The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by arunya254458, 2024-01-11 08:27:06

วิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วิธี การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw)

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วิธี การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) อรัญญา ธัญจิรสิน วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วิธี การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) อรัญญา ธัญจิรสิน วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


ก หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒน- ธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วิธี การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) ผู้วิจัย นางสาวอรัญญา ธัญจิรสิน สาขาวิชา พระพุทธศาสนา อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์สอนประจันทร์ เสียงเย็น ครูพี่เลี้ยง นายวิทยา เหล่าโกทา อาจารย์ประจ าหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (.................................................................) วันที่.......…เดือน…….…………พ.ศ…………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน ..................................................................................ประธานคณะกรรมการ (อาจารย์ที่ปรึกษา) ..................................................................................กรรมการ (อาจารย์ประจ าสาขา/หลักสูตร/คณะครุศาสตร์) ..................................................................................กรรมการ (ครูพี่เลี้ยง) ..................................................................................กรรมการ (รองผู้อ านวยการฝ่ายวิชาการ/หัวหน้าหมวด)


ข ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒน- ธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วิธี การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) ผู้วิจัย นางสาวอรัญญา ธัญจิรสิน อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์สอนประจันทร์ เสียงเย็น อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม อาจารย์มธุรส ศิลาคม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ไกรฤกษ์ ศิลาคม ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบ............................................. วิชา..................................................ของนักเรียนชั้น........................................ ที่เรียนโดยกิจกรรมการ เรียนรู้โดย.......................................................................... ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้น........................................ โรงเรียน.............. ......... จังหวัด ................................................. ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม จ านวน................. คน เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้วิชา................................................... และแบบทดสอบ ..........................วิชา............................................ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ สรุปผลการใช้แผนได้ดังนี้ 1. .....................................................................ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ .........................................คิดเป็นร้อยละ ......................... และมี....................................... ................. หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา....................................ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้ โดยใช้.................................................. หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ .01


ค กิตติกรรมประกาศ รายงานวิจัยฉบับนี้ได้ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) ซึ่งรายงานวิจัยนี้ส าเร็จลงได้ด้วยความกรุณา และความช่วยเหลือ จาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์สอนประจันทร์ เสียงเย็น อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก อาจารย์มธุรส ศิลาคม และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ไกรฤกษ์ ศิลาคม อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม และผู้ช่วยศาสตราจารย์สุพัฒน์ ศรีชมชื่น อาจารย์ประจ าสาขาวิชาพระพุทธศาสนา ซึ่งได้กรุณาให้ค าแนะน าและตรวจสอบแก้ไขข้อ บกพรองต่างๆ จนงานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้มีความสมบูรณ์ ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง มา ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณ คุณครูวิทยา เหล่าโกทา ครูพี่เลี้ยง และคุณครูกาญจน์ชนา ชินวานิชย์เจริญ ที่ได้กรุณาให้ค าชี้แนะในการสร้างเครื่องมือที่ใชในการวิจัย ขอขอบพระคุณ คณาจารย์สาขาวิชาพระพุทธศาสนา และคณาจารย์คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีทุกท่านที่ได้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ ให้ความช่วยเหลือและให้ค าแนะน า ในการท าวิจัยในชั้นเรียนแกผู้วิจัยในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณผู้อ านวยการสถานศึกษา และคณะครูโรงเรียนเทศบาล ๑ โพศรีทุกท่านที่ อ านวยความสะดวกให้ความร่วมมือช่วยเหลือและเป็นก าลังใจโดยตลอด ขอขอบใจนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนเทศบาล ๑ โพศรีปีการศึกษา 2566 ทุก คนที่ให้ความร่วมมือในการทดลองเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา สมาชิกทุกคนในครอบครัวผู้วิจัย ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแห่ง ความส าเร็จครั้งนี้ คอยช่วยเหลือและให้ก าลังใจ เพื่อรอคอยผลส าเร็จของผู้วิจัย ขอขอบคุณเพื่อนนักศึกษา สาขาวิชาพระพุทธศาสนาและเพื่อนร่วมรุ่นครุศาสตรบัณฑิตทุก ท่านที่ให้ความช่วยเหลือและเป็นก าลังใจให้ตลอดมา สุดท้ายนี้ขอให้คุณค่าที่ได้รับจากงานวิจัยฉบับนี้ ขอให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ศึกษาในครั้งต่อๆ ไป เพื่อใช้ในการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาการศึกษาชาติไทยให้มีประสิทธิภาพยิ่งๆ ขึ้นไป อรัญญา ธัญจิรสิน


ง บทคัดย่อ................................................................................................................................... กิตติกรรมประกาศ..................................................................................................................... สารบัญ..................................................................................................................................... สารบัญตาราง………………………………………………………………………………………………………..……. สารบัญภาพ………………………………………..…………………………………………………………………...…. บทที่ 1 บทน า................................................................................................................................. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา…........................................................................... วัตถุประสงค์ของการวิจัย….................................................................................................. สมมติฐานของการวิจัย…...................................................................................................... ขอบเขตของการวิจัย…......................................................................................................... นิยามศัพท์เฉพาะ….............................................................................................................. ประโยชน์ที่จะได้รับ……........................................................................................................ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…....................................................................................... หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)… หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)…………………………………………………………………………….. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative learning)…………………………………………………….… การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค (Jigsaw)……………………………………………………….… แผนการจัดการเรียนรู้…………………………………………………………………………………………….. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน……………………………………….……………………………………………….… ความพึงพอใจ…………………………………………………………………………………………………….….. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………………………………………………….… กรอบแนวคิดในการวิจัย……………………………………………………………………………………..…… 3 วิธีด าเนินการวิจัย………….................................................................................................... ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง…………...................................................................................... แบบแผนการวิจัย..................................................................................................... ............ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย…………………………………….………………………………………………….... การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย......................................................... การด าเนินการและการเก็บรวบรวมข้อมูล…………………………………………………………………. หน้า ก ค ง ฉ ช 1 1 5 5 5 6 10 11 11 16 20 33 35 39 47 51 58 59 59 59 60 60 65 สารบัญ


จ สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า การวิเคราะห์ข้อมูล......................................................................................................... สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล....................................................................................... 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล…................................................................................................ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………………..……. 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ………….................................................................... วัตถุประสงค์ของการวิจัย ............................................................................................. สมมติฐานของการวิจัย ................................................................................................. วิธีด าเนินการวิจัย ......................................................................................................... สรุปผลการวิจัย ............................................................................................................ อภิปรายผล .................................................................................................................. ข้อเสนอแนะ ................................................................................................................ เอกสารอ้างอิง………....................................................................................................... ภาคผนวก…………………………………………………………………………………………….…………… ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ....................................... ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวัด…………………………….………………………….…………… ภาคผนวก ค คุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวัด........................................................... ภาคผนวก ง การวิเคราะห์ข้อมูล…………………………….……………………………………………. ภาคผนวก จ ภาพบรรยากาศการสอนในคาบที่มีการใช้แผน……………………………….……. ประวัติย่อของผู้วิจัย….................................................................................................... 66 66


ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 3.1 แบบแผนที่ใช้ในการวิจัย….……………………………………………………………………………………. 60


ช สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 2.1 2.2 มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด…………………………………….…..…………………....................... กรอบแนวคิดในการวิจัย……………………………………………………………………………………….….. 15 58


1 บทที่ 1 บทน า ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา การพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนจะต้องมีการพัฒนาหลาย ๆ ด้าน เพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม ในปัจจุบันภายใต้สังคมแห่งการเรียนรู้และพื้นฐานของ ข้อมูลสื่อสารที่ไร้พรมแดน ส่งผลให้เกิดกระแสปฏิรูปการศึกษาขึ้น โดยมีการหยิบยกคุณภาพผู้เรียนมา เป็นประเด็นส าคัญ หากผู้เรียนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มประสิทธิภาพ เป็นผู้มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์แยกแยะ ความคงทนในการเรียน รู้จักแก้ไขปัญหา รู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง มีภาวะ ความเป็นผู้น าจิตสาธารณะ มีคุณธรรมและจริยธรรม และสามารถด ารงตนอยู่ในสังคมได้อย่างมี ความสุข ซึ่งท าให้เกิดคุณภาพของคนในชาติ ถือเป็นส่วนส าคัญในการพัฒนาประเทศให้มีความ เจริญก้าวหน้าเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก การศึกษาถือเป็นเครื่องมือที่ส าคัญของสังคม ในการพัฒนามนุษย์ในทุก ๆด้าน ทั้งด้านร่างกายจิตใจ และสติปัญญา เพื่อช่วยให้เป็นพลเมืองดีมี คุณภาพ สามารถใช้ความรู้ และสติปัญญาของตนให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ การศึกษา ต้องสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลกระทบของการ เปลี่ยนแปลงต่อปัจเจกบุคคลและครอบครัวมีมาก จะเห็นได้จากความต้องการศึกษาที่เพิ่มมากขึ้น รัฐ จ าเป็นต้องมีการพัฒนาการศึกษาของคนในชาติให้เจริญก้าวหน้าและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกมี การประเมินประสิทธิภาพของระบบการศึกษาเป็นระยะเพื่อติดตามความก้าวหน้าของระบบการศึกษา หลักสูตรแกนกล้างการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560 ) ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุก คน ซึ่งเป็นก าลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตส านึกใน ความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จ าเป็นต่อ การศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ บนพื้นฐานความเชื่อว่าทุก คนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560: 3) กลุ่มสาระ การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจการด ารงชีวิตของ มนุษย์ ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม การ จัดการทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจ ากัด เข้าใจถึงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลาตามเหตุปัจจัยต่าง "เกิดความเข้าใจในตนเองและผู้อื่น มีความอดทน ยอมรับในความ แตกต่าง และมีคุณธรรม สามารถน าความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจ าวัน และเป็นพลเมืองที่ดีของ ประเทศชาติและสังคมโลกสังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ว่ามนุษย์ด ารงชีวิตอย่างไร ทั้งในฐานะเป็นปัจเจกบุคคล และการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม การจัดการ ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจ ากัด นอกจากนี้ยังช่วย ให้ผู้เรียนเข้าใจถึงการพัฒนา เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลา ตามเหตุปัจจัยต่างๆ ท าให้เกิดความเข้าใจใน ตนเอง และผู้อื่น มีความอดทน อดกลั้น ยอมรับในความแตกต่างและมีคุณธรรมสามารถน าความรู้ไปปรับใช้ในการด าเนินชีวิต เป็นพลเมืองดี


2 ของประเทศชาติ และสังคมโลก การศึกษาของประเทศไทยเริ่มต้นมาจากวัฒนธรรมของคนไทยที่ ได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่โบราณให้เคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีวันไหว้ครู ดังนั้นครู สมัยก่อนจะดุและนักเรียนจะเชื่อฟังมาก นักเรียนจะกลัว ไม่กล้าถาม ไม่กล้าตอบ ท าให้ปลูกฝังมา จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นระบบที่ฟังจากครูอย่างเดียว ไม่กล้าคิด ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ไม่ เป็น การศึกษาไทยเป็นระบบป้อนเข้าอย่างเดียว ไม่มีการแลกเปลี่ยนกัน หรือมีก็น้อยมาก มีการสนใจ ใฝ่หาความรู้ด้วยตนเองน้อย ท าให้เด็กคิดไม่เป็น วิเคราะห์ไม่เป็น ยิ่งมีการเน้นย้ าด้วยการสอบโดย อาศัยความจ าเป็นหลักนักเรียนก็จะท่องจ าอย่างเดียว ที่ซ้ าร้ายกว่านั้น สังคมปลูกฝังให้นักเรียนต้อง เป็นคนเก่ง ซึ่งนักเรียน ก็จะแข่งกันโดยไม่คิดถึงเรื่องอื่น ๆ เมื่อผิดหวังรุนแรงก็ไม่สามารถแก่ปัญหา ตนเองได้ เหล่านี้เป็นต้น แต่ก็เห็นว่าในปัจจุบันจะได้พัฒนาและเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนแล้ว เด็กกล้าคิด กล้าท ามากขึ้น ก็นับว่าเป็นจุดที่ดีที่จะพัฒนาให้ทัดเทียมประเทศอื่นต่อไปนอกจากนั้นการ เรียนการสอนในโรงเรียนก็ไม่มีมาตรฐานเดียวกัน เครื่องมืออุปกรณ์ สื่อการเรียนการสอนก็แตกต่าง กันมาก ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนรัฐบาลด้วยกัน หรือโรงเรียนเอกชน ต่างจังหวัดนั้นไม่มีอุปกรณ์สื่อการ สอนเลยในขณะที่กรุงเทพฯ มีมากมาย ท าให้เด็กมีมาตรฐานไม่เหมือนกันอยู่แล้ว และน าเกณฑ์ เดียวกันมาวัดท าให้เกิดความล้มเหลวทางการศึกษา และในโรงเรียนก็ไม่ได้สอนเต็มที่เพราะต้องการ ให้นักเรียนมาเรียนพิเศษอันน ามาซึ่งรายได้เพิ่ม สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาช้าของระบบ การศึกษาอีกอย่างหนึ่งคือสถาบันกวดวิชา จะเห็นได้ว่าเป็นที่น่าสนใจมาก มีผู้เรียนเยอะเสียค่าเล่า เรียนแพงมาก แต่ธุรกิจพวกนี้ก็ยังอยู่ได้ แสดงว่ามีคนเรียนมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากมีการสอนที่ดีใน โรงเรียนแล้วเด็กก็จะไม่ต้องมาเรียนพิเศษมากมายขนาดนั้น (บทความวิชาการ, 2559) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมว่าด้วยการอยู่ร่วมกันในสังคม ที่มี ความเชื่อม สัมพันธ์กัน และมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้สามารถปรับตนเองกับ บริบทสภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมที่ เหมาะสม โดยได้ก าหนดสาระ ต่างๆไว้ ดังนี้ สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรมและจริยธรรม แนวคิดพื้นฐาน เกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ การน า หลักธรรมค าสอนไปปฏิบัติในการพัฒนาตนเอง และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระท าความดี มีค่านิยมที่ดีงามพัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมทั้งบ าเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรมและการด าเนินชีวิตในสังคม ระบบการเมืองการปกครองในสังคม ปัจจุบัน การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและความส าคัญ การ เป็นพลเมืองดี ความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ปลูกฝังค่านิยม ด้าน ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิทธิ หน้าที่ เสรีภาพการด าเนินชีวิตอย่าง สันติสุขใน สังคมไทยและสังคมโลก สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภค สินค้าและบริการ การบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจ ากัดอย่างมีประสิทธิภาพ การด ารงชีวิต อย่างมีดุลยภาพและการน าหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตประจ าวัน สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการของ มนุษยชาติจากอดีตถึง ปัจจุบัน ความสัมพันธ์และเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์ส าคัญใน อดีต บุคคลส าคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆในอดีต ความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม และภูมิปัญญาไทยแหล่งอารยธรรมที่ส าคัญของโลก สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ มีความรู้เกี่ยวกับการ


3 เปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ปัญหาทางกายภาพและภัยพิบัติ ซึ่ง ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมทางกายภาพกับการสร้างสรรค์วิถีการด าเนินชีวิต ความร่วมมือด้าน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อเตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงของโลก และการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560: 4-5)) สาระหน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการด าเนินชีวิตในสังคม เป็นหนึ่งในสาระส าคัญของ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความเป็นพลเมืองดี โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เข้าใจความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ปลูกฝังค่านิยม ความเชื่อตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้มีสิทธิ เสรีภาพและ เป็นพลเมืองที่ดีของสังคม ประเทศชาติ และโลก (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2551) การจัดการศึกษารายวิชาเพิ่มเติมหน้าที่พลเมืองนั้นมีหลักส าคัญที่ต้องค านึงถึงจุดเน้นที่ต้องให้ ความส าคัญในการพัฒนา 5 ประการ ประกอบด้วย 1. ความเป็นไทย 2. รักชาติ ยึดมั่นศาสนาและ เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ 3. ความเป็นพลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข 4. ความปรองดองสมานฉันท์ 5. ความมีวินัยในตนเอง มีเป้าหมายส าคัญเพื่อให้ เยาวชนมีลักษณะที่ดีของคนไทย เห็นคุณค่าและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และประเพณีไทย เห็นคุณค่าและแสดงออกถึงความรักชาติ ยึดมั่นในศาสนาและ เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ด าเนินชีวิตตามวิถีประชาธิปไตย มีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความ หลากหลายและจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธี ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมหลัก 12 ประการเพื่อสร้าง เด็กไทยให้ไปสู่การสร้างสรรค์ประเทศไทยให้เข้มแข็ง ในการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาหน้าที่ พลเมืองนั้นรูปแบบส่วนใหญ่จะเป็นการสอนด้วยวิธีการบรรยายให้ผู้เรียนจดตามและจดจ าในสิ่งที่ครู สอนให้ได้ และน าไปใช้ในการท าข้อสอบเพื่อให้ได้คะแนน ท าให้นักเรียนมีความใส่ใจในการเรียนรู้น้อย มากและบางครั้งแทบไม่มีเลย ซึ่งความจริงแล้วผู้เรียนต้องการพลังในการคิดและเรียนรู้มากกว่าที่จะ คล้อยตามหรือขึ้นอยู่กับผู้สอนหรือสถาบันการศึกษา ดังนั้นการเรียนรู้ต้องคิดจากสิ่งที่ผู้เรียนท าไม่ใช่ สิ่งที่ท ากับผู้เรียน เพราะฉนั้นในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจึงควรเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ โดยมุ่ง ประโยชน์ต่อผู้เรียนมากที่สุด ให้ผู้เรียนได้มีบทบาทร่วมในการจัดการเรียนการสอน สามารถอยู่ รวมกลุ่มและท างานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างปกติสุข ผู้ศึกษาค้นคว้าได้ท าการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี นวัตกรรมและกลวิธีในการจัดการเรียนการสอนที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนได้แสดงศักยภาพ ของตนเองให้ เกิดประโยชน์ในการแสวงหาความรู้โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันในชั้นเรียน สร้างสรรค์ ทักษะพื้นฐานการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเข้าใจตนเองและผู้อื่น มีส่วนร่วมคิดร่วมท าและร่วมตัดสินใจ แสดงความคิดเห็นอย่างเป็นเหตุและผลเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น การเรียนรู้ร่วมกันเช่นนี้จะส่งผล ให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเกิดความมั่นใจในตนเอง มีความสุข ในการเรียนและรักการเรียนรู้ วิธีหนึ่งที่น่าสนใจเหมาะกับสภาพปัญหาที่พบ และบริบทของนักเรียน คือ การเรียนแบบร่วมมือ หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนท ากิจกรรมต่างๆ เป็นกลุ่ม โดยกลุ่มนั้นต้องประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน เพื่อให้แต่ละคนเห็น ความส าคัญของเพื่อนในกลุ่มซึ่งจะขาดไม่ได้ เพราะแต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกันจึงต้องอาศัย


4 ซึ่งกันและกันในการเรียนรู้ คนที่เรียนเก่งจะช่วยเหลือคนที่เรียนอ่อนในด้านวิชาการ แต่คนที่เรียนอ่อน ในด้านวิชาการอาจเก่งด้านการพูด หรือด้านการช่วยเหลือและให้ก าลังใจต่อกัน นอกจากนี้ยังท าให้ เกิดความเห็นใจกัน มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมีความผูกพันธุ์ โดยยึดหลักว่าความส าเร็จของกลุ่มคือ ความส าเร็จของสมาชิกทุกคนในกลุ่ม (ลักขณา สริวัฒน์, 2557: 195) จากสภาพปัญหาของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 ที่พบในชั้นเรียนคือ นักเรียนที่เป็นเด็กเก่ง มักจะไม่ท างานร่วมกับนักเรียนที่เป็นเด็กอ่อน และแยกตัวออกมาท างานเดี่ยว ส่วนนักเรียนที่เป็นเด็ก อ่อนจะจับกลุ่มกันเอง และท าให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ าลง การเรียนโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) จึงจัดว่าเป็นวิธีเรียนที่สามารถน ามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับ ชั้นเรียนได้ โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) พัฒนานักเรียนทั้งด้าน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความร่วมมือในการท างานกลุ่ม นักเรียนที่เรียนเก่งจะได้รับการปลูกฝังให้ มีความเสียสละในการดูแลรับผิดชอบสมาชิกในกลุ่มไม่เห็นแก่ตัว ส่วนนักเรียนที่เรียนอ่อนจะได้รับการ ดูแลจากสมาชิกในกลุ่มจนเกิดความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ไม่รู้สึกโดนทอดทิ้งซึ่ง เป็นลักษณะที่สอดคล้องกับสภาพที่เหมาะสมในการอยู่ร่วมกันในสังคม การจัดการเรียนรู้แบบเทคนิค ทางตรงร่วมกับเทคนิคเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นรูปแบบหนึ่งของการเรียนแบบร่วมมือซึ่งเป็นวิธีการเรียนรู้ บนพื้นฐานของการให้ผู้เรียนแต่ละคนเปรียบเสมือนกับผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งแล้วท าหน้าที่ ให้ความรู้แก่เพื่อนในกลุ่ม ส่งเสริมการแลกเปลี่ยน ความรู้และประสบการณ์ให้กันและกัน ดังนั้นการ น าเอาวิธีการเรียนแบบเทคนิคทางตรงร่วมกับเทคนิคเพื่อนช่วยเพื่อนมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการ สอน จึงนับว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง ซึ่งการใช้วิธีการจัดกิจกรรมโดยน าเอาแนวความคิด มาใช้ในการจัด กิจกรรมนั้นมีข้อดี คือ ส่งเสริมความเป็นอิสระของผู้เรียน ส่งเสริมการช่วยเหลือซึ่งกันและกันของ ผู้เรียน ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นอกจากนี้ยังสามารถน าวิธีการเรียนแบบนี้ไปใช้ในการสอนได้ หลายระดับและหลายวิชาอีกด้วย จากความเป็นมาและความส าคัญของปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยสนใจที่จะน าวิธีการสอนแบบการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) มาใช้ในการจัดการเรียนรู้เรื่อง กฎหมายควรรู้ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) เพื่อให้ผู้เรียนได้ ศึกษาเรียนรู้บทเรียนด้วยตนเองกับเพื่อนสมาชิกในกลุ่ม มีการร่วมกันแสดงความคิดเห็นและช่วยกัน หาค าตอบเพื่อน ามาต่อเป็นจิ๊กซอว์นักเรียนที่เก่งจะช่วยเหลือนักเรียนที่อ่อนเพื่อให้คะแนนผลสัมฤทธิ์ ของกลุ่มเพิ่มสูงขึ้น ท าให้ผู้เรียนแต่ละคนมีความเข้าใจในเนื้อหาและได้รับความรู้อย่างเท่าเทียมกัน ส่งผลให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์และร่วมท างานกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี ท าให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเพิ่มสูงขึ้น ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายในการเรียนได้อย่างสมบูรณ์


5 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ก าหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) สาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ สมมติฐานของการวิจัย 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) สาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ มีความพึงพอใจในการ เรียนรู้อยู่ในระดับมาก ขอบเขตของการวิจัย 1. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล ๑ โพศรีส านักการศึกษา เทศบาลนครอุดรธานี อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีจ านวน 3 ห้องเรียน จ านวนนักเรียน 99 คน 2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1 ตัวแปรต้น คือ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 2.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.2.2 ความพึงพอใจในการเรียนรู้ 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่ผู้วิจัยน ามาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้คือวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 มีรายละเอียดดังนี้


6 3.1 ทดสอบก่อนเรียน จ านวน 1 ชั่วโมง 3.2 ท าความรู้จักกฎหมาย จ านวน 1 ชั่วโมง 3.3 กฎหมายเกี่ยวกับการจราจรทางบก จ านวน 1 ชั่วโมง 3.4 ท าความรู้จักป้ายจราจร จ านวน 1 ชั่วโมง 3.5 กฎหมายเกี่ยวกับทะเบียนราษฎร จ านวน 1 ชั่วโมง 3.6 กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ จ านวน 1 ชั่วโมง 3.7 กฎหมายที่เกี่ยวกับชุมชนและท้องถิ่น จ านวน 1 ชั่วโมง 3.8 ทดสอบหลังเรียน จ านวน 1 ชั่วโมง 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยด าเนินการทดลองในปีการศึกษา 2566 วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ ตามแผนการจัดการเรียนรู้ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จ านวน 8 แผน ใช้เวลา 8 ชั่วโมง นิยามศัพท์เฉพาะ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หมายถึง หลักสูตรที่พัฒนาจากผลการวิจัยและการประเมินผลการใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 โดยเน้นการปรับปรุงข้อผิดพลาดและอุปสรรคของการใช้หลักสูตรที่เกิดขึ้น หลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานฉบับนี้ครอบคลุมการจัดการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาและ มัธยมศึกษา โดยเริ่มใช้น าร่องครั้งแรกในปีการศึกษา 2552 และบังคับใช้ทั่วประเทศในทุกชั้นเรียนปี การศึกษา 2555 หลักสูตรฉบับนี้มีการปรับปรุงล่าสุดใน พ.ศ. 2560 อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมี แนวโน้มที่จะยกเลิกหรือปรับหลักสูตรฉบับนี้ โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งเป้าหมายจะน าร่อง หลักสูตรฉบับใหม่ใน พ.ศ. 2565 2. หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หมายถึง กระบวนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ที่ได้มุ่งเน้นนักเรียนเป็นส าคัญโดยให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง รู้จัก การเรียนรู้ การค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ และเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตท าให้นักเรียนรู้จักคิด วิเคราะห์ ซึ่งต้องอาศัยวิธีสอนที่แตกต่างกันไปและที่ส าคัญมีเป้าหมายในการส่งเสริมศักยภาพการ เป็นพลเมืองดีโดยหลอมรวมวิทยาการแขนงต่าง ๆ มาบูรณาการเพื่อมุ่งพัฒนาคนให้มีชีวิตที่สมบูรณ์ที่ สามารถพึ่งตนเองในด้านการคิดการปฏิบัติและการตัดสินใจด้วยตนเองและท างานเป็นกลุ่มร่วมมือกับ ผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ สามารถพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมได้และใช้ความรู้มาสร้างประโยชน์แก่ ส่วนรวมและประเทศชาติ 3. การเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง เป็นวิธีเรียนแบบหนึ่งที่ให้นักเรียนที่มีความสามารถ แตกต่างกัน และเพศต่างกัน มาท างานร่วมกัน โดยการแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็กๆ ให้นักเรียนแต่ ละกลุ่มท าการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น มีการช่วยเหลือ ซึ่งกันและกันภายในกลุ่ม เพราะสมาชิกทุกคนในกลุ่มมีความส าคัญต่อความส าเร็จของกลุ่มตาม


7 เป้าหมายที่ก าหนดไว้ ซึ่งถือเป็นความส าเร็จของตนเองด้วย ซึ่งการเรียนรู้แบบร่วมมือนี้จะช่วยพัฒนา ผู้เรียนทั้งในด้านสติปัญญาและด้านสังคม 4. การเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยสมาชิกกลุ่มที่มี ความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3 – 6 คน ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม ผู้เรียนมี ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน ต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการ เรียนรู้โดยเป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สมาชิกจะได้รับมอบหมายหน้าที่ทุก คน เป็นการเรียนที่เน้นให้ผู้เรียนท างานร่วมกันเป็นกลุ่มเหมือนกับการอยู่ร่วมกันในสังคมหนึ่ง เป็น การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ใช้ความสามารถฉพาะตัว เป็นการเรียนที่เน้นการช่วยเหลือ ร่วมกัน คิดแก้ปัญหา 5. ประเภทของการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การเรียนรู้แบบร่วมมือมีเทคนิคมาก มากมายหลายรูปแบบซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีวิธีด าเนินการที่ต่างกันตามวัตถุประสงค์เฉพาะ แต่ไม่ว่าจะ เป็นรูปแบบใดต่างก็ใช้หลักการเดียวกันคือหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ และมีวัตถุประสงค์ที่เป็นไปใน ทิศทางเดียวกันคือเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเนื้อหาสาระที่ศึกษามามากที่สุด โดยอาศัยการ ร่วมมือกันการช่วยเหลือกัน และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนในกลุ่มและผู้เรียนระหว่างกลุ่ม 6. องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ หมายถึง การพึ่งพาและเกื้อกูลกัน การ ปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ของสมาชิกแต่ละคน การใช้ทักษะการ ปฏิสัมพันธ์กันระหว่างบุคคล การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม ในการจัดกิจกรรมแบบกลุ่มร่วมมือคือ การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนในกลุ่ม การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันของสมาชิกในกลุ่ม ความ รับผิดชอบ ของสมาชิกในกลุ่ม รวมไปถึงทักษะต่างๆของผู้เรียนที่จะให้เกิดการท างานที่ดีระหว่างกัน กับสมาชิกใน กลุ่ม ซึ่งสิ่งส าคัญที่จะท าให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด าเนินได้อย่างมี ประสิทธิภาพนั้น ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและต่อเพื่อสมาชิกในกลุ่มของผู้เรียน 7. ขั้นตอนจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง ขั้นตอนทั้งหมดของการจัดกิจกรรมในการ เรียนรู้แบบร่วมมือ ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และฝึกทักษะกระบวนการกลุ่มตามบทบาทหน้าที่และ ความรับผิดชอบในการท างานกลุ่ม รวมถึงได้ฝึกทักษะการคิด การค้นคว้า การแสวงหาความรู้ด้วย ตนเอง นอกจากนี้ผู้เรียนจะได้ประสบการณ์ในด้านการอยู่ร่วมกับผู้อื่นทการมีน้ าใจช่วยเหลือผู้อื่น การเสียสละ การยอมรับกันและกัน การไว้วางใจซึ่งกันและกัน การเป็นผู้น า และการท างานเป็นทีมที่ มีประสิทธิภาพ ซึ่งภายในขั้นตอนต่างๆ นี้ยังประกอบไปด้วยกลุ่มการเรียนที่แตกต่างกันทั้งที่เป็น ทางการและไม่เป็นทางการเพื่อให้ผู้สอนสามารถวางแผนการเรียนรู้ที่น าไปสู่การเรียนที่มีประสิทธิภาพ มากขึ้น 8. ประโยชน์ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง ประโยชน์ของการเรียน แบบร่วมมือที่มีต่อผู้เรียนนั้นมีทั้งในด้านของการมีส่วนร่วมในการเรียน การมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ของผู้เรียน ท าให้ผู้เรียนรู้สึกได้ว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ท าให้ผู้เรียนมีทักษะในการด ารงชีวิต ในสังคมมากขึ้น การการแบบร่วมมือให้ห้องเรียนเป็นการฝึกให้ผู้เรียนมีความ รับผิดชอบในหน้าที่ที่ตน ได้รับมอบหมายรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น 9. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค (Jigsaw) หมายถึง การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค จิกซอว์เป็นการจัดการเรียนเป็นกลุ่มเล็กประมาณ 3-6 คน จัดผู้เรียนที่มีความสามารถคละกันจัดเป็น


8 2 กลุ่มเรียกว่ากลุ่มบ้าน (Home group) และกลุ่มผู้มีประสบการณ์ (Expett group) สมาชิกของแต่ ละกลุ่มศึกษาหัวข้อที่ได้รับมอบหมายในกลุ่มผู้มีประสบการณ์แล้วน าความรู้ไปอธิบายให้เพื่อในกลุ่ม บ้านฟังเป็นการเรียนที่ส่งเสริมความร่วมมือและถ่ายทอดความรู้ระหว่างเพื่อนในกลุ่มการประเมิน ผลรวมคะแนนเป็นของกลุ่มครูอาจเสริมแรงด้วยรางวัดหรือประกาศชมเชย 10. ขั้นตอนการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ หมายถึง ร่วมกันคิดได้ลงมือกระท า ค้นหาความรู้ด้วยตนเองจนเกิดความรู้ ความเข้าใจที่ชัดเจนและการสร้างสรรค์ผลงานเป็นความส าเร็จ ของกลุ่ม โดย มีขั้นตอน5ขั้นตอน ก าหนดขนาดของกลุ่ม มอบหมายงาน ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ การ ถ่ายทอดความรู้ ขั้นตอนที่ และการทดสอบความรู้และมอบรางวัล 11. แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนหรือแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่จัดท าเป็น ลายลักษณ์อักษร โดยมีการล าดับขั้นตอนของกิจกรรม มีการจัดเรียมสื่ออุปกรณ์ การประเมินผลการ เรียนรู้ตรงตามวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายของหลักสูตรที่ก าหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ 12. ความส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การวางแผนการจัดการเรียนรู้มี ความส าคัญต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นอย่างมาก คือ ท าให้ผู้สอนสอนด้วยความมั่นใจ ท าให้เป็นการสอนที่มีคุณค่าคุ้มกับเวลาที่ผ่านไป ท าให้เป็นการสอนที่ตรงตามหลักสูตร ท าให้การสอน บรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ ท าให้ผู้สอนมีเอกสารเตือนความจ า และท าให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อ ผู้สอนและต่อวิชาที่เรียน 13. ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีนั้นกิจกรรมการ เรียนรู้ การวัดผลและประเมินผล ควรสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาสาระของรายวิชา อีกทั้งสื่อ หรือนวัตกรรม การเรียนรู้ แหล่งการเรียนรู้ควรสอดคล้องสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ 14. ขั้นตอนการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง สรุปการวางแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นสิ่งที่ครูสร้างขึ้น ด้วยความรู้สึกที่ดี ที่สะท้อนการเป็น นักคิด นักวางแผน เป็นเครื่องมือในการ สื่อสาร มีความยืดหยุ่น ทุกคนแปลความได้ตรงกันและมีการ น าไปใช้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง กระบวนการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้รายชั่วโมงซึ่งมีองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้และ การเขียนองค์ประกอบต่าง ๆ ควรเขียนให้มีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน และผู้สอนสามารถน าไปสอน ได้จริงเพื่อให้เกิดประโยชน์ 15. องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้หรือแผนการสอน หมายถึง เป็นการวาง แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน ในแต่ละครั้งไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อน าไปใช้ใน การปฏิบัติการสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยมีการก าหนดมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ และแหล่งการเรียนรู้ ตลอดจนการวัด และประเมินผลการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับหลักสูตร แผนการจัดการ เรียนรู้มีความส าคัญอย่างยิ่งต่อ การปฏิบัติการสอน เพราะเป็นการวางแนวทางการด าเนินงานการจัดการเรียนรู้ของผู้สอน 16. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถจากการท าคะแนนสอบของ ผู้เรียนที่ได้จากกิจกรรมการเรียนรู้ การฝึกปฏิบัติในชั้นเรียน ซึ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสามารถวัดได้ จากการท าแบบทดสอบหรือเครื่องมือที่ครูผู้สอนสร้างขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านทักษะพิสัย และด้านจิตพิสัย โดยการใช้เครื่องมือ


9 แบบทดสอบ เรียกว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการทราบว่า ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถอยู่ในระดับใด 17. การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเป็นกระบวนการที่ใช้แบบทดสอบของ ครูผู้สอนเพื่อวัดความสามารถทางสมองของ ผู้เรียน การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนประกอบไปด้วย จุดมุ่งหมายของการวัด เครื่องมือที่ใช้ในการวัด เช่น แบบทดสอบ แบบสอบถาม การสังเกต สัมภาษณ์มีการแปลผลและการน าผลไปใช้ เช่น คะแนน สอบ เพื่อจะได้ทราบภายหลังจากผ่านการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แล้วผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมไปตามจุดมุ่งหมายมากน้อยเพียงใด เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ครูผู้สอนต้องทราบถึงความสามารถ ความสนใจ และ ข้อบกพร่องของผู้เรียน โดยอาศัยกระบวนการ ของการวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา 18. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การวัดความสามารถทางสมอง หรือ วัดสติปัญญาของผู้เรียนว่ามีความสามารถมากน้อยเพียงใดหลังจากที่ได้รับประสบการณ์จากการ จัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามวิชาที่เรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนับว่าเป็นเครื่องมือที่มี ความส าคัญมากที่จะท าให้ครูผู้สอนทราบสิ่งเหล่านั้นได้ส าหรับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นแบบปรนัย จ านวน 4 ตัวเลือก สอดคล้องกับตัวชี้วัดและจุดประสงค์การ เรียนรู้ 19. ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งได้2 ประเภท คือ แบบทดสอบ มาตรฐาน ซึ่งสร้างจากผู้เชี่ยวชาญด้าน เนื้อหาและด้านวัดผลการศึกษา มีการหาคุณภาพเป็นอย่างดีส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือแบบทดสอบที่ ครูผู้สอนสร้างขึ้น เพื่อใช้ในการทดสอบในชั้นเรียน ในการ ออกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน 20. ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่ดีหรือทัศนคติที่ดีของบุคคลซึ่งมักเกิดจากการได้รับ การตอบสนองตามที่ตนต้องการความชื่นชอบ ประทับใจ สามารถวัดได้จากแบบวัดความพึงพอใจ ความรู้สึกชอบหรือพอใจ ในเจตคติที่ดีของผู้คนที่มีต่อความส าเร็จของตนเอง ชอบใจในการปฏิบัติ กิจกรรมต่างๆและต้องการ ด าเนินกิจกรรมนั้นจนบรรลุผลส าเร็จ 21. ความส าคัญของความพึงพอใจ หมายถึง การวัดความพึงพอใจเป็นการวัดสิ่งที่เป็น ความรู้สึกนึกคิดของนักเรียน ซึ่งแสดงออกค่อนข้างซับซ้อน จึงเป็นการยากที่จะวัดทัศนคติโดยตรง ดังนั้นเราจะวัดความพึงพอใจ โดยทางอ้อมจากแบบวัดความพึงพอใจ ชนิดมาตราส่วนประมาณ 5 ระดับ และสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 22. องค์ประกอบของความพึงพอใจ หมายถึง ลักษณะของงาน การบังคับบัญชา ความ มั่นคงในการท างาน บริษัทและการด าเนินงาน สภาพการท างาน ค่าจ้าง ความก้าวหน้าในการท างาน ลักษณะทางสังคม การติดต่อสื่อสาร ผลตอบแทนที่ได้รับจากการท างาน 23. ทฤษฎีเกี่ยวกับการสร้างความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจของมนุษย์จะเกิดขึ้นได้ ต้องเกิดจากการที่มนุษย์มีความต้องการเพื่อให้ได้รับการตอบสนองเพื่อให้เกิดระดับความพึงพอใจ


10 ประโยชน์ที่จะได้รับ 1. ได้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) เรื่อง กฎหมายควรรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพ สามารถน าไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2. เป็นแนวทางส าหรับครู และผู้ที่สนใจในการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม และ กลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ ต่อไปตามความเหมาะสม 3. ได้แผนการจัดการเรียนรู้สาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมาย ควรรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) 4. เป็นแนวทางในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้สาระวิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้ วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw)ส าหรับครูผู้สอน และผู้ที่สนใจในเนื้อหาวิชา และระดับชั้นอื่น ๆ ต่อไป 5. สามารถน าไปประยุกต์เป็นข้อมูลสาระสนเทศ ส าหรับการพัฒนาและปรับปรุงให้เกิด ประโยชน์ ในการเรียนการสอนกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม


11 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนการสอน วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่ใช้แนวความคิดในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารต ารา งานวิจัยและทฤษฎี ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย มีรายละเอียดดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) 2. หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) 3. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative learning) 4. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค (Jigsaw) 5. แผนการจัดการเรียนรู้ 6. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 7. ความพึงพอใจ 8. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 9. กรอบแนวคิดในการวิจัย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ผู้วิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับ ปรับปรุง 2560) ประกอบด้วย ความหมายของหลักสูตร วิสัยทัศน์ หลักการ จุดมุ่งหมาย สมรรถนะ ส าคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ความหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) เอกสารหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) นี้ จัดท าขึ้นส าหรับท้องถิ่นและสถาศึกษาได้น าไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดท าหลักสูตร สถานศึกษาและจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาขั้น พื้นฐานให้มีคุณภาพด้านความรู้ และทักษะที่จ าเป็นส าหรับการด ารงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง และแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิดมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่ ก าหนดไว้ในเอกสารนี้ ช่วยท าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกระดับเห็นผลคาดหวังที่ต้องการในการ พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ชัดเจนตลอดแนวซึ่งจะสามารถช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับ ท้องถิ่นและสถานศึกษา ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรได้อย่างมั่นใจ ท าให้การจัดท าหลักสูตรในระดับ


12 สถานศึกษามีคุณภาพและมีความเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้เกิดความชัดเจนเรื่องการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้และช่วยแก้บัญหาการเทียบโอนระหว่างสถานศึกษา ดังนั้นในการพัฒนา หลักสูตรในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับชาติจนกระทั่งถึงสถานศึกษาจะต้องสะท้อนคุณภาพตามมาตรฐาน การเรียนรู้และตัวชี้วัดที่ก าหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานรวมทั้งเป็นกรอบทิศทาง ในการจัดการศึกษาทุกรูปแบบ และครอบคลุมผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมายในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กระทรวงศึกษาธิการ,2551 (ฉบับปรับปรุง 2560)) 2. วิสัยทัศน์ วิสัยทัศน์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ไว้ ดังนี้ มุ่ง พัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นก าลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งร่างกาย ความรู้ คุณธรรมมี จิตส านึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลเมืองโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้ และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่ จ าเป็นต่อการศึกษา การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญบน พื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ การจัดหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐานจะประสบความส าเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังได้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งระดับชาติ ชุมชน ครอบครัว และบุคคลต้องร่วมรับผิดชอบโดยร่วมกันท างานอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องในการ วางแผนด าเนินการ ส่งเสริมสนับสนนตรวจสอบ ตลอดจนปรับปรุงแก้ไข เพื่อพัฒนาเยาวชนของชาติ ไปสู่คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่ก าหนดไว้ 3. หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีหลักการที่ส าคัญ ดังนี้ 3.1 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดมุ่งหมายและมาตรฐาน การเรียนรู้ เป็นเป้าหมายส าหรับการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 3.2 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่าง เสมอภาคและมีคุณภาพ 3.3 เป็นหลักสูตรสถานศึกษาที่สนองการกระจายอ านาจให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 3.4 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการ จัดการเรียนรู้ 3.5 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ 3.6 เป็นหลักสูตรการศึกษาส าหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์


13 4. จุดมุ่งหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีจุดมุ่งหมายเพื่อมุ่งพัฒนา ผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพจึงก าหนดเป็น จุดมุ่งหมาย เพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐานไว้ ดังนี้ 4.1 มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึ่งประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและ ปฏิบัติตนตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง 4.2 มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การ ใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต 4.3 มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกก าลังกาย 4.4 มีความรักชาติ มีจิตส านึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและ การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 4.5 มีจิตส านึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งท าประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่าง มีความสุข 5. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่ก าหนดนั้นจะ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะส าคัญ 5 ประการ ดังนี้ 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมใน การใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจา ต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยค านึงถึงผลกระทบที่มีต่อ ตนเองและสังคม 5.2 ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบเพื่อน าไปสู่การสร้างองค์ ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรม และข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มา ใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาและมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยค านึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ต่อตนเองสังคมและสิ่งแวดล้อม 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการน ากระบวนการต่างๆ ไปใช้ในการด าเนินชีวิตประจ าวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การท างานและการ


14 อยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความ ขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสมการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อมและ การรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยี ด้านต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การท างาน การแก้ปัญหา อย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็น พลเมืองไทยและพลเมืองโลกไว้ ดังนี้ 6.1 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 6.2 ซื่อสัตย์สุจริต 6.3 มีวินัย 6.4 ใฝ่เรียนรู้ 6.5 อยู่อย่างพอเพียง 6.6 มุ่งมั่นในการท างาน 6.7 รักความเป็นไทย 7. มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องค านึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุ ปัญญา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงก าหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 7.1 ภาษาไทย 7.2 คณิตศาสตร์ 7.3 วิทยาศาสตร์ 7.4 สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 7.5 สุขศึกษาและพลศึกษา 7.6 ศิลปะ 7.7 การงานอาชีพและเทคโนโลยี 7.8 ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้ก าหนดมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายส าคัญของการ พัฒนาคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมที่พึ่งประสงค์ ที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐานนอกจากนั้น มาตรฐานการเรียนรู้ ยังเป็นกลไกส าคัญ ในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบเพราะมาตรฐาน


15 การเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่า ต้องการอะไร ต้องสอนอะไร จะสอนอย่างไรและประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมิน คุณภาพภายใน และการประเมินคุณภาพภายนอกซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษาและ การทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งส าคัญที่ช่วยสะท้อน ภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพดามที่มาตรฐานการเรียนรู้ก าหนดเพียงใด 8. ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรมน าไปใช้ในการก าหนด เนื้อหาจัดท าหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอนและเป็นเกณฑ์ส าคัญส าหรับการวัดประเมินผลเพื่อ ตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน ตัวชี้วัดชั้นปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปีในระดับการศึกษาภาคบังคับ (ประถมศึกษาปีที่ 1- มัธยมศึกษาปีที่ 3) ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มัธยมศึกษาปีที่ 4 - 6) หลักสูตรได้มีการก าหนดรหัสก ากับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด เพื่อความเข้าใจและให้ สื่อสารตรงกัน ดังนี้ ภาพที่ 2.1 มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด


16 จากการศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ผู้วิจัยสรุปได้ว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ. 2560) หมายถึง หลักสูตรที่พัฒนาจากผลการวิจัยและการประเมินผลการใช้หลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 โดยเน้นการปรับปรุงข้อผิดพลาดและอุปสรรคของการใช้หลักสูตรที่ เกิดขึ้น หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานฉบับนี้ครอบคลุมการจัดการเรียนการสอนในระดับ ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โดยเริ่มใช้น าร่องครั้งแรกในปีการศึกษา 2552 และบังคับใช้ทั่วประเทศ ในทุกชั้นเรียนปีการศึกษา 2555 หลักสูตรฉบับนี้มีการปรับปรุงล่าสุดใน พ.ศ. 2560 อย่างไรก็ตามใน ปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะยกเลิกหรือปรับหลักสูตรฉบับนี้ โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งเป้าหมายจะน า ร่องหลักสูตรฉบับใหม่ใน พ.ศ. 2565 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ประกอบด้วย ความส าคัญของหลักสูตร สาระการ เรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้คุณภาพของผู้เรียน โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ความส าคัญของหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ว่ามนุษย์ด ารงชีวิตอย่างไร ทั้งในฐานะ ปัจเจกบุคคลและการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ อย่างจ ากัดนอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจถึงการพัฒนา เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลา ตาม เหตุปัจจัยต่างๆ ท าให้เกิดความเข้าใจในตนเอง และผู้อื่น มีความอดทน อดกลั้น ยอมรับใบความ แตกต่าง และมีคุณธรรม สามารถน าความรู้ไปปรับใช้ในการด าเนินชีวิตเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ และสังคมโลกกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมว่าด้วยการอยู่ร่วมกันในสังคม ที่มีความเชื่อมสัมพันธ์กัน และมีความแตกต่างกับอย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้สามารถปรับตนเองกับ บริบทสภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมที่ เหมาะสม (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) 2. สาระการเรียนรู้ สาระที่เป็นองค์ความรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ประกอบด้วย ดังนี้ สาระที่ 1 : ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม สาระที่ 2 : หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการด าเนินชีวิตในสังคม สาระที่ 3 : เศรษฐศาสตร์


17 สาระที่ 4 : ประวัติศาสตร์ สาระที่ 5 : ภูมิศาสตร์ 2.1 ศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ การน าหลักธรรมค าสอนไปปฏิบัติในการพัฒนา ตนเอง และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระท าความดี มีค่านิยมที่ดีงาม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมทั้งบ าเพ็ญระโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม 2.2 หน้าที่พอเมือง วัฒนธรรม และการด าเนินชีวิต ระบบการเมืองการปกครองใน สังคมปัจจุบันการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและ ความส าคัญ การเป็นพลเมืองดี ความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ปลูกฝังค่านิยมด้านประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิทธิ หน้าที่ เสริภาพการ ด าเนินชีวิตอย่างสันติสุขในสังคมไทยและสังคมโลก 2.3 เศรษฐศาสตร์ การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและบริการ การบริหาร จัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจ ากัดอย่างมีประสิทธิภาพ การด ารงชีวิตอข่างมีดุลยภาพ และการน า หลักพอเพียงไปใช้ในชีวิตประจ าวัน 2.4 ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์ส าคัญในอดีต บุคคลส าคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในอดีด ความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย แหล่งอารยธรรมที่ส าคัญของไลก 2.5 ภูมิศาสตร์ ลักษณะของโลกทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ แหล่งทรัพยากร และภูมิอากาศของประเทศไทย และภูมิภาคต่างๆ ของโลก การใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์กันของสิ่งต่างๆ ในระบบธรรมชาติ ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสภาพแวคล้อมทาง ธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น การน าเสนอข้อมูลภูมิสารสนเทศ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืน 3. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้การศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการด าเนินชีวิตในสังคม สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ และสาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 3.1 สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม มาตรฐาน ส 1.1 รู้และเข้าใจประวัติ ความส าคัญ ศาสดา หลักธรรมของ พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้องยึดมั่นและปฏิบัติตาม หลักธรรมเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มาตรฐาน ส 1.2 เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนที่ดีและธ ารงรักษา พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ 3.2 สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการด าเนินชีวิตในสังคม


18 มาตรฐาน ส 2.1 เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดีมีค่านิยมที่ดี งามและธ ารงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทย ด ารงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทย และสังคมโลกอย่าง สันติสุข มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา และธ ารงรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 3.3 สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส 3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการ บริโภค การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จ ากัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจหลักการของ เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการด ารงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ มาตรฐาน ส 3.2 เข้าใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจต่างๆ ความสัมพันธ์ทาง เศรษฐกิจและความจ าเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในสังคมโลก 3.4 สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความส าคัญของเวลาและยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบันในด้าน ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความส าคัญ และสามารถ วิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้น มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความ รัก ความภูมิใจและธ ารงความเป็นไทย 3.5 สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง ซึ่งมีผลต่อกัน ใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการค้นหา วิเคราะห์ และสรุปข้อมูล ตาม กระบวนการทางภูมิศาสตร์ ตลอดจนใช้ภูมิสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วิถีการด าเนินชีวิต มีจิตส านึกและมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรและ สิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 4. คุณภาพของผู้เรียน 4.1 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 4.1.1 ได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเองและผู้ที่อยู่รอบข้าง ตลอดจบสภาพแวดล้อมใน ท้องถิ่น ที่อยู่อาศัยและเชื่องโยงประสบการณ์ไปสู่โลกกว้างผู้เรียน 4.1.2 ได้รับการพัฒนาให้มีทักษะกระบานการ และมีข้อมูลที่จ าเป็นต่อการพัฒนาให้ เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ประพฤติปฏิบัติตามหลักค าสอนของศาสนาที่ตนนับถือ มีความเป็น พลเมืองดี มีความรับผิดชอบการอยู่ร่วมกันและการท างานกับผู้อื่น มีส่วนร่วมในกิจกรรมของห้องเรียน และได้ฝึกหัดในการตัดสินใจ


19 4.1.3 ได้ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน และชุมชนในลักษณะ การบูรณาการผู้เรียน 4.1.4 ได้เข้าใจแนวคิดที่เกี่ยวกับปัจจุบันและอดีต มีความรู้พื้นฐานทางเศรษฐกิจได้ ข้อคิดเกี่ยวกับรายรับ รายจ่ายของครอบครัว เข้าใจถึงการเป็นผู้ผลิต ผู้บริโภค รู้จักการออมขั้นต้นและ วิธิการเศรษฐกิจพอเพียง 4.1.5 ได้รับการพัฒนาแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่ พลเมืองเศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์และภูมปัญญา เพื่อเป็นพื้นฐานในการท าความเข้าใจในขั้นที่สูง ต่อไป 4.2 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 4.2.1 ได้เรียนรู้เรื่องของจังหวัด ภาค และประทศของตนเอง ทั้งเชิงประวัติศาสตร์ ลักขณะทางกายภาพ สังคม ประเพณี และวัฒนธรรม รวมทั้งการเมืองการปกครอง สภาพเศรษฐกิจ โดยเน้นความเป็นประเทศไทย 4.2.2 ได้รับการพัฒนาความรู้และความเข้าใจ ในเรื่องศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตนตามหลักค าสอนของศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้งมีส่วนร่วมศาสนพิธี และพิธีกรรมทางศาสนา มากยิ่งขึ้น 4.2.3 ได้ศึกษาและปฏิบัติตนตามสภาพ บทบาท สิทธิหาที่ในฐานะพลเมืองดีของ ท้องถิ่นจังหวัด ภาค และประเทศ รวมทั้งได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมตามขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ของท้องถิ่นตนเองมากยิ่งขึ้น 4.2.4 ได้ศึกษาเปรียบเทียบเรื่องราวของจังหวัดและภาคต่างๆ ของประเทศไทยกับ ประเทศเพื่อนบ้านได้รับการพัฒนาแนวคิดทางสังคมศาสตร์ เกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์เพื่อขยายประสบการณ์ไปสู่การท าความ เข้าใจ ในภูมิภาค ซีกโลกตะวันออกและตะวันตกเกี่ยวกับศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค านิยมความ เชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรม การด าเนินชีวิต การจัดระเบียบทางสังคม และการ เปลี่ยนแปลงทางสังคมจากอดีดสู่ปัจจุบัน 4.3 จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 4.3.1 ได้เรียนรู้และศึกขาเกี่ยวกับความเป็นไปของโลก โดยการศึกษาประเทศไทย เปรียบเทียบ กับประเทศใบภูมิภาคต่างๆใน โลก เพื่อพัฒนาแนวคิด เรื่องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข 4.3.2 ได้เรียนรู้และพัฒนาให้มีทักษะที่จ าเป็นต่อการเป็นนักคิดอย่างมี วิจารณญาณได้รับการพัฒนาแนวคิด และขยายประสบการณ์ เปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับ ประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ในโลก ได้แก่เอเชีย ไอเชียเนีย แอฟริกา ยุไรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใด้ ใน ด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ท่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การเรื่อง การปกครอง ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ และสังคมศาสตร์ 4.3.3 ได้รับการพัฒนาแนวคิดและวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคต สามารถน ามาใช้ เป็นประโยชน์ในการด าเนิบชีวิตและวางแผนการด าเนินงานได้อย่างเหมาะสม


20 4.4 จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 4.4.1 ได้เรียนรู้และศึกบาความเป็นไปของโลกอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น 4.4.2 ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้พัฒนาคนเองเป็นพลเมืองที่ดีมีคุณรรรม จริยธรรม ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนาที่จนนับถือ รวมทั้งมีค านิยมอับพึงประสงค์ สามารถอยู่ ร่วมกับผู้อื่นและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข รวมทั้งมีศักยภาพเพื่อการศึกษาต่อในชั้นสูงตามความ ประสงค์ได้ 4.4.3 ได้เรียนรู้เรื่องภูมิปัญญาไทย ความภูมิใจในความเป็นไทย ประวัติศาสตร์ ของชาติไทยขีดมั่นในวิถีชีวิต และการปกกรองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข 4.4.4 ได้รับการส่งเสริมให้มีมีนิสัยที่ดีในการบริโภค เลือกและตัดสินไจบริโภคได้ อย่างเหมาะสม มีจิตส านึกและมีส่วนร่วมในการอนุรักข์ ประเพณี วัฒนธรรมไทย และสิ่งแวดล้อม มีความรักท้องถิ่น และประเทศชาติ มุ่งท าประโยชน์ และสร้างสิ่งที่ดีงามให้กับสังคม 4.4.5 เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียบรู้ของตนเอง ชี้น าตนองได้ และสามารถแสวงหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ต่างในสังคมได้ตลอดชีวิต จากการศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หมายถึง กระบวนการ จัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ที่ได้มุ่งเน้นนักเรียนเป็นส าคัญ โดยให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง รู้จักการเรียนรู้ การค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ และเกิด การเรียนรู้ตลอดชีวิตท าให้นักเรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ ซึ่งต้องอาศัยวิธีสอนที่แตกต่างกันไปและที่ส าคัญ มีเป้าหมายในการส่งเสริมศักยภาพการเป็นพลเมืองดีโดยหลอมรวมวิทยาการแขนงต่าง ๆ มาบูรณา การเพื่อมุ่งพัฒนาคนให้มีชีวิตที่สมบูรณ์ที่สามารถพึ่งตนเองในด้านการคิดการปฏิบัติและการตัดสินใจ ด้วยตนเองและท างานเป็นกลุ่มร่วมมือกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ สามารถพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ได้และใช้ความรู้มาสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative learning) ผู้วิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative learning) ประกอบด้วย ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือ แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ ประเภทของการ เรียนรู้แบบร่วมมือ องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ ขั้นตอนจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ประโยชน์ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative learning) นุชลี อุปภัย (2556. 174) กล่าวว่าการเรียนแบบร่วมมือเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ช่วย ให้ผู้เรียนคันพบความรู้ด้วยตนเองหรือเกิดการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนได้ด้วยตนเองจากการพูดคุยสนทนา


21 ปัญหาร่วมกับผู้อื่น โดยเน้นการแบ่งผู้เรียนเป็นกุลุ่มย่อย ๆ เพื่อให้ท างานร่วมกันและช่วยเหลือเกื้อกูล กันในการเรียนรู้หรือแก้ปัญหาที่ผู้สอนก าหนด โดยผู้เรียนจะได้รับการถ่ายทอดทักษะพื้นฐานส าหรับ การท างานร่วมกัน ได้แก่ ทักษะในการเป็นผู้ฟังที่ดี ทักษะในการอธิบาย และการยอมรับความคิดเห็น ของผู้อื่น โดยทั่วไปจะให้ผู้เรียนใช้เวลาเรียนร่วมกันหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน และส่วนใหญ่แล้วใน แต่ละกลุ่มจะมีสมาชิกจ านวน 4 คน ที่มีความสามารถคละกันไป อย่างไรก็ตามการก าหนดจ านวน ผู้เรียนในแต่ละกลุ่มยังไม่มีหลักเกณฑ์ที่ตายตัว ชาติชาย ม่วงปฐม (2557: 92) กล่าวว่าการเรียนแบบร่วมมือเป็นแนวคิดทางการเรียน การสอนที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มย่อย โดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถทางการเรียน ต่างกันหรือเหมือนกันแล้วแต่ความเหมาะสม โดยทั่วไปนิยมกลุ่มที่คละความสามารถ เพื่อให้ผู้เรียนได้ ร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เรียนรู้เพื่อให้กลุ่มบรรลุไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม นักกรศึกษาคนส าคัญที่ เผยแพร่แนวคิดของการเรียนรู้แบบนี้คือ สลาวิน (Slavin) เดวิด จอห์นสัน (David Johnson) และโร เจอร์จอห์สัน (Roger Johnson) ลักขณา สริวัฒน์ (2557: 195) ได้สรุปว่าการเรียนแบบร่วมมือ หมายถึง การจัดกิจกรรม การเรียนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนท ากิจกรรมต่าง ๆ เป็นกลุ่ม โดยกลุ่มนั้นต้องประกอบด้วยสมาชิกที่มี ความสามารถแตกต่างกัน เพื่อให้แต่ละคนเห็นความส าคัญของเพื่อนในกลุ่มซึ่งจะขาดไม่ได้ เพราะแต่ ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกันจึงต้องอาศัยซึ่งกันและกันในการเรียนคนที่เรียนเก่งจะช่วยเหลือคน ที่เรียนอ่อนในด้านวิชาการ แต่คนที่เรียนอ่อนในด้านวิชาการอาจเก่งด้านการพูด หรือด้านการ ช่วยเหลือและให้ก าลังใจต่อกัน นอกจากนี้ยังท าให้เกิดความเห็นใจกัน มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมีความ ผูกพันธุ์ โดยยึดหลักว่าความส าเร็จของกลุ่มคือความส าเร็จของสมาชิกทุกคนในกลุ่ม แบลคคอม (Balkcom, 1992 อ้างถึงใน ลักขณา สริวัฒน์, 2557: 194) สรุปว่าการเรียน แบบร่วมมือคือการจัดการเรียนการสอนที่ประสบความส าเร็จในกลุ่มเล็ก ๆ กับนักเรียนที่มีระดับ ความสามารถแตกต่างกัน กิจกรรมการเรียนรู้จะส่งเสริมให้เข้าใจประโยชน์จากเนื้อหารายวิชาที่ ก าหนดให้ สมาชิกทุกคนในทีมไม่เพียงแต่รับผิดชอบการเรียนของตนเองเท่านั้นแต่จะต้องช่วยเหลือ สมาชิกในทีมด้วย อบัสไซลีค (Abuseileek, 2007 อ้างถึงใน ลักขณา สริวัฒน์, 2557: 194) ได้ให้ ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือไว้ว่า เป็นการเรียนที่จัดสมาชิกกลุ่มเล็ก ๆ แล้วร่วมกันแก้ปัญหา หรือท างานที่ได้รับมอบหมายให้ส าเร็จ สมาชิกกลุ่มทุกคนเป็นส่วนส าคัญของกลุ่มที่จะต้องมีส่วนร่วม ในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการท างาน ความส าเร็จหรือความล้มเหลวของกลุ่มเป็นของทุกคนใน กลุ่ม รังสิมา วงษ์ตระกูล (2561) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง กระบวนการการ เรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียนได้ร่วมมือและช่วยเหลือกันในการเรียนรู้โดยแบ่งกลุ่มผู้เรียนที่มีความสามารถ ต่างกันออกเป็นกลุ่มเล็กๆ ซึ่งเป็นลักษณะการรวมกลุ่มอย่างมีโครงสร้างที่ชัดเจน มีการท างานร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มีความรับผิดชอบร่วมกันทั้ง ในส่วนตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความส าเร็จตามเป้าหมายที่ ก าหนด


22 จากการศึกษาความหมายการเรียนรู้แบบร่วมมือ ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง เป็นวิธีเรียนแบบหนึ่งที่ให้นักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน และเพศต่างกัน มาท างาน ร่วมกัน โดยการแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็กๆ ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มท าการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งกันและกัน ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันภายในกลุ่ม เพราะ สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีความส าคัญต่อความส าเร็จของกลุ่มตามเป้าหมายที่ก าหนดไว้ ซึ่งถือเป็น ความส าเร็จของตนเองด้วย ซึ่งการเรียนรู้แบบร่วมมือนี้จะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งในด้านสติปัญญาและ ด้านสังคม 2. แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2555: 182-184) กล่าวถึงแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนแบบ ร่วมมือ ซึ่งเป็นวิธีการเรียนที่มีเทคนิควิธีที่หลากหลาย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับแนวคิด ทฤษฎี ดังนี้ 2.1 ทฤษฎีการเสริมแรง (Reinforcement Theory) ของ Skinner การเรียนแบบ ร่วมมือ เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สมาชิกจะได้รับมอบหมายหน้าที่ทุกคน และยึดหลักว่าความส าเร็จของตนคือความส าเร็จของกลุ่ม ดังนั้นในการท างานจะต้องมีการให้ก าลังใจ กัน อาจเป็นค าชมเชย รางวัล เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้สมาชิกทุกคนท างานให้ดีที่สุด เพื่อผลส าเร็จของ กลุ่ม ซึ่งหลักการดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากวิธีการปรับพฤติกรรม(Behavior Modification) ซึ่งมี แนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบการกระท า (Operant Conditioning มีแนวคิดว่า การ กระท าใด ๆ ที่ได้รับการเสริมแรงจะมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีก ส่วนการกระท าใด ๆ ที่ไม่ได้รับการ เสริมแรง จะมีแนวโน้มที่จะลดลงและหายไปในที่สุด ในการเรียนแบบร่วมมือนั้น การให้ความสนใจ การยอมรับ การให้ค าชมเชยจากกลุ่ม เพื่อนจะเป็นตัวเสริมแรงที่มีประสิทธิภาพมาก โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นมักจะมีธรรมชาติรวมกลุ่ม เชื่อและ ท าตามกลุ่มมากกว่าครู การฝึกให้กลุ่มเพื่อนกล่าวค าชมเชย การยอมรับ และการให้ความสนใจ รูปแบบกิจกรรมที่เน้นให้เป็นทั้งผู้เรียนและผู้สอน ซึ่งจะได้แสดงความสามารถได้เต็มศักยภาพ ขณะเดียวกันก็เป็นผู้รับฟัง และการให้การยอมรับ ชมเชยผู้พูด จะมีผลต่อความรู้สึกของผู้ก าลังท า หน้าที่ได้เป็นอย่างดีและขณะที่รับฟังการสอน ก็มีโอกาสแสดงความคิดเห็นของตนได้อย่างเต็มที่ ใน ด้านการประเมินผลการให้รางวัล การมอบเกียรติบัตร ส าหรับกลุ่มที่มีคะแนนสูงสุด 3 อันดับแรก ก็ จะเป็นตัวกระตุ้นให้มีการแสดงพฤติกรรมได้ต่อไป 2.2 ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) การเรียนแบบร่วมมือ เป็น การเรียนที่เน้นให้ผู้เรียนท างานร่วมกันเป็นกลุ่มเหมือนกับการอยู่ร่วมกันในสังคมหนึ่ง ซึ่งการท างาน แบบร่วมมือจะสร้างสัมพันธภาพอันดีต่อกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกันและมีการสังเกตสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัว ซึ่ง ในทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม โดยแบนดูรากล่าวว่า คนเราเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราอยู่ เสมอ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการสังเกต (Observation Learning) หรือการเลียนแบบจากตัวแบบ ตัวแบบ สามารถถ่ายทอดทั้งความคิดและการแสดงออกได้พร้อม ๆ กัน และตัวแบบจะท าหน้าที่ยับยั้งการเกิด พฤติกรรม โดยตัวแบบอาจเป็นบุคคลจริง ๆ (Live Mode) หรือตัวแบบสัญลักษณ์ (Symbolic)


23 ดังนั้นการเรียนโดยใช้กระบวนการเรียนแบบร่วมมือ สมาชิกจะแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ การให้ความช่วยเหลือร่วมมือกัน ทั้งการมีน้ าใจ เมตตากรุณา การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การรู้จักการเกรงใจ ผู้อื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา พฤติกรรมเหล่านี้จะมีการเลียนแบบเกิดขึ้นในห้องเรียน หรือด้านการสอนที่ เรียกว่าเพื่อนช่วยเพื่อน ทุกคนจะเห็นภาพของการสอนของเพื่อน ๆ หากตนเองรู้สึกประทับในเพื่อน คนใดคนหนึ่ง ก็จะมีการเลียนแบบ โดยสังเกตจากพฤติกรรมจากเพื่อน ซึ่งจะมีการจดจ าใส่ใจและ แสดงตามตัวแบบ นอกจากนี้การได้มีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกกลุ่ม ยังท าให้ทัศนคติที่ดีต่อการเรียนการ สอนเพื่อนร่วมชั้น วิชาที่เรียน ครูผู้สอน อันจะส่งผลดีต่อไปในอนาคต 2.3 ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์การเรียนแบบร่วมมือ เป็นการจัดประสบการณ์ให้ ผู้เรียนได้ใช้ความสามารถฉพาะตัวและศักยภาพของตนเองร่วมมือกันแก้ปัญหาต่าง ใ ให้บรรลุผล ส าเร็จได้ โดยสมาชิกต่างตระหนักว่าแต่ละคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ได้ร่วมคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตัวของเขาเอง การท างานร่วมกันกับผู้อื่น จะท าให้เขาเข้าใจผู้อื่น จากคนในสังคม และต้องการแสวงหาสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ เพื่อสนองความต้องการของตนเอง ซึ่ง มาสโลว์มองว่าเด็กมีธรรมชาติ พร้อมที่จะศึกษาส ารวจสิ่งต่าง ๆ คนทุกคนมีแรงภายในความสามารถ ของตน ซึ่งหมายถึงการยอมรับตนเองทั้งในส่วนบกพร่อง และส่วนดี ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ที่มีต่อตนเอง จากแนวคิดทฤษฎีของมาสโลว์ แสดงว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีความต้องการ จะสนอง ความต้องการให้ตนเอง และความต้องการจะได้รับการตอบสนองก็ต่อเมื่อ ความต้องการขั้นต้นได้รับ การตอบสนองอย่างเพียงพอก่อน ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอนโดยการน าทฤษฎีมาใช้นั่นคือ การ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีการพัฒนาและมีสมรรถภาพทั้ง 3 ด้าน ไปพร้อม ๆ กัน คือ ความรู้ (Cognitive) ความรู้สึก (Affective) และด้านทักษะ (Psychomotor) ซึ่งหมายความว่าครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ รู้จักคิด การใช้เหตุผล มีความชื่นชมหรือมีเจตคติที่ดีต่อสิ่งที่เรียน โดยเฉพาะผู้เรียนได้เป็นผู้ลงมือ กระท ากิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง ครูเป็นเพียงผู้จัดเตรียมสื่อ หรือผู้ให้ค าแนะน า ซึ่งสอดคล้องกับการ เรียนแบบร่วมมือ ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ร่วมมือกันท างานกลุ่ม โดยสมาชิกจะเป็นผู้ปฏิบัติตามบทบาท หน้ที่ ซึ่งสมาชิกทุกคนจะได้มีโอกาสแสดงความสามารถที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ จะท าให้ผู้เรียนมี ความรู้สึกว่าตนเองมีประโยชน์และมีความส าคัญต่อกลุ่ม 2.4 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Cognitive Theory)การเรียนแบบร่วมมือ เป็น การเรียนที่เน้นการช่วยเหลือ ร่วมกันคิดแก้ปัญหานั่นคือให้ผู้เรียนได้ลงมือกระท า ค้นหาความรู้ด้วย ตนเองจนเกิดความรู้ความเข้าใจ จากลักษณะดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา เพราะการที่ผู้เรียนได้มีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว จะท าให้เกิดความคิดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรม และมีการพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ จนสามารถคิดในสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ ซึ่งสุรางค์ โค้วตระกูล (2537: 34-35) กล่าวว่า แนวคิดทฤษฎีพัฒนาการทงสติปัญญามองว่าคนเราทุกคนเกิดมา พร้อมที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยธรรมชาติพร้อมที่จะกระท าก่อน (Action)ดังนั้นในการจัดการ เรียนการสอนของเพียเจต์ (Piaget) จึงมีเป้าหมายเพื่อสร้างคนให้เป็นผู้ที่มีความสามารถท าสิ่งใหม่ มิใช่แต่เป็นผู้คอยลอกเลียนแบบผู้อื่น ต้องการคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักประดิษฐ์ และคันศว้ แสวงหาความรู้ ต้องการกระตุ้นให้มีความคิดวิพากษ์วิจารณ์ รู้จักพิสูจน์สิ่งต่าง ๆ ไม่ยอมเชื่ออะไรง่าย ๆ และต้องการผู้เรียนเป็นผู้มีความกระตือรือร้น พยายามแสวงหาความรู้ด้วยตนเองซึ่งส่วนหนึ่งเกิดขึ้น


24 โดยธรรมชาติ และอีกส่วนหนึ่งโดยครูเป็นผู้จัดให้ จากเป้าหมายของเพียเจต์ สอดคล้องกับการจัดการ เรียนแบบร่วมมือ ที่มุ่งให้ผู้เรียนได้พูดคุย อภิปราย ซักถามกันส่งเสริมให้ได้พัฒนาความคิด ได้ศึกษา ค้นคว้าท างาน และแก้ปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งจะท าให้เกิดความมั่นใจในตนเองมากขึ้น จากการศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่าแนวคิดที่ เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถ แตกต่างกันประมาณ 3 – 6 คน ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน ต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้โดย เป็น การเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สมาชิกจะได้รับมอบหมายหน้าที่ทุกคน เป็นการ เรียนที่เน้นให้ผู้เรียนท างานร่วมกันเป็นกลุ่มเหมือนกับการอยู่ร่วมกันในสังคมหนึ่งเป็นการจัด ประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ใช้ความสามารถฉพาะตัว เป็นการเรียนที่เน้นการช่วยเหลือ ร่วมกันคิด แก้ปัญหา 3. ประเภทของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ลักขณา สริวัฒน์ (2557: 201-203) กล่าวว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือมีเทคนิคมาก มากมายหลายรูปแบบซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีวิธีด าเนินการที่ต่างกันตามวัตถุประสงค์เฉพาะ แต่ไม่ว่าจะ เป็นรูปแบบใดต่างก็ใช้หลักการเดียวกันคือหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ และมีวัตถุประสงค์ที่เป็นไปใน ทิศทางเดียวกันคือเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเนื้อหาสาระที่ศึกษามามากที่สุด โดยอาศัยการ ร่วมมือกันการช่วยเหลือกัน และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนในกลุ่มและผู้เรียนระหว่างกลุ่ม ด้วย ความแตกต่างของรูปแบบแต่ละรูปแบบจะอยู่ที่เทคนิคในการศึกษาเนื้อหาสาระและวิธีการ เสริมแรงและการให้รางวัลเป็นประการส าคัญ ทิศนา แซมมณี (2550: 89) ได้อธิบายเทคนิคการเรียน แบบร่วมมือดังนี้ 1. เทคนิคการต่อเรื่องราว (jigsaw) เป็นเทคนิคที่ใช้ในการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้มีการ ร่วมมือระหว่างสมาชิกในกลุ่มและมีการถ่ยทอดความรู้กันระหว่างกลุ่ม เทคนิคนี้เหมาะส าหรับการ เรียนการสอนในเนื้อหาจากต าราซึ่งไม่ยากเกินไปนัก ผู้เรียนสามารถร่วมมือกันและช่วยเหลือกันใน การศึกษาด้วยการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ 2. เทคนิคการจัดทีมแข่งชัน (TGT: Team Games Tournament) เหมาะส าหรับการ เรียนการสอนที่ต้องการให้กลุ่มผู้เรียนได้ศึกษาประเด็น หรือปัญหาที่มีค าตอบที่ถูกต้องเพียงค าตอบ เดียวซึ่งเป็นค าตอบที่ชัดเจน เช่น คณิตศาสตร์ การใช้ภาษา สังคมศึกษา เป็นต้น ซึ่งผู้เรียนมีโอกาสได้ ช่วยกันศึกษาหาค าตอบในลักษณะของการแบ่งปันความรู้ร่วมกัน 3. เทคนิคแบ่งปันความส าเร็จ (STAD: Student Teams Achievement Division) เป็นการร่วมมือกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม โดยทุกคนจะต้องพัฒนาความรู้ของตนเองในเรื่องที่ผู้สอน ก าหนดซึ่งจะช่วยเหลือทบทวนความรู้ให้แก่กัน มีการทดสอบเป็นรายบุคคลแทนการแช่งชัน และรวม คะแนนเป็นกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนมากที่สุดจะเป็นฝ่ายซนะ เหมาะส าหรับใช้ในการเรียนการสอนใน บทเรียนที่มีเนื้อหาไม่ยากเกินไป 4. เทคนิคกลุ่มสืบคั้น (G: Group Investigation) เป็นเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือที่ จัดผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเพื่อเตรียมท างานหรือท าโครงานที่ผู้สอนมอบหมายให้ เทคนิคนี้เหมาะส าหรับ


25 การฝึกผู้เรียนให้รู้จักสืบค้นความรู้หรือการวางแผนสืบสวนเพื่อแก้ปัญหาหรือการหาค าตอบในประเด็น ที่สนใจ ดังนั้นก่อนการด าเนินกิจกรรมทุกครั้งผู้สอนควรฝึกทักษะการสื่อสาร ทักษะการคิด ตลอดจน ทักษะทางสังคมให้แก่ผู้เรียนก่อน 5. เทคนิคคู่คิด (Think Pair Share) เป็นเทคนิคที่ผู้สอนใช้คู่กับวิธีสอนแบบอื่นเรียกกัน ว่าเทคนิคคู่คิด เป็นเทคนิคที่ผู้สอนตั้งค าถามหรือก าหนดปัญหาให้แก่ผู้เรียน ซึ่งอาจจะเป็นใบงานหรือ แบบฝึกหัดก็ได้ และให้ผู้เรียนแต่ละคนคิดหาค าตอบของตนก่อน แล้วจับคู่กับเพื่อนอภิปรายค าตอบ เมื่อมั่นใจว่าค าตอบของตนถูกต้องแล้วจึงน าค าตอบไปอธิบายให้เพื่อนทั้งชั้นฟัง 6. เทคนิคเพื่อนคู่คิด 4 สหาย (Think Pair Square) เป็นเทคนิคที่ผู้สอนให้ค าถามหรือ ปัญหาแก่ผู้เรียน ซึ่งผู้สอนอาจท าเป็นใบงานหรือแบบฝึกหัดก็ได้ ให้ผู้เรียนแต่ละคนตอบค าถามหรือ ปัญหาด้วยตนเองก่อนแล้วจับคู่กับเพื่อน น าค าตอบไปผลัดกันอธิบายค าตอบด้วยความมั่นใจ 7. เทคนิคคู่ตรวจสอบ (Pairs Check) เป็นเทคนิคที่ผู้สอนตั้งปัญหาหรือก าหนดปัญหา (โจทย์)ให้กับผู้เรียน โดยจัดท าเป็นใบงานหรือแบบฝึกหัดที่มีค าตอบหรือโจทย์หลายข้อ จ านวนข้อจะ เป็นเลขคู่ ผู้เรียนจะจับคู่กันเมื่อได้รับโจทย์หรือปัญหาจากผู้สอน คนหนึ่งจะท าหน้าที่ตอบค าถามหรือ แก้ปัญหาโจทย์ครบ 2 ข้อ แล้วให้สมาชิกทั้งคู่ (ซึ่งจัดในกลุ่มเดียวกัน) เปรียบเทียบค าตอบซึ่งกันและ กัน เหมาะกับใบงานหรือแบบฝึกหัดที่ไม่ยากและไม่ซับซ้อน 8. เทคนิคการสัมภาษณ์ 3 ขั้น (Three Step - Interview) เป็นเทตนิคที่ฝึกให้ผู้เรียนแต่ ละคนได้มีประสบการณ์ในการสัมภาษณ์บุคคลและเก็บใจความส าคัญ หรืออาจจะเป็นการสรุป ความคิดรวบยอดของเรื่องที่เรียน 9. เทคนิคร่วมกันคิด (Numbered Heads Together) เหมาะสมกับการทบทวนความรู้ หรือตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ ผู้สอนใช้ค าถามถามผู้เรียนและให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันคิดหา ค าตอบ แล้วผู้สอนสุ่มเรียกสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งออกมาตอบค าถาม 10. เทคนิคเล่าเรื่องรอบวง (Round Robin) เป็นเทคนิคที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มได้ผลัด กันเล่าประสบการณ์ ความรู้ที่ตนเองได้ศึกษาตลอดจนสิ่งที่ตนประทับใจให้แก่เพื่อน 1 ในกลุ่มฟังทีละ คนหรืออาจจะเป็นเรื่องที่สมาชิกในกลุ่มต้องการจะเสนอแนะแสดงความคิดเห็น แนะน าคนเอง พูดถึง ส่วนดีของเพื่อน ยกตัวอย่างการกระท าของบุคคลที่สอดคล้องกับเรื่องที่เรียนไปแล้วหรือที่ก าลังจะ เรียนเป็นต้น โดยสมาชิกทุกคนได้ใช้เวลาในการเล่าเท่า ๆ กัน หรือใกล้เคียงกัน ซึ่งจะเป็นการฝึกให้ ผู้เรียนเป็นคนมีความรู้และเทคนิคการเล่าเรื่องเป็นอย่างดี 11. เทคนิคโต๊ะกลม (Roundtable) เป็นเทคนิคที่ฝึกให้ผู้เรียนได้ร่วมมือกันตอบค าถาม โดยใช้วิธีเขียนตอบร่วมกัน โดยเริ่มจากสมาชิกคนหนึ่งเป็นผู้เขียนตอบก่อนแล้วส่งต่อไปยังสมาชิกคน อื่น แล้วสมาชิกคนต่อไปจะอ่านค าตอบของเพื่อนแล้วเขียนเพิ่มเติม แล้วส่งไปยังสมาชิกคนต่อไป ซึ่ง จะอ่านค าตอบของเพื่อน ๆ ที่ตอบมาแล้วจึงจะเขียนเพิ่มเติมท าเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนหมดสมาชิกใน กลุ่ม 12. เทคนิคการเรียนร่วมกัน (Learning Together) เป็นเทคนิคที่ผู้เรียนช่วยกันท างาน โดยมีการแบ่งหน้าที่กัน แต่ละคนจะมีโอกาสได้ท าหน้าที่ทุกหน้าที่เป็นจ านวนเท่า ๆ กัน ถือว่าผลงาน ที่ท าร่วมกันนั้นสมาชิกทุกคนยอมรับและเข้าใจแบบฝึกหรืองานชั้นนั้นและหลังจากนั้นก็มีการตรวจ ค าตอบ ซึ่งผู้สอนจะเป็นคนตรวจหรืออาจจะให้กลุ่มอื่นผลัดกันตรวจหรืออาจจะหมุนเวียนกัน


26 13. เทคนิคช่วยกันคิดช่วยกันเรียน (TAI: Team-Assisted Individualization) เป็น เทคนิคที่ใช้กับการทบทวนบทเรียน เมื่อผู้สอนและผู้เรียนได้อภิปรายความรู้หรือทบทวนบทเรียน เข้าใจดีแล้ว ผู้สอนจะน าแบบฝึกหัดหรือใบงานให้นักเรียนแต่ละคนท า เมื่อท าเสร็จแล้วให้ผู้เรียนจับคู่ ภายในกลุ่มเพื่อตรวจสอบความถูกต้องจากแบบเฉลยที่ผู้สอนแจกให้และผลัดกันอธิบายสิ่งที่สงสัย ต่อจากนั้นผู้สอนจะท าการทดสอบพร้อมกันทุกคนและน าคะแนนของสมาชิกของกลุ่มมารวมกันและ หาค าเฉลี่ยกลุ่มใดได้คะแนนสูงสุดจะได้รับรางวัลหรือประกาศชื่อติดป้าย หนึ่งฤทัย ผมพันธ์ (2558 : 11-13) การจัดการเรียนรู้ที่นักการศึกษามักน ามาใช้ในการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ คือการเรียนรู้เป็นทีม (Team learning) เนื่องจากเป็นวิธีที่เน้นความส าคัญ ของเป้าหมายหลักของกลุ่มและความส าเร็จของกลุ่ม ที่สมาชิกทุกคนจะบรรลุเป้าหมายและผลส าเร็จ ดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อทุกคนในกลุ่มร่วมมือกันเรียนรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กลุ่มตั้งไว้ตั้งแต่ต้น งาน หลักนักเรียนที่เรียนรู้เป็นทีม คือ การเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มไม่ใช่การท างานด้วยกันกับสมาชิกคนอื่น ในกลุ่ม การเรียนรู้เป็นทีมมีหัวใจส าคัญอยู่ที่ (1) รางวัลของกลุ่ม (2) ความน่าเชื่อถือรายบุคคลของ สมาชิกและ (3) โอกาสประสบความส าเร็จที่เท่าเทียมกัน (Slavin, 1995 : 5-8 อ้างถึงใน หนึ่งฤทัย ผมพันธ์. 2558 : 11-13) นอกจากนั้น Slavin ยังเสนอวิธีการสอนที่สามารถน ามาใช้จัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือไว้ 5 วิธีคือ STAD, TGT, Jigsaw II, TAI, และ CIRC 1. STAD หรือ Student Teams-Achievement Divisions เป็นวิธีที่แบ่งนักเรียนเป็น กลุ่มๆ ละ 4 คน โดยคละความสามารถ เพศ และเชื้อชาติครูสอนบทเรียน แล้วให้นักเรียนช่วยกัน ท างานร่วมกันในกลุ่มเพื่อท าความเข้าใจบทเรียนดังกล่าวให้กระจ่าง ครูน าคะแนนการทดสอบย่อย ของนักเรียนแต่ละครั้งมาเปรียบเทียบกับครั้งที่ผ่านมา และให้แต้มกับกลุ่มที่ได้คะแนนเท่ากับหรือ สูงขึ้นกว่าครั้งก่อน เมื่อกลุ่มสะสมแต้มได้ตามเกณฑ์ที่ครูตั้งไว้ก็จะได้รางวัล กิจกรรมที่นักเรียนต้องท า ให้ครบวงจรคือ การฟังครูบรรยาย การท าแบบฝึกหัดเป็นกลุ่ม และการท าแบบทดสอบย่อยเป็นกลุ่ม ซึ่งอาจใช้เวลา 2-3 คาบเรียน วิธีการสอนนี้ใช้ได้กับทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้งคณิตศาสตร์ ภาษา ศิลปะ และวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงอุดมศึกษา โดยเฉพาะกับเนื้อหาสาระที่มี ค าตอบชัดเจน กลวิธีที่ส่งเสริมให้วิธีการสอนแบบ STAD ได้ผลดีคือ การกระตุ้นให้นักเรียนส่งเสริม ให้ ก าลังใจ และช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการเรียนรู้เพื่อท าความเข้าใจเนื้อหา สาระให้กระจ่าง และได้ รางวัลกลุ่มสมาชิกของกลุ่มต้องต่างพยายามส่งเสริมให้เพื่อนร่วมกลุ่มท างานในส่วนที่ได้รับมอบหมาย ให้ดีที่สุด เห็นความส าคัญของการเรียนรู้และพยายามท าให้การเรียนรู้และการท างานนั้นมีคุณค่าและ สนุก เมื่อครูสอนบทเรียนแล้ว นักเรียนต้องเปรียบเทียบค าตอบของกับเพื่อนร่วมกลุ่ม อภิปราย ประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้เข้าใจประเด็นที่สมาชิกคนใดคนหนึ่ง เข้าใจผิด โดยอาจอภิปรายถึงแนวทางในการแก้ปัญหา หรืออาจทดสอบย่อยกันเองในประเด็นที่เรียน เพื่อหาจุดอ่อนและจุดแข็งของสมาชิกทีม เพื่อให้สามารถตอบค าถามต่าง ๆ ของแบบทดสอบได้ บาง กรณี สมาชิกกลุ่มอาจไม่ช่วยเหลือกันในการตอบค าถามแบบทดสอบย่อย นักเรียนทุกคนจึงต้องรู้ เนื้อหาสาระที่เรียน ความเชื่อมั่นและน่าเชื่อถือของแต่ละคนจะกระตุ้นให้นักเรียนอธิบายประเด็นที่ ตนเองรู้และเข้าใจให้เพื่อนร่วมทีมฟังได้อย่างมั่นใจ ความส าเร็จของ ทีมมาจากการที่สมาชิกทุกคนรู้ เข้าใจ และมีทักษะในเรื่องที่เรียน เพราะคะแนนที่ทีมสะสมได้คือ คะแนนพัฒนาการ สมาชิกทุกคนมี


27 โอกาสเท่ากันในการเป็น “ดาว” ของทีม ในแต่ละสัปดาห์ของการเรียนรู้จากคะแนนพัฒนาการ หรือ จากการท าคะแนนครั้งหนึ่งๆ ได้อย่างดีเยี่ยม 2. TGT หรือ Team-Games-Tournament วิธีนี้พัฒนาขึ้นโดย David DeVries และ Keith Edwards โดยใช้วงจรการเรียนรู้เหมือนกับวิธี STAD แต่ให้นักเรียนเปลี่ยนจากการท า แบบทดสอบย่อยเป็นการแข่งขันรายสัปดาห์ (weekly tournament) โดยให้นักเรียนเล่นเกมทาง วิชาการกับสมาชิกกลุ่มของกลุ่มอื่น ๆ เพื่อเพิ่มแต้มให้กับทีมของตน นักเรียนจะเล่นเกมที่ “โต๊ะ แข่งขัน” 3 คน โดยใช้คะแนนที่สะสมไว้จากการเล่นรอบก่อนของสมาชิกทีมที่ออกมาเล่นก่อนหน้า การ “พบกันแบบบังเอิญ” ของผู้เล่นแต่ละรอบท าให้การเล่นเกมนี้ยุติธรรม โดยคะแนน 60 คะแนน จะเป็นของผู้ที่ท าคะแนนได้สูงสุด ไม่ว่าจะไปเล่นที่โต๊ะใดก็ตามซึ่งหมายความว่า กลุ่มผู้เล่นที่มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่างและกลุ่มผู้เล่นที่มีผลสัมฤทธิ์สูง มีโอกาสเท่าเทียมกันในการท าคะแนนให้ กลุ่ม วิธีนี้กระตุ้นให้สมาชิกของกลุ่มช่วยเหลือกันท าความเข้าใจบทเรียนและฝึกทักษะตามบทเรียนจน กระจ่างมากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อให้แต่ละคนมีความน่าเชื่อถือและเชื่อมั่นในตนเองเหมือนกับวิธี STAD แต่วิธีTGT นี้ตื่นเต้น และสนุกกว่าเพราะนักเรียนได้เล่นเกม 3. Jigsaw II เทคนิคนี้พัฒนาขึ้นโดย Elliot Aronson (1978) นักเรียนท างานเป็นกลุ่ม 4 คน แบบคละความสามารถ เพศ และศาสนาเหมือนวิธีSTAD และ TGT โดยนักเรียนแต่ละคนของ กลุ่มจะได้รับมอบหมายให้อ่านประเด็นใดประเด็นหนึ่งของเนื้อหาที่เป็นบทเรียนจากหนังสือตารา หรือ บทอ่านโดยทั่วไปมักเป็นเนื้อหาในวิชาสังคมศึกษา ชีววิทยา หรือวิชาที่มีค าอธิบายที่ชัดเจน เมื่อ สมาชิกแต่ละคนถูกสุ่มให้อ่านจนกลายเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ในประเด็นที่ได้รับมอบหมายให้อ่านแล้ว สมาชิกหนึ่งคนจากแต่ละกลุ่มที่ได้รับมอบหมายให้อ่านประเด็นเดียวกันจะมารวมกันเป็นกลุ่มใหม่เพื่อ อภิปรายเนื้อหานั้น ๆ ร่วมกันจนกระจ่างแล้วจึงกลับเข้ากลุ่มของตน เพื่อสอนเนื้อหาที่ตนเองอ่านและ อภิปรายร่วมกับสมาชิกจากกลุ่มอื่นให้สมาชิกในกลุ่มของตน จากนั้นกลุ่มท าแบบทดสอบย่อยที่ ครอบคลุมทุกประเด็น โดยผลคะแนนจะนับเหมือนวิธีSTAD 4. TAI ห รื อ Team Accelerated Instruction (Slavin, Leavey, and Madden, 1986) วิธีนี้คล้ายคลึงกับ STAD และTGT ที่แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ ละ 4 คน คละความสามารถ ในการเรียนรู้และให้รางวัลทีมที่ได้คะแนนสูงสุด แต่วิธีนี้เพิ่มการเรียนรู้เป็นรายบุคคลผสมผสานกับ การเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม เมื่อจัดนักเรียนเข้ากลุ่มแล้ว สมาชิกกลุ่มต้องเรียนรู้เป็นรายบุคคลเพื่อท า แบบทดสอบแรกก่อนเรียน เพื่อทราบระดับความสามารถที่มีอยู่แล้วก่อนเรียน แล้วให้สมาชิกทีมตรวจ ผลการท าแบบทดสอบของเพื่อนร่วมกลุ่มตามเฉลย และช่วยให้เพื่อนร่วมกลุ่มเข้าใจข้อที่ท าผิด จากนั้นนักเรียนต้องท าแบบทดสอบบทเรียนสุดท้ายเป็นรายบุคคล โดยไม่มีเพื่อนร่วมกลุ่มช่วยเหลือ และมีเพื่อนเป็นผู้คิดผลคะแนน แต่ละสัปดาห์ครูจะนับจ านวนบทเรียนที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มท าเสร็จ และให้รางวัลกลุ่มที่มีผลคะแนนตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้โดยนับจากจ านวนคะแนนของแบบทดสอบสุดท้ายที่ สอบผ่าน รวมกับผลคะแนนพิเศษที่ได้จากการท าคะแนนการสอบเต็มหรือท าการบ้านได้ถูกทั้งหมด นักเรียนต้องรับผิดชอบการตรวจสอบสมาชิกแต่ละคน และต้องจัดการให้ทุกคนได้เรียนรู้จากสื่อ ทั้งหมดที่กลุ่มมีดังนั้น ครูจึงสามารถใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องเรียนสอนบทเรียนให้กับนักเรียนกลุ่มเล็ก ๆ ที่มาจากสมาชิกกลุ่มต่าง ๆ ที่มีระดับผลสัมฤทธิ์เท่ากันจากแต่ละกลุ่ม หรือกลุ่มที่ได้รับมอบหมายให้ ศึกษาประเด็นเดียวกันจากแต่ละกลุ่ม และสอนประเด็นนั้น ๆ ให้นักเรียนที่มารวมตัวกันเฉพาะกาล


28 ก่อนกลับเข้ากลุ่มของตน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนสมาชิก นักเรียนจะถูกกระตุ้นให้ช่วยเหลือ เพื่อนสมาชิกและส่งเสริมให้แต่ละคนเรียนรู้เต็มที่และท างานหนัก เพื่อผลส าเร็จของกลุ่ม นักเรียนแต่ ละคนจะมีความเชื่อมั่นในตนเองและน่าเชื่อถือเพราะคะแนนที่นับเป็นแต้มคือผลคะแนนการท า แบบทดสอบสุดท้ายของบทเรียนที่นักเรียนแต่ละคนต้องท าเป็นรายบุคคล โดยปราศจากความ ช่วยเหลือของเพื่อนสมาชิกกลุ่ม นักเรียนแต่ละคนมีโอกาสประสบความส าเร็จเท่าเทียมกัน เนื่องจาก แต้มที่ได้เป็นแต้มพัฒนาการของตนจากฐานความรู้เดิมที่ได้ท าไว้ในแบบทดสอบแรกก่อนเรียน วิธีนี้ เหมาะกับวิชาคณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษา เนื่องจากเป็นวิชาที่นักเรียนเรียนรู้เรื่องใหม่บน ฐานความรู้เดิม ถ้านักเรียนไม่เข้าใจเนื้อหาที่เป็นพื้นฐานของบทเรียนปัจจุบัน ก็จะเรียนบทเรียนนั้น ๆ ให้เข้าใจได้ยากหรือไม่สามารถจะเข้าใจได้เลย ดังนั้นนักเรียนที่มีระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จึง จ าเป็นต้องท าความเข้าใจเนื้อหาย่อย ๆ ที่เป็นพื้นฐานของบทเรียนก่อน แล้วจึงท าความเข้าใจบทเรียน ที่ก าลังเรียนได้ในขณะที่นักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงสามารถท าความเข้าใจเนื้อหาสาระที่ เรียนในปัจจุบันได้เลย ดังนั้นการที่วิธีนี้จัดให้นักเรียนแต่ละคนได้ท าแบบทดสอบแรกก่อนเรียน เพื่อให้ ทราบระดับความสามารถของตนเองที่มีในเรื่องที่ก าลังจะเรียนก่อนแล้วเรียนรู้รายบุคคลเพื่อท าการ ทดสอบย่อยก่อนแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนสมาชิก เพื่อท าแบบทดสอบสุดท้าย จึงนับเป็นการปู พื้นฐานให้นักเรียนที่เรียนอ่อนได้ไปพร้อม ๆ กับเสริมสร้างความสามารถให้นักเรียนที่เรียนดีและเป็น การเปิดโอกาสให้แต่ละคนเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองไปพร้อม ๆ กับช่วยเหลือเพื่อนในกลุ่ม 5. CIRC หรือ Cooperative Integrated Reading and Composition วิธีนี้เป็นวิธีการ สอนส าหรับวิชาการอ่านและการเขียนในระดับประถมศึกษาตอนปลายและมัธยมศึกษา ที่พัฒนาขึ้น โดย Madden, Slavin, และ Steven (1986) ครูใช้นวนิยายหรือบทอ่านในหนังสือเรียนเป็นสื่อในการ สอนนักเรียนจับคู่กับเพื่อนที่มีความสามารถในการอ่านต่างระดับกัน เพื่ออ่านหนังสือด้วยกัน โดยอ่าน ให้กันและกัน ฟัง และคาดเดาเรื่องล่วงหน้าว่าตัวละครจะแก้ปัญหาอย่างไร สรุปเรื่องที่อ่านและเขียน แสดงความคิดเห็นที่มีต่อเรื่องที่อ่าน ฝึกสะกดค า ตีความ และแปลความหมายค ายากด้วยกัน ในกรณี ที่ท างานเป็นกลุ่มมากกว่า 2 คน สมาชิกต้องท าความเข้าใจเรื่องที่อ่านร่วมกัน เพื่อฝึกวิเคราะห์แก่น ความคิดส าคัญและตีความเรื่องที่อ่าน จากนั้นฝึกเขียนในชั้นเรียนตามขั้นตอน ตั้งแต่การร่าง เขียน และตรวจแก้ไขงานเขียนให้กันและกัน และเตรียมนางานดังกล่าวไปน าเสนอในหนังสือรวมเล่มของ ห้อง นักเรียนได้รางวัลเป็นกลุ่มเมื่อมีผลงานการอ่านและเขียน ผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้แต่ละคนมีโอกาสเท่า เทียมกันในการประสบความส าเร็จ เพราะต่างได้อ่านบทอ่านที่เหมาะกับระดับการอ่านของตนเอง และต่างมีความเชื่อมั่นในตนเอง เนื่องจากได้ท าแบบทดสอบย่อยเป็นรายบุคคลและได้เขียนงานด้วย ตนเอง นอกจากนั้น ครูยังสามารถเลือกใช้กิจกรรมกลุ่มที่ Spencer Kagan พัฒนาขึ้นในการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือตามความเหมาะสมของขนาดห้องเรียน จ านวนนักเรียน และบริบทอื่น ๆ ดังนี้ 5.1 การต่อภาพ (Jigsaw) ครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ ละ 5 คน สมาชิกแต่ละคน ได้รับมอบหมายให้ศึกษาค้นคว้าประเด็นย่อยคนละประเด็น หรือได้อ่านบทอ่านประเด็นเดียวกันจาก สื่อที่แตกต่างกัน จากนั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเด็นที่ศึกษาค้นคว้าร่วมกัน โดยนักเรียนที่ได้รับ มอบหมายให้ศึกษาค้นคว้าประเด็นเดียวกันจากแต่ละกลุ่มสามารถรวมกลุ่มกันศึกษาค้นคว้าข้อมูล แล้วจึงกลับเข้ากลุ่มของตนเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่ศึกษาค้นคว้าให้เพื่อนสมาชิก หลังจากนั้นครูให้กลุ่มท า แบบทดสอบ เพื่อวัดผลการเรียนรู้


29 5.2 การคิดเดี่ยว-คิดคู่-ร่วมกันคิด (Think-Pair-Share) มี 3 ขั้นตอน คือ (1) นักเรียนคิดค าตอบที่ครูถามเงียบๆ เป็นรายบุคคล (2) นักเรียนจับคู่กันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และ (3) นักเรียนแต่ละคู่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับคู่อื่น ๆ ทีมอื่น ๆ หรือกับทั้งห้อง 5.3 การสัมภาษณ์สามขั้น (Three-Step Interview) (Kagan) สมาชิกแต่ละคนของ กลุ่มเลือกสมาชิกของกลุ่มอื่นมาเป็นคู่ของตน ขั้นแรกให้คนหนึ่งถามค าตอบของคู่ตนเอง ขั้นที่สองให้ เปลี่ยนกันถามขั้นสุดท้ายนักเรียนกลับเข้ากลุ่มและแลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งที่ได้จากคู่กับเพื่อนในกลุ่ม 5.4 การระดมสมองรอบวง (Round Robin Brainstorming) (Kagan) ครูแบ่ง นักเรียนเป็นกลุ่มๆ ละ 4-6 คน โดยมอบหมายให้คนหนึ่งเป็นผู้บันทึกการเรียนรู้ครูมีค าตอบให้เลือก หลายค าตอบ โดยให้สมาชิกทีมเลือกค าตอบที่คิดว่าถูกต้องภายในเวลาที่ก าหนด เมื่อหมดเวลาคิด สมาชิกกลุ่มแลกเปลี่ยนค าตอบของตนกับเพื่อนเป็นวงกลมแบบ round robin ผู้บันทึกการเรียนรู้จด บันทึกค าตอบของสมาชิกกลุ่ม สมาชิกคนถัดไปเริ่มบอกค าตอบของตนเอง และเวียนเรื่อย ๆ จนครบ ทุกคน หรือจนหมดเวลา 5.5 การทบทวนสามนาที (Three-minute review) ครูหยุดบรรยายหรือการ อภิปรายเมื่อใดก็ได้และให้เวลาสมาชิกกลุ่ม 3 นาทีเพื่อทบทวนสิ่งที่ครูบรรยาย และถามค าถามที่ไม่ เข้าใจ 5.6 การรวมหมายเลขสมาชิก (Numbered Heads Together) (Kagan) ครูแบ่ง นักเรียนออกเป็นกลุ่ม 4 คน และให้สมาชิกแต่ละคนมีหลายเลขของตนตั้งแต่ 1-4 แล้วให้กลุ่มช่วยกัน ตอบค าถามที่ครูให้ครูเลือกหมายเลขประจาตัวของสมาชิกกลุ่มให้ตอบค าถามดังกล่าว เช่น เมื่อครู เรียกหมายเลข 2 สมาชิกหมายเลข 2 ของทุกกลุ่มต้องเป็นผู้ตอบค าถามนั้น 5.7 การคิดเป็นกลุ่ม-คู่-เดี่ยว (Team -Pair -Solo) (Kagan) นักเรียนได้แก้ปัญหา เป็นกลุ่มก่อน จากนั้นจับคู่แล้วจึงเป็นรายบุคคล เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนได้จัดการกับปัญหาที่ยากกว่า ระดับความสามารถของตนเองให้ได้วิธีนี้มีพื้นฐานจากความคิดที่ว่า นักเรียนมักท างานได้ดีกว่าเมื่อมี ความช่วยเหลือ การให้นักเรียนได้คิดแก้ปัญหาเป็นกลุ่ม จากนั้นลดลงเป็นคู่ และท้ายสุดเป็นรายบุคคล จะช่วยให้นักเรียนเกิดความมั่นใจมากขึ้นว่าสามารถแก้ปัญหายากๆที่ไม่เคยแก้ได้ตามล าพังได้ด้วย ตนเอง 5.8 วงรอบคนเก่ง (Circle the Sage) (Kagan) ครูส ารวจนักเรียนในห้องก่อนว่ามี นักเรียนคนใดมีความรู้พิเศษจะแลกเปลี่ยนให้เพื่อนร่วมห้องได้เรียนรู้บ้าง เช่น ถามว่ามีใครท าการบ้าน ข้อที่ยากที่สุดได้หรือ มีใครเคยไปต่างประเทศบ้าง นักเรียนที่มีความรู้ต่างจากคนอื่น (คนเก่ง) จะถูก แยกออกจากเพื่อนๆ จากนั้นครูให้สมาชิกกลุ่มย้ายนั่งรอบ ๆ คนเก่ง โดยไม่ให้มีสมาชิกจากกลุ่ม เดียวกันมากกว่า 2 คนนั่งกับคนเก่งคนเดียวกันคนเก่งอธิบายสิ่งที่ตนรู้ให้เพื่อนฟัง เพื่อถามค าถาม และจดบันทึกสิ่งที่เรียนรู้จากคนเก่ง จากนั้นกลับเข้ากลุ่มตนเอง และเล่าสิ่งที่เรียนรู้จากคนเก่งในแต่ ละวง ในกรณีที่สมาชิกได้ข้อมูลที่แตกต่างกัน ต้องมีการอภิปรายและเปรียบเทียบข้อมูลที่บันทึกได้ใน กรณีที่ไม่สามารถหาข้อสรุปที่ตรงกันได้ให้กลุ่มยืนขึ้น เพื่อให้ทั้งชั้นเรียนร่วมกันหาข้อสรุป 5.9 การจับคู่คิด (Partners) (Kagan) ครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม 4 คน สมาชิก 2 คนของแต่ละกลุ่มย้ายไปนั่งแยกกันรวมกันที่มุมห้องด้านหนึ่ง สมาชิกอีก 2 คนได้รับมอบหมายให้ เรียนรู้เพื่อน าผลการเรียนรู้ไปสอนสมาชิกกลุ่มอื่นอีก 2 คน เพื่อนสมาชิกเรียนรู้ที่จะเรียนและสามารถ


30 ปรึกษาหารือกับสมาชิกของกลุ่มอื่นที่ใช้สื่อการเรียนรู้เดียวกันได้จากนั้นย้ายกลับเข้ากลุ่มของตนเพื่อ ถ่ายทอดผลการเรียนรู้ให้เพื่อนเท่ากับแต่ละกลุ่มต่างมีสมาชิก 2 คนเรียนรู้เรื่องเดียวกัน เมื่อกลับเข้า กลุ่มและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ทั้งกลุ่มจะได้เรียนรู้ 2 เรื่อง โดยมีเพื่อน เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และ ทดสอบ ความรู้จากนั้นกลุ่มทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้และอภิปรายแนวทางการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ร่วมกัน จากการศึกษาประเภทของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า ประเภทของการ เรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การเรียนรู้แบบร่วมมือมีเทคนิคมากมากมายหลายรูปแบบซึ่งแต่ละ รูปแบบจะมีวิธีด าเนินการที่ต่างกันตามวัตถุประสงค์เฉพาะ แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดต่างก็ใช้ หลักการเดียวกันคือหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ และมีวัตถุประสงค์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเนื้อหาสาระที่ศึกษามามากที่สุด โดยอาศัยการร่วมมือกันการ ช่วยเหลือกัน และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนในกลุ่มและผู้เรียนระหว่างกลุ่ม 4. องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ ถนอม ทีค า (2555 : 13-14) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไม่ได้มีความหมาย เพียงว่า เป็นการจัดผู้เรียนให้เข้ากลุ่มแล้วให้งาน และบอกให้ผู้เรียนช่วยกันท างานเท่านั้น การเรียนรู้ จะเป็นการร่วมมือได้จะต้องมีองค์ประกอบส าคัญ 5 ประการ คือ 4.1 การพึ่งพาและเกื้อกูลกัน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ จะต้องมีความ ตระหนักว่าสมาชิกทุกคนมีความส าคัญ และความส าเร็จในกลุ่มขึ้นอยู่กับสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ใน ขณะเดียวกันสมาชิกแต่ละคนจะประสบความส าเร็จได้ก็ต่อเมื่อกลุ่มประสบความส าเร็จ ความส าเร็จ ของ กลุ่มขึ้นอยู่กับกันและกัน ดั้งนั้นแต่ละคนต้องรับผิดชอบในบทบาทและหน้าที่ของตน และใน ขณะเดียวกันก็ต้องช่วยเหลือสมาชิกคนอื่นด้วย เพื่อประโยชน์ร่วมกัน การจัดกลุ่มเพื่อช่วยให้ผู้เรียน ก าหนดเป้าหมายในการท างาน การเรียนรู้ร่วมกัน การให้รางวัลตามผลงานของกลุ่ม การให้งานหรือ วัสดุอุปกรณ์ที่ทุกคนต้องท าหรือใช้ร่วมกัน การมอบหมายบทบาทหน้าที่ในการท างานร่วมกันในแต่ ละคน 4.2 การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด การที่สมาชิกในกลุ่มมีการพึ่งพาช่วยเหลือ เกื้อกูล กัน เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกันในทางที่จะช่วยให้กลุ่มบรรลุ เป้าหมาย สมาชิกจะห่วงใยและไว้วางใจ ส่งเสริม ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในการท างานต่างๆร่วมกัน ส่งผลให้ เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน 4.3 ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ของสมาชิกแต่ละคน สมาชิกในกลุ่มการเรียนรู้ทุก คนจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบและพยายามท างานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ ไม่ให้ใคร ได้รับผลประโยชน์โดยไม่ท าหน้าที่ของตน ดังนั้นกลุ่มจึงจ าเป็นต้องมีระบบการตรวจสอบผลงาน ทั้งที่ เป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม วิธีการที่จะสามารถส่งเสริมให้ทุกคนได้ท าหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่นั้นมี หลายวิธี เช่น การจัดกลุ่มให้เล็กลงเพื่อจะได้มีการเอาใจใส่ซึ่งกันและกันอย่างทั่วถึง การทดสอบเป็น รายบุคคล การสุ่มเรียกชื่อให้รายงานครูสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนในกลุ่ม การจัดให้กลุ่มมีผู้ สังเกตการณ์ การให้ผู้เรียนสอนกันและกัน เป็นต้น


31 4.4 การใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างบุคคล และทักษะการท างานกลุ่มย่อย การ เรียนรู้แบบร่วมมือจะประสบผลส าเร็จได้ต้องอาศัยทักษะที่ส าคัญหลายประการ เช่น ทักษะทาง สังคม ทักษะการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทักษะการท างานกลุ่ม ทักษะการสื่อสาร ทักษะการแก้ปัญหา ขัดแย้ง รวมทั้งการเคารพ ยอมรับและไว้วางใจกันและกัน ซึ่งครูควรสอนและฝึกให้แก่ผู้เรียนเพื่อช่วยให้ ผู้เรียนด าเนินงานไปได้ดี 4.5 การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ จะต้องมี การวิเคราะห์กระบวนการท างานของกลุ่ม เพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับตัวในการท างานได้ ดีขึ้น การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มครอบคลุมถึงการวิเคราะห์เกี่ยวกับการท างานของกลุ่ม พฤติกรรม ของสมาชิกกลุ่ม และผลงานของกลุ่ม การวิเคราะห์การเรียนรู้อาจท าโดยครูหรือผู้เรียน หรือ ทั้งสอง ฝ่ายก็ได้ การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มนี้เป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ส่งเสริมให้กลุ่มตั้งใจท างานเพราะรู้ว่า จะ ได้รับข้อมูลป้อนกลับ จะช่วยฝึกทักษะการรู้คิด คือ สามารถที่จะประเมินการคิดและพฤติกรรมของ ตนที่ได้ท าไป จากการศึกษาองค์ประกอบของการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ หมายถึง การพึ่งพาและเกื้อกูลกัน การปรึกษาหารือกัน อย่างใกล้ชิด ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ของสมาชิกแต่ละคน การใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์กัน ระหว่างบุคคล การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม ในการจัดกิจกรรมแบบกลุ่มร่วมมือคือ การมี ปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนในกลุ่ม การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันของสมาชิกในกลุ่ม ความ รับผิดชอบ ของสมาชิกในกลุ่ม รวมไปถึงทักษะต่างๆของผู้เรียนที่จะให้เกิดการท างานที่ดีระหว่างกัน กับสมาชิกใน กลุ่ม ซึ่งสิ่งส าคัญที่จะท าให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด าเนินได้อย่างมี ประสิทธิภาพนั้น ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและต่อเพื่อสมาชิกในกลุ่มของผู้เรียน 5. ขั้นตอนจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Co-operative learning) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือประกอบด้วยองค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กัน โดยมี เป้าหมายคือ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กลุ่มร่วมกันตั้งไว้ ดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวจึง ต้องมีขั้นตอนหรือ กระบวนต่างๆ เป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่ง บุตรญรัตน์ วันโส (2559, หน้า 55) กล่าวถึง ขั้น ตอนการจดักิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ดังนี้ 5.1 ขั้นเตรียมการในขั้นตอนนี้เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเรียน เริ่มด้วยผู้สอนชี้แจง จุดประสงค์ของบทเรียน หลังจากนั้นผู้สอนจัดกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย โดยคละผู้เรียนในกลุ่มให้ แตกต่างกัน ในด้านสติปัญญาความถนัดและภูมิหลัง แบ่งจ านวนสมาชิกในกลุ่มละประมาณไม่เกิน 6 คน หลังจากนั้นผู้สอนแนะน าวิธีการท างานกลุ่มและบทบาทของสมาชิกในกลุ่ม 5.2 ขั้นสอน ในขั้นตอนนี้ผู้สอนเริ่มน าเข้าสู่บทเรียน โดยการสอนหรือบรรยายเนื้อหา ตามบทเรียน หลังจากนั้น มอบหมายงานให้แต่ละกลุ่ม ซึ่งผู้สอนจะอธิบายถึงปัญหาหรืองานที่ต้องการ ให้กลุ่มแก้ไขหรือ คิดวิเคราะห์ หาค าตอบ พร้อมแนะน าแหล่งข้อมูลค้นคว้าหรือใหข้อมูลพื้นฐาน ส าหรับการคิดวิเคราะห์อย่างชัดเจน 5.3 ขั้นท ากิจกรรมกลุ่ม เป็นขั้นตอนที่สมาชิกภายในกลุ่มจะได้ฝึกทักษะการเรียนรู้ ร่วมกัน การท างานเป็นทีมการร่วมกันรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ร่วมกันแสดงความคิดเห็น


32 ร่วมกัน ท างานตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับโดยผู้สอนอาจใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมแรงร่วมใจที่ น่าสนใจและเหมาะสมกับ The Journal of Boromarjonani College of Nursing Suphanburi Vol.2 No. 1 January –June2019 10 ผู้เรียน เช่น การเล่าเรื่องรอบวง มุมสนทนาคู่ตรวจสอบ คู่คิด ฯลฯ ผู้สอนสังเกตการณ์ท างานของกลุ่ม เป็นผู้อ านวยความสะดวกให้ความกระจ่างในกรณีที่ผู้เรียน สงสัยหรือต้องการความช่วยเหลือ 5.4 ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ ขั้นตอนนี้สมาชิกภายในกลุ่มจะรายงานผลการด า เนินงานกลุ่ม โดยผู้สอนและเพื่อนกลุ่มอื่นสามารถซักถามหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อให้เกิดความ ชัดเจนมากขึ้นเน้นการตรวจผลงานกลุ่มและผลงานรายบุคคลในบางกรณีผู้เรียนอาจต้องซ่อมเสริมสิ่ง ที่ยังต้องปรับปรุงแล้วจึง ท าการทดสอบผลงานอีกครั้ง 5.5 ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการท างานกลุ่ม ขั้นนี้ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันสรุป บทเรียน ผู้สอนช่วยเสริมเพิ่มเติมความรู้ที่จ าเป็นหรือไม่ครอบคลุม เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายการ เรียนที่ก าหนดไว้และช่วยกันประเมินผลการท างานกลุ่มทั้งส่วนที่เด่นและส่วนที่ควรปรับปรุงแก้ไข ให้ การเสริมแรงโดยการ ชมเชย หรือมอบรางวัลกลุ่มที่ท าคะแนนได้ตามเกณฑ์และการให้ก าลังใจกับ สมาชิกในกลุ่มที่ยังไม่สามารถท างานผ่านเกณฑ์ได้ จากการศึกษาขั้นตอนจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า ขั้นตอนจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง ขั้นตอนทั้งหมดของการจัดกิจกรรมในการเรียนรู้แบบร่วมมือ ที่ส่งเสริม ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และฝึกทักษะกระบวนการกลุ่มตามบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบในการ ท างานกลุ่ม รวมถึงได้ฝึกทักษะการคิด การค้นคว้า การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ผู้เรียน จะได้ประสบการณ์ในด้านการอยู่ร่วมกับผู้อื่นทการมีน้ าใจช่วยเหลือผู้อื่น การเสียสละ การยอมรับกัน และกัน การไว้วางใจซึ่งกันและกัน การเป็นผู้น า และการท างานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งภายใน ขั้นตอนต่างๆ นี้ยังประกอบไปด้วยกลุ่มการเรียนที่แตกต่างกันทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อให้ผู้สอนสามารถวางแผนการเรียนรู้ที่น าไปสู่การเรียนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 6. ประโยชน์ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ พรพนา นวลจ ารัส (2556 : 16) การเรียนรู้แบบร่วมมือได้รับความยินยอมอย่าง แพร่หลายมาก นับตั้งแต่รายงานวิจัยเรื่องแรกได้ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1898 ปัจจุบันมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดย เป็นวิจัยเชิงทดลองประมาณ 600 เรื่อง และงานวิจัยเชิงหาความสัมพันธ์ประมาณ 100 เรื่อง ผลงานวิจัยทั้งหลายดังกล่าวพบว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือส่งผลดีต่อผู้เรียนตรงกันในด้านต่างๆ ดังนี้ (Johson, Johson and Holubec. 1994 : 13-14) 6.1 มีความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายมากขึ้น มีความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมาย มากขึ้น การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือช่วยให้ผู้เรียนมีความพยายามที่จะเรียนให้บรรลุเป้าหมาย เป็นผล ให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และมีผลงานมากขึ้น การเรียนรู้มีความคงทนมากขึ้น มีแรงจูงใจ ภายใน และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ มีการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ให้เหตุผลและคิดอย่างมี วิจารณญาณมากขึ้น


33 6.2 มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนดีขึ้น การเรียนรู้แบบร่วมมือช่วยให้ผู้เรียนมีน้ าใจ นักกีฬามากขึ้น ใส่ใจในผู้อื่นมากขึ้น เห็นคุณค่าของความแตกต่าง ความหลากหลาย การประสาน สัมพันธ์และการรวมกลุ่ม 6.3 มีสุขภาพจิตดีขึ้น การเรียนรู้แบบร่วมมือช่วยให้ผู้เรียนมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น มี ความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตนเองและมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น จากการศึกษาประโยชน์ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า ประโยชน์ของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือที่มี ต่อผู้เรียนนั้นมีทั้งในด้านของการมีส่วนร่วมในการเรียน การมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของผู้เรียน ท า ให้ผู้เรียนรู้สึกได้ว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ท าให้ผู้เรียนมีทักษะในการด ารงชีวิตในสังคมมาก ขึ้น การการแบบร่วมมือให้ห้องเรียนเป็นการฝึกให้ผู้เรียนมีความ รับผิดชอบในหน้าที่ที่ตนได้รับ มอบหมายรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค (Jigsaw) ผู้วิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค (Jigsaw) ประกอบด้วย ความหมายการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค (Jigsaw) ขั้นตอนการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค จิ๊กซอว์โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ความหมายการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค (Jigsaw) เรวดี ศรีสุข (2562 : 6) กล่าววา่ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือคือการจัดการเรียนรู้โดย จัดผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อยที่มีความสามารถแตกต่างกัน และใช้กระบวนการท างานเป็นทีมเพื่อ ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากความรู้ที่ได้รับมอบหมายตามหัวข้อที่ก าหนดให้พร้อมน าความรู้มาสรุป สาระการเรียนรู้และน าไปสู่เป้าหมายที่ก าหนดไว้ร่วมกันโดยมีผู้สอนเป็นผู้ให้ค าปรึกษา ให้ความ ช่วยเหลือ จัดหาและชี้แนะแหล่งค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งมีรูปแบบการจดัการเรียนรู้หลากหลาย รูปแบบให้ผู้สอนเลือกใช้ตามความเหมาะสมของเนื้อหา สุรัชวดี สุภาพ (2562 : 31) กล่าวว่า การเรียนแบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์(Jigsaw I Technique) เป็นเทคนิคดั้งเดิมที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยอรอนสัน (Aronson) ซึ่งเป็นการจัดกลุ่มให้นักเรียน ได้เรียนรู้และท างานร่วมกัน 4 – 5 คน ภายในกลุ่มมีการคละความสามารถและเพศ ผู้สอน จะท าการ แบ่งบทเรียนออกเป็นหัวข้อย่อย ๆ ให้พอดีกับจ านวนสมาชิกในกลุ่มของนักเรียน โดยสมาชิกในกลุ่ม แต่ละคนจะได้รับหัวข้อที่แตกต่างกัน จากนั้นสมาชิกแต่ละทีมที่ได้รับหัวข้อ เดียวกันจะท าการ รวมกลุ่มกัน เพื่ออภิปรายในหัวข้อ ดังกล่าวหลังจากนั้น สมาชิกจะแยกย้ายกลับกลุ่มหลักของตน แล้ว ผลัดกันสอนสมาชิกในกลุ่มของตนตามหัวข้อที่แต่ละคนรับผิดชอบ กิจกรรมจะจบลงด้ยการที่นักเรียน แต่ละคนจะท าแบบทดสอบ ศศิธร เวียงวะลัย (2556: 134) ได้กล่าวถึงการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊ก ซอว์ว่า เป็นการจัดการเรียนรู้แบบวิธีการติดต่อภาพความคิด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียน ได้มีส่วน


34 ช่วยเหลือกันและพึ่งพากันในกลุ่ม มีการแบ่งสมาชิกเป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มละประมาณ 3-6คน แต่ละกลุ่ม จัดผู้เรียนที่มีความสามารถคละกันทั้งเก่ง ปานกลาง และอ่อน เรียกว่ากลุ่มบ้าน (Home Group) สมาชิกของแต่ละกลุ่มแยกไปศึกษาหัวข้อที่ได้รับมอบหมายให้อ่านในกลุ่มผู้มีประสบการณ์(Expert Group) จนเกิดความเข้าใจแล้วน าความรู้ไปอธิบายให้เพื่อนในกลุ่มบ้านฟัง เป็นการเรียนที่ส่งเสริม ความร่วมมือและถ่ายทอดความรู้ระหว่างเพื่อนในกลุ่ม จากการศึกษาความหมายการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค (Jigsaw) ผู้วิจัยจึงสรุป ได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค (Jigsaw) หมายถึง การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิกซอว์ เป็นการจัดการเรียนเป็นกลุ่มเล็กประมาณ 3-6 คน จัดผู้เรียนที่มีความสามารถคละกันจัดเป็น 2 กลุ่ม เรียกว่ากลุ่มบ้าน (Home group) และกลุ่มผู้มีประสบการณ์ (Expett group) สมาชิกของแต่ละกลุ่ม ศึกษาหัวข้อที่ได้รับมอบหมายในกลุ่มผู้มีประสบการณ์แล้วน าความรู้ไปอธิบายให้เพื่อในกลุ่มบ้านฟัง เป็นการเรียนที่ส่งเสริมความร่วมมือและถ่ายทอดความรู้ระหว่างเพื่อนในกลุ่มการประเมินผลรวม คะแนนเป็นของกลุ่มครูอาจเสริมแรงด้วยรางวัดหรือประกาศชมเชย 2. ขั้นตอนการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ รัชนี ทาเหล็ก (2556: 28) กล่าวว่ากิจกรรมการเรียนการสอนรูปแบบจิกซอว์(Jigsaw) มี5 ขั้นตอนได้แก่ขั้นที่ 1 การจัดกลุ่มผู้เรียนเป็นการจัดนักศึกษาเข้ากลุ่มบ้าน (Home Group) โดย คละความสามารถของผู้เรียน (เก่งกลางอ่อน) ขั้นที่ 2 การมอบหมายงานคือผู้สอนแบ่งเนื้อหาให้ สมาชิกแต่ละคนรับผิดชอบเนื้อหาหัวข้อย่อยไปศึกษาค้นคว้าขั้นที่ 3 การศึกษาค้นคว้าคือสมาชิกใน กลุ่มบ้านแยกย้ายไปรวมกับสมาชิกกลุ่มอื่นที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาหัวข้อเดียวกันมารวมกันเป็น กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert group) เพื่อศึกษาหาความรู้จากสื่อใบความรู้และเตรียมการถ่ายทอด ความรู้ต่อสมาชิกกลุ่มบ้านขั้นที่ 4 การถ่ายทอดความรู้คือการที่สมาชิกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลับไปยังกลุ่ม บ้านของตนแล้วผลัดกันถ่ายทอดความรู้อภิปรายและซักถามและขั้นที่ 5 ทดสอบความรู้คือทุกคนท า แบบทดสอบให้คะแนนรายบุคคล แล้วน าคะแนนทุกคนในกลุ่มบ้านมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่มกลุ่มที่ ได้คะแนนสูงสุดได้รับรางวัล ชัยวัฒน์สุทธิรัตน์ (2561: 190) การเรียนรู้แบบจิ๊กซอว์มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีการ เรียนรู้ทางสังคม ที่เน้นให้ผู้เรียนได้ท างาน ร่วมกันเป็นกลุ่ม เหมือนกับการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งการ ท างานแบบร่วมมือจะสร้างสัมพันธภาพอันดีงามต่อกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกันและการเรียนรู้แบบต่อ ภาพนี้ยังมีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา เน้นให้ผู้เรียนได้ช่วยเหลือกัน ร่วมกันคิดได้ ลงมือกระท าค้นหาความรู้ด้วยตนเองจนเกิดความรู้ ความเข้าใจที่ชัดเจนและการสร้างสรรค์ผลงาน เป็นความส าเร็จของกลุ่ม ทิศนา แขมมณี (2564: 266)การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ มีขั้นตอนดังนี้ ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 ก าหนดขนาดของกลุ่มโดย จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มบ้าน ขั้นตอนที่ 2 มอบหมายงาน โดยให้ผู้เรียนแต่ละคนรับผิดชอบเนื้อหาไปศึกษาค้นคว้า ขั้นตอนที่ 3 ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ โดยผู้เรียนที่รับมอบหมายให้ศึกษาหัวข้อเดียวกัน ของในแต่ละกลุ่มบ้านมารวมเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ


35 ขั้นตอนที่ 4 การถ่ายทอดความรู้ หลังจากศึกษาหาความรู้ร่วมกับสมาชิกกลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญ แล้วสมาชิกแต่ละคนผลัดกันถ่ายทอด ความรู้จนสมาชิกทุกคนในกลุ่มเข้าใจ ขั้นตอนที่ 5 การทดสอบความรู้และมอบรางวัล ผู้สอนกับผู้เรียนร่วมกันประเมินผล การ เรียนรู้ของสมาชิกแต่ละกลุ่มตามแบบประเมินที่เตรียมไว้ กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดได้รับรางวัลของเรามา รวมกัน(หรือหา ค่าเฉลี่ย) เป็นคะแนนกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดได้รับรางวัล จากการศึกษาขั้นตอนการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า ขั้นตอนการเรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ หมายถึง ร่วมกันคิดได้ลงมือกระท าค้นหาความรู้ด้วย ตนเองจนเกิดความรู้ ความเข้าใจที่ชัดเจนและการสร้างสรรค์ผลงานเป็นความส าเร็จของกลุ่ม โดย มี ขั้นตอน5ขั้นตอน ก าหนดขนาดของกลุ่ม มอบหมายงาน ศึกษาค้นคว้าหาความรู้การถ่ายทอดความรู้ ขั้นตอนที่ และการทดสอบความรู้และมอบรางวัล แผนการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ ความส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ขั้นตอนการเขียนแผนการ จัดการเรียนรู้องค์ประกอบที่ส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ ศศิธร เวียงวะลัย (2556 : 51) ได้สรุปความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า แผนการ จัดการเรียนรู้หมายถึง แผนในการจัดการเรียนการสอนที่ครูหรือผู้สอนเป็นผู้จัดท าขึ้นภายใต้ กรอบเนื้อหา สาระที่ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยก าหนดดประสงค์วิธีการด าเนินการ หรือกิจกรรมให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ สื่อการเรียนรู้ และวิธีวัดผลประเมินผลที่สอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ จรัสศรี พัวจินดาเนตร (2560 : 156) ได้สรุปความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า แผนการ จัดการเรียนรู้หรือแผนการสอนหมายถึง เอกสารประกอบหลักสูตรชนิดหนึ่งที่ครูใช้เป็นคู่มือ ส าหรับจัด กิจกรรมการเรียนรู้ การใช้สื่ออุปกรณ์การเรียนรู้และการวัดจุกประสงค์การเรียนรู้ของ นักเรียนในแต่ละบท เพื่อให้บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร วัชรพล วิบูลยศริน (2561 : 243) ได้สรุปความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า แผนการ จัดการเรียนรู้คือ แนวทางการจัดการเรียนรู้ของผู้สอนเพื่อด าเนินการส่งผ่านเนื้อหาไปยัง ผู้เรียนผ่าน กิจกรรมและสื่อการเรียนการสอน ประกอบด้วยการก าหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ (สิ่งที่ผู้เรียนได้รับ) วิธีการบรรลุหรือไปยังเป้าหมาย (ขั้นตอน กระบวนการ) และวิธีการวัดคุณภาพของ การบรรลุเป้าหมาย (แบบทดสอบ ใบงาน การบ้าน และอื่น ๆ) จากการศึกษาแผนการจัดการเรียนรู้ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้หมายถึง แผนหรือแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่จัดท าเป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีการล าดับขั้นตอนของ กิจกรรม มีการจัดเรียมสื่ออุปกรณ์ การประเมินผลการเรียนรู้ตรงตามวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมาย ของหลักสูตรที่ก าหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ


36 2. ความส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ การวางแผนการจัดการเรียนรู้มีส่วนส าคัญที่ท าให้การจัดการเรียนรู้ประสบความส าเร็จ หรือ ล้มเหลวนั้น จ าเป็นต้องศึกษาวิเคราะห์และออกแบบหลายประการ จากการศึกษารวบรวมข้อมูล ทัศนะของนักวิชาการได้อธิบายความส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ดังนี้ เวียงวะลัย. 2556 : 51) ได้อธิบายไว้ว่า ผลดีของการจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้มีดังนี้ 1. ท าให้เกิดการวางแผนวิธีการจัดการเรียนรู้ วิธีเรียนที่มีความหมายมากขึ้น เพราะเป็น การ จัดท าอย่างมีหลักการที่ถูกต้อง 2. ช่วยให้ครูมีสื่อการจัดการเรียนรู้ที่ท าด้วยตนเอง ท าให้เกิดคามสะดวกในการจัดการ เรียนรู้ท าให้การจัดการเรียนรู้ครบถ้วนตรงตามหลักสูตรและจัดการเรียนรู้ได้ทันเวลา 3. เป็นผลงานทางวิชาการที่สามารถเผยแพร่เป็นตัวอย่างได้ 4. ช่วยอ านวยความสะดวกแก่ครูผู้จัดการเรียนรู้แทน ในกรณีที่ผู้จัดการเรียนรู้ไม่สามารถ จัดการเรียนรู้ได้เอง ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย (2558 : 347-348) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มี รายละเอียดส าคัญ ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงการเป็นครูมืออาชีพ มีการเตรียม ล่วงหน้า แผนการจัดการเรียนรู้จะสะท้อนให้เห็นถึงการใช้เทคนิคการสอน สื่อนวัตกรรม และจิตวิทยา การ เรียนรู้มาผสมผสานกันหรือประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของนักเรียนที่ตนเองสอนอยู่ 2. แผนการจัดการเรียนรู้ช่วยส่งเสริมให้ผู้สอนได้ศึกษาค้นคว้า หาความรู้เกี่ยวกับ หลักสูตร เทคนิคการสอน สื่อนวัตกรรม และวิธีการวัดและประเมินผล 3. แผนการจัดการเรียนรู้ท าให้ครูผู้สอนและครูที่จะปฏิบัติการสอนแทน สามารถ ปฏิบัติการ สอนแทนได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ 4. แผนการจัดการเรียนรู้ที่เป็นหลักฐานที่แสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอน การวัดและ ประเมินผลที่จะน าไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ในครั้งต่อไป 5. แผนการจัดการเรียนรู้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเชียวชาญในวิชาชีพครู ซึ่งสามารถ น าไปเสนอเป็นผลงานทางวิชาการ เพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะหรือต าแหน่งได้ จากการศึกษาความส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า ความส าคัญของ แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การวางแผนการจัดการเรียนรู้มีความส าคัญต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน เป็นอย่างมาก คือ ท าให้ผู้สอนสอนด้วยความมั่นใจ ท าให้เป็นการสอนที่มีคุณค่าคุ้มกับ เวลาที่ผ่านไป ท าให้เป็นการสอนที่ตรงตามหลักสูตร ท าให้การสอนบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ ท า ให้ผู้สอนมีเอกสารเตือนความจ า และท าให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อผู้สอนและต่อวิชาที่เรียน 3. ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีต้องสามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพสามารถพัฒนาผู้เรียนให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่พึงประสงค์บรรลุจุดประสงค์ที่ก าหนด ไว้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีควรมีลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส าคัญดังต่อไปนี้ (กุลิสรา จิตรชญา วณิช, 2562 : 187)


37 3.1 เป็นแนวทางที่ดีและชัดเจนให้ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้บรรลุ จุดประสงค์ 3.2 เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติหรือมีส่วนร่วมใน กิจกรรมการ เรียนรู้มากที่สุด ในลักษณะเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ โดย ผู้สอนท าหน้าที่ เป็นผู้คอยให้ค าแนะน า ส่งเสริมการเรียนรู้ให้บรรลุจุดประสงค์ที่ก าหนดไว้ 3.3 เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และ สติปัญญา 3.4 เป็นกิจกรรมที่จัดไว้อย่างเป็นระบบ มีจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการ เรียนรู้ สื่อ การเรียนรู้ และการวัดผลและประเมินผล ความเหมาะสมกับวัยและความสามารถของ ผู้เรียน 3.5 เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถน าความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการ เรียนรู้ไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวัน จากการศึกษาลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า ลักษณะของ แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีนั้นกิจกรรมการเรียนรู้ การวัดผลและ ประเมินผล ควรสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาสาระของรายวิชา อีกทั้งสื่อหรือนวัตกรรม การ เรียนรู้ แหล่งการเรียนรู้ควรสอดคล้องสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ 4. ขั้นตอนการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ควรเขียนเป็นขั้นตอนโดยน ามาตรฐานหักสูตร การศึกษา ขั้นพื้นฐานมาจัดการเรียนรู้ ดังนี้กุลิสรา จิตรชญาวณิช, (2562 : 188) 4.1 วิเคราะห์ค าอธิบายรายวิชา เพื่อก าหนดหน่วยการเรียนรู้และรายละเอียดย่อยของ เนื้อหาที่จะ น ามาท าเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละครั้ง 4.2 วิเคราะห์จุดประสงค์รายวิชาและมาตรฐานรายวิชา เพื่อน ามาสู่การเขียนจุดประสงค์ การ เรียนรู้โดยให้ครอบคลุมพฤติกรรมทั้งด้านความรู้ ทักษะ/กระบวนการ เจตคติและค่านิยม 4.3 วิเคราะห์สาระการเรียนรู้หรือเนื้อหา โดยเลือกและขยายสาระที่เรียนรู้ให้สอดคล้อง กับผู้เรียน ชุมชนท้องถิ่น และค านึงถึงประโยชน์ที่ผู้เรียนจะได้รับ 4.4 วิเคราะห์กิจกรรมการเรียนรู้ หรือกระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยเลือกรูปแบบการ จัดกิจกรรม การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับบทเรียน โดยกิจกรรมจะต้องมีความหลากหลายและเน้นผู้เรียน เป็นส าคัญ 4.5 วิเคราะห์กระบวนการวัดผลและประเมินผล โดยเลือกวิธีการวัดผลและประเมินผล ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และสาระการเรียนรู้ 4.6 วิเคราะห์สื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ โดยคัดเลือกสื่อการเรียนรู้และแหล่ง เรียนรู้ทังใน ชั้นเรียนละนอกชั้นเรียนให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสาระการเรียนรู้และกิจกรรม การเรียนรู้


38 จากการศึกษาขั้นตอนการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า ขั้นตอนการ เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง สรุปการวางแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นสิ่งที่ครูสร้างขึ้น ด้วย ความรู้สึกที่ดี ที่สะท้อนการเป็น นักคิด นักวางแผน เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร มีความยืดหยุ่น ทุก คนแปลความได้ตรงกันและมีการ น าไปใช้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง กระบวนการพัฒนาแผนการ จัดการเรียนรู้รายชั่วโมงซึ่งมีองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้และการเขียนองค์ประกอบต่าง ๆ ควรเขียนให้มีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน และผู้สอนสามารถน าไปสอนได้จริงเพื่อให้เกิดประโยชน์ 5. องค์ประกอบที่ส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ กุลิสรา จิตรชญาวณิช (2562 : 173-174) ได้สรุปถึงสิ่งส าคัญที่ควรมีแผนการจัดการ เรียนรู้โดยทั่วไปมีดังนี้ 5.1 ส่วนที่เป็นหัวแผนการจัดการเรียนรู้เป็นองค์ประกอบต่าง ๆ ที่อยู่บนส่วนหัวหรือ ส่วนบนของแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วยหัวข้อหรือองค์ประกอบดังนี้ 5.1.1 กลุ่มสาระการเรียนรู้หรือชื่อวิชาที่เรียน 5.1.2 ล าดับหน่วยการเรียนรู้และเรื่องที่สอน 5.1.3 ระดับชั้นที่สอน ปีการศึกษาที่สอน 5.1.4 จ านวนชั่วโมงที่สอนหรือจ านวนคาบเวลาที่สอน 5.2 ส่วนที่เป็นตัวแผนการจัดการเรียนรู้เป็นองค์ประกอบต่าง ๆ ที่อยู่ในส่วนของตัว แผนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด โดยมีองค์ประกอบที่ส าคัญดังนี้ 5.2.1 สาระส าคัญ 5.2.2 จุดประสงค์การเรียนรู้ 5.2.3 สาระการเรียนรู้ 5.2.4 กิจกรรมการเรียนรู้หรือกระบวนการจัดการเรียนรู้ 5.2.5 สื่อการเรียนรู้ 52.6 แหล่งการเรียนรู้ 5.2.7 การวัดผลและประเมินผล 5.2.8 บันทึกผลการจัดการเรียนรู้ หรือบันทึกหลังสอน ทั้งนี้องค์ประกอบของ แผนการจัดการเรียนรู้ในข้างต้นนั้น จะพบว่านักวิชาการแต่ละ ท่านหรือในสถานศึกษาแต่ละแห่งอาจ มีองค์ประกอบที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้สอนว่าจะเลือกใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบใด จากการศึกษาองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้หรือแผนการสอน ผู้วิจัยจึงสรุปได้ ว่า องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้หรือแผนการสอน หมายถึง เป็นการวางแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน ในแต่ละครั้งไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อน าไปใช้ในการ ปฏิบัติการสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยมีการก าหนดมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด จุดประสงค์ การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ และแหล่งการเรียนรู้ ตลอดจนการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับหลักสูตร แผนการจัดการ เรียนรู้มีความส าคัญอย่างยิ่งต่อการ ปฏิบัติการสอน เพราะเป็นการวางแนวทางการด าเนินงานการจัดการเรียนรู้ของผู้สอน


39 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้วิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประกอบด้วย ความหมายของผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement) เป็นความสามารถของผู้เรียนในด้านต่าง ๆ เกิดจากการได้รับประสบการณ์การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยครูผู้สอนต้องศึกษาแนวทางการวัดและ ประเมินผลรวมถึงการสร้างเครื่องมือวัดให้มีคุณภาพ มีนักวิชาการและนักการศึกษาได้ให้ความหมาย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ให้ค าจ ากัดความผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า คือ คุณลักษณะ รวมถึงความรู้ ความสามารถของบุคคล อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือ มวลประสบการณ์ ทั้งปวงที่บุคคลได้รับจากการเรียนการสอน ท าให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการตรวจสอบระดับ ความสามารถสมองของบุคคล ว่าเรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านใดมากน้อยเท่าไร จิดาภา ภุมรินทร์ (2559: 5) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ และความสามารถของบุคคล ในด้านความรู้ ความจ า ความเข้าใจการคิดวิเคราะห์ และการน าไปใช้ในการแก้ปัญหาทางการเรียน ซึ่งเป็นคุณลักษณะหรือ ความสามารถอันเกิดจากการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอน ซึ่งสามารถวัดได้ด้วยการทดสอบวัด ผลสมัฤทธิ์ทางการเรียน กันต์กนิษฐ์ พลพิพัฒน์ (2560: 45) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ความส าเร็จ สมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของ ผู้เรียน ซึ่ง เป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน จนผู้เรียนเกิดความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม Bloom (1956 อ้างถึงใน กามนิต บุตรดา, 2561) ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้จ าแนกพฤติกรรมการเรียนรู้ออกเป็น 3 แบบ คือ ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) และด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1.1 ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) พฤติกรรมด้านสมองเป็น พฤติกรรมเกี่ยวกับ สติปัญญา ความรู้ความคิด ความเฉลียวฉลาด ความสามารถในการคิดเรื่องราวต่าง ๆ อย่างมี ประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นความสามารถทางสติปัญญา พฤติกรรมทางพุทธิพิสัยแบ่งออกเป็น 6 ระดับ ดังนี้ 1.1.1 ความรู้ความจ า (Remembering) ความสามารถในการเก็บ รักษาความรู้ มวล ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เคยได้รับรู้และเก็บไว้ในสมองได้อย่างถูกต้องแม่นย า 1.1.2 ความเข้าใจ (Understanding) เป็นความสามารถในการจับ ใจความส าคัญ ของสื่อหรือเรื่องที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาในรูปแบบของการแปลความ ตีความ ขยายความ โดยใช้ภาษาของตนเองและยังคงความหมายเหมือนเดิมไว้


40 1.1.3 การน าความรู้ไปใช้ (Applying) เป็นขั้นที่นักเรียนสามารถน า ความรู้ไปใช้ใน การแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งในขั้นนี้นักเรียนจ าเป็นต้องมีความรู้ความ เข้าใจในเนื้อหาจึง จะสามารถน าไปใช้ได้ 1.1.4 การวิเคราะห์(Analyzing) เป็นความสามารถในการแยกแยะ เรื่องราวสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย และบอกได้ว่าเรื่องราวหรือสิ่งนั้น ๆ ประกอบด้วยอะไรบ้าง มีความส าคัญ อย่างไร อะไรคือเหตุและผล รวมทั้งสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ของส่วนที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่ง ความสามารถในการวิเคราะห์ของนักเรียนจะมีความแตกต่างกันไปแล้วแต่ความคิดของแต่ละบุคคล 1.1.5 การสังเคราะห์(Synthesis) เป็นความสามารถในการผสมผสาน ส่วนย่อยต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อเป็นสิ่งใหม่อีกรูปแบบหนึ่งที่มีคุณลักษณะโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงและ แปลกใหม่ แตกต่างไป และอาจจะเกิดการสร้างความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาใน รูปแบบหรือ แนวคิดใหม่1.6 การประเมินค่า (Evaluation) เป็นความสามารถในการตัดสิน หรือลงข้อสรุปเกี่ยวกับ คุณค่าของเนื้อหา และวิธีการต่าง ๆ ออกมาในรูปของคุณธรรมอย่างมีกฎเกณฑ์ ที่เหมาะสมซึ่งอาจ เป็นไปตามเนื้อหาสาระในเรื่องนั้น ๆ หรืออาจเป็นกฎเกณฑ์ที่ ยอมรับได้ 1.2 ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) เป็นพฤติกรรมด้านจิตใจ ค่านิยม ความรู้สึก ความเชื่อ ความสนใจและคุณธรรม พฤติกรรมด้านนี้อาจไม่เกิดขึ้นทันที ดังนั้นการจัดการ เรียนรู้ต้อง จัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและสอดแทรกสิ่งที่ดีงามให้มีความเหมาะสมกับนักเรียน เพราะสิ่ง เหล่านี้จะท าให้พฤติกรรมนักเรียนเปลี่ยนไปในแนวทางที่พึงประสงค์ได้ ซึ่งด้านจิตพิสัย ประกอบด้วย พฤติกรรม 5 ระดับ ดังนี้ 1.2.1 การรับรู้ (Receive) เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อปรากฏการณ์หรือ สิ่งเร้าอย่าง ใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการแปลความหมายของสิ่งเร้านั้นว่าคืออะไร แล้วจะ แสดง ออกมาในรูปแบบของความรู้สึกที่เกิดขึ้น 1.2.2 การตอบสนอง (Respond) เป็นการกระท าที่แสดงออกมาใน รูปแบบของ ความเต็มใจ ความยินยอมและความพอใจต่อสิ่งเร้านั้น ซึ่งเป็นการตอบสนองที่เกิดการ เลือกและ ต้องการแสดงออกมา 1.2.3 การเกิดค่านิยม (Value) เป็นการเลือกปฏิบัติในสิ่งที่เป็นที่ ยอมรับกันในสังคม การยอมรับและเห็นคุณค่าของสิ่งนั้น ๆ ปรือการปฏิบัติตามเรื่องใดเรื่องหนึ่งจน กลายเป็นความเชื่อ แล้วจึงเกิดทัศนคติที่ดีต่อสิ่งนั้น 1.2.4 การจัดระบบ (Organize) เป็นการสร้างแนวคิด การจัดระบบ ของค่านิยมที่ เกิดขึ้นโดยอาศัยความสัมพันธ์ถ้าเข้ากันได้ก็จะยึดต่อไป แต่ถ้าเกิดความขัดแย้งหรือไม่อาจที่จะ ยอมรับได้ ค่านิยมนั้นก็จะถูกยกเลิกไป และยอมรับค่านิยมใหม่ 1.2.5 บุคลิกภาพ (Characterize) เป็นการน าค่านิยมที่ยึดถือมาแสดง พฤติกรรมที่ เป็นนิสัยประจ าตัวของแต่ละบุคคลที่ให้พฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกต้องและดีงาม ซึ่งพฤติกรรม ด้านนี้จะมี ความเกี่ยวข้องกับความรู้สึกและจิตใจ โดยจะเริ่มจากการได้รับรู้จากสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งเร้า แล้วจึง เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบจนกลายเป็นความรู้สึกและพัฒนาไปเป็นความคิด อุดมคติที่เป็นสิ่งที่ ควบคุม ทิศทางของพฤติกรรมของแต่ละบุคคล


41 1.3. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นพฤติกรรมที่นักเรียน พยายามฝึก ตามแบบที่ตนสนใจ และพยายามท าซ้ าเพื่อที่จะท าให้เกิดทักษะตามแบบที่ตนสนใจให้ได้หรือสามารถ ปฏิบัติได้ตามข้อแนะน า 1.3.1 การรับรู้ (Imitation) เป็นการให้นักเรียนได้รับรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้องหรือ เป็นการเลือกหาตัวแบบการปฏิบัติตามที่นักเรียนเกิดความสนใจ 1.3.2 การกระท าตามแบบหรือเครื่องชี้แนะ (Manipulation) เป็น พฤติกรรมที่ นักเรียนพยายามฝึกตามแบบที่ตนสนใจ และพยายามท าซ้ าเพื่อที่จะท าให้เกิดทักษะตาม แบบที่ตน สนใจให้ได้หรือสามารถปฏิบัติงานได้ตามข้อแนะน า 1.3.3 การหาความถูกต้อง (Precision) พฤติกรรมที่สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องชี้แนะ เมื่อได้ปฏิบัติหรือกระท าซ้ า ๆ ก็จะค้นพบความถูกต้องในการ ปฏิบัติได้ ด้วยตนเอง 1.3.4 การกระท าอย่างต่อเนื่อง (Articulation) หลังจากการตัดสินใจ เลือกรูปแบบที่ เป็นของตัวเองก็จะเกิดการกระท าตามรูปแบบนั้นอย่างต่อเนื่องจนสามารถปฏิบัติสิ่งที่ ยุ่งยากซับซ้อน ได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง ซึ่งการที่นักเรียนจะเกิดทักษะนี้ได้จะต้องอาศัยการฝึกฝนและ ปฏิบัติอย่าง สม่ าเสมอ 1.3.5 การกระท าได้อย่างเป็นธรรมชาติ (Naturalization) เป็น พฤติกรรมที่ได้จาก การฝึกอย่างต่อเนื่องจนสามารถปฏิบัติได้อย่างคล่องแคล่ว ว่องไวได้อย่างอัตโนมัติและเป็นไปอย่าง ธรรมชาติซึ่งถือว่าเป็นความสามารถของการปฏิบัติในระดับสูง ผกาวัลย์ นามนัย (2562) ให้ความหมาย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ คุณลักษณะ และ ความสามารถของบุคลคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็นผลการวัดการเปลี่ยนแปลงและ ประสบการณ์การเรียนรู้ในเนื้อหารสาระที่เรียนมาแล้วว่าเกิดการเรียนรู้เท่าใด มีความสามารถชนิดใด โดยสามารวัดได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ในลักษณะต่าง ๆ และการวัดผลตามสภาพจริงหรือ ภาคปฏิบัติ เพื่อบอกคุณภาพการศึกษา เพื่อบอกถึงคุณภาพการศึกษา ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2564) ได้อธิบายความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement) หมายถึง คุณลักษณะรวมถึงความสามารถของผู้เรียนอันเป็นผลมาจากการ จัด กิจกรรมการเรียนรู้ จากประสบการณ์ของผู้เรียนที่ได้รับจากการเรียนรู้การปฏิบัติและฝึกฝนในด้าน ต่าง ๆ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถของสมองของผู้เรียนว่าเรียนแล้วรู้ อะไรบ้าง ทั้งในโรงเรียน ที่บ้าน และจากสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถจากการท าคะแนนสอบของ ผู้เรียนที่ได้จากกิจกรรมการเรียนรู้ การฝึก ปฏิบัติในชั้นเรียน ซึ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสามารถวัดได้จากการท าแบบทดสอบหรือเครื่องมือที่ ครูผู้สอนสร้างขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้าน ทักษะพิสัย และด้านจิตพิสัย โดยการใช้เครื่องมือ แบบทดสอบ เรียกว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการทราบว่า ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถอยู่ในระดับใด


Click to View FlipBook Version