โครงการการเพิ่มมูลค่า
กล้วยน้ำว้า
สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
คำนำ
โครงการการเพิ่มมูลค่ากล้วยน้ำว้า จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อลด
ปัญหาราคากล้วยตกต่ำ เพื่อเพิ่มมูลค่าของกล้วย เพื่อส่งเสริมทักษะการ
ประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้เสริมระหว่างเรียน ซึ่งการกำหนดจุดพัฒนา
การวางแผน การปฏิบัติงานตาม แผนและประเมินโครงการ เพื่อนำผลการ
ประเมินโครงการไปใช้ในการพัฒนางานอย่างและเป็นระบบ และผลการ
ดำเนิ นงานช่วยให้นั กศึกษาได้พัฒนาตนเอง ในการเสริมทักษะความรู้ใน
เรื่องที่ศึกษาส่งผลให้นั กศึกษามีคุณภาพตามจุดหมายของหลักสูตร ขอ
ขอบคุณอาจารย์ อยับ ซาดัคคาน (ที่ให้คำปรึกษา แนะนำ) และคณะผู้จัดทำ
โครงการ สมาชิกทั้งหมดที่ให้ความร่วมมือในการดำเนิ นโครงการปลูกผัก
สวนครัวและประเมินโครงการปลูกผัก สวนครัวซึ่งเป็นโครงการพัฒนา
ตนเองในช่วงโรคระบาด covid 19 ทำให้การดำเนิ นงานบรรลุผลตาม เป้า
หมายที่กำหนดไว้ ซึ่งประโยชน์ ที่ได้รับคือคณะผู้จัดทำโครงการได้ความรู้และ
ประสบการณ์ด้าน การสร้างเสริมรายได้และด้านการประกอบอาชีพอีกทั้งยัง
ยังเป็นรายได้เสริมเล็กๆน้ อยๆของคนในครอบครัวและผู้เกี่ยวข้อง สำหรับใช้
ในการพัฒนางานให้มีความก้าวหน้ าต่อไป
อัญชลิตา เพียรจัด
นางสาวอัญชลิตา เพียรจัด
(หัวหน้ าจัดทำโครงการ)
สารบัญ
01 บทที่1 บทนำ
02 ความเป็นมาและความสำคัญของโครงการ
03 วัตถุประสงค์ของโครงการ
03 ขอบเขตของโครงการ 41 บทที่4 ผลการประเมินโครงการ
03 เป้าหมายของโครงการ
04 งบประมาณของโครงการ 43 ผลการประเมินด้านสภาวะแวดล้อม
04 ปัจจัยในการดำเนิ นโครงการ 46 ผลการประเมินด้านปัจจัย
06 กิจกรรมในการดำเนิ นงานโครงการ 49 ผลการประเมินด้านกระบวนการ
07 ระยะเวลาดำเนิ นงานตามโครงการ 53 ผลการประเมินด้านผลผลิต
08 กระบวนการดำเนิ นโครงการ
11 นิ ยามศัพท์ 56 บทที่5 สรุปผล อภิปราย
11 ประโยชน์ ที่คาดว่าจะได้รับ และข้อเสนอแนะ
57 วัตถุประสงค์ของการประเมินโครง
57 รูปแบบการประเมิน
12 บทที่2 เอกสารและแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 57 การประเมินโครงการ
57 การวิเคราะห์ผลการประเมินโครงก
13 แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการดำเนิ นโครงการ 58 สรุปผลการประเมินโครงการ
33 หลักการแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการประเมิน 58 อภิปรายผล
โครงการ 59 บรรณานุกรม
35 กรอบแนวคิดการประเมินโครงการ 60 ภาคผนวก ก แบบประเมิน
ของโครงการ
36 บทที่3 วิธีการประเมินโครงการ 65 ภาคผนวก ข รูปภาพ
37 รูปแบบการประเมินโครงการ
38 วิธีการการประเมินโครงการ
38 ประชากรกลุ่มตัวอย่าง
38 เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินโครงการ
39 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ
สารบัญภาพ
33
ภาพที่ 2.1 หลักการวงจร PDCA
35
ภาพที่ 2.2 กรอบแนวคิดการประเมินผล
โครงการ
37
ภาพที่ 3.1 รูปแบบการประเมินโครงการ
แบบ CIPP MODEL
สารบัญตาราง
7
ตารางที่1 ระยะเวลาดำเนิ นโครงการ
10
ตารางที2 ขั้นตอน/วิธีการดำเนิ นงาน(ตามกระบวนการPDCA)
43
ตารางที่1 ผลการประเมินโครงการด้านสภาวะแวดล้อม
46
ตารางที่2 ผลการประเมินโครงการด้านปัจจัย
49
ตารางที่3 ผลการประเมินโครงการด้านกระบวนการ
53
ตารางที่4 ผลการประเมินโครงการด้านผลผลิต
บทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง การประเมินโครงการการเพิ่มมูลค่ากล้วยน้ำว้า
ผู้รับผิดชอบ 1. นางสาวศิริโฉม แต้มเติม รหัสนั กศึกษา 6216209001181
2. นางสาวอัญชลิตา เพียรจัด รหัสนั กศึกษา 6216209001191
3. นางสาวฐิติมา ชูทอง รหัสนั กศึกษา 6216209001195
ระยะเวลาการประเมินโครงการ วันที่ 1 กันยายน – 25 ตุลาคม 2564
วัตถุประสงค์ 1.เพื่อประเมินการลดปัญหาราคากล้วยตกต่ำ
2. เพื่อประเมินการเพิ่มมูลค่าของกล้วย
3. เพื่อประเมินการส่งเสริมทักษะการประกอบอาชีพ
4. เพื่อประเมินการสร้างรายได้เสริมระหว่างเรียน
วิธีดำเนินโครงการ การประเมินโครงการการเพิ่มมูลค่ากล้วยน้ำว้า ดำเนิ น
ในระหว่าง วันที่1 กันยายน 2564 – 25 ตุลาคม 2564 โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง
ประกอบด้วยลูกค้าจำนวน 10 คน
เครื่องมือที่ใช้ประเมินโครงการ คือ CIPP MODEL
ผลการประเมินโครงการ
ผลการประเมินโครงการในแต่ละด้านดังนี้
1. ประเมินสภาวะแวดล้อม
2. ประเมินการปัจจัยเบื้องต้น
3. ประเมินกระบวนการ
4. การประเมินผลผลิต
1
บทที่ 1
บทนำ
2
ความเป็นมาและความสำคัญของโครงการ
ก ล้ ว ย เ ป็ น พื ช ล้ ม ลุ ก ข น า ด ใ ห ญ่ มี ถิ่ น
กำเนิ ดในแถบตะวันออกเฉี ยงใต้เจริญ
เติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิ ด โดยเฉพาะ
อ า ก า ศ ร้ อ น ชื้น เ ป็ น พื ช ป ลู ก ง่ า ย ไ ม่ ยุ่ ง ย า ก ใ น
การบำรุ งรักษาและให้ผลผลิตตลอดปีจึงมี
การ ขยายพันธุ์กันอย่างแพร่หลายสำหรับ
ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย มี ก า ร ป ลู ก ก ล้ ว ย เ พื่ อ บ ริ โ ภ ค
ตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงการ ปลูกเพื่อ
การจ้าหน่ ายในระดับอุตสาหกรรมกล้วยจัด
เป็นพืชเศรษฐกิจชนิ ดหนึ่ งที่สร้างรายได้ให้
กับเกษตรกร ทั่วทุกภาคของประเทศการใช้
ประโยชน์ จากกล้วยนั่ นพบว่ากล้วยให้
ประโยชน์ ในทุกส่ วนตั้งแต่ล้าต้นใบและ ผล
ในส่ วนของล้าต้นใช้เป็นอาหารสั ตว์แปรรู ป
เป็นปุ๋ยส่ วนใบใช้ประดิษฐ์งานด้านศิ ลปะ
และเป็นภาชนะบรรจุ อาหารผลของกล้วย
อุ ด ม ด้ ว ย วิ ต า มิ น แ ล ะ เ ก ลื อ แ ร่ ที่ ใ ห้ ป ร ะ โ ย ช น์
แก่ร่างกายใช้รับประทานสดและแปรรู ป
เป็น ผลิตภัณฑ์ใหม่ได้หลายชนิ ด
ในบางฤดูกาลผลผลิตของกล้วยจะมีมากกว่าการบริโภคท้าให้บริโภคไม่ทัน
และราคาตกต่ำเป็นผลให้ใช้ ประโยชน์ ได้น้ อยลงการแปรรูปกล้วยจึงเป็น
แนวทางหนึ่ งที่สามารถจะแก้ปัญหาผลิตผลที่มีอยู่มากเกินได้ นอกจากนั่ นการ
แปรรูปกล้วยยังท้าให้เกิดการสร้างรายได้ให้กับครอบครัวและพัฒนาเป็น
อุตสาหกรรมได้และ ต้นกล้วยที่เหลือทิ้งเนื่ องจากถูกตัดเอาผลไปบริโภคแล้วนั่ น
สามารถน้ ามาเพิ่มมูลค่าได้โดยการน้ ามาท้าเป็นเส้น ใยและกระดาษ จากข้อความ
ข้างต้นคณะผู้จัดท้าได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของกล้วยที่อยู่คู่กับวิถีชีวิตคนไทย
มาอย่าง ยาวนานและมีประโยชน์ มากมายจึงมีแนวคิดที่จะจัดท้าโครงการนี้ ขึ้น
เพื่อที่จะน้ ากล้วยมาแปรรูปสร้างรายได้ เสริมและรวมไปถึงการลดปัญหาราคา
กล้วยตกต่ำ
3
วัตถุประสงค์ของการประเมินโครงการ
1. เพื่อประเมินการลดปัญหาราคากล้วยตกต่ำ
2. เพื่อประเมินการเพิ่มมูลค่าของกล้วย
3. เพื่อประเมินการส่งเสริมทักษะการประกอบอาชีพ
4. เพื่อประเมินการสร้างรายได้เสริมระหว่างเรียน
ขอบเขตของโครงการ
สถานที่ดำเนิ นโครงการบ้านเลขที่ 350 หมู่ 13 ตำบลละแม อำเภอละแม จังหวัด
ชุมพร ผู้จัดทำโครงการได้จัดทำโครงการนี้ เพื่อส่งเสริมการสร้างรายได้เสริม
ระหว่างเรียนออนไลน์ โดยการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ต่อตนเอง จึงได้
ทำการนำกล้วยน้ำว้ามาแปรรูปในการจัดจำหน่ ายเพื่อส่งเสริมการสร้างรายได้
โดยตนเองและทำให้มีเงินเก็บจากการแปรรูปกล้วยน้ำว้าและในแต่ละวันผู้จัด
ทำโครงการได้จำหน่ ายกล้วยได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
เป้าหมายของโครงการ
ด้านปริมาณ
1.คณะผู้จัดทำโครงการมีรายได้จากการนำกล้วยน้ำว้ามาแปรรูปเพื่อจำหน่ าย
ได้ 250 บาท/วัน โดยประมาณ
ด้านคุณภาพ
1.คณะผู้จัดทำโครงการทุกคนมีความรู้ความสามารถในการแปรรูปกล้วยน้ำว้า
2.คณะผู้จัดทำโครงการได้มีการวางแผนการในการจัดการแปรรูปกล้วยน้ำว้า
4
งบประมาณ
งบประมาณในการดำเนิ นโครงการมาจากสมาชิกในกลุ่มรวมกัน
ได้ประมาน 500 บาท/สัปดาห์
1. กล้วย 15 หวี 150 บาท
2. น้ำตาลมะพร้าว 4 กิโลกรัม 160 บาท
3. ถ้วยกระดาษ 2 แพ็ค 120 บาท
4. ถุงหิ้ว 1 แพ็ค 20 บาท
5. ถุงร้อน ขนาดเล็ก 1 แพ็ค 25 บาท
6. ช้อนส้อม 1 แพ็ค 25 บาท
รวม 500 บาท
ในการปฏิบัติโครงการ โดยวัสดุอุปกรณ์ในการดำเนิ นโครงการมี
อยู่แล้วบางส่ วน
ปัจจัยในการดำเนิ นโครงการ
วัสดุอุปกรณ์
1. กล้วย
2. น้ำตาลมะพร้าว
3. ตะแกรงย่าง
4. ถ้วย
5. หม้ออบลมร้อน
6. ช้อน
7. ถาดสแตนเลส
8. หม้อ
9. เตาถ่าน
10. ทัพพี
11. ถ่านไม้
12. เตาแก๊ส
5 บุคคลที่ร่วมดำเนินโครงการ
1. นางสาวศิริโฉม แต้มเติม 2. นางสาวอัญชลิตา เพียรจัด 3. นางสาวฐิติมา ชูทอง
เอกสาร แหล่งเรียนรู้ สถานประกอบการ
YOUTUBE , GOOGLE
อาคารสถานที่
บ้านเลขที่ 350 หมู่ 13 ตำบลละแม อำเภอละแม จังหวัดชุมพร
กิจกรรมในการดำเนิ นงานโครงการ 6
กิจกรรมการประเมินการขายกล้วยทับ
กิจกรรมการแปรรูปกล้วยน้ำว้า
รายละเอียดกิจกรรมการดำเนิ นโครงการ
1. กิจกรรมการประเมินการขายกล้วยทับ
1.1 วัตถุประสงค์
1.1.1 เพื่อประเมินรายได้จากการขายในแต่ละวัน
1.1.2 เพื่อส่งเสริมทักษะด้านการขาย
1.2 การดำเนิ นโครงการ
1.2.1 มีการวางแผนงานและปรึกษากัน
1.2.2 การแปรรูปกล้วยน้ำว้าเพื่อจำหน่ าย
1.2.3 ประเมินรายได้จากการขายในแต่ละวัน
1.3 เครื่องมือในการประเมินผล
1.3.1 ประเมินจากจำนวนที่ขายได้ในแต่ละวัน
1.3.2 การทำบัญชีเทียบต้นทุนกำไร
1.4 ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.4.1 ได้เพิ่มมูลค่าของกล้วย
1.4.2 ได้ส่งเสริมทักษะด้านการขาย
1.4.3 ได้สร้างรายได้เสริมระหว่างเรียน
2. กิจกรรมการแปรรูปกล้วยน้ำว้า
2.1 วัตถุประสงค์
2.1.1 เพื่อลดปัญหาราคากล้วยตกต่ำ
2.1.2 เพื่อเพิ่มมูลค่าของกล้วย
2.2 การดำเนิ นโครงการ
2.2.1 มีการวางแผนงานและปรึกษากัน
2.2.2 มอบหมายหน้ าที่ให้แต่ละคนรับผิดชอบ
2.2.3 ปฏิบัติการการทำโครงการ
2.2.4 จัดจำหน่ าย
2.3 เครื่องมือในการประเมินผล
2.3.1 ขั้นตอนในการแปรรูปที่ถูกต้อง
2.3.2 จำนวนการผลิตในแต่ละวัน
2.4 ผลที่คาดว่าจะได้รับ
2.4.1 ได้ลดปัญหาราคากล้วยตกต่ำ
2.4.2 ได้เพิ่มมูลค่าของกล้วย
7
ตารางที่ 1 ระยะเวลาดำเนินงาน
ระหว่างวันที่ 1 เดือน กันยายน พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 25 เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2564
โดยมีปฏิทินปฏิบัติงานตามโครงการดังนี้
ตารางที่ 1 ระยะเวลาดำเนินงาน
8
กระบวนการประเมินโครงการ
รายงานผลการจัดทำโครงการการเพิ่มมูลค่ากล้วยน้ำว้า ได้มีการนำหลัก
การคุณภาพของ “ เดมมิ่ง” PDCA มาใช้ในการดำเนิ นการ 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นตอนการร่วมกันวางแผน (PLAN)
2. ขั้นตอนการร่วมกันปฏิบัติ (DO)
3. ขั้นตอนการร่วมประเมิน (CHECK)
4. ขั้นตอนการร่วมปรับปรุง (ACT)
1. ขั้นตอนการร่วมกันวางแผน 2. ขั้นตอนการร่วมกันปฏิบัติ (DO)
(PLAN) ขั้นตอนนี้ เป็นการลงมือปฏิบัติ
ขั้นตอนนี้ เป็นการวางแผนในการ
ดำเนิ นโครงการการเพิ่มมูลค่า ดำเนิ นโครงการการเพิ่มมูลค่า
กล้วยน้ำว้าโดยมีขั้นตอนดังนี้ กล้วยน้ำว้าโดยมีขั้นตอนดังนี้
1.1 สมาชิกในกลุ่มได้มีการ
ปรึกษากันภายในกลุ่มในการ 2.1 สมาชิกในกลุ่มได้ทำการเสนอ
เสนอชื่อโครงการพร้อมทั้งศึ กษา โครงการต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อ
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับชื่อโครงการ ขออนุมัติในการดำเนิ นโครงการ
1.2 สมาชิกในกลุ่มได้เลือกจัดทำ 2.2 ดำเนิ นโครงการการเพิ่มมูลค่า
โครงการการเพิ่มมูลค่ากล้วย กล้วยน้ำว้าในช่วงเวลาตามที่ทาง
น้ำว้าพร้อมทั้งวางแผนขั้นตอนใน อาจารย์ได้กำหนดระยะเวลาไว้โดย
การดำเนิ นโครงการรวมไปถึงการ สมาชิกในกลุ่มได้ลงมือปฏิบัติ
จัดเตรียมงบประมาณในการ โครงการโดยมีการปฏิบัติ ดังนี้
ดำเนิ นโครงการ
1.3 สมาชิกในกลุ่มได้มีการ - ศึกษาข้อมูลถึงวิธีการเลือกกล้วย
ปรึกษาเกี่ยวกับสถานที่ในการจัด ในการปิ้ งและวิธีการทำน้ำกะทิ
ทำโครงการ
1.4 สมาชิกในกลุ่มได้เริ่มจัด - สมาชิกในกลุ่มร่วมลงมือปฏิบัติ
เตรียมหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ การลดลองการทำน้ำกะทิ
เครื่องใช้ในการดำเนิ นโครงการ
- ได้มีการทดลองชิมรสชาติและได้
ข้อเสนอแนะจากสมาชิกใน
ครอบครัว
- สมาชิกในกลุ่มได้เริ่มลงมือการ
ผลิตเพื่อจำหน่ าย
9
3.ขั้นตอนการร่วมกันประเมิน 4.ขั้นตอนการร่วมกันปรับปรุง
(CHECK) (ACT)
โครงการการเพิ่มมูลค่ากล้วย
น้ำว้าได้จัดทำแบบประเมินใน สมาชิกในกลุ่มได้ทำการ
ด้านต่างๆซึ่งเป็นแบบประเมิน ติดตามประเมินผลโครงการ
เชิงคุณภาพเพื่อให้สอดคล้อง แล้วรวบรวมข้อมูลต่างๆที่จัด
กับวัตถุประสงค์เป้าหมายและ ทำโครงการรวมไปจนถึงความ
ผลที่คาดว่าจะได้รับจาก สำเร็จปัญหาและอุปสรรคข้อ
โครงการเพื่อประเมิน เสนอแนะต่างๆในการดำเนิ น
โครงการและวัดผลของการ โครงการครั้งนี้ มาสรุปผลเพื่อ
ดำเนิ นโครงการ นำไปปรับปรุงและพัฒนาใน
การดำเนิ นโครงการในครั้ง
ถัดไป
10
จากที่ได้นำหลักการคุณภาพของวงจรคุณภาพเดมมิ่ง“ PDCA” มาใช้ในการ
ดำเนิ นโครงการสามารถแจกแจงเป็นตารางได้ดังนี้
ตารางที่ 2 ขั้นตอน/วิธีดำเนินงาน (ตามกระบวนการ PDCA)
11
นิยามศั พท์
การสร้างรายได้ คือ การแปลงสิ่งใดสิ่ง
หนึ่ งให้เกิดขึ้นมาเป็นรายได้ หรือการทำสิ่ง
ใดสิ่งหนึ่ งที่มีผลประโยชน์ มีผลได้แก่กับ
ตัวผู้สร้าง รายได้ที่สร้างอาจจะมีในหลายรูป
แบบ อย่างเช่น เงิน สิ่งของหรือสิ่ง
ตอบแทน เป็นต้น
เพิ่มมูลค่าของกล้วย คือ การนำสิ่งสิ่งนั้ น
มาทำให้มีราคาที่สูงขึ้นโดยผู้ผลิตจะต้องมี
ความคิดที่สร้างสรรค์และแตกต่างในการ
เพิ่มมูลค่าของสิ่งนั้ น ดังนั้ นการเพิ่มมูลค่า
ของกล้วยคือการนำกล้วยต่างสายพันธ์ต่าง
ชนิ ดมาแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ตัว
ผลิตภัณฑ์
ประโยชน์ ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้ลดปัญหาราคากล้วยตกต่ำ
2. ได้เพิ่มมูลค่าของกล้วย
3. ได้ส่งเสริมทักษะด้านการอาชีพ
4. ได้สร้างรายได้ในระหว่างเรียน
12
บทที่ 2
เอกสารและแนวคิดทฤษฎี
ที่เกี่ยวข้อง
13
1. หลักการแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการดำเนินโครงการ
หลักการแนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวกับการประเมินโครงการ
ทฤษฎีการมีส่ วนร่วม
สำหรับความหมายของการมีส่วนร่วมมีนั กวิชาการทั้งชาวไทยและชาวต่าง
ประเทศที่มีความรู้ ความสามารถและทำวิจัย แต่งตำราเกี่ยวกับเรื่องนี้ มา
นานได้ให้ความหมายของการมีส่ วนร่วม ดังรายละเอียด ดังนี้
ARNSTIEN (1969) การมีส่วนร่วม หมายถึง การเข้าไปมีส่วนร่วมโดยไม่มี
บทบาทอะไรเลย ย่อมไม่ได้ผลการมีส่วนร่วมที่มีคุณภาพนั้ น ผู้เข้าร่วมจะ
ต้องรู้จักใช้อำนาจและสามารถควบคุมกิจกรรมนั้ นได้จึงจะทำให้เกิดผลอ
ย่างมีประสิ ทธิภาพ
BERKLEY (1975) การมีส่วนร่วม หมายถึง การที่ผู้นำเปิดโอกาสให้ผู้ตาม
ทุกคนเข้ามามีส่ วนร่วมตัดสิ นใจในการทำงานเท่าที่จะสามารถกระทำได้
WILLIAM ERWIN (1976) การมีส่วนร่วม หมายถึง กระบวนการให้
ประชาชนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการดเนิ นงานพัฒนา ร่วมคิด ร่วมตัดสิน
ใจ แก้ปัญหาของตนเอง
COHEN & UPHOFF (1981) การมีส่วนร่วม หมายถึง สมาชิกของชุมชนต้อง
เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องใน 4 มิติ ได้แก่ 1) การมีส่วนร่วมการตัดสินใจว่าควร
ทำอะไรและทำอย่างไร 2) การมีส่วนร่วมเสียสละในการพัฒนา รวมทั้ง
ลงมือปฏิบัติตามที่ได้ตัดสินใจ 3) การมีส่วนร่วมในการแบ่งปันผล
ประโยชน์ ที่เกิดขึ้นจากการดำเนิ นงาน 4) การมีส่วนร่วมในการประเมินผล
โครงการ
14
UNITED NATIONS (1981) การมีส่วนร่วม หมายถึง การเข้าร่วม
อย่างกระตือรือร้นและมีพลังของประชาชนในด้านต่างๆ ได้แก่ ใน
การตัดสิ นใจเพื่อกำหนดเป้าหมายของสั งคมและการจัดสรร
ทรัพยากรเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และปฏิบัติตามแผนการหรือ
โครงการต่างๆ ด้วยความเต็มใจ
จิราภรณ์ ศรีคำ (2547) การมีส่วนร่วม หมายถึง การที่บุคคลที่มี
ความสนใจหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องเดียวกันเข้ามาร่วมกัน เพื่อ
ปฏิบัติภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การดำเนิ นงาน การรับ
ทราบผลการดำเนิ นงาน การติดตามประเมินผล หรือร่วมกันทำ
กิจกรรมต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ได้ตกลงกันไว้
จินตนา สุจจานั นท์ (2549) การมีส่วนร่วม หมายถึง กระบวนการ
ดำเนิ นงานรวมพลังประชาชนกับองค์กรของรัฐหรือองค์กรเอกชน
เพื่อประโยชน์ ในการพัฒนาหรือแก้ปัญหาของชุมชน โดยให้สมาชิก
เข้ามาร่วมวางแผน ปฏิบัติและประเมินงาน เพื่อแก้ปัญหาของชุมชน
ทรงวุฒิ เรืองวาทศิลป์ (2550) การมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิด
โอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่ วนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีบทบาทร่วมใน
กิจกรรมทุกประการตามกำลังความสามารถของสมาชิกไม่ว่าจะ
เป็นการตัดสินใจ การดำเนิ นกิจกรรม การติดตามตรวจสอบ และ
การประเมินผลร่วมกัน นำผลที่ได้มาปรับปรุงแก้ไขพัฒนางานใน
กลุ่มให้มีประสิทธิภาพยิ่งๆ ขึ้น
สัญญา เคณาภูมิ (2551) การมีส่วนร่วม หมายถึง การที่สมาชิกได้มี
โอกาสร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติตามโครงการ
ร่วมติดตามประเมินผลเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่พึงประสงค์ ทั้งนี้
การมีส่วนร่วมจะต้องมาจากความสมัครใจ พึงพอใจ และได้รับผล
ประโยชน์ ที่เกิดจากชุมชนโดยส่วนรวมร่วมกัน
เมตต์ เมตต์การุณจิต (2553) การมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิด
โอกาสให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรม ไม่ว่า
จะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ในลักษณะของการร่วมรับรู้ ร่วมคิด
ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจ ร่วมติดตามผล
15
แนวคิดการเพิ่มมูลค่าของกล้วย
ในสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยของชุมชนทำให้ภายในชุมชนนั่ นมี
วัตถุดิบภายในสวนของชาวบ้านมากมาย หลากหลายสายพันธ์และหลาย
ประเภทหนึ่ งในนั่ นคือ กล้วยน้ำว้า ซึ่งหลายคนได้มีแนวคิดที่จะเพิ่ม
มูลค่าของกล้วยภายในสวนที่มีจำนวนมาก เช่น การจำหน่ ายแบบสด
การแปรรูป เป็นต้น ซึ่งกลุ่มเราได้มีแนวคิดดังนี้
1. การคัดเลือกกล้วยที่เหมาะกับการทำการแปรรูปซึ่งลักษณะมีความ
สำคัญต่อการจำหน่ ายเป็นอย่างมาก เลือกอย่างไรให้ผู้บริโภคมีความ
ต้องการซื้อและมีแนวโน้ มที่ต้องการไปเรื่อยๆ
2. การสร้างภาพความประทับใจหากผู้ขายชอบการเก็บภาพการสร้าง
รายได้ในครั้งนี้ ที่ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองก็จะภาพความทรงจำและ
สามารถแชร์ต่อเพื่อเป็นความรู้ให้กับผู้อื่นได้ด้วย
3. การสร้างความสนุกสนานให้กับขายแน่ นอนหากผลิตภัณฑ์ที่เราจัด
จำหน่ ายขายได้จำนวนมากเราก็จะเพลิดเพลินกับการขายและยังเป็น
แรงบันดาลใจให้ทำต่อไปเรื่อยๆได้อีกด้วย
4. รายได้เสริมแน่ นอนว่าจัดทำโครงการนี้ ขึ้นมาเพื่อพัฒนาตนเองและ
สร้างรายได้ระหว่างเรียนผลที่คาดไว้ ก็ตอบสนองวัตถุประสงค์ก่อนนี้
คือการมีรายได้จากการจำหน่ ายกล้วยแปรรูปทำให้ระหว่างเรียนของเรา
มีรายได้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
16
สรรพคุณและประโยชน์ ของกล้วยน้ำว้า
กล้วยน้ำว้า (MUSA ABB CV. KLUAI 'NAMWA') เป็นผลไม้ที่คนไทยรู้จักมา
ตั้งแต่สมัยโบราณนิ ยมปลูกกันแพร่หลายทั่วทุกภาคของประเทศไทย
เนื่ องจากทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศปลูกง่ายให้ผลผลิตเร็วและนำมาใช้
ประโยชน์ ได้ทุกส่วนกล้วยน้ำว้าอุดมไปด้วยสารอาหารหลายชนิ ด ได้แก่
พลังงาน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ โดยพบว่ากล้วยน้ำว้า 1
ผล ให้พลังงานประมาณ 59 กิโลแคลอรี่ เป็นผลไม้ที่สามารถรับประทานได้
ทุกวัย ตั้งแต่วัยทารกอายุ 6 เดือนเต็ม เด็กปฐมวัย นั กเรียน วัยรุ่น ผู้ใหญ่ และ
ผู้สูงอายุ
โดยการบริโภคกล้วยน้ำว้าในแบบต่างๆจะให้ประโยชน์ แตกต่างกัน ดังนี้
1. กล้วยน้ำว้าดิบ ช่วยแก้โรคกระเพาะอาหารได้ดี เนื่ องจากมีสารแทนนิ น
(TANNIN) ซึ่งมีฤทธิ์ในการเคลือบกระเพาะอาหารและลำไส้ ป้องกันการติด
เชื้อ กล้วยดิบไม่สามารถรับประทานสดได้ วิธีรับประทานให้นำกล้วยมาฝาน
เป็นแว่นๆ แล้วอบด้วยความร้อนต่ำไม่เกิน 50 องศาเซลเซียส จนแห้ง จากนั้ น
นำมาบดเป็นผง รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา 3 ครั้ง ก่อนอาหาร
2. กล้วยน้ำว้าห่าม หรือกล้วยกึ่งดิบกึ่งสุกสามารถรับประทานสดได้รสชาติไม่
หวานจัดช่วยแก้ท้องเสีย เนื่ องจากมีปริมาณโพแทสเซียมสูงหากผู้ที่มีอาการ
ท้องเสี ยรับประทานกล้วยห่ามสามารถช่วยชดเชยโพแทสเซียมให้กับร่างกาย
และทำให้อาการท้องเสี ยบรรเทาลง
3. กล้วยน้ำว้าสุก มีรสชาติอร่อยผู้บริโภคนิ ยมรับประทานช่วยแก้ท้องผูก
เนื่ องจากมีสารเพคติน (PECTIN) ซึ่งเป็นเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้อยู่เป็น
จำนวนมากทำให้ช่วยเพิ่มกากใยในระบบทางเดินอาหาร และยังมีคุณสมบัติ
เป็นพรีไบโอติก (PREBIOTIC) ตามธรรมชาติสามารถช่วยในการขับถ่ายได้เป็น
อย่างดี
4. กล้วยน้ำว้างอม กล้วยมีสีเหลืองเข้มคล้ำๆ เนื้ อกล้วยค่อนข้างเละ ทำให้คน
ส่วนใหญ่ไม่ค่อยนิ ยมนำมารับประทาน แต่ในทางกลับกันกล้วยงอมกลับมี
ประโยชน์ มากมาย ทั้งช่วยสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ต้านโรคมะเร็ง
ทำให้มีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกล้วยที่มีจุดดำมากๆ ก็จะ
ยิ่งมีสารเสริมภูมิต้านทานมากด้วย
17
การบริโภคกล้วยน้ำว้านอกจากจะให้คุณ
ประโยชน์ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีสรรพคุณ
ทางยาที่ช่วยบรรเทารักษาโรคต่างๆ ได้อีก
มากมาย คือ
- โรคโลหิตจาง กล้วยน้ำว้ามีธาตุเหล็กสูง ซึ่ง
เป็นตัวช่วยในการกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบิน
ในเลือด และช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง
หรือภาวะโลหิตจาง
- โรคความดันโลหิตสูง ในกล้วยมีปริมาณ
โพแทสเซียมสูง และมีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้
เป็นผลไม้ชนิ ดหนึ่ งที่เหมาะสำหรับช่วยลด
ความดันโลหิตสูงได้ดี
- โรคเบาหวานและช่วยควบคุมน้ำหนั ก กล้วย
น้ำว้าสามารถป้องกันการเป็นโรคเบาหวาน
และควบคุมน้ำหนั กได้ เมื่อรับประทานใน
ปริมาณที่เพียงพอ เนื่ องจากกล้วยน้ำว้า 1 ผล
มีน้ำตาลประมาณ 3-5 กรัม และหากรับ
ประทานในปริมาณที่พอเหมาะจะทำให้สามารถ
ควบคุมน้ำหนั กได้
- ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วย
เป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร ช่วยรักษา
ระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ทำให้สามารถ
หลีกเลี่ยงความรู้สึ กไม่สบายในตอนเช้าได้
- แก้ผื่นคัน เด็กที่ผิวหนั งเป็นตุ่มคันจากยุงกัด
มดกัด หรือเป็นผื่นคันเนื่ องจากลมพิษ
สามารถใช้เปลือกกล้วยน้ำว้าสุกด้านในทา
บริเวณนั้ นประมาณครึ่งนาที อาการคันจะลด
ลง และเปลือกกล้วยยังมีฤทธิ์ในการต้าน เชื้อ
ราและแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองได้
- แก้เจ็บคอ เจ็บหน้ าอก กล้วยน้ำว้าช่วย
บรรเทาอาการเจ็บคอ หรืออาการเจ็บหน้ าอก
จากการไอแห้งๆได้ โดยรับประทานกล้วยวัน
ละ 5-6 ผล จะช่วยให้อาการระคายเคืองลด
น้ อยลง
18
- ลดความเครียด กล้วยน้ำว้ามี
โพแทสเซียมซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วย
ให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่ ง
ออกซิเจนไปยังสมอง และปรับสมดุลน้ำ
และแร่ธาตุในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์
เครียด อัตรา METABOLIC ในร่างกายจะ
สูงขึ้น และทำให้ระดับโพแทสเซียมลดลง
แต่เมื่อรับประทานกล้วยน้ำว้าจะช่วยให้เกิด
ความสมดุล อีกทั้งกล้วยน้ำว้ายังมีสารทริป
โตเฟน (TRYPTOPHAN) ที่เป็นสารตั้งต้น
ของฮอร์โมนเซโรโทนิ น (SEROTONIN) ซึ่ง
เมื่อหลั่งออกมาจะทำให้มีความสุข
- ดับกลิ่นปาก กล้วยน้ำว้ามีสรรพคุณช่วย
ลดกลิ่นปากได้ดี โดยให้กินกล้วยหลังตื่น
นอนทันที แล้วค่อยแปรงฟัน ทำให้
สามารถช่วยลดกลิ่นปากได้
ทั้งนี้ นอกจากผลกล้วยน้ำว้า ส่วนอื่นๆ
ของกล้วยยังมีสรรพคุณทางยา คือ
1. ยาง ช่วยสมานแผล ใช้ห้ามเลือด
2. หัวปลี แก้โรคในกระเพาะอาหารและ
ลำไส้ แก้โลหิตจาง ลดน้ำตาลในเลือด
รักษาเบาหวาน ขับน้ำนม
3. ใบ นำมาปิ้ งไฟใช้รักษาแผลไฟไหม้ ต้ม
กับน้ำใช้อาบแก้ผดผื่นคัน ห้ามเลือด และ
รักษาแผลสุนั ขกัด
4. ราก แก้ขัดเบา
จะเห็นได้ว่า กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มี
คุณค่าทางโภชนาการสูง มีสรรพคุณและ
ประโยชน์ ต่อร่างกายมากมาย ซึ่งการ
บริโภคกล้วยน้ำว้าเป็นประจำอย่างน้ อยวัน
ละ 1-2 ผล ส่งผลให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดี
และมีภูมิต้านทานโรคเพิ่มมากขึ้นด้วย
19 แนวคิด ความหมายการพัฒนาตนเอง
ปัจจุบันโลกเจริญก้าวหน้ ามากรวมทั้ง
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วการพัฒนา
และ ตนเองจึงเป็นสิ่ งสำคัญที่บุคคลต้องพยายาม
ปรับปรุงพัฒนาตนเองให้ก้าวทันกับการ
เปลี่ยนแปลงนั้ นๆ
ทฤษฏี กรกนก วงศ์พันธุเศรษฐ์ (อ้างถึงในเกศ
รินทร์ วิริยะอาภรณ์, 2545) ได้กล่าวว่า การ
พัฒนาตนเอง หมายถึง การขยายขอบเขต
เกี่ยวกับ ความสามารถในการใช้ความรู้ ความสามารถ
ของบุคคลได้อย่างเต็มที่และประยุกต์ใช้ความ
รู้ และประสบการณ์ที่ได้รับมา เพื่อแก้ปัญหา
การ หรือหาข้อยุติปัญหาในสถานการณ์ ใหม่ๆที่
แตกต่างออกไป ในเรื่องนี้
ศศลักษณ์ ทองปานดี (2551) การพัฒนา
พัฒนา ตนเอง หมายถึง การดำเนิ นการเกี่ยวกับการ
ส่งเสริมบุคคลให้มีความรู้ ความสามารถ มี
ทักษะการทำงานดีขึ้น ตลอดจนมีทัศนคติที่ดี
ในการทำงานอันจะเป็นผลให้การปฏิบัติงาน
ตนเอง มีประสิ ทธิภาพดียิ่งขึ้นและการพัฒนาบุคคล
ควรส่งเสริมและพัฒนาทั้งร่างกาย อารมณ์
สังคม และสติปัญญาอย่างทั่วถึงสม่ำเสมอ
และต่อเนื่ อง
ความต้องการในการ โสภณ ช้างกลาง (2550) การพัฒนา
พัฒนาตนเองเพื่อให้เพิ่มพูน ตนเองหมายถึง การดึงเอาศักยภาพข อง
ความรู้ทำให้มีการเปลี่ยนแปลง ตนเองออกมาแก้ไขปรับเปลี่ยนให้เกิดความ
พฤติกรรมต่างๆไปตามวัตถุ เจริญดีขึ้นกว่าอดีต สร้างความแปลกใหม่ให้
- ประสงค์ของแต่ละบุคคลรวม กับตนเอง เป็นการสร้างศักยภาพของตนเอง
ทั้งสามารถดำรงอยู่ในสั งคม ให้ดีขึ้น เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ใน
หรือประสบความสำเร็จในชีวิต สถานการณ์ ที่แตกต่างกันได้อย่างมีความสุข
หน้ าที่การงานควรมีแนวคิด เป็นกระบวนการที่จะเพิ่มพูนความรู้ เพื่อยก
เกี่ยวกับความต้องการในการ ระดับมาตรฐานหรือความชำนาญในการ
พัฒนาตนเอง ปฏิบัติงานให้สูงขึ้นและตนเองมีความเจริญ
ก้าวหน้ า
20
ศรีแพร ทวิลาภากุล (2549) การพัฒนาตนเอง หมายถึง การปฏิบัติตัว
ของบุคคลในอันที่จะสร้างเสริมศักยภาพของตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็น
ผลให้สามารถดำเนิ นชีวิตได้อย่างมีคุณภาพได้ทุกสถานการณ์แวดล้อม
ทำงานได้อย่างมีประสิ ทธิภาพและประสบความสำเร็จในชีวิตในการ
ศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ให้ผู้ตอบแบบสอบถามประเมินตนเองว่ามีการ
พัฒนาตนเองในประเด็นต่างๆ มากน้ อยเพียงใด โดยแบ่งออกเป็น 2
ประเด็นหลัก คือ การพัฒนาตนเองโดยตนเอง และการพัฒนาตนเอง
โดยผู้อื่น
เกศรินทร์ วิริยะอาภรณ์ (2545) สรุปการพัฒนาตนเองได้ว่า องค์
ประกอบของการพัฒนาตนเองอยู่ที่การเตรียมความพร้อมของร่างกาย
และจิตใจ พร้อมจะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทั้งในตนเอง
และสิ่งแวดล้อมรอบตัว รวมทั้งสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
สำหรับพุทธปรัชญานั้ น พระเทพเวที ประยุทธ์ ปยุตโต (2528, อ้างถึง
ในดำรงศักดิ์ตอประเสริฐ, 2544) สรุปการพัฒนาตนเองคือ การศึกษา
หรือเรียกว่าไตรสิ กขาเป็นการศึ กษาอบรมหรือการพัฒนาชีวิตแก่ตนเอง
3 ด้าน คือ ศีล ได้แก่ การพัฒนาพฤติกรรมทางวาจาให้สัมพันธ์ด้วยดี
กับสิ่งแวดล้อมทางสังคม ทางวัตถุ สมาธิ ได้แก่ การฝึกฝนพัฒนาจิตใจ
ที่ให้มีคุณธรรมมีประสิทธิภาพมีความสุขและปัญญา ได้แก่ การพัฒนา
ความรู้ความเข้าใจเป็นการพัฒนาตนเองโดยการสร้างปัญญา แก้ปัญหา
รู้จักการเรียนรู้ รู้จักคิด มีความอดทน มีความขยันมีความคิดแยบคาย
และสภาพจิตใจที่เกื้อกูลต่อการที่จะคิดพร้อมที่จะแสวงหาและทำให้เกิด
ปัญญา สามารถดำเนิ นชีวิตอยู่ด้วยดีไม่มีทุกข์
จากแนวคิดและทฤษฏีเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง สรุปได้ว่า การพัฒนา
ตนเองเพื่อให้มีการเพิ่มพูนความรู้ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ต่างๆ ไปตามวัตถุประสงค์ของแต่ละบุคคล รวมทั้งสามารถดำรงตนอยู่
ในสังคม หรือประสบความสำเร็จในชีวิต หน้ าที่การงาน ตลอดจนมี
ทัศนคติที่ดีในการทำงาน อันเป็นผลให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพดี
ยิ่งขึ้น การพัฒนาบุคคลควรส่งเสริมพัฒนาทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคม
และสติปัญญาอย่างทั่วถึงสม่ำเสมอ และต่อเนื่ อง
21
ความสำคัญของการพัฒนาตนเอง องค์ประกอบในการพัฒนาตนเอง
ในปัจจุบันการศึ กษาเรื่องการพัฒนา องค์ประกอบในการพัฒนาตนเองด้านต่างๆ
ตนเองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเนื่ องจาก ดังนี้
สภาพของโลกและเหตุการณ์ ในปัจจุบันได้ 1.บุคลิกท่าทาง นั บเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ ง
มีการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว โดย เพราะกิริยาท่าทางคือการสื่ อสารที่สำคัญซึ่งจะ
เฉพาะเมื่อย่างเข้าสู่ ยุคของข่าวสารข้อมูล ทำให้ผู้อื่นรู้ถึงจิตใจตลอดจนความนึ กคิดของ
(INFORMATION ERA) หรือที่เรียกว่าเป็น บุคคลผู้นั้ น ดังนั้ น กริยาท่าทางหรือบุคลิกภาพ
ยุคของโลกคลื่นที่สาม (THIRD WAVE) ให้ ที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้สมาชิกกลุ่ม จึง
เกิดการรวมตัวของทรัพยากรขึ้น เมื่อโลก ทำให้ผู้อื่นยกย่องและเชื่อถือไว้วางใจ
อยู่ในสภาวะที่ไร้พรมแดนการแข่งขันเพื่อ 2. การพูด นั บเป็นการสื่อสารที่จะทำให้ผู้อื่น
ช่วงชิงทรัพยากรจึงมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ ปฏิเสธหรือยอมรับในตัวผู้พูดได้เช่นกัน ซึ่งการ
ซึ่งอาจเปรียบได้ว่าเป็นสงครามข่าวสารใน พูดในที่นี้ รวมทั้งการพูดคุยแบบธรรมดาและ
ด้านข้อมูลความรู้ จะเห็นได้ว่าการ การพูดแบบเป็นทางการ การพูดที่จะประสบ
เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ทำให้เกิดการ ความสำเร็จนั้ น มีหลักการเบื้องแรกที่สำคัญ
เปลี่ยนแปลงดำเนิ นไปโดยไม่พยายามก้าว คือการระมัดระวังมิให้คำพูดออกไปเป็นการ
ให้ทันจะกลายเป็นผู้ล้าหลังและเสี ย ประทุษร้ายจิตใจผู้ฟัง
ประโยชน์ ในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้ น การ 3.พัฒนาคุณสมบัติทางด้านมนุษย์สั มพันธ์
พัฒนาตนเองเพื่อให้เรียนรู้ได้เท่าทันการ ความสั มพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นเป็นทางที่จะทำให้ผู้
เปลี่ยนแปลงของโลกยุคโลกาภิวัตน์ เพื่อ อื่นยอมรับและยกย่อง บุคคลที่มีความสัมพันธ์
ความอยู่รอดของชีวิตจึงเป็นสิ่ งที่จำเป็น ที่ดีต่อคนอื่น ย่อมจะทำให้ได้รับความ
(ศศินา ปาละสิงห์, 2547) สนั บสนุนและร่วมมือ
4. พัฒนาคุณสมบัติเฉพาะตัว ทำให้ได้รับการ
ยอมรับจากสมาชิกส่วนใหญ่ ดังนั้ นนอกจาก
ความรู้ ความสามารถแล้ว คุณสมบัติเฉพาะตัว
บางประการก็เป็นสิ่ งสำคัญที่จะผลักดันให้
บุคคลได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย เป็นผู้มี
คุณธรรม ได้แก่ เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตและ
ประพฤติตนอยู่ภายใต้ คุณธรรม ความดี ตาม
บรรทัดฐานของสังคมนั้ นๆ
22
ทฤษฏีเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง
มนุษย์ทุกคนมีความต้องการในการพัฒนาตนเอง ต้องการที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
หรือสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง เพื่อความก้าวหน้ าในอาชีพการงาน เพื่อ
ความมั่นคงในรายได้
ทฤษฏีเกี่ยวกับการพัฒนา บอยเดล (BOYDELL, 1985 อ้างถึงใน เกศรินทร์ วิริยะ
อาภรณ์, 2545) ซึ่งเป็นนั กจิตวิทยา ได้กำหนดขอบเขตเนื้ อหาสาระสำคัญของทฤษฎี
การพัฒนาตนเอง แบ่งเป็น 4 ด้าน สรุปได้ ดังนี้
1. ด้านสุขภาพ สิ่งสำคัญในการพัฒนาตนเอง บุคคลจะต้องมีสุขภาพจิตที่ดีและ
ร่างกายจะต้องแข็งแรง แยกเป็น 3 ระดับ
1.1 ระดับความคิด ไม่ดื้อรั้นดันทุรังแต่จะต้องยึดมั่นในความคิดเห็นและความเชื่อ
ที่มั่นคงและต่อเนื่ องในเวลาเดียวกันก็สามารถมีชีวิตอยู่กับความคลุมเครือขัดแย้งได้
1.2 ระดับความรู้สึก รับรู้ ยอมรับความรู้สึก มีความสมดุลทั้งภายในและภายนอก
อย่างมั่นคง
1.3 ระดับความมุ่งมั่นคุณค่าของโภชนาการในเรื่องอาหารการกินสุขภาพที่แข็งแรง
มีรูปแบบชีวิตที่ดี
2. ด้านทักษะ จะต้องการพัฒนาทักษะทางสมองและการสร้างสรรค์ความคิดใน
หลายรูปแบบ รวมทั้งความทรงจำ ความมีเหตุผล ความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนา
ทักษะประกอบด้วย 3 ระดับ คือ
2.1 ระดับความคิด ทักษะทางใจและการคิดคำนึ งที่ดี เช่น ความรู้สึกในเรื่องงาน
ความทรงจำที่มีเหตุผล การสร้างสรรค์ มีความคิดริเริ่ม
2.2 ระดับความรู้สึก ทักษะด้านสังคม ด้านศิลปะและการแสดงออก ต้องนำความ
รู้สึ กของตนเข้าร่วมกับแต่ละสถานการณ์ และสามารถถ่ายทอดความรู้สึ กได้
2.3 ระดับความมุ่งมั่น มีทักษะทางเทคนิ ค ทางกายภาพ สามารถกระทำได้อย่าง
ศิลปิน มิใช่เป็นผู้ที่มีความชำนาญเท่านั้ น
23
3. ด้านการกระทำให้สำเร็จการกระทำหรือการปฏิบัติสิ่งต่างๆ ให้
สำเร็จลุล่วงโดยกล้ากระทำด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอคำสั่ง หรือไม่รอ
คอยให้เกิดขึ้นเอง มี 3 ระดับ คือ
3.1 ระดับความคิด มีความสามารถที่จะเลือกและเสียสละได้
3.2 ระดับความรู้สึก มีความสามารถในการจัดการเปลี่ยนสภาพจาก
ความไม่สมหวัง ไม่เป็นสุขให้เป็นความเข้มแข็ง
3.3 ระดับความมุ่งมั่น สามารถลงมือริเริ่มการกระทำได้ไม่รอคอยให้
เกิดขึ้นเอง
4. ด้านเอกภาพของตนเอง เป็นการยอมรับข้อดีและข้อเสียของตนเอง
ด้วยความพอใจในความสามารถและยอมรับข้อบกพร่องของตนเอง
และพยายามแก้ไขให้ดีที่สุด มี 3 ระดับ คือ
4.1 ระดับความคิด มีความยอมรับ รู้จักและเข้าใจตนเอง
4.2 ระดับความรู้สึก ยอมรับตนเองแม้แต่ความอ่อนแอและยินดีใน
ความเข้มแข็งของตนเอง
4.3 ระดับความมั่นคง มีแรงผลักดันตนเอง มีเป้าหมายภายในมีจุด
ประสงค์ในชีวิต
24
ก า ร พั ฒ น า ต น เ อ ง ใ ห้ ป ร ะ ส บ ค ว า ม สำ เ ร็ จ
กระบวนการใน ควรจะมีกระบวนการตามขั้นตอนซึ่ง (สุวรี
ก า ร พั ฒ น า ต น เ อ ง
เที่ยวทัศน์ , 2542) ได้กล่าวถึงกระบวนการ
ในการพัฒนาตนเอง สรุ ปดังนี้
1. สำรวจตัวเอง การที่คนเราจะประสบ
ความสมหวังหรือไม่ สาเหตุที่สำคัญ คือ จะ
ต้ อ ง มี ก า ร สำ ร ว จ ต น เ อ ง เ พ ร า ะ ต น เ อ ง เ ป็ น ผู้
กระทำตนเอง คนบางคนไม่ประสบความ
สำเร็จในชีวิตเนื่ องจากบุคคลมีจุดอ่อนหรือ
คุ ณ ส ม บั ติ ที่ ไ ม่ ดี ก า ร ที่ จ ะ ท ร า บ ว่ า ต น มี
คุณสมบัติอย่างไร ควรจะได้รับการสำรวจ
ตนเองทั้งนี้ เพื่อที่จะได้ปรับปรุ งแก้ไข หรือ
พั ฒ น า ต น เ อ ง ใ ห้ ดี ขึ้ น เ พื่ อ จ ะ ไ ด้ มี ชีวิ ต ที่
ส ม ห วั ง ต่ อ ไ ป
2. การปลูกคุณสมบัติที่ดีงาม โดย
คุ ณ ส ม บั ติ ข อ ง บุ ค ค ล สำ คั ญ ข อ ง โ ล ก เ ป็ น
แบบอย่าง ซึ่งคุณสมบัติของบุคคลไม่ใช่สิ่ ง
ที่ติดตัวมาแต่เกิด แต่สามารถเกิดขึ้นได้
3. การปลูกใจตนเอง เป็นสิ่ งสำคัญ เพราะ
บุคคลที่มีกำลังใจดีย่อมมุ่งมั่นดำเนิ นการให้
บ ร ร ลุ เ ป้ า ห ม า ย ข อ ง ชีวิ ต ที่ กำ ห น ด ไ ว้
4. การส่ งเสริมตนเอง คือการสร้างกำลัง
กายที่ดี สร้างกำลังใจให้เข้มแข็งและสร้าง
กำ ลั ง ค ว า ม คิ ด ข อ ง ต น ใ ห้ เ ป็ น เ ลิ ศ
5. การดำเนิ นการพัฒนาตนเอง เป็นการ
ล ง มื อ ป ฏิ บั ติ เ พื่ อ เ ส ริ ม ส ร้ า ง ต น เ อ ง ใ ห้ บ ร ร ลุ
วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ ต า ม ที่ ตั้ ง ไ ว้
6. การประเมินผล เพื่อจะได้ทราบว่าการ
ดำเนิ นการพัฒนาตนเองตามที่บุคคลได้ตั้ง
เป้าหมายไว้ดำเนิ นการไปได้ผลมากน้ อย
เพียงไร จึงจำเป็นต้องอาศั ยการวัดผลและ
ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล
25
แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค
แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคพฤติกรรมการซื้อนั้ นเกิดจากสิ่งเร้า
(STIMULUS) มากระตุ้น (STIMULATE) ความรู้สึกของผู้บริโภคทำให้เกิด
ความรู้สึ กของความต้องการจนต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่ งที่จะสามารถมา
ตอบสนองต่อความต้องการได้ อันจะนาไปสู่ การตัดสิ นใจซื้อและเกิด
พฤติกรรมการซื้อในที่สุดโดยสามารถอธิบายได้ ดังต่อไปนี้
1. สิ่งเร้า (STIMULUS) คือ สิ่งที่เข้ามากระทบและกระตุ้นผู้ซื้อ อาจจะเกิด
จากสิ่ งเร้าภายในหรือภายนอกก็ได้แบ่งได้เป็นสิ่ งเร้าทางการตลาด
(MARKETING STIMULUS) สิ่งเร้าที่เกี่ยวข้องกับส่วนประสมทางการตลาดที่
นั กการตลาดพัฒนาขึ้นมาและทำให้ผู้ซื้อเกิดความตระหนั กถึงความ
ต้องการ และเกิดความต้องการซื้อสิ่งเร้าอื่นๆ สิ่งแวดล้อมอันอยู่เหนื อการ
ควบคุมขององค์กรที่ส่ งผลต่อการตัดสิ นใจทำให้เกิดการซื้อได้ เช่น
เทคโนโลยีที่อานวยความสะดวก ในทางตรงกันข้ามอาจจะก่อให้เกิด
ลักษณะในทางลบได้เช่นกันเช่น ลักษณะของเศรษฐกิจที่ถดถอย
2. กล่องดำ (BLACK BOX) เป็นระบบของความรู้สึก ความต้องการ และ
กระบวนการตัดสินใจที่เกิดขึ้นจากความคิดและจิตใจของผู้ซื้อ ซึ่งเป็นเรื่อง
ยากแก่การเข้าใจ แต่ละคนมีกล่องดำที่แตกต่างกันออกไป ยากต่อการ
เข้าใจ มีความซับซ้อนที่อยู่ภายในจิตใจของผู้บริโภค ซึ่งนั กการตลาดต้อง
พยายามศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อพฤติกรรมและการตัดสินใน
ซื้อของผู้บริโภค
3. การตอบสนอง (RESPONSE) เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการตัดสิน
ใจซื้ออันเป็นการตอบสนองต่อสิ่ งเร้า
26
4. กระบวนการตัดสินใจซื้อ (BUYING
DECISION PROCESS) โดยผู้ซื้อจะมีขั้น
ตอนการตัดสินใจซื้อแบ่งออกเป็น 5ขั้น
ได้แก่
4.1 การรับรู้ถึงความต้องการ ผู้บริโภค
รายหนึ่ งๆ จะตระหนั กถึงสิ่งที่ตนขาดหาย
ไปในชีวิต ความขาดแคลนในชีวิต และจะ
พยายามหาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนอง
ต่อความต้องการของตนได้มาเติมเต็มกับ
สิ่งที่ขาดหายไป หรือขาดแคลนในอดีต
4.2 การค้นหาข้อมูล ผู้บริโภคจะพยายาม
ค้นหาข้อมูลของผลิตภัณฑ์ที่จะมาเติมเต็ม
สิ่ งที่ขาดหายให้ได้มากที่สุดเพื่อนามาใช้ใน
กระบวนการตัดสิ นใจ
4.3 การประเมินทางเลือก ผู้บริโภคจะนำ
ข้อมูลที่หาได้มาทำการเปรียบเทียบเพื่อ
เลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีและเหมาะสมกับตน
ที่สุด
4.4 การตัดสินใจ เป็นการตัดสินใจ
ทำการซื้อจริง ซึ่งผู้ซื้อต้องตัดสินใจเกี่ยว
กับผลิตภัณฑ์ตราผลิตภัณฑ์ผู้ขายเวลาใน
การซื้อและปริมาณในการซื้อ
4.4 พฤติกรรมภายหลังการซื้อ การใช้ ผู้
บริโภคอาจจะมีพฤติกรรมในการตอบ
สนองคือพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจ
27
แนวความคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ
แมคไกวร์ และมิลแมน ( MCGUIRE AND MILLMAN. 1965) กล่าวว่า
แนวความคิดเกี่ยวกับการ เปลี่ยนแปลงทัศนคติโดยใช้อิทธิพลทาง
สั งคมเกิดจากความเชื่อที่ว่า บุคคลจะพัฒนาทัศนคติของตนเองใน
ลักษณะใดนั้ นขึ้นอยู่กบข้อมูลที่ได้รับจากผู้อื่นในสังคมสิ่งที่มีอิทธิพล
ทางสังคม แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
1.กลุ่มอ้างอิง (REFERENCE GROUP) หมายถึง กลุ่มบุคคลที่เราใช้เป็น
มาตรฐานสํ าหรับประเมินทัศนคติ ความสามารถของเรา หรือ
สถานการณ์ ที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปบุคคลจะใช้กลุ่มอ้างอิงเพื่อประเมิน
ทัศนคติของตนและตัดสิ นใจว่าทัศนคติของตนถูกต้องเพราะคิดว่าคน
ส่ วนใหญ่ในกลุ่มมีทัศนคติเช่นเดียวกับตนวัตสั นและจอห์นสั น
(WATSON AND JOHNSON. 1972) ได้กล่าวถึงอิทธิพลของกลุ่มอ้างอิงที่
มีต่อการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ไว้ดังนี้
1.ทัศนคติของบุคคลจะมีผลอย่างมากจากกลุ่มที่เขามีส่ วนร่วมและกลุ่มที่
เขาต้องการ จะร่วมด้วย
2.ถ้าทัศนคติของบุคคลสอดคล้องกับมาตรฐานหรือบรรทัดฐานของ
กลุ่มจะเป็นการเสริมแรง(REINFORCEMENT) ให้กับทัศนคตินั้ นมากขึ้น
ในทางตรงข้ามจะเป็นการลงโทษ (PENALTY) ถ้าบุคคลนั้ นมี
ทัศนคติไม่ตรงกับมาตรฐานหรือบรรทัดฐานของกลุ่ม
3.บุคคลที่ขึ้นอยู่กับกลุ่มหรือติดอยู่กับกลุ่มมากจะเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลง
ทัศนคติได้ยากที่สุดถ้าการเปลี่ยนแปลงนั้ นเป็นความพยายามของ
บุคคลภายนอก
4.การสนั บสนุนหรือเห็นด้วยกับทัศนคติบางอย่างของสมาชิกในกลุ่ม
แม้เพียง 1 คนเท่านั้ นก็สามารถลดอิทธิพลของกลุ่มใหญ่ที่มีต่อทัศนคติ
ของสมาชิกในกลุ่มได้
5.แม้เป็นเพียงสมาชิก 2 คนในกลุ่มเท่านั้ นที่ยึดมันในความคิดหรือ
ทัศนคติบางอย่างก็จะมีอิทธิพลต่อสมาชิกในกลุ่มได้
6.การมีส่ วนร่วมในการอภิปรายกลุ่มและการตัดสิ นใจกลุ่มจะช่วยลด
การต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทัศนคติถ้ากลุ่มตัดสิ นใจยอมรับทัศนคติ
ใหม่สมาชิกในกลุ่มก็จะยอมรับทัศนคติด้วย
7.ถ้าบุคคลเปลี่ยนแปลงกลุ่มอ้างอิงของตนทัศนคติของบุคคลมีแนว
โน้ มที่จะเปลี่ยนแปลงด้วย
28
2. บุคคลอ้างอิง (REFERENCE INDIVIDUALS) หมายถึง บุคคลที่เราใช้เป็น
มาตรฐานเพื่อประเมินทัศนคติ
ความสามารถของเราหรือสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นอิทธิพลของผู้อื่นที่มีต่อ
ทัศนคติของบุคคลตรงกับกระบวนการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เรียกว่า
การเลียนแบบ (IDENTIFICATION) ซึ่งเป็นกระบวนการที่บุคคลรับเอา
คุณสมบัติ ของผู้อื่น เช่น ความคิด ทัศนคติ พฤติกรรม เป็นต้นมาเป็นของ
ตนข้อมูลข่าวสารที่ได้รับจะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของ
ทัศนคติในส่วนของการรับรู้เชิงแนวคิด (COGNITIVE COMPONENT) และ
เมื่อองค์ประกอบส่วนใดส่วนหนึ่ งเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบส่วนอื่นจะมีแนว
โน้ มที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งทําหน้ าที่เป็นผู้ส่งสาร
ต้องมีความเชี่ยวชาญ (EXPERTNESS) และความน่ าไว้วางใจ
(TRUSTWORTHINESS) จะทําให้มีความน่ าเชื่อถือสูงสามารถชักจูงใจได้ดีอีก
ทั้งมีบุคลิกภาพ (PERSONALITY) ดีก็จะมีความสําคัญต่อการยอมรับนอกจาก
นี้ หากข้อมูลข่าวสารมีการเตรียมมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเนื้ อหาการเรียง
ลําดับความชัดเจนตลอดจนมีความกระชับและมีช่องทางในการส่ งที่เหมาะ
สมผู้ใช้บริการซึ่งเป็นผู้รับสารอยากฟังและมีแนวโน้ มที่จะ ปรับเปลี่ยนพฤติ
กรรมตามคําแนะนํ าหรือชักจูงดังนั้ น จึงสรุปได้ว่า ทัศนคติ เป็นความ
สัมพันธ์ที่เกี่ยวกันระหว่างความรู้สึก และความเชื่อหรือการรู้ของบุคคลกับ
แนวโน้ มที่จะมีพฤติกรรมโต้ตอบในทางใดทางหนึ่ งต่อเป้าหมายของทัศนคติ
นั้ นโดยสรุปทัศนคติ ในงานที่นี้ เป็นเรื่องของจิตใจ ท่าที ความรู้สึกนึ กคิด
และความโน้ มเอียงของบุคคล ที่มีต่อข้อมูลข่าวสาร และการเปิดรับรายการ
กรองสถานการณ์ที่ได้รับมาซึ่งเป็นไปได้ทั้งเชิงบวกและเชิงลบ ทัศนคติ มีผล
ให้มีการแสดงพฤติกรรมออกมาจะเห็นได้ว่าทัศนคติประกอบด้วยความคิดที่
มีผลต่ออารมณ์ และความรู้สึกนั้ น ออกมาโดยทางพฤติกรรมโดยภาพรวม
แล้วทฤษฎีพฤติกรรมผู้บริโภค แสดงเห็นถึงแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษา
พฤติกรรมผู้บริโภคว่าจะเริ่มต้นจากการตั้งคําถาม 7 คําถาม คือ ใครอยู่ใน
ตลาดเป้าหมาย ผู้บริโภคซื้ออะไร ทําไมผู้บริโภคจึงซื้อ ใครมีส่วนร่วมในการ
ตัดสินใจซื้อ ผู้บริโภคซื้อเมื่อใด ซื้อที่ไหน และผู้บริโภคซื้ออย่างไร นอกจาก
นี้ แล้วยังแสดงให้เห็นถึงรูปแบบพฤติกรรมผู้ซื้อหรือผู้บริโภคได้อย่างเป็น
29
แนวคิดและทฤษฏีเกี่ยวกับปัจจัยส่ วนประสมทางการตลาดบริการ
ส่วนประสมทางการตลาด (MARKETING MIX’S) หมายถึง เครื่อง
มือทางการตลาดที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใช้ร่วมกันเพื่อการตอบสนอง
ความต้องการของตลาดเป้าหมายและบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร
ส่วนประสมทางการตลาดประกอบด้วย องค์ประกอบสําคัญ 4
ประการดังนี้
1. ผลิตภัณฑ์ (PRODUCT) หมายถึง สินค้าและบริการรวมถึงแนว
ความคิดของบุคคลองค์กรและอื่นๆที่นั กการตลาดขององค์กรเสนอ
ขายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในลักษณะต่างๆ เพื่อ
ให้เกิดความพึงพอใจ
2. ราคา (PRICE) หมายถึง มูลค่าของสินค้าหรือบริการที่ถูกกําหนด
ขึ้นมาในรูปของเงินหรือหน่ วยอื่นๆเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแลก
เปลี่ยนสินค้าหรือบริการ ดังนั้ นการกําหนดราคาสินค้าหรือบริการ
จะอยู่ภายใต้ระดับราคาที่ผู้บริโภคพอใจและเต็มใจที่จะจ่ายซื้อสิ นค้า
หรือบริการนั้ นๆ
3. การจัดจําหน่ าย (PLACE) หมายถึง กระบวนการในการจัดการ
เกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายสิ นค้าหรือบริการไปสู่ ผู้บริโภคอย่างมี
ประสิทธิภาพซึ่งหมายถึงการที่สินค้าหรือบริการนั้ นๆไปถึงผู้บริโภค
ทันเวลาในสถานที่ที่เหมาะสม และที่สํ าคัญต้องสอดคล้องกับ
ผลิตภัณฑ์และราคาที่กําหนดขึ้นด้วย
4. การส่งเสริมการตลาด (PROMOTION) หมายถึง กระบวนการ
ติดต่อสื่ อสารการตลาดระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อและผู้ที่เกี่ยวข้องใน
กระบวนการซื้อเพื่อให้ข้อมูลและจูงใจให้เกิดความต้องการ เตือน
ความทรงจํา สร้างความเชื่อถือและเจตคติที่ดี และคาดว่าจะทําให้มี
อิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงความรู้สึ กความเชื่อถือหรือพฤติกรรม
การซื้อซึ่งเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเรียกว่า ส่วนประสมการส่ง
เสริมการตลาด (PROMOTION MIX) ประกอบด้วยการโฆษณาการ
ประชาสัมพันธ์การส่งเสริมการขายและการขายโดยพนั กงานขาย
นอกเหนื อจาก 4 P’S ดังกล่าวข้างต้น ยังมีอีกหลายปัจจัยที่นั กการ
ตลาดต้องให้ความสําคัญสําหรับการตลาดบริการ ดังนี้
30
5 กระบวนการ (PROCESS) หมายถึง กระบวนการให้บริการเป็นส่วน
ประสมทางการตลาดที่สําคัญมากต้องอาศัยพนั กงานที่มีประสิทธิภาพหรือ
เครื่องมือที่ทันสมัยในการที่จะทําให้เกิดกระบวนการที่สามารถส่ งมอบ
บริการที่มีคุณภาพ เนื่ องจากการบริการมีหลายขั้นตอน ได้แก่ การต้อนรับ
การให้ข้อมูลเบื้องต้น การให้บริการการชําระเงินหรือการบริการหลังการ
ขาย เป็นต้น ซึ่งในแต่ละขั้นตอนต้องประสานเชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิ
ภาพเพื่อทําให้บริการประทับใจลูกค้า
6. บุคลากร (PEOPLE) หมายถึง บุคคลทั้งหมดในองค์กรที่ให้บริการ ซึ่ง
รวมตั้งแต่เจ้าของ ผู้บริหารและ พนั กงานในทุกระดับซึ่งบุคคลดังกล่าว
ทั้งหมดมีผลต่อคุณภาพของการบริการเจ้าของและผู้บริหารมีส่ วนสํ าคัญใน
การกําหนดนโยบายในการให้บริการกําหนดอํานาจหน้ าที่และความรับผิด
ชอบในทุกระดับ พนั กงานผู้ให้บริการและพนั กงานในส่วนสนั บสนุนเป็น
บุคคลที่ต้องพบปะและให้บริการกับลูกค้าโดยตรง และพนั กงานในส่วน
สนั บสนุนก็จะทําหน้ าที่ให้การสนั บสนุนด้านต่างๆ ที่จะทําให้บริการนั้ น
ครบถ้วนสมบูรณ์
7. ประสิทธิภาพ และคุณภาพของบริการ (PRODUCTIVITY AND
QUALITY) หมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานให้ได้ผลดีนั้ นจะทําให้
องค์กรสามารถลดต้นทุนการผลิตได้นอกจากนี้ อย่างไรก็ตามการที่จะ
ลงทุนเกี่ยวกับการปรับปรุงคุณภาพนั้ นหากปราศจากความเข้าใจในเรื่อง
คุณภาพการบริการนั้ นจะสามารถสร้างความแตกต่างกับคู่แข่งขันและสร้าง
ความภักดีต่อสิ นค้าได้เกี่ยวกับการเพิ่มของต้นทุนของการเพิ่มขึ้นของราย
ได้แล้วจะทําให้เกิดผลทางด้านความเสี่ ยงขึ้นมา
8. สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (PHYSICAL EVIDENCE) หมายถึง สิ่งแวดล้อม
ทางกายภาพ ได้แก่ อาคารสถานที่ธุรกิจบริการ เครื่องมือและอุปกรณ์ เช่น
เครื่องคอมพิวเตอร์ เคาน์ เตอร์บริการการตกแต่งสถานที่ ป้าย
ประชาสัมพันธ์ การตกแต่ง การจัดสวน เป็นต้น สิ่งต่างๆเหล่านี้ เป็นสิ่งที่
ลูกค้าให้เป็นเครื่องหมายแทนคุณภาพของการให้บริการ กล่าวคือ ลูกค้าจะ
ใช้สิ่งแวดล้อมทางกายภาพเป็นปัจจัยหนึ่ งในการเลือกใช้บริการ (มลิจันทร์
ทองคํา, อภิชัย มหกรรม, ปวิภาดา ทวีสิทธิ์ และศรินทรีย์ อุดชาชน, 2553)
ท ฤ ษ ฎี เ กี่ ย ว กั บ31
ค ว า ม พึ ง พ อ ใ จ
KOTLER AND ARMSTRONG (2002) รายงานว่า
พฤติกรรมของมนุษย์เกิดขึ้นต้องมีสิ่งจูงใจ (MOTIVE)
หรือแรงขับดัน (DRIVE) เป็นความต้องการที่กดดันจน
มากพอที่จะจูงใจให้บุคคลเกิดพฤติกรรมเพื่อตอบสนอง
ความต้องการของตนเอง ซึ่งความต้องการของแต่ละคน
ไม่เหมือนกัน ความต้องการบางอย่างเป็นความต้องการ
ทางชีววิทยา(BIOLOGICAL) เกิดขึ้นจากสภาวะตึงเครียด
เช่น ความหิวกระหายหรือความลำบากบางอย่าง เป็น
ความต้องการทางจิตวิทยา (PSYCHOLOGICAL) เกิดจาก
ความต้องการการยอมรับ (RECOGNITION) การยกย่อง
(ESTEEM) หรือการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน (BELONGING)
ความต้องการส่ วนใหญ่อาจไม่มากพอที่จะจูงใจให้บุคคล
กระทำในช่วงเวลานั้ น ความต้องการกลายเป็นสิ่งจูงใจ
เมื่อได้รับการกระตุ้นอย่างเพียงพอจนเกิดความตึงเครียด
โดยทฤษฎีที่ได้รับความนิ ยมมากที่สุด มี 2 ทฤษฎี คือ
ทฤษฎีของอับราฮัม มาสโลว์ และทฤษฎีของซิกมันด์ ฟ
รอยด์
1. ทฤษฎีแรงจูงใจของมาสโลว์ (MASLOW’S THEORY
MOTIVATION)
อับราฮัม มาสโลว์ (A.H.MASLOW) ค้นหาวิธีที่จะอธิบาย
ว่าทำไมคนจึงถูกผลักดันโดยความต้องการบางอย่าง ณ
เวลาหนึ่ ง ทำไมคนหนึ่ งจึงทุ่มเทเวลาและพลังงานอย่าง
มากเพื่อให้ได้มาซึ่งความปลอดภัยของตนเองแต่อีกคน
หนึ่ งกลับทำสิ่งเหล่านั้ น เพื่อให้ได้รับการยกย่องนั บถือ
จากผู้อื่น คำตอบของมาสโลว์ คือ ความต้องการของ
มนุษย์จะถูกเรียงตามลำดับจากสิ่ งที่กดดันมากที่สุดไปถึง
น้ อยที่สุด ทฤษฎีของมาสโลว์ได้จัดลำดับความต้องการ
ตามความสำคัญ คือ
1.1 ความต้องการทางกาย (PHYSIOLOGICAL NEEDS)
เป็นความต้องการพื้นฐาน คือ อาหาร ที่พัก อากาศ ยา
รักษาโรค
1.2 ความต้องการความปลอดภัย (SAFETY NEEDS) เป็น
ความต้องการที่เหนื อกว่า ความต้องการเพื่อความอยู่รอด
เป็นความต้องการในด้านความปลอดภัยจากอันตราย
32
1.3 ความต้องการทางสังคม (SOCIAL NEEDS) เป็นการต้องการการยอมรับ
จากเพื่อน
1.4 ความต้องการการยกย่อง (ESTEEM NEEDS) เป็นความต้องการการยกย่อง
ส่วนตัวความนั บถือและสถานะทางสังคม
1.5 ความต้องการให้ตนประสบความสำเร็จ (SELF – ACTUALIZATION
NEEDS) เป็นความต้องการสูงสุดของแต่ละบุคคลความต้องการทำทุกสิ่งทุก
อย่างได้สำเร็จ
บุคคลพยายามที่สร้างความพึงพอใจให้กับความต้องการที่สำคัญที่สุดเป็น
อันดับแรกก่อนเมื่อความต้องการนั้ นได้รับความพึงพอใจ ความต้องการนั้ นก็จะ
หมดลงและเป็นตัวกระตุ้นให้บุคคลพยายามสร้างความพึงพอใจให้กับความ
ต้องการที่สำคัญที่สุดลำดับต่อไป ตัวอย่าง เช่น คนที่อดอยาก (ความต้องการ
ทางกาย) จะไม่สนใจต่องานศิลปะชิ้นล่าสุด (ความต้องการสูงสุด) หรือไม่
ต้องการยกย่องจากผู้อื่น หรือไม่ต้องการแม้แต่อากาศที่บริสุทธิ์ (ความ
ปลอดภัย) แต่เมื่อความต้องการแต่ละขั้นได้รับความพึงพอใจแล้วก็จะมีความ
ต้องการในขั้นลำดับต่อไป
2. ทฤษฎีแรงจูงใจของฟรอยด์
ซิกมันด์ ฟรอยด์ ( S. M. FREUD) ตั้งสมมุติฐานว่าบุคคลมักไม่รู้ตัวมากนั กว่า
พลังทางจิตวิทยามีส่วนช่วยสร้างให้เกิดพฤติกรรม ฟรอยด์พบว่าบุคคลเพิ่มและ
ควบคุมสิ่งเร้าหลายอย่าง สิ่งเร้าเหล่านี้ อยู่นอกเหนื อการควบคุมอย่างสิ้นเชิง
บุคคลจึงมีความฝัน พูดคำที่ไม่ตั้งใจพูด มีอารมณ์อยู่เหนื อเหตุผลและมี
พฤติกรรมหลอกหลอนหรือเกิดอาการวิตกจริตอย่างมาก
ขณะที่ ชาริณี (2535) ได้เสนอทฤษฎีการแสวงหาความพึงพอใจไว้ว่า บุคคล
พอใจจะกระทำสิ่ งใดๆที่ให้มีความสุขและจะหลีกเลี่ยงไม่กระทำในสิ่ งที่เขาจะได้
รับความทุกข์หรือความยากลำบาก โดยอาจแบ่งประเภทความพอใจกรณีนี้ ได้ 3
ประเภท คือ
1. ความพอใจด้านจิตวิทยา (PSYCHOLOGICAL HEDONISM) เป็นทรรศนะของ
ความพึงพอใจว่ามนุษย์โดยธรรมชาติจะมีความแสวงหาความสุขส่ วนตัวหรือ
หลีกเลี่ยงจากความทุกข์ใดๆ
2. ความพอใจเกี่ยวกับตนเอง (EGOISTIC HEDONISM) เป็นทรรศนะของความ
พอใจว่ามนุษย์จะพยายามแสวงหาความสุขส่วนตัว แต่ไม่จำเป็นว่าการแสวงหา
ความสุขต้องเป็นธรรมชาติของมนุษย์เสมอไป
3. ความพอใจเกี่ยวกับจริยธรรม (ETHICAL HEDONISM) ทรรศนะนี้ ถือว่า
มนุษย์แสวงหาความสุขเพื่อผลประโยชน์ ของมวลมนุษย์หรือสังคมที่ตนเป็น
สมาชิกอยู่และเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ ผู้หนึ่ งด้วย
33
2.หลักการแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการประเมินโครงการ
หลักวงจรคุณภาพเดมมิ่ง
แนวคิดเกี่ยวกับวงจร PDCA เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกโดยนั กสถิติWALTER
SHEWHART ซึ่งได้พัฒนาจากการควบคุมกระบวนการเชิงสถิติที่ BELL
LABORATORIES ในสหรัฐอเมริกาเมื่อทศวรรษ 1930 ในระยะเริ่มแรก
วงจรดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "วงจร SHEWHART" จนกระทั่งราว
ทศวรรษที่ 1950 ได้มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวางโดย W.EDWARDS
DEMING ปรมาจารย์ทางด้านการบริหารคุณภาพหลายคนจึงเรียกวงจรนี้
ว่า “วงจรเดมมิ่ง”
วงจรเดมมิ่ง (THE DEMING CYCLE) หรือวงล้อ PDCA ก็คือ วิธีการที่เป็น
ขั้นตอนในการที่ทำให้งานเสร็จอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และเชื่อถือ
วางใจได้โดยการใช้วงจร PDCA เป็นเครื่องมือการบริหารงานอย่างต่อ
เนื่ องในการติดตาม ปรับปรุงพัฒนาให้บรรลุตามเป้าหมาย โดยประกอบ
ด้วย P(PLAN) เป็นการวางแผนงานจากวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ได้
กำหนดขึ้น D (DO) เป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนในแผนงานที่ได้เขียนไว้
อย่างเป็นระบบและมีความต่อเนื่ อง C (CHECK) เป็นการตรวจสอบผลการ
ดำเนิ นงานในแต่ละขั้นตอนของแผนงานว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จำเป็นต้อง
เปลี่ยนแปลงแก้ไขแผนงานในขั้นตอนใด A (ACTION) เป็นการปรับปรุง
แก้ไขส่วนที่มีปัญหาหรือถ้าไม่มีปัญหาใด ๆ ก็ยอมรับแนวทางการปฏิบัติตาม
แผนงานที่ได้ผลสำเร็จ เพื่อนำไปใช้ในการทำงานครั้งต่อไป
ภาพที่2.1 หลักการวงจร PDCA
34
1. PLAN (วางแผน) หมายถึง การ 2.DO (ปฏิบัติตามแผน) หมายถึง
วางแผนการดำเนิ นงานอย่างรอบคอบ การดำเนิ นการตามแผน อาจ
ครอบคลุมถึงการกำหนดหัวข้อที่ ประกอบด้วย การมีโครงสร้าง
ต้องการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ซึ่งรวม รองรับ การดำเนิ นการ (เช่น คณะ
ถึงการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ การแก้ปัญหาที่ กรรมการหรือหน่ วยงานของคณะ)
เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน อาจประกอบ มีวิธีการ ดำเนิ นการ (เช่น มีการ
ด้วย การกำหนดเป้าหมาย หรือ ประชุมของคณะกรรมการมีการ
วัตถุประสงค์ของการดำเนิ นงาน PLAN จัดการเรียน การสอน มีการแสดง
การจัดอันดับความสำคัญของ เป้าหมาย ความจำนงขอรับนั กศึกษาไปยัง
กำหนดการดำเนิ นงาน กำหนดระยะ ทบวงมหาวิทยาลัย) และมีผลของ
เวลาการดำเนิ นงาน กำหนดผู้รับผิด การดำเนิ นการ (เช่น รายชื่อ
ชอบหรือผู้ดำเนิ นการและกำหนดงบ นั กศึกษาที่รับในแต่ละปี)
ประมาณที่จะใช้ การเขียนแผนดังกล่าว
อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม 4.ACT (ปรับปรุงแก้ไข) หมายถึง
การนำผลการประเมินมาพัฒนา
ของลักษณะการดำเนิ นงาน การ แผน อาจประกอบด้วย การนำผล
การ ประเมินมาวิเคราะห์ว่ามี
วางแผนยังช่วยให้เราสามารถคาดการณ์ โครงสร้าง หรือขั้นตอนการปฏิบัติ
งานใดที่ควร ปรับปรุงหรือพัฒนา
สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต และช่วยลดความ สิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก และ
สังเคราะห์รูปแบบ การดำเนิ นการ
สูญเสี ยต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ ใหม่ที่เหมาะสม สำหรับการดำเนิ น
การ ในปีต่อไป
3.CHECK (ตรวจสอบการปฏิบัติตาม
แผน) หมายถึง การประเมินแผน อาจ
ประกอบด้วย การประเมินโครงสร้างที่
รองรับ การดำเนิ นการ การประเมินขั้น
ตอนการดำเนิ นงาน และการประเมินผล
ของ การดำเนิ นงานตามแผนที่ได้ตั้งไว้
โดยในการประเมินดังกล่าวสามารถ
ทำได้เอง โดยคณะกรรมการที่รับผิด
ชอบแผนการดำเนิ นงานนั้ น ๆ ซึ่งเป็น
ลักษณะของการประเมินตนเอง โดยไม่
จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการ อีกชุดมา
ประเมินแผน หรือไม่จำเป็นต้องคิด
เครื่องมือหรือแบบประเมิน ที่ยุ่งยากซับ
ซ้อน
35
กรอบแนวคิดการประเมินผลโครงการ
ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม
1. เพศ การประเมินโครงการแบบ
2. อายุ CIPP MODEL ของสตัฟเฟลบีม
3. อาขีพ (D.L.STUFFLEBEAM,1997,
P.251-265)
4. รายได้ 1. ประเมินสภาวะแวดล้อม
5. วุฒิการศึกษา 2. ประเมินปัจจัยเบื้องต้น
3. ประเมินกระบวนการ
4. การประเมินผลผลิต
ภาพที่ 2.2 กรอบแนวคิดการประเมินผลโครงการ
36
บทที่ 3
วิธีการประเมิน
โครงการ
37
รู ปแบบการประเมินโครงการ
การประเมินโครงการการเพิ่มมูลค่ากล้วยน้ำว้าใช้รูปแบบการประเมินโครงการแบบ
CIPP MODEL ของสตัฟเฟลบีม ( D.L. STUFFLEBEAM, 1997 , P. 261-265 ) ดังนี้
ประเมินสภาวะแวดล้อม • หลักการ
(CONTEXT EVALUATION) • วัตถุประสงค์ของโครงการ
• เป้าหมายของโครงการ
• การเตรียมการภายในโครงการ
ประเมินปัจจัยเบื้องต้น • บุคลากร
(INPUT EVALUATION) • วัสดุอุปกรณ์
• เครื่องมือเครื่องใช้
• งบประมาณ
ประเมินกระบวนการ • การดำเนิ นโครงการ
( PROCESS EVALUATION ) • กิจกรรมการดำเนิ นงานตามโครงการ
• การนิ เทศติดตามกำกับ
• การประเมินผล
การประเมินผลผลิต • ผลการดำเนิ นโครงการ
(PROUCT EVALUATION) • คุณภาพผู้เรียน
38
วิธีการประเมินโครงการ
โครงการการเพิ่มมูลค่ากล้วยน้ำว้า มีวิธีการประเมินโครงการแบบคุณภาพ
โดยใช้หลักการวงจรเดมมิ่ง “PDCA” ตามแนวคิด “CIPP” ของสตัฟเฟลบีม
ในการติดตามและประเมินผลโครงการ
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการติตตามและประเมินผลโครงการการ
เพิ่มมูลค่ากล้วยน้ำว้า มีดังนี้
เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินโครงการ
เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินโครงการ คือ การใช้กระบวนการศึกษาเชิง
คุณภาพ โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินโครงการ ประกอบด้วย แบบ
สัมภาษณ์ การสังเกต การมีส่วนร่วมและการบันทึกถ่าย
โดยมีเครืองมือที่ใช้ในการประเมินโครงการ มีจำนวน 10 ฉบับ ดังนี้
ส่วนที่ 1 เป็นแบบสอบถามข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสัมภาษณ์ ได้แก่
เพศ อายุ อาชีพ รายได้ และวุฒิการศึกษา โดยเป็นแบบปลายเปิด
ส่วนที่ 2 เป็นแบบสัมภาษณ์การประเมินโครงการโดยใช้แบบประเมิน
CIPP MODEL มี 4 ด้าน จำนวน 12 ข้อ ดังนี้
1.1 ด้านสภาวะแวดล้อม ( CONTEXT ) จำนวน 3 ข้อ โดยผู้ตอบ
แบบสอบถามสามารถตอบได้ตามความคิดเห็นของผู้ตอบอย่างอิสระ
1.2 ด้านปัจจัย ( INPUT ) จำนวน 3 ข้อ โดยผู้ตอบแบบสอบถามสามารถ
ตอบได้ตามความคิดเห็นของผู้ตอบอย่างอิสระ
39
1.3 ด้านกระบวนการ ( PROCESS ) จำนวน 3 ข้อ โดยผู้ตอบแบบสอบถาม
สามารถตอบได้ตามความคิดเห็นของผู้ตอบอย่างอิสระ
1.4 ด้านผลผลิต ( PRODUCT ) จำนวน 3 ข้อ โดยผู้ตอบแบบสอบถาม
สามารถตอบได้ตามความคิดเห็นของผู้ตอบอย่างอิสระ
ส่วนที่ 3 ปัญหาหรือข้อเสนอแนะที่เกี่ยวกับการดำเนิ นงานในการจัดทำ
โครงการ เป็นแบบปลายเปิดสามารถตอบได้ตามความคิดเห็น
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูล ทางคณะผู้จัดทำได้ทำหน้ าที่เก็บรวบรวมข้อมูลด้วย
ตนเอง โดยมีรายละเอียดในการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้
1. ขอความร่วมมือจากลูกค้าที่สะดวกให้ลูกค้าช่วยตอบแบบสัมภาษณ์ตาม
ความคิดเห็นของลูกค้าต่อโครงการนี้
2. ใช้เวลาการตอบแบบสัมภาษณ์โดยประมาณไม่เกิน 10 นาที
3. ผู้สัมภาษณ์ทำการตรวจสอบความเรียบร้อยของแบบสัมภาษณ์
การวิเคราะห์ผลการประเมินโครงการ
วิเคราะห์ผลการประเมินโครงการ โดยใช้การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ
ขั้นตอนที่ 1 การทำให้ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้อยู่ในสภาพที่สะดวกและง่ายต่อ
การนำไปวิเคราะห์
ขั้นตอนที่ 2 ทำดัชนี หรือกำหนดรหัสของข้อมูล ซึ่งเป็นการจัดระเบียบของ
เนื้ อหา คือ การจัดข้อมูลโดยการใช้คำหลักซึ่งอาจมีลักษณะเป็นข้อความมา
แทนข้อมูลที่บันทึกไว้ในบันทึกภาคสนาม ส่วนที่เป็นการบันทึกพรรณนา
หรือบันทึกละเอียดส่วนใดส่วนหนึ่ ง เพื่อแสดงให้เห็นข้อมูลในการบันทึก
พรรณนาส่วนนั้ นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร คำหลัก “ข้อความ” ที่กำหนดขึ้นนั้ น
จะมีลักษณะเป็นมโนทัศน์ (CONCEP) ซึ่งมีความหมายแทนข้อมูลบันทึก
ละเอียดส่วนนั้ น การจัดทำดัชนี หรือกำหนดรหัสของข้อมูลนั้ น สามารถทำได้
สองลักษณะคือ จัดทำไว้ล่วงหน้ าก่อนเช้า สนามวิจัยและจัดทำตามข้อมูลที่
ปรากฎในบันทึกภาคสนาม หรือบางครั้งเรียกว่า การจัดทำดัชนี ข้อมูลแบบ
นิ รนั ย (DEDUCTIVE CODING) และแบบอุปนั ย (INDUCTIVE CODING)
40
ขั้นตอนที่ 3 การกำจัดข้อมูลหรือสร้างข้อสรุปชั่วคราวนี้ คือ การสรุปเชื่อม
โยงดัชนี คำหลักเข้าด้วยกันภายหลังจากผ่านกระบวนการทำดัชนี หรือ
กำหนดรหัสข้อมูลแล้วการเชื่อมโยงคำหลักเข้าด้วยกันจะเขียนเป็นประโยค
ข้อความที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำหลัก และจากการเชื่อมโยงดัชนี คำ
หลักในตัวอย่างเข้าด้วยกันจะเห็นว่าทำให้ข้อมูลในส่ วนที่เป็นบันทึก
ละเอียดที่มีอยู่มากนั้ นถูกลดทอนหรือตัดทิ้งไปจนกระทั่งเหลือเฉพาะ
ประเด็นหลักๆ ที่นำมาผูกโยงกันเท่านั้ น
ขั้นตอนที่ 4 สร้างบทสรุป คือ การ
เขียนเชื่อมโยงข้อสรุปชั่วคราวที่
ผ่านการตรวจสอบยืนยันแล้วเข้า
ด้วยกัน การเชื่อมข้อสรุปชั่วคราว
นั้ นจะเชื่อมโยงตามลำดับข้อสรุป
แต่ละข้อสรุปเป็นบทสรุปย่อยและ
เชื่อมโยงบทสรุปย่อยแต่ละบท
สรุปเข้าด้วยกันเป็นบทสรุป
สุดท้าย
ขั้นตอนที่ 5 พิสูจน์ ความน่ าเชื่อถือ
ของผลการวิเคราะห์เพื่อพิสูจน์ ว่า
บทสรุป นั้ นสอดคล้องกันหรือไม่
ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการพิสูจน์ บท
สรุปก็มักจะเป็นการพิจารณาวิธี
การเก็บข้อมูลนั้ นว่าดำเนิ นการ
อย่างรอบคอบหรือไม่เพียงไร และ
ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้มานั้ นเป็น
ข้อมูลที่มีคุณภาพน่ าเชื่อถือหรือไม่
41
บทที่ 4
ผลการประเมิน
โครงการ
42
การนำเสนอผลการประเมินโครงการ ผู้รับผิดชอบโครงการได้นำเสนอผลการ
ประเมินโครงการ จำนวน 2 ตอน คือ
ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
ตอนที่ 2 ผลการประเมินโครงการการเพิ่มมูลค่ากล้วยน้ำว้า มี 4 ด้าน ประกอบ
ด้วยผลประเมินจากคำถาม จำนวน 12 ข้อ 1
ตารางที่ 1 ผลการประเมินโครงการด้านสภาวะแวดล้อม
ตารางที่ 2 ผลการประเมินโครงการด้านปัจจัย
ตารางที่ 3 ผลการประเมินโครงการด้านกระบวนการ
ตารางที่ 4 ผลการประเมินโครงการด้านผลผลิต
ตอนที่ 1 ผลการประเมินโครงการการเพิ่มมูลค่ากล้วยน้ำว้า
43
ตอนที่2 ผลการประเมินโครงการการสร้างมูลค่ากล้วยน้ำว้า มี 4 ด้าน
ประกอบด้วยผลการประเมินจำนวน 12 ข้อ แบ่งเป็นตารางสรุป ดังนี้
ด้านที่ 1 ผลการประเมินโครงการด้านสภาวะแวดล้อม
ด้านที่ 1 ผลการประเมินโครงการด้านสภาวะแวดล้อม
ตารางที่ 1.1 ผลการประเมินจากผู้สัมภาษณ์
จากตารางที่ 1.1 ข้อคำถามที่ 1 ผู้สัมภาษณ์มีความคิดเห็นสดคล้องกันว่า
วัตถุประสงค์ของโครงการมีความเหมาะสมมาก