ยคุ การบรหิ ารเชงิ ระบบ
Systematic Approach Management
1. นายไผ่ทอง ธรรมชาติ 6314202002
2. นางสาวกฤตกิ า ธานีรัตน์ 6314202009
3. นางสาวอนุศรา สมแก้ว 6314202023
4. นายภาณุพนั ธ์ พลู สวัสด์ิ 6314202035
5. นางสาวธนัชพร หม่นื ขา 6314202036
รายงานฉบบั นเ้ี ปน็ สว่ นหนง่ึ ของการศึกษาในรายวชิ า
EAD611 หลักการบริหารการศกึ ษา
ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2563
คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ สาขาวิชาการบรหิ ารการศกึ ษา
วทิ ยาลัยเทคโนโลยภี าคใต้
ยุคการบริหารเชงิ ระบบ ก
ยคุ การบรหิ ารเชงิ ระบบ
Systematic Approach Management
1. นายไผ่ทอง ธรรมชาติ 6314202002
2. นางสาวกฤตกิ า ธานรี ตั น์ 6314202009
3. นางสาวอนศุ รา สมแกว้ 6314202023
4. นายภาณุพนั ธ์ พูลสวัสดิ์ 6314202035
5. นางสาวธนัชพร หมื่นขำ 6314202036
รายงานฉบับน้เี ปน็ สว่ นหนงึ่ ของการศึกษาในรายวิชา
EAD611 หลกั การบริหารการศกึ ษา
คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา
วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคใต้
ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2563
ยคุ การบริหารเชงิ ระบบ ก
คำนำ
รายงานยุคการบริหารเชิงระบบ (Systematic Approach Management) ฉบับนี้
เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนรายวิชา EAD 611 หลักการบริหารการศึกษา หลักสูตรศึกษา
ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิทยาลัย
เทคโนโลยภี าคใต้
ซึ่งทางคณะผู้จัดทำมีความตั้งใจในการจัดทำรายงานฉบับนี้เป็นอย่างมาก เพื่อเป็น
ประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชา EAD 611 หลกั การบรหิ ารการศึกษา ประจำภาคเรียนที่
1 ปีการศึกษา 2563 โดยทำการศึกษาและสรุป ความหมาย แนวคิด ทฤษฎี ในการบริหารจัดการเชงิ
ระบบ (Systematic Approach Management)
ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านและผู้สนใจศึกษารายงานฉบับนี้ อาจส่งผลให้ผู้อ่าน
เกิดมุมมองใหม่ๆ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานไม่มากก็น้อย และหากมีข้อผิดพลาด
ประการใด คณะผูจ้ ดั ทำก็ขออภยั ไว้ ณ ท่ีนด้ี ้วย
คณะผู้จดั ทำ
ยคุ การบริหารเชงิ ระบบ กข
สารบัญ
หนา้
คำนำ ก
สารบัญ ข
สารบัญรปู ภาพ ค
➢ บทนำ.................................................................................................................. 1
➢ แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจยั ท่ีเกย่ี วข้องกับการบริหารเชงิ ระบบ....................... 3-24
- ความหมาย………………………………………………………………………………………….. 3
- ความเป็นมาของทฤษฎเี ชงิ ระบบ……………………………………………………………. 7
- หลักการและของทฤษฎเี ชงิ ระบบ…………………………………………………………… 9
- ทฤษฎกี ารบริหารการศึกษาเชงิ ระบบตามแนวคดิ ของนักวิชาการ................... 16
- ทฤษฎเี ชงิ ระบบในการบรหิ ารการศึกษา.......................................................... 18
- ประโยชนข์ องการนำวิธีระบบมาใชใ้ นการแกป้ ัญหาการศึกษา........................ 21
- งานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้อง.......................................................................................... 22
➢ บทสรุป............................................................................................................... 24
บรรณานุกรม……………………………………………………………………………………………………… 26
ภาคผนวก........................................................................................................................ 29
ยุคการบรหิ ารเชงิ ระบบ กค
สารบัญรปู ภาพ หน้า
ภาพประกอบท่ี 1 ผ้ทู ค่ี ดิ ทฤษฎรี ะบบ ลัดวิก วอน เบอรทาแลนฟี่ 8
ภาพประกอบท่ี 2 องคป์ ระกอบของระบบท่สี มบูรณ์ 13
ภาพประกอบที่ 3 องค์ประกอบของระบบ 14
ภาพประกอบท่ี 4 องค์ประกอบของการบริหารเชิงระบบ 14
ภาพประกอบที่ 5 รปู แบบองคป์ ระกอบของวธิ รี ะบบและการวเิ คราะหร์ ะบบ 15
ภาพประกอบท่ี 6 แผนภมู ิองค์ประกอบและวฏั จักรของระบบโรงเรยี น 20
ยคุ การบรหิ ารเชิงระบบ 1
บทนำ
สังคมของมนุษย์ เป็นสังคมที่มีการรวมตัวเป็นกลุ่ม หมู่เหล่า เป็นชุมชนขนาดต่าง ๆ ต้ังแต่
หมู่บ้าน ตำบล เมือง และประเทศ จึงต้องมีการจัดระบบระเบียบของสังคม เพื่อให้สามารถดำเนิน
กิจกรรมด้านต่าง ๆ เป็นไปด้วยความเรียบรอ้ ย เพ่ือความอยู่รอดสงบสุข และบังเกดิ ความก้าวหน้าใน
ชมุ ชนเหล่านน้ั จึงเป็นสาเหตใุ ห้เกิด "สถาบนั สงั คม" และ "การบริหาร" ขนึ้ มา สถาบันสังคมทจี่ ัดตัง้ ข้ึน
ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว วัด โรงเรียน และองค์กรอ่ืน ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน จึงต้องอำนวยความ
สะดวกหรือบริการเพื่อประโยชน์สุขของสมาชิก และความเจริญของสังคม โดยดำเนินภารกิจตามท่ี
สังคมมอบหมาย ด้วยการจัดตั้ง "องค์การบริหาร" ที่เหมาะสมกับลักษณะของกิจกรรมนั้น ๆ ดังน้ัน
สังคมกับองค์การบริหาร จึงเป็นสิ่งท่ีไม่อาจแยกจากกันได้ ดังเช่น ศาสตราจารย์วิลเลียม ซิฟฟิน
(William S. Siffin) ได้กล่าวไว้ว่า "หากปราศจากองค์การบริหารแล้วสังคมก็จะไม่มี หากปราศจาก
สังคมแลว้ มนุษยก์ ็ไม่อาจจะดำรงชีวติ อยูไ่ ด"้ (วิจติ ร ศรสี อา้ น และคณะ, 2523 : 4)
วิชาการบริหารได้พัฒนามาตามลำดับเรม่ิ จากอดีต หรือการบริหารในระยะแรก ๆ นั้น มนุษย์
ยังขาดประสบการณ์การบริหาร จึงเป็นการลองผิดลองถูก การแลกเปล่ียน ประสบการณ์ยังไม่
แพร่หลายและกว้างขวาง การเรียนรู้หลักการบางอย่างจึงเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง หรือมี
การแลกเปล่ียนกันในวงจำกัด คือ การถ่ายทอดไปยังทายาท ลูกศิษย์ หรือลูกจ้าง เป็นต้น สำหรับ
ทฤษฎีต่าง ๆ ท่ีเข้ามาสู่การบริหารน้ัน ได้มีผู้คิดค้นมากมาย แต่พบว่า ยังไม่มีทฤษฎีใดที่สามารถช่วย
อธิบายปรากฏการณ์ในการบริหารงานได้หมด อาจจำเป็นต้องใช้หลาย ๆ ทฤษฎีในการแก้ปัญหาหนึ่ง
หรือทฤษฎีหนึ่งซึ่งมีหลักการดีและเป็นที่นิยมมาก อาจไม่สามารถแก้ปัญหาเล็กน้อย หรือปัญหาใหญ่
ได้เลย ทั้งน้ีย่อมข้ึนอยู่กับลักษณะของแต่ละปัญหา สภาพการณ์ของสังคมและกาลเวลาที่เกิดข้ึน
อย่างไรก็ตาม คู๊นท์ (Koontz) ได้กล่าวไว้ว่าทฤษฎีหรือหลักในการบริหารงานนั้นจะดีหรือมี
ประสิทธิภาพหรือไมน่ ้ัน ควรคำนึงถงึ ลกั ษณะของทฤษฎีในเร่ือง ตอ่ ไปน้ี 1) การเพ่ิมประสิทธิภาพของ
งาน 2) การช่วยวิเคราะห์งานเพ่ือปรับปรุงพัฒนา 3) การชว่ ยงานด้านวจิ ัยขององค์การให้กา้ วหน้า 4)
ตรงกบั ความต้องการของสงั คม 5) ทนั สมัยกับโลกทกี่ ำลังพฒั นา
ทฤษฎีต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการบริหารการศึกษา ได้รับการพัฒนาเปล่ียนแปลงไปตามยุค
ตามสมัยตั้งแต่สมัยโบราณ ยุควิทยาศาสตร์ ยุคมนุษยสัมพันธ์ จนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งอาศัยทฤษฎี
องค์การสมัยใหม่ ท่ีมีการปรับปรุงพัฒนาและสังเคราะห์แนวความคิดเก่ียวกับการจัดการอย่างกว้าง
ขว้างยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างไร การบริหารงานสมัยใหม่น้ีมุ่งเน้นท้ังคน งาน และผลผลิต จึงต้องมีการ
ยุคการบริหารเชิงระบบ 2
ผสมผสานแนวคิดต่าง ๆ ทุกยุค ทุกสมัย เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์และ
สิ่งแวดล้อมท่ีเป็นจริงในปัจจุบัน ในท่ีน้ีจะขอนำเสนอทฤษฎีการบริหารเชิงระบบ (systematic
Approach Management) ซ่ึงเป็นวิธีการทางความคิดท่ีเป็นรูปแบบ แสดงให้เห็นวิธีการแกปัญหา
อย่างเป็นระบบ โดยเน้นการมองปัญหาอย่างองค์รวม ท้ังน้ีรูปแบบของวิธีการหาความรูเกี่ยวข้อง
โดยตรงกับการวิเคราะห์ สังเคราะหและวางรูปแบบ การดำเนินการ โดยต้องเก่ียวพันกับรูปแบบ
ปฏิบตั ิทั้งภายในและภายนอก โดยใช้ระบบเปิดเป็นพนื้ ฐานความคดิ
การบริหารงานเชิงระบบ (systematic Approach Management) จึงเป็นกระบวนการ
หน่ึงท่ีสามารถนำไปประยกุ ตใ์ ช้กับการบริหารงานในองค์การประเภทต่างๆ โดยท่พี ิจารณาการบริหาร
ในลักษณะองค์รวมที่มีเป้าหมาย กระบวนการ ระบบย่อย และองค์ประกอบต่างๆ ที่มีปฏิสัมพันธ์กัน
มกี ารปฏิบัติงาน แลกเปล่ียนข่าวสาร เพ่ือบรรลุเป้าหมายทางการบรหิ าร ประโยชน์จากการใช้วิธีการ
เชิงระบบ คือ วิธีการนี้จะเป็นการประกันว่า การดำเนินงานจะดำเนินต่อไปตามข้ันตอนท่ีวางไว้ โดย
ช่วยให้การทำงานตามระบบบรรลุเป้าหมาย โดยใช้เวลา งบประมาณ และบุคลากรอย่างมี
ประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด แบบจำลองระบบจะช่วยป้องกันการลงทุนท่ีไม่จำเป็นได้มาก
แนวคิดวิธีการเชิงระบบเป็นอีกแนวทางหน่ึงที่จะมีบทบาทในการสร้างสรรค์งานและแก้ปัญหาใน
องค์การได้เป็นอย่างดีและมีการพัฒนาวิธีการคิดนี้ในการแก้ปัญหาท่ีหลากหลายแต่ขั้นตอนหลักๆ จะ
ไม่แตกต่างกนั มากนกั
ยุคการบรหิ ารเชงิ ระบบ 3
แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับการบรหิ ารการศึกษาเชงิ ระบบ
(System Theory)
ในการศึกษาทฤษฎีการบริหารการศึกษาเชิงระบบ คณะผู้จัดทำได้ค้นคว้าเอกสารจาก
งานวิจยั ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง ดังนี้
ความหมายของการบรหิ าร
การบริหารมีความหมายแตกต่างกันออกไปแล้วแต่จะเน้นท่ีจุดใดเป็นสำคัญ และจะให้มี
ขอบเขตคลุมกวา้ งแค่ไหน นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหายของการบริหาร ดงั นี้
เสนาะ ติเยาว์ (2543 : 3) กล่าวว่า การบริหารหมายถึง กระบวนการทำงานกับคนและโดย
อาศยั คน เพือ่ บรรลวุ ัตถุประสงค์ขององคก์ ารภายใต้สภาพแวดลอ้ มทเ่ี ปล่ยี นแปลง
วิโรจน์ สารรัตนะ (2542 : 1) กล่าวว่า การบริหาร หมายถึง กระบวนการดำเนินงานเพื่อให้
บรรลุเป้าหมายขององค์การ โดยอาศัยหน้าที่ทางการบริหารที่สำคัญคือ การจัดองค์การการวางแผน
การติดตาม และการควบคมุ
ศจี อนันต์นพคุณ (2542 : 3) กล่าวว่า การบริหารหมายถึง กิจกรรมต่างๆที่บุคคลต้ังแต่ 2
คนข้ึนไปนำท้ังศาสตร์และศิลป์มาใช้ในการทำงานร่วมกัน เพ่ือความสำเรจ็ ในเป้าหมายขององค์การท่ี
กำหนดไว้ โดยอาศยั ปัจจัยการบริหารอยา่ งเหมาะสมและใชก้ ระบวนการบรหิ ารอยา่ งมรี ะบบ
นพพงษ์ บุญจิตราดุลย์ (2534 : 3) กล่าวว่า การบริหารหมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่บุคคล
ตัง้ แต่ 2 คนข้ึนไปร่วมมือกันดำเนินการเพอื่ ให้บรรลวุ ัตถุประสงคอ์ ยา่ งหน่ึงอยา่ งใด
กิตติมา ปรีดีดิลก (2539 : 4) กล่าวว่า การบริหารหมายถึง การดำเนินงานทุกชนิดใน
หนว่ ยงานให้สำเร็จลุลว่ งไป
ชาญชัย อาจิณสมาจาร (2540 : 11) กล่าวว่า การบริหารหมายถึง กระบวนการสั่งการและ
ควบคุมกิจกรรมของสมาชิกในองค์การรูปนัย เพื่อวัตถุประสงค์ในการทำให้เป้าหมายและจุดมุ่งหมาย
ของสถาบนั สำเรจ็
จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า การบริหารหมายถึง การดำเนินงานตามภารกิจท่ีได้รับ
มอบหมายจากองค์การ โดยใช้ทรัพยากรบุคคลและอื่นๆที่มีอยู่ โดยผ่านกระบวนการทางการบริหาร
อยา่ งมีระบบ เพ่อื ให้การดำเนนิ งานบรรลุตามวัตถุประสงคท์ วี่ างไว้อยา่ งมีประสิทธิภาพ
ยุคการบริหารเชิงระบบ 4
ความหมายของการบริหารการศึกษา
การบรหิ ารการศกึ ษามีผ้ใู หค้ วามหมายและความเห็นไว้ตา่ งๆ ดังนี้
นพพงษ์ บญุ จิตราดุล (2534 : 32) กล่าวว่า การบริหารการศึกษา คือ กิจกรรมต่างๆท่ีบุคคล
หลายๆคนร่วมมือกันพัฒนาสมาชิกในสังคมทุกๆด้าน นับตั้งแต่บุคลิกภาพ ความรู้ ความสามารถ
พฤติกรรม และคุณธรรม ค่านิยมตรงกับความต้องการทางสังคม โดยกระบวนการต่างๆท่ีอาศัยการ
ควบคุมสิ่งแวดล้อมใหม้ ีผลต่อบุคคลและอาศัยทรัพยากรตลอดจนเทคนิคต่างๆ อย่างเหมาะสมเพ่ือให้
บคุ คลที่พฒั นาไปตามเปา้ หมายของสังคมทตี่ นดำเนนิ ชีวิตอยู่
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2535 : 12) กล่าวว่า การบริหารการศึกษา เป็นภารกิจหลักของ
ผบู้ รหิ ารที่จะต้องกำหนดแบบแผน วิธีการ และข้ันตอนต่างๆในการปฏิบัติงานไว้อย่างมีระบบ เพราะ
หากระบบของการบริหารงานไม่ดีจะทำให้กระทบกระเทือนต่อส่วนอ่ืนๆของหนว่ ยงาน นักบรหิ ารท่ีดี
จะต้องเลือกวิธีบริหารที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เพ่ือให้งานน้ันบรรลุจุดมุ่งหมายท่ีวางไว้ การ
บริหารงานนั้นจะต้องมีท้ังศาสตร์และศิลป์ เพราะการดำเนินการต่างๆมิใช่กิจกรรมที่ผู้บริหารจะ
กระทำเพียงคนเดียว แตย่ ังมผี ู้รว่ มงานอีกหลายคนทม่ี สี ว่ นร่วมทำให้งานประสบความสำเร็จ ผรู้ ว่ มงาน
แต่ละคนมีความแตกต่างกันท้ังด้านสติปัญญา ความสามารถ ความถนัดและความต้องการที่ไม่
เหมือนกัน จึงเป็นหน้าท่ีของผู้บริหารท่ีจะนำเอาเทคนิควิธกี ารและกระบวนการบริหารที่เหมาะสมมา
ใช้ใหเ้ กิดประสทิ ธภิ าพและบรรลุเป้าหมายของสถานศกึ ษา
กิตติมา ปรีดีดิลก (2532 : 5) กล่าวว่า การบริหารการศึกษาคือ ความพยายามที่จะ
ดำเนินการเก่ียวกับเร่ืองของการศึกษา อันได้แก่ โรงเรียน หลักสูตร ครู นักเรียน วัสดุ อุปกรณ์ ตำรา
เรียน และอาคารสถานท่ี เปน็ ต้น เพื่อให้ส่ิงที่กล่าวมาน้ีได้ก่อเกดิ ประโยชนต์ ่อการศึกษาใหม้ ากท่สี ุดซ่ึง
จะนำไปสกู่ ารจดั การศึกษาทมี่ ีคุณภาพตอ่ ไป
อุทัย สุขประเสริฐ (2532 : 3) กล่าวว่า การบริหารการศึกษา เป็นศาสตร์ท่ีมีสาระมีวิธเี ฉพาะ
ของตน ไม่เหมือนกับการบริหารองค์การประเภทอ่ืนๆ วิธีการบริหารองค์การตามระบบราชการหรือ
การบริหารองค์กรการกศุ ลใดๆ
จากความหมายดังกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า การบริหารการศึกษา คือ การสั่งการ ควบคุม การ
วางแผน และการประเมินผลดำเนินงานเพื่อพัฒนาเด็ก เยาวชนและบุคคลในวัยต่างๆ ให้เป็นคนดี มี
คุณภาพ สามารถประกอบภารกจิ ต่างๆในการพัฒนาตนเองและสงั คมใหเ้ ป็นไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
ยุคการบรหิ ารเชิงระบบ 5
ความหมายของทฤษฎี
เสน่ห์ จุ้ยโต (2548 : 35) กล่าวว่า ทฤษฎี หมายถึง กรอบแนวคิด หลักการ ข้อสมมุติ ข้อ
ทฤษฎีท่ีอธิบายปรากฏการณ์หรือตัวแปรที่สอดคล้องสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ สามารถอธิบายได้
ทดลองได้ และพสิ จู นใ์ หเ้ หน็ จริงได้
สมิหรา จิตตลดากร (2546 : 67) กล่าวว่า ทฤษฎี หมายถึง อรรถาธิบายที่ใช้ได้ท่ัวๆไป
(Generalize Explanation) สำหรับแสดงความสัมพันธ์ลักษณะหนึ่งของปรากฏการณ์ชุดหน่ึง หรือ
ข้อความท่ีแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของข้อเท็จจริงชุดหน่ึงที่ผ่านการทดสอบมาแล้ว
และเป็นท่ยี อมรับกนั ทว่ั ไปในหมู่นกั วชิ าการสาขาการนัน้ ๆ
เฟรด เอ็น เคอร์ ลิงเกอร์ (Fred N. Kerlinger, 1986 : 9) ได้ให้ คำนิยามทฤษฎีว่าเป็นกลุ่ม
ของโครงสร้าง (Constructs) คำนิยาม (Definitions) และข้อเสนอที่ต้องการพสิ ูจน์ (Proposition) ท่ี
เสนอความคิดเห็นของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องสัมพันธ์กัน พร้อมกันนั้นก็
ระบคุ วามสมั พันธ์ของตวั แปรตา่ งๆ เพอื่ ทจ่ี ะอธบิ ายและคาดการณ์ปรากฏการณ์นั้นๆ
โดแนลด์ เจ วลิ โลเวอร์ (Donald J. Willower, 1975 : 78) ให้คำนิยามทฤษฎีวา่ เป็นเนื้อหา
ความร้ทู ี่ตอ่ เน่ืองสมั พันธก์ ันและครอบคลุมได้ทัว่ ไป อนั จะใช้เป็นประโยชน์ในการอธิบายเร่ืองนนั้ ๆ
จากความหมายดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า ทฤษฎี หมายถึง เป็นการรวมกลุ่มอย่างมีระบบ
และสัมพันธ์กันของหลักการต่างๆ ซ่ึงกำหนดโครงร่างการทำงาน หรือการนำความรู้มารวมกันเป็น
ความรู้ท่ีสำคัญในเรื่องใดเรอ่ื งหน่ึง โดยอาศยั วิธีการทางวิทยาศาสตร์
ความหมายของระบบ
มนี กั วชิ าการหลายทา่ นไดใ้ หค้ วามหมายของคำวา่ ระบบ ดงั นี้
Kast and Rosenzweig (1985 : 94) กล่าวว่า ระบบ คือ ส่ิงที่ถูกจัดให้เป็นระบบอยู่รวมกัน
เป็น หนึ่งเดียว ซ่ึงประกอบด้วยส่วนย่อย (Parts) อันเป็นองค์ประกอบ (Components) หรือระบบ
ย่อย (Subsystems) ต้งั แต่สองสว่ นขึ้นไปทต่ี ้องพ่ึงพาอาศัยซึ่งกนั และกัน และมีเส้นแบง่ เขตที่สามารถ
ระบไุ ด้ว่าเปน็ เสน้ คัน่ ระหวา่ งระบบและระบบสภาพแวดลอ้ มท่ีอยู่เหนือขนึ้ ไป (Supra system)
Robbins (1990 : 102) กล่าวว่า ระบบ คือชุดของส่วนต่างๆ (Parts) ที่มีความสัมพันธ์และ
พง่ึ พาอาศัยซึ่งกนั และกนั ท่ีถูกจดั ไว้อยา่ งสอดคล้องกันและมีความเป็นหนง่ึ เดยี วกัน
Lunenburg and Ornstien (2008 : 187) กล่าวว่า ระบบ คือชุดขององค์ประกอบต่างๆ
(Parts) ที่มีความสัมพันธ์กัน ทำหน้าที่ในลักษณะเป็นหน่วย (Unit) เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่
กำหนดไว้
Hoy and Miskel (2012 : 56) กล่าวว่า ระบบ คือชุดขององค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ซึ่ง
กันและกันที่ตอ้ งมีปัจจยั นำเข้า (Inputs) จากภายนอกระบบ และมกี ระบวนการแปรสภาพปัจจัย
ยุคการบริหารเชิงระบบ 6
ประชุม รอดประเสริฐ (2545 : 74) กล่าวว่า ระบบ หมายถึงองค์ประกอบของสรรพสิ่งท่ี
รวมตัวกันอย่างเป็นเอกภาพ โดยแต่ละองค์ประกอบต่างปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนอย่างประสาน
สัมพันธ์กับภาระหน้าที่ขององค์ประกอบอื่นๆ และเป็นการปฏิบัติภาระหน้าที่อย่างมีรูปแบบและมี
ขั้นตอนเป็นการเฉพาะ
จากความหมายของระบบดงั กล่าว สรปุ ได้วา่ ระบบ หมายถึงองค์ประกอบหรือระบบย่อยที่มี
ปฏิสัมพันธ์กนั เพอ่ื ปฏิบตั ิหนา้ ทห่ี รือทำกิจกรรมบางอย่างร่วมกันเพ่อื การบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ของระบบ
ใหญท่ เี่ ป็นภาพรวม
ความหมายของวิธกี ารเชิงระบบ
อุทัย บุญประเสริฐ (2529 : 20) วิธีการเชิงระบบ (Systems Approach) หมายถึง วิธีการ
นำเอาความรูเร่ืองระบบเข้ามาเป็นกรอบช่วยในการค้นหาปัญหา กำหนดวิธีการแกปญหาและใช้
แนวทาง ความคิดเชิงระบบชว่ ยในการตัดสนิ ใจแกปัญหา
Henry lenman (อางถึงใน สุรพันธ ยันตทอง 2533 : 60 ) ไดให้อธิบายความหมายของ
วธิ ีการเชงิ ระบบไวดังนี้
1. เปน็ วธิ กี ารแกปญหาทนี่ ำเอาวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตรมาใช
2. เปน็ วธิ กี ารพฒั นาการแกปญหา ทก่ี ระทำอยางเปนระบบ เปนข้ันเปนตอน
3. เป็นวธิ ีการที่ขจัดความลำเอียง โดยไมยึดถือเอาความคิดของคนใดคนหน่งึ มาตัดสนิ โดยไม
มเี หตุผลเพียงพอ
4. เป็นวธิ ีการแกปญหาเปนข้นั ๆ อยางมีเหตผุ ล
5. เป็นการดำเนนิ งานโดยกล่มุ บุคคล ไมใชค่ นใดคนหนึ่งแต่เพียงผูเ้ ดยี ว
6. มีการวางแผนล่วงหน้าก่อนการดำเนินการแกปญหาทุกครั้ง ว่าจะดำเนินการทีละข้ัน
อย่างไร และเมื่อกำหนดแล้วจะไมมีการเปล่ียนแปลงแกไขภายหลัง หรือไมดำเนินการตามขั้นตอนท่ี
กำหนดไวเปน็ อันขาด นอกจากเป็นเหตสุ ุดวสิ ยั
7. ระหว่างการดำเนินงาน ถาตองมีการแกไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบ ตองแกไขทันทีให้เสร็จ
แล้วจงึ ดำเนินงานขั้นตอไป แตท้ังนตี้ อ้ งอยู่ในแผนที่กำหนดดว้ ย
8. ไมมีการบอกยกเลิก ยกเว้นข้ามข้ันหรือหยุดกลางคัน แลวนำผลท่ียังไมไดดำเนินการไปถึง
จดุ สุด ทา้ ยเมือ่ บรรลุวตั ถุประสงค์ของการแก้ไขปัญหามาใช้เทา่ น้ัน
ยุคการบรหิ ารเชิงระบบ 7
สรุปได้ว่า วิธีการเชิงระบบ (systems Approach) หมายถึง วิธีการทางความคิดท่ีเป็น
รูปแบบ ซึ่งแสดงให้เห็นวิธีการแกปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยเน้นการมองปัญหาอย่างองค์รวม ทั้งน้ี
รูปแบบของวิธีการหาความรูเกี่ยวข้องโดยตรงกับการวิเคราะห์ สังเคราะหและวางรูปแบบ
การดำเนินการ โดยต้องเก่ียวพันกับรูปแบบปฏิบัติท้ังภายในและภายนอก โดยใช้ระบบเปิดเป็น
พื้นฐานความคิด
ความเป็นมาของทฤษฎเี ชงิ ระบบ
การที่จะศึกษาถึงองค์การโดยเน้นเฉพาะโครงสร้างตามแนวคิดของนักวิชาการกลุ่มการ
บริหารเชิงวิทยาศาสตร์หรือเน้นเฉพาะการปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มบริหารเชิงมนุษยสัมพันธ์ย่อมมีปัญหา
เพราะไม่ครอบคลุมพฤติกรรมทุกส่วนขององค์การทั้งระบบทำให้สามารถอธิบายพฤติกรรมทุกส่วน
ขององค์การได้ทุกระดับ ทั้งระดับบุคคล ระดับกลุ่ม และระดับองค์การ ทฤษฎีน้ีจึงเป็นประโยชน์ต่อ
การบริหารงานเป็นอย่างมาก
การนำเอาแนวคดิ ของวธิ ีการเชิงระบบ (System Approach) มาใชใ้ นการบริหารด้วยเหตุผล
ที่ว่าในปัจจุบันองค์การมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและสลับซับซ้อนมากข้ึนจึงยาก ท่ีจะพิจารณาถึง
พฤติกรรมขององค์การโดยให้ครอบคลุมได้หมดทุกแง่มุม ทำให้นักวิชาการการบริหารทฤษฎีองค์การ
สมัยใหม่หันมาศึกษาเรื่องพฤติกรรมองค์การ โดยมีความเห็นว่าองค์การเป็นระบบสังคมซ่ึงเป็นระบบ
ใหญ่ จึงตอ้ งมีปฏิสัมพนั ธ์กับสง่ิ แวดล้อมอยตู่ ลอดเวลา (จันทรานี สงวนนาม. 2545 : 83)
ผู้ท่ีคิดทฤษฎีระบบ คือ ลัดวิก วอน เบอรทาแลนฟ่ี (Ludwig Von Bertalanffy) ซึ่งเป็นนัก
ชวี วิทยา เขาเป็นคนแรกที่เขียนหนังสือชื่อ “General System Theory” โดยนำเอาแนวความคิดมา
จากระบบชีววิทยา ซึ่งเป็นระบบเปิดที่มีปฏิสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อม โดยกล่าวว่าระบบชีววิทยาท่ี
สมบูรณ์จะช่วยให้ท้ังคน สัตว์ และพืช สามารถปรับตัวเข้ากับส่ิงแวดล้อมได้ทั้งในด้านการเรียนรู้
ปฏิกิริยาตอบสนอง และการแก้ปัญหา เขามีความเชื่อว่าในเม่ือองค์การเป็นระบบเปิด จึงย่อมมี
ปฏิสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อม และเปลี่ยนแปลงได้อย่างเป็นระบบ มีความเก่ียวพันต่อกันหลายด้าน
หลายระดับ และส่วนต่างๆ ขององค์การก็เป็นส่วนสำคัญเท่าๆ กับตัวขององค์การเอง ดังน้ันทฤษฎี
ระบบจะรวมเอาระบบย่อยทุกชนิดทั้งทางด้านชีวภาพ กายภาพ พฤติกรรม ความคิดเกี่ยวกับการ
ควบคมุ โครงสรา้ ง เปา้ หมาย และกระบวนการปฏิบัตงิ านไว้ด้วยกนั (จันทรานี สงวนนาม. 2545 : 84)
ยุคการบรหิ ารเชงิ ระบบ 8
ภาพประกอบท่ี 1 ผู้ที่คิดทฤษฎรี ะบบ ลัดวกิ วอน เบอรทาแลนฟ่ี
(Ludwig Von Bertalanffy)
ทฤษฎีเชิงระบบเริ่มเม่ือประมาณกลางศตวรรษท่ี 20 โดยมอร์เฟต, จอห์นและเรลเลอร์
(Morphet, John and Reller. 1968 : 41) ได้ร่วมกันนำเสนอแนวคิดนี้ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการบริหาร
สมัยใหม่ สอดคล้องกับ ธงชัย สันติวงษ์ (2539 : 41) ได้เขียนสรุปไว้เช่นกันว่าทฤษฎีเชิงระบบเร่ิม
นำมาใช้ในยุคท่ี 4 ของการแบ่งวิวัฒนาการของการบริหาร ซึ่งเรียกว่า “ยุคของการปรับปรุงคิดค้น
ขยายความและรวบรวมเพ่ือหาข้อสรุป” ตามทฮ่ี คิ ซ์ (Hicks. 1972 : 369) ไดแ้ บง่ แต่ละยคุ ไว้ดงั นี้ คอื
ยคุ ที่ 1 ระยะเวลาก่อนการคิดค้นการบริหารท่ีมหี ลักเกณฑ์ (Pre-scientific Management :
เรม่ิ ตน้ -1880)
ยคุ ท่ี 2 การบริหารทม่ี หี ลกั เกณฑ์ (Scientific Management : 1880-1930)
ยุคท่ี 3 มนุษยสมั พนั ธ์ (Human Relations : 1930-1950)
ยุคที่ 4 ยุคของการปรับปรุง คดิ คน้ ขยายความและรวบรวมเพอ่ื หาขอ้ มลู
หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา (2538ข : 1) ได้นำเสนอเกี่ยวกับที่มาของการบริหาร
เชิงระบบ (System Approach) ว่าเป็นการนำเอาพื้นฐานการบริหารในช่วงเร่ิมต้นของยุคท่ี 4 น้ีมา
ประยุกต์ใช้และได้สร้างเป็นเทคนิคการบริหารท่ีนักทฤษฎีการบริหารหลายคน เช่น คาสท์และ
รอสซ์เวก (Kast and Rozenwig. 1985 : 34) คอฟแมน (1972 : 2) ได้นำมาพัฒนาแนวความคิด
ทางการบริหาร ตั้งแต่ พ.ศ. 2503 มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นความคิดใหม่ท่ีนักวิชาการทางด้าน
การบรหิ ารและองค์การตา่ งๆ ได้นำมาปรบั ใช้กบั การบรหิ ารองค์การในปจั จุบัน
ยคุ การบรหิ ารเชิงระบบ 9
หลักการและแนวคดิ ทฤษฎีเชงิ ระบบ
มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช (2540 : 117) ทฤษฎีระบบเปน็ ทฤษฎีท่วี ่าดว้ ยสง่ิ ทั้งมวลซึ่ง
สมั พันธ์กันและอยู่รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกนั โดยสาระสำคัญคือ ระบบทุกระบบไม่ว่าระบบวัตถุ ส่ิง
ท่ีมีชีวิตหรือระบบสังคม ต่างประกอบด้วยส่วนต่างๆ ที่มีลักษณะสัมพันธ์ต่อกันมีเส้นแบ่งเขตระหว่าง
ระบบและสิ่งแวดลอ้ ม และองค์การทุกองคก์ ารมีฐานะเปน็ ระบบ
หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา (2538ก : 1) ได้ให้แนวคิดไว้ว่า ระบบต้องมีลักษณะที่
เป็นส่วนประกอบหรือปัจจัยต่างๆ ท่ีมีความสัมพันธ์ซึ่งกันด้วย ต้ังแต่โครงสร้างของระบบ หน้าท่ี
เฉพาะและส่วนต่างๆ ของระบบ โดยที่ทุกส่วนประกอบของระบบแต่ละส่วนจะต้องมีหน้าที่เฉพาะ มี
ความเกี่ยวพันกนั และมีความเปน็ อิสระ
จันทรานี สงวนนาม (2545 : 85-86) ไดก้ ล่าวถึงหลักการและแนวคิดทฤษฎีเชงิ ระบบ ดงั นี้
1) ทฤษฎีเชิงระบบมีความเชื่อว่า ระบบจะต้องเป็นระบบเปิด (Open System) กล่าวคือ
จะต้องมปี ฏสิ มั พันธก์ ับสงิ่ แวดล้อมโดยไดร้ บั อิทธพิ ลหรอื ผลกระทบตลอดเวลาจากสภาพแวดล้อม
2) มีรูปแบบการจัดลำดับ (The Hierarchical Model) ในลักษณะของระบบใหญ่และระบบ
ย่อยที่สมั พนั ธ์กัน
3) มีรูปแบบของปัจจัยป้อนเข้าและผลผลิต (Input Output Model) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผล
ของการปฏิสัมพันธ์ที่มีกับสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มต้นจากปัจจัยกระบวนการและผลผลิตตามลำดับ
เปน็ องคป์ ระกอบระบบ
4) แต่ละองค์ประกอบของระบบจะตอ้ งมีสว่ นสัมพนั ธ์กันหรือมีผลกระทบตอ่ กนั และกัน (The
Entities Model) หมายความว่า ถ้าองค์ประกอบของระบบตัวใดตัวหน่ึงเปลี่ยนไป ก็จะมีผลต่อการ
ปรบั เปลี่ยนขององค์ประกอบตัวอ่นื ด้วย
5) ทฤษฎีเชิงระบบเชื่อในหลักการของความมีเหตุผลของส่ิงต่างๆ (Cause and Effect) ซ่ึง
เป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ ทฤษฎีเชิงระบบไม่เช่ือว่าผลของสถานการณ์ใด
สถานการณ์หน่ึงเกิดจากเหตุเพียงสาเหตุเดียว แต่ทฤษฎีเชิงระบบเชื่อว่าปัญหาทางการบริหารท่ี
เกดิ ข้ึนมกั จะมาจากสาเหตทุ ่ีมากกว่าหนึง่ สาเหตุ
6) ทฤษฎีเชิงระบบจะมองทุกๆ อย่างในภาพรวมของทุกองค์ประกอบมากกว่าที่จะมองเพียง
สว่ นใดสว่ นหนง่ึ ของระบบ
7) ทฤษฎีเชิงระบบคำนึงผลของการปฏิบัติท่ีเป็น “Output” หรือ “Product” มากกว่า
“Process” ซ่ึงผลสุดท้ายของงานที่ได้รับอาจมีมากมายหลายส่ิง ซึ่งก็คือผลกระทบ (Outcome or
Impact) ทเี่ กดิ ขนึ้ ตามมาในภายหลังนัน่ เอง
ยคุ การบรหิ ารเชงิ ระบบ 10
8) ทฤษฎีเชิงระบบจะมีกระบวนการในการปรับเปล่ียน และป้อนข้ อมูลย้อนกลับ
(Feedback) เพื่อบอกให้รู้ว่าระบบมีการเบ่ียงเบนอย่างไร ควรแก้ไขท่ีองค์ประกอบใดของระบบ ซ่ึงก็
คอื การวเิ คราะหร์ ะบบ (System Analysis) นั่นเอง
ประเภทของระบบ
1. ระบบปิด (Closed System) เป็นแนวคิดพ้ืนฐานจากทางด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ
ซึ่งเป็นระบบที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบจากส่ิงแวดล้อม ระบบปิดที่สมบูรณ์จะเป็นระบบท่ีไม่มีการรับ
พลังงานจากภายนอก ซ่ึงมีลักษณะเชิงอุดมคติ แนวคิดระบบปิดสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการศึกษา
องคก์ ารไดค้ อ่ นข้างนอ้ ยมาก
2. ระบ บเปิด (Open System) เป็นระบบท่ียอมรับ หรือคำนึงถึงผลกระทบจาก
ความสมั พนั ธ์ของระบบกบั ส่งิ แวดลอ้ ม
2.1 สว่ นประกอบสำคญั ของระบบเปิด
รูปแบบทฤษฎรี ะบบพ้ืนฐานขององคก์ ารประกอบด้วยส่วนประกอบสำคญั 5 ส่วนดงั นี้
1) ปัจจัยนำเข้า (inputs) ซ่ึงประกอบด้วย คน วัสดุอุปกรณ์ งบประมาณ และ
สารสนเทศเพื่อการผลติ และการบริการ
2) กระบวนการแปรสภาพ (Transformation process) ปัจจัยนำเข้าโดยใช้
เทคโนโลยแี ละการบริหาร
3) ผลผลติ (outputs) ประกอบดว้ ยผลผลิตหรือบรกิ าร
4) ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) เป็นข้อมูลสารสนเทศเก่ียวกับผลผลิตหรือ
กระบวนการขององคก์ ารที่เปน็ ตัวกำหนดปจั จัยนำเข้าในการดำเนินงานคร้งั ตอ่ ไป
5) ส่ิงแวดล้อม (Environment) ที่อยู่ล้อมรอบองค์การซึ่งประกอบด้วย สังคม
การเมอื ง และแรงกดดันจากระบบเศรษฐกจิ
2.2 ลกั ษณะของระบบเปดิ
ระบบประกอบด้วยปัจจัยนำเข้ากระบวนการแปรสภาพและผลผลิตแต่ระบบเปิดยังมี
ลกั ษณะท่นี อกเหนือเพ่มิ เติมท่ีเกี่ยวกับการศึกษาองค์การ (Robin 1990 : 15-18 )
1) คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Invironment Awareness) อันเป็นลักษณะที่สำคัญของ
ระบบเปิดท่ีคำนึงถึงการพึ่งพาอาศัยกันและกันกับสิ่งแวดล้อม ซ่ึงจะมีขอบเขตท่ีแบ่งแยกระหว่าง
ระบบกับส่ิงแวดล้อม การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนกับสิ่งแวดล้อมจะส่งผลกระทบต่อระบบ ในทาง
กลับกนั การเปลี่ยนแปลงทเี่ กดิ ขน้ึ ภายในระบบก็จะส่งผลกระทบต่อส่งิ แวดล้อมของระบบนนั้ ๆดว้ ย
2) ผลย้อนกลับ (Feedback) ระบบเปิดจะรับเอาข้อมูลสารสนเทศจากสิ่งแวดล้อม
อย่างต่อเน่ือง ซ่ึงช่วยให้ระบบสามารถปรับตัวและดำเนินงานได้ตามปกติไม่ออกนอกลู่นอกทาง จาก
ยคุ การบริหารเชิงระบบ 11
แนวปฏบิ ัติท่ีกำหนดไว้ การไดร้ ับข้อมูลสารสนเทศจากสิ่งแวดล้อมน้ี เรยี กวา่ ขอ้ มูลยอ้ นกลับอันท่ีจรงิ ก็
คือผลผลิตที่ได้จากกระบวนการแปรสภาพของระบบ ท่ีจะเป็นปัจจัยนำเข้าของระบบอื่นว่ามีลักษณะ
เปน็ อยา่ งไรควรมีการปรับปรุงตรงสว่ นใดของระบบ เพอ่ื ใหผ้ ลผลติ ทไ่ี ดม้ ปี ระสทิ ธิภาพย่ิงข้ึน
3) ระบบเปิดเป็นวงจรของเหตุการณต์ ่างๆ (Cyclical Character) ผลผลติ จากระบบ
ทำให้เกิดวิธีการสำหรับการได้มาซ่ึงปัจจัยนำเข้าใหม่ๆ ที่จะเข้าสู่วงจรของระบบต่อไป เช่น องค์การ
ตอ้ งมีรายได้จากลูกค้าเพียงพอตอ่ การจ่ายเงินเป็นเงนิ เดอื นหรือค่าจ้างต่อพนกั งานและการจ่ายคืนจาก
แหล่งเงินที่กู้ยืมมาใช้ในการดำเนินงาน หากวงจรน้ีมีลักษณะที่ม่ันคงก็จะส่งผลให้องค์การสามารถ
ดำรงอย่ไู ด้
4) การโน้มเอียงไปสู่ความเฉ่ือย (Negative Entropy) ระบบจะมีความโน้มไปสู่
ความเฉื่อยหรือเสื่อมสลายไป จะเห็นว่าระบบเปิดท่ีไม่รับพลังงานหรือปัจจัยนำเข้าจากส่ิงแวดล้อม
มักจะเสื่อมสลายไป ในทางกลับกันระบบเปิดแม้ว่าจะมีแนวโน้มท่ีจะเส่ือมถอยลงแต่ก็สามารถท่ีจะ
รักษาระบบให้ดำรงอยู่ได้ไม่เส่ือมสลายไป และสามารถเจริญเติบโต ทั้งน้ีเพราะว่าระบบเปิดสามารถ
นำปจั จัยนำเขา้ สูร่ ะบบมากกว่าทีจ่ ะผลติ ออกสสู่ งิ่ แวดลอ้ ม
5) สภาพท่ีมีความมั่นคง (Steady State) ระบบเปิดจะมีปัจจัยนำเข้าเพ่ือขจัดความ
โน้มเอียงไปสู่การเส่ือมสลาย แม้ว่าระบบมีปัจจัยใหม่ๆ ป้อนเข้าและมีผลผลิตอย่างต่อเนื่องในการ
รักษาสมดลุ ของระบบ ระบบเปิดมแี นวโน้มมน่ั คงแน่นอนไมค่ ่อยมกี ารเปล่ยี นแปลง
6) เคล่ือนสู่ความเจริญเติบโตและการขยายตัว (Movement Toward Growth
and Expansion) สภาพความม่ันคงเป็นลักษณะที่แสดงให้เห็นระยะเริ่มต้นของระบบเปิด เม่ือระบบ
มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นและเผชิญกับแนวโน้มการเส่ือมถอย ระบบเปิดจะปรับเปล่ียนสู่การ
เจริญเตบิ โตและขยายตัวเพือ่ เป็นหลักประกันความอยู่รอด
7) รักษาสภาพสมดุลของการดำรงอยู่และกิจกรรมการปรับตัว (Balance of
Maintenance and Adaptive Activities) ระบบเปดิ พยายามคน้ หาจุดสมดลุ ระหว่างสองกิจกรรม ที่
มักมีความขัดแย้งกัน กล่าวคือ กิจกรรมเพื่อการดำรงอยู่ เพ่ือการสร้างหลักประกันว่าระบบย่อยต่างๆ
ยังอยู่สภาวะปกติ และระบบใหญ่ยังมีความสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม ผลของการดำเนินงานเช่นนี้
เพอ่ื ป้องกันการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบในทางกลับกันกิจกรรม
การปรับตัวเป็นสิ่งจำเป็นที่ระบบจะต้องมีการปรับตัว เมื่อเวลาผ่านไปให้สอดคล้องกับปัจจัยภายใน
และภายนอกองค์การ จะเห็นว่ากิจกรรมท้ังสองอย่างมีลักษณะตรงข้ามกันแต่ก็เป็นส่ิงจำเป็นทาง
ระบบต้องการอยรู่ อด องค์การท่ีสภาพมั่นคงแน่นอนแต่ไม่ปรับตวั ตามสภาพความเปล่ียนแปลงมักอยู่
ได้ไม่นาน ในลักษณะท่ีคล้ายคลึงกันองค์การท่ีมีการปรับตัวแต่ไม่มีความม่ันคงก็จะไม่มีประสิทธิภาพ
และอยู่ไดไ้ มน่ านเชน่ กัน
ยุคการบริหารเชงิ ระบบ 12
8) การมที างเลือกหลากหลาย (Equifinality) ระบบสามารถบรรลุผลการดำเนินงาน
ได้จากสภาพการที่แตกต่างกันและโดยใช้วิธีการหลากหลาย กล่าวคือองคก์ ารสามารถบรรลุเป้าหมาย
โดยใช้ปัจจัยนำเข้าและกระบวนการท่ีหลากหลาย แนวคิดนี้จึงเป็นแนวคิดท่ีเป็นประโยชน์และ
เสริมแรงในการพิจารณาวิธีการอย่างหลากหลายในการแก้ปัญหามากกว่าการยึดวิธีการบางวิธีการที่
คดิ วา่ เป็นวธิ ีการเดยี วทีด่ ที ่ีสุด
องค์ประกอบของระบบ
วิธีการเชิงระบบจัดเป็นกรอบแนวคิดที่ใช้ในการจัดการสิ่งต่างๆ ให้เป็นระเบียบเพื่อนำไปสู่
การทำงานให้ตรงกับเป้าหมายท่ีต้องการ โดยมีการวิเคราะห์องค์ประกอบที่สำคัญของสิ่งนั้น
อย่างละเอียดและจัดการองค์ประกอบเหล่านั้นให้สัมพันธ์กัน ซึ่งทิศนา แขมมณี (2545 : 197-198)
กล่าวว่า องค์ประกอบสำคญั ของระบบประกอบดว้ ยส่วนสำคัญ 5 ส่วน ดังนี้
1) ตัวป้อน คือ องค์ประกอบต่างๆ ของระบบนั้น หรืออีกนัยหน่ึงก็คือส่งิ ต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับ
ระบบน้ัน องค์ประกอบต่างๆ ของระบบใดระบบหนึง่ จะมีความสำคัญมากน้อยเพยี งใดนั้นมักขน้ึ อยกู่ ับ
ความรู้ ความคิด และประสบการณข์ องผู้จัดระบบ
2) ประมวลผล คือ การจัดความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ ของระบบให้มีลักษณะที่
เอ้ืออำนวยต่อการบรรลุเป้าหมาย ระบบใดระบบหน่ึงอาจมีองค์ประกอบเหมือนกัน แต่อาจมีลักษณะ
ของการจัดความสมั พนั ธแ์ ตกต่างกันได้ แล้วแตค่ วามคดิ ความรู้ และประสบการณ์ของผู้จดั ระบบ
3) ผลผลิต คือ ผลที่เกดิ ขึ้นจากกระบวนการดำเนนิ งาน หากผลที่เกิดข้นึ เปน็ ไปตามเปา้ หมาย
ทีก่ ำหนดไว้ แสดงว่า ระบบนั้นมีประสิทธิภาพ หากผลท่ีเกิดขึ้นไม่เป็นไปตามท่คี าดหวังแสดงว่าระบบ
นั้นยงั มจี ุดบกพรอ่ ง ควรที่จะพจิ ารณาแก้ไขปรับปรงุ กระบวนการหรือตวั ป้อน ซงึ่ เป็นเหตุใหเ้ กิดผลน้นั
4) กลไกควบคมุ คือ กลไกหรอื วิธีการที่ใชใ้ นการควบคุมหรอื ตรวจสอบกระบวนการให้เปน็ ไป
อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
5) ข้อมูลป้อนกลับ คือ ข้อมูลท่ีได้จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างผลผลิตกับ
จุดมุ่งหมายจะเป็นข้อมูลป้อนกลับไปสู่การปรับปรุงกระบวนการและตัวป้อน ซึ่งสัมพันธ์กับผลผลิต
และตวั ปอ้ น ซึง่ สามารถแสดงเป็นภาพประกอบได้ ดังน้ี
ยุคการบรหิ ารเชงิ ระบบ 13
ภาพประกอบที่ 2 องค์ประกอบของระบบทส่ี มบูรณ์
หนว่ ยศกึ ษานเิ ทศก์ กรมสามญั ศกึ ษา (2538ก : 2-6) กล่าวว่าองค์ประกอบของระบบที่สำคัญ
ในโครงสร้างของระบบแต่ละระบบมี 3 ประการ คือ ส่ิงท่ีป้อนเข้าไปหรือปัจจัยนำเข้า กระบวนการ
และผลงานหรือผลผลิต ซ่ึงทั้ง 3 องค์ประกอบ จะมีความสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน จะขาดส่ิงหน่ึงส่ิงใด
ไม่ได้ โดยจะทำงานร่วมกันเป็นวัฏจักร ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดมีปัญหาหรือไม่ทำงานจะทำให้เกิดผล
กระทบส่วนอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้ระบบยังมีความสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อมภายนอกเช่นเดียวกันด้วย
โดยสามารถอธิบายแยกแยะในแต่ละสว่ นไวด้ งั น้ี
1) ปัจจัยนำเข้า (Input) คือ ตัวปอ้ นหรือทรพั ยากรทั้งหมดทีน่ ำเข้าไปใช้ระบบที่สำคัญ ได้แก่
บุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ เทคโนโลยีต่างๆ ปัจจัยนำเข้านับเป็นองค์ประกอบส่วนแรกที่
สามารถทำให้ระบบปฏิบัติการได้ หรอื อาจหมายถึงทรัพยากรหรือสภาพแวดล้อมต่างๆ ท่ีอยู่รอบข้าง
ระบบที่ถูกป้อนเข้าไปให้ทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบแรกท่ีจะนำไปสู่การดำเนินงานของระบบ เช่น
ในระบบอุตสาหกรรม ตัวป้อนท่ีถือว่าเป็นปัจจัยนำเข้า คือ ที่ดิน โรงงาน เครื่องจักรชนิดต่างๆ และ
พนักงานในโรงงาน ถ้าเป็นระบบทางการศึกษาในโรงเรียนตัวป้อน ได้แก่ โรงเรียน ครู นักเรียน
ทรพั ยากรการเรียนการสอน เปน็ ตน้
2) กระบวนการในการผลิต (Process) ได้แก่ กรรมวิธีหรือกระบวนการต่างๆ ท่ีใช้ในระบบ
เพอ่ื นำปจั จัยเข้ามาใช้ใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุด หรือหมายถงึ วิธกี ารดำเนินงานต่างๆ ทที่ ำใหส้ ิ่งท่ปี อ้ นเข้า
ไปเกิดการเปลี่ยนแปลงท่ีจะนำไปสู่ผลงาน หรือผลผลิตของระบบ เช่น กระบวนการในระบบ
อตุ สาหกรรม ได้แก่ กรรมวธิ ีในการผลติ ลักษณะต่างๆ และในกระบวนการของระบบการศึกษา ได้แก่
ปรัชญาและเป้าหมาย หลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน การจัดการบริหาร และกิจกรรมต่างๆ
เปน็ ตน้
3) ผลผลิต (Output) ได้แก่ ผลงานหรือผลผลิตของระบบที่เกิดจากปัจจัยนำเข้าและ
กระบวนการในการผลิต เป็นองค์ประกอบสุดท้าย หมายถึง ผลสัมฤทธิ์ในลักษณะต่างๆ ท้ังที่มี
ประสิทธิภาพและประสิทธิผลท่ีเป็นผลมาจากการดำเนินงานในระบบกระบวนการ เช่น ในระบบ
อุตสาหกรรม ได้แก่ สินค้าสำเร็จรูปต่างๆ เช่น รถยนต์ เครื่องบิน เสื้อผ้า เป็นต้น ถ้าในระบบทาง
การศกึ ษา ได้แก่ ผลสัมฤทธ์ขิ องนกั เรยี นในลกั ษณะตา่ งๆ ซ่ึงสามารถแสดงเป็นภาพประกอบได้ ดังน้ี
ยคุ การบริหารเชงิ ระบบ 14
ภาพประกอบท่ี 3 องค์ประกอบของระบบ
จันทรานี สงวนนาม (2545 : 86-87) กล่าวว่าส่วนประกอบของระบบทส่ี ำคญั ดังตอ่ ไปนี้
1) ปัจจัยนำเข้า หมายถึง ทรัพยากรทางการบริหารทุกๆ ด้าน ได้แก่ บุคลากร (Man)
งบประมาณ (Money) วัสดุอุปกรณ์ (Materials) การบริหารจัดการ (Management) และแรงจูงใจ
(Motivations) ท่เี ปน็ ส่วนเริม่ ต้นและเปน็ ตวั จกั รสำคัญในการปฏิบัตงิ านขององค์การ
2) กระบวนการ คือการนำเอาปัจจัยหรือทรัพยากรทางการบริหารทุกประเภทมาใช้ใน
การดำเนินงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ เนื่องจากในกระบวนการจะมีระบบย่อยๆ รวมกันอยู่หลาย
ระบบครบวงจร ตั้งแต่การบริหาร การจัดการ การนิเทศ การวัดและการประเมินผล การติดตาม
ตรวจสอบ เปน็ ตน้ เพื่อให้ปัจจัยท้งั หลายเขา้ ไปสกู่ ระบวนการทกุ กระบวนการไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
3) ผลผลิต หรือผลลัพธ์ เป็นผลท่ีเกิดจากกระบวนการของการนำเอาปัจจัยมาปฏิบัติเพ่ือให้
เกดิ ประสทิ ธผิ ลตามเป้าหมายทกี่ ำหนดไว้
4) ผลกระทบ เป็นผลที่เกิดข้ึนภายหลังจากผลลัพธ์ท่ีได้ ซึ่งอาจเป็นสิ่งท่ีคาดไว้หรือไม่เคย
คาดคิดมากอ่ นวา่ จะเกดิ ขึ้นก็ได้
เขียนเปน็ รูปแบบ ได้ดังภาพ
ปจั จัย กระบวนการ ผลผลิตหรือผลลพั ธ์ ผลกระทบ
(Input) (Process) (Product or Output) (Outcome)
ภาพประกอบท่ี 4 องคป์ ระกอบของการบรหิ ารเชิงระบบ
ยุคการบรหิ ารเชิงระบบ 15
รปู แบบของการวิเคราะหร์ ะบบ (System Analysis Model)
การนำเอาทฤษฎีระบบหรือวิธีระบบมาใช้ในการบริหารองค์การ หากนำมาใช้ให้ดี ถูกต้อง
และเหมาะสม ระบบก็จะชว่ ยให้องค์การมปี ระสทิ ธิภาพ ในทางตรงกันข้ามหากนำมาใชไ้ ม่ถูกต้องหรือ
องค์ประกอบแต่ละส่วนของระบบไม่สัมพันธ์กันก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อองคก์ ารได้ ดงั นั้นการ
นำเอาทฤษฎีระบบมาใช้ จึงจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ระบบที่เรียกว่า System Analysis ควบคู่ไป
ดว้ ย
การวิเคราะห์ระบบจะช่วยให้ผู้บริหารทราบว่า หากผลผลิตหรือผลลัพธ์ท่ีเกิดขึ้นไม่เป็นไป
ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ปัญหานั้นจะเกิดจากองค์ประกอบใดของระบบ มคี วามสัมพันธ์เก่ยี วขอ้ งกัน
หรือไม่ อย่างไร ข้อมลู ยอ้ นกลับ จะช่วยใหท้ ราบถึงประเภทของปัญหา จุดที่ตอ้ งได้รับการพฒั นาแกไ้ ข
หรือปรบั ปรุงได้มากขึ้น การแก้ไขปรับปรุงก็จะต้องกระทำอย่างเป็นระบบมิใช่แก้ไขเฉพาะดา้ นใดด้าน
หนึ่งเท่านนั้ (จนั ทรานี สงวนนาม. 2545 : 87-89) ดังภาพ
ปัจจัย กระบวนการ ผลผลิตหรือผลลพั ธ์ ผลกระทบ
(Input) (Process) (Product or Output) (Outcome)
ข้อมูลย้อนกลับ
(Feedback)
ภาพประกอบท่ี 5 รูปแบบองคป์ ระกอบของวธิ รี ะบบและการวเิ คราะหร์ ะบบ
การวิเคราะห์ระบบเป็นส่วนหนึ่งของวิธีระบบ ท่ีมุ่งเน้นกระบวนการมากกว่าผลผลิตหรือ
ผลลัพธ์ โดยมงุ่ วเิ คราะหป์ ญั หา และเป็นกระบวนการประเมนิ วธิ ีระบบ
การวิเคราะห์ระบบ เปน็ ขั้นแรกของการพัฒนาท่จี ะนำไปสู่ความสำเรจ็ ตามเปา้ หมายเพือ่ ให้มี
ระบบการดำเนินการท่ีมีประสิทธิภาพ เพราะพัฒนาการคือการปรับปรุง เพื่อให้สภาพที่มีปัญหาอยู่
หมดไป หรือเหลือน้อยลงตามศักยภาพของทรัพยากรและข้อจำกัดที่มีอยู่ ให้เกิดความสมดุลของ
โครงสร้างและองค์ประกอบต่างๆ ในระบบ จงึ จำเป็นตอ้ งมกี ารวเิ คราะห์ระบบ
ยุคการบรหิ ารเชิงระบบ 16
สรุปว่าการวิเคราะหร์ ะบบมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมนิ ผลวธิ ีระบบในเรื่องต่อไปนี้
1. ประเมินความมปี ระสทิ ธิภาพของระบบงาน
2. ประเมนิ เวลา
3. ประเมนิ การใช้งบประมาณ
4. ประเมนิ ความถกู ตอ้ งของกระบวนการ
5. ประเมนิ ผลผลิตหรือผลงาน
วิธีระบบและการวิเคราะห์ระบบเป็นกระบวนการที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุผล
และมุ่งไปทกี่ ระบวนการแกป้ ัญหาอย่างมีขน้ั ตอน
ทฤษฎกี ารบรหิ ารการศกึ ษาเชงิ ระบบตามแนวคดิ ของนักวิชาการ
ทฤษฎบี ริหารการศึกษาเชิงระบบนี้มีนกั คดิ นักวชิ าการหลายคน ที่นำเสนอเนื้อหาไวเ้ ปน็ ที่
นา่ สนใจ ดังนี้
1) ทฤษฎีบรหิ ารการศึกษาของทลั ลค์ อต พารส์ นั (Talcott Parsons)
Parsons ได้อธิบายว่าระบบสังคมมีหน้าที่ 4 ประการ เรียกว่า AGIL คือ การปรับตัว
(Adaptation-A) การบรรลุวัตถุประสงค์ (Goal Attainment-G) การบูรณาการ (Integration-I)
การรักษาแบบแผน (Latent pattern maintenance-L) และทฤษฎีการบริหาร โดย Parsons แบ่ง
ระบบต่างๆ ดงั นี้
1.1 ระบบโครงสร้างของปฏกิ ิริยาสงั คม (The Structure of Social Action)
ระบบโครงสร้างของปฏิกิริยาทางสังคมมีความสำคัญอย่างย่ิงต่องานการบริหารทุกชนิด
และทุกสาขาวิชา ทั้งน้ีเพราะระบบสังคมในสังคมหนึ่งๆ นอกจากจะต้องจัดระบบภายในสังคมของ
ตนเองแล้ว ยังจะต้องจัดระบบภายนอกสังคมที่เข้ามาเก่ียวพันและปะทะกับสังคมของตน โดยมีผู้นำ
หรือผบู้ ริหารในสังคมหรอื องค์การนนั้ เปน็ ผ้จู ดั หาจดุ ปะทะสัมพันธ์ระหว่างตวั บคุ คลและองค์กร
1.2 ระบบโครงสร้างแบบราชการ (Bureaucratic Structure)
ทุกๆองค์การจะต้องประกอบด้วยระบบงานและระบบงานต้องมีความแตกต่างกันใน
ลกั ษณะสำคญั ๆ คือ การจัดระบบงานท่ีมีแบบแผน คอื การจัดระบบท่ีมีแนวความคดิ โดยมีหลักการที่
ประกอบขึ้นด้วยลักษณะท่ีจัดข้ึนในระบบงานอยู่ 4 ประการ คือ 1) การจัดให้มีระบบงานท่ีเป็น
ธรรมชาติของงานแต่ละชนดิ แต่ละประเภท เช่น งานสอน งานธรุ การ งานบริการ เป็นตน้ 2) การจัด
ให้มีตำแหน่งหน้าที่การงานตามท่ีเหมาะสมและความสามารถของผู้ที่ทำงานในองค์การน้ัน เช่น
ตำแหน่งหัวหน้างาน เป็นตน้ 3) อำนาจของการสั่งงานผู้ที่มีความรบั ผิดชอบในงานตามท่ีองคก์ ารได้รับ
ยคุ การบรหิ ารเชิงระบบ 17
มอบหมายให้ย่อมมีอำนาจในการส่ังงานที่ถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีและตัวบทกฎหมาย
4) การแบ่งสายงานและการจัดองค์การตามความเหมาะสมและความจำเป็นขององค์การนั้นเป็น
การบอกความสัมพันธ์ของไว้งานการบริหารท่ีปรากฏอย่ใู นองค์การ
นักวิชาการท่ีเผยแพร่แนวทางการจัดระบบงานนี้คือ ทัลล์คอต พาร์สัน, เคนเนธ บูลด้ิง,
เกทเซลและกูบาล และลุควิด เบร์ทาลันฟ์ฟีน (Ludwing Bertalunffy) ถือว่าเป็นผู้บุกเบิกทฤษฎี
ระบบทั่วไป องค์ประกอบของระบบคือ 1) ปัจจัยนำเข้า 2) กระบวนการหรือกิจกรรม 3) ผลผลิตตาม
สภาพตวั แปรท่วั ไปเก่ยี วกับองคป์ ระกอบระบบ
1.3 ระบบการแบ่งสว่ นตามหน้าที่ (The Function of Impartations)
ระบบน้ีแบ่งระดับของบุคคลในองค์การหนึ่งๆ ออกเป็น 4 ระดับ คือ 1) ระดับเทคนิค
(Techical Level) 2) ระดับจัดการ (Managerial Level) 3) ระดับสถาบัน (Institution Level) 4)
ระดับสังคม (Society Level) (Woraphas Prasamsuk, 2006)
2. ทฤษฎีบริหารการศึกษาของเกทเซล และกูบาล (Jacob W. Getzels and Egon G.
Guba)
Jacob W. Getzels and Egon G. Guba เป็นผู้ที่ได้วางทฤษฎีบริหารในรูปของสถาบัน
มิติ(Nomothetic Dimension) และบุคลามิติ (Indiographic Dimension) ซึ่งเป็นการจัดระบบการ
บริหารเป็นไปในรูปของพฤติกรรมทางสังคมและในรูปของพฤติกรรมของมนุษย์ในลักษณะเอกัตบุคคล
Getzels และ Guba ได้จัดระบบสังคมเป็นในรูปของระบบการจัดสังคมแบบเปดิ ซ่ึงเป็นการจัดระบบ
การบริหารเพ่ือเข้าปะทะและถูกอทิ ธิพลของสิ่งแวดลอ้ มของสังคมที่ใหญ่กว่า ทฤษฎีของบุคคลท้ังสอง
จึงเป็นทฤษฎีท่ีอาศัยหลักการของจิตวิทยาสังคมเป็นหลักสำคัญ เพราะถือว่ามนุษย์เป็นผู้ท่ีจะต้องมี
บทบาทและรวมอยู่กับสังคม ซึ่งในสังคมน้ันย่อมมีกฎเกณฑ์และการคาดหวังของสังคมต่อมวลหมู่
สมาชิกของสังคมนั้นย่อมแสดงออกมาตามลักษณะท่ีสังคมน้ันต้องการจึงทำให้เกิดการขัดแย้ง
(Woraphas Prasamsuk, 2006)
3. ทฤษฎีการบริหารการศึกษาของแดเนียล แคทซ์ และโรเบอร์ท แอท คาร์น (Daniel
Katz and Robert L. Kahn)
Daniel Katz and Robert L. Kahn เป็นผู้ก่อให้เกิดและขยายตัวของทฤษฎี คือด้วยการ
พัฒนาการบริหารระบบจากปัจจัยนำเข้า-ผลผลิต-กระบวนการ (Input – Output – Process –
System) ซึ่งเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการประยุกต์ทฤษฎีเชิงระบบในการศึกษาองค์การ 2 แนวทางคือ
แนวคิดเก่ียวกับระบบปิดซ่ึงเน้นความสำคัญขององค์การ โครงสร้างขององค์การเป็นสำคัญส่วน
แนวคิดเกี่ยวกับระบบเปิดน้ันการศึกษาปฏิสมั พันธ์กับภาวะแวดล้อม และแปรเปล่ียนพลังของสภาวะ
แวดล้อมให้เป็นผลผลิตกลับสู่สภาวะแวดล้อมอีกครั้ง นอกจากนี้การให้ข้อมูลป้อนกลับจะช่วยรักษา
ยคุ การบรหิ ารเชงิ ระบบ 18
ระบบ ในทัศนะของ Lewis เห็นว่าไม่มีระบบใดที่จะปิดอย่างสมบูรณ์ แต่จะเปิดมากน้อยเพียงใดนั้น
ข้นึ อยู่กับสภาวะแวดล้อม
ทฤษฎเี ชิงระบบในการบรหิ ารการศกึ ษา
ทฤษฎีเชิงระบบในองคก์ ารปจั จุบันนี้ มีความสำคญั และเหมาะสมในการจดั การศึกษา เพราะ
เปน็ การบริหารในส่วนตา่ งๆ ขององค์การเพื่อการดำเนนิ งานในภาพรวมของปฏิสมั พันธร์ ะหวา่ งส่วน
ต่างๆ และปฏิสมั พนั ธ์ขององคก์ ารกบั สภาพแวดล้อม โรงเรยี นนนั้ ถอื วา่ เป็นระบบสงั คมหนงึ่ ทฤษฎี
ระบบจะเป็นประโยชน์ต่อการบรหิ าร เพราะจะทำใหผ้ ูบ้ รหิ ารมองปัญหาในภาพรวม และจะไปสู่การ
แก้ปญั หาอย่างเปน็ ระบบ (มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. 2540 : 117)
คอฟแมน (1972 : 1) เป็นผู้หน่ึงได้ให้ความเห็นว่าโรงเรียนเป็นองค์การเชิงระบบ จึงได้
นำเสนอการบริหารเชิงระบบเพ่ือนำมาประยุกต์ใช้กบั กระบวนการบริหารการศกึ ษา โดยให้แนวคิดว่า
กระบวนการเชิงระบบท่ีนำไปใช้กับการศึกษาน้ันจะเป็นเหมือนกระบวนการแก้ปัญหาท่ีผู้บริหาร
สามารถคาดเดาไว้ล่วงหน้าได้ ความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธิ์ในกระบวนการจะถูกจัดวางไว้ก่อน
ล่วงหน้าโดยเกิดจากการกำหนดความต้องการ มีการคำนึงถึงปัญหาท่ีเกิดขึ้น หาทางแก้ไขและมีการ
กำหนดทางเลือกท่ีเหมาะสมที่สุด ซ่ึงธรรมชาติของการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบในตัวเองของ
กร ะบ ว น ก าร เชิ งร ะบ บ นี้ จ ะท ำ ให้ เกิ ด คว า ม ม่ั น ใจ ต่ อ ข้อ มู ล พื้ น ฐ าน ที่ เกี่ ย ว ข้ อ งกั บ เป้ าห ม าย เพ่ื อ
การศึกษาและการจัดการท่ีเกยี่ วข้องกบั การศึกษา ระบบน้ีจะทำให้ผูบ้ ริหารเข้าใจถงึ ความซบั ซอ้ นและ
วิกฤติต่างๆมากย่ิงขึ้นซึ่งวิธีการเชิงระบบน้ีจะกลับกลายเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ท่ีจะส่งผลต่อ
ความสำเร็จใหม่ใหมท่ างด้านการบริหารการศึกษา
ชาญชัย อาจินสมาจาร (2541 : 25) กระบวนการเชิงระบบเป็นการบริหารเพื่อคุณภาพและ
เป็นเหมือนการแก้ปัญหาที่เกิดข้ึน ในเวลาเดียวกันในขณะท่ีส่วนของระบบกำลังดำเนินการอยู่ด้วย
ดังนั้นเมื่อการศึกษามุ่งผลสัมฤทธ์ิท่ีจะเกิดแก่ตัวผู้เรียนกระบวนการในการวางแผนจึงมีความสำคัญท่ี
จะต้องมีอยากเป็นระบบ ชาญชัย อาจินสมาจาร ได้นำเสนออีกว่าการบริหารเชิงระบบควรนำไป
ประยุกตใ์ ชก้ บั กระบวนการบริหารใดๆ กไ็ ด้โดยบอกว่าการดำเนินงานตามวิธีการเชิงระบบควรยดึ หลัก
ตอ่ ไปน้ี
1) ค้นหาสาเหตุของความจำเปน็
2) ตรวจสอบดสู าเหตขุ องความจำเป็น
3) ตัง้ มาตรการในการดำเนนิ การ
4) วางแผนใหส้ อดคล้องกับโครงการ
ยุคการบรหิ ารเชงิ ระบบ 19
5) ตรวจสอบความสำเร็จตามข้นั ตอนน้ัน
6) หาวธิ แี ก้ไขปญั หาแต่เน่นิ ๆ
7) ใชว้ ธิ แี ก้ไขปัญหาที่มปี ระสทิ ธิภาพสงู สุด
8) อบรมบุคลากรต่างๆ
9) สร้างมาตรฐานการวดั ผล
จึงนำเสนอว่านักบริหารควรรู้จักนำเอาแนวความคิดของวิธีการใช้ระบบมาใช้ในการบริหาร
การศึกษางานก็จะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี วิธีการเชิงระบบจะทำให้นักบริหารมองดูสถานการณ์และ
แก้ปัญหาโดยรวม มีทัศนะมองการณ์ไกลในองค์การของตน วิเคราะห์สภาพปัจจุบันและผลกระทบใน
อนาคต ซึง่ สิ่งต่างๆเหล่านที้ ำให้การบริหารการศกึ ษาบรรลเุ ป้าหมายได้
ฉัตรชัย ผ่องสุวรรณ (2554 : 11) ได้ให้ความเห็นไว้เช่นกันว่า ระบบโรงเรียนตามที่สังคม
กำหนดไว้มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับระบบอ่ืนๆ ในสังคมด้วย ดังน้ันทฤษฎีเชิงระบบจะทำให้ผลรวม
ขององค์ประกอบต่างๆ มีความสัมพันธก์ ัน และมสี ่วนกระทบกระเทือนซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่าง
ยงิ่ ระบบการบริหารโรงเรียนย่อมสมั พันธ์กบั ระบบการศกึ ษาและการบรหิ ารของประเทศ ซงึ่ สอดคลอ้ ง
กับ รุ่ง แก้วแดง (2544 : 10) ท่ีมีงานเขียนสนับสนุนแนวทางการบริหารเชิงระบบเป็นอย่างมากใน
ปัจจุบัน เช่น ได้นำเสนอกระบวนการบริหารเชิงระบบเพ่ือนำไปใช้กับการดำเนินงานเพื่อการประกัน
คุณภาพการศึกษา และแนวคิดของ วรภัทร์ ภู่เจริญ (2544 : 21) ได้เขียนถึงความสำคัญของ
กระบวนการบริหารเชิงระบบไว้ในหนังสือแนวทางการประเมินคุณภาพภายในสถานศึกษาท่ีรับรอง
โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ โดยสรุปได้ว่า ในการบริหาร ระบบต้องมาก่อน
จติ วิทยาเสริมทีหลังเพราะระบบคือโครงสร้างการทำงาน ระบบทด่ี ีไมต่ ้องใช้จิตวิทยา จิตวิทยาเป็นส่ิง
ที่ดีและจำเป็น เพียงแต่เราต้องใช้จิตวิทยาหลอกให้คนไม่มีระบบ มาเป็นคนท่ีมีระบบเหมือนคำใน
ประเทศอเมริกาท่ีมีคำพูดว่า “We believe in the system” (เราเช่ือในระบบ) มากกว่าท่ีจะเน้น
จิตวิทยามากมายเหมือนเมืองไทยที่ชอบใช้คำว่า “ไม่เป็นไร” “เกรงใจ” “อย่างไรก็ได้” “เห็นแก่
หน้า” กันซึ่งก็ทำลายชาติมาแล้ว ดังนั้นเพ่ือต้องการให้การบริหารเกิดคุณภาพ กระบวนการบริหาร
เชิงรบจงึ เป็นสิ่งทีต่ ้องนำมาใช้ในระบบที่กำหนดขนึ้ อยา่ งต่อเนื่องและสมำ่ เสมอ
หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา (2538 : 9-10) ได้ทำการศึกษาทฤษฎีระบบท่ีนำมาใช้
กับโรงเรียน และนำเสนอแนวคิดไว้ว่า สำหรับโรงเรียนนั้นนับได้ว่าเป็นองค์การหนึ่งที่มีองค์ประกอบ
และคณุ ลกั ษณะ ในการดำเนินงานเป็นระบบ คอื
1. โรงเรียนมีวัฏจักรของระบบทั้ง 3 องค์ประกอบ คือ ปัจจัยนำเข้า กระบวนการทำงาน
และผลงานหรอื ผลผลติ ที่มีการควบคุมใหเ้ ป็นไปตามวตั ถปุ ระสงค์ของระบบ โดยต่างก็มีปฏิสัมพนั ธ์กับ
สภาพแวดล้อมเดยี วกัน
ยคุ การบริหารเชงิ ระบบ 20
2. โรงเรียนมีเป้าหมายในการดำเนินงาน และแสวงหาเป้าหมายร่วมกันกับส่วนย่อยของ
ระบบเพ่ือไปใหถ้ งึ เปา้ หมายสดุ ท้าย
3. โรงเรียนมีระเบียบข้อบังคับสำหรับตน โรงเรยี นจึงมีวิธีการในการควบคุมองค์ประกอบท่ีมี
ปฏิสัมพันธ์ เพ่ือให้การทำงานของระบบสามารถบรรลุเป้าหมายได้ เช่น มีการวางแผน การควบคุม
และการประเมินเพือ่ การแก้ไขปรับปรุงองค์การ
จึงเห็นได้ว่าโรงเรยี นจัดเป็นองค์การในเชิงระบบอย่างหน่ึงท่ีประกอบด้วย ปัจจยั นำเข้า ได้แก่
นักเรียน ครูอาจารย์ วัสดุอุปกรณ์ เงินทุนทรัพย์สินและเทคโนโลยี กระบวนการ ได้แก่ หลักสูตร
กระบวนการเรยี นการสอน กจิ กรรมตา่ งๆ การประเมินผล และผลผลติ ได้แก่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
ของนักเรียน (กรมสามัญศึกษา. 2538ข : 10) สามารถแสดงองค์ประกอบ และความสัมพันธ์หรือ
วัฏจกั รของระบบในโรงเรยี น ดังภาพประกอบ
ภาพประกอบที่ 6 แผนภมู ิองคป์ ระกอบและวัฏจักรของระบบโรงเรยี น
การนำทฤษฎีระบบมาใช้ในการแก้ปัญหา
ขั้นตอนการแก้ไขปัญหาด้วยวธิ รี ะบบ
1. ระบุประเดน็ ปัญหา (Problem/Needs Formulation)
2. กำหนดวตั ถุประสงค์ (Establishing Objective)
3. ระบุแหล่งทรัพยากร/ข้อจำกดั (Resources/Constraints)
4. กำหนดเกณฑข์ องความสำเรจ็ (Criteria of Success)
5. กำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง (Alternative)
6. กำหนดรูปแบบทางเลือก (Model for Selecting Alternatives)
ยุคการบริหารเชิงระบบ 21
7. จัดลำดบั ทางเลอื ก (Ranking of Alternatives)
8. ตัดสินใจ/ทำแผนปฏิบัตกิ าร (Decision Making Formulation/Specification of
Action Plan)
9. นำแผนไปปฏบิ ตั ิ (Implementation)
10. ตดิ ตามกำกบั /ประเมินผล (Monitoring/Evaluation and Feedback)
ประโยชน์ของการนำวิธีระบบมาใชใ้ นการแกป้ ญั หาการศึกษา
เนื่องจากการศึกษาเป็นระบบ (Educational System) และในระบบการศึกษาก็มักจะมี
ระบบย่อย (Sub-System) อีกหลายระบบเช่น ระบบบริหาร ระบบการเรียนการสอน ระบบการ
วางแผน ระบบการนิเทศก์ ฯลฯ การนำวิธีระบบมาใช้ในการแก้ปัญหาการศึกษาจะช่วยให้เกิด
ประโยชน์ดังน้ี คอื (จนั ทรานี สงวนนาม. 2545 : 92)
1. ช่วยกำหนดเป้าหมายและวัตถปุ ระสงค์ของการศกึ ษา
2. ช่วยให้การจัดทรพั ยากรเป็นไปอย่างมรี ะบบ เพือ่ ให้บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์
3. ช่วยกำหนดคณุ ลกั ษณะ/รายละเอียดท่ีจำเป็นและทไ่ี มต่ รงประเดน็
4. ช่วยใหม้ องเหน็ วัตถปุ ระสงค์ที่สามารถวดั ไดช้ ัดเจนยงิ่ ขึน้
5. ช่วยเสนอแนะวิธีการในการพัฒนานวัตกรรมและการแก้ปัญหาที่รุนแรง (Critical)
ทางการศึกษา
6. กอ่ ใหเ้ กดิ ความยตุ ิธรรม เพราะวิธรี ะบบเปน็ วธิ กี ารทีป่ ราศจากความลำเอียง
7. เป็นเครอื่ งมอื ทช่ี ่วยผู้บริหารในการตดั สินใจ
8. ช่วยผู้บรหิ ารในการตัดสนิ คา่ นิยมและนโยบายภายใตก้ รอบความรบั ผิดชอบ
ยคุ การบรหิ ารเชงิ ระบบ 22
งานวิจัยทีเ่ กยี่ วข้อง
สุธิชา ชิตกุล (2550) ได้ศึกษาเคร่ืองมือความคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) และการ
ระบุ กิจกรรม วิธกี าร หรือเทคนิค ท่ีสามารถจะชว่ ยส่งเสริมให้พนักงานเกิดความคิดเชิงระบบในระดับ
ต่างๆ พบว่า เคร่ืองมือความคดิ เชงิ ระบบทำให้พนกั งานมองเห็นภาพความเปน็ จรงิ (Current Reality)
รว่ มกนั และเป็นการขุดคุย้ พลังทีซ่ ่อนเรน้ ของพนักงานมาใช้เพอื่ ประสานพลังในการพัฒนาองค์กร
วิทยา คู่วิรัติ (2538 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเร่ืองการพัฒนาระบบการประเมินผลการ
ปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนคาทอลิก ฝ่ายการศึกษา อัครสังฆมณฑลกรุงเทพมหานคร ผลการวิจัย
พบว่า รูปแบบท่ีใช้มีผลต่อการพัฒนาระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานของครูโรงเรียนคาทอลิก
สามารถนำระบบการประเมินผลไปใช้ในโรงเรียนคาทอลิก ท้ังน้ีระบบการประเมินผลการปฏิบัติงาน
ของครู มวี ัตถปุ ระสงค์เพอ่ื พัฒนาการปฏบิ ัติงานของครใู หม้ ีคณุ ภาพมากย่งิ ขน้ึ โดยท่ีรูปแบบของระบบ
การประเมินผลการปฏิบัติงานของครู ประกอบด้วยองค์ประกอบท่ีสำคัญ 4 ประการคือ ปัจจัยนำเข้า
(Input) กระบวนการ (Process) ผลผลิต (Output) และรวมทั้งข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ดังนั้น
จากรูปแบบของระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานของครูท่ีมีฐานมาจากการ ปฏิบัติงานเชิงระบบ
เพ่ือทำการประเมินและนำไปพัฒนาให้บุคลากรมีการปฏิบัตงิ านอยา่ งมีคุณภาพนั้น จึงเป็นผลจากการ
นำเอาวิธกี ารเชงิ ระบบมาใช้เชน่ กัน
สุเทพ บุญประสพ (2544 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง “การบริหารโดยใช้โรงเรียน
เปน็ ฐาน การศึกษาเชิงคณุ ภาพ” ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการบรหิ ารท่ีโรงเรียนใช้ในการบริหารเป็น
แบบชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการบริหารจัดการในรูปแบบคณะกรรมการ แนวทางการ
บริหารโรงเรียน ประกอบด้วย การสร้างกรอบแนวคิดของโรงเรียน คือ การสร้างศรัทธาและความ
ตระหนัก การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม หรือสำรวจตนเองของโรงเรียนเพื่อทราบจุดเด่น จุดด้อย
โอกาสและอุปสรรค แล้วนำข้อมูลและสารสนเทศไปวางแผนพัฒนาคุณภาพ นำแผนพัฒนาคุณภาพ
ไปสู่การปฏิบัติโดยมีการกำหนดโครงสร้างตามสายงานบังคับบัญชา และโครงสร้างมีความกะทัดรัด
ลดความซ้ำซ้อนของงาน กำหนดหน้าที่อย่างชัดเจน ทำงานเป็นทีม จัดบุคลากรตามความถนัด และ
ความสมัครใจ พัฒนาบุคลากรให้เป็นครูมืออาชีพ มีการนิเทศติดตามผล ประเมินผลตามสภาพท่ีเป็น
จรงิ และรายงานผลให้หน่วยงานต้นสงั กดั และสาธารณะชนได้รับทราบผลในการปฏิบัตงิ าน
หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษาเขตการศึกษา 11 (2543 : 21) ได้ทำรายงานการวิจัย
สำรวจเชิงประเมินเรื่อง “สภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา” โดยมีวัตถุประสงค์ของ
การวิจยั เพ่ือศึกษาสภาพและปญั หาอุปสรรคในการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา โดยมุ่งเน้นท่ี
ระบบการควบคุมคุณภาพการศึกษา กระบวนการบริหารเพ่ือการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน
ของโรงเรียน ซึ่งพบว่าการติดตามประเมินผลไม่ได้กระทำอย่างเป็นระบบ จึงได้เสนอแนะให้มี
การปรับปรุงกระบวนการทำงานใหม้ ีระบบมากข้ึน
ยคุ การบริหารเชงิ ระบบ 23
จากการวเิ คราะหง์ านวิจยั ที่เก่ยี วข้องสามารถสรปุ ได้ว่าทฤษฎรี ะบบที่นำมาใช้กับกระบวนการ
บริหารอย่างเป็นระบบเป็นกลยทุ ธ์ที่สำคญั ตอ่ กระบวนการบรหิ ารทีม่ ีคณุ ภาพโดยที่สามารถนำมาปรับ
ใช้กับการบริหารการศึกษาท่ีมุ่งสู่คุณภาพมาตรฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งผลต่อการ
พัฒนาไดอ้ ย่างต่อเนอ่ื งอีกด้วย
ยุคการบรหิ ารเชิงระบบ 24
บทสรปุ
แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารเชิงระบบน้ีได้รับอิทธิพลจากแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ของนัก
ชีววิทยา ซง่ึ ได้เสนอทฤษฎีระบบท่ัวไป (General System Theory) เพื่อใช้ในการอธิบายระบบต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นระบบทางกายภาพ ชีวภาพ หรือระบบสังคมว่ามีลักษณะเหมือนกัน โดยให้ความหมาย
ของระบบว่า “เป็นชุดของส่วนประกอบต่างๆ ท่ีมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันและมีฐานะคงอยู่ใน
ส่ิงแวดล้อม กล่าวคือ ระบบจะรับเอาปจั จัยนำเขา้ (input) บางอยา่ งจากสิง่ แวดล้อมผ่านกระบวนการ
แปรสภาพด้วยวิธีการหน่ึงและส่งผลผลิต (output) บางอย่างกลับมายังส่ิงแวดล้อมนั้น เช่น ระบบ
เคร่ืองจักรกลจะประกอบด้วยช้ินส่วนย่อยต่างๆ ของเครื่องจักรก็สามารถมีผลผลิตหรือผลงานกลับ
ออกมาได้” นักวิชาการที่สำคัญในกลุ่มการบริหารงานเชิงระบบ (System Approach) ได้แก่
Kenneth E. Boulding Katz และ Kahn ได้เชื่อมโยงแนวคิดเกี่ยวกับทฤษฎีระบบเพื่อนำมาใช้ใน
การศึกษาองค์การ ในการเสนอบทความของเขา ในปี ค.ศ. 1956 โดยเห็นว่ามีจุดร่วมของการศึกษา
ทฤษฎีองค์การ และทฤษฎีระบบที่ให้ความสนใจตรงกัน 4 ประการคือ 1) การศึกษาองค์ประกอบ
หรอื ส่วนต่างๆ ทปี่ ระกอบเป็นระบบทั้งปัจจัยนำเข้าและผลผลิตของระบบ 2) การศกึ ษาถงึ ปฏิสัมพันธ์
ขององค์ประกอบต่างๆกับส่ิงแวดล้อมท่ีเกี่ยวกับระบบ 3) การศึกษาถึงปฏิสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน
ภายในระบบขององค์ประกอบต่างๆ 4) การศึกษาถึงการเจริญเติบโต การเปลี่ยนแปลง และ
การรักษาเสถียรภาพการคงอยู่ของระบบ ซ่ึงถ้ากล่าวถึงการนำแนวคิดของทฤษฎีเชิงระบบมาใช้กับ
การบริหารโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลให้โรงเรียนมีกระบวนการทำงานที่เป็นระบบ
มีการวางแผนกำหนดทิศทางการบริหารได้อย่างชัดเจน ครอบคลุมต่อปัจจัยต่างๆ ภายในโรงเรียน
มีการประเมินผลการปฏิบัติงานและทบทวน ปรับปรุง แก้ไขงานเพ่ือให้ทราบว่ากระบวนการทำงานมี
ข้อบกพร่องและข้อที่ควรแก้ไขเพ่ือนำไปสู่การพัฒนาที่ดีและย่ังยืนกว่าอย่างมีคุณภาพ ตลอดจน
การประเมินที่ดีควรกระทำอย่างต่อเน่ืองและสมำ่ เสมอตามช่วงเวลาที่กำหนดในแผนการบริหารอย่าง
เคร่งครัด ซึ่งสอดคล้องกับ มนัสวี ศรีนนท์ (2558 : 54) ได้ทำการวิเคราะห์การบริหารการศึกษาไทย
ในศตวรรษท่ี 21 โดยใช้ทฤษฏีบริหารการศึกษาเชิงระบบ (System Theory) ทำให้เข้าใจว่าการ
บริหารหรือการจัดการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมนั้นคือการให้ความสำคัญกับระบบการจัดการทุก
ขั้นตอน ได้แก่ ให้ความสำคัญกับปัจจัยนำเข้า (Input) กระบวนการ (Process) ผลผลิต (Output)
และผลกระทบ (Impact)
นอกจากน้ีแนวคิดของทฤษฎีเชิงระบบ โรงเรียนเป็นองค์การใหญ่ท่ีประกอบด้วยระบบย่อย
หลายๆ ระบบ ซึ่งมีความสัมพันธ์และต้องพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกัน การดำเนินการบริหารการศึกษา
ระบบของโรงเรียนจึงควรศึกษาในลักษณะที่เป็นสว่ นรวมท้ังหมด โดยการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง
องค์ประกอบต่างๆ ได้แก่ ส่วนที่เป็นองค์ประกอบด้านปัจจัยนำเข้า กระบวนการ และผลสัมฤทธ์ิ
ยคุ การบริหารเชงิ ระบบ 25
ทางการศึกษา ทฤษฎีเชิงระบบจึงน่าจะเป็นแนวทางในการจัดการบริหารเพ่ือให้องค์การโรงเรียนได้
ดำเนินงานไปตามทิศทางของการจัดการศึกษา ดังน้ัน การศึกษาจะสามารถพัฒนาได้ในทุกๆ เร่ืองใน
สังคมแน่นอน แต่ก็ขึ้นอยู่กับวา่ จะดำเนินการจัดการศึกษาอย่างเป็นระบบและมีระเบียบแบบแผนมาก
น้อยเพียงใด ด้วยวา่ หากได้จัดการอย่างเป็นระบบตามทฤษฏีเชิงระบบแล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวงการ
การศึกษาซ่ึงเป็นทีเ่ ชือ่ ว่าจะเปน็ เครอ่ื งมอื พัฒนาคนและสงั คมได้อย่างแท้จริงก็จะเกดิ ขึ้นอย่างมีทิศทาง
ดังคำกล่าวของร้อยตำรวจเอกหญิงอาภรณ์ รัตน์มณี (2553 : 84) ที่ว่า “การแก้ปัญหาการศึกษา
บุคลากรที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือร่วมใจกันทั้งระบบ เริ่มตั้งแต่ผู้ท่ีจะมากำกับดูแลงานทางด้าน
การศึกษา รัฐบาลจะตอ้ งแต่งตั้งบคุ คลท่ีมคี วามรคู้ วามสามารถ มวี ิสัยทัศน์ทางด้านการศึกษาจริงๆ มา
รับผิดชอบ นอกจากนั้นการกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนจะต้องกำหนดให้มีหัวข้อวิชาคุณธรรม
จริยธรรมไวใ้ นทุกหลกั สูตรทุกระดับ จะต้องเพิ่มขวัญและกำลังใจให้กับครู การเล่ือนวิทยฐานะของครู
ตอ้ งมีความเหมาะสมและเป็นธรรม และทีส่ ำคญั ในสว่ นของผูป้ กครอง ส่ือมวลชน สถาบันทางศาสนา
ตอ้ งแสดงบทบาทและหน้าทใ่ี นการมสี ่วนรวมกบั การพัฒนาการศึกษาได้ด้วย”
สรุปได้ว่ากระบวนการบริหารเชิงระบบ เป็นกลยุทธ์ท่ีสำคัญต่อกระบวนการบริหารท่ีมี
คุณ ภ าพโดยท่ีสามารถนำมาปรับใช้กับการบริหารการศึกษาท่ีมุ่งสู่คุณ ภาพมาตรฐานได้อ ย่างมี
ประสิทธิภาพ จะมีผลต่อเนื่องได้ถ้าผู้บริหารกระทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องเช่นกัน และไม่เท่านั้น
กระบ วนการบ ริห ารเชิงระบบ จะเป็ นวงจรสำเร็จรูป ที่จะทำให้การดำเนิน การ ทั้งองค์กรป ระส บ
ความสำเรจ็ ยงิ่ ๆ ขนึ้ ด้วย
ยุคการบรหิ ารเชิงระบบ 26
บรรณานกุ รม
กรมสามัญศกึ ษา. หนว่ ยศึกษานเิ ทศก์ เขตการศึกษา 11. (2543). สภาพการดำเนินงานประกัน
คณุ ภาพการศึกษา. นครราชสมี า : โรงพิมพช์ วนพมิ พ.์
กรมสามัญศึกษา. หน่วยศกึ ษานิเทศก์. (2538 ก). การบริหารและการทำงานเชิงระบบ. กรุงเทพฯ
: โรงพิมพก์ ารศาสนา.
____________________________. (2538 ข). กลยุทธก์ ารบริหารงานเชงิ คุณภาพ. กรุงเทพฯ
: โรงพมิ พก์ ารศาสนา.
กติ ติมา ปรีดดี ิลก. (2532). การบรหิ ารและการนเิ ทศการศกึ ษาเบอ้ื งต้น. พิมพค์ ร้งั ท่ี 2. กรงุ เทพฯ :
โรงพมิ พ์อักษราพิพฒั น์.
กิติมา ปรีดดี ลิ ก. (2539). ทฤษฎีบริหารองค์การ. กรงุ เทพฯ: ธนะการพมิ พ.์
จันทรานี สงวนนาม. (2545). ทฤษฎีและแนวปฏบิ ตั ิในการบริหารสถานศึกษา. กรุงเทพฯ :
บคุ พอยท.
ฉตั รชัย ผอ่ งสุวรรณ. (2554). ความพรอ้ มในการขอรบั รองมาตรฐานคณุ ภาพการศึกษาของ
โรงเรยี นเอกชน ระดบั ประถมศึกษา เขตการศึกษา 1. ปรญิ ญานิพนธ์ ศษ.ม. (การบริหาร
การศกึ ษา). บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์
ชาญชยั อาจิณสมาจาร. (2540). ศพั ท์การบริหารการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .
_________________. (2541). การบรหิ ารการศกึ ษา. พิมพ์ครงั้ ที่ 3. กรงุ เทพฯ : ศูนย์ส่อื เสริม
กรุงเทพฯ.
ทิศนา แขมมณี. (2545). ศาสตรก์ ารสอน. กรงุ เทพมหานคร : สำนักพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั .
ธงชยั สนั ตวิ งษ์. (2539 ). องค์การและการบรหิ าร = Organization and Management.
พิมพค์ รง้ั ท่ี 10. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ .
นพพงษ์ บญุ จิตราดุล. (2534). หลกั การบรหิ ารการศึกษา. กรงุ เทพฯ : บพธิ การพมิ พ์.
ประชุม รอดประเสรฐิ . (2545). การบริหารโครงการ. กรุงเทพฯ : เนตกิ ุลการพิมพ.์
ปรียาพร วงศอ์ นุตรโรจน์. (2535). การบริหารงานวชิ าการ. กรุงเทพฯ : สหมิตรออฟเซ็ท.
มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช. (2540). ทฤษฎแี ละแนวปฏบิ ตั ิในการบรหิ ารการศกึ ษา =
Theory and Practice in Education Administration. กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช.
________________________. (2540). เอกสารการสอนชดุ ระบบสารสนเทศเพอื่ การจดั
การศกึ ษา หน่วยท่ี 1-8 (พมิ พค์ รัง้ ท่ี 15). นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช.
ยุคการบริหารเชงิ ระบบ 27
บรรณานกุ รม (ต่อ)
ร่งุ แก้วแดง. (2544). ประกันคุณภาพการศึกษา. พมิ พค์ รั้งท่ี 3. กรงุ เทพฯ : วัฒนาพานิช.
วรภทั ร์ ภเู่ จริญ. (2544). แนวทางการประเมินคณุ ภาพภายในสถานศึกษา. กรุงเทพฯ :
วฒั นาพานิช.
วิจิตร ศรสี อ้าน และคณะ. (2523 ). หลักการบรหิ ารงานบคุ คล. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร.์
วทิ ยา คู่วริ ตั ิ. (2538 ). การพฒั นาระบบการประเมินผลการปฏบิ ัติงานของครูในโรงเรียนคาทอลกิ
ฝา่ ยการศกึ ษาอคั รสงั ฆมณฑลกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ ค.ด. (บรหิ ารการศกึ ษา).
กรุงเทพฯ : บัณฑติ วิทยาลยั จฬุ าภรณ์มหาวิทยาลัย.
วิโรจน์ สารรัตนะ. (2542). การบริหาร หลักการ ทฤษฎี และประเด็นทางการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ :
ทพิ ยวิสุทธิ์.
ศจี อนันตน์ พคณุ . (2542). กลวิธีการบริหารงานอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ. สงขลา : ชลบตุ รกราฟฟกิ .
สมิหรา จติ ตลดากร. (2546). ทฤษฎอี งค์การ. กรงุ เทพฯ : คงวฒุ ิคณุ ากร.
สเุ ทพ บญุ ประสพ. (2544). การบรหิ ารงานโดยใช้โรงเรยี นเปน็ ฐาน การศึกษาเชิงคณุ ภาพ.
วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาบรหิ ารการศึกษา บัณฑิตวทิ ยาลัย
มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร.
สุธิชา ชติ กลุ . (2550). ความคดิ เชิงระบบกับการพัฒนาองค์กร : กรณีศึกษา บริษัท กสท.
โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน). ภาควทิ ยานพิ นธ์วทิ ยาศาสตร์มหาบัณฑติ สาขาการพัฒนา
ทรพั ยากรมนุษย์และองค์การ, คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
สถาบนั บณั ฑิตพัฒนบรหิ ารศาสตร์.
สุรพนั ธ ยันต์ทอง. (2533). การบรหิ ารโรงเรยี นนวัตกรรม : เทคนิค : ประสบการณ์.
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พกรมการศาสนา.
เสน่ห์ จุย้ โต. (2548). องคก์ ารสมยั ใหม.่ นนทบรุ ี. สำนกั วิชาการ มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช.
เสนาะ ตเิ ยาว์. (2543). หลักการบรหิ าร. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์.
อาภรณ์ รตั นม์ ณี. (2553). “ทำไมระบบการศึกษาไทยขึงพัฒนาช้า” (ออนไลน์). ค้นเมื่อ 15
กนั ยายน 2563, จาก https://www.mcu.ac.th/article/detail/448.
อทุ ยั บุญประเสริฐ. (2532). วิธีการหรือเทคนิคเชงิ ระบบและแนวทางในการบรหิ ารโรงเรียน. ใน
รายงานการสมั มนาหลกั และแนวทางในการบรหิ ารโรงเรียนอยางเปนระบบ, หนา1–33, 20
สิงหาคม 2539 ณ สวางคนิวาส จังหวัดสมุทรปราการ.
อทุ ัย สุขประเสริฐ. (2532). มนุษยสัมพนั ธ์กบั การบริหาร. กรุงเทพฯ : ป. สมั พันธก์ ารพิมพ์.
ยคุ การบริหารเชิงระบบ 28
บรรณานุกรม (ต่อ)
Hicks, Herbert G. (1972). The Management of Organization : A System and
Human Resources Approach. 2nd. Ed. New York : McGraw – Hill.
Hoy, W. K. and Miskel, C. G. (2012). Educational Administration: Theory, Research,
and Practice (6 ℎ ed). New York: McGraw–Hill.
Kast, F. E. and Rosenzweig, J. E. (1985). Organization and Management: A Systems
and Contingency Approach (3 ed.). New York: McGraw–Hill.
Kaufman, Roder A. (1972). Educational System Planning. New Jersey :
Kerlinger, Fred N. (1986). Foundation Of Behavioral Research (3 ). USA : Holt,
Rinehart and Winston, Inc.
Lunenburg.F. C. and Ornstein, A. C. (2008). Educational Administration: Concepts
and Practices (5 ℎ ed.). Belmont, CA: Wadsworth.
Morphet, Edgar L., Johns, Roe L. and Reller, Theodore L. (1968). Educational
Organization and Administration. New Jersey : Prentice – Hill.
Prentice – Hill.
Robbins, S. and Mukerji, D. (1990). Organization Theory: Structure, Design, and
Applications (3 ed.) Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall
Woraphas Prasamsuk. (2006). Principles of Educational Administration According
to Buddhist Principles. MA Thesis, Department of Educational
Administration, Naresuan University.
ยุคการบริหารเชิงระบบ 29
ภาคผนวก
ยุคการบริหา
(Systematic Appro
1970 - ป
ารเชิงระบบ
oach Management)
ปัจจุบัน
1. นายไผ่ทอง ธรรมชาติ 6314202002
2. นางสาวกฤตกิ า ธานรี ัตน์ 6314202009
3. นางสาวอนุศรา สมแก้ว 6314202023
4. นายภาณุพนั ธ์ พูลสวสั ด์ิ 6314202035
5. นางสาวธนัชพร หม่ืนขา 6314202036
ยุคการบริหารเชิงระ
01 ความห
02
แนวคดิ ท
03
Ludwig Von Bertalanffy
ะบบ
หมาย
ทฤษฎี งานวจิ ัย
สรุป
ความหมาย
การบริหาร หมายถึง การด
มอบหมายจากองค์การ โดยใช้ท
โดยผ่านกระบวนการทางการบร
ดาเนินงานบรรลุตามวตั ถุประสงค
าเนินงานตามภารกิจท่ีได้รั บ
รัพยากรบุคคลและอ่ืนๆ ท่ีมีอยู่
ริหารอย่างมีระบบ เพ่ือให้การ
ค์ทวี่ างไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความหมาย
การบริหารการศึกษา คือ กา
และการประเมินผลดาเนินงานเพ
ในวยั ต่างๆ ให้เป็ นคนดี มีคุณภาพ
ในการพฒั นาตนเองและสังคมให้
ารส่ังการ ควบคุม การวางแผน
พ่ือพฒั นาเด็ก เยาวชนและบุคคล
พ สามารถประกอบภารกจิ ต่างๆ
หเป็ นไปอย่างมปี ระสิทธิภาพ
ความหมาย
ทฤษฎี หมายถึง เป็ นการรวมกล
ของหลักการต่างๆ ซ่ึงกาหนดโค
ความรู้มารวมกันเป็ นความรู้ที่ส
อาศัยวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์
ลุ่มอย่างมีระบบและสัมพนั ธ์กนั
ครงร่างการทางาน หรือการนา
สาคัญในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง โดย
ความหมาย
ระบบ หมายถึงองค์ประกอบหร
เพ่ือปฏิบัติหน้าท่ีหรือทากิจกรรม
วตั ถุประสงค์ของระบบใหญ่ทเี่ ป็ น
รือระบบย่อยที่มีปฏิสัมพันธ์กัน
มบางอย่างร่วมกันเพื่อการบรรลุ
นภาพรวม
ความหมาย
วธิ ีการเชิงระบบ (systems A
ทางความคิดท่ีเป็ นรูปแบบ ซ่ึงแ
อย่างเป็ นระบบ โดยเน้นการมอ
รูปแบบของวธิ ีการหาความรู้เกย่ี ว
สังเคราะห์ และวางรูปแบบการดา
รูปแบบปฏิบัติท้ังภายในและภา
พืน้ ฐานความคดิ
Approach) หมายถงึ วิธีการ
แสดงให้เห็นวิธีการแก้ปัญหา
องปัญหาอย่างองค์รวม ท้ังนี้
วข้องโดยตรงกบั การวิเคราะห์
าเนินการ โดยต้องเกยี่ วพนั กบั
ายนอก โดยใช้ระบบเปิ ดเป็ น
ววิ ฒั นาการของท
1890 1900 1910 1920 1
ทศั นะด้งั เดมิ ทัศนะเชิงพฤติกรรม
การบริหารเชิง นักพฤตกิ รรม
วทิ ยาศาสตร์ ระยะแรก
การบริหารเชิง การศึกษา
ทฮ่ี อว์ธอร์น
บริหาร
การบริหารแบบ ความเคล่ือนไหว
เชิงมนุษยสัมพนั ธ์
ราชการ
หลกั พฤตกิ รรมศาสตร์
ทฤษฎที างการบริหาร
1930 1940 1950 1960 1970 ปัจจุบัน
ทศั นะเชิงปริมาณ ทศั นะร่วมสมยั
การบริหาร ทฤษฎเี ชิง
ศาสตร์ ระบบ
การบริหาร ทฤษฎตี าม
ปฏิบัติการ สถานการณ์
สารสนเทศ ทศั นะทเ่ี กดิ
การบริหาร ขนึ้ ใหม่