42 2.การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดผลและประเมินผลเป็นส่วนหนึ่งของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และเป็นส่วน ส าคัญส าหรับครูผู้สอนที่จะแสวงหาแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ประสบผลส าเร็จ เพื่อให้ ผู้เรียนบรรลุตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ครูผู้สอนต้องทราบถึงความสามารถ ความสนใจ และ ข้อบกพร่องของผู้เรียน โดยอาศัยกระบวนการของการวัดผลและประเมินผลทางการศึกษา มี นักวิชาการและนักการศึกษาได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ นันท์นภัส นิยมทรัพย์(2560) ได้อธิบายถึง การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นการตรวจสอบผลการเรียนการสอน เพื่อจะได้ทราบภายหลังจากผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แล้วผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามจุดมุ่งหมายมากน้อยเพียงใด ผู้เรียนมีการเรียนรู้ เกิดขึ้นหรือไม่ การสอนของครูผู้สอนมีประสิทธิผลอย่างไร ซึ่งการวัดและประเมินผลหมายถึง การใช้ เครื่องมือหรือวิธีการ ได้แก่ แบบทดสอบ แบบฝึกหัด แบบวัด แบบประเมินการปฏิบัติแบบบันทึกการ สังเกต การแปลพฤติกรรมหรือความรู้ ทักษะและการปฏิบัติ รวมถึงเจตคติออกมาเป็นตัวเลขแล้วแปล ผลตัวเลขนั้นด้วยการตัดสินเป็นระดับต่าง ๆ เช่น ผ่าน ไม่ผ่าน ดีพอใช้ควรปรับปรุง มาก ปานกลาง น้อย ในทางการศึกษามีการวัดผลผู้เรียนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่แบ่งเป็นพุทธิพิสัยตามแนวทฤษฎี ของบลูม (Bloom) มี 6 ระดับ ได้แก่ ความรู้ความจ า ความเข้าใจ การน าไปใช้การวิเคราะห์การ ประเมินค่า และการสังเคราะห์ เพื่อด าเนินตามกระบวนการจนได้รับความส าเร็จ จากการศึกษาการวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า การวัด และประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น กระบวนการที่ใช้แบบทดสอบของ ครูผู้สอนเพื่อวัดความสามารถทางสมองของผู้เรียน การวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนประกอบไปด้วย จุดมุ่งหมายของการวัด เครื่องมือที่ใช้ในการวัด เช่น แบบทดสอบ แบบสอบถาม การสังเกต สัมภาษณ์มีการแปลผลและการน าผลไปใช้ เช่น คะแนนสอบ เพื่อจะได้ทราบภายหลังจากผ่านการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แล้วผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ไปตามจุดมุ่งหมายมากน้อยเพียงใด เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ครูผู้สอน ต้องทราบถึงความสามารถ ความสนใจ และ ข้อบกพร่องของผู้เรียน โดยอาศัยกระบวนการของการ วัดผลและประเมินผลทางการศึกษา 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบทดสอบที่ใช้ส าหรับวัดพฤติกรรมทาง สมองของผู้เรียนว่ามีความรู้ความสามารถในเรื่องที่เรียนหรือไม่ มีนักวิชาการและนักการศึกษาได้ อธิบายถึงความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ ชวลิต ชูก าแพง (2559) ได้อธิบายความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง การ เรียน หมายถึง ชุดของค าถาม (Items) ที่สร้างขึ้นเพื่อน าไปใช้กับผู้เรียนให้แสดงพฤติกรรมตอบสนอง ออกมา ซึ่งอาจอยู่ในรูปของการเขียนตอบ การพูด การปฏิบัติที่สามารถสังเกตได้ วัดให้เป็นปริมาณได้ โดยมุ่งเน้นวัดความสามารถด้านสมอง หรือพุทธิพิสัยเป็นหลัก
43 นันท์นภัส นิยมทรัพย์ (2560) ได้อธิบายความหมายของ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หมายถึง เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลการศึกษาที่มีหลายประเภท ที่ครูผู้สอนจะต้อง เลือกใช้ให้เหมาะสมกับจุดประสงค์การเรียนรู้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หรือเครื่องมือที่ใช้โดยทั่วไป มี 2 ประเภท ได้แก่ 1. แบบปรนัยหรือเลือกตอบ (Selected-response items) แบ่งเป็น ถูกผิด แบบจับคู่ และแบบหลายตัวเลือก 2. แบบอัตนัย (Constructed-response items) เป็นแบบที่วัดความคิดขั้นสูง แบ่ง ออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ เติมค า เรียงความหรือตอบสั้น จากการศึกษาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การวัดความสามารถทางสมอง หรือวัดสติปัญญาของผู้เรียนว่ามี ความสามารถมากน้อยเพียงใดหลังจากที่ได้รับประสบการณ์จากการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามวิชาที่ เรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนับว่าเป็นเครื่องมือที่มีความส าคัญมากที่จะท าให้ ครูผู้สอนทราบสิ่งเหล่านั้นได้ส าหรับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นแบบ ปรนัย จ านวน 4 ตัวเลือก สอดคล้องกับตัวชี้วัดและจุดประสงค์การ เรียนรู้ 4. ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบ่งออกได้หลายประเภทขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่จะใช้ ในการแบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์มีนักวิชาการและนักการศึกษาได้กล่าวถึงประเภท ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ดังนี้ ชวลิต ชูก าแพง (2559) ได้กล่าวถึงแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีหลาย ลักษณะทั้งนี้ขี้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้แบ่ง เช่น การแบ่งตามสมรรถภาพที่จะวัด มีด้วยกัน 3 ประเภท ได้แก่ 1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement test) 2. แบบทดสอบวัดความถนัด (Aptitude test) 3. แบบทดสอบบุคคล–สังคม (Personal – social test) นอกจากนี้ยังแบ่งตาม จุดมุ่งหมายในการสร้าง แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ 1. แบบอัตนัยหรือแบบความเรียง (Subjective test or essay type) 2. แบบปรนัยหรือแบบให้ตอบสั้น ๆ (Objective test or short answer) การน าเสนอแบบทดสอบจะจ าแนกตามวิธีหาคุณภาพเครื่องมือ มี2 ประเภท ดังนี้ 1. แบบทดสอบตามแนวอิงเกณฑ์ (Criterion referenced test) เป็นแบบทดสอบ ที่ สร้างขึ้นตามจุดประสงค์หรือผลการเรียนรู้ มีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์ทส าหรับใช้ตัดสิน 2. แบบทดสอบตามแนวอิงกลุ่ม (norm referenced test) เป็นแบบทดสอบที่ มุ่งหวัง ให้วัดครอบคลุมหลักสูตร หรือครอบคลุมตามนิยามของตัวแปรที่จะวัด ความสามารถในการ จ าแนก ผู้สอบออกเป็นกลุ่มเก่ง อ่อน เป็นหัวใจส าคัญของข้อสอบประเภทนี้ มนตรี วงษ์สะพาน (2563) ได้กล่าวถึงประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
44 1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement Test) แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ 1.1 แบบทดสอบที่ครูสร้างเอง (Teacher – Made) เป็นแบบทดสอบที่สร้างกัน โดยทั่วไป เมื่อต้องการใช้ก็สร้างขึ้นเมื่อใช้เสร็จแล้วก็เลิกใช้ ถ้าน าไปใช้อีกก็ต้องมีการดัดแปลงปรับปรุง และแก้ไข เพราะเป็นแบบทดสอบที่สร้างขึ้นใช้เฉพาะครั้ง อาจยังไม่มีการวิเคราะห์หา คุณภาพ แต่มี การตรวจสอบคุณภาพของข้อสอบแล้วเบื้องต้น 1.2 แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เป็นแบบทดสอบที่มีการ พัฒนา ด้วยการวิเคราะห์ทางสถิติมาแล้วหลายครั้ง จนมีคุณภาพสมบูรณ์ทั้งด้านความตรง ความเที่ยง ความ ยากง่าย อ านาจจ าแนก ความเป็นปรนัยและมีเกณฑ์ปกติ (Norm) ไว้เปรียบเทียบ 2. แบบทดสอบวัดความถนัด (Aptitude Test) เป็นแบบทดสอบเพื่อวัดความถนัด ที่ใช้ วัดสมรรถภาพทางสมองของคนว่า มีความรู้ ความสามารถมากน้อยเพียงใด แบบทดสอบประเภท นี้ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ 2.1 แบบทดสอบความถนัดทางการเรียน (Scholastic Aptitude) เป็น แบบทดสอบ ความถนัดที่วัดความสามารถทางวิชาการว่ามีความถนัดในวิชาอะไร ซึ่งจะแสดงถึง ความสามารถใน การเรียนต่อแขนงวิชานั้น และจะสามารถเรียนไปได้มากน้อยเพียงใด 2.2 แบบทดสอบความถนัดพิเศษ (Specific Aptitude Test) เป็นแบบทดสอบ ที่ใช้ วัดความสามารถพิเศษของแต่ละบุคคล เช่น ความถนัดทางดนตรี ทางการแพทย์ ทางศิลปะ เป็นต้น 3. แบบทดสอบบุคคล – สังคม (Personal – Social Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัด บุคลิกภาพและการปรับตัวกับสังคมของบุคคล 4. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนยังได้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 4.1. แบบทดสอบอัตนัย (Subjective Test) เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนที่มีลักษณะ ผู้เรียนต้องเขียนบรรยายตอบและมีสิทธิ์ที่จะเขียนตอบอย่างเสรีอาจจะมีค าตอบถูก หลาย ๆ ทาง ซึ่งแบบทดสอบอัตนัย (Subjective Test) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 4.1.1 ประเภทแบบไม่จ ากัดตอบ (Extended Response) เป็นแบบทดสอบ ทดสอบที่ผู้เรียนสามารถตอบได้อย่างอิสระและตอบได้หลากหลาย 4.1.2 ประเภทแบบจ ากัดตอบ (Restricted Response) เป็นแบบทดสอบที่ มี การก าหนดขอบเขตในการตอบหรือแบบเจาะจงค าตอบ 5. แบบทดสอบปรนัย (Objective Test) เป็นแบบทดสอบที่จะก าหนดค าถามให้ผู้เรียน และก าหนดให้ตอบสั้น ๆ หรือก าหนดค าตอบมาให้เลือก ซึ่งผู้เรียนจะต้องเลือกตอบตามนั้น ซึ่ง แบบทดสอบปรนัย (Objective Test) แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 5.1 ประเภทข้อสอบแบบถูก-ผิด (True – False Item) เป็นแบบทดสอบที่ ก าหนด ข้อความมาให้และให้ตอบว่า ถูก หรือ ผิด ใช่ หรือ ไม่ใช่ จริง หรือ ไม่จริง อย่างใดอย่างหนึ่ง 5.2 ประเภทข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice) เป็นแบบทดสอบทั่วไป ชนิดเลือกตอบจะมีข้อค าถาม ซึ่งเขียนเป็นประโยคสมบูรณ์และมีตัวเลือกหลายรายการที่ก าหนดไว้ให้ เลือกตอบ โดยตัวเลือกที่ก าหนดให้ประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นค าตอบถูก
45 คณาจารย์ภาควิชาวิจัยและพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม (2564) ได้อธิบายประเภทของแบบทดสอบที่แบ่งโดยใช้เกณฑ์ดังนี้ 1. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ วัด สมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ที่ผู้เรียนได้รับการเรียนรู้มาว่ามีอยู่เท่าใด แบบทดสอบประเภทนี้แบ่ง ออกเป็น 3 ชนิด คือ 1.1 แบบทดสอบที่ครูผู้สอนส ร้างขึ้นเอง (Teacher–Made Test) หม ายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนเฉพาะกลุ่ม เป็นแบบทดสอบที่ใช้กันทั่ว ๆ ไป ในโรงเรียนและสถาบันการศึกษา 1.2 แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่ง วัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนทั่ว ๆ ไป แบบทดสอบชนิดนี้ต้องผ่านการวิเคราะห์แล้วว่ามี คุณภาพดีได้มาตรฐาน คือ มีมาตรฐานในการสร้าง มีมาตรฐานในการด าเนินการสอบ และมาตรฐาน ในวิธีการแปลความหมายคะแนน 1.3 แบบทดสอบวัดความถนัด (Aptitude Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่ง วัด สมรรถภาพสมองของผู้เรียน สามารถเรียนไปได้ไกลหรือประสบความส าเร็จมากน้อยเพียงใด โดย อาศัยข้อเท็จจริงจากแบบทดสอบวัดความถนัด แบ่งได้ 2 ชนิด คือ 1.3.1 แบบทดสอบวัดความถนัดทางการเรียน (Scholastic Aptitude) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดความถนัดทางด้านวิชาการต่าง ๆ เช่น ด้านภาษา ด้านคณิตศาสตร์ 1.3.2 แบบทดสอบวัดความถนัดเฉพาะอย่าง (Specific Aptitude) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัดความถนัดเฉพาะอย่างที่เกี่ยวกับงานอาชีพต่าง ๆ หรือความสามารถ พิเศษ เช่น ความสามารถด้านดนตรี ความสามารถด้านกีฬา ศิลปะ การประดิษฐ์ 2. แบบทดสอบบุคคล–สังคม (Personal – Social) หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดบุคค ลิภาพ (Personality) และการปรับตัว (Adjustment) ให้เข้ากับสังคม ซึ่งแบบทดสอบ ประเภทนี้แบ่ง ออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้ 2.1 แบบทดสอบวัดเจตคติ (Attitude) ที่มีต่อบุคคล สิ่งของ เรื่องราวเหตุการณ์ สังคม 2.2 แบบทดสอบวัดความสนใจ (Interest) ที่มีต่ออาชีพ งานอดิเรก กีฬา ดนตรี 2.3 แบบทดสอบวัดการปรับตัว (Adjustment) เช่น การปรับตัวเข้ากับเพื่อน การ ท างานร่วมกัน 3. แบ่งตามจุดมุ่งหมายในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 3.1 ประเภทแบบอัตนัยหรือแบบความเรียง (Subjective Test or Essay Type) หมายถึง แบบทดสอบที่มีค าถามให้ผู้เรียนเขียนตอบยาว ๆ ภายในเวลาที่ครูผู้สอนก าหนด ข้อสอบ ประเภทนี้ แต่ละข้อจะวัดได้หลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านการใช้ภาษา ด้านความคิด ด้านเจตคติ3.2 ป ระเภทแบบป รนัยห รือแบบให้ตอบสั้น ๆ (Objective Test or Short Answer) หม ายถึง แบบทดสอบที่ครูผู้สอนก าหนดให้ผู้เรียนตอบสั้น ๆ หรือมีค าตอบให้เลือก ดังนี้
46 3.2.1 แบบถูก-ผิด (True-False) 3.2.2 แบบเติมค าหรือเติมความ (Completion) 3.2.3 แบบจับคู่ (Matching) 3.2.4 แบบเลือกตอบ (Multiple Choices) 4. แบ่งตามจุดมุ่งหมายในการใช้ประโยชน์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 4.1 ประเภทแบบทดสอบเพื่อวินิจฉัย (Diagnostic Test) หมายถึง แบบทดสอบ ที่ สร้างขึ้นเพื่อใช้ทดสอบเพื่อหาข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนในการเรียน และน าผลไปปรับปรุงแก้ไข มี ประโยชน์ต่อการเรียนการสอน 4.2 ประเภทแบบทดสอบเพื่อท านายหรือพยากรณ์ (Prognostic Test) หมายถึง แบบทดสอบที่น าผลจากการสอบมาช่วยในการท านายว่า ใครจะสามารถเรียนอะไรได้บ้าง และ สามารถจะเรียนได้มากน้อยเพียงใด แบบทดสอบประเภทนี้จะต้องมีความเที่ยงตรงเชิงพยากรณ์สูง (Predictive Validity) มีประโยชน์มากในด้านการสอบคัดเลือก การวัดความถนัดทางการเรียน และ การแนะแนว 5. แบ่งตามเวลาที่ก าหนดให้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 5.1 ประเภทแบบใช้ความเร็ว (Speed Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มีข้อสอบ มาก ๆ ข้อสอบมักจะง่ายและจ ากัดเวลาในการตอบ บางทีเรียกข้อสอบประเภทนี้ว่า ข้อสอบวัดทักษะ 5.2 ประเภทแบบให้เวลา (Power Test) หมายถึง แบบทดสอบวัดความสามารถ ใน เรื่องที่ก าหนดว่ามีอยู่มากและดีเพียงใด โดยให้เวลาตอบมากหรือจนกระทั้งทุกคนท าเสร็จ หรือไม่ จ ากัดเวลาในการตอบ ต้องการให้ผู้เรียนได้แสดงศักยภาพของตนเองอย่างเต็มความสามารถ 6. แบ่งตามลักษณะการตอบ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 6.1 ประเภทแบบให้ลงมือกระท า (Performance Test) หมายถึง แบบทดสอบ ภาคปฏิบัติ เช่น การปรุงอาหาร การแสดง การประดิษฐ์ ศิลปะ 6.2 ประเภทแบบให้เขียนตอบ (Paper-pencil Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ ต้อง ตอบ โดยวิธีการเขียน เช่น การสอบแบบอัตนัย ที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและวัดความถนัด 6.3 ประเภทแบบสอบปากเปล่า (Oral Test) หมายถึง การสอบโดยใช้การถามตอบ ปากเปล่า มีการโต้ตอบกันทางค าพูด เช่น การสัมภาษณ์ 6.4 ประเภทแบบสอบออนไลน์ (Online/Internet) หมายถึง การสอบที่ผู้เรียน ท า การตอบ โดยใช้คอมพิวเตอร์ด้วยระบบออนไลน์หรืออินเทอร์เน็ต (Internet) จากการศึกษาประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งได้2 ประเภท คือ แบบทดสอบ มาตรฐาน ซึ่งสร้างจากผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาและด้านวัดผล การศึกษา มีการหาคุณภาพเป็นอย่างดีส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือแบบทดสอบที่ครูผู้สอนสร้างขึ้น เพื่อ ใช้ในการทดสอบในชั้นเรียน ในการ ออกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
47 ความพึงพอใจ ผู้วิจัยได้ศึกษาเกี่ยวกับความพึงพอใจ ประกอบด้วย ความหมายของความพึงพอใจ ความส าคัญของความพึงพอใจ องค์ประกอบของความพึงพอใจ ทฤษฎีเกี่ยวกับการสร้างความพึง พอใจ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ความหมายของความพึงพอใจ ความพึงพอใจหรือความพอใจ ตรงกับค าในภาอังกฤษว่า “Satisfaction” ได้มีผู้ให้ ความหมายของความพึงพอใจไว้หลากหลายดังนี้ นัดตา พิลาชัย (2556) สรุปความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า หมายถึง ความรู้สึกพอใจ หรือทัศนคติของผู้เรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สามารถปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้อย่างมี ความสุข และประสบความส าเร็จ อัปสร ตะรุวรรณ (2556) ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก ความคิดเห็นของผู้เรียนที่ มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครู หรือกิจกรรมการเรียนที่ได้รับมอบหมาย ความพึงพอใจ ในการเรียนและผลการเรียนจะมีความสัมพันธ์กันในทางบวก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า กิจกรรมที่ผู้เรียนได้ ปฏิบัตินั้น ท าให้ผู้เรียนได้รับการตอบสนองความต้องการต้านร่างกายและจิตใจ สุรางค์ โค้วตระกูล (2556 : 321) กล่าวว่า ความพึงพอใจหมายถึง ความรู้สึกที่ชอบ หรือ พอใจที่มีต่อองค์ประกอบและสิ่งจูงใจในด้านต่าง ๆ ของงาน และผู้ปฏิบัติงานนั้นได้รับการ ตอบสนอง ความต้องการของเขาได้ จันเพ็ญ ชมพูวิเศษ (2558) สรุปความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดที่ชอบต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในทางบวก เป็นความสุขที่เกิดจากการปฏิบัติกิจกรรม นั้นๆ จนส าเร็จ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2559: 30) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจ หมายถึง พอใจ ชอบใจพฤติกรรมเกี่ยวกับความพึงพอใจของมนุษย์คือความพยายามที่จะขจัดความตึง เครียด หรือ ความกระวนกระวาย หรือภาวะไม่ได้ดุลยภาพในร่างกาย ซึ่งเมื่อมนุษย์สามารถขจัดสิ่ง ต่างๆ ดังกล่าวได้แล้ว มนุษย์ย่อมได้รับความพึงพอใจในสิ่งที่ตนต้องการ น้ าลิน เทียมแก้ว (2561 : 7) กล่าวว่าความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกชอบ หรือ พอใจ ที่มีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือต่อองค์ประกอบและสิ่งจูงใจในด้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากความ สนใจ ส่งผลให้มีทัศนคติที่ดีเมื่อได้รับการตอบสนองตามความต้องการของตนเอง พรเทพ พัฒธนานุรักษ์และคณะ (2562 : 21) กล่าวว่าความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก ที่ดีหรือทัศนคติที่ดีของบุคคลซึ่งมักเกิดจากการได้รับการตอบสนองตามที่ตนต้องการ ก็จะเกิด ความรู้สึกที่ดีในสิ่งนั้นตรงกันข้าม หากความต้องการไม่ได้รับการตอบสนอง ความไม่พึงพอใจก็จะ เกิดขึ้น จากการศึกษาความพึงพอใจ ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่ดี หรือทัศนคติที่ดีของบุคคลซึ่งมักเกิดจากการได้รับการตอบสนองตามที่ตนต้องการความชื่นชอบ ประทับใจ สามารถวัดได้จากแบบวัดความพึงพอใจ ความรู้สึกชอบหรือพอใจ ในเจตคติที่ดีของผู้คนที่
48 มีต่อความส าเร็จของตนเอง ชอบใจในการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆและต้องการ ด าเนินกิจกรรมนั้นจน บรรลุผลส าเร็จ 2. ความส าคัญของความพึงพอใจ มีผู้กล่าวถึงความส าคัญของความพึงพอใจ ดังนี้ Aday & Andersen (1978อ้างถึงในน้ าลิน เทียมแก้ว, 2561 : 9) ได้ศึกษาความส าคัญ ของประชาชนต่อการรับบริการ และได้ชี้ถึงปัจจัยพื้นฐาน 6 ประการ ที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจของ ผู้รับบริการและความรู้สึกของผู้ใช้บริการ ดังนี้ 2.1. ความพึงพอใจต่อความสะดวกที่ได้รับบริการ แบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบคือ 2.1.1 การใช้เวลารอคอยในสถานบริการ 2.1.2 การได้รับการดูแลเมื่อมีความต้องการ 2.1.3 ความสะดวกที่ได้รับในสถานบริการ 2.2 ความพึงพอใจต่อการประสานบริการ แบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบ คือ 2.2.1 การได้รับบริการทุกประเภทในสถานที่หนึ่ง คือ ประชาชนสามารถขอรับ บริการ ได้ทุกประเภทตามความต้องการในการติดต่อ ณ จุดใดจุดหนึ่ง 2.2.2 เจ้าหน้าที่ให้ความสนใจ 2.2.3 เจ้าหน้าที่ได้ติดตามการให้บริการ 2.3 ความพึงพอใจต่ออัธยาศัยความสนใจของผู้ให้บริการ ได้แก่ การแสดงอัธยาศัย ท่าทางที่ดีเป็นกันเองของผู้ให้บริการ และแสดงความห่วงใยต่อประชาชน 2.4 ความพึงพอใจต่อข้อมูลที่ได้รับจากบริการ แบ่งออกเป็น 2 องค์ประกอบ ดังนี้ 2.4.1 การให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ 2.4.2 ข้อมูลเกี่ยวกับการให้บริการ 2.5 ความพึงพอใจต่อคุณภาพการบริการ ได้แก่ คุณภาพของการดูแลทั้งหมดที่ประชาชน ได้รับในทัศนะที่มีต่อบริการของหน่วยงาน 2.6 ความพึงพอใจต่อค่าใช้จ่ายเมื่อใช้บริการ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของ ผู้ใช้บริการ จากการศึกษาความส าคัญของความพึงพอใจ ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า ความส าคัญของความ พึงพอใจ หมายถึง การวัดความพึงพอใจเป็นการวัดสิ่งที่เป็นความรู้สึกนึกคิดของนักเรียน ซึ่งแสดงออก ค่อนข้างซับซ้อน จึงเป็นการยากที่จะวัดทัศนคติโดยตรง ดังนั้นเราจะวัดความพึงพอใจ โดยทางอ้อม จากแบบวัดความพึงพอใจ ชนิดมาตราส่วนประมาณ 5 ระดับ และสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
49 3. องค์ประกอบของความพึงพอใจ Glimmer (2009 อ้างถึงใน วาริชา บรรจงชีพ, 2557 : 62) ได้สรุปมิติที่มีผลต่อความ พึงพอใจในการปฏิบัติงานไว้ 10 ด้านดังนี้ 3.1 ลักษณะของงานที่ท า มีความสัมพันธ์กับความรู้ความสามารถของผู้ปฏิบัติงานหากได้ ท างานตามที่เขาถนัดหรือตามความสามารถ เขาจะเกิดความพอใจ คนที่มีความรู้สูงมักจะรู้สึกชอบ งาน เพราะองค์ประกอบนี้มาก 3.2 การบังคับบัญชา มีส่วนส าคัญที่จะท าให้ผู้ปฏิบัติงานมีความรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจ ต่อ งานได้และการบังคับบัญชาที่ไม่ดี อาจเป็นสาเหตุอันดับหนึ่ง ที่ท าให้เกิดการขาดงานและลาออก จากงานได้ในเรื่องนี้พบว่า ผู้หญิงมีความรู้สึกไวต่อการบังคับบัญชามากกว่าผู้ชาย 3.3 ความมั่นคงในการท างาน ได้แก่ ความมั่นคงในการท างาน การได้ท างานตามหน้าที่ อย่าง เต็มความสามารถ การได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชา คนที่มีพื้นความรู้น้อยหรือขาด ความรู้ย่อม เห็นว่า ความมั่นคงในการท างานมีความส าคัญต่อเขามาก แต่คนที่มีความรู้สูงจะรู้สึกว่าไม่ มีความส าคัญมาก นัก และคนที่มีอายุมากขึ้น จะมีความต้องการความมั่นคงในการท างานสูงขึ้น 3.4 บริษัทและการด าเนินงาน ได้แก่ ขนาดขององค์การ ชื่อเสียง รายได้และการ ประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายของสถานที่ท างานนั้น ๆ องค์ประกอบนี้ท าให้ผู้ปฏิบัติงาน เกิดความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัยในการท างาน ผู้ที่มีอายุมากจะมีความต้องการเกี่ยวกับเรื่องนี้สูงกว่าผู้ที่ มีอายุน้อย 3.5 สภาพการท างาน ได้แก่ แสง เสียง อากาศ ห้องอาหาร ห้องน้ า ห้องสุขา ชั่วโมงการ ท างานมีการวิจัยหลายเรื่องที่แสดงว่า สภาพการท างานมีความส าคัญต่อผู้ชายมากกว่าลักษณะอื่น ๆ ของการปฏิบัติงาน และในระหว่างผู้หญิงโดยเฉพาะผู้ที่แต่งงานแล้ว จะเห็นว่าชั่วโมงการท างานมี ความส าคัญเป็นอย่างมาก 3.6. ค่าจ้าง หรือรายได้จะมีความสัมพันธ์กับเงินซึ่งผู้ปฏิบัติงานมักจะจัดอันดับค่าจ้างนี้ ไว้ในอันดับเกือบสูง แต่ก็ยังให้ความส าคัญน้อยกว่าโอกาสก้าวหน้าในการท างาน และความมั่นคง ปลอดภัย องค์ประกอบนี้มักจะก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจมากกว่าความพึงพอใจ ผู้ชายจะเห็นค่าจ้าง เป็นสิ่งส าคัญ มากกว่าผู้หญิง และผู้ที่ปฏิบัติงานในโรงงานจะเห็นว่า ค่าจ้างมีความส าคัญส าหรับเขา มากกว่าผู้ที่ปฏิบัติงานใน ส านักงาน หรือหน่วยงานของรัฐบาล 3.7 ความก้าวหน้าในการท างาน เช่น การได้เลื่อนต าแหน่งสูงขึ้น การได้สิ่งตอบแทนจาก ความสามารถในการท างานของเขา จากงานวิจัยหลายเรื่องสรุปได้ว่า การไม่มีโอกาสก้าวหน้าในการ ท างานย่อม ก่อให้เกิดความไม่ชอบงาน ผู้ชายมีความต้องการเรื่องนี้สูงกว่าผู้หญิง และเมื่ออายุมากขึ้น ความต้องการ เกี่ยวกับเรื่องนี้จะลดลง 3.8 ลักษณะทางสังคม องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของ สังคม หรือการให้สังคมยอมรับตน ซึ่งจะก่อให้เกิดทั้งความพึงพอใจและความไม่พึ่งพอใจได้ ถ้างานใด ผู้ปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ก็จะเกิดความพึงพอใจในงานนั้นองค์ประกอบนี้มี ความสัมพันธ์กับอายุและระดับงาน ผู้หญิงจะเห็นว่าองค์ประกอบนี้ส าคัญมากกว่าชาย
50 3.9 การติดต่อสื่อสาร ได้แก่ การรับ-ส่งข้อมูลสารสนเทศ ค าสั่ง การท ารายงาน การ ติดต่อ ทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน องค์ประกอบนี้มีความส าคัญมากส าหรับผู้ที่มีระดับ การศึกษาสูง 3.10 ผลตอบแทนที่ได้รับจากการท างาน ได้แก่ เงินบ าเหน็จตอบแทนเมื่อออกจากงาน การ บริการและการรักษาพยาบาล สวัสดิการอาหาร ที่อยู่ วันหยุดพักผ่อนต่าง ๆ ความพึงพอใจใน การท างาน นอกจากจะเกิดจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมของงานแล้วยัง เกิดจากปัจจัยส่วนบุคคลได้อีก คือ เพศ จ านวนผู้ที่อยู่ในความอุปการะ อายุ ระยะเวลาในการท างาน ความเฉลียวฉลาด ระดับ การศึกษา บุคลิกภาพส่วนตัว จากการศึกษาองค์ประกอบของความพึงพอใจ ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า องค์ประกอบของความ พึงพอใจ หมายถึง ลักษณะของงาน การบังคับบัญชา ความมั่นคงในการท างาน บริษัทและการ ด าเนินงาน สภาพการท างาน ค่าจ้าง ความก้าวหน้าในการท างาน ลักษณะทางสังคม การ ติดต่อสื่อสาร ผลตอบแทนที่ได้รับจากการท างาน 4. ทฤษฎีเกี่ยวกับการสร้างความพึงพอใจ ศริพร ชัยสาร (2556: 62-64) ทฤษฎีทางพฤติกรรมศาสตร์เกี่ยวกับลักษณะ และความ ต้องการของมนุษย์ ซึ่งประยุกต์ใช้เสริมสร้างความพึงพอใจของบุคคล ประกอบตัวยทฤษฎี ดังนี้ 2.1 ทฤษฎีล าดับความต้องการของมาสโลว์ (Maslow and Hierachy of Need) อับราอัมมาสโลว์ (Abraham Maslow) ได้ทั้งทฤษฎีโดยมีแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมของ มนุษย์ไว้ตังนี้มาสโลว์ ได้เสนอทฤษฎีล าดับขั้นของความต้องการ (Hierachy of Need) นับได้ว่าเป็น ทฤษฎีหนึ่งที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ซึ่งตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า "มนุษย์เรามีความต้องการมี ความต้องการอยู่เสมอไม่มีสิ้นสุด เมื่อความต้องการได้รับการการตอบสนองหรือพึงพอใจอย่างใดอย่าง หนึ่งแล้ว ความต้องการสิ่งอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นมาอีก ความต้องการของคนเราอาจจะช้ ากัน ความต้องการ อย่างหนึ่งอาจยังไม่ทันหมดไป ความต้องการอีกอย่างหนึ่งอาจเกิดขึ้นได้ความต้องการของมนุษย์มี ล าดับขั้น ดังนี้ 2.1.1 ความต้องการด้านร่างกาย (Physiological) เป็นความต้องการพื้นฐานของ มนุษย์เน้นสิ่งจ าเป็นในการด ารงชีวิต ได้แก่ อาหาร อากาศ ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคความ ต้องการพักผ่อน ความต้องการทางเพศ 2.1.2 ความต้องการความปลอดภัย (Safety Need) ความมั่นคงในชีวิต ทั้งที่เป็นอยู่ ปัจจุบันและอนาคต ความเจริญก้าวหน้า 2.1.3 ความต้องการทางสังคม (Social Need) เป็นสิ่งจูงใจที่ส าคัญต่อการเกิด พฤติกรรมต้องการให้สังคมยอมรับตนเองเข้าเป็นสมาชิก ต้องการความเป็นมิตร ความรักจากเพื่อน ร่วมงานความต้องการการมีฐานะ (Esteem Needs) มีความอยากเด่นในสังคม มีชื่อเสียงอยากให้ บุคคลยกย่องสรรเสริญตนเอง อยากมีอิสรเสรีภาพ 2.1.4 ความต้องการที่จะประสบความส าเร็จทุกอย่างในชีวิต ซึ่งเป็นไปได้ยาก 2.2 ทฤษฎี ERG (Erg Theory) อันเดอร์เฟอร์ (Clayton Alderfer) มีความเชื่อว่าความ ต้องการมีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์เช่นเดียวกับมาสโลว์และความต้องการของแนวคิด
51 ของอันเดอร์เฟอร์ (Clayton Alderfer) เป็นความต้องการของชีวิต (Existence need) เป็นความ ต้องการทางกายภาพและความต้องการทางวัตถุที่ช่วยให้มนุษย์อยู่รอดได้ เช่น อาหาร น้ า ที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ค าใช้แรงงาน ความมั่นคง ความปลอดภัยจัดอยู่ในกลุ่มนี้เมื่อเทียบกับทฤษฎีของมาสโสว์ ความต้องการทางสังคมและบางส่วนขอความต้องการเกียรติยศและศักดิ์ศรีตลอดจนความต้องการท า ให้ตนให้ประจักษ์ อันเดอร์เฟอร์ตั้งทฤษฎีแนวคิดพื้นฐาน ดังนี้ 2.2.1 มนุษย์อาจมีความต้องการหลายๆ อย่างเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน โดยไม่จ าเป็น ว่าต้องการเบื้องล่างจะต้องได้รับการตอบสนองก่อนจึงเกิดความต้องการเบื้องสูง 2.2.2 ยิ่งความต้องการได้รับการตอบสนองน้อยเท่ใตบุคคลจะต้องมีความต้องการใน แต่ละประเภทมากยิ่งขึ้น 2.2.3 ยิ่งความต้องการในระดับสูงได้รับการตอบสนองน้อยเท่าใด บุคคลก็จะมีความ ต้องการในระดับต่ ามากเท่านั้น ความต้องการของมนุษย์นั้นมีมากมาย ทั้งหลายปริมาณและขอบเขต เพราะมนุษย์ตกอยู่ในสภาพแวดล้อมไม่เหมือนกันการก าหนดความต้องการในปัจจุบันพื้นฐานจึง แตกต่างกันไป แต่อย่างไรก็ตามอาจกล่าวได้ว่า หากความต้องการของมนุษย์ได้รับการตอบสนองแล้ว มนุษย์เกิดความพึงพอใจในระดับหนึ่งเสียก่อน ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจะส่งผลถึงประสิทธิภาพในการ ปฏิบัติงานและกิจกรรมต่างๆ ด้วย จากการศึกษาทฤษฎีเกี่ยวกับการสร้างความพึงพอใจ ผู้วิจัยจึงสรุปได้ว่า ทฤษฎี เกี่ยวกับการสร้างความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจของมนุษย์จะเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากการที่ มนุษย์มีความต้องการเพื่อให้ได้รับการตอบสนองเพื่อให้เกิดระดับความพึงพอใจ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยในประเทศ เอกพันธ์ โห้พันธ์ (2558 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัย เรื่องผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิกซอว์ วิชาสังคมศึกษา ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในโรงเรียนสังกัดองค์การ บริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊ก ซอว์ในรายวิชาสังคมศึกษา ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ในรายวิชาสังคม ศึกษา ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กับเกณฑ์ร้อยละ 60 3) ศึกษาทักษะการท างานร่วมกัน ของนักเรียนที่สอนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ และ 4) ศึกษาความพึง พอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการ วิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนหนองยางพิทยาคม อ าเภอ เฉลิมพระเกียรติ สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ที่ก าลังศึกษาในภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จ านวน 39 คน ซึ่งจัดนักเรียนโดยคละความสามารถแล้วเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ภูมิศาสตร์ประเทศไทย จ านวน 6 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน แบบประเมินทักษะการ ท างานร่วมกัน และแบบสอบถามความพึงพอใจสถิติที่ใช้ในการ
52 วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (t-test) ผลการวิจัย พบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ สูงกว่าก่อนเรียน 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนที่ เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค จิกซอว์ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 3. ทักษะการ ท างานร่วมกันด้านบทบาทการท างานร่วมกันและด้านพฤติกรรมการท างานร่วมกันของนักเรียนหลัง การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ อยู่ในระดับมาก 4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ อยู่ในระดับมาก วารุณี ทองดี (2559: บทคัดย่อ) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ ร่วมกับวัฎจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น เพื่อส่งเสริมความเข้าใจมโนมติสมดุลเคมีและทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีผลการเรียนวิทยาศาสตร์ต่างกัน การ วิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและเปรียบเทียบความเข้าใจมโนมติสมดุลเคมีและทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการก่อนเรียนและหลังเรียนแบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่ม ผลสัมฤทธิ์ร่วมกับวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยรวมและจ าแนกตาม ผลการเรียนวิทยาศาสตร์ 2) เพื่อเปรียบเทียบความเข้าใจมโนมติสมดุลเคมีและทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีผลการเรียนวิทยาศาสตร์ด่างกันกลุ่ม ตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จ านวน 32 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับวัฏจักร การเรียนรู้ 5 ชั้น เรื่องสมดุลเคมี จ านวน 9 แผน ใช้เรียนแผนละ 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์2) แบบทดสอบ วัดความเข้าใจมโนมติสมดุลเคมี และ 3) แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณา การ วิเคราะห์ข้อมูลใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานใช้ paired ttest และ F-test (One-way MANCOVA และ ANCOVA)ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนโดยรวมและจ าแนก ตามผลการเรียนวิทยาศาสตร์มีความเข้าใจมโนมติสมดุลเคมีและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ขั้นบูรณาการโดยรวมและรายด้านทั้ง 5 ด้าน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 และนอกจากนี้นักเรียนที่มีผลการเรียนวิทยาศาสตร์ต่างกันมีความเข้าใจมโนมติสมดุลเคมี และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการโดยรวมและรายด้านทั้ง 5 ด้านไม่แตกต่างกัน สุปรียา โวหารกล้า และคณะ (2560 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ผลการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ความเป็นพลเมือง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊ก ซอว์ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจ เรื่องความเป็นพลเมือง ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ 2) ศึกษาความพึงพอใจที่ มีต่อการเรียนรู้ 3) ศึกษาพฤติกรรมการท างานกลุ่ม กลุ่มทดลอง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบุเสมาทอง จังหวัคนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 จ านวน 22 คน เลือกแบบ เจาะจง เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ความเป็นพลเมือง 2) แบบทดสอบความรู้ 3) แบบวัดความพึงพอใจ 4) แบบวัดพฤดิกรรมการท างานกลุ่ม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test แบบ Dependent Samples ผลการวิจัยพบวิจัย (1) หลังการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์พบว่านักเรียนมีระดับคะแนนหลังการจัดการเรียนรู้สูง กว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (2) ความพึงพอใจ ต่อการเรียนรู้แบบ
53 ร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (3) พฤติกรรมการท างานกลุ่ม จากการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ที่สุด อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ภาณุพงศ์ แก้วบุญเรือง (2562 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิกซอว์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ และความคงทนในการเรียนรู้ เรื่อง กฎหมายใน ชีวิตประจ าวัน ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนจากการใช้การจัดกิจกรรม การเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ 3) ศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัด กิจกรรม การเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ กับเกณฑ์ร้อยละ 80 และ 4) ศึกษาความพึง พอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยและทดสอบประสิทธิภาพเป็นนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนกลางดงปุณณวิทยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จ านวน 17 คน ได้มาโดยการสุ่ม แบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียน รู้แบบร่วมมือโดย ใช้เทคนิคจิกซอว์ จ านวน 6 แผน ใช้เวลาในการสอนจ านวน 12 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน จ านวน 1 ชุด รวม 50 ข้อ แบบทดสอบมีค่าความยากง่ายอยู่ ระหว่าง 0.38 – 0.77 ค่าอ านาจจ าแนกระหว่าง 0.20 – 0.84 และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบมี ค่าเท่ากับ 0.55 และ 3) แบบสอบถามความ พึงพอใจ เป็นแบบสอบถามปลายปิดแบบมาตรประเมิน ค่า จ านวน 17 ข้อ และแบบสอบถามปลายเปิดจ านวน 1 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาประสิทธิภาพด้วยค่า E1 /E2 ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ ในการน าไปใช้จริง กับกลุ่ม ตัวอย่างมีค่าประสิทธิภาพ 80.40/80.90 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดย ใช้เทคนิคจิกซอว์ สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลัง เรียนด้วยการจัดการการเรียนรู้แบบร่วม มือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 40.40 คิด เป็นร้อยละ 80.80 จากนั้นเว้นระยะไป 2 สัปดาห์หลังการ ทดลองแล้วทดสอบอีกครั้งพบว่า มีค่า คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 41.23 คิดเป็นร้อยละ 82.47 และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนผล สัมฤทธิ์ทางการ เรียนครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 หลังการทดลอง 2 สัปดาห์พบว่า คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนไม่ แตกต่างกันเมื่อก าหนดระดับนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) ทักษะการท างานร่วมกันของนักเรียน หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์มีค่าคะแนนร้อยละอยู่ในระดับผ่าน เกณฑ์ร้อยละ 80 5) นักเรียนมีความพึงพอใจการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ในระดับมาก ที่สุด (X = 4.56, S.D.=0.51) จิดาภรณ์ ถิ่นตองโขบ (2562 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ กลุ่มร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง พัฒนาการของ อาณาจักรสุโขทัย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การศึกษาค้นคว้า ครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ
54 1.เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ เรื่อง พัฒนาการของ อาณาจักรสุโขทัย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพ 80/80 2. เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของผล การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ เรื่อง พัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัย กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 3. เพื่อศึกษาความ พึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ เรื่อง พัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัย กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 การศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้มีนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนโคกโพธิ์ไชยศึกษา อ าเภอโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแก่น ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จ านวน 1 ห้องเรียน นักเรียนจ านวน 29 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง ( Purposive Sampling ) ระยะเวลาในการศึกษาค้นคว้า เริ่มด าเนินการในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 ใช้ เวลา ในการทดลอง 8 ชั่วโมง และเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ได้แก่ 1.แผนการจัดการ เรียนรู้แบบ ร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ เรื่อง พัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัยกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จ านวน 8 แผน 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เรื่อง พัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัย กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ชนิดเลือกตอบแบบ 4 ตัวเลือกที่ผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างขึ้น จ านวน 30 ข้อ 3. แบบวัด ความพึงพอใจของ นักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ เรื่อง พัฒนาการของอาณาจักร สุโขทัย กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จ านวน 15 ข้อ ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏดังนี้การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้เป็นการพัฒนาแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบจิ๊กซอว์ เรื่อง พัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัย ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจในการเรียนรู้ สาระ การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 สรุปผลการศึกษาค้นคว้า ได้ดังนี้1.แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิ๊กซอว์ กลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องพัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้ศึกษาค้นคว้า พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.50/91.08 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ก าหนดไว้ 2.ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิ๊กซอว์กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง พัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้ศึกษาค้นคว้า พัฒนาขึ้น มีค่าเท่ากับ 0.8430 หมายความว่านักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนคิดเป็น ร้อยละ 84.30 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิ๊กซอว์ เรื่อง พัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัย ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจ ในการเรียนรู้ มี ความพึงพอใจทั้งโดยรวมในระดับมาก สรุปว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิ๊กซอว์ กลุ่มสาระ การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง พัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัย ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่จัดท าขึ้นมีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้นคิด เป็นร้อยละ 84.30 และนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก จึงเห็นสมควรว่าครูควรน าเทคนิค การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่ม ร่วมมือแบบจิ๊กซอว์ไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียน ต่อไป
55 วริศรา วิทยาลัย (2562 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัย เรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วิชา ประวัติศาสตร์เรื่อง พัฒนาการ ของอาณาจักรอยุธยา โดยเทคนิคจิ๊กซอว์ร่วมกับสื่อประสม ส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ ศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้วิชา ประวัติศาสตร์ เรื่อง พัฒนาการของอาณาจักรอยุธยา โดยเทคนิคจิ๊กซอว์ร่วมกับสื่อประสม ส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ของโรงเรียน ในสังกัด ศูนย์ประสานงานทางการศึกษาสรรคบุรี 2 ส านักงานเขตพื้นที่การประถมศึกษาชัยนาท 10 โรงเรียน จ านวน 149 คน กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทพรัตน์ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จ านวน 22 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้และแบบสอบถามความพึง พอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ ที่ ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในการพัฒนากิจกรรม การเรียนรู้ วิชา ประวัติศาสตร์ เรื่องพัฒนาการของอาณาจักรอยุธยา โดยเทคนิคจิ๊กซอว์ร่วมกับสื่อประสม ส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีจ านวน 18 แผน ใช้เวลา 18 ชั่วโมง มีระดับความเหมาะสม อยู่ใน ระดับดีมาก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.05 และมีความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียน อยู่ในระดับมาก ที่สุด ศิรินภา น้อยสว่าง (2562 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ เรื่องวันส าคัญทางพระพุทธศาสนา ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ (1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ เรื่อง วัน ส าคัญทางพระพุทธศาสนา ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลการเรียนรู้ (3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและ หลังเรียนของนักเรียน และ (4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 จ านวน 27 คน โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดย วิธีการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล คือ ร้อย ละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t-test ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของ แผนการจัดการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.54/86.67 ดัชนีประสิทธิผล มีค่าเท่ากับ 0.7791 หรือร้อยละ 77.91 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยวิธีสอนแบบร่วมมือเทคนิคจิ๊ก ซอว์ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก
56 ชนัญธิดา สายวันดี (2563 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัย เรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ แบบร่วมมือ เทคนิค Jigsaw เรื่อง กฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การวิจัย ครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค Jigsaw เรื่อง กฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค Jigsaw ก่อน เรียนและหลังเรียน เรื่อง กฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) ศึกษาทักษะการ ท างานเป็นทีม โดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค Jigsaw เรื่อง กฎหมายคุ้มครองสิทธิ ของบุคคล ขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค Jigsaw เรื่อง กฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคล ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบไปด้วยแผน การจัดการเรียนรู้ เรื่อง กฎหมายคุ้มครองสิทธิ ของบุคคล ชั้นมัยมศึกษาปีที่ 1 จ านวน 6 แผน แผนละ 2 ชั่วโมงรวม 12 ชั่วโมง แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรืองกฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบบปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ แบบประเมินทักษะการท างานเป็นทีม เรื่องกฎหมายคุ้มครองสิทธิของ บุคคล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่มมือ เทคนิค Jigsaw เรื่อง กฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคล จ านวน 20 ข้อ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัยมศึกษาปีที่ 1/3 โรงเรียน บุ่งค้าวิทยาคม อ าเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร นักเรียนทั้งหมด 20 คน จ านวน 1 ห้องเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือค่าเฉลี่ย ส่วยเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าที่แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค Jigsaw เรื่อง กฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคล ชั้นมัธยมศึกษาบีที่ 1 มีประสิทธิภาพ 82.25/80 33 2) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค Jigsaw เรื่องกฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคลชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทักษะการท างาน เป็นทีม โดยใช้กิจกรรมกรเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค Jigsaw เรื่องกฎหมายสิทธิของบุคคล ขั้น มัธยมศึกษาปีที่1 โดยรวมอยู่ในระดับดีมาก และ 4) ความพึงพอใจของนักเรียนสิทธิของบุคคล ขั้น มัธยมศึกษาปีที่1 โดยรวมอยู่ในระดับดีมาก และ 4) ความพึ่งพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการ เรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค Jigsaw เรื่องกฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยรวมอยู่ในระดับมาก วรรณภา ภูแข่งหมอก (2565 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิค แบบจิกซอว์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 การวิจัยครั้งนี้มี วัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่องพุทธประวัติโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ ที่มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้เทคนิค แบบจิกซอว์ และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อกิจกรรมการ เรียนแบบจิกซอว์ เรื่องพุทธประวัติ โดยศึกษาจากนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 โรงเรียนบ้านบึง อ าเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จ านวน 13 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนการ
57 จัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ เรื่องพุทธประวัติ (2) แบบทดสอบ ความรู้ความเข้าใจ เรื่องพุทธประวัติ (3) แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานกลุ่มของผู้เรียน และ (4) แบบสอบถามความพึง พอใจของผู้เรียนต่อการเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้แบบจิกซอว์ เรื่องพุทธ ประวัติผลการวิจัย พบว่า 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านบึง มีพัฒนาการการเรียนรู้กลุ่มสาระการ เรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของ เรื่องพุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ เป็นไปตาม เกณฑ์ 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง พุทธประวัติ โดยใช้เทคนิคแบบจิกซอว์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านบึง มี ผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้น ร้อยละ 87.50 3. ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้ด้วยวิธีการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค จิ๊กซอว์เรื่อง พุทธประวัติ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านบึง มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์อยู่ในระดับมากที่สุด โดยพบว่า ผลรวมของระดับความพึง พอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (̅=4.77 S.D.=0.43) งานวิจัยต่างประเทศ Ransay ได้ศึกษาเพื่อให้ทราบอิทธิพลของการรวมกันเป็นกลุ่มผู้เรียนทางสังคมที่มีต่อผล ของงานการเรียนรู้แบบร่วมมือ วิธีการศึกษาใช้หัวข้อที่ใกล้เคียงกับมุมมอง ส าคัญ 2 มุมมอง คือ การ สังเกตและภาพสเกตซ์ภาพแบบตรงไปตรงมาจากผู้เรียนซึ่งสร้างแหล่งข้อมูล และให้มุมมองเบื้องต้น ในด้านที่ศึกษาจากทัศนะนี้ที่ให้ข้อมูลได้ประยุกต์ทั้งหลักเกณฑ์การจัดกลุ่มจ าเพาะขึ้นส าหรับกลุ่มผู้ เรียนรู้ภายหลังแล้วท าการส ารวจได้พิจารณาผลกระทบของกลุ่มต่างๆ ที่จัดขึ้นที่มีต่อคุณภาพและ ปริมาณของ การเรียนรู้ที่สังเกตเห็นได้ภายในชั้นเรียน ในการศึกษาได้ใช้การจัด กลุ่มการเรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยการพิจารณาความสัมพันธ์ทางสังคมของผู้เรียนในหลายด้าน ซึ่งพบได้ จากการใช้ แบบสอบถามเกี่ยวกับสังคม ที่ผู้เรียนตอบแล้วสรุปรายละเอียดโดยใช้ตารางการวัดทางสังคม และ เครื่องมือโซซิโอแกรมผลการศึกษา พบตามสมมติฐานว่าพลวัติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ภายในกลุ่ม การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นที่ยอมรับและพิจารณาเห็นว่าเป็นหนึ่งในหลาย ๆ ด้านที่มีอิทธิพลต่อ ความรู้สึกของผู้เรียนแต่ละคนเกี่ยวกับกิจกรรมกลุ่ม Aydin (2017) ได้ศึกษาผลของเทคนิคจิ๊กซอว์ต่อนักเรียนการรับรู้วัสดุและทักษะการใช้วัสดุ ในห้องปฏิบัติการปฏิบัติการฟิสิกส์ เพื่อเปรียบเทียบผลกระทบของเทคนิคจิ๊กซอว์จากวิธีการเรียนรู้ แบบร่วมมือและวิธีการเรียนรู้แบบปกติ เกี่ยวกับวัตถุในห้องปฏิบัติการทักษะการรับรู้และการใช้งาน ของนักเรียนในวิชาฟิสิกส์ทั่วไปหลักสูตร Lab การศึกษาครั้งนี้ด าเนินการกับนักเรียน 63 คน ที่ มหาวิทยาลัยของรัฐในตุรกีระหว่างปีการศึกษา 2555-2556 แบบสุ่มคลาสที่เลือก 1-A ประกอบด้วย นักเรียน 32 คนที่ได้รับมอบหมายเป็นกลุ่มทดลอง (กลุ่มจิ๊กซอว์) และคลาส 1 -8ประกอบด้วย นักเรียน 31 คนได้รับมอบหมายเป็นกลุ่มควบคุม ส าหรับการศึกษา ทักษะการรับรู้และการใช้วัสดุ แบบทดสอบ (MRUST), แบบทดสอบประเมินทักษะห้องปฏิบัติการ (LSET1) และใช้มาตราส่วนความ คิดเห็นของจิ๊กซอว์ (JOS) ผลที่ได้ วิเคราะห์โดย SPSSและค านวณความถี่ และท าการทดสอบตัวอย่าง แบบอิสระ t -test เมื่อการวิเคราะห์การศึกษาได้รับการประเมินก็สรุปได้จากการเปรียบเทียบกลุ่ม การทดลองซึ่งเป็นเทคนิคจิ๊กซอว์ถูกน าไปใช้และกลุ่มควบคุมที่วิธีการเรียนรู้แบบปกติ ถูกน ามาใช้ว่า
58 ห้องปฏิบัติการ ทักษะของกลุ่มทดลองพัฒนามากกว่าของกลุ่มควบคุมการศึกษาพบว่าเทคนิคจิ๊กชอว์ สร้างขึ้นมากขึ้น สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติการ Karacop (2017) ได้ศึกษาผลของเทคนิคจิ๊กซอว์ที่มีต่อการเรียนแบบร่วมมือ ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของครูวิทยาศาสตร์1. เพื่อศึกษาผลของวิธีการทางห้องปฏิบัติการตาม วิธีการต่อจิ๊กซอว์วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือ และการยืนยันในห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับกระบวนการ เรียนรู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์การสอนทางห้องปฏิบัติกรวิทยาศาสตร์ และเพื่อหาความคิดเห็นของนักเรียน วิธีการทางห้องปฏิบัติการประยุกต์ ครูนักเรียนที่เข้าร่วมถูกระบุ ว่าเป็นกลุ่มจิ๊กขอว์ (n = 25) ซึ่งในวิธีการทางห้องปฏิบัติการตามวิธีการจั๊กซอว์ถูกน าไปใช้และเป็น กลุ่มควบคุม (n = 23) ซึ่งในมีการใช้วิธีการทางห้องปฏิบัติการยืนยัน ใช้แบบทตสอบทักษะกระบาน การทางวิทยาศาสตร์และแบบประเมินความคิดเห็นของนักเรียน เป็นเรื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จากการวิเคราะห์ทางสถิติพบว่า ผลของห้องปฏิบัติการวิธีการขึ้นอยู่กับวิธีจิ๊กซอว์ ในการพัฒนาทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของครูนักเรียนสูงกว่าวิธีการยืนยันทางห้องปฏิบัติการ กรอบแนวคิดในการวิจัย จากการศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎี และประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ของนักการศึกษาหลาย ๆ ท่าน ผู้วิจัยจึงก าหนดเป็นกรอบแนวคิดได้ดังนี้ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภาพที่2.2 กรอบแนวคิดในการวิจัย การจัดการเรียนรู้เรื่อง กฎหมายควรรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้เรื่อง กฎหมายควรรู้ - ความพึงพอใจ
59 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาสังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วิธีการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และเพื่อศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) สาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6 ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ด าเนินตามขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. แบบแผนการวิจัย 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5. การด าเนินการและการเก็บรวบรวมข้อมูล 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 7. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล ๑ โพศรี ส านักการศึกษา เทศบาลนครอุดรธานีอ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จ านวน 3 ห้องเรียน จ านวนนักเรียน 99 คน 2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล ๑ โพศรี ส านักการศึกษา เทศบาลนครอุดรธานีอ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) จ านวน 1 ห้องเรียน จ านวนนักเรียน 33 คน แบบแผนการวิจัย แบบแผนที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบกลุ่มทดลองกลุ่มเดียว, วัดผลก่อนและหลังการ ทดลอง (The single group, Pretest - posttest Design) (คณาจารย์ภาควิชาวิจัยและพัฒนา การศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2564) ดังตารางที่ 3.1
60 ตารางที่ 3.1 แบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มทดลองกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังการทดลอง (The single group, Pretest - posttest Design) (คณาจารย์ภาควิชาวิจัยและพัฒนา การศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2564) Pretest Treatment Posttest T1 X T2 ตารางที่3.1 แบบแผนการวิจัย สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการวิจัย T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้สาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊ก ซอว์ (Jigsaw) จ านวน 8 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง 1.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ ที่ใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค จิ๊กซอว์ (Jigsaw) แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ (Multiple Choice) 4 ตัวเลือก จ านวน 20 ข้อ 1.3 แบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มี ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง กฎหมายควรรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊ก ซอว์ (Jigsaw) เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) แบ่งเป็น 5 ระดับ จ านวน 10 ข้อ 2. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้สาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมาย ควรรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) จ านวน 8 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง มีขั้นตอนการด าเนินการ ดังนี้
61 2.1.1 ศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) สาระหน้าที่ พลเมือง เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด ค าอธิบาย รายวิชา ขอบข่ายของเนื้อหา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2.1.2 ศึกษาค าอธิบายรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 สาระหน้าที่พลเมือง รายละเอียดของเนื้อหา เรื่อง กฎหมายควรรู้ จากคู่มือรายวิชา สังคมศึกษา เรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมส าหรับครูของสถานศึกษาโรงเรียนเทศบาล ๑ โพศรี ส านักการศึกษา เทศบาลนครอุดรธานี อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 2.1.3 แบ่งเนื้อหาสาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 หน้าที่พลเมือง 2.1.4 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระว่างสาระการเรียนรู้ สาระส าคัญ ตัวชี้วัด จุดประสงค์ การเรียนรู้ และชั่วโมงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แล้วน ามาสร้างตารางวิเคราะห์ความสัมพันธ์ 2.1.5 ก าหนดรูปแบบการเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีขั้นตอนดังนี้ 2.1.5.1 มาตรฐานการเรียนรู้ 2.1.5.2 ตัวชี้วัด 2.1.5.3 สาระส าคัญ 2.1.5.4 จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1.5.5 กิจกรรมการเรียนรู้ 2.1.5.6 สื่อและแหล่งการเรียนรู้ 2.1.5.7 การวัดและประเมินผล 2.1.5.8 เกณฑ์การวัดและประเมินผล 2.1.5.9 บันทึกหลังสอน 2.1.6 เขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) สาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) จ านวน 8 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง ตามเนื้อหาที่จะท าการวิจัยโดยให้สอดคล้อง กับตัวชี้วัด จุดประสงค์การเรียนรู้และระยะเวลาที่ ก าหนด ดังนี้ 2.1.6.1 ทดสอบก่อนเรียน จ านวน 1 ชั่วโมง 2.1.6.2 ท าความรู้จักกฎหมาย จ านวน 1 ชั่วโมง 2.1.6.3 กฎหมายเกี่ยวกับการจราจรทางบก จ านวน 1 ชั่วโมง 2.1.6.4 ท าความรู้จักป้ายจราจร จ านวน 1 ชั่วโมง 2.1.6.5 กฎหมายเกี่ยวกับทะเบียนราษฎร จ านวน 1 ชั่วโมง 2.1.6.6 กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ จ านวน 1 ชั่วโมง 2.1.6.7 กฎหมายที่เกี่ยวกับชุมชนและท้องถิ่น จ านวน 1 ชั่วโมง 2.1.6.8 ทดสอบหลังเรียน จ านวน 1 ชั่วโมง
62 2.1.7 น าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) ที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้น เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย เพื่อพิจารณาความเหมาะสมความสอดคล้องด้านตัวชี้วัด สาระส าคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อประสม การวัดและประเมินผล รวมถึง ความเหมาะสมของภาษาที่ใช้จากนั้นน าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) มาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยให้ถูกต้องเรียบร้อย 2.1.8 สร้างแบบประเมินคุณภาพควาเหมาะสมของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มี 5 ระดับ โดยใช้ เกณฑ์การตัดสิน ระดับคุณภาพ ดังนี้ (มนตรี วงษ์สะพาน, 2563) คะแนน 5 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด คะแนน 4 หมายถึง เหมาะสมมาก คะแนน 3 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง คะแนน 2 หมายถึง เหมาะสมน้อย คะแนน 1 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด 2.1.9 น าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) ที่ ผู้วิจัยเขียนเสร็จ แล้วพร้อมกับแบบประเมินความเหมาะสมเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน เพื่อ ประเมินความ เหมาะสม ตัวชี้วัด สาระส าคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อประสม การวัดและ ประเมินผล รวมถึงความเหมาะสมของภาษาที่ใช้ 2.1.10 น าแบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) มาหาค่าเฉลี่ย โดยมีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.51 ขึ้นไป ถือว่าเป็นแผนการจัด กิจกรรมการ เรียนรู้ที่มีความเหมาะสมที่จะน าไปใช้ได้ ซึ่งเกณฑ์การประเมินความเหมาะสมของ แผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้สามารถวัดตามเกณฑ์ ดังนี้(มนตรี วงษ์สะพาน, 2563) ค่าเฉลี่ย 4.51 - 5.00 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 - 4.50 หมายถึง เหมาะสมมาก ค่าเฉลี่ย 2.51- 3.50 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 - 2.50 หมายถึง เหมาะสมน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.50 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด ผลการประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค จิ๊กซอว์ (Jigsaw) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.60 อยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด 2.1.10.1 น าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบแบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) มา ปรับปรุงแก้ไขตามค าแนะน าของผู้เชี่ยวชาญให้เสร็จสมบูรณ์ จากนั้นน าไปทดลอง (Try Out) กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาล ๑ โพศรี ส านักการศึกษา เทศบาลนคร อุดรธานี อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง 2.1.10.2 น าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) มา ปรับปรุงแก้ไขให้เรียบร้อย และจัดพิมพ์เป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อน าไปใช้ทดลองสอนจริงกับกลุ่ม ตัวอย่าง ต่อไป
63 2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายควรรู้ ที่ใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค จิ๊กซอว์ (Jigsaw) แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ (Multiple Choice) 4 ตัวเลือก จ านวน 20 ข้อ ที่ผู้วิจัย สร้างขึ้นมีลักษณะเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบมี 4 ตัวเลือก ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างตามล าดับขั้นตอน ดังนี้ 2.2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับ ปรับปรุง พุทธศักราช 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หนังสือคู่มือ ส าหรับครูแบบเรียน ตัวอย่างข้อสอบ และวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจาก เอกสารและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.2.2 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กฎหมายควรรู้ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โดยให้ครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้เป็นแบบทดสอบปรนัย จ านวน 30 ข้อ ต้องการจริง 20 ข้อ จากนั้นน าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา วิจัย เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของ เนื้อหา ข้อค าถาม รวมทั้งตรวจสอบความถูกต้องของภาษาที่ใช้ 2.2.3 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ ของ อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยให้ถูกต้องด้านเนื้อหาให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 2.2.4 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนพร้อมแบบแบบระเมินแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณาความสอดคล้อง (IOC) ของ ข้อสอบแต่ละข้อว่ามีความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้หรือไม่ จากผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน เพื่อน ามาปรับปรุงแก้ไข โดยน าผล (มนตรีวงษ์สะพาน, 2563) +1 คะแนน หมายถึง แน่ใจว่าข้อค าถามมีความสอดคล้อง 0 คะแนน หมายถึง แน่ใจว่าข้อค าถามไม่มีความสอดคล้อง -1 คะแนน หมายถึง ไม่แน่ใจว่าข้อค าถามมีความสอดคล้อง การประเมินความสอดคล้อง (IOC) ก าหนดการให้คะแนน ดังนี้ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน ที่ท าการประเมินความสอดคล้อง (IOC) 2.2.5 น าผลการประเมินความสอดคล้องจากผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์หาค่า (IOC) ซึ่ง จะต้องมีค่า 0.51–1.00 ขึ้นไป จึงจะถือว่าใช้ได้(มนตรี วงษ์สะพาน, 2563) ผลปรากฎว่าแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.60 - 1.00 2.2.6 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ปรับปรุงแก้ไขตามค าเสนอแนะ ของ ผู้เชี่ยวชาญแล้วจัดพิมพ์ เพื่อน าไปทดลอง (Try Out) กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน เทศบาล ๑ โพศรี ส านักการศึกษา เทศบาลนครอุดรธานี อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ที่ไม่ใช่กลุ่ม ตัวอย่าง 2.2.7 น ากระดาษค าตอบของผู้เรียนมาตรวจให้คะแนน ตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบ ผิด ไม่ตอบ เลือกตอบเกิน 1 ข้อ ให้ 0 คะแนน จากนั้นน าผลทดสอบมาวิเคราะห์เป็นรายข้อ เพื่อค่า ความ ยาก (p) และค่าอ านาจจ าแนก (B) (คณาจารย์ภาควิชาวิจัยและพัฒนาการศึกษา คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2564) ดังนี้2.7.1 วิเคราะห์หาค่าความยาก (p) เลือก
64 ข้อสอบที่มีค่าความยากตั้งแต่ 0.20 - 0.80 ผลการวิเคราะห์หาค่าความยาก มีค่าตั้งแต่ 0.41 - 0.74 อยู่ในเกณฑ์มีคุณภาพ และค่าอ านาจ จ าแนก (B) มีค่าตั้งแต่ 0.38 - 0.71 อยู่ในเกณฑ์มีคุณภาพ จากนั้นท าการคัดเลือกข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์ไว้ใช้จ านวน 20 ข้อ 2.2.8 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่คัดเลือกจ านวน 20 ข้อ ทั้ง ฉบับ มาวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น โดยใช้สูตรของโลเวท (Lovett Method) (คณาจารย์ภาควิชาวิจัย และพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2564) มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.93 2.2.9 จัดพิมพ์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฉบับจริง แล้วน าไปใช้ทดลอง กับ กลุ่มตัวอย่างต่อไป 2.3 แบบสอบถามความพึงพอใจ แบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มี ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง กฎหมายควรรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊ก ซอว์ (Jigsaw) เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) แบ่งเป็น 5 ระดับ จ านวน 10 ข้อ ผู้วิจัยด าเนินการสร้างและหาคุณภาพ ดังนี้ 2.3.1 ศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎี และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความพึง พอใจและวิธีการสร้างเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ประเภทแบบสอบถามจากเอกสาร หนังสือ ต าราที่ เกี่ยวข้อง 2.3.2 ก าหนดนิยามความพึงพอใจ เพื่อใช้เป็นกรอบในการก าหนดรายการสอบถาม ของแบบสอบถามและออกแบบโครงสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจที่เลือกใช้ จ านวน 10 ข้อ 2.3.3 ก าหนดรายการสอบถาม และสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจตามโครงสร้าง ของแบบสอบถามชนิดมาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนและ เกณฑ์แปลผลระดับความสอดคล้อง ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2556, น.112) ระดับ 5 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด ระดับ 4 หมายถึง พึงพอใจมาก ระดับ 3 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง ระดับ 2 หมายถึง พึงพอใจน้อย ระดับ 1 หมายถึง พึงพอใจน้อยที่สุด ก าหนดเกณฑ์การแปลผลระดับคุณภาพของแบบสอบถามความพึงพอใจการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2556, น. 122) ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 มีความพึงพอใจในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 มีความพึงพอใจในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 มีความพึงพอใจในระดับน้อย
65 ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 มีความพึงพอใจในระดับน้อยที่สุด 2.3.4 น าแบบสอบถามที่สร้างขึ้น 10 ข้อ เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อพิจารณาให้ ข้อเสนอแนะ มาปรับปรุงแก้ไข แล้วน าเสนอผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมเพื่อประเมินความสอดคล้อง โดย ก าหนดเกณฑ์ให้คะแนนดังนี้ +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบสอดคล้องกับนิยามความพึงพอใจ 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบสอดคล้องกับนิยามความพึงพอใจ - 1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบไม่สอดคล้องกับนิยามความพึงพอใจ ค านวณค่ า IOC (Index of item Congruenc) ของรายการสอบถามรายข้อแล้ว คัดเลือกรายการสอบถามที่มีค่ IOC ได้ข้อที่มีค า IOC เท่ากับ 0.6 จึงคัดไว้ทั้งหมด เพื่อน าไปใช้ต่อไป 2.3.5 วิเคราะห์ค่า I0C ของแบบสอบถามความพึงพอใจ ซึ่งค่าดัชนีความสอดคล้อง ของผู้เชี่ยวชาญ (OC) ของแบบสอบถามความพึงพอใจอยู่ในช่วง 0.80-1.00 งมากกว่า 0.60 ทุกข้อ จากนั้นปรับปรุงแบบสอบถามความพึงพอใจตามค าแนะน าของผู้เชี่ยวชาญ 2.3.6 จัดพิมพ์แบบสอบถามความพึงพอใจฉบับจริงน าไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล การด าเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยด าเนินการทดลองและเก็บข้อมูลกับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาล ๑ โพศรี อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีการด าเนินการทดลองและเก็บข้อมูล ในแต่ละขั้น มีดังนี้ 1. เตรียมนักเรียนก่อนด าเนินการสอน โดยแนะน าวิธีการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดย ใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) ให้นักเรียนมีความรู้การสร้างข้อตกลง เบื้องต้นเกี่ยวกับการเรียน ขั้นตอนการเรียนและบทบาทวิธีการปฏิบัติตนในการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนท าการทดลอง 2. ท าการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนท าการทดลอง 3. ด าเนินการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) เรื่อง กฎหมายควรรู้กับนักเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จ านวน 6 แผน ใช้เวลา 6 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ แผน 2-7 4. ท าการทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลังจากการทดลองสอนสิ้นสุดลง โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ฉบับเดียวกันกับที่ใช้ ทดสอบก่อน การทดลอง โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง
66 5. น าคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและคะแนนจากแบบวัดความสามารถ โดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) เก็บรวบรวมข้อมูลการท าแบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน ไปท าการวิเคราะห์และ เปรียบเทียบความก้าวหน้าทางการเรียน จากนั้นน าคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนไปวิเคราะห์โดยใช้วิธีทางสถิติเพื่อทดสอบสมมติฐานและสรุปผลการวิจัย 6. นักเรียนกลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีต่อ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) เรื่อง กฏหมายควรรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้น าคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและจากแบบสอบถามความ พึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) มาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติ ดังนี้ 1. สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้ในการหาค่าร้อยละ ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เรื่อง กฎหมายควรรู้และความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6/1 โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส าเร็จรูปทางสถิติส าหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางพฤติกรรมศาสตร์ และสังคมศาสตร์ (SPSS for window) 2. การทดสอบสมมติฐาน น าคะแนนที่ได้จากการท าแบบทดสอบมาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เรื่องกฎหมายควรรู้ระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียน หลังจากที่ได้รับกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดย ใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) โดยใช้การ ทดสอบทีแบบไม่อิสระ (Dependent Sample t-test) ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ส าเร็จรูปทางสถิติ ส าหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์ (SPSS for Windows) น าผลการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจ มาวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6/1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ เทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) เรื่อง กฎหมายควรรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังน ี้ 1. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาคุณภาพเครื่องมือ 1.1 การค านวณหาค่าความสอดคล้อง (Index of Item–Objective Congruence หรือ IOC เป็นค่าคุณภาพด้านความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของเครื่องมือโดยมีเกณฑ์ที่ยอมรับได้คือ ค่า IOC ตั้งแต่0.50 ขึ้นไป โดยใช้สูตรการหาดัชนีความสอดคล้อง (มนตรี วงษ์สะพาน, 2563) ดังนี้
67 สูตร = เมื่อ IOC แทน ค่าความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับตัวชี้วัดและ จุดประสงค์การเรียนรู้ R แทน คะแนนของผู้เชี่ยวชาญ ∑R แทน ผลรวมคะแนนของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคน N แทน จ านวนผู้เชี่ยวชาญ 1.2 การหาค่าความยาก (p) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบอิงเกณฑ์ โดยใช้สูตร ดังนี้ (คณาจารย์ภาควิชาวิจัยและพั ฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม, 2564) สูตร = เมื่อ P คือ ดัชนีความยากของข้อสอบ R คือ จ านวนนักเรียนที่ตอบข้อสอบนั้นได้ถูกต้อง N คือ จ านวนนักเรียนที่ตอบข้อสอบทั้งหมด 1.3 การหาค่าอ านาจจ าแนก (B) จากผลการสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตร ดังนี้(คณาจารย์ภาควิชาวิจัยและพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม , 2564) สูตร = − เมื่อ B แทน ค่าอ านาจจ าแนกของข้อสอบ N1 แทน จ านวนคนรอบรู้ (หรือสอบผ่านเกณฑ์) N2 แทน จ านวนคนไม่รอบรู้(หรือสอบไม่ผ่านเกณฑ์) U แทน จ านวนคนรอบรู้ (หรือสอบผ่านเกณฑ์) ตอบถูก L แทน จ านวนคนไม่รอบรู้(หรือสอบไม่ผ่านเกณฑ์) ตอบถูก 1.4 ค่าความเชื่อมั่น การหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชนิดเลือกตอบ แบบอิงเกณฑ์ โดยใช้แบบทดสอบ 1 ฉบับ ทดสอบกับผู้เรียน 1 กลุ่มโดยใช้สูตรของ
68 โลเวท (Lovett Method) (คณาจารย์ภาควิชาวิจัยและพัฒนาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม, 2564) สูตร = [ −1 ] [1 − ∑ 2 ] = ∑ −(∑ ) (−) เมื่อ rtt แทน สัมประสิทธิ์ของความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ N แทน จ านวนข้อของแบบทดสอบ p แทน สัดส่วนผู้เรียนที่ท าข้อสอบข้อนั้นถูกกับผู้เรียนทั้งหมด q แทน สัดส่วนผู้เรียนที่ท าข้อสอบข้อนั้นผิดกับผู้เรียนทั้งหมด st 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนสอบทั้งฉบับ N แทน จ านวนผู้เรียน 2. ค่าสถิติพื้นฐาน 2.1 ร้อยละ (Percentage) โดยใช้สูตร ดังนี้(สาธิดา สกุลรัตนกุลชัย, 2563) สูตร P = เมื่อ P แทน ร้อยละ F แทน ความถี่ที่ต้องการแปลค่าให้เป็นร้อยละ n แทน จ านวนความถี่ทั้งหมด 2.2 ค่าเฉลี่ย ของคะแนน ค านวณโดยใช้สูตร ดังนี้ (สาธิดา สกุลรัตนกุลชัย, 2563) สูตร ̅= ∑ เมื่อ ̅ แทน ค่าเฉลี่ย ΣX แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จ านวนคะแนนในกลุ่ม
69 2.3 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยค านวณจากสูตร (สาธิดา สกุลรัตนกุลชัย, 2563) สูตร S.D.=√ ∑ 2−(∑ ) 2 (−1) เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนแต่ละตัว N แทน จ านวนคะแนนทั้งหมด ∑ x แทน ผลรวม 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน 3.1 เปรียบเทียบผลคะแนนการวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียน ของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ t-test โดยการทดสอบแบบกลุ่มไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample) สูตร = ∑ √ ∑ −(∑ ) − เมื่อ t แทน การแจกแจงแบบที D แทน ความแตกต่างของคะแนนหลังเรียน n แทน จ านวนนักเรียน
70 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับ ปรุง 2560). กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานตามหลักสูตรแกนกลางการศึก ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560). กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ. กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560). กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ บทความวิชาการ. (2559). ท าไมระบบการศึกษาไทยจึงพัฒนาช้า. กรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ลักขณา สริวัฒน์. (2557). จิตวิทยาส าหรับครู (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. เอกพันธ์ โห้พันธ์. (2558). ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์ วิชาสังคมศึกษา ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด นครราชสีมา. สิกขาวารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยเชาวลิตกุล. ชนัญญา ยอรัมย์. (2558). ผลการใช้ชุดการเรียนเรื่อง วันส าคัญทางพระพุทธศาสนาและศาสนพิธีโดย ใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ (Jigsaw) ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์. ภาณุพงศ์ แก้วบุญเรือง. (2562). การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจิกซอว์เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ และความคงทนในการเรียนรู้ เรื่อง กฎหมายในชีวิตประจ าวัน ส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4. วารสาร เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. จิดาภรณ์ ถิ่นตองโขบ. (2562). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือด้วยเทคนิคจิ๊กซอว์ กลุ่ม สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง พัฒนาการของ อาณาจักรสุโขทัย ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1. กลุ่มวิจัยและส่งเสริมการวิจัยทางการศึกษา ส านักพัฒนานวัตกรรมการจัด การศึกษา ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. วริศรา วิทยาลัย. (2562). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์เรื่อง พัฒนาการของอาณา จักอยุธยาโดยเทคนิคจิ๊กซอว์ร่วมกับสื่อประสม ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุตรดิตถ์. ศิรินภา น้อยสว่าง. (2562). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิคจิ๊กซอว์ เรื่อง วัน ส าคัญทางพระพุทธศาสนา ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.
71 สุปรียา โวหารกล้า และคณะ. (2560). ผลการจัดการเรียนรู้เรื่อง ความเป็นพลเมือง ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิกซอว์. วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล. ชนัญธิดา สายวันดี. (2563). การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค Jigsaw เรื่อง กฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ ปริญญาครุศาสตรมหา บัณฑิต สาขาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. วารุณี ทองดี. (2559). การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบแบ่งกลุ่มผลสัมฤทธิ์ร่วมกับวัฎจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น เพื่อส่งเสริมความเข้าใจมโนมติสมดุลเคมีและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้น บูรณาการของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีผลการเรียนวิทยาศาสตร์ต่างกัน. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี. รังสิมา วงษ์ตระกูล. (2561). แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้แบบรวมมือ. จากแหล่งที่มา https://www.gotoknow.org/posts/401180. กลัญญูเพชราภรณ์. (2563). การออกแบบและเขียนแผนการจัดการเรียนรู้. คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา. บุตรญรัตน์ วันโส. (2559). ขั้นตอนจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Co-operative learning). ครุศาสตรมหาบัณฑิต (ค.ม.) สาขาวิชา หลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏ สกลนคร. มนตรี วงษ์สะพาน. (2563). พื้นฐานการวิจัยและการสอน (พิมพ์ครั้งที่ 2). ตักสิลาการพิมพ์. Abdullah Aydin. (2017). The Effect of Jigsaw Technique on the Students Laboratory Material Recognition and Usage Skills in General Physics Laboratory-I Coursel. Universat Dourna of Educational Research. Ataman Karacop. (2017). The Effects of Jigsaw Technique Based on Cooperative Learing on Prospective Science Teachers' Science Process Skill1. Journa of Education and Proctice. Ramsay, H. The Influence of The Social Compsitition of a Learner GrouponThe Results of Cooperative Learning Task. Masters Abstracts International, 44(2): unpaged; April. 2016.