบั ใต้ปลายคางผู้ปว่ ยยกขน้ึ ในแนวตั้งฉากกบั พ้นื โดยระวงั ไม่ให้กดเนื้อ
สว่ นใต้คางมากเกนิ ไป (ตามภาพที่ 7)
13
ภาพท่ี 7 การกดหนา้ ผากเชยคาง
การทา Head tilt-chin lift นี้เหมาะสาหรับในผู้ป่วยที่ม่ันใจว่าไมม่ ีการบาดเจบ็ ของกระดกู สนั หลัง
บรเิ วณคอ เน่ืองจากการจับผูบ้ าดเจบ็ เงยหน้าในผูป้ ว่ ยทมี่ ีการบาดเจ็บกระดูกตน้ คออยู่แล้วจะทาใหม้ ีการขยบั
ของกระดูกต้นคอและเกดิ การบาดเจบ็ เพิ่มข้ึนได้
3.5.2 การยกกราม (Jaw-thrust)
ใช้ในกรณีที่สงสัยว่าผ้บู าดเจ็บมีการบาดเจบ็ ท่ีกระดกู ตน้ คอ วิธนี ผ้ี ชู้ ว่ ยเหลอื ตอ้ งอยู่ทางดา้ น
บนศรี ษะของผู้ป่วย จากน้ันใชม้ อื ทง้ั สองขา้ งจับบรเิ วณมมุ ของกราม (Angle of mandible) และยกกรามของ
ผ้ปู ่วยขนึ้ พร้อม ๆ กบั ใชน้ ้วิ หัวแม่มืออยบู่ รเิ วณปลายคางของผูป้ ว่ ย เพือ่ ชว่ ยเปิดปากผู้ปว่ ย (ตามภาพท่ี 8)
ภาพท่ี 8 การยกกราม
3.5.3 การจดั ทา่ ผบู้ าดเจบ็ ใหอ้ ยใู่ นทา่ พักฟน้ื
ทา่ พักฟื้นช่วยใหเ้ ลอื ดและน้ามูกและน้าลายไหลออกจากรูจมูกและปากผบู้ าดเจบ็ และไม่
ยอ้ นกลับเข้าไปปดิ กั้นช่องทางเดนิ หายใจ วธิ กี ารจัดทางพักฟน้ื ทาดังนี้
3.5.3.1 นัง่ คกุ เข่าขา้ ง ๆ ผู้ป่วย ทา head tilt chin lift เหยยี ดขาผปู้ ว่ ยให้ตรง จบั แขน
ด้านใกลต้ วั งอและหงายมือข้ึน
3.5.3.2 จับแขนดา้ นไกลตวั ขา้ มหน้าอกมาวางมือไวท้ ี่แก้มอีกขา้ งหนึ่ง
14
3.5.3.3 ใช้แขนอีกข้างหน่ึงจบั ขาไว้ ดงึ พลกิ ตัวผู้ป่วยใหเ้ ข่างอข้ามตัวมาด้านท่ผี ปู้ ฏบิ ัติอยู่
ใหผ้ ้ปู ่วยอยู่ในทา่ ตะแคง
3.5.3.4 จับศรี ษะแหงนเลก็ น้อย เพอ่ื เปดิ ทางเดนิ หายใจใหโ้ ลง่ ปรบั มือให้อยใู่ ต้แก้ม และ
จดั ขาใหง้ อเล็กน้อย
ภาพท่ี 9 แสดงทา่ นอนพักฟื้นของผบู้ าดเจบ็
3.6 แผลเปดิ ทรวงอก (Open pneumothorax)
บาดแผลท่หี น้าอก ทาให้เกิดการดดู ลมเข้าไปในช่องอก บาดแผลทาหน้าทเี่ หมือนล้นิ ( one way
valve) เมื่อลมผ่านเข้าไปแล้ว แตใ่ นระหว่างท่หี ายใจออก ลมนั้นไมส่ ามารถออกจากชอ่ งอกไดใ้ นระหว่างที่
หายใจออก และกลับไปเพ่ิมความดนั ในช่องอก ทาใหป้ อดยุบแฟบลง
แผลเปิดบริเวณหน้าอกสามารถเกดิ ได้จากการท่ีกระสนุ ใบมีด ของมคี ม หรือวัตถุอ่ืนๆทะลเุ ขา้ ไปใน
ชอ่ งอก หากไมแ่ น่ใจวา่ แผลน้ันทะลุเข้าไปถึงช่องอกหรือไม่ ก็ใหท้ าการรกั ษาบาดแผลเหมือนกบั ว่าแผลนน้ั เป็น
แผลเปิดทรวงอก อาการและอาการแสดงของบาดแผลเปดิ ทรวงอกไดแ้ ก่
1. เสยี งดูดหรอื เสยี งฟู่ ดังมาจากบาดแผลบริเวณหนา้ อก (เมื่อผูบ้ าดเจบ็ ท่ีมีแผลเปดิ บริเวณช่อง
หายใจเขา้ อากาศกจ็ ะผ่านเข้าและออกบริเวณบาดแผล บางครัง้ อากาศจะทาใหเ้ กิด “เสยี งดดู ” เพราะเสียงท่ี
ดงั เช่นน้ี บางคร้งั เราจึงเรยี กแผลเปิดบริเวณหนา้ อกวา่ “แผลดดู ทรวงอก”
2. ผบู้ าดเจบ็ ไอเป็นเลอื ด
3. เลอื ดเปน็ ฟองไหลออกมาจากแผลบรเิ วณหน้าอก (อากาศท่ีเข้าและออกจากแผลบริเวณหน้าอกทา
ใหเ้ ลือดที่ออกจากบาดแผลเป็นฟอง)
4. หายใจไดส้ ั้นๆหรอื หายใจลาบาก
5. ชอ่ งอกไมพ่ องข้นึ ตามปกติขณะทผี่ ูบ้ าดเจ็บหายใจเข้า (ผู้บาดเจ็บอาจมีกระดูกซ่ีโครงหลายชิ้นที่
แตกหกั ซ่ึงเปน็ ผลมาจากหน้าอกถูกกระแทก)
6. มอี าการเจบ็ ที่บรเิ วณไหล่หรือบริเวณหน้าอก โดยจะเจ็บปวดขึน้ เรอ่ื ยๆเวลาหายใจ
7. รมิ ฝีปากเขยี วคล้า มอี าการหนา้ ซีด
8. สญั ญาณของอาการชอ็ ก เชน่ หัวใจเต้นเรว็ และออ่ น
15
3.6.1 การตรวจสอบแผลเปดิ บริเวณหนา้ อก
ตรวจสอบทง้ั แผลเขา้ และแผลออก ดูว่ามีกองเลือดอยู่ข้างหลังของผู้บาดเจ็บหรือไม่ โดยการ
ใช้มอื ลบู เพ่ือสมั ผัสบาดแผล
3.6.1.1 หากมแี ผลเปิดบริเวณหน้าอกมากกวา่ หนึง่ แผล ใหร้ กั ษาแผลทม่ี ีอาการหนกั กวา่
ก่อน (มเี ลือดออกมากกวา่ หรือ แผลท่ีมีลักษณะอากาศผา่ นเข้าออก)
3.6.1.2 หากผบู้ าดเจบ็ มแี ผลเปิดบรเิ วณหน้าอกอยดู่ ้านหน้าหนึง่ แผลและอยูด่ า้ นหลงั อีก
หนึง่ แผลและแผลทง้ั สองส่งผลตอ่ ปอด ใหใ้ ช้การทาแผลแบบตดิ เทปสามดา้ นบนวัสดุกันอากาศเข้าบริเวณแผล
ดา้ นหน้า ส่วนแผลด้านหลงั ใหใ้ ชก้ ารตดิ เทปบนวัสดกุ นั อากาศทั้งสด่ี า้ น
3.6.2 การดแู ลเบ้ืองต้นดว้ ยการปิดแผลเปดิ บรเิ วณหนา้ อก
เนื่องจากอากาศสามารถผา่ นเข้าผ้าพนั แผลทั่วไปได้ ดั้งน้นั จงึ ต้องพยายามปิดบาดแผล โดย
การใช้ พลาสตกิ หรือวัสดทุ ่ีอากาศไมส่ ามารถซมึ ผา่ นได้ชนดิ อ่ืน เพ่ือป้องกนั ไมใ่ ห้อากาศเขา้ ไปในชอ่ งอกและ
ทาใหป้ อดยุบตัว เช่นใช้ซองพลาสติกของผ้าแต่งแผลสนาม หรือซองพลาสติกของห่อชดุ ทาแผลฉกุ เฉินมาปิด
แผลได้ ขนั้ ตอนตอ่ ไปเปน็ ขัน้ ตอนในการนาเอาซองผ้าแตง่ แผลสนาม มาใชใ้ นการปดิ แผล
3.6.2.1 การเตรียมซองพลาสติก เปดิ ซองดา้ นหนึง่ ออก เอาผา้ ทาแผลด้านใน (ผา้ ทาแผลที่
ถกู กระดาษหอ่ ไว้) แยกออกไวต้ า่ งหาก ตัดขอบซองจนไดเ้ ปน็ แผ่นพลาสติกหนึ่งช้นิ แผ่นพลาสติกนเี้ องท่ีจะ
นามาใชป้ ดิ แผลเพ่ือกนั อากาศเขา้ หากมที ้งั แผลเข้าและแผลออก อาจตัดแผ่นพลาสติกเปน็ สองช้ินเพื่อปิดแผล
ทง้ั สองด้าน หากแผลไม่ใหญเ่ กนิ ไป ขอบของแผ่นพลาสตกิ แตล่ ะดา้ นควรเลยขอบของปากแผลมาอย่างนอ้ ย
ขา้ งละสองนว้ิ
3.6.2.2 ให้ผู้บาดเจบ็ หายใจออก บอกให้ผบู้ าดเจบ็ หายใจออกและกลนั้ หายใจเอาไว้ เพื่อไล่
อากาศออกจากแผล ถา้ อากาศออกมาได้มาก ผู้บาดเจ็บก็จะสามารถหายใจได้ดีขึ้นหลงั จากทปี่ ดิ บาดแผลแลว้
หากผบู้ าดเจบ็ หมดสตหิ รือไม่สามารถกลนั้ หายใจได้ ให้รีบปิดบาดแผลหลังจากที่ผบู้ าดเจ็บหายใจออกจนสดุ
แลว้ กอ่ นทีผ่ ้บู าดเจบ็ จะหายใจเข้าคร้ังต่อไป
ภาพท่ี 10 การปดิ แผลสามดา้ น โดยใหด้ า้ นลา่ งเปิด (ผปู้ ว่ ยนอนหงาย)
เพื่อกนั อากาศเขา้ แตอ่ ากาศสามารถออกได้
16
การทาแผลดว้ ยผา้ แตง่ แผลและผา้ พันแผลจะช่วยป้องกนั ไม่ใหว้ สั ดุปิดแผลกันอากาศเข้าเกิดความ
เสียหายและยังชว่ ยกดบาดแผลเอาไว้
- เอาผ้าแต่งแผลออกจากห่อ เอาผ้าแตง่ แผลดา้ นสขี าววางลงบนพลาสตกิ ป้องกนั อากาศเข้า
กดบาดแผลไวเ้ พอ่ื ไม่ให้แผ่นพลาสติกเลอ่ื นออกจากแผล
ขอ้ ควรระวัง: หากมวี ัตถุยืน่ ออกมาจากแผลบริเวณหน้าอก อยา่ พยายามดึงวัตถุนน้ั ออก วางวัสดเุ พ่อื
ป้องกนั อากาศเขา้ รอบ ๆ วัตถุท่ยี ืน่ ออกมานัน้ เพื่อพยายามไมใ่ ห้อากาศเขา้ บาดแผลเทา่ ทจี่ ะทาได้ ใช้
ผ้าพนั แผลปดิ ทบั ผา้ ทาแผลน้นั ไว้เพอ่ื ไม่ใหเ้ ลือ่ นหลุด หา้ มเอาผ้าพนั แผลพันวัตถนุ ้นั เดด็ ขาด
- ใช้ผา้ พันแผลปดิ ทับผา้ ทาแผลเพอ่ื ไมใ่ ห้เล่ือนหลดุ ถ้าผบู้ าดเจบ็ พอจะช่วยได้ ให้ผู้บาดเจ็บจบั
ผา้ พนั แผลไว้ในขณะท่พี ันผา้ แต่ถา้ ผ้บู าดเจบ็ ชว่ ยไม่ไดต้ ้องใชม้ อื หนึ่งกดผ้าทาแผลไว้แล้วพยายามพนั ผา้
- จบั ปลายขา้ งหนง่ึ ของผ้าพันแผลแลว้ สอดเขา้ ไปข้างหลงั ดึงปลายขน้ึ มาปดิ ทบั ผา้ ทาแผล
- เอาปลายผา้ พันแผลอกี ข้างหนึ่งสอดเข้าไปอีกด้านแล้วดึงขึ้นมาปดิ ทบั ผ้าพันแผล
- ดึงปลายท้ังสองขา้ งใหแ้ น่นแล้วมดั ดว้ ยเง่อื นตายตรงกง่ึ กลางของผ้าทาแผล เงือ่ นนจี้ ะช่วยกดแผล
ไว้อกี ทางเพอื่ ช่วยไม่ให้อากาศเขา้ แผล ผา้ พันแผลไม่ควรรดั แน่นเกินไปจนผ้บู าดเจบ็ หายใจไม่ออก
3.6.3 การจัดตาแหนง่ ผู้บาดเจบ็ ทท่ี าแผลเปดิ บริเวณหนา้ อกเรียบร้อยแล้ว
ใหผ้ บู้ าดเจบ็ นอนตะแคงโดยให้ข้างที่มีแผลอยู่ติดพื้น แรงกดลงกับพน้ื ทาหน้าท่ีเหมือนการ
เขา้ เฝือกข้างทีบ่ าดเจบ็ และช่วยลดความเจ็บปวด (การให้ผบู้ าดเจบ็ นอนตะแคงเอาข้างท่ีไม่บาดเจบ็ ลงกับพืน้
อาจทาใหห้ ายใจลาบาก) (ตามภาพท่ี 11)
ภาพที่ 11 ใหผ้ ูบ้ าดเจ็บทาแผลเปดิ บรเิ วณหนา้ อกเรยี บรอ้ ยแลว้ นอนทบั บาดแผลไว้
หมายเหตุ ผบู้ าดเจบ็ อาจอยากลกุ ขึน้ นั่ง หากผูบ้ าดเจบ็ สามารถหายใจได้สะดวกขณะลุกขน้ึ น่งั มากกวา่ ขณะ
นอนตะแคง ก็ให้ผู้บาดเจ็บน่ังโดยหนั หลงั พิงต้นไม้ ผนงั หรือสงิ่ อน่ื ๆ เอาไว้ หากผู้บาดเจ็บ
เหนื่อยกใ็ ห้นอนตะแคงลงอีกครั้ง
3.7 การหา้ มเลือด ในพนื้ ทห่ี ลงั การปะทะ
วธิ ีการห้ามเลอื ดเพ่ิมเติมในระยะนี้ ได้แก่ การขนั ชะเนาะแบบแสวงเครื่อง การกดโดยตรงที่บาดแผล
การใชผ้ ้าแตง่ แผล การใชผ้ ้าม้วนแบบยืดได้ และการใชผ้ ้าสามเหล่ียม
3.7.1 วธิ กี ารใชข้ นั ชะเนาะแบบแสวงเครื่อง
สามารถประกอบขึน้ จากวสั ดุทีย่ ดื หยนุ่ มีความแข็งแรง เชน่ ผา้ ก๊อซ ผา้ มัสลิน หรอื เสื้อผ้า ควร
มคี วามกว้างประมาณสองนิ้ว ใช้รว่ มกับวตั ถุแขง็ เป็นแท่ง
17
ขน้ั ตอนในการปฏิบัติการใช้ขันชะเนาะแบบแสวงเครื่อง
3.7.1.1 ใชผ้ า้ สามเหลย่ี มทาเป็นผ้าคราวาท (Cravat) หรอื วสั ดุที่ใชค้ วรมีความกว้างไม่น้อย
กวา่ 2 นิว้ ไมค่ วรใช้หวาย เชอื ก ลวดหรือวัสดทุ มี่ ีขนาดเลก็ เพราะอาจบาด/ตัดเน้อื ได้ (ตามภาพท่ี 12)
ภาพที่ 12 การใชผ้ า้ สามเหลยี่ มทาเปน็ ผา้ คราวาท (Cravat)
3.7.1.2 วางขนั ชะเนาะแบบแสวงเครื่องท่บี ริเวณต้นแขนตน้ ขา
3.7.1.3 ผกู 1 เงือ่ น
3.7.1.4 วางไม้ที่จะใช้ในการขันชะเนาะลงไป
3.7.1.5 ผกู เง่ือนอกี หนง่ึ คร้งั รอบๆไมท้ ่ีใชใ้ นการขันชะเนาะ
3.7.1.6 หมนุ แทง่ ขันจนกระทงั่ ขนั ชะเนาะแบบแสวงเคร่ืองแน่น และเลอื ดแดงสดๆหยดุ
ไหลและคลาชีพจรไม่ได้
3.7.1.7 ผกู ยึดปลายไมด้ ว้ ยเง่ือนตาย เพื่อไม่ใหไ้ ม้คลายหมนุ กลับ ใช้ผ้าแตง่ แผลปิดแผล
นาส่งแพทยโ์ ดยเรว็ ทีส่ ุด
3.7.1.8 บรเิ วณขันชะเนาะไมค่ วรให้อะไรมาบดบงั สายตาเพื่อใหส้ งั เกตได้ง่าย
3.7.1.9 ทาเครอ่ื งหมายตวั T (Tourniquet) บนหนา้ ผากผบู้ าดเจ็บ ถ้าไมม่ ีอะไรเขียน ใช้
เลอื ดของผบู้ าดเจ็บเขยี น
3.7.1.10 จดเวลาที่ทาการขันชะเนาะ รวมไปถงึ การจับชีพจรและการหายใจ
3.7.1.11 ควรเก็บและสง่ แขน/ขา/ช้ินสว่ นท่ขี าดไปกับผบู้ าดเจ็บ อย่าใหผ้ ูบ้ าดเจบ็ เหน็
3.7.2 การกดโดยตรงที่บาดแผล
วิธีการนเ้ี ปน็ วิธีท่ไี ดผ้ ลดี ถา้ เปน็ แผลเล็กนอ้ ย มขี ้ันตอนการปฏบิ ัตคิ อื ใหใ้ ช้นิ้วมอื ที่สะอาด
หรอื ผ้าสะอาดวางและกดโดยตรงบนบาดแผลจนกว่าเลือดจะหยดุ ไหล (ตามภาพที่ 13) เปน็ การบีบปลาย
หลอดเลอื ดที่ฉีกขาดใหเ้ ขา้ มาหากนั และเป็นการอดุ หลอดเลอื ดไมใ่ หเ้ ลือดไหลออกมา/ชะลอใหเ้ ลอื ดไหลช้า
เมื่อเลอื ดออกนอกหลอดเลือดจะแขง็ ตวั ภายใน 3-5 นาที ใช้เวลาในการกดประมาณ 5-10 นาที เลือดจะหยุด
เมือ่ เลอื ดหยดุ ให้ใช้ผา้ แตง่ แผลปิด/พนั ดว้ ยผา้ พนั แผลแล้วรีบทาการสง่ กลับทางการแพทย์
18
ภาพที่ 13 การกดลงบนบาดแผล
ถ้าเลือดยงั ไหลออกอกี ใชผ้ า้ แตง่ แผลอกี ผนื วางทบั บนผา้ ผนื เดมิ แลว้ พนั ใหแ้ นน่ ดว้ ยผา้ พันแผลมว้ น
แบบยืดได้ โดยดงึ ให้ยืดพอควรแลว้ จึงพันทบั ลงไป เป็นการเพม่ิ แรงกดลงบนบาดแผลช่วยหา้ มเลอื ด
หา้ มเปลย่ี นผา้ แตง่ แผลผนื เดมิ เพราะจะทาใหล้ ม่ิ เลอื ดทแี่ ข็งแล้วหลุดออก เลือดจะไหลออกมาอีก (ตามภาพ
ท่ี 14 )
ภาพที่ 14 การใชผ้ า้ ผนื ใหม่พนั ซ้าบนผา้ ผนื เดมิ
3.7.3 การใชผ้ า้ แตง่ แผล
ผ้าแตง่ แผลเปน็ ผ้าสะอาดปราศจากเชอ้ื ใชส้ าหรบั ปดิ บาดแผลโดยตรงเพอ่ื ห้ามเลอื ดป้องกนั
แบคทีเรยี เขา้ สูบ่ าดแผล ชว่ ยลดความเจบ็ ปวดได้ และเพ่ิมแรงกดทีบ่ าดแผลร่วมกบั การพนั ด้วยผา้ พันแผล
3.7.3.1 ตรวจหาบาดแผล อาจตดั หรือฉีกเสื้อผ้าบรเิ วณที่มีบาดแผลอย่างระมัดระวงั ( ดว้ ย
กรรไกร หรือมดี ) เส้ือผา้ ที่ตดิ อยกู่ บั บาดแผลใหป้ ล่อยไวเ้ ช่นนนั้ ไมด่ งึ ออกเพ่ือป้องกันการบาดเจบ็ มากขึน้ ไม่ทา
ความสะอาดบาดแผล ไม่ถอดเสอื้ ผา้ ให้ใช้ผ้าพันแผลพันทับเสื้อผ้าทีบ่ ริเวณแผลน้นั
3.7.3.2 ตรวจบาดแผลทั้งทางเขา้ และทางออก ก่อนใช้ผ้าพันแผล ให้ตรวจผบู้ าดเจบ็ อยา่ ง
ระมดั ระวังอาจมีบาดแผลมากกวา่ หนึ่งแห่ง บาดแผลทางออกมักจะใหญ่กวา่ บาดแผลทางเขา้ ถ้ามที ัง้ บาดแผล
ทางเขา้ และทางออก ต้องพันแผลท้ังสองแผล
ขอ้ ควรระวัง ถ้าวัตถฝุ ังอยูท่ ่ีแผล ไมแ่ ตะต้องวตั ถนุ ้นั ไม่ดึงออกหรือดนั เขา้ ไปในแผล ให้พันผา้ ทาแผล
รอบๆวตั ถุ เพื่อพยุงวัตถุให้อยู่กบั ท่แี ละป้องกันการบาดเจบ็ มากขึน้
วิธกี ารใช้ผ้าแตง่ แผล ตามภาพที่ 22
1. แกะกลอ่ งผ้าแต่งแผลออก ใช้มอื ทั้งสองข้างจับหางผ้าไว้ ตามขั้นตอนที่ 1
2. ถือผา้ แต่งแผลไว้เหนือแผล โดยคว่าดา้ นสีขาว เขา้ หาบาดแผล ไม่สมั ผัสดา้ นสขี าว
( ฆา่ เชื้อ ) และไม่ให้ดา้ นสีขาวสมั ผัสกบั ส่งิ อ่นื
19
3. ดึงผ้าพันแผลน้นั ใหก้ างออก แล้วปิดลงบนบาดแผล
12 3 45
ภาพที่ 15 แสดงการใชผ้ า้ แตง่ แผลตามขน้ั ตอน
4. จบั ผ้าแตง่ แผลไวด้ ้วยมอื ข้างหนึ่ง เพอื่ ใหผ้ า้ อยู่กับท่ี มืออีกข้างหน่งึ พนั หางผา้ พนั รอบๆผา้ พนั แผล
ประมาณครึง่ หนง่ึ ของผ้าพนั แผลนั้น เหลอื หางผา้ ไว้ยาวพอผกู เง่ือนได้ และ พันหางผ้าอีกข้างทับอีกครง่ึ หนึง่
ของผ้าแต่งแผลท่เี หลือให้ปดิ มิดบาดแผล ควรพนั หางผา้ ไปทางดา้ นข้างของผา้ แต่งแผล
5. ผูกหางผา้ ท้ังสองขา้ งเป็นเงอ่ื นตายไว้ริมดา้ นนอกของผ้าพันแผล อยา่ ! ผกู เงอ่ื นไวบ้ นแผล เพอ่ื ให้
เลือดไปเลย้ี งขาท่ีบาดเจบ็ ในส่วนที่ยังดอี ยู่ ผูกผ้าพันแผลให้แนน่ พอทจ่ี ะไม่หลุด แต่อยา่ แนน่ มากจนกระทง่ั เกิด
การขาดเลือดไปเลยี้ งส่วนทด่ี ีอยู่
3.7.4 วิธกี ารแต่งแผล และ การหา้ มเลือด
3.7.4.1 แผลสะเกด็ ระเบดิ /ถูกกระสุนปืนท่แี ขนขา
3.7.4.1.1 ใช้ผา้ แตง่ แผลปดิ ตามบาดแผลใหท้ วั่ แล้วพนั ใหแ้ นน่ (ตามภาพท่ี 16)
ภาพท่ี 16
3.7.4.1.2 ถา้ ยังมีเลือดออก(แผลสะเก็ดระเบดิ ขนาดใหญ)่ ให้ใชผ้ ้าแตง่ แผลผืนใหม่
พนั ทบั ลงบนผืนเดิมหลายๆ ชนั้ แลว้ พนั ด้วยผา้ พันแผลม้วนแบบยืดได้ พนั ให้แนน่ ตั้งแต่ข้อเทา้ ขึน้ มาจนถึง
ระดับเหนือบาดแผล (ตามภาพท่ี 17)
ภาพท่ี 17
20
ถ้ายงั มเี ลือดออกมากใหใ้ ชส้ ายยางรดั ต้นแขนหรือตน้ ขาบาดแผลกระสุนทเ่ี ลือดออกภายนอกใหเ้ หน็
ไมม่ าก แต่กลบั ออกภายในเป็นจานวนมาก จะสังเกตได้จากแขนหรือขาน้ันบวมขึน้ เร่ือยๆและทาใหเ้ สยี ชีวติ
จากการตกเลือดได้ ต้องหา้ มเลอื ดจนกวา่ จะหยดุ เพิ่มการบวม
3.7.4.2 แผลบรเิ วณสว่ นบนของศีรษะ
3.7.4.2.1 แกะผา้ แต่งแผลออกจากห่อ รวบหางผา้ แต่งแผลไวใ้ นมือท้ังสองข้าง
3.7.4.2.2 ถือผา้ แต่งแผลให้ส่วนสขี าวลงขา้ งล่างวางผา้ แต่งแผลบนแผล (ข้ันท่ี 1)
3.7.4.2.3 พนั สว่ นปลายของผา้ แต่งแผลไปใต้คาง (ข้นั ท่ี 2)
3.7.4.2.4 พนั ปลายส่วนที่เหลือของผ้าแตง่ แผลไปในทิศทางตรงข้าม (ขั้นที่ 3)
3.7.4.2.5 พันปลายของผ้าแต่งแผลอ้อมมาทางหนา้ ผาก (ขนั้ ท่ี 4 )
3.7.4.2.6 ผกู ปลายของผา้ บรเิ วณดา้ นขา้ งเหนอื ใบหูด้วยเงื่อนตาย (ขน้ั ท่ี 5)
ภาพที่ 18 แสดงการใชผ้ า้ แตง่ แผลตามขน้ั ตอน
3.7.5 วิธใี ชผ้ า้ พันแผลแบบยืดหดได้ ( elastic bandage )
1 234
ภาพที่ 19 แสดงขนั้ ตอนการใชผ้ ้าพนั แผลแบบยดื หดได้ ( elastic bandage )
3.7.5.1 การจับถือผา้ พนั แผลแบบยืดหดได้ พันยดึ จดุ เริ่มต้นของผ้าพนั แผล
3.7.5.2 วางปลายของผา้ พนั แผลลงบนฝ่ามือขวา ปล่อยให้ปลายนนั้ อยบู่ นสว่ นทีจ่ ะพนั ผ้า
และปลายผ้าพบั ขนึ้ ได้ ใช้มือซ้ายพันผา้ ทบั ลงบนปลายผ้าพันแผล
3.7.5.3 พันผ้ากลบั มาทางมือขวา พบั ปลายผ้าลง แลว้ พันทับอีกรอบหน่ึงก็ เปน็ การทาให้
จุดเริม่ ตน้ ของผา้ พนั แผลอยู่กับท่ี
567
21
3.7.5.4 ตอ่ มาพันเปน็ เกลยี วขนึ้ มาบนมือ
3.7.5.5 ใชผ้ ้าพนั ทับซ้อนกนั พอสมควรเม่ือพันข้นึ มาถึงข้อศอกพอดีกพ็ ันทับซ้อนกนั หลาย
รอบ
3.7.5.6 แลว้ ผูกเงอื่ นทับไว้พนั ปลายผ้าพันแผลกลับมา คลี่ให้รอบส่วนนั้นๆ ทาใหเ้ กิดปลาย
ที่จะผูกขึ้นสองปลาย
3.7.5.7 ผกู ปมสี่เหลีย่ มทับบนผา้ พันแผลทไี่ ดพ้ ันไว้ หรือตัดแยกปลายของผา้ พันแผล
ออกเป็นสองแฉก แล้วผกู แฉกทง้ั สองตรงโคนผา้ ทีแ่ ยกแล้วผูกปมสีเ่ หลยี่ มทบั บนผา้ พันแผลท่ีไดพ้ นั ไว้
3.7.6 บาดแผลชอ่ งท้องที่มอี วัยวะในชอ่ งทอ้ งออกมาขา้ งนอก
บาดแผลในชอ่ งท้อง อาจทาใหเ้ จบ็ ปวดอย่างรุนแรง คล่ืนไส้ อาเจยี น มีอาการเกร็งของ
กลา้ มเน้ือหนา้ ท้องและเกดิ อาการชอ็ กได้ ตอ้ งได้รบั การผ่าตัดชว่ ยเหลือดว่ น ถ้ามอี วัยวะภายในทะลกั ออกนอก
รา่ งกาย ไม่แตะต้องหรือดนั กลบั เข้าไป ไม่ตอ้ งทาความสะอาดบาดแผล เพราะอาจทาใหอ้ าการตา่ งๆมากข้ึน
อาจใช้แผน่ หอ่ พลาสติกดา้ นในหรอื ผา้ ก็อซชุบน้าเกลือหรือน้าสะอาดปิดไว้ แล้วใชผ้ า้ แตง่ แผลผนื ใหญ่ท่ีสะอาด
ปิดคลมุ ทงั้ หมด พันผา้ ให้แน่นเพียงพอเพ่อื ยึดส่วนต่างๆอยู่กับที่ ผู้บาดเจ็บนอนหงาย ยกเข่าชันขนึ้ ทั้งสองขา้ ง
เพอื่ ชว่ ยให้กล้ามเนอื้ หนา้ ท้องผ่อนคลาย งดน้าและอาหาร ให้ความอบอุ่นแกผ่ ้บู าดเจ็บ กรณีผบู้ าดเจ็บหมดสติ
ให้เอียงศีรษะไปข้างใดข้างหน่ึง เพ่อื ป้องกันผู้บาดเจบ็ สาลกั เมือ่ อาเจยี น
3.7.7 การใช้ผ้าสามเหล่ียมและผ้าคราวาท ( Cravat)
วิธกี ารพับผา้ สามเหลยี่ ม (ตามภาพที่ 20)
3.7.7.1 ผ้าสามเหลี่ยม และผา้ ผูกคอนยิ มทาจากผา้ ฝ้าย ตัดเป็นรปู สามเหลี่ยม
ขนาด 37x37x52 นว้ิ เมอื่ พบั เป็นแถบเรียกวา่ ผา้ ผูกคอ การทาผ้าสามเหล่ยี มตัดทแยงมมุ ผา้ ส่เี หลย่ี ม
กว้าง 3 X 3 ฟุต จะได้ผ้าสามเหลย่ี ม 2 ผืน (ขนั้ ท่ี 1 )
1
ภาพท่ี 20
3.7.7.2 การพับผ้าสามเหล่ยี มเปน็ ผา้ คราวาท (Cravat) นายอดมุมของผา้ สามเหลย่ี มพับ
ลงมาท่ีฐานของผ้า (ขน้ั ท่ี 2)
3.7.7.3 พบั ด้านบนของผา้ สามเหลีย่ มมาทฐ่ี านของผา้ สามเหลยี่ ม (ขั้นท่ี 3)
3.7.7.4 พับด้านบนของผา้ สามเหลยี่ มลงมาที่ฐานอีกครงั้ หน่งึ (ขั้นท่ี 4)
22
2
3
4
ภาพท่ี 21 แสดงขน้ั ตอนการพบั ผา้ สามเหลยี่ ม
การใช้ผา้ สามเหลย่ี มกับบาดแผลท่ีศีรษะ (ตามภาพท่ี 28)
12 3
ภาพท่ี 22 แสดงขน้ั ตอนการพันผา้ สามเหลยี่ มบรเิ วณศรี ษะ
1. วางผา้ สามเหลีย่ ม ใหฐ้ านของสามเหลย่ี มอยู่ตรงกง่ึ กลางหน้าผากปล่อยให้สว่ นยอดของ
สามเหล่ียมมาอยดู่ ้านหลังของคอ (ขนั้ ตอนที่ 1)
2. จบั ปลายทงั้ สองข้างไขว้กันมาทางดา้ นหลงั ของศรี ษะ และพันขา้ ม สว่ นยอดของสามเหล่ียมนา
สว่ นปลายท้ังสองขา้ งมาผูกไว้ด้านหน้าผาก (ขนั้ ตอนที่ 2)
3. พับยอดสามเหลยี่ มซ่อนไวใ้ ต้ส่วนของผ้าแต่งแผลทีท่ ้ายทอยใชเ้ ข็มกลดั ยดึ ไว้ถ้ามี (ขน้ั ตอนที่ 3)
3.8 สรปุ ประเดน็ สาคญั ในระยะการดแู ลในพน้ื ทห่ี ลงั การปะทะ
- สถานการณน์ ้ยี ังคงอยู่ในอันตราย
- ทรพั ยากรมีจากัด
- ตอ้ งควบคุมอาการเลือดออกใหไ้ ด้
- เปดิ ทางเดินหายใจ การจดั ท่าพกั ฟ้นื ของผู้บาดเจ็บ
- ดูแลการหายใจ
- ดแู ลความเจบ็ ปวดจากการใช้สายยางรดั หา้ มเลือด
- การประเมินระดบั การรสู้ ตขิ องผู้บาดเจ็บ และควรบันทึกอาการตา่ งๆ
23
4. การสง่ กลับผบู้ าดเจบ็ ทางยทุ ธวธิ ี (Combat Casualty Evacuation Care)
วัตถปุ ระสงค์ทคี่ วรทราบ สามารถอธบิ ายและปฏบิ ตั ิ การส่งกลบั ผ้บู าดเจบ็ ทางยุทธวธิ ี การลาเลยี งด้วยมือ
การใช้เปลแสวงเคร่อื ง และ การคัดแยกผบู้ าดเจ็บได้ถกู ต้อง
การเตรียมผ้บู าดเจ็บให้พร้อมสาหรับการส่งกลบั ทางการแพทย์ ซงึ่ อาจจะเป็นการสง่ กลบั โดยพาหนะทาง
การแพทย์ (MEDEVAC) และมเี จา้ หน้าท่เี หลา่ แพทยด์ ูแล หรอื การส่งกลับโดยไมใ่ ช้พาหนะทางการแพทย์
(CASEVAC)
หากการสง่ กลบั น้นั เปน็ ผู้บาดเจ็บท่ีหมดสติและเดินทางโดยพาหนะท่ไี ม่ใช่ทางการแพทย์ ผชู้ ่วยชวี ิตทาง
ยุทธวธิ ีอาจตอ้ งไปกบั ผู้บาดเจ็บ ขึน้ อยกู่ ับการสั่งการของผ้นู าหนว่ ย ซง่ึ หากเปน็ เชน่ นน้ั ผู้ช่วยชีวิตทางยทุ ธวธิ ี
ต้องเฝา้ ดู ระดับการรสู้ กึ ตวั ทางเดินหายใจ การหายใจ การเสยี เลือด ของผบู้ าดเจบ็ อยูต่ ลอดการเดินทาง และ
อาจต้องใหก้ ารดูแลรกั ษาเพิ่มเตมิ เชน่ การดแู ลทางเดนิ หายใจ การให้สารนา้ และ การรักษาอุณหภมู ริ ่างกาย
การประเมินอาการกระดูกหัก การตรวจชพี จร การให้ยา การดูแลแผลไฟไหม้ ฯลฯ
4.1 การลาเลยี งผู้บาดเจ็บ
การลาเลียงผู้บาดเจบ็ ดว้ ยการใช้มอื เปลา่ จะตอ้ งมีความระมัดระวังอย่างมาก การอุม้ ดว้ ยท่าทไ่ี ม่
เหมาะสมอาจจะทาให้ผ้บู าดเจ็บไดร้ ับการบาดเจ็บมากข้นึ ควรกระทาอยา่ งเป็นระบบ ในทกุ ข้ันตอนของการ
เคลือ่ นยา้ ย การยกหรือการเคลื่อนทผ่ี ู้บาดเจ็บตอ้ งทาดว้ ยความนุม่ นวลใหม้ ากท่สี ดุ เท่าทจี่ ะเป็นไปได้
ผูบ้ าดเจบ็ ไม่ควรจะถูกเคลื่อนย้ายกอ่ นท่ีจะมีการประเมินอาการ และ ต้องให้การปฐมพยาบาลกอ่ น (การชว่ ย
ตัวเอง เพ่ือนชว่ ยเพอื่ น พลรบชว่ ยชวี ติ ) และ การให้การรักษาพยาบาลอยา่ งฉกุ เฉนิ จากนายสบิ พยาบาล
มาตรการในการชว่ ยชวี ติ จะกระทาก่อนท่ีจะมกี ารส่งกลับ ยกเว้นในกรณีฉุกเฉิน จะมีการประเมิน
ประเภทของการบาดเจบ็ ก่อนทจ่ี ะทาการเคลื่อนย้าย โดยมีการตรวจสง่ิ ตา่ งๆ ดังนี้
- การหา้ มเลือด
- การเปิดทางเดนิ หายใจ
- การรักษาจังหวะการเต้นของหวั ใจ
- การป้องกัน และควบคุมการช็อก
- การปกป้องบาดแผลจากการปนเปือ้ น
เม่ือสงสัยวา่ มีกระดูกหกั ควรทาการเข้าเฝอื ก ต้องมีความระมดั ระวงั กระดูกที่แตก หรือ ร้าวนน้ั จะไป
ท่มิ หรอื ตัด กล้ามเน้ือ เส้นเลือด เสน้ ประสาท หรอื ผวิ หนงั
4.1.1 ประเภทของการอมุ้ ด้วยมือเปล่า
4.1.1.1 การอมุ้ ด้วยบุคคลคนเดยี ว (อุ้มเด่ยี ว) ใชเ้ มื่อมีผ้อู มุ้ เพยี งคนเดียว
(1) อมุ้ แบก (ตามภาพท่ี 23) เป็นการอุ้มด้วยคนๆเดยี ว ซงึ่ เปน็ วธิ ีทงี่ ่ายทส่ี ดุ ในการ
เคลอ่ื นยา้ ย หลงั จากทที่ าการจดั ท่าของผ้บู าดเจบ็ ท่หี มดสติตามภาพท่ี 29 แลว้
จงึ ทาการยกขึ้นจากพนื้ และประคองในท่าต่างๆ
24
ก
ข ค งจ
ภาพท่ี 23 การอมุ้ แบก
ก) หลังจากจดั ท่าใหผ้ ู้บาดเจบ็ นอนควา่ แล้ว ผอู้ ุม้ นงั่ ครอ่ มตวั ผู้บาดเจ็บ สอด
มือเข้าไปใต้หน้าอก และจบั มือทงั้ สองข้างเขา้ ไวด้ ้วยกัน
ข) ยกผู้บาดเจบ็ ขน้ึ มาในทา่ คุกเข่า คล้ายกับการเคลื่อนไปข้างหลงั
ค) ค่อยยกตวั ผู้ปว่ ยข้ึนจนขาเหยียดตรง และ ทาการลอ็ กเข่าไว้
ง) เดนิ ไปขา้ งหน้าให้ผู้บาดเจ็บอย่ใู นตาแหน่งยนื เอนตวั ผู้บาดเจบ็ ไปทาง
ดา้ นหลงั เพยี งเลก็ น้อย
จ) ประคองผู้บาดเจบ็ ไวใ้ นอ้อมแขน ส่วนแขนขา้ งท่ีเหลอื ใชจ้ บั ท่ีข้อมือของ
ผู้บาดเจบ็ ยกแขนของผู้บาดเจ็บใหส้ งู ไว้เหนือศีรษะของผู้อุ้ม ลอดผา่ นใต้วงแขนของผ้บู าดเจบ็
ฉ) หมนุ ตัวเองอย่างรวดเร็ว หนั หนา้ เข้าหาผบู้ าดเจบ็ และ สอดแขนไวใ้ ต้เอว
ของผู้บาดเจ็บนาตัวของผ้บู าดเจบ็ ผ่านข้ึนบนไหล่ ในระหวา่ งน้นั ให้สอดแขนไวท้ รี่ ะหวา่ งขาของผู้บาดเจบ็
ช) จับท่ีเอวของผบู้ าดเจบ็ และ ยกแขนใหส้ ูงผ่านศรี ษะของผูอ้ ุ้ม
ซ) กม้ ตัวลง และ ดึงแขนของผู้บาดเจบ็ อยใู่ ห้อย่บู นและล่างของไหล่ นาลาตัว
ของผ้บู าดเจบ็ ผา่ นไหล่ของผอู้ ุ้ม ในขณะเดยี วกนั สอดแขนไว้ที่ระหวา่ งขาของผู้บาดเจ็บ
ฉช ซ
ภาพที่ 24 ทา่ อุ้มแบก (ต่อ)
ดต
25
เพื่อการประคอง ด) จบั ท่ีขอ้ มอื ของผู้บาดเจ็บดว้ ยมอื หน่งึ ข้าง และ วางมืออกี ขา้ งหน่งึ ทเี่ ขา่
ใช้งานอย่างอืน่ ได้ ต) ยกลาตัวของผู้บาดเจบ็ ใหอ้ ยู่ในตาแหน่งทถี่ ูกต้อง มืออีกข้างจะวา่ งสามารถ
(2) อมุ้ พยงุ (ตามภาพท่ี 25) ทา่ อุ้มแบบนี้ผบู้ าดเจ็บต้องสามารถเดนิ ได้ หรือ พยุง
ได้ดว้ ยขาอกี หน่ึงขา้ ง โดยใช้ผูอ้ ุ้มคลา้ ยกับการประคอง การอมุ้ แบบนี้อาจจะใชใ้ นการเคล่อื นยา้ ยผูบ้ าดเจ็บใน
ระยะทางไกลไดเ้ ท่าที่ผู้บาดเจ็บสามารถเดิน หรอื พยงุ ตนเองได้
ภาพท่ี 25 ทา่ อมุ้ พยงุ
ก) ยกผ้บู าดเจ็บจากพ้ืน ให้อยู่ในตาแหนง่ ทา่ ยนื โดยการอมุ้ แบก
ข) จบั ขอ้ มือและยกแขนของผบู้ าดเจบ็ และพาดอ้อมไปทางด้านหลังลาคอของ
ผู้อ้มุ
ค) โอบเอวของผูบ้ าดเจ็บไว้เพ่ือพยงุ ให้ผบู้ าดเจบ็ สามารถเดนิ หรอื ประคอง
ตนเองได้โดยมผี ้อู ุ้มเปน็ เคร่ืองพยงุ
(3) อมุ้ กอดหนา้ (ตามภาพที่ 26) ใช้ได้ดใี นการอุ้มผู้บาดเจบ็ ในระยะทางสัน้ ๆ
ประมาณ 50 เมตร ก่อนนาไปวางไว้บนเปล
(ก) ยกผู้บาดเจ็บขนึ้ มากจากพื้นในทา่ ยนื ใหเ้ หมือนกับวธิ ีการอุ้มแบก
(ข) สอดแขนข้างหน่ึงที่ใต้รกั แรข้ องผบู้ าดเจ็บ และ แขนอีกข้างอยู่ท่ีด้านหลงั
(ค) ยกผ้บู าดเจบ็ ขึ้น
(ง) ยกผบู้ าดเจ็บให้สงู ขนึ้ ระดับอกเพื่อลดความเมื่อยลา้
26
ภาพท่ี 26 อมุ้ กอดหนา้
(4) อมุ้ กอดหลงั ใช้เฉพาะผู้บาดเจ็บท่รี สู้ กึ ตวั ดเี ทา่ น้ัน (ตามภาพที่ 27) เพราะวา่
ผปู้ ว่ ยต้องชว่ ยจับท่ีหลงั ของผู้อุม้ ตามขน้ั ตอนดังนี้
ภาพที่ 27 ท่าอุ้มกอดหลงั
ก) ยกผูบ้ าดเจ็บใหอ้ ยูใ่ นทา่ ยืน ใหเ้ หมือนกับวิธกี ารอุ้มแบก
ข) ใช้แขนโอบประคองรอบเอวของผูบ้ าดเจ็บ ให้ผู้บาดเจ็บใชแ้ ขนโอบที่รอบคอ
ของผู้อมุ้ แลว้ ค่อยๆเคลื่อนตวั มาอยดู่ า้ นหนา้
ค) แขนของผู้บาดเจบ็ โอบข้ามไหล่ทง้ั สองขา้ งผู้อุ้มอยา่ งหลวมๆ
ง) โนม้ ตวั ไปข้างหน้า ยกผู้บาดเจบ็ ขน้ึ ใหอ้ ยู่บนหลังของผอู้ ุ้ม และ ผู้อุม้ สอดมือ
ไปกอดตน้ ขาของผูบ้ าดเจบ็ ไว้
(5) อุ้มทาบหลงั (ตามภาพท่ี 28) ท่าอมุ้ นี้นา้ หนกั ของผู้ป่วยสว่ นทีเ่ หลืออย่อู ยูบ่ น
หลงั ของผู้อุม้ ให้ง่ายในการเคลื่อนท่ี ในระยะทางใกลๆ้ (50 ถงึ 300 เมตร) เพ่ือป้องกันอาการบาดเจบ็ ที่แขน
ของผบู้ าดเจบ็ ผู้อุ้มควรจบั มือผูป้ ่วยไว้ทใี่ นท่าทีป่ ล่อยให้แขนลงมา
27
ภาพท่ี 28 อมุ้ ทาบหลงั
ก) ยกผู้บาดเจบ็ ขน้ึ จากพ้ืน ในท่ายนื คลา้ ยกับการอุ้มแบก
ข) ใชแ้ ขนประคองรอบๆตวั ผบู้ าดเจบ็ และ จบั ท่ขี ้อมือผบู้ าดเจบ็ ไว้ใกล้
กับตวั เรา
ค) ยกมือผู้ป่วยขน้ึ ให้อย่เู หนือศรี ษะของผอู้ มุ้ ให้แขนพาดผา่ นไหลท่ ง้ั สองขา้ ง
ของผู้อุ้ม
ง) เคล่อื นไปข้างหนา้ ในขณะที่ยังคงประคองนา้ หนักให้อยู่บนหลัง
จ) จับทแ่ี ขนอกี ขา้ งหนึ่งและ วางไว้ทีไ่ หลข่ องผอู้ ุ้ม
ฉ) โนม้ ไปข้างหนา้ และ ยก ผูบ้ าดเจบ็ ที่อยบู่ นหลังใหส้ งู ท่ีสุดเท่าทจ่ี ะทาได้
ใหน้ ้าหนกั อยบู่ นหลังของผู้อุม้
หมายเหตุ เมื่อยกผู้บาดเจ็บในทา่ ยืนบนหลงั ของผู้อ้มุ ผู้อมุ้ จะต้องยนื ให้ตรงทีส่ ุดเท่าทีจ่ ะทาได้การป้องกัน
อาการตึงกล้ามเน้ือ หรอื การบาดเจบ็ ของกล้ามเนื้อที่หลัง
(6) อุ้มลากดว้ ยคอ (ตามภาพที่ 29) เป็นวิธีท่ีเป็นประโยชนม์ ากในสนามรบ
เพราะว่าผู้อุ้ม สามารถทาการเคลอ่ื นยา้ ยผ้บู าดเจบ็ ไดเ้ สมือนกาลังคลานอยูข่ า้ งหลังกาแพงต่า พุ่มไม้เต้ีย
ใต้ยานพาหนะ หรอื ผา่ นท่ออุโมงค์ ถา้ ผู้ปว่ ยหมดสติ ตอ้ งระวงั ใหศ้ รี ษะยกสูงจากพื้น การลากดว้ ยวธิ นี ีไ้ มค่ วร
ใช้กบั ผู้บาดเจ็บแขนหัก
ภาพท่ี 29 อมุ้ ลากดว้ ยคอ
28
ก) ผูกบริเวณข้อมอื ทั้งสองขา้ งของผู้บาดเจ็บไว้
ข) ผอู้ มุ้ ถา่ งขาคร่อมตวั ผูป้ ่วยไวห้ ันหนา้ เขา้ หากนั
ค) จบั มือผ้บู าดเจ็บไว้ให้เปน็ ห่วง คล้องไว้กับท่ีคอของผู้อุม้ ผูอ้ ุ้มคลานไป
ข้างหน้าพร้อมกับลากตัว ผู้บาดเจ็บ
หมายเหตุ ถา้ ผูบ้ าดเจบ็ ร้สู กึ ตัวดี ให้ใชแ้ ขนทั้งสองขา้ งโอบรอบคอผู้อุ้มไว้ ถา้ ผบู้ าดเจบ็ หมดสติ ระวงั ศรี ษะ
ใหส้ งู จากพื้น
(7) อมุ้ ลากดว้ ยมอื (ตามภาพท่ี 30) วิธนี ้ีจะเหมาะสาหรับการเคลื่อนย้ายผ้บู าดเจบ็
ในทศิ ทางขน้ึ หรือลงบนั ได
ภาพที่ 30 อมุ้ ลากดว้ ยมอื
ก) คุกเขา่ ลงที่ด้านศีรษะของผบู้ าดเจ็บ(ผ้บู าดเจ็บนอนหงาย) ผู้อุม้ หงายฝา่ มือ
ขนึ้ แล้วสอดเข้าไปใต้ไหล่ของผู้บาดเจบ็ และ จับไวใ้ หแ้ น่น
ข) ยกข้นึ เลก็ น้อย ประคองศีรษะส่วนหวั ของผูบ้ าดเจบ็ ไว้ด้วยแขน ข้างหนึ่ง
ของผู้อ้มุ หรือใหข้ ้อศอกข้อศอกชดิ กันชว่ ยรองศรี ษะของผ้บู าดเจบ็ ไวบ้ นแขนของผอู้ ุ้ม
ค) ยก และ ลากผ้บู าดเจบ็ ไปข้างหลัง (ผบู้ าดเจ็บอย่ใู นทา่ ก่ึงนั่ง)
ง) ถอยหลังมาหนงึ่ ก้าว ประคองศีรษะ และ สว่ นลาตวั ของผู้บาดเจบ็ ปล่อยให้
สะโพก และ ขาค่อยๆหลน่ ลงมาที่ละขัน้
หมายเหตุ ถา้ ต้องเคล่ือนยา้ ยผู้บาดเจ็บขน้ึ ขา้ งบน ควรหนั หลังขน้ึ บันได และใช้ขนั้ ตอนเดียวกนั
4.1.2 การอมุ้ ดว้ ยบคุ คลสองคน (อุ้มค)ู่
ควรใช้เม่ือสามารถทาได้ เพื่อเปน็ การอานวยความสะดวกสบายให้กับผู้บาดเจบ็ และเป็นการ
ทาใหผ้ ้อู มุ้ เหนื่อยน้อยลง มวี ิธีการอุ้มท่แี ตกตา่ งกนั 5 วธิ ี
29
(1) อุ้มคู่พยงุ (ตามภาพที่ 31) สามารถใชไ้ ดท้ ง้ั ผูป้ ่วยมีสติ และ หมดสติ ถา้ ผบู้ าดเจ็บสูงกวา่ ผู้
อุม้ อาจจะต้องยกขาของผู้บาดเจบ็ ขึ้น และ ใหผ้ ้บู าดเจบ็ น่ังลงบนท่อนแขนของผู้อุ้ม มีข้ันตอนการปฏบิ ตั ิดังน้ี
ภาพท่ี 31 อมุ้ คพู่ ยงุ
- ชว่ ยให้ผบู้ าดเจ็บยนื และ ใช้แขนประคองโดยโอบรอบเอวไว้
- จับข้อมือผู้บาดเจ็บโอบรอบไหล่ คอ ของผู้อุ้ม
(2) การอมุ้ คกู่ อดหนา้ (ตามภาพท่ี 32) จะเป็นประโยชนม์ าก สาหรับการเคลื่อนท่ี
ระยะทางปานกลาง (50-300 เมตร) และ การวางผ้บู าดเจ็บลงบนเปล เพ่ือลดความเมื่อยล้าของผ้อู ุม้ ควรยก
ผู้บาดเจ็บใหอ้ ยสู่ งู ใกล้ระดับหน้าอกให้มากทส่ี ุด เท่าท่ีจะเป็นไปได้ ในกรณีฉุกเฉินเมอื่ ไม่มเี วลาทใี่ ช้แผน่
กระดานชว่ ยประคองผบู้ าดเจ็บ การอุ้มแบบนี้เปน็ วธิ ที ่ปี ลอดภยั ที่สดุ สาหรบั การเคล่ือนยา้ ยผ้บู าดเจ็บทีม่ ีการ
บาดเจ็บท่หี ลงั ถา้ เปน็ ไปได้ผู้อุ้มควรจะรักษาระดบั ของศีรษะ และขาไว้ใหอ้ ยู่ในระดับเดียวกับลาตวั ตาม
ขน้ั ตอนปฏบิ ตั ดิ ังนี้
ก) คกุ เขา่ ขา้ งเดียวที่ดา้ นขา้ งของผู้บาดเจ็บ สอดแขนลงทใ่ี ต้หลังผู้บาดเจ็บบรเิ วณ
เอว สะโพก และ เข่า
ข) ยกผบู้ าดเจบ็ ขึน้ วางบนเข่าของผอู้ ้มุ
ค) พลิกตัวผ้บู าดเจ็บเข้าหาหนา้ อกของผอู้ ุ้ม ขณะลกุ ยนื และ ยกผูป้ ว่ ยให้อยู่ใน
ระดับสงู เพื่อลดความเหน่ือยล้า
ภาพที่ 32 อมุ้ คกู่ อดหนา้
30
(3) อ้มุ คกู่ อดหลัง (ตามภาพท่ี 33) การอ้มุ แบบน้จี ะเหมาะสาหรับการเคลอ่ื นย้ายในระยะ
ทางไกล มากกวา่ 300 เมตร ผู้อุม้ ท่มี ีความสงู มากกวา่ ควรจะอยู่ทางดา้ นศรี ษะของผูบ้ าดเจบ็ เมือ่ จะเปลี่ยนท่า
การอมุ้ เพ่ือวางผบู้ าดเจ็บลงบนเปล ผ้อู ุ้มจะหันหน้าเข้าหากัน
ภาพที่ 33 อมุ้ คกู่ อดหลงั
- ผอู้ ุ้มคนหนึง่ จะแยกขาของผ้บู าดเจ็บออก และ คุกเขา่ ลงระหว่างขา หนั หลังให้
ผู้บาดเจบ็ สอดมือไวท้ ่ีใต้ขาผูบ้ าดเจบ็ ผอู้ มุ้ อีกคนจะคุกเขา่ ลงดา้ นศีรษะของผู้บาดเจ็บ สอดมือของผ้บู าดเจ็บข้ึน
ทใี่ ตร้ กั แร้ผา่ นไปทางหน้าอก และ ประสานมือเข้าไวด้ ้วยกัน
- ผูอ้ ุ้มทัง้ สองคน ยกผ้บู าดเจบ็ ขึ้นพรอ้ มกัน
(4) อุ้มคปู่ ระสานแคร่ (ตามภาพที่ 34) ใชก้ ับผู้บาดเจบ็ ที่มีสติ เพราะผบู้ าดเจ็บต้อง
ประคองตวั เอง โดยใช้แขนโอบรอบไหลข่ องผ้อู ุ้ม เหมาะสาหรบั การเคล่ือนย้ายผบู้ าดเจ็บทม่ี ีอาการบาดเจบ็ ท่ี
ศีรษะ และ ขา ในระยะทางปานกลาง และ เหมาะในการยกผู้บาดเจ็บวางในเปล
ภาพท่ี 34 อมุ้ คปู่ ระสานแคร่ และวธิ กี ารประสานมือ
31
(5) อุ้มคู่จบั มอื (ตามภาพที่ 35) ใชใ้ นการอ้มุ ผ้บู าดเจ็บในระยะทางส้นั ๆไม่เกนิ 50 เมตร
และวางผ้บู าดเจบ็ ลงบนเปล ผบู้ าดเจบ็ อยู่ในท่านอนหงาย ผ้อู มุ้ คุกเข่าลงคนละข้างของผู้บาดเจ็บบริเวณสะโพก
ผู้อ้มุ แต่ละคนสอดแขนใต้ตน้ ขาและหลังของผู้บาดเจบ็ และจับข้อมือซึ่งกนั ไว้ แลว้ ทาการยกผู้บาดเจ็บขน้ึ
- ผู้อมุ้ ทงั้ สองจับข้อมือแตล่ ะขา้ งของกันและกัน (ภาพที่ 29) เพ่อื ทาเปน็ ทนี่ งั่
- ผู้อุ้มทั้งสองยอ่ ตัวต่าพอทจี่ ะให้ผูบ้ าดเจบ็ นงั่ ลงบนแคร่ท่ีประสานมือไว้ แล้วให้
ผบู้ าดเจ็บใช้แขนทัง้ สองข้างโอบไหล่ผ้อู ุ้ม และทง้ั คยู่ ืนขึ้นพร้อมกัน
ภาพที่ 35 อมุ้ คจู่ บั มอื
4.2 การลาเลยี งผบู้ าดเจบ็ ดว้ ยเปล
การลาเลยี งดว้ ยเปลมปี ระโยชน์ เพราะเป็นการลาเลยี งผู้ปว่ ยเจ็บดว้ ยวธิ กี ารขนสง่ ต่างๆ ได้โดยไม่
ต้องนาผู้ปว่ ยเจบ็ ออกจากเปล สะดวกสบายและง่ายต่อการทจ่ี ะนาผู้ป่วยเจบ็ เคลือ่ นย้าย นอกจากนี้ผ้ปู ว่ ยเจ็บ
ไดร้ บั การกระทบกระเทือนน้อยลง ลดอนั ตรายที่อาจจะเกดิ ขนึ้ จากการเคลอ่ื นย้ายให้น้อยลง
4.2.1 การทาเปลแสวงเครอื่ ง (IMPROVISED LITTERS)
4.2.1.1 เปลแสวงเครอ่ื งอาจทาขน้ึ ได้จากส่ิงของต่างๆ ในพนื้ ท่ีหรอื ภูมิประเทศสว่ นมากของ
สิ่งของทม่ี ลี ักษณะผิวเรียบ ท่มี ขี นาดเหมาะสม อาจนามาใช้แทนเปลได้ ส่ิงของตา่ งๆเหล่านีไ้ ด้แก่แผ่นกระดาน
ประตู บานหนา้ ตา่ ง มา้ น่งั บันได เตียงนอน และเสาทนี่ ามาผูกตดิ เขา้ ด้วยกนั หากเปน็ ไปได้ส่งิ ของเหลา่ นีค้ วร
หุ้ม/หรือบใุ หม้ ลี ักษณะออ่ นนุ่มเสียกอ่ นนาไปใช้งาน
4.2.1.2 เปลท่นี ามาดัดแปลงสามารถนามาใชโ้ ดยปลอดภัย โดยประกอบคานเขา้ กบั สิ่งของ
อน่ื เชน่ ผ้าห่ม เสื้อคลุมชนดิ ไมม่ ีแขน สว่ นหนงึ่ ของเตน๊ ท์นอนบคุ คล ผ้าใบชุบนา้ มนั เส้ือแจค๊ เก๊ต เสอ้ื เช้ติ
ถุงกระสอบ ถงุ ใสป่ ลอกหมอนหรอื ฟูกนอน ผา้ คลุมเตียง คานเปลสามารถดดั แปลงได้จากก่ิงไม้ทีแ่ ข็ง เสา
เต๊นท์ สกี และสิ่งของอืน่ ๆ ทม่ี ีลกั ษณะคลา้ ยคลงึ กนั
4.2.1.3 ถา้ หากสิ่งของท่นี ามาดัดแปลงเป็นคานไม่ได้ ส่ิงของทม่ี ีขนาดใหญ่ เชน่ ผ้าห่มนอน
อาจนามาม้วนจากปลายทง้ั สองดา้ นเข้าหากึง่ กลางมว้ นผ้าห่ม ใช้เป็นทจ่ี ับอย่างแข็งแรงสาหรบั การนา
ผู้บาดเจบ็ เคลือ่ นย้ายไปได้ แต่ถา้ ใชเ้ ส้ือคลุมชนิดไม่มีแขนต้องแนใ่ จศีรษะเอาไวด้ า้ นบนโดยอยใู่ ตร้ า่ งของคนไข้
ไม่ลากไปกับพ้ืนดิน
32
4.2.2 เปลดดั แปลงทาจากเสาและผา้ ห่ม
ขนั้ ตอนการทาเปลดดั แปลงจากผา้ หม่
(1) คลีผ่ ้าห่มออกให้เต็มผืน วางเสาตน้ หนง่ึ ตามขวาง ตรงจุดกง่ึ กลางของผา้ หม่ นอนที่ปูไวต้ าม
ความยาว
(2) พับผา้ หม่ นอนทบั เสา จากน้ันจงึ วางเสาอันท่ี 2 ตามขวางตรงจุดกึ่งกลางของผา้ หม่ นอนท่ี
พับไว้
(3) พบั ผา้ ห่มนอนดา้ นท่ีไมม่ เี สาสอดอยบู่ นเสาอนั ที่ 2
ภาพท่ี 36 แสดงขัน้ ตอนการทาเปลดัดแปลงจากผา้ หม่
ข้นั ตอนการทาเปลดดั แปลงจากเสอ้ื
(1) ใสก่ ระดุมสองถึงสามเม็ดทีเ่ ส้ือท่จี ะนามาดัดแปลงทาเปน็ เปล แล้วกลบั เอาข้างในออก
ขา้ งนอก ปลอ่ ยให้แขนเสอื้ อยู่ขา้ งใน
(2) สอดเสาหรอื คานดดั แปลงเข้าไปตามรูของแขนเส้ือ
ภาพที่ 37 แสดงขั้นตอนการทาเปลดดั แปลงจากเสอื้
33
ขั้นตอนการใชเ้ ปล :
(1) การเคล่ือนย้ายตวั ผู้บาดเจบ็ ต้องเปน็ ไปอยา่ งประณตี ละมุนละม่อม
(2) ผูถ้ ือเปลดา้ นหลงั ต้องคอยมองอิริยาบถของผู้ถือด้านหนา้ ตลอดเวลา รวมถงึ ต้องเบามือ
และรวดเร็ว
(3) เปลตอ้ งอยใู่ นระนาบเดยี วกนั ตลอดเวลาไม่เว้นเวลาที่ขา้ มสิ่งกีดขวาง
(4) ผ้บู าดเจบ็ ตอ้ งถูกยกเปลจากทางปลายเทา้ ข้นึ ก่อน ยกเว้นเวลาข้นึ เขา หรอื ท่สี งู ให้ยก
ศรี ษะกอ่ น แต่หากผู้บาดเจบ็ มีบาดแผลทีบ่ รเิ วณลาตัวส่วนล่าง ให้ยกสว่ นลา่ งขึ้นก่อนเสมอไม่ว่ากรณีใดๆ เพ่ือ
ป้องกันนา้ ไหนักท้ิงลงไปทบี่ ริเวณบาดเจ็บ
4.3 การคัดแยกผบู้ าดเจบ็
การคดั แยก (Triage) เปน็ ภาษาฝรงั่ เศส หมายถงึ การแบง่ แยกประเภท ซึ่งมีพ้ืนฐานมาจาก การ
พิจารณาความต้องการของผู้บาดเจ็บ เพ่ือการรักษาและการส่งกลับ เหตผุ ลท่ตี อ้ งมีการคัดแยกเนือ่ งจากใน
สถานการณ์รบมักจะมีผู้บาดเจบ็ จานวนมาก แตท่ รพั ยากรในการรกั ษาพยาบาลมอี ย่จู ากัด จึงต้องทาการคัด
แยกเพ่ือใหผ้ ้บู าดเจบ็ ทมี่ โี อกาสรอดมากท่ีสดุ ไดร้ บั การดูแลอยา่ งเหมาะสม การคัดแยกต้องกระทาอย่างเปน็
ระบบและมคี วามต่อเนื่องหลังจากท่ีได้ทาการประเมินอาการขน้ั ต้นเรยี บรอ้ ยแลว้
4.3.1 หลกั การของการคดั แยกผบู้ าดเจ็บ
- ใชท้ รัพยากรทีม่ ีอยูอ่ ย่างให้เกิดประสทิ ธิภาพมากท่ีสุด
- สง่ คนื ไปปฏิบัตหิ นา้ ที่ให้ได้เรว็ ทส่ี ดุ
- ทาการประเมินอย่างต่อเน่อื ง และควรทาการคดั แยกผูป้ ว่ ยซา้ อกี
- เคลื่อนยา้ ยดว้ ยความรวดเร็ว
- วางแผน เตรยี มพร้อม และฝึกซ้อม
4.3.2 ลักษณะของการคดั แยกผู้บาดเจบ็ เพอ่ื ทาการรักษา
- เรง่ ด่วน หมายถงึ ผู้ปว่ ยที่ตอ้ งการการรักษาทันที เพ่ือรกั ษาชีวติ แขน ขา ดวงตา
- รอได้ หมายถงึ ผบู้ าดเจบ็ ที่ต้องการทาใหอ้ าการคงทีก่ ่อน และทาการรกั ษาแตส่ ามารถ
รอได้หลายๆ ชว่ั โมง โดยท่ไี มเ่ ปน็ อันตรายต่อร่างกาย (สามารถรอได้จนผู้ป่วยแบบเร่งด่วนไดร้ ับการรักษาจน
อาการคงท่ี)
- บาดเจ็บเลก็ นอ้ ย หมายถึง ผู้ปว่ ยที่ตอ้ งการการรักษา แตส่ ภาพของผ้บู าดเจบ็ รอได้เปน็
วนั ๆ โดยอาการไมแ่ ย่ลงไปกว่าเดิม ผบู้ าดเจ็บเหลา่ นีส้ ามารถทาการช่วยเหลือตนเองไดช้ ่วยเพอื่ นได้
- หมดหวัง หมายถึง ผบู้ าดเจ็บท่ีคาดว่าจะเสยี ชีวติ ควรใชท้ รัพยากรทางการแพทย์กับ
ผูบ้ าดเจบ็ ประเภทนี้อาจเกดิ ประโยชนน์ ้อย ควรใส่ใจและใช้เวลาในการรักษาผู้บาดเจ็บท่ีมคี วามสาคัญเร่งดว่ น
4.3.3 ขน้ั ตอนตา่ งๆในการคดั แยกผู้บาดเจบ็
4.3.3.1 ประเมนิ สถานการณ์
การค้นหาผบู้ าดเจบ็ และคัดแยกเพื่อการรักษา
34
- ประเมนิ และจดั แบ่งผู้บาดเจบ็ เพือ่ ใช้ เจ้าหน้าท่ีและอุปกรณ์ท่มี ีอยูเ่ กดิ
ประโยชนส์ ูงสุด
- ให้การรักษาขั้นแรกสาหรับผบู้ าดเจบ็ ทม่ี ีโอกาสรอดชีวิตก่อน
- เป้าหมายแรกคือ การสง่ กาลงั พลที่มบี าดแผลเลก็ นอ้ ยกลบั ไปปฏบิ ัติหนา้ ที่
- ทาการคัดแยก และจัดลาดบั ความเร่งดว่ นในการรักษา
สถานการณ์ทางยุทธวิธี และประมาณการณ์
- ผ้บู าดเจ็บจาเปน็ ต้องถูกส่งไปยงั พื้นท่ีปลอดภยั เพ่ือการรักษาหรอื ไม่
- สารวจจานวนผบู้ าดเจ็บ ตาแหนง่ ที่บาดเจบ็ และความรนุ แรงในการบาดเจ็บ
- ความชว่ ยเหลือท่ีมีอยู่ (ช่วยเหลอื ตนเอง เพือ่ นชว่ ยเพื่อน เจ้าหนา้ ทแี่ พทย์)
- ความสามารถในการสนบั สนุนการส่งกลับ และความต้องการมีอะไรบ้าง
4.3.3.2 ประเมินผบู้ าดเจ็บ และจดั ลาดบั ความสาคญั ในการรักษา
(1) เร่งดว่ น หมายถงึ ผบู้ าดเจบ็ ที่ตอ้ งการการรักษาทันทเี พื่อรักษาชวี ิต แขนขา
ดวงตา ผบู้ าดเจ็บทม่ี คี วามสาคญั มากเป็นอันดับหนงึ่ ในการรักษา ได้แก่
- ผบู้ าดเจบ็ ทีม่ กี ารอดุ กน้ั ของระบบทางเดนิ หายใจ ผู้บาดเจ็บท่ีระบบ
หัวใจขดั ขอ้ ง
หมายเหตุ ผ้บู าดเจบ็ ท่ีอยใู่ นภาวะไมห่ ายใจและหวั ใจหยดุ เตน้ (Cardio respiratory distress )
อาจจะไมถ่ ูกจัดอยูใ่ นพวกเร่งดว่ น ในสนามรบ ผู้บาดเจบ็ เหลา่ น้ถี กู จดั อยู่ในภาวะหมดหวัง
- เลือดออกเป็นจานวนมาก
- ชอ็ ก
- การบาดเจบ็ ของทรวงอก
- การอุดกนั้ ทางเดนิ หายใจ
- แผลไหม้บรเิ วณใบหน้า คอ แขน เท้า อวยั วะเพศ
(2) รอได้ หมายถึงผู้บาดเจ็บท่ีไม่ได้มคี วามเสีย่ งถึงชวี ิต บาดเจ็บท่แี ขนขาเปน็
กล่มุ ทรี่ อได้
- แผลเปดิ ท่หี น้าอก โดยไม่มีภาวะหายใจลาบาก
- แผลเปดิ ท่ชี อ่ งท้อง โดยไม่มอี าการช็อก
- การบาดเจ็บทีต่ า แตไ่ ม่มปี ญั หาการมองเหน็
- แผลเปิดอืน่ ๆ
- กระดูกหกั
- แผลไหม้ระดบั สองและสาม (ไมร่ วมที่ใบหน้า มือ เทา้ อวยั วะเพศ)
มีพ้ืนที่ 20 % ของพ้นื ผิวรา่ งกายทัง้ หมดหรือมากกวา่
- มอี าการเล็กน้อย จากการโดนสารพษิ
35
(3) ผู้บาดเจบ็ เลก็ น้อย สามารถช่วยเหลอื ตนเองได้
- มแี ผลถลอกเลก็ น้อย และแผลฟกช้า
- กลา้ มเนอ้ื ตงึ เคล็ด ขัด ยอก
- มีปญั หาความเครียดเลก็ น้อย
- มีแผลไหมร้ ะดบั หนง่ึ และสอง
(4) ผ้บู าดเจบ็ หมดหวัง ผบู้ าดเจ็บที่มีอาการรนุ แรง ซับซอ้ นและตอ้ งใช้เวลาในการ
รักษาเพอ่ื ชว่ ยให้รอดชวี ิตนาน ไดแ้ ก่
- บาดเจบ็ ทศ่ี รี ษะอย่างรุนแรง มีแผลไหมเ้ กิน 85 % ของพืน้ ผิวร่างกาย
- มอี าการแสดงวา่ ไดร้ ับพษิ จากสารเคมี และอันตรายถงึ ชีวติ
4.3.3.4 การจดั ลาดับความเร่งดว่ นในการสง่ กลับทางการแพทย์
(1) ประเภทด่วนทีส่ ุด (Urgent) ทาการส่งกลับเรว็ ท่สี ุดเท่าทจ่ี ะเปน็ ไปได้ หรอื
ภายใน 2 ช่วั โมง เพอื่ ทาการรกั ษาชวี ิต แขน ขา ดวงตา โดยทัว่ ไปถ้าเราไม่สามารถควบคุมอาการผู้บาดเจบ็ ได้
แต่ผบู้ าดเจ็บมีโอกาสรอดชีวิตใหจ้ ัดอยใู่ นประเภทนี้
- ภาวะการหายใจ ลาบาก
- ชอ็ ก ไม่ตอบสนองต่อการใหส้ ารน้าทางหลอดเลือดดา
- ไมร่ ู้สกึ ตัว เปน็ เวลานานๆ
- บาดเจ็บที่ศรี ษะและสมอง ( Intracranial injuries) มแี รงดนั ในสมอง
- แผลไหม้ 20-85 %
- แผลเปดิ ช่องอก ช่องท้อง ความดันโลหติ ลดลง
- บาดแผลทะลุ
- ควบคมุ เลอื ดท่อี อกไม่ได้ หรอื กระดูกหกั เปดิ มีเลือดออก
- มีบาดแผลทใี่ บหน้าอย่างรุนแรง
(2) ประเภทดว่ น (Priority ) ต้องทาการส่งกลบั ภายใน 4 ชม. โดยทว่ั ไปผบู้ าดเจบ็
ประเภทน้ี อย่ใู นสภาพท่ีมีอาการไม่คงที่ หรือมีอาการแยล่ งและเส่ยี งต่อภาวะแทรกซ้อนจากการบาดเจ็บ
- บาดแผลทท่ี รวงอก เช่น กระดกู ซโ่ี ครงหกั การบาดเจ็บที่รบกวนการหายใจ
- การบาดเจบ็ ที่เน้ือเยื่ออ่อน และแผลหักแบบเปิด-ปิด
- บาดแผลทช่ี ่องท้อง แต่ความดนั โลหิตยงั ไม่ลดลง
- การบาดเจ็บท่ีดวงตา และไมเ่ ปน็ อันตรายต่อการมองเหน็
- การบาดเจบ็ ท่ีกระดูกสันหลัง
- บาดแผลไหม้ท่ี มอื หน้า เท้า อวยั วะเพศ เหลือพน้ื ทผ่ี ิวหนังของ
รา่ งกาย < 20 %
(3) ประเภทปกติ ( routine ) เป็นการสง่ กลบั ทางการแพทย์ภายใน 24 ชม.
สาหรบั การรกั ษาตอ่ ไม่จาเป็นตอ้ งรบี ทา การสง่ กลับอย่างดว่ น ผบู้ าดเจ็บในกลมุ่ น้ีได้แก่ บาดแผลตา่ ง ๆ ดังนี้
36
- แผลไหม้ 20-80 % ของพืน้ ท่ีรา่ งกาย ผู้บาดเจบ็ ตอบสนองต่อการให้สารน้า
ทางหลอดเลือดดา
- กระดูกหกั ที่ไม่รนุ แรง
- แผลเปิด แผลท่ีทรวงอกโดยไมม่ ีภาวะหายใจลาบาก
- ผู้ปว่ ยจิตเวช
- ผ้ปู ว่ ยท่สี นิ้ สุดการรกั ษา
(4) ประเภทโอกาสเอ้ืออานวย (Convenience ) เป็นการส่งกลับทางการแพทย์
เมอ่ื มยี านพาหนะในการสง่ กลับ เช่น ผูบ้ าดเจบ็ ทีม่ ี แผลเปดิ เลก็ นอ้ ย เคล็ดขดั ยอก แผลไหม้ < 20 % เป็นตน้
37
5. การกรอกขอ้ มลู ลงแบบบนั ทกึ การเจบ็ ปว่ ยในสนาม
วตั ถปุ ระสงค์ท่คี วรทราบ สามารถอธบิ ายการกรอกขอ้ มูลลงแบบบันทกึ การเจบ็ ป่วยในสนามได้อยา่ ง
ถกู ต้อง
หนา้ ท่ี 1 ใหก้ รอก ขอ้ มูล ช่อื สกลุ สงั กดั ของผู้บาดเจ็บ (ในกรณีที่ยังไมไ่ ดก้ รอก) ซักประวตั ิ
ผูบ้ าดเจบ็ ลงบนั ทึก ประวตั ิการแพย้ า ประวัติการเจบ็ ปว่ ยในอดีต และ ยาทีใ่ ช้ประจา
แบบบนั ทึกการเจบ็ ป่ วยในสนาม
ยศ-ช่ือ-สกลุ ...............................................................................................
สงั กดั ..............................................................................................................
หมู่เลือด O A B AB
Rh+ve Rh+ve
แพย้ า
..........................................................................................................................................
..........................................................................................................................................
ประวตั ิการเจบ็ ป่ วยในอดีต/ โรคประจาตวั
..........................................................................................................................................
........................................................................................................……………………
………………………………………………………………………………………….
ยาที่ใชป้ ระจา
………………………………………………………………
…………………………………………………………………
…………………….
กองยทุ ธการและการข่าว กรมแพทยท์ หารบก โทร.94430 , 02-354-4423
38
หน้าท่ี 2 ใหบ้ นั ทึก สาเหตุการบาดเจ็บ วนั เวลา สถานท่ี ท่เี กดิ เหตุ อปุ กรณป์ ้องกัน เวลาท่ที าการรดั
ห้ามเลือด (ถา้ ยังไม่ได้บนั ทกึ ) ทาการขดี เส้นลงบนรปู วาดในตาแหน่งท่แี ขน ขา ทท่ี าการรดั หา้ มเลือด ทาการ
ประเมนิ ซา้ ถึงระดับการรสู้ ตวิ ่าผูป้ ว่ ยอยใู่ นระดบั ใด ในแตล่ ะห้วงเวลา
สาเหตุการบาดเจบ็ ..................................................................................................
..................................................................................................................................
..................................................................................................................................
(เวลา) (วนั /เดือน/ปี ) (สถานท)ี่
อปุ กรณ์ป้องกนั
หมวกเหลก็
แวน่ ตา
ท่ีอุดหู
เส้ือเกราะ
เกราะแขน
เกราะขา
อื่น ๆ ระบุ
เวลารัด/ขนั ชะเนาะ
กห = กระดูกหกั หป = กระดูกหกั เปิ ด หม=ไหม้ ฉ=ฉีกขาด ถ=ถลอก
การเปล่ยี นแปลงอาการและอาการแสดงในชว่ งแรก
เวลา
รสู้ กึ ตัว*
ชีพจร
หายใจ
ความดนั
หมายเหตุ ระดบั ความรสู้ ึกตัว : ต=ตื่น ร= เรียกต่ืน จ=เจ็บต่ืน ม=ไมต่ ่นื
39
หน้าท่ี 3 ทาการบันทึก ข้อมูลของทางเดนิ หายใจ ปอด และ ตรวจบาดแผล การห้ามเลอื ดเพิ่มเติม
และ การรักษาเพิม่ เติม พรอ้ มลงชื่อผู้ทีท่ าการประเมนิ อาการผู้ปว่ ย
ทางเดนิ หายใจ : ปกติ ใสท่ อ่ ปาก ใสท่ อ่ จมกู เจาะคอ
ปอด : ปกติ ปดิ ด้วยผ้า เข็มระบาย ทอ่ ระบาย
แผล : ปกติ ผา้ แตง่ แผล สายรัด ขันชะเนาะ
นา้ เกลอื NS / LR / ระบ.ุ ...................500 / 1000 CC.
เวลา
จานวน เริ่มให้ .............CC. .............CC. .............CC.
ยาแกป้ วด ...............................................................................................
ยาฆา่ เช้ือ ........(...ช.ื่.อ.ย..า........./...........ข..น..า.ด.........../...........ช.่.อ.ง..ท..า.ง...).....................
.............................(...ช.่ื.อ.ย..า........./...........ข.น...า.ด.........../...........ช..่อ..ง.ท..า.ง...)......................
อนื่ ๆ..........................................................................................................
.....................................................................................................................
.....................................................................................................................
.....................................................................................................................
.....................................................................................................................
.....................................................................................................................
ผบู้ นั ทึก ...................................................................................................
(ยศ/ชื่อ/สกลุ ) (สงั กดั )
บนั ทกึ การเปล่ียนแปลงในระหวา่ งการเคล่อื นย้ายผ้ปู ่วย หนา้ ท่ี 4 บันทกึ การเปลย่ี นแปลงท้งั หมดทเี่ กดิ ข้ึนในระหว่างการเคล่ือนยา้ ย
เวลา ความดนั ชพี จร หายใจ ผวิ หนงั ลมื ตา พูด เคลอื่ นไหว O Sat2 การรกั ษา ผูป้ ฏบิ ตั ิ
40
41
ตารางการฝกึ ปฏบิ ตั ิ 2 วนั
การฝกึ ระยะเวลา (นาท)ี หมายเหตุ
1. วนั ที่ 1
2. การดแู ลระหวา่ งการปะทะ และการใชส้ ายยางรดั ห้ามเลอื ด 50 บรรยาย /สอนเชงิ สาธิต
3. การดแู ลในพ้นื ท่กี ารรบหลังการปะทะ 50 บรรยาย /สอนเชิงสาธติ
การเปิดทางเดนิ หายใจ การดแู ลการหายใจ และแผลเปิด 50 บรรยาย/สอนเชงิ สาธิต
ทรวงอก การประเมนิ ระดับการร้สู ติ การประเมินอาการ
ผบู้ าดเจ็บ และ การหา้ มเลือดเพ่ิมเติม 25 บรรยาย
4. การส่งกลับทางยทุ ธวธิ ี การลาเลียงดว้ ยการอุ้ม การใช้เปล 25 บรรยาย
การคัดแยกผ้บู าดเจบ็ ในสนาม
5. การบนั ทกึ การเจบ็ ปว่ ยในสนาม 40 ฝึกปฏิบตั ิ
6. การทบทวนเนื้อหาทส่ี าคัญตามหลกั การดแู ลผูบ้ าดเจบ็ ทาง 40 ฝกึ ปฏิบตั ิ
ยทุ ธวิธี 40 ฝกึ ปฏิบตั ิ
7. การฝึกห้ามเลือด การใช้สายยางรัดหา้ มเลือด
8. การฝกึ หา้ มเลือดดว้ ยอปุ กรณ์ชนิ้ อื่นๆ 60 ฝกึ ปฏบิ ัติ
9. การฝกึ การประเมินผู้ปว่ ย การคดั แยกผูบ้ าดเจบ็ 30 บรรยาย
10. การจดั ท่าพักฟน้ื
11. การฝกึ การเคลอื่ นย้ายดว้ ยการอ้มุ การใช้เปล 1 วนั ฝกึ ปฏิบตั ิ
12. การทบทวนทักษะต่างๆ
13. วนั ท่ี 2
14. ฝึกสถานการณจ์ าลอง เสมือนจริง
หมายเหตุ การบรรยายและการสาธติ วันละ 7 ช่วั โมง การพกั ระหว่างชัว่ โมง 10 นาที
42
รายละเอยี ดการฝกึ และสงิ่ อปุ กรณส์ าหรบั การฝกึ ในแตล่ ะสถานี สาหรบั วนั ท่ี 1
สถานี สง่ิ อปุ กรณ์ แนวทางการฝึก
1.การหา้ มเลือดดว้ ย สายยางรดั ห้ามเลือด - ทาการทบทวนการใชส้ ายยางรดั หา้ มเลือด
สายยางรดั ห้ามเลือด ถงุ มือ ข้อบ่งชี้ในการใช้ ข้อดี ข้อเสยี ข้อควรระวงั
- สาธิตการใช้สายยางฯ
- ใหน้ ักเรียนฝกึ ปฏิบตั ติ าม ดว้ ยการจบั คู่ และสลบั กนั
ปฏิบัตจิ นเกดิ ความชานาญ
2. การหา้ มเลอื ดดว้ ย - อุปกรณส์ าหรับการทา - ทาการทบทวนการใชส้ งิ่ อปุ กรณ์แต่ละชนดิ
สง่ิ อปุ กรณ์อนี่ ๆ ขนั ชะเนาะแสวงเครือ่ ง ข้อบง่ ช้ีในการใช้ ข้อดี ข้อเสีย ข้อควรระวงั
- ผ้าแตง่ แผล - สาธิตการใช้
- ผา้ พนั แผลแบบมว้ น - ใหน้ กั เรียนฝกึ ปฏิบตั ิตาม ด้วยการจับคู่ และสลับกัน
- ผ้าสามเหลี่ยม ปฏิบัติจนเกดิ ความชานาญ
3.การฝกึ ประเมนิ สถานทท่ี ี่มีทีก่ าบัง - ทบทวนการเขา้ หาผู้บาดเจ็บ การประเมินผบู้ าดเจบ็
สมมติเหตกุ ารณ์ เพื่อให้เข้าหาผบู้ าดเจ็บ
- ดูแนวทางการปฏิบตั ิในการเขา้ ผูบ้ าดเจบ็
- ดูแนวทางการปฏบิ ัตกิ ารประเมนิ ระดบั การรูส้ ติ
4.การลาเลียง ผ้าหม่ - ทบทวนการลาเลียงดว้ ยมอื เปลแสวงเคร่อื ง
เสอื้ ชดุ ฝึก - สาธติ การอมุ้ การทาเปลแสวงเครอ่ื ง
คานไม้ - ให้นกั เรยี นฝกึ ปฏิบตั จิ นเกิดความชานาญ
43
รายละเอยี ดการฝกึ ในวนั ท่ี 2
0800 – 0830 ช้แี จงการฝึก
0830 – 0900 สาธติ รปู แบบการฝึก
0900 – 1200 ฝกึ ปฏบิ ัติ
1200 – 1300 รับประทานอาหารกลางวัน
1300 – 1500 ฝึกปฏิบัติ
1500 – 1530 ทบทวนหลังการปฏบิ ตั ิ
1600 – 1630 สรปุ และ ปดิ การฝกึ
การปฏบิ ตั ิ - จาลองสถานการณ์ การโดนซุ่มโจมตีของหมู่ปืนเล็ก หรือ มว.ปืนเล็ก
- แบง่ กลมุ่ ผเู้ รยี น เป็นกลุ่ม ๆถ้าจานวนผูเ้ รยี นน้อยจดั เป็นหม่ปู ืนเลก็ ถ้าจานวนมากจดั
เป็น หมวดปืนเล็ก
บ่งการที่ 1
นักเรยี น - ออกลาดตะเวนในพน้ื ท่ีเพื่อหาข่าว และถูกซ่มุ โจมตี มผี ้บู าดเจบ็ ตามสถานการณ์
(บาดแผลบรเิ วณขา-แขน) เน้นการ Self-aid เพื่อให้นกั เรียนได้ เขา้ ที่กาบงั การห้ามเลือด
การยงิ ตอบโต้ (Care Under Fire)
อาจารย์ ดูการปฏบิ ตั ิ
- เพมิ่ เติม ถา้ นักเรียนทาไม่ถูกต้อง, เน้นการ Self-aid
- การแจ้งขอการช่วยเหลือ, แจ้งขอการยิงสนบั สนุน
บ่งการที่ 2 - ให้นักเรียนเขา้ ทาการต่อสู้ไล่ติดตาม หรอื เข้าทกี่ าบังยิงโตต้ อบ
การสั่งการของ หน.ชุด – การรอ้ งขอหนว่ ยเหนอื ให้มาชว่ ยเหลือ เนน้ การ Buddy-aid
การส่ังการให้เพื่อนช่วยดูแลผู้บาดเจบ็ ดูแลชว่ ยเหลอื เพม่ิ เติม
การพาผ้บู าดเจบ็ เขา้ ที่กาบัง การตรวจประเมนิ ผบู้ าดเจ็บ การปฐมพยาบาลเพ่มิ เตมิ
การรอ้ งขอความชว่ ยเหลือ การรายงาน หน.ชดุ ( Tactical Field Care)
อาจารย์ ดกู ารปฏบิ ัติ เน้นการ Buddy-aid
- ในเรือ่ งการช่วยเหลือผบู้ าดเจ็บ การรอ้ งขอการช่วยเหลือ การรายงาน หน.ชุด การหลบ/
ลากผ้บู าดเจบ็ เข้าที่กาบัง การประเมนิ ระดับการรูส้ ตติ ามหลักการ A V P U ( Alert (ต่นื ),
Verbal (เรียกตืน่ ) , Pain (เจบ็ ต่นื ) และ unresponsive (ไมต่ ่นื ) )
- ซกั ถามรายละเอียดตา่ ง ๆ เพ่ิมเตมิ