The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การท่องเที่ยวตามเส้นทางการเรียนรู้ของหลวงพ่อเดิม (วัดเขาทอง)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by phatcharapha.sing, 2022-10-17 12:53:31

ทรัพยากรการท่องเที่ยววัดเขาทอง

การท่องเที่ยวตามเส้นทางการเรียนรู้ของหลวงพ่อเดิม (วัดเขาทอง)

ทรัพยากรทางการท่องเท่ยี วตามเส้นทางการเรยี นรู้ของหลวงพ่อเดมิ

วดั เขาทอง

ตาบลเขาทอง อาเภอพยหุ ะครี ี จงั หวดั นครสวรรค์

จัดทาโดย รองศาสตราจารย์ ดร.พัชราภา สงิ ห์ธนสาร และคณะ

ไดร้ บั ทุนสนบั สนุนจากสานกั งานคณะกรรมการส่งเสรมิ วทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวัตกรรม (สกสว.)
ประจาปีงบประมาณ 2565

1

Contents

คำนำ

ตำบลเขำทอง
พิธีกรรมเล้ยี งผีหรืองานปี ...............................................................................................................................15

ประวตั วิ ดั เขำทอง

เกจอิ ำจำรย์ทีส่ ำคญั 

1. พระครูนิรันดศ์ ีลคุณ (เจา้ อธิการวนั วฒั ฑธฺมโม).............................................................................................28
2. พระครูนิภาธรรมวงศ์ (อริยวโํ ส) .................................................................................................................29

วดั เขำทองกบั หลวงพ่อเดมิ 

ทรัพยำกรทำงกำรท่องเทย่ี ววดั เขำทอง

1. วหิ ารบูรพาจารย์.......................................................................................................................................34
2. พระประธานในอุโบสถหลงั เก่า ..................................................................................................................36
3. อโุ บสถหลงั ทสี่ อง.....................................................................................................................................43
4. อุโบสถหลงั ท่สี าม .....................................................................................................................................45
5. ศาลาธรรมานุสรณ์ (ศูนยก์ ารศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาวนั อาทติ ย)์ ........................................................................47
6. ศาลาธรรมจกั ร .........................................................................................................................................48
7. สระชลาลยั ธญั ญผลประสิทธ์ิ (สระวิไล).......................................................................................................48
8. มณฑป....................................................................................................................................................50
9. สระแกว้ ..................................................................................................................................................51
10. ศาลาธรรมวงศ์ .......................................................................................................................................52
11. ศาลาสันตธิ รรม 1-2 ...............................................................................................................................52
12. หลวงพ่อทนั ใจ.......................................................................................................................................54
13. กฎุ สิ มยั หลวงพ่อเดิม ...............................................................................................................................54

เอกสำรอ้ำงองิ 

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

2

คำนำ

หนังสือทรัพยากรทางการท่องเที่ยวตามเส้นทางการเรียนรู้ของหลวงพ่อเดิม วัดเขาทอง
ตาบลเขาทอง อาเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เล่มน้ีเป็นสว่ นหนงึ่ ของการพัฒนาการท่องเท่ียวเชิง
พุทธศาสนาและวัฒนธรรม ตามเส้นทางการเรียนรู้ของหลวงพ่อเดมิ เพื่อส่งเสริมการเรยี นรู้ตลอดช่วง
ชีวิต โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
(สกสว.) ประจาปงี บประมาณ 2565 มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องคค์ วามรู้เกย่ี วกบั ประวัตแิ ละความ
เป็นมาของทรัพยากรการท่องเท่ียว ตามเส้นทางการเรียนรู้ของหลวงพ่อเดิม ณ วัดเขาทอง สู่ชุมชน
ผู้ จัดท าห วัง เป็ น อ ย่ าง ย่ิ ง ว่าข้อ มู ล ใน ห ห นั ง สื อ เล่ ม น้ี จะมี ส่ วน ช่ วย ใน การพั ฒ น าการท่ อ ง เท่ี ย ว เชิ ง
พุทธศาสนาและวฒั นธรรมให้กับชุมชนเขาทอง และสามารถเป็นแหล่งเรียนรขู้ ้อมูลท้องถิ่นใหก้ บั เยาวชน
และผทู้ ่สี นใจได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

รศ. ดร.พชั ราภา สงิ ห์ธนสาร และคณะ
มิถุนายน 2565

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

3

ประวตั แิ ละความเปน็ มาของทรัพยากรการท่องเทีย่ ววัดเขาทอง

จากการศึกษาประวัติและหลักธรรมตามจริยาวัตรของหลวงพ่อเดิม ทาให้ทราบว่าหลวงพ่อ
เดิมมีความเก่ียวพันกับอาเภอพยุหะคีรีเป็นอย่างมาก เริ่มตั้งแต่ โยมบิดาของท่านได้ถือกาเนิดที่บ้าน
เนินมะกอก (อยู่เลยหมู่บ้านหนองโพไปประมาณสองสถานี) ต่อมาได้แต่งงานอยู่กินกับโยมมารดาของ
หลวงพ่อเดิม ซึ่งเป็นชาวบ้านหนองโพ และพากันย้ายครอบครัวไปอยู่ที่บ้านโพ ต่อมาเมื่อหลวงพ่อเดิม
มีอายุครบบวชได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดเขาแก้ว อาเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวัน
อาทิตย์ แรม 13 ค่า เดือน 11 ปีมะโรง โทศก ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม 2423 โดยมี หลวงพ่อแก้ว
วัดอินทาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อเงิน (พระครูพยุหานุศาสก์) วัดพระปรางค์เหลือง เป็น
พระกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้วได้
เดินทางกลับมาจาพรรษาอยู่ ณ วัดหนองโพ เพื่อศึกษาเล่าเรียนตามทางที่พระนวกะเล่าเรียน รวมถึง
พระปริยัติธรรม และคาถาอาคมเบื้องต้น รวมเวลาเรียน 7 พรรษา นับแต่บวชพรรษาแรก จนในท่ีสุดก็
ได้รับการแนะนาให้ไปเรียนพระปริยัติกับหลวงพ่อมี วัดบ้านบน อาเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์
2 พรรษา จึงได้ย้ายไปเรียนพระปริยัติขั้นสูงกับอาจารย์แย้ม (ฆราวาส) วัดสระทะเล อาเภอพยุหะคีรี
จังหวัดนครสวรรค์ จากนั้นได้มอบตัวเป็นศิษย์ของพระอาจารย์นุ่ม วัดเขาทอง อาเภอพยุหะคีรี จังหวัด
นครสวรรค์ เรียนเรื่องการเทศน์การอ่านใบลานเทศน์และทานองเทศน์อันเป็นอักขระภาษาบาลี จน
หมดความรู้ของหลวงพ่อนุ่ม เมื่อหลวงพ่อเดิมได้เรียนปริยัติแล้ว จึงไปศึกษาหาความรู้ทางวิปัสสนา
กรรมฐานกับหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล อาเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดวิชา
ทางวิปัสสนาคาถาอาคม การปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ตามที่หลวงพ่อเทศ ถนัดทุกประการ รวมถึง
เรียนวิปัสสนากรรมฐานและการเจริญกษิณ และที่แน่นอนคือ “วิชาน้ามนต์จินดามณีสารพัดนึก” กับ
หลวงพ่อเงิน วัดพระปรางค์เหลือง อาเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ และที่ขาดไม่ได้คือ วิชามีดหมอ
หลวงพ่อเดิมท่านได้ศึกษาวิชานี้ของหลวงพ่อขา วัดเขาแก้ว อาเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ มา
จากหลวงพ่อเทศ ซึ่งในขณะนั้นมีตาแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาแก้ว ต่อมาขาดทายาทสืบต่อวิชามีด
หมอ หลวงพ่อกัน จากวัดเขาแก้วจึงตามมาศึกษาวิชานี้จากหลวงพ่อเดิมอีกลาดับหน่ึง (ข้อมูลจากการ
สัมภาษณ์)

นับเวลาตั้งแต่หลวงพ่อเดิมอุปสมบท จนกระทั่งเดินทางไปศึกษาวิทยาการในด้านต่าง ๆ
ตลอดเส้นทางการเรียนรู้ของหลวงพ่อเดิม พบว่าอาจารย์ของหลวงพ่อเดิมนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ที่
วัดต่าง ๆ ในอาเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสรรค์ โดยพบว่าแหล่งเรียนรู้ของหลวงพ่อเดิมในเขตอาเภ อ
พยุหะคีรี ประกอบด้วย 6 ที่ คือ (1) วัดเขาแก้ว ตาบลพยุหะ (2) วัดอินทาราม (วัดใน) ตาบลพยุหะ
(3) วัดพระปรางค์เหลือง ตาบลท่าน้าอ้อย (4) วัดเขาทอง ตาบลเขาทอง (5) วัดสระทะเล ตาบล
สระทะเล และ (6) วัดบ้านบน ตาบลม่วงหัก

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

4

ภาพท่ี 1 เส้นทางการเรียนรู้ของหลวงพ่อเดิม
ที่มา: https://www.google.co.th/maps/, 2563

ประวตั อิ ำเภอพยุหะครี ี

ในสมัยโบราณพยุหะคีรี ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เป็นทางเดินของกองทัพโบราณไม่ว่า
จะเป็นเมืองสุโขทัย หรือกรุงศรีอยุธยา จะต้องยกทัพผ่านทางนี้ เพราะเป็นศูนย์กลางระหว่างเมือง
ไชยนาทบุรี (จังหวัดชัยนาท) และเมืองพระบาง (จังหวัดนครสวรรค์) ซึ่งเป็นที่พักที่ดีสมัยนั้น ข้อมูล
จาก สานักงานพัฒนาชุมชนอาเภอพยุหะคีรี พบว่าพยุหะคีรี เดิมเป็นเมือง ๆ หนึ่งขึ้นอยู่กับจังหวัด
นครสวรรค์ มีหน้าที่เก็บเงินส่วยอากร ผู้มีหน้าที่เก็บส่วยอากรสมัยนั้นชื่อ หลวงภูมิ ได้ต้ังบุตรชายของ
ตนช่ือจันทร์ ขึ้นเป็นเจ้าเมืองพยุหะคีรี มีที่ทาการอยู่ข้างวัดพระปรางค์เหลือง ตาบลท่าน้าอ้อย ต่อมา
ได้ย้ายที่ทาการไปอยู่บ้านสระเศรษฐี ตาบลน้าทรง ตั้งที่ทาการแบบชั่วคราวมีจวนเจ้าเมือง บ้า น
ราชการ เรือนจา (ล้อมด้วยไม้ไผ่) เจ้าเมืองคนต่อมา ชื่อ กัน และ อิ่ม ต่อมามีโจรกลุ่ มหนึ่งคุมสมัคร
พรรคพวกประมาณ 40 คน เข้าทาการปล้นจวนเจ้าเมือง สถานที่ราชการ จึงได้ย้ายตัวเมืองพยุหะคีรี
มาตั้งอยู่ที่คลองหลวงพิบูลย์ เมื่อสิ้นอายุเจ้าเมืองอิ่มแล้ว เจ้าเมืองคนต่อมาชื่อปุ้ย ได้ย้ายตัวเมืองมา
ต้ังอยู่ที่บ้านท่าแร่ สร้างที่ว่าการอาเภอพยุหะคีรีขึ้น ณ ตาบลพยุหะ ปัจจุบันที่ว่าการอาเภอพยุหะคีรี
ได้ย้ายมาตั้งฝั่งตะวันออกของสายเอเชีย ณ บ้านเลขที่ 111 หมู่ที่ 3 ตาบลสระทะเล อาเภอพยุหะคีรี
จังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2541 อาเภอพยุหะคีรี ประกาศตั้งเป็นอาเภอเมื่อ พ.ศ.2437 ตั้งอยู่
บริเวณเชิงเขาตะเภา หมู่ท่ี 3 ตาบลสระทะเล อาเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งพอจะสืบสาวราว
เรื่องได้จากท่านผู้หลักผู้ใหญ่ หรือนิทานปรัมปราว่าลูกชายเจ้าพ่อสิงห์ หรือเจ้าพ่อเขาสิงห์รักใคร่อยู่กับ

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

5

ลูกสาวเมืองสระเศรษฐี จึงได้จัดขบวนขันหมากใหญ่เท่าภูเขามาตั้งไว้ตามทิศทางต่าง ๆ ทิศเหนือมี
ภูเขาโยง ภูเขาลูกนี้ติดต่อโยงกันเป็นพืด กับแดนทางเหนือเพื่อป้องกันโจรผู้ร้าย ที่จะมาชิงทรัพย์สิน
และขันหมาก ทิศตะวันออกมีเขาปกล้น ทิศตะวันตกมีเขาพระแวง (ขณะนี้อยู่ในเขตอาเ ภอเมือง
อุทัยธานีคร่ึงหนึ่ง) ขบวนขันหมากและผู้คนได้จัดอาหารคาว - หวานที่เขาฝอยทอง เมื่อกินอาหารคาว
หวานกันเสร็จแล้ว ก็นาถ้วยชามไปทาการล้างที่ บึงกระด่ิง (ในบึงกระด่ิงน้ีมีเศษถ้วยชามซ่ึงเป็นของเก่า
จมอยู่ในบึงเป็นจานวนมาก) และได้จัดแก้วแหวน เงินทองซึ่งจะต้องนาไปให้ฝ่ายเจ้าสาวที่เขาแก้ว
ตาบลพยุหะ ซ่ึงเป็นสัญลักษณ์เรียกกันว่า เขาแก้ว ตลอดมา เม่ือได้เวลาอันเป็นมงคลจึงได้ทาการส่งตัว
เจ้าบ่าวเจ้าสาว โดยจัดขบวนเจ้าสาวล่องไปตามแม่น้าเจ้าพระยา ทาการส่งตัวเจ้าสาวที่เมืองสระ
เศรษฐี ซึ่งมีชื่อต่อมาจนถึงทุกวันนี้ว่า บ้านสระเศรษฐี ผู้เฒ่าผู้แก่ได้เล่าสืบต่อกันมาเป็นทานองนิยาย
ปรัมปราว่า ถึงวันดีคืนดี คือวันขึ้น 15 ค่า หรือวันธรรมสวนะ จะได้ยินเครื่องสาย มโหรี ปี่พาทย์ ที่
สระเศรษฐีนั้น

อาเภอน้ีมีชื่อประกอบด้วยคาบาลีสันสกฤติสองพยางค์ คือ พยุหะ กับ คีรี คาว่า พยุหะ แปลว่า
ขบวนกองทัพ คาว่า คีรี แปลว่า ภูเขา พยุหะคีรีจึงแปลว่า กองทัพภูเขา หมายถึงการมีภูเขามากมาย
นั่นเอง ตามหลักภาษา คานี้ไม่ต้องประวิสรรชนี (เติมสระอะ) ที่ตัวท้ายของพยางค์แรก แต่ได้ใช้กัน
อย่างนี้มานานแล้ว และยังไม่มีการแก้ไขให้ถูกต้อง ที่ไม่มีการแก้ไขให้ถูกต้องเพราะอาจ จะถือว่าเป็น
คานามเข้ากรณียกเว้นได้ ไม่อาจสืบเร่ืองราวได้ว่า ใครเป็นผู้ต้ังชื่อนี้ แต่ยอมรับกันว่าเป็นช่ือที่เหมาะสม
เพราะฝั่งซ้ายแม่น้าเจ้าพระยา ตอนเหนือ เต็มไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่สลับซับ ซ้อนกันมากมาย ถ้าหาก
มองดี ๆ แล้ว เบื้องบนจะเห็นภูเขาต่าง ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกองทัพที่เคลื่อนพลไปรุกรบ ณ ที่แห่งใด
แห่งหนึ่งได้ทุกขณะ โดยประกอบด้วย ภูเขาลูกน้อยใหญ่เป็นขุนพลนาทัพอยู่เบ้ืองหน้าติดตามด้วยภูเขา
ลูกเล็กลูกใหญ่ ภูเขาลูกเล็กลูกน้อย ซึ่งเปรียบเสมือนพลทัพและนายกอง ภูเขาอันสลับซับซ้อนน้ี ได้
กลายเป็นสัญลักษณ์ของ อาเภอพยุหะคีรี อยู่จนทุกวันนี้ เดิมที่ว่าการ อาเภอพยุหะคีรี ตั้งอยู่บริเวณ
ริมน้า ถนนชิดวารี หมู่ที่ 6 ตาบลพยุหะ ซ่ึงเป็นหมู่บ้านที่เก่าแก่ และมีช่ือเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปใน
ภาคกลาง คือ บ้านหัวแด่น ซึ่งคล้ายกับ จังหวัดนครสวรรค์ ที่ต้ังอยู่ที่ปากน้าโพ จึงทาให้ชาวบ้ านเรียก
อาเภอนี้ว่า อาเภอหัวแด่น

คาว่า หัวแด่น สืบเนื่องมาจากนิยายปรัมปราเล่าสืบกันมาครั้งโบราณว่าที่เชิงเขาแก้ว อัน
เป็นบริเวณที่ตั้ง วัดเขาแก้วในปัจจุบัน มีถ้าอยู่ถา้ หน่ึง ถา้ นี้ลึก และยาวไปสุดปลายถา้ ที่ริมน้าเจ้าพระยา
จากคาบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ว่า เมื่อสมัยยังเป็นเด็ก ถ้านี้ยังมีอยู่แต่เด๋ียวน้ีได้ถูกปิดไปเสียแล้ว มีเร่ือง
เล่าต่อกันมาว่า เมื่อคร้ังกระโน้น ถ้านี้เป็นที่เก็บสมบัติของกษัตริย์โบราณ เช่น เพชร นิล จินดา แก้ว
แหวนเงินทอง แต่ไม่ค่อยมีผู้ใดพบเห็นบ่อยนัก นับว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีบุญเท่านั้นจึงจะได้เห็น จะ
หยิบฉวยเอาไปเป็นสมบัติส่วนตัวก็ไม่ได้เพราะมีวัวใหญ่ตัวหนึ่งเฝ้าอยู่วัวตัวนี้เล่ากันว่ามีรูปร่างใ หญ่โต
มีลักษณะสง่างาม สีแดง ที่หน้าผากมีสีขาวด่าง ชาวบ้านจึงเรียกว่า วัวแด่น ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็น หัว
แด่น ช่ือนี้ได้กลายเป็นช่ือหมู่บ้านใหม่ ที่ต้ังอยู่บริเวณเขานั้น ปัจจุบันที่ว่าการ อาเภอพยุหะคีรี ได้ย้าย

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

6

ไปเปิดทาการ ณ ท่ีแห่งใหม่ บริเวณเขาตะเภา หมู่ที่ 3 ถนนสายเอเชีย ตาบล สระทะเล

ตั ้ง แ ต ่ว ัน ที ่ 2 7 เ ม ษ า ย น 2 5 4 1 เป ็น ต ้น ม า (ส ืบ ค ้น ใ น https://district.cdd.go.th/

phayuhakhiri/about-us/ประวัติความเป็นมา/ปี 2563)

ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (สืบค้นใน https://th.wikipedia.org/wiki/อาเภอพยุหะคีรี)
พบว่า

 ปี พ.ศ. 2460 ยกฐานะตาบลตาคลี อาเภอพยุหะคีรี ขึ้นเป็น ก่ิงอาเภอตาคลี ขึ้นกับอาเภอ
พยุหะคีรี

 วันที่ 11 พฤศจิกายน 2466 ตั้งตาบลหัวหวาย แยกออกจากตาบลหนองโพ

 วันท่ี 26 กรกฎาคม 2480 โอนพื้นท่ีตาบลหนองโพ อาเภอพยุหะคีรี ไปขึ้นกับ กิ่งอาเภอตาคลี
อาเภอพยุหะคีรี

 วันที่ 2 สิงหาคม 2480 ยกฐานะตาบลตาคลี ตาบลหนองสร้อยทอง ตาบลช่องแค ตาบลหัวหวาย
ตาบลหนองหม้อ ตาบลจันเสน และตาบลหนองโพ กิ่งอาเภอตาคลี อาเภอพยุหะคีรี เป็น อาเภอตาคลี

 วันที่ 22 สิงหาคม 2481 โอนพื้นที่หมู่ 1 บ้านเกาะตานิว (ในขณะนั้น) ของตาบลยางขาว
อาเภอพยุหะคีรี ไปขึ้นกับตาบลโกรกพระ อาเภอโกรกพระ และโอนพื้นที่หมู่ 11 บ้านหนองพรมหน่อ
(ในขณะน้ัน) ของตาบลยางขาว อาเภอพยุหะคีรี ไปข้ึนกับตาบลเนินกว้าว อาเภอโกรกพระ

 วันที่ 10 มิถุนายน 2490 ตั้งตาบลท่านา้ อ้อย แยกออกจากตาบลพยหุ ะ

 วันที่ 22 มีนาคม 2492 โอนพื้นที่หมู่ 9 (ในขณะนั้น) ของตาบลม่วงหัก ไปขึ้นกับตาบล
ท่าน้าอ้อย

 วันท่ี 3 สิงหาคม 2499 จัดต้ังสุขาภิบาลพยุหะ ในท้องทีบ่ างส่วนของตาบลพยุหะ

 วันที่ 1 มีนาคม 2501 จัดตั้งองค์การบริหารส่วนตาบลท่านา้ อ้อย ในท้องที่ตาบลท่านา้ อ้อย

 วันที่ 1 พฤษภาคม 2502 เปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดนครสวรรค์ กับจังหวัดอุทัยธานี โดยโอน
พื้นที่หมู่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 เฉพาะฝั่งตะวันตกของคลองอีเติ่ง (ในขณะนั้น) กับพื้นที่หมู่ที่ 8 เฉพาะ
ด้านตะวันตกของสันเขาพะแวง ของตาบลน้าทรง ไปข้ึนกับอาเภอเมืองอุทัยธานี

 วันที่ 2 มิถุนายน 2502 โอนพื้นที่หมู่ 7 เฉพาะฝั่งตะวันออกของคลองอีเติ่ง (ในขณะนั้น)
ของตาบลเนินแจง อาเภอเมืองอุทัยธานี ไปตั้งเป็นหมู่ 8 ของตาบลนา้ ทรง โอนพื้นที่หมู่ 8 เฉพาะด้าน
ตะวันออกองสันเขาพะแวง (ในขณะนั้น) ของตาบลเนินแจง อาเภอเมืองอุทัยธานี ไปรวมกับหมู่ 8 ของ
ตาบลยางขาว และโอนพื้นที่หมู่ 9 (ในขณะนั้น) ของตาบลเนินแจง อาเภอเมืองอุทัย ธานี ไปตั้งเป็น
หมู่ 9 ของตาบลน้าทรง

 วันที่ 17 พฤษภาคม 2503 จัดตั้งนิคมสร้างตนเอง ในท้องที่อาเภอพยุหะคีรี

 วันท่ี 5 กรกฎาคม 2503 ต้ังตาบลนิคมเขาบ่อแก้ว แยกออกจากตาบลเนินมะกอก

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

7

 วันท่ี 18 กรกฎาคม 2504 ต้ังตาบลเขากะลา แยกออกจากตาบลเขาทอง
 วันท่ี 13 กรกฎาคม 2525 ตั้งตาบลสระทะเล แยกออกจากตาบลย่านมัทรี
 วันที่ 13 ตุลาคม 2537 จัดตั้งสุขาภิบาลท่าน้าอ้อย ในท้องที่บางส่วนของตาบลท่านา้ อ้อย
และตาบลม่วงหัก
 วันที่ 25 พฤษภาคม 2542 ยกฐานะจากสุขาภิบาลพยุหะ และสุขาภิบาลท่าน้าอ้อย เป็น
เทศบาลตาบลพยุหะ และเทศบาลตาบลท่านา้ อ้อย ตามลาดับ
 วันท่ี 15 กันยายน 2547 ยุบองค์การบริหารส่วนตาบลท่าน้าอ้อย และองค์การบริหารส่วน
ตาบลม่วงหัก รวมกับเทศบาลตาบลท่าน้าอ้อย
 วันที่ 27 มีนาคม 2556 เปลี่ยนแปลงชื่อเทศบาลตาบลท่าน้าอ้อย อาเภอพยุหะคีรี เป็น
เทศบาลตาบลท่าน้าอ้อยม่วงหัก
อาเภอพยหุ ะครี แี บ่งเขตการปกครองยอ่ ยออกเป็น 11 ตาบล 120 หมบู่ า้ น ไดแ้ ก่

1) พยหุ ะ 9 หมบู่ า้ น
2) เนินมะกอก 11 หมูบ่ ้าน
3) นคิ มเขาบ่อแก้ว 14 หมบู่ ้าน
4) มว่ งหกั 10 หมู่บา้ น
5) ยางขาว 9 หมู่บา้ น
6) ย่านมัทรี 7 หมบู่ ้าน
7) เขาทอง 11 หม่บู ้าน
8) ท่านา้ ออ้ ย 8 หมูบ่ ้าน
9) นา้ ทรง 11 หมูบ่ า้ น
10) เขากะลา 19 หมบู่ า้ น
11) สระทะเล 12 หมบู่ า้ น

อาเภอพยุหะคีรี ต้ังอยทู่ างตอนกลางค่อนไปทางใตข้ องจังหวัดอย่หู ่างจากจังหวัด 28 กิโลเมตร
สาหรับท่ีว่าการอาเภอ ตั้งอยู่ริมถนนสายทางหลวงแผ่นดิน มีพ้ืนที่ท้ังหมด 740.8 ตารางกิโลเมตร หรือ
ประมาณ 462,996 ไร่

ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตร์ พืน้ ทโ่ี ดยทัว่ ไปอาเภอพยหุ ะคีรี ตงั้ อยูส่ องฝ่ังแมน่ า้ เจ้าพระยา เฉพาะพืน้ ท่ี
ฝ่ังขวาของแมน่ า้ เจา้ พระยาเปน็ พืน้ ทรี่ าบ เหมาะแกก่ ารเพาะปลกู และเลย้ี งสัตว์ สว่ นฝงั่ ซา้ ยมพี ้ืนทส่ี ่วนมาก
เปน็ ทร่ี าบสงู ลอ้ มรอบดว้ ยภูเขา

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

8

ภาพที่ 2 ที่ว่าการอาเภอพยุหะคีรี สมัยรัชกาลที่ 5 และในปัจจุบัน
ท่ีมา: คณะกรรมการบริหารงานอาเภอพยุหะคีรี, 2560

อาเภอพยุหะคีรีตั้งอยู่ทางตอนกลางค่อนไปทางใต้ของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขต
การปกครองข้างเคียง ดังนี้

ทิศเหนือ ติดต่อกับอาเภอเมืองนครสวรรค์
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอาเภอท่าตะโกและอาเภอตากฟ้า
ทิศใต้ ติดต่อกับอาเภอตาคลีและอาเภอมโนรมย์ (จังหวัดชัยนาท)
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอาเภอเมืองอุทัยธานี (จังหวัดอุทัยธานี) และอาเภอโกรกพระ

ภาพท่ี 3 แผนที่อาเภอพยุหะคีรี รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ
ท่ีมา: คณะกรรมการบริหารงานอาเภอพยุหะคีรี, 2560

วดั เขาทอง

9

ตารางท่ี 1 รายนามเจ้าคณะอาเภอพยุหะครี ี วัด ปีที่ประจาตาแหนง่
รายนาม วดั พระปรางคเ์ หลอื ง พ.ศ. 2444
พ.ศ. 2451
พระครพู ยหุ านสุ าสน์ (เงิน) วดั บ้านบน พ.ศ. 2458
พระครพู ยหุ านศุ าสก์ (สิทธ์ิ) วัดหนองโพ พ.ศ. 2477
พระครนู ิวาสธรรมขนั ธ์ (เดิม พทุ ธฺ สโร) วดั ยางขาว พ.ศ. 2502
พระครูพยหุ านศุ าสก์ (ชิต ชติ จติ ฺโต) วดั เขาแก้ว พ.ศ. 2523
พระครูนยิ ตุ ต์ธรรมกิจ (บญุ ธรรม ธมมฺ ปปฺ สาโท) วดั เขาแก้ว พ.ศ. 2552
พระครนู ทิ ัศน์ธรรมเวที (ปลด ปยิ ธโร) ป.ธ.5) วดั คลองบางเดื่อ พ.ศ. 2562
พระครปู ภัสสรธรรม (ละมัย ปภสฺสโร ป.ธ.5) วัดเขาทอง
พระครนู ิภาธรรมวงศ์ (อรยิ วโส)

คาขวัญประจาอาเภอ
สามหลวงพ่อศักด์สิ ิทธิ์ แหล่งผลิตพระเคร่ือง นามกระเดื่องช่างฝีมือ เลื่องระบือเกษตรกรรม

ตำบลเขำทอง

บ้านเขาทองเป็นชุมชนเก่าแก่ตั้งอยู่บนขอบที่ราบยกตัวของท่ีราบลอนลูกคลื่นระดับสูงบนฝั่ง
ตะวนั ออกของแมน่ า้ เจา้ พระยา จนดคู ลา้ ยอย่บู นเขาเม่อื มองจากถนนทางเข้าบรเิ วณทร่ี าบใกลแ้ ม่น้า เพราะ
สูงกว่าระดับน้าในแม่น้าเจ้าพระยาถึง 21 เมตร ก่อนจะลดระดับลาดลงสู่บงึ บอระเพ็ดทางทิศเหนือ กลุ่ม
บา้ นทีเ่ ก่าแกท่ ี่สุด ต้งั อย่บู นเนนิ เศษขต้ี ะกรนั จากการถลงุ เหล็กทาใหด้ เู หมอื นอยบู่ นโคกสงู เด่นกว่ากลมุ่ บา้ น
อนื่ ๆ มกี ารบอกเล่าสบื ตอ่ มาวา่ “บ้านเขาทองแต่เดมิ นน้ั ตอ้ งสง่ สว่ ยเหล็ก ตอ่ มาเหลือแต่การทาเกวยี น และ
มชี ื่อเร่ืองการทาเกวียน” คาบอกเล่าน้ีตรงกับหลักฐานที่พบน่ันคือเศษตระกรันเหล็กจานวนมากท่ีอยูต่ าม
พืน้ บ้าน แต่เร่ืองทาเกวียนนัน้ ไม่มีคาบอกเล่ามากนัก และปัจจุบนั รอ่ งรอยของความชานาญนี้ไม่ปรากฏให้
เห็น จากหลักฐานทางโบราณคดีและเอกสาร พื้นที่ส่วนใหญ่ของอาเภอพยุหะคีรี อาเภอหนองบัว จังหวัด
นครสวรรค์ ข้ึนไปถึงเขตอาเภอบึงสามพัน ในจังหวัดเพชรบูรณ์ และบางส่วนของอาเภอมโนรมย์ จังหวัด
ชัยนาท เป็นแหล่งถลงุ เหล็กมาตงั้ แต่สมัยกอ่ นประวัติศาสตร์ จนกระทัง่ สมยั อยุธยาและตน้ รตั นโกสนิ ทร์

บ้านเขาทองมีอายุการต้ังบ้านเรือนมานานแล้ว ประมาณ 700 ปีเศษ ที่เรียกว่า “เขาทอง”
นั้นมีเร่ืองเล่าหลายเร่ืองที่เกี่ยวกับที่มาของช่ือบ้านเขาทอง ดังน้ี

เรื่องที่ 1 เดิมมี ภูเขาเล็ก ๆ ลูกหน่ึง (ปัจจุบันเป็นท่ีตั้งวัดเขาทองโตพุทธาราม) ภูเขาทั้งลูก
เป็นทองคาทั้งหมดและมีเทวดาเป็นผู้รักษาอยู่ วันหน่ึงเทวดาได้แปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างอัปลักษณ์
ปากเน่ามือหงิกมาขอน้าจากชาวบ้านละแวกน้ันดื่ม แต่ปรากฏว่าชาวบ้านละแวกนั้นเมื่อเห็นคนรูปร่าง

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

10

อัปลักษณ์มาขอนา้ ดื่มเช่นนั้นก็เกิดการรังเกียจ แทนที่จะใช้ขันตักน้าให้ด่ืม กลับนากะลาใส่น้ามาให้ดื่ม
แทนขันน้า เทวดาแปลงร่างมาเป็นมนุษย์นั้นจึงพูดว่า “คนเขาทองต่อไปน้ีจะไม่ได้พบเห็นภูเขาทองคา
ลูกนั้นอีก” พอส้ินคาพูดเท่าน้ันภูเขาทองที่เป็นทองคาท้ังลูกน้ันกลายเป็นภูเขาทองท่ีเป็นดินและหินไป
ทันที ปัจจุบันภูเขาทองลูกนี้มีดินและหินที่มีลักษณะเป็นสีเหลืองคล้ายสีของทองคา และเดิมเรียก
หมู่บ้านที่ตั้งบ้านเรือนว่า “บ้านภูเขาทอง” ต่อมาตัดคาว่า “ภู” ออกเหลือแต่คาว่า “บ้านเขาทอง” มา
จนทุกวันนี้ (องค์การบริหารส่วนตาบลเขาทอง อาเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ สืบค้น ใน
https://www.khao-thong.go.th/history.php)

เรื่องที่ 2 ทางตอนใต้ของที่ตั้งตาบลเขาทองมีเนินเขาเตี้ยอยู่ลูกหนึ่ง (บริเวณหมู่ 10) ใน
บริเวณดังกล่างมีหินและดินเป็นสีแดง สีเหลืองทอง หมู่บ้านนี้เรียกชื่อเองว่า “บ้านเขาป่าบัวทอง”
ต่อมาภาษาได้ผิดเพี้ยนไปซึ่งชาวบ้านมักเรียกว่า “บ้านเขาป่าปะทอง” และต่อมาเรียกเป็น
“บ้านเขาทอง” ปัจจุบันเนินเขาลูกนี้เป็นที่ตั้งของวัดเขาทองโตพุทธาราม (ประเทือง เหมือนเตย,
2539, หน้า 3)

เร่ืองท่ี 3 นายสมหวัง ดอนดี (พระวรเศรษฐ์ ธมฺมวิริโย (วัฒนะสกุลรักษ์), 2558) เล่าว่าใน
สมัยก่อนมีวัดแห่งหนึ่งเรียกว่าวัดเขาทอง มีภูเขาหลายลูกบริเวณนั้น เรียกว่า หมู่บ้านลับแล วันดีคืนดี
ได้มีทองผุดขึ้นมาจากยอดเขาผู้คนก็แตกตื่นพากันไปดูแล้วสร้างวัดข้ึน เรียกว่า วัดเขาทอง สันนิษฐาน
ว่าเรียกตามช่ือของสถานที่ที่เป็นจุดศูนย์กลางของบ้าน ซ่ึงวัดเขาทอง (สุวรรณคีรีท่าโขลง) เป็นวัดเดียว
ที่ชาวบ้านไปทาบุญและมีที่ตั้งเป็นจุดศูนย์กลางของหมู่บ้าน (หมู่ 4) ชาวเขาทองนั้นรักถิ่นฐานที่ตั้ง
บ้านเรือนและมีความผูกพันธ์ุกันเสมือนญาติ ถ้าสืบสาวไปแล้วจะเป็นญาติท่ีเกี่ยวข้องกันเกือบทั้งตาบล
ต่อมาเกิดโรคระบาดบ้าง เกิดไฟไหม้บ้านครั้งใหญ่ ที่อยู่อาศัยทากินขาดแคลน ชาวบ้านจึงได้อพยพไป
ตั้งถิ่นฐานใหม่หลายท่ี หนึ่งในน้ันคือ บ้านหนองโพ อาเภอตาคลี บ้านเกิดของหลวงพ่อเดิม

นายธนิต ซึ่งเป็นศิษย์ของพระสมุห์ชุ่ม แห่งวัดหนองโพได้รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับการตั้ง
บ้านหนองโพ และความเกี่ยวพันกับชาวเขาทองซ่ึงอยู่ห่างกันแค่ 2 สถานีรถไฟ หรือราว 24 กิโลเมตร
เป็นข้อมูลที่ได้จากการฟังพระสมุห์ชุ่มและจากบิดามารดา นอกนั้นก็อาศัยจากการเขียนต้นฉบับแล้ว
นาไปสอบทานกับคนในบ้านหนองโพ ความว่า

ย้อนไปเม่ือคร้ังเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าใน พ.ศ. 2310 เด็กหนุ่มชาวกรุงศรีอยุธยาคนหนึ่ง
ชื่อรอด อายุราว 16 ปีถูกต้อนไปอยู่ในพม่าถึง 4-5 ปี แต่ก็ยังไม่วายคิดถึงเมืองไทย รอดคบคิดกับ
หัวหน้าครอบครัวชาวไทยคนหนึ่งหนีกันมา วันนั้น เย็นแล้ว ขณะกาลังหยุดหุงหาอาหาร ข้าวใกล้สุก
พม่า 5-6 คนก็โผล่มา หัวหน้าครอบครัว (ไม่รู้ชื่อ) คว้าหอกด้ามยาวซึ่งเป็นอาวุธคู่มือโยนขึ้นไปบน
อากาศแล้วโก่งหลังตนเองขึ้นรับปลายหอกหลายครั้ง พม่าเห็นหอกสะท้อนกลับขึ้นไป ก็ชวนกันกลับ
นายรอดกับชายไทยและครอบครัวก็รีบเดินทางต่อมาในเวลากลางคืนทันที รุ่งแจ้ง หันกลับไปดูเห็น
พม่าตามมาอีก คราวนี้ข่ีช้างกันมาหลายเชือก รอดกับครอบครัวไทยต่างคนต่างวิ่งหนีกระจัดกระจาย
กัน รอดวิ่งไปพบหลุมๆหน่ึงมีกอแฝกขึ้นปกคลุมอยู่ ก็โดดลงไปแอบซ่อนตัวในหลุมนั้น พม่าควานหาตัว

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

11

ไม่เจอก็กลับ รอดต้องเดินทางรอนแรมคนเดียวจนถึงอยุธยา ครั้นไปถึงเห็นบ้านร้างไม่พบญาติและได้
ข่าวว่าพระเจ้าตากรวบรวมคนไปสร้างเมืองใหม่ที่ธนบุรีก็ตามลงไปยังธนบุรี

ในเวลานั้นนายรอดมีอายุครบบวชจึงไปบวชเป็นพระ พระรอดได้ไปพบเพื่อนพระภิกษุอีก
รูปหนึ่งซึ่งอายุแก่กว่าชื่อพระภิกษุกุน เป็นชาวบ้านเขาทอง อาเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์
พระกุนชวนพระรอดขึ้นไปอยู่เมืองเหนือด้วยกัน โดยเดินทางขึ้นไปตามลาน้าเจ้าพระ ยาจนถึง
วัดโรงช้าง อาเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท พระรอดเกิดชอบทาเลของวัดจึงขออยู่ที่วัดโรงช้างก่อน
จากน้ันพระรอดก็ตามไปอยู่วัดเขาทอง กับพระกุน

วันหนึ่งชาวเขาทองถูกเจ้าภาษีจับกุมเรื่องต้มเหล้า จาเป็นต้องหลบหนี พระรอดจึงเป็น
หัวหน้าพาญาติโยมชาวเขาทองรวม 7 ครัวเรือน อพยพจากบ้านเขาทองลงไปทางใต้ ในที่สุดคณะ
อพยพก็พบเนินบ้านร้างแห่งหนึ่ง มีโบสถ์เก่า มีต้นตาลสูงถึง 13-14 วา มีต้นมะม่วง ต้นมะขวิด และ
ต้นโพธิ์ใหญ่ที่แตกกิ่งก้านสาขาออกไปถึง 7 สาขา และมีสระน้า 2 ลูก เมื่อพักผ่อนกันพอสมควรแล้ว
ชาวเขาทองก็ช่วยกันปลูกกุฏิให้พระรอดอยู่ แล้วชาวบ้าน 7 ครัวเรือนก็แยกย้ายไปสร้างบ้านเรือนอยู่
ทางตะวันตกของวัด ชาวบ้านตั้งช่ือวัดนั้นว่า วัดสมโภชโพธิ์กระจายแล้วเปลี่ยนเป็นวัดสมโภชโพธิ์เย็น
ต่อมาเม่ือสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระอนุชาในรัชกาลท่ี 5) เสด็จมาตรวจ
การคณะสงฆ์ โปรดให้เปล่ียนช่ือวัดให้ตรงกับช่ือบ้านว่า “วัดหนองโพ”

พระภิกษุรอดอยู่ที่หนองโพมาจนแก่หง่อม หลังค่อม หูยาน ชาวบ้านเรียกท่านว่า
“หลวงพ่อเฒ่า” กล่าวกันว่าเมื่อมรณภาพนั้นท่านมีอายุถึง 120 ปี นายธนิต อยู่โพธิ์ สันนิษฐานว่าอยู่
มาจนถึงต้นรัชกาลที่ 5 ส่วนชีวประวัติตอนต้นเข้าใจว่าท่านคงจะเล่าให้ลูกศิษย์และชาวบ้านฟัง
ลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงของหลวงพ่อเฒ่าคนหนึ่งคือ หลวงพ่อขา วัดเขาแก้ว อ.พยุหะคีรี ส่วนหลวงพ่อขามี
ลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงสืบต่อมาคือหลวงพ่อเทศ วัดสระทะเล (สระทะเลอยู่ไม่ไกลจากเขาทอง) หลวงพ่อ
เทศองค์นี้แหละมีศิษย์เป็นพระมีชื่อเสียงเลื่องลือในต่อมาคือพระครูนิวาสธรรมขันธ์หรือ หลวงพ่อเดิม
วัดหนองโพ

บ้านเขาทองเป็นชุมชนเก่าแก่ต้ังอยู่บนขอบที่ราบยกตัวของท่ีราบลอนลูกคลื่นระดับสูงบน
ฝ่ังตะวันออกของแม่น้าเจ้าพระยา จนดูคล้ายอยู่บนเขาเม่ือมองจากถนนทางเข้าบริเวณท่ีราบใกล้แม่นา้
เพราะสูงกว่าระดับน้าในแม่น้าเจ้าพระยาถึง 21 เมตร ก่อนจะลดระดับลาดลงสู่บึงบอระเพ็ดทาง
ทิศเหนือ

ชาวเขาทองพื้นเพเป็นชาวมอญ อพยพมาค้าขายจากเมืองเมาะตะมะ โดยเดินทางข้ามมา
ทางจังหวัดอุทัยธานี อีกส่วนอพยพมาจากภาคอีสาน จากข้อมูลหลักฐานของชาวมอญที่ยังเหลืออยู่
พระประธานในพระอุโบสถวัดเขาทองยังหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ประเพณี
ของชาวมอญอย่างหนึ่งคือถึงจะตั้งถ่ินฐานอยู่แห่งใดจะต้องสร้างพระประธานหันหน้าไปเมืองหงสาวดี
มาตุภูมิของบรรพบุรุษ (ประเทือง เหมือนเตย, 2539, หน้า 3-4)

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

12

อาณาเขตติดต่อ ติดต่อตาบลพระนอน อาเภอเมืองนครสวรรค์
ทิศเหนือ ติดต่อตาบลสระทะเล อาเภอพยุหะคีรี
ทิศใต้ ติดต่อตาบลเขากะลา อาเภอพยุหะคีรี
ทิศตะวันออก ติดต่อตาบลยางตาล อาเภอโกรกพระ
ทิศตะวันตก

ภาพท่ี 4 แผนท่ีตาบลเขาทอง อาเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์
ที่มา : องค์การบริหารส่วนตาบลเขาทอง อาเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ สืบค้นใน

https://www.khao-thong.go.th/history.php, 2565

ตาบลเขาทอง มีทางคมนาคมติดต่อได้สะดวกทั้งทางรถไฟ และรถยนต์ อยู่ห่างจากจังหวัด
20 กิโลเมตร มีเน้ือท่ีประมาณ 84.23 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 52,673.75 ไร่ พ้นื ท่ีส่วนใหญ่เป็นที่
ราบสูงเหมาะแก่การทานา ทาไร่ และเลี้ยงสัตว์ ประกอบไปด้วย 12 หมู่บ้าน จานวนครัวเรือนทั้งหมด
3,228 ครัวเรือน ความหนาแน่นเฉลี่ย 100.82 คน/ตารางกิโลเมตร มีจานวนประชากรทงั้ หมด 7,461 คน
แยกเป็น ชาย 3,580 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 47.98 และหญิง 3,881 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 52.02
(องค์การบริหารส่วนตาบลเขาทอง อาเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ สืบค้นใน https://www.khao-
thong.go.th/history.php)

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

13

ท่ีมา : องค์การบริหารส่วนตาบลเขาทอง อาเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ สืบค้นใน
https://www.khao-thong.go.th/history.php, 2565

แม้จะมีการแบ่งเขตทางการปกครองออกเป็นหมู่ต่าง ๆ แต่มีการแบ่งพ้ืนที่อย่างไม่เป็นทางการ
รับรู้กันทั่วไปออกเป็น บ้านเหนือและบ้านใต้ นอกจากวัดเขาทองที่ชาวบ้านเรียกว่าวัดใหญ่ ซ่ึงเป็นวัด
ขนาดใหญ่ประจาชุมชน ก็ยังมีวัดร้างอยู่อีก 2 แห่งคือ วัดเหนือและวัดใต้ ยังมีซากฐานร่องรอยของ
อาคารที่น่าจะเคยเป็นวัดขนาดเล็ก ๆ ในสมัยโบราณมาก่อน ท่ีวัดใต้ยังมีหลวงพ่อเพชรประดิษฐานเป็น
ที่เคารพบูชาของคนเขาทอง แม้จะไม่มีการใช้งานทาสังฆกรรม แต่เมื่อถึงวาระในแต่ละปีจะมีการเล่น
ลิเกฉลองทั้งสองแห่ง และชาวบ้านก็ยังมาใช้สวดมนต์ ไหว้พระ บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันอยู่เร่ือย ๆ ถึงจะอยู่
ไม่ไกลลาน้าเจ้าพระยา แต่สภาพพื้นที่เป็นที่สูงไม่มีแหล่งน้าธรรมชาติ ทาให้ต้องขุดสระสาหรับเก็บน้า
ไว้ใช้ ชาวเขาทองมีนิทานเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ากินน้าใช้หลายสานวนแสดงถึงความยากลาบากใน
การหาแหล่งน้าจนถึงปัจจุบัน ในชุมชนมีหนองน้าขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “สระแก้ว” เคยเป็นทางช้างมา
ลงกินน้า ปัจจุบันขุดเป็นสระขนาดใหญ่ของชุมชน อีกสระหน่ึงอยู่ในวัดใหญ่ เรียกว่า “สระวิไล” เป็นท่ี
ตักน้าไปใช้ในครัวเรือน และยังเคยเป็นสถานที่พบปะของหนุ่มสาวที่ไปตักน้ากันตอนเย็นๆ ช่วงตรุษ
สงกรานต์บริเวณขอบสระที่เรียกว่า หัวหนอง จะใช้เป็นสถานที่เล่นจับข้อมือสาว ผู้หญิงจะยืนรวมกัน
เป็นกลุ่ม ผู้ชายถ้าพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายก็จะจับข้อมือผู้หญิงด้วยอาการสุภาพ เป็นธรรมเนีย มว่า
ไม่ให้จับถึงข้อศอก พาเดินไปรอบ ๆ สระ และห้ามเดินไปในที่ลับตาผู้คน บางบ้านพ่อกับแม่จะไปดู
ลูกสาวเล่นด้วย เป็นการผ่อนคลายและเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวพบปะกันในสายตาของผู้ใหญ่และชุมชน
มีการกล่าวอ้างอิงในหลายแห่งว่า บรรพบุรุษของชาวเขาทองแต่เดิมเป็นชาวมอญเข้ามาทางเมืองอุทัย
ในระยะใดไม่ชัดเจน แต่กล่าวถึงกันว่า ที่วัดเขาทองเคยมีโบสถ์ที่สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

14

เช่นเดียวกับโบสถ์มอญอื่น ๆ และเคยมีเสาตะลุงอยู่หน้าวัด แม้ว่าร่องรอยทางภาษาซึ่งน่าจะคงอยู่บ้าง
กลับไม่พบว่ามีภาษามอญปะปนในภาษาพูดท่ัวไป นอกจากคนในกลุ่มเขาทองและเครือญาติในหลาย
แห่งในเขตพยุหะคีรี จะมีสาเนียงที่สัมผัสการรับรู้ได้ชัดเจนว่าแตกต่างจากกลุ่มคนในละแวกท้องถิ่น
ใกล้เคียง และเรียกแกงต่าง ๆ ว่า “เลียง” ไม่ใช้มะนาวแต่ใช้ลูกมะสัง ซ่ึงเป็นไม้ยืนต้นใหญ่ คว้านเอา
เนื้อเปรี้ยวๆ ใส่แทน เรียกผ้าขาวม้าว่า “ตะโหร่ง” ไม่ชอบรับประทานอาหารที่มีกะทิ ต่างจาก
“คนแม่น้า” ท่ีอยู่ริมแม่นา้ เจ้าพระยาไม่ห่างกันที่ชอบแกงกะทิมากกว่าแกงอื่น ๆ เป็นต้น ตามที่รับรู้ว่า
ชาวมอญนับญาติและถือผีทางฝ่ายชาย มีร่องรอยหลงเหลือจากการนับถือ “หม้อตาปู่ต้าน” มีอยู่เพียง
บางบ้านในเขาทองเท่านั้น ในขณะท่ีพิธีกรรมเล้ียงผีท่ีนับญาติทางฝ่ายหญิงคือ “งานปี” และการนับถือ
“หม้อตายอดตายาย” กลายเป็นพิธีกรรมสาคัญของชุมชน มีผู้เข้าร่วมจานวนมาก ในขณะท่ีแทบจะไม่
มีใครรู้จักการนับถือ “หม้อตาปู่ต้าน” แล้ว และในขณะเดียวกัน งานพิธีสาคัญอีกประการหนึ่งของ
ชุมชนคือ พิธีทาบุญข้าวหลามในเดือนสาม ที่ชาวเขาทองเรียกว่า “งานทาบุญหน้าศาล” โดยการนิมนต์
พระไปทาบุญ ซึ่งพ้องกับพิธีทาบุญข้าวหลามหรือทาบุญข้าวจี่ของชาวลาว เป็นที่รู้ว่ามีชุมชนลาวพวน
ในอาเภอท่าตะโกและอาจมีอยู่ในอาเภอพยุหะคีรีด้วย แต่ยังไม่ได้สารวจยืนยัน ช่วงที่ทาบุญหน้าศาล
ตรงกับตรุษจีนพอดี เมื่อทาบุญเสร็จและไหว้เจ้าเสร็จก็จะมีการแลกเปล่ียนอาหารที่นามาทาบุญและ
ไหว้เจ้าของคนทั้งสองกลุ่มด้วย คนจีนในบ้านเขาทองแยกศาลกันนับถือตามเชื้อสาย จีนแคะไหว้เจ้าที่
ศาลหลังตลาด ส่วนจีนแต้จ๋ิวไหว้เจ้าที่ศาลหลังบ้าน (หลังหมู่บ้าน)

ร่องรอยจากความเช่ือบ่งบอกถึงกลุ่มคนที่แตกต่างกัน จะสรุปว่าชาวเขาทองมีบรรพบุรุษเป็น
ชาวมอญแต่อย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะคงมีการผสมผสานทางวัฒนธรรมและเชื้อสายจากคนหลายกลุ่ม
แสดงให้เห็นว่ามีความหลากหลายทางชาติพันธุ์อย่างชัดเจน ชุมชนเขาทองและชุมชนบางแห่งในอาเ ภอ
พยุหะคีรี มีชื่อทางเพลงพื้นบ้านเป็นท่ีรู้จักกันดีทั่วประเทศ มีการเก็บข้อมูลในเรื่องเพลงพ้ืนบ้านจานวน
มากจากนักวิชาการท้องถิ่น และยังเหลือคนเก่าๆ ที่สูงอายุรักการร้องการราอยู่จานวนหนึ่ง ที่มีช่ือที่สุด
คือ กลุ่มเพลงท่ีมีการร้องโต้ตอบกันระหว่างหญิง-ชาย ได้แก่ เพลงเกี่ยวข้าว เพลงพิษฐาน เพลงช้าเจ้า
โลม เพลงพวงมาลัย เพลงฉ่อย และเพลงเต้นการาเคียวที่กล่าวว่าต้นกาเนิดอยู่ท่ีบ้านสระทะเล ซึ่งอยู่
ไม่ไกลจากบ้านเขาทองนัก แล้วดัดแปลงมาเป็นระบาเต้นการาเคียวของกรมศิลปากร นอกจากนี้ ยังมี
เพลงและการละเล่นซึ่งเป็นกึ่งพิธีกรรม ระหว่างความศักดิ์สิทธิ์และความสนุกสนาน เช่น การแห่นาง
แมว และในประเพณีตรุษสงกรานต์ เช่น การเล่นจับข้อมือสาว การเล่นเข้าผีนางสุ่มนางสาก เข้าผีนาง
ด้ง เข้าผีลิงลม เข้าผีแม่ศรี ราชีบท ฯลฯ

ในปัจจุบัน ยังพบเห็นการร้องราเล่นเพลงในรูปแบบการสาธิตในโรงเรียนและงานประจา ปี
การร้องราวง การทาขวัญสู่ขวัญ เพลงกล่อมเด็ก บทแหล่ต่าง ๆ เพลงพ้ืนบ้านที่กล่าวมาแล้วตามงานรื่น
เริงต่าง ๆ และยังมีผู้ที่เคยเป็นลิเกเก่าและคณะลิเกก็ยังมีอยู่ท่ีบ้านเขาทองจานวนหนึ่ง เนื่องจากจังหวัด
นครสวรรค์เป็นศูนย์รวมคณะลิเกมากที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และเห็นความสามารถด้านปฏิภาณ
ไหวพริบท่ีแสดงออกตามธรรมชาติและยังคงอยู่ โดยเฉพาะจากการเล่นเพลงฉ่อย การร้องราลิเกได้จาก

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

15

งานพิธีกรรมเล้ียงผี ซ่ึงเป็นส่วนสาคัญของพิธีกรรม (วลัยลักษณ์ ทรงศิริ, 2544 สืบค้นใน https://lek-
prapai.org/home/view.php?id=802)

พธิ กี รรมเลย้ี งผหี รอื งานปี

ข้อมูลจาก วลัยลักษณ์ ทรงศิริ (สัญลักษณ์ที่ปรากฏในพิธีกรรมเล้ียงผี “งานปี” บ้านเขาทอง
อาเภอพยหุ ะคีรี จงั หวัดนครสวรรค์ สืบค้นใน https://lek-prapai.org/home/view.php?id=802) และ
จากการสมั ภาษณ์ พบว่า

พิธีกรรมเล้ียงผี หรือ “งานปี” ของบ้านเขาทอง แต่เดิมเคยทากัน 3 ปีคร้ังหน่ึง เรียกว่า
“งานสามปี” ประกอบพิธีกันในปีท่ีมีเดือน 8 สองครั้ง กาหนดทาในเดือน 7 แต่ปัจจุบันจัดปีเว้นปี และ
เรียกว่า “งานปี” จะกาหนดจัดกันในเดือน 7 วันที่สะดวก โดย “ร่างทรง” ซ่ึงเรียกกันว่า “ท้าว” เป็นผู้
กาหนด ผูท้ ี่เปน็ ท้าวไดต้ ้องเป็นผู้หญิงสูงอายุซง่ึ สืบทอดตาแหน่งเปน็ สายตระกูล บ้านเขาทองซึ่งเปน็ ชุมชน
ใหญ่ในอาเภอพยุหะครี มี เี ครือญาติทีอ่ ยู่ตา่ งชุมชนทั้งใกล้และไกล เมอ่ื ถึงเวลางานปี จงึ มาร่วมงานกันคับค่ัง
แต่กอ่ นผู้คนไมม่ ากนักก็ทาพิธีเพียงแห่งเดียวครง้ั เดียว แต่เมอื่ มีคนมากข้ึน จงึ ตอ้ งแบ่งเป็นบ้านเหนือและ
บ้านใต้ มีท้าวคนสาคัญผู้ทาพิธเี พิ่มเป็นสองคนและทาพิธีในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน งานประเพณีน้ี ชาวบ้าน
เรียกกันหลายชื่อ เช่น งาน “ไหว้ผี”, “ไหว้ผีโรง”, “งานปี” ผีในที่นห้ี มายถึงผบี รรพบุรษุ พธิ กี รรมไหว้ผจี ะ
ควบคู่ไปกบั ประเพณพี ิธีกรรมทีส่ าคญั ของชาวบา้ นอีกอย่างหนง่ึ คอื การรบั “หม้อตายอดตายาย”

หม้อตายอดตายาย

หม้อตายอดตายาย คือหม้อดินขนาดเล็ก ๆ ข้างในหม้อใส่เบี้ย 3 ตัว หมาก 3 คา ข้ีผ้ึงก้อนหนึ่ง
รองด้วยสาลี เทยี นและขผ้ี ้ึงลนหม้อให้หอม ใส่สาแหรกแขวนไวท้ ่เี หนือหัวนอน การตงั้ หม้อตายอดตายายนี้
แมจ่ ะตงั้ ใหล้ กู สาวทีแ่ ต่งงานออกเรือนไปแลว้ และนิยมทาเมื่อมลี ูกคนแรก ในเดอื นคู่ ข้างขึ้น เพื่อความเป็น
สริ มิ งคล ลูกหลานจะเล้ียงง่ายไมเ่ จบ็ ป่วย โดยผทู้ าพิธีต้องรู้วิธีการต้ังหมอ้ และเป็นหญิงสงู อายุ และผทู้ ่ีต้ัง
หม้อตายอดตายายแล้วเท่าน้ัน จึงจะมีสิทธิปลูกศาลใน “งานปี” กล่าวได้ว่า หม้อตายอดตายาย คือ
สัญลักษณ์ของการถือผีตามสายตระกูลฝ่ายหญิง เป็นการไหว้ผบี รรพบุรุษหรือบางคนเรียกว่า “ผีโรง” ท่ี
ต้องมีประจาทกุ บา้ น เม่อื ถงึ ตรุษสงกรานต์จะนาหม้อตายอดตายายออกมาทาพธิ ีอาบน้า ประพรมของหอม
เหมือนกับการจาลองรดนา้ ดาหวั ผใู้ หญใ่ นชว่ งสงกรานต์ และทอ่ งบ่นคาถาไปพรอ้ มกนั ดังนี้

“ปยู่ า่ สองฝ่าย ตายาย สองขา้ ง เขา้ ไห เขา้ ห่อ พอ่ โรงหมอ่ ม แม่เป็นทาง ยาย พระหลวงทรงบาตร
พ่อราช พ่อบุญนาค พอ่ บญุ สงั ข์ ท้าวเขา ทา้ วไพร ตาหลวงพชิ ัย ตาขุนวิชิต ตาหมอ่ ม ยายเมย พอ่ เงนิ รงั รอง
พอ่ ทองรม่ ร่ืน แมส่ ลิดปดิ ทอง เชิญมาชมเชยเสียแตว่ ันนี้”

“หม้อตายอดตายาย” คอื ตัวแทนของบรรพบรุ ุษทลี่ ่วงลับไปแล้วของฝา่ ยหญิง จะเห็นว่าสงั คมไทย
เป็นแบบการแต่งงานมาอยู่ที่บ้านของฝ่ายหญิงและเน้นความสาคัญของเพศหญิง การต้ังหม้อจึงสะท้อน
ความสาคัญของเพศหญิงอีกประการหน่ึงนอกเหนือจากท่ีกล่าวมาแล้ว ในหมอ้ น้นั ใส่ข้ีผ้ึงและหอยเบ้ยี ซ่ึง

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

16

อาจเปน็ ตวั แทนสญั ลักษณข์ องเพศหญงิ และหมากพลูที่อาจเป็นสญั ลกั ษณ์ของเพศชาย เมอื่ ถงึ วันตรษุ จะมี
การนาหม้อออกมาล้าง ชาวบ้านเรียกว่าอาบนา้ พรมของหอมทัง้ แป้งและนา้ อบ คลา้ ยกบั การอาบน้าผู้ใหญ่
ซงึ่ ความหมายชาวบ้านเป็นผตู้ ีความเอง และวธิ กี ารก็จาลองการปฏบิ ตั จิ ริงมาดว้ ย การตง้ั หม้อของหญงิ สาว
ทอ่ี อกเรือนและมีบตุ รคนแรก แสดงถึงการมคี รอบครวั อย่างสมบูรณ์แล้ว เพราะลูกคอื สง่ิ ทแี่ สดงความมน่ั คง
ในการอยู่ร่วมกัน หากยังไม่มลี กู ชวี ิตคอู่ าจแยกกนั ได้ และผู้ท่ที าพิธีเปน็ แม่งานจดั การให้คือแม่ของหญิงสาว
แสดงถึงความรักและความผกู พนั ระหวา่ งและลูกสาวไปถึงหลานยาย เพราะเชอ่ื ว่า หากไม่ตัง้ หมอ้ ลกู ทเ่ี กิด
มาจะเลีย้ งยากและชวี ิตในครอบครวั จะไม่มคี วามสุข หมอ้ ท่ีต้ังแล้วจะแขวนใส่สาแหรกไว้ที่หัวนอนหรือเสา
เรอื นทเ่ี ป็นทส่ี ูง และจะคงอยใู่ นบ้านของครอบครวั ใหมไ่ ปตลอดชวี ติ ของหญงิ คนนั้น

ทา้ วและท้ายช้าง

ผู้ประกอบพิธกี รรม เรียกว่า “ทา้ ว” สืบทอดตามสายตระกูล ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกสาว ท้าวท่ีสืบ
ทอดตามสายเลือดในบ้านเขาทองมีอยู่ไมก่ ค่ี น ส่วนท้าวคนอื่นเป็นหญิงสูงอายุมีความประพฤติดีเป็นท่ีนับ
ถอื ของชาวบ้านมีบารมมี ากพอและจดั เจนในการทาพิธีกรรม มีทา้ วของบ้านเหนือและบา้ นใต้ ท้าวท่สี งู อายุ
และไม่แขง็ แรงจะมีท้าวคนอน่ื ๆ คอยช่วยเหลือทาพิธีแทน ดังนั้นในเขาทองจงึ มีท้าวท่ีผคู้ นนับถอื ใหเ้ ป็นผู้
ประกอบพธิ ีอยหู่ ลายคน เลา่ ว่า แตเ่ ดมิ มีอยถู่ งึ 13 คน ปัจจบุ นั เป็นธรรมเนียมนิยมวา่ หากมีผไู้ ม่สบายขนึ้ มา
มักจะรับเปน็ “คนกลางหรอื รา่ งทรง" ทาใหใ้ นเขาทองมีร่างทรงอยมู่ ากมาย เปน็ การเปล่ียนแปลงวิธกี ารสืบ
ทอดจากสายตระกูลกลายเปน็ คนท่อี า้ งว่าไดร้ บั การรักษาโรคจากอานาจพิเศษลกึ ลบั

แม้จะเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม แต่ “ท้าว” กับ “คนทรง” หรือท่ีชาวบ้านเรียกว่า “คนกลาง” ก็
ไดร้ ับการนับถือต่างกัน คนทรงในบ้านเขาทองมอี ยู่มากและพยายามเข้ามามีบทบาทในหมบู่ ้าน มเี จ้าพอ่ เจ้า
แม่ท่ีเป็นจีนและไทยมากมาย แต่ชาวบ้านก็แยกแยะการนับถือ ความเช่ือม่ัน ระหว่าง “ท้าว” และ
“คนทรง” ตา่ งกนั และหน้าที่ในการทาพิธีและเปน็ ทเี่ คารพนบั ถือของผคู้ นก็ยงั เปน็ ของ “ท้าว” น่นั เอง

ในระหวา่ งพิธีกรรม ท้าว จะมีคนรับใช้ที่เรียกวา่ “ท้ายชา้ ง” หรอื “ไทช้าง” คือผู้ท่ีท้าวแต่งต้ังให้
เปน็ ผชู้ ่วยหรือรบั ใช้ในงานพธิ มี ที ้ังชายและหญิง ทง้ั ท่ีสืบตามสายตระกูลและผทู้ ่ีอทุ ศิ ตัวเขา้ ร่วมดว้ ย แต่ละ
คนจะมหี น้าทต่ี ่างกันไป ชว่ ยเหลือสนบั สนุนท้าวและเป็นผู้ส่อื สารระหวา่ งทา้ วและชาวบ้าน ทาหน้าที่คอย
ดูแลเวลาผลดั เปล่ยี นผ้านงุ่ เดินรับสง่ บางพวกเปน็ นักดนตรีพวกปพ่ี าทย์และกลองยาว แต่เดิม ทา้ ยชา้ งมี
เฉพาะผหู้ ญิง แตป่ จั จุบันเห็นทั้งผชู้ ายและผูห้ ญงิ

“ทา้ ว” คือบุคคลพิเศษท่ีสามารถสอื่ สารระหวา่ งโลกของผีและโลกของมนษุ ย์ อานาจพเิ ศษน้ีตอ้ ง
ส่งผ่านถา่ ยทอดตามสายตระกลู ระหว่างแมแ่ ละลูกสาว น่ันหมายถงึ อานาจในการติดตอ่ กบั ผอี ย่ใู นมือของ
เพศหญิงเทา่ นนั้ เป็นทเ่ี ชอ่ื กนั ว่าเพศหญิงเปน็ เพศทจี่ ติ ใจออ่ นไหวกวา่ เพศชาย การตดิ ต่อกับสิง่ ทีเ่ ปน็ อานาจ
เหนอื ธรรมชาติจึงควรเปน็ ของเพศหญงิ

“ท้าว” เป็นสญั ลักษณ์ของส่งิ ท่ีอยรู่ ะหว่างกลาง ที่ไม่ใชค่ วามคลุมเครือเพราะมสี ถานภาพชัดเจน
ไม่มมี ลทนิ หรือถูกปฏิเสธจากสังคม ทา้ วจึงมคี วามแตกต่างจากคนท่ัวไป เพราะสามารถสื่อความต้องการ

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

17

ของมนุษยแ์ ละของผใี ห้มาพบกันได้ และอยู่ในสถานภาพท่ีคนในสงั คมเคารพยกยอ่ ง มีบทบาทในการเปน็ ที่
พ่ึงทางจิตใจของคนในชุมชนคอ่ นข้างมาก

ปัจจุบนั มีทา้ วอยู่ 2 ทา่ น ที่เปน็ ผ้ทู าพิธใี นงานปี คือ
1) ท้าวจิตร หรือ นางสาวสมจิตร ไล้ทองคา คนทรง พ่อโรง พ่อไฟ เป็นรุ่นท่ี 4 ต่อจาก ท้าวอิน
ท้าวเชอ่ื ม และทา้ วชุม่ ตามลาดบั
2) ท้าวโตย๋ หรอื นางโต๋ย กลิ่นด้วง คนทรงพอ่ ศรีเมือง เป็นร่นุ ท่ี 3 ต่อจาก ท้าวอยู่ และท้าวก้าน
ตามลาดับ

ศาลและการปลูกศาล

ท้าวจะเป็นผู้เลือกบริเวณท่ีปลูกศาล ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม เพราะต้องใช้พ้ืนท่ีราบเรียบ โล่ง
แจ้ง และน้าไม่ท่วมขัง ศาลทาด้วยไม้ไผ่ขนาดเท่ากันทุกศาลปลูกเป็นเสาสี่เสาขนาดสูงราว 1.50 เมตร
แตล่ ะศาลกว้างราว 50 เซนติเมตร ด้านบนใช้ไมไ้ ผ่สานเป็นพนื้ สาหรบั วางพานบายศรีใหญ่ มุมเสาดา้ นบน
ใชไ้ ม้ไผด่ ัดโคง้ สาหรบั เปน็ โครงเพื่อจะคลุมดว้ ยผ้า ด้านหนา้ ลดระดับทาเปน็ พนื้ เดียวกนั ทกุ ศาล สาหรบั วาง
พานบายศรีซ้ายขวา จะใช้กาบกล้วยหุ้มท่ีขอบทง้ั ด้านบนและดา้ นล่างของช้ันต่อกันเปน็ แนวยาว ด้านลา่ ง
ของศาลท้งั ด้านหนา้ และดา้ นหลังวางโครงไม้ไผไ่ ขวต้ ดั กนั ตามแนวนอนใชไ้ ม้ไผ่ผกู ติดกนั ในแนวระนาบสาม
ชน้ั ในระยะห่างทเี่ ทา่ ๆ กนั ต่อเนอ่ื งเรยี งรายต้งั แตศ่ าลแรกจนถงึ ศาลสุดทา้ ย ในแนวระนาบท่สี องจะใช้พาด
ผ้านุง่ และสไบ

ท้ายชา้ งจะเปน็ ผเู้ ริ่มปลูกศาลก่อนแลว้ ครอบครัวต่าง ๆ กจ็ ะทยอยกันปลูก ธรรมเนยี มในการปลกู
ศาลจะเรมิ่ ปลูกกันตั้งแตเ่ ช้ามดื ของวนั ทาพธิ ี แต่บางปีชาวบา้ นกลัวจะไมม่ ีท่ี จงึ ปลูกศาลกนั ก่อนหนึ่งวนั ซ่ึง
เป็นหน้าทขี่ องผูช้ าย

เม่ือปลูกศาลรวมเสร็จเรียบร้อยจะเห็นเป็นแถวเรียงรายมากกว่า 300-400 เมตร และเมื่อนา
เครื่องประกอบศาลมาต้ังเรียบร้อยแล้วจะเห็นร่มกางเป็นแถวเหยียดยาวสวยงามตื่นตาตื่นใจ แต่ละปี
จานวนศาลมีแต่จะเพิ่มข้ึนเพราะคนมีมากขึ้นนั่นเอง ศาลที่ปลูกเสร็จแล้ว จะนับจานวนเพ่ือหาศาลท่ีอยู่
กงึ่ กลางเป็นฝา่ ยทาอาหารเลยี้ งพวกปพ่ี าทย์ ทา้ ยชา้ ง ซ่ึงเปน็ ขอ้ ตกลงรว่ มกัน

จะมศี าลพเิ ศษต้ังแยกออกไปอยอู่ ีกสองศาลซึง่ ไม่ตดิ กันและอยูห่ า่ งจากศาลอ่ืน ชาวบ้านบางคนจะ
ได้รับการสง่ั การให้ปลูกศาลสองศาลนี้จากพวกท้ายช้าง รูปแบบของศาลทปี่ ลูกเหมือนกนั ทกุ อย่างรวมท้ัง
เครือ่ งประกอบพธิ ที ้ังหลายด้วย เปน็ ศาลของพ่อตาเต่ียและศาลเจ้าท่งุ ศาลทั้งสองแห่งน้เี ป็นศาลใหญ่ของ
บ้านเขาทอง เป็นศาลคู่อยู่ที่เดียวกัน ต้งั อยู่กลางทงุ่ นาบรเิ วณหมู่ 2 ใกล้ๆ กันนัน้ มเี สาไมไ้ ผ่แขวนชะลอมใส่
ขนมนางเล็ด ขนมชะมดุ ขนมกง ผกู ผลไมพ้ วกมะละกอ และไม้ไผ่ที่ทาเลยี นแบบไม้ธนู เม่ือเสร็จพิธกี ็จะนา
ของเหลา่ น้ไี ปวางทิ้งไว้ทท่ี างสามแพรง่ ไกล ๆ หมู่บ้าน ใหส้ าหรับผีไม่มีญาติ

มีความเชือ่ ตอ่ กันมาว่า เม่ือปลกู ศาลเสร็จแลว้ หา้ มเดนิ หลังศาล เพราะเป็นทางผีผ่าน การเดนิ เข้า
ไปปะปนกับวิญญาณจะทาให้เกิดเภทภัยกับชวี ติ ของคนผ้นู ้นั ได้

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

18

ปัจจบุ ันเป็นธรรมเนยี มนยิ มว่าหากมีผไู้ ม่สบายขน้ึ มามักจะรบั เปน็ “คนกลางหรือรา่ งทรง" ทาใหใ้ น
เขาทองมีร่างทรงอยู่มากมาย เป็นการเปล่ียนแปลงวิธีการสืบทอดจากสายตระกูลกลายเป็นคนท่ีอ้างว่า
ได้รบั การรักษาโรคจากอานาจพิเศษลึกลบั

ศาลท่ีปลูกในพธิ ีน้ี เปน็ ศาลผีที่เป็นตวั แทนของผใี นสายตระกลู ของฝ่ายหญิงหรอื ครอบครัวหนึ่ง ๆ
เพราะผทู้ ีป่ ลูกได้จะต้องมีการตง้ั หม้อตายอดตายายแลว้ เทา่ นั้น ผู้เตรียมเครอ่ื งประกอบพธิ ีของแตล่ ะศาลก็
มักจะเป็นหญิงท่ีต้ังหมอ้ ของตนเองแลว้

ศาลผีเป็นศาลสี่เสาไมม่ ีหลังคา วัสดุทาด้วยไม้ไผ่ทั้งหมด ไม้ไผ่เปน็ ไม้ที่หาได้งา่ ยในชุมชน มีธรรม
เนียมว่าจะต้องปลูกและรื้อถอนภายในวันเดียวคือวันทาพิธี ซ่ึงสื่อความหมายว่า ศาลที่สร้างเป็นศาล
ช่ัวคราวเท่านั้น เป็นสถานท่ีสถิตของผีท่ีเข้ามาร่วมพิธีกับมนุษย์โดยอยู่ในสถานท่ีเดียวกันแต่แยกส่วน
เพราะมีขอ้ ห้ามวา่ หา้ มคนเดินหลงั ศาล เนื่องจากพ้ืนท่เี หล่านั้นเป็นที่ของผีซ่ึงอยรู่ ่วมในพิธี ขอบเขตของผี
และมนุษย์ถกู แยกออกจากกันอย่างเดด็ ขาด เพราะเชือ่ ว่าอานาจของผอี าจทาอนั ตรายกบั มนษุ ย์ได้ และโลก
สองโลกน้ไี มค่ วรเข้ามาปะปนกัน นอกจากจะสอ่ื ผา่ นบคุ คลพิเศษทีม่ อี านาจมากกว่าคนธรรมดาท่วั ไป

ศาลจะมีลักษณะลดชนั้ ช้นั บนวางพานบายศรีใหญ่ มีผ้าน่งุ ที่ยังไม่ได้ใช้ทาเป็นฝาสามด้านปล่อย
ดา้ นหน้าโล่ง ด้านบนใช้รม่ วางแทนหลังคา การใช้ผ้านงุ่ ที่เป็นผ้าผนื สาหรบั นุ่งโจงแม้จะยังไม่ไดน้ ุ่งแสดงถึง
ไม่มีแนวคิดเร่ืองการเปน็ มลทินของของต่ามาไว้บนท่ีสูง นา่ จะเป็นร่องรอยที่คอ่ นข้างเก่ากวา่ ความคิดของ
คนในสังคมเร่ืองการมมี ลทนิ ของผ้านุ่งและเพศหญิง ซง่ึ ถือกนั ในพวกทีใ่ ชไ้ สยศาสตรค์ าถาอาคมซงึ่ เป็นวชิ า
ของเพศชาย

ศาลในพิธกี รรมเลี้ยงผี จึงเปน็ สิ่งทเ่ี ป็นของช่ัวคราว เป็นสญั ลักษณ์ทีม่ องเห็นและจับต้องได้ในการ
สือ่ สารถึงวิญญาณทีอ่ ยู่ในอีกโลกหน่ึง ในวันท่ีโลกของ “ผ”ี และโลกของ “มนุษย”์ มาบรรจบกนั ในทเ่ี ดียว
จึงต้องสรา้ งสง่ิ ที่เปน็ ของชั่วคราว และเมอ่ื ใช้งานเสรจ็ แลว้ กจ็ ะไม่นาไม้ไผท่ ีป่ ลกู สรา้ งศาลไปใชง้ านอืน่ ๆ อีก
ชว่ ยยา้ ความคดิ ทวี่ า่ โลกของผแี ละโลกของคนไม่อาจมาปะปนกนั

สิ่งของเครื่องใชแ้ ละขนมทีใ่ ชใ้ นพิธกี รรม

ศาลที่ปลูกเสร็จแล้วตั้งแต่เช้ามืดตามแบบโบราณ ชาวบ้านจะหาบคอนกระบุงหรอื ถาดหรอื โตก
ทองเหลอื ง นาส่ิงของเคร่ืองใชแ้ ละเครอ่ื งประกอบพิธมี าประดบั ตกแต่งท่ีศาล ประกอบไปดว้ ย

- พานทองเหลืองใสบ่ ายศรีใหญ่หรือบายศรีปากชาม ท่ีเย็บจากใบตองประดบั ด้วยดอกไม้และมี
ชามใส่เทียนและข้าวเหนียวทอดท่ีเรียกว่ายอดข้าว ข้าวตอกกวนวางไว้ด้านบน เรียกว่าเทียนยอดบายศรี
มัดดว้ ยดา้ ยสายสิญจนอ์ กี ทีหนึ่ง รอบ ๆ พานบายศรมี ีกระทงใส่ขนมต่าง ๆ วางไว้โดยรอบ ผอบทองเหลือง
ใส่ผิวมะกรูดลอยน้า ตัวบายศรีใหญ่ต้องต้ังไว้บนแท่นท่ีปูด้วยผ้าขาวระดับสูงกว่าชั้นท่ีวางบายศรีเล็ก ใช้
ผา้ นงุ่ ผนื ใหมเ่ ท่าท่สี ังเกตเป็นผา้ นงุ่ โจงของผู้หญงิ ไม่จากดั วา่ เป็นสีพื้นหรอื สอี ะไร คลุมลอ้ มสามดา้ นกันแดด
ตามโครงไม้ไผ่ แล้วกางร่มด้านบนอีกที รม่ ท่ีกางนี้จะเป็นรม่ ประจาศาลทกุ บ้าน

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

19

- พืน้ ด้านทลี่ ดต่าลงมาวางถาดใส่พานบายศรีเล็ก 2 ถาด เรียกว่าบายศรีปากชาม ซ้ายขวาเป็นชาม
วางบนขัน มัดขา้ วเหนียวทอดหรอื ยอดข้าว ข้าวตอกกวน หมากพลู กับยอดเทียนด้วยสายสิญจน์ ประดับ
ด้วยดอกไม้ รอบ ๆ ถาดบายศรีคอื กระทงขนาดเลก็ ใสข่ นมต่าง ๆ

- ที่ขาต้งั ของเสาศาลขา้ งหน่ึง แขวนกระบอกไม้ไผ่ไม่ยาวนักไว้สาหรับปกั เทียน ซึ่งเป็นเทยี นขนาด
ใหญ่ และจดุ เมอ่ื เริม่ พิธี

- คานด้านล่างของศาล แขวนผ้านุ่งผืนใหม่พับเรียบร้อยผืนหนึ่งและผ้าสไบอีกผืนหนึ่ง เรียกว่า
“ผา้ หอ้ ยศาล”

- ท่ีพ้ืนดา้ นล่างซ่ึงเป็นที่นั่งของครอบครัวเจ้าของศาลท่เี ข้าร่วมพิธี จะมีถาดใส่ถว้ ยทีใ่ ส่ผลไม้ เช่น
กล้วย สับปะรด และหมากพลู ขันใส่น้า แป้งหอมและน้ามันหอมใส่ถว้ ย หมอ้ น้ามนต์ ซ่งึ เป็นหมอ้ ดินเผา
ขนาดย่อมๆ ใส่น้าและฝกั สม้ ปอ่ ย ปิดด้วยใบตองมัดปาก แล้วใช้มดี กรีดแยกตามรอยฉกี ของใบตอง และใช้
มะพร้าวแก่ เลอื กที่รากงอกปอกเปลือกให้เรียบร้อย ใส่ลงในขันศาลละ 3 ใบ ตั้งอยู่ที่หน้าศาลของแต่ละ
ครอบครัว

ขนมที่ใชใ้ นงานพธิ ีกรรม

มบี ้านราว ๆ 50-60 บ้านท่ีทาขนมเฉพาะกิจเพ่ือขายในงานปีและงานออกพรรษา ทากันเฉพาะ
สองงานน้ีเทา่ น้ัน จะมญี าติผูห้ ญิงมาช่วยกนั ทาคร้งั ละมาก ๆ เพราะตอ้ งทาขายให้พอ มบี างบา้ นทีท่ ากนั เอง
แตเ่ ปน็ สว่ นนอ้ ย ในอดีตจะเปน็ การทาในบา้ นและเครอื ญาติ แตเ่ นื่องจากขนมมหี ลายอยา่ ง ตอ้ งเสียเวลาทา
มากจึงเปล่ยี นมาเป็นการซื้อซงึ่ สะดวกกว่าและไม่ต้องใชเ้ วลาในการเตรยี มตัวมาก ขนมต่าง ๆ ไดแ้ ก่

- ขนมละมุดหรือชะมดุ ทาจากเนือ้ มะพร้าวห้าวกวนกับนา้ ตาลแลว้ จุม่ แปง้ ทอด
- ขนมกง คอื ถั่วเขยี วบดกวนกบั นา้ ตาล ปั้นเปน็ วงกลมแลว้ ไขวก้ นั ท่ีแกนกลาง จมุ่ แป้งทอด
- ขนมเข็ด ทาจากแป้งขา้ วเหนียวผสมกบั มะพร้าวกวน
- ลกู กรอบ ขา้ วเหนยี วปั้นเป็นรูปกลมๆ ทอด แลว้ ฉาบน้าตาล
- พมิ พข์ า้ วตอก ขา้ วตอกนามากวนใสน่ า้ ตาลแล้วปั้นหรอื กดลงในพิมพ์
- พิมพถ์ ่ัว ทาจากถวั่ เขียวกวนใสน่ ้าตาลและป้ันหรอื กดลงบนพมิ พ์
- ขนมนางเล็ด ทาจากข้าวเหนียวนึ่งแล้วทอดเปน็ รปู กลม โรยนา้ ตาลท่หี น้า

สว่ นที่ใชป้ ระกอบกบั เครอ่ื งบายศรี ไดแ้ ก่

- ยอดข้าว หรือยอดบายศรี ทาจากข้าวเหนียวปั้นยาวๆ นาไปทอด แล้วมัดเป็นคู่ คู่ละ 3 ตัว มี
แบบ 3 ยอด 9 ยอด และต้องใชบ้ ายศรีบา้ นละ 3 บายศรี

- ข้าวตอกกวน ป้นั เป็นรูปยาวๆ ใช้ประดับยอดบายศรี

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

20

บายศรที ี่ใช้ในพิธกี รรมของบา้ นเขาทองยังคงความหมายตามคาเดิมอยู่ เพราะเป็นบายศรียอดข้าว
คาวา่ “บาย” แปลว่า “ข้าว” บายศรีหมายถึงขา้ วขวัญ ในปจั จบุ ันเข้าใจว่ามคี วามหมายคอื ภาชนะใสเ่ ครอ่ื ง
สงั เวยในพธิ ีทาขวัญ และภาชนะมักเย็บจากใบตองหรอื เป็นถว้ ยชามกไ็ ด้ แล้วแต่จะประดษิ ฐต์ ่าง ๆ กัน แต่
จะใชใ้ นพธิ เี กี่ยวกับทาขวัญท้งั ส้ิน บายศรยี อดข้าวซึ่งเปน็ บายศรีใหญช่ น้ั บนประดบั ดว้ ยการเยบ็ ใบตองซอ้ น
เป็นชั้นสวยงาม ส่วนบายศรีซา้ ยขวาจะเป็นบายศรีใส่ในชามมัดข้าวเหนียวน่ึงแลว้ ทอดใหพ้ องกับข้าวตอก
กวนนา้ ตาล ซ่ึงทาจากข้าวเหนียวตาแล้วทอดกวนกับน้าตาล ต้องปั้นให้มียอดแหลม เพ่ือใส่ไว้ที่ปลายยอด
บายศรีซึ่งมีรปู ทรงแบบสามเหลี่ยมแหลมข้ึนไปในอากาศ มัดกับเทียนท่จี ะจดุ เม่ือเจา้ หรือผีทเ่ี ข้าในร่างท้าว
มาชมศาลหรือเหยยี บศาล ก็จะดมเทยี นท่ีจุดไว้ โดยใชม้ ดี ดาบแตะแล้วจึงนามาดม เปน็ สัญลกั ษณข์ องการ
รบั อาหารทอี่ ยูใ่ นพานบายศรแี ล้ว

การใช้ยอดบายศรเี ปน็ ข้าวเหนียว น่าจะเป็นการสือ่ ความหมายถึงความสาคัญของข้าว โดยเฉพาะ
ขา้ วเหนยี วที่เป็นขา้ วอเนกประสงค์มากกว่าข้าวเจ้า เพราะขนมต่าง ๆ มักทาจากข้าวเหนียวและแป้งข้าว
เหนียวทัง้ สน้ิ ทั้งเป็นขา้ วทใ่ี ชใ้ นพิธกี รรมทั่วไป ยอดบายศรีที่เป็นข้าวเหนียวน่ึงแล้วทอดจะมีสขี าวนุ่มนวล
ต่างจากขา้ วตอกกวนน้าตาลที่จะมีสีคล้าจากสีน้าตาลไหม้ อาจจะคิดถึงโครงสรา้ งในระบบสัญลกั ษณ์ของ
การส่ือระหวา่ งส่ิงที่เป็นคู่ตรงข้ามด้วยการมีตัวกลาง ในท่ีน้ีคือ บนจุดสูงสุดของบายศรียอดข้าวในจุดที่จะ
สื่อสารระหว่างส่งิ ที่จับต้องได้ในโลกมนษุ ยแ์ ละรา่ งทรงทเ่ี ป็นสื่อในโลกของผี เปน็ จุดเชอื่ มระหวา่ งสิ่งทีต่ รง
ข้ามกัน นั่นคือขาวและดา โดยใช้ข้าวเหนียวทอดและข้าวตอกกวนเป็นสัญลักษณ์ เป็นการประสาน
เชือ่ มโยงให้ส่ิงทม่ี องไม่เห็นและเหนือธรรมชาตแิ ปลงให้มารบั อาหารหวานคาวท่ีอย่ใู นถาดบายศรี

บายศรีทต่ี ้องทา 3 บายศรี นา่ จะเปน็ ตวั เลขทม่ี ีความหมายและเหมาะสมสาหรับพิธกี รรมน้ี เพราะ
การใชม้ ะพรา้ วแกส่ าหรบั เสี่ยงทายก็ยังใช้ 3 ลกู เช่นเดียวกนั หมายเลข 3 นา่ จะเป็นตวั เลขแทนคาตดั สินใน
เบ้อื งต้นไดอ้ ย่างดี เช่น การเสี่ยงทาย การทาเพยี งครง้ั เดียวอาจจะตอ้ งใช้ความรู้สึกที่เข้มแข็งมากกว่าปกติ
และไม่มีโอกาสแกต้ ัวอีก การเส่ยี งทาย 2 ครง้ั ก็ไม่อาจตัดสินได้เพราะมีโอกาสที่จะไดใ้ นสิ่งที่ตรงข้ามกับ
ครงั้ แรก สว่ น ครั้งท่ี 3 จะเป็นคร้ังตดั สนิ ไดอ้ ย่างแน่นอน ความหมายของเลข 3 คือการตดั สนิ ใจ ความเท่ียง
ธรรม ความม่นั คง ผ่อนคลายไม่ตึงเครียด

การจุดเทียนทั้งที่ยอดบายศรีและในกระบอกไมไ้ ผ่ แสงเทียนท่ียอดบายศรีเป็นสญั ลักษณข์ องการ
สือ่ ไปถงึ โลกของผี บอกกลา่ วให้มารบั อาหารโดยการดมท่ีเปลวเทียนน้ัน สว่ นเทียนใหญท่ ่ีใสไ่ ว้ในกระบอก
ไม้ไผ่ที่ผูกหลบไว้ท่ีเสาของศาล เร่ิมจุดเม่ือเริ่มพิธี ป้องกันไม่ให้เปลวเทียนดับจึงใส่ไว้ในกระบอก เพราะ
เปลวเทียนนแ้ี สดงถงึ ช่วงเวลาของการตดิ ตอ่ ระหวา่ งโลกของผแี ละโลกของมนุษย์ จะตอ้ งป้องกนั ไมใ่ ห้เทยี น
ดบั กอ่ นทีจ่ ะเสร็จพธิ ี

“ผ้าหอ้ ยศาล” ท่ีพาดไว้หน้าศาลด้านล่าง ทงั้ ผา้ นงุ่ และสไบ เป็นสัญลักษณ์ของบรรพบุรุษท้ังชาย
และหญิง เพราะเมอ่ื สังเกตการเข้าผีของท้าวแต่ละครั้ง ผีแต่ละตนจะมีความแตกต่างกันเมื่อร่างทรงหรือ
เท้าเปล่ียนผา้ นงุ่ หรือผ้าสไบทเี่ ป็นของผตี นนั้นโดยเฉพาะ และจะผลดั เปล่ียนเมอ่ื เปลยี่ นผลี งรา่ งและลม้ นอน
ลงบนทนี่ อนหรือหมอน ดงั น้นั ผา้ น่งุ หรอื สไบจงึ เปน็ สัญลกั ษณ์ทีใ่ ช้เป็นตวั แทนของผี ผ้าท่หี ้อยหนา้ ศาลของ

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

21

ศาลแต่ละหลังก็นา่ จะหมายถึงสัญลักษณท์ ่ีแทนผีบรรพบุรษุ ของเจา้ ของศาล และพ้ืนที่สาหรับวางคือการ
พาดไว้ท่ีหน้าศาล ซ่ึงอย่ตู ่ากว่าพานบายศรใี หญท่ ่ีอยู่ชนั้ บน เป็นการแบ่งกลุ่มของผี ตามลาดบั ความสาคัญ
ผสี าคัญเข้าร่างท้าวเป็นผที ่ีมีชื่อในสังคมในชุมชนและเป็นผีที่ปกป้องคุ้มครองคนในชมุ ชน เรียกได้วา่ เป็น
“ผีบ้าน” ให้คาปรึกษา ให้คาแนะนา ให้คาทานายผ่านร่างทรงคือท้าว เป็นผีในระดับผู้นาหรือเจ้านายท่ี
ได้รับการยอมรบั ยกย่อง เคารพ โดยการเชิญมาสู่ขวัญ รบั อาหารในพานบายศรีใหญ่ ส่วนบายศรชี ัน้ รองคอื
บายศรีซา้ ยขวา น่าจะใช้สาหรบั ผีในระดับรองลงมาคือ ผีบรรพบรุ ุษ ทมี่ ตี ัวแทนคือผา้ นุง่ และสไบที่เจา้ ของ
ศาลนามาจากบ้าน จะสขู่ วัญและรับอาหารหวานคาวในบายศรีซา้ ยขวา

“มะพรา้ วเส่ียงทาย” สามลูก เป็นสัญลักษณ์ของการทานายอนาคต ดังน้ัน เจ้าของศาลจึงเลือก
มะพร้าวท่แี ก่จัดเล้ียงให้มีรากงอกยาวทส่ี ดุ เพอื่ ชีวิตจะได้เจรญิ งอกงามดงั เช่นรากมะพรา้ ว การทตี่ ้องเสย่ี ง
ทายสามลูกดังเหตุผลท่ีเสนอข้างต้น และเม่ือถึงการฟันมะพร้าวมีคาทานายท่ียึดถือจนเปน็ ธรรมเนียมว่า
มะพร้าวท่ีฟนั ไม่เข้าหรือฟันไม่ขาด ชีวิตจะเจริญงอกงามดี ชวี ิตจะรุ่งเรืองร่ารวยข้นึ ดังนั้น เจา้ ของศาลจึง
ปอกมะพรา้ วเอากาบออกจนเหลอื แต่เน้อื กะโหลกเกลยี้ งเกลาอยา่ งท่สี ดุ เพ่ือให้ผิวลน่ื ใส่ไวใ้ นขนั เม่ือถงึ เวลา
ช่วงสุดท้ายของพิธีกรรมก็จะเส่ียงทายฟันมะพร้าว ถ้าฟันมะพร้าวค่อนไปทางตาถือว่าไม่ดี ถ้าฟันค่อนไป
ทางกน้ ถือว่าดี แบ่งมะพรา้ วทางก้นสาหรบั เจา้ ของศาลเก็บไว้ สว่ นทางตาเปน็ ของผีซึง่ ทา้ วเปน็ ตัวแทนนาไป
ทาบญุ กบั พระสงฆใ์ นวนั ตอ่ ไป

จะเห็นไดว้ ่ามีการแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายที่ดีทาให้ชีวิตเจริญร่งุ เรืองคือฝ่ายท่ีอยู่ในโลกมนุษย์
ส่วนฝ่ายที่ไม่ดีหรือทาให้ชีวิตแย่คือฝ่ายที่อยู่ทางโลกของผี ดังน้ัน แม้ว่าจะมีการเคารพนับถือผีต่าง ๆ
เพยี งใดก็ตาม ก็ยังถือวา่ โลกเหนอื ธรรมชาติและโลกของผีไม่ควรมาปะปนกบั โลกของมนุษย์เพราะจะทาให้
เกิดส่ิงที่ไม่ดีแก่มนุษย์เอง มะพร้าวและน้ามะพร้าวมักใช้กันในพิธีกรรมในกลุ่มสังคมหลายๆ แห่ง เป็น
สัญลกั ษณข์ องความสะอาด การชะลา้ งสิ่งสกปรก เช่น มกี ารใชน้ า้ มะพร้าวลา้ งถนนในพธิ ีของชาวฮินดู การ
ใช้น้ามะพร้าวล้างหน้าศพเพ่ือการชาระมลทิน มะพร้าวท่ีใช้ในพิธีกรรมนี้จึงน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของการ
ชาระผ่านไปสู่ชีวิตใหม่ต่อไปขา้ งหน้าพร้อมกับการเส่ียงทายอนาคตไปพรอ้ มกัน

คันธนูและชะลอมใส่ขนม ผลไม้ แขวนไว้ที่เสาเข้าร่วมในพิธดี ้วย สาหรับผีไม่มีญาติ ผีเรร่ ่อน เม่ือ
เสร็จพิธีนาไปวางที่ทางสามแพรง่ ซ่งึ เปน็ ทางผา่ นสาหรับผใี นท่หี ่างไกลบา้ นเรือนผู้คน เปน็ การเผ่อื แผไ่ ปถึง
ผีท่ีไม่มีลูกหลานจัดการตั้งศาลหรือรับเป็นผีบรรพบุรุษ คันธนูอาจจะหมายถึงการส่งขนมและผลไม้ให้
สาหรับผีพเนจรเหล่านี้

การบง่ บอกถึงการจดั ลาดบั การแบง่ แยกผีต่างพวกตา่ งกลุม่ ไมป่ ะปนกัน แสดงถึงความสาคัญของ
การรวมกล่มุ การมสี ายตระกลู การสืบสายตระกูลหรอื การมีวงศ์วานหวา่ นเครือ เป็นสง่ิ ทส่ี าคัญอย่างยิง่ ของ
คนในสังคม ไม่เช่นนัน้ เมือ่ ผ่านไปสโู่ ลกหลงั ความตายแลว้ กอ็ าจเป็นผีไม่มีญาติได้

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

22

พิธกี รรมและข้ันตอนงานปี

พธิ กี รรมของงานปใี ชเ้ วลารวมทงั้ ส้ิน 3 วัน วนั แรกเรียกว่า “งานเปา่ ผี” จดั พิธีท่บี ้านของท้าว เป็น
การเขา้ ทรงผีต่าง ๆ มพี วกทา้ ยช้างเป็นผชู้ ่วยและมวี งป่พี าทย์บรรเลง ผ้ทู ่ีมารว่ มงานไมม่ ากเท่ากบั วันมีงาน
พิธี ส่วนมากเป็นผู้หญิง แต่ละบ้านจะนาข้าวสารแห้งใส่ขัน ดอกไม้ เทียนขี้ผ้ึงใส่พานและเงิน 20 บาท
มารว่ มทาบุญเก็บไว้เป็นกองกลางที่บ้านของท้าวในวันงานวนั สุดท้าย โดยเหล่าท้ายช้างจะเป็นคนจดั การ
ทา้ ยชา้ งบางคนจะทัดชบาแดงท่ีหดู ว้ ย

ในระหว่างการเขา้ ทรง ท้าวจะนั่งบนท่ีนอนปูผ้าสวยสะอาดและหมอนใหม่ มีผา้ นุ่งหลายสารับใส่
ถาดสาหรับใส่เม่ือผีแต่ละตนเข้ารา่ ง ซง่ึ จะเปน็ ผา้ นุ่งเฉพาะของผแี ต่ละตน ท้ายช้างจะเปน็ ผชู้ ว่ ยแต่งตัวและ
จดจาหนา้ ทข่ี องผา้ ผืนต่าง ๆ มีขวดเหล้า พานหมากพลู บุหรี่ อยู่ใกล้ ๆ ผีทม่ี าลงในร่างของทา้ ว ท้าวจะเปน็
ผบู้ อกและทา้ ยชา้ งจะรดู้ ้วยประสบการณเ์ พราะท้าวจะแสดงอาการกริ ยิ าไม่เหมือนกัน

เมอื่ เร่ิมเขา้ ร่างทรงปี่พาทย์จะบรรเลงรับ เม่ือจะออกก็จะตีฉ่งิ รวั ปีพ่ าทยร์ ับอกี ทีในขณะท่ที ้าวล้ม
ตัวลงนอน ในระหว่างที่รอท้าวแต่งตัว เชน่ นุ่งผา้ หรอื หม่ สไบ วงป่ีพาทยจ์ ะบรรเลง ท้ายช้างบางคนจะรา
รอ้ งลเิ กในระหว่างทเ่ี ขา้ ผี ชาวบ้านท่ีเปน็ ผหู้ ญิงจะนาพานมาให้ท้าวซง่ึ เปน็ ตวั แทนของผี แลว้ สอบถามขอคา
ทานายถึงปัญหาของแต่ละคนด้วยอาการนอบน้อมพนมมืออยู่ตลอดเวลา ผีในรา่ งท้าวจะช่วยให้กาลังใจ
และบอกวธิ แี กป้ ัญหาด้วยอาการเมตตาตามลกั ษณะเฉพาะของผที เ่ี ข้า ซงึ่ เป็นสาเหตขุ องชื่องานพิธีกรรมคอื
“งานเปา่ ผี” ซึง่ เปน็ พธิ ีกรรมสาหรบั การเข้าผเี พอื่ ชว่ ยปดั เปา่ ความทกุ ขย์ ากในจติ ใจหรือปญั หาของชาวบ้าน

ในระหว่างการเข้าผี บรรยากาศจะเต็มไปดว้ ยความสนุกสนานหัวเราะกนั อยู่ตลอดเวลา ชาวบา้ น
เขาทองหลายคนท้ังที่เปน็ ทา้ ยช้างและชาวบ้านทว่ั ไปมีไหวพริบในการร้องด้นกลอนสดโต้ตอบกนั เอง และ
ระหว่างผีทเ่ี ขา้ ร่างทา้ ว บางครั้งก็ออกมารา่ ยราโดยมวี งปพ่ี าทยบ์ รรเลงรบั ส่งเปน็ ทานองลิเกอยูต่ ลอดเวลา

ผที ่ีเข้าร่างของท้าว เช่น พ่อเต่ีย, แม่ลาไยหอมยวล (ห่มสไบ), พ่อไฟ (ห่มสไบแดง), แม่วันดีสาว
เหนือ (สูบบุหร่ีจัด), แม่แตงอ่อน (อ่อนหวานร้องราอ่อนช้อยและร้องเพลงฉ่อยโต้ตอบกับท้ายช้างด้วย
ปฎิภาณดี), พ่อศรีเมือง (เสียงแหบ ร้องราสง่างาม น่ังไขว่ห้างสูบบุหรีแ่ ละรินเหลา้ แจกกันท่ัว ๆ ร้องลิเก
เกยี้ วแม่เสอื ทเี่ ขา้ รา่ งทรงของคนทรงใหม)่ พ่อศรีเมอื งเป็นผีทีถ่ ูกนบั ถอื อยมู่ ากเพราะทาการเป่าคาถาใหก้ ับ
หญิงชาวบ้านทที่ ยอยเข้ามาขอใหช้ ่วย

การเขา้ ผีกจ็ ะกระทากนั จนถึงบ่าย เมื่อชาวบา้ นทยอยกลบั กันหมด ท้ายช้างก็จะเตรียมตัวสาหรับ
งานพรงุ่ นต้ี ่อไป

วนั ท่ีสองเป็นงานสาคญั คือ “การชมศาล” เริ่มเม่อื ราว 9 โมงเชา้ ชาวบ้านท่ีมาปลกู ศาลต้ังแตเ่ ช้า
จากทวั่ ทุกบา้ นท่ีปกติจะแบ่งเป็นบา้ นเหนือและบ้านใต้ เนื่องจากการนับถอื ผีทางฝ่ายหญิง การปลูกศาล
หลังหนึง่ เทา่ กบั ครอบครัวทแ่ี ยกบ้านออกไปครอบครัวหนง่ึ ไมว่ ่าหญงิ สาวคนใดจะออกเรือนไปอยู่ท่ใี ด เม่ือ
ถงึ เวลางานปีกจ็ ะกลับมาทาพิธีโดยการปลกู ศาล เยบ็ บายศรีเตรยี มงานตา่ ง ๆ ถ้าผู้ใดหรือครอบครัวใดมา
ไมไ่ ด้กจ็ ะส่งเงนิ มารว่ มงานแทนซึ่งจะเปน็ ส่วนน้อย เพราะการร่วมงานปีมผี ลทางจติ ใจของชาวบา้ นสูงกว่า
การใหเ้ งนิ

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

23

รถอีแตน๋ รถไถบรรทุกพ่วง รถกระบะ จะจอดกันเตม็ บริเวณที่ทาพธิ ี ชาวบ้านที่ส่วนใหญ่เปน็ เครือ
ญาติกันแทบทั้งน้ันจะมาร่วมงานท้ังเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง และผู้ชาย ทุกเพศทุกวัยเหมือนกับงานรวมญาติ
เพราะเป็นงานพิธีท่ีใชเ้ วลาท้งั วนั จงึ ต้องตระเตรยี มอาหารกลางวนั มาจากบ้านให้พอกับทุกคนในครอบครัว
สว่ นผู้ท่ีเป็นเจา้ ของศาลหลังกลางจะตอ้ งนาอาหารมาเผ่ือพวกทา้ ยชา้ งและวงปี่พาทย์ให้พร้อมด้วย

ต้งั แต่ 9 โมงเช้า จนถงึ ราว 10 โมง เป็นช่วงเวลาท่ตี ระเตรยี มจดั วางเคร่ืองประกอบพธิ ที ัง้ หลายให้
เรยี บรอ้ ย ซงึ่ อยใู่ นรูปแบบทีเ่ หมือนกันทง้ั สิ้น หนา้ ศาลจะปลกู ปะราพธิ เี ป็นเพงิ แถวแบบงา่ ยๆ ให้ครอบครวั
ของผู้ร่วมพธิ ีหลบรอ้ นและนง่ั พกั รบั ประทานอาหาร หรอื ผู้ชายกต็ ั้งวงเหล้าไปพร้อม ๆ กนั วงปี่พาทย์จะอยู่
บริเวณกึ่งกลางของแถวศาล ซึ่งเป็นทนี่ งุ่ ผ้าของทา้ วดว้ ย

เมือ่ พร้อมกันแลว้ ราว 10 โมงเช้าจะมีการแห่ท้าวท่ีเข้าผแี ล้วจากบ้านที่ทาพิธีเป่าผี มีขบวนกลอง
ยาวเถิดเทิงเดินนา ชายหญิงราป้อมาตลอดทาง ท้ายช้างทัดชบาแดงขนผ้านุ่งผ้าห่ม หมอน ขันน้า พาน
หมากพลู ม้าจาลอง ชา้ งจาลอง ส่วนดาบท้าวจะเปน็ ผถู้ อื เอง เมอื่ ถงึ ศาลจะเดนิ “เหยยี บศาล” หรือชมศาล
รอบหนง่ึ กอ่ น วงปพ่ี าทยป์ ระโคมเพลงทานองเร้าใจ ทา้ วหรอื ร่างทรงจะทาการ “ล่อบายศรี” คอื ยกบายศรี
ขึน้ จบที่หนา้ ผาก 2-3 ศาลแรก ศาลต่อ ๆ มาจะใหท้ ้ายชา้ งเป็นผทู้ า หลังจากเดินชมศาลรอบหน่งึ แลว้ ท้าย
ช้างเป็นผไู้ ปบอกให้จดุ เทียนบายศรีซ้ายขวา แล้วเดนิ ทอ่ ม ๆ ตามจงั หวะดนตรีไปทางซา้ ยเอาปลายดาบลน
ที่ปลายเทียนบนบายศรีซา้ ยยกขนึ้ ดม ทาเชน่ น้ีจนครบทกุ ศาลทางด้านซา้ ยและขวา ในขณะท่ีเดนิ ไปจนสุด
ศาลทั้งด้านซ้ายและขวา ที่ปลายแถวแต่ละด้านจะมีแผ่นไม้รองและชาวบ้านหญิงชายหลายคนรอกระทุ้ง
เส้าไม้เปน็ จังหวะรับท้าวและเชิญชวนให้มารา ในขณะเดียวกนั ก็โห่ฮิ้วปรบมอื รับกันสนุกสนาน ร่างทรงจะ
ราร้องสกั พักหนง่ึ กจ็ ะกลบั ไปท่ศี าลต่อ เปน็ เช่นนี้ทงั้ สองดา้ นซ้ายและขวา

ในขณะทเ่ี ดินเหยียบศาลท้ายช้างจะร้องราไปตลอดทาง มกี ารนาเอาช้างและม้าจาลองมาล่อ เรยี ก
กันวา่ ราล่อม้า ราลอ่ ช้าง ราคล้องช้าง ราคล้องม้า มีการนาเอาเหลา้ มาเลี้ยงอยู่ตลอดทาง เมือ่ ชมศาลสัก
พัก ท้าวจะเหน็ดเหนื่อยมาก เน่ืองจากเป็นหญิงสูงอายุ และศาลท่ีต้องเดินชมท้ังซ้ายและขวามีมากกว่า
200 ศาล ท้าวหรือร่างทรงจะนั่งพักที่บริเวณกึ่งกลางปะราพิธี ถ้าหายเหนื่อยก็จะร้องเพลงตอบโต้กันทั้ง
จากทา้ ยช้างและชาวบ้านบางคนทีม่ ารว่ มงาน หากใครรอ้ งล่มจะถูกโห่ฮาหวั เราะเลน่ กันสนุก

จากนั้นท้าวจะเดินชมศาลอีกรอบหน่ึง คราวน้ีท้ายช้างจะบอกให้จุดเทียนท่ีบายศรีใหญ่ และ
กระบอกใส่เทยี นท่ีเสาศาล ร่างทรงใชป้ ลายดาบลนท่ปี ลายเทยี นท้ังบายศรีและกระบอกเทียนนามาดมจน
ครบทกุ ศาล เม่ือถงึ ปลายแถวแตล่ ะด้านกจ็ ะมคี นรบี วง่ิ ไปกระท้งุ เส้ารับทา้ วและท้ายชา้ งกนั อยา่ งสนกุ สนาน
ทง้ั ร้องท้งั ราอยู่รอบตัวท้าว เม่อื เสร็จรอบนี้แล้วก็จะเดินชมศาลใชป้ ลายดาบลนเพอื่ ดมบายศรีขวาอกี รอบ
หน่งึ กรณีบา้ นใต้ ทา้ วท่ีสูงอายุมาก ๆ จะมีทา้ วคนอนื่ ทไี่ ว้ใจทาพธิ แี ทนบ้างเหมือนกนั เวลาเที่ยงจะเป็นชว่ ง
หยดุ พัก ทั้งท้าวและท้ายชา้ ง คนป่พี าทย์ จะนง่ั รับประทานอาหารจากบา้ นทเ่ี ป็นเจ้าของศาลหลังกลางเป็น
คนจัดเลย้ี ง และชาวบ้านที่มาร่วมพธิ ีกจ็ ะนาอาหารท่มี าจากบา้ นมาตั้งล้อมวงรับประทาน ผ้ชู ายอาจตั้งวง
ดืม่ เหล้าสง่ เสียงเฮฮาอยู่ตลอดเวลา ในระหว่างการรับประทานอาหารก็จะมกี ารพดู คุยกบั ญาติ ๆ ที่อาจจะ

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

24

ไม่ได้พบปะกันบ่อยนกั เม่ือเสรจ็ จากอาหารกลางวันแล้ว วงปีพ่ าทย์ ท้ายช้าง ผู้มาร่วมงานและท้าวกจ็ ะรอ้ ง
ราเล่นกันตอ่ ใช้เวลาพกั ใหญ่ ๆ

ในชว่ งบ่ายจะมีการชมศาลให้เป็นที่ครกึ คร้นื อกี ต่อไปถึงชว่ งสดุ ท้ายของพธิ ีกรรม ทา้ ยชา้ งจะบอก
ให้ชาวบ้านนามะพร้าวท้ังสามลูกมาวางไว้ที่พื้นหน้าศาล เป็นการ “ฟันมะพร้าวเส่ียงทาย” มะพร้าวท่ี
นามาใชใ้ นงานพธิ ีหากมรี ากงอกย่ิงยาวยิ่งดี เพราะถอื ว่ามะพรา้ วทม่ี ีรากงอกปลกู ขึน้ ง่าย ชีวติ จะไดด้ ีทามา
ค้าข้ึน มะพร้าวทีเ่ หลือเจ้าของศาลจะเป็นฝ่ายฟันเอง น้ามะพร้าวจะปล่อยท้ิงล้างที่หน้าศาล อาหารและ
ขนมท่ใี ชเ้ ป็นเครอื่ งเซน่ จะให้ท้ายชา้ งนากลบั ไป คงเหลือแต่บายศรี เจา้ ของศาลจะนาเอามาไวท้ ี่บา้ น วาง
ไว้ที่ประตูบ้าน 3 คืน แล้วจึงนาไปวางไว้ตามใต้ต้นไม้ใหญ่ ส่วนหม้อน้ามนต์ท่ีนามาเข้าร่วมพิธีกรรมนา
กลับไปประพรมทบี่ ้านเพื่อเป็นสิริมงคล

ศาลซึ่งปลูกแยกไปต่างหากของศาลเจ้าพ่อทุ่งและศาลตาเต่ีย จะนาอาหาร ขนม เคร่ืองเซ่นและ
พานบายศรีไปไว้ท่ีศาล ส่วนขนมและผลไม้และคันธนูที่แขวนไว้ก็จะนาไปทิ้งไว้ที่ทางสามแพร่งไกลจาก
บ้านเรอื นของผูค้ นสาหรับใหผ้ ีไม่มญี าติ

หลงั จากน้นั ทา้ วจะกลบั ไปพักผ่อนที่บ้านเป็นอนั เสร็จพิธีสาหรับวนั น้ี ชาวบ้านจะรื้อถอนศาลอยา่ ง
รวดเร็ว เพียงไม่ถึงครึ่งชว่ั โมงพ้นื ที่ท่ีเคยปลกู ศาลและมีคนมาร่วมงานกันคึกคกั ก็จะเรียบเตยี นโล่ง แทบไม่
หลงเหลอื ร่องรอยของการปลกู ศาลจานวนมากมาก่อน

วนั ท่ีสาม เป็นวนั ทาบุญเลย้ี งพระโดยท้าวและท้ายช้างจะเป็นแม่งาน ข้าวสารท่ีชาวบ้านนามาให้
และมะพร้าวซีกหน่ึงที่ฟันไว้จะนามาประกอบอาหารและหุงข้าวเลี้ยงพระ เป็นการประกอบพิธีทาง
พุทธศาสนาในวนั สุดท้าย งานน้ชี าวบ้านมาร่วมงานกันไมม่ ากเท่ากบั งานเล้ียงผีในวันท่สี อง เป็นการเสรจ็ พธิ ี
งานปี

จากนัน้ กจ็ ะเป็นคราวของบา้ นใต้ ซงึ่ จะท้ิงระยะในชว่ งเวลาไมห่ า่ งกันมากนัก ผู้ท่ีมาเข้ารว่ มพิธกี ็จะ
มีจานวนพอๆ กนั หรอื มากกวา่ ไม่มาก เนื่องจากเป็นชุมชนใหญ่ ศาลทงั้ บ้านเหนอื และบา้ นใต้รวมกนั จงึ มไี ม่
ต่ากว่า 400-500 ศาล

เม่อื ถึงปลายด้านหนง่ึ แตล่ ะด้านจะมีชาวบา้ นเตรียมกระทุง้ เส้าไมร้ ับท้าวที่เข้าผแี ล้ว พร้อมกบั ตบ
มือร้องโห่ฮิ้วสามลาไปด้วยอาการสนุกสนาน เป็นการใช้ดนตรีและการร่ายราส่ือสารกับผีหรืออานาจ
นอกเหนือธรรมชาติ การกระทุ้งเสา้ สว่ นมากทาดว้ ยกระบอกไม้ไผ่ยาวพอเหมาะมือ การกระทุ้งเสา้ ประกอบ
จังหวะดนตรีบง่ บอกถงึ ร่องรอยความเกา่ แก่ของการเป็นเครือ่ งประกอบจงั หวะการรอ้ งหรอื การขับลาในงาน
พิธีกรรม เม่ือเปรยี บเทียบก็พบว่า การกระทุ้งเส้าแพร่หลายในกลุ่มชนพื้นถ่ินหรือกลุม่ ดง้ั เดิม เชน่ ในกลุ่ม
พวกโส้ นิยมเล่น “โส้ท่ังบ้ัง” ใช้เล่นในพิธสี าคัญ เช่น งานศพหรืองานร่ืนเริงต่าง ๆ พวกกลุ่มตระกูลข่า
และเซียมงั มีการใช้ลาไม้ไผ่กระทุ้งดินทาให้เกิดจังหวะในการร้องรา การกระทุ้งเส้าจึงเป็นเครื่องประกอบ
จงั หวะพ้นื ฐานอย่างงา่ ยทสี่ ดุ

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

25

ดนตรีป่ีพาทย์ การรอ้ งเพลงโตต้ อบและการร่ายราเป็นสงิ่ สาคัญในงานพิธกี รรมและขาดไมไ่ ด้ เป็น
สญั ลักษณ์แสดงถึงงานเล้ียงท่ีร่นื เริง เป็นส่ือใหม้ นุษยม์ ีโอกาสหยอกลอ้ เย้าแหย่ โต้ตอบ ดว้ ยถ้อยคา ด้วย
การร่ายรา โดยใชด้ นตรีและการขับลาเปน็ สอ่ื กับผี ซ่ึงไมม่ ีโอกาสใดได้ทาเชน่ น้ี

ดังนั้น พิธีกรรมเล้ียงผีจึงเป็นเหตุการณ์พิเศษที่มนุษย์สามารถส่ือสารตอบโต้กับสิ่งที่อยู่เหนือ
ธรรมชาติด้วยอาการทม่ี นุษยก์ ระทากันในงานรน่ื เริงหรืองานพิธีกรรม น่ันคือ ร้องราทาเพลง ดมื่ เหล้า สูบ
บุหร่ี และเมามาย หลังจากเดินเหยียบศาลหรือชมศาลครบทุกศาลทุกรอบแล้ว ท้าวที่เข้าผจี ะทาการฟัน
มะพรา้ วเส่ยี งทายและฟนั ศาลไปพรอ้ มกนั การฟนั ศาลจะฟันทีก่ าบกลว้ ยท่ีหุ้มขอบไม้ไผด่ ้านนอกอยู่ทุกศาล
หมายถึงศาลนี้ประกอบพิธีเรียบร้อยแล้ว หน้าที่การใช้งานศาลเป็นการช่ัวคราว ผที ี่เขา้ มาร่วมงานทง้ั หมด
ต้องกลบั ไปอยใู่ นท่ขี องตนเอง เปน็ สญั ลกั ษณข์ องการสิ้นสุดพิธที ี่ผตี ้องอยู่ในโลกของผี และมนุษย์ตอ้ งอยใู่ น
โลกของมนุษย์ การฟันศาลถือเป็นการสิน้ สุดการมาพบกันช่ัวคราวระหว่างโลกสองโลก เป็นการแยกแยะ
ไม่ใหป้ ะปนกันจนกว่าจะมพี ธิ ีกรรมคร้ังใหม่

ประวตั ิวัดเขำทอง

วัดเขาทอง ตั้งอยู่เลขที่ 185 หมู่ที่ 4 บ้านเขาทอง ตาบลเขาทอง อาเภอพยุหะคีรี จังหวัด
นครสวรรค์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย อยู่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ ตาบลย่านมัทรี อาเภอ พยุหะคีรี
จังหวัด นครสวรรค์ ภาค 4

วัดเขาทองได้รับอนุญาตให้สร้างวัด เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2196 (วัดเขาทอง อ.พยุหะคีรี
จ.นครสวรรค์ สืบค้นใน https://www.facebook.com/thong22)

ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2225
ได้ประกอบพิธีผูกพัทธสีมาคร้ังแรก เมื่อวันท่ี 5 เดือน เมษายน พ.ศ 2226
ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาครั้งหลัง เมื่อวันที่ 24 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2526
ได้ประกอบพิธีผูกพัทธสีมาครั้งหลัง เม่ือวันท่ี 20 เดือน เมษายน พ.ศ. 2527

เขตวิสุงคามสีมากว้าง 30 เมตร ยาว 40 เมตร มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 38 ไร่ 3 งาน 16 ตารางวา
ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 10098 พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบสูง อยู่ท่ามกลางหมู่บ้าน เดิมชื่อ "วัดสุวรรณคีรีท่า
โขลง" ที่ได้ชื่อวัดสุวรรณคีรีท่าโขลง คือ บรรพบุรุษได้ขนานนามไว้แต่เดิม จึงได้เรียกติดปากสืบทอด
ต่อ ๆ กันมาเป็นเวลาช้านาน “วัดสุวรรณคีรีท่าโขลง” ได้เปลี่ยนชื่อว่า "วัดเขาทอง" ในสมัยพระครู
นิรันดร์ศีลคุณ (เจ้าอธิการวัน วัฒนทธรรมโม) (หมีทอง) ดารงตาแหน่งเป็นเจ้าอาวาส ทางคณะสงฆ์
ได้มาตรวจการ และคณะสงฆ์ได้พิจารณาเห็นว่า ช่ือวัดสุวรรณคีรีท่าโขลงน้ีไม่ตรงกับชื่อหมู่บ้าน เพราะ
หมู่บ้านชื่อว่าหมู่บ้านเขาทอง ตาบลเขาทอง ดังนั้น ทางคณะสงฆ์จึงได้ตั้งชื่อให้เสียใหม่ว่า วัดเข าทอง
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ชื่อวัดทางราชการจึงได้ชื่อว่า วัดเขาทอง และชื่อที่ชาวบ้านเรียกหรือชื่อเดิม
คือวัดสุวรรณคีรีท่าโขลง (วัดใหญ่)

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

26

วัดเขาทองเป็นวัดเก่าแก่คู่ชุมชนมานาน มีรูปหล่อหลวงพ่อเดิม ประดิษฐานให้กราบไหว้บูชา
ทุกวัน และจัดงานยิ่งใหญ่ทุกปี คืองานบุญเดือน 3 (เดือนไทย) เปิดให้ปิดทอง (วัดเขาทอง สืบค้นใน
https://www.lovethailand. org/travel/th/23นครสวรรค์/5924วัดเขาทอง.html)

อายุของวัดเขาทองตั้งแต่เดิมจนถึงปัจจุบัน มีอายุประมาณ 700 ปีเศษ บรรพบุรุษได้เล่าสืบ
ทอดต่อกันมาว่า เริ่มจากบรรพบุรุษของชาวเขาทองนั้นแต่ก่อนได้อพยพ จากการสันนิฐานน่าจะมา
จากเมืองหนึ่งซึ่งปัจจุบันเรียกว่านนทบุรี เพราะในพื้นที่แห่งนี้มีชาวมอญและประเพณีสืบต่อกันมา
ยาวนานมาก ซึ่งสาเหตุที่ต้องอพยพมานั้นเกิดจากชาวจีนในที่นั้นไล่ที่อยู่เพราะชาวจีนในสมัยนั้น
ต้องการท่ีอยู่จึงเบียดเบียนชาวมอญ ส่วนชาวมอญน้ันเป็นกลุ่มชนท่ีรักสงบ จึงได้เดินทางออกจากพ้ืนที่
น้ันประมาณ 20 ครอบครัว ได้เดินทางโดยเรือข้ึนมาตามแม่นา้ เจ้าพระยา จนถึงพ้ืนที่อุดมสมบูรณ์จึงต้งั
ถิ่นฐาน ณ ที่แห่งน้ี (ซ่ึงในปัจจุบันเรียกว่ายางตาล) ในพ้ืนท่ีต้ังถิ่นฐานนั้นเป็นท่ีราบตา่ ถึงช่วงฤดูฝนของ
ทุกปีน้ามักจะท่วมเสมอจึงทาให้ชาวมอญต้องย้ายถ่ินฐานจากที่อยู่เดิมเดินข้ามฝากมาอยู่อีกฝั่งซึ่งเป็น
ภูเขาสูง นา้ ไม่สามารถท่วมได้จึงตั้งถ่ินฐานกันที่แห่งน้ี (ปัจจุบันเรียกว่าหมู่บ้านเขาทอง) ได้อาศัยอยู่จน
เร่ิมต้ังหมู่บ้านขึ้น

จากน้ันจึงได้ตั้งวัดขึ้นโดยเฉพาะชาวมอญ ตามประวัติที่เล่าสืบต่อกันมาว่า มีพ่อค้าชาวมอญ
เขามาค้าขายที่ตาบลเขาทอง เศรษฐีพ่อค้าชาวมอญคนนี้มีชื่อว่า นายก้อนทอง เศรษฐีมีภรรยา
2 คน พ่อค้าและภรรยาทั้ง 2 คนได้สร้างวัดคนละวัดพ่อค้าผู้เป็นสามีสร้างวัดอยู่ตรงกลางคือ
วัดเขาทองในปัจจุบัน ส่วนภรรยาหลวง สร้างวัดเหนือ คือ วิหารหลวง สระวัดเหนือ ส่วนภรรยาน้อย
สร้างวัดใต้ คือ บริเวณสระบัวน้อยในปัจจุบัน เหตุที่สันนิษฐานว่ามอญสร้าง ก็เนื่องจากพระประธานใน
โบสถ์หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นคติความเชื่อของชาวมอญว่าจะไปอยู่ที่ใดก็ต้องสร้าง
พระพุทธรูปหันหน้าไปทางบ้านเกิดเมืองนอนคือ เมืองหงสาวดี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของชาวมอญ
พระประธานในโบสถ์วัดเขาทองจึงหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งตามปกติวัดทั่วไปจะต้อง หันหน้าไป
ทางทิศตะวันออก และถ้าจะตั้งถิ่นฐานใหม่ก็จะต้องมีเสาหงษ์ตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันตกทุกครั้ง
ภายหลังเสาหงษ์นั้นได้ผุและโค่นตามกาลเวลาเพราะทาด้วยไม้แก่นและชนรุ่นหลังมิได้สืบทอดพิธีการ
ต้ังเสาหงษ์จึงเก็บไว้ในที่ ๆ เหมาะสม (ณ ปัจจุบันเสาหงษ์นั้นได้เก็บรักษาไว้ที่กุฏิสงฆ์) ซึ่งจะมีหลักฐาน
ยืนยันได้ว่าเป็นชาวมอญ จะเห็นได้ว่าการก่อสร้างอุโบสถนั้น จะหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เพราะ
จะต้องระลึกถึงเมืองหงสาวดี (ยืนยันได้ว่าที่นี่ เป็นศิลปะของชาวมอญโดยแท้จริง)

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

27

ภาพที่ 5 ประตูเข้าวัดเขาทอง
ที่มา: วัดเขาทอง, 2565

วัดเขาทอง มีอาณาเขตดังน้ี

ทิศเหนือยาว 154 วา ติดต่อที่ทางสาธารณประโยชน์

ทิศใต้ยาว 147 วา ติดต่อที่ทางสาธารณประโยชน์

ทิศตะวันออกยาว 675 วา ติดต่อท่ีทางสาธารณประโยชน์

ทิศตะวันตกยาว 125.5 วา ติดต่อท่ีทางสาธารณประโยชน์

ที่ธรณีสงฆ์ มีจานวน 1 แปลง มีเนื้อที่ทั้งสิ้นจานวน 1 งาน 77 ตารางวา มีหนังสือแสดง
กรรมสิทธ์ิที่ดินคือ (น.ส. 3 ก.) เลขท่ี 1684 เลขที่ดิน 363

ลักษณะพื้นที่โดยทั่วไป ของวัดเขาทองหรือเดิมเรียกว่าวัดสุวรรณคีรีท่าโขลงนั้นเป็นพื้นดิน
ทรายแดงแบบกวดตากุ้ง แต่ปัจจุบันได้มีการนาดินที่อื่นมาถมใหม่เพราะมีการก่อสร้างบ้านเรือน
ชาวบ้านได้ก่อสร้างบ้านแล้วนาดินมาถมให้สูงขึ้นทาให้น้านั้นไหลเข้ามาในวัด เป็นอีกสาเหตุหน่ึงที่ต้อง
นาดินมาถมที่เพราะวัดต่าลงเนื่องจากวัดอยู่กลางชุมชน จึงต้องนาดินจากท่ีอื่นมาถมเพ่ือให้สูงขึ้นและ
ในปัจจุบันได้ทาการเทปูนและลาดยางเป็นส่วนใหญ่จึงไม่มีท่ีดินให้เห็นในสภาพเดิม

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

28

ทาเนยี บเจ้าอาวาส

ลาดบั ที่ ชอื่ เจ้าอาวาส เวลาครองวดั
พ.ศ. 2176 ถึง พ.ศ. 2196
1 ไม่ปรากฏ พ.ศ. 2315 ถึง พ.ศ. 2345
พ.ศ. 2345 ถึง พ.ศ. 2420
2 หลวงพอ่ กุน พ.ศ. 2420 ถงึ พ.ศ. 2430
พ.ศ. 2431 ถึง พ.ศ. 2448
3 ไม่ปรากฏ พ.ศ. 2448 ถึง พ.ศ. 2494
พ.ศ. 2494 ถงึ พ.ศ. 2501
4 พระอธกิ ารพรม พ.ศ. 2501 ถงึ พ.ศ. 2521
พ.ศ. 2521 ถงึ พ.ศ. 2532
5 พระอธกิ ารเฮง พ.ศ. 2532 ถงึ พ.ศ. ปัจจบุ นั

6 พระครนู ิรนั ดรศ์ ลี คณุ

7 พระอธกิ ารทอง ไลท้ องคา

8 พระอธิการทอง ฐิตสุทธิ

9 พระครนู ิวัฐธรรมาภนิ นั ท์

10 พระครนู ภิ าธรรมวงศ์ (ประเทือง เพช็ ร์ผง้ึ )

เกจิอำจำรย์ทสี่ ำคัญ

1. พระครนู ริ นั ดศ์ ลี คณุ (เจา้ อธกิ ารวนั วฒั ฑธฺมโม)

พระครูนิรันด์ศีลคุณ (เจ้าอธิการวัน วฒั ฑธฺมโม) หรือพระอธิการวัน หมีทอง ไม่พบประวัติท่ีแน่
ชดั ของท่าน ทราบเพียงว่าในสมัยท่ีพระครูนิรันด์ศีลคุณ หรอื พระอธิการวัน หมีทอง นั้นเป็นที่เล่ืองลือว่า
ท่านเป็นพระทสี่ ามารถเทศน์มหาชาติ โดยเฉพาะกัณฑ์ ทานกณั ฑ์ ไดไ้ พเราะอย่างหาตวั จับยาก

กติ ติคณุ
1) พระครูนิรันด์ศีลคุณ (เจ้าอธิการวัน วัฒฑธฺมโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาทอง ได้ร่วมกับ
พระพยุหาภิบาล นายอาเภอพยุหะคีรี นายสิงโต ธนจันทร์ ศึกษาธิการอาเภอ จัดต้ัง โรงเรียน ชื่อว่า
โรงเรียนประชาบาลตาบลเขาทอง 1 (วัดเขาทอง) โดยใช้ศาลาการเปรียญวดั เขาทอง เปน็ สถานที่เรียน
โรงเรียนดารงอยู่ไดด้ ้วยเงินการศึกษาพลี
(พระพยุหาภิบาล พบข้อมูลในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 43 วันท่ี 5 กันยายน 2469 หน้า 2180-
2181 ความว่า เกิดวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2412 ได้ศึกษาวิชาหนังสือไทย ณ สานักอาจารย์เกิด
วัดพิชัยบุรณราม จังหวัดอุทัยธานี คร้ัน พ.ศ. 2429 รับราชการเป็นเสมียนจังหวัดอุทัยธานี พ.ศ. 2438
เลื่อนข้ึนเป็นตุลาการศาลแพ่ง คร้ัน พ.ศ. 2440 ทาการหัวหน้าแผนกมหาดไทย จังหวัดอุทัยธานี ต่อมา
พ.ศ. 2441 มาเป็นนายอาเภอพยุหะครี ี จังหวัดนครสวรรค์ ถึง พ.ศ. 2442 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร
เป็นพระพยุหาภิบาล พ.ศ. 2449 ยา้ ยไปเป็นนายอาเภอบา้ นโป่ง จังหวดั ราชบรุ ี)
โรงเรียน เปิ ดการสอน ครั้งแรก ตั้ งแต่ชั้น ป ระถม ศึกษาปี ท่ี 1 ถึงชั้น ป ระถม ศึกษ า
ปที ี่ 3 มพี ระภิกษุสอน 4 รูป คอื

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

29

1.1) พระอธกิ ารวนั หมีทอง (พระครูนิรนั ด์ ศีลคณุ ) เป็นครใู หญ่
1.2) พระภกิ ษุกุน เพช็ รผ้ึง
1.3) พระภิกษุเทยี น ลอ้ มร่ืน
1.4) พระภิกษมุ ้วน
ต่อมาเมื่อวันท่ี 19 กุมภาพันธ์ 2469 พระอธิการวัน ได้ลาออกจากครูใหญ่ และแต่งตั้งนายไกร่
เสืออุดม เปน็ ครูใหญ่
2) พระครนู ิรนั ดศ์ ีลคณุ (เจา้ อธกิ ารวัน วฒั ฑธฺมโม) เป็นผู้บูรณะอโุ บสถจากเดิมเปน็ อโุ บสถท่มี ผี นัง
ทาจากไมส้ านมาเป็นอโุ บสถผนงั ปนู
3) ร่วมกบั หลวงพ่อเดมิ จดั สรา้ งกุฏิ
4) สร้างมณฑป

2. พระครนู ภิ าธรรมวงศ์ (อรยิ วโํ ส)

เดมิ ชือ่ ประเทือง เพ็ชรผึ้ง เกิดวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2493 บิดาชื่อ นายทา เพช็ รผ้ึง มารดา
ชื่อ นางเฉ่อื ย เพช็ รผึ้ง อยบู่ า้ นเลขที่ 33 หมู่ 8 ตาบลเขาทอง อาเภอพยุหะครี ี จังหวดั นครสวรรค์

อุปสมบท
พระครนู ภิ าธรรมวงศ์ ไดท้ าพิธอี ุปสมบท เม่อื วันท่ี 1 เมษายน พ.ศ. 2514 ณ วดั พรหมจริยาวาส
ตาบลปากน้าโพ อาเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ มีพระราชพรหมาภรณ์ วัดพรหมจริยาวาส เป็นพระ
อุปชั ฌาย์ พระครูนภิ าธรรมสถติ วัดพรหมจริยาวาส เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ และพระครใู บฏกี าสงกรานต์
ฉายา ปรกฺกโม วัดพรหมจรยิ าวาส เป็นพระอนสุ าวนาจารย์
วิทยฐานะ
พ.ศ. 2520 สาเรจ็ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรียนนากลาง เขตบางกอกน้อย กรงุ เทพมหานคร
พ.ศ. 2516 สอบไล่ไดน้ กั ธรรมชัน้ เอก สานกั ศาสนศกึ ษาวดั เขาแก้ว ตาบลพยหุ ะ อาเภอพยหุ ะคีรี
จงั หวดั นครสวรรค์
พ.ศ. 2548 สาเร็จหลกั สตู รประกาศนียบตั รการบริหารกิจการคณะสงฆ์ (ปบ.ส.) มหาวทิ ยาลยั
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาลงั สงฆ์นครสวรรค์ ตาบลปากน้าโพ อาเภอเมืองนครสวรรค์ จงั หวัด
นครสวรรค์
การศึกษาพเิ ศษ เป็นนักเทศน์แม่แบบของเถรสมาคม
ความชานาญการ การบรรยายธรรมแบบประยกุ ต์ นวกรรมการก่อสร้าง
งานการปกครอง
พ.ศ. 2516 ได้รบั แตง่ ตง้ั เปน็ ผู้รกั ษาการแทนเจา้ อาวาสวดั เขาไมเ้ ดน ตาบลทา่ นา้ ออ้ ย อาเภอ
พยหุ ะครี ี จงั หวัดนครสวรรค์

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

30

พ.ศ. 2522 ได้รบั การแต่งต้ังเปน็ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวดั เขาทอง ตาบลเขาทอง อาเภอพยหุ ะครี ี
จังหวัดนครสวรรค์

พ.ศ. 2526 ไดร้ ับการแตง่ ตัง้ เปน็ รองเจา้ อาวาสวดั เขาทอง ตาบลเขาทอง อาเภอพยหุ ะครี ี จงั หวัด
นครสวรรค์

พ.ศ. 2532 ไดร้ บั การแตง่ ตั้งเป็นเจา้ อาวาสวดั เขาทอง ตาบลเขาทอง อาเภอพยหุ ะครี ี จังหวดั
นครสวรรค์ จนถงึ ปจั จบุ ัน

พ.ศ. 2535 ไดร้ ับการแต่งตั้งเปน็ พระอปุ ัชฌายจ์ นถงึ ปัจจุบัน
พ.ศ. 2542 ได้รับการแตง่ ตั้งเป็นเจ้าคณะตาบลยา่ นมัทรี อาเภอพยุหะคีรี จงั หวัดนครสวรรค์
พ.ศ. 2547 ไดร้ ับการแตง่ ต้ังเป็นพระวินยาธกิ าร ประจาอาเภอพยหุ ะคีรี จงั หวัดนครสวรรค์
พ.ศ. 2552 ไดร้ ับการแต่งตั้งเป็นรองเจา้ คณะอาเภอพยุหะครี ี จงั หวดั นครสวรรค์
งานสาธารณปู การ
(1) งานก่อสร้างถาวรวตั ถภุ ายในวัด
พ.ศ. 2555 ได้ดาเนินการก่อสรา้ งศาลาพักรอ้ น โครงหลังคาเหล็ก มุงด้วยเมทัลชีท ขนาดกว้าง
5 เมตร ยาว 6 เมตร
พ.ศ. 2555 ได้ดาเนินการก่อสรา้ งศาลาอเนกประสงค์ โครงหลงั คาเหล็ก มุงดว้ ยเมทลั ชีท ขนาด
กว้าง 10 เมตร ยาว 18.60 เมตร
พ.ศ. 2555 ได้ดาเนินการก่อสร้างห้องประชุม ลักษณะช้ันเดียว ก่ออิฐถือปูน โครงสร้างเหล็ก
หลงั คามงุ กระเบ้ือง ขนาดกว้าง 6 เมตร ยาว 12 เมตร
พ.ศ. 2555 ได้ดาเนินการก่อสร้างห้องน้า จานวน 8 ห้อง ลกั ษณะคอนกรีตเสรมิ เหล็ก กอ่ อิฐถือ
ปนู โครงสรา้ งเหลก็ หลงั คามุงกระเบ้ือง ขนาดกวา้ ง 2.57 เมตร ยาว 10.25 เมตร
พ.ศ.2556 ได้ดาเนินการก่อสร้างโรงจอดรถ โครงหลังคาเหล็ก มุงด้วยเมทัลชีท ขนาดกว้าง
2.50 เมตร ยาว 21 เมตร
พ.ศ.2556 ได้ดาเนนิ การก่อสร้างห้องน้า จานวน 3 ห้อง ลักษณะคอนกรตี เสรมิ เหล็ก ก่ออิฐถือ
ปูน โครงสรา้ งเหล็ก หลังคามงุ เมทลั ชีท ขนาดกวา้ ง 2.35 เมตร ยาว 4.80 เมตร
พ.ศ.2556 ไดด้ าเนนิ การกอ่ สรา้ ง หลวงพ่อทันใจ หลอ่ ดว้ ยปูน หน้าตัก 9 ศอก พรอ้ มฐานปนู
พ.ศ.2557 ได้ดาเนนิ การก่อสร้างศาลาสันติธรรม 1-2 ทรงไทยประยุกต์สามสุข ช้ันเดียว ก่ออิฐ
ถอื ปนู โครงหลังคาเหล็ก มงุ ดว้ ยกระเบ้ือง ขนาดกวา้ ง เมตร ยาว 18 เมตร
พ.ศ.2557 ได้ดาเนนิ การก่อสร้างห้องนา้ จานวน 5 ห้อง ลกั ษณะคอนกรีตเสรมิ เหล็ก ก่ออิฐถือ
ปูน โครงสรา้ งเหลก็ หลงั คามุงกระเบื้อง ขนาดกว้าง 3.30 เมตร ยาว 6.30 เมตร
(2) งานบูรณปฏสิ ังขรณถ์ าวรวัตถุ ภายในวดั
พ.ศ.2553 ได้ดาเนนิ การบูรณปฏสิ งั ขรณว์ หิ ารบรู พาจารยว์ ัดเขาทอง ทาสีใหม่ท้งั หลงั

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

31

พ.ศ.2554 ได้ดาเนินการบูรณปฏิสังขรณ์ศาลาการเปรียญวัดเขาทอง ต่อเติมขยายนอกชายคา
เป็นก่ออฐิ ถือปูนตดิ บานกระจก เปลย่ี นผา้ หลังคาเปน็ ระบบลดเสยี ง

พ.ศ.2555 ได้ดาเนินการบูรณปฏิสังขรณ์ศูนย์การศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ วัดเขาทอง
ทาสดี า้ นในและดา้ นนอก แล้วเสร็จบรบิ รู ณใ์ ชง้ านได้

พ.ศ.2555 ไดด้ าเนินการบรู ณปฏิสังขรณ์อุโบสถวัดเขาทอง ทาสีด้านในและดา้ นนอก
สมณศกั ด์ิ
พ.ศ. 2518 ได้รับแต่งตั้งเปน็ พระปลดั ในฐานนานุกรมของพระศรสี ักยวงศ์ เจ้าอาวาสวัดชิโนรสา
ราม เจา้ คณะแขวงบา้ นช่างหล่อ เขตบางกอกนอ้ ย กรงุ เทพมหานคร
พ.ศ. 2537 ได้รับพระราชทานสมณศักด์ิเป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าอาวาสวดั ราษฎร์ ชั้นโท ใน
ราชทนิ นามที่ พระครูนิภาธรรมวงศ์ (จร.ชท.)
พ.ศ. 2542 ได้รบั ปรบั พัดยศเปน็ เจา้ คณะตาบลชั้นตรี (จต.ชต.)
พ.ศ. 2549 ได้รบั พระราชทานเลื่อนสมณศักด์เิ ป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะตาบล ชั้นโท ใน
ราชทนิ นามเดมิ ที่ พระครูนภิ าธรรมวงศ์ (จต.ชท.)
พ.ศ. 2551 ไดร้ ับปรับพัดยศเป็นรองเจา้ คณะอาเภอชน้ั โท (รจอ.ชท.)

วดั เขำทองกบั หลวงพ่อเดมิ

วดั เขาทองมีความเก่ยี วพนั กับหลวงพอ่ เดมิ ในหลายประเด็นคือ

1. ข้อมูลจากพพิ ิธภัณฑ์หลวงพ่อเดมิ อาเภอตาคลี ไดก้ ลา่ วถงึ ความเก่ยี วพันระหว่างหลวงพอ่ เดิม

กบั วดั เขาทองคือ หลวงพอ่ เดิมได้รบั มอบตัวเปน็ ศษิ ยข์ องพระอาจารย์น่มุ วดั เขาทองแล้วก็ได้รับการส่ังสอน

ถึงการเทศน์ การอ่านใบลานเทศนแ์ ละทานองเทศนอ์ นั เป็นอกั ขระภาษาบาลี เปน็ หลกั สาคญั ทา่ นเล่าเรยี น

อย่างเอาใจใส่จนหมดความรู้ของหลวงพ่อนุ่ม ท่านจึงเดินทางกลับสู่วัดหนองโพตามเดิม เมื่อได้ทาการ

สัมภาษณ์ถงึ ประเดน็ น้ี ยงั ไมพ่ บประวัติของพระอาจารยน์ ุ่มแหง่ วัดเขาทองท่ีเชีย่ วชาญในเรอ่ื งของการเทศน์

เลย ในชว่ งสมัยของหลวงพอ่ เดมิ น้ัน พระอาจารยท์ ี่สามารถเทศน์มหาชาติ โดยเฉพาะกัณฑ์ ทานกัณฑ์ ได้

ไพเราะอย่างหาตัวจับยากในยุคสมัยของหลวงพ่อเดิมมีเพียง พระอธิการวัน หมีทอง หรอื พระครูนิรันด์

ศลี คณุ ซงึ่ มพี รรษานอ้ ยกวา่ หลวงพ่อเดิมเพียงรปู เดยี วเท่าน้นั

2. หลวงพอ่ เดิมท่านเป็นพระนกั พัฒนาและสรา้ งวดั เป็นจานวนมาก

สร้างอโุ บสถถึง 22 หลัง

สรา้ งศาลาการเปรียญ 15 หลัง

บูรณะวดั ทง้ั หมด 26 วดั

จากข้อมูลวัดหนองบวั พบว่า วัดเขาทองเป็นหนึ่งในวัดท่ีหลวงพ่อเดิมทา่ นสร้างและบูรณะมากที่สุด

(สรา้ งอุโบสถ สรา้ งศาลาการเปรยี ญ สระน้า มณฑป กฏุ ิ) จากทั้งหมด 5 วดั คอื

2.1 วัดหนองบวั อาเภอหนองบวั จงั หวดั นครสวรรค์ บูรณะใหมห่ มดทงั้ วดั

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

32

2.2 วดั หนองโพ อาเภอตาคลี จงั วัดนครสวรรค์ (เดิมขึ้นอยู่ อาเภอพยหุ ะครี ี )
2.3 วดั โคกเดอ่ื (พงั ม่วง) อาเภอไพศาลี จงั หวัดนครสวรรค์
2.4 วัดเขาทอง อาเภอพยุหะครี ี จังหวัดนครสวรรค์
2.5 วัดหนองหลวง อาเภอทา่ ตะโก จังหวดั นครสวรรค์
ในประเด็นน้ี จากการสัมภาษณพ์ บว่า หลวงพ่อเดิมท่านมารว่ มหาเงินทาบญุ ให้กับทางวดั โดยการ
นาวัตถุมงคลมามอบให้แก่ทางวัด เพื่อออกวางให้ผู้สนใจเช่าทาบญุ แล้วจึงนาเงินท้ังหมดที่ได้มารว่ มสร้าง
ดังคราวทท่ี างวัดเขาทองบูรณะสระชลาลัยธญั ญผลประสทิ ธ์ิ รวมถึงอุโบสถหลังเดิม และศาลาการเปรียญ
ซึง่ ในปัจจบุ ันได้ถกู รอื้ สร้างใหมแ่ ลว้ ทั้งสิน้ ยงั คงเหลือเค้าโครงใหเ้ หน็ มีเพยี งกฏุ เิ ท่านั้น
3. เม่ือ ปี พ.ศ. 2482 มีการฉลองอายุ 80 ปี หลวงพ่อเดิม ทางวัดหนองโพได้จัดสร้างรูปเหมือน
หลวงพ่อเดิมขนาดใหญ่เท่าองค์จริงสร้างทั้งหมด 4 องค์ โดยแบ่งให้วัดต่าง ๆ ซึ่งเป็นวัดท่ีท่านสร้างและ
บรู ณะดังน้ี (1) วดั หนองบัว 1 องค์ (2) วัดพังมว่ ง (โคกเด่ือ) 1 องค์ (3) วัดเขาทอง 1 องค์ (4) วัดหนองโพ
1 องค์ พิมพเ์ ดยี วกนั ท้งั หมด วดั เขาทองเปน็ หนง่ึ ในวัดท่ีไดร้ ับรูปหลอ่ นี้ สว่ นวัดหนองหลวง ไดร้ ูปหลอ่ ขนาด
12 นิ้ว ไปประจาวดั เป็นอนสุ รณ์
4. เม่อื ครัง้ ท่ีหลวงพ่อเดมิ ยังมีชวี ติ อย่ชู าวจังหวดั นครสวรรค์ มคี วามเคารพยาเกรงในบุญบารมขี อง
หลวงพ่อเดิมมาก และหลวงพ่อเดมิ จะเดินทางธุดงค์จากวัดหนองโพ อาเภอตาคลี มาที่วัดเขาทอง อาเภอ
พยุหะคีรี วัดหนองหลวง อาเภอท่าตะโก วัดพังม่วง (วัดโคกเด่ือ) อาเภอไพศาลี และวัดหนองบัว
(หนองกลับ) อาเภอหนองบวั เปน็ วัดสุดท้าย ซึ่งหลวงพอ่ เดมิ จะเดินทางเปน็ ประจาในทุก ๆ ปี และเส้นทาง
เดนิ ของหลวงพ่อเดิม ระหว่างอาเภอตาคลี และอาเภอหนองบวั ซึง่ หลวงพ่อใช้เป็นเสน้ ทางเดินเปน็ ประจา
จนชาวบ้าน เรียกเส้นทางนี้วา่ “ทางหลวงพ่อเดิม” ซึ่งจนกระท่ังถึงปจั จุบันนี้ ชาวบา้ นยังคงรักษาเสน้ ทาง
เดนิ นไ้ี ว้ โดยมิมใี ครกล้าปิดเสน้ ทางเดินของท่าน ท้ัง ๆ ทีใ่ นสมัยนน้ั เป็นปา่ มาก่อน แตม่ ิมีผู้ใดกล้าที่จะเอา
เสน้ ทางเดนิ ของหลวงพอ่ เดมิ ทาไร่ หรือทานา ซึง่ ในปัจจุบัน บรเิ วณรอบขอบทางเดินของหลวงพ่อเดิม ได้
กลับกลายจากป่าเป็นทไ่ี ร่นาของชาวบ้านไปหมดแล้ว แต่ชาวบ้านยังคงรักษาเส้นทางน้ีไว้ โดยมิมีใครกล้า
ปิดเส้นทางหรือทาลาย จงึ เปน็ อนุสรณ์สบื ต่อเนือ่ งมาจนกระทัง่ ถึงทุกวนั น้ี
5. หลวงพ่อเฒ่ารอด เป็นมหาเถระผคู้ งแกเ่ รียนและมีวิชาอาคมสงู หลวงพ่อเฒ่ารอดน้ีมอี ายุยืนถึง
120 ปี ชาวบ้านจึงเรียกว่า หลวงพอ่ เฒา่ ทา่ นเปน็ คนกรงุ เก่าหนมี าในสมยั กรุงธนบุรี ตามพระภกิ ษุกนุ มาอยู่
ท่ีเขาทอง และได้นาพาโยมอปุ ัฏฐาก ชาวเขาทอง 7 ครวั เรือน ยกขบวนมาสร้างบ้านท่ีหนองโพ ท่านเปน็ ผู้
คงแก่เรียนสอนหนังสือที่วัดหนองโพจนมีช่ือเสียงมีลูกศิษย์มากมายท่านเป็นพระบวชมาตั้งแต่สมัยกรุง
ธนบุรี สอนทั้งบาลีและภาษาไทย ภาษาขอม และวิปัสสนากรรมฐานอักขระเลขยันต์ คาถาอาคม และ
แพทย์แผนโบราณ เรียกว่ามีความรู้ทันสมัยท่ีสุดในสมัยนั้น ชาวต่างถ่ินมาเป็นศิษย์ มีทั้งพระภิกษุและ
ฆราวาส

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

33

ทรัพยำกรทำงกำรท่องเท่ียววดั เขำทอง

ภาพที่ 6 แผนที่วัดเขาทอง
ที่มา: https://www.google.co.th/maps/, 2565

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

34

1. วหิ ารบรู พาจารย์

เดิมท่ตี รงนี้เปน็ อโุ บสถหลงั เก่า ซงึ่ ดาเนนิ การสรา้ งต้ังแตเ่ ม่ือใดไม่มีใครสามารถสบื คน้ หลักฐาน
ได้ เฉพาะอุโบสถหลงั เก่านัน้ มีความกวา้ ง 8 เมตร และยาว 18 เมตรเศษ เป็นเสาไม้แก่น กาแพงกอ่ ดว้ ยอิฐ
สูงจากพ้ืนดินประมาณ 1 เมตรเศษ และฝาผนงั ทาด้วยเส่ือลาแพนกันฝน หลังคามุงดว้ ยกระบู้ (ปัจจบุ ันน้ี
เรยี กวา่ กระเบอื้ ง) เป็นหลังคาช้นั เดยี วตามแบบสมัยโบราณ ดา้ นหน้าอุโบสถอยู่ทางทิศตะวนั ตก กล่าวกัน
ว่าเป็นศิลปะของชาวมอญ อุโบสถหลังเก่าได้ชารุดทรุดโทรมเกินกว่าจะบูรณะแล้ว จึงได้มีการร้ือถอน
อโุ บสถหลังเก่าแล้วกส็ รา้ งวิหารบรู พาจารย์แทนท่ีเดิม ตอ่ มา พ.ศ. 2553 ได้ดาเนนิ การบูรณปฏสิ งั ขรณ์โดย
ทาสีวิหารบรู พาจารย์ใหม่ทง้ั หลงั ภายในวหิ ารเป็นทป่ี ระดษิ ฐาน พระพทุ ธบาทจาลอง รูปหล่อหลวงพ่อเดิม
รูปหล่อพระมหาผนั ธญั ญผล รูปหลอ่ พระศรสี กั ยวงศ์ อดตี เจา้ อาวาสวัดชิโนรส และรปู หล่อพระครูนริ ันดร์
ศีลคุณ อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาทอง ซ่ึงทางวัดเขาทองจะจัดงานประจาปีวันวิสาขะบูชา และวันมาฆะบูชา
ของทุกปี

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

35

พระมหาผนั ธญั ญผล พระศรสี กั ยวงศ์ เจ้าอาวาสวดั ชโิ นรส

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

36

หลวงพอ่ เดิม พระครูนริ นั ดรศ์ ลี คุณ
ภาพท่ี 7 วิหารบูรพาจารย์วัดเขาทอง
ท่ีมา: วัดเขาทอง, 2565

2. พระประธานในอโุ บสถหลงั เกา่

พระประธานในอุโบสถหลังเก่าน้ัน เป็นพระแบบสมัยสุโขทัย ปรางสะดุ้งมารหน้าตักกว้าง
40 นิ้ว เป็นพระหน้านาง หล่อด้วยเนื้อทองสัมฤทธิ์ (พระศรสี ุวรรณบงกช) อายุกวา่ 700 ปี มีประวตั ิความ
เปน็ มาวา่

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

37

ภาพท่ี 8 พระหน้านาง วัดเขาทอง
ท่ีมา: วัดเขาทอง, 2565

พระประธานในอุโบสถน้ัน พระเจ้าอทู่ องไดย้ ้ายมาจากเมอื งสุโขทัยจะเสด็จไปยังท่ีต้ังกรุงใหม่
ณ กรุงศรอี ยธุ ยาได้เสดจ็ โดยทางบกและไดบ้ รรทกุ พระพทุ ธรูปองคน์ ี้มาบนหลังช้างกบั กองทพั นด้ี ้วย ครั้น
เสด็จมาถึง ณ หมู่บ้านเขาทองและพักแรมใต้ต้นมะเด่ือทางทิศใต้ของหนองใหญ่ แล้วจึงได้อัญเชิญ
พระพุทธรูปลงจากหลังช้างเม่ืออัญเชิญพระพทุ ธรปู ลงเรียบรอ้ ยแลว้ ก็ให้พวกควาญชา้ งท้ังหลายนาช้างไป
กนิ น้าทห่ี นองใหญ่ (ปัจจุบันน้ีหนองใหญไ่ ด้ทาการบูรณะเป็นท่ีเกบ็ น้าไว้ใช้ในหน้าแล้ง และไดเ้ ปล่ียนนาม
ใหม่เป็นสระแกว้ ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของวัด) ในเวลากลางคืนจะมีช้างป่าเดินมากินน้าในหนองนี้
เป็นประจา จึงมีประวัติว่าทางทิศใต้ของวัดเปน็ ทางชา้ งในตอนกลางคนื พอควาญช้างไดน้ าช้างลงกินน้าใน
หนองน้านี้แล้ว ช้างทุกตัวทกุ เชือกทล่ี งมากินน้าในหนองนี้ สามารถข้ึนจากหนองนีไ้ ด้หมดทกุ เชือก เว้นไว้
แต่ชา้ งพระทีน่ ่ังของพระเจ้าอูท่ องเพยี งเชอื กเดยี ว ทีค่ วาญช้างไม่สามารถนาชา้ งข้นึ จากหนองนา้ น้นั ได้ เมื่อ
สุดความสามารถของควาญช้าง ดังนนั้ ควาญชา้ งจงึ นาความเข้ากราบทูลให้พระเจ้าอทู่ องไดท้ รงทราบ เมื่อ
พระเจ้าอูท่ องทรงได้ฟังควาญชา้ งกราบทลู ดังนนั้ กเ็ สดจ็ ลงไปในหนองน้านนั้ ด้วยพระองค์เอง ไม่วา่ พระเจ้า
อู่ทองจะทาอย่างไร ช้างของพระองค์กไ็ ม่ยอมข้ึนจากหนองน้า ในขณะนั้นประชาชนชาวหมู่บ้านเขาทองก็
พากันแตกตื่นมาดชู า้ งตัวน้นั แลว้ ต่างก็พดู วา่ “ชา้ งติดหลม่ ” ในท่ีสุดพระองคก์ ไ็ ดต้ รัสกับประชาชนว่า “มี
ใครท่ีสามารถนาช้างเชือกน้ีข้ึนมาได้บ้าง” หัวหน้าหมู่บ้านในสมัยน้ันได้กราบทูลแก่พระเจ้าอู่ทองว่า
“ข้าพเจ้ามีลูกสาวที่เป็นคนทรงอยู่คนหนึ่ง เม่ือเจ้าเข้าทรงแล้วอาจจะนาช้างพระท่ีนั่งขึ้นมาได้กระมั ง”
ดงั นัน้ พระองคจ์ ึงตรัสกับหวั หนา้ หมู่บ้านให้ไปรับลูกสาวมาทาพิธี เมอ่ื ลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านเดินทาง
มาถงึ หนองนา้ นน้ั พระเจา้ อทู่ องจึงได้ทรงอนุญาตให้ลกู สาวของหัวหนา้ หมู่บา้ นลงไปช่วยช้างท่ีติดหล่มอยใู่ น
หนองนา้ เม่ือถึงตัวช้างก็ใช้ดา้ ยสายสิญจนผ์ ูกกับงวงชา้ ง แล้วจึงจูงช้างข้ึนมาจากหนองน้าได้อย่างง่ายดาย
พระเจ้าอู่ทองทรงเห็นดังน้ันจึงตรัสว่า “น่าเหลือเช่ือ” ควาญช้างก็รับช้างน้ันไปผูกไว้กับเสาตลุงค์
เสาตลุงค์น้ันยังอยู่จนถึงปจั จบุ ันนี้ (ตดิ กบั กาแพงวัดทางทศิ ตะวนั ตกของวัด)

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

38

ภาพที่ 9 เสาตลุงค์ วัดเขาทอง
ท่ีมา: วัดเขาทอง, 2565

ตามข้อสันนิฐานแลว้ เสาตลงุ ค์คงเปล่ียนไปหลายคราวและการเปลย่ี นเสาตลุงคค์ รง้ั ใด ก็จะทา
ไว้ ณ ที่เดมิ ทุกครง้ั

พอรุ่งเช้า ก่อนทพ่ี ระองค์จะเสด็จไปกรุงศรีอยุธยา จึงเรียกหัวหน้าหมู่บ้านมาเข้าเฝา้ ท่ีหน้าวัด
สวุ รรณคีรที ่าโขลง (ปจั จุบันไดเ้ ปลยี่ นช่ือเป็นวัดเขาทอง ตามชื่อหม่บู า้ น) พระมหากษัตริย์ตรัสวา่ “เราจะ
ใหพ้ ระพุทธรูปไว้บชู าประจาวัดหน่ึงองค์” พระพทุ ธรปู องค์น้นั หน้าตกั กว้าง 40 นว้ิ หล่อด้วยทองสัมฤทธ์ิ
ปางสะดุ้งมารเป็นพระหน้านางมีช่ือวา่ พระศรีสุวรรณบงกช (ตอ่ มาเม่ือวันท่ี 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 ถูก
ผูร้ ้ายใจบาปลักตดั เศียรไป ทางวัดจึงได้ทาการหล่อเศียรข้ึนใหม่ อย่างไรก็ตามปัจจุบันพระหน้านางองค์
ดังกลา่ วไดถ้ ูกขโมยไปทัง้ องค์ และยังไมไ่ ด้คืน)

เมื่อพระเจา้ อู่ทองเสด็จถึงกรุงศรีอยธุ ยาแล้ว กท็ รงเล่าเหตกุ ารณ์ ที่ช้างพระท่ีน่งั ตดิ หลม่ ที่หน้า
วัดสุวรรณคีรีท่าโขลง ให้พระมเหสีฟัง พระมเหสีทรงฟังก็สนพระทัย แล้วตรสั ถามว่า พระองค์ทรงตอบ
แทนอะไรเขาบา้ ง พระมหากษัตริย์ทรงตอบว่า ทรงให้พระพุทธรปู ไว้บูชาหนึ่งองค์ และพระมเหสีทรงตรัส
วา่ ควรจะให้เครอื่ งตน้ เครอื่ งทรง แก่คนทรงอกี ส่วนหน่งึ ดว้ ย พระมหากษัตริย์ทรงอนญุ าตใหพ้ ระมเหสสี ละ
สิ่งของพระนาง ได้แก่ ผ้านุ่ง เส้ือทรง ผ้าโพกศีรษะ มีดดาบ ขันพร้อมกระบวย ฉิ่ง กระดึง ช้าง ม้า และ
เล็บมือนาง ประทานให้คนทรงท่ีลงไปนาชา้ งข้ึนมาจากหนองน้าแตบ่ ัดนั้นมา บัดนี้เครื่องบรรณาการจาก
พระมหากษตั รยิ ์และพระมเหสี ถกู แบง่ เปน็ 2 ชุด ยังอย่ทู ่คี นทรงเขาทองคนปัจจบุ ัน คอื นางโต๋ย กล่ินดว้ ง
คนทรงพอ่ ศรีเมอื ง และนางสาวสมจติ ร ไล้ทองคา คนทรงพอ่ โรง พอ่ ไฟ

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

39

ชุดท่ี 1 เครอื่ งตน้ เคร่อื งทรงท่อี ยู่กบั นางโตย๋ กลิ่นด้วง คนทรงพ่อศรีเมือง

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

40

ภาพที่ 10 เคร่ืองต้นเครื่องทรงท่ีอยู่กับ นางโต๋ย กลิ่นด้วง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

วดั เขาทอง

41

ชุดท่ี 2 เคร่ืองต้นเครือ่ งทรงทอี่ ย่กู ับ นางสาวสมจติ ร ไลท้ องคา คนทรงพอ่ โรง พอ่ ไฟ

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

42

ภาพท่ี 11 เคร่ืองต้นเคร่ืองทรงท่ีอยู่กับ นางสาวสมจิตร ไล้ทองคา

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

43

3. อโุ บสถหลงั ทส่ี อง

อุโบสถหลังนี้พระครูนิรันดร์ศีลคุณ (เจ้าอธิการวัน วัฒฑธฺมโม) อดีตเจ้าอาวาส เป็นผู้จัดการ
สร้างขึ้น อุโบสถหลังน้ีสร้างก่ออิฐถือปูน หลังคาสองชั้น (ข้อมูลจากหนังสือ อนุสรณ์ งานผูกพัทธสีมา
วัดเขาทอง (2527) อายุประมาณ 50 ปี) หากนับเวลาถึงปัจจุบัน จะมีอายุเกือบ 100 ปี โดยทาการ
ปฏิสังขรณ์ตามกาลเวลา แตไ่ ม่สามารถจะปฏสิ ังขรณ์ ไดอ้ ีก เพราะปนู เสอื่ มคุณภาพ จึงไดท้ าการรื้อออก

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

44

ภาพท่ี 12 อุโบสถสมัยพระครูนิรันดร์ศีลคุณ รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ
ท่ีมา: วัดเขาทอง, 2565

วัดเขาทอง

45

4. อโุ บสถหลงั ทส่ี าม

อุโบสถหลังเก่าได้ชารุดทรุดโทรมเกินท่ีจะบูรณะแล้ว ในปี พ.ศ. 2526 พระศรีสักยวงศ์
ชาติภูมิคนเขาทอง เจ้าอาวาสวัดชิโนรสาราม กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันมรณภาพแล้ว จึงได้ดาเนินการ
สรา้ งพระอุโบสถหลังใหม่ อโุ บสถหลังใหมน่ ี้ โดยกวา้ ง 12 เมตร ยาว 28 เมตร หลงั คา 3 ลด 3 หล่ัน สน้ิ ค่า
ก่อสร้างคร้ังนั้นเป็นจานวนเงิน 2,830,321 บาท ต่อมา พระครูนิภาธรรมวงศ์ (อริยวโส) เจ้าอาวาสรูป
ปจั จบุ นั ได้ดาเนินการบูรณปฏิสังขรณ์อโุ บสถใหม่ โดยทาสีด้านในและดา้ นนอก ในปี พ.ศ.2555

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

46

ภาพที่ 13 อุโบสถ วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ
ท่ีมา: วัดเขาทอง, 2565

วดั เขาทอง

47

5. ศาลาธรรมานสุ รณ์ (ศนู ยก์ ารศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาวนั อาทติ ย)์

เดมิ ศาลาการเปรยี ญของวัดเขาทอง มขี นาด กว้าง 18 วา 2 ศอก ยาว 23 วา 2 ศอก พื้นไม้สัก
เครอื่ งบนไม้สักเป็นบางส่วน มีสองหลังติดกนั สร้างมาประมาณ 200 ปี โดยได้ทาการรอ้ื ออก 1 หลงั สว่ น
อีกหลงั ไดย้ ้ายจากท่ีเดมิ มาสร้างเป็นศาลาการเปรยี ญใหม่ ชื่อว่า “ศาลาธรรมานุสรณ์” มีลักษณะเปน็ คร่ึง
ตึกคร่ึงไม้ 2 ช้ัน ช้ันบนเป็นท่ีสอนปริยัติธรรม มีช่ือว่า ศูนย์การศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ สิ้นค่า
กอ่ สร้างประมาณ 80,000 บาทเศษ สว่ นดา้ นล่างใชเ้ ป็นศาลาธรรมสังเวชโดยในปี พ.ศ.2555 พระครูนิภา
ธรรมวงศ์ (อริยวโส) เจา้ อาวาสรูปปัจจุบนั ไดด้ าเนินการบรู ณปฏิสังขรณ์ศูนย์การศึกษาพระพุทธศาสนาวัน
อาทติ ย์ขึ้นใหม่ โดยทาสีด้านในและดา้ นนอก

ภาพท่ี 14 ศาลาธรรมานุสรณ์ (ศูนย์การศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์)
ที่มา: วัดเขาทอง, 2565

วดั เขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

48

6. ศาลาธรรมจกั ร

เดิมศาลาการเปรียญของวัดเขาทอง มขี นาด กว้าง 18 วา 2 ศอก ยาว 23 วา 2 ศอก พื้นไมส้ ัก
เครื่องบนไมส้ ักเป็นบางสว่ น มสี องหลงั ตดิ กัน สรา้ งมาประมาณ 200 ปี โดยได้ทาการรื้อออก 1 หลังและ
สร้างเปน็ ศาลาธรรมจักรในปัจจบุ ันข้ึนมาแทน เพ่ือใช้ในงานบุญต่าง ๆ ข้นึ มาแทน พ.ศ. 2554 พระครนู ภิ า
ธรรมวงศ์ (อรยิ วโส) เจ้าอาวาสรูปปจั จบุ ันไดด้ าเนินการบูรณปฏิสังขรณศ์ าลาการเปรยี ญหลงั นี้ โดยทาการ
ตอ่ เติมขยายนอกชายคาเปน็ กอ่ อิฐถอื ปูนตดิ บานกระจก เปลี่ยนผา้ หลังคาเป็นระบบลดเสียง

สว่ นอกี หลังไดย้ ้ายจากที่เดิมมาสรา้ งเป็นศาลาการเปรยี ญใหม่ ชอ่ื ว่า “ศาลาธรรมานสุ รณ์”

ภาพที่ 15 ศาลาธรรมจักร
ที่มา: วัดเขาทอง, 2565

7. สระชลาลยั ธญั ญผลประสทิ ธ์ิ (สระวไิ ล)

เป็นสระที่อยู่ทางทิศตะวันตกของวัดเขาทอง จัดสร้างโดยท่านพระมหาผัน ธัญญผล เม่ือ
พ.ศ. 2471 ลักษณะเป็นสระท่ีกรุด้วยหินฉาบปูนซีเมนต์ ทั้ง 4 ด้าน ขนาดกว้าง 1 เส้น ยาว 1 เส้นคร่ึง
ลึก 16 ศอก บนคันสระสร้างศาลารับน้าฝนลงสระ 6 หลัง ส้ินเงิน 34,500 บาทเศษ ในการสร้างสระน้ี
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวรัชกาลท่ี 7 ทรงมหากรณุ าธิคณุ พระราชทานเป็นจานวนเงนิ 1,500 บาท และ
ทรงพระราชทานพระบรมรูปไปประดิษฐานที่สระนั้นด้วย พระมหาผัน ธัญญผล ให้ชื่อสระลูกน้ีว่า

วัดเขาทอง รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ

49

“สระชลาลัยธญั ญผลประสทิ ธ์ิ” เปน็ ทีต่ ักน้าไปใชใ้ นครวั เรือน และยงั เคยเปน็ สถานท่ีพบปะของหนุ่มสาวที่
ไปตักน้ากันตอนเย็นๆ ช่วงตรุษสงกรานต์บริเวณขอบสระท่ีเรียกว่า หัวหนอง จะใช้เป็นสถานท่ีเล่นจับ
ขอ้ มือสาว ผหู้ ญิงจะยืนรวมกันเป็นกลุม่ ผู้ชายถ้าพอใจดว้ ยกันทงั้ สองฝ่ายกจ็ ะจบั ขอ้ มือผู้หญิงดว้ ยอาการ
สุภาพ เป็นธรรมเนียมวา่ ไมใ่ หจ้ บั ถงึ ข้อศอก พาเดินไปรอบ ๆ สระ และหา้ มเดินไปในทลี่ ับตาผูค้ น บางบา้ น
พ่อกับแม่จะไปดูลูกสาวเล่นด้วย เป็นการผ่อนคลายและเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวพบปะกันในสายตาของ
ผใู้ หญ่และชมุ ชนในปัจจุบนั สระชลาลยั ฯ ได้รับการอนุรกั ษ์ดูแลรักษายงั คงอยู่ในสภาพทดี่ ี เปน็ ประโยชนต์ อ่
ชุมชน เป็นท่ีพักผอ่ นให้ความเพลดิ เพลิน เผ่อื อนุชนรุ่นหลังได้ศกึ ษาประวัติความเป็นมา สร้างจิตสานกึ ของ
คนในทอ้ งถ่นิ ใหเ้ หน็ คุณค่าของมรดกทางวฒั นธรรม

ภาพที่ 16 สระชลาลัยธัญญผลประสิทธ์ิ (สระวิไล) รศ. ดร.พชั ราภา สิงหธ์ นสารและคณะ
ที่มา: วัดเขาทอง, 2565

วัดเขาทอง


Click to View FlipBook Version