The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กฎหมายดิจิทัล-ม.ปลาย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by rawa_30, 2023-07-10 10:09:41

กฎหมายดิจิทัล-ม.ปลาย

กฎหมายดิจิทัล-ม.ปลาย

40 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายแพ่ง เป็นกฎหมายเอกชนว่าด้วยเรื่องสิทธิหน้าที่ และความสัมพันธ์ ระหว่าง เอกชนต่อเอกชน ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย กฎหมายแพ่งของไทยบัญญัติในรูปของประมวล กฎหมายรวมกับกฎหมายพาณิชย์ รวมเรียกว่า กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีสาระพอสังเขป ได้ ดังนี้ 1.1 บุคคล หมายถึง สิ่งซึ่งมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย มี 2 ประเภท คือ บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล 1.1.1 บุคคลธรรมดา หมายถึง มนุษย์ซึ่งมีสภาพบุคคล และสิ้นสภาพบุคคลโดยการ ตายตามธรรมชาติ หรือตายโดยการสาบสูญ (กรณีปกติ 5 ปีและกรณีไม่ปกติ 2 ปี คือ อยู่ใน ระหว่างการรบสงคราม ประสบภัยในการเดินทาง เหตุอันตรายต่อชีวิต) 1.1.2 นิติบุคคล หมายถึง สิ่งที่กฎหมายรับรองให้เป็นสภาพบุคคลสมมุติ ให้มีสิทธิ หน้าที่เหมือนบุคคลธรรมดา แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ก) นิติบุคคลตามประมวลกกหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แก่ 1) กระทรวง ทบวง กรม 2) วัดวาอาราม ที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติสงฆ์ 3) ห้างหุ้นส่วนที่ได้จดทะเบียนแล้ว 4) บริษัทจ ากัด กฎหมายแพ่ง คือ กฎหมายที่เกี่ยวกับครอบครัวและมรดก กฎหมายแพ่งที่เกี่ยวกับ ครอบครัวเป็นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวข้องกับชีวิตของตนเองและครอบครัว ดังนี้ 1.1 การหมั้น เป็นการที่หญิงชายตกลงท าสัญญาว่าจะท าการสมรสกัน การหมั้นจะ สมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบทรัพย์อันเป็นของหมั้นให้แก่ฝ่ายหญิง แต่ในการสมรสนั้นไม่ได้บังคับ ว่าจะมีการหมั้นก่อน แต่ถ้าหมั้นก็จะมีผลผูกพันกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่า ด้วยการหมั้น เช่น ของหมั้นจะตกเป็นสิทธิแก่หญิงทันที เมื่อมีการหมั้นแล้ว ไม่ว่าชายหรือหญิง ตาย ฝ่ายหญิงก็ไม่ต้องคืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายเป็นต้น เกณฑ์การหมั้นตามกฎหมายนั้น คือ ชาย หญิงจะหมั้นต้องมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์จึงจะมีอ านาจที่จะท าการหมั้นได้โดยล าพังตนเอง แต่ถ้า มีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์จะท าการหมั้นได้ต้องมีพ่อแม่หรือผู้ปกครองยินยอมก่อน เป็นต้น การหมั้นที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขตามที่กฎหมายก าหนดไว้นั้นถือเป็นโมฆะ เหตุที่กฎหมายก าหนด อายุของหญิงและชายไว้ ก็เพราะการหมั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของชายและหญิง เมื่อจะท าสัญญา หมั้นกันจึงควรให้ชายและหญิงที่จะหมั้นอยู่ในวัยที่จะรู้เรื่องการหมั้นได้ตามสมควร กฎหมายถือว่า เรื่องที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในชีวิตประจ าวัน


41 ชายหญิงที่มีอายุต่ ากว่า 17 ปีบริบูรณ์ไม่อยู่ในวัยที่จะรู้เรื่องการหมั้น การสมรส แม้บิดามารดาจะ ยินยอมก็ตาม 1.2 การรับรองบุตร เป็นการให้การยอมรับบุตรซึ่งเกิดจากหญิงที่เป็นภรรยาโดยมได้จด ทะเบียนสมรส ซึ่งเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของหญิง แต่เป็นบุตรนอกกฎหมายของชาย กฎหมายจึงเปิดโอกาสให้ชายจดทะเบียนรับรองบุตร ซึ่งจะท าให้เด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย นับตั้งแต่วันที่ชายจดทะเบียน แต่ถ้าเป็นบุตรนอกสมรสแต่ต่อมาชายหญิงได้จดทะเบียนสมรสกันก็ ไม่ต้องจดทะเบียนรับรองบุตรอีก การจดทะเบียนบุตรมี2 วิธี คือการรับรองบุตรด้วยความสมัครใจ ของชายผู้เป็นบิดาและการรับรองบุตรโดยค าพิพากษาของศาลให้เด็กผู้นั้นเป็นบุตรของชายผู้เป็น บิดา 1.3 กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับมรดก กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับมรดกก าหนดว่าเมื่อบุคคล ใดตาย และท าพินัยกรรมไว้ มรดกจะตกทอดแก่บุคคลที่ผู้ตายระบุไว้ในพินัยกรรม หากไม่ได้ท า พินัยกรรมไว้มรดกจะตกทอดแก่บุคคลที่เป็นทายาทและคู่สมรส กองมรดก ได้แก่ ทรัพย์ทุกชนิด ของผู้ตาย รวมทั้งสิทธิและหน้าที่ ตลอดทั้งความรับผิดชอบต่างๆเกี่ยวกับทรัพย์สิน เป็นต้นว่า หนี้สิน เว้นแต่กฎหมาย หรือโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ เช่น สิทธิในการเข้า สอบหรือสิทธิในการมีอาวุธปืน การตายของเจ้าของมรดกมีความหมาย สองกรณีคือ ตายหรือ สิ้นชีวิตไปตามจริงตามใบมรณภาพหรือศาลสั่งให้เป็นบุคคลสาบสูญ บุคคลที่จะได้รับมรดกของ ผู้ตาย ได้แก่ ทายาท วัด แผ่นดิน บุคคลภายนอกนี้ไม่มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายเลย (ประกายศรี ศรีรุ่งเรือง , 2553) ทายาทแบ่งออกเป็นสองประเภท 1. ทายาทโดยธรรม เป็นทายาทตามสิทธิกฎหมาย ได้แก่ ญาติและคู่สมรส และทายาทที่แบ่ง ออกเป็นหกชั้นคือ 1.1 ผู้สืบสันดาน 1.2 บิดามารดา 1.3 พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 1.4 พี่น้องที่ร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน 1.5 ปู่ย่า ตายาย 1.6 ลุง ป้า น้า อา 2. ผู้รับพินัยกรรม พินัยกรรม ได้แก่ ค าสั่งยกทรัพย์สินหรือแบ่งทรัพย์สิน หรือวางข้อก าหนดใดๆ อันเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนเมื่อตายไปแล้ว หรือกรณีอื่นๆที่กฎหมายรับรองมีผลเมื่อตายไปแล้ว เช่น การตั้งเป็นผู้ปกครองเด็ก เป็นต้นและต้องท าให้ถูกกฎหมายก าหนดไว้ด้วย จึงจะมีผลเป็น พินัยกรรมตามกฎหมาย ผู้รับพินัยกรรม ได้แก่ผู้ที่มีชื่อระบุไว้ในพีนัยกรรม กฎหมายพาณิชย์ คือ กฎหมายว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบุคคล อันเป็นกฎหมายที่ เกี่ยวกับการเศรษฐกิจและการค้า โดยวางระเบียบเกี่ยวพันทางการค้าหรือธุรกิจระหว่างบุคคล เช่น


42 การตั้งหุ้นส่วนบริษัท การประกอบการรับขน และเรื่องเกี่ยวกับตั๋วเงิน (เช่น เช็ค) กฎหมายว่าด้วย การซื้อขาย การเช่าทรัพย์ การจ านอง การจ าน า เป็นต้น (สุจิต ปัญญาพฤกษ์, 2554) ในปัจจุบันกฎหมายแพ่งและกฎหมายพาณิชย์ของประเทศไทย ได้บัญญัติรวมเป็นกฎหมาย ฉบับเดียวกัน เรียกชื่อว่า "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" แบ่งออกเป็น 6 บรรพ คือ บรรพ 1 ว่าด้วยหลักทั่วไป บรรพ 2 ว่าด้วยหนี้ บรรพ 3 ว่าด้วยเอกเทศสัญญา บรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัวและบรรพ 6 ว่าด้วยมรดก เหตุที่ประเทศไทยมีการจัดท าประมวลกฎหมายโดยการน าเอากฎหมายแพ่งมารวมกับ กฎหมายพาณิชย์เป็นฉบับเดียวคล้ายกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศ สวิสเซอร์แลนด์โดยไม่ได้แยกเป็นประมวลกฎหมายแพ่งเล่มหนึ่งและประมวลกฎหมายพาณิชย์อีก เล่มหนึ่งดังเช่นประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น เพราะการค้าพาณิชย์ในขณะที่ร่างกฎหมาย ยังไม่เจริญก้าวหน้า อีกทั้ง หลักทั่วไปบางอย่างในกฎหมายแพ่งก็สามารถน าไปใช้กับกฎหมาย พาณิชย์ได้ความจ าเป็นที่จะต้องแยกกฎหมายพาณิชย์ออกจากกฎหมายแพ่งโดยจัด


43 1. ทรัพย์ กฎหมายได้แยกลักษณะของทรัพย์สินออกเป็น 2 ประเภทใหญ่คือ 1.1 สังหาริมทรัพย์ได้แก่ ก) ทรัพย์ทั้งหลายอันอาจเคลื่อนที่ได้ จากที่แห่งหนึ่งไปแห่งอื่น ไม่ว่าเคลื่อนด้วย แรงเดินแห่งตัวทรัพย์นั้นเอง หรือ ด้วยก าลังภายนอก เช่น 1) เคลื่อนที่ด้วยแรงของทรัพย์นั้นเอง เช่น หมู ช้าง วัว ควาย ฯลฯ 2) เคลื่อนด้วยก าลังภายนอก เช่น รถยนต์ คอมพิวเตอร์ โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ ข) ก าลังแรงแห่งธรรมชาติอันอาจถือเอาได้ เช่น ก๊าซ กระแสไฟฟ้า ค) สิทธิทั้งหลายอันเกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์นั้นด้วย เช่น ลิขสิทธิ์ สิทธิจ าน า สิทธิ จ านอง สิทธิเครื่องหมายการค้า ฯลฯ 1.2 อสังหาริมทรัพย์ได้แก่ 1) ที่ดิน 2) ทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินนั้น เช่น ตึก โรงเรือน บ้าน ไม้ยืนต้นต่างๆ ฯลฯ 3) ทรัพย์อันประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน เช่น หิน กรวด ทราย 4) สิทธิทั้งหลายอันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เช่น สิทธิครอบครอง สิทธิ จ านอง กรรมสิทธิ์ในที่ดิน 2. นิติกรรม นิติกรรม หมายถึง การกระท าใดๆ ที่ชอบด้วยกฎหมายและใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูก นิติสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ การแสดงเจตนาของนิติกรรมอาจจะแสดงด้วยวาจา ลายลักษณ์อักษร หรือการนิ่งก็ได้ นิติกรรมแม้จะท าด้วยใจสมัคร ก็มีข้อบกพร่อง ถ้ากฎหมายเข้าไปควบคุมและไม่อนุญาต ให้ท า โดยมี 2 ลักษณะ 2.1 โมฆะกรรม หมายถึง การกระท าใดๆ ลงไป โดยเสียเปล่า ไม่มีผลผูกพันใดๆ ได้แก่ 1) นิติกรรมที่ต้องห้ามโดยกฎหมายชัดแจ้ง เช่น ท าสัญญาจ้างให้กระท าผิดกฎหมาย จ้าง ฆ่าคน 2) นิติกรรมเป็นการพ้นวิสัย เช่น ท าสัญญาซื้อขายดวงอาทิตย์ 3) นิติกรรมที่เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน 4) นิติกรรมผิดแบบ เช่น การท าสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ต้องท าเป็นหนังสือและจด ทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ การเช่าซื้อต้องท าหนังสือ หากไม่ปฏิบัติก็ตกเป็นโมฆะ เรื่องที่ 2 ประเภทของกฎหมายแพ่ง เช่น ทรัพย์ นิติกรรม สัญญา และครอบครัว


44 2.2 โมฆียกรรม หมายถึง นิติกรรมที่มีผลต่อคู่กรณี แต่ไม่สมบูรณ์โดยกฎหมาย เนื่องจากความสามารถของ ผู้กระท านิติกรรม เช่น ผู้เยาว์ ผู้เสมือนไร้ความสามารถ ผู้ไร้ความสามารถ เป็นต้น หากมีการให้ การรับรอง นิติกรรมนั้นก็สมบูรณ์ หรือ บอกล้างได้ภายใน 10 ปี ก็จะตกเป็นโมฆะกรรม 3. สัญญา สัญญา หมายถึง นิติกรรมชนิดหนึ่ง สัญญาที่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องมีคู่สัญญาถูกต้องตาม สาระส าคัญ และมีวัตถุประสงค์ไม่ต้องห้ามตามก าหมาย หรือขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและ ศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญาที่ส าคัญและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจ าวัน ได้แก่ 3.1 สัญญากู้ยืมเงิน การกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาท ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อผู้ยืม จึงจะ ฟ้องร้องบังคับคดีได้ 3.2 สัญญาซื้อขาย สัญญาซื้อขาย คือ สัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สิน ให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อตกลงจะช าระราคาทรัพย์สินให้แก่ผู้ขาย หากพูดถึง การซื้อขาย ก็จะต้องกล่าวถึง สัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งส่วนให้จะท าสัญญากันก่อน ก่อนซื้อขายส่ง มอบทรัพย์สินกันจริง หลักเกณฑ์พิจารณาได้ดังนี้ สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือค ามั่นในการซื้อขาย ทรัพย์สินประเภท อสังหาริมทรัพย์ ถ้า มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นส าคัญ หรือได้ วางเงินมัดจ าไว้ หรือได้ช าระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ และกฎหมายยังบังคับถึง สัญญาซื้อขาย สังหาริมทรัพย์ที่มีราคาตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไปด้วย ที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ สัญญาซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ ต้องท าเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ (พนักงานที่ดิน) หากไม่ท าถือว่าเป็นโมฆะ 3.3 สัญญาขายฝาก สัญญาขายฝาก หมายถึง สัญญาซื้อขายที่ผู้ขาย มีสิทธิไถ่ถอนได้ทรัพย์คืนตามเวลาที่ ก าหนด หากไม่ไถ่ถอนภายในก าหนด กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น ก็จะตกไปยังผู้ซื้อนับตั้งแต่เวลาที่ ท าสัญญากัน 3.4 สัญญาเช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อ หมายถึง สัญญาที่เจ้าของทรัพย์ เอาทรัพย์ออกให้เช่า และให้ค ามั่นว่าจะขาย ทรัพย์สินนั้น หรือให้ทรัพย์สินนั้นแก่ผู้เช่า โดยมีเงื่อนไข ว่าต้องช าระเงินครบตามคราวที่ก าหนด และที่ส าคัญ สัญญาเช่าซื้อต้องท าเป็นหนังสือ มิฉะนั้นถือเป็นโมฆะ เจ้าของทรัพย์บอกเลิกสัญญาได้ ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ช าระค่าเช่า 2 งวดติดต่อกัน หรือผู้เช่า ซื้อผิดสัญญาในข้อที่เป็นสาระส าคัญ โดยผู้ให้เช่าซื้อได้เงินค่าเช่าที่ช าระไปแล้วทั้งหมดและเรียก ทรัพย์คืนได้


45 3.5 สัญญาจ านอง สัญญาจ านอง หมายถึง สัญญาที่ผู้จ านองเอาทรัพย์สิน ประเภท อสังหาริมทรัพย์ เรือแพ หรือ เครื่องจักร ไปจดทะเบียนจ านองเป็นประกันการช าระหนี้ ลักษณะส าคัญของสัญญาจ านอง 1) ผู้จ านองต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ที่จ านอง 2) ต้องท าเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ 3) ผู้จ านองจะน าทรัพย์สินที่ติดจ านองไปจ านองแก่ผู้อื่นอีกในระหว่างที่สัญญาจ านองอัน แรกยังมีอายุอยู่ก็ได้ 3.6 สัญญาจ าน า สัญญาจ าน า หมายถึง สัญญาที่ผู้จ าน า ส่งมอบทรัพย์สินประเภท สังหาริมทรัพย์ แก่ผู้รับ จ าน าและตกลงว่าจะมาไถ่ถอนตามวันและเวลาที่ก าหนด หากไม่มาไถ่ถอน ผู้รับจ าน ามีสิทธิใน ทรัพย์สินนั้น 3.7 สัญญาค้ าประกัน สัญญาค้ าประกัน หมายถึง การที่ผู้ค้ าประกันท าสัญญากับเจ้าหนี้ว่า เมื่อลูกหนี้ไม่ช าระหนี้ แล้ว ตนจะช าระหนี้แทน สัญญาค้ าประกัน ต้องท าเป็นหนังสือ จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ 4. ครอบครัว 4.1 การหมั้น หมายถึง การที่ฝ่ายชาย ตกลงกับฝ่ายหญิง ว่าจะสมรสกับหญิงนั้น โดย มีของหมั้นเป็นประกัน สาระส าคัญของการหมั้น 1) การหมั้นนั้นจะท าได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์ผู้เยาว์จะท าการ หมั้นต้องได้รับความยินยอมจากบิดา มารดาหรือผู้ปกครอง 2) ถ้าหมั้นแล้วสมรส ของหมั้นจะกลายเป็นสินส่วนตัวของฝ่ายหญิง 3) ถ้าหมั้นแล้วไม่สมรส 3.1 เนื่องจากความผิดของฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงยึดของหมั้นได้ 3.2 เนื่องจากความผิดของฝ่ายหญิง หญิงต้องคืนของหมั้นให้ฝ่ายชาย ชายเรียก สินสอดคืนได้ 3.3 ฝ่ายที่เสียหายเรียกค่าทดแทนได้ 3.4 จะฟ้องให้ศาลบังคับให้มีการสมรสไม่ได้ 4.2 การสมรส 1) การสมรสจะกระท าได้ต่อเมื่อชายและหญิงอายุ17 ปีบริบูรณ์หากอายุต่ ากว่านี้ ต้องให้ศาลอนุญาต 2) การสมรส จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อ จดทะเบียนต่อหน้านายทะเบียน


46 ผู้ที่กฎหมายห้ามสมรส 1. ชายหรือหญิงที่วิกลจริตหรือศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ 2. ชายหญิงที่เป็นญาติสืบสายโลหิตเดียวกัน เช่น พ่อแม่–ลูก หรือพี่–น้อง ที่มีพ่อแม่ ร่วมกัน 3. ผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรม 4. ชายหรือหญิงที่มีคู่สมรสอยู่แล้ว 5. หญิงที่เคยสมรสแล้ว เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงไม่ว่า เพราะสามีตาย หรือหย่า จะสมรส ใหม่ได้ต่อเมื่อ 6. การสมรสได้สิ้นสุดลงไปอย่างน้อย 310 วัน 7. สมรสกับคู่สมรสเดิม 8. คลอดบุตรในระหว่างนั้น 9. มีใบรับรองแพทย์ว่าไม่ตั้งครรภ์ 10.ศาลสั่งให้สมรสได้ 11.การสิ้นสุดของการสมรส 12.ตาย ไม่ว่าจะตายโดยธรรมชาติ หรือสาบสูญ 4.3 การหย่า 1) การหย่าโดยความยินยอมกันทั้งสองฝ่าย ต้องท าเป็นหนังสือ โดยมีพยานอย่างน้อย 2 คน หรือ จดทะเบียนหย่า 2) การหย่าโดยค าพิพากษาของศาล 2.1) เพราะมีอีกฝ่ายหนึ่งมีความผิด เช่น สามีอุปการะยกย่องหญิงอื่นฉันท์ภรรยา ภรรยามีชู้สามีหรือภรรยาไม่อุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่ง หรือ ประพฤติชั่ว 2.2) เพราะการสาบสูญ หรือ ความเจ็บป่วย เช่น ร่วมประเวณีกันไม่ได้ 4.4 การจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม 1. บุคคลผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุไม่ต่ ากว่า 25 ปีและต้องอายุมากกว่าบุตรบุญ ธรรมอย่างน้อย 15 ปีหากผู้จะเป็นบุตรบุญธรรมยังเป็นผู้เยาว์ ต้องได้รับความยินยอมจากบิดา มารดา หรือ ผู้แทน โดยชอบธรรม และคู่สมรส ด้วย (ยกเว้นคู่สมรสวิกลจริตหรือสาบสูญเกินกว่า 1 ปี) 2. การรับบุตรบุญธรรมจะสมบูรณ์ ถ้าจดทะเบียนตามกฎหมาย บุตรบุญธรรมจะมี ฐานะเหมือนบุตรที่ชอบด้วยก าหมายทุกประการ ขณะเดียวกันก็ไม่เสียสิทธิและหน้าที่ในครอบครัว ที่ให้ก าเนิด กฎหมายถือว่า บิดา-มารดาโดยก าเนิด หมดอ านาจปกครองนับตั้งแต่วันที่เด็กเป็นบุตร บุญธรรมของผู้อื่น


47 3. การเลิกรับบุตรบุญธรรม จะเลิกได้เมื่อทั้งคู่ยินยอมซึ่งกันและกัน หากบุตรบุญ ธรรมอายุต่ ากว่า 15 ปี จะฟ้องเลิกรับบุตรบุญธรรมไม่ได้เว้นแต่ผู้มีสิทธิให้ความยินยอมในการรับ บุตรบุญธรรมยินยอม 4. เมื่อเลิกรับบุตรบุญธรรม บุตรบุญธรรมกลับคืนสู่ฐานะในครอบครัวเดิม 4.5 มรดก 1. มรดกย่อมตกทอดแก่ทายาททันทีที่เจ้าของมรดกตายหรือสาบสูญ 2. ทายาท 2.1 ทายาทโดยธรรม ได้แก่ คู่สมรส และญาติสนิท สิทธิการรับมรดกจะแบ่งให้ ลดลงตามความห่างของญาติถ้าเจ้าของมรดก มีบิดามารดา คู่สมรสและบุตรทุกคน จะได้คนละ เท่ากันคนละส่วน 2.2 ทายาทโดยพินัยกรรม ในกรณีเจ้าของมรดก มีคู่สมรสต้องแบ่งทรัพย์สินแก่อีกฝ่ายหนึ่งก่อน ส่วนที่เหลือจึงเป็นมรดกตก ทอดต่อไป 2.3 ผู้ที่จะท าพินัยกรรมได้ต้องมีอายุ 15 ปีขึ้นไป และต้องไม่เป็นบุคคลไร้ ความสามารถ 2.4 การเสียมรดก 2.4.1 ทายาทโดยชอบธรรมยักย้ายถ่ายเท ปิดบังทรัพย์มรดก โดยทุจริต 2.4.2 ทายาทตามพินัยกรรม หลอกลวงหรือข่มขู่ให้เจ้ามรดกท าพินัยกรรมขึ้น ลักษณะการกระท าผิดทางแพ่งและความรับผิดทางแพ่ง การท าความผิดทางแพ่ง เป็นการท าผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นในเรื่องที่ เกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคล ผู้กระท าต้องถูกบังคับให้ชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทน ซึ่งความรับผิดทางแพ่งมี 5 ลักษณะ ดังนี้ 1. ความรับผิดในลักษณะละเมิด 2. ความรับผิดในลักษณะสัญญา 3. ความรับผิดในลักษณะการจัดการงานนอกสั่ง 4. ความรับผิดในลักษณะลาภมิควรได้ 5. ความรับผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ (ประสพสุข บุญเดช, ม.ป.ป.)


48 จงตอบค าถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. ทรัพย์ ตามกฎหมายแบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... 2. นิติกรรมคืออะไร แบ่งเป็นกี่ประเภท ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... 3. สัญญาซื้อขายคืออะไร จงอธิบาย ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... 4. จงอธิบายความหมายของกฎหมายแพ่ง มาพอสังเขป ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... กิจกรรมให้นักศึกษาจัดกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ร่วมกันสรุปเนื้อหาและข้อแตกต่างระหว่างกฎหมาย แพ่งและกฎหมายพาณิชย์มีความแตกต่างกันอย่างไร โดยให้นักศึกษาสรุปเนื้อหาแบบผังมโนทัศน์ ในการน าเสนอและให้นักศึกษาร่วมกันอภิปรายในกิจกรรม (30 นาที) ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... กิจกรรมท้ายบทที่ 2 กิจกรรมกลุ่มบทที่ 2


49 บทที่ 3 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายอาญา สาระส าคัญ การศึกษากฎหมายพื้นฐานในการด าเนินชีวิตเกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจ เบื้องต้นเกี่ยวกับ กฎหมายอาญา เพื่อศึกษาความหมายของกฎหมายอาญา ลักษณะการกระท าความผิด โทษ และ ความรับผิดในทางอาญา ตัวชี้วัด 1. มีความรู้ เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายอาญา 2. มีความรู้ ความเข้าใจในลักษณะการกระท าความผิด โทษ และความรับผิดในทางอาญา ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายอาญาในชีวิตประจ าวัน เรื่องที่ 2 ความรับผิดในทางอาญา เวลาที่ใช้ในการศึกษา 21 ชั่วโมง สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือกฎหมายพื้นฐานเกี่ยวกับการด าเนินชีวิตในยุคดิจิทัล 2. ใบงานความรู้


50 กฎหมายอาญา คือ กฎหมายที่บัญญัติถึงการกระท าหรืองดเว้นกระท าอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นความผิด และก าหนดโทษทางอาญา ที่จะลงแก่ผู้กระท าความผิด ( มาตรา 2 ) ความหมายของกฎหมายอาญา กฎหมายอาญาจัดอยู่ในสาขากฎหมายมหาชน เป็น กฎหมายที่เกี่ยวกับการกระท าความผิดและก าหนดโทษที่จะลงแก่ผู้ที่กระท าความผิดนั้น กฎหมายอาญามี 2 ระบบคือ ระบบกฎหมายของประเทศที่ใช้ประมวลกฎหมาย ซึ่งบัญญัติ ความผิดอาญาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และระบบคอมมอนลอว์ ซึ่งความผิดอาญาเป็นไปตาม หลักเกณฑ์ในค าพิพากษาของศาล ความผิดในทางอาญาของประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมาย นั้นถือว่า การกระท าใดๆจะเป็นความผิดหรือไม่และต้องรับโทษอย่างไร ต้องอาศัยตัวบทกฎหมาย อาญาเป็นหลัก การตีความวางหลักเกณฑ์ของความผิดจะต้องมาจากตัวบทเหล่านั้น ค าพิพากษา ของศาลไม่สามารถสร้างความผิดอาญาขึ้นได้ แต่ระบบคอมมอนลอว์นั้น การกระท าใดๆจะเป็น ความผิดอาญาต้องอาศัยค าพิพากษาที่ได้วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานและน าบรรทัดฐานนั้นมา เปรียบเทียบกับคดีที่เกิดขึ้น (สุจิต ปัญญาพฤกษ์, 2555) 1. กฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการป้องกันสังคมให้เกิดความสงบ เรียบร้อย โดยก าหนดว่าการกระท าใดเป็นความผิดอาญาและก าหนดโทษของผู้ฝ่าฝืน 2. ลักษณะที่ส าคัญของกฎหมายอาญา คือเป็นกฎหมายที่ก าหนดเป็นความผิดชัดแจ้งและไม่ มีผลบังคับย้อนหลังที่เป็นโทษแก่ผู้กระท าความผิด 3. โทษทางอาญามี5 ชนิด คือ ประหารชีวิต จ าคุก กักขัง ปรับและริบทรัพย์สิน 4. การกระท าความผิดทางอาญามีบางกรณีที่กฎหมายยกเว้นโทษและยกเว้นความผิด 5. เด็กและเยาวชนกระท าความผิดอาจได้รับโทษต่างกับการกระท าความผิดของผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กและเยาวชนเป็นผู้อ่อนเยาว์ ปราศจากความรู้สึกรับผิดชอบ การลงโทษต้องค านึงถึง อายุของเด็กกระท าความผิด กฎหมายอาญา คือ กฎหมายที่ว่าด้วยความผิดและโทษที่ก าหนดไว้ส าหรับความผิด ตัวบท ที่ส าคัญๆ ของกฎหมายอาญาก็คือ ประมวลกฎหมายอาญา นอกจากประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ยังมีพระราชบัญญัติอื่นๆที่ก าหนดโทษทางอาญาส าหรับการฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินั้น เช่น พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พระราชบัญญัติการพนัน เป็นต้น ทุกสังคมย่อมมีกฎเกณฑ์ ข้อบังคับความประพฤติของสมาชิกในสังคมนั้นๆ บุคคล ใดมีการกระท าที่มีผลกระทบกระเทือนต่อสังคมหรือคนส่วนใหญ่ จัดเป็นการกระท าความผิดทาง อาญา ดังนั้นกฎหมายอาญาจึงเป็นกฎหมายซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการป้องกันสังคม เพื่อให้เกิดความ สงบเรียบร้อยโดยการก าหนดว่า การกระท าใดเป็นความผิดอาญาและได้ก าหนดโทษของผู้ฝ่าฝืน กระท าความผิดนั้นๆ (สุจิต ปัญญาพฤกษ์, 2555) เรื่องที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายอาญาในชีวิตประจ าวัน


51 โทษทางอาญา โทษที่จะลงแก่ผู้กระท าผิดอาญามี 5 สถาน จากโทษหนักที่สุดไปยังโทษที่ เบาที่สุด ( มาตรา 18 ) 1. ประหารชีวิต 2. จ าคุก 3. กักขัง 4. ปรับ 5. ริบทรัพย์สิน ประเภทของกฎหมายอาญา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท 1) พระราชบัญญัติต่างๆ และกฎหมายอื่นๆ ที่บัญญัติถึงความผิดและก าหนดโทษทางอาญา เช่น พ.ร.บ.การพนัน, พ.ร.บ.ศุลกากร, พ.ร.บ.ป่าไม้, พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ เป็นต้น 2) ประมวลกฎหมายอาญา เป็นประมวลกฎหมายที่รวบรวมเอาความผิดทางอาญาทั่ว ๆ ไปตลอดจนหลักเกณฑ์ในการลงโทษรวมไว้เป็นหมวดหมู่ในเล่มเดียวกัน มีอยู่ 398 มาตรา ลักษณะของกฎหมายอาญา กฎหมายอาญามีลักษณะที่ส าคัญ พอสรุปได้ดังนี้ คือ 1) เป็นกฎหมายมหาชน คือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับราษฎร 2) เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความผิด และโทษในทางอาญา 3) โดยปกติบังคับเฉพาะการกระท าในอาณาเขตประเทศไทยเท่านั้น เว้นแต่การกระท า ความผิดนอกราชอาณาเขตบางประการ (ตาม ป.อ.มาตรา 7 – 9) 4) บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร 5) จะต้องตีความตามตัวบทกฎหมายโดยเคร่งครัด จะตีความในทางขยายความเพื่อเป็น ผลร้ายแก่จ าเลยหรือผู้ต้องหาไม่ได้ เว้นแต่จะตีความในทางที่เป็นคุณ 6) ไม่มีผลย้อนหลังในทางที่เป็นโทษแก่บุคคล เว้นแต่จะย้อนหลังไปเป็นคุณแก่บุคคล ผู้กระท าความผิด(ตาม ป.อ.มาตรา 2 วรรค 2 และมาตรา3) บทนิยาม บทนิยามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญานี้มีทั้งหมด 14 ถ้อยค า แต่ละ ถ้อยค าจะมีความหมายที่แตกต่างไปจากความหมายธรรมดาสามัญโดยทั่วไป ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ผู้ใช้ กฎหมายได้ทราบความหมายที่ชัดเจนและแน่นอน 1. โดยทุจริต หมายความว่า เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ส าหรับตนเองหรือผู้อื่น ตัวอย่าง (1) ชายตบตีหญิงและแย่งเอาทรัพย์ของหญิงไปเก็บไว้เพื่อห้ามมิให้หญิงเล่นการพนันด้วย ความดีโดยถือว่าตนเป็นสามีแม้จะมิใช่สามีโดยชอบด้วยกฎหมายก็ตามต้องถือว่าชายไม่มีเจตนา ทุจริต ไม่ผิดฐานชิงทรัพย์(ฎีกาที่ 120/2475)


52 (2) ได้เงินจากประชาชนที่เชื่อตามหลอกว่าเป็นน้ าพุศักดิ์สิทธิ์รักษาโรคได้ถือว่าเป็นการ แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเป็นการกระท าโดยทุจริต เป็นความผิดฐาน ฉ้อโกง (ฎีกาที่ 557/2502) 2. ทางสาธารณะ หมายถึง ทางบกหรือทางน้ าส าหรับประชาชนใช้ในการจราจรและให้ ความหมายรวมถึงทางรถไฟ และทางรถราง ที่มีรถเดินส าหรับประชาชนโดยสารด้วย ค าว่า ทางบกหรือทางน้ า ที่จะเป็นทางสาธารณะนี้อาจจะเป็นถนน แม่น้ า หรือล าคลอง ที่ประชาชนใช้ในการจราจร แต่มิได้หมายความถึงทางส่วนบุคคล หรือที่เจ้าของสงวนสิทธิ์ไว้ แต่ถ้า เอกชนได้อุทิศให้เป็นทางสาธารณะแล้ว ย่อมถือว่าเป็นทางสาธารณะได้ (ข้อสังเกต ) ทางอากาศแม้ว่าประชาชนจะได้ใช้ในการจราจร ก็ไม่เป็นทางสาธารณะ ตัวอย่าง (1) ตลาดเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนและมีโฉนด ทางเดินในตลาดนั้นไม่ถือว่าเป็นทาง สาธารณะ (ฎีกาที่ 510/2475) (2) คลองที่เจ้าของที่ดินขุดขึ้น แม้จะมีผู้อื่นใช้เรือเข้าออกมานาน แต่เจ้าของมิได้อุทิศให้ เป็นทางสาธารณะ ย่อมไม่ใช่ทางสาธารณะ (ฎีกาที่ 1186/2500) (3) ล าห้วยทางน้ าไหล น้ ามีไม่ตลอดปีไม่มีผู้ใช้หรือสัญจรไปมา ไม่ถือว่าเป็นทางสาธารณะ (ฎีกาที่ 919/2507) 3. สาธารณสถาน หมายถึง สถานที่ใดๆ ซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ “สถานที่ใดๆ” อาจจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ก็ได้และจะเป็นสถานที่ว่าง เปล่าหรือมีสิ่งปลุกสร้างอยู่ด้วยก็ได้เช่น สวนสาธารณะ วัดวาอาราม โรงภาพยนตร์ ศาล รถประจ า ทาง หรือรถไฟ ตัวอย่าง (1) ในร้านขายอาหาร เจ้าของแบ่งที่ส่วนในไว้เป็นที่อาศัยหลับนอนและบุคคลอื่นจะเข้าไป ต้องได้รับอนุญาต ไม่ถือว่าเป็นสาธารณสถาน (ฎีกาที่ 606/2475) (2) ที่เกิดเหตุเป็นร้านค้า และเป็นที่ที่ประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้เป็น สาธารณสถาน (ฎีกาที่ 1362/2508) 4. เคหสถาน หมายถึง ที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย เช่น เรือน โรง เรือ หรือแพ ซึ่งคนอยู่อาศัย และให้หมายความรวมถึง บริเวณที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยนั้นด้วย จะมีรั้วหรือไม่ก็ตาม ตัวอย่าง (1) รถหรือเรือซึ่งใช้เป็นที่พักระหว่างเดินทาง ท างานหรือท่องเที่ยวและใช้เป็นที่นอนหลับ เป็นประจ าในระหว่างเดินทาง ย่อมเป็นเคหสถาน (2) เกวียนที่ใช้เป็นที่อยู่ประจ าทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอดจนเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ ย่อมเป็นเคหสถาน (3) รั้วบ้านเป็นเพียงเขตที่อยู่อาศัย มิใช่เคหสถาน (ฎีกาที่ 522/2475)


53 5. อาวุธ หมายความรวมถึง สิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ แต่ซึ่งได้ใช้หรือเจตนาจะใช้ ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ อาวุธจึงแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ก. สิ่งซึ่งเป็นอาวุธโดยสภาพ คือ สิ่งที่ท าขึ้นเพื่อใช้ประหัตประหารกัน อันสามารถท า อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ หรือสามารถประทุษร่างกายถึงอันตรายสาหัสได้เช่น ปืน ดาบ หอก ระเบิดมือ ข. สิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ คือ สิ่งซึ่งตามปกติไม่มีลักษณะเป็นอาวุธโดยสภาพ เพราะที่ สร้างขึ้นมานั้นใช้ส าหรับกิจการอย่างอื่น เช่น พาย ไม้ ขวาน มีดท าครัว หรือเคียวเกี่ยวข้าว เป็นต้น ตัวอย่าง (1) ไม้พาย ตามสภาพเป็นเครื่องใช้ส าหรับเรือชนิดหนึ่ง แต่เมื่อได้น ามาท าร้ายร่างกายถึง อันตรายสาหัสก็ถือได้ว่าไม้พายเป็นอาวุธ (ฎีกาที่ 1121/2481) (2) จ าเลยชักสิ่วออกมาขู่ท าร้ายในการปล้นเป็นการปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัวไป (ฎีกาที่ 2009/2522) (3) ไฟฉายที่ใช้ในการปล้นทรัพย์ เมื่อไม่ปรากฏว่าใหญ่หรือยาวเท่าใด จะอนุมานเอาว่าเป็น เครื่องประหารอันสามารถจะใช้กระท าแก่ร่างกายได้ถึงอันตรายสาหัส เป็นอาวุธไม่ได้ (ฎีกาที่ 1311/2493) 6. ใช้ก าลังประทุษร้าย หมายถึง ท าการประทุษร้ายแก่ร่างกายหรือจิตใจของบุคคล ไม่ว่า จะท าด้วยแรงกายภาพ หรือด้วยวิธีอื่นใด เป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัด ขืนได้ 6.1 การประทุษร้ายโดยใช้แรงกายภาพ หมายถึง การใช้ก าลังทางกายนั่นเอง เช่น ชก ต่อย ตบ ตี เตะ หรือผลักให้ล้ม โดยไม่ค านึงถึงว่าจะมีบาดแผลหรือบาดเจ็บหรือไม่ 6.2 การประทุษร้าย อาจจะเป็นการกระท าต่อร่างกายหรือจิตใจของบุคคลก็ได้เช่น ท าให้ กลัวจนเสียสติหรือขู่ให้เขากลัวจนต้องล้มเจ็บลง เป็นต้น 6.3 การกระท าซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใด อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้เช่น ใช้ ยาท าให้มึนเมา การสะกดจิต มอมเหล้าจนหมดสติเป็นต้น ตัวอย่าง (1) แกะเชือกที่ผูกกระบือจากเด็กเลี้ยงกระบือ แล้วพากระบือหนีไป เป็นการใช้ก าลัง ประทุษร้าย (ฎีกาที่ 867/2502) (2) จ าเลยจับมือและกอดเด็กหญิงอายุ 14 ปี ถือว่าเป็นการใช้แรงกายภาพ เป็นการใช้ ก าลังประทุษร้าย (ฎีกาที่ 501/2503) (3) จับมือให้ลุกขึ้นโดยเขาไม่สมัครใจ ถือได้ว่าเป็นการใช้ก าลังประทุษร้าย (ฎีกาที่ 2119/2519)


54 7. เอกสาร หมายความว่า กระดาษหรือวัตถุอื่นใดซึ่งท าให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร ตัวเลข ผัง หรือแผนแบบอย่างอื่น จะเป็นโดยวิธีพิมพ์ ถ่ายภาพ หรือวิธีอื่น อันเป็นหลักฐานแห่ง ความหมายนั้น ค าว่า “ซึ่งท าให้ปรากฏความหมาย”ที่จะเป็นเอกสารนี้จะต้องเกิดจากการกระท าของ บุคคลด้วย ถ้าปรากฏขึ้นเอง เช่น ปรอทอุณหภูมิ นาฬิกาบอกเวลา เครื่องค านวณ เครื่องชั่ง ตวง วัด ไม่ถือว่าเป็นเอกสาร ตัวอย่าง (1) ภาพถ่ายห้อง เครื่องใช้ ตู้เสื้อผ้า ของอื่นๆ ในบ้าน ไม่ได้แสดงความหมายอย่างใดไม่เป็น เอกสาร(ฎีกาที่ 1209/2522) 8. เอกสารราชการ หมายความว่า เอกสารที่เจ้าพนักงานได้ท าขึ้นหรือรับรองในหน้าที่และ ให้หมายความรวมถึง ส าเนาเอกสารนั้นๆ ที่เจ้าพนักงานได้รับรองในหน้าที่ด้วย ตัวอย่าง (1) ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ เป็นเอกสารราชการ แต่ไม่เป็นเอกสารสิทธิ์(ฎีกาที่ 40/2507) (2) ประกาศนียบัตรของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นเอกสารราชการ (ฎีกาที่ 1654/2503) (3) สลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นเอกสารสิทธิ์ แต่ไม่เป็นเอกสารราชการ (ฎีกาที่ 531/2498) (4) หนังสือรับรองการท าประโยชน์ เป็นเอกสารราชการ (ฎีกาที่ 1385/2522) 9. เอกสารสิทธิ์หมายความว่า เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ์ ตัวอย่างที่เป็นเอกสารสิทธิ์หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน ในรับรองมอบฉันทะให้รับเงิน ธนาณัติ ใบอนุญาตให้มีอาวุธปืน สลากกินแบ่งรัฐบาล เช็ค แบบ ส.ค.1 เป็นต้น ตัวอย่างที่ไม่เป็นเอกสารสิทธิ์หนังสือมอบอ านาจให้จัดการอย่างใดอย่างหนึ่งแทนเจ้าของ ที่ดิน ค าร้องทุกข์ของผู้เสียหาย ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ ใบแต่งตั้งทนาย ใบมอบฉันทะให้โอนที่ดิน ทะเบียนสมรส (เป็นเอกสารราชการ) เป็นต้น ตัวอย่างที่เป็นเอกสารสิทธิ์และเอกสารราชการ โฉนดที่ดิน ใบเสร็จรับเงินค่าภาษีรถยนต์ ที่ทางราชการออกให้ตั๋วพิมพ์รูปพรรณสัตว์พาหนะ อาชญาบัตรฆ่าสัตว์เป็นต้น 10. ลายมือชื่อ หมายความรวมถึง ลายพิมพ์นิ้วมือ และเครื่องหมายซึ่งบุคคลลงไว้แทน ลายมือชื่อของตน ลายมือชื่อจึงมีความหมายได้ 3 อย่าง คือ (1) ลายมือชื่อ คือ ลายเซ็นเจ้าของชื่อนั่นเอง จะมีนามสกุลด้วยหรือไม่ก็ได้ (2) ลายพิมพ์นิ้วมือ เป็นลายพิมพ์นิ้วมือของบุคคลซึ่งเซ็นชื่อไม่ได้ (3) เครื่องหมายที่บุคคลลงไว้แทนลายมือชื่อ เช่น ประทับตรายี่ห้อแทนลายมือชื่อ หรือใช้แกงไดหรือเครื่องหมายอื่นท านองเดียวกันก็ได้ ข้อสังเกต ลายมือชื่อตาม ป.อ.ไม่ต้องมีพยานรับรอง ต่างกับลายมือชื่อตาม ป.พ.พ. จะต้อง มีพยานรับรอง 2 คน


55 11. กลางคืน หมายความว่า “ระหว่างเวลาพระอาทิตย์ตก และพระอาทิตย์ขึ้น”เวลา กลางคืนไม่ถือว่าเอาเวลานาฬิกา แต่ถือว่าเอาเวลาที่พระอาทิตย์ตกพ้นขอบฟ้าไปทั้งดวงแล้วจนถึง เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้าทั้งดวงแล้ว 12. คุมขัง หมายความว่า คุมตัว ควบคุม ขัง กักขัง หรือจ าคุก 13. ค่าไถ่ หมายความว่า ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่เรียกเอาหรือให้แลกเปลี่ยนเสรีภาพ ของผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว หรือผู้ถูกกักขัง 14. บัตรอิเล็กทรอนิกส์หมายความว่า (ก) เอกสารหรือวัตถุอื่นใด ไม่ว่าจะมีรูปลักษณะใดที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ ซึ่งจะระบุชื่อหรือไม่ก็ตาม โดยบันทึกข้อมูลหรือรหัสไว้ด้วยการประยุกต์ใช้วิธีการทางอิเล็กตรอน ไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือวิธีใด ในลักษณะคล้ายกัน ซึ่งรวมถึงการประยุกต์ใช้วิธีการทางแสง หรือวิธีการทางแม่เหล็กให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร ตัวเลข รหัส หมายเลขบัตร หรือ สัญลักษณ์ อื่นใดทั้งที่สามารถมองเห็นและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า (ข) ข้อมูล รหัส หมายเลขบัญชี หมายเลขชุดทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่องมือทาง ตัวเลขใดๆ ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิ์ใช้โดยมิได้มีการออกเอกสารหรือวัตถุอื่นใดให้แต่มี วิธีการใช้ในท านองเดียวกับ (ก) หรือ (ค) สิ่งอื่นใดที่ใช้ประกอบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคลกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของ วัตถุประสงค์ในการลงโทษ การลงโทษในทางอาญามีวัตถุประสงค์ที่ส าคัญอยู่ 4 ประการ 1. ลงโทษเพื่อเป็นการทดแทน หรือตอบแทนบุคคลที่ได้กระท าความผิด 2. ลงโทษเพื่อเป็นการข่มขู่ มิให้ผู้นั้นกระท าผิดขึ้นอีกและข่มขู่มิให้บุคคลอื่นกระท า ความผิด 3. ลงโทษเพื่อเป็นการปรับปรุงแก้ไขผู้กระท าความผิด ให้เปลี่ยนนิสัยเป็นคนดีต่อไป 4. ลงโทษเพื่อเป็นการตัดมิให้ผู้นั้นได้มีโอกาสไปกระท าความผิดขึ้นอีก (ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, 2554)


56 วัตถุประสงค์ในการลงโทษ การลงโทษในทางอาญามีวัตถุประสงค์ที่ส าคัญอยู่ 4 ประการ 1. ลงโทษเพื่อเป็นการทดแทน หรือตอบแทนบุคคลที่ได้กระท าความผิด 2. ลงโทษเพื่อเป็นการข่มขู่ มิให้ผู้นั้นกระท าผิดขึ้นอีกและข่มขู่มิให้บุคคลอื่นกระท า ความผิด 3. ลงโทษเพื่อเป็นการปรับปรุงแก้ไขผู้กระท าความผิด ให้เปลี่ยนนิสัยเป็นคนดีต่อไป 4. ลงโทษเพื่อเป็นการตัดมิให้ผู้นั้นได้มีโอกาสไปกระท าความผิดขึ้นอีก การกระท าโดยเจตนา โดยทั่วไปบุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อกระท าโดยเจตนา เว้นแต่ว่าในกรณีที่ กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดแม้กระท าโดยประมาทหรือกระท าโดยไม่เจตนาก็ให้รับผิดตามนั้น (มาตรา 59) การกระท าโดยเจตนา แยกได้เป็น 2 ประการ คือ 1) เจตนาประสงค์ต่อผล (รู้ส านึกในการกระท า + ประสงค์ต่อผล) คือ ต้องการให้เกิด ตามที่ผู้กระท ามุ่งหมาย เช่น ก.ต้องการฆ่า ข.จึงใช้ปืนยิงไปที่ ข.1 นัด ถือว่า ก.มีเจตนาฆ่า ข.โดย ประสงค์ต่อผล 2) เจตนาย่อมเล็งเห็นผล (รู้ส านึกในการกระท า + ย่อมเล็งเห็นผล) คือ ไม่ต้องการให้ เกิดผลแต่คาดหมาย ได้ว่าผลอาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น ก.ได้ใช้ปืนยิงเข้าไปในรถยนต์ที่ก าลังวิ่งอยู่ และมีผู้โดยสารอยู่เต็มคันรถท าให้กระสุนยิงถูก ข.ตาย ดังนี้ แม้ ก.จะไม่ประสงค์ให้ ข.ตาย แต่ ก.ก็เล็งเห็นได้ว่ากระสุนปืนถ้าถูกใครเข้าย่อมท าให้ผู้นั้น ถึงแก่ความตายได้ (เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, 2551) การกระท าโดยประมาท การกระท าโดยประมาท ได้แก่ การกระท าความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระท าไปโดย ปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และผู้กระท า อาจใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ (มาตรา 59 วรรค 4) 1) วิสัย หมายถึง ลักษณะของบุคคล เช่น อายุ เพศ การศึกษา 2) พฤติการณ์ หมายถึง สภาพภายนอกตัวผู้กระท า เช่น สภาพรถ ดินฟ้าอากาศ เขตชุมชน “ผู้ใดกระท าโดยประมาทและการกระท านั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ จ าคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 20,000.-บาท” (มาตรา 291) ตัวอย่าง สามีเอากรรไกรคีบหมากขว้างไปที่ประตูหวังจะหยอกล้อภรรยา แต่กรรไกรไป โดนประตูและกระดอนไปถูกภรรยาถึงแก่ความตาย ดังนี้ เป็นเรื่องท าให้คนตายโดยประมาท (ฎีกาที่ 472/2491) เรื่องที่ 2 ความรับผิดในทางอาญา


57 การกระท าโดยไม่เจตนา “ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ท าร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ จ าคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี” (มาตรา 290) ตัวอย่าง จ าเลยชก ก.ที่ขากรรไกร ก.ล้มท้ายทอยฟาดกับพื้นถนนท าให้เส้นโลหิตในสมอง แตก ก.พูดไม่ได้และตายใน 7 ชั่วโมง ดังนี้ จ าเลยมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา (ฎีกาที่ 225/2503) ขั้นตอนของการกระท า โดยปกติกรณีที่จะถือว่าเป็นการกระท าของบุคคลนั้น จะต้องประกอบด้วยขั้นตอน 4 ประการ คือ 1. มีความคิดที่จะกระท า 2. มีการตกลงใจที่จะกระท าตามที่คิดไว้ 3. มีการตระเตรียมที่จะกระท าตามที่ตกลงใจ 4. มีการลงมือกระท า การกระท าเพราะความมึนเมา ความมึนเมาเพราะการเสพสุรา หรือสิ่งที่เมาอย่างอื่นนั้น จะยกขึ้นมาเป็นเหตุ เพื่อให้ได้รับการยกเว้นโทษหรือลดหย่อนโทษได้นั้น จะต้องเกิดขึ้นโดยผู้เสพไม่ รู้ว่าสิ่งนั้นจะท าให้มึนเมาหรือได้เสพ เพราะถูกขืนใจให้เสพเท่านั้น (มาตรา 66) 1. ถ้าได้กระท าความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ ผู้กระท าความผิดจะได้รับการยกเว้นโทษ ส าหรับความผิดนั้น (แต่การกระท ายังเป็นความผิดอยู่) 2. ถ้าได้กระท าความผิดในขณะยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือสามารถบังคับตนเองได้ บ้าง ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายได้ก าหนดไว้ส าหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ การรอการลงอาญา แบ่งเป็น 2 อย่าง 1. รอการก าหนดโทษ ศาลจะมีค าพิพากษาว่าจ าเลยกระท าความผิด แต่ไม่ก าหนดโทษ ว่าควรรับโทษเท่าไร 2. รอการลงโทษ ศาลมีค าพิพากษาว่าจ าเลยกระท าความผิด ควรลงโทษจ าคุกหรือ ปรับเท่าใด แต่ยังไม่น าตัวไปรับโทษ ทั้ง 1 และ 2 ศาลให้โอกาสผู้กระท าความผิดกลับตัวภายในระยะเวลาที่ก าหนด (ต้องไม่เกิน 5 ปี) เงื่อนไขการรอลงอาญา (มาตรา56) 1) ความผิดนั้นต้องระวางโทษจ าคุก 2) ศาลมีค าพิพากษาให้ลงโทษจ าคุกไม่เกิน 2 ปี 3) ไม่ปรากฏว่าผู้นั้นเคยถูกจ าคุกมาก่อน 4) ศาลต้องค านึงถึง อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ นิสัย อาชีพ ฯลฯ


58 การพยายามกระท าความผิด หมายถึง การที่ลงมือกระท าความผิด แต่กระท าไปไม่ตลอด หรือกระท าไปตลอดแล้วแต่การกระท าไม่บรรลุ ผู้พยายามกระท าผิดต้องรับโทษ 2 ใน 3 ของโทษ ที่กฎหมายก าหนด (มาตรา 80) 1) ความผิดบางอย่างแม้เป็นการพยายาม แต่กฎหมายให้ลงโทษเท่ากับความผิดส าเร็จ 2) การพยายามกระท าความผิด แต่ยับยั้งเสียเองไม่กระท าให้ตลอดผู้นั้นมีความผิด แต่ ไม่ต้องรับโทษ (มาตรา 82) ตัวการ การกระท าความผิดที่เกิดขึ้นโดยการกระท าของบุคคล ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ผู้ที่ร่วม กระท าผิดด้วยกันเรียกว่า “ตัวการ” ต้องรับโทษตามที่กฎหมายก าหนดไว้ส าหรับความผิดนั้น (มาตรา 83) ผู้ใช้ผู้ใดให้ผู้อื่นกระท าความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระท าความผิด (มาตรา 84) 1) ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระท าความผิด ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนตัวการ 2) ถ้าผู้ถูกใช้มิได้กระท าความผิด ผู้ใช้ต้องรับโทษ 1 ใน 3 ของโทษที่ก าหนด ความผิดลหุโทษ คือ ความผิดซึ่งต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000.- บาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ (แม้ไม่มีเจตนาก็ต้องรับผิด) การกระท าผิดระหว่างสามีและภรรยา (มาตรา 71) การกระท าที่สามีกระท าต่อภรรยา หรือภรรยากระท าต่อสามีผู้กระท าไม่ต้องรับโทษตาม ความผิดดังต่อไปนี้ 1. ลักทรัพย์ 2. วิ่งราวทรัพย์ 3. ฉ้อโกง 4. โกงเจ้าหนี้ 5. ยักยอกทรัพย์ 6. รับของโจร 7. ท าให้เสียทรัพย์ 8. บุกรุก การกระท าเพราะความจ าเป็น (มาตรา 67) 1. เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อ านาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ 2. เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้ พ้นโดยวิธีใดได้ เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน ถ้าการกระท านั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ(แต่ยังมีความผิดอยู่) ตัวอย่าง ก.ใช้ปืนบังคับ ข.ให้ ข.ใช้ไม้ตีศีรษะ ค. ข.กลัวจึงใช้ไม้ตีศีรษะ ค.แตก ถือว่า ข.ได้ กระท าไป เพราะอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อ านาจ ข.มีความผิดฐานท าร้ายร่างกายแต่ ข.ไม่ต้องรับ โทษ การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 68) ผู้ใดจ าต้องกระท าการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่น ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจาก การประทุษร้าย อันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระท าพอสมควรแก่ เหตุ การกระท านั้นเป็นการป้องกัน โดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด


59 ตัวอย่าง ก.จะยิง ข. ข.จึงยิง ก.ก่อน หรือ ค.เห็น ก.จะยิง ข. ค.จึงยิง ก.ก่อน ดังนี้ การกระท าของ ข.หรือ ค. ดังกล่าวสามารถอ้างป้องกันได้ ตัวอย่าง ก.ถือปืนข้ามรั้วเข้ามาในบริเวณบ้านของ ข.เกิดโต้เถียงกัน ก.ใช้ปืนยิง ข. ก่อน ข.กลัวว่า ก.จะยิงซ้ าจึงยิงเอาบ้าง ถือว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ไม่เป็นความผิด (ฎีกาที่ 879/2506) (เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, 2552)


60 จงตอบค าถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. โทษทางอาญา มีกี่สถาน อะไรบ้าง จงเรียงจากสถานหนักไปยังสถานเบา ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... 2. การกระท าที่สามีกระท าต่อภรรยา หรือภรรยากระท าต่อสามี ผู้กระท าไม่ต้องรับโทษตาม ความผิดดังต่อไปนี้ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... กิจกรรมให้นักศึกษาจัดกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ร่วมกันสรุปเนื้อหาในเรื่องโทษทางอาญามีกี่สถานโดยที่ นักศึกษายกตัวอย่างกรณีการกระท าผิดโทษทางอาญา น าเสนออย่างน้อยกลุ่มละ 5 เรื่อง และให้ นักศึกษาอภิปรายการกระท าผิดโทษทางอาญาร่วมกับนักศึกษาและครูผู้สอนดังต่อไปนี้(30 นาที) ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... กิจกรรมท้ายบทที่ 3 กิจกรรมกลุ่มบทที่ 3


61 บทที่ 4 กฎหมายทั่วไปส าหรับประชาชน สาระส าคัญ การศึกษากฎหมายพื้นฐานในการด าเนินชีวิตส าหรับประชาชนเกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจ ในกฎหมายทะเบียนราษฎร์ และกฎหมายการเกณฑ์ทหาร เพื่อน าความรู้ไปใช้ในการด าเนินชีวิตซึ่ง เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์และหน้าที่การเป็นพลเมืองไทย ตัวชี้วัด 1. มีความรู้ ความเข้าใจ ในกฎหมายทะเบียนราษฎร์ 2. มีความรู้ ความเข้าใจ ในกฎหมายการเกณฑ์ทหาร ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1 กฎหมายทะเบียนราษฎร์ เรื่องที่ 2 กฎหมายการเกณฑ์ทหาร เวลาที่ใช้ในการศึกษา 27 ชั่วโมง สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือกฎหมายพื้นฐานเกี่ยวกับการด าเนินชีวิตในยุคดิจิทัล 2. ใบงานความรู้


62 แนวคิด กฎหมายเกี่ยวกับทะเบียนราษฎรได้ก าหนดระเบียบปฏิบัติในการแจ้งเกิด การแจ้ง ตาย การย้ายที่อยู่ การจัดท าทะเบียนคนและทะเบียนบ้าน โดยได้ก าหนดไว้ว่าเมื่อมีคนเกิดในบ้าน เจ้าบ้านจะต้องแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ภายในเวลา 15 วันนับแต่วันเกิด เมื่อมีคนตายเจ้าบ้า จะต้องแจ้งต่อนายทะเบียนภายในเวลา 24 ชั่วโมงนับแต่เวลาตาย เมื่อบุคคลย้ายออกจากบ้านหรือ ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน เป็นหน้าที่ของเจ้าบ้านต้องแจ้งต่อนายทะเบียนภายในเวลา 15 วัน พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 เป็นกฎหมายส าคัญที่ก าหนด ระเบียบปฏิบัติ การแจ้งเกิด การแจ้งตาย การย้ายที่อยู่ การจัดท าทะเบียนคนและทะเบียนบ้าน เป็นกฎหมายที่ใกล้ตัวเกี่ยวข้องกับตนเองและสังคมเป็นอย่างมาก เมื่อคนเกิดมาจะต้องท าอย่างไร เป็นหน้าที่ของใครที่จะแจ้งเกิด ไปแจ้งที่ไหน หรือเมื่อมีคนตายผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติอย่างไร เมื่อต้องการย้ายที่อยู่จะต้องด าเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างไร (อัยการสูงสุด, 2534) 1. ประโยชน์ของกฎหมายเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร การที่กฎหมายเกี่ยวกับทะเบียนราษฎรได้ก าหนดให้มีทะเบียนคนเกิด ทะเบียนคน ตาย ทะเบียนบ้านจะเป็นประโยชน์ท าให้รู้ข้อมูลต่างๆ ของประชากรในประเทศ โดยรู้ว่าในบ้าน หนึ่งในท้องที่หนึ่งมีประชากรกี่คน เป็นเพศอะไรบ้าง แต่ละคนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร มีการ โยกย้ายออกไปหรือเข้ามาในท้องถิ่นนั้นอย่างไร มีจ านวนประชากรเพิ่มหรือลดลงจากการเกิดการ ตายเท่าใด จ านวนประชาการในแต่ละท้องถิ่นมีจ านวนมากน้อยเพียงไร ซึ่งความรู้ในข้อมูลเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายปกครองและฝ่ายบริหารบ้านเมือง เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการพัฒนา ประเทศต่อไป กรณีตัวอย่าง การพัฒนาด้านการศึกษา จากการที่รู้ข้อมูลว่าจ านวนประชากรในแต่ ละท้องถิ่นมีความหนาแน่นเพียงไร มีอัตราการเพิ่มอย่างไร ก็สามารถเป็นข้อมูลของรัฐบาลที่จะให้ งบประมาณในด้านการสร้างโรงเรียน หรือในด้านการคมนาคม การที่จะให้มีการพัฒนาด้านการ สร้างถนนหนทางไปในท้องถิ่นต่างๆ ก็ต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับจ านวนประชากร ความหนาแน่นของ บ้านเรือน เหล่านี้เป็นต้น หรือในด้านสาธารณสุขในเรื่องของการป้องกันโรคระบาด เมื่อในท้องที่ใด มีการแจ้งตายด้วยโรคระบาดก็สามารถเร่งให้มีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดให้แก่คนในท้องถิ่น นั้นได้โดยรวดเร็วเพื่อป้องกันโรคระบาด เป็นต้น (สุทิน เชื้อมา, ม.ป.ป.) 2. คนเกิด 2.1 การแจ้งเกิด เมื่อมีคนเกิดให้แจ้งเกิดดังต่อไปนี้ 1) คนเกิดในบ้าน ให้เจ้าบ้านหรือบิดมารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่ง ท้องที่ที่คนเกิดในบ้านภาย 15 วัน นับแต่วันเกิดในกรณีคนเกิดในโรงพยาบาล ซึ่งในโรงพยาบาล เรื่องที่ 1 กฎหมายทะเบียนราษฎร์


63 บางแห่งเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจะบริการไปแจ้งเกิดต่อนายทะเบียนท้องที่ที่คนเกิด โดยปฏิบัติ ตามก าหนดเวลาดังกล่าว หรือถ้าเป็นโรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร บางแห่งจะมีส านักงาน ทะเบียนท้องที่นั้นประจ าอยู่ที่โรงพยาบาล โดยมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ในด้านบริการรับแจ้งเกิด 2) คนเกิดนอกบ้าน ให้บิดาหรือมารดาแจ้งต่อนายทะเบียน ผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ ที่มีคนเกิดนอกบ้าน หรือแห่งท้องที่ที่จะพึงแจ้งได้ภายใน 15 วันนับแต่วันเกิด ในกรณีจ าเป็นไม่อาจ แจ้งได้ตามก าหนดให้แจ้งภายหลังได้แต่ต้องไม่เกิน 30 วันนับแต่วันเกิด ถ้าบิดามารดาประสงค์จะ เปลี่ยนชื่อบุตรนั้น ให้แจ้งภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่แจ้งชื่อคนเกิดต่อนายทะเบียน และให้นาย ทะเบียนจัดการเปลี่ยนชื่อให้ โดยต้องเสียค่าธรรมเนียม 25 บาท 3) ผู้ที่พบเด็กในสภาพแรกเกิดหรือเด็กอ่อนซึ่งถูกทอดทิ้ง ให้น าเด็กนั้นไปส่ง และแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือต ารวจ หรือเจ้าหน้าที่ประชาสงเคราะห์แห่งท้องที่ที่พบเด็ก นั้นโดยเร็ว 2.1 สถานที่แจ้งเกิด 1) ในเขตเทศบาล ให้แจ้งที่ส านักทะเบียนท้องถิ่นซึ่งตั้งอยู่ ณ ส านักงาน เทศบาล 2) นอกเขตเทศบาล ให้แจ้งที่ส านักทะเบียนต าบล ซึ่งได้แก่ บ้านของก านัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือข้าราชการอื่นที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งให้เป็นนายทะเบียนต าบล 3) ในกรุงเทพมหานคร ให้แจ้งที่ส านักทะเบียนท้องถิ่น ซึ่งตั้งอยู่ ณ ส านักงาน เขตการแจ้งเกิดในกรณีคนเกิดในบ้าน เป็นหน้าที่ของเจ้าบ้านแต่จะมอบหมายให้ผู้ใดไปแจ้งแทนก็ ได้ การไปแจ้งเกิดกรณีคนเกิดในบ้าน ผู้แจ้งต้องน าส าเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านไปด้วยทุก ครั้ง เมื่อนายทะเบียนรับแจ้งการเกิดแล้ว จะมอบสูติบัตรให้แก่ผู้แจ้งเป็นหลักฐานสูติบัตร เป็น เอกสารส าคัญของทางราชการและมีประโยชน์มาก เพราะเป็นเอกสารที่แสดงถึงชื่อตัว ชื่อสกุล สัญชาติ วัน เดือน ปีเกิด ชื่อตัว ชื่อสกุล และสัญชาติของบิดามารดา ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีเพื่อน าไป แสดงเป็นหลักฐานได้ทุกโอกาสตราบเท่าที่มีชีวิตอยู่ (อัยการสูงสุด, 2534) 3. คนตาย 3.1 การแจ้งตาย เมื่อมีคนตายให้แจ้งตายดังต่อไปนี้ 1) คนตายในบ้าน ให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคน ตายภายในเวลา 24 ชั่วโมง นับแต่เวลาตาย ในกรณีที่ไม่มีเจ้าบ้านให้ผู้พบศพเป็นผู้แจ้งการตาย ภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่เวลาพบศพ 2) คนตายนอกบ้าน ให้บุคคลที่ไปกับผู้ตายหรือผู้พบศพแจ้งต่อนายทะเบียน ผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ตายหรือพบศพแล้วแต่กรณีหรือแห่งท้องที่ที่จะพึงแจ้งได้ภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เวลาตายหรือพบศพ หรือจะแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือต ารวจก็ได้ถ้าในท้องที่ใดการ คมนาคมไม่สะดวก ผู้อ านวยการทะเบียนกลางอาจขยายเวลาออกไปตามที่เห็นสมควร แต่ต้องไม่ เกิน 7 วัน นับแต่เวลาตายหรือเวลาพบศพ การแจ้งตายกรณีคนตายในบ้าน เจ้าบ้านจะมอบหมาย


64 ให้ผู้ใดไปแจ้งแทนก็ได้โดยผู้แจ้งจะต้องน าส าเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านไปด้วย 3.2 สถานที่แจ้งตาย 1) ในเขตเทศบาล ให้แจ้งที่ส านักทะเบียนท้องถิ่นซึ่งตั้งอยู่ ณ ส านักงาน เทศบาล 2) นอกเขตเทศบาล ให้แจ้งที่ส านักทะเบียนต าบล ซึ่งได้แก่ บ้านของก านัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือข้าราชการอื่นที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งให้เป็นนายทะเบียนต าบล 3) ในกรุงเทพมหานคร ให้แจ้งที่ส านักทะเบียนท้องถิ่น ซึ่งตั้งอยู่ ณ ส านักงาน เขต การแจ้งตายในกรณีคนตายในบ้าน เป็นหน้าที่เจ้าบ้านแต่จะมอบหมายให้ผู้อื่นที่อยู่ในบ้าน เดียวกันไปด าเนินการแทน ไม่ต้องท าหนังสือมอบอ านาจ ถ้าจะมอบให้บุคคลอื่นที่ไม่ได้อยู่ในบ้าน เดียวกันไปด าเนินการแทน ต้องท าหนังสือมอบอ านาจเป็นลายลักษณ์อักษร การแจ้งตายในกรณีคนตายในบ้าน และผู้นั้นมีชื่อยู่ในทะเบียนบ้านด้วย เมื่อไป แจ้งต้องต้องน าส าเนาทะเบียนฉบับเจ้าบ้านไปด้วย และเมื่อนายทะเบียนได้รับแจ้งการตายจะมอบ มรณบัตรให้แก่ผู้แจ้งเป็นหลักฐานมรณบัตร เป็นเอกสารส าคัญของทางราชการ ซึ่งเป็นหลักฐาน แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับการตายของบุคคล (อัยการสูงสุด, 2534) 4. การย้ายที่อยู่ การย้ายที่อยู่จะต้องมีการแจ้งการย้ายออกจากทะเบียนบ้านเดิม แล้วจะต้องแจ้งย้าย เข้าในทะเบียนบ้านใหม่ซึ่งผู้นั้นย้ายไปอยู่ การแจ้งย้ายที่อยู่ให้ด าเนินการต่อไปนี้ 4.1 การย้ายออก เมื่อมีบุคคลใดบ้ายที่อยู่ออกจากบ้านใด กฎหมายก าหนดให้เป็น หน้าที่ของเจ้าของบ้าน หรือผู้แทนที่จะต้องแจ้งย้ายที่อยู่ดังกล่าวต่อนายทะเบียนผู้มีหน้าที่รับแจ้ง ภายในเวลาไม่เกิน 15 วัน นับแต่วันย้ายออก ถ้าเจ้าบ้านไม่แจ้งภายในก าหนดเวลา มีความผิดต้อง ระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท 4.2 การย้ายเข้า เมื่อบุคคลใดย้ายที่อยู่เข้ามาอยู่ในบ้านใดบ้านหนึ่ง กฎหมาย ก าหนดให้เป็นหน้าที่ของเจ้าบ้านที่จะต้องแจ้งการย้ายเข้าที่อยู่ดังกล่าวภายใน 15 วัน นับแต่วัน ย้ายเข้า ถ้าเจ้าบ้านไม่แจ้งในก าหนดเวลา มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท การแจ้งย้ายผู้ใดเข้ามาอยู่ในบ้าน เจ้าบ้านจะต้องน าหลักฐานการย้ายออกของผู้นั้น ไปแสดงต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งด้วย (อัยการสูงสุด, 2534) 5. การขอแก้ทะเบียนราษฎร ในกรณีที่ทะเบียนคนเกิด ทะเบียนบ้าน หรือเอกสารอื่นใดเกี่ยวกับการทะเบียน ราษฎรของบุคคลไม่ตรงกับหลักฐานที่มีอยู่ ให้ไปติดต่ออ าเภอหรือเทศบาลแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ ถูกต้อง ในการติดต่อทางราชการ เพื่อการนี้ควรน าหลักฐานเอกสารของทางราชการที่มีอยู่ไปแสดง เช่น 1.สูติบัตร มรณบัตร 2.บัตรประจ าตัวประชาชน


65 3.ใบส าคัญทางทหาร 4.เอกสารการสมรา การหย่า 5.ส าเนาทะเบียนบ้าน 6.ใบสุทธิ 7.หลักฐานเกี่ยวกับสัญชาติ 8.หนังสือเดินทางมาหรือไปต่างประเทศ 9.หลักฐานอื่นๆ ถ้ามี สรุปสาระส าคัญ 1. คนเกิดในบ้าน ให้เจ้าบ้านหรือบิดมารดาแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่ คนเกิดในบ้านภาย 15 วันนับแต่วันเกิด 2. คนตายให้เจ้าบ้านแจ้งต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งแห่งท้องที่ที่มีคนตายภายในเวลา 24 ชั่วโมง 3. สูติบัตร เป็นเอกสารแสดงถึง ชื่อตัว ชื่อสกุล สัญชาติ วัน เดือน ปีเกิด ชื่อตัว ชื่อ สกุล และสัญชาติของบิดามารดา เป็นเอกสารส าคัญของทางราชการและมีประโยชน์มาก ต้องเก็บ รักษาไว้ให้ดีเพื่อน าไปแสดงเป็นหลักฐานได้ทุกโอกาส 4. มรณบัตร เป็นเอกสารส าคัญของทางราชการ ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงรายเอียด เกี่ยวกับการตายของบุคคล 5. เมื่อมีบุคคลใดย้ายที่อยู่ออกจากบ้านใด เจ้าบ้านจะต้องแจ้งย้ายที่อยู่ต่อนาย ทะเบียนผู้มีหน้าที่รับแจ้งภายในเวลาไม่เกิน 15 วัน นับแต่วันย้ายออก 6. เมื่อมีบุคคลใดย้ายที่อยู่เข้ามาในบ้านใด เจ้าบ้านตะต้องแจ้งการย้ายเข้าที่อยู่ ภายใน 15 วัน นับแต่วันย้ายเข้า (อัยการสูงสุด, 2534)


66 การเกณฑ์ทหารในประเทศไทยในปัจจุบัน อาศัยความตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 ก าหนดให้ชายไทยทุกคนมีหน้าที่ต้องเข้ารับราชการทหาร และยังเป็นหน้าที่ตาม รัฐธรรมนูญอีกด้วย ขั้นตอนการเกณฑ์ทหารเริ่มต้นจากการลงบัญชีทหารกองเกินของชายไทยไว้ ก่อน และจะมีการเรียกผู้ที่ลงบัญชีไว้มาตรวจเลือกเอาคนที่ทางทหารเห็นว่าเหมาะสมไปตาม จ านวนที่ต้องการเพื่อเข้ารับราชการทหารกองประจ าการ ชายไทยจ านวนมากไม่ต้องผ่านการเกณฑ์ทหารเพราะผ่านการเรียนรักษาดินแดนครบสาม ปี ส่วนผู้ที่ไม่ได้เรียนรักษาดินแดนหรือเรียนไม่ครบตามก าหนดหลักสูตรและไม่มีข้อยกเว้นอย่างอื่น ต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจเลือก ผู้ที่ศึกษาอยู่ หรือ ผู้ที่มีความจ าเป็นต่างๆ และผู้ที่กฎหมายเห็น ว่ามีเหตุอันสมควร จะสามารถไม่ต้องไปรับการตรวจเลือก หรือ ไปรับการตรวจเลือกแต่ได้รับการ ผ่อนผันและแต่กรณีซึ่งมักเป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่บัญญัติไว้ในกฎกระทรวงที่ออกตาม พระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงได้มีการเพิ่มเติมแก้ไขอย่างต่อเนื่องตลอดเวลากว่า 50 ปีของการ ประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เนื่องจากกฎหมายทหารมีความซับซ้อนและมีกฎกระทรวงจ านวนมากออกมาแก้ไข กฎกระทรวงเก่าหรือยกเลิกกฎกระทรวงเก่าเป็นเหตุให้ผู้ที่ไม่เข้าใจขั้นตอนการเกณฑ์ทหารหลงเชื่อ มิจฉาชีพซึ่งอาจเป็นเจ้าหน้าที่ทางฝ่ายทหารหรือฝ่ายปกครองเองยอมจ่ายสินบนเพื่อเป็นการตอบ แทนในการช่วยให้พ้นจากการรับราชการทหาร (ภูมิ โชคเหมาะ, 2563) การลงบัญชีทหารกองเกินและการรับหมายเรียก ชายที่มีสัญชาติไทย เมื่ออายุย่างเข้า 18 ปี บริบูรณ์ในพุทธศักราชใด ต้องไปแสดงตนเพื่อ ลงบัญชีทหารกองเกินภายในพุทธศักราชนั้น ที่อ าเภอท้องที่ที่มีภูมิล าเนาอยู่โดยจะได้รับใบส าคัญ สด. 9 เมื่อลงบัญชี ณ อ าเภอใดแล้ว อ าเภอนั้นจะเป็นภูมิล าเนาทหารของทหารกองเกินผู้นั้น ภูมิล าเนาทหารเป็นภูมิล าเนาเฉพาะไม่เกี่ยวข้องกับทะเบียนบ้านหรือส ามะโนครัว การจะย้าย ภูมิล าเนาทหารต้องกระท าที่อ าเภอแยกต่างหากจากการย้ายภูมิล าเนาตามทะเบียนราษฎร์ทหาร กองเกินที่ย้ายทะเบียนราษฎร์จะย้ายภูมิล าเนาทหารด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่มีหน้าที่แจ้งต่อนายอ าเภอ ทุกครั้งที่ไปอยู่ต่างถิ่นเป็นเวลาเกินกว่า 30 วัน หากไม่แจ้งต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองร้อยบาท ภูมิล าเนาทหารมีความส าคัญต่อทหารกองเกินอย่างมากเพราะเป็นสถานที่ที่ทหารกองเกิน ต้องไปรับการตรวจเลือก ในแต่ละท้องที่ก็มีจ านวนทหารกองเกินและความต้องการของฝ่ายทหารที่ ก าหนดมาต่างกัน การอยู่ในภูมิล าเนาทหารที่ต่างกันจึงมีผลต่อการตรวจเลือกเข้ารับกอง ประจ าการ และเป็นช่องทางให้มีผู้หลีกเลี่ยงการเป็นทหารใช้หลบเลี่ยงไปได้ เรื่องที่ 2 กฎหมายการเกณฑ์ทหาร


67 ทหารกองเกินเมื่อมีอายุย่างเข้า 21 ปี ในพุทธศักราชใด ต้องไปแสดงตนเพื่อรับหมายเรียกที่ อ าเภอท้องที่ซึ่งเป็นภูมิล าเนาทหารของตนภายในพุทธศักราชนั้น โดยจะได้รับหมายเรียก สด.35 ทหารกองเกินซึ่งจะถูกเรียกมาตรวจคัดเลือก เพื่อเข้ารับราชการเป็นทหารกองประจ าการนั้น ต้องมี อายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง 30 ปีบริบูรณ์ ผู้ใดฝ่าฝืนไม่ขึ้นบัญชีทหารกองเกินหรือไม่มารับหมายเรียกต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินสาม เดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ ถ้าก่อนที่เจ้าหน้าที่ยกเรื่องขึ้นพิจารณา ความผิด ผู้นั้นได้มาขอลงบัญชีทหารกองเกิน หรือ มารับหมายเรียกแล้ว ต้องระวางโทษจ าคุกไม่ เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ นักศึกษาวิชาทหารที่ส าเร็จหลักสูตรชั้นปีที่ 3 แล้ว ให้ขึ้นทะเบียนกองประจ าการแล้วปลด เป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1 โดยไม่ต้องเข้ารับราชการกองประจ าการ ได้รับหนังสือส าคัญ สด. ๘ พร้อมกับสมุดประจ าตัวทหารกองหนุน ทั้งนี้เนื่องจากมิได้มีสถานะทหารกองเกินแล้วจึงไม่ต้อง รับหมายเรียกและไม่ต้องไปรับการตรวจเลือก แต่อาจถูกเรียกพลในฐานะทหารกองหนุนได้ ซึ่งการ เรียกพลนี้มิได้เรียกทุกคน (ภูมิ โชคเหมาะ, 2563) การตรวจเลือกคนเข้ากองประจ าการ ทหารกองเกินซึ่งถูกเรียกต้องมาให้คณะกรรมการตรวจเลือกท าการตรวจเลือกตามก าหนด หมายนั้น ในวันตรวจเลือกนั้นนอกจากหลักฐานทางทหารและบัตรประจ าตัวประชาชนแล้วให้น า หลักฐานการศึกษามาแสดงด้วย ผู้ใดหลีกเลี่ยงขัดขืนไม่มาให้คณะกรรมการตรวจเลือกท าการตรวจเลือกหรือมาแต่ไม่อยู่ จนกว่าการตรวจเลือกแล้วเสร็จเพื่อรับหลักฐานใบรับรองผลการตรวจเลือก (สด.43) ต้องระวาง โทษจ าคุกไม่เกินสามปี ผู้กระท าความผิดตามข้อนี้นี่เองที่มักเรียกกันว่า หนีทหาร ผู้มาเข้ารับการตรวจเลือก หากไม่สามารถใช้สิทธิ์ผ่อนผัน จะถูกกรรมการตรวจเลือกแบ่ง ออกเป็น 4 จ าพวก ได้แก่ 1. คนที่มีร่างกายสมบูรณ์ดี 2. ไม่สมบูรณ์ดีแต่ไม่ถึงกับทุพพลภาพ 3. คนที่ไม่แข็งแรงพอที่จะรับราชการทหารในขณะนั้นได้ เพราะป่วยและไม่สามารถรักษา ให้หายได้ใน 30 วัน 4. พิการ ทุพพลภาพ หรือ มีโรคที่ไม่สามารถรับราชการทหาร ตามกฎกระทรวงดังกล่าวบุคคลที่จะรับราชการทหารได้ต้องมีขนาดรอบตัว 76 เซนติเมตร ขึ้นไปเวลาหายใจออก และสูงตั้งแต่ 146 เซนติเมตรขึ้นไป แต่ทางทหารจะได้ประกาศอีกครั้งในแต่ ละปี ว่าจะคัดบุคคลที่มีขนาดใดขึ้นไป ซึ่งมักจะสูงกว่ามาตรฐานที่ก าหนดในกฎกระทรวงซึ่งออก ตั้งแต่ พ.ศ. 2516 ในช่วงระยะเวลานั้นชายไทยที่อยู่ในอายุเกณฑ์ทหารอาจยังมิได้มีขนาดร่างกาย เช่นในปัจจุบัน


68 วิธีการคัดเลือกจะเลือกจากคนจ าพวกที่ 1 ก่อน หากคนจ าพวกที่ 1 ไม่พอให้เลือกจากคน จ าพวกที่ 2 ด้วย หากคนจ าพวกที่ 2 ไม่พอให้น าคนที่ผ่อนผันอยู่มาคัดเลือกด้วยตามขั้นตอนข้างต้น (แบ่งเป็น 4) จ าพวก หากมีคนเกินกว่าจ านวนที่ทางทหารต้องการให้จับสลาก โดยแบ่งออกเป็น ใบด าและใบแดงซึ่งเขียนแผนกของกองประจ าการไว้ เป็นที่มาของการจับใบด าใบแดง ผู้จับได้ ใบแดงต้องเข้ารับราชการทหารในกองประจ าการ โดยจะได้หมายนัดเข้ารับราชการทหาร (สด.40) คนจ าพวกที่ 3 และ 4 ในการตรวจเลือกจะไม่ถูกส่งตัวเข้ากองประจ าการ คนจ าพวกที่ 3 ให้มาตรวจเลือกในคราวถัดไป เมื่อคณะกรรมการตรวจเลือกแล้วยังเป็นคนจ าพวกที่ 3 อยู่ 3 ครั้ง ให้งดเรียก คนจ าพวกที่ 3 เมื่อมาตรวจเลือกจะได้ใบส าคัญส าหรับคนจ าพวกที่ 3 (สด.4) ส่วนคน จ าพวกที่ 4 ได้รับใบส าคัญส าหรับคนจ าพวกที่ 4 (สด.5) บุคคลที่ไม่ใช้สิทธิ์ผ่อนผัน ผ่านการตรวจเลือกแล้ว และผลการตรวจเลือกถึงที่สุดแล้วไม่ ต้องเข้ารับราชการกองประจ าการไม่ต้องรับหมายเรียกและไม่ต้องมาตรวจเลือกอีกในปีต่อไป ส่วน ผู้ที่ผ่อนผันอยู่ต้องมาตรวจเลือกทุกปีจนกว่าอายุจะครบ 30 ปี ทุกคนต้องได้รับใบรับรองผลการตรวจเลือก สด.43 ในวันตรวจเลือกจากกรรมการตรวจ เลือกเท่านั้น หากได้รับในวันอื่นหรือจากบุคคลอื่นให้สันนิษฐานว่าเป็นของปลอม ผู้น าไปใช้มี ความผิดตามกฎหมาย และถือว่าผู้นั้นไม่ได้มาเข้ารับการตรวจเลือกอย่างถูกต้อง (ภูมิ โชคเหมาะ, 2563) การเข้ารับราชการกองประจ าการ บุคคลที่ตรวจเลือกเข้ามาเพื่อเข้ารับราชการเป็นทหารกองประจ าการ โดยปกติมีระยะเวลา สองปี แต่ส าหรับผู้มีคุณวุฒิต่างๆ อาจมีระยะเวลาเข้ารับราชการกองประจ าการน้อยกว่าสองปีได้ ประเภท ร้องขอ (สมัคร) ไม่ร้องขอ (จับได้ ใบแดง) ข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร ข้าราชการตุลาการ ดาโต๊ะยุติธรรม ข้าราชการฝ่ายตุลาการซึ่ง เป็นข้าราชการธุรการและรับเงินเดือนประจ าตั้งแต่ชั้นตรีหรือ เทียบเท่าขึ้นไป ข้าราชการอัยการ ข้าราชการพลเรือนซึ่งรับเงินเดือนประจ าตั้งแต่ชั้นตรีหรือ เทียบเท่าขึ้นไป พนักงานเทศบาลซึ่งรับเงินเดือนประจ าตั้งแต่ชั้นตรีหรือเทียบเท่า ขึ้นไป 6 เดือน 1 ปี


69 ประเภท ร้องขอ (สมัคร) ไม่ร้องขอ (จับได้ ใบแดง) ผู้ส าเร็จชั้นอุดมศึกษาหรือผู้ส าเร็จการศึกษาจากต่างประเทศซึ่ง กระทรวงศึกษาธิการรับรองวิทยฐานะเทียบได้ไม่ต่ ากว่าชั้น อุดมศึกษา(ปวท.,ปวส.,อนุฯ , ฯลฯ) ผู้ที่ส าเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 2 ผู้ที่ส าเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 1 1 ปี 1 ปี 6 เดือน ผู้ส าเร็จชั้นเตรียมอุดมศึกษาปีที่ 2 หรือผู้ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการรับรอง วิทยฐานะเทียบได้ไม่ต่ ากว่าชั้นที่กล่าวนั้น (ม.8, ม.ศ.5, ม.6, ปวช., ฯลฯ) 1 ปี 2 ปี การยกเว้น การไม่ต้องมาเข้ารับการตรวจเลือก และการผ่อนผัน มีบุคคลบางจ าพวกที่ไม่ต้องเข้ารับราชการทหารกองประจ าการในยามปกติสามประเภท ได้แก่ บุคคลที่ได้รับการยกเว้น และบุคคลที่ไม่ต้องมาเข้ารับการตรวจเลือก สองประเภทนี้ไม่ต้อง ไปรับการตรวจเลือกเลย ส่วนบุคคลที่ได้รับการผ่อนผันต้องเข้ารับการตรวจเลือกทุกปี ประเภท ได้แก่ บุคคลที่ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องรับ ราชการทหารกองประจ าการ (1) พระภิกษุที่มีสมณศักดิ์ หรือที่เป็นเปรียญ และนักบวชใน พระพุทธศาสนาแห่งนิกายจีนหรือญวนที่มีสมณศักดิ์ (2) คนพิการทุพพลภาพ ซึ่งไม่สามารถเป็นทหารได้ (3) บุคคลซึ่งไม่มีคุณวุฒิที่จะเป็นทหารได้เฉพาะบางท้องที่ ตามที่ก าหนดในกฎกระทรวง บุคคลที่ได้รับการยกเว้น เมื่อ ลงบัญชีทหารกองเกินแล้วไม่เรียก มาตรวจเลือกรับราชการทหารกอง ประจ าการในยามปกติ (1) พระภิกษุ สามเณร และนักบวชในพระพุทธศาสนาแห่ง นิกายจีนหรือญวน ซึ่งเป็นนักธรรมตามที่กระทรวงศึกษาธิการ รับรอง (2) นักบวชศาสนาอื่นซึ่งมีหน้าที่ประจ าในกิจของศาสนา ตามที่ก าหนดในกฎกระทรวงและผู้ว่าราชการจังหวัดออก ใบส าคัญให้ไว้


70 ประเภท ได้แก่ (3) บุคคลซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตรที่ กระทรวงกลาโหมก าหนดตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริม การฝึกวิชาทหาร (4) นักเรียนโรงเรียนเตรียมทหารของกระทรวงกลาโหม (5) ครูซึ่งประจ าท าการสอนหนังสือหรือวิชาการต่างๆ ที่อยู่ใน ความควบคุมของกระทรวง ทบวง กรม หรือราชการส่วน ท้องถิ่น ทั้งนี้ตามที่ก าหนดในกฎกระทรวง และผู้ว่าราชการ จังหวัดออกใบส าคัญให้ไว้ (6) นักศึกษาของศูนย์กลางอบรมการศึกษาผู้ใหญ่ของ กระทรวงศึกษาธิการ (7) นักศึกษาของศูนย์ฝึกการบินพลเรือนของกระทรวง คมนาคม บุคคลที่ไม่เข้ารับการตรวจเลือกก็ ไม่ถือว่าเป็นการหลีกเลี่ยงขัดขืน การตรวจเลือก (1) ข้าราชการซึ่งได้รับค าสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยปัจจุบันทัน ด่วนให้ไปราชการอันส าคัญยิ่ง หรือไปราชการต่างประเทศ โดยค าสั่งของเจ้ากระทรวง (2) นักเรียนซึ่งออกไปศึกษาวิชา ณ ต่างประเทศ ตามที่ ก าหนดในกฎกระทรวง (3) ข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในสถานที่ราชการ หรือ โรงงานอื่นใด ในระหว่างที่มีการรบหรือการสงคราม อันเป็น อุปกรณ์ในการรบหรือการสงครามและอยู่ในความควบคุม ของกระทรวงกลาโหม (4) บุคคลซึ่งก าลังปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยทหารในราชการ สนาม (5) เกิดเหตุสุดวิสัย (6) ไปเข้าตรวจเลือกที่อื่น (7) ป่วยไม่สามารถจะมาได้โดยให้บุคคลซึ่งบลุนิติภาวะและ เชื่อถือได้มาแจ้งต่อคณะกรรมการตรวจเลือกในวันตรวจเลือก กรณีตาม (1) (2) (3) หรือ (4) ต้องได้รับการผ่อนผันเฉพาะคราวจากรัฐมนตรีว่า กระทรวงมหาดไทย หรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย บุคคลที่ได้รับการผ่อนผัน ต้องไป (1) บุคคลที่จ าเป็นต้องหาเลี้ยงบิดาหรือมารดาซึ่งไร้


71 ประเภท ได้แก่ เข้ารับการตรวจเลือกในวันตรวจ เลือก ถ้ามีจ านวนทหารกองเกินที่ จะรับราชการเป็นทหารกอง ประจ าการได้มากกว่าจ านวนที่ฝ่าย ทหารต้องการ ให้ผ่อนผันแก่บุคคล ดังต่อไปนี้ ความสามารถ หรือพิการทุพพลภาพหรือชราจนหาเลี้ยงชีพ ไม่ได้และไม่มีผู้อื่นเลี้ยงดูแต่ถ้ามีบุตรหลายคนจะต้องเข้ากอง ประจ าการพร้อมกัน คงผ่อนผันให้คนเดียวตามแต่บิดาหรือ มารดาจะเลือก ถ้าบิดาหรือมารดาไม่สามารถจะเลือกได้ก็ให้ คณะกรรมการตรวจเลือกพิจารณาผ่อนผันให้หนึ่งคน (2) บุคคลที่จ าเป็นต้องหาเลี้ยงบุตรซึ่งมารดาตายหรือไร้ ความสามารถ หรือพิการทุพพลภาพ และบุคคลที่จ าเป็นต้อง หาเลี้ยงพี่หรือน้องร่วมบิดามารดา หรือร่วมแต่บิดาหรือ มารดาซึ่งบิดามารดาตาย ทั้งนี้เมื่อบุตรหรือพี่หรือน้องนั้นหา เลี้ยงชีพไม่ได้ และไม่มีผู้อื่นเลี้ยงดู (3) บุคคลที่อยู่ในระหว่างการศึกษาตามที่ก าหนดใน กฎกระทรวง ผู้อ้างสิทธิตาม (1) หรือ (2) แห่งมาตรานี้ต้องร้องขอผ่อนผันต่อนายอ าเภอท้องที่ก่อนวันตรวจ เลือกเข้ากองประจ าการไม่น้อยกว่าสามสิบวัน เว้นแต่ในกรณีพิเศษซึ่งไม่ใช่ความผิดของผู้ร้องและผู้ ร้องต้องร้องต่อคณะกรรมการตรวจเลือกในวันตรวจเลือกตามมาตรา 30 อีกครั้งหนึ่ง นายอ าเภอ ต้องสอบสวนหลักฐานไว้เสียก่อนวันตรวจเลือก เพื่อคณะกรรมการตรวจเลือกจะได้ตัดสินได้ทันที การขอผ่อนผันตาม (3) ให้แจ้งผ่านทางสถานศึกษา ถ้าไม่สามารถจะผ่อนผันพร้อมกันทั้งสามประเภทได้เพราะจะท าให้คนไม่พอจ านวนที่ฝ่ายทหาร ต้องการ ให้ผ่อนผันคนประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 รวมกันก่อน ถ้าคนยังเหลือจึงผ่อนผันคน ประเภทที่ 3 ถ้าจ านวนคนในประเภทใดจะผ่อนผันไม่ได้ทั้งหมดต้องให้คนประเภทนั้นจับสลาก


72 จงตอบค าถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. เมื่อมีคนเกิดในบ้าน ควรท าอย่างไร ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... 2. เมื่อมีคนตายนอกบ้าน ควรท าอย่างไร ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... 3. ผู้มาเข้ารับการตรวจเลือก หากไม่สามารถใช้สิทธิ์ผ่อนผัน จะถูกกรรมการตรวจเลือกแบ่ง ออกเป็น 4 จ าพวก ได้แก่ อะไรบ้าง ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... 4. ชายที่มีสัญชาติไทย เมื่ออายุย่างเข้า 18 ปี บริบูรณ์ในพุทธศักราชใด ต้องไปแสดงตนเพื่อ ลงบัญชีทหารกองเกินภายในพุทธศักราชนั้น โดยมีวิธีการอย่างไรบ้าง จงอธิบาย ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... กิจกรรมให้นักศึกษาจัดกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ร่วมกันสรุปเนื้อหาและขั้นตอนการการตรวจเลือกคน เข้ากองประจ าการในเรื่องการเกณฑ์ทหาร มีขั้นตอนอย่างไรบ้างโดยสรุปเป็นผังมโนทัศน์ร่วมกัน เสนอและอภิปรายร่วมกัน ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... กิจกรรมท้ายบทที่ 4 กิจกรรมกลุ่มบทที่ 4


73 บทที่ 5 กฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ สาระส าคัญ การศึกษากฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวกับกฎหมายข้อบังคับใช้รวมถึง พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์รวมถึงโทษการกระท าความผิด เพื่อศึกษาและน าความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวัน เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้นในการด าเนินชีวิต ตัวชี้วัด 1. มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ 2. มีความรู้ ความเข้าใจพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 3. มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโทษการกระท าความผิดเกี่ยวกับกฎหมายเทคโนโลยี สารสนเทศ ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องที่ 1 ความหมายและความส าคัญของกฎหมายกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ เรื่องที่ 2 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เวลาที่ใช้ในการศึกษา 21 ชั่วโมง สื่อการเรียนรู้ 1. หนังสือกฎหมายพื้นฐานเกี่ยวกับการด าเนินชีวิตในยุคดิจิทัล 2. ใบงานความรู้


74 กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Law) หรือมักเรียกกันว่า กฎหมายไอที (IT Law) เสนอโดย กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ สิ่งแวดล้อม และเห็นชอบให้ คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (National Information Technology Committee) หรือที่เรียกโดยย่อว่า คณะกรรมการไอทีแห่งชาติ หรือ กทสช. (NITC) ท าหน้าที่เป็น ศูนย์กลางและประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ด าเนินการจัดท ากฎหมาย เทคโนโลยี สารสนเทศและกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้คณะกรรมการไอทีแห่งชาติหรือ กทสช. (NITC) ได้ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ เพื่อยกร่างกฎหมายไอทีทั้ง 6 ฉบับ โดยมอบหมายให้ศูนย์ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (National Electronics and Computer Technology Center) หรือที่ มักเรียกโดยย่อว่า "เนคเทค" (NECTEC) ส านักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (National Science and Technology Development Agency) หรือที่เรียกโดยย่อว่า "สวทช." กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในฐานะส านักงานเลขานุการคณะกรรมการไอทีแห่งชาติ ท าหน้าที่เป็นเลขานุการในการยกร่าง กฎหมายไอทีทั้ง 6 ฉบับ เนคเทคจึงได้เริ่มต้นโครงการพัฒนากฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศขึ้น เพื่อปฏิบัติตาม นโยบายที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลและคณะกรรมการไอทีแห่งชาติ ในการยก ร่างกฎหมายไอทีทั้ง 6 ฉบับ ให้แล้วเสร็จ (คณาธิป ทองรวีวงศ์, 2563) คือ 1. กฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Transactions Law) เพื่อรับรอง สถานะทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้เสมอข้อมูลที่ท าในกระดาษ อันเป็นการรองรับ นิติสัมพันธ์ต่าง ๆ ซึ่งแต่เดิมอาจจะจัดท าขึ้นในรูปแบบของหนังสือให้เท่าเทียมกับนิติสัมพันธ์ รูปแบบใหม่ที่จัดท าขึ้น ให้อยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ รวมตลอดทั้งการลงลายมือชื่อใน ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และการรับฟัง พยานหลักฐานที่อยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ 2. กฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signatures Law) เพื่อรับรองการ ใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วยกระบวนการใด ๆ ทางเทคโนโลยีให้เสมอด้วยการลงลายมือ ชื่อธรรมดา อันส่งผลต่อความเชื่อมั่นมากขึ้นในการท าธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และก าหนดให้มี การก ากับดูแล การให้บริการ เกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ตลอดจนการให้ บริการอื่น ที่เกี่ยวข้องกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ 3. กฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศให้ทั่วถึง และเท่าเทียมกัน (National Information Infrastructure Law) เพื่อก่อให้เกิดการส่งเสริม สนับสนุน และ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ อันได้แก่โครงข่าย โทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ สารสนเทศทรัพยากรมนุษย์ และโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศส าคัญอื่น ๆ อัน เป็นปัจจัยพื้นฐาน ส าคัญในการพัฒนาสังคม และชุมชนโดยอาศัยกลไกของรัฐ ซึ่งรองรับเจตนารมณ์ส าคัญประการ เรื่องที่ 1 ความหมายและความส าคัญของกฎหมายกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ


75 หนึ่งของแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 78 (3) ใน การกระจายสารสนเทศให้ทั่วถึง และเท่าเทียมกัน และนับเป็นกลไกส าคัญใน การช่วยลดความเหลื่อมล้ าของสังคม อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสนับสนุนให้ท้องถิ่นมีศักยภาพใน การปกครองตนเองพัฒนาเศรษฐกิจภายในชุมชน และ น าไปสู่สังคมแห่งปัญญา และการเรียนรู้ 4. กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Law) เพื่อก่อให้เกิดการ รับรองสิทธิ และให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งอาจถูกประมวลผลเปิดเผยหรือ เผยแพร่ถึง บุคคลจ านวนมากได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วโดยอาศัยพัฒนาการทางเทคโนโลยี จนอาจก่อให้เกิด การน า ข้อมูลนั้นไปใช้ในทางมิชอบอันเป็นการละเมิดต่อเจ้าของข้อมูล ทั้งนี้โดยค านึงถึงการรักษา ดุลยภาพระหว่างสิทธิขั้น พื้นฐานในความเป็นส่วนตัว เสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร และความมั่นคง ของรัฐ 5. กฎหมายเกี่ยวกับการกระท าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (Computer Crime Law) เพื่อก าหนดมาตรการทางอาญา ในการลงโทษผู้กระท าผิดต่อระบบการท างานของคอมพิวเตอร์ ระบบ ข้อมูล และระบบเครือข่าย ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองการอยู่ ร่วมกันของสังคม 6. กฎหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Funds Transfer Law) เพื่อก าหนดกลไกส าคัญทางกฎหมายในการรองรับระบบการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งที่เป็น การโอน เงินระหว่างสถาบันการเงิน และ ระบบการช าระเงินรูปแบบใหม่ในรูปของเงิน อิเล็กทรอนิกส์ก่อให้เกิดความเชื่อมั่น ต่อระบบการท าธุรกรรมทางการเงิน และการท าธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2545 นับเป็นกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศฉบับแรกที่ใช้บังคับกับการท าธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์และลายมือชื่อ อิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากการท าธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์บาง ประเภท เช่น การท าสัญญา กฎหมายก าหนดว่าต้อง มีการลงลายมือชื่อคู่สัญญาจึงจะมีผลสมบูรณ์ และใช้บังคับได้ตามกฎหมาย กฎหมายทั้งสองส่วนจึงมีความสัมพันธ์ กันอย่างใกล้ชิด (คณาธิป ทองรวีวงศ์, 2563) ความเป็นมาของพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 รับรองสถานะทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการท าธุรกรรมหรือสัญญา รับรองตราประทับอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นสิ่งที่ สามารถระบุถึงตัวผู้ท าธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ได้เช่นเดียวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ สามารถน าเอกสารซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ออกของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มาใช้แทน ต้นฉบับหรือ ให้เป็นพยานหลักฐานในศาลได้


76 ส่งเสริมความเชื่อมั่นในการท าธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์และเสริมสร้างศักยภาพการ แข่งขันในเวทีการค้าระหว่างประเท “ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า ธุรกรรมที่กระท าขึ้นโดยใช้วิธีการทาง อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน “ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า ข้อความที่ได้สร้าง ส่ง รับ เก็บรักษา หรือ ประมวลผลด้วย วิธีการ ทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิธีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โทรเลข โทรพิมพ์หรือโทรสาร “ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า อักษร อักขระ ตัวเลข เสียงหรือสัญลักษณ์อื่น ใดที่ สร้างขึ้นให้ อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งน ามาใช้ประกอบกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแสดง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุตัวบุคคลผู้เป็น เจ้าของลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้น และเพื่อแสดงว่าบุคคล ดังกล่าวยอมรับข้อความในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้น “เจ้าของลายมือชื่อ” หมายความว่า ผู้ซึ่งถือข้อมูลส าหรับใช้สร้างลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์และ สร้าง ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์นั้นในนามตนเองหรือแทนบุคคลอื่น หมวด 1 ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ การรองรับสถานะทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ มาตรา 7 “ห้ามมิให้ปฏิเสธความมีผล ผูกพันและการบังคับใช้ทางกฎหมายของข้อความใด เพียงเพราะ เหตุที่ข้อความนั้นอยู่ในรูปของ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” มาตรานี้นับเป็นมาตราส าคัญที่สุดของพระราชบัญญัตินี้โดยเป็นการก าหนด หลักการพื้นฐานมิให้เลือก ปฏิบัติระหว่างสิ่งที่ท าขึ้นเป็นหนังสือกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แต่มาตรานี้ เป็นเพียงมาตราที่ห้ามมิให้ปฏิเสธผลทาง กฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น มิได้เป็นการ รับรองว่าข้อมูลนั้นถูกต้องสมบูรณ์(คณาธิป ทองรวีวงศ์, 2563) การท าเป็นหนังสือ มาตรา 8 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 9 ในกรณีที่กฎหมายก าหนดให้การใดต้องท า เป็น หนังสือ มีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือมีเอกสารมาแสดง ถ้าได้มีการจัดท าข้อความขึ้นเป็นข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถ เข้าถึงและน ากลับมาใช้ได้โดยความหมายไม่เปลี่ยนแปลง ให้ถือว่า ข้อความ นั้นได้ท าเป็นหนังสือ มีหลักฐานเป็น หนังสือ หรือมีเอกสารมาแสดงแล้ว” มาตรานี้ บัญญัติขึ้นเพื่อขยายหลักการทั่วไปตามมาตรา 7 ซึ่งให้ถือว่าข้อความอิเล็กทรอนิกส์ที่ท าขึ้นนั้น เป็นข้อความที่ได้ท าเป็นหนังสือ มีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือมีเอกสารมาแสดงตามที่กฎหมาย ก าหนดแล้ว ลายมือชื่อ มาตรา 9 “ในกรณีที่บุคคลพึงลงลายมือชื่อในหนังสือ ให้ถือว่าข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้น มีการลงลายมือ ชื่อ แล้ว ถ้า (1) ใช้วิธีการที่สามารถระบุตัวเจ้าของลายมือชื่อ และสามารถแสดงได้ว่าเจ้าของ ลายมือชื่อ รับรอง ข้อความในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้นว่าเป็นของตน และ (2) วิธีการดังกล่าวเป็น


77 วิธีการที่เชื่อถือได้โดยเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการสร้างหรือส่ง ข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์โดย ค านึงถึงพฤติการณ์แวดล้อมหรือข้อตกลงของคู่กรณีวิธีการที่เชื่อถือได้ตาม (2) ให้ค านึงถึง ก. ความมั่นคงและรัดกุมของการใช้วิธีการหรืออุปกรณ์ในการระบุตัวบุคคล สภาพพร้อมใช้ งานของ ทางเลือกในการระบุตัวบุคคล กฎเกณฑ์เกี่ยวกับลายมือชื่อที่ก าหนดไว้ในกฎหมายระดับ ความมั่นคงปลอดภัยของ การใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์การปฏิบัติตามกระบวนการในการระบุตัว บุคคลผู้เป็นสื่อกลาง ระดับของการ ยอมรับหรือไม่ยอมรับ วิธีการที่ใช้ในการระบุตัวบุคคลในการ ท าธุรกรรม วิธีการระบุตัวบุคคล ณ ช่วงเวลาที่มีการ ท าธุรกรรมและติดต่อสื่อสาร ข. ลักษณะ ประเภท หรือขนาดของธุรกรรมที่ท า จ านวนครั้งหรือความสม่ าเสมอในการท า ธุรกรรม ประเพณีทางการค้าหรือทางปฏิบัติความส าคัญ มูลค่าของธุรกรรมที่ท า ค. ความรัดกุมของระบบการติดต่อสื่อสาร ให้น าความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับการ ประทับตราของนิติบุคคลด้วยวิธีการทาง อิเล็กทรอนิกส์ด้วยโดยอนุโลม” มาตรานี้บัญญัติขึ้นเพื่อ รับรองสถานะทางกฎหมายของลายมือชื่อในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อระบุหรือ ยืนยันตัวบุคคล เป็นอีกมาตราหนึ่งที่ขยายเงื่อนไขเพิ่มเติมมาตรา 7 มาตรา 9 เป็นบทบัญญัติที่ก าหนดขึ้นบน พื้นฐานหลักความเท่าเทียมกัน ระหว่าง “ลายเซ็นหรือลายมือชื่อที่อยู่บนกระดาษ” กับ ลายมือชื่อ ที่อยู่ในรูปข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งลายมือชื่อขึ้นอยู่กับคู่กรณีว่าจะประสงค์ใช้แบบใด หมวดที่ 2 ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อถือได้ มาตรา 26 “ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่มีลักษณะ ดังต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อถือ ได้ (1) ข้อมูลส าหรับใช้สร้างลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์นั้นได้เชื่อมโยงไปยังเจ้าของลายมือชื่อ โดย ไม่เชื่อมโยง ไปยังบุคคลอื่นภายใต้สภาพที่น ามาใช้ (2) ในขณะสร้างลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์นั้น ข้อมูลส าหรับใช้สร้างลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ อยู่ภายใต้การ ควบคุมของเจ้าของลายมือชื่อโดยไม่มีการควบคุมของบุคคลอื่น (3) การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดแก่ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์นับแต่เวลาที่ได้สร้างขึ้นสามารถ จะตรวจพบ ได้และ (4) ในกรณีที่กฎหมายก าหนดให้การลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นไปเพื่อรับรองความ ครบถ้วนและไม่มีการเปลี่ยนแปลงของข้อความ การเปลี่ยนแปลงใดแก่ข้อความนั้นสามารถตรวจ พบได้นับแต่เวลาที่ลงลายมือชื่อ อิเล็กทรอนิกส์ บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ไม่เป็นการจ ากัดว่าไม่มี วิธีการอื่นใดที่แสดงได้ว่าเป็นลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ เชื่อถือได้หรือการแสดงพยานหลักฐานใด เกี่ยวกับความไม่น่าเชื่อถือของลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์” หมวดที่ 6 บทก าหนดโทษ มาตรา 44 “ผู้ใดประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่แจ้งหรือขึ้นทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่ก าหนดในพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 33 วรรคหนึ่ง หรือโดยฝ่าฝืน ค าสั่งห้ามการ ประกอบธุรกิจของคณะกรรมการตามมาตรา 33 วรรคหก ต้องระวางโทษจ าคุกไม่ เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหนึ่ง แสนบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ”


78 มาตรา 45 “ผู้ใดประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตาม มาตรา 34 ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ” มาตรา 46 “บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่กระท าโดยนิติบุคคล ผู้จัดการหรือผู้แทนนิติ บุคคล หรือผู้ซึ่งมีส่วนร่วมในการด าเนินงานของนิติบุคคล ต้องรับผิดในความผิดนั้นด้วยเว้นแต่ พิสูจน์ได้ว่าตนมิได้รู้เห็น หรือมีส่วนร่วมในการกระท าความผิดนั้น” (คณาธิป ทองรวีวงศ์, 2563)


79 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท าความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์พ.ศ. 2550 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ผ่านการ เห็นชอบจากสภานิติบัญญัติ การลงพระปรมาภิไธย และการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2550 และจะ มีผลใช้บังคับตั้งแต่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป ดังนั้นผู้ใช้คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตโดยทั่วไป ผู้ให้บริการ ซึ่งรวมไปถึงหน่วยงานต่างๆ ที่เปิด บริการอินเทอร์เน็ตให้แก่ผู้อื่นหรือ กลุ่มพนักงานนักศึกษาในองค์กร ควรทราบ ถึงรายละเอียดของ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 โดยประเทศไทยได้ มีการน าคับใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (คณาธิป ทองรวีวงศ์, 2563) “ระบบคอมพิวเตอร์” หมายความว่า อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมการท างาน เข้า ด้วยกัน โดยได้มีการก าหนดค าสั่ง ชุดค าสั่ง หรือสิ่งอื่นใด และแนวทางปฏิบัติงานให้อุปกรณ์ หรือชุดอุปกรณ์ท า หน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ “ข้อมูลคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูล ข้อความ ค าสั่ง ชุดค าสั่ง หรือสิ่งอื่นใดบรรดา ที่อยู่ใน ระบบ คอมพิวเตอร์ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้ และให้หมายความรวมถึง ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตาม กฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย “ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของระบบ คอมพิวเตอร์ซึ่งแสดงถึงแหล่งก าเนิดต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง เวลา วันที่ ปริมาณ ระยะเวลา ชนิดของบริการ หรืออื่น ๆ ที่ เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์นั้น “ผู้ให้บริการ” หมายความว่า ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถ ติดต่อถึงกันโดย ประการอื่น โดย ผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการใน นามของตนเอง หรือ ในนามหรือเพื่อประโยชน์ของ บุคคลอื่น ผู้ให้บริการเก็บรักษา ข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น (คณาธิป ทองรวีวงศ์, 2563) หมวดที่ 1 ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฐานความผิดและบทลงโทษส าหรับการ กระท าโดยมิชอบ การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ มาตรา 5 “ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มี มาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและ มาตรการนั้นมิได้มีไว้ส าหรับตน ต้องระวางโทษจ าคุกไม่ เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจ าทั้ง ปรับ” “การเข้าถึง” หมายถึง การเข้าถึงทั้งในระดับกายภาพ เช่น กรณีที่มีการก าหนดรหัสผ่าน เพื่อป้องกันมิให้บุคคลอื่นใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และผู้กระท าผิดด าเนินการด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งเพื่อให้ ได้รหัสผ่านนั้นมาและ สามารถใช้ เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นได้โดยนั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ นั้นเอง และ หมายความรวมถึงการเข้าถึงระบบ คอมพิวเตอร์หรือเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์แม้ตัว เรื่องที่ 2 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์


80 บุคคลที่เข้าถึงจะอยู่ห่างโดยระยะทางกับเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ สามารถเจาะเข้าไปในระบบ คอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ตนต้องการได้ การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์มาตรา 7 “ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและ มาตรการนั้นมิได้มีไว้ส าหรับตน ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือ ทั้งจ าทั้งปรับ” องค์ประกอบความผิดตามมาตรา 7 ตรงกับองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 5 เพียงแต่เปลี่ยนจาก “ระบบคอมพิวเตอร์” เป็น “ข้อมูลคอมพิวเตอร์ การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ มาตรา 8 “ ผู้ใดกระท าด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการ ทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ซึ่ง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น มิได้มีไว้เพื่อ ประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกิน สามปีหรือปรับไม่เกินหก หมื่นบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ การท าให้เสียหาย ท าลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ มาตรา 9 “ผู้ใดท าให้เสียหาย ท าลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่ง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น โดยมิชอบ ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสน บาทหรือทั้งจ าทั้ง ปรับ” การรบกวน ขัดขวางการท างานของระบบคอมพิวเตอร์มาตรา 10 “ผู้ใดกระท าด้วยประการใดโดยมิชอบเพื่อให้การท างานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูก ระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวน จนไม่สามารถท างานตามปกติได้ ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินห้า ปี หรือปรับไม่ เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ” การสแปมเมล์ (Spam mail) มาตรา 11 “ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรือปลอม แปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูล ดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคล อื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษไม่เกินหนึ่งแสนบาท” การกระท าความผิดต่อ ประชาชนโดยทั่วไป / ความมั่นคง มาตรา 12 “ถ้าการกระท า ความผิดตามมาตรา 9 หรือ มาตรา 10 (1) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ประชาชนไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นในทันที หรือในภายหลังและไม่ ว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกัน หรือไม่ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกิน สิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท (2) เป็นการกระท าโดย ประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบ คอมพิวเตอร์ที่ เกี่ยวกับการ รักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศความปลอดภัย สาธารณะ หรือเป็นการกระท าต่อ ข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ ที่มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจ าคุก ตั้งแต่สามปีถึงสิบห้า ปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท


81 การจ าหน่าย / เผยแพร่ชุดค าสั่งเพื่อใช้กระท าความผิด มาตรา 13 “ผู้ใดจ าหน่ายหรือ เผยแพร่ชุดค าสั่ง ที่จัดท าขึ้นโดยเฉพาะเพื่อน าไปใช้เป็นเครื่องมือในการ กระท าความผิด ตามมาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 หรือมาตรา 11 ต้องระวางโทษ จ าคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ” ชุดค าสั่งตาม มาตรานี้อาจเป็นแบบวัตถุ เช่น แผ่นซีดีก็ได้หรืออาจเป็นไฟล์ดิจิทัลก็ได้ส่วนการใช้เป็น เครื่องมือใน การกระท าความผิดนั้นเป็นความผิดตามมาตราหนึ่งมาตราใดก็ได้ น าเข้า / ปลอม / เท็จ / ภัยมั่นคง / ลามก / ส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์มาตรา 14 “ผู้ใด กระท าความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่ง แสนบาท หรือทั้งจ า ทั้งปรับ (1) น าเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบาง ส่วน หรือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน (2) น าเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายต่อ ความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความ ตื่นตระหนกแก่ประชาชน (3) น าเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความ มั่นคงแห่ง ราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา (4) น าเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามก และ ข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ (5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4) ความรับผิดของผู้ให้บริการ มาตรา 15 “ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือ ยินยอมให้มีการกระท าความผิดตามมาตรา 14 ใน ระบบ คอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระท าความผิดตาม มาตรา 14” มาตรานี้ใช้ถ้อยค าว่า “จงใจ” ซึ่งเป็นค าที่เพิ่มขึ้นมาจาก “เจตนา” โดยมีเจตนารมณ์ที่ จะเน้นให้เห็นว่า “จงใจ” นั้นหมายถึงต้องรู้ว่ามีการกระท าความผิดตาม มาตรา 14 เช่นมีการเตือน หรือแจ้งให้ทราบแล้วว่า ข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเป็นความผิดต่อกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา 14 เมื่อผู้ให้บริการยังปล่อยให้มีการเผยแพร่ ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดในระบบคอมพิวเตอร์ ที่อยู่ในความควบคุมของตน ก็จะถือได้ว่าเป็นการจงใจ สนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระท า ความผิด การเผยแพร่ภาพ ตัดต่อ / ดัดแปลง มาตรา 16 “ผู้ใดน าเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ ปรากฏ เป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติมหรือดัดแปลง ด้วยวิธีการทาง อิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะท าให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือ ได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน หกหมื่นบาท หรือทั้งจ าทั้งปรับ”


82 กรณีความผิดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร มาตรา 17 “ผู้ใดกระท าความผิดตามพระราชบัญญัตินี้นอกราชอาณาจักรและ (1) ผู้กระท าความผิดนั้นเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้นหรือผู้เสียหายได้ ร้อง ขอให้ลงโทษ (2) ผู้กระท าความผิดนั้นเป็นคนต่างด้าว และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหายและผู้เสียหาย ได้ร้อง ขอให้ลงโทษ จะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร ตัวอย่างลักษณะความผิดที่พบได้บ่อยในปัจจุบันส าหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ต 1. การส่งเมล์ก่อกวนหรือโฆษณาขายสินค้าหรือขายบริการ ประเภทป๊อปอัพ หรือพวกส่ง อีเมล์ขยะที่เขา ไม่ต้องการมีโทษปรับอย่างเดียวไม่เกิน 100,000 บาท โทษฐานก่อความร าคาญ 2. การส่งเมล์ ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ข่าวลือที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย การส่งภาพลามกอนาจาร ทั้งหลาย รวมถึงการได้รับแล้วส่งต่อด้วย มีโทษเสมอกันคือ จ าคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ดังนั้นจึงไม่ควรส่ง ต่อเมล์ที่ไม่เหมาะสม 3. การตัดต่อภาพของคนอื่น แล้วน าเข้าเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ท าให้เจ้าของภาพ เสียหาย อับอาย ต้องโทษจ าคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 600, 000 บาท แต่กฎหมายยกเว้นส าหรับ ผู้ที่ท าด้วยความสุจริต จะไม่เป็น ความผิด 4. การ ใช้ user name/password ของผู้อื่น Log in เข้าสู่ระบบ มีความผิดตามมาตรา 5 ปรับไม่เกิน 10,000 บาท จ าคุกไม่เกิน 6 เดือน ดังนั้น ไม่ควรใช้user/password ของผู้อื่นและไม่ ควรให้ผู้อื่นล่วงรู้password ของตนเอง 5. การโพสต์ข้อความตามกระทู้ต่างๆที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม เป็นเท็จ กระทบความมั่นคง หรือลามก อนาจาร มีความผิดตามมาตรา 14 ปรับไม่เกิน 100,000 บาท จ าคุกไม่เกิน 5 ปีดังนั้น จึงควรใช้วิจารณญาณใน การแสดงความคิดเห็น และค านึงถึงผลที่จะตามมา อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ความหมายของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 1. การกระท าใด ๆ ก็ตาม ที่เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ อันท าให้เหยื่อได้รับความเสียหาย และท า ให้ผู้กระท าได้รับผลตอบแทน 2. การกระท าผิดกฎหมายใด ๆ ซึ่งจะต้องใช้ความรู้เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ มา ประกอบการกระ ผิด และต้องใช้ผู้มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์ ในการสืบสวน ติดตาม รวบรวม หลักฐาน เพื่อการด าเนินคดี จับกุม อาชญากรคอมพิวเตอร์จะก่ออาชญากรรมหลายรูปแบบ ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกจัดออกเป็น 9 ประเภท (ตาม ข้อมูลคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจร่างกฎหมาย อาชญากรรมคอมพิวเตอร์) 1) การขโมยข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงการขโมยประโยชน์ในการลักลอบใช้บริการ 2) อาชญากรน าเอาระบบการสื่อสารมาปกปิดความผิดของตนเอง 3) การละเมิดสิทธิ์ปลอมแปรงรูปแบบ เลียนแบบระบบซอฟต์แวร์โดยมิชอบ 4) ใช้คอมพิวเตอร์แพร่ภาพ เสียง ลามก อนาจาร และข้อมูลที่ไม่เหมาะสม


83 5) ใช้คอมพิวเตอร์ฟอกเงิน 6) อันธพาลทางคอมพิวเตอร์ที่เช้าไปก่อกวน ท าลายระบบสาธารณูปโภค เช่น ระบบจ่าย น้ า จ่าย ไป ระบบการจราจร 7) หลอกลวงให้ร่วมค้าขายหรือลงทุนปลอม 8) แทรกแซงข้อมูลแล้วน าข้อมูลนั้นมาเป็นประโยชน์ต่อตนโดยมิชอบ เช่น ลักลอบค้นหา รหัสบัตร เครดิตของผู้อื่นมาใช้ดักข้อมูลทางการค้าเพื่อเอาผลประโยชน์นั้นเป็นของตน 9) ใช้คอมพิวเตอร์แอบโอนเงินบัญชีผู้อื่นเข้าบัญชีตัวเอง (คณาธิป ทองรวีวงศ์, 2563)


84 จงตอบค าถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. จงอธิบายความหมายของ หมายเทคโนโลยีสารสนเทศ คืออะไร ............................................................................................................................................... ............................................................................................................................................... ............................................................................................................................................... 2. จงอธิบายความหมายเกี่ยวกับ กฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Transactions Law) พร้อมยกตัวอย่างประกอบ ............................................................................................................................................... ............................................................................................................................................... .............................................................................................................................................. 3. จงอธิบายความหมายของ “ข้อมูลคอมพิวเตอร์คืออะไร ............................................................................................................................................... ............................................................................................................................................... ............................................................................................................................................... ............................................................................................................................................... 4. ให้นักศึกษายกตัวอย่างโทษของการกระท าผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... กิจกรรมให้นักศึกษาจัดกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ร่วมกันวิเคราะห์เนื้อหาและสรุปเนื้อหาเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และน าเสนอกรณีตัวอย่างการ กระท าผิด พร้อมทั้งน าเสนอและอภิปรายร่วมกัน ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................... กิจกรรมท้ายบทที่ 5 กิจกรรมกลุ่มบทที่ 5


85 1. จากการศึกษาการวิวัฒนาการของกฎหมายจากสมัยดึกด าบรรพ์เป็นต้นมา พบว่ากฎหมายเกิด จากอะไร ก. ค าสั่งของหัวหน้าหรือผู้น าของชุมชน ข. ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีดั้งเดิม ค. ความเชื่อในเทพเจ้าและค าสั่งสอน ง. ถูกต้องทุกข้อ 2. ค าว่า “กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ” หมายถึงอะไร ก. เป็นอ านาจสูงสุดผู้ใดละเมิดมิได้ ข. มีบทลงโทษไว้ชัดแจ้ง ค.ออกโดยผู้มีอ านาจสูงสุดของรัฐ ง. ถูกต้องทุกข้อ 3. โทษตามข้อใดไม่ใช่โทษตามกฎหมายอาญา ก. กักขัง ข. ปรับ ค. ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ง. ริบทรัพย์ 4. ผู้ใช้กฎหมาย หมายถึงบุคคลตามข้อใด ก. เจ้าหน้าที่ต ารวจ ข. ทนายความ ค. เจ้าพนักงานราชทัณฑ์ ง. ถูกต้องทุกข้อ 5. ในกรณีที่ พบคนตาย (ตามพระราชบัญญัติทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534) กรณีตัวอย่าง นาย เขียว เดินไปที่ทุ่งนาหลังบ้านในตอนเช้าเป็นประจ า จากนั้นนายเขียวเดินไปใต้ต้นไม้ใหญ่ บังเอิญเห็นนกเขาบนต้นไม้ และนายเขียวเงยหน้าไปเห็น นายด าผูกคอตายบนต้นไม้ ในกรณีนี้นาย เขียวควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อพบเห็นศพ ต้องแจ้งพนักงานฝ่ายปกครอง หรือ เจ้าหน้าที่ต ารวจต้องท า อย่างไร ก. นายเขียวต้องแจ้งหลัง 24 ชั่วโมง ข. นายเขียวต้องแจ้งภายใน 3 วัน ค. นายเขียวต้องแจ้งหลัง ฌาปนกิจ ง. นายเขียวต้องแจ้งก่อนภายใน 24 ชั่วโมง 6. ส าหรับบุคคลธรรมดา สภาพบุคคลเริ่มต้นเมื่อใด ก. เริ่มต้นเมื่อปฏิสนธิและแพทย์รับรองแล้วว่ามีชีวิต ข. เริ่มเมื่อทราบเพศของทารกชัดเจนด้วยวิธีการทางการแพทย์ปัจจุบัน ค. เริ่มเมื่อคลอดพ้นครรภ์มารดาแล้ว ง. เริ่มเมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก 7. ข้อใดไม่ถือว่าเป็นนิติบุคคล ก. วัดบัวแก้วเกษร ข. จังหวัดเพชรบุรี ค. อ าเภอแก่งกระจาน ง. บริษัท สองสหาย จ ากัด แบบทดสอบหลังเรียน


86 8. ทรัพย์ตามข้อใดถือเป็นอสังหาริมทรัพย์ ก. ที่ดิน ข. รถไฟทั้งขบวน ค. เครื่องบิน ง. ถูกต้องทุกข้อ 9. ฟ้าซื้อผ้าจากด าโดยช าระเงินสดกันทันที เป็นนิติกรรมประเภทใด ก. นิติกรรมฝ่ายเดียว ข. นิติกรรมสองฝ่าย ค. นิติกรรมมีเงื่อนไข ง. นิติกรรมมีผลเมื่อผู้ท ามีชีวิตอยู่ 10. สาระส าคัญของนิติกรรมคืออะไร ก. เป็นสัญญาระหว่างบุคคลเท่านั้น ข. มุ่งเจตนาท าพินัยกรรมโดยชอบด้วยกฎหมาย ค. ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ ง. เพื่อจะก่อให้เกิดสิทธิแก่ส่วนรวม 11.ข้อใดต่อไปนี้เป็นสัญญาไม่มีค่าตอบแทน ก. สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง ข. สัญญาให้โดยมีค่าภาระติดพัน ค. สัญญาซื้อขาย ง. สัญญาเช่า 12. ผลของสัญญาก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์กันอย่างไร ก. เกิดหนี้ที่ต้องช าระต่อกัน ข. ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ต่อกัน ค. ฝ่ายใดผิดนัดอาจถูกเรียกร้องสินไหมทดแทน ง. ถูกต้องทุกข้อ 13. ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถูกต้อง ก. มัดจ ากับเบี้ยปรับมีลักษณะเหมือนกัน ข. เบี้ยปรับต้องส่งมอบให้คู่สัญญา ค. มัดจ าต้องส่งมอบให้คู่สัญญา ง. ถูกต้องทุกข้อ 14. นายด าแอบทราบมาว่าในวันพรุ่งนี้นายแดง นายขาว และนายแสด ซึ่งร่วมกันวางแผนจะมา ปล้นทรัพย์ที่บ้านของตนเองในคืนเกิดเหตุจึงได้ไปหลบซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าส่วนนายแดง นายขาว และนายแสดได้แอบเข้ามาในบ้านและเอาทรัพย์ ขณะที่ก าลังจะออกจากบ้านนายด านั้น นายม่วง ได้ขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาเห็นจึงตะโกนว่า “ขโมย ขโมย” นายแสดจึงใช้ปืนยิงนายม่วงแต่ กระสุนพลาดไป หลังจากนั้นนายด าได้ยิงปืนขึ้นและพูดว่า “ถ้าไม่วางทรัพย์ลงจะยิงให้ตาย” ทั้ง สามคนเกิดความกลัวจึงวางทรัพย์แล้ววิ่งหนีไป ดังนี้การกระท าของทั้งสามคนเป็นความผิดฐานใด ก. ผิดฐานลักทรัพย์ ข. ผิดฐานพยายามลักทรัพย์ ค. ผิดฐานปล้นทรัพย์ ง. ผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ 15. กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีชื่อภาษาอังกฤษ คืออะไร ก. Low ข. Information Low ค. Civil Low ง. Common Low


87 16. ในกรณี นายด า ต้องการซื้อรถจักรยานยนต์ เพื่อให้ภรรยาเป็นของขวัญ ต่อมานายด าต้องการ ซื้อรถที่ ร้านโชคชัยมอเตอร์ แต่ปรากฏว่า นายด ามีเงินไม่พอที่ใช้ในการซื้อรถจักรยานยนต์ 2,500บาท จึงมาขอยืมเงินนางจ าเนียน ในกรณีที่นายด า มาขอยืมเงินนางจ าเนียนจะต้องท าสัญญา การกู้ยืมต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือชื่อผู้กู้ยืมเพื่อจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ข้อใดถูกต้องที่สุด ก. นายด าต้องท าสัญญากับนางจ าเนียน ในกรณีที่ในด ายืมเงิน เกิน 2,000 บาท ต้องท าสัญญากู้ยืม เงินด้วยหนังสือ ข. นายด าไม่ต้องท าสัญญาการกู้ยืมเงินกับนางจ าเนียน ค. นายด าท าสัญญากู้ยืมเงินก็ได้หรือไม่ท าสัญญากู้ยืมเงินก็ได้ ง. นายด าให้ภรรยามาท าสัญญากู้ยืมเงินแทนตัวนายด ากับนางจ าเนียน 17. การย้ายชื่อออกจากทะเบียนราษฎร์ ไม่ตรงก าหนดเวลามีโทษตามกฎหมายข้อใด ก. ถูกปรับไม่เกิน 100 บาท ข. ถูกปรับไม่เกิน 1,000 บาท ค. จ าคุก 1 เดือน ง. จ าคุก 1 ปี 18. ข้อใดแสดงถึงข้อมูลในทะเบียนราษฎร์ที่ถูกต้อง ก. ทะเบียนบ้าน ข. ทะเบียนประชาชน ค. ทะเบียนคนเกิด คนตาย ง. ทะเบียนคนเกิด คนตาย และทะเบียนบ้าน 19. ทหารกองเกินหมายความว่า ก. ผู้ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 17 ปีบริบูรณ์ และยังไม่ถึง 30 ปีบริบูรณ์ ข. ผู้ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 17 ปีบริบูรณ์ และยังไม่ถึง 30 ปีบริบูรณ์ ซึ่งได้ลงบัญชีทหารกองเกินแล้ว ค. ผู้ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ และยังไม่ถึง 30 ปีบริบูรณ์ ง. ผู้ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ และยังไม่ถึง 30 ปีบริบูรณ์ซึ่งได้ลงบัญชีทหารกองเกินแล้ว 20. อายุเท่าไร จึงต้องไปตรวจเลือกทหาร ก. อายุ 17 ปีบริบูรณ์ ข. อายุ 18 ปีบริบูรณ์ ค. อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ง. อายุ 21 ปีบริบูรณ์ ------------------------------------------------------------


88 1. ง 2. ง 3. ค 4. ง 5. ง 6. ง 7. ค 8. ก 9. ข 10. ค 11. ก 12. ง 13. ง 14. ค 15. ข 16. ก 17. ข. 18. ก 19. ง 20. ง เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน


89 บรรณานุกรม ประกายศรี ศรีรุ่งเรือง.รศ.(2553). กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรม สัญญา ตัวแทน นายหน้า ครอบครัว. เอ็กซเปอร์เน็ท. ประสพสุข บุญเดช. (ม.ป.ป.). หลักกฎหมายครอบครัว.พิมพ์ครั้งที่ 8 กรุงเทพมหานคร : วิญญูชน. พรชัย สุนทรพันธ์.รศ.ดร. และคณะ(2532).ความรู้เบื้อต้นเกี่ยวกับกฎหมาย.กรุงเทพมหานคร: ศรีสงวนการพิมพ์. สมพงษ์ พุทธเจริญ และวิชาญ โพธิสิทธิ์.(2548). ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป.กรุงเทพมหานคร : แม็ค. สุทิน เชื้อมา.(ม.ป.ป.). ความรู้รอบตัว ฉบับทันโลกเหตุการณ์ : กฎหมายไทย กรุงเทพมหานคร : ทริปเปิลคิว. อัยการสูงสุด (2534).รวมกฎหมายที่ประชาชนควรรู้.กรุงเทพมหานคร : ศรีสมบัติการพิมพ์ โชคเห าะ.รศ.(2563). กฎหมายทหาร LAW4148. คร 1 กรุงเทพมหานคร :ส านักพิมพ์ มหาวิทยาลัยรามค าแหง. เ ร ร ะ .(2551). ค าอธิบายกฎหมายอาญา ภาคที่ 1 บทบัญญัติทั่วไป. คร 8 ร เ หา คร : พลสยาม พริ้นติ้ง (ประเทศไทย). า .(2555). ห ห า า า. ร เ หา คร : ส านักพิมพ์ต้นไผ่. า .(2554). ห ห า า า. คร 9 ร เ หา คร : ส านักพิมพ์ ต้นไผ่. ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ.(2554). กฎหมายอาญาทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 12 กรุงเทพมหานคร : วิญญูชน. เ ร ร ะ .(2553). กฎหมายอาญาภาคความผิด. คร 6 ร เ หา คร : พลสยาม พริ้นติ้ง (ประเทศไทย). ค า ร ศ .(2563). ห า ค า เ ค เ ร . คร 1 กรุงเทพมหานคร :ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต


Click to View FlipBook Version