The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กฎหมายดิจิทัล-ม.ปลาย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by rawa_30, 2023-07-10 10:09:41

กฎหมายดิจิทัล-ม.ปลาย

กฎหมายดิจิทัล-ม.ปลาย

หนังสือเรียนสาระการพัฒนาสังคม รายวิชา กฎหมายพื้นฐานกับการด ารงชีวิตในยุคดิจิทัล สค3300176 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอ าเภอสวรรคโลก ส านักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสุโขทัย ส านักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ส านักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ


ค าน า หนังสือเรียนวิชากฎหมายพื้นฐานกับการด าเนินชีวิตในยุคดิจิทัล รหัสวิชา สค3300176 สาระการเรียนรู้พัฒนาสังคม รายวิชาเลือกระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ตามหลักสูตรการศึกษานอก ระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หนังสือแบบเรียนนี้ประกอบด้วยเนื้อหาความรู้ เกี่ยวกับ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายในการด าเนินชีวิต กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวกับ ชีวิตประจ าวัน ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายอาญา กฎหมายทั่วไปส าหรับประชาชน และ กฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสาระสนเทศ ซึ่งหนังสือแบบเรียนเล่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียน กศน. มีความรู้ ความเข้าใจ ในกฎหมายพื้นฐานกับการด าเนินชีวิตในยุคดิจิทัล และสามรถน าความรู้ ไปใช้ในการด าเนินชีวิตได้ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอ าเภอสวรรคโลก ขอขอบคุณ ผู้เชี่ยวชาญเนื้อหา ที่ให้การสนับสนุนองค์ความรู้ประกอบการน าเสนอเนื้อหา รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องใน การจัดท าหนังสือแบบเรียน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือแบบเรียนนี้จะเกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน กศน. และน าไปสู่การปฏิบัติอย่างเห็นคุณค่าต่อไป คณะผู้จัดท า


สารบัญ หน้า ค าน า ค าแนะน าในการใช้หนังสือแบบเรียน โครงสร้างรายวิชากฎหมายพื้นฐานกับการด ารงชีวิตในยุคดิจิทัล แบบทดสอบก่อนเรียน บทที่1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายในการด าเนินชีวิต 1 เรื่องที่ 1 ความหมายและความส าคัญของกฎหมายที่ใช้ในการด าเนินชีวิต 2 เรื่องที่ 2 ระบบ ประเภท วิวัฒนาการกฎหมายในประเทศไทยและการบังคับใช้กฎหมาย 5 เรื่องที่ 3 กฎหมายว่าด้วยลักษณะของบุคคล บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล 15 บทที่ 2 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวกับชีวิตประจ าวัน 38 เรื่องที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในชีวิตประจ าวัน 39 เรื่องที่ 2 ประเภทของกฎหมายแพ่ง เช่น ทรัพย์ นิติกรรม สัญญา และครอบครัว 42 บทที่ 3 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายอาญา 48 เรื่องที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายอาญาในชีวิตประจ าวัน 49 เรื่องที่ 2 ความรับผิดในทางอาญา 55 บทที่ 4 กฎหมายทั่วไปส าหรับประชาชน 60 เรื่องที่ 1 กฎหมายทะเบียนราษฎร์ 61 เรื่องที่ 2 กฎหมายการเกณฑ์ทหาร 65 บทที่ 5 กฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ 72 เรื่องที่ 1 ความหมายและความส าคัญของกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ 73 เรื่องที่ 2 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 77 แบบทดสอบหลังเรียน 81


ค าแนะน าการใช้หนังสือแบบเรียน วิชา กฎหมายพื้นฐานเกี่ยวกับการด าเนินชีวิตในยุคดิจิทัล หนังสือแบบเรียน วิชา กฎหมายพื้นฐานเกี่ยวกับการด าเนินชีวิตในยุคดิจิทัล รหัสวิชา สค3300176 ใช้ส าหรับผู้เรียนหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 โครงสร้างของหนังสือแบบเรียน แบบทดสอบก่อนเรียน โครงสร้างของ บทเรียน เนื้อหาสาระ กิจกรรม เรียงล าดับตามบทเรียน และแบบทดสอบหลังเรียน ส่วนที่ 2 เฉลยแบบทดสอบและกิจกรรม ประกอบด้วย เฉลยแบบทดสอบก่อนและ หลังเรียน เฉลยกิจกรรม เรียงล าดับตามบทเรียน วิธีการใช้หนังสือแบบเรียน ให้ผู้เรียนด าเนินการตามขั้นตอนดังนี้ 1. ศึกษารายละเอียดโครงสร้างหนังสือแบบเรียนวิชาโดยละเอียดเพื ่อให้ทราบว่า ผู ้เรียนต้องเรียนรู้เนื้อหาเรื่องใดบ้างในรายวิชานี้ 2. วางแผนเพื่อกำหนดระยะเวลาและจัดเวลาให้ผู้เรียนมีความพร้อมที่จะศึกษา หนังสือแบบแบบเรียน เพื่อให้สามารถศึกษารายละเอียดของเนื้อหาได้ครบทุกบทเรียนพร้อมทำ กิจกรรมตามที่กำหนดให้ทันก่อนสอบปลายภาค 3. ทำแบบทดสอบก่อนเรียนของหนังสือแบบเรียนตามที่ก าหนดเพื่อทราบพื้น ฐานความรู้เดิมของผู ้เรียน โดยให้ทำกิจกรรมการเรียนรู้ท้ายบทเรียน และตรวจสอบคำตอบจาก เฉลยแบบทดสอบท้ายเล่ม 4. ศึกษาเนื้อหาหนังสือแบบเรียนในแต่ละบทเรียนอย่างละเอียดให้เข้าใจ ทั้งใน หนังสือแบบเรียนและสื่อประกอบ (ถ้ามี) และทำกิจกรรมที่กำหนดไว้ให้ครบถ้วน 5. เมื่อทำกิจกรรมแล้วเสร็จแต่ละกิจกรรม ผู้เรียนสามารถตรวจสอบค าตอบได้ จาก แนวตอบ/เฉลยท้ายเล่ม หากผู้เรียนยังทำกิจกรรมไม่ถูกต้องให้ผู้เรียนกลับไปทบทวนเนื้อหา สาระใน เรื่องนั้นซ้ าจนกว่าจะเข้าใจ 6. เมื่อศ ึกษาเนื้อหาสาระครบท ุกบทรู ้แล ้ว ให ้ผู้เร ียนท าแบบทดสอบหลังเรียน และตรวจสอบคำตอบจากเฉลยท้ายเล่มว่าผู ้เรียนสามารถทำแบบทดสอบได ้ถ ูกต ้องทุกข้อ หรือไม่ หากข้อใดยังไม ่ถูกต้องให้ผู ้เรียนกลับไปทบทวนเนื้อหาสาระในเรื่องนั้น ให ้เข ้าใจ อ ีกครั้งหนึ่ง ผู ้เร ียนควรท าแบบทดสอบหล ังเร ียนให ้ได ้คะแนนมากกว ่าแบบทดสอบก ่อนเร ียน และ ควรได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของแบบทดสอบทั้งหมด (หรือ 24 ข้อ จาก 30 ข้อ) เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถสอบปลายภาคผ่าน


7. หากผู้เรียนได ้ทำการศึกษาเนื้อหาและทำกิจกรรมแล้วยังไม่เข้าใจ ผู้เรียน สามารถสอบถามและขอคำแนะนำได้จากครูหรือแหล่งค้นคว้าเพิ่มเติมอื่นๆ หมายเหตุ : การทำแบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียนและกิจกรรมท้ายบทเรียน ให้ท าลงในสมุด การศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ผู ้เรียนอาจศึกษาหาความรู ้เพิ่มเติมได้จากแหล่งเรียนรู ้อื่น ๆ ท ี่เผยแพร่ ความรู้ในเรื่องท ี่เกี่ยวข้องและศึกษาจากผู้รู้ การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้เรียนต้องวัดผลสัมฤทธ ิ์ทางการเรียนดังนี้ 1. ระหว่างภาค วัดผลจากการท ากิจกรรมหรืองานที่ได้รับมอบหมายระหว่าง เรียนรายบุคคล 2. ปลายภาควัดผลจากการทำข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ปลายภาค


โครงสร้างหนังสือแบบเรียน วิชา กฎหมายพื้นฐานกับการด าเนินชีวิตในยุคดิจิทัล สาระการพัฒนาสังคม มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ มีความรู้ความเข้าใจ ด าเนินชีวิตตามวิถีประชาธิปไตย กฎระเบียบของประเทศต่างๆ ในโลก ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 1. ตระหนักถึงผลกระทบจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของประชาชนในประเทศต่างๆ 2. เสนอทางเลือกในการแก้ปัญหาในความไม่สงบที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายของประเทศไทย และประเทศต่างๆ สาระส าคัญ กฎหมายเพราะเป็นเครื่องมือในการควบคุมความประพฤติการปฏิบัติของมนุษย์ใน สังคมนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย เกิดความยุติธรรมก่อให้เกิดสิทธิเสรีภาพ และเพื่อ ป้องกันรักษาผลประโยชน์ของประชาชน กฎหมายจึงเสมือนเครื่องมือในการหล่อหลอมกล่อมเกลา ความประพฤติการปฏิบัติของประชาชนในสังคมไปตามความต้องการของรัฐกฎหมายก่อให้เกิดสิทธิ ประโยชน์แก่ประชาชนในสังคม หนังสือแบบเรียนวิชานี้ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เน้นเนื้อหา กฎหมายพื้นฐานเกี่ยวกับการด าเนินชีวิตในยุคดิจิทัล ให้ผู้เรียนศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายพื้นฐานที่ใช้ ในการด าเนินชีวิต กฎหมายแพ่งที่เกี่ยวกับชีวิตประจ าวัน กฎหมายอาญาที่เกี่ยวกับชีวิตประจ าวัน กฎหมายทั่วไปส าหรับประชาชน และกรณีศึกษาการกระท าผิดกฎหมาย จึงจ าเป็นที่ต้องศึกษา กฎหมายพื้นฐานเกี่ยวกับการด าเนินชีวิตในยุคดิจิทัล เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนตาม กฎหมายและสามรถน าความรู้ไปใช้ในการด าเนินชีวิตได้ ขอบข่ายเนื้อหา บทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายในการด าเนินชีวิต บทที่ 2 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวกับชีวิตประจ าวัน บทที่ 3 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายอาญา บทที่ 4 กฎหมายทั่วไปส าหรับประชาชน บทที่ 5 กฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสาระสนเทศ


สื่อประกอบการเรียน 1. หนังสือแบบเรียนวิชากฎหมายพื้นฐานเกี่ยวกับการด าเนินชีวิตในยุคดิจิทัล 2. สื่อเสริมการเรียนรู้อื่นๆ จ านวนหน่วยกิต 3 หน่วยกิต (120 ชั่วโมง) กิจกรรมเรียนรู้ 1. ท าแบบทดสอบก่อนเรียน และตรวจสอบค าตอบจากเฉลยท้ายบท 2. ศึกษาเนื้อหาสาระในหน่วยการเรียนรู้ทุกหน่วย 3. ท ากิจกรรมตามที่ก าหนด และตรวจสอบค าตอบจากเฉลยท้ายบท 4. ท าแบบทดสอบหลังเรียน และตรวจสอบค าตอบจากเฉลยท้ายเล่ม การประเมินผล 1. ท าแบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน 2. ท ากิจกรรมในแต่ละบทเรียน 3. เข้ารับการทดสอบปลายภาค


ค าชี้แจง จงตอบค าถามต่อไปนี้ โดยเลือกตอบค าตอบที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว จ านวน 20 ข้อ ภายในเวลา 20 นาที 1. จากการศึกษาการวิวัฒนาการของกฎหมายจากสมัยดึกด าบรรพ์เป็นต้นมา พบว่ากฎหมายเกิด จากอะไร ก. ค าสั่งของหัวหน้าหรือผู้น าของชุมชน ข. ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีดั้งเดิม ค. ความเชื่อในเทพเจ้าและค าสั่งสอน ง. ถูกต้องทุกข้อ 2. ค าว่า “กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ” หมายถึงอะไร ก. เป็นอ านาจสูงสุดผู้ใดละเมิดมิได้ ข. มีบทลงโทษไว้ชัดแจ้ง ค.ออกโดยผู้มีอ านาจสูงสุดของรัฐ ง. ถูกต้องทุกข้อ 3. โทษตามข้อใดไม่ใช่โทษตามกฎหมายอาญา ก. กักขัง ข. ปรับ ค. ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ง. ริบทรัพย์ 4. ผู้ใช้กฎหมาย หมายถึงบุคคลตามข้อใด ก. เจ้าหน้าที่ต ารวจ ข. ทนายความ ค. เจ้าพนักงานราชทัณฑ์ ง. ถูกต้องทุกข้อ 5. ในกรณีที่ พบคนตาย (ตามพระราชบัญญัติทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534) กรณีตัวอย่าง นาย เขียว เดินไปที่ทุ่งนาหลังบ้านในตอนเช้าเป็นประจ า จากนั้นนายเขียวเดินไปใต้ต้นไม้ใหญ่ บังเอิญเห็นนกเขาบนต้นไม้ และนายเขียวเงยหน้าไปเห็น นายด าผูกคอตายบนต้นไม้ ในกรณีนี้นาย เขียวควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อพบเห็นศพ ต้องแจ้งพนักงานฝ่ายปกครอง หรือ เจ้าหน้าที่ต ารวจต้องท า อย่างไร ก. นายเขียวต้องแจ้งหลัง 24 ชั่วโมง ข. นายเขียวต้องแจ้งภายใน 3 วัน ค. นายเขียวต้องแจ้งหลัง ฌาปนกิจ ง. นายเขียวต้องแจ้งก่อนภายใน 24 ชั่วโมง 6. ส าหรับบุคคลธรรมดา สภาพบุคคลเริ่มต้นเมื่อใด ก. เริ่มต้นเมื่อปฏิสนธิและแพทย์รับรองแล้วว่ามีชีวิต ข. เริ่มเมื่อทราบเพศของทารกชัดเจนด้วยวิธีการทางการแพทย์ปัจจุบัน ค. เริ่มเมื่อคลอดพ้นครรภ์มารดาแล้ว ง. เริ่มเมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก แบบทดสอบก่อนเรียน


7. ข้อใดไม่ถือว่าเป็นนิติบุคคล ก. วัดบัวแก้วเกษร ข. จังหวัดเพชรบุรี ค. อ าเภอแก่งกระจาน ง. บริษัท สองสหาย จ ากัด 8. ทรัพย์ตามข้อใดถือเป็นอสังหาริมทรัพย์ ก. ที่ดิน ข. รถไฟทั้งขบวน ค. เครื่องบิน ง. ถูกต้องทุกข้อ 9. ฟ้าซื้อผ้าจากด าโดยช าระเงินสดกันทันที เป็นนิติกรรมประเภทใด ก. นิติกรรมฝ่ายเดียว ข. นิติกรรมสองฝ่าย ค. นิติกรรมมีเงื่อนไข ง. นิติกรรมมีผลเมื่อผู้ท ามีชีวิตอยู่ 10. สาระส าคัญของนิติกรรมคืออะไร ก. เป็นสัญญาระหว่างบุคคลเท่านั้น ข. มุ่งเจตนาท าพินัยกรรมโดยชอบด้วยกฎหมาย ค. ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ ง. เพื่อจะก่อให้เกิดสิทธิแก่ส่วนรวม 11.ข้อใดต่อไปนี้เป็นสัญญาไม่มีค่าตอบแทน ก. สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง ข. สัญญาให้โดยมีค่าภาระติดพัน ค. สัญญาซื้อขาย ง. สัญญาเช่า 12. ผลของสัญญาก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์กันอย่างไร ก. เกิดหนี้ที่ต้องช าระต่อกัน ข. ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ต่อกัน ค. ฝ่ายใดผิดนัดอาจถูกเรียกร้องสินไหมทดแทน ง. ถูกต้องทุกข้อ 13. ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถูกต้อง ก. มัดจ ากับเบี้ยปรับมีลักษณะเหมือนกัน ข. เบี้ยปรับต้องส่งมอบให้คู่สัญญา ค. มัดจ าต้องส่งมอบให้คู่สัญญา ง. ถูกต้องทุกข้อ 14. นายด าแอบทราบมาว่าในวันพรุ่งนี้นายแดง นายขาว และนายแสด ซึ่งร่วมกันวางแผนจะมา ปล้นทรัพย์ที่บ้านของตนเองในคืนเกิดเหตุจึงได้ไปหลบซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าส่วนนายแดง นายขาว และนายแสดได้แอบเข้ามาในบ้านและเอาทรัพย์ ขณะที่ก าลังจะออกจากบ้านนายด านั้น นายม่วง ได้ขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาเห็นจึงตะโกนว่า “ขโมย ขโมย” นายแสดจึงใช้ปืนยิงนายม่วงแต่ กระสุนพลาดไป หลังจากนั้นนายด าได้ยิงปืนขึ้นและพูดว่า “ถ้าไม่วางทรัพย์ลงจะยิงให้ตาย” ทั้ง สามคนเกิดความกลัวจึงวางทรัพย์แล้ววิ่งหนีไป ดังนี้การกระท าของทั้งสามคนเป็นความผิดฐานใด ก. ผิดฐานลักทรัพย์ ข. ผิดฐานพยายามลักทรัพย์ ค. ผิดฐานปล้นทรัพย์ ง. ผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ 15. กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีชื่อภาษาอังกฤษ คืออะไร ก. Low ข. Information Low ค. Civil Low ง. Common Low


16. ในกรณี นายด า ต้องการซื้อรถจักรยานยนต์ เพื่อให้ภรรยาเป็นของขวัญ ต่อมานายด าต้องการ ซื้อรถที่ ร้านโชคชัยมอเตอร์ แต่ปรากฏว่า นายด ามีเงินไม่พอที่ใช้ในการซื้อรถจักรยานยนต์ 2,500บาท จึงมาขอยืมเงินนางจ าเนียน ในกรณีที่นายด า มาขอยืมเงินนางจ าเนียนจะต้องท าสัญญา การกู้ยืมต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือชื่อผู้กู้ยืมเพื่อจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ข้อใดถูกต้องที่สุด ก. นายด าต้องท าสัญญากับนางจ าเนียน ในกรณีที่ในด ายืมเงิน เกิน 2,000 บาท ต้องท าสัญญากู้ยืม เงินด้วยหนังสือ ข. นายด าไม่ต้องท าสัญญาการกู้ยืมเงินกับนางจ าเนียน ค. นายด าท าสัญญากู้ยืมเงินก็ได้หรือไม่ท าสัญญากู้ยืมเงินก็ได้ ง. นายด าให้ภรรยามาท าสัญญากู้ยืมเงินแทนตัวนายด ากับนางจ าเนียน 17. การย้ายชื่อออกจากทะเบียนราษฎร์ ไม่ตรงก าหนดเวลามีโทษตามกฎหมายข้อใด ก. ถูกปรับไม่เกิน 100 บาท ข. ถูกปรับไม่เกิน 1,000 บาท ค. จ าคุก 1 เดือน ง. จ าคุก 1 ปี 18. ข้อใดแสดงถึงข้อมูลในทะเบียนราษฎร์ที่ถูกต้อง ก. ทะเบียนบ้าน ข. ทะเบียนประชาชน ค. ทะเบียนคนเกิด คนตาย ง. ทะเบียนคนเกิด คนตาย และทะเบียนบ้าน 19. ทหารกองเกินหมายความว่า ก. ผู้ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 17 ปีบริบูรณ์ และยังไม่ถึง 30 ปีบริบูรณ์ ข. ผู้ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 17 ปีบริบูรณ์ และยังไม่ถึง 30 ปีบริบูรณ์ ซึ่งได้ลงบัญชีทหารกองเกินแล้ว ค. ผู้ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ และยังไม่ถึง 30 ปีบริบูรณ์ ง. ผู้ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ และยังไม่ถึง 30 ปีบริบูรณ์ซึ่งได้ลงบัญชีทหารกองเกินแล้ว 20. อายุเท่าไร จึงต้องไปตรวจเลือกทหาร ก. อายุ 17 ปีบริบูรณ์ ข. อายุ 18 ปีบริบูรณ์ ค. อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ง. อายุ 21 ปีบริบูรณ์ ------------------------------------------------------------


1 บทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายในการด าเนินชีวิต สาระส าคัญ การศึกษาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายในการด าเนินชีวิต เพื่อศึกษาความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป และมีความรู้และมีความเข้าใจในประเภทของกฎหมายและวิวัฒนาการ กฎหมายในประเทศไทยหลักกฎหมายเพื่อเป็นข้อบังคับใช้ของกฎหมายและมีความรู้ ความเข้าใจ ในลักษณะและสภาพบังคับใช้กฎหมายตลอดจนกฎหมายที่ใช้ในชีวิตประจ าวันว่าด้วยลักษณะของ บุคคล เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้นในการด าเนินชีวิต ตัวชี้วัด 1. มีความรู้ ความเข้าใจในความหมายและความส าคัญของกฎหมายที่ใช้ในการด าเนินชีวิต 2. มีความรู้ ความเข้าใจในระบบ ประเภทและวิวัฒนาการกฎหมายในประเทศไทย 3. มีความรู้ ความเข้าใจในสภาพบังคับใช้กฎหมาย 4. มีความรู้ ความเข้าใจของกฎหมายว่าด้วยลักษณะของบุคคล ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1 ความหมายและความส าคัญของกฎหมายที่ใช้ในการด าเนินชีวิต เรื่องที่ 2 ระบบ ประเภท วิวัฒนาการกฎหมายในประเทศไทยและการบังคับใช้กฎหมาย เรื่องที่ 3 กฎหมายว่าด้วยลักษณะของบุคคล บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล เวลาที่ใช้ในการศึกษา 30 ชั่วโมง สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือกฎหมายพื้นฐานเกี่ยวกับการด าเนินชีวิตในยุคดิจิทัล 2. ใบงานความรู้


2 ความหมายของกฎหมาย เชื่อได้เลยว่าทุกคนหรือแทบจะทุกคนในสังคมคงจะรู้จักค าๆนี้เป็นอย่างดี แต่หากจะให้ อธิบายความหมายของค านี้ หลายๆคนคงไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นค าพูดได้ซึ่งจริงๆแล้ว แม้แต่ในทางวิชาการก็มีการให้นิยามความหมายแตกต่างกันออกไปมากมาย เนื่องจากเป็นการยาก ที่จะนิยามความหมายออกมาให้ครอบคลุมได้ทั้งหมด แต่พอจะสรุปได้ดังนี้ กฎหมาย คือ กฎเกณฑ์ ค าสั่ง หรือข้อบังคับที่ถูกตั้งขึ้นโดยรัฐหรือผู้มีอ านาจสูงสุดเพื่อใช้ เป็นเครื่องมือส าหรับด าเนินการให้บรรลุเป้าหมายอย่างหนึ่งอย่างใดของสังคม และมีสภาพบังคับ เป็นเครื่องมือในการท าให้บุคคลในสังคมต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ค าสั่ง หรือข้อบังคับนั้น มนุษย์ถือได้ว่าเป็นสัตว์สังคมจ าเป็นต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน แต่เนื่องจากความคิด อุปนิสัย สภาพแวดล้อม เพศ ฯลฯ ที่แตกต่างกันไป จึงจ าเป็นจะต้องมีกฎหมายเพื่อควบคุมให้ สังคมมีความสงบเรียบร้อย กฎหมายบางอย่างก็ก าหนดขึ้นเป็นขั้นตอนหรือวิธีปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่ง ความสงบเรียบร้อย หรือเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ นอกจากนี้การบัญญัติกฎหมาย เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้คนในสังคมปฏิบัติตามในแนวทางเดียวกัน ก็จะสร้างความเป็นระเบียบให้ เกิดขึ้นอีกด้วย เหล่านี้ถือเป็นเป้าหมายอันส าคัญของสังคม ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวนี้เมื่อคิดย้อนกลับ ไปแล้ว ก็จะมาจากคนในสังคมนั่นเอง (พรชัย สุนทรพันธ์ และคณะ, 2532) ลักษณะของกฎหมาย เราสามารถแยกลักษณะของกฎหมายออกได้เป็น 5 ประการ คือ 1. กฎหมายต้องเป็นค าสั่งหรือข้อบังคับ ซึ่งจะแตกต่างกับการเชื้อเชิญหรือขอความ ร่วมมือให้ปฏิบัติตาม ค าสั่งหรือข้อบังคับนั้นมีลักษณะให้เราต้องปฏิบัติตาม แต่ถ้าเป็นการเชื้อเชิญ หรือขอความร่วมมือ เราจะปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้ เช่นนี้เราก็จะไม่ถือเป็นกฎหมาย เช่น การ รณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ หรือช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ 2. กฎหมายต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์หรือผู้ที่มีกฎหมายให้อ านาจไว้ รัฏฐาธิปัตย์คือผู้มี อ านาจสูงสุดของประเทศ ในระบอบเผด็จการหรือระบอบการปกครองที่อ านาจการปกครอง ประเทศอยู่ในมือของบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้มีอ านาจสูงสุด มีอ านาจออกกฎหมายได้ เช่น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอ านาจสูงสุด พระบรมราชโองการ หรือค าสั่งของพระมหากษัตริย์ก็ถือเป็นกฎหมาย ส่วนในระบอบประชาธิปไตยของเรา ถือว่าอ านาจ สูงสุดเป็นของประชาชน กฎหมายจึงต้องออกโดยประชาชน ค าถามมีอยู่ว่าประชาชนออกกฎหมาย ได้อย่างไร ก็ออกโดยที่ประชาชนเลือกตัวแทนเข้าไปท าหน้าที่ในการออกกฎหมาย ซึ่งก็คือสมาชิก วุฒิสภา(ส.ว.)และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)นั่นเอง ดังนั้นการเลือก ส.ส. ในการเลือกทั่วไปนั้น เรื่องที่ 1 ความหมายและความส าคัญของกฎหมายที่ใช้ในการด าเนินชีวิต


3 นอกจากจะเป็นการเลือกคนเข้ามาบริหารประเทศแล้ว ยังเป็นการเลือกตัวแทนของประชาชน เพื่อท าการออกกฎหมายด้วย นอกจากดังกล่าวมาข้างต้น อาจมีบางกรณีที่กฎหมายให้อ านาจเฉพาะแก่บุคคลในการออก กฎหมายไว้ เช่น พระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงที่ออกโดยฝ่ายบริหาร(คณะรัฐมนตรี) ฯลฯ 3. กฎหมายต้องใช้บังคับได้โดยทั่วไป คือเมื่อมีการประกาศใช้แล้ว บุคคลทุกคนต้องอยู่ ภายใต้กฎหมายโดยเสมอภาค จะมีใครอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้ หรือท าให้เสียประโยชน์หรือเอื้อ ประโยชน์ให้แก่บุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจงไม่ได้ แต่อาจมีข้อยกเว้นในบางกรณี เช่น กรณีของฑูต ต่างประเทศซึ่งเข้ามาประจ าในประเทศไทยอาจได้รับการยกเว้นไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายภาษี อากร หรือหากได้กระท าความผิดอาญา ก็อาจได้รับเอกสิทธิ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศไม่ต้อง ถูกด าเนินคดีในประเทศไทย โดยต้องให้ประเทศซึ่งส่งฑูตนั้นมาประจ าการด าเนินคดีแทน ฯลฯ 4. กฎหมายต้องใช้บังคับได้จนกว่าจะมีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลง เมื่อมีการประกาศใช้ แล้วแม้กฎหมายนั้นจะไม่ได้ใช้มานาน ก็ถือว่ากฎหมายนั้นยังมีผลใช้บังคับได้อยู่ตลอด กฎหมายจะ สิ้นผลก็ต่อเมื่อมีการยกเลิกกฎหมายนั้นหรือมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเท่านั้น 5. กฎหมายจะต้องมีสภาพบังคับ ถามว่าอะไรคือสภาพบังคับ นั่นก็คือการด าเนินการ ลงโทษหรือกระท าการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อให้เกิดความเข็ดหลาบหรือหลาบ จ า ไม่กล้ากระท าการฝ่าฝืนกฎหมายอีก และรวมไปถึงการบังคับให้กระท าการ งดเว้นกระท าการ หรือบังคับให้ส่งมอบทรัพย์สินด้วย (สมพงษ์ พุทธเจริญ และ วิชาญ โพธิสิทธิ์, 2548) ตามกฎหมายอาญา สภาพบังคับก็คือการลงโทษตามกฎหมาย เช่น การจ าคุกหรือการ ประหารชีวิต ซึ่งมุ่งหมายเพื่อจะลงโทษผู้กระท าความผิดให้เข็ดหลาบ แต่ตามกฎหมายแพ่งฯนั้น สภาพบังคับจะมุ่งหมายไปที่การเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายเพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด เช่น การ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือการบังคับให้กระท าการตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ ฯลฯ ซึ่งบางกรณีผู้ที่ ฝ่าฝืนกฎหมายก็อาจต้องต้องถูกบังคับทั้งทางอาญาและทางแพ่งฯในคราวเดียวกันก็ได้ แต่กฎหมายบางอย่างก็อาจไม่มีสภาพบังคับก็ได้ เนื่องจากไม่ได้มุ่งหมายให้ผู้คนต้องปฏิบัติ ตาม แต่อาจบัญญัติขึ้นเพื่อรับรองสิทธิให้แก่บุคคล หรือท าให้เสียสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น กฎหมายก าหนดให้ผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วสามารถท านิติกรรมได้เองโดยไม่ต้องได้รับความยินยอม จากผู้แทนโดยชอบธรรม หรือบุคคลที่มีอายุ 15 ปีแล้วสามารถท าพินัยกรรมได้ ฯลฯ หรือออกมา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ ซึ่งกฎหมายประเภทนี้จะไม่มีโทษ ทางอาญาหรือทางแพ่งแต่อย่างใด ที่มาของกฎหมาย 1. ศีลธรรม คือ กฎเกณฑ์ของความประพฤติ ค าๆนี้ฟังเข้าใจง่ายแต่อธิบายออกมาได้ยาก มาก เพราะเป็นสิ่งที่แต่ละคนเข้าใจได้ในตัวเองและมีความหมายที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัย หลายๆอย่าง เช่น เชื้อชาติ ศาสนา สภาพแวดล้อม ฯลฯ แต่อย่างไรก็ความหมายของศีลธรรมของ แต่ละคนก็จะมีมาตรฐานใกล้เคียงกัน แม้อาจจะแตกต่างกันออกไปบ้าง แต่โดยหลักแล้วก็จะ


4 หมายถึง ความรู้สึกผิดชอบหรือความดีงามต่างๆที่ท าให้คนเราสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้โดยสงบ สุข ดังนั้นการบัญญัติกฎหมายจึงต้องใช้ศีลธรรมเป็นรากฐาน เพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่สังคมให้ มากที่สุดนั่นเอง 2. จารีตประเพณี คือ แบบแผนที่คนในสังคมยอมรับและถือปฏิบัติมาเป็นเวลาช้านาน แต่ละสังคมก็มีจารีตประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ตามแต่สภาพแวดล้อม ศาสนา เชื้อชาติ ฯลฯ เช่นเดียวกับศีลธรรม การกระท าที่ฝ่าฝืนต่อจารีตประเพณี คนในสังคมนั้นๆก็จะมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ ถูกต้องไม่สมควรกระท า จึงน ามาใช้เป็นรากฐานในการบัญญัติกฎหมาย เนื่องจากเป็นสิ่งที่คนใน สังคมนั้นๆยอมรับ ตัวอย่างที่ส าคัญก็คือกฎหมายในประเทศอังกฤษนั้น ผู้พิพากษาจะใช้จารีต ประเพณีมาพิจารณาพิพากษา ซึ่งค าพิพากษานั้นถือเป็นกฎหมาย ส่วนประเทศอื่นๆก็มีการน า จารีตประเพณีมาใช้เป็นรากฐานในการบัญญัติกฎหมายเช่นกัน เช่นกฎหมายของประเทศไทยใน เรื่องของการหมั้น การแบ่งมรดก ฯลฯ 3. ศาสนา คือ หลักการด าเนินชีวิตหรือข้อบังคับที่ศาสดาของแต่ละศาสนาบัญญัติขึ้นเพื่อ สอนให้คนทุกคนเป็นคนดี เมื่อพูดถึงศาสนาเราก็อาจนึกไปถึงศีลธรรม เพราะสองค านี้มักจะมาคู่กัน แต่ค าว่าศีลธรรมจะมีความหมายกว้างกว่าค าว่าศาสนา เพราะศีลธรรมอาจหมายความรวมเอาหลัก ค าสอนของทุกศาสนามารวมไว้และความดีงามต่างๆไว้ในค าๆเดียวกัน เมื่อเรากล่าวถึงค าสอนของ ศาสนาอิสลาม นั่นหมายถึงศีลธรรม เมื่อเรากล่าวถึงค าสอนของศาสนาพุทธ นั่นหมายถึงเรา กล่าวถึงศีลธรรมเช่นกัน กฎหมายของแต่ละประเทศก็จะบัญญัติขึ้นโดยอาศัยศาสนาเป็นรากฐาน ด้วย เช่นในประเทศไทยเราในทางอาญาก็จะน าศีล 5 มาใช้ในการบัญญัติกฎหมาย เช่นห้ามฆ่าผู้อื่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามประพฤติผิดในกาม ฯลฯ 4. ค าพิพากษาของศาล มีเฉพาะบางประเทศเท่านั้นที่ถือเอาค าพิพากษาของศาลมา จัดท าเป็นกฎหมาย เช่น ประเทศอังกฤษ คือใช้จารีตประเพณีมาพิจารณาพิพากษาคดีและเพื่อ ไม่ให้มีกรณีเดียวกันนี้เกิดขึ้นซ้ าอีกก็จะน าค าพิพากษานั้นมาจัดท าเป็นกฎหมายเพื่อให้ทุกคนปฏิบัติ ตาม หากมีคดีที่มีข้อเท็จจริงเหมือนกันเกิดขึ้นอีก ศาลก็จะตัดสินเหมือนกับคดีก่อนๆ แต่ในหลายๆ ประเทศค าพิพากษาเป็นเพียงแนวทางในการพิจารณาพิพากษาของศาลเท่านั้น ศาลอาจใช้ดุลพินิจ พิจารณาพิพากษาต่างจากคดีก่อนๆได้ จึงไม่ถือค าพิพากษาของศาลเป็นกฎหมาย เช่น ประเทศ ไทยเราเป็นต้น 5. หลักความยุติธรรม(Equity) หลักความยุติธรรมนี้จะต้องมาควบคู่กับกฎหมายเสมอ เพียงแต่ความยุติธรรมของแต่ละคนก็อาจไม่เท่ากัน แต่อย่างไรก็ดีผู้บัญญัติและผู้ใช้กฎหมายก็ จะต้องค านึงถึงหลักความยุติธรรมด้วยและความยุติธรรมนี้ควรจะอยู่ในระดับที่คนในสังคมส่วน ใหญ่ยอมรับ เพราะถ้าเป็นความยุติธรรมโดยค านึงถึงคนส่วนน้อยมากกว่า ก็จะเป็นการเอื้อ ประโยชน์ให้คนเพียงบางกลุ่มเท่านั้น ท าให้ไม่เกิดความยุติธรรมแก่สังคมโดยแท้จริง ตัวอย่างที่ ส าคัญคือ ในอังกฤษนั้นแต่ก่อนการฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้นจะฟ้องเรียกได้เฉพาะจ านวนเงินเท่านั้น จะฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงกันไม่ได้ จึงท าให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้เสียหาย เนื่องจาก ในบางรายผู้เสียไม่ได้ต้องการเงินค่าเสียหาย แต่ต้องการให้คู่สัญญาปฏิบัติตามข้อตกลงที่ท าต่อกัน


5 ดังนั้นจึงได้มีการน าเอาหลักความยุติธรรมมาใช้โดยอนุญาตให้มีการช าระหนี้โดยการปฏิบัติตาม สัญญาที่ตกลงกันไว้ตามความมุ่งหมายของผู้ที่เสียหายได้ ท าให้เกิดความเป็นธรรมในการพิจารณา พิพากษาคดียิ่งขึ้น 6. ความคิดเห็นของนักปราชญ์ ก็คือผู้ทรงความรู้ในทางกฎหมายนั่นเอง อาจจะเป็น นักวิชาการ หรืออาจารย์สอนกฎหมายก็ตาม เนื่องจากนักปราชญ์เหล่านี้จะเป็นผู้ค้นคว้าหลักการ และทฤษฎีต่างๆเพื่อสนับสนุนหรือโต้แย้งกฎหมายหรือค าพิพากษาของศาลอยู่เสมอ ท าให้เกิด หลักการหรือทฤษฎีใหม่ๆที่เป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมายได้ เช่น แนวความคิดของ คาร์ล มาร์กซ์ ในประเทศรัสเซีย ฯลฯ(พรชัย สุนทรพันธ์ และคณะ, 2532)


6 ระบบกฎหมาย ระบบกฎหมายหลักๆในโลกนี้มีอยู่ 4 ระบบใหญ่ๆด้วยกัน คือ 1. ระบบกฎหมายซีวิล ลอว์(Civil Law) หรือก็คือระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษร จุดก าเนิดอยู่ที่อาณาจักรโรมัน ระบบกฎหมายนี้จะมีลักษณะเป็นการรวมรวมเอาจารีตประเพณี หรือกฎหมายต่างๆหรือบัญญัติกฎหมายขึ้นใหม่ โดยบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรและจัดไว้เป็น หมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ ซึ่งเรียกว่าประมวลกฎหมาย ซึ่งแต่เดิมนั้นไม่มีการบัญญัติไว้เป็นลาย ลักษณ์อักษร ชนชั้นที่ถูกปกครองในโรมันจึงมีการเรียกร้องให้ชนชั้นสูงท าการเขียนกฎหมายเป็น ลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ชนชั้นที่ถูกปกครองได้รู้กฎหมายด้วย ซึ่งระบบกฎหมายนี้ก็ได้มีการ พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ในประเทศไทยก็ใช้ระบบกฎหมายซีวิล ลอว์ ตัวอย่างก็เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา ฯลฯ 2. ระบบกฎหมายคอมมอน ลอว์(Common Law) หรือก็คือระบบกฎหมายจารีตประเพณี จุดก าเนิดอยู่ที่อังกฤษ เนื่องจากแต่เดิมนั้นประเทศอังกฤษมีชนเผ่าอยู่มากมายหลายชนเผ่าด้วยกัน ต่อมาได้มีการจัดตั้งศาลหลวงหรือศาลพระมหากษัตริย์ขึ้น โดยคัดเลือกผู้พิพากษาที่มีความรู้จาก ส่วนกลางไปพิจารณาคดีในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งแต่ละชนเผ่าก็มีจารีตประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ท าให้เกิดปัญหาในการพิจารณาคดีมากมาย แต่ในภายหลังปัญหาก็ค่อยๆหมดไปเพราะเริ่มมีจารีต ประเพณีที่มีลักษณะเป็นสามัญขึ้นโดยศาลหลวงได้ใช้จารีตประเพณีเหล่านี้ในการพิจารณาคดี ใน ระบบคอมมอน ลอว์แต่เดิมจะไม่มีการบัญญัติกฎหมายไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อศาลใช้จารีต ประเพณีในการพิพากษาตัดสินคดีแล้ว ก็จะมีการบันทึกค าพิพากษานั้นเอาไว้ เพื่อใช้เป็นบรรทัด ฐานในการพิจารณาคดีต่อๆไป หาข้อเท็จจริงในคดีต่อๆมาเหมือนกับคดีก่อน ศาลก็จะพิพากษาไป ตามที่ได้มีการบันทึกไว้แล้ว ถือได้ว่าค าพิพากษาของศาลก็คือกฎหมายนั่นเอง แต่ปัจจุบันนี้ใน ประเทศอังกฤษก็ใช้ทั้งระบบกฎหมายแบบซีวิล ลอว์และคอมมอน ลอว์ ควบคู่กันไป 3. ระบบกฎหมายสังคมนิยม (Socialist Law) จุดก าเนิดของระบบกฎหมายอยู่ที่รัสเซีย แต่เดิมรัสเซียใช้ระบบกฎหมายซีวิล ลอว์แต่ในภายหลังเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ครองอ านาจ ก็ได้มี การน าหลักการและแนวความคิดของ คาร์ล มาร์กซ์ และ เลนิน มาใช้โดยเชื่อว่ากฎหมายเป็น เครื่องมือในการขัดระเบียบและกลไกในสังคม เพื่อให้คนในสังคมมีความเท่าเทียมกัน ปราศจาก การกดขี่ข่มเหง ปราศจากชนชั้นวรรณะ ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมดร่วมกัน กฎหมายมีอยู่เพื่อความเท่าเทียม เมื่อใดที่สังคมเกิดความเท่าเทียมกันแล้วกฎหมายก็ไม่มีความ จ าเป็นอีกต่อไป ส่วนลักษณะของกฎหมายสังคมนิยมนั้นจะมีการผสมผสานระหว่างกฎหมายลาย ลักษณ์อักษรกับจารีตประเพณีเข้าด้วยกัน โดยมีการบัญญัติกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วน จารีตประเพณีนั้นเป็นตัวช่วยในการตีความและอุดช่องว่างของกฎหมายเมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ เรื่องที่ 2 ระบบ ประเภท วิวัฒนาการกฎหมายในประเทศไทยและการบังคับใช้ กฎหมาย


7 เป็นลายลักษณ์อักษร และที่ส าคัญก็คือกฎหมายในระบบสังคมนิยมนั้นต้องแฝงหลักการหรือ แนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ และ เลนิน ด้วยเสมอ 4. ระบบกฎหมายศาสนาและประเพณีนิยม ลักษณะของกฎหมายในระบบนี้ โดยเนื้อหา ของกฎหมายแล้วก็จะอาศัยศาสนาหรือประเพณีนิยมเป็นฐานในการบัญญัติกฎหมายขึ้นมา เช่น กฎหมายศาสนาอิสลามก าหนดหน้าที่ของชาวมุสลิมที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า ในปัจจุบันประเทศที่นับ ถือศาสนาอิสลาม กฎหมายอิสลามมีส่วนส าคัญเป็นอย่างยิ่งในการบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวกับ ครอบครัวและมรดก แต่ส่วนกฎหมายในเรื่องอื่นๆก็จะใช้แนวทางของกฎหมายของทางโลก ตะวันตก หรือใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่จังหวัดสตูล ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ในเรื่อง ครอบครัวและมรดกก็จะต้องน ากฎหมายศาสนาอิสลามมาใช้บังคับ ซึ่งถือเป็นข้อยกเว้นเฉพาะ 4 จังหวัดดังกล่าวเท่านั้น ส่วนในเรื่องอื่นๆทุกจังหวัดก็จะใช้กฎหมายฉบับเดียวกันรวมไปถึง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย เช่นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น ส่วนประเพณีนิยมนั้น คือ สิ่งที่คนในสังคมยอมรับและปฏิบัติสืบต่อกันมา เช่นในประเทศ จีนก็มีการน าประเพณีนิยมของนักปราชญ์อย่าง ขงจื้อ มาเป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมาย หรือ ประเพณีโบราณของลัทธิชินโตก็ใช้เป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมายในประเทศญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน ฯลฯ (สมพงษ์ พุทธเจริญ และ วิชาญ โพธิสิทธิ์, 2548) ประเภทของกฎหมาย การแบ่งแยกประเภทกฎหมายที่นิยมใช้กันมีอยู่ 2 ประเภท คือ 1. การแบ่งแยกประเภทของกฎหมายตามลักษณะแห่งการใช้ เป็นการแบ่งแยก โดยพิจารณาถึงลักษณะการใช้กฎหมายเป็นหลัก ได้แก่ 1.1 กฎหมายสารบัญญัติคือ กฎหมายที่บัญญัติถึงเนื้อหาหรือเรื่องทั่วๆ ไป เป็นกฎหมายที่ใช้ควบคุมความประพฤติรวมไปถึงก าหนดสิทธิและหน้าที่ต่างๆของพลเมืองไว้ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา 1.2 กฎหมายวิธีสบัญญัติคือ กฎหมายที่บัญญัติถึงกระบวนการหรือวิธีการที่จะ บังคับหรือด าเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายสารบัญญัตินั่นเอง ได้แก่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่งหรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฯลฯ ตัวอย่างเช่นในประมวลกฎหมาย อาญาบัญญัติว่าผู้ใดฆ่าผู้อื่นผู้นั้นมีความผิด แต่ไม่ได้ก าหนดว่ามีจะน าตัวผู้กระท าความผิดมาลงโทษ ได้อย่างไร ไม่มีขั้นตอนการด าเนินการก าหนดไว้ เราก็ต้องอาศัยบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา ในการจับตัวผู้กระท าความผิดมาลงโทษ เราอาจเปรียบเทียบเป็นตัวอย่าง ง่ายๆ ได้ว่า หากเราเปรียบเทียบว่ากฎหมายสารบัญญัติเปรียบได้กับเครื่องกรองน้ าที่ใช้ในการกรอง น้ าให้สะอาด กฎหมายวิธีสบัญญัติก็จะหมายถึงวิธีการใช้เครื่องกรองน้ านั้นหรือกระบวนการ ท างานของเครื่องกรองน้ า ซึ่งเป็นที่มาของน้ าสะอาดให้เราใช้ดื่มกินนั่นเอง ถ้าเราไม่รู้วิธีใช้หรือไม่มี กระบวนการการกรองน้ าติดตั้งอยู่ในเครื่อง เราก็จะท าการกรองน้ าให้สะอาดไม่ได้ เช่นเดียวกันนี้


8 ถ้าไม่มีกฎหมายวิธีสบัญญัติ การบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายสารบัญญัติก็จะท าได้ยาก เพราะไม่มี แบบแผนและวิธีการแน่นอน ขาดความเป็นระเบียบและไร้ประสิทธิภาพ 2. แบ่งแยกประเภทของกฎหมายตามลักษณะของความสัมพันธ์ของคู่กรณี ได้แก่ 2.1 กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่ก าหนดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วย กันเอง ซึ่งก าหนดถึงสิทธิและหน้าที่ของแต่ละเอกชน รวมไปถึงสิทธิและหน้าที่ของเอกชนที่มีต่อ เอกชนด้วยกันด้วย กฎหมายเอกชนก็ได้แก่กฎหมายแพ่ง และกฎหมายพาณิชย์ กฎหมายแพ่งจะ ก าหนดถึงสิทธิและหน้าที่รวมไปถึงความสัมพันธ์ของบุคคลตั้งแต่เกิดจนตาย ส่วนกฎหมายพาณิชย์ ก็จะก าหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างบุคคลที่เข้ามามีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต่อกัน เช่น ก าหนด ถึงสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สัญญาซื้อขาย คู่สัญญากู้ยืมเงิน ฯลฯ 2.2 กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หน่วยงาน ของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน หรือความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าที่ของ รัฐกับประชาชน เช่น รัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง กฎหมายอาญา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2.3 กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายที่ก าหนดถึงกฎเกณฑ์ความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ เนื่องจากประเทศต่างๆในโลกต้องมีการติดต่อมีความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ ทั้ง ในการค้า เศรษฐกิจ และการประสานงานช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศอาจ มาในรูปของสนธิสัญญา จารีตประเพณีหรือความตกลงกันระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่าง ประเทศอาจไม่มีสภาพบังคับที่ชัดเจน แต่ก็ถือเป็นกฎหมายได้ เนื่องจากเป็นกฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นมา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือส าหรับด าเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายอย่างหนึ่งอย่างใดของรัฐ เช่น กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา ฯลฯ (พรชัย สุนทรพันธ์ และคณะ, 2532) วิวัฒนาการกฎหมายในประเทศไทย สมัยสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา กฎหมายไทยได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ของ ฮินดู ซึ่งเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอ านาจสูงสุดในการปกครองแต่เพียงผู้เดียว ต้องปกครอง บ้านเมืองไพร่ฟ้าประชาชนด้วยความเป็นธรรม ยุติธรรม และมีเมตตาธรรม และพระราชศาสตร์ ซึ่งเป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์สร้างขึ้นจากการวินิจฉัยอรรถคดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นและสะสมต่อๆ กันมา โดยยึดหลักว่า จะต้องสอดคล้องกับคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ด้วย นอกจากนี้ยังมีกฎหมาย อื่นๆ ที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นเอง โดยเฉพาะสมัยกรุงศรีอยุธยามีเป็นจ านวนมากตามความ ต้องการและความจ าเป็นในแต่ละยุคแต่ละสมัย เช่น กฎหมายลักษณะอาญาหลวง กฎหมาย ลักษณะพยาน กฎหมายลักษณะโจร กฎหมายลักษณะผัวเมีย ฯลฯ เป็นต้น สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ทรงโปรด ให้มีการรวบรวมและตรวจช าระกฎหมายครั้งใหญ่ กฎหมายเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นกฎหมายในสมัย กรุงศรีอยุธยา ที่กระจัดกระจาย ช ารุด หรือสูญหาย เมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 ในปีพ.ศ. 2310


9 โดยน ามารวบรวมจัดเป็นหมวดหมู่ แก้ไขความคลาดเคลื่อน ความไม่ยุติธรรมที่ตรวจพบ และ เพิ่มเติมในบางส่วนที่ขาดหายไปขึ้นมาใหม่ เรียกว่า กฎหมายตราสามดวง สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เนื่องจากปัญหาการบังคับใช้ สิทธิสภาพนอกอาณาเขต ของชาติตะวันตก ซึ่งจะต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็ว ทรงโปรดให้มีการ ปฏิรูปการศาลยุติธรรมและระบบกฎหมายครั้งใหญ่ โดยจัดระเบียบการศาลยุติธรรมใหม่ให้เป็น อันหนึ่งอันเดียวกันในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ทรงตั้งโรงเรียนกฎหมายตามค ากราบบังคมทูลของ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ซึ่งทรงเป็นครูสอนกฎหมายเองด้วย และทรงแต่งตั้งคณะกรรมการ ตรวจช าระและร่างกฎหมาย ในปี พ.ศ. 2440 ซึ่งประกอบด้วยนักกฎหมายไทยและต่างประเทศ คณะกรรมการชุดนี้ได้ท าการร่างและประกาศใช้ ประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ซึ่งถือ ว่าเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของไทย ต่อมามีการปรับปรุงอีก 2 ครั้ง ในปีพ.ศ. 2486 และ พ.ศ. 2499 เรียกว่า ประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบัน ในสมัยต่อ ๆ มาก็ได้มีการร่าง และประกาศใช้ประมวลกฎหมายอื่น ๆ อีกหลายฉบับ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายวิถีพิจารณาความอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฯลฯ เป็นต้น การปฏิรูปกฎหมายศาลยุติธรรมและการประกาศใช้ประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ท าให้ประเทศไทยหมดยุคกฎหมายเก่า และเข้าสู่ยุคขบวนกฎหมายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เดิมกฎหมายของประเทศไทยนั้นมีที่มาจากจารีตประเพณี ศาสนา รวมไปถึงพระราช โองการของพระมหากษัตริย์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีกฎหมายที่เรียกว่า “พระราชศาสตร์” ซึ่ง พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัยหลักใน “คัมภีร์พระธรรมศาสตร์” จนกระทั่งการเสียเมือง ครั้งที่ 2 ให้แก่ประเทศพม่า เอกสารส าคัญทางกฎหมายได้มีการถูกท าลายและสูญหายไปเป็น จ านวนมาก ต่อมาในสมัยของรัชการที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แม้จะมีการรวบรวมกฎหมายขึ้น ใหม่แต่ก็เหลือเพียงหนึ่งในสิบของกฎหมายที่มีอยู่เดิมในสมัยกรุงศรีอยุธยา อีกทั้งยังมีเนื้อหาที่ ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ท าให้กฎหมายที่มีอยู่ไม่สามารถตัดสินคดีได้อย่างยุติธรรม รัชกาลที่ 1 จึงทรง ช าระสะสางกฎหมายเสียใหม่กลายเป็น “กฎหมายตราสามดวง” ถือเป็นกฎหมายที่มีความส าคัญ ของไทยเรา นักวิชาการทั้งหลายถือว่าแม้จริงแล้วกฎหมายตราสามดวงนี้ก็คือกฎหมายในสมัยกรุง ศรีอยุธยานั่นเอง คดีส าคัญที่ก่อให้เกิดกฎหมายตราสามดวงก็คือ “คดีอ าแดงป้อม” (อ าแดง เป็นค าน าหน้า ชื่อของผู้หญิงในสมัยก่อน) คดีนี้มีข้อเท็จจริงคือ นายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ พระเกษมและนายราชาอรรถ เนื่องจาก อ าแดงป้อม ภรรยาของนายบุญศรีเป็นชู้กับ นายราชา อรรถ แต่อ าแดงป้อมกลับมาฟ้องหย่านายบุญศรี นายบุญศรีไม่ยอมหย่า แต่พระเกษมกลับ พิจารณาเข้าข้างอ าแดงป้อมแล้วคัดข้อความส่งให้ลูกขุน ณ ศาลหลวง มีค าตัดสินให้อ าแดงป้อมกับ นายบุญศรีขาดจากการเป็นสามีภรรยาตามกฎหมาย เมื่อรัชการที่ 1 ทรงทราบเรื่องจึงตรัสว่า หญิง นอกใจชายแล้วมาฟ้องหย่า ลูกขุนปรึกษากันแล้วให้หย่าตามค าฟ้องนั้นไม่เป็นการยุติธรรม จึงมี พระราชโองการตรัสสั่งให้เจ้าพระยาคลังตรวจสอบกฎหมายดังกล่าว ปรากฏได้ความว่า ชายไม่ผิด หญิงมาขอหย่า ก็สามารถหย่าได้(ตามที่บันทึกใช้ค าว่า ชายหาผิดมิได้หญิงขอหย่า ท่านว่าเป็นหญิง


10 หย่าชายหย่าได้) จึงทรงเห็นว่าแม้แต่พระไตรปิฎกผิดเพี้ยนไป ก็ยังอาราธนาพระราชาคณะทั้งปวง ให้ท าสังคายนาช าระพระไตรปิฎกให้ถูกต้องได้ ดังนั้นเมื่อกฎหมายผิดเพี้ยนไปก็ควรต้องช าระ สะสางให้ถูกต้อง พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรกกระหม่อมตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ประกอบด้วยอาลักษณ์ 4 ลูกขุน 3 ราชบัณฑิต 4 จัดการช าระบทกฎหมายให้ถูกต้อง โดยอาศัย “คัมภีร์พระธรรมศาสตร์”(เชื่อกันว่าเป็นคัมภีร์ที่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ หรือผู้มีอ านาจเหนือคนธรรมดา แต่งขึ้น เดิมนั้นเป็นของชาวฮินดู เป็นหนังสือในศาสนาพราห์ม) เป็นหลักในการบัญญัติกฎหมาย เช่นเดียวกับในสมัยกรุงศรีอยุธยา เกิดเป็นกฎหมายตราสามดวงขึ้น ในเวลาต่อมาเกิดการล่าอาณานิคมจากประเทศซีกโลกตะวันตก เช่น ประเทศฝรั่งเศสและ ประเทศอังกฤษ ท าให้เกิดเหตุการณ์ส าคัญขึ้นก็คือการเสียเอกราชทางศาล เนื่องจากต่างประเทศ เห็นว่าประเทศไทยเรากฎหมายป่าเถื่อน ไม่เป็นธรรม เมื่อมีปัญหาหรือคดีเกิดขึ้นก็จะไม่ยอมขึ้น ศาลไทย และบีบบังคับให้รัฐบาลของไทยท าสนธิสัญญาซึ่งเรียกว่า “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” ได้ มีการจัดตั้งศาลกงศุล และศาลต่างประเทศขึ้นเพื่อใช้ในการพิจารณาคดีส าหรับคนชาตินั้นๆ โดยเฉพาะ ไม่ใช้กฎหมายของไทยและไม่ขึ้นศาลไทย ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชด าริที่จะ น าเอาเอกราชทางศาลกลับคืนมา โดยการแก้ไขกฎหมายให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ จึงได้มีส่ง ข้าราชการและพระบรมวงศานุวงศ์ไปศึกษากฎหมายที่ต่างประเทศเพื่อน าความรู้มาพัฒนา กฎหมาย รวมถึงจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจากต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษา ต่อมาทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการตรวจแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายขึ้นใหม่ โดยตั้งคณะกรรมการซึ่งมีพระ บรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์(พระบิดาแห่งกฎหมายไทย) เป็น ประธาน โดยร่างประมวลกฎหมายอาญาเสร็จก่อน(ในสมัยนั้นคือ กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127) อีกทั้งได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นร่างกฎหมายอื่นๆด้วย ต่อมาในสมัยรัชการที่ 6 ก็ทรง แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และประกาศใช้ในปี พ.ศ.2468 แรกเริ่มเดิมทีมีเพียง 2 บรรพ คือบรรพ 1 ว่าด้วยบทเบ็ดเสร็จทั่วไป และบรรพ 2 ว่าด้วยหนี้ หลังจากนั้นก็มีการร่างบรรพอื่นๆขึ้นจนครบ 6 บรรพในภายหลัง ในการปฏิรูประบบกฎหมายจากระบบเดิมที่ล้าสมัยมาเป็นระบบใหม่นั้น ไทยได้รับเอา ระบบซีวิล ลอว์มาใช้ซึ่งเป็นระบบเดียวกับที่ฝรั่งเศสและเยอรมันใช้กัน โดยระบบนี้มีต้นก าเนิดมา จากอาณาจักรโรมัน เริ่มแรกเดิมทีนั้นคณะกรรมการร่างกฎหมายประสงค์ที่จะน าเอาระบบ กฎหมายคอมมอน ลอว์มาใช้บังคับ แต่เนื่องจากระบบกฎหมายนี้เป็นระบบกฎหมายที่ไม่สามารถ ลอกเลียนแบบได้ เพราะระบบกฎหมายนี้เป็นระบบกฎหมายที่พัฒนามาเป็นเวลาช้านานจากจารีต ประเพณีและระบบสังคมโดยเฉพาะ ตัวบทกฎหมายก็ไม่มีการรวบรวมเอาไว้เป็นหมวดหมู่ท าให้ ยากแก่การศึกษา ซึ่งแตกต่างกับระบบซีวิล ลอว์ ที่มีการรวบรวมกฎหมายไว้เป็นหมวดหมู่อย่างมี ระเบียบ ท าให้ง่ายแก่การศึกษาและน ามาใช้เป็นแบบอย่าง อีกทั้งประเทศส่วนใหญ่นอกจาก ฝรั่งเศสและเยอรมันแล้ว ต่างก็ใช้ระบบกฎหมายนี้ทั้งสิ้ง การที่ประเทศไทยใช้ระบบเดียวกับนานา ประเทศก็จะท าให้กฎหมายของไทยมีความเป็นสากลและเป็นที่ยอมรับ ซึ่งก็จะมีผลท าให้ไทยอาจ ได้รับเอกราชทางศาลคืนได้ง่ายขึ้น


11 ดังนั้นประเทศไทยจึงน าเอาระบบซิวิล ลอว์มาใช้ โดยน ากฎหมายของประเทศอื่นๆมาผสาน เข้ากันกับกฎหมายไทยดั้งเดิม และมีการปรับปรุงให้ทันสมัยเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ จนใน ที่สุดก็ได้รับเอกราชทางศาลคืนมา และกฎหมายไทยก็ยังมีการพัฒนาขึ้นมาอีกเรื่อยๆเพื่อสามารถ ใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมได้ จนถึงปัจจุบัน (สมพงษ์ พุทธเจริญ และ วิชาญ โพธิสิทธิ์, 2548) ล าดับชั้นของกฎหมายในประเทศไทย(ศักดิ์กฎหมาย) ล าดับชั้นของกฎหมายไทย กฎหมายของไทยมีล าดับชั้นความจากสูงสุดลงมาต่ าสุด ดังรายชื่อต่อไปนี้ 1. รัฐธรรมนูญ 2. พระราชบัญญัติ พระราชก าหนด 3. พระราชกฤษฎีกา 4. กฎกระทรวง 5. บัญญัติเทศบาล และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ กฎหมายใดขัดรัฐธรรมนูญจะถือว่า ใช้บังคับไม่ได้ พระราชบัญญัติ ออกได้โดยค ายินยอมของรัฐสภาเท่านั้น พระราชก าหนด ออกโดยฝ่ายบริหาร โดยใช้ในกรณีมีเหตุจ าเป็นเร่งด่วน แล้วค่อยมาขอ อนุมัติจากรัฐสภา กฎกระทรวง ออกโดยรัฐมนตรีประจ ากระทรวงนั้นๆ ล าดับชั้นของกฎหมายมีไว้เพื่อบ่งบอกถึงระดับสูงต่ าและความส าคัญของกฎหมายแต่ละ ประเภทรวมไปถึงภาพรวมของกฎหมายที่ใช้กัน กฎหมายที่มีล าดับชั้นต่ ากว่าจะมีผลยกเลิกหรือขัด ต่อกฎหมายที่มีล าดับชั้นสูงกว่าไม่ได้ ซึ่งเราจัดล าดับได้ดังนี้ 1. กฎหมายแม่บทที่มีศักดิ์สูงที่สุด ได้แก่ รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศ เป็นกฎหมายที่วางหลักเกณฑ์ การปกครองและก าหนดโครงสร้างในการจัดตั้งองค์กรบริหารของรัฐ ก าหนดสิทธิและหน้าที่ของ ประชาชนรวมไปถึงให้ความคุ้มครองสิทธิและหน้าที่ดังกล่าว กฎหมายอื่นๆที่ออกมาจะต้องออกให้ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายใดที่ขัดกับรัฐธรรมนูญก็จะไม่มีผลใช้บังคับได้ เราอาจ เปรียบเทียบอย่างง่ายๆโดยนึกไปถึงผู้ว่าจ้างคนหนึ่ง จ้างผู้รับจ้างให้ก่อสร้างบ้าน โดยให้หัวข้อมาว่า ต้องการบ้านที่มีโครงสร้างแข็งแรงมั่นคง รูปแบบบ้านเป็นทรงไทย ผู้รับจ้างก็ต้องท าการออกแบบ และก่อสร้างให้โครงสร้างบ้านแข็งแรงและออกเป็นแบบทรงไทย ถ้าบ้านออกมาไม่ตรงตามที่ผู้ ว่าจ้างต้องการ ก็อาจถือได้ว่าผู้รับจ้างผิดสัญญาได้ หัวข้อที่ผู้ว่าจ้างให้มาอาจเปรียบได้กับ รัฐธรรมนูญ ซึ่งเพียงแต่ก าหนดกฎเกณฑ์หรือรูปแบบเอาไว้เป็นแนวทางหรือเป้าหมาย ส่วนการ ออกแบบและการก่อสร้างอาจเปรียบได้กับกฎหมายอื่นๆที่ต้องออกมาให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ


12 ถ้าออกแบบมาหรือสร้างไม่ตรงกับความต้องการก็เปรียบเทียบได้กับการออกกฎหมายอื่นๆมาโดย ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ก็จะมีผลเป็นการผิดสัญญาหรืออาจเปรียบเทียบในทางกฎหมายได้ว่า กฎหมายนั้นๆใช้ไม่ได้ 2. กฎหมายที่รัฐธรรมนูญให้อ านาจแก่ฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหารเป็นผู้ออก ได้แก่ ประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ พระราชก าหนด กฎหมายเหล่านี้ถือว่ามีศักดิ์เป็นล าดับที่สอง รองจากรัฐธรรมนูญ 2.1 ประมวลกฎหมาย คือเป็นการรวมรวบเอาหลักกฎหมายในเรื่องใหญ่ๆซึ่งเป็น เรื่องทั่วไปมาจัดเป็นหมวดหมู่ให้เป็นระเบียบ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ ฯลฯ ประมวลกฎหมายต่างๆ ถือเป็นกฎหมายที่เป็นหลักทั่วๆไป ที่กล่าวถึงสิทธิและ หน้าที่ของบุคคลแต่ละคน บุคคลในสังคมต้องประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรและห้ามประพฤติปฏิบัติ ตนอย่างไรบ้าง และรวมไปถึงการให้ความคุ้มครองต่อสิทธิต่างๆของบุคคลแต่ละคนด้วย ซึ่งทั้งหมด นี้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ต่างๆที่รัฐธรรมนูญวางไว้ 2.2 พระราชบัญญัติเป็นกฎหมายเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คือเป็นกฎหมายที่ ออกมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด เช่น พระราชบัญญัติล้มละลาย ก็จะเป็นเรื่องเฉพาะ เกี่ยวกับการล้มละลาย หรือพระราชบัญญัติสัญชาติ ก็จะเกี่ยวข้องเฉพาะกับเรื่องสัญชาติของบุคคล ฯลฯ ซึ่งพระราชบัญญัตินี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารหรือก็คือรัฐบาลค่อนข้างมาก เพราะฝ่าย บริหารจะเป็นผู้ก าหนดนโยบายในการบริหารประเทศ และเสนอกฎหมายเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับนโยบายนั้นๆให้สภานิติบัญญัติท าการออกนั่นเองและกฎหมายที่ออกมานั้นแม้จะมีการเปลี่ยน ฝ่ายบริหารหรือฝ่ายรัฐบาลแล้ว ก็จะมีผลใช้บังคับอยู่ จนกว่ากฎหมายนั้นจะถูกยกเลิกหรือมีการ แก้ไขเปลี่ยนแปลง 2.3 พระราชก าหนด เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหารหรือก็คือรัฐบาล เป็น กฎหมายที่ออกใช้ไปพลางก่อนในกรณีที่มีจ าเป็นเร่งด่วน หลังจากมีการใช้ไปพลางก่อนแล้ว ใน ภายหลังพระราชก าหนดนั้นก็อาจกลายเป็นพระราชบัญญัติซึ่งจะมีผลบังคับเป็นการถาวรได้ ถ้า สภานิติบัญญัติให้การอนุมัติ แต่ถ้าสภาไม่อนุมัติพระราชก าหนดนั้นก็ตกไป แต่จะไม่ทระทบ กระเทือนถึงกิจการที่ได้กระท าไปในระหว่างใช้พระราชก าหนดนั้น ซึ่งพระราชก าหนดจะออกได้ เฉพาะกรณีต่อไปนี้เท่านั้น คือ กรณีที่มีความจ าเป็นเร่งด่วนเพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ หรือความปลอดภัยสาธารณะ หรือเพื่อรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือเพื่อจะ ป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ หรือมีความจ าเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา 3. กฎหมายที่ฝ่ายบริหารเป็นผู้ออก ได้แก่ พะราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง (ก). พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร ซึ่งจะออกได้เฉพาะในกรณี ต่อไปนี้คือ รัฐธรรมนูญก าหนดให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาในกิจการอันส าคัญที่เกี่ยวกับฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พระราชกฤษฎีกายุบสภา ผู้แทนราษฎร ฯลฯ โดยอาศัยอ านาจตามกฎหมายแม่บทซึ่งก็คือ พระราชบัญญัติ หรือ พระราช


13 ก าหนด คือจะต้องมีพระราชบัญญัติหรือพระราชก าหนดให้อ านาจในการออกไว้ เช่น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากร พ.ศ. 2528 ก าหนดว่าหากจะเปิดศาลภาษีอากรจังหวัดเมื่อใด ต้องประกาศโดยพระราชกฤษฎีกา ฯลฯ ด้วยการที่พระราชกฤษฎีกาเป็นกฎหมายที่มีศักดิ์ต่ ากว่า พระราชบัญญัติและพระราชก าหนด ดังนั้นจะออกมาขัดกับพระราชบัญญัติหรือพระราชก าหนดซึ่ง เป็นกฎหมายแม่บทนั้นไม่ได้กรณีที่จ าเป็นอื่นๆในเรื่องใดก็ได้ แต่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย (ข). กฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงเป็นผู้ออก โดยอาศัยอ านาจจาก กฎหมายแม่บทซึ่งก็คือพระราชบัญญัติหรือพระราชก าหนดฉบับใดฉบับหนึ่ง เพื่อด าเนินการให้ เป็นไปตามกฎหมายนั้นๆ พระราชบัญญัติหรือพระราชก าหนดจะก าหนดกฎเกณฑ์กว้างๆเอาไว้ ส่วนกฎกระทรวงก็จะมาก าหนดรายละเอียดอีกชั้นหนึ่ง เช่น ในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ ทางปกครอง พ.ศ. 2539 ได้ก าหนดว่า ในกรณีที่ใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยการยึดหรือ อายัดทรัพย์สินของบุคคลใดเพื่อขายทอดตลาด ผู้ที่มีอ านาจสั่งให้ยึด อายัดหรือขายทอดตลาด ทรัพย์สินนั้น ให้เป็นไปตามที่ก าหนดไว้ในกฎกระทรวง เราก็ต้องไปศึกษาในกฎกระทรวงอีกชั้นหนึ่ง ว่าผู้ที่มีอ านาจสั่งนั้นคือใครบ้าง ฯลฯ 4. กฎหมายที่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ออก ได้แก่ เทศบัญญัติ ข้อบัญญัติ จังหวัด ข้อบังคับสุขาภิบาล ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ข้อบัญญัติเมืองพัทยาเป็นกฎหมายที่ ออกมาใช้บังคับโดยเฉพาะในแต่ละองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เป็นไปตามหน้าที่ของ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือในกรณีที่กฎหมายให้อ านาจไว้ก็ท าการออกได้เช่นกัน เช่น ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เป็นกฎหมายที่กรุงเทพมหานครตราขึ้นเพื่อใช้บังคับในเขต กรุงเทพมหานครเท่านั้น หรือเทศบัญญัติ ก็เป็นกฎหมายที่เทศบาลบัญญัติขึ้นใช้บังคับเฉพาะใน เขตเทศบาลของตน (อัยการสูงสุด,2534) การบังคับใช้กฎหมาย กฎหมายเมื่อได้รับความเห็นชอบผ่านตามขั้นตอนแล้วจะต้องประกาศในหนังสือราชกิจจา นุเบกษา ก่อนถึงจะบังคับใช้กับประชาชนได้ สมัยสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา ชนชาติไทยเรามี กฎหมายใช้อยู่แล้ว ทั้งที่สร้างขึ้นเอง และได้รับอิทธิพลจากต่างชาติ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น กฎหมายที่ใช้ได้รับสืบทอดมาจากสมัยสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา ได้มีการรวบรวมและตรวจช าระให้ เหมาะสม เรียกว่า “กฎหมายตราสามดวง” สมัยรัชกาลที่ 5 มีการปฏิรูปการศาลและกฎหมาย ประกาศใช้ประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ซึ่งเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของ ไทย ปัจจุบันกฎหมายที่ใช้อยู่ในประเทศไทยมีหลายรูปแบบ ได้แก่ รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชก าหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และกฎหมายท้องถิ่น กฎหมายแต่ละรูปแบบมี วิธีการจัดท าแตกต่างกัน กฎหมายไทยย่อมีผลใช้บังคับกับบุคคลทุกคนที่อยู่ในราชอาณาจักรไทย การบังคับใช้กฎหมายหากเกิดปัญหา จะต้องมีการตีความ หรืออุดช่องว่างแล้วแต่กรณี กฎหมาย เมื่อประกาศใช้แล้วจะมีผลบังคับใช้ได้ตลอดไป ถ้าไม่ต้องการใช้จะต้องมีการยกเลิกซึ่งกระท าได้ หลายวิธี


14 การที่จะท าให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จ าเป็นต้องมีหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ 1. การประกาศใช้กฎหมายเพื่อให้ประชาชนทราบ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบว่ามี กฎหมายใดออกมาใช้บังคับแล้ว ก็จะมีการจัดพิมพ์ “ราชกิจจานุเบกษา” ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นเผยแพร่ ทุกๆสัปดาห์เพื่อประกาศให้ประชาชนและหน่วยงานราชการทราบถึงกฎหมาย ค าสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับรวมไปถึงข้อเท็จจริงที่ส าคัญอย่างใดๆหรือข้อเท็จจริงซึ่งมีกฎหมายก าหนดไว้ว่าจะมีผล สมบูรณ์ก็ต่อเมื่อมีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อมีการประกาศแล้วให้ถือว่าประชาชน ทุกคนทราบโดยถ้วนหน้ากัน ประชาชนจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ ดังที่มีหลักทั่วไปในการใช้ บังคับกฎหมายว่า “ความไม่รู้กฎหมาย ไม่เป็นข้อแก้ตัว” 2. วันเริ่มใช้กฎหมาย ก็คือวันที่ก าหนดให้กฎหมายที่ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา แล้วมีผลบังคับใช้นั่นเอง โดยปกติเมื่อมีการประกาศใช้กฎหมายก็จะมีการก าหนดวันใช้บังคับไว้ใน กฎหมาย ซึ่งก็มีดังนี้ 2.1 ก าหนดให้ใช้ตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือมีการประกาศลงใน ราชกิจจานุเบกษาเมื่อใดก็มีผลใช้บังคับในวันนั้นทันที ใช้ในกรณีที่จ าเป็นเร่งด่วนหากใช้บังคับล่าช้า ไปอาจท าให้มีผลเสียหายเกิดขึ้นได้ 2.2 ให้ใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือมีผลใช้บังคับถัดใน วันถัดไปหลังจากวันที่ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสทราบ ล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน ซึ่ง เป็นวิธีที่ใช้ปฏิบัติอยู่เป็นประจ า 2.3 ก าหนดให้ใช้ในอนาคต คือก าหนดให้มีผลใช้บังคับภายหลังที่มีการประกาศลง ในราชกิจจานุเบกษาหลายๆวัน เพื่อให้ทางราชการ เจ้าพนักงานและประชาชนเตรียมพร้อมหรือที่ จะปฏิบัติตามกฎหมายนั้น 2.4 ในกรณีที่ไม่ได้ก าหนดวันใช้บังคับไว้ คือมีการประกาศให้ประชาชนทราบแต่ ไม่ได้ก าหนดว่ากฎหมายที่ประกาศนั้นจะให้มีผลใช้บังคับเมื่อใด วันที่มีผลใช้บังคับอาจก าหนดขึ้น ตามมาภายหลัง กฎหมายจะไม่มีผลย้อนหลังในทางเป็นโทษ คือ เมื่อมีกฎหมายใหม่ออกมาหรือมีการแก้ไข กฎหมายในทางที่เป็นโทษแก่บุคคลใด ก็จะมีผลตั้งแต่วันที่ก าหนดให้มีผลใช้บังคับเป็นต้นไปเท่านั้น จะไม่มีผลย้อนไปก่อนวันที่ก าหนดให้กฎหมายนั้นมีผลใช้บังคับ เช่น ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2539 การขับรถโดยไม่คาดเข็มขัดนิรภัยไม่เป็นความผิด ต่อมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2539 มีกฎหมาย ประกาศใช้บังคับว่าผู้ขับขี่รถยนต์จะต้องคาดเข็มขัดนิรภัย หากไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิด เช่นนี้ กฎหมายจะไม่มีผลย้อนไปเอาผิดแก่บุคคลที่กระท าการฝ่าฝืนก่อนวันที่ 1 มกราคม 2539 จะมีผล เอาผิดกับบุคคลที่ฝ่าฝืนนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2539 เท่านั้น แต่กฎหมายจะมีผลย้อนหลังในทางที่เป็นคุณ คือ เมื่อมีกฎหมายใหม่ออกมาหรือมีการ แก้ไขกฎหมายในทางที่เป็นประโยชน์แก่บุคคล ก็จะมีผลใช้บังคับย้อนหลังไปก่อนวันที่ก าหนดให้ กฎหมายนั้นมีผลใช้บังคับด้วย เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้


15 ในขณะกระท าความผิดแตกต่างกับ กฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระท าความผิด ให้ใช้กฎหมายใน ส่วน ที่เป็นคุณแก่ผู้กระท าความผิด ไม่ว่าในทางใด...” ฯลฯ 3. สถานที่ใช้กฎหมาย กฎหมายย่อมใช้บังคับได้ทั่วราชอาณาจักรเว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็น การเฉพาะว่ากฎหมายใดให้ใช้เฉพาะในท้องที่ใด หรือให้ใช้บังคับแก่การกระท าหรือเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร เช่น ตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามใน เขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา สตูล พ.ศ. 2498 ก าหนดว่าในการพิจารณาวินิจฉัยคดีแพ่ง เกี่ยวกับเรื่องครอบครัวและมรดกของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามของศาลชั้นต้นในเขต 4 จังหวัด ให้ กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกแทนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือการ กระท าความผิดบางประเภทที่ได้กระท าขึ้นนอกราชอาณาจักร ก็อาจถูกลงโทษในราชอาณาจักรได้ เช่น ความผิดฐานปลอมแปลงเงินตรา ฯลฯ 4. บุคคลที่กฎหมายใช้บังคับ โดยทั่วไปแล้วกฎหมายย่อมใช้บังคับแก่บุคคลในสังคม แต่ก็มี ข้อยกเว้นแก่บุคคลบางประเภทซึ่งกฎหมายไม่อาจใช้บังคับด้วยได้ แต่บุคคลเหล่านั้นต้องมี กฎหมายบัญญัติยกเว้นไว้โดยชัดแจ้ง เช่น 4.1 ตามกฎหมายไทย รัฐธรรมนูญก าหนดว่ากฎหมายจะไม่ใช้บังคับแก่ พระมหากษัตริย์ เพราะถือว่าทรงด ารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดไม่ได้ ผู้ใดจะฟ้องพระมหากษัตริย์เป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญาไม่ได้ทั้งสิ้น ฯลฯ 4.2 ตามกฎหมายอื่น เช่น ตามกฎหมายระหว่างประเทศก าหนดว่าจะไม่ใช้ กฎหมายภายในประเทศของตนบังคับแก่ ฑูต บุคคลในคณะฑูตหรือประมุขของรัฐต่างประเทศ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่บุคคลดังกล่าว ฯลฯ 5. การใช้กฎหมายกับข้อเท็จจริง ก็คือการน าบทบัญญัติของกฎหมายไปปรับเข้ากับ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและสรุปออกมาว่าจะมีผลทางกฎหมายอย่างไรบ้างนั่นเอง ซึ่งจะกล่าวโดย ละเอียดในภายหลัง (สุทิน เชื้อมา, 2548)


16 ลักษณะของกฎหมาย คือ กฎหมาย เป็นกฎเกณฑ์ ข้อบังคับที่ใช้ควบคุมความประพฤติ ของมนุษย์ในสังคม กฎหมาย มีลักษณะเป็นค าสั่ง ข้อห้าม ที่มาจากผู้มีอ านาจสูงสุดในสังคมใช้ บังคับได้ทั่วไป ใครฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษหรือสภาพบังคับอย่างใดอย่างหนึ่ง (สมพงษ์ พุทธเจริญ และ วิชาญ โพธิสิทธิ์, 2548) ลักษณะส าคัญของกฎหมาย 1. ต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์ คือ ผู้มีอ านาจสูงสุดในประเทศ ถ้าเป็นระบอบประชาธิปไตย อ านาจ สูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของปวงชนชาวไทย โดยการเลือก ส.ส. เข้าไปท าหน้าที่แทน ในรัฐสภา ซึ่งมีหน้าที่ในการออกและพิจารณากฎหมายของไทย ถ้ากรณีมีการปฏิวัติรัฐประหาร ผู้มีอ านาจสูงสุดก็คือ หัวหน้าคณะปฏิวัติ 2. ต้องเป็นค าสั่ง ข้อห้าม ข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยก็ตาม ไม่ใช่ค าขอร้อง หรือค าแถลงการณ์ 3. ใช้ได้ทั่วไป กับทุกคนและทุกพื้นที่ในประเทศไทย 4. ใช้ได้เสมอไป จนกว่าจะมีการประกาศยกเลิก ถึงแม้จะล้าสมัยแล้วก็ตาม 5. ต้องมีสภาพบังคับ (โทษ) เช่นในกฎหมายอาญา มีโทษอยู่5 ประการเรียงจากหนักไปเบา ได้แก่ ประหารชีวิต จ าคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน ในกฎหมายแพ่ง สภาพบังคับขึ้นอยู่กับการ กระท าความผิด เช่น บังคับให้ช าระหนี้ชดใช้ค่าเสียหาย ในกฎหมายอื่นๆ เช่น ข้าราชการที่ท าผิด วินัย อาจถูกตักเตือน หรือสั่งพักราชการ ให้ออก ปลดออก หรือ ไล่ออก เป็นต้น (สมพงษ์ พุทธเจริญ และ วิชาญ โพธิสิทธิ์, 2548) กฎหมายลักษณะบุคคล บุคคล คือสิ่งที่สามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย เฉพาะมนุษย์เท่านั้นที่สามารถมี สิทธิและหน้าที่ สัตว์ไม่มีสิทธิและหน้าที่ จึงไม่ใช่บุคคลยังมีสิ่งอื่นซึ่งมีสภาพบุคคลด้วย ได้แก่ หมู่คน กองทรัพย์สิน หรือกิจการอันใดอันหนึ่ง เช่น สมาคม มูลนิธิ หรือกระทรวง ทบวงกรม ซึ่งสามารถมี สิทธิและหน้าที่ เช่น สามารถท าการซื้อขายได้ เราเรียกบุคคลประเภทนี้ว่า นิติบุคคล ดังนั้นบุคคลจึงแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. บุคคลธรรมดา 2. นิติบุคคล บุคคลธรรมดา บุคคลธรรมดา ได้แก่มนุษย์ทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง หรือผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็น คนโง่หรือคนฉลาด คนดีหรือคนบ้า ก็เป็นบุคคลธรรมดาการเริ่มสภาพบุคคล เรื่องที่ 3 กฎหมายว่าด้วยลักษณะของบุคคล บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล


17 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 15 วรรค 1 บัญญัติว่า "สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่ เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก..." จากมาตรานี้จะเห็นได้ว่าการเริ่มสภาพบุคคลต้องประกอบไป ด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการคือ 1. การคลอด 2. การอยู่รอดเป็นทารก ดังนั้นเด็กที่ยังไม่ได้คลอดจึงไม่มีสภาพบุคคล การคลอดนั้นต้องเป็นการคลอดที่ส าเร็จ เรียบร้อยบริบูรณ์แล้ว เมื่อคลอดแล้วจะต้องอยู่รอดเป็นทารก โดยร่างกายต้องแยกต่างหากออก จากมารดา และมีการหายใจของทารก แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามก็ถือว่ามีสภาพบุคคล ดังนั้นทารก ที่ตายก่อนคลอดหรือแม้ขณะคลอด เมื่อไม่มีสภาพบุคคลแล้วก็ไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย กฎหมายได้ยอมรับสิทธิของทารกซึ่งอยู่ในครรภ์มารดา ยังมิได้คลอด โดยมาตรา 15 วรรค 2 ได้ บัญญัติไว้ว่า "ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่าง ๆ ได้ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็น ทารก" เช่น บิดาของทารกได้ตายลงในระหว่างที่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา ทารกย่อมมีสิทธิได้รับ มรดกของบิดา ถ้าหากว่าภายหลังได้เกิดมาและมีชีวิตรอดอยู่เป็นทารก สิทธิในการรับมรดกนี้ ย่อม ย้อนหลังไปถึงเวลาที่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดา แต่มีเงื่อนไขว่าทารกที่เกิดมานั้นจะต้องมีชีวิตรอด อยู่ ทารกในครรภ์มารดาที่สามารถมีสิทธิต่างๆ ได้ คือทารกที่เกิดภายใน 310 วัน นับแต่วันที่เจ้า มรดกคือบิดาตาย หรือภายใน 310 วันนับแต่วันที่ขาดจากการสมรส (มาตรา 1604 และ 1536) มาตรา 15 วรรค 2 นี้ บัญญัติขึ้นเพื่อมิให้ทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาเสียเปรียบผู้ที่เกิด มาแล้ว ในกรณีที่ทารกจะได้สิทธิต่าง ๆ เช่นสิทธิในการได้รับมรดก (พรชัย สุนทรพันธ์ และ คณะ, 2532) การสิ้นสภาพบุคคล มาตรา 15 วรรค 1 บัญญัติว่า "สภาพบุคคล...สิ้นสุดลงเมื่อตาย" เมื่อบุคคลถึงแก่ความตาย สิทธิและหน้าที่ของผู้ตายย่อมตกทอดไปยังทายาทของผู้ตาย การสิ้นสภาพของบุคคลธรรมดาแบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ 1. การตาย เป็นการสิ้นสภาพบุคคลโดยธรรมชาติ บุคคลจะถึงแก่ความตายตามธรรมชาติ เมื่อหยุดหายใจ และหัวใจหยุดเต้น ได้มีการประชุมทางการแพทย์และกฎหมาย ณ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2531 ที่ประชุมประกอบไปด้วยแพทย์ นักกฎหมาย และ บุคคลทั่วไป ได้เห็นพ้องต้องกันว่า การตายเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทางการแพทย์ มิใช่ปัญหาข้อ กฎหมาย ความหมายของการตายในกฎหมายไทย สามารถตีความได้เหมาะแก่ยุคสมัยได้อยู่แล้ว ไม่จ าเป็นต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมอีก 2. การสาบสูญ เป็นการสิ้นสภาพบุคคลโดยผลของกฎหมาย ผู้ใดถูกศาลสั่งให้เป็นคน สาบสูญ ก็เท่ากับว่าถึงแก่ความตาย


18 หลักเกณฑ์ของการเป็นคนสาบสูญ การที่บุคคลได้จากภูมิล าเนาหรือถิ่นที่อยู่ ไม่มีใครทราบข่าวคราว ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่หรือไม่ เป็นระยะเวลานานหลาย ๆ ปีนั้น ย่อมก่อให้เกิดความยุ่งยากแก่บุคคลบางจ าพวก เช่น บิดา มารดา สามี ภรรยา หรือบุตรของผู้ที่ไม่อยู่ เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของผู้ที่ไม่อยู่ กฎหมายจึง ได้บัญญัติเรื่องการสาบสูญขึ้น หลักเกณฑ์ของการเป็นคนสาบสูญมีดังนี้(มาตรา 61) 1. กรณีธรรมดา ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิล าเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้น ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา 5 ปี 2. กรณีพิเศษ ระยะเวลาตาม 1. ให้ลดเหลือ 2 ปี 1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว 2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกท าลาย หรือสูญหายไป เช่น เรืออับปาง หรือเครื่องบินตก เป็นต้น 3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน 2.1 หรือ 2.2 ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น เช่น ไปส ารวจในป่าทึบแล้วไม่กลับมา หรือถูกโจรก่อการ ร้ายจับตัวไป เป็นต้น 3. ผู้มีสิทธิร้องขอต่อศาลให้ศาลมีค าสั่งแสดงการสาบสูญ ได้แก่ 1) ผู้มีส่วนได้เสีย หรือ 2) พนักงานอัยการ 4. ต้องมีค าสั่งของศาลแสดงการสาบสูญ เมื่อเข้าหลักเกณฑ์ตาม 1. หรือ 2. แล้วผู้มีส่วนได้ เสีย หรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้ ผู้มีส่วนได้เสียในที่นี้ คือ ผู้มีส่วนได้หรือส่วนเสียในความเป็นความตายของผู้นั้น เช่น บิดา มารดา สามี ภรรยา หรือบุตรเป็น ต้น เมื่อศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญแล้วให้โฆษณาค าสั่งแสดงสาบสูญของศาลในราชกิจจานุเบกษา การสั่งให้เป็นคนสาบสูญนั้นเป็นดุลยพินิจของศาล ผลทางกฎหมายของการเป็นคนสาบสูญ มาตรา 62 บัญญัติว่า "บุคคลซึ่งศาลได้มีค าสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ให้ถือว่าถึงแก่ความตาย เมื่อครบก าหนดระยะเวลาดังที่ระบุไว้ในมาตรา 61" บุคคลที่เป็นคนสาบสูญนั้น กฎหมายให้ถือว่า ถึงแก่ความตาย เป็นการสิ้นสภาพบุคคล ทรัพย์มรดกต่าง ๆ ย่อมตกทอดไปยังทายาท การเป็นคนสาบสูญนั้น มิใช่ถือว่าถึงแก่ความตายตั้งแต่วันที่ศาลมีค าสั่งให้เป็นคนสาบสูญ แต่เป็นการถึงแก่ความตายเมื่อครบก าหนดระยะเวลา 5 ปีนับแต่บุคคลผู้นั้นได้ไปจากภูมิล าเนาหรือ ถิ่นที่อยู่และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และ 2 ปีนับแต่วันที่การรบหรือสงคราม สิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว หรือนับ แต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางอับปาง ถูกท าลาย หรือสูญหายไป หรือนับแต่วันที่เหตุ อันตรายแก่ชีวิตอย่างอื่นได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น


19 กรณีไม่ทราบวันเกิดแน่นอนของบุคคล เมื่อเด็กเกิดมา คนที่เป็นเจ้าบ้านหรือบิดามารดาของเด็กต้องไปแจ้งการเกิดต่อนายทะเบียน ผู้รับแจ้ง ตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร์ พ.ศ. 2534 แต่มีบางกรณีที่เจ้าบ้านหรือบิดา มารดาของเด็กไม่ได้แจ้งการเกิดของเด็กไว้ หรือไม่ได้จดวัน เดือน ปีเกิดของเด็กไว้ หรืออาจเป็น กรณีที่ข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎรสูญหายไป ซึ่งท าให้ไม่ทราบ วัน เดือน ปีเกิดของเด็กการรู้วัน เกิดเป็นสิ่งจ าเป็นในทางกฎหมาย เช่นท าให้รู้ว่าบุคคลเป็นผู้บรรลุนิติภาวะหรือยัง ผู้เยาว์ท า พินัยกรรมสมบูรณ์หรือไม่ ส าหรับเรื่องนี้มาตรา 16 บัญญัติไว้ว่า "การนับอายุของบุคคล ให้เริ่มนับ แต่วันเกิด ในกรณีที่รู้ว่าเกิดในเดือนใดแต่ไม่รู้วันเกิด ให้นับวันที่หนึ่งแห่งเดือนนั้นเป็นวันเกิด แต่ถ้า พ้นวิสัยที่จะหยั่งรู้เดือนและวันเกิดของบุคคลใด ให้นับอายุบุคคลนั้นตั้งแต่วันต้นปีปฏิทินซึ่งเป็นปีที่ บุคคลนั้นเกิด" จากมาตรา 16 นี้แยกพิจารณาได้ดังนี้ 1.การนับอายุของบุคคล ให้เริ่มนับแต่วันเกิด 2.ในกรณีที่รู้ว่าเกิดในเดือนใดแต่ไม่รู้วันเกิด ให้นับวันที่หนึ่งแห่งเดือนนั้นเป็นวันเกิด เช่น นายแดงเกิดเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2500 แต่ไม่รู้ว่าเกิดวันไหน ให้ถือว่านายแดงเกิดวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2500 แต่ถ้าพ้นวิสัยที่จะหยั่งรู้เดือนและวันเกิดของบุคคลใด ให้นับอายุบุคคลนั้นตั้งแต่วันต้น ปีปฏิทินซึ่งเป็นปีที่บุคคลนั้นเกิด ตามพระราชบัญญัติปีปฏิทินหลวง พ.ศ. 2483 ให้ถือเอาวันที่ 1 มกราคม เป็นวันต้นปี บุคคลใดที่เกิดก่อน พ.ศ. 2484 ให้ถือเอาวันที่ 1 เมษายน เป็นวันเกิด แต่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2484 เป็นต้นไป ให้ถือเอาวันที่ 1 มกราคม เป็นวันเกิด เช่น นายเขียวเกิด พ.ศ. 2484 แต่ไม่รู้ว่าเกิดวันไหน ให้ถือเอาวันที่ 1 มกราคม 2484 เป็นวันเกิดของนายเขียว กรณีไม่ทราบล าดับแน่นอนแห่งการตายของบุคคล การที่บุคคลถึงแก่ความตายพร้อม ๆ กัน อาจพบเห็นได้เสมอ ๆ เช่น เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ ชนกัน เครื่องบินตก เรืออับปาง หรือเกิดไฟไหม้ ท าให้คนทั้งครอบครัวถึงแก่ความตายในคราว เดียวกัน จึงท าให้เกิดปัญหาว่าใครตายก่อนหลังใคร ซึ่งมีผลทางกฎหมายเกี่ยวกับการรับมรดก เพราะถ้าผู้มีสิทธิรับมรดกตายก่อนหรือพร้อมกับเจ้ามรดกก็จะไม่ได้รับมรดก แต่ถ้าตายหลังเจ้า มรดกก็จะมีสิทธิได้รับมรดก ซึ่งในเรื่องนี้มาตรา 17 บัญญัติไว้ว่า "ในกรณีบุคคลหลายคนตายใน เหตุภยันตรายร่วมกัน ถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะก าหนดได้ว่าคนไหนตายก่อนหลัง ให้ถือว่าตายพร้อม กัน" บางครั้งเราสามารถทราบได้ว่าคนไหนตายก่อน เช่น ในอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันครั้งหนึ่งเราเห็น คนหนึ่งตายไปแล้ว แต่อีกคนหนึ่งยังหายใจอยู่ ถ้ากรณีไม่ทราบว่าใครตายก่อน กฎหมายให้ถือว่า ตายพร้อมกัน สิ่งที่ได้แก่สภาพบุคคล ส่วนประกอบของสภาพบุคคลมีดังนี้คือ 1. ชื่อ 2. ภูมิล าเนา 3. สถานะ 4. ความสามารถ


20 ชื่อ ชื่อ เป็นค าที่ใช้เรียกบุคคลเพื่อให้รู้ว่าแต่ละคนเป็นใคร มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย อย่างไร มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างไร ส่วนประกอบของชื่อบุคคล ตามพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 ส่วนประกอบของชื่อบุคคลมีดังนี้คือ 1. ชื่อตัว หมายความว่า ชื่อประจ าบุคคล 2. ชื่อรอง หมายความว่า ชื่อประกอบถัดจากชื่อตัว 3. ชื่อสกุล หมายความว่า ชื่อประจ าวงศ์สกุล ไม่เป็นชื่อของบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ชื่อสกุลได้มาโดยผลที่ได้เกิดมามีสภาพบุคคล บุตรที่เกิดมาย่อมมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา ในกรณีที่ บิดาไม่ปรากฏ บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดา (ป.พ.พ.มาตรา 1561) พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 มาตรา 12 ที่บัญญัติว่า "หญิงมีสามีให้ใช้ชื่อสกุลของสามี" นั้นขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เป็นอันใช้บังคับมิได้ (ค าวินิจฉัยของศาล รัฐธรรมนูญที่ 21/2546) ดังนั้นหญิงมีสามีจึงมีสิทธิใช้ชื่อสกุลเดิมของตนได้ สาระส าคัญของชื่อบุคคล ตามพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 ชื่อบุคคลมีสาระส าคัญดังต่อไปนี้ 1. ผู้มีสัญชาติไทยต้องมีชื่อตัวและชื่อสกุล และจะมีชื่อรองก็ได้ 2. ชื่อตัวหรือชื่อรองต้องไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับพระปรมาภิไธย พระนามของ พระราชินี หรือราชทินนาม และต้องไม่มีค าหรือความหมายหยาบคาย 3. ผู้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ หรือผู้เคยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ แต่ได้ออกจาก บรรดาศักดิ์นั้นโดยมิได้ถูกถอด จะใช้ราชทินนามตามบรรดาศักดิ์นั้นเป็นชื่อตัวหรือชื่อรองก็ได้ 4. ชื่อสกุลต้อง 1) ไม่พ้อง หรือมุ่งหมายให้คล้ายกับพระปรมาภิไธย หรือพระนามของพระราชินี 2) ไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับราชทินนาม เว้นแต่ราชทินนามของตนของผู้ บุพการี หรือของผู้สืบสันดาน 3) ไม่ซ้ ากับชื่อสกุลที่ได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ หรือชื่อสกุลที่ได้จด ทะเบียนไว้แล้ว 4) ไม่มีค าหรือความหมายหยาบคาย 5) มีพยัญชนะไม่เกินกว่าสิบพยัญชนะ เว้นแต่กรณีใช้ราชทินนามเป็นชื่อสกุล ลักษณะพิเศษของชื่อบุคคล ลักษณะพิเศษของชื่อบุคคลมีดังนี้ 1. ชื่อบุคคลไม่อาจได้มาหรือสูญเสียไปโดยอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 1382 บุคคลอาจได้ทรัพย์สินมาด้วยการครอบครองปรปักษ์ เช่นนายด า


21 ครอบครองปรปักษ์ที่ดินแปลงหนึ่งของนายแดงโดยสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของ เมื่อครบ 10 ปี นายแดงย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้น แต่ส าหรับชื่อบุคคลแล้ว ไม่อาจได้มาหรือสูญเสีย ไปโดยอายุความ เช่น มีคนคนหนึ่งเอาชื่อสกุลของเราไปใช้ แม้เขาจะใช้ชื่อของเรานานเท่าใด เขาก็ ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในชื่อนั้น เราย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องไม่ให้เขาใช้ชื่อของเราต่อไปได้ 2. ชื่อบุคคลเป็นสิ่งที่จ าหน่ายให้แก่กันมิได้ ชื่อในทางการค้าอาจจ าหน่ายให้แก่กันได้ เช่น บริษัทหนึ่งเอาชื่อสินค้าของอีกบริษัทหนึ่งมาตั้งเป็นชื่อสินค้าของบริษัทตนเอง โดยจ่ายค่าตอบแทน ให้ก็ย่อมท าได้ ถ้าทั้งสองบริษัทยินยอมตกลงกัน ส าหรับชื่อของบุคคลนั้นไม่อาจซื้อขายกันได้ 3. ชื่อบุคคลต้องอยู่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะถ้าให้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อกันง่ายๆ แล้วจะ ท าให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นได้ เช่น คนคนหนึ่งอาจจะเปลี่ยนชื่อหลายสิบครั้ง เพื่อ หลีกเลี่ยงหน้าที่ที่ตนจะต้องปฏิบัติ หรือท าการทุจริตในทางต่าง ๆ ได้(สุเมธ ศิริคุณโชติ, 2558) ภูมิล าเนา ภูมิล าเนา คือ ถิ่นอันบุคคลมีสถานที่อยู่เป็นแหล่งส าคัญ ภูมิล าเนาเป็นที่อยู่ตามกฎหมาย ของบุคคล เป็นสิ่งที่กฎหมายสมมติว่าเขาอยู่ที่นั่นเสมอไป บุคคลอาจมีที่อยู่หลายแห่ง หรือ ท่องเที่ยวไปมาไม่มีที่อยู่แน่นอน แต่เขาต้องมีภูมิล าเนาที่กฎหมายได้ก าหนดให้แห่งใดแห่งหนึ่ง การก าหนดภูมิล าเนา มาตรา 37 บัญญัติว่า "ภูมิล าเนาของบุคคลธรรมดา ได้แก่ถิ่นอันบุคคลนั้นมีสถานที่อยู่เป็น แหล่งส าคัญ" จากมาตรานี้จะเห็นได้ว่าภูมิล าเนาของบุคคลมีลักษณะ 2 ประการคือ 1. เป็นถิ่นอันเป็นสถานที่อยู่ของบุคคล สถานที่ที่บุคคลได้อยู่อาศัยกินอยู่หลับนอน ได้แก่ บ้านเรือน ตึกแถว อาคารชุด โรงแรม เรือ วัด เป็นต้น ค าว่า "ถิ่น" มิได้มีความหมายไปถึงต าบล อ าเภอ หรือจังหวัด หากหมายความจ ากัดถึงตัวถิ่นที่ตั้งแห่งสถานที่พักอาศัย 2. สถานที่อยู่นั้นต้องเป็นแหล่งส าคัญ บุคคลบางคนอาจจะมีที่อยู่หลายแห่ง เช่น นายเขียว ท างานที่กรุงเทพฯ เขามีบ้านพักอยู่ที่กรุงเทพฯหลังหนึ่ง และมีบ้านพักอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่อีกหลัง หนึ่ง นายเขียวจะไปพักผ่อนที่บ้านพักที่จังหวัดเชียงใหม่ปีละประมาณหนึ่งเดือน เช่นนี้ย่อมถือได้ว่า บ้านพักของนายเขียวที่กรุงเทพฯ เป็นสถานที่อยู่ที่เป็นแหล่งส าคัญ ไม่ใช่เป็นที่พักชั่วคราวเหมือนที่ พักที่จังหวัดเชียงใหม่ ดังนั้นบ้านพักที่กรุงเทพฯจึงเป็นภูมิล าเนาของนายเขียว แต่ถ้าบุคคลมี สถานที่อยู่แห่งเดียวแล้วก็คงไม่มีปัญหาในเรื่องการก าหนดภูมิล าเนา ปัญหาในการก าหนดภูมิล าเนา ปัญหาในการก าหนดภูมิล าเนามีดังนี้คือ 1. กรณีที่บุคคลมีที่อยู่หลายแห่งและแต่ละแห่งมีความส าคัญเท่าๆ กัน มาตรา 38 บัญญัติ ว่า "ถ้าบุคคลธรรมดามีถิ่นที่อยู่หลายแห่งซึ่งอยู่สับเปลี่ยนกันไป หรือมีหลักแหล่งที่ท าการงานเป็น ปกติหลายแห่ง ให้ถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิล าเนาของบุคคลนั้น" เช่น นายม่วงมีที่ท าการ ค้าขายทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดพิษณุโลก นายม่วงเดินทางไปมาระหว่างกรุงเทพฯและพิษณุโลก


22 เป็นประจ า ที่ท าการค้าขายทั้งสองแห่งนี้มีความส าคัญเท่า ๆ กัน กฎหมายให้ถือเอาแห่งใดแห่ง หนึ่งเป็นภูมิล าเนาของนายม่วง คือจะเลือกเอาที่ท าการค้าขายที่กรุงเทพฯหรือพิษณุโลกแห่งใดแห่ง หนึ่งเป็นภูมิล าเนาก็ได้ 2. กรณีที่ภูมิล าเนาของบุคคลไม่ปรากฏ มาตรา 39 บัญญัติว่า "ถ้าภูมิล าเนาไม่ปรากฏ ให้ ถือว่าถิ่นที่อยู่เป็นภูมิล าเนา" เช่น นายส้มไม่มีภูมิล าเนาหรือถิ่นที่อยู่อันเป็นแหล่งส าคัญแห่งใด ขณะนี้นายส้มมารับจ้างเป็นคนงานเหมืองแร่ที่จังหวัดระนอง ย่อมถือว่าภูมิล าเนาของนายส้มอยู่ที่ที่ พักของเขาที่จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของเขาในขณะนี้ 3. กรณีบุคคลไม่มีที่อยู่ปกติเป็นหลักแหล่ง มาตรา 40 บัญญัติว่า "บุคคลธรรมดาซึ่งเป็นผู้ ไม่มีที่อยู่ปกติเป็นหลักแหล่ง หรือเป็นผู้ครองชีพในการเดินทางไปมาปราศจากหลักแหล่งที่ท าการ งาน พบตัวในถิ่นไหน ให้ถือว่าถิ่นนั้นเป็นภูมิล าเนาของบุคคลนั้น" เช่น คนจรจัดที่เร่ร่อนไปตามที่ ต่าง ๆ ไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน หรือผู้มีอาชีพค้าขายโดยอาศัยเรือเป็นพาหนะ เดินทาง จากจังหวัดหนึ่งไปยังอีกจังหวัดหนึ่ง เพื่อซื้อขายสินค้า เมื่อซื้อขายเสร็จแล้วก็เดินทางต่อไปอีกจึง เป็นการยากที่จะหาถิ่นที่อยู่ที่แน่นอนของบุคคลเหล่านี้ มาตรา 40 จึงบัญญัติว่าพบตัวในถิ่นไหน ให้ถือว่าถิ่นนั้นเป็นภูมิล าเนาของบุคคลนั้น ภูมิล าเนาของบุคคลบางประเภทที่กฎหมายก าหนดให้ตามหลักทั่วไปแล้วบุคคลย่อมมีอิสระ ในการเลือกภูมิล าเนาของตนเอง แต่กฎหมายก็ได้ก าหนดภูมิล าเนาของบุคคลบางประเภทไว้ดังนี้ 1. ภูมิล าเนาของสามีและภริยา ภูมิล าเนาของสามีและภริยา ได้แก่ถิ่นที่อยู่ที่สามีและภริยา อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา เว้นแต่สามีหรือภริยาได้แสดงเจตนาให้ปรากฎว่ามีภูมิล าเนาแยก ต่างหากจากกัน (มาตรา 43) 2. ภูมิล าเนาของผู้เยาว์ ภูมิล าเนาของผู้เยาว์ ได้แก่ภูมิล าเนาของผู้แทนโดยชอบธรรมซึ่ง เป็นผู้ใช้อ านาจปกครองหรือผู้ปกครอง ในกรณีที่ผู้เยาว์อยู่ใต้อ านาจปกครองของบิดามารดา ถ้าบิดาและมารดามีภูมิล าเนาแยก ต่างหากจากกัน ภูมิล าเนาของผู้เยาว์ได้แก่ภูมิล าเนาของบิดาหรือมารดาซึ่งตนอยู่ด้วย (มาตรา 44) 3. ภูมิล าเนาของคนไร้ความสามารถ ภูมิล าเนาของคนไร้ความสามารถ ได้แก่ภูมิล าเนาของ ผู้อนุบาล (มาตรา 45) 4. ภูมิล าเนาของข้าราชการ มาตรา 46 บัญญัติว่า "ภูมิล าเนาของข้าราชการ ได้แก่ถิ่นอัน เป็นที่ท าการตามต าแหน่งหน้าที่ หากมิใช่เป็นต าแหน่งหน้าที่ชั่วคราว ชั่วระยะเวลา หรือเป็นเพียง แต่งตั้งไปเฉพาะการครั้งเดียวคราวเดียว" จากมาตรานี้จะเห็นได้ว่าการก าหนดภูมิล าเนาของ ข้าราชการ มีหลักส าคัญคือ 1) ต้องเป็นถิ่นอันเป็นที่ท าการตามต าแหน่งหน้าที่ และ 2) ต าแหน่งหน้าที่นั้นต้องเป็นการประจ ามิใช่ต าแหน่งชั่วคราว ตัวอย่าง ข้าราชครูคนหนึ่ง ได้รับค าสั่งให้ไปท าการสอนในโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัด เชียงใหม่เป็นการประจ า ภูมิล าเนาของข้าราชการครูคนนั้นจึงอยู่ที่โรงเรียนที่เขาสอนในจังหวัด


23 เชียงใหม่ แต่ถ้าเป็นข้าราชการครูที่ถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวเพียง 2-3 เดือนที่โรงเรียนใน จังหวัดเชียงใหม่ ย่อมไม่ถือว่าโรงเรียนในจังหวัดเชียงใหม่นั้นเป็นภูมิล าเนาของข้าราชการครูผู้นั้น 5. ภูมิล าเนาของผู้ที่ถูกจ าคุก ภูมิล าเนาของผู้ที่ถูกจ าคุกตามค าพิพากษาถึงที่สุดของศาล หรือตามค าสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่เรือนจ าหรือทัณฑสถานที่ถูกจ าคุกอยู่ จนกว่าจะได้รับ การปล่อยตัว (มาตรา 47) สถานะของบุคคล สถานะของบุคคล คือฐานะหรือต าแหน่งที่บุคคลด ารงอยู่ในสังคม เช่น เป็นเพศชายหรือ เพศหญิง เป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เป็นคนไทย หรือคนต่างด้าว เมื่อเรารู้สถานะของบุคคลท าให้เรารู้ถึง สิทธิและหน้าที่ว่ามีอยู่อย่างไร เช่น เพศหญิงไม่ต้องเป็นทหาร เพศชายต้องเป็นทหาร เด็กที่อายุไม่ ถึงยี่สิบปีบริบูรณ์ย่อมยังไม่บรรลุนิติภาวะ เมื่อจะท านิติกรรมต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดย ชอบธรรม คนไทยย่อมมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง คนต่างด้าวไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง เป็นต้น ตั้งแต่บุคคลเกิดจนถึงแก่ความตาย ก็จะต้องมีการจดทะเบียนสถานะของบุคคลหลายอย่าง ด้วยกัน เช่น เมื่อเกิดมาก็ต้องไปแจ้งเกิดต่อนายทะเบียน เมื่อสมรสก็ต้องไปจดทะเบียนสมรส ท าให้ รู้ว่าบุคคลมีอายุเท่าไร บรรลุนิติภาวะแล้วหรือยัง ยังเป็นโสดหรือท าการสมรสแล้ว ท าให้รู้สถิติ จ านวนคนเกิดคนตายในแต่ละท้องถิ่น ท าให้รู้จ านวนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในเขตหนึ่งๆ และรู้ จ านวนผู้ที่จะต้องมารับการตรวจเลือกเข้าเป็นทหารในปีหนึ่ง ๆ การจดทะเบียนสถานะของบุคคล การจดทะเบียนสถานะของบุคคลมีดังนี้คือ 1. การเกิด ตามพระราชบัญญัติทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 เมื่อมีคนเกิดให้แจ้งการเกิด ดังต่อไปนี้ 1.1 คนเกิดในบ้าน ให้เจ้าบ้านหรือบิดาหรือมารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ คนเกิดในบ้านภายใน 15 วัน นับแต่วันเกิด "เจ้าบ้าน" หมายความว่า ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครองบ้านในฐานะเป็นเจ้าของ ผู้เช่า หรือ ในฐานะอื่นใดก็ตาม ในกรณีที่ไม่ปรากฏเจ้าบ้าน หรือเจ้าบ้านไม่อยู่ ตาย สูญหาย สาบสูญ หรือไม่ สามารถปฏิบัติกิจการได้ ให้ถือว่าผู้มีหน้าที่ดูแลบ้านในขณะนั้นเป็นเจ้าบ้าน 1.2 คนเกิดนอกบ้าน ให้บิดาหรือมารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่จะพึงแจ้ง ได้ภายใน 15 วันนับแต่วันเกิด ในกรณีจ าเป็นไม่อาจแจ้งได้ตามก าหนดให้แจ้งภายหลังได้แต่ต้องไม่ เกิน 30 วันนับแต่วันเกิดการแจ้งตาม 1.1 และ 1.2 ให้แจ้งตามแบบพิมพ์ที่ผู้อ านวยการทะเบียน กลางก าหนด พร้อมทั้งแจ้งชื่อคนเกิดด้วย 1.3 เด็กในสภาพแรกเกิดหรือเด็กอ่อนถูกทอดทิ้ง ผู้ใดพบเด็กในสภาพแรกเกิดหรือ เด็กอ่อนซึ่งถูกทอดทิ้ง ให้น าเด็กนั้นไปส่งและแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือต ารวจ หรือ เจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์แห่งท้องที่ที่ตนพบเด็กนั้นโดยเร็ว ในกรณีที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือ ต ารวจรับไว้ ให้บันทึกการรับตัวเด็กตามแบบพิมพ์ที่ผู้อ านวยการทะเบียนกลางก าหนด แล้วน าเด็ก


24 ส่งเจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์เมื่อเจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์ได้รับตัวเด็กไว้แล้วให้แจ้งการมีคน เกิดต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง 2. การตาย ตามพระราชบัญญัติทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 เมื่อมีคนตายให้แจ้งการตาย ดังต่อไปนี้ 2.1 คนตายในบ้าน ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคนตายภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่เวลาตาย ในกรณีไม่มีเจ้าบ้าน ให้ผู้พบศพแจ้งภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่เวลาพบศพ 2.2 คนตายนอกบ้าน ให้บุคคลที่ไปกับผู้ตายหรือผู้พบศพแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่ง ท้องที่ที่มีการตายหรือพบศพแล้วแต่กรณี หรือแห่งท้องที่ที่พึงแจ้งได้ภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เวลา ตายหรือเวลาพบศพ ในกรณีเช่นนี้จะแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือต ารวจก็ได้ ก าหนดเวลาให้แจ้งตาม 2.1 และ 2.2 ถ้าในท้องที่ใดการคมนาคมไม่สะดวก ผู้อ านวยการ ทะเบียนกลางอาจขยายเวลาออกไปตามที่เห็นสมควร แต่ต้องไม่เกิน 7 วัน นับแต่เวลาตายหรือ เวลาพบศพ การแจ้งตาม 2.1 และ 2.2 ให้แจ้งตามแบบพิมพ์ที่ผู้อ านวยการทะเบียนกลางก าหนด พร้อมทั้งแจ้งชื่อผู้แจ้งด้วย 2.3 เมื่อมีคนเกิดหรือคนตาย ผู้ท าคลอดหรือผู้รักษาพยาบาลต้องออกหนังสือรับรองการ เกิดหรือการตายตามแบบพิมพ์ที่ผู้อ านวยการทะเบียนกลางก าหนดให้แก่ผู้มีหน้าที่ต้องแจ้งตาม 1.1 1.2 2.1 หรือ 2.2 ข้างต้น 3. การสมรส ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1457 บัญญัติว่า "การสมรสตาม ประมวลกฎหมายนี้ จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น" ถ้าไม่จดทะเบียน กฎหมายไม่ถือ ว่ามีการสมรส 4. การหย่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1514 การหย่านั้นท าได้ 2 วิธีคือ 4.1 การหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย การหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย มาตรา 1515 บัญญัติว่าจะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีและภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว 4.2 การหย่าโดยค าพิพากษาของศาล การหย่าโดยค าพิพากษาของศาลจะมีผลนับตั้งแต่ วันที่ค าพิพากษาถึงที่สุด แต่จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ท าการโดยสุจริตไม่ได้ เว้นแต่จะได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว (มาตรา 1511 และ 1512) 5. การเพิกถอนการสมรส จะมีได้โดยค าพิพากษาของศาลเท่านั้น (มาตรา 1501) การสมรสที่ได้มีค าพิพากษาให้เพิกถอนนั้น ให้ถือว่าสิ้นสุดลงในวันที่ค าพิพากษาถึงที่สุด แต่จะอ้าง เป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ท าการโดยสุจริตไม่ได้ เว้นแต่จะได้จดทะเบียนการเพิกถอน การสมรสนั้นแล้ว (มาตรา 1511) 6. การรับบุตรบุญธรรม บุคคลที่มีอายุไม่ต่ ากว่า 25 ปี จะรับบุคคลอื่นเป็นบุตรบุญธรรมก็ ได้ แต่ผู้นั้นต้องมีอายุแก่กว่าผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี(มาตรา1598/19) การรับบุตรบุญธรรมจะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้จดทะเบียนตามกฎหมาย แต่ถ้าผู้จะเป็นบุตรบุญธรรมนั้น เป็นผู้เยาว์ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมก่อน (มาตรา 1597/27)


25 ตัวอย่าง ก.สามีของ ข.จดทะเบียนรับ ค.เป็นบุตรบุญธรรม โดย ข.ยินยอมด้วย ค.บุตรบุญธรรมมี ฐานะเป็นบุตรบุญธรรมโดยชอบด้วยกฎหมายของ ก.เท่านั้น (ฎีกาที่ 2221/2522) 7. การเลิกรับบุตรบุญธรรม ถ้าบุตรบุญธรรมบรรลุนิติภาวะแล้ว จะเลิกรับบุตรบุญธรรม โดยความตกลงกันในระหว่างผู้รับบุตรบุญธรรมกับบุตรบุญธรรมเมื่อใดก็ได้ ถ้าบุตรบุญธรรมยังไม่ บรรลุนิติภาวะ การเลิกรับบุตรบุญธรรมจะท าได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมของบิดาและมารดา การ เลิกรับบุตรบุญธรรมจะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้จดทะเบียนตามกฎหมาย (มาตรา 1598/31) 8. การรับรองบุตร ตามมาตรา 1547 เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน ย่อมเป็นบุตร ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายได้ในกรณีต่อไปนี้ 1) บิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายนับตั้งแต่วัน สมรส 2) บิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร จะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายนับตั้งแต่วันจด ทะเบียน 3) ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายนับแต่วันมีค าพิพากษา ถึงที่สุด แต่ทั้งนี้จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ท าการโดยสุจริตไม่ได้ เว้นจะได้จด ทะเบียนเด็กเป็นบุตรตามค าพิพากษา (มาตรา 1557) ความสามารถ ความสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประการคือ 1. ความสามารถในการมีสิทธิ ทุกคนที่เกิดมาไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้หญิงหรือผู้ชาย ยากจนหรือร่ ารวย ย่อมมีสิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกัน แต่สิทธิบางอย่างบุคคลจะมีได้ต่อเมื่อมีอายุ ถึงเกณฑ์ที่ก าหนด เช่น ผู้เยาว์มีสิทธิที่จะท าพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว 2. ความสามารถในการใช้สิทธิ ในการใช้สิทธิกระท าการต่างๆ บุคคลจะต้องมี ความสามารถ มีความรู้สึกผิดชอบ เด็กแรกเกิดย่อมสามารถมีสิทธิต่างๆ ได้ แต่ไม่สามารถใช้สิทธิ นั้นได้โดยล าพังตนเอง เนื่องจากยังไร้เดียงสา ไม่อาจใช้ความนึกคิด ไม่มีความรู้ความช านาญแต่เดิม มานั้น หญิงมีสามีถูกกฎหมายตัดทอนความสามารถหลายประการ เช่น หญิงมีสามีจะท านิติกรรม ผูกพันสินบริคณห์ต้องได้รับอนุญาตจากสามีเสียก่อน แต่ปัจจุบันนี้ กฎหมายที่ตัดทอน ความสามารถของหญิงมีสามีได้ถูกยกเลิกไปแล้ว หญิงมีสามีจึงไม่เป็นบุคคลที่หย่อนความสามารถ ต่อไป รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 30 วรรคสอง บัญญัติว่า "ชาย และหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน" บุคคลที่หย่อนความสามารถ หรือถูกกฎหมายจ ากัดความสามารถในการใช้สิทธิ มี 3 ประเภท คือ 1. ผู้เยาว์ 2. คนไร้ความสามารถ 3. คนเสมือนไร้ความสามารถ


26 ผู้เยาว์ ผู้เยาว์ คือผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เป็นผู้ที่ยังอ่อนในด้านสติปัญญา ความคิด และร่างกาย ผู้เยาว์ไม่สามารถท านิติกรรมได้ตามล าพังตนเอง เพราะขาดความรู้ ความช านาญ ถ้าปล่อยให้ ผู้เยาว์ท านิติกรรมได้ตามล าพังตนเองแล้ว อาจจะท าให้ผู้อื่นซึ่งมีความรู้ ความสามารถดีกว่าท าการ เอาเปรียบได้ ท าให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เยาว์ การบรรลุนิติภาวะของผู้เยาว์ ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะได้ด้วยเหตุ 2 ประการคือ 1. บรรลุนิติภาวะโดยอายุ บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุ 20 บริบูรณ์ (มาตรา 19) 2. บรรลุนิติภาวะโดยการสมรส ผู้เยาว์ย่อมบรรลุนิติภาวะเมื่อท าการสมรส หากการสมรส นั้นได้ท าเมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์แล้ว (มาตรา 20 และ 1448) ผู้เยาว์ท านิติกรรม มาตรา 21 บัญญัติว่า "ผู้เยาว์จะท านิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดย ชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ท าลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะ บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น" จะเห็นได้ว่าผู้เยาว์จะท านิติกรรม จะต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดย ชอบธรรมก่อน เช่น ผู้เยาว์ต้องการเช่าบ้าน 1 หลัง ต้องการกู้เงินจากบุคคลอื่น หรือต้องการซื้อ รถยนต์ 1 คัน ผู้เยาว์จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน ใครเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้แทนโดยชอบธรรม ได้แก่ 1. ผู้ใช้อ านาจปกครอง ผู้ใช้อ านาจปกครองเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตร (มาตรา 1569) ผู้ใช้อ านาจปกครอง ได้แก่บิดามารดาของบุตร (มาตรา 1566) 2. ผู้ปกครอง ถ้าผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดา หรือบิดามารดาถูกถอนอ านาจปกครอง ก็อาจมีการ ตั้งผู้อื่นเป็นผู้ปกครองได้ (มาตรา 1585) ผู้ปกครองนั้นให้ตั้งโดยค าสั่งศาลเมื่อมีการร้องขอของญาติ ของผู้เยาว์ อัยการ หรือผู้ซึ่งบิดาหรือมารดาที่ตายทีหลังได้ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมให้เป็นผู้ปกครอง (มาตรา 1586) การให้ความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม การให้ความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมจะท าอย่างไรก็ได้ เช่น ให้ความยินยอมเป็น ลายลักษณ์อักษร ด้วยวาจา หรือให้ความยินยอมโดยปริยายก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของนิติ กรรมนั้น ๆ เช่น ผู้เยาว์ต้องการท านิติกรรมซื้อรถยนต์ 1 คัน ผู้แทนโดยชอบธรรมอาจจะเขียน หนังสืออนุญาตให้ผู้เยาว์ซื้อได้ หรืออนุญาตด้วยวาจาให้ซื้อได้ หรือเมื่อผู้เยาว์จะไปซื้อรถยนต์ผู้แทน โดย ชอบธรรมรู้เรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามหรือขัดขวางแต่ประการใด จึงถือว่าเป็นการให้ความ ยินยอมโดยปริยาย


27 ผู้แทนโดยชอบธรรมต้องให้ความยินยอมเมื่อใด การให้ความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมนั้น ต้องให้ก่อนที่ผู้เยาว์ท านิติกรรม หรืออย่าง ช้าขณะที่ผู้เยาว์ท านิติกรรม ถ้าให้ความยินยอมภายหลังถือว่าเป็นการให้สัตยาบัน เช่น ผู้เยาว์ ต้องการท านิติกรรมซื้อรถยนต์ 1 คัน ผู้แทนโดยชอบธรรมต้องให้ความยินยอมก่อนที่ผู้เยาว์จะซื้อ รถยนต์ หรือขณะก าลังซื้อรถยนต์ ผลของการที่ผู้เยาว์ท านิติกรรมโดยไม่ได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม เมื่อผู้เยาว์ท านิติกรรมโดยได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมแล้ว นิติกรรมนั้นย่อม สมบูรณ์มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย แต่ถ้าผู้เยาว์ท านิติกรรมโดยไม่ได้รับความยินยอมของผู้แทน โดยชอบธรรม นิติกรรมนั้นย่อมเป็นโมฆียะ (มาตรา 21) นิติกรรมที่เป็นโมฆียะนั้น มิใช่ว่าเป็นนิติ กรรมที่สูญเปล่าไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย นิติกรรมที่เป็นโมฆียะนั้นยังใช้ได้อยู่จนกว่าจะถูกบอก ล้าง เมื่อบอกล้างแล้วจะท าให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆะมาตั้งแต่เริ่มแรก และคู่กรณีต้องกลับคืนสู่ ฐานะเดิม ผู้มีสิทธิบอกล้างนิติกรรมที่เป็นโมฆียะคือ ตัวผู้เยาว์เอง และผู้แทนโดยชอบธรรม ถ้าผู้เยาว์ต้องการบอกล้างนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ ผู้เยาว์จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดย ชอบธรรมเสียก่อน หรือเมื่อตัวผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะ ก็สามารถบอกล้างนิติกรรมนั้นได้โดยล าพัง ตนเองเช่น ผู้เยาว์ไปซื้อรถยนต์ 1 คันโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรม ซื้อขายรถยนต์ที่ผู้เยาว์ท ากับผู้ขายนั้นย่อมเป็นโมฆียะ เพราะกฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้เยาว์จะท านิติ กรรมต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน เมื่อเป็นโมฆียะแล้วผู้มีสิทธิบอกล้าง คือ ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ เมื่อบอกล้างแล้วท าให้โมฆียะกรรมนั้นกลายเป็นโมฆะ คู่กรณี ต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม ผู้เยาว์ต้องคืน รถยนต์ให้กับผู้ขาย และผู้ขายต้องคืนเงินให้แก่ผู้เยาว์ (สุเมธ ศิริคุณโชติ, 2558) การให้สัตยาบันแก่โมฆียะกรรม นิติกรรมที่เป็นโมฆียะนี้อาจสมบูรณ์ได้ด้วยการให้สัตยาบัน การให้สัตยาบันคือการรับรอง ว่านิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เช่น ผู้เยาว์ซื้อรถยนต์ 1 คันโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดย ชอบธรรม นิติกรรมเป็นโมฆียะ ต่อมาผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ให้สัตยาบัน ท าให้นิติกรรมที่ เป็นโมฆียะนั้นกลายเป็นนิติกรรมที่สมบูรณ์ นิติกรรมที่เป็นโมฆียะ อาจจะสมบูรณ์ได้อีกทางหนึ่งคือโดยอายุความ ในกรณีดังนี้ (มาตรา 181) 1. ไม่มีการบอกล้างโมฆียะกรรมนี้ภายในก าหนด 1 ปี นับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ 2. ไม่มีการบอกล้างโมฆียะกรรมนี้ภายในก าหนด 10 ปี นับแต่เวลาที่ได้ท านิติกรรมอันเป็น โมฆียะนิติกรรมที่ผู้เยาว์สามารถท าได้ตามล าพังตนเอง ตามปกติแล้วผู้เยาว์จะท านิติกรรมต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ถ้าไม่ได้ รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมแล้ว จะท าให้นิติกรรมนั้นเป็นโมฆียะ แต่มีนิติกรรมบาง


28 ประเภทที่ผู้เยาว์สามารถท าได้ตามล าพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย โดยไม่ต้องขอ อนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมเหล่านี้มีดังนี้คือ 1. นิติกรรมที่ท าให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง หรือนิติกรรมที่ท าให้ผู้เยาว์หลุดพ้นจาก หน้าที่อันใดอันหนึ่ง (มาตรา 22) ซึ่งแยกพิจารณาได้ดังนี้ 1.1 นิติกรรมที่ท าให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง เช่น นาย ก. มอบเงินให้เด็กชาย ข. ผู้เยาว์ 20,000 บาท โดยไม่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพัน เด็กชาย ข. สามารถท าสัญญารับเงิน จ านวนนี้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรม เพราะสัญญาให้เงินนี้ผู้เยาว์เป็นผู้ได้รับ ประโยชน์ฝ่ายเดียว ผู้เยาว์ไม่เสียประโยชน์เลยแต่ถ้าสัญญานี้มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพันแล้ว ผู้เยาว์ต้องขออนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน เช่น นาย ก.ให้เงินเด็กชาย ข.โดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อนาย ก.แก่ชรา เด็กชาย ข.ต้องมาเลี้ยงดูนาย ก.เช่นนี้ถ้าเด็กชาย ข.ต้องการรับเงินนั้น จะต้อง ขออนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน 1.2 นิติกรรมที่ท าให้ผู้เยาว์หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง เช่น เด็กชาย ข.ผู้เยาว์เป็นหนี้ นาย ก.อยู่ 10,000 บาท ต่อมานาย ก.ต้องการจะปลดหนี้รายนี้ให้เด็กชาย ข.ซึ่งจะท าให้หนี้รายนี้ ระงับสิ้นไป สัญญาปลดหนี้รายนี้เด็กชาย ข.ไม่ต้องขออนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรม เพราะเป็น สัญญาที่ท าให้เด็กชาย ข.หลุดพ้นจากการที่จะต้องช าระหนี้ให้กับนาย ก. 2. นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องท าเองเฉพาะตัว ผู้เยาว์อาจท าการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการต้อง ท าเองเฉพาะตัว (มาตรา 23) นิติกรรมเช่นนี้ผู้เยาว์ท าได้เองโดยไม่ต้องขออนุญาตจากผู้แทนโดย ชอบธรรม เช่น การรับรองบุตร ตัวอย่าง ผู้เยาว์อายุ 19 ปีมีบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 1 คน ผู้เยาว์จดทะเบียนรับรองบุตรคนนี้ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรม 3. นิติกรรมซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูป และจ าเป็นในการด ารงชีพตามสมควรของผู้เยาว์ ผู้เยาว์อาจท าการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตน และเป็นการอันจ าเป็นในการ ด ารงชีพตามสมควร (มาตรา 24) เช่น ผู้เยาว์เป็นนักเรียนต้องซื้อเครื่องเขียนแบบเรียน ต้องซื้อ เสื้อผ้า รองเท้าเพื่อใส่ไปโรงเรียน การซื้อเช่นนี้เป็นการสมแก่ฐานานุรูปของผู้เยาว์ และเป็นการ จ าเป็นในการด ารงชีพตามสมควร แต่ถ้าผู้เยาว์ต้องการซื้อรถยนต์เพื่อขับไปโรงเรียน ถ้าเป็นสิ่งที่ เกินฐานะและเกินความ จ าเป็นแล้ว ผู้เยาว์จะต้องขออนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน 4. ผู้เยาว์ท าพินัยกรรม ผู้เยาว์อาจท าพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ โดยไม่ต้องขอ อนุญาตจากผู้แทนโดยชอบธรรม (มาตรา 25) ถ้าผู้เยาว์ท าพินัยกรรมโดยมีอายุไม่ถึง 15 ปีบริบูรณ์ พินัยกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมฆะ (มาตรา 1703) 5. ผู้เยาว์ประกอบธุรกิจการค้าหรือท าสัญญาเป็นลูกจ้าง ในกรณีผู้เยาว์ประกอบธุรกิจ ทางการค้าหรือธุรกิจอื่น หรือในการท าสัญญาเป็นลูกจ้างในสัญญาจ้างแรงงานนั้นต้องเป็นไปตามที่ กฎหมายก าหนดไว้(มาตรา 27) คนไร้ความสามารถ (ประกายศรี ศรีรุ่งเรือง, 2553)


29 หลักเกณฑ์ของการเป็นคนไร้ความสามารถ มาตรา 28 วรรค 1 บัญญัติว่า "บุคคลวิกลจริตผู้ใดถ้าคู่สมรสก็ดี ผู้บุพการีกล่าวคือ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ทวดก็ดี ผู้สืบสันดานกล่าวคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อก็ดี ผู้ปกครอง หรือผู้ พิทักษ์ก็ดี ผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ก็ดี หรือพนักงานอัยการก็ดี ร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บุคคล วิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถ ศาลจะสั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถก็ได้" จากมาตรานี้จะเห็นได้ว่าบุคคลที่จะถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถนั้น จะต้องเป็นบุคคล วิกลจริต และการวิกลจริตนั้นจะต้องมีลักษณะดังนี้ 1. ต้องเป็นอย่างมาก คือวิกลจริตชนิดที่พูดจาไม่รู้เรื่อง ไม่มีความรู้สึกผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่รู้สึกตัวว่าท าอะไรลงไปบ้าง 2. เป็นอยู่ประจ า คือวิกลจริตอยู่สม่ าเสมอ แต่ไม่จ าเป็นต้องเป็นอยู่ตลอดเวลา อาจมีเวลาที่ มีสติอย่างคนธรรมดาบางเวลา ในเวลาต่อมาก็เกิดวิกลจริตอีก เช่นนี้เรื่อยไป บุคคลวิกลจริตที่เป็น อย่างมากและเป็นอยู่ประจ าเช่นนี้ กฎหมายต้องการให้ความคุ้มครอง เพราะมิฉะนั้นจะถูกบุคคล อื่นเอารัด เอาเปรียบ ท าให้เป็นที่เสียหายแก่ทรัพย์สินของบุคคลวิกลจริตได้ บุคคลที่มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีค าสั่งให้บุคคลวิกลจริตเป็นคนไร้ความสามารถบุคคลวิกลจริต ที่มีลักษณะเป็นอย่างมากและเป็นอยู่ประจ า อาจถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้ บุคคลที่มี สิทธิร้องขอให้ศาลมีค าสั่งให้บุคคลวิกลจริตเป็นคนไร้ความสามารถได้แก่ 1. คู่สมรส 2. ผู้บุพการี กล่าวคือ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด 3. ผู้สืบสันดาน กล่าวคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อ 4. ผู้ปกครอง หรือผู้พิทักษ์ 5. ผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ 6. พนักงานอัยการ บุคคล 6 ประเภทนี้เท่านั้นที่มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีค าสั่งให้บุคคลวิกลจริตเป็นคนไร้ ความสามารถ ลุง ป้า น้า อา พี่ น้อง ของบุคคลวิกลจริตไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีค าสั่ง เมื่อบุคคล ใดบุคคลหนึ่งใน 6 ประเภทนี้ร้องขอต่อศาล ศาลจะใช้ดุลยพินิจไต่สวน ถ้ามีหลักฐานเพียงพอและมี เหตุผลสมควรแล้ว ศาลก็จะสั่งให้บุคคลวิกลจริตนั้นเป็นคนไร้ความสามารถ และให้โฆษณาค าสั่ง ของศาลที่สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถนี้ลงในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้บุคคลทั้งหลายได้ทราบทั่ว กัน การเป็นคนไร้ความสามารถเริ่มตั้งแต่วันที่ศาลมีค าสั่ง ตัวอย่าง น้าไม่ใช่บุพการี และไม่เคยให้ความอุปการะเลี้ยงดูที่จะฟังได้ว่าเป็นผู้พิทักษ์ตาม พฤตินัยจึงไม่มีอ านาจตามกฎหมายที่จะร้องต่อศาลเพื่อสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้ (ฎีกาที่ 1044/2522)


30 ผลของการเป็นคนไร้ความสามารถ ผลของการเป็นคนไร้ความสามารถมีดังนี้คือ 1. ต้องอยู่ในความอนุบาล บุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถนั้น ต้องจัดให้อยู่ใน ความอนุบาล (มาตรา 28 วรรค 2) ผู้อนุบาลของคนไร้ความสามารถได้แก่ 1.1 ผู้เยาว์เป็นคนไร้ความสามารถ ผู้ใช้อ านาจปกครองย่อมเป็นผู้อนุบาล (มาตรา 1569) ผู้ใช้อ านาจปกครอง ได้แก่บิดามารดาของบุตร (มาตรา 1566) ถ้าผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดา หรือบิดา มารดาถูกถอนอ านาจปกครอง ผู้ปกครองย่อมเป็นผู้อนุบาล หรือศาลจะมีค าสั่งตั้งผู้อื่นซึ่งมิใช่ผู้ใช้ อ านาจ ปกครองหรือผู้ปกครองเป็นผู้อนุบาลก็ได้ (มาตรา 1569/1) 1.2 บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะและไม่มีคู่สมรสเป็นคนไร้ความสามารถ ให้บิดา มารดา หรือ บิดาหรือมารดาเป็นผู้อนุบาลแล้วแต่กรณี เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น (มาตรา 1569/1) 1.3 สามีหรือภรรยาเป็นคนไร้ความสามารถ ภรรยาหรือสามีย่อมเป็นผู้อนุบาล แต่เมื่อ ผู้มีส่วนได้เสียหรืออัยการร้องขอ และถ้ามีเหตุส าคัญ ศาลจะตั้งผู้อื่นเป็นผู้อนุบาลก็ได้ (มาตรา 1463) 2. ถูกกฎหมายจ ากัดความสามารถในการท านิติกรรม มาตรา 29 บัญญัติว่า "การใด ๆ อัน บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ ได้กระท าลง การนั้นเป็นโมฆียะ" การใด ๆตามมาตรานี้ คือนิติกรรมนั่นเอง คนไร้ความสามารถท านิติกรรมใด ๆ ไม่ได้เลย ต้องให้ผู้อนุบาลท าแทนทั้งสิ้น ถ้าคนไร้ความสามารถท านิติกรรม นิติกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมฆียะ ผู้อนุบาลที่ศาลตั้งไม่อาจจะให้ ความ ยินยอมหรือให้ค าอนุญาตใด ๆ แก่คนไร้ความสามารถไว้ล่วงหน้าได้ นอกจากจะบอกล้าง หรือให้สัตยาบันภายหลังที่คนไร้ความสามารถได้แสดงเจตนาท านิติกรรมนั้นแล้ว เป็นการตัด อ านาจจัดการและจ าหน่ายทรัพย์สินของคนไร้ความสามารถ แม้จะซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคอัน จ าเป็นส าหรับประทังชีวิตก็ไม่มีความสามารถที่จะท าได้ ถ้าฝ่าฝืนท าไปการนั้นเป็นโมฆียะ เพราะไม่ มีกฎหมายยกเว้นไว้เหมือนผู้เยาว์ แต่ถ้าเป็นกรณีที่คนไร้ความสามารถท าละเมิด คนไร้ความสามารถต้องรับผิดในผลที่ตนท า ละเมิด โดยผู้อนุบาลต้องรับผิดร่วมด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร แก่หน้าที่ดูแลซึ่งท าอยู่นั้น (มาตรา 429) เช่น คนไร้ความสามารถไปท าลายทรัพย์สินของผู้อื่น คน ไร้ความสามารถนั้นต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ที่ได้รับความเสียหาย การท าละเมิด นั้นไม่โมฆียะคนไร้ความสามารถท าพินัยกรรมไม่ได้ ถ้าคนไร้ความสามารถท าพินัยกรรมขึ้น พินัยกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมฆะ (มาตรา 1704) และคนไร้ความสามารถท าการสมรสไม่ได้ถ้าฝ่าฝืน การสมรสย่อมตกเป็นโมฆะ (มาตรา 1449 และ 1495) การสิ้นสุดของการเป็นคนไร้ความสามารถ มาตรา 31 บัญญัติว่า "ถ้าเหตุที่ท าให้เป็นคนไร้ความสามารถได้สิ้นสุดลงไปแล้ว และบุคคล ผู้นั้นเองหรือบุคคลใด ๆ ดังกล่าวมาในมาตรา 28 ร้องขอต่อศาล ก็ให้ศาลสั่งเพิกถอนค าสั่งที่ให้เป็น คนไร้ความสามารถนั้นค าสั่งของศาลตามมาตรานี้ ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา"จากมาตรา 31


31 จะเห็นได้ว่าการเป็นคนไร้ความสามารถสิ้นสุดลงเมื่อเหตุที่ท าให้เป็นคนไร้ความสามารถได้สิ้นสุดลง ไปแล้ว เช่น คนไร้ความสามารถกลับมีสติดังเดิม หายจากการเป็นคนวิกลจริต ผู้มีสิทธิร้องขอให้ ศาลถอนค าสั่งการเป็นคนไร้ความสามารถ ดังนี้ 1. คนไร้ความสามารถนั้นเอง เมื่อหายจากวิกลจริต 2. คู่สมรส 3. ผู้บุพการี กล่าวคือ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด 4. ผู้สืบสันดาน กล่าวคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อ 5. ผู้ปกครอง หรือผู้พิทักษ์ 6. ผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ 7. พนักงานอัยการ เมื่อบุคคลดังกล่าวไปร้องขอต่อศาลแล้ว ถ้าศาลเห็นว่าคนไร้ความสามารถนั้นหายจากการ เป็นบุคคลวิกลจริตแล้ว ศาลต้องมีค าสั่งเพิกถอนค าสั่งเดิมที่ให้เป็นคนไร้ความสามารถเสีย และ ค าสั่งของศาลเพิกถอนค าสั่งเดิมนี้ให้โฆษณาในราชกิจจานุเบกษา การสิ้นสุดของการเป็นคนไร้ ความสามารถเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ศาลมีค าสั่งเพิกถอนค าสั่งเดิม คนเสมือนไร้ความสามารถ หลักเกณฑ์ของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ มาตรา 32 บัญญัติว่า "บุคคลใดมีกายพิการ หรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือ ประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ หรือติดสุรายาเมา หรือมีเหตุอื่นใดท านองเดียวกันนั้น จนไม่ สามารถจะจัดท าการงานโดยตนเองได้ หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของ ตนเองหรือครอบครัว เมื่อบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 28 ร้องขอต่อศาล ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้น เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้" จากมาตรานี้จะเห็นได้ว่าการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถมี หลักเกณฑ์ดังนี้คือ 1. มีเหตุบกพร่องบางอย่าง เหตุบกพร่องที่ศาลอาจสั่งให้บุคคลเป็นคนเสมือนไร้ ความสามารถได้แก่ 1.1 กายพิการ ไม่ว่าส่วนไหนของร่างกายจะพิการก็ได้ เช่น หูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ แขน ขาด ขาขาด ซึ่งอาจเป็นมาโดยก าเนิด หรือเกิดขึ้นภายหลัง เช่น เกิดจากอุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บ หรือชราภาพ 1.2 จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หมายถึงบุคคลที่จิตผิดปกติ สมองพิการ แต่ยังไม่ถึงขั้น วิกลจริต ยังมีความคิดค านึงอยู่บ้าง และสามารถท ากิจกรรมหลายอย่างได้ด้วยตนเอง 1.3 ประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ ชอบใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือใช้จ่ายเงินเกินกว่าฐานะ อยู่เป็นประจ า ซึ่งท าให้ทรัพย์สมบัติร่อยหรอลงไปทุกวัน ในที่สุดก็จะหมดตัว และการใช้จ่าย ดังกล่าวไม่เกิดประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ แต่ถ้านาน ๆ จ่ายสักครั้งหนึ่ง เช่น จัดงานเลี้ยงฉลองวัน เกิด ซึ่งปีหนึ่งจัดครั้งหนึ่งไม่ถือว่าเป็นการประพฤติสุรุ่ยสุร่าย


32 1.4 ติดสุรายาเมา เช่น ดื่มสุราจัด เมาตลอดเวลา ติดฝิ่น เฮโรอีน เป็นประจ าจนละเว้นเสีย ไม่ได้ ท าให้ร่างกายอ่อนแอ ความรู้สึกผิดชอบลดน้อยลงไป 1.5 มีเหตุอื่นท านองเดียวกันกับที่กล่าวมาแล้วใน 1.1 - 1.4 2. ไม่สามารถจะจัดท าการงานโดยตนเองได้หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัวเพราะเหตุบกพร่องดังกล่าวเมื่อมีเหตุบกพร่อง 5 ประการ ดังกล่าวแล้ว บุคคลนั้นยังต้องไม่สามารถจะจัดท าการงานโดยตนเองได้ หรือจัดกิจการไปในทางที่ อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว ถ้าบุคคลนั้นสามารถจัดท าการงานของ ตนเองได้ ก็ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ เช่น นาย ก. มีกายพิการหรือติด สุรายาเมา แต่นาย ก. สามารถท าการงานของตนเองได้เป็นปกติไม่เกิดความเสียหาย เช่นนี้นาย ก. ก็ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ บุคคลที่มีสิทธิร้องขอให้ศาลมีค าสั่งให้บุคคลเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ บุคคลที่มีสิทธิร้องขอต่อศาลให้ศาลสั่งให้บุคคลที่มีเหตุบกพร่อง และไม่สามารถจะจัดท า การงานโดยตนเองได้ตามมาตรา 32 เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ คือบุคคลตามมาตรา 28 ซึ่ง ได้แก่ 1. คู่สมรส 2. ผู้บุพการี กล่าวคือ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด 3. ผู้สืบสันดาน กล่าวคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อ 4. ผู้ปกครอง หรือผู้พิทักษ์ 5. ผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ 6. พนักงานอัยการ เมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งใน 6 ประเภทนี้ร้องขอต่อศาลแล้วศาลจะไต่สวนค าร้อง เมื่อปรากฏ ความจริงตามค าร้อง ศาลจะสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และค าสั่งของศาลนี้ให้โฆษณาใน ราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้บุคคลทั้งหลายได้ทราบ การเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถเริ่มตั้งแต่วันที่ ศาลมีค าสั่ง ผลของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ผลของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถมีดังนี้คือ 1. ต้องอยู่ในความพิทักษ์ บุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องจัด ให้อยู่ในความพิทักษ์(มาตรา 32 วรรค 2) ผู้พิทักษ์ของคนเสมือนไร้ความสามารถได้แก่ 1) ผู้เยาว์เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ผู้ใช้อ านาจปกครองย่อมเป็นผู้พิทักษ์ (มาตรา 1569) ผู้ใช้อ านาจปกครอง ได้แก่บิดามารดาของบุตร (มาตรา 1566) ถ้าผู้เยาว์ไม่มีบิดา มารดา หรือบิดามารดาถูกถอนอ านาจปกครอง ผู้ปกครองย่อมเป็นผู้พิทักษ์ หรือศาลจะมีค าสั่งตั้ง ผู้อื่นซึ่งมิใช่ผู้ใช้อ านาจปกครองหรือผู้ปกครองเป็นผู้พิทักษ์ก็ได้


33 2) บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะและไม่มีคู่สมรสเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถให้บิดา มารดา หรือบิดาหรือมารดาเป็นผู้พิทักษ์แล้วแต่กรณี เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น (มาตรา 1569/1) 3) สามีหรือภรรยาเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถภรรยาหรือสามีย่อมเป็นผู้พิทักษ์ แต่เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรืออัยการร้องขอ และถ้ามีเหตุส าคัญ ศาลจะตั้งผู้อื่นเป็นผู้พิทักษ์ก็ได้ (มาตรา 1463) 2. ไม่สามารถท านิติกรรมบางชนิด ตามหลักทั่วไป ถือว่าคนเสมือนไร้ความสามารถมี ความสามารถเป็นหลัก ความไม่สามารถหรือหย่อนความสามารถเป็นข้อยกเว้น คือคนเสมือนไร้ ความสามารถท านิติกรรมได้ทุกอย่าง ยกเว้นนิติกรรมบางประเภทที่ก าหนดไว้ในมาตรา 34 ถ้าคน เสมือนไร้ความสามารถจะท านิติกรรมดังกล่าว ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์เสียก่อน มิฉะนั้นแล้วนิติกรรมนั้นจะเป็นโมฆียะ ส่วนตัวผู้พิทักษ์ก็คงมีอ านาจเพียงให้ความยินยอมเท่านั้น จะกระท าการแทนคนเสมือนไร้ความสามารถไม่ได้ นิติกรรมที่ก าหนดไว้ในมาตรา 34 ได้แก่ 1) น าทรัพย์สินไปลงทุน 2) รับคืนทรัพย์สินที่ไปลงทุน ต้นเงินหรือทุนอย่างอื่น 3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า 4) รับประกันโดยประการใด ๆ อันมีผลให้ตนต้องถูกบังคับช าระหนี้ 5) เช่าหรือให้เช่าสังหาริมทรัพย์มีก าหนดระยะเวลาเกินกว่า 6 เดือนหรือ อสังหาริมทรัพย์มีก าหนดระยะเวลาเกินกว่า 3 ปี 6) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอสมควรแก่ฐานานุรูป เพื่อการกุศล การสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา 7) รับการให้โดยเสน่หาที่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพัน หรือไม่รับการให้ โดยเสน่หา 8) ท าการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจะได้มา หรือปล่อยไปซึ่งสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ หรือในสังหาริมทรัพย์อันมีค่า 9) ก่อสร้างหรือดัดแปลงโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือซ่อมแซมอย่างใหญ่ 10) เสนอคดีต่อศาลหรือด าเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ เว้นแต่การร้องขอตาม มาตรา 35 หรือการร้องขอถอนผู้พิทักษ์ 11) ประนีประนอมยอมความหรือมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย 3. ถ้ามีกรณีอื่นใดนอกจากที่กล่าวใน 2. ซึ่งคนเสมือนไร้ความสามารถอาจจัดการไปในทาง เสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว ในการสั่งให้บุคคลใดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือเมื่อผู้พิทักษ์ร้องขอในภายหลัง ศาลมีอ านาจสั่งให้คนเสมือนไร้ความสามารถนั้นต้องได้รับความ ยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนจึงจะท าการนั้นได้ 4. ในกรณีที่คนเสมือนไร้ความสามารถ ไม่สามารถจะท าการอย่างหนึ่งอย่างใดที่กล่าวใน 2. หรือ 3. ได้ด้วยตนเอง เพราะเหตุมีกายพิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ศาลจะสั่งให้ผู้


34 พิทักษ์เป็นผู้มีอ านาจกระท าการนั้นแทนคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ให้น า บทบัญญัติที่เกี่ยวกับผู้อนุบาลมาใช้บังคับแก่ผู้พิทักษ์โดยอนุโลม สิ้นสุดของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ การเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถสิ้นสุดลง เมื่อเหตุที่ศาลได้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ ความสามารถได้สิ้นสุดลงไปแล้ว เช่น คนเสมือนไร้ความสามารถมีจิตเป็นปกติ หรือไม่ประพฤติ สุรุ่ยสุร่าย หรือไม่ติดสุรายาเมาต่อไป และสามารถประกอบการงานโดยตนเองได้ ผู้มีสิทธิร้องขอให้ ศาลถอนค าสั่งการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถมีดังนี้ 1) คนเสมือนไร้ความสามารถนั้นเอง เมื่อเหตุที่ศาลได้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ ความสามารถได้สิ้นสุดลงไปแล้ว 2) คู่สมรส 3) ผู้บุพการี กล่าวคือ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด 4) ผู้สืบสันดาน กล่าวคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อ 5) ผู้ปกครอง หรือผู้พิทักษ์ 6) ผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ 7) พนักงานอัยการ เมื่อบุคคลดังกล่าวไปร้องขอต่อศาลแล้ว ถ้าศาลเห็นว่าเหตุที่ศาลได้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ ความสามารถได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ศาลต้องมีค าสั่งเพิกถอนค าสั่งเดิมที่ให้เป็นคนเสมือนไร้ ความสามารถเสีย และค าสั่งของศาลเพิกถอนค าสั่งเดิมนี้ให้โฆษณาในราชกิจจานุเบกษา การสิ้นสุด ของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ศาลมีค าสั่งเพิกถอนค าสั่งเดิม (สุเมธ ศิริคุณโชติ, 2558) นิติบุคคล บุคคล คือ สิ่งที่สามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย มนุษย์ทุกคนเป็นบุคคล แต่บุคคล มิใช่มีแต่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น ยังมีสิ่งอื่นที่เป็นบุคคลด้วย สิ่งนั้นคือนิติบุคคล นิติบุคคล ดังนี้ 1. คณะบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย เช่น ห้างหุ้นส่วนจ ากัด บริษัทจ ากัด สมาคม กระทรวง ทบวง กรม วัด เป็นต้น 2. กิจการหรือกองทรัพย์สินที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น มูลนิธิ เป็นต้น นิติบุคคลนี้สามารถมีสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ ได้ เช่น ท านิติกรรมสัญญา เป็นลูกหนี้ เจ้าหนี้ หรือด าเนินคดีในศาลได้ การที่กฎหมายบัญญัติรับรองให้สิ่งอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์มีสิทธิและหน้าที่ตาม กฎหมายได้นั้น ก็เพราะสิ่งเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องในการด าเนินชีวิตของมนุษย์ กิจการบางอย่าง มนุษย์ไม่สามารถท าได้โดยล าพังคนเดียว ต้องร่วมมือร่วมแรงกันหลายคนเป็นคณะบุคคล และถ้า ไม่มีสภาพบุคคลแล้วก็ไม่สามารถที่จะท ากิจการต่าง ๆ ได้โดยสะดวก นิติบุคคลนี้จะมีสิทธิและ หน้าที่แยกต่างหากจากสิทธิและหน้าที่ของบุคคลที่รวมเป็นคณะ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องในทรัพย์สิน


35 คณะบุคคล หรือกองทรัพย์สินนั้นมิได้เป็นนิติบุคคลเสมอไป การที่จะเป็นนิติบุคคลได้ต้องมี กฎหมายบัญญัติไว้ ดังที่มาตรา 65 บัญญัติไว้ว่า "นิติบุคคลจะมีขึ้นได้ก็แต่ด้วยอาศัยอ านาจแห่ง ประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น" ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าให้เป็นนิติบุคคล ก็จะเป็นนิติ บุคคลไม่ได้ เช่น ครอบครัวไม่ถือว่าเป็นนิติบุคคล นิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มี 4 ประเภทดังนี้ 1. ห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนแล้ว ห้างหุ้นส่วนคือการที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปตกลงเข้ากัน เพื่อกระท ากิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันก าไรอันจะพึงได้จากกิจการที่ท านั้น (มาตรา 1012) ห้างหุ้นส่วนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1.1 ห้างหุ้นส่วนสามัญ คือห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนต้องรับผิด ร่วมกัน เพื่อหนี้ทั้งปวงของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจ ากัด (มาตรา 1025) ห้างหุ้นส่วนสามัญนี้จะจด ทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนก็ได้ ถ้าจดทะเบียนก็เป็นนิติบุคคลต่างหากจากผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งรวมกัน เข้าเป็นห้างหุ้นส่วนนั้น 1.2 ห้างหุ้นส่วนจ ากัด คือห้างหุ้นส่วนประเภทหนึ่งซึ่งมีผู้เป็นหุ้นส่วนอยู่สองจ าพวกดังจะ กล่าวต่อไปนี้คือ (มาตรา 1077) 1.2.1 ผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคน ซึ่งมีความรับผิดจ ากัดเพียงไม่เกินจ านวน เงินที่ตนรับจะลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนนั้นจ าพวกหนึ่ง และ 1.2.2 ผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคน ซึ่งต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของ ห้างหุ้นส่วนโดยไม่จ ากัดจ านวนอีกพวกหนึ่งอันห้างหุ้นส่วนจ ากัดนั้น กฎหมายบังคับว่าต้องจด ทะเบียน (มาตรา1078) เมื่อจดทะเบียนแล้ว ก็เป็นนิติบุคคลต่างหากจากผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งรวมกัน เข้าเป็นห้างหุ้นส่วนนั้น 2. บริษัทจ ากัด คือบริษัทประเภทซึ่งตั้งขึ้นด้วยแบ่งทุนเป็นหุ้นมีมูลค่าเท่า ๆ กัน โดยผู้ถือ หุ้นต่างรับผิดจ ากัดเพียงไม่เกินจ านวนเงินที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ตนถือ (มาตรา 1096) บริษัทจ ากัดกฎหมายบังคับว่าต้องจดทะเบียน (มาตรา 1111) เมื่อจดทะเบียนแล้วก็เป็น นิติบุคคล 3. สมาคม คือการที่บุคคลหลายคนตกลงเข้ากัน เพื่อท าการอันใดอันหนึ่งร่วมกันอัน มิใช่ เป็นการหาผลก าไรมาแบ่งปันกัน การก่อตั้งสมาคมเพื่อกระท าการใด ๆ อันมีลักษณะต่อเนื่อง ร่วมกันและมิใช่เป็นการหาผลก าไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน ต้องมีข้อบังคับและจดทะเบียนตาม บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ (มาตรา 78) สมาคมที่ได้จดทะเบียนแล้วเป็นนิติบุคคล (มาตรา 83) เช่น สมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัยพณิชยการบางนา เป็นต้น 4. มูลนิธิได้รับอ านาจแล้ว มูลนิธิได้แก่ทรัพย์สินที่จัดสรรไว้โดยเฉพาะส าหรับวัตถุประสงค์ เพื่อการกุศลสาธารณะ การศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี การศึกษา หรือเพื่อ สาธารณประโยชน์อย่างอื่น โดยมิได้มุ่งหาประโยชน์มาแบ่งปันกัน และได้จดทะเบียนตาม บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ การจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิ ต้องมิใช่เป็นการหาผลประโยชน์


36 เพื่อบุคคลใดนอกจากเพื่อด าเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง (มาตรา 110) มูลนิธิที่ได้ จดทะเบียนแล้วเป็นนิติบุคคล (มาตรา 122) เช่น มูลนิธิวิทยาลัยพณิชยการบางนา เป็นต้น นิติบุคคลตามกฎหมายอื่น ๆ นอกจากจะมีนิติบุคคล 4 ประเภทตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว ยังมีนิติบุคคลตาม กฎหมายอื่น ๆ อีก เช่น ส านักนายกรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 วัด เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 บริษัทมหาชนจ ากัด เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจ ากัด พ.ศ. 2535 เมืองพัทยา เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2521 สหกรณ์ที่จดทะเบียนแล้ว เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 พรรคการเมืองที่จดทะเบียนแล้ว เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524 องค์การมหาชน เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 องค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 เทศบาล เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2486 มหาวิทยาลัยรามค าแหง เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามค าแหง พ.ศ.2514 ส านักงานต ารวจแห่งชาติ เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติต ารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 สถาบันอุดมศึกษาเอกชน เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 เป็นต้น สิทธิและหน้าที่ของนิติบุคคล โดยหลักทั่วไป นิติบุคคลมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา คือมีชื่อ มีสัญชาติ มี ภูมิล าเนา มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน เป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ได้เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา แต่นิติบุคคลถูก ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลนั้น และนิติบุคคลเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต จิตใจอย่างมนุษย์ กฎหมายจึงได้จ ากัดอ านาจของนิติบุคคลไว้ 2 ประการคือ 1. ต้องด าเนินการตามขอบแห่งอ านาจหน้าที่หรือวัตถุประสงค์ มาตรา 66 บัญญัติว่า “นิติ บุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ภายในขอบ แห่งอ านาจหน้าที่หรือวัตถุประสงค์ดังได้บัญญัติหรือก าหนดไว้ในกฎหมาย ข้อบังคับ หรือตราสาร


37 จัดตั้ง” เมื่อได้ก าหนดอ านาจหน้าที่หรือวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลไว้ในกฎหมาย ข้อบังคับ หรือ ตราสารจัดตั้งแล้ว จะด าเนินการนอกอ านาจหน้าที่หรือวัตถุประสงค์ไม่ได้ เช่น บริษัทจ ากัดแห่ง หนึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจะท าการค้าขายข้าว บริษัทจ ากัดนี้ย่อมมีสิทธิค้าขายข้าวเท่านั้น จะไป ค้าขายรถยนต์ไม่ได้ เพราะเป็นการนอกวัตถุประสงค์ 2. ไม่สามารถมีสิทธิและหน้าที่ซึ่งโดยสภาพจะพึงมีพึงเป็นไปได้เฉพาะบุคคลธรรมดามาตรา 67 บัญญัติว่า "ภายใต้บังคับมาตรา 66 นิติบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา เว้นแต่สิทธิและหน้าที่ซึ่งโดยสภาพจะพึงมีพึงเป็นไปได้เฉพาะแก่บุคคลธรรมดาเท่านั้น" นิติบุคคล เป็นสิ่งที่กฎหมายสมมุติขึ้น นิติบุคคลไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นสิทธิบางอย่างที่มนุษย์มีได้แต่นิติบุคคลมี ไม่ได้ เช่น ไม่สามารถท าการสมรส เป็นบิดามารดา บุตร เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ ความสามารถ ไม่มีสิทธิในทางการเมือง ไม่ต้องรับราชการทหาร ไม่อาจถูกศาลสั่งให้เป็นคน สาบสูญ (ประกายศรี ศรีรุ่งเรือง, 2553) ความส าคัญของความจ าเป็นที่จะต้องรู้กฎหมาย กฎหมายเป็นบรรทัดฐานของสังคม ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับความประพฤติของ สมาชิกในสังคมให้เป็นไปในท านองเดียวกัน ท าให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย มีวินัย มีระเบียบ สังคมสงบสุข ประเทศก็ด ารงอยู่ได้ ข้อคิดบางประการเกี่ยวกับกฎหมาย กฎหมายเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งเพื่อท าให้สังคมมีความเป็นระเบียบและสงบสุข ซึ่งด้วย ข้อจ ากัดหลายๆประการท าให้กฎหมายไม่อาจแก้ไขปัญหาได้ในทุกๆเรื่อง เป็นผลท าให้เราคิดว่า กฎหมายไม่ดีบ้าง กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง ไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมายบ้าง และมีการแก้ไขกันอยู่ เรื่อยไป แต่เราก าลังมองข้ามจุดส าคัญไปอย่างหนึ่งก็คือ กฎหมายก็เป็นเพียงข้อความหรือตัวหนังสือ ธรรมดาๆถ้าไม่มีผู้น ากฎหมายนั้นมาใช้ กฎหมายอาจกลายเป็นอาวุธป้องกันตัวที่ดีเยี่ยมถ้าเราใช้มัน โดยถูกต้อง แต่กฎหมายก็อาจเป็นอาวุธท าร้ายผู้อื่นได้เช่นกันถ้าใช้มันผิดวิธี ดังนั้นจุดส าคัญไม่ได้อยู่ ที่ว่ากฎหมายดีหรือไม่ดีเพียงอย่างเดียว แต่ผู้ใช้กฎหมายก็ต้องใช้กฎหมายในทางที่ถูกต้องเหมาะสม ด้วย จะขาดปัจจัยอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้จริงๆแล้วกฎหมายนั้นไม่จ าเป็นต้องมีก็ได้ ถ้าคนใน สังคมอยู่กันอย่างเป็นระเบียบและสงบสุข แต่สังคมแบบนั้นเป็นเพียงสังคมที่อยู่ในอุดมคติเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วตรงกันข้ามกันอย่างมาก ดังนั้นกฎหมายจึงยังมีความจ าเป็นตราบเท่าที่ยังมี สังคมอยู่ สิ่งที่สังคมเราต้องช่วยกันด าเนินการในตอนนี้เป็นอันดับแรก ไม่ใช่การแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาได้ทุกเรื่อง เพราะปัญหาจะเกิดขึ้นมาใหม่เรื่อยๆตาม สภาพสังคมและกาลเวลา แต่เราต้องพัฒนาตัวบุคคลในสังคม พัฒนาตัวผู้ใช้กฎหมาย ให้มีความรู้ และมีศีลธรรมควบคู่กันไป กฎหมายนั้นออกโดยคนในสังคมและผู้ใช้ก็คือคนในสังคม ดังนั้นถ้าคน ในสังคมมีคุณภาพแล้ว กฎหมายและการใช้บังคับก็จะดีตามไปด้วยนั่นเอง และนี่คือการแก้ไข ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นที่ต้นเหตุโดยแท้จริง (อัยการสูงสุด, 2534)


38 จงตอบค าถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. จารีตประเพณีคืออะไร มีความหมายแตกต่างกับกฎหมายอย่างไร ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... 2. การกระท าที่ถือว่าเป็นความผิดตามอาญานั้น มีลักษณะอย่างไร การกระท าที่ถือเป็นความผิด อาญานั้น สรุปได้ดังนี้ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... 3. บุคคล หมายถึงอะไร กฎหมายแบ่งบุคคลเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... 4. คนไร้ความสามารถคือใคร ผลของการเป็นคนไร้ความสามารถกฎหมายก าหนดไว้อย่างไร ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... 5. กิจกรรม ให้นักศึกษาจัดกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ร่วมกันวิเคราะห์เนื้อหาและสรุปความรู้ในเรื่อง วิวัฒนาการกฎหมายในประเทศไทยและร่วมกันอภิปราย ตลอดจนการน าความรู้ไปประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจ าวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ (30 นาที) ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... กิจกรรมท้ายบทที่ 1 กิจกรรมกลุ่มบทที่ 1


39 บทที่ 2 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวกับชีวิตประจ าวัน สาระส าคัญ การศึกษากฎหมายพื้นฐานในการด าเนินชีวิตเกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในชีวิตประจ าวัน เพื่อศึกษาความหมายของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประเภทของกฎหมายแพ่ง เช่น ทรัพย์ นิติกรรม สัญญา และครอบครัว มีความรู้และมีความเข้าใจ เกี่ยวกับลักษณะการกระท าความผิด และโทษทางแพ่งเป็นข้อบังคับใช้ในกฎหมายในการด าเนิน ชีวิตต่อไป ตัวชี้วัด 1. มีความรู้ ในความหมายของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจ าวัน 2. มีความรู้ ความเข้าใจในประเภทของกฎหมายแพ่ง ลักษณะการกระท าความผิด และโทษทาง แพ่ง เช่น ทรัพย์ นิติกรรม สัญญา และครอบครัว ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในชีวิตประจ าวัน เรื่องที่ 2 ประเภทของกฎหมายแพ่ง เช่น ทรัพย์ นิติกรรม สัญญา และครอบครัว เวลาที่ใช้ในการศึกษา 21 ชั่วโมง สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือกฎหมายพื้นฐานเกี่ยวกับการด าเนินชีวิตในยุคดิจิทัล 2. ใบงานความรู้


Click to View FlipBook Version