รายงานการวิจยัในชนั้เรียน การพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย โดยใช้การจัดประสบการณ์การเล่านิทาน ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่3/1 โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา เพชรนภา เกิดจันทึก เสนอต่อมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ตามหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย กันยายน 2566
กข หวัข้อวิจยั การพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย โดยใช้การจัดประสบการณ์ การเล่านิทาน ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3/1 โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา ผ้ดูา เนินการวิจยันางสาวเพชรนภา เกิดจันทึก ที่ปรึกษา นางสาวสาวิตรี จันทร์โสภา นางสาววิจิตร์ แสนค า ปีการศึกษา 2566 บทคดัย่อ การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรม การเล่านิทานประกอบภาพ และเพื่อเปรียบเทียบทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการ จัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุ 3 ปี ที่ ก าลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาล 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนอนุบาล นครราชสีมา จ านวน 30 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เนื่องจากเป็นห้องเรียนที่ผู้วิจัย ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน ประกอบภาพ และแบบประเมินการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพเพื่อพัฒนาทักษะการ พูดของเด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการเล่า นิทานประกอบภาพ อยู่ในระดับปานกลาง หลังได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ อยู่ในระดับมากที่สุด 2) การเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย ก่อนและ หลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 16.23 คะแนน และ 23.07 คะแนน ตามล าดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเล่า นิทานประกอบภาพ พบว่า คะแนนหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพเพื่อพัฒนา ทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ อย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ข กิตติกรรมประกาศ การศึกษางานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 3 โดยใช้ กิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ” นี้ส าเร็จลุล่วงไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีผศ.สาวิตรี จันทร์โสภา เป็นที่ปรึกษาให้ค าแนะน า ในการด าเนินงานก าหนดหัวข้องานวิจัย เนื้อหา และสรุป รูปเล่มเป็นอย่างดี ที่ปรึกษาด้านวิชาการที่ได้ให้ค าแนะน า ค าปรึกษาเกี่ยวกับขอบเขตเนื้อหา แผนการสอน และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นอย่างดี จนการศึกษาวิจัยในครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ ผู้จัดท าขอขอบพระคุณอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ขอขอบคุณคุณครูวิจิตร์ แสนค า ครูประจ าชั้นอนุบาล 3/1 โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา ที่ให้การส่งเสริมสนับสนุนให้ค าแนะน าและชี้แนะแนวทางการด าเนินงาน พร้อมทั้งอ านวยความ สะดวกในการศึกษาวิจัย ขอขอบคุณนักเรียนชั้นอนุบาล 3/1 ทุก ๆ คน ที่ตั้งใจและให้ความ ร่วมมือเข้าร่วมกิจกรรมเพื่องานวิจัย จนกระทั่งการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ส าเร็จไปด้วยดี ผ้วูิจยั
ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ...............................................................................................................................ก กิตติกรรมประกาศ.................................................................................................................ข สารบัญ..................................................................................................................................ค บทที่ 1 บทน า........................................................................................................................1 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา...............................................................1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ....................................................................................3 1.3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ..................................................................................3 1.4 ขอบเขตของการวิจัย...........................................................................................3 1.5 กรอบแนวคิดการวิจัย..........................................................................................4 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ................................................................................................4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง..................................................................................5 2.1 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560......................................................5 2.1.1 ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560..............................................9 2.1.2 วิสัยทัศน์การศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560............................................9 2.1.3 หลักการของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560.........................9 2.1.4 จุดมุ่งหมายการจัดการศึกษาปฐมวัยตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560....................................................................................10 2.1.5 การจัดประสบการณ์................................................................................11 2.1.6 มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์...........................................................12 2.1.7 สาระการเรียนรู้........................................................................................13 2.1.8 การประเมินพัฒนาการ.............................................................................17 2.2 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัย ..............................18 2.2.1 ความหมายของการพูด............................................................................18 2.2.2 ความส าคัญของการพูด............................................................................19 2.2.3 ทฤษฎีพัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัย ............................................20 2.2.4 พัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัย ......................................................22 2.2.5 กิจกรรมที่ส่งเสริมการพูดของเด็กปฐมวัย..................................................26
ง สารบัญ (ต่อ) หน้า 2.3 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับนิทาน..............................................................................27 2.1.1 ความหมายของนิทาน..............................................................................27 2.1.2 ประเภทของนิทานส าหรับเด็ก..................................................................28 2.1.3 หลักการและวิธีการเลือกนิทานส าหรับเด็ก................................................32 2.1.4 หลักการและเทคนิควิธีเล่านิทานส าหรับเด็ก .............................................34 2.1.5 รูปแบบการเล่านิทาน...............................................................................37 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง...........................................................................................39 บทที่ 3 วิธีการด าเนินการวิจัย ..............................................................................................41 3.1 การก าหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง...............................................................41 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย....................................................................................41 3.3 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ...............................................................41 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล.......................................................................................42 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................44 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิจัย...........................................................................................44 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล..............................................................................................46 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์และแปรผลข้อมูล................................................46 4.2 การน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล.....................................................................46 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลของการวิจัย ....................................................................47 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ...........................................................................49 5.1 สรุปผลการวิจัย.................................................................................................49 5.2 อภิปรายผล......................................................................................................49 5.3 ข้อเสนอแนะในการน าไปใช้...............................................................................50 5.4 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ......................................................................50 บรรณานุกรม.......................................................................................................................51
จ สารบัญ (ต่อ) หน้า ภาคผนวก...........................................................................................................................54 ภาคผนวก ก แบบประเมินการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ เพื่อพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย................................................55 ภาคผนวก ข แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ...................................58 ภาคผนวก ค ภาพการท ากิจกรรม ...........................................................................71
บทที่ 1 บทน า 1.1 ความเป็ นมาและความส าคัญของปัญหา การพูดนับเป็นทักษะหนึ่งของภาษา การพูด เป็นทักษะในการสื่อความหมายซึ่งเป็น ทักษะการคิดพื้นฐาน ที่บอกแน่นอนว่าจะพูดเพื่อถ่ายทอดความคิดเกี่ยวกับอะไรและเพื่ออะไร การจัดโครงสร้างของสิ่งที่จะพูดได้ถูกต้อง ครบถ้วน การจัดล าดับความคิดของเรื่องที่จะพูดได้ ต่อเนื่อง และสอดคล้องกัน การเลือกวิธีน าเสนอ และส านวนภาษาให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ ในการพูด การเรียบเรียงความคิดทั้งหมดแล้วถ่ายทอดออกมาเป็นค าพูด การใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในน าเสนอความคิดด้วยการพูด เช่น น ้าเสียง สีหน้าท่าทาง จังหวะการ พูดตามที่เรียบเรียงไว้เพื่อน าเสนอความคิดของตนออกมาตามล าดับต่อเนื่อง ครอบคลุมประเด็น ส าคัญและมีรายละเอียดครบถ้วน โดยใช้วิธีที่เหมาะสม ท าให้ผู้ฟังเกิดการตอบสนองตามที่ผู้พูด ต้องการ (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติส านักนายกรัฐมนตรี. 2560, หน้า 33) ความสามารถทางด้านการพูดของเด็กคือความสามารถทางภาษาที่เด็กแสดงออกด้วยการใช้ ถ้อยค า ถ่ายทอดความรู้สึก ความต้องการ ออกมาเป็นภาษาพูดเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจและสื่อสารได้ อย่างถูกต้องแบ่งออกเป็นสามส่วนคือความสามารถทางด้านการพูดค าศัพท์ ความสามารถ ทางด้านการพูดเป็นประโยค และความสามารถทางด้านการพูดเป็นเรื่องราว ผู้ใหญ่ควรส่งเสริม ให้เด็กมีความสามารถทางด้านการพูดสูงขึ้นซึ่งนับเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาที่จ าเป็น เพราะเมื่อเด็กเติบโตขึ้นภาษาพูดจะแสดงให้เห็นว่าบุคคลที่พูดเป็นอย่างไรดังที่ นนทพันธ์ภักดี ผดุงแดน (2558, หน้า 88) กล่าวว่า คนดีนั้นคือดีด้วยการมีวิชาความรู้ศิลปะศาสตร์ต่าง ๆ และ ประพฤติตัวดี พร้อมทั้งกาย วาจาทั้งอัธยาศัยใจคอสุภาพเรียบร้อยสมกับหน้าที่ของตัว การ ปลูกฝังให้เด็กดีด้วยวาจาหรือมีการพูดดีพูดอย่างมีศิลปะนับเป็นหนึ่งในปัจจัยของการเป็นคนดี ซึ่งจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกฝนตั้งแต่เยาว์วัยเมื่อมีศักยภาพทางด้านสติปัญญาในส่วนของ ภาษาคือการพูดแล้วการปลูกฝังให้พูดดีพูดอย่างมีศิลปะจึงรวมเอาทั้งส่วนของการศึกษาด้าน วิชาการและการอบรมบ่มนิสัยเข้าไว้ด้วยกัน การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยตามที่พิทยาภรณ์ สิงห์กานตพงศ์ (2558, หน้า 3) กล่าวไว้ ควรเริ่มการสร้างตัวอย่างให้เด็กปฐมวัยได้เรียนรู้ผู้อ่านสื่อที่เด็กมีความสนใจ ตามช่วงวัยและพัฒนาการนิทานนับเป็นสื่อทางการเรียนรู้ที่เด็กปฐมวัยให้ความสนใจที่ดีอย่าง หนึ่งการสร้างตัวอย่างผ่านนิทาน จึงเป็นรูปแบบที่ควรน าไปใช้เพื่อสร้างเสริมพฤติกรรมสังคม ทางบวก ให้เกิดแก่เด็กปฐมวัยหลังจากนั้นควรสร้างโอกาสให้เด็ก มีส่วนในการมีประสบการณ์ ตรง หรือผ่านการจ าลองสถานการณ์จริงที่ใช้นิทานเป็นการด าเนินกิจกรรม ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ โดยตรงของครูพ่อแม่ และผู้เลี้ยงดูเด็กจะต้องพิจารณาเลือกสรรสื่อที่จะให้เด็กได้รับสารอันพึง
2 ประสงค์ ในบรรดาสื่อที่หลากหลาย นิทานเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากนักการศึกษา ว่า เป็นวิถีทางที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการพัฒนาจิตใจมนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจน ปัจจุบัน (ดวงเดือน แจ้งสว่าง. 2562, หน้า 7) สอดคล้องกับ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2558, หน้า 12) กล่าวไว้ว่า นิทานเป็นอุปกรณ์ส าคัญของครูปฐมวัยที่ใช้ ในการสอนนิทานเป็นเครื่องมือการ สอนที่มีประสิทธิภาพ สามารถจูงใจให้ผู้เรียนคล้อยตาม กระตุ้นให้คิด กระตุ้นให้แสดงออกและ เป็นแบบหล่อหลอมพฤติกรรมต่อการเรียนการสอน นิทานช่วยการสอนของครูปฐมวัย ในด้าน เป็นสื่อน าเข้าสู่บทเรียน สื่อการสอนภาษาการคิดแก้ปัญหา การศึกษาตามจุดประสงค์ของครู เป็นแหล่งการเรียนรู้ด้วยการฟังเป็นเครื่องบันเทิงใจ ผ่อนคลายอารมณ์ เพื่อฝึกการควบคุม ตนเองในด้านอารมณ์ สมาธิ และการฟัง ส่งเสริมการอ่านและเป็นสื่อประกอบการเรียนเพื่อสร้าง แรงจูงใจการพัฒนาคุณลักษณะพฤติกรรมสังคมทางบวกของเด็กปฐมวัยสามารถทาได้ หลากหลายวิธี แต่วิธีที่เด็กชอบมากที่สุดคือการจัดกิจกรรมเล่านิทาน นิทานเป็นสิ่งเร้าในการ เรียนรู้ของเด็กซึ่งมักชอบคิดเปรียบตนเองกบตัวละครในนิทาน ท าให้เด็กเข้าใจตัวละครได้ดีขึ้น และเป็นการสอดคล้องกับพัฒนาการทางด้านสังคม นิทานเป็นสื่อการสอนที่ส าคัญส าหรับเด็กปฐมวัยเพราะการเล่านิทานเป็นวิธีการให้ ความรู้วิธีหนึ่งที่เด็กให้ความสนใจ อยากรู้อยากท าตามและมีแรงจูงใจที่จะเปิดรับพฤติกรรมที่พึง ปรารถนา นิทานสามารถท าให้เด็กคล้อยตามเนื้อหานิทานที่ครูเล่า การได้มีปฏิสัมพันธ์ทาง ภาษาจากการได้ฟังได้ตอบโต้ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้เด็กพัฒนาภาษาได้อย่างดีกระบวนการ เรียนรู้ที่น านิทานเข้ามาเป็นสื่อ เพื่อการเรียนรู้ในสาระวิชาต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ ผู้เรียนได้ฝึกทักษะทางภาษาด้านการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน การน าข้อคิดในด้าน คุณธรรมจริยธรรม ค่านิยม ที่ได้รับจากนิทานสู่การปฏิบัติในชีวิตจริง ผู้เรียนมีความสุข สนุกกับ การเรียนรู้ (สุวิทย์ มูลค าและอรทัย มูลค า, 2557, หน้า 19) เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 3 ในโรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของ การศึกษาครั้งนี้ และเป็นเด็กในโรงเรียนของผู้วิจัยเอง ในขณะที่ผู้วิจัยก าลังจัดการเรียนการสอน อยู่นั้น ผู้วิจัยพบว่า เด็กขาดทักษะการพูด ท าให้ไม่สามารถสนทนา ตอบค าถาม และพูดในสิ่งที่ ชอบกับครูและเพื่อนได้จากเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาการพัฒนาทักษะการพูด ของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 3 โดยการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ เพื่อส่งเสริมผู้เรียน ให้มีทักษะการพูดที่เหมาะสมตามวัย รวมทั้งเป็นข้อมูลส าหรับครูและผู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนา ทักษะการพูด บุคลิกภาพของเด็กปฐมวัยต่อไป
3 1.2 วตัถปุระสงคข์องการวิจยั 1.2.1 เพื่อพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน ประกอบภาพ 1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการ เล่านิทานประกอบภาพ 1.3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เด็กปฐมวัยมีทักษะการพูดสูงขึ้นหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ 1.4 ขอบเขตของการวิจยั การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีขอบเขตของการวิจัย ดังนี้ 1.4.1 ขอบเขตกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุ 5-6 ปีที่ก าลังศึกษาอยู่ในชั้น อนุบาล 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนลอนุบาลนครราชสีมา จ านวน 30 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เนื่องจากเป็นห้องเรียนที่ผู้วิจัยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สอน 1.4.2 ตวัแปรของการวิจยั ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย 1.4.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั ประกอบด้วย 1) แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ 2) แบบประเมินการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพเพื่อพัฒนาทักษะการ พูดของเด็กปฐมวัย 1.4.4 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจยั ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566
4 1.5 กรอบแนวคิดการวิจยั ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภาพ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย 1.6 นิยามศพัท์เฉพาะ เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุ 5-6 ปีที่ก าลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาล ภาคเรียนที่ 3 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา ทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย หมายถึง ความสามารถทางภาษาที่เด็กแสดงออกด้วย การใช้ถ้อยค า ถ่ายทอดความคิดความรู้สึกความต้องการออกมาเป็นภาษาพูดเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ และสื่อสารได้อย่างถูกต้อง กิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ หมายถึง กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีเนื้อหาความรู้ และนิทานที่เป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา หรือมีผู้แต่งขึ้นใหม่ เป็นเรื่องราวที่ส่งเสริมให้เด็ก ปฐมวัยมีพัฒนาการทางภาษาด้านการพูด แทรกอยูในสาระการเรียนรู้ เพื่อมุ่งเน้นให้เด็กได้รับ ประสบการณ์ทางด้านการพูด ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ สาระการเรียนรู้ กิจกรรม สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ เวลาและการประเมิน มีขั้นตอน 3 ขั้นคือ 1) ขั้นน า เป็นขั้นที่ผู้สอนเตรียมเด็กให้มีความพร้อมก่อนท ากิจกรรมครูเตรียมข้อมูล เกี่ยวกับสาระที่จะเสริมประสบการณ์แก่ผู้เรียนโดยกิจกรรมการเล่านิทาน คัดเลือกนิทานที่เหมะ สมกับสาระการเรียนรู้ ร้องเพลง และจัดเตรียมบรรยากาศ ตกลงกติกาการฟัง 2) ขั้นกิจกรรม เป็นขั้นที่ผู้สอนด าเนินกิจกรรมเสริมประสบการณ์ตามที่จัดท าไว้ เล่า นิทานโดยใช้เทคนิคการเล่านิทาน ใช้น ้าเสียง ท่าทางประกอบ หรือภาพประกอบ และสื่อต่าง ๆ ที่จัดเตรียมเหมาะสมกับนิทาน และให้เด็กแสดงความคิดเห็นหลังจากการฟังนิทานจบ 3) ขั้นสรุป เป็นขั้นที่ผู้สอนพูดคุยกับเด็กสรุปความคิดของเด็กเกี่ยวกับกิจกรรมหรือ ประสบการณ์ที่กระท า ทบทวนตัวละครในนิทาน สิ่งที่เป็นประโยชน์จากนิทาน คติสอนใจต่าง ๆ แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ หมายถึง แผนการจัดกิจกรรมการ เล่านิทานประกอบภาพที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย กิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ ทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยัที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 3 โดยการจัดกิจกรรม การเล่านิทานประกอบภาพ ในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 2.1 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 2.2 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัย 2.3 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับนิทาน 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 การพัฒนาเด็กปฐมวัยของประเทศไทย เป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความส าคัญมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ให้ผลของการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดต่อการสร้างรากฐานของชีวิต ที่ผ่านมา มีการด าเนินงานเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันหลายภาคส่วน เนื่องจากเด็กปฐมวัยเป็นวัยที่เริ่มต้น ตั้งแต่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา จนถึงอายุ 6 ปีบริบูรณ์ หรือก่อนเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จึงมี หลายหน่วยงานที่จัดบริการพัฒนาเด็กปฐมวัย รวมทั้งการให้ความรู้แก่พ่อแม่ ผู้ปกครองและผู้ที่ เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดูเด็ก ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรชุมชนโดยในส่วนของ ภาครัฐมีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงานหลัก กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายให้มีการพัฒนาการศึกษาปฐมวัยอย่างจริงจังและ ต่อเนื่องโดยได้แต่งตั้งคณะท างานพิจารณาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย เพื่อปรับปรุงให้สอดคล้อง กับสภาพการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 รวมทั้งกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560- 2564) แผนการศึกษา แห่งชาติ (พ.ศ.2560-2579) เป้าหมายยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาใน ศตวรรษที่ 2 (พ.ศ.2552- 2561) แผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย (พ.ศ.2560-2564) น าไปสู่ การก าหนดทักษะส าคัญ ส าหรับเด็กในศตวรรษที่ 21 ที่มีความส าคัญต่อการก าหนดเป้าหมาย ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีความสอดคล้องและทันต่อการเปลี่ยนแปลงทุกด้านการจัด การศึกษาปฐมวัยควรมีส่วนช่วยให้เด็กเกิดพัฒนาการและการเรียนรู้อย่างเต็มที่ สถานศึกษา สามารถน าไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการพัฒนา หลักสูตรสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานตามจุดมุ่งหมายที่ก าหนด เป้าหมายในการ พัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ
6 สติปัญญา เป็นคนดี มีวินัย ส านึกความเป็นไทย และมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติในอนาคต ตามค าสั่งกระทรวงศึกษาธิการที่ สพฐ. 1223/2560 เรื่องให้ใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ลงวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2560 ที่ได้ ประกาศให้ใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 แทนหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 เพื่อให้สถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยทุกสังกัดน าหลักสูตรฉบับนี้ ไปใช้โดยปรับปรุงให้เหมาะสมกับเด็กและสภาพท้องถิ่น ตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 เป็นต้นไป หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 จัดท าขึ้นโดยยึดปรัชญาการศึกษาปฐมวัย วิสัยทัศน์ หลักการบนพื้นฐานแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาปฐมวัยสากล และความเป็นไทย ครอบคลุมการอบรมเลี้ยงดูการพัฒนาเด็กอย่างเป็นองค์รวม และการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการตามวัยของเด็ก ตลอดจนเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อ การเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและ การสร้างรากฐานคุณภาพชีวิต ให้แก่เด็กและมุ่งเน้นการพัฒนาเด็กแต่ละคนให้เต็มตามศักยภาพ ด้วยความร่วมมือของสถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ครอบครัว ชุมชน สังคม และทุก ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย สู่การสร้างคนไทยที่มีศักยภาพในอนาคต เพื่อเป็น ก าลังส าคัญในการพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ทั้งนี้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 พัฒนาขึ้นมาโดยอาศัยแนวคิดดังนี้ 1. แนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก พัฒนาการเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องใน ตัวมนุษย์เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิไปจนตลอดชีวิตทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ พัฒนาการของเด็กจะ มีล าดับขั้นตอนในลักษณะเดียวกันตามวัยของเด็ก แต่อัตราการเจริญเติบโต และระยะเวลาใน การผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ของเด็กแต่ละคนอาจแตกต่างกันได้โดยในขั้นตอนแรก ๆ จะเป็นพื้นฐาน ส าหรับพัฒนาการขั้นต่อไป พัฒนาการประกอบด้วย ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ สติปัญญา ซึ่งพัฒนาการแต่ละด้านมีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันรวมทั้งส่งผลกระทบซึ่งกัน และกัน 2. แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กอย่างเป็นองค์รวมและการปฏิบัติที่เหมาะสมกับ พัฒนาการ การพัฒนาเด็กอย่างเป็นองค์รวม เป็นการค านึงถึงความสมดุลและครอบคลุม พัฒนาการของเด็กให้ครบทุกด้าน ในการดูแลพัฒนา และจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่เด็ก ต้องไม่เน้นที่ด้านใดด้านหนึ่งจนละเลยด้านอื่น ๆ ซึ่งในแต่ละด้านของพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ สติปัญญา มีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ต้องการการส่งเสริมให้เด็ก เจริญเติบโต และมีพัฒนาการสมวัยอย่างเป็นล าดับขั้นตอน 3. แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการท างานของสมอง สมองของเด็ก เป็นสมองที่สร้างสรรค์และมีการเรียนนรู้ที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับอารมณ์ สมองเป็นอวัยวะที่ส าคัญ มากที่สุด และมีการพัฒนาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา โดยในช่วงนี้เซลล์สมองจะมีการพัฒนา เชื่อมต่อและท าหน้าที่ในการควบคุมการท างานพื้นฐานของร่างกาย ส าหรับในช่วงแรกเกิดถึง
7 อายุ 3 ปี จะเป็นช่วงที่เซลล์ สมองเจริญเติบโตและขยายเครือข่ายใยสมองอย่างรวดเร็ว โดย ปัจจัยในการพัฒนาของสมอง ประกอบด้วย พันธุกรรม โภชนาการ และสิ่งแวดล้อม สมองจะมี พัฒนาการที่ส าคัญในการควบคุมและมีผลต่อการเรียนรู้ ความคิด จินตนาการ ความฉลาด และ พัฒนาการทุกด้าน การพัฒนาของสมองท าให้เด็กปฐมวัยสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่าง รวดเร็วกว่าวัยใด 4. แนวคิดเกี่ยวกับการเล่นและการเรียนรู้ของเด็ก การเล่นเป็นกิจกรรมการแสดงออก ของเด็กอย่างอิสระตามความต้องการ และจินตนาการสร้างสรรค์ของตนเอง เป็นการสะท้อน พัฒนาการ และการเรียนรู้ของเด็กในชีวิตประจ าวัน จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ บุคคล และสิ่งแวดล้อม รอบตัว การเล่นท าให้เกิดความสนุกสนาน ผ่อนคลายและส่งเสริมพัฒนาการทั้ง ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก การเล่นของเด็กปฐมวัยจัดเป็นหัวใจ ส าคัญของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสม ซึ่งการเล่นอย่างมีความหมายเป็น เครื่องมือในการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานที่ถือว่าเป็นองค์ประกอบส าคัญในกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก ขณะที่เด็กเล่นจะเกิดการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันด้วย จากการเล่นเด็กจะมีโอกาสเคลื่อนไหวส่วน ต่าง ๆ ของร่างกายได้ใช้ประสาทสัมผัส และการรับรู้ ผ่อนคลายอารมณ์และแสดงออกถึงตนเอง ได้เรียนรู้ความรู้สึกของผู้อื่น เด็กจะรู้สึกสนุกสนาน เพลิดเพลิน ได้สังเกต มีโอกาสส ารวจ ทดลอง คิดสร้างสรรค์ คิดแก้ปัญหาและค้นพบด้วยตนเอง การเล่นช่วยให้เด็กเรียนรู้สิ่งแวดล้อม บุคคลรอบตัว และส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการทางด้าน ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ สติปัญญา ก้าวหน้าไปตามวัยอย่างมีคุณภาพ 5. แนวคิดเกี่ยวกับการค านึงถึงสิทธิเด็ก การสร้างคุณค่า และสุขภาวะให้แก่เด็กปฐมวัย ทุกคน เด็กปฐมวัยควรได้รับการดูแลและพัฒนาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันทุกคน โดยมีสิทธิใน การอยู่รอด สิทธิได้รับการคุ้มครองสิทธิในด้านพัฒนาการ และและสิทธิการมีส่วนร่วมตามที่ กฎหมายระบุไว้ 6. แนวคิดเกี่ยวกับการอบรมเลี้ยงดูควบคู่การให้การศึกษา การจัดการศึกษาปฐมวัยมุ่ง พัฒนาเด็กบนพื้นฐานของการอบรมเลี้ยงดูควบคู่กับการให้การศึกษา หรือการส่งเสริม กระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการตามวัยของเด็กแต่ละคนอย่างเป็นองค์ รวม 7. แนวคิดเกี่ยวกับการบูรณาการ เด็กปฐมวัยเป็นช่วงวัยที่เรียนรู้ผ่านการเล่นและการ ท ากิจกรรมที่เหมาะสมตามวัย เป็นหน้าที่ของผู้สอนต้องวางแผนโดยบูรณาการทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ศิลปะ ภาษา ดนตรี และการเคลื่อนไหว คุณธรรม จริยธรรม สุขภาพอนามัย และ ศาสตร์อื่น ๆ โดยไม่แบ่งเป็นรายวิชา แต่จะมีการผสมผสานความรู้ ทักษะกระบวนการ และเจต คติของแต่ละศาสตร์ในการจัดประสบการณ์ 8. แนวคิดเกี่ยวกับลื่อ เทคโนโลยี และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ผู้สอนสามารถ น าสื่อเทคโนโลยี และการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้มาสนับสนุนและเสริมสร้างการ
8 เรียนรู้ของเด็กปฐมวัยได้ โดยสื่อเป็นตัวกลางและเครื่องมือเพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ตาม จุดประสงค์ที่วางไว้ 9. แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินตามสภาพจริง การประเมินพัฒนาการของเด็กปฐมวัย ยึดวิธีการสังเกตเป็นส่วนใหญ่ เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและสอดคล้องสัมพันธ์กับการจัด ประสบการณ์ การเรียนรู้รวมทั้งกิจกรรมประจ าวัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับ พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ส าหรับการส่งเสริมความก้าวหน้า และช่วยเหลือสนับสนุนเมื่อ พบเด็กล่าช้าหรือมีปัญหาที่เกิดจากพัฒนาการและการเรียนรู้ 10. แนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของครอบครัว สถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็ก ปฐมวัย และชุมชน การพัฒนาเด็กอย่างมีคุณภาพต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง กับเด็ก 11. แนวคิดเกี่ยวกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ความเป็นไทย และความ หลากหลาย การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ส่งผลต่อวิถีชีวิตและการจัด การศึกษาเพื่อเตรียมเด็กสู่อนาคต เด็กเมื่อเกิดมาจะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งไม่ เพียงแต่จะได้รับอิทธิพลจากการปฏิบัติแบบดั้งเดิมตามประเพณี มรดก และการถ่ายทอดความรู้ ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษแล้ว ยังได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ ค่านิยม และความเชื่อของ บุคคลในครอบครัวและชุมชนของแต่ละที่ด้วย จากแนวคิดพื้นฐานดังกล่าว ในการจัดการศึกษาปฐมวัย ครูต้องศึกษาหลักการของ หลักสูตรให้เข้าใจเพราะในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 จ าเป็นต้องยึดหลักการการอบรมเลี้ยงดูควบคู่กับการให้การศึกษา โดยต้อง ค านึงถึงความสนใจและความต้องการของเด็กทุกคน ทั้งเด็กปกติ เด็กด้อยโอกาส เด็กที่มี ความสามารถพิเศษ และเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา รวมทั้งการสื่อสาร การเรียนรู้ส าหรับเด็กที่มีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพ บุคคลที่ไม่สามารถ พึ่งพาตนเองได้ หรือเด็กที่ไม่มีผู้ดูแล เพื่อให้เกิดการพัฒนาการทุกด้านอย่างสมดุลกันโดยผ่าน การจัดกิจกรรมที่หลากหลายบูรณาการผ่านการเล่น และกิจกรรมที่เป็นประสบการณ์ตรง ผ่าน ทางประสาทสัมผัสทั้งห้าที่มีความเหมาะสมกับวัยและความ แตกต่างระหว่างบุคคล ด้วย ปฏิสัมพันธ์ที่ตีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ เด็กกับผู้เลี้ยง หรือบุคลากรที่มีความสามารถในการอบรม เลี้ยงดูและให้การศึกษากับเด็ก เพื่อให้เด็กแต่ละคนได้มีโอกาสในการพัฒนาตนเองตามล าดับขั้น ของการพัฒนาสูงสุดตามศักยภาพและน าไปใช้ในการด ารงชีวิตเป็นคนดีและคน เก่งของสังคม สอดคล้องกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม ความเชื่อทาง ศาสนาที่ตนเองนับถือ สภาพเศรษฐกิจ สังคม โดยความร่วมมือจากครอบครัว ชุมชน และสังคม เพื่อเป็นก าลังส าคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต
9 2.1.1 ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ก าหนดปรัชญาการศึกษาปฐมวัยที่ สะท้อนให้เห็นความเชื่อพื้นฐานในการพัฒนาเด็กปฐมวัยตั้งแต่อายุแรกเกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์ โดย เห็นความส าคัญของการพัฒนาเด็กโดยองค์รวม การค านึงถึงความสมดุลและครอบคลุม พัฒนาการของเด็กครบทุกด้าน ในการอบรมเลี้ยงดู พัฒนาและส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ของ เด็ก ที่ผู้สอนต้องยอมรับความแตกต่างของเด็ก ปฏิบัติต่อเด็กแต่ละคนอย่างเหมาะสม โดยผู้สอน ให้ความรัก ความเอื้ออาทร มีความเข้าใจ ในการพัฒนาเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งด้าน ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สติปัญญา คุณธรรม จริยธรรม และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ดังนี้ การศึกษาปฐมวัย เป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิด ถึง 6 ปีบริบูรณ์อย่างเป็นองค์ รวม บนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและ พัฒนาการตามวัยของเด็กแต่ละคนให้เต็มตามศักยภาพ ภายใต้บริบทสังคมและวัฒนธรรมที่เด็ก อาศัยอยู่ ด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และความเข้าใจของทุกคน เพื่อสร้างรากฐานคุณภาพ ชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ 2.1.2 วิสยัทศัน์การศึกษาปฐมวยัพทุธศกัราช 2560 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ก าหนดวิสัยทัศน์ที่สะท้อนให้เห็น ความคาดหวังที่เป็นจริงได้ในอนาคตในการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีคุณภาพ ผ่านประสบการณ์ที่ เด็กปฐมวัย เรียนรู้อย่างมีความสุข มีทักษะชีวิต ปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง เป็นคนดี มีวินัย และส านึกความเป็นไทยและทุกฝ่ายทั้งครอบครัว สถานศึกษาหรือ สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และชุมชน ร่วมมือกันพัฒนาเด็ก ดังนี้ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยมุ่งพัฒนาเด็กทุกคนให้ได้รับการพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา อย่างมีคุณภาพและต่อเนื่อง ได้รับการจัดประสบการณ์การ เรียนรู้อย่างมีความสุขและเหมาะสมตามวัย มีทักษะชีวิต และปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดีมีวินัย และส านึกความเป็นไทย โดยความร่วมมือระหว่าง สถานศึกษา พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็ก 2.1.3 หลักการของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ก าหนดหลักการส าคัญในการจัด การศึกษาปฐมวัย เพราะในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กปฐมวัย จะต้องยึดหลักการ อบรมเลี้ยงดูควบคู่กับการให้การศึกษา โดยต้องค านึงถึงความสนใจและความต้องการของเด็ก ทุกคน ทั้งเด็กปกติ เด็กที่มีความสามารถพิเศษ และเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย อารมณ์
10 จิตใจ สังคม สติปัญญา รวมทั้งการสื่อสารและการเรียนรู้ หรือเด็กที่มีร่างกายพิการหรือทุพพล ภาพหรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส เพื่อให้เด็กพัฒนาทุก ด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาอย่างสมดุล โดยจัดกิจกรรมที่ หลากหลาย บูรณาการผ่านการเล่น และกิจกรรมที่เป็นประสบการณ์ตรงผ่านประสาทสัมผัสทั้ง ห้า เหมาะสมกับวัยและความแตกต่างระหว่างบุคคล ด้วย ปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ เด็กกับผู้เลี้ยงดู หรือบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาเด็ก ปฐมวัย เพื่อให้เด็กแต่ละคน ได้มีโอกาสพัฒนาตนเองตามล าดับชั้นของพัฒนาการสูงสุดตาม ศักยภาพ และน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้อย่างมีความสุข เป็นคนดีของสังคม และสอดคล้องกับ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อทางศาสนา สภาพ เศรษฐกิจ สังคม และสิทธิเด็ก โดยความร่วมมือจากครอบครัว ชุมชน องค์กรปกครอง ส่วน ท้องถิ่น องค์กรเอกชน สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ดังนี้ 1. ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัยทุกคน 2. ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นส าคัญ โดยค านึงถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคล และวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน สังคม และวัฒนธรรม ไทย 3. ยึดพัฒนาการและการพัฒนาเด็กโดยองค์รวม ผ่านการเล่นอย่างมีความหมาย และมีกิจกรรมหลากหลาย ได้ลงมือกระท าในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เหมาะสมกับวัย และมีการพักผ่อนเพียงพอ 4. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กมีทักษะชีวิต และสามารถปฏิบัติตนตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดี มีวินัย และมีความสุข 5. สร้างความรู้ ความเข้าใจและประสานความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก ระหว่าง สถานศึกษา กับพ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย 2.1.4 จุดมุ่งหมายการจัดการศึกษาปฐมวัยตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ก าหนดจุดหมายเพื่อให้เกิดกับเด็ก เมื่อจบการศึกษาระดับปฐมวัยแล้ว โดยจุดหมายอยู่บนพื้นฐานพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน คือ ด้าน ร่างกาย อารมณ์ จิตใจสังคม และสติปัญญา ที่น าไปสู่การก าหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ ตัวบ่งชี้ และสภาพที่พึงประสงค์ดังนี้ 1. ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย แข็งแรง และมีสุขนิสัยที่ดี 2. สุขภาพจิตดี มีสุนทรียภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม และจิตใจที่ดีงาม 3. มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีวินัย และ อยู่ร่วมกับ ผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
11 4. มีทักษะการคิด การใช้ภาษาสื่อสาร และการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย 2.1.5 การจัดประสบการณ์ การจัดประสบการณ์ส าหรับเด็กปฐมวัยอายุ 3-6 ปี เป็นการจัดกิจกรรมในลักษณะ บูรณาการผ่านการเล่น การลงมือกระท า จากประสบการณ์ตรงอย่างหลากหลาย เกิดความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งเกิดการพัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ สติปัญญา ไม่จัดเป็นรายวิชาโดยมีหลักการ และแนวทางการจัดประสบการณ์ ดังนี้ 1. หลักการจัดประสบการณ์ 1.1 จัดประสบการณ์การเล่นและการเรียนรู้หลากหลาย เพื่อพัฒนาเด็กโดย องค์รวมอย่างสมดุลและต่อเนื่อง 1.2 เน้นเด็กเป็นส าคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่าง บุคคลและบริบทของสังคมที่เด็กอาศัยอยู่ 1.3 จัดให้เด็กได้รับการพัฒนา โดยให้ความส าคัญกับกระบวนการเรียนรู้และ พัฒนาการของเด็ก 1.4 จัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอยางต่อเนื่อง และเป็นส่วน หนึ่งของการจัดประสบการณ์ พร้อมทั้งน าผลการประเมินมาพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่อง 1.5 ให้พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนา เด็ก 2. แนวทางการจัดประสบการณ์ 2.1 โรงเรียนจัดแนวทางการจัดประสบการณ์ในรูปแบบบูรณาการกิจกรรม 6 หลักเป็นแนวทางหนึ่งในการจัดประสบการณ์แบบบูรณาการที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัวของการจัด ประสบการณ์ในระดับปฐมวัย ซึ่งเป็นการจัดประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของการจัด ประสบการณ์ในระดับปฐมวัย ซึ่งเป็นการจัดประสบการณ์ที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง และมีความ สอดคล้องกับหลักการเรียนรู้ ของสมอง คือ กิจกรรมเสรี เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กเล่นกับสื่อและเครื่องเล่นหรือมุม ประสบการณ์ อย่างอิสระโดยให้เด็กมีโอกาสเลือกเล่นได้อย่างเสรีตามความสนใจและความ ต้องการของเด็กทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม ในมุมบ้าน มุมเสริมสวย มุมหนังลือ มุมบล็อก เครื่องเล่นสัมผัส มุมวิทยาศาสตร์ มุมเกมการศึกษา กิจกรรมสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กได้แสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึกความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการโดยใช้ศิลปะ เช่น การเขียนภาพ การปั้น การ ฉีกปะ ตัดปะ การพิมพ์ภาพ การร้อย การประดิษฐ์หรือวิธีการอื่น ๆ ที่เด็กได้คิดสร้างสรรค์ กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อย่างอิสระตามจังหวะ โดยใช้เสียงเพลง ค าคล้องจอง เครื่องเคาะจังหวะหรือ
12 อุปกรณ์อื่น ๆ มาประกอบการเคลื่อนไหวเพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ การท ากิจกรรม เคลื่อนไหวและจังหวะช่วยให้เด็กเรียนรู้จังหวะและควบคุมการเคลื่อนไหวของ ตนเองได้ กิจกรรมเสริมประสบการณ์ เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาการทักษะ การเรียนรู้ฝึกการท างานและอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มทั้งกลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่โดยจัดกิจกรรมด้วย วิธีต่าง ๆ เช่น สนทนา อภิปราย เล่านิทาน สาธิตทดลอง ศึกษานอกสถานที่ เล่นบทบาทสมมติ ร้องเพลง เล่นเกม ท่องค า คล้องจองประกอบท่าทาง กิจกรรมกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้มีโอกาสออกไปนอกห้องเรียน เพื่อออกก าลัง เคลื่อนไหวร่างกาย และแสดงออกอย่างอิสระ โดยยึดความสนใจและ ความสามารถของเด็กแต่ละคนเป็นหลัก สิ่งที่เด็กเล่น เช่น การควบคุมท่าทางการเดิน การวิ่ง แข่ง การเล่นกระบะทราย การเดินทรงตัวบนแผ่นไม้ เพื่อสร้างสมองให้พร้อมส าหรับการใช้งาน ในวัยถัดไป กิจกรรมเกมการศึกษา เป็นเกมการเล่นที่ช่วยพัฒนาสติปัญญามีกฎเกณฑ์ กติกาง่าย ๆ เด็ก สามารถเล่นคนเดียว หรือเล่นเป็นกลุ่มก็ได้ ช่วยให้เด็กรู้จักสังเกต คิดหา เหตุผล และเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสี รูปร่าง จ านวน ประเภท และความสัมพันธ์เกี่ยวกับ พื้นที่หรือระยะเช่น เกมจับคู่ เกม แยกประเภท จัดหมวดหมู่ เรียงส าดับ โดมิโน ภาพตัดต่อ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ส าหรับเด็กปฐมวัยนั้นขึ้นอยู่บนพื้นฐานของ ประสบการณ์เดิม ที่เด็กมีอยู่ และประสบการณ์ใหม่ที่เด็กจะได้รับ เป็นการจัดกิจกรรมเพื่อ ส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา รวมทั้ง การยอมรับในวัฒนธรรมและภาษา ของเด็กมุ่งเน้นการพัฒนาเด็กให้มีความสุข และเป็นการ สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก ในสภาพแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัยอากาศสด ชื่น ผ่อนคลายไม่เครียด มีโอกาสได้ออกก าลังกาย และพักผ่อน มีสื่อวัสดุอุปกรณ์ มีของเล่นที่ หลากหลายเหมาะสมกับวัยให้เด็กมีโอกาสได้เลือกเล่น เรียนรู้เกี่ยวกับตนเองและโลกที่เด็กอยู่ รวมทั้งพัฒนาการอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมอีกด้วย สิ่งส าคัญในการจัดประสบการณ์ คือ การยึด เด็กเป็นศูนย์กลาง จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้สอดคล้องเหมาะสมกับวัย ความสนใจ ความ ต้องการความแตกต่างระหว่างบุคคลในบรรยากาศที่อบอุ่นต่อการเรียนรู้โดยใช้การบูรณาการ ผ่านการเล่นอย่างหลากหลายเป็นประสบการณ์ตรงที่เด็กมีโอกาสให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ชุมชนมี ส่วนร่วมในการพัฒนา 2.1.6 มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ก าหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ จ านวน 12 มาตรฐาน ประกอบด้วย พัฒนาการด้านร่างกาย 2 มาตรฐาน พัฒนาการ ด้านอารมณ์ จิตใจ 3 มาตรฐาน พัฒนาการด้านสังคม 3 มาตรฐาน และพัฒนาการด้านสติปัญญา
13 4 มาตรฐาน ก าหนดตัวบ่งชี้ ซึ่งเป็นเป้าหมายในการพัฒนาเด็กที่มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับ มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ และมีการก าหนดสภาพที่พึงประสงค์ซึ่งเป็นพฤติกรรมหรือ ความสามารถตามวัยที่จ าเป็นส าหรับเด็กทุกคนบนพื้นฐานพัฒนาการหรือความสามารถในแต่ละ ระดับอายุ อีกทั้งน าไปใช้ในการวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ เพื่อก าหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ ในการจัดประสบการณ์และการประเมินพัฒนาการเด็ก นอกจากสภาพที่พึงประสงค์ที่ก าหนดใน หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ผู้สอนจ าเป็นต้องท าความเข้าใจพัฒนาการของเด็กอายุ 3 - 6 ปี เพื่อ น าไปพิจารณาจัดประสบการณ์ให้เด็ก แต่ละวัยได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ขณะเดียวกันจะต้อง สังเกตเด็กแต่ละคนซึ่งมีดวามแตกต่างระหว่างบุคคลเพื่อน าข้อมูลไปช่วยพัฒนาเด็กให้เต็มตาม ความสามารถและศักยภาพหรือช่วยเหลือเด็กได้ทันท่วงที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม การ อบรมเลี้ยงดู และประสบการณ์ที่เด็กได้รับ ประกอบด้วย 1. พัฒนาการด้านร่างกาย ประกอบด้วย 2 มาตรฐานคือ มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว และประสานสัมพันธ์กัน 2. พัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ ประกอบด้วย 3 มาตรฐานคือ มาตรฐานที่ 3 มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดีงาม 3. พัฒนาการด้านสังคม ประกอบด้วย 3 มาตรฐานคือ มาตรฐานที่ 6 มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และความเป็นไทย มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดี ของสังคมในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 4. พัฒนาการด้านสติปัญญา ประกอบด้วย 4 มาตรฐานคือ มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหา ความรู้ได้เหมาะสมกับวัย 2.1.7 สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ เป็นสื่อกลางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับเด็ก เพื่อ
14 ส่งเสริมพัฒนาการเด็กทุกด้าน ให้เป็นไปตามจุดหมายของหลักสูตรที่ก าหนด ประกอบด้วย ประสบการณ์ ส าคัญ และสาระที่ควรเรียนรู้ ดังนี้ 1. ประสบการณ์ส าคัญ ประสบการณ์ส าคัญเป็นแนวทางส าหรับผู้สอนน าไปใช้ใน การ ออกแบบการจัดประสบการณ์ให้เด็กปฐมวัยเรียนรู้ ลงมือปฏิบัติ และได้รับการส่งเสริม พัฒนาการ ครอบคลุมทุกด้าน ดังนี้ 1.1 ประสบการณ์ส าคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย เป็นการสนับสนุนให้ เด็กได้มีโอกาสพัฒนาการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก และการประสานสัมพันธ์ระหว่าง กล้ามเนื้อและระบบประสาท ในการท ากิจวัตรประจ าวันหรือท ากิจกรรมต่าง ๆ และสนับสนุนให้ เด็กมีโอกาสดูแล สุขภาพและสุขอนามัย สุขนิสัย และการรักษาความปลอดภัย 1.2 ประสบการณ์ส าคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ เป็นการ สนับสนุนให้ เด็กได้แสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกของตนเองที่เหมาะสมกับวัย ตระหนัก ถึงลักษณะพิเศษเฉพาะ ที่เป็นอัตลักษณ์ ความเป็นตัวของตัวเอง มีความสุข ร่าเริงแจ่มใส การ เห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้พัฒนาคุณธรรมจริยธรรม สุนทรียภาพ ความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง และความ เชื่อมั่นในตนเองขณะปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้ 1.3 ประสบการณ์ส าคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม เป็นการสนับสนุนให้ เด็กได้มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวจากการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านการเรียนรู้ทางสังคม เช่น การเล่น การท างานกับผู้อื่น การปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน การ แก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่าง ๆ 1.4 ประสบการณ์ส าคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา เป็นการสนับสนุน ให้เด็กได้รับรู้และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม บุคคลและสื่อต่าง ๆ ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กพัฒนาการใช้ภาษา จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา การคิดเชิงเหตุผล และการคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวและมีความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น ต่อไป 2. สาระที่ควรเรียนรู้ สาระที่ควรเรียนรู้ เป็นเรื่องราวรอบตัวเด็กที่น ามาเป็นสื่อกลางในการจัด กิจกรรมให้เด็กเกิดแนวคิดหลังจากน าสาระที่ควรรู้นั้น ๆ มาจัดประสบการณ์ให้เด็ก เพื่อให้บรรลุ จุดหมายที่ก าหนดไว้ ทั้งนี้ไม่เน้นการท่องจ าเนื้อหา ผู้สอนสามารถก าหนดรายละเอียดขึ้นเองให้ สอดคล้องกับวัย ความต้องการ และความสนใจของเด็ก โดยให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ ส าคัญ ทั้งนี้อาจยืดหยุ่นเนื้อหาได้ โดยค านึงถึงประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมในชีวิตจริงของเด็ก ดังนี้ 2.1 เรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้ชื่อ นามสกุล รูปร่างหน้าตา อวัยวะต่าง ๆ วิธีระวังรักษาร่างกายให้สะอาดและมีสุขภาพอนามัยที่ดี การรับประทานอาหารที่
15 เป็นประโยชน์ การระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองจากผู้อื่นและภัยใกล้ตัว รวมทั้งการ ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างปลอดภัย การรู้จักประวัติความเป็นมาของตนเองและครอบครัว การปฏิบัติ ตนเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวและโรงเรียน การเคารพสิทธิของตนเองและผู้อื่น การรู้จักแสดง ความคิดเห็นของตนเองและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น การก ากับตนเอง การเล่นและท าสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองตามล าพังหรือกับผู้อื่น การตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การสะท้อนการรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น การแสดงออกทางอารมณ์และ ความรู้สึกอย่างเหมาะสม การแสดงมารยาทที่ดี การมีคุณธรรมจริยธรรม 2.2 เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับ ครอบครัวสถานศึกษา ชุมชน และบุคคลต่าง ๆ ที่เด็กต้องเกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์ ในชีวิตประจ าวัน สถานที่ส าคัญ วันส าคัญ อาชีพของคนในชุมชน ศาสนา แหล่งวัฒนธรรมใน ชุมชน สัญลักษณ์ส าคัญของชาติไทยและการปฏิบัติตามวัฒนธรรมท้องถิ่นและความเป็นไทย หรือแหล่งเรียนรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่นอื่น ๆ 2.3 ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับชื่อ ลักษณะ ส่วนประกอบ การ เปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ของมนุษย์ สัตว์ พืช ตลอดจนการรู้จักเกี่ยวกับดิน น ้า ท้องฟ้า สภาพ อากาศ ภัยธรรมชาติ แรงและพลังงานในชีวิตประจ าวันที่แวดล้อมเด็ก รวมทั้งการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม และการรักษาสาธารณสมบัติ 2.4 สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษาเพื่อสื่อ ความหมายในชีวิตประจ าวัน ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้หนังสือและตัวหนังสือ รู้จักชื่อ ลักษณะ สี ผิวสัมผัส ขนาด รูปร่าง รูปทรง ปริมาตร น ้าหนัก จ านวน ส่วนประกอบ การ เปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์ การใช้งาน และการ เลือกใช้สิ่งของเครื่องใช้ยานพาหนะ การคมนาคม เทคโนโลยีและการลื่อลารต่าง ๆ ที่ใช้อยูใน ชีวิตประจ าวันอย่างประหยัด ปลอดภัยและรักษาสิ่งแวดล้อม 3. การจัดกิจกรรมประจ าวัน กิจกรรมส าหรับเด็กอายุ3 ปี- 6 ปีบริบูรณ์สามารถน ามาจัดเป็นกิจกรรม ประจ าวันได้หลายรูปแบบ เป็นการช่วยให้ผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณ์ทราบว่าแต่ละวันจะท า กิจกรรมอะไร เมื่อใด และอย่างไร ทั้งนี้การจัดกิจกรรมประจ าวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการน าไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่ส าคัญผู้สอนต้อง ค านึงถึงการจัดกิจกรรมให้ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน การจัดกิจกรรมประจ าวันมีหลักการจัด และขอบข่ายของกิจกรรมประจ าวัน ดังนี้ 3.1 หลักการจัดกิจกรรมประจ าวัน 1. ก าหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย ของเด็กในแต่ละวันแต่ยืดหยุ่นได้ตามความต้องการและความสนใจของเด็ก เช่น วัย 3-4 ปีมี ความสนใจประมาณ 8-12 นาที วัย 4-5 ปี มีความสนใจประมาณ 12-15 นาที วัย 5-6 ปี มีความ
16 สนใจ ประมาณ 15-20 นาที 2. กิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดทั้งในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใช้เวลา ต่อเนื่องนานเกินกว่า 20 นาที 3. กิจกรรมที่เด็กมีอิสระเลือกเล่นเสรี เพื่อช่วยให้เด็กรู้จักเลือกตัดสินใจ คิดแก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์ เช่น การเล่นตามมุม การเล่นกลางแจ้ง ฯลฯ ใช้เวลาประมาณ 40-60 นาที 4. กิจกรรมควรมีความสมดุลระหว่างกิจกรรมในห้องและนอกห้อง กิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก กิจกรรมที่เป็นรายบุคคล กลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่เด็กเป็นผู้ริเริ่มและผู้สอน หรือผู้จัดประสบการณ์เป็นผู้ริเริ่ม และกิจกรรมที่ใช้ก าลังและ ไม่ใช้ก าลัง จัดให้ครบทุกประเภท ทั้งนี้กิจกรรมที่ต้องออกก าลังกายควรจัดสลับกับกิจกรรมที่ไม่ ต้องออกก าลังมากนัก เพื่อเด็กจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป 3.2 ขอบข่ายของกิจกรรมประจ าวัน การเลือกกิจกรรมที่จะน ามาจัดในแต่ละวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการน าไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่ส าคัญผู้สอน ต้องค านึงถึงการจัดกิจกรรมให้ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน ดังต่อไปนี้ 3.2.1 การพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ เป็นการพัฒนาความแข็งแรง การทรงตัว การยืดหยุ่น ความคล่องแคล่วในการใช้อวัยวะต่าง ๆ และจังหวะการเคลื่อนไหวในการใช้ กล้ามเนื้อใหญ่ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นอิสระกลางแจ้ง เล่นเครื่องเล่นสนาม ปีนป่ายเล่น อิสระ เคลื่อนไหว ร่างกายตามจังหวะดนตรี 3.2.2 การพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก เป็นการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เล็ก กล้ามเนื้อมือ-นิ้วมือ การประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมือและระบบประสาทตามือได้ อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นเครื่องเล่นสัมผัส เล่นเกม การศึกษา ฝึกช่วยเหลือตนเองในการแต่งกาย หยิบจับช้อนส้อม และใช้วัสดุอุปกรณ์ศิลปะ เช่น สีเทียน กรรไกร พู่กัน ดินเหนียว ฯลฯ 3.2.3 การพัฒนาอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เป็นการ ปลูกฝังให้เด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีความเชื่อมั่น กล้าแสดงออก มีวินัย รับผิดชอบ ซื่อสัตย์ ประหยัด เมตตา กรุณา เอื้อเฟ้อ แบ่งปัน มีมารยาทและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทย และศาสนาที่นับถือโดยจัดกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านการเล่นให้เด็กได้มีโอกาสตัดสินใจเลือก ได้รับ การตอบสนองความต้องการ ได้ฝึกปฏิบัติโดยสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม อย่างต่อเนื่อง 3.2.4 การพัฒนาสังคมนิสัย เป็นการพัฒนาให้เด็กมีลักษณะนิสัยที่ดี แสดงออกอย่างเหมาะสมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ช่วยเหลือตนเองในการท า กิจวัตร ประจ าวัน มีนิสัยรักการท างาน ระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น โดยรวม ทั้งระมัดระวังอันตรายจากคนแปลกหน้า ให้เด็กได้ปฏิบัติกิจวัตรประจ าวันอย่างสม ่าเสมอ
17 รับประทานอาหาร พักผ่อนนอนหลับ ขับถ่าย ท าความสะอาดร่างกาย เล่นและท างานร่วมกับ ผู้อื่น ปฏิบัติตามกฎกติกา ข้อตกลงของส่วนรวม เก็บของเข้าที่เมื่อเล่นหรือท างานเสร็จ 3.2.5 การพัฒนาการคิด เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิด แก้ปัญหาความคิดรวบยอด และคิดเชิงเหตุผลทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยจัดกิจกรรม ให้เด็กได้สนทนาอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็ก ศึกษานอก สถานที่ เล่น เกมการศึกษา ฝึกการแก้ปัญหาในชีวิตประจ าวัน ฝึกออกแบบและสร้างชิ้นงาน และท ากิจกรรมทั้งเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่ และรายบุคคล 3.2.6 การพัฒนาภาษา เป็นการพัฒนาให้เด็กใช้ภาษาสื่อสารถ่ายทอด ความรู้สึกนึกคิด ความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่เด็กมีประสบการณ์โดยสามารถตั้งค าถามใน สิ่งที่สงสัยใคร่รู้ จัดกิจกรรมทางภาษาให้มีความหลากหลายในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ มุ่งปลูกฝังให้เด็กได้กล้าแสดงออกในการฟัง พูด อ่าน เขียน มีนิสัยรักการอ่าน และบุคคล แวดล้อมต้อง เป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษา ทั้งนี้ต้องค านึงถึงหลักการจัดกิจกรรมทางภาษา ที่เหมาะสมกับเด็กเป็นส าคัญ 3.2.7 การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เป็นการส่งเสริมให้ เด็กมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ได้ถ่ายทอดอารมร์ความรู้สึกและเห็นความสวยงามของสิ่งต่าง ๆ โดยจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ดนตรี การเคลื่อนไหวและจังหวะตามจินตนาการ ประดิษฐ์สิ่ง ต่าง ๆ อย่างอิสระ เล่นบทบาทสมมติ เล่นน ้า เล่นทราย เล่นบล็อก และเล่นก่อสร้าง 2.1.8 การประเมินพฒันาการ การประเมินพัฒนาการเด็กอายุ 3-6 ปี เป็นการประเมินพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก โดยถือเป็นกระบวนการต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่ง ของกิจกรรม ปกติที่จัดให้เด็กในแต่ละวัน ผลที่ได้จากการสังเกตพัฒนาการเด็กต้องน ามาจัดท า สารนิทัศน์หรือจัดท าข้อมูลหลักฐานหรือเอกสารอย่างเป็นระบบ ด้วยการรวบรวมผลงานส าหรับ เด็กเป็นรายบุคคลที่สามารถบอกเรื่องราวหรือประสบการณ์ที่เด็กได้รับว่าเด็กเกิดการเรียนรู้และ มีความก้าวหน้าเพียงใด ทั้งนี้ให้น าข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการเด็กมาพิจารณาปรับปรุงวาง แผนการจัดกิจกรรม และส่งเสริมให้เด็กแต่ละคนได้รับการพัฒนาตามจุดหมายของหลักสูตร อย่างต่อเนื่อง การประเมินพัฒนาการควรยึดหลัก ดังนี้ 1. วางแผนการประเมินพัฒนาการอย่างเป็นระบบ 2. ประเมินพัฒนาการเด็กครบทุกด้าน 3. ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นรายบุคคลอย่างสม ่าเสมอต่อเนื่องตลอดปี 4. ประเมินพัฒนาการตามสภาพจริงจากกิจกรรมประจ าวันด้วยเครื่องมือและ วิธีการที่หลากหลาย ไม่ควรใช้แบบทดสอบ 5. สรุปผลการประเมิน จัดท าข้อมูลและน าผลการประเมินไปใช้พัฒนาเด็ก
18 ส าหรับวิธีการประเมินที่เหมาะสมและควรใช้กับเด็กอายุ 3-6 ปี ได้แก่ การสังเกต การบันทึกพฤติกรรมการสนทนากับเด็ก การสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลจากผลงานเด็กที่เก็บ อย่างมีระบบ สรุปได้ว่า การจัดการหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ส าหรับเด็ก อายุ 3-6 ปี เป็นการพัฒนาภายใต้ปรัชญา ที่ว่า “การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรก เกิดถึง 6 ปีบริบูรณ์ อย่างเป็นองค์รวมบนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมกระบวนการ เรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการตามวัยของเด็กแต่ละคนให้เต็มตามศักยภาพ ภายใต้ บริบทสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ ด้วยความรัก ความเอื้ออาทรและความเข้าใจของทุก คน เพื่อสร้างรากฐาน คุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าต่อ ตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ” โดยมีการก าหนดจุดมุ่งหมาย มาตรฐานคุณลักษณะ ที่พึงประสงค์การจัดเวลาเรียน สาระการเรียนรู้และการจัดประสบการณ์อย่างเป็นระบบ 2.2 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัย 2.2.1 ความหมายของการพูด รังสรรค์ จันต๊ะ (2561, หน้า 21) ได้กล่าวถึงการพูดไว้ว่าการพูด หมายถึง กระบวนการหนึ่ง ในการสื่อสารของมนุษย์ ผู้พูดจะเป็นผู้ส่งสารอันเป็นเนื้อหาสาระข้อมูลความรู้ กับอารมณ์ความรู้สึก ความต้องการและความคิดเห็นของตัวเองประกอบกับกริยาท่าทางต่าง ๆ ส่งไปยังผู้ ฟังหรือผู้รับสาร เพื่อให้ได้รับทราบและเกิดการตอบสนองในขั้นตอนสุดท้าย ศรียา นิยมธรรม และประภัสสร นิยมธรรม (2557, หน้า 49) ได้กล่าวถึง ความหมายของการพูดไว้ 4 ด้าน ดังนี้ 1. ในด้านภาษาศาสตร์ (Linguistic Level) หมายถึง ขบวนการที่ผู้พูดสรรหา ถ้อยค า เสียงที่ต้องการใช้มารวมกัน เปล่งออกมาเป็นประโยคที่ถูกต้อง ตามหลักไวยากรณ์ 2. ในด้านสรีรวิทยา (Physiological Level) เป็นระบบการท างานของเซลล์ ประสาท เช่น จัดสรรให้อวัยวะต่าง ๆ ของผู้พูดเคลื่อนไหว เพื่อการเปล่งเสียงกระตุ้นการท างาน ของอวัยวะที่ใช้ในการออกเสียง และอวัยวะที่ใช้ในการรับฟังเสียงของผู้พูดและผู้ฟัง 3. ในด้านความรู้ ในเรื่องเสียง (Acoustic Level) ก็คือการที่คลื่นเสียงเดินทางผ่าน อากาศระหว่างผู้พูดมายังผู้ฟังพร้อม ๆ กับที่จะสะท้อนไปเข้าหูผู้พูดเองด้วย 4. ในด้านจิตวิทยา (Psychological level) หมายถึง ความรู้สึกจากการฟังที่ได้ ยิน ได้ ฟังจากผู้พูดท าให้เกิดความสัมพันธ์กันทั้งผู้พูดและผู้ฟัง โดยที่มีการคาดหวังด้วยกันทั้งสอง ฝ่าย สุภาวดี ศรีวรรธณะ (2562, หน้า 86) ได้กล่าวว่าการพูด หมายถึง พฤติกรรมการ ติดต่อสื่อสารกันระหว่างบุคคลด้วยการใช้ถ้อยค า น ้าเสียง ภาษา อากัปกิริยา ท่าทาง สีหน้า แวว ตาเพื่อถ่ายทอดความรู้สึก ความคิด ความต้องการของผู้พูดไปสู่ผู้ฟัง เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความ
19 เข้าใจ และตอบสนองได้ นงเยาว์ คลิกคลาย (2557, หน้า 14) ได้กล่าวว่า การพูดเป็นการสื่อสารสร้าง ความสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยใช้น ้าเสียง เพื่อสื่อความหมายไปให้ผู้ฟังรู้ หรือเข้าใจ ความรู้ สึกนึก คิดหรือความต้องการของตน และส าหรับเด็กปฐมวัยการพูดเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการ สื่อสารความรู้สึกนึกคิด หรือความต้องการของตนให้ผู้อื่นได้ทราบ จุฑา สุกใส (2557, หน้า 17) ได้กล่าวว่า การพูด หมายถึง การแสดงความรู้สึก จากการได้ฟังและการคิดแล้วสื่อออกมาให้ผู้อื่นได้เข้าใจอาจเป็นการแสดงความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ ความรู้ และประสบการณ์ โดยการเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยค า ซึ่งต้องอาศัย ขบวนการต่าง ๆ ท างาน อย่างต่อเนื่องและประสานกัน คือขบวนการหายใจ ขบวนการเปล่ง เสียง ขบวนการแปรเสียงและการก าหนดเสียงเพื่อให้ผู้ฟัง ฟังแล้วเข้าใจได้อย่างถูกต้อง ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า การพูดเป็นการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น โดยการเปล่งเสียง ออกมาเป็นถ้อยค าเพื่อส่งสารให้ผู้ฟังเข้าใจ ความต้องการ ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ซึ่งการ พูดของเด็กปฐมวัย ในช่วง 1 - 4 ขวบ เด็กจะรู้จ านวนค าศัพท์ได้รวดเร็วมากมีอัตราการ พัฒนาการสูงกว่าในช่วงอายุอื่น ๆ การรู้ค าศัพท์เพิ่มมากขึ้นช่วยให้สามารถน าไปใช้ในการพูด สื่อสารกับผู้อื่นเพื่อแสดงความรับรู้แสดงความรู้สึกความคิดเห็นและติดต่อซึ่งกันและกัน 2.2.2 ความส าคัญของการพูด ภาษาพูดเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ภาษาอ่านและภาษาเขียนและเพื่อที่จะได้ ประโยชน์จากการเรียนในวิชาอื่น ๆ (ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์. 2557, หน้า 35) ภาษาและการพูดเป็น สิ่ง ที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสติปัญญาของเด็กปฐมวัย ตามทฤษฎีและแนวคิดของการ์ด เนอร์(Gardner) ในทฤษฎีพหุปัญญา (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. 2560, หน้า 138) กล่าวถึงสติปัญญาทางด้านภาษา (Linguistic Intelligence) ว่าทักษะทางภาษานับเป็นส่วน หนึ่งของสติปัญญาดังนั้นพัฒนาการทางการพูดจึงมีความส าคัญเป็นอย่างมากส าหรับเด็กปฐมวัย ที่ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต นอกจากนี้ยังมีนักการศึกษาได้กล่าวถึงความส าคัญของการพูดไว้ดังนี้ สุภาวดี ศรีวรรธนะ (2562, หน้า 63 - 64) กล่าวว่า การพูดเป็นเครื่องมือส าคัญ ของการติดต่อสื่อสารที่จะน าไปสู่ความส าเร็จในชีวิตการฝึกพูดเป็นพื้นฐานที่จะช่วยฝึกทักษะ ด้านภาษาได้อย่างดีซึ่งจุดประสงค์ของการฝึกพูดมีดังนี้ 1. เพื่อให้เด็กพัฒนาการพูดได้คล่องเป็นธรรมชาติได้เรียนรู้ค าศัพท์ใหม่ๆ 2. พัฒนาความสามารถในการพูดได้ชัดเจน ได้ฝึกเสียงที่เป็นปัญหาส าหรับเด็ก เช่น “ส” นอกจากนี้ยังควรพูดด้วยน ้าเสียงที่น่าฟัง รื่นหู ไม่ดัง ไม่ค่อยเกินไป มีความมั่นใจใน การพูด 3. พูดถูกต้องจนเป็นนิสัยเช่นเด็ก ๆ มักจะพูดประโยคปฏิเสธว่า “ผมเปล่าท า”
20 ต้องแก้เป็น “ผมไม่ได้ท าครับ” หรือ “ไม่ได้ท าค่ะ” 4. เพื่อใช้ภาษาเป็นเครื่องมือติดต่อสังคมกับเพื่อน ๆ และบุคคลอื่น ๆ การที่เด็ก จะเป็นที่น่าคบหาสมาคมด้วยย่อมต้องมีภาษาที่สุภาพดังนั้นการให้การศึกษาเด็กวัยนี้ย่อมจะฝึก เด็กให้รู้จักใช้ค าสุภาพทั้งหลาย เช่น ค าว่า “ขอโทษ” “ขอบคุณ “ขอบใจ” โดยต้องเป็นแบบให้เด็ก และต้องใช้อย่างสม ่าเสมอนอกจากนี้จะต้องให้รู้จักกาลเทศะด้วย เสียงที่พูดในห้องเรียนย่อมจะ ไม่ต้องดังเหมือนเสียงที่ใช้ในสนาม 5. เพื่อพัฒนาความสามารถในการติดต่อกับผู้อื่นคือไม่เพียงแต่แสดงความคิดเห็น ของตนเท่านั้นแต่ยังสามารถเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด สามารถพูดสิ่งที่มีผู้กล่าวไว้ได้ 6. การฝึกเลียนเสียงค าพูดก่อนที่จะบรรยายเรื่องราวต่าง ๆ หากไม่ฝึกในเรื่องนี้ เด็กบางคนจะเล่าเรื่องไม่ตรงจุด เช่น เด็กอาสาจะเล่าเรื่อง “ไปเที่ยวทะเล” แทนที่จะพูดถึงการ ไปทะเล เด็กบางคนจะมัวพะวงแต่จุดไม่ส าคัญ เช่น การแต่งตัว การซื้อของต่าง ๆ ส าหรับการ เดินทาง ครูอาจต้องช่วยเตือนเด็กให้พูดเข้ามาหาเรื่องอีกทีหนึ่ง 7. เรียนรู้เกี่ยวกับภาษา เช่น หลักของการออกเสียง เสียงวรรณยุกต์ การเว้น วรรคการเรียบเรียงค าให้เป็นประโยค และค าบางค ามีความหมายได้หลายอย่าง กล่าวโดยสรุป การพูดเป็นรากฐานของการพัฒนาภาษา ส่งเสริมพัฒนาการ ทางด้านสติปัญญา เป็นเครื่องมือสื่อสารอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้บุคคลมีความสุข หรือ ทุกข์ ดังนั้น ในเด็กการพัฒนาการทางการพูดจึงเป็นแนวทางที่จะวางให้เด็กมีความสุขในอนาคตได้ส่วนหนึ่ง 2.2.3 ทฤษฎีพัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัย มีนักการศึกษาได้ค้นพบว่าเด็กปฐมวัยที่มีพัฒนาการพูดที่แตกต่างกันนั้นมี กระบวนการเรียนรู้ภาษาของเด็กปฐมวัยดังต่อไปนี้ จรรยา สุวรรณทัต และคนอื่น ๆ (2558, หน้า 122) ได้กล่าวถึงกระบวนการเรียนรู้ ทางภาษาว่า เกิดขึ้นจากความช านาญ (Empricist Approach) ซึ่งเด็กจะเริ่มเรียนรู้ภาษาอย่าง ไม่เป็ นกฎเกณฑ์ แต่เรียนรู้ภาษาในลักษณะเดียวกับการฝึกทักษะความช านาญและ ความสามารถด้านอื่น ๆ การเรียนรู้ค าได้จากการได้ยินคนอื่นพูดซ ้า ๆ แล้วน ามาพูด ซึ่งเด็กจะ เรียนรู้ได้เร็วถ้าค าที่เด็กเรียนรู้เป็นประสบการณ์ใกล้ตัวเด็กรูปแบบการเรียนรู้ที่ส าคัญส าหรับเด็ก ปฐมวัย คือ ต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ เช่น ครูน าวัตถุสิ่งของ ของเล่นมาจัดวางในห้องเรียน และตั้งค าถาม เพื่อเร้าให้เด็กหาค าตอบ ซึ่งเป็นการให้เด็กส ารวจวัตถุนั้นด้วยตัวเอง ศรียา นิยมธรรม และประภัสสร นิยมธรรม (2557, หน้า 27-30) ได้กล่าวถึง ทฤษฎีพัฒนาการทางภาษาและการพูดไว้ดังนี้ 1. ทฤษฎีเสริมก าลัง (Reinforcement Theory) ทฤษฎีนี้อาศัยจากหลักทฤษฎีการ เรียนรู้ ซึ่งถือว่าพฤติกรรมทั้งหลายถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยการวางเงื่อนไข ไรน์โกลด์(Rheingold) และคณะพบว่าเด็กจะพูดมากขึ้นเมื่อให้รางวัลหรือเสริมก าลัง วินิทซ์ (Winitz) ได้อธิบายถึงการที่
21 เด็กเกิดการรับรู้ ในระยะการเล่นเสียงตอนต้น ๆ ว่าเป็นการกระท าตามธรรมชาติของมนุษย์ ใน การที่จะมีจุดหมายปลายทางตัวอย่างเช่น เมื่อเด็กหิวก็เคลื่อนไหวปาก ซึ่งมีจุดหมายปลายทางที่ การดูด และการกิน ต่อมาเมื่อโตขึ้นก็อาจใช้วิธีท าเสียงอ้อแอ้ โดยหวังว่าแม่จะเข้ามาหาและเล่น เสียงคุยตามไปด้วย 2. ทฤษฎีการรับรู้ (Motor Theory of Perception) ในบางครั้ง เด็กจะพูดค าที่ไม่ เคยพูดหรือไม่เคยถูกสอนให้พูดมาก่อนเลย แม้แต่ในระยะเล่นเสียงก็มิได้เปลี่ยนแปลงเสียงที่ คล้ายกับค านั้น จึงสงสัยว่าเด็กเรียนรู้ได้อย่างไร ทฤษฎีนี้ให้ค าตอบในแง่นี้ซึ่งลิเบอร์แมน (Liberman) ตั้งสมมติฐานไว้ว่า การรับรู้ทางการฟังขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงเสียง จึงเห็นได้ว่า เด็กมักจ้องหน้าเวลาเราพูดด้วย ท านองเดียวกับเด็กหูตึง การท าเช่นนี้อาจเป็นเพราะเด็กฟัง พูดซ ้าด้วยตนเองหรือหัดเปล่งเสียงโดยใช้อ่านริมฝีปากแล้วจึงเรียนรู้ค า 3. ทฤษฎีสภาวะติดตัวมาแต่ก าเนิด (Innateness Theory) ซอมสกี้ (Chomsky) นักภาษาศาสตร์อเมริกันผู้คิดทฤษฎีนี้เขาอธิบายว่า เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมกับเครื่องมือในการ เรียนรู้ภาษา (Language Acquisition Devic) ซึ่งเรียกว่า แอล เอ ดี (L.A.D.) เครื่องมือนี้จะเป็น ฝ่ ายรับข้อมูลทางภาษา ซึ่งมาจากประโยคต่าง ๆ เด็กก็จะเกิดการเรียนรู้กฎต่าง ๆ ทาง ไวยากรณ์ที่มีใช้ในภาษากฎทางไวยากรณ์ต่าง ๆ นี้ก็คือความรู้ในภาษา (Competence) 4. ทฤษฎีความสัมพันธ์(Interaction Theory) ได้มีนักสังคมวิทยาภาษาศาสตร์ และนักจิตวิทยากลุ่มหนึ่งเสนอขึ้นโดยกล่าวว่า คนเราเกิดมานั้นจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างติดตัว มาท าให้คนผิดไปจากสัตว์อื่น แต่ ไม่ใช่ แอล เอ ดี สิ่งนั้นคือ ความสามารถในการเรียนภาษา (Language Capacity) และความรู้เกี่ยวกับโลก (Cognitive Knowledges) 5. ทฤษฎีความบังเอิญจากการเล่นเสียง (Babble Luck) ซึ่งธอร์นได์ (Thondike) เป็นผู้คิดโดยอธิบายว่า เมื่อเด็กก าลังเล่นอยู่นั้นเผอิญมีบางเสียงไปคล้ายกับเสียงที่มีความหมาย ในภาษาพูดของพ่อแม่ พ่อแม่จึงให้รางวัลในทันทีด้วยวิธีนี้เด็กจะมีพัฒนาการทางภาษาไปเรื่อย 6. ทฤษฎีชีววิทยา (Biological Theory) ของอิริค เลนเนเบอร์ก (Eric Lenneberg) เชื่อว่า พัฒนาการทางภาษานั้นมีพื้นฐานทางชีววิทยาเป็นส าคัญ กระบวนการที่คนพูดได้ก็เกิด จากการที่คนสามารถ่ายทอดภาษากันได้ 7. ทฤษฎีการให้รางวัลของแม่ (Mother Reward Theory) จอห์น ดอลลาร์ด (John Dollard) และนิล มิลเลอร์ (Neel Miller) เป็นผู้คิดตั้งทฤษฎีนี้ โดยย ้าเกี่ยวกับบทบาทของแม่ใน การพัฒนาภาษาของเด็กว่าภาษาที่แม่ใช้ในการเลี้ยงดูเพื่อสนองความต้องการของลูกจะเป็นเหตุ ให้เกิดภาษาพูดแก่ลูก จากการศึกษาทฤษฎีและกระบวนการการเรียนรู้ภาษาดังกล่าวมาจะเห็นได้ว่า พัฒนาการทางภาษาหรือการพูดของเด็กปฐมวัยนั้น จะต้องผ่านกระบวนการพัฒนามาเป็นล าดับ ขั้น เด็กสามารถเรียนรู้ภาษาได้หลายรูปแบบแตกต่างกันไปและการเรียนรู้นั้นเป็นไปอย่าง รวดเร็ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่าง ๆ ทางสังคม เช่น สิ่งแวดล้อม ตัวเด็กเองตลอดจน
22 ปฏิกิริยาตอบสนองจากสิ่งเร้า โดยกระบวนการเรียนรู้เริ่มอย่างไม่เป็นกฎเกณฑ์ มีการ ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ และบุคคลใกล้ตัวในลักษณะการเลียนแบบหรือการปฏิบัติแบบลองผิด ลองถูก และเมื่อเด็กได้รับการเสริมแรงก็จะเกิดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหาก การเรียนรู้นั้นเป็นการเชื่อมโยงความรู้ใหม่ เข้ากับความรู้เดิม ก็จะท าให้เด็กมีพัฒนาการทาง ภาษาหรือพัฒนาการทางการพูดได้ดียิ่งขึ้น 2.2.4 พัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัย มีนักการศึกษาได้ให้ความหมายของพัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัยไว้ดังนี้ เบญจมาศ พระธานี (2558, หน้า 8) พัฒนาการทางภาษา (Language Development) หรือพัฒนาการทางการพูด (Speech Development) เป็นความก้าวหน้าในการ ใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น เพื่อรับรู้หรือแสดงความรูสึก ความคิดเห็นและติดต่อซึ่งกัน และกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือพัฒนาด้านความเข้าใจภาษาและพัฒนาการด้านการ แสดงออกทางภาษาตามปรัชญาการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษานั้นเป็นการจัดการศึกษาเพื่อ พัฒนาเด็กตั้งแต่ 0 - 5 ปี ดังนั้นพัฒนาการพูดของเด็กปฐมวัยจึงได้แสดงไว้ดังตารางพัฒนาการ ทางภาษาและการพูดในด้านความเข้าใจและการใช้ภาษา (สถาบันราชานุกูลกรมสุขภาพจิต กระทรวงศึกษาธิการ. 2558, หน้า 7-10) ดังตารางที่ 2.1
23 ตาราง 2.1 พัฒนาการทางภาษาและการพูดในด้านความเข้าใจและการใช้ภาษา อายุ ความเข้าใจภาษา การใช้ภาษา 1 เดือน - เมื่อได้ยินเสียงดังจะสะดุ้ง ขยับตัว ขยิบตา หรือร้องไห้ - เด็กร้องไห้เมื่อหิว เปียก หรือไม่ สบาย 3 เดือน - เมื่อได้ยินเสียงแม่อยู่ใกล้ๆเด็กจะ ยิ้มหรือนิ่งฟัง - ท าเสียงอ้อแอ้เมื่อมีความพึงพอใจ 6 เดือน - หันไปมองยังที่มาของเสียงที่ไม่ดัง นัก - เล่นเสียงทีละพยางค์หรือสอง พยางค์เช่น กา - กา อา - คา เป็น ต้นเริ่มเล่นเสียงต่าง ๆ 9 เดือน - ท าตามค าสั่งได้เช่น บ๊ายบาย - หยุดเล่นเมื่อถูกดุหรือ เมื่อบอกว่า “อย่า” - ท าเสียงโต้ตอบไม่เป็นภาษาเมื่อมี คนมาพูดด้วย - เลียนแบบการเล่นเสียงของผู้อื่น - ท าเสียงเพื่อเรียกร้องความสนใจ - เลียนเสียงแปลกๆเช่น สุนัขเห่า เสียงจิ้งจก 12 เดือน - หันไปหาเมื่อถูกเรียกชื่อ - เข้าใจค าพูดที่ได้ยินบ่อย ๆ เช่น “เอา” “ไม่เอา” - เข้าใจค าศัพท์ได้10 ค า - การเล่นเสียงเป็นภาษายังมีอยู่ แต่ เพิ่ม จ านวนพยางค์มากขึ้น - เริ่มพูดค าที่มีความหมายได้2 - 3 ค าเช่น พ่อ แม่ หม ่า ไป เป็นต้น - ตอบสนองต่อค าพูดโดยใช้ท่าทาง ง่าย ๆ เช่น พยักหน้า หรือสั่นหัว 18 เดือน - เข้าใจ และท าตามค าสั่งง่ายๆ ได้ เช่น“ไปเอารถมา” “นั่งลง” “ยืนขึ้น” เป็นต้น - ชี้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้1 - 3 อย่าง - ชี้สิ่งของหรือบุคคลที่คุ้นเคยได้เมื่อ บอกให้ชี้เช่น “แม่อยู่ไหน” “พ่ออยู่ ไหน” “นาฬิกาอยู่ไหน” - เข้าใจค าศัพท์ได้50 ค า - ยังพูดไม่เป็นภาษา บางครั้งอาจ พูดค าที่มีความหมาย และไม่มี ความหมายปนกันโดยมีน ้าเสียง แบบผู้ใหญ่ - พูดเป็นค าที่มีความหมายได้ ประมาณ10 - 20 ค า โดยมากจะ ใช้ค าพูดเมื่อเรียกชื่อสิ่งต่าง ๆ ที่ เด็กเห็นบ่อย ๆ เช่น หมา แมว - บอกความต้องการง่าย ๆ ได้เช่น “เอา” “ไป”
24 อายุ ความเข้าใจภาษา การใช้ภาษา - พูดโต้ตอบโดยพูดซ ้าหรือพูด เลียนแบบ ค าพูด ผู้อื่น - ชอบออกค าสั่งโดยใช้ค าพูดร่วมกับ ทาง 2 ปี - ชี้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้5 อย่าง - เข้าใจค าถามได้มากขึ้น เช่น “นี่ อะไร…” “….อยู่ไหน” - ชี้รูปสิ่งของต่างเมื่อบอกให้ชีได้ - เข้าใจค าศัพท์1,200 ค า - พูดค าที่มีความหมายได้50 - 400 ค า - พูดเป็นประโยคที่ยาว 2 - 3 ค าได้ เช่น “เอามา” “ไปเที่ยว” - ยังคงชอบเลียนค าพูดของผู้อื่น - พูดเสียงวรรณยุกต์ได้ถูกต้องทุก เสียง - พูดแบบไม่เป็นภาษาลดลงอย่าง มากจนแทบไม่มีเลย 3 ปี - แสดงความสนใจที่จะฟังค าพูดเมื่อ แม่อธิบายให้เด็กฟัง - ชอบฟังนิทาน - ชี้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ไม่ต ่า กว่า 7 อย่าง - เข้าใจค ากริยาง่าย ๆ ได้ - เข้าใจค าศัพท์2.400 - 3,600 ค า - เข้าใจค าที่เป็นประโยคยาว ๆ ได้ เช่น “หนูกินข้าวให้เสร็จก่อนแล้ว แม่จะพาไปนั่งรถ” - เข้าใจค าบุพบท เช่น บน ใต้ขึ้น ลงเป็นต้น - บอกชื่อตนเองได้ - ชอบพูดคนเดียวในขณะที่ท าสิ่ง ต่าง ๆ - ชอบถามค าถามมากขึ้น เช่น “สี อะไร” “แม่อยู่ไหน” “นั่นใคร” - พูดค าศัพท์ได้900 - 1,200 ค า - พูดเป็นประโยคได้ประมาณ 3 ค า แต่อาจพูดไม่ชัด - ชอบเล่าเหตุการณ์ที่ก าลังประสบ อยู่ - มีการพูดไม่คล่องได้ - พูดเสียงสระได้ชัดเจนทุกเสียง - เสียงที่พูดได้ชัดเจน คือ (ม น ห ย ค อ ว บ ป ก) 4 ปี - เข้าใจค าศัพท์4,200 - 5,600 ค า - มีทักษะในการฟังดีขึ้นและตั้งใจฟัง ได้นานขึ้น - พูดให้คนอื่นเข้าใจได้ดีแต่พูดไม่ชัด - พูดเป็นประโยคยาวๆได้4 ค าโดย เฉลี่ย
25 อายุ ความเข้าใจภาษา การใช้ภาษา - เล่าเรื่องได้โดยมีเนื้อหาที่ ต่อเนื่องกัน - พูดโอ้อวดและวิจารณ์ผู้อื่น - ชอบถาม “ท าไม่” “เมื่อไร” - พูดได้ตั้งแต่ 1,500 - 1,800 ค า - ใช้ประโยคซับซ้อนได้มากขึ้น มี ลักษณะทางไวยากรณ์เกือบ สมบูรณ์ - สามารถบอกค าตรงกันข้ามได้เช่น “ช้างตัวใหญ่” “กระต่ายตัวเล็ก” - เสียงพยัญชนะที่พูดได้เพิ่มเติมคือ (ท ต ล จ พ ง ด) 5 ปี - เข้าใจค าศัพท์6,500 - 9,600 ค า - พูดค าศัพท์ประมาณ 2,000 ค าขึ้น ไป - พูดได้เป็นประโยคได้ประมาณ 4 - 5 ค า - ใช้ไวยากรณ์ได้ถูกต้องเกือบเท่า ผู้ใหญ่ - สามารถบอกได้ว่าของสิ่งนั้นท า ด้วยอะไร เช่น “บ้านท ามาจาก อะไร” - เสียงพยัญชนะที่ออกได้ชัดเพิ่มขึ้น คือ (ฟ ช) 6 ปี - เข้าใจค าศัพท์ได้ประมาณ 13,500 - 15.000 ค า - พูดได้ประมาณ 2,500 ค าขึ้นไป - พูดเป็นประโยคยาวได้6 ค าโดย เฉลี่ย - รู้จักใช้ค าเปรียบเทียบ ขนาด รูปร่าง - เสียงพยัญชนะที่ออกได้ชัดเพิ่มขึ้น คือ (ส)ส่วนเสียง (ร) เด็กจะพูดชัด เมื่ออายุ7 ปีขึ้นไป
26 สรุป พัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัยหมายถึงความก้าวหน้าในการสื่อสารของ เด็กปฐมวัยซึ่งหมายรวมทั้งความเข้าใจในภาษาหรือการพูดและการแสดงออกหรือการใช้ภาษา 2.2.5 กิจกรรมที่ส่งเสริมการพดูของเดก ็ปฐมวยั กิจกรรมที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางการพูดให้กับเด็กนั้น มีกิจกรรมหลาย รูปแบบเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้พูดคุย ซักถาม และแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระ เพื่อให้เกิดประสบการณ์ตรงเกิดการเรียนรู้ ได้พัฒนาครบทุกด้าน (กรมวิชาการ. 2560, หน้า 36-37) ตามแนวการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ที่สามารถจัดได้หลากหลายวิธี เช่น 1. การสนทนา อภิปราย เป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาในการพูด การฟัง รู้จักแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ซึ่งสื่อที่ใช้อาจเป็นของจริง ของ จ าลอง รูปภาพ สถานการณ์จ าลองฯลฯ 2. การเล่านิทาน เป็นการเล่าเรื่องต่าง ๆ ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่เน้นการปลูกฝังให้ เกิดคุณธรรม จริยธรรม วิธีการนี้จะช่วยให้เด็กเข้าใจได้ดีขึ้น ในการเล่านิทานสื่อที่ใช้อาจเป็น รูปภาพ หนังสือนิทาน หุ่นการแสดงท่าทางประกอบการเล่าเรื่อง 3. การสาธิต เป็นการจัดกิจกรรมที่ต้องการให้เด็กได้สังเกตและเรียนรู้ตามขั้นตอน ของกิจกรรมนั้น ๆ ในบางครั้งครูอาจให้เด็กอาสาสมัครเป็นผู้สาธิตร่วมกับครู เพื่อน าไปสู่การ ปฏิบัติจริงเช่นการเพาะเมล็ด การเป่าลูกโป่ง การเล่นเกมการศึกษา 4. การทดลองปฏิบัติการ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง เพราะ ได้ทดลองปฏิบัติด้วยตนเองได้สังเกตการเปลี่ยนแปลง ฝึกการสังเกต การคิดแก้ปัญหา และ ส่งเสริมให้เด็กมีความอยากรู้อยากเห็น และค้นพบด้วยตัวเอง เช่น การประกอบอาหาร การ ทดลองวิทยาศาสตร์ง่าย ๆ การเลี้ยงหนอนผีเสื้อ การปลูกพืช ฯลฯ 5. การศึกษานอกสถานที่ เป็นการจัดกิจกรรมที่ท าให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง อีกรูปแบบ หนึ่งด้วยการพาเด็กไปทัศนศึกษาสื่อต่าง ๆ รอบโรงเรียน หรือสถานที่นอกโรงเรียน เพื่อเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์แก่เด็ก 6. การเล่นบทบาทสมมุติ เป็นตัวละครต่าง ๆ ตามเนื้อเรื่องในนิทาน หรือเรื่องราว ต่าง ๆ อาจใช้สื่อประกอบการเล่นสมมติเพื่อเร้าความสนใจและก่อให้เกิดความสนุกสนาน เช่น หุ่นสวมศีรษะ ที่คาดศีรษะรูปคน และสัตว์รูปแบบต่าง ๆ เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ของจริง ชนิดต่าง ๆ 7. การร้องเพลง เล่นเกม ท่องค าคล้องจองเป็นการจัดให้เด็กได้แสดงออกเพื่อ ความสนุกสนานเพลิดเพลิน และเรียนรู้เกี่ยวกับภาษาและจังหวะ ปริศนา สิริอาชา (2557, หน้า 91 - 96) กล่าวว่า การที่ดีจะช่วยให้เด็กเป็นนักพูด ที่ดี คือการพูดคุยกับเด็กบ่อย ๆ ค าพูดต่าง ๆ ของเด็กอายุ 3 ขวบ มักเป็นค าที่ได้รับมาจากพ่อ แม่ และผู้ใกล้ชิด หลังจากนั้นเด็กจึงเริ่มเรียนรู้ค าต่าง ๆ เองดังนั้น การพูดจาของบุคคลที่
27 แวดล้อมเด็กอยู่จึงเป็นสิ่งส าคัญมาก เช่น การสอนให้เด็กรู้จักความหมายของค า เช่น หนูกินข้าว ด้วยขันหรือลูกบอลจ๊ะ? หรือหนูใช้ตามองหรือใช้นิ้วมองจ๊ะ? การสอนค าจากท่าทางสอนจากการ อ่านนิทานให้ฟัง การเล่นเกมสมมุติ การร้องเพลงประกอบท่าทาง การหัดให้เด็กได้ตอบค าถาม การเล่นน าทาง การเรียงล าดับเหตุการณ์ประจ าวันเป็นต้น 2.3 เอกสารที่เกี่ยวข้องกบันิทาน 2.1.1 ความหมายของนิทาน ความหมายของนิทาน มีหน่วยงาน และนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง ความหมายของนิทานไว้ดังนี้ ราชบัณฑิตยสถานพุทธศักราช (2558, หน้า 588) ได้ระบุความหมายของนิทาน ไว้ว่า นิทาน หมายถึงเรื่องที่เล่ากันมา เช่น นิทานชาดก นิทานอีสป นฤมล จิ๋วแพ (2559, หน้า 14) กล่าวว่า นิทาน คือ เรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาหรือ มีผู้แต่งขึ้น เพื่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน สร้างสรรค์จินตนาการ สอดแทรกความคิด และจริยธรรมอันดีงาม เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนที่ถูกที่ควร นอกจากนี้ยังช่วยปลูกฝัง นิสัย รักการอ่านหนังสือให้ลับเด็กอีกด้วย สาธิณี วิทยาขาว (2559, หน้า 23) กล่าวว่า นิทานเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาอิง ความเป็น จริงและจินตนาการ วัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความสนุกสนานและคติสอนใจหรือ ความรู้จาก เนื้อหานิทาน ประคอง นิมมานเหมินทร์ (2560, หน้า 9) กล่าวว่า นิทานเป็นเรื่องที่เล่ากันต่อ ๆ มาจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง โดยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แต่ง เช่น นิทาน เรื่องสังข์ทอง ปลาบู่ ทอง หรือโสนน้อยเรือนงาม มีการเล่าสู่กันฟังจากปู่ย่าตายายของเรา พ่อแม่ ของเรารวมทั้งตัว เราเอง ไปจนถึงลูกหลานเหลนโหลนของเรา เป็นทอด ๆ กันไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า บางครั้งก็ แพร่กระจายจากท้องถิ่นหนึ่งไปสู่อีกท้องถิ่นหนึ่ง เช่น นิทานเรื่องสังข์ทอง อาจมีหลายส านวน แล้วแต่ความทรงจ า ความเชื่อ อารมณ์ของผู้เล่า และวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น ดวงสมร ศรีใสค า (2562, หน้า 29) กล่าวว่า นิทานเป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และเกิดความรู้ สามารถน ามาปรับเปลี่ยน ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวันได้ จารุณี ศรีเผือก (2564, หน้า 17) กล่าวว่า นิทาน คือ เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมา เพื่อให้เด็กเกิดความสนุกสนานและความบันเทิง ซึ่งนิทานอาจเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องที่สมมติขึ้น ท าให้เด็กเกิด จินตนาการจากเรื่อง ได้แง่คิดคติสอนใจ เด็กสามารถน าไปเป็นต้นแบบต่อการ ปฏิบัติตนในชีวิต ประจ าวันและใช้ในอนาคตได้
28 จากความหมายของนิทานข้างต้น สรุปได้ว่า นิทานเป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา หรือมีผู้แต่งขึ้นใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายในการตอบสนองความต้องการทางด้านจิตใจเป็นส าคัญ เพื่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน เกิดความคิดสร้างสรรค์ในจินตนาการ อาจมีการ สอดแทรกคติสอนใจ หรือแนวทางการด าเนินชีวิตประจ าวันที่ดีงามส าหรับเด็ก นิทานมี ประโยชน์และความส าคัญต่อเด็กอย่างยิ่งนอกจากนิทานจะช่วยชักจูงให้เด็กเกิดความเข้าใจ เกิด ความซาบซึ้งในพฤติกรรมที่ต้องการปลูกฝังแล้วนิทานยังเป็นสื่อการสอนที่ส าคัญอย่างหนึ่ง เด็ก ที่ได้รับฟังนิทานที่สนุกสนานก็จะเกิดการเรียนรู้ค าต่าง ๆ ที่ได้รับจากการฟังและเลียนแบบ ค าพูดซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการทางภาษาของเด็กได้โดยที่เด็กไม่รู้ตัวได้ การเล่านิทานให้เด็กฟัง เป็นประจ าสม ่าเสมอ จึงเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีตามวัยของเด็ก ทั้ง ในด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา และภาษา รวมทั้งเป็นการส่งเสริมสัมพันธภาพอัน ดี ให้กับผู้ร่วมกิจกรรมทั้ง 2 ฝ่าย ให้มีความรู้สึกใกล้ชิด ผูกพันกันและกันให้แน่นแคว้นยิ่งขึ้น 2.1.2 ประเภทของนิทานสา หรบัเดก ็ นิทานส าหรับเด็กในปัจจุบันมีอยู่หลายประเภทด้วยกัน การแบ่งประเภทของ นิทานจึงขึ้นอยู่กับว่าใช้หลักเกณฑ์ใดในการแบ่ง ซึ่งได้มีผู้แบ่งประเภทนิทานต่าง ๆ ไว้ดังนี้ เกริก ท่วมกลาง และจินตนา ท่วมกลาง (2557, หน้า 78 - 81) กล่าวถึง การแบ่ง ประเภท ของนิทานตามโดยใช้เกณฑ์เนื้อหาสาระของนิทานเป็นหลักสามารถแบ่งได้ 11 ประเภท ดังนี้ 1. เทวต านาน เป็นเรื่องราวการอธิบายการก าเนิดเทพ จักรวาล โลก มนุษย์ สัตว์ สรรพสิ่งในโลกโครงสร้างของความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ และกฎเกณฑ์การควบคุมความ ประพฤติให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข รูปแบบนิทานเป็นการประพฤติปฏิบัติที่ผิด ศีลธรรม ละเมิดกฎที่วางไว้สาเหตุมาจากความโลภ ความเห็นแก่ตัวแล่ได้ความประมาท ท าให้เกิดความ เสียหายผู้เกี่ยวข้องได้รับความเดือดร้อน เทพหรือเทวดาผู้มีบทบาทดูแลความทุกข์สุข หรือ ควบคุมกฎเกณฑ์การอยู่ร่วมกันจึงลงโทษวิธีการต่าง ๆ ที่เป็นคติเดือนใจไม่ให้มีการปฏิบัติ ละเมิดกฎข้อบังคับอีก 2. นิทานศาสนา เป็นเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับศาสนา ความศรัทธา พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์บุคคลส าคัญในพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล รวมถึงบุคคลส าคัญ ด้านศาสนาที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธา ลักษณะนิทานเป็นเรื่องประวัติพระพุทธเจ้าเสด็จไปในที่ต่าง ๆ การปราบมารการท ากิจที่ส าคัญ ซึ่งเรื่องเล่ามักเกี่ยวกับสถานที่ส าคัญที่ประชาชนนับถือ และใน ปัจจุบันยังมีนิทานที่เกี่ยวข้องกับบุคคลส าคัญในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการเล่าถึงประวัติหรือ ผลงานที่ส าคัญของพระสงฆ์ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เช่น องคุลิมาล นางวิสาขา พระธาตุดอยตุง เป็นต้น
29 3. นิทานคติ เป็นนิทานที่เกี่ยวกับหลักศาสนาเรื่องกฎแห่งกรรม หรือการท าดีได้ดี ท าชั่วได้ชั่ว ลักษณะนิทานเป็นการประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสมกับความโลภ มักง่าย แก้แค้น อิจฉา ต้องการให้ผู้อื่นได้รับทุกข์ และผู้กระท าได้รับความทุกข์ความเสียหายจากการกระท าของ ตนเอง เรียกว่า ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ในตอนท้ายมีแนวคิดสั่งสอนเป็นคติเตือนใจแก่ ผู้อ่านไม่ให้ประพฤติปฏิบัติตามเนื้อเรื่อง 4. นิทานชีวิต เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก การต่อสู้ การผจญภัยของมนุษย์ สัตว์สิ่งของ ซึ่งตัวเอกของเรื่องต้องใช้ความอดทน กล้าหาญ เสียสละ การประพฤติดี มีคุณธรรม ความฉลาด กลโกงในการแก้ปัญหา จึงได้รับผลส าเร็จในการแก้ปัญหาเรื่องราวนั้นได้ ซึ่งนิทาน ประเภทนี้บางครั้งลักษณะเหมือนจริงเกี่ยวกับความเชื่อ สถานที่ และเวลาที่มีรายละเอียด แน่นอน เช่น ขุนช้างขุนแผน ไกรทอง พระอภัยมณี เป็นต้น 5. นิทานมหัศจรรย์หรือเทพนิยาย เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ ความ มหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากของวิเศษ รูปแบบนิทานตัวละครมักเป็นกษัตริย์เจ้าหญิง ยักษ์ เกี่ยวข้อง กับจักร ๆ วงศ์ ๆ การด าเนินเรื่องมักเป็นเรื่องความรัก ความอิจฉา การพลัดพราก การผจญภัย การต่อสู้ การค้นหาสิ่งของ ที่ส าคัญที่ตัวเอกของเป็นเรื่องจะต้องเอาชนะให้ได้ ฉากดินแดนที่อาจ เป็นแดนมหัศจรรย์แดนในฝัน เช่น ปลาบู่ทอง พระสุทน สังข์ทอง เป็นต้น 6. นิทานประจ าถิ่น เป็นเรื่องราวขนบธรรมเนียมประเพณีและบุคคลส าคัญในแต่ ละท้อองถิ่นซึ่งแต่ละเรื่องมีความเชื่อเกี่ยวข้องกับสถานที่ สิ่งของ บุคคลที่มีชื่อจริงในแต่ละ ท้องถิ่น รูปแบบนิทานเล่าประวัติ บุคคล สถานที่ ในแต่ละท้องถิ่นที่น ามาเล่าติดต่อกันจนถึง ปัจจุบัน เช่น พญากง พญาพาน กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เป็นต้น 7. นิทานอธิบายเหตุ เป็นเรื่องราวที่อธิบายความเป็นมาของสรรพสิ่งต่าง ๆ คน สัตว์สิ่งของ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ พิธีกรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี รูปแบบนิทาน มัก อธิบาย อะไร เป็นอย่างไร ท าไมต้องเป็นอย่างนั้น การด าเนินเรื่องเป็นการตอบข้อสงสัย อธิบาย ค าตอบที่สงสัยของสั่งต่าง ๆ อย่างสมเหตุสมผล หรือหาเหตุผลมาสนับสนุนให้มีความน่าเชื่อ เช่น ท าไมน ้าทะเลจึงเค็ม ท าไมจึงเกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง เป็นต้น 8. นิทานสัตว์เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับความฉลาด เจ้าปัญญา ความเก่ง ความโง่ เขลา ความเจ้าเล่ห์ กลโกงของสัตว์ที่มีโครงเรื่องแสดงลักษณะคล้ายมนุษย์ พฤติกรรมชิงความ เป็นผู้ชนะในด้านการเป็นผู้น า เจ้าป่ า ไหวพริบ เพื่อให้ได้รับการยกย่อง ยอมรับจากสัตว์ ทั้งหลาย เรื่องมักจบแบบมีคติเตือนให้ทุกชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เช่น กระต่ายกับเต่า จระเข้กับลิง แม่โคกับแม่เสือ เป็นต้น 9. นิทานผี เป็นเรื่องราวลึกลับที่เกี่ยวกับภูตผีปีศาจ ที่มีประวัติยาวนานเป็นที่ชื่น ชอบของผู้ฟังที่ผีแสดงอิทธิฤทธิ์กระท าให้เกิดความกลัวต่อมนุษย์ตามลักษณะของผี แต่ละ ประเภทที่มีลักษณะการแสดงหลอก การแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ตลอดทั้งมีรูปร่าง หน้าตา
30 อาการแสดงออกให้เกิดความน่าตื่นเต้น ขยาดกลัว ตามธรรมชาติของผีประเภทนั้น ๆ เช่น ผี ปอบ เสือสมิง แม่นาคพระโขนง ผีกระสือ ผีตานี ผีนางตะเคียน เป็นต้น 10. นิทานตลก เป็นเรื่องราวตลกขบขัน ลักษณะนิทานที่น ามาเล่าแสดงถึง ความ ฉลาด ความโง่ กลลวง กลโกง ความฉลาดแกมโกง การด าเนินเรื่องจะสนุกสนานอยู่ที่ความไม่ น่าจะเป็นไปได้แต่เพราะพฤติกรรมของตัวละครที่แสดงความฉลาด ความโง่ออกมา แก้ปัญหา เฉพาะหน้าท าให้เกิดมุขตลกขบขันขึ้นบางเรื่องน ามาเสนอเกี่ยวกับการชิงไหวพริบของพ่อตากับ ลูกเขยความพิการของบุคคล และแสดงความเห็น ความเชื่อออกมาจนเป็นมุข ให้สนุกสนานและ นิทานประเภทตลกหยาบโลนเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของพระ แม่ชี สามเณร นักบวช จะเป็น เรื่องที่น ามาเล่าเฉพาะกลุ่ม เพื่อความสนุกสนานบางทีเรียกว่า นิทานล้อม นิทานตลกมีมากมาย เช่น พ่อตากับลูกเขย ไอ้ขาติดกับไอ้ตาบอด หลวงพ่อกับสามเณร 11. นิทานเข้าแบบ เป็นเรื่องเล่าที่สร้างและวางโครงเรื่องเป็นพิเศษเฉพาะตัวใน การเล่าให้มีความคล้องจอง สามารถพูดหรือเล่าได้ง่ายในรูปประโยคที่ใช้ภาษาเรียบง่ายเพื่อให้ เล่าง่าย ๆ ได้ถูกต้อง นิทานประเภทนี้มีการแต่งไว้น้อยเพราะต้องใช้รูปแบบเฉพาะ เช่น นิทาน เรื่องตากับยาย ปลูกถั่วปลูกงาให้หลานเฝ้า เป็นต้น วรรณี คิริสุนทร (2559, หน้า 13 - 19) ได้แบ่งนิทานส าหรับเด็กออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ 1. นิทานพื้นบ้าน (Folk Tales) เป็นเรื่องที่เล่าสืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านาน จน ภายหลังมีการเขียนขึ้นตามเค้าเดิมบ้าง จดจ าเรื่องราวมาเขียนขึ้นบ้าง ไม่ปรากฏว่าผู้แต่งดั้งเดิม เป็นใคร มักจะกล่าวอ้างว่าเป็นของเล่าแล้วเอามาเล่าใหม่ นิทานพื้นบ้านแบ่งเป็นชนิดใหญ่ ๆ ดังนี้ 1.1 นิทานเกี่ยวกับสัตว์พูดได้ (Talking - deast Tales) มีตัวละครเป็นสัตว์ พูดจาโต้ตอบกันบางครั้งสัตว์ก็พูดจาโต้ตอบกับคนด้วย เช่น เรื่องแม่ไก่สีแดง ปลาบู่ทอง เป็นต้น 1.2 นิทานไม่รู้จบ (Cumulative Tales) เป็นนิทานเรื่องธรรมดาพื้น ๆ แต่เนื้อ เรื่อง มีการกระท าต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ และซ ้า ๆ กัน เช่น เรื่องตากับยาย ลูกไก่ตื่นตูม 1.3 นิทานตลกขบขัน (The Drolls หรือ Humorous Tales) เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ เป็นท านอง ไร้สาระหรือโง่เขลา และแปลกประหลาด ชวนให้เห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน บางครั้งก็ เป็นการใช้ปฏิภาณ ไหวพริบ เช่น เรื่องศริธนณไชย 1.4 นิทานอธิบายเหตุ (Explanatory Tale) ส่วนใหญ่นิทานพื้นบ้านชนิดนี้มี เนื้อเรื่อง อธิบายหรือตอบค าถามของเด็ก ๆ ว่า ท าไม...? ส่วนใหญ่อธิบายเกี่ยวกับลักษณะของ สัตว์หรือ ขนบธรรมเนียมประเพณีของผู้คนในชาติต่าง ๆ บางครั้งก็เกี่ยวกับธรรมชาติ เช่น เรื่อง ท าไมกระต่าย จึงหางสั้น ท าไมเสือจึงมีลาย น ้าทะเลท าไมจึงเค็ม 1.5 เทพนิยาย (Fairy Tales) บางครั้งเรียกว่า นิทานเกี่ยวกับเวทมนต์คาถา (Tales of Magic) ลักษณะของนิทานชนิดนี้ที่เห็นเด่นชัด คือ เรื่องมักยาก ซับซ้อน ตัวละครมักมี
31 อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์สามารถดลบันดาลสิ่งที่ดีงามหรือสิ่งที่ชั่วร้ายได้เป็นนิทานพื้นบ้านชนิดที่ ครองใจเด็กมาเป็นเวลาช้านาน มักนิยมขึ้นต้นว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว หรือในกาลครั้งหนึ่ง เช่น เรื่อง สังข์ทอง พระรถเมริ เจ้าหญิงนิทรา 2. นิทานสอนคติธรรม (Fables) มีลักษณะเป็นนิทานสั้น ๆ ตัวละครมีทั้งคน และ สัตว์ที่มีบทบาทเหมือนคน มีแกนเรื่องแกนเดียว มีโครงเรื่องง่ายและสั้น และต้องใช้บทเรียนที่ สอนใจ เป็นข้อสรุปที่ชัดเจน นิทานคติธรรมของต่างประเทศที่รู้จักกันดี ได้แก่ นิทานอีสป (Aesops Fables) ผู้วิจัย คือ Aesop ซึ่งเข้าใจว่าเป็นทาสชาวกรีก มีชีวิตอยู่ระหว่าง 620-560 ปี ก่อนคริสตกาล เนื่องจากเขาถูกจ ากัดเสรีภาพในการพูดและการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง จึงพยายามหาทางออกด้วยการแสดงนิทานสอนคติธรรม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 2.1 นิทานเทียบสุภาษิต เป็นนิทานที่มักจะยกสุภาษิตเป็นโคลง 1 บท แล้วมี นิทานเปรียบเทียบได้กับโคลงนั้น 2.2 นิทานชาดก เป็นนิทานสอนคติธรรมของอินเดีย ซึ่งค าว่า ชาดก แปลว่า เกิดแล้ว หมายถึง เรื่องราวของพระพุทธเจ้าและพระสาวกที่เกิดขึ้นมาแล้วในชาติก่อน ๆ และแต่ ละชาติได้บ าเพ็ญบารมี คือความดียิ่งขึ้น จนชาติสุดท้ายได้ส าเร็จเป็นพระพุทธเจ้า 3. นิทานปกรณัม (Myth) เป็นเรื่องที่แสดงใบ้เห็นเหตุการณ์และเรื่องราวในบรรพ กาลเกี่ยวกับพื้นโลก ท้องฟ้า และพฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์มีเทพเจ้าเป็นผู้ควบคุม ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งมีพลังอ านาจทางเวทมนต์คาถา และอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ได้แก่ เรื่อง The Heroes โดย Charies Kingsley และเรื่อง เทวดาพระเวท โดย อุดม รุ่งเรืองศรี 4. มหากาพย์และนิทานวีรบุรุษ (Epic and Hero Tales) เป็นนิทานที่มีลักษณะ คล้ายกับเทพปกรณัม ต่างกันแต่ว่าตัวละครของนิทานประเภทนี้เป็นมนุษย์ไม่ใช้เทพเจ้า มีการ กระท าที่กล้าหาญฟันฝ่ าอุปสรรคและประสบผลส าเร็จในที่สุด ได้แก่ เรื่อง กษัตริย์อาเธอร์ และษัศวนโตะกลม (King Arthur and the Knights of the Round) โรบนฮูด (Robin Hood) ราม เกียรติ (Ramayana) และเรื่องของวีรบุรุษประจ าท้องถิ่นต่าง ๆ เช่น ท้าวแสนปม ไกรทอง เป็น ต้น 5. หนังสือภาพที่เป็นเรื่องอ่านเล่นสมัยใหม่ส าหรับเด็กที่มีตัวเอกเป็นสัตว์ (Animal stories) นิทานเก่าที่มีตัวละครเป็นสัตว์เราจะพบมากในบทกลอนกล่อมเด็ก นิทานพื้นบ้านและ นิทานสอนคติธรรมแต่ในปัจจุบันนี้ได้มีผู้แต่งนิทานส าหรับเด็กที่มีตัวละครเป็นสัตว์โดยแบ่งเป็น 3 ชนิด ได้แก่ สัตว์ที่มีบทบาทการกระท าอย่างคน สัตว์ที่มีความเป็นอยู่อย่างสัตว์แต่พูดได้อย่าง คน และสัตว์ที่มีความเป็นอยู่และความนึกคิดตามธรรมชาติของสัตว์ เรื่องอ่านเล่นสมัยใหม่ ส าหรับเด็กเล็กที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ที่มีตัวละครเป็นสัตว์มีทั้งที่แต่งเป็นเรื่อง ๆ ไป และแต่ง ออกมาเป็นหนังสือชุด ตัวเอกส่วนใหญ่มีบทบาทที่ค่อนข้างซุกซนแต่เด็ก ๆ ชอบมาก และส่วน ใหญ่มีลักษณะเป็นหนังสือภาพ เช่น ลูกเป็ดขี้เหร่ (The Ugly Duck) เขียนโดย ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน
32 2.1.3 หลกัการและวิธีการเลือกนิทานสา หรบัเดก ็ ในปัจจุบันมีทั้งนิทานให้เลือกซื้อมากมายทั้งที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมกับเด็ก ดังนั้นจึงต้องมีการคัดเลือกนิทานที่เหมาะสมส าหรับเด็ก ฉวีวรรณ กินาวงศ์ (2558, หน้า 126) ได้ให้หลักการเลือกนิทานไว้ดังนี้ 1. เป็นเรื่องง่าย แต่มีความสมบูรณ์ในตัว เน้นเหตุการณ์อย่างเดียวให้เด็กพอจะ คาดคะเนเรื่องได้บ้าง อาจสอดแทรกเกร็ดที่ชวนให้เด็กสงสัยว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ท าให้เรื่อง ตื่นเต้น 2. เป็นเรื่องที่เด็กมีความสนใจอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตเด็ก ๆ และสัตว์ต่าง ๆ ก็ ได้ 3. ควรมีบทสนทนามาก ๆ เพราะเด็กส่วนมากไม่สามารถฟังเรื่องเป็นความเรียง ได้ดี และภาษาที่ใช้ต้องสละสลวยเหมาะสมกับวัยของเด็ก 4. มีการกล่าวซ ้าค า วลี หรือ ประโยค เพื่อจะจ าได้ง่ายและรวดเร็ว 5. ควรเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวและเกี่ยวกันกับชีวิตประจ าวันของเด็ก 6. เนื้อเรื่องถึงจุดสุดยอดง่ายและน่าพึงพอใจ เมื่อเล่าจบเด็กมีความสุข 7. ในเนื้อเรื่องควรมีตัวละครที่เด็กสามารถสมมุติเป็นตัวเองได้และชื่อของตัวละคร ควรเป็นภาษาไทย เป็นชื่อง่าย ๆ ที่เด็กเข้าใจความหมายได้ 8. เนื้อเรื่องควรสอดแทรกคติธรรม สอนตัวละครให้มีมารยาท ให้เป็นเด็กดี อบรม เด็กให้รู้ว่าท าดีได้ดี ท าชั่วได้ชั่ว พรจันทร์ จันทวิมล (2559, หน้า 103 - 105) ได้กล่าวถึง การเลือกนิทานที่ เหมาะสม ส าหรับเด็กปฐมวัยไว้ดังนี้ 1. เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่สมบูรณ์ เน้นเหตุการณ์อย่างเดียวให้เด็กพอคาดคะเนเรื่อง ได้ 2. มีการเดินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว 3. ตัวละครมีลักษณะเด่นที่จ าได้ง่าย 4. มีบทสนทนามาก ๆ เพราะเด็กส่วนมากไม่สามารถฟังเรื่องที่เป็นความเรียงได้ ดี 5. ใช้ภาษาง่าย ๆ ประโยคสั้น ๆ การกล่าวค าซ ้าหรือค าสัมผัสจะช่วยให้เด็กจดจ า ได้ง่ายและรวดเร็ว 6. สร้างความรู้สึก ความพอใจให้กับผู้ฟัง 7. เป็นเรื่องใกล้ตัวเด็ก เช่น ครอบครัว สัตว์เลี้ยง หรือเรื่องที่เด็กจินตนาการตาม ได้ 8. ความยาวไม่เกิน 15 นาที
33 อารมณ์ สุวรรณปาล (2562, หน้า 472 - 474) ได้ให้แนวคิดว่าการเลือกนิทานที่ เหมาะสมกับเด็กต้องพิจารณาสิ่งที่ส าคัญหลายประการคือ 1. เป็นเรื่องง่าย ๆ ด าเนินเรื่องดี มีจุดเด่นของเรื่องจุดเดียว เพื่อสะดวกที่จะท าให้ เด็กจับประเด็นของเรื่องโดยไม่ยากนัก 2. มีบทสนทนาบ้าง 3. ใช้ค าซ ้า ๆ ค าคล้องจอง และประโยคสั้น ๆ ที่เด็กจ าได้ง่าย ๆ 4. ภาษาที่ใช้ควรเป็นภาษาที่ดึงดูดความสนใจเด็ก และใช้ภาษาที่ถูกต้อง 5. เหตุการณ์ของเรื่องควรเป็นเหตุการณ์ที่ใกล้ตัวเด็ก 6. จุดเด่นของเรื่องควรง่ายและเป็นที่พอใจของเด็ก 7. ตัวละครเด่นควรมีเพียงตัวเดียว 8. ถ้ามีเรื่องของศาสนาวัฒนธรรมและเชื้อชาติควรเป็นเรื่องที่ใช้ภาพพจน์ที่ ถูกต้อง เกริก ยุ้นพันธ์ (2558, หน้า 58 - 60) กล่าวถึง นิทานที่เด็กสนใจแบ่งความ ต้องการและพัฒนาการของเด็กวัยต่าง ๆ ได้ดังนี้ 1. วัย 2 - 4 ขวบ เด็กวัยนี้จะสนใจค าพูดที่มีถ้อยค าคล้องจอง ชอบซักถาม เพราะ ความใคร่รู้ใคร่เห็น และชอบให้พี่เลี้ยงหรือพ่อแม่ร้องเพลงหรือท่องค าคล้องจองให้เขาฟังหรือ ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงกล่อมเด็กและเขาก็จะฟังจนมั่นใจ และในที่สุดเขาก็จะร้องตามหรือเล่นกับ ตุ๊กตาของเขา เด็กจะจ าค าลงท้ายของแต่ละประโยคของค าคล้องจองโดยออกเสียงตามหรือ เปล่งเสียงร้องตามด้วยเป็นค า ๆ 2. วัย 4 - 6 ขวบ เด็กวัยนี้จะให้ความสนใจเกี่ยวกับตัวเองน้อยลง และหันมาสนใจ สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวของเขามากขึ้น แต่ความสนใจของเด็กวัยนี้ยังเป็นระยะสั้น ๆ เท่านั้น ค า กล่อมที่มีค าคล้องจอง เช่น เพลงกล่อมเด็ก เด็กยังชื่นชอบอยู่ ค าทายที่ประลองปัญญา เด็กจะ ชอบมาก และนิทานที่เป็นค าประพันธ์สัมผัสคล้องจองเด็ก ๆ จะชอบมากด้วย เช่น หนูมีกับหนู มา หนูมีกับหนูมีตุ๊กตาหมาหนูมามีตุ๊กตาหมี เป็นต้น นอกจากนี้เด็กวัยนี้ยังชอบนิทานที่มีตัว เดินเรื่องหรือตัวเอกของเรื่องเป็นสัตว์พูดได้ เช่น หมาป่าพูดคุยกับหนูน้อยหมวกแดง เป็นต้น จากหลักเกณฑ์และแนวคิดในการคัดเลือกนิทานที่กล่าวมา จะเห็นว่าการคัดเลือกนิทานที่ดี ส าหรับเด็กเป็นสิ่งส าคัญต้องเลือกให้เหมาะสม เด็กจึงจะได้รับคุณประโยชน์จากนิทานอย่าง แท้จริงในทางตรงกันข้าม หากนิทานที่น าไปใช้กับเด็กไม่ได้รับการคัดเลือก โอกาสที่เด็กจะได้รับ สื่อทางภาษาที่ไม่เหมาะสมก็จะมีมากขึ้นด้วย ซึ่งไม่อาจคาดคะเนได้เลยว่า นิทานที่ไม่เหมาะสม นั้นจะสร้างผลในทางไม่ดีให้เด็กได้สักเพียงใด
34 2.1.4 หลกัการและเทคนิควิธีเล่านิทานสา หรบัเดก ็ เมื่อได้นิทานที่เหมาะสมจากการคัดเลือกตามหลักการแล้ว การน านิทานไปใช้ อย่างเหมาะสมในการถ่ายทอดสู่เด็กโดยการเล่าก็มีหลักการและเทคนิควิธีการในการเล่าแบบ ต่าง ๆ หลายวิธีการด้วยกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการน านิทานไปใช้เป็นส าคัญหลักการ และเทคนิควิธีการเล่านิทานมีผู้น าเสนอไว้ดังต่อไปนี้ ฉวีวรรณ กินาวงศ์ (2558, หน้า 26) ได้เสนอหลักการเล่านิทานที่น่าสนใจไว้ดังนี้ 1. การวางจุดมุ่งหมายของการเล่านิทานไว้อย่างแน่นอน 2. ศึกษาภูมิหลังของเด็กก่อนลงมือเล่า 3. ผูกเค้าโครงเรื่องอย่างรัดกุม คือ 3.1 เรื่องที่จะเล่ามีชื่อเรื่องเร้าใจ เนื้อหาน่าสนใจ 3.2 มีสาระแนวคิดเหมาะกับเด็ก 3.3 เป็นเรื่องสั้น ๆ ง่าย ๆ มีความส าคัญเรื่องเดียว 3.4 มีลักษณะเหมาะสมกับวัยของผู้ฟัง 3.5 มีข้อคิดเตือนใจ 4. ใช้ภาษาเล่าเรื่องโดยเฉพาะ ซึ่งมีความไพเราะแตกต่างกับภาษาพูดและภาษา เขียนแต่เน้นภาษาเร้าอารมณ์เป็นส าคัญ 4.1 เป็นภาษาเร้าใจ 4.2 เป็นภาษาง่าย 4.3 เป็นภาษาไทยพื้น ๆ ไม่หยาบโลน 4.4 เป็นภาษาที่คงไว้ซึ่งแบบแผนทางจริยธรรม 5. ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องให้สนุกสนาน 5.1 ขึ้นต้นเรื่องด้วยลีลาจูงใจ 5.2 ความยาวของเรื่องไม่เกินช่วงความสนใจของเด็ก 5.3 ด าเนินเรื่องตามเค้าโครงที่ก าหนด 5.4 ใช้ค าพูดที่เร้าใจและบุคลิกภาพที่ชวนมอง 5.5 อุปกรณ์ประกอบ เช่น ภาพ ดนตรี เลียงเพลง 5.6 อาจจัดให้มีการแสดงละคร บทบาทสมมุติ 6. ปลูกมโนทัศน์ในทางคุณธรรม คติชีวิต แนวประพฤติปฏิบัติโดยคาดหวังว่าจะ ได้เกิดการพัฒนาการใช้ชีวิตของเด็กเป็นส าคัญ 7. น าไปสู่กิจกรรมการพัฒนาทักษะการเรียนภาษา เช่น 7.1 เขียนภาษาตามเรื่อง 7.2 อภิปราย 7.3 รายงาน
35 8. การประเมินผลการเล่านิทาน ท าได้หลายกรณี เช่น 8.1 ประเมินจากพฤติกรรมในการร่วมกิจกรรม 8.2 ประเมินได้จากการอภิปรายและรายงาน 8.3 ประเมินได้โดยใช้แบบสัมภาษณ์ง่าย ๆ ในการเล่านิทานให้เด็กฟัง หากมี การก าหนดจุดประสงค์ก่อนการเล่าจะช่วยให้เกิดประโยชน์โดยตรงต่อผู้ฟังและผู้เล่า ทั้งยังจะ ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยความพึงพอใจ ฉวีวรรณ กินาวงศ์ (2558, หน้า 101 - 102) กล่าวว่า การเล่านิทานจะให้ได้ผล ตามจุดประสงค์นั้นจะต้องค านึงถึงสิ่งต่อไปนี้ 1. ท าความเข้าใจกับเนื้อหาเรื่องนิทานที่จะเล่าเสียล่อน โดยจินตนาการออกมา เป็นภาพ อ่านเรื่องช้า ๆ เพื่อจับใจความตัวละครและเหตุการณ์ทุกอย่าง ปิดหนังสือคิดย้อนเรื่อง ออกมาเป็นภาพ และอ่านทบทวนอีกครั้งเพื่อเก็บภาษาสละสลวยไปใช้ให้เหมาะสมกับเรื่อง 2. การเลือกค าควรเป็นค าที่ง่าย ๆ ที่เด็กฟังหรือนึกออกเป็นภาพในจินตนาการ ได้ ควรใช้ค าที่เกี่ยวกับการเปรียบเทียบด้วย เพื่อเด็กจะได้เข้าใจยิ่งขึ้น เช่น สูง - ต ่า, หนัก - เบา , ใหญ่ - เล็ก หรือค าที่เกี่ยวกับ รูป รส กลิ่น เสียง เป็นต้น 3. เมื่อในท้องเรื่องมีตัวละครคุยกัน ให้ใช้บทสนทนาเพราะท าให้เด็กตื่นเต้น 4. เริ่มต้นเรื่องให้ดีเพื่อเรียกร้องความสนใจ พยายามหลีกเลี่ยงการบรรยาย และ การอธิบายที่ไม่จ าเป็น 5. การเล่าเรื่องควรใช้เสียงแบบสนทนากัน คือ ช้า ชัดเจน มีหนักเบาแต่ไม่ควรมี เอ้ออ้าทีนี้ เป็นต้น เพราะจะท าให้เสียรสของเรื่อง และเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีของเด็ก 6. ขณะที่เล่านิทานควรจับเวลาให้ดี เว้นจังหวะอารมณ์ของเรื่อง เช่น ถ้าเนื้อเรื่อง มีสิ่งที่เร้าใจก็พูดให้เร็วขึ้น ท าท่าจริงจัง เมื่อถึงบทแปลกใจหรือตกตะลึงควรทอดระยะจะท าให้ ผู้ฟังคล้อยตามได้ดีที่สุด 7. นิทานที่น ามาเล่าให้ยาวพอ ๆ กับความสนใจของเด็ก คือ ประมาณ 15-25 นาที ส าหรับเด็กประถมศึกษา หรือถ้าเป็นค าก็จะประมาณ 1000 ค า ส าหรับประถมศึกษา ตอนต้น ถ้าเป็นเด็กเล็ก ๆ ประมาณ 100 ค า ในระดับอนุบาลประมาณ 500 ค า 8. เวลาเล่าต้องพยายามเป็นกันเองให้มากที่สุด ให้ความรักความสนิทสนมกับเด็ก อย่างจริงใจ ถ้าพบว่าเด็กคนใดคนหนึ่งคลายความสนใจจากนิทานและรบกวนสมาธิผู้อื่น ครู จะต้องให้ความสนใจทันทีอาจจะให้มานั่งใกล้ ๆ ครูก็ได้ 9. เวลาเล่าครูควรจะมีรูปภาพประกอบอาจเป็นหนังสือภาพ หุ่น หรือสื่อการสอน อื่น ๆ จะช่วยให้เด็กสนใจยิ่งขึ้น ถ้าผู้เล่าสามารถวาดภาพประกอบขณะเล่าด้วยก็จะเป็นการดี มาก 10. เวลาเล่าอย่าย่อเรื่องให้สั้นจนเกินไป จนขาดความสนุก เพราะจะท าให้เด็กไม่ รู้เรื่อง
36 11. จัดบรรยากาศของห้องให้เหมาะสม เช่น อาจนั่งกับพื้น หรือเชิดหุ่น ประกอบการเล่า หรือเล่าใต้ต้นไม้นอกห้องเรียนก็ได้ 12. อย่าแสดงท าทางประกอบการเล่ามากเกินไป จะท าให้นิทานหมดสนุก พยายามเล่าให้เป็นไปตามธรรมชาติง่าย ๆ มีชีวิตชีวา 13. ขณะที่เล่าอาจให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการเล่านิทานด้วยก็ได้ เช่น การแสดง ท่าทางตามเนื้อเรื่อง แต่ไม่ควรให้บ่อยนัก 14. ขณะที่เล่าสายตาของครูจะต้องมองกวาดดูนักเรียนได้ทุกคน อาจจะให้เด็กนั่ง เป็นครึ่งวงกลมหรือนั่งกับพื้นก็ได้สายตาของเด็กจะจับอยู่ที่ผู้เล่า ผู้เล่าจะต้องทอดสายตาไปที่ เด็กไม่ใช่เพียงเพื่อจะดูว่าเด็กมีปฏิกิริยาอย่างใดเท่านั้น แต่เพื่อว่าเด็กจะได้เห็นความรู้สึกของผู้ เล่าฉายมาทางดวงตาบ้างเช่น ความรู้สึกเศร้า เสียใจ รื่นเริง สนุกสนาน ประหลาดใจ ตื่นเต้น เป็นต้น 15. ขณะที่ก าลังเล่านิทาน ถ้าหากมีเด็กพูดหรือถามขัดจังหวะครูควรบอกให้รอ จนกว่าจะจบเรื่อง อย่างไรก็ตามครูอาจให้นักเรียนขัดจังหวะได้เป็นครั้งคราว 16. หลังจากการเล่านิทาน ควรเปิดโอกาสให้เด็กถามและวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่ ควรบังคับเด็กให้พูดถามเพราะจะท าให้เด็กเสียความเพลิดเพลิน 17. หลังจากการเล่านิทานแล้ว อาจจะให้เด็กแข่งขันกันตั้งชื่อเรื่องก็ได้เพื่อเป็น การส่งเสริมให้เด็กได้ติดตามและเพื่อความเข้าใจในเรื่องที่ครูได้เล่ามาแล้ว 18. ถ้านิทานเรื่องยาวครูอาจเล่าเป็นตอน ๆ ก็ได้เพื่อเป็นการเร้าให้เด็กอยากมา โรงเรียนไม่ขาดเรียน เพื่อมาฟังนิทานต่อจนจบเรื่อง พรทิพย์ วินโกมินทร์ (2560, หน้า 39 - 40) กล่าวว่า การเล่านิทานให้ได้ดีนั้นครูผู้ เล่า จะต้องมีเทคนิคในการเล่านิทานเพื่อให้เด็กสนใจได้ตลอดเวลา ครูผู้เล่าจะต้องมีศิลปะในการ เล่าอย่างยอดเยี่ยม คือการใช้น ้าเสียงในการเล่านิทาน และการใช้ท่าทางประกอบการเล่านิทาน ก่อนเล่านิทานเด็กฟังทุกครั้งครูจะต้องเตรียมตัวล่วงหน้า ซึ่งจะท าให้การเล่านิทานประสบ ความส าเร็จตามจุดประสงค์ที่วางไว้เสมอ ดังนี้คือ 1. จัดนักเรียนให้นั่งเรียบร้อยและสบายเป็นกลุ่ม หรือวงกลม บนเก้าอี้หรือพื้นก็ได้ 2. ผู้เล่าควรนั่งบนเก้าอี้เตี้ย ๆ เพื่อให้ผู้ฟังมองเห็นได้อย่างทั่วถึง และได้ยินเสียง ผู้เล่าชัดเจน 3. ผู้เล่าจะต้องใช้เสียงดังพอที่จะได้ยินทั่วถึงกันด้วยเสียงธรรมชาติของตัวเอง ออกเสียงชัดเจน เว้นจังหวะการพูดให้พอเหมาะ ไม่เร็วหรือช้าเกินไป ใช้น ้าเสียงเหมาะกับตัว ละคร อาจใช้เสียงธรรมชาติมาประกอบการเล่าด้วยก็ได้ 4. ขณะเล่าอาจท าท่าทางประกอบด้วยก็ได้ แต่ต้องเป็นท าทางที่น่าดูไม่แล้วท าจน ผิดธรรมชาติ
37 5. ผู้เล่าต้องไม่ออกนอกเรื่องหรือเล่าเรื่องอื่นแทรกจะท าให้ผู้ฟังเข้าใจไขว้เขว และอย่าสอดแทรกเรื่องของศีลธรรมมากเกินไปจะท าให้เด็กเบื่อ 6. ผู้เล่าต้องท าใจให้สนุกไปตามเนื้อเรื่องด้วย การเล่านิทานจึงออกรส 7. พยายามถ่ายทอดเรื่องที่เล่าให้เป็ นภาพที่มีชีวิตจิตใจ โดยบรรยาย บุคลิกลักษณะ ของตัวละครให้ชัดเจน บรรยายสถานที่ที่เกิดขึ้นให้มีลักษณะใกล้เคียงความเป็น จริงมากที่สุด และท าให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกว่าตนเองได้เข้าไปนั่งอยู่ ณ ที่นั้นด้วย 8. เลือกถ้อยค าหรือส านวนให้เหมาะสมกับระดับของผู้ฟัง 9. ขณะที่เล่านิทานท าใจให้สบาย ๆ และมองผู้ฟังอย่างทั่วถึงทุกคน สังเกต พฤติกรรมของผู้ฟังด้วย หากผู้ฟังไม่สนใจ ผู้เล่าควรใช้ไหวพริบแก้ไขวิธีการเล่าให้ตื่นเต้นเร้าใจ ยิ่งขึ้น 10. ควรค านึงถึงระยะเวลาในการเล่าให้พอเหมาะกับความสนใจของผู้ฟังแต่ละวัย ด้วย 11. ควรก าหนดเวลาเผื่อไว้ส าหรับค าถามหรือข้อวิจารณ์ของเด็ก ถ้าในระหว่าง การเล่านิทานเด็กขัดจังหวะหรือซักถามครูควรบอกให้รอจนเล่าจบเรื่องล่อนจากแนวคิดของนัก การศึกษาที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเน้นแนวทางในการเล่านิทานว่ามีเทคนิควิธีการเล่าที่ส าคัญ 3 ประการ คือ 11.1 การเตรียมตัวก่อนการเล่านิทาน ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมของผู้เล่า การเลือกนิทาน การเลือกสื่อที่ใช้ประกอบการเล่านิทาน ตลอดจนการจัดเตรียมสถานที่ และ บรรยากาศในการเล่านิทาน 11.2 การเล่านิทาน เริ่มจากการตกลงกฎกติกาในการฟังนิทาน การใช้เทคนิค ท่าทาง น ้าเสียงสื่อประกอบการเล่ารูปแบบต่าง ๆ 11.3 การมีกิจกรรมหลังการเล่านิทานจบ เพื่อให้เด็กได้มีส่วนร่วมและเกิดการ เรียนรู้เนื้อหาหรือแนวคิดในนิทานเรื่องนั้น ๆ การเล่านิทานจะประสบความส าเร็จตาม จุดประสงค์ที่วางไว้หรือไม่นั้น นอกจากจะต้องใช้เนื้อเรื่องที่ดีเหมาะสมตามวัยของผู้ฟังแล้ว การ ใช้เทคนิคในการเล่านิทานอย่างถูกต้องเหมาะสมก็เป็นศิลปะที่ส าคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยท าให้ นิทานนั้นสนุกสนาน และดึงดูดความสนใจให้เด็กเกิดความประทับใจได้มากขึ้น ดังนั้นในการจัด กิจกรรมการเล่านิทานส าหรับเด็ก ครูควรศึกษาหลักการต่าง ๆ และเทคนิควิธีในการเล่านิทาน ให้เข้าใจ เพื่อน าไปใช้ในการเล่านิทานให้เกิดประโยชน์คับเด็กมากที่สุด 2.1.5รปูแบบการเล่านิทาน โดยทั่วไปการเล่านิทานผู้เล่าจะเล่าง่าย ๆ ตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆ มาประกอบอย่างไรก็ตามการน าอุปกรณ์มาประกอบการเล่านิทานก็จะช่วยเร้าความสนใจ และเพิ่มสีสันให้แก่เรื่องเพิ่มขึ้น และในบางครั้งยังช่วยให้เด็กได้รับการพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ
38 ไปด้วย เช่น ทักษะการวาดรูป การพับกระดาษ หรือการแสดง เป็นต้น รูปแบบการเล่านิทาน อาจสรุปได้เป็น 5 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1. การเล่าแบบปากเปล่า เป็นการเล่านิทานแบบดั้งเดิมที่ผู้เล่าไม่ใช้สื่อหรือ อุปกรณ์ใด ๆ ในการเล่า ผู้เล่าจึงต้องจ าเรื่องได้อย่างแม่นย า โดยเลือกเรื่องที่ไม่ยาวนัก หรือเป็น เรื่องที่มีความซ ้า ๆ กัน จะช่วยให้ผู้ฟังโดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ สามารถติดตามเรื่องได้ การใช้ น ้าเสียงที่น่าฟังตามอารมณ์ของเสียงจะช่วยให้ผู้ฟังไม่รู้สึกเบื่อหน่าย การฝึกซ้อมจึงเป็นสิ่ง ส าคัญ 2. การเล่าโดยใช้หนังสือภาพ มีเทคนิคดังนี้ 2.1 อ่านนิทานให้ขึ้นใจ 2.2 ศึกษาภาพประกอบในหนังสือ ปกหน้า ปกหลัง 2.3 ต าแหน่งของผู้เล่า ควรอยู่ในต าแหน่งที่ผู้ฟังเห็นภาพทั่วถึง 2.4 การถือหนังสือ ไม่จ าเป็นต้องถือหนังสือนิ่งอยู่ตลอดเวลา อาจโยกหนังสือ ขยับหนังสือได้ในขณะเดียวคันนี้วมือจะต้องสอดเตรียมพร้อมที่จะเปิดหน้าถัดไป 3. การเล่านิทานโดยใช้สื่อหรืออปุกรณ์อื่น ๆ ประกอบการเล่า 3.1 การใช้ภาพ ภาพจะต้องมีขนาดใหญ่พอเหมาะกับกลุ่มผู้ฟัง การเขียนเนื้อ เรื่องไว้ข้างหลังภาพ จะช่วยให้จ าเรื่องได้ 3.2 การเล่าไปวาดไป การใช้เชือก การพับกระดาษหรือกระดานผ้าส าลี ประกอบการเล่า การเลือกเรื่อง (หรือแต่งเรื่อง) ให้สอดคล้องกับรูปแบบการวาด การใช้เชือก หรือการพับกระดาษหรือกระดานผ้าส าลี เพื่อให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการคล้อยตามเรื่องที่เล่า และ การฝึกซ้อมการเล่าเรื่องให้สัมพันธ์กับวิธีการเล่าจะต้องท าได้อย่างคล่องแคลว ไม่เคอะเขิน และ ตระเตรียมอุปกรณ์ที่จะใช้เล่าให้พร้อมล่อนการเล่า 4. การเล่าโดยร้องเพลงประกอบ การใช้เพลงประกอบการเล่านิทาน ส่วนมาก จะใช้กับเด็กเล็ก เพื่อให้เด็กมีส่วนร่วมในการร้องด้วย อาจใช้ตอนน าเรื่องก่อนเล่า หรือใช้ ประกอบขณะเล่าก็ได้ สิ่งส าคัญคือการเลือกเพลงที่เหมาะกับเรื่องที่จะเล่า เช่น เพลงงูกับเต่า เต่ากับกระต่าย มด เป็นต้น 5. การเล่าโดยใช้หุ่น ถ้าเป็นการเล่าในกลุ่มเล็ก ผู้เชิดอาจเชิดให้ผู้ฟังเห็นได้ โดย ไม่ต้องใช้โรงหุ่น แต่ถ้าเป็นการแสดงหุ่นในโรงหุ่น หรือบนเวทีแสดงต้องอาศัยเทคนิคด้านการ แสดง การเขียนบท การก ากับการแสดง แสง เสียง และฉากเป็นส าคัญ นอกจากนี้จ านวนผู้เชิด หุ่นจะต้องสัมพันธ์กับจ านวนตัวละคร ที่ออกมาในแต่ละฉากด้วย ส่วนบทเจรจาจะเป็นการพากย์ สดหรืออัดเสียงลงเทปก็ได้ จากความหมายของนิทาน ประเภทของนิทาน หลักการเลือกนิทาน เทคนิควิธี การเล่านิทาน รูปแบบการเล่านิทาน ผู้วิจัยออกแบบกิจกรรมการเล่านิทาน โดยเลือกนิทาน
39 ประเภทนิทานชีวิต เป็นเรื่องราวที่ส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการทางภาษาด้านการพูด ใช้ เทคนิควิธีการเล่าเพื่อให้เด็กเล็กได้แสดงพฤติกรรมทางภาษา โดยการเล่าประกอบภาพ เพื่อให้ เกิดความสนุกสนาน และผู้เรียนมีความสุขในกิจกรรมการเรียน 2.4งานวิจยัที่เกี่ยวข้อง รสสุคนธ์ แนวบุตร (2557, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดของ เด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมการเล่านิทานพื้นบ้าน ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมการเล่านิทานพื้นบ้านมีความสามารถทางภาษาด้านการฟังและการพูดทั้งโดยภาพรวม และรายด้าน ด้านการฟัง โดยภาพรวมหลังการจัดกิจกรรมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 16.28 ด้านการพูด โดยภาพรวมหลังการจัดกิจกรรมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 17.06 ความสามารถทางภาษาของเด็ก ปฐมวัยหลังการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานพื้นบ้านด้านการฟัง การพูด สูงกว่าความสามารถทาง ภาษาก่อนการจัดกิจกรรมโดยใช้นิทานพื้นบ้านอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทุกด้าน คันธรส ภาผล (2561, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการจัดกิจกรรมการเล่านิทานโดยใช้หนังสือ นิทานเล่มใหญ่เพื่อส่งเสริมทักษะการพูดสาหรับเด็กปฐมวัยในศตวรรษที่ 21 ผลการวิจัยพบว่า 1) การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของของการจัดกิจกรรมการเล่านิทานโดยใช้หนังสือนิทานเล่ม ใหญ่ พบว่า การจัดกิจกรรมการเล่านิทานโดยใช้หนังสือนิทานเล่มใหญ่ทั้งหมด จ านวน 5 เรื่อง เพื่อวัดด้านการพูดค าศัพท์ ด้านการพูดเป็นประโยค และด้านการพูดเป็นเรื่องราวโดยจัด กิจกรรมทุกวันพุธ เวลา 12.30-12.45 น. จ านวน 15 ครั้ง จากผลการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน โดยใช้หนังสือนิทานเล่มใหญ่มีประสิทธิภาพ (E1 / E2) เท่ากับ 76.48/83.00 ซึ่งเป็นไปตาม เกณฑ์ที่ก าหนดไว้ 2) ผลของทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมการเล่านิทานหลังจัด กิจกรรม สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิตที่ระดับ .05 วรรณิษา หาคูณ (2563, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการใช้กิจกรรมการเล่านิทานเพื่อส่งเสริม พัฒนาการพูดของเด็กปฐมวัย ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการใช้กิจกรรมการเล่า นิทานมีคะแนนค่าเฉลี่ยพัฒนาการพูดสูงขึ้นกว่าก่อนท ากิจกรรม โดยมีคะแนนเท่ากับ 2.90 คะแนน และหลังได้รับการจัดกิจกรรมมีคะแนนค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.56 คะแนน 2) หลังได้รับ กิจกรรมการเล่านิทาน กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยพัฒนาการด้านการพูดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 วนิดา โรจนอุดมศาสตร์(2562, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการพูดของเด็ก ปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้ค าคล้องจองประกอบ ภาพ โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพันธ์อนุกูล) อ าเภอเมือง จังหวัดยะลา ผลการวิจัยพบว่า
40 เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้ค าคล้องจองประกอบภาพ เพื่อ พัฒนาทักษะการพูด มีพัฒนาการด้านการพูดที่สูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยส าคัญ ที่ระดับ .05 เนตรนภา เพชรทองมา (2563, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการส่งเสริมทักษะทางด้านการพูด ของเด็กอนุบาล 2/1 โดยใช้หนังสือนิทาน ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลการพัฒนานักเรียนจ านวน 5 คนมีทักษะการพูดดีขึ้น พูดสื่อสารเป็นประโยคได้อย่างต่อเนื่อง 2) ผลการใช้นิทานเพื่อ ส่งเสริมการพูดของเด็กชั้นอนุบาล 2/1 เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะธรรมชาติของเด็กปฐมวัยจะชอบฟัง นิทานที่มีรูปภาพประกอบจะช่วยกระตุ้นให้เด็กอยากรู้อยากเห็น โดยใช้ภาษาพูดสนทนาสื่อสาร กับครูเป็นการกระตุ้นให้เด็กอยากพูดทุกวันจะท าให้เด็กมีพัฒนาการด้านภาษาดีขึ้น 3) ผลการ ประเมินความพึงพอใจหลังจากท าวิจัย ท าให้นักเรียนจ านวน 5 คนมีพฤติกรรมด้านการพูดดีขึ้น สามารถพูดสื่อสารเป็นประโยคได้อย่างต่อเนื่องดีขึ้นตามล าดับ อยู่ในเกณฑ์ดีร้อยละ 100
บทที่ 3 วิธีการดา เนินการวิจยั ในการวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 3 โดยการจัด กิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ ผู้วิจัยได้ด าเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 1. การก าหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิจัย 3.1 การก าหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นเด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุ 5-6 ปีที่ก าลัง ศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาล 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 30 คน การเลือกกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือเด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุ 5-6 ปีที่ก าลังศึกษา อยู่ในชั้นอนุบาล 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ของโรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา จ านวน 30 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 3.2เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั 1. แผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ 2. แบบประเมินการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพเพื่อพัฒนาทักษะการพูดของ เด็กปฐมวัย 3.3 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ 1. การสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ ด าเนินการตามล าดับขั้น ดังต่อไปนี้ 1.1 ศึกษาเอกสารหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2560 1.2 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเล่านิทานประกอบภาพ
42 1.3 ด าเนินการเลือกกิจกรรมที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับแผนการจัดประสบการณ์ 1.4 สร้างแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพส าหรับเด็กปฐมวัย ซึ่งมี รายละเอียดดังนี้ 1.4.1 ชื่อกิจกรรม 1.4.2 สาระส าคัญ 1.4.3 จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.4.4 สาระการเรียนรู้ 1.4.5 การด าเนินกิจกรรม 1.4.6 สื่อการสอน 1.4.7 การประเมินผล 1.4.8 บันทึกผลหลังการท ากิจกรรม 1.5 น าแผนการจัดกิจกรรมที่ได้ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง 2. แบบประเมินการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ เพื่อพัฒนาทักษะการพูด ของเด็กปฐมวัย ด าเนินการตามล าดับขั้น ดังต่อไปนี้ 2.1 ขั้นตอนในการสร้างแบบประเมินการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ เพื่อ พัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย ผู้วิจัยได้ด าเนินการตามขั้นตอนในการสร้าง ดังนี้ 1.2.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเล่านิทานประกอบภาพของ เด็กปฐมวัย และทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย 1.2.2 ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นในการสร้างแบบประเมินการจัดกิจกรรมการเล่า นิทานประกอบภาพ เพื่อพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย 1.2.3 สร้างแบบประเมินการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ เพื่อพัฒนา ทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 1.2.4 น าแบบประเมินการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ เพื่อพัฒนา ทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 25 คน 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.4.1 แบบแผนการทดลอง การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดสองครั้ง (One Group Pretest - Posttest Design) ซึ่งมีลักษณะการทดลองดังตารางต่อไปนี้ ตาราง 3.1 แบบแผนการทดลอง กลุ่ม Pre-test Treatment Post-test N T1 X T2
43 ความหมายของสัญลักษณ์ N แทน จ านวนเด็กในกลุ่มตัวอย่าง X แทน การสอนโดยการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ T1 แทน การทดสอบก่อนการทดลอง (pre-test) T2 แทน การทดสอบหลังการทดลอง (post-test) 3.4.2 การดา เนินการทดลอง ผู้วิจัยได้ด าเนินการทดลองโดยมีขั้นตอนดังนี้ 1) ก่อนการทดลอง น าแบบประเมินการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ เพื่อพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 25 คน แล้วบันทึกผลการ ทดสอบ (Pretest) 2) ด าเนินการสอนกลุ่มทดลองด้วยตนเอง ตามแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน ประกอบภาพที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ดังนี้ ขั้นที่ 1 น าเข้าสู่บทเรียน สร้างบรรยากาศในชั้นเรียน ขั้นที่ 2 ขั้นสอน ผู้วิจัยสอนขั้นตอน ให้นักเรียนดูและปฏิบัติตามขั้นตอน ขั้นที่ 3 นักเรียนฝึกปฏิบัติตามแผนการจัดกิจกรรม โดยมีระยะเวลาในการ ด าเนินการวิจัยทั้งหมด 4 สัปดาห์/สัปดาห์ละ 2 วัน คือ พุธ และ พฤหัสบดีวันละ 20 นาที สัปดาห์ที่ วัน กิจกรรมการเรียนรู้ 1 พุธ แผนกิจกรรมนิทานที่ 1 หนูน้อยหมวกแดง พฤหัสบดี 2 พุธ แผนกิจกรรมนิทานที่ 2 ตลาดน ้า อ ้าอร่อย พฤหัสบดี 3 พุธ แผนกิจกรรมนิทานที่ 3 กระต่ายกับเต่า พฤหัสบดี 4 พุธ แผนกิจกรรมนิทานที่ 4 เพื่อนใหม่ พฤหัสบดี 3) เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ผู้วิจัยด าเนินการทดสอบหลังการสอน (Post-test) โดย ใช้แบบประเมินการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ เพื่อพัฒนาทักษะการพูดของเด็ก ปฐมวัยชุดเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อนการทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 25 คน แล้วบันทึก ผลการทดสอบ แล้วน าคะแนนที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูล
44 4) เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทดสอบก่อน และหลังการทดลองสอน โดยใช้กิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ วิเคราะห์ผลต่างระหว่างคะแนนเฉลี่ยของการ ทดสอบทั้งสองครั้ง ด้วยวิธีการทางสถิติ 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผลข้อมูล โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. น าข้อมูลที่ได้จากแบบประเมินการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบภาพ เพื่อพัฒนา ทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยก่อน-หลังใช้ มาวิเคราะห์ โดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. ประมวลผล แปลผลและวิเคราะห์ข้อมูล 3. อภิปรายผล โดยใช้ตารางและการพรรณนา 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิจยั 1. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ 1.1 ร้อยละ (Percentage) โดยใช้สูตรดังนี้ f P 100 N = เมื่อ P แทน ร้อยละ f แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงร้อยละ N แทน จ านวนประชากร 1.2 ค่าเฉลี่ย โดยใช้สูตรดังนี้ X X n = เมื่อ X แทน คะแนนเฉลี่ย X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด n แทน จ านวนคนในกลุ่มตัวอย่าง