The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้บทที่ 16

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 61100143113, 2022-10-20 11:27:26

แผนการจัดการเรียนรู้บทที่ 16

แผนการจัดการเรียนรู้บทที่ 16

แผนการจัดการเรียนรู้
วิชาวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม ( ฟิสิกส์ 5 )

16หน่วยที่
ความร้อน

และแก๊ส

จัดทำโดย

นายปัญญา ฮวดไชย
สาขาวิทยาศาสตร์(ฟิสิกส์)

61100143113
คณะครุศาสตร์

โรงเรียนท่าบ่อ

สารบญั

บทท่ี หนา้

อนญุ าตใชแ้ ผน......................................................................................................................................... 1

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 เรื่อง ความรอ้ นและแกส๊
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 15............................................................................................................... 3
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 16............................................................................................................... 8
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 17............................................................................................................. 14
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 18............................................................................................................. 19
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 19............................................................................................................. 24
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 20............................................................................................................. 30
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 21............................................................................................................. 35
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 22............................................................................................................. 40
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 23............................................................................................................. 45
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24............................................................................................................. 51
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 25............................................................................................................. 58
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 26............................................................................................................. 63

1

อนุญาตใช้แผนโรงเรยี นท่าบอ่

2

3

แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 15 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6
เวลา 24 ช่วั โมง
รายวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พ่มิ เติม (ฟิสกิ ส์) เวลา 2 ชวั่ โมง
หน่วยการเรียนรู้ที่ 16 ความร้อน
เรื่อง อุณหภูมิ และความจุความร้อนและความร้อนจาเพาะ ครผู ู้สอน นายปัญญา ฮวดไชย
ภาคเรียนที่ 1

1. สาระสาคญั
อุณหพลศาสตร์ (thermodynamics) เป็นการศึกษากระบวนการเปล่ียนแปลงระหว่างความร้อน และ

พลังงานกล ระดับความร้อนของวัตถุสามารถระบุได้ด้วยอุณหภูมิ (temperature) อุปกรณ์ท่ีใช้วัดอุณหภูมิ เรียกว่า
เทอร์มอมิเตอร์ (thermometer) หน่วยวัดอุณหภูมิที่ใช้ทั่วไปคือ องศาเซลเซียส (degree Celsius, °C)
แต่การศึกษาในวิชาอุณหพลศาสตร์ใช้อุณหภูมิในหน่วย เคลวิน (Kelvin, K) ซ่ึงบางคร้ังเรียกว่า อุณหภูมิสัมบูรณ์
(absolute temperature)

เม่ือสสารได้รับหรือคายความร้อน สสารอาจมีอุณหภูมิเปลี่ยนไปหรืออาจเปลี่ยนจากสถานะหนึ่งไปอีก
สถานะหน่ึงโดยอุณหภมู ิไม่เปลี่ยนแปลง กรณีท่ีสสารมีอุณหภูมิเปลย่ี นไป อตั ราส่วนระหว่างความร้อนท่ีให้แกส่ ารต่อ
อณุ หภูมิเพิ่มขนึ้ เรยี กว่า ความจุความร้อน (heat capacity, C) ส่วนความจุความร้อนต่อหนง่ึ หน่วยมวลจะข้ึนกับ
สารแต่ละชนิด เรียกว่า ความร้อนจาเพาะ (specific heat, c) ความร้อนที่ทาให้สสารเปล่ียนอุณหภูมิคานวณได้

จากสมการ = กรณีท่ีสสารเปลี่ยนสถานะหนึ่งไปอกี สถานะหนึ่ง โดยอุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงความ
ร้อนท่ใี ช้ในการเปล่ียนสถานะของสารหน่งึ หนว่ ยมวล เรยี กวา่ ความรอ้ นแฝง (latent heat, L) ความร้อนท่ีทาให้

สสารเปลี่ยนสถานะคานวณได้จากสมการ =
2. ผลการเรียนรู้

7. อธิบายและคานวณความร้อนที่ทาให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมิ ความร้อนที่ทาให้สสารเปลี่ยนสถานะและ
ความร้อนทเ่ี กดิ จากการถา่ ยโอนตามกฎการอนรุ ักษ์พลงั งาน
3. สาระการเรียนรู้

3.1 ความรู้
อณุ หภมู ิ การรบั รู้ความร้อนของสิ่งตา่ ง ๆ จากประสาทสมั ผัสทาใหท้ ราบวา่ ความร้อนของวตั ถสุ ามารถ
เปรียบเทียบได้โดยใชร้ ะดับความรอ้ น เชน่ นา้ ในภาชนะสีชมพูมีระดบั ความรอ้ นมากกวา่ นา้ ในภาชนะสฟี ้าอยา่ งไรก็
ตาม เราไม่อาจใช้ประสาทสัมผัสจากความร้สู กึ รอ้ นหรือเย็นของร่างกายเปน็ เครื่องวัดระดับความร้อนไดเ้ สมอไป
เพราะการรบั รูท้ างประสาทสัมผสั เป็นส่ิงที่ไม่แน่นอน และประสาทสมั ผสั ของมนุษย์ไมส่ ามารถบอกระดับความร้อน
ของสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างแมน่ ยา ดังเช่นในกรณกี ารจุ่มมือลงในน้าอุน่ มือทแ่ี ซน่ ้าเย็นมาก่อนจะรู้สึกว่าน้าในภาชนะสี
เขยี วออ่ นเป็นน้าร้อน แต่มือที่แซ่น้าร้อนมาก่อนจะรู้สึกว่าน้าในภาชนะสเี ขียวอ่อนเป็นนา้ เยน็ ในการศึกษาเกี่ยวกับ
เร่ืองความร้อน นักวิทยาศาสตรจ์ งึ จาเป็นตอ้ งค้นหาวิธีการวดั ระดบั ความร้อนและหามาตรฐานในการบอกระดับ

4

ความร้อนขึน้ จงึ เป็นท่ีมาของการบอกระดบั ความร้อนดว้ ย อณุ หภมู ิ (temperature) ของวตั ถนุ น้ั วัตถทุ ่ีมี
อุณหภูมสิ งู แสดงว่ามรี ะดับความร้อนมากและวตั ถุท่ีมีอุณหภมู ิตา่ แสดงวา่ มรี ะดบั ความร้อนนอ้ ย

3.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่ือสาร (อ่าน ฟัง พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์ จัดกล่มุ สรุป)

4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ รายละเอียด
จุดประสงคการเรียนรู้

ดา้ นความรู้ 1. นกั เรยี นบอกระดับความร้อนของวตั ถุดว้ ยอณุ หภมู ิในหนว่ ยองศา
(K: Knowledge) เซลเซียสและเคลวินได้

ดา้ นทกั ษะกระบวนการ 2. นกั เรียนอธบิ ายความสัมพันธ์ระหว่างการเปล่ียนอุณหภูมกิ ับความจุ
(P: Process) ความรอ้ น ความร้อนจาเพาะได้
ดา้ นคณุ ลกั ษณะท่ีพงึ
ประสงค์ (A: Attitude) 3. นกั เรยี นคานวณหาปริมาณต่าง ๆ ทเ่ี กีย่ วข้องได้

4. มคี วามสนใจใฝ่รหู้ รอื อยากรู้อยากเห็น และทางานร่วมกับผู้อน่ื อยา่ ง
สรา้ งสรรค์

5. กิจกรรมการเรยี นรู้
ขั้นท่ี 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ
1.1 ครนู าเขา้ สู่หัวขอ้ ท่ี 16.1.1 โดยครจู ดั กจิ กรรมสาธิต แล้วให้นกั เรยี นรว่ มกันทากิจกรรมและ
สังเกตการรับรู้ความร้อนด้วยประสาทสัมผัสจากการใชม้ ือจุ่มลงในภาชนะบรรจุน้าเย็น น้าอ่นุ และน้าร้อน
ตามรายละเอียดในหนงั สือเรียน จากนั้นครูตง้ั คาถามใหน้ ักเรยี นตอบ ดงั นี้
1) การรับรู้ความร้อนของสิ่งต่าง ๆ จากประสาทสัมผัสมีข้อจากดั อย่างไร
(ครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนแสดงความคดิ เห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวังคาตอบทถี่ ูกตอ้ ง)
1.2 ครนู าเข้าสู่หัวขอ้ ท่ี 16.1.2 โดยยกสถานการณว์ ัตถุท่ีได้รับความร้อนแล้วมีอณุ หภูมิเพ่ิมขึน้
เช่น การเผาโลหะต่างชนิดกนั ท่มี มี วลเท่ากัน หรืออาจจัดกิจกรรมสาธติ เพื่อสังเกตการเปล่ียนแปลงอุณหภมู ิ
ของทรายและนา้ ทมี่ ีมวลเทา่ กัน เม่อื นาไปวางกลางแดดในเวลาเทา่ กนั จากนน้ั ครูตั้งคาถามใหน้ กั เรียนตอบ
ดงั น้ี
1) เม่ือวตั ถุตา่ งชนดิ กันมีมวลเทา่ กันและมีอณุ หภมู ิเรม่ิ ต้นเท่ากนั ไดร้ บั ความรอ้ นใน
ปริมาณเท่ากัน วัตถนุ ้ีจะมอี ุณหภมู ิเพิ่มขน้ึ เทา่ กนั หรือไม่ เพราะเหตุใด
(ครเู ปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอยา่ งอสิ ระ ไมค่ าดหวังคาตอบที่ถูกตอ้ ง)

5

ขนั้ ที่ 2 ขัน้ สารวจและค้นหา
2.1 ครใู ห้นกั เรยี นศึกษาเกยี่ วกบั เทอร์มอมิเตอร์ และการกาหนดสเกลอณุ หภูมิของเทอร์มอมเิ ตอร์

ในหนว่ ยองศาเซลเซยี ส และเคลวนิ ตามรายละเอยี ดในหนังสือเรยี น หน้า 125 - 126
2.2 ครูนานักเรียนศึกษาหัวข้อ ความจคุ วามร้อนและความร้อนจาเพาะ ตามรายละเอียดในหนังสอื

เรยี น หนา้ 128-130
2.3 ครูนานักเรียนศึกษาตวั อย่าง 16.1 และ 16.2 ในหนังสือเรียน อย่างละเอียด
2.4 นักเรียนตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.1 ข้อ 1-2 ลงในสมุดของตนเอง
2.5 นกั เรยี นทาแบบฝึกหัด 16.1 ขอ้ 1-2 ลงในสมุดของตนเอง

ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครูนานักเรียนอภปิ รายเพ่ือนาไปส่กู ารสรุป โดยใช้คาถามตอ่ ไปนี้
1) เหตุใดอณุ หภูมทิ เี่ ปลยี่ นไปในหนว่ ยเคลวนิ จึงมคี ่าเทา่ กับอุณหภูมิท่เี ปลี่ยนแปลงไปใน

หน่วยองศาเซลเซยี ส
(แนวการตอบ เน่ืองจากช่วงสเกลอณุ หภูมิในหนว่ ยเคลวินมีค่าเทา่ กับชว่ งสเกลอุณหภูมิใน

หน่วยองศาเซลเซยี ส)
2) ความจุความร้อนและความรอ้ นจาเพาะเหมือนกันหรอื ไม่ อย่างไร
(แนวการตอบ ไมเ่ หมอื นกนั โดยที่ความจุความร้อน คือ อตั ราส่วนระหวา่ งความร้อนท่ีให้แก่

วตั ถุต่ออุณหภูมทิ เี่ พ่มิ ขึ้น ซึง่ มีค่าไม่คงตวั ส่วนความร้อนจาเพาะ คือ ความจุความร้อนต่อหนึ่งหนว่ ยมวล และ
จะมีค่าคงตวั ขน้ึ กับสารแตล่ ะชนดิ )

3.2 นักเรียนและครูรว่ มกันสรุปเน้ือหา เรอื่ ง อณุ หภูมิ และความจคุ วามร้อนและความร้อนจาเพาะ
- ประสาทสัมผัสของมนุษย์ไม่สามารถบอก ระดับความร้อนของสง่ิ ตา่ งๆ ได้อยา่ งแมน่ ยา

นกั วทิ ยาศาสตร์จงึ จาเป็นต้องคน้ หาวิธีการวัดระดบั ความร้อน และหามาตรฐานในการบอกระดับความร้อน
ข้ึน จงึ เปน็ ท่ีมาของการบอกระดับความร้อนดว้ ยอุณหภูมิของวัตถนุ น้ั วัตถุที่มอี ุณหภมู ิสูงแสดงว่ามีระดับ
ความร้อนมาก และวัตถทุ ี่มีอุณหภูมิต่าแสดงวา่ มีระดับความร้อนน้อย

- เมอื่ ให้ความร้อนกับวัตถุมอี ุณหภมู ิสงู ขึน้ โดยวตั ถุต่างชนิดกันแม้จะมีมวลเทา่ กัน และ
อณุ หภมู ิเริม่ ตน้ เทา่ กันอาจจะมอี ุณหภมู ิเปลี่ยนแปลงไปไมเ่ ท่ากัน การเปล่ียนแปลงอุณหภูมขิ องวตั ถเุ ม่ือ
ไดร้ บั ความร้อนจงึ ขึน้ อยู่กับชนดิ ของสาร

- ความจคุ วามรอ้ น คือ อัตราสว่ นระหวา่ งความรอ้ นท่ีใหก้ ับวัตถุต่ออุณหภมู ิทเ่ี พม่ิ ข้ึนตาม
- ความรอ้ นท่ีทาให้วัตถนุ ้ัน ๆ มีอณุ หภมู เิ ปลีย่ นไปในหนึ่งหน่วย องศาเซลเซียส
- ความร้อนจาเพาะ คือ ความจุความรอ้ นต่อหน่งึ หน่วยมวล
- ความรอ้ นจาเพาะมีคา่ ขน้ึ กับสารแต่ละชนิด โดยทีว่ ตั ถุชนิดเดยี วกันแต่มีมวลตา่ งกนั จะมี
ความรอ้ นจาเพาะเทา่ กนั เสมอ แตอ่ าจมคี วามจุความร้อนไมเ่ ท่ากัน กล่าวคอื วตั ถุท่มี มี วลมากจะมีความจุ
ความร้อนมาก ส่วนวัตถุทม่ี ีมวลน้อยจะมคี วามจุความร้อนน้อย และความร้อนที่ทาให้สสารเปลยี่ นอณุ หภมู ิ
จะข้ึนอยู่กับชนดิ ของสารมวล และอุณหภูมิท่เี ปล่ียนไป

6

ขัน้ ท่ี 4 ขัน้ ขยายความรู้
4.1 ครูให้ความรเู้ พ่มิ เติมเก่ยี วกับเทอรม์ อมิเตอรท์ ใี่ ชว้ ดั อุณหภูมมิ ีหลายรปู แบบตามลักษณะของ

การใชง้ าน

ขน้ั ท่ี 5 ข้นั ประเมินผล
5.1 ครตู รวจสมุดนักเรยี นในการตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 16.1 ข้อ 1-2
5.2 ครตู รวจสมุดนักเรียนในการทาแบบฝกึ หัด 16.1 ข้อ 1-2

6. สอื่ การเรยี นรู/้ แหล่งเรียนรู้
8.1 หนังสอื เรียนรายวิชาเพ่มิ เติมวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฟิสิกส)์ ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 6 เลม่ 5

(ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 ใบความรู้ เรื่อง เทอรม์ อมิเตอรท์ ่ีใชว้ ัดอณุ หภูมมิ ีหลายรปู แบบตามลกั ษณะของการใชง้ าน
8.3 อินเทอรเ์ น็ต
8.4 ห้องสมุด

7. การวัดและประเมนิ ผล

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วธิ ีการวัด เครอื่ งมือ เกณฑ์การประเมนิ

ด้านความรู้ (K)

1) นักเรยี นบอกระดบั ความร้อนของวตั ถุ 1) ตรวจสมุดนกั เรียน 1) แบบประเมนิ การ 1) นกั เรียนสามารถ
ทากิจกรรม ตอบคาถามได้
ดว้ ยอณุ หภมู ใิ นหนว่ ยองศาเซลเซียส ในการตอบคาถาม 2) คาถามตรวจสอบ ระดับดี ผา่ นเกณฑ์
ความเข้าใจ 16.1
และเคลวนิ ได้ ตรวจสอบความเขา้ ใจ ขอ้ 1-2

2) นักเรยี นอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการ 16.1 ข้อ 1-2

เปลีย่ นอณุ หภูมกิ ับความจุความรอ้ น ความ

รอ้ นจาเพาะได้

ดา้ นกระบวนการ (P)

1) นกั เรียนคานวณหาปริมาณตา่ งๆ ท่ี 1) ตรวจสมดุ นักเรยี น 1) แบบประเมินการ 1) นักเรยี นสามารถ
ทากจิ กรรม ทาแบบฝกึ หัดได้
เกย่ี วข้องได้ ในการทาแบบฝึกหดั 2) แบบฝึกหดั 16.1 ระดับดี ผ่านเกณฑ์
ข้อ 1-2
16.1 ข้อ 1-2

ดา้ นคณุ ลักษณะ (A) 1) ตรวจสมดุ นักเรียน 1) แบบประเมินการ 1) นักเรยี นทาภาระ
1) ใฝ่เรียนรู้และมุ่งมนั่ ในการทางาน ในการตอบคาถาม
ตรวจสอบความเขา้ ใจ
16.1 ขอ้ 1-2 ทากิจกรรม งานที่ไดร้ ับมอบหมาย
2) ตรวจสมดุ นกั เรียน
ในการทาแบบฝึกหดั 2) คาถามตรวจสอบ ไดร้ ะดับดี ผ่านเกณฑ์
16.1 ข้อ 1-2
ความเขา้ ใจ 16.1 ขอ้

1-2

3) แบบฝึกหัด 16.1

ขอ้ 1-2

7

8

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 16

รายวชิ าวิทยาศาสตร์เพม่ิ เติม (ฟิสิกส์) ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 6
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 16 ความร้อนและแกส๊ เวลา 24 ช่ัวโมง
เร่ือง ความร้อนแฝง เวลา 2 ชวั่ โมง
ภาคเรียนท่ี 1
ครผู ู้สอน นายปญั ญา ฮวดไชย

1. สาระสาคัญ
อุณหพลศาสตร์ (thermodynamics) เป็นการศึกษากระบวนการเปล่ียนแปลงระหว่างความร้อน และ

พลังงานกล ระดับความร้อนของวัตถุสามารถระบุได้ด้วยอุณหภูมิ (temperature) อุปกรณ์ท่ีใช้วัดอุณหภูมิ เรียกว่า
เทอร์มอมิเตอร์ (thermometer) หน่วยวัดอุณหภูมิที่ใช้ทั่วไปคือ องศาเซลเซียส (degree Celsius, °C)
แต่การศึกษาในวิชาอุณหพลศาสตร์ใช้อุณหภูมิในหน่วย เคลวิน (Kelvin, K) ซึ่งบางคร้ังเรียกว่า อุณหภูมิสัมบูรณ์
(absolute temperature)

2. ผลการเรยี นรู้
7. อธิบายและคานวณความร้อนที่ทาให้สสารเปล่ียนอุณหภูมิ ความร้อนท่ีทาให้สสารเปล่ียนสถานะและ

ความร้อนทเ่ี กิดจากการถา่ ยโอนตามกฎการอนรุ ักษ์พลงั งาน
3. สาระการเรียนรู้

3.1 ความรู้
ความร้อนแฝง

เม่ือให้ความร้อนแก่สารจะทาให้อุณหภูมขิ องสารเพิ่มข้ึน เช่น การให้ความร้อนแก่น้าท่ีอยู่ในสถานะของเหลวก็จะทา
ให้อุณหภูมิของน้าที่อยู่ในสถานะของเหลวเพ่ิมขึ้น ซ่ึงเกิดขึ้นในกรณีท่ีสารไม่เปล่ียนสถานะเท่านั้น แต่การให้ความ
ร้อนเพ่ือเปลี่ยนสถานะของสาร เช่น การให้ความร้อนเพ่ือให้น้าแข็งหลอมเหลวกลายเป็นน้า หรือการให้ความร้อน
เพอื่ ให้น้าเดือดกลายเป็นไอนา้ จะพบว่านา้ มอี ุณหภูมิคงตวั

3.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่ือสาร (อ่าน ฟัง พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคดิ (สังเกต วเิ คราะห์ จัดกล่มุ สรุป)

9

4. จุดประสงค์การเรียนรู้ รายละเอียด
จดุ ประสงคการเรียนรู้

ดา้ นความรู้ 1. นักเรียนอธบิ ายการเปล่ียนสถานะของสสารทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความรอ้ น
(K: Knowledge) แฝงได้

ดา้ นทักษะกระบวนการ 2. นักเรยี นอธิบายการถา่ ยโอนความร้อน สมดลุ ความร้อนได้
(P: Process) 3. นักเรียนคานวณหาปริมาณต่าง ๆ ทเ่ี กยี่ วข้องได้
ดา้ นคณุ ลกั ษณะที่พงึ
ประสงค์ (A: Attitude) 4. ใฝเ่ รยี นรู้และมุง่ มน่ั ในการทางาน

5. กจิ กรรมการเรียนรู้
ข้นั ท่ี 1 ข้นั สร้างความสนใจ
1.1 ครนู าเขา้ สู่เน้ือหาหัวข้อท่ี 16.1.3 เร่ือง ความร้อนแฝง โดยจัดกิจกรรมสาธิตโดยให้นักเรยี น
สังเกตอุณหภมู ิของน้าแข็งในขณะที่กาลังหลอมเหลว และอุณหภูมขิ องน้าในขณะท่ีกาลงั เดอื ด จากนั้นครูตั้ง
คาถามให้นกั เรียนอภิปรายร่วมกนั ดังน้ี
1) เมอ่ื ใหค้ วามร้อนกับน้าแขง็ ท่กี าลังหลอมเหลว อณุ หภมู ิของนา้ แข็งมีการเปลีย่ นแปลง
หรือไม่ อยา่ งไร
2) เมื่อให้ความร้อนกับนา้ ท่กี าลงั เดือด อุณหภมู ิของน้ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร
(ครูเปิดโอกาสให้นักเรยี นแสดงความคดิ เห็นอยา่ งอสิ ระ ไม่คาดหวงั คาตอบทีถ่ ูกตอ้ ง)
1.2 ครแู ละนักเรยี นอภปิ รายร่วมกนั จนสรุปได้วา่ เม่อื ใหค้ วามร้อนในขณะทสี่ ารกาลังเปลยี่ น
สถานะ อุณหภมู ิของสารจะมีค่าคงตวั และความร้อนทใี่ ชใ้ นการเปล่ียนสถานะของสารมวล 1 หนว่ ย
โดยอณุ หภูมไิ ม่เปลย่ี น เรียกว่า ความร้อนแฝง ความร้อนดังกลา่ วหาไดจ้ ากสมการ (16.5) ในหนังสอื เรยี น

คาบที่ 2 1.3 ครูนาเขา้ ส่เู นื้อหาหวั ข้อท่ี 16.1.4 เร่ือง การถา่ ยโอนความร้อนและสมดลุ ความร้อน โดยต้ัง
คาถามให้นักเรยี นตอบ ดังนี้

1) การถา่ ยโอนความร้อน สามารถเกิดขน้ึ ได้อยา่ งไรบ้าง พร้อมยกตวั อย่าง
2) การถ่ายโอนความร้อนเกดิ ขนึ้ เมอ่ื ใด และเกี่ยวข้องกบั อุณหภูมิอยา่ งไร
(ครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอสิ ระ ไม่คาดหวงั คาตอบที่ถูกต้อง)
ขนั้ ท่ี 2 ข้นั สารวจและค้นหา
2.1 ถามคาถามทบทวนนกั เรียนเรอื่ งความจุความรอ้ นและความร้อนและความร้อนจาเพาะและ
ครูนานกั เรียนศึกษาการเปลี่ยนสถานะของน้าในหนา้ ท่ี 134
2.2 ครนู านกั เรยี นศึกษาเนื้อหาเก่ียวกับ ความร้อนแฝงของการหลอมเหลว ความร้อนแฝงของการ
กลายเปน็ ไอ
2.3 ครใู ห้นักเรยี นศึกษาเก่ยี วกบั ความร้อนแฝงของสารบางชนิดแสดงในตารางท่ี 16.2 ในหนงั สอื
เรยี น หน้า 135
2.4 ครนู านกั เรยี นศึกษาโจทย์ตวั อยา่ ง 16.3 และแบบฝกึ หัดข้อท่ี 3 ในหนังสือเรยี นอย่างละเอียด

10

คาบที่ 2 การถา่ ยโอนความรอ้ นและสมดลุ ความร้อน ตามรายละเอยี ดในหนังสือเรียน หน้า 135-140 จนได้
สมการทเ่ี กย่ี วข้อง
2.4 นักเรยี นตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.1 ข้อ 3-5 ลงในสมดุ ของตนเอง
2.5 นักเรยี นทาแบบฝกึ หดั 16.1 ข้อ 4-5 ลงในสมุดของตนเอง

ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรุป

3.1 ครูนานกั เรยี นอภิปรายเพอ่ื นาไปสู่การสรุป โดยใชค้ าถามตอ่ ไปนี้

1) ความร้อนต่อหน่ึงหน่วยมวลที่ใช้ในการเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว

เรยี กวา่

แนวการตอบ ความร้อนแฝงการหลอมเหลว

2) ความรอ้ นแฝงในการเปลีย่ นจากของเหลวเปน็ แกส๊ เรยี กว่า

แนวการตอบ ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอ

คาบท่ี 2 3) ในขณะทปี่ ระกอบอาหารภายในห้องครัวโดยใช้ความร้อนจากเปลวไฟ เพราะเหตุใดคน

ทีอ่ ย่ภู ายใน ครวั จึงรสู้ กึ วา่ ไดร้ ับความรอ้ นจากเปลวไฟนนั้

แนวการตอบ คนท่อี ยู่ภายในครวั ได้รับความร้อนจากเปลวไฟเนอ่ื งจากมีการพาความร้อน

โดยโมเลกลุ อากาศ และการแผร่ ังสคี วามรอ้ น

4) การถา่ ยโอนความร้อนเปน็ ไปตามกฎการอนุรักษ์พลงั งานหรือไม่ อยา่ งไร

แนวการตอบ การถ่ายโอนความร้อนเปน็ ไปตามกฎการอนุรักษพ์ ลังงาน กลา่ วคือ ถ้าไมม่ ี

การถ่ายโอนความร้อนให้กับส่ิงแวดล้อมภายนอกความร้อนที่วตั ถุหนึ่งให้ (ความร้อนทล่ี ดลง) จะเท่ากบั

ความรอ้ นที่อกี วัตถุหน่ึงไดร้ บั (ความรอ้ นทเี่ พ่ิมขน้ึ )

4) ถ้าใสต่ ะปทู เ่ี ผาจนร้อนลงในแก้วทีม่ นี า้ พอสมควร อุณหภูมิของน้าและตะปจู ะ

เปลี่ยนแปลงอยา่ งไร เมื่อปลอ่ ยทงิ้ ไว้เป็นเวลานาน อุณหภมู ิของนา้ และตะปจู ะเปน็ อยา่ งไร

แนวการตอบ เมื่อใส่ตะปูทเ่ี ผาจนร้อนลงในแก้วทม่ี นี า้ พอสมควร อณุ หภูมขิ องน้าจะ

เพม่ิ ขนึ้ และอุณหภูมิของตะปูจะลดลงเมอื่ ปลอ่ ยทิ้งไว้เป็นเวลานาน อณุ หภมู ิของน้าและตะปจู ะเท่ากนั

3.2 นกั เรียนและครูร่วมกนั สรุปเนื้อหา เรื่อง ความรอ้ นแฝง และการถา่ ยโอนความรอ้ นและสมดุล

ความรอ้ น

การนาความร้อน (heat conduction) เป็นการถ่ายโอนความร้อนผ่านตวั นาความร้อน

โดยที่โมเลกุลแต่ละโมเลกุลของตัวนาไม่ได้เคล่ือนท่ีตามไปด้วย เช่น ถ้าเราใช้มือจับช้อนโลหะ โดยใช้ปลาย

ข้างหน่ึงของช้อนอยู่ในเปลวไฟ สักครเู่ ราจะรสู้ กึ ว่าช้อนโลหะบริเวณท่ีจับร้อน เน่อื งจากความร้อนถูกส่งผ่าน

ชอ้ นโลหะซ่ึงนาความร้อนมาสู่มอื เรา

การพาความร้อน (heat convection) เป็นการถ่ายโอนความร้อนโดยอาศัยการ

เคล่ือนที่ของโมเลกุลของสสารพาความร้อนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หน่ึง เช่น การต้มน้าที่บรรจุในภาชนะ เม่ือ

น้าได้รับความร้อนท่ีส่วนล่างของภาชนะ น้าส่วนล่างจะขยายตัวทาให้มีความหนาแน่นน้อยน้อยลงและ

เคล่ือนที่ขึ้นไปอยู่ส่วนบน ส่วนน้าท่ีอยู่ส่วนบนของภาชนะก็จะเคลื่อนท่ีลงมาแทนท่ี การหมุนวนของน้าจึง

ทาให้เกดิ การพาความรอ้ นข้ึน

11

การแผ่รังสีความร้อน (heat radiation) เป็นการถ่ายโอนความร้อนโดยไม่ต้องอาศัย
ตัวกลาง เช่น โลกได้รับความร้อนท่ีถ่ายโอนจากดวงอาทิตย์ผ่านสุญญากาศในรูปของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า
เปน็ ต้น

การถา่ ยโอนความรอ้ นเกิดขึน้ เมือ่ สองบริเวณมอี ุณหภูมิแตกต่างกัน และการถ่ายโอนความ
ร้อนจะเกิดขึ้นจนกระทั่งท้ังสองบริเวณมีอุณหภูมิเท่ากัน การถ่ายโอนความร้อนดังกล่าวจะเป็นไปตามกฎ
การอนุรกั ษ์พลงั งาน

การที่วตั ถุมีการถ่ายโอนความรอ้ นจนไม่มีการถ่ายโอนความรอ้ น เมือ่ มีอุณหภมู เิ ท่ากัน
เรียกว่า วตั ถุท้ังสองอย่ใู นสมดุลความร้อน
ข้ันท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้

4.1 ครใู หค้ วามรูเ้ พม่ิ เติม ดังนี้
- จุดเดอื ดของของเหลวมีคา่ ขึ้นอยูก่ บั ความดันบรรยากาศ เชน่ น้าจะมจี ุดเดอื ดทีอ่ ุณหภูมิ

100 องศาเซลเซียส ที่ความดัน 1 บรรยากาศ ซึง่ อยใู่ นระดับนา้ ทะเล แต่ถา้ ความดันตา่ กว่า 1
บรรยากาศ เช่น บนยอดเขาสูง นา้ จะเดือดที่อุณหภูมติ า่ กวา่ 100 องศาเซลเซยี ส ถ้าความดันมากกวา่
1 บรรยากาศเช่นในหมอ้ อัดความดัน น้าจะเดือดทอี่ ุณหภูมสิ งู กว่า 100 องศาเซลเซยี ส จึงนยิ มนาหม้อชนิด
นี้มาใช้สาหรับฆา่ เชอื้

4.2 ครูให้ความรู้เพ่มิ เติมเกี่ยวกบั แคลอรมิ เิ ตอร์ (calorimeter) เปน็ อุปกรณ์ที่ใชว้ ดั สมบตั ิของสาร
ที่เดยี่ วข้องกบั ความร้อน ความจุความร้อน ความร้อนจาเพาะ และความร้อนแฝงของสาร รวมถึงความร้อน
ที่เกดิ ขึน้ จากปฏกิ ิริยาเคมี ไฟฟ้า และกลศาสตร์ ตัวภาชนะทาจากวสั ดุท่ีเปน็ ฉนวนความร้อน เพ่ือปอ้ งกัน
การถ่ายโอนความร้อนกับสิง่ แวดล้อมภายนอก ภายในบรรจุดว้ ยของเหลวทท่ี ราบความร้อนจาเพาะและ
ความรอ้ นแฝง เชน่ น้า ของเหลวดังกล่าวทาหน้าทร่ี บั หรอื คายความร้อนทเี่ กดิ จากการถ่ายโอนความรอ้ น
ระหว่างของเหลวกบั สงิ่ ทต่ี ้องการศกึ ษา และเมือ่ วดั อณุ หภูมทิ ีเ่ ปลี่ยนไปของของเหลวจะสามารถนาใชห้ า
ปรมิ าณต่าง ๆ ท่ีเกย่ี วข้องกบั สง่ิ ทตี่ อ้ งการศึกษาได้

ขนั้ ท่ี 5 ขน้ั ประเมนิ ผล
5.1 ครูตรวจสมดุ นักเรียนในการตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.1 ข้อท่ี 3-5
5.2 ครตู รวจสมุดนกั เรียนในการทาแบบฝกึ หัด 16.1 ข้อ 4-5

12

6. สือ่ การเรยี นร้/ู แหลง่ เรยี นรู้

6.1 หนังสอื เรยี นรายวิชาเพิ่มเตมิ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฟสิ กิ ส์) ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 เลม่ 5

(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.2560)

6.2 อนิ เทอร์เน็ต

6.3 ห้องสมดุ

7. การวดั และประเมินผล

จุดประสงค์การเรยี นรู้ วธิ กี ารวัด เครอื่ งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ

ด้านความรู้ (K)

1) นักเรยี นอธบิ ายการเปล่ยี นสถานะของ 1) ตรวจสมดุ นกั เรียน 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรยี นสามารถ

สสารทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั ความรอ้ นแฝงได้ ในการตอบคาถาม ทากจิ กรรม ตอบคาถามได้

2) นกั เรยี นอธิบายการถ่ายโอนความร้อน ตรวจสอบความเขา้ ใจ 2) คาถามตรวจสอบ ระดับดี ผา่ นเกณฑ์

สมดลุ ความร้อนได้ 16.1 ข้อ 4-5 ความเขา้ ใจ 16.1

ขอ้ 4-5

ด้านกระบวนการ (P)

1) นักเรยี นคานวณหาปริมาณตา่ งๆ ที่ 1) ตรวจสมุดนักเรียน 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรยี นสามารถ

เกี่ยวขอ้ งได้ ในการทาแบบฝึกหดั ทากิจกรรม ทาแบบฝกึ หดั ได้

16.1 ข้อ 4-5 2) แบบฝกึ หัด 16.1 ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์

ขอ้ 4-5

ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A)

1) ใฝเ่ รียนรู้และมุ่งม่นั ในการทางาน 1) ตรวจสมดุ นกั เรียน 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรียนทาภาระ

ในการตอบคาถาม ทากจิ กรรม งานที่ไดร้ ับมอบหมาย

ตรวจสอบความเข้าใจ 2) คาถามตรวจสอบ ไดร้ ะดบั ดี ผ่านเกณฑ์

16.1 ขอ้ 4-5 ความเขา้ ใจ 16.1 ข้อ

2) ตรวจสมดุ นกั เรียน 4-5

ในการทาแบบฝึกหัด 3) แบบฝึกหัด 16.1

16.1 ขอ้ 4-5 ข้อ 4-5

13

14

แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 17 ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 6
เวลา 24 ช่ัวโมง
รายวชิ าวิทยาศาสตรเ์ พิ่มเติม (ฟิสกิ ส)์ เวลา 2 ชว่ั โมง
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 16 ความร้อน
เรอื่ ง แบบจาลองแก๊สอุดมคติ ครูผู้สอน นายปัญญา ฮวดไชย
ภาคเรยี นท่ี 1

1. สาระสาคญั
สารในสถานะแก๊ส ประกอบด้วยโมเลกุลฟุ้งกระจายเต็มภาชนะบรรจุ เพ่ือให้การอธิบายพฤติกรรมของแก๊ส

ได้ง่ายขึ้น จึงมีการสร้างแบบจาลองแก๊สอุดมคติ (ideal gas) ขึ้นมา โดยกาหนดให้แก๊สอุดมคติเป็นแก๊สโมเลกุลมี
ขนาดเล็กมาก ไม่มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่างกนั มีการเคลอ่ื นที่แบบสุ่ม และมีการชนแบบยืดหยุ่น

2. ผลการเรียนรู้
8. อธิบายกฎของแกส๊ อุดมคติและคานวณปรมิ าณตา่ งๆ ทเี่ ก่ียวขอ้ ง

3. สาระการเรยี นรู้
3.1 ความรู้
แกส๊ อดุ มคติ

สาหรบั สารในสถานะแก๊ส โมเลกลุ ของแกส๊ สามารถเคล่ือนท่ีได้อย่างอสิ ระและฟุ้งกระจายเตม็ ภาชนะที่บรรจุ ถา้
เปล่ยี นปรมิ าตรของภาชนะที่ใช้ในการบรรจแุ ก๊ส แกส๊ ก็จะมีปรมิ าตรเปลีย่ นไปตามปรมิ าตรของภาชนะทีบ่ รรจุ เชน่ ถา้
บรรจแุ ก๊สลงในลูกโป่งจานวนสองลกู ที่มีรปู รา่ งแตกตา่ งกัน แม้ลูกโปง่ ทง้ั สองจะเชื่อมต่อกันใหแ้ กส๊ สามารถแลกเปลีย่ น
ไปมาได้ แก๊สจะยังคงมปี ริมาตรตามรูปทรงของลูกโป่งนน้ั ๆ

3.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอื่ สาร (อ่าน ฟงั พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคดิ (สังเกต วิเคราะห์ จดั กลุ่ม สรุป)

15

4. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ รายละเอยี ด
จุดประสงคการเรยี นรู้

ด้านความรู้ 1. นกั เรียนอธบิ ายแบบจาลองของแก๊สอดุ มคติได้
(K: Knowledge)
ดา้ นทกั ษะกระบวนการ 2. นักเรียนสามารถสร้างและประดิษฐ์แผ่นพับ เรื่อง แบบจาลองของ
(P: Process) แกส๊ อดุ มคตไิ ด้
ด้านคณุ ลักษณะที่พึง
ประสงค์ (A: Attitude) 3. มีความสนใจใฝ่ร้หู รอื อยากรูอ้ ยากเห็น และทางานร่วมกับผู้อ่ืนอยา่ ง
สรา้ งสรรค์

5. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขัน้ ที่ 1 ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 ครนู าเข้าสู่เนื้อหาหวั ขอ้ ท่ี 16.2 เรอื่ ง แก๊สอุดมคติ โดยจัดกิจกรรมสาธิตซง่ึ นาถงุ มือยางมาต่อ
กับทอ่ กลวงที่ปลายข้างหน่ึง จากนน้ั เป่าลมเข้าไปในลูกโป่งทรงกลมแล้วนามาต่อเขา้ กบั ท่อกลวงท่ีปลายอีก
ขา้ งหนง่ึ ดังรูป

จากนน้ั ครตู งั้ คาถามให้นักเรยี นอภปิ รายรว่ มกันเพอ่ื ตอบคาถาม ดงั น้ี
1) ถ้าใชม้ ือบีบลูกโป่งทรงกลมเพ่ือให้แก๊สทั้งหมดท่ีอยู่ในลกู โปง่ ทรงกลมเคลื่อนท่เี ข้าไปใน

ถงุ มือยางแกส๊ ดังกล่าวจะมปี ริมาตรและรูปทรงเปลี่ยนไปหรือไม่ อยา่ งไร
(ครูเปิดโอกาสใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็นอยา่ งอิสระ ไมค่ าดหวงั คาตอบทถี่ ูกต้อง)

1.2 ครแู ละนกั เรียนอภปิ รายร่วมกนั จนสรปุ ไดว้ า่ เมอ่ื ปล่อยใหแ้ ก๊สที่อยู่ในลกู โป่งทรงกลม
เคลอื่ นท่ีเขา้ ไปยังถงุ มอื ยางดงั รปู แก๊สจะมีปริมาตรและรูปทรงเปลยี่ นแปลงไปจากทรงกลมเหมือนลกู โป่ง
เปน็ รูปมือเหมือนถุงมือยาง นั่นคือ แกส๊ มรี ูปทรงและปรมิ าตรเปล่ียนแปลงได้ตามภาชนะท่บี รรจุ

1.3 ครูต้งั คาถามเพอื่ นาเข้าสู่การทากจิ กรรม เรอื่ ง แบบจาลองแกส๊ อดุ มคติ ดงั นี้
1) ปรมิ าตร ความดนั อณุ หภูมิของแกส๊ มีความสัมพันธ์กนั หรือไม่ อยา่ งไร
2) พฤติกรรมของแกส๊ ในธรรมชาติวา่ มีความเหมือนหรือแตกตา่ งจากพฤติกรรมของแกส๊

ในอุดมคตอิ ย่างไร
(ครเู ปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอิสระ ไม่คาดหวงั คาตอบท่ีถกู ต้อง)

16

ขน้ั ท่ี 2 ขัน้ สารวจและค้นหา
2.1 ครแู ละนักเรียนร่วมกนั ศึกษาเกี่ยวกบั แบบจาลองแกส๊ อคุ มคติ ในหนงั สือเรียน หนา้ 145-146

และสามารถศกึ ษาคน้ ควา้ เพิ่มเตมิ ในหอ้ งสมุด หรอื อินเทอรเ์ น็ต
2.2 นกั เรยี นสรปุ องค์ความรู้ เรอ่ื ง แบบจาลองแกส๊ อุคมคติ ลงใน Mind Map
2.3 นกั เรยี นตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.2 ข้อ 1-2 ลงในสมดุ ของตนเอง

ขน้ั ท่ี 3 ขั้นอธบิ ายและลงข้อสรุป
3.1 ครสู ุ่มนกั เรยี น 2 คน ออกมานาเสนอผลงานของตนเองหนา้ ชัน้ เรยี น
3.2 ครแู ละนักเรียนร่วมกันอภปิ รายจนไดข้ ้อสรุป เรอื่ ง แบบจาลองของแกส๊ อดุ มคติ ดังน้ี
- แบบจาลองของแก๊สอุดมคติ ถกู สรา้ งขึ้นเพ่ือให้การอธิบายพฤติกรรมของแก๊สได้งา่ ย

ข้นึ โดยแก๊สอดุ มคตเิ ปน็ แกส๊ ทโ่ี มเลกุลมขี นาดเล็กมาก ไม่มีแรงยึดเหนยี่ วระหว่างกัน มีการเคล่ือนที่แบบส่มุ
และมกี ารชนแบบยดื หย่นุ

- แก๊สอดุ มคติ (ideal gas) คอื แกส๊ ท่มี ีสมบัติดังต่อไปน้ี
1. มีโมเลกุลขนาดเล็กมาก จนถือไดว้ ่าปรมิ าตรแต่ละโมเลกุลน้อยจนเกือบเป็นศูนย์เม่ือ
เทียบกบั ปริมาตรของภาชนะท่บี รรจุ
2. ไม่มแี รงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล แต่จะมีแรงกระทาตอ่ โมเลกลุ ของแกส๊ เม่ือมีการชน
กันเองหรือชนกบั ผนงั ภาชนะ
3. มีการเคลอื่ นท่ีแบบสุ่ม กล่าวคอื การเคลื่อนท่ีของโมเลกุลของแก๊สมีขนาดและทิศทาง
ของความเร็วไม่แนน่ อน โดยทกุ โมเลกลุ ของแก๊สจะมโี อกาสในการเคล่ือนทดี่ ว้ ยความเร็วขนาดใด ๆ และ
ทศิ ทางใด ๆ ดว้ ยความน่าจะเป็นท่ีเทา่ กนั ทุกโมเลกลุ
4. โดยความนา่ จะเป็นทีโ่ มเลกลุ ของแกส๊ จะมีความเร็วค่าใดค่าหนง่ึ และทิศทางใดทศิ ทาง
หนึ่งมีคา่ เท่ากัน
5. มีการชนแบบยืดหยุ่น กล่าวคือ โมเลกลุ ของแกส๊ จะไม่มีกาสูญเสยี พลังงานจลน์ระหว่าง
การชนไม่วา่ จะเปน็ การชนกนั ระหว่างโมเลกลุ ของแก๊ส หรือการชนกับผนังภาชนะ

ขั้นท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้
4.1 ครใู หค้ วามรเู้ พิม่ เติมเก่ียวกับคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 16.2 ขอ้ 1-2

ขั้นท่ี 5 ขน้ั ประเมนิ ผล
5.1 ครตู รวจ Mind Map เรอื่ ง แบบจาลองของแก๊สอุดมคติ
5.2 ครตู รวจสมดุ นกั เรยี นในการตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.2 ข้อ 1-2

17

6. สอ่ื การเรยี นร/ู้ แหลง่ เรียนรู้
6.1 หนังสอื เรยี นรายวชิ าเพ่ิมเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฟิสกิ ส์) ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 5

(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560)
6.2 อินเทอรเ์ นต็
6.3 ห้องสมดุ

7. การวัดและประเมนิ ผล วธิ กี ารวดั เครอื่ งมือ เกณฑ์การประเมิน
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1) ตรวจสมุดนกั เรยี น 1) แบบประเมนิ การ 1) นักเรียนสามารถ
ดา้ นความรู้ (K) ในการตอบคาถาม ทากจิ กรรม ตอบคาถามได้
1) นกั เรียนอธิบายแบบจาลองของแก๊ส ตรวจสอบความเข้าใจ 2) คาถามตรวจสอบ ระดับดี ผา่ นเกณฑ์
อุดมคติได้ 16.2 ข้อ 1-2 ความเขา้ ใจ 16.2
ขอ้ 1-2

ด้านกระบวนการ (P) 1) ตรวจ Mind Map 1) แบบประเมนิ การ 1) นักเรียนสามารถ
1) นักเรยี นสามารถสร้างและประดิษฐ์แผ่น เรื่อง แบบจาลองของ ทากิจกรรม สร้าง Mind Map
พับ เร่ือง แบบจาลองของแก๊สอุดมคติได้ แกส๊ อุดมคติ 2) Mind Map และสามารถสรปุ องค์
ความรทู้ ีไ่ ดจ้ าก
การศกึ ษาลงใน
Mind Map ไดร้ ะดับ
ดี ผ่านเกณฑ์

ด้านคณุ ลกั ษณะ (A) 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรยี นทาภาระ
1) มีความสนใจใฝ่รู้หรืออยากรู้อยากเห็น 1) ตรวจสมดุ นกั เรยี น
และทางานรว่ มกบั ผู้อืน่ อย่างสรา้ งสรรค์ ในการตอบคาถาม ทากิจกรรม งานท่ีไดร้ ับมอบหมาย

ตรวจสอบความเข้าใจ 2) คาถามตรวจสอบ ไดร้ ะดับดี ผ่านเกณฑ์
16.2 ขอ้ 1-2
2) ตรวจ Mind Map ความเข้าใจ 16.1 ขอ้
เรอ่ื ง แบบจาลองของ
แก๊สอุดมคติ 1-2

3) Mind Map

18



19

19

แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 18 ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 6
เวลา 24 ชวั่ โมง
รายวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พิ่มเติม (ฟิสกิ ส์) เวลา 2 ชวั่ โมง
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 16 ความร้อน
เรื่อง กฎของแก๊สอุดมคติ ครูผสู้ อน นายปญั ญา ฮวดไชย
ภาคเรียนท่ี 1

1. สาระสาคญั
ความดัน ปริมาตร และอุณหภูมิของแก๊สอุดมคติมีความสัมพันธ์เป็นไปตามกฎของแก๊สอุดมคติ (ideal gas

law) เขยี นแทนไดด้ ้วยสมการ = =

2. ผลการเรยี นรู้
8. อธบิ ายกฎของแกส๊ อดุ มคตแิ ละคานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทีเ่ กย่ี วข้อง

3. สาระการเรยี นรู้
3.1 ความรู้
กฎของแก๊สอดุ มคติ
นักวทิ ยาศาสตร์พยายามท่จี ะทาความเข้าใจธรรมชาติของแกส๊ ไดม้ ีการทดลองเพื่อศึกษาหา
ความสมั พันธ์ระหวา่ งความดัน ปริมาตร และอุณหภมู สิ ัมบูรณ์ของแกส๊ ในภาชนะปิด จนสรุปเปน็ กฎ 3 ขอ้
ดงั นี้
1. กฎของบอยล์ (Boyle's law) : รอเบิรต์ บอย (Robert Boyle) นกั วิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ
ได้ทาการทดลองเพื่อศึกษาความสัมพันธร์ ะหว่างปริมาตรและความดนั ของแก๊สในสภาวะท่ีอุณหภมู ิของ
แกส๊ คงตัว และพบว่าสาหรบั แกส๊ ในภาชนะปดิ ถ้าอณุ หภูมิของแก๊สคงตัว ความดนั (P) ของแก๊สแปรผกผัน
กบั ปรมิ าตร (V) ของแก๊ส หรืออาจเขยี นความสัมพนั ธ์ได้ดังน้ี คอื
∝ 1 เมอื่ อุณหภมู คิ งตัว



หรอื = 1 เม่ือ 1 คอื ค่าคงตัว

2. กฎของชาร์ล (Charles’law) : ชาก-อาแลกซองดร-์ เซซา ชาร์ล (Jacques- Alexandre-
Ce’sar Charles) นักวทิ ยาศาสตร์ชาวฝรงั่ เศส ได้ทาการทดลองเพื่อศึกษาความสัมพันธร์ ะหว่างปริมาตร
และอุณหภมู ิสมั บรู ณ์ของแก๊ส เมอื่ ความดนั ของแกส๊ คงตัว และพบวา่ สาหรับแก๊สในภาชนะปดิ ถ้าความดนั
(P) ของแกส๊ คงตวั ปริมาตร (V) ของแก๊ส จะแปรผันตรงกับอณุ หภูมสิ ัมบรู ณ์ (T) ของแกส๊ หรอื อาจเขียน
ความสมั พันธ์ได้ดงั น้ี คือ

20

∝ เมือ่ ความดนั คงตัว

หรือ = 2 เมอ่ื 2 คือ ค่าคงตัว



3. กฎของเกย์-ลูสแซก (Gay-Lussac’s law) : โชเซฟ-ลุย เก-ลูซัก (Joseph-Louis Gay-Lussac)

นักวิทยาศาสตร์ชาวฝร่ังเศสได้ทาการทดลองเพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความดันและอุณหภูมิสัมบูรณ์ของแก๊ส

เม่ือปริมาตรของแก๊สคงตัว และพบว่าสาหรับแก๊สในภาชนะปิด ถ้าปริมาตร (V) ของแก๊สคงตัว ความดัน (P) ของ

แก๊สจะแปรผันตรงกับอุณหภมู ิสัมบรู ณ์ (T) ของแก๊ส หรอื อาจเขียนความสมั พันธไ์ ดด้ ังน้ี

3.2 กระบวนการ

1) ความสามารถในการส่ือสาร (อา่ น ฟงั พดู เขยี น)

2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วเิ คราะห์ จดั กล่มุ สรุป)

4. จุดประสงค์การเรียนรู้ รายละเอียด
จดุ ประสงคการเรียนรู้

ดา้ นความรู้ 1. นกั เรยี นอธิบายกฎของแกส๊ อุดมคติได้
(K: Knowledge) 2. นักเรียนคานวณหาปริมาณต่าง ๆ ท่เี กีย่ วข้องได้
ด้านทักษะกระบวนการ 3. ใฝเ่ รียนร้แู ละมุง่ ม่ันในการทางาน
(P: Process)
ดา้ นคุณลกั ษณะท่ีพึง
ประสงค์ (A: Attitude)

5. กิจกรรมการเรียนรู้
ข้นั ท่ี 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ
1.1 ครนู าเขา้ สู่เนื้อหาหัวขอ้ ที่ 16.2.2 เร่อื ง กฎของแก๊สอุดมคติ โดยทบทวนความรเู้ กีย่ วกบั ของ
กฎบอลย์ กฎของชาร์ล และกฎของเกย์-ลสู แซก จากนั้นครูตั้งคาถามให้นักเรียนอภปิ รายร่วมกนั ดังนี้
1) ถา้ นากฎของแก๊สท้ังสามมารวมกันเพ่ือหาความสัมพันธ์จะได้สมการเปน็ อยา่ งไร
(ครเู ปดิ โอกาสให้นักเรยี นแสดงความคิดเห็นอยา่ งอิสระ ไมค่ าดหวังคาตอบทถ่ี ูกตอ้ ง)

ขั้นท่ี 2 ขัน้ สารวจและค้นหา
2.1 ครูนานักเรียนศึกษาเนื้อหาเกีย่ วกบั กฎของแก๊สอุดมคติ ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน หน้า

147-149 จนได้สมการทเี่ กยี่ วข้อง
2.2 ครใู ห้นกั เรยี นศึกษาตวั อย่าง 16.6 16.7 และ 16.8 โดยครูเปน็ ผู้ใหค้ าแนะนา
2.3 นกั เรียนตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.2 ข้อ 3-4 ลงในสมุดของตนเอง
2.4 นกั เรียนทาแบบฝึกหัด 16.2 ขอ้ 1-2 ลงในสมดุ ของตนเอง

21

ข้นั ท่ี 3 ขัน้ อธิบายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครูนานกั เรยี นอภิปรายเพ่ือนาไปสู่การสรปุ โดยใชค้ าถามตอ่ ไปนี้
1) ความดัน ปริมาตร และอุณหภูมสิ ัมบรู ณข์ องแกส๊ อดุ มคติในภาชนะปิดมคี วามสัมพันธ์

กันหรือไม่ อย่างไร (แนวการตอบ ความดนั P ปริมาตร V และ อุณหภูมิ T ของแก๊สอดุ มคติ มี
ความสัมพนั ธเ์ ป็นไปตามกฎของแก๊สอดุ มคติ คอื PV = nRT หรือ PV = NkBT)

2) พจิ ารณากระบอกสบู 2 กระบอก กระบอกสูบแรกมปี รมิ าตรเป็นสองเทา่ ของกระบอก
สูบท่สี องกระบอกสูบทง้ั สองมีอุณหภูมิเท่ากนั และบรรจุดว้ ยแก๊สชนิดเดียวกนั จะหาความดนั ของแก๊ส
ภายในกระบอกสูบทั้งสองได้หรือไม่ เพราะเหตุใด (แนวการตอบ ไม่สามารถหาความดนั ของแก๊สภายใน
กระบอกสูบได้ เพราะไม่ทราบจานวนโมล หรอื จานวนโมเลกลขุ องแก๊สภายในกระบอกสูบ เน่ืองจากกฎ
ของแกส๊ อดุ มคติ (PV = nRT หรอื PV = NkBT) แม้ทราบค่าปริมาตร (V ) และอุณหภูมิ (T ) จาก
โจทย์ แตย่ งั ไม่เพียงพอสาหรับการหาความดันของแก๊สภายในกระบอกสูบ (P) เน่ืองจากยงั ไมท่ ราบค่า
จานวนโมล (n) หรือ จานวนโมเลกลุ (N) ของแกส๊ ภายในกระบอกสูบ)

3.2 นักเรียนและครูร่วมกนั สรุปเนือ้ หา เร่อื ง กฎของแกส๊ อดุ มคติ

ขั้นท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้
4.1 ครอู ธิบายเพิ่มเตมิ เกี่ยวกับข้อสงั เกต และความรเู้ พิ่มเติม ตามรายละเอยี ดในหนังสือเรยี น ดงั น้ี
- คา่ คงตัวแก๊ส (gas constant) หรือใช้สัญลักษณ์ R ซ่ึงมีคา่ ในหน่วยเอสไอ เท่ากับ

8.31 J/mol K หรือ 8.31 Nm/mol K นยิ มใช้สาหรบั การคานวณทีเ่ กยี่ วข้องกบั แก๊สทม่ี ีปรมิ าตรในหนว่ ย
ลกู บาศกเ์ มตร (m3) และความดนั ในหนว่ ยพาสคาล (Pa) แต่สาหรับในการคานวณท่ีเกยี่ วขอ้ งกับแกส๊ ที่มี
ปรมิ าตรใน หนว่ ยลติ ร (L) และความดันในหน่วยบรรยากาศ (atm) ในทางเคมี นิยมใช้ R เทา่ กัน 0.0821
L atm/mol K

- ในวนั ท่ี 20 พฤษภาคม 2562 ระบบหนว่ ยระหวา่ งชาติ (The Intemationnal System
of Units) หรอื ระบบเอสไอ (SI) ได้เปล่ียนนิยามหน่วยของอณุ หภูมิอณุ หพลวัตซ่ึงคือ เคลวนิ (kelvin) โดย
อา้ งอิงกับค่าคงตัวโบลต์ซมันนแ์ ทนการอ้างอิงกับอณุ หภมู ิในการเปล่ียนสถานะของนา้ ซง่ึ จากนิยามใหม่น้ี
กาหนดว่าการเพิม่ อณุ หภูมิ 1 เคลวิน มีคา่ เทา่ กับการเปล่ยี นแปลงอุณหภูมิทางอุณหพลศาสตรท์ สี่ ง่ ผลให้
เกิดการเปล่ียนพลังงานความรอ้ น BT เท่ากับ 1.380649 x 10-23 จูล

- อาเมเดโอ อาโวคาโคร (Amaedeo Avogadro ค.ศ. 1776 - 1856 หรือ พ.ศ.
2319-2399) นักวิทยาศาสตรช์ าวอติ าลี ได้ทาการทดลองเพอ่ื ศึกษาจานวนโมเลกลุ ของแก๊สทสี่ ภาวะตา่ ง
ๆ จนนาไปสกู่ ารเสนอสมมติฐานในปี ค.ศ. 1811 หรอื พ.ศ. 2354 ซงึ่ มใี จความว่า “ท่ีอณุ หภูมแิ ละ
ความดนั เดยี วกนั แกส๊ ต่างชนดิ กันทม่ี ปี รมิ าตรเทา่ กันจะมีจานวนโมเลกุลเท่ากนั ” สมมตฐิ านดงั กล่าว
ไม่ได้รับการยอมรับมากนักในชว่ งเวลาทเ่ี ขามีชีวิตอยู่ จนกระทง่ั ภายหลังไดม้ ีนักวิทยาศาสตร์อกี หลายคนได้
ทาการทดลองท่ีใหผ้ ลยืนยันความสมั พันธ์ดงั กลา่ ว สมมติฐานของอาโวคาโดรจึงได้รบั การยอมรบั ในท่ีสุด
และเพื่อเปน็ เกียรตแิ ก่อาโวคาโดร เลขแสดงจานวนโมเลกุลของแกส๊ จานวน 1 โมล ซ่งึ เท่ากบั 6.02214076
x 1023 mol-1 หรือท่ีนิยมใช้ คอื 6.02 x 1023 mol-1 จงึ เรยี กว่า

เลขอาโวกาโดร (Avogadro number : NA)

22

ขั้นที่ 5 ขั้นประเมนิ ผล
5.1 ครตู รวจสมดุ นักเรยี นในการตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.2 ขอ้ ท่ี 3-4
5.2 ครูตรวจสมุดนักเรยี นในการทาแบบฝกึ หดั 16.2 ข้อ 1-2

6. สอื่ การเรยี นร/ู้ แหล่งเรียนรู้
6.1 หนังสอื เรียนรายวชิ าเพม่ิ เตมิ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฟสิ กิ ส)์ ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 เล่ม 5

(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)
6.2 อนิ เทอร์เน็ต
6.3 หอ้ งสมุด

7. การวดั และประเมนิ ผล วธิ กี ารวัด เครื่องมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1) ตรวจสมุดนักเรยี น 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรยี นสามารถ
ด้านความรู้ (K) ในการตอบคาถาม ทากจิ กรรม ตอบคาถามได้
1) นักเรียนอธิบายกฎของแก๊สอดุ มคติได้ ตรวจสอบความเข้าใจ 2) คาถามตรวจสอบ ระดับดี ผา่ นเกณฑ์
16.2 ขอ้ 3-4 ความเขา้ ใจ 16.2
ดา้ นกระบวนการ (P) ข้อ 3-4
1) นกั เรยี นคานวณหาปรมิ าณต่างๆ ท่ี
เกีย่ วขอ้ งได้ 1) ตรวจสมุดนกั เรียน 1) แบบประเมนิ การ 1) นกั เรยี นสามารถ
ในการทาแบบฝกึ หดั ทากจิ กรรม ทาแบบฝึกหดั ได้
ดา้ นคุณลักษณะ (A) 16.2 ข้อ 1-2 2) แบบฝึกหดั 16.2 ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
1) ใฝเ่ รยี นร้แู ละมุ่งม่นั ในการทางาน ขอ้ 1-2

1) ตรวจสมดุ นกั เรียน 1) แบบประเมินการ 1) นักเรยี นทาภาระ
ในการตอบคาถาม
ตรวจสอบความเขา้ ใจ ทากิจกรรม งานท่ไี ด้รบั มอบหมาย
16.2 ข้อ 3-4
2) ตรวจสมุดนักเรยี น 2) คาถามตรวจสอบ ไดร้ ะดับดี ผา่ นเกณฑ์
ในการทาแบบฝึกหัด
16.2 ข้อ 1-2 ความเข้าใจ 16.2 ขอ้

3-4

3) แบบฝึกหัด 16.2

ขอ้ 1-2

23

24

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 19

รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์เพม่ิ เติม (ฟสิ กิ ส์) ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 6

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 16 ความร้อน เวลา 24 ช่ัวโมง

เรือ่ ง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งความดนั และอตั ราเรว็ อารเ์ อม็ เอสของโมเลกลุ ของแก๊ส เวลา 2 ชั่วโมง

ภาคเรยี นท่ี 1 ครผู ้สู อน นายปัญญา ฮวดไชย

1. สาระสาคญั

ทฤษฎจี ลน์ของแก๊ส (kinetic theory of gases) เป็นการอธิบายพฤติกรรมแก๊สในระดับโมเลกุล

เพ่ือนาไปสู่การอธิบายธรรมชาติของแก๊สท่ีเกิดข้ึนจากโมเลกุลของแก๊สท้ังหมดที่อยู่ในระบบ เช่น อุณหภูมิของแก๊ส

ปริมาตรของแกส๊ และความดนั ของแก๊ส โดยท่ีความสัมพันธ์ระหวา่ งความดันกบั อตั ราเร็วอาร์เอม็ เอสของโมเลกุลของ

แก๊สเป็นไปตามสมการ = 1 2 ความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สกับ
3
3
อณุ หภูมเิ ป็นไปตามสมการ ̅ k = 2 ความสัมพนั ธร์ ะหว่างพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกลุ ของแก๊สความดัน

กับปริมาตรของแก๊สเป็นไปตามสมการ = 2 ̅ k และความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสกับ
3

อุณหภมู ขิ องโมเลกุลของแก๊สเปน็ ไปตามสมการ = √3



2. ผลการเรียนรู้
9. อธิบายแบบจาลองของแก๊สอุดมคติ ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส และอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุลของแก๊ส

รวมทัง้ คานวณปรมิ าณตา่ งๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง
3. สาระการเรียนรู้

3.1 ความรู้
ทฤษฎีจลนข์ องแก๊ส
หากนาขวดแก้วไปจุ่มในน้าหรือน้ายาล้างจานดังรปู 16.10 ก. จะเกดิ ฟิลม์ บางอยู่ในระดับเดยี วกับ

ขอบของปากวดแก้ว เมอื่ นาขวดแก้วพรอ้ มฟิล์มบางน้ีไปวางในภาชนะท่บี รรจนุ า้ ร้อน จะพบวา่ เมอ่ื แก๊ส
ภายในขวดได้รบั ความร้อน จะมีความดันสูงขึ้นแลว้ ทาให้ฟิล์มบางนูนขนึ้ จากปากขวด ดงั รปู 16.10 ก.

การเปลีย่ นแปลงความดนั ของเมอ่ื อณุ หภูมเิ ปล่ียนแปลงไปดังรูป 16.10 สามารถอธิบายได้โดยใช้
ความรู้เกีย่ วกับทฤษฎีจลน์ของแกส๊ (kinetic theory of gases) ซ่งึ เปน็ การศึกษาพฤตกิ รรมของแกส๊ อุดม
คตใิ นระดับโมเลกลุ เช่น อัตราเร็วและพลังงานจลนเ์ ฉล่ยี ของโมเลกลุ เพ่ือใช้อธบิ ายสมบัตทิ างกายภาพบาง
ประการของแกส๊ ได้แก่ ความดัน ปรมิ าตร และอณุ หภมู ิ

25

3.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอ่ื สาร (อ่าน ฟงั พูด เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์ จัดกลมุ่ สรุป)

4. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ รายละเอยี ด
จดุ ประสงคการเรยี นรู้

ดา้ นความรู้ 1. นกั เรียนอธิบายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความดนั และอัตราเร็วอาร์เอ็ม
(K: Knowledge) เอสของโมเลกุลของแกส๊ ได้
ดา้ นทกั ษะกระบวนการ
(P: Process) 2. นักเรียนสามารถสร้างและประดิษฐ์ลูกเต๋า เร่ือง ความสัมพันธ์
ดา้ นคณุ ลักษณะที่พงึ ระหวา่ งความดนั และอัตราเร็วอารเ์ อม็ เอสของโมเลกลุ ของแก๊สได้
ประสงค์ (A: Attitude)
3. ใฝ่เรียนรู้และมงุ่ ม่ันในการทางาน

5. กิจกรรมการเรียนรู้
ขัน้ ที่ 1 ขัน้ สรา้ งความสนใจ
1.1 ครนู าเข้าสเู่ น้ือหาหวั ขอ้ ท่ี 16.3 เรื่อง ทฤษฎีจลนข์ องแก๊ส โดยใชร้ ูป 16.10 ในหนังสอื เรียน
หรอื จัดกจิ กรรมสาธติ โดยให้นักเรียนสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงความดันของแก๊สเมื่อได้รบั ความร้อน
โดยจุ่มขวดแก้วลงในน้าสบู่หรือน้ายาล้างจานใหเ้ กิดฟลิ ม์ บางท่ีปากขวดแกว้ จากนน้ั นาขวดแก้วไปจมุ่ น้า
ร้อน แลว้ ให้นักเรียนสังเกตสง่ิ ทเ่ี กดิ ข้ึน จากนัน้ ครูต้งั คาถามใหน้ กั เรยี นอภิปรายร่วมกนั ดังนี้
1) เหตใุ ดเมื่อแก๊สไดร้ บั ความร้อนจึงมคี วามดนั เพิ่มข้นึ สงู จนทาให้ฟลิ ์มบางนูนข้นึ จากปาก
ขวด จะสามารถอธิบายส่ิงท่ีเกดิ ข้นึ นี้ได้ดว้ ยพฤตกิ รรมของแก๊สในระดับโมเลกลุ อย่างไร
(ครเู ปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอสิ ระ ไมค่ าดหวังคาตอบทถ่ี ูกตอ้ ง)
1.2 ครูนาเข้าสู่เน้ือหาหวั ข้อท่ี 16.3.1 เร่ือง ความสมั พันธ์ระหวา่ งความดันและอัตราเรว็ อาร์เอ็ม
เอสของโมเลกลุ ของแก๊ส โดยยกสถานการณก์ ารเป่าลมเข้าลูกโป่ง จากนน้ั ครูตง้ั คาถามใหน้ กั เรียนอภิปราย
รว่ มกัน ดงั นี้
1) ทาไมลูกโปง่ จงึ พองออก การเพิม่ จานวนโมเลกุลของอากาศในลูกโป่งทาให้ลูกโป่งพอง
ออกได้อย่างไร
(ครูเปดิ โอกาสให้นักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอิสระ ไม่คาดหวังคาตอบทถ่ี ูกตอ้ ง)
1.3 ครแู ละนกั เรียนอภปิ รายร่วมกนั จนสรุปไดว้ ่า เมอื่ เป่าลมเขา้ ลกู โป่งเป็นการเพิ่มจานวน
โมเลกลุ ของอากาศ ทาให้จานวนโมเลกลขุ องอากาศชนกับผนังของลูกโป่งทีเ่ วลาขณะหน่ึงมากขนึ้ ความดนั
ภายในลูกโป่ง จงึ สูงกวา่ ความดนั ภายนอกลกู โปง่ ประกอบกบั ลกู โปง่ มีความยืดหยุน่ สูง ลูกโป่งจึงพองตวั
1.4 จากน้นั ครชู ้ใี ห้เห็นวา่ การพิจารณาพฤติกรรมของแก๊สในระดบั โมเลกลุ ดงั ตัวอยา่ งขา้ งตน้ ชว่ ย
ทาให้เข้าใจสมบตั ิของแก๊สมากย่งิ ขึ้น

26

ขน้ั ที่ 2 ขั้นสารวจและค้นหา
2.1 ครใู ห้นกั เรยี นศึกษาเน้ือหาเกย่ี วกับ ความสัมพันธร์ ะหว่างความดนั และอตั ราเรว็ โมเลกุลของ

แก๊ส ตามรายละเอียดในหนังสอื เรียน หนา้ 155-160
2.2 ครูแจกแบบ Box ลกู เตา๋ ให้นกั เรยี น
2.3 นกั เรยี นสรปุ องค์ความรทู้ ่ีได้ลงใน Box ลกู เตา๋ ที่ครูแจกให้

ข้นั ท่ี 3 ขัน้ อธิบายและลงข้อสรุป
3.1 ครสู ุม่ นักเรยี น 2 คน ออกมานาเสนอผลงานของตนเองหน้าชั้นเรยี น
3.2 นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเน้ือหา เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างความดันและอัตราเร็วโมเลกุล

ของแกส๊ และสมการทีเ่ กย่ี วขอ้ ง

ขน้ั ท่ี 4 ข้ันขยายความรู้
4.1 ครใู หค้ วามรูเ้ พ่มิ เติมเก่ยี วกับข้อสงั เกตในหนังสือเรียน หน้า 159

ขน้ั ท่ี 5 ขน้ั ประเมินผล
5.1 นักเรยี นสง่ Box ลูกเตา๋ เร่ือง ความสัมพนั ธ์ระหว่างความดนั และอตั ราเร็วอาร์เอ็มเอสของ

โมเลกลุ ของแกส๊

6. สอื่ การเรียนรู้/แหล่งเรยี นรู้
6.1 หนังสอื เรียนรายวิชาเพมิ่ เติมวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฟิสกิ ส)์ ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6 เล่ม 5

(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2560)
6.2 อนิ เทอรเ์ น็ต
6.3 หอ้ งสมดุ
6.4 Box ลกู เต๋า

27

7. การวดั และประเมนิ ผล

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ วิธกี ารวดั เคร่ืองมือ เกณฑก์ ารประเมิน

ดา้ นความรู้ (K)

1) นักเรียนอธบิ ายความสมั พันธร์ ะหวา่ ง 1) ตรวจ Box ลูกเตา๋ 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรยี นสามารถ
ทากิจกรรม สรุปองค์ความรทู้ ี่ได้
ความดันและอัตราเรว็ อาร์เอ็มเอสของ เรอื่ ง ความสมั พันธ์ จากการศึกษาลงใน
Box ลูกเตา๋ ได้ระดบั ดี
โมเลกุลของแกส๊ ได้ ระหวา่ งความดนั และ ผ่านเกณฑ์

อัตราเร็วอารเ์ อม็ เอส

ของโมเลกลุ ของแกส๊

ดา้ นกระบวนการ (P)

1) นักเรยี นสามารถสรา้ งและประดิษฐล์ กู เต๋า 1) ตรวจ Box ลูกเตา๋ 1) แบบประเมนิ การ 1) นักเรียนสามารถ
ทากจิ กรรม สร้างและประดิษฐ์
เรื่อง ความสัมพันธ์ระหวา่ งความดนั และ เรอ่ื ง ความสัมพันธ์ Box ลกู เต๋า ไดร้ ะดับ
ดี ผ่านเกณฑ์
อตั ราเรว็ อารเ์ อ็มเอสของโมเลกลุ ของแกส๊ ได้ ระหว่างความดันและ

อัตราเรว็ อารเ์ อ็มเอส

ของโมเลกลุ ของแกส๊

ด้านคุณลักษณะ (A)

1) ใฝ่เรียนรูแ้ ละมุ่งมนั่ ในการทางาน 1) ตรวจ Box ลกู เต๋า 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรยี นทาภาระ

เรอ่ื ง ความสัมพันธ์ ทากิจกรรม งานทไ่ี ด้รับมอบหมาย

ระหว่างความดนั และ ไดร้ ะดับดี ผา่ นเกณฑ์

อตั ราเร็วอาร์เอ็มเอส

ของโมเลกลุ ของแก๊ส

28

]

29

30

แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 20

รายวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พิม่ เติม (ฟิสิกส์) ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 16 ความร้อน เวลา 24 ช่ัวโมง

เร่อื ง ความสมั พันธร์ ะหว่างความดันและอตั ราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกลุ ของแกส๊ (ต่อ) เวลา 2 ชั่วโมง

ภาคเรียนท่ี 1 ครผู ู้สอน นายปัญญา ฮวดไชย

1. สาระสาคัญ

ทฤษฎีจลนข์ องแกส๊ (kinetic theory of gases) เป็นการอธิบายพฤติกรรมแก๊สในระดับโมเลกุล

เพ่ือนาไปสู่การอธิบายธรรมชาติของแก๊สท่ีเกิดข้ึนจากโมเลกุลของแก๊สท้ังหมดที่อยู่ในระบบ เช่น อุณหภูมิของแก๊ส

ปริมาตรของแกส๊ และความดนั ของแก๊ส โดยที่ความสัมพันธ์ระหวา่ งความดันกบั อตั ราเรว็ อารเ์ อม็ เอสของโมเลกุลของ

แก๊สเป็นไปตามสมการ = 1 2 ความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สกับ
3
3
อุณหภูมิเป็นไปตามสมการ ̅ k = 2 ความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์เฉล่ียของโมเลกุลของแก๊สความดัน

กับปริมาตรของแก๊สเป็นไปตามสมการ = 2 ̅ k และความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสกับ
3

อณุ หภูมขิ องโมเลกุลของแกส๊ เป็นไปตามสมการ = √3



2. ผลการเรยี นรู้
9. อธิบายแบบจาลองของแก๊สอุดมคติ ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส และอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุลของแก๊ส

รวมทงั้ คานวณปรมิ าณต่าง ๆ ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง

3. สาระการเรียนรู้
3.1 ความรู้
อณุ หภมู ิ การรบั รู้ความร้อนของสงิ่ ต่าง ๆ จากประสาทสัมผัสทาใหท้ ราบวา่ ความร้อนของวัตถุสามารถ

เปรียบเทียบได้โดยใชร้ ะดับความรอ้ น เช่น นา้ ในภาชนะสีชมพูมรี ะดับความรอ้ นมากกวา่ นา้ ในภาชนะสฟี ้าอยา่ งไรก็
ตาม เราไม่อาจใช้ประสาทสัมผสั จากความรู้สกึ รอ้ นหรือเย็นของร่างกายเป็นเครอื่ งวดั ระดับความร้อนได้เสมอไป
เพราะการรบั รทู้ างประสาทสัมผสั เป็นสิง่ ทไี่ ม่แน่นอน และประสาทสัมผสั ของมนุษย์ไม่สามารถบอกระดับความร้อน
ของสงิ่ ต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยา ดงั เชน่ ในกรณกี ารจุ่มมือลงในน้าอุ่น มอื ทแ่ี ซน่ า้ เย็นมาก่อนจะรู้สึกว่าน้าในภาชนะสี
เขยี วอ่อนเปน็ น้ารอ้ น แต่มือที่แซ่นา้ รอ้ นมาก่อนจะร้สู ึกวา่ น้าในภาชนะสีเขียวอ่อนเปน็ น้าเย็น ในการศึกษาเกยี่ วกบั
เรอื่ งความร้อน นักวทิ ยาศาสตร์จึงจาเป็นต้องค้นหาวธิ ีการวดั ระดบั ความร้อนและหามาตรฐานในการบอกระดบั
ความรอ้ นข้นึ จงึ เป็นท่มี าของการบอกระดับความร้อนดว้ ย อุณหภมู ิ (temperature) ของวัตถนุ ้ัน วัตถุท่ีมี
อณุ หภูมสิ ูงแสดงว่ามีระดบั ความรอ้ นมากและวัตถุท่ีมอี ุณหภูมิต่าแสดงว่ามรี ะดับความร้อนน้อย

31

3.2 กระบวนการ

1) ความสามารถในการสอื่ สาร (อา่ น ฟงั พูด เขียน)

2) ความสามารถในการคดิ (สงั เกต วิเคราะห์ จัดกลุ่ม สรุป)

4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้

จุดประสงคการเรียนรู้ รายละเอียด

ด้านความรู้ 1. นกั เรยี นอธบิ ายความสัมพันธ์ระหวา่ งความดนั และอัตราเร็วอาร์เอม็
(K: Knowledge) เอสของโมเลกุลของแกส๊ ได้
ดา้ นทกั ษะกระบวนการ
(P: Process) 2. นกั เรียนคานวณหาปรมิ าณต่าง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งได้
ดา้ นคณุ ลกั ษณะที่พึง
ประสงค์ (A: Attitude) 3. ใฝ่เรียนรูแ้ ละมงุ่ มน่ั ในการทางาน

5. กิจกรรมการเรยี นรู้
ข้ันท่ี 1 ขัน้ สร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรู้เดิม เร่ือง ความสมั พันธร์ ะหว่างความดันและอตั ราเรว็ โมเลกลุ ของแกส๊ และ
สมการที่เก่ียวขอ้ ง

ขัน้ ท่ี 2 ขนั้ สารวจและคน้ หา
2.1 ครใู ห้นักเรยี นศึกษาเนื้อหาเกย่ี วกับ ความสมั พนั ธ์ระหว่างความดนั และอตั ราเร็วโมเลกลุ ของ

แกส๊ ตามรายละเอียดในหนังสอื เรียน หน้า 155-160 แล้วตอบคาถามแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 16 ข้อ 17 ลง
ในสมดุ ของตนเอง

2.2 ครูนานกั เรยี นศึกษาโจทย์ปญั หา ขอ้ 19 หนา้ 186 พร้อมอธิบายวธิ ีการหาคาตอบอยา่ ง
ละเอยี ด ดงั นี้

- ภาชนะรปู ลูกบาศกท์ ี่มีความยาวดา้ นละ 0.2 เมตร บรรจุแก๊ส 1.0 × 1024 โมเลกุล แต่ละ
โมเลกลุ มีมวล 2.0 × 10-26 กโิ ลกรัม และเคล่ือนทีด่ ว้ ยอตั ราเรว็ 600 เมตรต่อวนิ าที ถา้ ผนังแตล่ ะด้านมี
โมเลกุลพงุ่ ชนในทิศทางตั้งฉากกบั ผนังเปน็ จานวนหนงึ่ ในสามของโมเลกุลทง้ั หมด จงหา

ก. โมเมนตัมทเ่ี ปลีย่ นไปของแตล่ ะโมเลกุลท่ีเข้าชนผนัง
ข. แรงเฉลย่ี เน่อื งจากโมเลกลุ ในขอ้ ก. ตวั เดยี วทเี่ ข้าชนผนงั แตล่ ะดา้ น

ค. ความดนั บนผนังแตล่ ะดา้ น

ขั้นท่ี 3 ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรุป
3.1 ครูทาการสุ่มนกั เรียน จานวน 3 คน ออกมาเฉลยแบบฝกึ หัดเสรมิ หนา้ ช้ันเรียน
3.2 นักเรยี นทุกคนชว่ ยกนั ตรวจสอบวธิ กี ารหาคาตอบของเพือ่ นว่าถูกต้องหรอื ไม่
3.3 ครูนานกั เรียนอภปิ รายเพอ่ื นาไปสู่การสรุป โดยใชค้ าถามต่อไปนี้
1) เมื่ออัดแกส๊ ให้มีปริมาตรลดลง ความดันของแกส๊ จะเพ่ิมข้ึนเพราะเหตใุ ด

32

(แนวการตอบ เพราะเมื่อลดปรมิ าตรลง ทาให้โมเลกุลของแกส๊ มีความถ่ีในการชนผนงั
ภาชนะเพมิ่ ขึ้น จึงทาให้มีความดันเพิม่ ขึ้น)

3.4 นักเรยี นและครรู ว่ มกนั สรุปสมการท่เี กย่ี วขอ้ งความสัมพนั ธร์ ะหว่างความดนั และอัตราเรว็
โมเลกลุ ของแก๊ส รวมถงึ ความหมายและหน่วยของตัวแปรท่ีเก่ยี วขอ้ ง

ขนั้ ท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้

4.1 ครูใหค้ วามรู้เพม่ิ เติม ดังน้ี

อัตราเรว็ อารเ์ อ็มเอส ( ) เป็นอัตราเรว็ เฉลยี่ ของโมเลกุลของแก๊สอีกแบบหนึง่ ท่ีมา
จากการพจิ ารณาการเคล่ือนที่ของแก๊สในแนว x y และ z ทาใหต้ า่ งจากค่าเฉลีย่ ทั่วไป โดยอัตราเร็วอารเ์ อ็ม

เอส ( ) อาจจะไม่เท่ากบั อัตราเรว็ เฉลี่ย ( ̅) ก็ได้ ตัวอย่างเชน่ ในกรณที ่แี กส๊ มีโมเลกลุ 5 ตวั เคล่ือนที่
ในทศิ ทางต่าง ๆ กนั มอี ัตราเร็ว 300 350 400 450 และ 500 เมตรต่อวินาที เมื่อหาอัตราเรว็ เฉลีย่ และ

อัตราเร็วอาร์เอม็ เอสจะได้

̅ = 1 (300m/s + 350m/s + 400m/s + 450m/s + 500 m/s)

5

̅ = 400 m/s

= √(300)2+ (350)2+(400)2+(450)2+(500)2 = 406.2 m/s

5

ดงั น้ัน ในกรณีน้ี อตั ราเร็วเฉล่ีย ( ̅) ไม่เท่ากบั อตั ราเรว็ อารเ์ อ็มเอส ( )

ขั้นท่ี 5 ขนั้ ประเมนิ ผล
5.1 ครูตรวจสมุดนกั เรยี นในการตอบคาถามแบบฝึกหัดท้ายบทท่ี 16 ข้อ 17

6. สอื่ การเรยี นรู้/แหลง่ เรียนรู้
6.1 หนังสอื เรียนรายวิชาเพมิ่ เตมิ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฟสิ กิ ส์) ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 เลม่ 5

(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560)
6.2 อนิ เทอรเ์ นต็
6.3 หอ้ งสมุด

33

7. การวัดและประเมนิ ผล วิธกี ารวดั เคร่อื งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
จุดประสงค์การเรยี นรู้
1) ตรวจสมุดนักเรียน 1) แบบประเมนิ การ 1) นักเรียนสามารถ
ด้านความรู้ (K) ในการตอบคาถาม ทากิจกรรม ตอบคาถามได้
1) นักเรียนอธิบายความสมั พันธร์ ะหว่าง แบบฝึกหดั ท้ายบทที่ 2) แบบฝึกหดั ท้าย ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
ความดนั และอตั ราเรว็ อาร์เอ็มเอสของ 16 ข้อ 17 บทที่ 16 ข้อ 17
โมเลกลุ ของแกส๊ ได้
1) ตรวจแบบฝึกหัด 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรยี นสามารถ
ด้านกระบวนการ (P) เรื่อง ความสัมพนั ธ์
1) นกั เรียนคานวณหาปรมิ าณต่างๆ ที่ ระหว่างความดนั และ ทากิจกรรม ทาแบบฝกึ หัดได้
เก่ยี วขอ้ งได้ อตั ราเรว็ อาร์เอม็ เอส
โมเลกุลของแกส๊ 2) แบบฝกึ หัด เรื่อง ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A)
1) ใฝ่เรยี นรู้และมุ่งมน่ั ในการทางาน ความสัมพันธ์ระหว่าง

ความดนั และอัตราเรว็

อาร์เอ็มเอสโมเลกุล

ของแกส๊

1) ตรวจสมดุ นักเรียน 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรียนทาภาระ
ในการตอบคาถาม
แบบฝกึ หัดท้ายบทที่ ทากิจกรรม งานทไ่ี ด้รับมอบหมาย
16 ข้อ 17
2) ตรวจแบบฝึกหัด 2) แบบฝึกหัดท้าย ไดร้ ะดับดี ผ่านเกณฑ์
เรื่อง ความสมั พนั ธ์
ระหวา่ งความดันและ บทท่ี 16 ข้อ 17
อตั ราเรว็ อารเ์ อม็ เอส
โมเลกลุ ของแก๊ส 3) แบบฝกึ หดั เร่ือง

ความสัมพนั ธ์ระหว่าง

ความดนั และอัตราเร็ว

อารเ์ อ็มเอสโมเลกลุ

ของแก๊ส

34

35

แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 21 ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 6
เวลา 24 ช่วั โมง
รายวิชาวทิ ยาศาสตรเ์ พิ่มเติม (ฟสิ ิกส์) เวลา 2 ชวั่ โมง
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 16 ความร้อน
เรื่อง ความสมั พันธ์ระหว่างพลงั งานจลนเ์ ฉลี่ยของแก๊สกับอุณหภมู ิ ครูผูส้ อน นายปญั ญา ฮวดไชย
ภาคเรยี นที่ 1

1. สาระสาคัญ

ทฤษฎีจลนข์ องแกส๊ (kinetic theory of gases) เป็นการอธิบายพฤติกรรมแก๊สในระดับโมเลกุล

เพ่ือนาไปสู่การอธิบายธรรมชาติของแก๊สที่เกิดขึ้นจากโมเลกุลของแก๊สทั้งหมดที่อยู่ในระบบ เช่น อุณหภูมิของแก๊ส

ปริมาตรของแกส๊ และความดนั ของแก๊ส โดยท่ีความสัมพันธ์ระหวา่ งความดันกบั อตั ราเร็วอาร์เอม็ เอสของโมเลกุลของ

แก๊สเป็นไปตามสมการ = 1 2 ความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์เฉล่ียของโมเลกุลของแก๊สกับ
3
3
อุณหภูมิเป็นไปตามสมการ ̅ k = 2 ความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกลุ ของแก๊สความดัน

กับปริมาตรของแก๊สเป็นไปตามสมการ = 2 ̅ k และความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสกับ
3

อุณหภูมขิ องโมเลกุลของแก๊สเปน็ ไปตามสมการ = √3



2. ผลการเรยี นรู้

9. อธิบายแบบจาลองของแก๊สอุดมคติ ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส และอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุลของแก๊ส

รวมท้งั คานวณปริมาณตา่ งๆ ที่เกย่ี วข้อง

3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นกั เรยี นอธบิ ายความสมั พันธร์ ะหว่างพลงั งานจลน์เฉล่ยี ของแกส๊ กับอณุ หภมู ิได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) นักเรยี นคานวณหาปริมาณตา่ งๆ ทเี่ กย่ี วข้องได้
3.3 ด้านคณุ ลกั ษณะ (A)
1) ใฝ่เรยี นรแู้ ละมุ่งมั่นในการทางาน

4. สาระสาคญั
ทฤษฎจี ลน์ของแกส๊ (kinetic theory of gases) เป็นการอธิบายพฤติกรรมแก๊สในระดับโมเลกุล

เพื่อนาไปสู่การอธิบายธรรมชาติของแก๊สที่เกิดข้ึนจากโมเลกุลของแก๊สท้ังหมดที่อยู่ในระบบ เช่น อุณหภูมิของแก๊ส
ปริมาตรของแกส๊ และความดนั ของแก๊ส โดยที่ความสัมพันธ์ระหว่างความดันกบั อตั ราเร็วอารเ์ อม็ เอสของโมเลกลุ ของ

36

แก๊สเป็นไปตามสมการ = 1 2 ความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊สกับ
3
3
อณุ หภูมเิ ป็นไปตามสมการ ̅ k = 2 ความสัมพนั ธ์ระหว่างพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกลุ ของแก๊สความดัน

กับปริมาตรของแก๊สเป็นไปตามสมการ = 2 ̅ k และความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสกับ
3

อณุ หภูมขิ องโมเลกุลของแกส๊ เป็นไปตามสมการ = √3



3. สาระการเรียนรู้

3.1 ความรู้

ความสัมพนั ธร์ ะหว่างพลังงานจลนเ์ ฉลย่ี ของแก๊สกบั อณุ หภูมิ

จากการศึกษาแกส๊ อดุ มคตจิ ะพบว่าโมเลกุลของแก๊สมีการเคลอื่ นทตี่ ลอดเวลา แสดงว่าโมเลกุลของ

แก๊สมพี ลังงานจลน์ ซ่ึงพลังงานจลนด์ งั กล่าวมีความสัมพันธก์ บั อุณหภมู ขิ องแก๊สหรือไมส่ ามารถพิจารณาได้

ดงั น้ี

จากสมการ = 1 2
3

จดั รูปใหมไ่ ด้เป็น = 2 (1 2 )
3
2 1
2
ถ้าให้ ̅ คือ พลงั งานจลนเ์ ฉลย่ี ของแต่ละโมเลกลุ ในภาชนะ ซึ่งมคี า่ เท่ากับ 2

จะได้ = 2 ̅
3
เม่ือเทยี บกบั กฎของแก๊สอุดมคตติ ามสมการ =

จะได้ 2 ̅ =
3
3
ดังนน้ั ̅ k = 2

สมการ ̅ k = 3 แสดงให้เหน็ วา่ พลงั งานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแกส๊ แปรผันตรงกบั
2
อณุ หภมู ิสัมบูรณ์ของแกส๊ อาจกล่าวไดว้ า่ อุณหภมู ิของแกส๊ เปน็ ปริมาณท่ีแสดงระดับพลงั งานจลน์เฉลีย่ ของ

โมเลกลุ

3.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอ่ื สาร (อา่ น ฟัง พูด เขียน)
2) ความสามารถในการคดิ (สงั เกต วเิ คราะห์ จัดกล่มุ สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปญั หา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ (ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ (ใช้การสบื ค้นผา่ นคอมพวิ เตอร์)

37

5. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขน้ั ที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ
1.1 ครตู ้ังคาถามเพอื่ นาเข้าสู่การทากจิ กรรม ดังนี้
1) เมอ่ื แกส๊ มีอณุ หภมู ิเพ่มิ ขึ้น พลังงานจลน์เฉล่ยี ของแกส๊ จะมคี ่าอย่างไร
2) พลงั งานจลนเ์ ฉลี่ยของแก๊สขึ้นอยู่กับค่าใดบา้ ง
3) พลงั งานจลน์เฉลี่ยของแกส๊ ไมข่ ้ึนอยูก่ ับคา่ ใดบ้าง
4) ทอี่ ุณหภมู ิหนงึ่ แก๊สอะตอมเดยี่ วทกุ ชนดิ จะมพี ลงั งานจลน์เฉลย่ี เท่ากนั หรือไม่
(ให้นกั เรียนแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคาตอบทถี่ กู ต้อง)

ขน้ั ท่ี 2 ขั้นสารวจและค้นหา
2.1 ครนู านักเรยี นศึกษาเน้ือหาเกย่ี วกับ ความสมั พันธร์ ะหว่างพลงั งานจลน์เฉลี่ยของแก๊สกับ

อณุ หภูมิ ตามรายละเอยี ดในหนังสือเรยี น หน้า 160 แล้วตอบคาถามแบบฝึกหดั ทา้ ยบทที่ 16 ข้อ 19 ลงใน
สมดุ ของตนเอง

2.2 ครูนานกั เรียนศึกษาโจทย์ตวั อย่าง 16.9 ในหนังสือเรยี น หนา้ 161 พรอ้ มอธบิ ายวธิ ีการหา
คาตอบอยา่ งละเอียด

2.3 นักเรยี นทาแบบฝึกหัด 16.3 ขอ้ 1 ในหนงั สือเรยี น ลงในสมดุ ตนเอง
2.4 นักเรียนทาโจทย์ปัญหา ข้อ 20-22 หน้า 184-185 ในหนงั สือเรียน ลงในสมดุ ตนเอง

ข้นั ท่ี 3 ขัน้ อธบิ ายและลงขอ้ สรุป

3.1 ครูทาการสุม่ นกั เรยี น จานวน 4 คน ออกมาเฉลยโจทยป์ ัญหาหน้าช้นั เรยี น

3.2 นักเรียนทุกคนชว่ ยกนั ตรวจสอบวธิ ีการหาคาตอบของเพื่อนวา่ ถูกต้องหรอื ไม่

3.3 ครูนานกั เรียนอภปิ รายเพอ่ื นาไปสู่การสรปุ โดยใชค้ าถามตอ่ ไปน้ี

1) แกส๊ ตา่ งชนดิ กนั ถา้ มีอณุ หภูมิเท่ากนั พลงั งานจลนเ์ ฉล่ียของโมเลกลุ เท่ากันหรือไม่

(แนวการตอบ พลงั งานจลนเ์ ฉล่ียของโมเลกุลจะเทา่ กนั เพราะว่า พลงั งานจลนเ์ ฉลี่ยของโมเลกลุ แกส๊ จะ

ข้ึนกับอณุ หภูมสิ ัมบูรณ์ของแก๊สเพยี งอยา่ งเดยี ว ตามสมการ ̅ k = 3 )
2
3.4 นกั เรียนและครูรว่ มกันสรุปสมการท่เี กีย่ วข้องกบั ความสมั พนั ธ์ระหว่างพลังงานจลนเ์ ฉลี่ยของ

แก๊สกบั อณุ หภูมิ รวมถงึ ความหมายและหนว่ ยของตวั แปรที่เกย่ี วขอ้ ง

ขน้ั ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้

4.1 ครใู หค้ วามรู้เพิ่มเติมเก่ียวกับคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 16.3 ขอ้ 2 โดยต้งั คาถามให้

นกั เรยี นชว่ ยกันตอบ ดังนี้

1) เมอ่ื อุณหภมู ิของแก๊สเฉื่อยม่คี า่ เปน็ 0 เคลวนิ โมเลกุลแก๊สเฉื่อยมีการเคลื่อนทีห่ รือไม่

เพราะเหตุใด (แนวการตอบ โมเลกลุ ไม่มีการเคลื่อนท่ี เพราะเมื่ออุณหภมู ขิ องแกส๊ เฉื่อย มคี ่าเป็น 0

เคลวนิ พลังงานจลน์เฉลีย่ ของโมเลกุลซึ่งเปน็ ไปตามสมการ ̅ k = 3 มคี ่าเป็นศนู ย์)
2

38

ข้ันที่ 5 ข้นั ประเมินผล
5.1 ครูตรวจสมุดนักเรียนในการตอบคาถามแบบฝกึ หัดท้ายบทท่ี 16 ข้อ 19
5.2 ครตู รวจสมดุ นกั เรยี นในการทาแบบฝกึ หัด 16.3 ข้อ 1
5.3 ครตู รวจสมุดนักเรยี นในการทาโจทย์ปญั หา ข้อ 20-22

ประยุกตแ์ ละตอบแทนสงั คม
ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนนาความรู้ทเี่ รยี นไปคน้ คว้าเพม่ิ เติมที่หอ้ งสมดุ หรือเว็บไซต์ แลว้ นาเสนอใน

ชน้ั เรียน

6. สือ่ การเรยี นร้/ู แหลง่ เรียนรู้
6.1 หนงั สือเรยี นรายวชิ าเพ่ิมเตมิ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฟสิ กิ ส)์ ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 เล่ม 5

(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)
6.2 อินเทอรเ์ นต็
6.3 หอ้ งสมุด

7. การวัดและประเมินผล วิธีการวดั เครือ่ งมือ เกณฑ์การประเมนิ
จุดประสงค์การเรยี นรู้
1) ตรวจสมดุ นักเรียน 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรยี นสามารถ
ด้านความรู้ (K) ในการตอบคาถาม ทากิจกรรม ตอบคาถามได้
1) นักเรียนอธิบายความสมั พันธ์ระหวา่ ง แบบฝึกหดั ทา้ ยบทที่ 2) แบบฝกึ หัดท้าย ระดับดี ผา่ นเกณฑ์
พลังงานจลนเ์ ฉล่ียของแกส๊ กบั อุณหภมู ิได้ 16 ข้อ 19 บทท่ี 16 ข้อ 19

ดา้ นกระบวนการ (P)

1) นักเรยี นคานวณหาปริมาณตา่ งๆ ท่ี 1) ตรวจสมดุ นกั เรียน 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรียนสามารถ
เกยี่ วข้องได้ ในการทาแบบฝกึ หัด
16.3 ขอ้ 1 และโจทย์ ทากจิ กรรม ทาแบบฝึกหดั ได้
ปัญหา ข้อ 20-22
2) แบบฝึกหัด 16.3 ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์

ขอ้ 1 และโจทยป์ ญั หา

ขอ้ 20-22

ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A)

1) ใฝเ่ รียนรแู้ ละมงุ่ มั่นในการทางาน 1) ตรวจสมุดนกั เรียน 1) แบบประเมนิ การ 1) นกั เรยี นทาภาระ
ในการตอบคาถาม
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ ทากจิ กรรม งานทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย
16 ขอ้ 19
2) ตรวจสมุดนกั เรียน 2) แบบฝึกหดั ท้าย ไดร้ ะดบั ดี ผ่านเกณฑ์
ในการทาแบบฝกึ หดั
16.3 ขอ้ 1 และโจทย์ บทที่ 16 ข้อ 19

3) แบบฝกึ หดั 16.3

ขอ้ 1 และโจทยป์ ญั หา

ขอ้ 20-22

39

ปัญหา ข้อ 20-22

40

แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 22

รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์เพ่มิ เติม (ฟิสิกส์) ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 16 ความร้อน เวลา 24 ช่ัวโมง
เรื่อง ความสมั พนั ธ์ระหว่างอตั ราเรว็ อารเ์ อ็มเอสของโมเลกุลของแกส๊ กับอุณหภมู ิ เวลา 2 ชั่วโมง
ภาคเรียนที่ 1
ครูผสู้ อน นายปัญญา ฮวดไชย

1. สาระสาคญั

ทฤษฎจี ลน์ของแก๊ส (kinetic theory of gases) เปน็ การอธบิ ายพฤติกรรมแก๊สในระดบั โมเลกุล

เพ่ือนาไปสู่การอธิบายธรรมชาติของแก๊สทีเ่ กิดขึ้นจากโมเลกลุ ของแกส๊ ท้ังหมดท่ีอยใู่ นระบบ เชน่ อณุ หภูมิของแกส๊

ปริมาตรของแก๊ส และความดนั ของแกส๊ โดยที่ความสัมพันธ์ระหว่างความดนั กบั อตั ราเรว็ อาร์เอ็มเอสของโมเลกุล

ของแกส๊ เป็นไปตามสมการ = 1 2 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งพลังงานจลน์เฉล่ยี ของโมเลกุลของแก๊สกับ
3
3
อุณหภูมเิ ปน็ ไปตามสมการ ̅ k = 2 ความสัมพันธร์ ะหว่างพลังงานจลนเ์ ฉลี่ยของโมเลกลุ ของแก๊สความดนั

กบั ปริมาตรของแก๊สเปน็ ไปตามสมการ = 2 ̅ k และความสัมพนั ธ์ระหว่างอตั ราเร็วอารเ์ อ็มเอสกับ
3

อณุ หภูมขิ องโมเลกุลของแกส๊ เป็นไปตามสมการ = √3



2. ผลการเรียนรู้

9. อธิบายแบบจาลองของแก๊สอุดมคติ ทฤษฎจี ลน์ของแกส๊ และอตั ราเรว็ อารเ์ อ็มเอสของโมเลกลุ ของแกส๊

รวมทง้ั คานวณปริมาณตา่ งๆ ที่เกี่ยวข้อง

3. สาระการเรยี นรู้

3.1 ความรู้

ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุลของแก๊สกบั อุณหภูมิ

อตั ราเร็วเฉล่ียของโมเลกุลของแก๊สจะมคี วามสัมพันธก์ ับอุณหภูมิของแก๊สหรือไม่ สามารถ

พิจารณาไดโ้ ดยเปรียบเทยี บสมการ ̅ k = 3 กบั สมการ ̅ k = 1 2
2 2
1 3
จะไดว้ ่า 2 2 = 2

2 = 3


ดงั นน้ั = √3



41

จากสมการ = √3 สามารถคานวณอัตราเร็วอารเ์ อม็ เอสของแก๊ส ( ) เมอ่ื



ทราบมวลของแก๊ส 1 โมเลกลุ และอุณหภูมิสัมบูรณ์ของแก๊ส

จากตัวอย่าง 16.10 จะเห็นได้ว่า แก๊สฮเี ลียมเคลื่อนทเ่ี รว็ มากที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซยี ส

เนือ่ งจากมวลท่ีน้อย โดยค่า 1362 เมตรต่อวินาที หรอื 1.362 กโิ ลเมตรต่อวนิ าที่ ท่ีคานวณไดน้ ีเ้ ปน็ เพยี ง

คา่ เฉล่ียของอัตราเร็ว นั่นหมายความว่ามแี กส๊ ฮเี ลยี มอีกเปน็ จานวนมากท่เี คลื่อนทช่ี ้าและเรว็ กว่านี้มากและ

หากโมกลุ ของแก๊สฮเี ลยี มโมเลกลุ ใดที่มีอัตราเรว็ มากกวา่ อัตราเรว็ หลุดพ้นจากโลก คือ 11.19 กิโลเมตรตอ่

วินาที กจ็ ะสามารเคลอ่ื นที่ออกจากโลกได้ ถ้าไมช่ นกบั อนภุ าคอืน่ และสูญเสยี พลังงานจลน์ จึงเป็นสาเหตุ

หน่ึงทีท่ าใหแ้ กส๊ ฮีเลยี มในบรรยากาศของโลกมปี ริมาณน้อยกว่าแกส๊ อื่น ๆ

3.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอ่ื สาร (อา่ น ฟัง พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จดั กลุม่ สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปญั หา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต (ความรบั ผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ (ใชก้ ารสบื ค้นผา่ นคอมพวิ เตอร)์

4. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ รายละเอยี ด
จุดประสงคการเรียนรู้

ดา้ นความรู้ 1. นักเรียนอธบิ ายความสัมพนั ธ์ระหว่างอตั ราเรว็ อารเ์ อ็มเอสของ
(K: Knowledge) โมเลกลุ ของแก๊สกบั อุณหภมู ิได้
ด้านทักษะกระบวนการ
(P: Process) 2. นกั เรียนคานวณหาปรมิ าณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งได้
ด้านคณุ ลักษณะท่ีพงึ
ประสงค์ (A: Attitude) 3. ใฝ่เรยี นรู้และม่งุ มัน่ ในการทางาน

5. กิจกรรมการเรียนรู้

ขัน้ ที่ 1 ขัน้ สรา้ งความสนใจ

1.1 ครูตัง้ คาถามเพ่อื นาเขา้ สู่การทากจิ กรรม ดงั นี้

1) เมื่อแกส๊ มีอุณหภมู เิ พมิ่ ข้ึน อัตราเรว็ อารเ์ อ็มเอสของโมเลกลุ ของแก๊สจะมคี า่ อยา่ งไร

2) จากความสัมพนั ธ์ระหว่างพลังงานจลน์กับอุณหภูมติ ามสมการ ̅ k = 3
2
จะสามารถหาความสัมพันธ์ระหว่างอตั ราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกลุ ของแกส๊ กบั อณุ หภูมไิ ด้อย่างไร

(ใหน้ ักเรียนแสดงความคิดเหน็ ได้อย่างอสิ ระ โดยไมค่ าดหวงั คาตอบที่ถกู ตอ้ ง)

42

ข้นั ที่ 2 ขั้นสารวจและค้นหา
2.1 ครใู ห้นกั เรยี นศึกษาเน้ือหาเก่ยี วกบั ความสัมพนั ธ์ระหว่างอัตราเร็วอาร์เอ็มเอสของโมเลกุลของ

แก๊สกบั อณุ หภูมิ ตามรายละเอยี ดในหนงั สือเรยี น หน้า 161
2.2 ครนู านกั เรียนศึกษาโจทย์ตวั อย่าง 16.10 ในหนังสือเรยี น หน้า 162 พร้อมอธบิ ายวธิ ีการหา

คาตอบอยา่ งละเอยี ด
2.3 นกั เรียนตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.3 ข้อ 3 ลงในสมดุ ของตนเอง
2.4 นกั เรียนทาแบบฝึกหัด 16.3 ขอ้ 1 ในหนงั สือเรยี น ลงในสมุดตนเอง

ขัน้ ท่ี 3 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครูทาการสุ่มนักเรียน จานวน 2 คน ออกมาเฉลยแบบฝึกหดั หน้าชัน้ เรียน
3.2 นกั เรียนทกุ คนช่วยกนั ตรวจสอบวธิ ีการหาคาตอบของเพือ่ นว่าถูกต้องหรอื ไม่
3.3 ครูนานกั เรียนอภิปรายเพอื่ นาไปสูก่ ารสรปุ โดยใช้คาถามต่อไปนี้
1) เม่ือนากล่อง 2 ใบ ที่มปี ริมาตร และความดันภายในกล่องเท่ากัน กล่องใบที่ 1

บรรจแุ ก๊สไนโตรเจนจานวน 1.0 โมล กลอ่ งใบที่ 2 บรรจุแก๊สออกซิเจนจานวน 1.0 โมล เทา่ กัน อุณหภูมิ
ของแก๊สในกล่องแตล่ ะใบมีคา่ เทา่ กนั หรือไม่

(แนวการตอบ อณุ หภูมิของแกส๊ ในกลอ่ งแต่ละใบมีคา่ เทา่ กัน เนอื่ งจากแกส๊ ในกลอ่ งแต่

ละใบมคี วามดัน ปริมาตร และจานวนโมล ของแกส๊ เท่ากัน เมอื่ พจิ ารณาตามกฎของแก๊สอดุ มคติ

( = ) อุณหภูมิของแก๊สในกลอ่ งท้ังสองจึงเท่ากบั T เหมอื นกนั )
3.4 นักเรยี นและครรู ่วมกันสรุปสมการท่ีเกยี่ วข้องกบั ความสัมพันธร์ ะหวา่ งอัตราเร็วอารเ์ อ็มเอส

ของโมเลกุลของแกส๊ กบั อุณหภูมิรวมถึงความหมายและหน่วยของตวั แปรท่ีเกยี่ วข้อง

ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครใู หค้ วามรเู้ พมิ่ เติมเก่ียวกับแบบฝึกหดั ท้ายบทที่ 16 โดยต้งั คาถามใหน้ ักเรียนช่วยกนั ตอบ

ดงั นี้
1) เมือ่ แกส๊ ชนดิ หนง่ึ มีอุณหภูมสิ งู ขึน้ อัตราเร็วของโมเลกลุ ของแกส๊ จะเปลีย่ นแปลง

อยา่ งไร (แนวการตอบ เมื่อแก๊สมอี ณุ หภูมิสูงข้ึน อัตราเรว็ ของโมเลกลุ ของแกส๊ จะสงู ขน้ึ ตามสมการ

̅ k = 3 = 1 2 หรอื = √3 )
2 2


ขั้นที่ 5 ขนั้ ประเมินผล
5.1 ครูตรวจสมดุ นักเรยี นในการตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 16.3 ขอ้ 3
5.2 ครตู รวจสมุดนักเรยี นในการทาแบบฝึกหัด 16.3 ข้อ 2

43

6. ส่ือการเรยี นร/ู้ แหลง่ เรยี นรู้

6.1 หนังสือเรียนรายวิชาเพมิ่ เติมวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฟสิ ิกส)์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 เลม่ 5

(ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560)

6.2 อนิ เทอร์เนต็

6.3 หอ้ งสมดุ

7. การวดั และประเมินผล

จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วิธีการวัด เคร่อื งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ

ดา้ นความรู้ (K)

1) นักเรยี นอธบิ ายความสมั พันธ์ระหวา่ ง 1) ตรวจสมุดนักเรยี น 1) แบบประเมนิ การ 1) นักเรยี นสามารถ

พลงั งานจลนเ์ ฉลีย่ ของแก๊สกบั อณุ หภมู ิได้ ในการตอบคาถาม ทากจิ กรรม ตอบคาถามได้

ตรวจสอบความเขา้ ใจ 2) คาถามตรวจสอบ ระดับดี ผา่ นเกณฑ์

16.3 ข้อ 3 ความเขา้ ใจ 16.3 ข้อ

3

ด้านกระบวนการ (P)

1) นกั เรยี นคานวณหาปริมาณตา่ งๆ ท่ี 1) ตรวจสมุดนกั เรียน 1) แบบประเมินการ 1) นักเรยี นสามารถ

เกี่ยวข้องได้ ในการทาแบบฝกึ หัด ทากิจกรรม ทาแบบฝึกหัดได้

16.3 ข้อ 2 2) แบบฝกึ หัด 16.3 ระดับดี ผา่ นเกณฑ์

ข้อ 2

ดา้ นคณุ ลักษณะ (A) 1) ตรวจสมุดนักเรียน 1) แบบประเมินการ 1) นักเรยี นทาภาระ
1) ใฝเ่ รยี นรแู้ ละมุ่งมน่ั ในการทางาน ในการตอบคาถาม ทากจิ กรรม งานท่ีไดร้ บั มอบหมาย
ตรวจสอบความเขา้ ใจ 2) ตอบคาถาม ไดร้ ะดับดี ผ่านเกณฑ์
16.3 ขอ้ 3 ตรวจสอบความ
2) ตรวจสมดุ นกั เรยี น เขา้ ใจ 16.3 ข้อ 3
ในการทาแบบฝกึ หัด 3) แบบฝกึ หัด 16.3
16.3 ข้อ 2 ขอ้ 2

44

45

แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 23 ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 6
เวลา 24 ชวั่ โมง
รายวิชาวิทยาศาสตรเ์ พมิ่ เติม (ฟิสิกส)์ เวลา 2 ชวั่ โมง
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 16 ความร้อน
เร่อื ง พลงั งานภายในระบบ ครูผู้สอน นายปญั ญา ฮวดไชย
ภาคเรียนที่ 1

1. สาระสาคญั

พลงั งานทง้ั หมดของโมเลกุลของแก๊สท่ีบรรจอุ ย่ใู นระบบ เรียกว่า พลงั งานภายในระบบ (internal

energy of a system) ซง่ึ จะหมายถึง พลังงานภายใน (internal energy) ของแก๊สแทนด้วยสัญลักษณ์

สาหรับแกส๊ อุดมคติสามารถหาพลังงานภายในระบบได้จากสมการ = 3 = 3 พลังงาน
2 2
ภายในระบบมคี วามสัมพันธ์กับความร้อนและงานซ่ึงเป็นไปตามกฎการอนุรกั ษพ์ ลังงาน เรยี กว่า กฎขอ้ ทหี่ นึ่งของ

อณุ หพลศาสตร์ (first law of thermodynamics) เขียนแทนดว้ ยสมการ = +

ตามกฎข้อทีห่ น่งึ ของอุณหพลศาสตร์ทาใหท้ ราบวา่ ความรอ้ น (heat, ) เปน็ เพยี งพลงั งานท่ีถา่ ยโอน ในรูปงานและ

พลังงานภายในระบบเทา่ นั้น ความรู้พลังงานภายในระบบสามารถนาไปประยุกต์ด้านต่าง ๆ เช่น การทางานของ

เครือ่ งยนต์ความร้อน ตูเ้ ยน็ และเครื่องปรบั อากาศ

2. ผลการเรยี นรู้

10. อธิบายและคานวณงานที่ทาโดยแกส๊ ในภาชนะปดิ โดยความดนั คงตวั และอธิบายความสัมพนั ธ์ระหว่าง

ความร้อน พลังงานภายในระบบ และงาน รวมท้ังคานวณปริมาณตา่ งๆ ท่เี กยี่ วข้อง และนาความร้เู รอื่ งพลังงาน

ภายในระบบไปอธิบายหลักการทางานของเครื่องใช้ในชวี ติ ประจาวนั

3. สาระการเรียนรู้
3.1 ความรู้
กฎขอ้ ทีห่ นึ่งของอุณหพลศาสตร์

สสารในสถานะของแขง็ หรือของเหลวเมอ่ื ไดร้ บั หรือคายความร้อนจะมกี ารเปลย่ี นแปลงปริมาตรนอ้ ยมาก แตส่ สาร
ในสถานะแก๊สเม่ือได้รบั ความรอ้ นหรือคายความร้อนจะมกี ารเปลยี่ นแปลงปรมิ าตรอยา่ งชัดเจน

พลงั งานภายในระบบ
พลังงานภายในระบบ (internal energy of system) ในหัวข้อนี้จะหมายถึง พลังงานภายในระบบ (internal
energy) ของแก๊ส ซ่ึงเท่ากับพลังงานทั้งหมดของโมเลกุลของแก๊สท่ีบรรจุอยู่ในระบบน้ันสาหรับแก๊สในธรรมชาติ
สถานการณ์จะมีความซับซ้อนเพราะโมเลกุลของแก๊สมีแรงกระทาต่อกัน พลังงานของโมเลกุลของแก๊สจึงมีท้ัง
พลังงานจลน์และพลังงานศักย์ แต่สาหรับแก๊สอุดมคติที่ถือว่าไม่มีแรงใด ๆกระทาต่อโมเลกุล พลังงานท้ังหมดของ

46

แก๊สอุดมคติจึงมีเฉพาะพลังงานจลน์เพียงอย่างเดียว พลังงานภายในของแก๊สอุดมคติจึงเท่ากับผลรวมของพลังงาน
จลนข์ องโมเลกุลทัง้ หมด

3.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอื่ สาร (อ่าน ฟัง พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคดิ (สังเกต วเิ คราะห์ จดั กลมุ่ สรปุ )

4. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ รายละเอียด
จดุ ประสงคการเรียนรู้

ด้านความรู้ 1. นกั เรียนอธิบายความหมายพลังงานภายในระบบได้

(K: Knowledge)

ด้านทักษะกระบวนการ 2. นักเรียนคานวณหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเี่ กีย่ วขอ้ งได้
(P: Process)

ด้านคุณลักษณะท่ีพงึ 3. ใฝเ่ รยี นรู้และมงุ่ ม่นั ในการทางาน

ประสงค์ (A: Attitude)

5. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ข้ันที่ 1 ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 ครูนาเข้าสู่หัวขอ้ 16.4 โดยให้นักเรยี นอภปิ รายร่วมกนั ซง่ึ ตง้ั คาถามใหน้ ักเรยี นตอบ ดงั น้ี
1) ปจั จัยใดบ้างท่ีทาให้แกส๊ เกิดการเปล่ียนแปลงปรมิ าตร
2) การเปลีย่ นแปลงปริมาตรของแก๊สสามารถนามาประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจาได้อยา่ งไร
(ให้นกั เรียนแสดงความคดิ เห็นได้อยา่ งอสิ ระ โดยไมค่ าดหวงั คาตอบที่ถกู ต้อง)
1.2 ครูยกตัวอยา่ งการใชก้ ระบอกสบู เติมลมลกู โปง่ หรือลูกบอล แลว้ ให้นกั เรยี นอภปิ รายร่วมกนั
โดยต้ังคาถามให้นกั เรยี นตอบ ดงั นี้
1) แก๊สมีการทางานหรือไม่
2) อุณหภูมิของแกส๊ ในกระบอกสูบมีการเปล่ียนแปลงอยา่ งไร
(ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นไดอ้ ย่างอสิ ระ โดยไมค่ าดหวังคาตอบทถี่ ูกต้อง)

ขน้ั ที่ 2 ขั้นสารวจและคน้ หา
2.1 ครใู ห้นักเรียนศึกษาเนื้อหาเก่ยี วกับ เรอ่ื ง พลงั งานภายในระบบ ตามรายละเอยี ดในหนงั สือ

เรยี น หนา้ 165
2.2 ครนู านักเรยี นศึกษาโจทย์ตัวอย่าง 16.13 ก. ในหนงั สอื เรียน หนา้ 170-171 พร้อมอธิบาย

วิธีการหาคาตอบอยา่ งละเอียด
2.3 ครใู หน้ กั เรียนทาใบงาน เรือ่ ง พลงั งานภายในระบบ
2.4 ครูใหน้ กั เรยี นทาโจทย์ปัญหา ขอ้ 25-26 ในหนังสอื เรียน หนา้ 185 ลงในสมุดตนเอง


Click to View FlipBook Version