-46-
กองทัพที่ 3 เจ้าพระยาธรรมา (บุญรอด) เป็นแม่ทัพ เจ้าพระยายมราชเป็นผู้ช่วย กำลัง 5,000 คน
ทำหน้าทร่ี กั ษาเสน้ ทางลำเลียง ปอ้ งกันปีกใหแ้ กก่ องทพั ท่ี2 และสกดั ก้ันพม่าท่ียกเข้ามาตี ราชบุรี – เพชรบุรี เพื่อจะไป
บรรจบกับกองทัพพมา่ ที่ชุมพร
กองทัพที่ 4 เป็นกองทพั หลวง สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเป็นจอมทัพ บังคับบัญชากำลงั
20,000 คน ทำหนา้ ท่ีเปน็ กองหนนุ ท่วั ไป เพอ่ื ช่วยด้านที่จำเปน็
การสงครามครง้ั นี้มีการรบครง้ั สำคญั
1. การรบที่ลาดหญ้า ฝ่ายไทยทราบว่าพม่าจะยกกำลังจำนวนมากเข้าทางด่านพระเจดีย์สามองค์
มุ่งยึดกรุงเทพ กรมพระราชวังบวรมหาสรุ สงิ หนาท แม่ทัพที่ 2 รับผิดชอบพื้นท่ีเมืองกาญจนบุรี เพื่อทำลาย ขับไล่
ขา้ ศึกส่วนนี้ใหพ้ ้นจากราชอาณาเขต จึงให้พระยามหาโยธา (เจ่ง) คุมกองมอญ 3,000 คน วางกำลัง ทดี่ ่าน
กรามช้างทำหน้าที่เป็นกองรักษาด่านรบ (COMBAT OUT POST) เพื่อรั้งหน่วงการรุกเข้ามาของข้าศึกและให้จัดหมู่
ตรวจ ให้ทราบการเคลื่อนไหวของข้าศึกตลอดเวลา เพื่อให้ส่วนใหญ่มเี วลาพอในการต้านทานข้าศึกโดยจะใช้ทุ่งลาด
หญา้ เป็นแนวตา้ นทานหลัก (MAINLINE OF RESISTANCE) ในขัน้ ตน้ และเมอื่ มีโอกาสกลับทำการรุกกใ็ ชแ้ นวเป็นแนว
ออกตี (LINE OF DEPARTURE) ในโอกาสนั้นวางแนวตั้งรับในทุ่งลาดหญา้ สกดั ชอ่ งทางท่ีฝ่ายพมา่ จะรกุ เข้ามา
ฝ่ายมหาโยธา (เจ่ง) วางกำลังเพื่อทำการรบหน่วงเวลาที่ด่านกรามช้าง และจัดหมู่ตรวจตลอดเวลา
ประมาณเดือน ธ.ค. 2328 กองทัพท่ี 4 ของพม่าไดเ้ คลือ่ นกำลังผา่ นแขวงไทรโยค แล้วเดนิ ตัดมารมิ แมน่ ้ำ แควใหญ่
ที่เมืองท่ากระดาน และได้เคลื่อนที่มาจนถึงด่านกรามช้าง กองรักษาด่านของไทยในความควบคุม
พระมหาโยธาได้ต่อสู้กับกองทัพที่ 4 ของพม่า กำลังของไทยน้อยกว่าจึงถอนตัวและมารวมกำลังส่วนใหญ่ ที่ทุ่งลาด
หญ้า ขณะนนั้ กองทัพที่ 2 ของของกรมพระราชวังบวรพร้อมอยู่แล้ว กองทัพท่ี 4 ของพมา่ ไล่ตดิ ตามกองรักษาด่านของ
พระยามหาโยธาพอมาถงึ ค่ายไทยซ่งึ ตงั้ มัน่ อยูท่ ี่ทงุ่ ลาดหญา้ พม่ากต็ รงเข้าตีไทยทนั ที ม่ันใจวา่ จะโถมกำลังทะลุทะลวง
(เจาะ) ฝ่ายไทยโดยฉับพลัน และฝ่ายไทยเตรียมการอยู่ก่อนแล้ว ทหารมีความ สดชื่นมีเวลาพักอยู่หลายวันได้เข้ารบ
กับพม่าเป็นสามารถล้อมจับพมา่ ได้กองหนึง่ ฝ่ายไทยเขา้ กระหน่ำพมา่ เกรงเสียที จึงไปตั้งมั่นตามแนวเขาหวังว่าจะรอ
กองทัพที่ 5 ของพม่ามาสมทบเพื่อรวมกำลังโจมตีต่อไปใหม่ พอกองทัพที่ 5 ของพม่ามาถึง วางกำลังต่อกองทัพที่ 4
เพื่อมุ่งหวังรวมกำลังเข้าตีไทยพร้อมกันทั้ง 2 กองทัพ ดังนั้นกำลังพม่าทั้งสองกองทัพจึงเป็นแนวเดียวกัน กำลัง
ประมาณ 15,000 คน
กรมพระราชวงั บวร ฯ พจิ ารณาหนทางเอาชนะพม่า เกิดแนวความคิด
ประการที่ 1 กองทพั ที่ 2 จะรกั ษาท่งุ ลาดหญา้ ไว้ให้ได้ และตัดกำลังหนุนเนื่องของพม่าให้อ่อนกำลัง
ไมใ่ ห้สามารถยึดกรงุ เทพได้ จะต้องทำใหข้ ้าศึกออ่ นกำลงั คอื ปอ้ งกันไมใ่ หข้ า้ ศกึ ส่งเสบียงได้สะดวก เม่ืออดอยากก็ต้อง
ทำให้ขา้ ศกึ อ่อนกำลงั
ประการท่ี 2 ต้องใชป้ นื ใหญ่ยิงรบกวนขา้ ศึกตลอดเวลาจะทำให้ขา้ ศกึ สูญเสีย และเสยี ขวญั
ประการที่ 3 พยายามลวงข้าศึกใหค้ ิดวา่ ไทยมีกำลงั มากวา่ ทำใหข้ ้าศกึ เสยี ขวญั
ประการที่ 4 เมอื่ ขา้ ศึกอ่อนกำลงั และเสยี ขวัญมากแล้ว เข้าตพี ร้อมกนั ดว้ ยวิธจี โู่ จม
ถ้าสามารถปฏิบัติตามแนวคิด 4 ประการได้สำเร็จ ข้าศึกส่วนนี้จะต้องแพ้และถอนกำลังกลับพม่า
อย่างแน่นอน เมื่อพระองค์คิดได้ตามข้อพิจารณาจึงสั่งให้ พระยาสีหราชเดโชชัย พระยาท้ายน้ำ พระยาเพชรบุรี
-47-
นำกำลัง 500 คนไปตั้งฐานปฏิบัติการที่พุตะไคร้ เพื่อซุ่มโจมตี (AMBUSH) หน่วยลำเลียงเสบียง และแย่งชิงเสบียง
ข้าศึกซึ่งลำเลียงมาทางลำน้ำ เพื่อมิให้ข้าศึกลำเลียงเสบียงได้สะดวก ปรากฏว่าพระยาทั้งสามทำงาน ไม่ได้ผลจึงสัง่
ประหารชีวิตพระยาทัง้ สามเสีย และให้พระองค์เจ้าขุนเณร (เป็นน้องกรมพระราชวังหลัง (ร.1) ร่วมบิดาเดียวกัน) ทำ
หน้าที่แทนเพิ่มกำลังให้ 1,000 คน รวมกำลังเป็นหน่วยซุ่มโจมตที ี่พุตระไคร้ มีกำลัง 1,500 คน พระองค์เจ้าขุนเณร
เปน็ บุคคลทม่ี ไี หวพรบิ และกล้าหาญ โดยแบง่ กำลงั ออกเปน็ จุดและสามารถสง่ ข่าวถึงกนั ไดเ้ มอื่ เห็นขา้ ศกึ ลำเลียงเสบียง
มาก็รวมกำลังเข้าปลน้ เสบียง ของขา้ ศกึ และโจมตขี า้ ศึกจนลำเลยี งเสบยี งไมส่ ะดวก ทำให้ทหารในกองทัพที่ 4 และ5
ของพม่าอดอยาก
ในโอกาสเดียวกันกรมพระราชวังบวรฯ ใช้ปืนใหญ่โดยใช้ท่อนไม้เป็นกระสุนระดมยิงตลอดเวลา
การใช้กระสุนไม้ไม่ต้องลำเลียงจากกรุงเทพฯ เสียเวลา สามารถยิงตลอดเวลาเพราะลำกล้องไม่ร้อน ทำให้ฝ่ายพม่า
เสียหายยับเยิน ฝ่ายพม่ายิงโต้ตอบด้วยปืนใหญ่เช่นกัน แต่ไม่สามารถทำได้เพราะปืนใหญ่โบราณเป็นวิธีราบ ลดลำ
กล้องใหต้ ่ำกต็ ดิ เขาข้นึ เชงิ เทนิ ก็ถูกฝ่ายไทยยิงเชงิ เทนิ พังทลาย
กองทัพที่ 6, 7 ของพม่าพยามหนนุ กำลังมาช่วย กองทัพที่ 6 ของพมา่ มาตั้งที่ท่าดินแดง กองทัพท่ี 7
มาตั้งที่สามสบ พระเจา้ ปดุงคุมกองทัพที่ 8 อยู่ปลายแมน่ ำ้ ลอนซี เลยดา่ นพระเจดยี ส์ ามองค์ไปในพม่า กองทพั ที่ 6, 7
ไม่อาจชว่ ยกองทพั ที่ 4, 5 ได้ และเปน็ การเอากำลงั มาอัดและรับทกุ ขท์ รมานดว้ ยการขาดแคลนอาหารและน้ำซ้ำยังถูก
ปืนใหญก่ ระสุนไมข้ องไทยถล่มยงิ ตลอดเวลา
การแสดงลวงกำลังน้อยให้คิดว่าเป็นกำลังมาก พอตกเวลาพลบค่ำกรมพระราชวังบวรฯ ให้ทหาร
บางส่วนลอบออกไปนอกค่าย เช้ามืดก็ถือธงทิวเคลื่อนที่เข้ามาทำเช่นนี้อยูห่ ลายเพลา พม่าที่อยู่บนเขาเห็นว่าไทยสง่
กำลงั มาเพม่ิ เติมทุกวันมกี ำลังมากหนนุ เน่ืองมาไม่ขาดระยะ ประกอบกับการอดอาหารรา่ งกายอ่อนเพลียซ้ำยังถูกปืน
ใหญก่ ระสุนไมฝ้ า่ ยไทยถล่มยงิ ตลอดเวลา ขวัญพมา่ และแม่ทพั นายกองขวญั เสยี กนั หมด
ในชว่ งนพี้ ระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงวิตกว่า กำลงั ของพระอนุชาเกรงจะสู้พม่าไม่ได้
จึงยกกองทัพหลวงออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันอาทิตย์ เดือนยี่ ขึ้น 9 ค่ำ เมื่อไปถึงค่ายของสมเด็จพระราชวังบวร ได้
สนทนาปราศรัยกันพอสมควร กรมพระราชวังบวรกราบทูลว่าอย่าได้ทรงวติ กทางลาดหญ้าเลย ขอให้เสด็จกลับพระ
นครเถดิ เผอ่ื ขา้ ศึกหนักแน่นมาทางอน่ื จะได้ใช้กองทัพหลวงแกไ้ ขเหตุการณ์ เพราะทางนี้ (ลาดหญา้ ) ข้าศึกอดอยาก
ขวัญเสียมาก กำลังจะหาโอกาสที่ข้าศกึ อ่อนกำลังจะเข้าโจมตีพร้อมกันโดยฉับพลัน เชื่อมน่ั วา่ ขา้ ศึกต้องแตกพ่ายเป็น
แนแ่ ท้ เมอื่ พอพระราชหฤทัยพระพุทธยอดฟา้ ฯ ก็เสด็จยกกองทพั กลบั คนื พระนคร
ครั้นถึงวันศุกร์ที่ 17 ก.พ. 2328 กรมพระราชวังบวรฯ พิจารณาเห็นว่าข้าศึกอ่อนกำลังมากและ
ขวัญเสยี จึงสง่ั ทกุ หนว่ ยเข้าตีพมา่ ตลอดแนวโดยฉับพลัน เป็นการเข้าตตี รงหนา้ ต่อแนวพมา่ เป็นการดำเนนิ กลยุทธ์การ
เข้าตีทางเสน้ ใน ความจริงการเขา้ ตที างเส้นในมไิ ดเ้ ปน็ กลยุทธท์ ่ีพิสดารมากนกั ความหมายแท้จริง คอื การเขา้ ตีภายใน
แนวข้าศึก แต่ที่ยกย่องกันมากก็คือเป็นการเป็นการเข้าตีต่อหน้าข้าศึก ซึ่งต่างกับการโอบคือการเข้าตีทางเส้นนอก
อาจทำโดยข้าศึกมิรู้ตัว ความยากในการเข้าตีเสน้ ใน (เขา้ ตีต่อแนวข้าศกึ ) จะกระทำด้วยวิธีจู่โจมขณะข้าศึกอ่อนกำลัง
เสยี ขวญั หรือจุดออ่ นแอของข้าศึก
เนอ่ื งจากพม่าขวญั เสียและอ่อนกำลงั กองทพั ท่ี 4, 5 ของพม่าจงึ แตกกระเจิงถอยไมเ่ ป็นขบวน ไทย
ไดไ้ ล่ตดิ ตามฆ่าฟนั พมา่ ล้มตายเป็นอันมาก ทเ่ี หลอื รอดตายหนไี ปทางหน่วยซุม่ โจมตีของพระองค์เจ้าขุนเณรฯ ก็เข้าตี
-48-
ซำ้ เติม จบั เชลยพม่ามาถวายกรมพระราชวังบวรฯ เปน็ จำนวนมาก พระเจ้าปดุงทราบขา่ วจงึ สัง่ ใหก้ องทัพท้ังหมดถอน
กำลงั และถอยไปยังเมอื งเมาะตะมะ
การยุทธของกรมพระราชวังบวรฯ ครั้งนี้เป็นการดำเนินกลยุทธ์การตั้งรับแบบคล่องตัว
(MOBILE DEFENCE) คือระยะแรกวางกำลงั ตัง้ รับก่อนโดยแนวต้ังรับต้องมคี วามเข้มแข็ง (มั่นคง) เมื่อข้าศึกเข้าตีตรง
จุดอ่อน คือที่ด่านกรามช้าง ข้าศึกไล่ติดตาม กองรักษาด่านรบจึงเข้าไปรวมกับกำลังกำลังส่วนใหญ่ซึ่งได้เตรียมการ
ต่อตา้ นขา้ ศึกไว้แลว้ ข้าศกึ จึงถกู บังคับใหข้ น้ึ ไปอยูบ่ นเขา ณ ทนี่ เ้ี องทำให้ขา้ ศึกถูกทำลายอยา่ งย่อยยบั เปน็ การเข้าไปอยู่
ในพื้นที่สังหาร (KILLING ZONE) ซึ่งฝ่ายเราเลือกไว้ ในโอกาสนั้นจึงกลับทำการรกุ อย่างฉับพลัน เป็นการตั้งรับแบบ
คล่องตัวการตั้งรับแบบนี้สถาบันวิชาทหารศึกษากันเมื่อหลังสงครามโลกครัง้ ที่ 2 แต่กรมพระราชวงั บวรฯได้กระทำ
สำเรจ็ ในสงครามที่ทุ่งลาดหญ้าแลว้
2. การรบที่เมืองราชบุรี กองทัพที่ 2 ของพม่าเข้าที่ชุมพลทีเ่ มืองทวาย อนอกแฝกเป็นแม่ทัพใหญ่
ให้ พระยาทวายกำลงั 3,000 คนเป็นกองหนา้ อนอกแฝก เป็นกองหลวง กำลงั 4,000 คน จกิ สบิ โบ เปน็ กองหนนุ ทำ
หน้าที่กองระวังหลัง กำลัง 3,000 คน รวมกำลังทั้งหมด 10,000 คน ยกเข้าทางด่านบ้องตี้ ต้องเดินข้ามเขาซ่ึง
ทุรกันดาร ทำให้การเคลื่อนกำลังล่าช้าเสียเวลารอกันเป็นระยะๆ ในที่สุดพระยาทวาย มาตั้งค่ายที่นอกเขางู (ราง
หนองบัว) อนอกแฝก วางกำลงั ทีบ่ ริเวณห้องชาตรี จกิ สบิ โบ กองหนุน วางกำลังรมิ นำ้ ภาชี โดยไมร่ ู้ว่าพม่าท่ีลาดหญ้า
แตกแลว้
ฝ่ายไทย เจ้าพระยาธรรมา และพระยายมราชได้วางกำลังไว้ที่ราชบุรีก่อนแล้ว แต่มิได้จัดหน่วย
ลาดตระเวนหาขา่ ว จึงไม่ทราบวา่ กองทัพพมา่ เขา้ มาถงึ ลำน้ำภาชี และหลังเขางู ทัง้ สองฝา่ ยตา่ งกไ็ มท่ ราบว่ากำลังของ
ขา้ ศกึ ไดเ้ ขา้ มาตัง้ คา่ ยอยแู่ ลว้ สรุปคือแม่ทัพท้งั ฝ่ายไทยและฝ่ายพมา่ ไม่ได้เร่ืองดว้ ยกนั ทง้ั สองฝ่าย เม่ือกองทัพพม่าที่
ทุ่งลาดหญ้าแตกและถอยออกนอกราชอาณาเขตแล้วกรมพระราชวังบวรฯทราบว่าพม่า ที่เขางูยังมิได้ถอยไป จึงให้
พระยากลาโหมและพระยาจา่ แสนยากร คุมกองทพั เข้าตพี ม่าซึง่ ตัง้ อยูน่ อกเขางู รบพุ่งกันจนถึงขนั้ ตะลมุ บอน พม่าไม่
สามารถต้านทานได้ ทั้งกองหน้าและกองหลวงแตกกระเจิดกระเจิง ฝ่ายไทยไล่ติดตามปะทะกับกองหลัง (กองหนุน)
จึงไล่ฆา่ ฟันแตกระสำ่ ระสาย จับเชลย ศาสตราวุธ ชา้ ง มา้ พาหนะ จำนวนมาก ท่เี หลือรีบถอยไปยังทวาย
ครั้งพมา่ ถอยไปแล้ว กรมพระราชวังบวรฯ จึงสั่งให้นำพระยาธรรมา และพระยายมราชมาสอบสวน
และสงั่ ให้ประหารชีวิต แตส่ มเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกขอชีวิตไว้ จงึ ให้ถอดยศและโกนหัวประจานรอบค่าย ทั้งนี้
เพ่อื มิให้เป็นเยย่ี งอยา่ งแกแ่ มท่ ัพนายกองคนอน่ื ต่อไป
3. การรบที่ปากพิง ทางภาคเหนือพม่าได้มอบให้กองทัพที่สามและกองทัพที่เก้า ตีภาคเหนือของ
ไทยแล้วจบั เชลยมาสมทบกบั กองทพั หลวงท่ีกรงุ เทพฯ
กองทัพที่สามของพม่าเจ้าเมืองตองอูเป็นแม่ทัพ เข้าที่ชุมพลเชียงแสนให้เนมะโปสีหปติคุมกำลัง
5,000 คน ยกมาทางแจ้ห่มมีภาระกิจตีเมืองสวรรค์โลก – สุโขทัย เมืองพิชัย – พิษณุโลก ส่วนเจ้าเมืองตองอู
เป็นกองหลวงคุมกำลัง 15,000 คน ยกมาทางเชียงใหม่ โดยมี โปมะยุง่วน เป็นกองหน้ามีกำลัง 3,000 คน ขณะนน้ั
เชยี งใหม่ร้างมาตง้ั แต่พมา่ ยกมาตีสมัยเจ้ากรุงธนบรุ ี พ.ศ.2319 เจา้ เมืองตองอจู ึงนำกำลังมาตี เมอื งลำปาง พระยากาล
วิละเจ้าเมืองนครลำปางซึ่งมคี วามเข้มแข็งในการสงครามสามารถรกั ษาเมอื งไว้ได้พม่าไม่สามารถตีเมอื งลำปางได้คง
วางกำลังล้อมอยู่ส่วนสวรรคโลกและหัวเมืองฝ่ายเหนือบ้านเมืองเสียหายยับเยินคราวศึกอะแซหวุ่นกี้จึงไม่มีกำลังที่
-49-
พอจะส้พู มา่ ได้ เจ้าเมอื งอพยพราษฎร หนเี ข้าป่า กองทัพเนมะโปสหี บติ ทยี่ กลงมาทางแจ้ห่มจึงไดห้ ัวเมืองเหนอื ท้ังปวง
ตลอดถงึ พษิ ณุโลก
กองทัพที่เก้า จอช่องนรทา เป็นแม่ทัพคุมกำลัง 5,000 คนเข้ามาทางด่านแม่ละเมาได้โดยสะดวก
พงศาวดารพม่าว่าเจ้าเมืองตากยอมอ่อนนอ้ มโดยดพี มา่ จงึ ส่งเจ้าเมืองตากพร้อมดว้ ยครอบครัวและ ขา้ ราชบริพาร 500
คนไปยังเมอื งพม่า จอช่องนรทาจึงตัง้ ค่ายที่บ้านระแหง แขวงเมอื งตาก เพือ่ รอใหเ้ จา้ เมืองตองอูยกกำลงั มาหนุน เพื่อ
วางกำลงั เขา้ ตีกองทัพไทยที่พจิ ิตร – นครสวรรค์ – และลงไปสมทบกบั ทัพหลวง ท่ีกรุงเทพฯ
กรมพระราชวังหลัง เมื่อทราบพม่าล่วงล้ำดินแดนไทยสองทางจึงทรงจัดกองทัพเพื่อต่อสู้ จึงทรงจดั
กองทัพเพอื่ ตอ่ สู้ยับย้งั เปน็ 3 กองทัพ ให้
- เจา้ พระยามหาเสนา เป็น กองทพั หน้า รกั ษาเมอื งพจิ ิตร
- กรมพระราชวังหลงั รกั ษาเมอื งนครสวรรค์
- พระยาคลงั กบั พระยาอุไทยธรรม เป็นกองหนนุ รกั ษาเมอื งชัยนาท ปอ้ งกันพม่าที่มาทางอุทัย
ความมุ่งหมายของกรมพระราชวังหลังคือตรึงข้าศึกมิให้ยกกำลังเข้ากรุงเทพได้ ขณะที่ไทยกับพม่า
รบกนั อยู่ทที่ ุ่งลาดหญ้า และกรมพระราชวังหลังไมท่ ราบว่าขา้ ศกึ มีกำลงั หนุนมากนอ้ ยเพียงใดจงึ ต้ังมัน่ อยู่ทนี่ ครสวรรค์
ไม่ยกกำลังไปรบกับพมา่ ทีป่ ากพงิ และบ้านระแหงจงึ ไม่มกี ารรบในชว่ งน้ี
ฝ่ายไทยเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกยกกำลังไปเพื่อจะช่วยกรมพระราชวังบวรฯ
แตก่ รมพระราชวังบวรฯไดก้ ราบทูลว่าทางด้านกาญจนบรุ ีมิต้องหว่ งใหย้ กกำลงั กลบั พระนครเพอ่ื เตรียมไว้ไปชว่ ยด้านท่ี
ยงั ไม่สามารถขับไล่พม่าได้ คร้ันทพั หลวงพม่าด้านกาญจนบุรีแตกแล้ว กรมพระราชวังบวรฯได้คุมเชงิ อยู่ 7 วัน จึงสั่ง
ให้ พระยากลาโหม พระยาจา่ แสนยากร คุมกองทัพตรงไปชมุ พร เม่ือยกมาทางราชบรุ ีจึงได้ปะทะกบั พม่าที่ยกทัพมา
จากเมืองทวายดังกล่าวแล้ว ส่วนกรมพระราชวังบวรฯเสด็จเข้ากรงุ เทพฯ เพื่อปรึกษาหารือกับพระพุทธยอดฟา้ จุฬา
โลก ในทีส่ ุดตกลงกันโดย สมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกจะนำกองทัพหลวงกำลงั 3,000 คน ขึน้ ไปช่วยทางภาคเหนอื
สว่ นกรมพระราชวังบวรฯนำกำลงั ไปทางภาคใต้ กรมพระราชวงั บวรฯเสด็จทางชลมารคไปยงั เมืองชุมพร เมื่อวันเสาร์
เดือน 4 ข้น 5 ค่ำ สมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงออกจากกรุงเทพ เมื่อวันศุกร์ เดือน 4 ขึ้น 11 ค่ำ โดยเสด็จ
ทางชลมารคไปยังเมืองอินทบรุ ี เมื่อถึงอินทบุรีแล้วมีพระบรมราชโองการให้กรมพระราชวังหลงั สมทบกบั พระยามหา
เสนาเข้าตีพม่าที่ปากพิง และให้เจ้าฟ้ากรมหลวงหริรักษ์ พระยาพระคลัง พระยาอุไทยธรรม ซึ่งตั้งอยู่ทีช่ ัยนาทเข้าตี
พมา่ ที่บ้านระแหง สว่ นทัพหลวงนน้ั ตั้งทน่ี ครสวรรค์ ตอ่ มาไดย้ กกำลงั ไปหนุนกรมพระราชวังหลงั ที่บ้านข้าวตอก แขวง
เมอื งพจิ ิตร
กรมพระราชวงั หลังเม่ือทราบพระกระแสดำรริ ับสงั่ แลว้ เข้าตีค่ายพม่าทป่ี ากพิง เมอื่ วันเสาร์ เดือน 4
แรม 4 ค่ำ รบกันตั้งแต่เช้าจนค่ำไทยได้ตีค่ายพม่าแตกหมดทุกค่าย พม่าตั้งค่ายทีปากพิงโดยข้ามลำน้ำมา
เมื่อถูกตีแตกต้องถอยข้ามลำน้ำไทยไล่ติดตามฆ่าฟันพม่าตายจำนวนมาก ศพลอยแม่น้ำประมาณ 800 ศพ
จนกินน้ำไม่ได้
ครั้นฝ่ายพม่าที่ปากพิงแตกหมดแล้ว จึงโปรดให้เจ้าฟ้ากรมจักรเจษฎานำกำลังทัพหลวงส่วนหนึ่ง
ไปสมทบกบั กองทพั พระยามหาเสนา ใหไ้ ล่ติดตามพม่าท่แี ตกไปแลว้ ให้เลยไปเขา้ ตีกองทพั พม่าทล่ี ำปาง พระพทุ ธยอด
ฟา้ จฬุ าโลกคมุ กองทัพหลวงมาตง้ั ท่นี ครสวรรค์เพอ่ื คมุ เชิงโดยไมใ่ หก้ รมกรมพระราชวังหลัง และเจ้าฟา้ กรมหลวงนรนิ ท
-50-
รณเรศ เสด็จตามมาด้วย การที่พระองค์ตัดสินพระทัยเช่นนี้โดยมั่นพระทัยว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา และ
เจ้าพระยามหาเสนาจะตอ้ งสามารถเข้าตีพมา่ ท่ีล้อมนครลำปางได้ โดยพระยากาวลิ ะซึ่งคุมกำลังรกั ษานครลำปาง จะ
ช่วยตีกระหนาบพมา่ ต้องพา่ ยแพ้แนน่ อน ในที่สุดก็เป็นไปตามความคาดหมาย
ฝ่ายกองทัพที่ 9 จอช่องนรทาของพม่า ตั้งอยู่ที่บ้านระแหงทราบว่าพม่าที่ปากพิงถูกตีแตกหนีไป
หมดแล้ว ข่าวพระเจ้าปดุงก็ถอยทัพแล้ว และทราบว่ากองทัพไทยมาถึงเมอื งกำแพงเพชรก็รบี ถอยทพั ไป ทางด่านแม่
ละเมาเขา้ เขตพมา่ ไป กองทพั กรมหลวงเทพหรริ ักษ์ พระยาพระคลงั พระยาอุไทยธรรม จึงไม่ต้องทำการรบ
ลำปางขณะนั้นพม่ายังล้อมเมืองอยู่ กองทัพไทยระดมกำลังเข้าตีพมา่ โดยฉับพลันพร้อมกันนั้น พระ
ยากาวิละซึง่ รกั ษาลำปางอยู่ก็ตีกระหนาบ รบกันตั้งแตเ่ ช้าจนเที่ยงพม่าบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก เจ้าเมืองตองอูจงึ
ถอยทัพกลับไปทางเชียงแสนเมือ่ เดือน 5 ปีมะเมยี พ.ศ. 2329
4. การรบทางภาคใต้ เมอ่ื เกงหวุ่นแมงยมี หาสีหะสุระ เป็นแม่ทัพที่ 1 ของพม่าแทน แมงยเี มงข่อง
กระยอท่ถี กู ประหารชีวติ นำกำลังชุมพลทเี่ มอื งมะริดและมอบภาระกจิ แมท่ ัพนายกอง ดงั น้ี
- ให้ ยี่หวนุ่ ทพั เรือ 3,000 คน เข้าตเี มอื งถลาง (ภูเกต็ )
- เกงหวุ่นแมงยี เขา้ ตที างบกยดึ กระบรุ ี – ระนอง (ขณะนัน้ กระบุรี ,ระนอง ข้ึนกับจงั หวดั ชุมพร) โดย
ให้ เนมโยคคงนะวัดเป็นกองทัพหน้ามีกำลัง 2,400 คน กำลังที่เหลือ 4,500 คนอยู่ในการควบคุม
เกงหว่นุ แมงยี
กองทัพที่ 1 ของพม่าพร้อมแล้วเคลื่อนที่จากมะริด ยึดชุมพร โดยเข้ามาทางปากจั่น ผู้รั้งตำแหนง่
กรมการเมอื งชมุ พรเหน็ วา่ ไม่มีทางสูเ้ พราะกำลังน้อยจึงอพยพหนเี ขา้ ป่า พมา่ เกบ็ ทรัพย์สนิ เผาเมอื งชมุ พร และยกกำลัง
เข้าตีเมอื งไชยา กรมการเมอื งเห็นวา่ ไม่มที างสอู้ พยพหนเี ชน่ เดยี วกนั
ฝา่ ยเจ้าพระยานครพัฒน์ เจ้าเมอื งนครศรธี รรมราชทราบวา่ พม่ายึดเมืองชุมพร ไชยา จึงเตรยี มกำลัง
เพื่อรกั ษาเมอื งโดยกำลัง 1,000 คน มารกั ษาทา่ ข้ามตรงสะพานขา้ มแม่นำ้ ตาปี พมา่ เห็นกองทัพไทยตง้ั อยจู่ งึ ออกอุบาย
เอาคนไทยท่จี ับเปน็ เชลยได้ทีเ่ มอื งไชยาบังคับใหป้ ระกาศบอกว่า พม่ายึดบางกอกได้แล้ว มาตั้งอยเู่ ชน่ น้ีจะสู้ได้หรือให้
ไปบอกเจา้ นายมาออ่ นนอ้ มโดยดี ถ้าขืนต่อสูจ้ ะฆา่ เสียใหห้ มดท้งั เมืองแม้แต่ทารกก็มิให้เหลอื ไว้ (จะโยนข้ึนฟ้าและเอา
ดาบแทงใหต้ ายทุกคน)
บรรดาทหารรักษาท่าข้ามได้ยินเชื่อว่าเป็นจริงเพราะตั้งแต่ทราบข่าวพม่าจะยกกำลังมาตีภ าคใต้
ทางกรุงเทพก็ไม่ยกกำลังมาช่วยเพราะไม่ทราบข่าวคราวจากกรงุ เทพฯเลยจงึ เช่ือว่าพม่ายึดกรงุ เทพได้แล้วจึงนำความ
ไปบอกเจ้าพระยานครพัฒนท์ ราบและวิเคราะหด์ ูเห็นว่าเหลอื กำลงั จะต้านทาน จึงได้อพยพราษฎรข้ามเขาบรรทดั ไป
ซมุ่ ซ่อนอยู่ในอำเภอ ฉวาง พมา่ จงึ ยึดนครศรธี รรมราชได้โดยไมม่ ีการส้รู บ จับราษฎรที่หนไี ปไม่ทนั พาลหาเหตุฆ่าเสีย
จำนวนมาก จับเด็กและผู้หญิงไปเป็นเชลย เก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติไปยังพม่า ปรากฏพงศาวดารพมา่ ว่าเรอื บรรทกุ
สมบัตจิ ากนครศรธี รรมราชถูกมรสมุ เรือแตกล่ม หาได้ไปถงึ เมอื งพมา่ ไม่
ฝ่ายทัพเรือพม่า ยี่หวุ่นควบคุมเข้าตีเมืองถลาง ระหว่างเคลื่อนที่เข้าตีเมืองตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง แล้ว
ขา้ มไปตเี มืองถลาง ซ่ึงเปน็ เกาะอยดู่ ้านนอกและต้งั ค่ายล้อมเมือง ก่อนนั้นพระยาถลางถึงแกอ่ นิจกรรม เม่ือพม่าไปถึง
คุณหญิงจันทร์ภรรยาเจ้าเมืองเป็นเชื้อสายเจ้าเมืองถลางมาแต่ก่อนกับนอ้ งสาวชื่อมุก จึงได้ปรึกษากับกรมการเมือง
-51-
เกณฑ์ไพล่พลเข้าตั้งค่ายใหญ่ 2 ค่าย ป้องกันเมืองถลาง ได้ระดมต่อสู้กับพม่าล้อมเมืองอยู่ – เดือนเศษ พม่าเสบียง
หมดจึงถอนกำลังกลับไปไม่สามารถตีเมืองถลางได้
ฝ่ายเกงหวุ่นแมงยี แมท่ ัพที่ 1 ของพมา่ เมือ่ ยึดนครศรธี รรมราชได้แล้วมีความประสงค์ยึดเมืองพัทลุง
– เมอื งสงขลาต่อไป พระยาแก้วโครพ ผวู้ า่ ราชการเมืองพัทลุงและกรมการเมืองทราบว่านครศรธี รรมราชเสียแก่พม่า
แลว้ จงึ หนีเอาตัวรอดไปโดยลำพัง
ที่เมืองพัทลุงมีภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อ มหาบุญช่วย ชาวพัทลุงนับถือมากเพราะเป็นผู้มีวิชาอาคม
พระมหาช่วยชักชวนชาวเมืองให้ร่วมกันป้องกันเมืองพัทลุง ทำตะกรุด ผ้าประเจียด แจกราษฎรรวบรวมราษฎรและ
ชาวบ้านได้ประมาณ 1,000 คน หาเครื่องศาสตราวุธครบมือ เชิญพระมหาช่วยขึ้นคานหามยกกำลังจากเมืองพทั ลุง
เพือ่ หาชัยภมู ิเพอื่ วางกำลงั สกัดกั้นในทิศทางที่พมา่ จะยกมาจากนครศรีธรรมราช
ขณะที่พม่ายึดเมืองนครฯ กรมพระราชวังบวรฯ ได้ยกกำลังทัพบก ทัพเรือ จำนวน 20,000 คน ถึง
เมืองชุมพรปลายเดือน 4 ปมี ะเสง็ จึงมคี ำส่ังให้พระยากลาโหมราชเสนา และพระยาจา่ แสนยากรนำกำลงั ทัพบกไปยัง
เมืองไชยาเวลานนั้ พมา่ ไดไ้ ปรวมกำลังทเ่ี มืองนครศรธี รรมราชแลว้
เมื่อพม่าทราบข่าวว่ากองทัพกรุงเทพฯยกมาตั้งที่เมืองไชยาจึงระงับแผนที่จะไปตีเมืองพัทลุง และ
เมอื งสงขลา เกงหวนุ่ แมงยี ส่ังการใหเ้ นมโยคงนะวดั ซ่ึงคุมกองหน้ายกไปตีกองทัพไทยท่ีไชยาส่วนเกงหวุ่นแมงยีจะยก
กำลังหนุนกองทัพพม่ากับกองทัพไทยจึงปะทะกันที่เมืองไชยา พม่ายังไม่ทันตั้งค่ายไทยสามารถยกกำลังล้อมพม่าไว้
พม่าขุดสนามเพลาะรบกันอยู่จนค่ำ บังเอิญฝนตกหนักทั้งสองฝ่ายยิงปืนไม่ได้ พม่าจึงออกจากที่ล้อมได้ แล้วพากัน
หลบหนี กองทัพไทยไล่ติดตามในเวลากลางคืน ฆ่าตองพยงุ โบ นายทัพพม่าตายคนหนึง่ และฆ่าฟันลี้พลพม่าตายเปน็
จำนวนมาก พมา่ ถอยกระเจดิ กระเจงิ แบบตัวใครตวั มนั ไม่มกี ารบงั คบั บัญชา ไทยจับเชลยไดจ้ ำนวนมาก เกงหว่นุ แมงยี
แม่ทพั ที่ 1 ของพม่ารู้ว่ากองหน้าแตกแลว้ ไม่คดิ สหู้ นีเอาตวั รอดไปทางกระบแ่ี ล้วเข้าพมา่ ไป
ในที่สุดกองทัพพม่าทางภาคใต้กลับไปยังพม่าหมดสิ้น กรมพระราชวังบวรฯ จึงเสด็จไปประทับ
เมืองนครศรีธรรมราชแล้ว บรรดาหัวเมืองประเทศราชทางภาคใต้ที่คิดแข็งเมืองมาตั้งแต่คราวเสียกรุงศรีอยุธยา ก็
กลับมาเป็นข้าขอบขัณฑสมี าอยา่ งเดิม จึงมีรับสั่งใหข้ ้าหลวงถือหนงั สือไปยังพระยาปัตตานี และพระยาไทรบุรีให้แต่ง
ฑตู นำตน้ ไมเ้ งนิ ต้นไม้ทอง เข้ามาถวายดจุ ดงั แต่กอ่ น
พระยาปัตตานี เมื่อไดร้ ับหนงั สือแล้วไม่ยอมอ่อนนอ้ ม กรมพระราชวงั บวรฯ จึงสัง่ ใหพ้ ระยากลาโหม
ราชเสนาและพระยาจ่าแสนยากรยกกำลังทัพหน้าไปตีเมืองปัตตานี ส่วนพระองค์ยกทัพตามไปสงขลา
พระยาปัตตานีไม่สามารถต้านทานได้จึงพ่ายแพ้ การรบครั้งนี้ได้ปืนใหญ่ชื่อพระญาตานี (ปัจจุบันตั้งอยู่หน้า
กระทรวงกลาโหม)
พระยาไทรบุรีได้ทราบข่าวไทยตีเมืองปัตตานีได้ มีความเกรงกลัวจึงแต่งฑูตนำต้นไม้เงนิ ต้นไม้ทอง
มาถวายยอมเปน็ ขา้ ขอบขัณทสมี าเช่นแต่ก่อน สว่ นปีนังหรือเกาะหมากซึง่ ขึ้นกบั ไทรบรุ ีได้ให้บรษิ ทั อีสทอ์ ินเดียกัมปะนี
ของอังกฤษเช่าปีละ 400 เหรียญ นับแต่นั้นมาเกาะปีนังก็มิได้ขึ้นกับพระยาไทรบุรีจนกระทั่งมลายูเป็นเมืองขึ้นของ
องั กฤษ
-52-
ฝ่ายพระยาตรังกานู และพระยากลันตัน ซึ่งมีเขตติดต่อกับปัตตานีเกรงกลัวฝ่ายไทยจึงแต่งฑูตนำ
ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง มาถวายสมเด็จพระราชวังบวรฯขอสวามิภักดิ์เป็นข้าขอบขัณฑสีมา ซึ่งเมืองทั้งสองหาได้เป็น
เมอื งขน้ึ ของไทยมากอ่ นเลย
เมื่อเสร็จราชการสนามทางภาคใต้แล้วกรมพระราชวังบวรฯดำริว่าพระยานครพัฒน์ และพระยา
พัทลุงแม้ทิ้งเมืองก็มิควรถือเป็นความผิดเพราะข้าศึกกำลังมากทั้งยังไม่ทราบข่าวคราวจากทางกรุงเทพฯ ให้สมควร
ดำรงตำแหน่งเดิม ส่วนพระมหาช่วยนั้นแม้จะยังไม่ทันสู้กับพม่าแต่กม็ ีนำ้ ใจน่านับถือ รักบ้านเมือง เป็นกำลังใจของ
ราษฎร พระมหาช่วยสมัครใจลาสิกขาบท จึงทรงตั้งให้เป็นพระยาทุกข์ราษฎร ตำแหน่งกรมการเมอื งพัทลุง สำหรับ
คณุ หญิงจนั ทรภ์ รรยาเจา้ เมืองถลาง และนางมุกนอ้ งสาวเปน็ สตรที ่กี ลา้ หาญและฉลาดจึงต้งั คณุ หญงิ จนั ทร์เปน็ ท้าวเทพ
สตรี และนางมกุ นอ้ งสาวเปน็ ท้าวศรีสนุ ทร
ผลการรบ การที่ไทยชนะพม่าอยา่ งเด็ดขาดทุกสมรภมู ใิ นสงครามครัง้ น้ีทำให้เกิดผลดีตอ่ ประเทศไทย
หลายประการ คือ
1. ทำให้ประเทศราชซึ่งเอาใจออกห่างตั้งแต่ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 กลับมาเป็นข้าขอบ
ขณั ฑสมี าดงั เดมิ เมืองทีไ่ ม่เคยเป็นประเทศราชมากอ่ นก็ขอสวามิภกั ดเ์ิ ปน็ ขา้ ขอบขณั ฑสมี า เช่น ตรงั กานูกลันตัน
2. ได้ปืนใหญช่ ่อื พญาตานมี าไว้ทก่ี รงุ เทพ (ปจั จุบนั อยหู่ นา้ กระทรวงกลาโหม)
3. ไดย้ ทุ ธภัณฑ์ต่างๆของพม่าเปน็ อนั มาก
4. ทำให้สมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลก มีอานภุ าพแผ่ไพศาลทว่ั ราชอาณาจักรทำให้เกดิ ความม่ันคง
ในชาตยิ งิ่ ขน้ึ
5. การสงครามครั้งนี้ทำให้ความสามารถของแม่ทัพที่เข้มแข็งเฉลียวฉลาดปรากฏ อาทิ กรม
พระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระราชวังหลัง เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา พระยากลาโหมราชเสนา
พระยาจา่ แสนยากร และพระองค์เจ้าขุนเณร
6. เกดิ วรี สตรีขึ้น 2 คน คอื คุณหญิงจนั ทร์ และนางมกุ น้องสาว คณุ หญิงจันทรไ์ ด้รบั บรรดาศักดิ์เป็น
ทา้ วเทพสตรี นางมุกได้รับบรรดาศกั ดเิ์ ป็นท้าวศรสี นุ ทร เปน็ การแสดงใหเ้ หน็ สตรีก็สามารถควบคุมกำลังรบสู้กับข้าศึก
ไดเ้ ชน่ เดยี วบรุ ษุ ความกล้าหาญ ความสามารถ มิไดจ้ ำกัดเพศ
บทเรียนจากการรบ
1. พมา่ ยกกำลังมา 5 ทิศทาง หลายทศิ ทางควบคุมยาก การสื่อสารยาก การส่งกำลังยาก การจะรวม
กำลังเพื่อเข้าตีที่หมายสำคัญ คือกรุงเทพฯมีปัญหาในการเคลื่อนที่มารวมกำลังเป็นปึกแผ่น กำหนดเวลาแน่นอน
กำหนดยาก
2. การลำเลียงเสบียงอาหารของพม่า ที่เห็นเด่นชัดคือทางด่านพระเจดีย์สามองค์เส้นทางเป็น
ป่า ภเู ขาสูงชนั ทุรกนั ดาร ยาวไกลประมาณ 200 กม. การลำเลยี งเสบียงทางนำ้ และทางบกมีอปุ สรรคมากทำให้เสบียง
ไม่พอเล้ียงทหารช่องทางน้ี 5 กองทัพ และยงั ถกู กองโจรฝ่ายไทยรบกวนตีตัดเสน้ ทางลำเลียงทำให้พม่าอดอยาก แสดง
ให้เหน็ ถึงความสำคญั ในการสง่ กำลังบำรงุ (กองทัพเดินด้วยท้อง)
3. ไทยใช้กลยุทธห์ ลายประการทำให้พมา่ เสียกำลังใจในการสรู้ บ \
- จดั ตัง้ กองโจรตดั เส้นทางลำเลียงเสบยี ง - เข้าตรี บกวนส่วนหลัง
-53-
- แสดงลวงใหพ้ มา่ เหน็ ว่ามกี ำลังมาก - ใชป้ ืนใหญก่ ระสนุ ทำด้วยไมย้ งิ รบกวนทำลายตลอดเวลา
4. การวางแผนการรบของไทย เป็นแบบฉบบั ของแผนยทุ ธศาสตร์อย่างดีเลศิ คอื ต่อสขู้ ้าศกึ 5 ทศิ ทาง
กำลังมีมากกว่าไทยเท่าตัว ชนะด้วยกลยุทธ์เดินทัพทางเส้นใน รวมกำลังเข้าตีในทิศทางที่สำคัญก่อนเสร็จแล้วจึงนำ
กำลังไปเข้าตใี นทิศทางทไี่ มส่ ำคญั
5. การวางกำลังกองหนนุ ของไทย อยู่ ณ.ที่เหมาะสมคอื กรุงเทพฯ ซง่ึ เป็นศนู ย์กลางสามารถ
ส่งกำลังหนุนไปในทิศทางใดๆได้สะดวกกองหนนุ แบบนี้เรียกว่าแบบลูกกลิ้ง คือมีความคล่องตัวที่จะยกไปช่วยไดท้ กุ
ทศิ ทาง
6. การเลอื กพื้นทีก่ ารรบ (พนื้ ทสี่ ังหาร) ของกรมพระราชวังบวรฯ ไปตัง้ รับพม่าในพื้นทเ่ี หมาะสมทาง
ยุทธวิธี ตรงเชิงเขาที่จะลงสู่ทุ่งลาดหญ้า ทำให้กองทัพที่ 4, 5 ของพม่าหยุดชะงัก ไม่สามารถยกกำลังมาถึง ทุ่งลาด
หญ้าได้ ทำให้กองทัพที่ 6, 7 ของพม่าติดอยู่บนภูเขาสูงชันอันเป็นที่กันดาร ขาดเสบียง ถูกกองโจรฝ่ายไทยรบกวน
ตลอดเวลาจนออ่ นแรง ไม่สามารถนำกำลงั มาชว่ ยกองทัพกองทัพที่ 4, 5 ได้
7. การระดมยิงปืนใหญ่โดยใช้กระสุนปืนไม้ ทำให้ลำกล้องไม่ร้อนยิงได้ตลอดเวลาทำให้อำนาจ
การยิงมีมาก ฝ่ายพม่าต้งั หลักไม่ได้ เรยี กว่าเรามีอำนาจการยิงตดั รอน ทำลาย รบกวน มากกว่าฝา่ ยพมา่
วิเคราะห์การนำหลักการสงครามไปใช้ (ของฝา่ ยไทย)
1. หลักความมุ่งหมาย เนื่องจากฝ่ายพม่ามีกำลังมากกว่าไทยสองเท่าตัว ไทยจึงวางความมุ่งหมาย
ตอ้ งเอาชนะต่อกำลังพม่าท่ีทงุ่ ลาดหญ้าซึ่งเปน็ กองทพั หลวงหลักมีจำนวนมาก ระยะใกล้หวั ใจของประเทศ โดยให้กำลงั
ฝ่ายไทยหนงึ่ กองทพั ตรงึ พมา่ ทางภาคเหนอื สว่ นภาคใต้ให้ช่วยตัวเอาไปกอ่ นแลว้ จะนำกำลงั มาชว่ ย
2. หลักการรุก ฝ่ายไทยได้เคลื่อนที่รุกไปยึดภูมิประเทศที่เกื้อกูลต่อการปฏิบัติก่อน เมื่อทราบข่าว
ขนาดกำลัง และทศิ ทางเคล่ือนที่ของฝ่ายพมา่ ทีท่ งุ่ ลาดหญ้าไทยสามารถยึดแนวทุ่งลาดหญ้า และปิดชอ่ งทาง ทีพ่ ม่าจะ
เคลอ่ื นเขา้ มาทกุ ชอ่ งได้สำเร็จโดยใชก้ ำลงั ประกอบภูมิประเทศ เม่ือพม่าบอบชำ้ อิดโรยฝ่ายไทยกลบั ทำการรุก ทำลาย
กองทัพพม่าที่ทุ่งลาดหญ้าต้องถอยเข้าพม่าไป จากน้ันไทยรวมกำลังขับไล่พม่าทางภาคเหนือ และภาคใต้ถอยจาก
ประเทศไทยไป
3. หลักการรวมกำลัง ฝ่ายไทยแม้มีกำลังน้อยกว่าแต่สามารถรวมกำลังเป็นปึกแผ่น ณ ตำบล
ทุ่งลาดหญ้า และเวลาที่จะทำการรบแตกหัก โดยมีกำลังรบเหนือกว่าข้าศึก สามารถกลับทำการรุกเข้าโจมตีพม่า
รนุ แรง และฉับพลนั ขณะท่พี ม่าอดิ โรย เสยี ขวญั
4. หลักการออมกำลงั ไทยส่งกำลงั เข้ายึดทุ่งลาดหญ้ากอ่ นท่พี ม่าจะมาถงึ หลายวนั และเคล่ือนกำลัง
ทางน้ำทำให้ร่างกายอ่อนแอและเป็นการปกปิดความลับ ได้พักผ่อนพอเพียง และวางกำลังปิดช่องทางที่พม่าจะ
เคลื่อนที่เข้ามาที่กรุงเทพฯไทยยังเก็บกองหนุนไว้ 20,000 คน เพื่อแก้ไขเหตุการณ์ กำลังเคลื่อนที่ได้ไปตีพม่าที่ล้อม
เมอื งลำปางได้สำเร็จหลักการดำเนินกลยุทธ์ ฝา่ ยไทยเคลื่อนทเี่ พ่ือเขา้ ยึดพื้นทีเ่ กือ้ กูลจึงเคล่ือนท่ีเขา้ หาขา้ ศกึ แบบตั้งรับ
เชงิ รกุ (OFFEENSIVE DEFENSE) ยกกองทัพจากกรุงเทพฯโดยทางน้ำถงึ ลาดหญา้ เพ่อื ปกปดิ กำลังไมใ่ ห้กำลงั พลเหน็ด
เหนือ่ ย ใชเ้ วลา 5 วัน ไทยถงึ กอ่ นหน้า 15 วนั มีเวลาพกั ผอ่ นและเตรยี มการเต็มที่ และใหจ้ ดั ใหพ้ ระยามหาโยธา (เจ่ง)
คุมกองมอญ 3,000 คน ทำหน้าที่กองรักษาด่านรบ (COMBAT POWER) สมัยนั้นเรียกขัตตาทัพอยู่ที่ด่านกรามช้าง
เพื่อทำการแจ้งเตือน ทำการรบหน่วงเวลา ต่อฝ่ายพม่า และจัดตั้งหน่วยกองโจรคอยซุ่มโจมตีพม่าที่ พุตระไคร้
-54-
เพื่อขัดขวางและซุม่ โจมตี การส่งเสบียง ของข้าศึกท่จี ะมาทางลำน้ำ เมอื่ พมา่ เคลอ่ื นกำลงั ตามลำน้ำแควน้อยและเดิน
ข้ามไปแม่นำ้ แควใหญ่เพือ่ เข้าสู่ทุ่งลาดหญ้าจงึ เกดิ ปะทะกับกองมอญของพระมหาโยธา พระมหาโยธามีกำลังนอ้ ยกวา่ สู้
ไม่ได้จึงรบพลางถอยพลาง กองทัพที่ 4 ฝา่ ยพมา่ ไลต่ ิดตามกองมอญ พระมหาโยธาจึงนำกำลงั ไปรวมกับส่วนใหญ่ท่ีทุ่ง
ลาดหญ้า เมื่อพม่ารุกไล่มาถึงทุ่งลาดหญ้า กรมพระราชวังบวรฯจงึ สั่งทหารซึ่งเตรียมการอยู่ก่อนแล้วเข้าตีกำลังพมา่
ทันที พมา่ ต่อสู้อยา่ งเข้มแขง้ ฝ่ายไทยตกี ระหนำ่ อย่างรุนแรงทำใหก้ องทัพพม่าต้องขนึ้ ตั้งม่ันอยู่บนภูเขา กองทัพพม่าที่
4, 5 จึงติดอยู่บนเขาเป็นระยะ กองทัพที่ 6, 7 ของพม่าอยู่ที่ท่าดินแดงและสามสบ กองทัพที่ 8 พระเจ้าปดุงอยู่ท่ี
แม่น้ำลอนซีในพม่า การปฏิบัติของฝ่ายไทยเป็นการปฏิบัติทำนองการตั้งรับแบบคล่องตัว (MOBILE DEFENSE) โดย
ปรยิ าย พมา่ ตดิ อยู่บนภเู ขากนั ดารทำใหอ้ ดอยาก ขาดเสบยี ง และถูกหนว่ ยกองโจรของเจ้าขุนเฌรทพ่ี ุตะไคร้ลอบโจมตี
หนว่ ยสง่ เสบยี งและปล้นเสบยี งตลอดเวลา โอกาสเดยี วกนั กับกรมพระราชวงั บวรฯสัง่ ให้ปืนใหญใ่ ชก้ ระสุนไมย้ งิ รบกวน
ตัดรอนทำลายตลอดเวลา และแสดงลวงให้เห็นกำลังน้อยเป็นกำลังมากโดยให้ทหารลอบออกนอกค่ายเวลาพลบค่ำ
และเดินถือธงทิวเพม่ิ เตมิ กำลังเวลาเช้าให้เหน็ กำลงั มามากมาย ทหารพมา่ อดอยากหิวโหยเสยี ขวัญทง้ั พลทหารและแม่
ทพั นายกอง เม่อื ทรงเห็นก็ส่ังระดมยิงปนื ใหญท่ ัง้ กลางวัน กลางคืน คร้ังร่งุ เชา้ จึงเข้าตีพม่าพร้องกันตลอดแนว เมื่อ 17
ก.พ. 2328 พมา่ พา่ ยแพ้ยบั เยินถอยเขา้ พมา่ ไปยังเมาะตะมะ
6. หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา กองทัพไทยทุกกองทัพ แม่ทัพนายกองสามารถควบคุมกำลัง
อย่างใกล้ชิดทราบการเคลื่อนไหวของข้าศึก อำนาจการรบด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิด มีสายการบังคับบัญชากำลังพลมี
ความเชื่อมั่นผู้นำพร้อมร่วมเป็นร่วมตายเป็นหนึ่งเดียวเกิดความสามัคคีเต็มใจทำงานเพื่อประเทศชาติ ตัวอย่างเช่น
คุณหญิงจนั ทร์ และนางมกุ พระมหาช่วย และทุกกองทัพข้นึ ตรงตอ่ จอมทัพคอื พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลก
7. หลกั การระวังปอ้ งกัน จะเหน็ การจดั การระวงั ปอ้ งกนั บรเิ วณการรบทที่ งุ่ ลาดหญา้ กรมพระราชวัง
บวรฯ จัดตง้ั กองรักษาด่านรบให้พระมหาโยธาเจ่งคุมกองมอญ 3,000 คนทำหน้าทแี่ จง้ เตือนร้ังหนว่ งทด่ี ่านกรามช้างท่ี
พตุ ระไคร้ ใหพ้ ระยาสีหราชเดโชชยั พระยาท้ายน้ำ พระยาเพชรบรุ ี คมุ กำลัง 500 คน คอยขัดขวางการส่งเสบียงของ
พม่า พระยาทั้งสามปฏบิ ัติภาระกจิ ย่อหยอ่ นจงึ ถูกสงั่ ประหารชีวติ และไดส้ ่งเจ้าขุนเณร ไปคุมกำลังแทน และเพ่ิมเติม
กำลังให้อีก 1,000 คน กำลังจะใช้ซุ่มโจมตี 1,500 คน เหตุการณ์ เมื่อ พระยามหาธรรมราชา กับพระยายมราช คุม
กำลงั 5,000 คน ปอ้ งกันพมา่ ทีจ่ ะเข้ามาทางด่านบอ้ งต้ี เปน็ การระวังปอ้ งกันปกี ของกองทพั ท่ี 2 กรมพระราชวังบวรฯ
และรกั ษาเสน้ ทางส่งกำลังบำรุงดว้ ย จะเห็นว่าฝา่ ยไทยจดั การระวงั ป้องกันไดอ้ ยา่ งรอบคอบ
8. หลักการจู่โจม การโจมตีฝ่ายพม่าของกรมพระราชวงั บวรฯ พน้ื ที่ทุง่ ลาดหญ้า จะเหน็ ว่าโจมตีโดย
ฉับพลนั ขณะทพี ม่าอดอยากหวิ โหย เสียขวัญ พม่าถอยตง้ั ตัวไม่ติด
9. หลักความง่าย แผนปฏิบัติฝ่ายไทย ยึดแนวภูมิประเทศสำคัญก่อน เตรียมการนาน จัดการระวัง
ป้องกัน จัดหนว่ ยทำหน้าทรี่ ักษาด่านรบทีด่ า่ นกรามชา้ ง และด่านบ้องตี้ ทำให้การส่งกำลงั บำรุง และกำลังรบปลอดภัย
ไม่ถกู ขัดขวาง สามารถดำเนนิ กลยทุ ธเ์ ป็นอสิ ระและคล่องตวั ประกอบภูมปิ ระเทศที่ฝ่ายเราเปน็ ผู้เลือกซึ่งเปน็ ตัวคูณเพิ่ม
พลงั อำนาจกำลังรบท่สี ำคัญทำให้ฝา่ ยเราเอากำลงั น้อยสามารถชนะกำลังมากได้สำเร็จ
10. หลักการตอ่ สู้เบ็ดเสร็จ จะเห็นว่าพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ให้หัวเมืองฝ่ายใตช้ ่วยเหลอื ตนเอง
ไปก่อน เสรจ็ ศกึ ดา้ นสำคัญจะนำกำลังไปช่วยเจา้ เมืองนคร เจ้าเมืองชมุ พร คุณหญิงจันทรและนางมกุ ได้รวบรวมกำลัง
-55-
ภายในแต่ละเมืองจัดตัง้ เปน็ กองกำลงั ต่อสู้ไปพลางจนสุดท้ายกองทัพหลวงจากกรุงเทพฯ ก็มาช่วยเป็นการผนกึ กำลงั
หลัก กำลังประจำถิน่ กำลังประชาชน เขา้ ต่อสไู้ ดอ้ ย่างสมศักด์ิศรี
-56-
คำถามทา้ ยบทท่ี 1
ประวัติศาสตรก์ ารสงครามไทย
1. หลังจากขับไลข่ อมออกไปไดส้ ำเรจ็ อาณาจักรสุโขทัยถูกสถาปนาขนึ้ เมอ่ื ปี พ.ศ.ใด
2. กรมท่ีมีหน้าทีจ่ ดั ทำบญั ชีไพรพ่ ลฝ่ายทหารและพลเรือนท่ีสังกัดเจา้ นายและขุนนาง ที่เป็นมูลนายหรือ กรมกองต่าง
ๆ ทเ่ี รยี กว่า “บัญชีหางว่าว” คอื กรมใด
3. การสรา้ งคันดนิ คูน้ำเปน็ กำแพงเมือง และมคี ูเมอื งล้อมรอบอยู่สามชั้น มีปอ้ มประจำประตเู มอื งท้งั สีทิศ รอบอาณา
เขตของกรงุ สโุ ขทยั เรียกว่า อะไร
4. การสงครามไทย-พม่า สมัยอยุธยาเกิดขึ้นทั้งหมดจำนวน กี่ครั้งในจำนวนนี้เป็นการรบที่พม่ายก เข้ามาโจมตี
ดนิ แดนไทย จำนวนกี่ครั้ง และฝา่ ยไทยยกไปรบพมา่ ยังดินแดนพม่าหรอื เขตอทิ ธพิ ล ของพม่า จำนวนกี่คร้ัง
5. ยทุ ธศาสตร์ทหาร การกำหนดเขตสงคราม ออกเป็นเขตหน้าและเขตหลัง ในสมัยธนบรุ ี เพ่ือประโยชน์ในด้านใด
6. ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ การจัดตั้งหน่วยทหารมหาดเล็กเริ่มต้นจากเมื่อปี
พ.ศ. 2404 ได้มกี ารทดลองฝกึ บุตรขา้ ราชการ ตามแบบยุทธวิธแี บบใหม่ แบบทหารหนา้ เรยี กกนั วา่ อะไร
7. จงบอกผลของการรบในคราวเสยี กรุงครงั้ ที่ 1 มาพอสงั เขป
8. จงอธิบายผลของบทเรยี นจากการรบในคราวเสียกรุงครง้ั ที่ 2 มาพอเข้าใจ
9. สงครามเกา้ ทพั เปน็ สงครามทเ่ี กดิ ข้ึนในสมยั รัตนโกสินทร์ตรงกบั พระมหากษตั รยิ ์พระองคใ์ ด
10. จงอธบิ ายการดำเนินกลยุทธก์ ารเขา้ ตที างเส้นใน ของกรมพระราชวังบวรฯ มาพอสงั เขป
-57-
บทที่ 2
ประวตั ศิ าสตรก์ ารสงครามสากล
การสงครามในสมยั พระเจา้ อเล็กซานเดอร์มหาราช (356-323 ก่อน ค.ศ.)
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ (ท่ี 3) มหาราช (Alexander the great) กษัตริย์แห่งมาเซโดเนีย
(Macedonia) ผู้สร้างจักรวรรดิกรีกให้กว้างไกลไปถึงอินเดียทางตะวันออก ไซเทีย (Sitiar) ทางเหนือและอียิปต์
(Egypt) กบั อา่ วเปอร์เซยี (Persian) ทางใต้กอ่ ให้เกดิ ยคุ ใหม่เรียกว่า ยุคเฮลเลนสิ ติก (Helannistik) ตามประวตั ศิ าสตร์
ของโลกพระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าฟิลลิป (Philip) ที่ 2 แห่งมาเซโดเนียขึ้นครองราชย์ตั้งแต่
พระชนมายุได้ 20 พรรษา สืบแทนพระราชบิดาผูถ้ กู ลอบปลงพระชนม์
สมัยที่ทรงพระเยาว์อยู่ ประมาณ 10 พระพรรษา พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้ทรงทำความ
ประหลาดใจให้แก่เอกอัครราชทูตเปอร์เซยี โดยทไ่ี ดท้ รงถามถึงรูปแบบของการปกครองของเปอร์เซยี ตา่ งก็ทำนายกัน
วา่ เจา้ ชายองคน์ อ้ ยนจ้ี ะมีอนาคตอันยง่ิ ใหญ่เปน็ แน่ และเมอื่ พระองคท์ รงทราบถึงชยั ชนะในการยุทธของพระราชบิดา
ก็ได้ทรงถามเพ่ือนนกั เรียนด้วยกันว่า “แล้วจะมีอะไรเหลอื ไว้ใหท้ ่านกับฉนั ทำเม่ือเราโตข้ึนล่ะ” ครั้งเมือ่ ทรงเจริญวัย
ขึ้น พระองค์ได้ทรงกล่าวว่า พระเจ้าฟิลลิปได้ให้ชีวิตแก่พระองค์ แต่อริสโตเติล (Aristotle) ได้สอนพระองค์ให้
“ดำรงชีวติ อยา่ งมคี า่ น่าสรรเสรญิ อยา่ ยอมใหร้ ่างกายเขา้ ครอบงำ แต่ให้จิตใจมีอำนาจเหนือร่างกายอยเู่ สมอ”
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ไม่เคยพา่ ยแพก้ ารยุทธ เมื่อพระชนมายุได้เพยี ง 16 พรรษา ก็ได้ทรงนำกำลงั
เข้าปราบพวกชาวเขาแล้ว พระองค์ทรงสนใจและศึกษาจิตวทิ ยา อาวุธ และวิธีทำสงครามของศัตรู ทรงเป็นนักมหา
ยทุ ธศาสตร์ หรอื ยทุ ธศาสตร์ชาติ (National strategy) ชาวยุโรปคนแรก พระองคท์ รงมคี วามเห็นว่า สงครามทำกันใน
2 ดา้ นเสมอ คอื 1.กำลงั รบท่ีมีตวั ตน (Physical) 2.ด้านหลงั เปน็ เรื่องของจติ วิทยาท่ไี มม่ ีตวั ตน (Psychologocal) ไม่มี
ใครจะทำการรุกเป็นระยะทางไกล ๆ ได้รวดเร็วอย่างพระองค์ พระองค์สามารถเดินทัพเข้าไปใกล้ ได้ก่อนที่ขา้ ศึกจะ
ทนั รู้ตวั อยูบ่ อ่ ย ๆ พระองคไ์ มเ่ คยทำการรุกไปข้างหนา้ จนกว่าจะแน่ใจว่าทางปีกและข้างหลงั กองทัพปลอดภัย และไม่
เคยที่จะเลกิ ลม้ แผนโดยท่ีไมท่ รงเห็นว่าได้ดำเนนิ การไปจนบรรลุจดุ หมายแลว้
เมื่อพระเจ้าอเลก็ ซานเดอร์มหาราชขึน้ ครองราชยเ์ ปน็ กษัตริย์แห่งมาเซโดเนียใหม่ๆ ปรากฏมีเคา้ วา่
พวกชาวเขาและเมอื งกรีกหลายเมืองจะก่อการกำเริบ พระองค์จึงได้แสดงความเข้มแข็งเปน็ การข่มขวญั และปอ้ งปราม
โดยยกกองทพั มาเซโดเนยี เข้าตะลุยขน้ึ ไปทางเหนือจนถึงแม่น้ำดานบู ทางตะวนั ตกถงึ Lllyria และทางใตถ้ ึง Thebes
นนั้ ได้ถกู ทำลายยอ่ ยยับเหลอื อยแู่ ตว่ ัดและบ้านของกวปี นิ ดาร์ผูซ้ ่ึงพระองคช์ ่ืนชมทำให้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์กษัตริย์
องค์ใหมไ่ ดร้ ับการยอมรับนับถือทั่วประเทศกรีกอย่างรวดเรว็
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้รับช่วงการบังคับบัญชากองทัพที่มีกำลังเข้มแข็ง และการจัดอย่างดีจาก
พระราชบิดา กำลังของมาเซโดเนยี และกรีกซ่ึงแต่ก่อนแยกเป็นอิสระต่อกัน ก็ได้ถูกเชื่อมประสานเข้าเป็นกำลังรบท่มี ี
วินัย ประกอบด้วยทหารราบประมาณ 30,000 คน และทหารม้ากว่า 5,000 คน อีกหลายหน่วย พระองค์ทรงจัดรปู
ขบวนแบบฟาลังซ์ ซึ่งเป็นขบวนรูปสี่เหลี่ยมกว้างด้านหน้าไม่มากแต่ลึกพอสมควรทหารถือโล่ห์และหอกยาวอยู่ตรง
กลาง มหี น่วยเคลือ่ นทเ่ี รว็ อยู่ทางด้านข้าง ขบวนฟาลงั ซ์จะเข้าโจมตีขบวนรบขา้ ศกึ ตรงหน้าแลว้ ให้ทหารม้าหรือทหาร
-58-
ราบเบาแยกเข้าโอบหลงั แนวข้าศึก พระองค์ได้ใชย้ ุทธวธิ นี ี้หลายครัง้ เมื่อข้ามชอ่ งแคบดาร์ดะเนลล์ (Dardanelles) ไป
แล้ว ในฤดใู บไม้ผลิ 334 ปกี อ่ น ค.ศ. (22 พรรษา) ตอนทเี่ รม่ิ ทำสงครามกับเปอร์เซยี ตามทพ่ี ระเจ้าฟิลลิปราชบิดาได้
ทรงวางแผนไวก้ ่อนแลว้
รูปขบวนฟาลังซ์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ประกอบด้วย 6 กองพันทหารราบ แต่ละกอง
พันมีทหารถืออาวุธหนักเป็นหอกยาว 21 ฟุต เรียกว่า ซาริสซา (Sarissa) 1,500 คน ตั้งแถวชิดกัน นอกจากนี้ยังมี
ทหารโล่ห์ (Hypaspists) อีก 3,000 คน ซึ่ง 1 กองพันในจำนวนนี้เป็น Agema ทหารรักษา พระองค์เดินเท้า ส่วน
กำลังทหารม้าน้นั มกี ำลงั สำคัญประกอบดว้ ย ทหารม้ามาเซโดเนยี 8 กองพนั กองพันท่ี 1 เปน็ ทหารม้ารักษาพระองค์
ภารกจิ ของทหารม้าส่วนใหญ่เปน็ การเข้าตี โดยปกติพระเจา้ อเลก็ ซานเดอร์ จะทรงนำกองทหารมา้ Companion เอง
อย่างไรกด็ ี การจัดกองทัพโดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปขบวน ฟาลังซ์จะมีการปรบั ปรุงแก้ไขอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้เหมาะสมกบั
สภาพทแี่ ตกต่างกนั ในเอเชีย
การยุทธของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ในช่วงแรก เมื่อ 334 ปีก่อน ค.ศ. เป็นการบุกเข้ายึดครอง
เอเซียไมเนอร์ ปัจจุบันเป็นดนิ แดนตุรกีในเอเซีย กองทัพของพระองคไ์ ด้เผชิญกับกองทัพเปอร์เซยี ซึ่งมีกำลังมากกว่า
หวังท่ีจะรวมกำลงั ท่มุ เข้าปะทะและฆ่าพระเจา้ อเล็กซานเดอร์ให้ได้ เพ่อื ทีจ่ ะหยดุ ย้งั การบกุ รกุ เสียแต่แรกเริ่ม แต่ก็เสีย
ทีแก่กองทหารม้าถือหอกเป็นอาวุธ ทำให้สถานการณ์ที่เกือบจะชนะกลับต้องพ่ายแพ้ขณะที่ทหารม้ามาเซโดเนีย
สญู เสยี ไมเ่ ท่าไร และทหารม้ากรีกรับจา้ งทส่ี รู้ บใหแ้ ก่เปอร์เซียหลายคน ได้ถกู สงั หารอย่างไม่ปรานี กองบญั ชาการภาค
ตะวันตกของเปอร์เซียท่ี Sardis เมอื งสำคัญทางการเมอื งและเศรษฐกิจถกู ยึด เมอื งกรีกต่าง ๆ ที่เปอรเ์ ซียปกครอง อยู่
บนฝั่งทะเล Aegean อย่ตู ้องสูญสิน้ ไปดว้ ย ท้ังน้ี เปน็ การทำให้พ้นื ที่เขตหลัง เมื่อกองทพั ของพระองคร์ ุกคืบหน้าต่อไป
มีความปลอดภัย พระเจ้าอเลก็ ซานเดอร์ได้เดนิ ทพั เลียบฝัง่ ทะเล Aegean ลงทางใต้ แล้วหนั กลับขนึ้ ทางเหนือ เข้ายึด
เมอื ง Gordium เปน็ การสิน้ สุดการเข้าขดึ ครองเอเซยี ไมเนอรใ์ นช่วงน้ี
เมื่อได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการและทหารมาเซโดเนียปกครอง และดูแลรักษาพื้นที่ที่ยึดได้แล้ว
พระองค์ก็ไดท้ รงนำทัพมุ่งลงทางใตส้ ู่ชายฝั่งโฟนีเซีย เข้าตีกำลังของกษัตริย์ Darius ท่ี 3 แห่งเปอร์เซยี ที่เมือง Issus
แตกพ่ายไปอีก เมือ่ 333 ปีก่อน ค.ศ. ราชสมบัติของเปอร์เซียที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ อยากได้นักหนาก็ตกเปน็ ของ
พระองค์ กษัตริย์ Darius ได้เสนอขอแบ่งแยกจักรวรรดิกันแต่พระเจ้าอเล็กซาน-เดอร์ทรงปฏิเสธ เมือง ไทล์เร่ย์
(Tyre ) ทางใต้ของชายฝั่ง โพนีเซียน (Phoenician) ถูกตีแตกหลังจากถูกล้อมอยู่ 7 เดือน และเมือง Gaza ใน
ปาเลสไตน์ (สมยั นั้น) กเ็ ชน่ กัน หลงั จากถูกล้อมอยู่เพยี ง 2 เดือน พระเจา้ อเลก็ ซานเดอร์ทรงเคลื่อนทพั ต่อไปยังอียิปต์
และได้ประทับอยู่ที่นั่นตลอด ฤดูหนาว ระหว่าง 332-331 ปีก่อน ค.ศ. อียิปต์ยอมรับพระองค์ในฐานะเป็นผู้
ปลดปลอ่ ยจากการปกครองโดยเปอรเ์ ซีย และถวายราชบรรดาศกั ดฟิ์ าโรห์ (Faroh) ใหด้ ว้ ย พระองค์ได้มรี ับส่ังให้สร้าง
เมอื งริมฝงั่ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนข้ึนใหม่ให้ชื่อว่าอเลก็ ซานเดรีย (Alexandria) ในชว่ ง 331-330 ปกี อ่ น ค.ศ. พระเจ้าอ
เล็กซานเดอร์ได้เคลื่อนทัพจากอียิปต์ย้อนขึ้นทางเหนือไปยังเมือง ดารมัสคัส (Damascus) แล้วข้ามดินแดน
Mesopotamia ไปยังใจกลางจักรวรรดเิ ปอรเ์ ซีย กษัตริย์ ดาริอุส (Darius) หลังจากที่พ่ายแพท้ ีเ่ มือง Issus แล้ว ก็ได้
หนีไปยังเมอื ง Babylon โดยไปพา่ ยแพ้ ท่เี มอื ง อารเ์ ลล่า (Arbela) แตก่ ห็ ลบหนีไปได้อีกครั้งในการยทุ ธที่เมือง Issus
น้นั
-59-
กองทัพพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ไดร้ กุ พุ่งตรงเขา้ หาพ้นื ที่ ซง่ึ คาดว่าเป็นทีต่ ัง้ ของกองทัพกษัตริย์ Darius
แต่เนื่องจากการข่าวและข้อสมมติฐานผิดพลาดจึงต้องถูกกำลังของ Darius ดำเนินกลยุทธ์โดยอ้อมเข้าทางด้านหลัง
กองทพั ของพระองค์ ทำให้ถกู ตดั ขาดจากฐานส่งกำลงั ต่าง ๆ โดยหลังกลับเขา้ โจมตขี ้าศกึ พ่ายไปในที่สุด ยากที่แม่ทัพ
คนใดจะกระทำได้สำเร็จ สว่ นที่ Arbela กองทพั อเลก็ ซานเดอรก์ ลับเปน็ ฝา่ ยทำการรุกอ้อมโดยขา้ มแมน่ ้ำ Tigris ทาง
เหนือ แล้วเคลื่อนที่ลงฝั่งตะวันออก ทำให้กองทัพ Babylonที่มาช่วยต้องถอนย้ายกำลงั และที่ม่ันหันไปตอ่ สู้ด้านทาง
กองทพั มาเซโดเนียทโี่ อบลอ้ มเขา้ มาทางขา้ งหลงั แตก่ ็พา่ ยแพอ้ ีกดว้ ยความเหนือกว่าในชัน้ เชงิ กลยทุ ธ์ของพระเจา้ อเล็ก
ซานเดอรพระองคไ์ ด้ประกาศแตง่ ตัง้ พระองค์เองเปน็ มหาราชแห่งจกั รวรรดิเปอร์เซีย หลงั จากน้ันกองทัพมาเซโดเนียก็
ไดร้ ุกตอ่ ลงไปตามแนวแม่น้ำ Tigris สู่เมืองบาบิโลน (Babylon) แล้วตอ่ ไปยังเมอื งหลวงโบราณซซู ่า (Susa) เพอร์เซป
โปลสิ (Persepolis) และเอคบาทาน่า (Ecbatana) ของเปอรเ์ ซีย
ต่อมาในช่วงสุดท้ายของการแผ่ขยายพระราชอำนาจของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ตั้งแต่ 330-327
ปีก่อน ค.ศ. เป็นการปราบปรามพวกที่อยู่ใกล้ทะเลแคสเบียน (Caspian) และในดินแดนของประเทศ อัฟกานิสถาน
(Afghanistan) และในแคว้นเตอรกิสถาน (Turkistan) ของโซเวียตในปัจจุบัน แต่ในตอนนี้พระองค์ทรงตั้งรัฐบาล
ท้องถิ่นของดินแดนที่ยึดไดใ้ ห้ปกครองกันเอง แทนที่จะเป็นข้าราชการของมาเซโดเนีย ใน 326 ปีก่อน ค.ศ. กองทัพ
ของพระองค์ได้ข้ามแม่น้ำ อินดุส (Indus) ไปยังแม่น้ำ ไฮดาสเพส (Hydaspes) ในอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือ ที่ซึ่ง
พระองค์ไดท้ ำการยุทธมีชัยต่อกองทัพกษัตริย์ Porus ผ้ซู งึ่ ภายหลงั ไดก้ ลับใจมาเปน็ พนั ธมิตรมาเซโดเนียร่วมทำการสู้
รบกับอินเดีย
อย่างไรก็ดีหลังจากที่ได้ทำการรบตอ่ ไปอีก 2-3 ครั้งกองทัพของพระองค์ก็เกดิ การกระดา้ งกระเด่อื ง
ในการที่ต้องตรากตรำทำการรบติดต่อกันมานาน พระองค์ถูกบีบบังคับให้ยกทัพกลับบ้านเกิดเมืองนอนเสียที เม่ือ
เดินทางกลับถงึ เมือง ซูซา่ (Susa) ใน 324 ปีกอ่ น ค.ศ. พระองค์ได้เรมิ่ ดำเนินการที่จะรวมจักรวรรดติ ่าง ๆ เขา้ ด้วยกัน
โดยมีรับสงั่ ใหท้ หารมาเซโดเนียมากมายสมรสกับผู้หญิงเอเชยี ส่วนพระองค์เองก็ได้เจา้ หญงิ เปอร์เซีย 2 องค์เป็นพระ
ชายา ในกองทพั มาเซโดเนยี กม็ ีทหารเปอรเ์ ซยี อยู่ดว้ ย แตก่ ไ็ ม่สู้จะเรียบรอ้ ยเป็นผลดนี ัก เนอ่ื งจากมกี ารขดั แยง้ ไมพ่ อใจ
กันอยูเ่ สมอ เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอรเ์ สด็จถึงเมืองบาบโิ ลน ได้ประชวรเปน็ ไข้และส้ินพระชนม์ลง ร่างของพระองค์
ถกู เอาแชน่ ้ำผงึ้ ในโลงแก้ว และนำไปเกบ็ ไว้ในสสุ าน ทีเ่ มืองอเลก็ ซานเดรยี ในอยี ปิ ต์ ซงึ่ พระองค์เป็นผมู้ รี ับส่งั ใหส้ รา้ งขึน้
เอง
ถ้าจะศึกษาเส้นทางรุกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ให้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่าพระองค์ได้เดินทัพเปลี่ยน
ทศิ ทางกลับไปกลบั มาเป็นรปู ฟันปลาโดยตลอด ทั้งนี้ ดว้ ยเหตผุ ลทางการเมืองมากกว่าทางยุทธศาสตร์ ซึ่งถา้ จะวา่ กัน
ไปแลว้ การเมืองกเ็ ปน็ เรือ่ งของยุทธศาสตร์ชาติหรือมหายุทธศาสตรเ์ หมือนกนั การยุทธของพระองคต์ ้งั แตแ่ รกไปจนถึง
เขตแดนอินเดยี เป็นการกวาดลา้ งจกั รวรรดิเปอร์เซียทางการทหาร ขณะทีพ่ ยายามรวบการเมืองและการปกครองไวใ้ ต้
อำนาจของพระองค์ การดำเนนิ กลยุทธ์ส่วนมากเปน็ การรกุ ทางอ้อม ซ่ึงแสดงถึงความเกง่ ฉกาจในเชงิ ยุทธศาสตร์ของ
พระองค์ พระองค์ได้ใหก้ องทัพเก็บสะสมขา้ วโพดไว้ในคลงั และกระจายกำลงั ออกไปอย่างกวา้ งไกลเพ่ือให้ข้าศึกสับสน
ในเจตนาของพระองค์ บางครั้งก็ไดใ้ ห้ทหารม้า วิ่งส่งเสยี งอึกทึกอยนู่ าน ๆ ทำใหข้ า้ ศึกไม่รวู้ ่าพระองคจ์ ะเอาอยา่ งไรกัน
แน่ ในการยุทธที่แม่น้ำ Hydaspes พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้ให้กำลังส่วนใหญ่ตรึงกำลังของกษัตริย์ Porus ไว้ แล้ว
พระองค์กับทหารชั้นดีจำนวนหนึ่งได้ขึ้นไปทางต้นน้ำไกล 18 ไมล์ ข้ามแม่น้ำในเวลากลางคืนแล้วเข้าโจมตีทางอ้อม
-60-
อยา่ งจู่โจมทำให้ขวัญและกำลงั ใจของกองทัพข้าศึกเสยี เกิดการสับสนอลหม่านไมอ่ าจสรู้ บได้เป็นปกึ แผ่น อย่างไรก็ดี
การที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ทรงใช้กำลังส่วนน้อยทำให้กำลังทั้งกองทัพของข้าศึกต้องพ่ายแพ้นี้ ถ้าที่ตั้งและการวาง
กำลังไม่เอื้ออำนวยและเหมาะที่จะกระทำแล้ว ทั้งในทฤษฎีและทางปฏิบัติ พระองค์ย่อมจะเสี่ยงต่อการพ่ายแพ้ทาง
ยุทธวธิ เี ปน็ อย่างมาก
การสงครามในสมัย เจงกสี ข่าน
เจงกสี ขา่ น (Genghis Khan) ค.ศ.1167-1227 (พ.ศ.1710-1770) จอมจกั รพรรดิมองโกล ผู้ยิ่งใหญ่
สามารถนำทัพเข้าบุกและยดึ ครองดนิ แดนตงั้ แต่จีนจนถงึ รสั เซียหรอื ตั้งแตท่ ะเลจีนจดทะเลดำ รวมประเทศใหญ่น้อยถึง
10 ประเทศ ยทุ ธศาสตร์และยุทธวธิ ีในการใช้กำลงั กองทัพม้าเป็นทเ่ี ลื่องลือและเกรงขามท้งั ในเอเซียและยโุ รปสมัยนั้น
แม้ในปัจจุบันและอนาคตก็ยังสามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับความเจริญก้าวหน้าของ
เทคโนโลยแี ละอาวธุ ยุทโธปกรณ์ไดเ้ ป็นอย่างดี
เจงกีสข่านประสูติเม่ือปี พ.ศ.1710 (บางหลักฐานบอกว่า พ.ศ.1715) เป็นตอนท่ี เยซุไก บาอตูร์
(Yesugei Batu) หัวหน้าเผา่ คยิ าทบิดาของเจงกีสขา่ นไดฆ้ ่าหัวหนา้ เผ่าตาร์ช่ือ เตมจู นิ (Temujin) จงึ ต้งั ช่ือ เจงกีสข่าน
ว่า เตมูจิน (Temujin) เหมือนกนั ด้วยความเช่ือว่าความกล้าหาญของข้าศกึ จะมาเข้าอยู่ ในตวั เดก็ ท่ีเพงิ่ เกิดใหม่ เตมู
จนิ แปลว่า ช่างเหลก็ เลยทำให้กล่าวขานกนั วา่ เจงกีสขา่ น เคยเปน็ ช่างเหล็กมาก่อน พอพระชนม์มายุได้ 13 พรรษา
ก็ได้เป็นหัวหน้าเผ่าสืบทอดบิดาซึ่งถึงแก่กรรมแแต่งงานกับบูไต (Burte) มีบุตร 4 คน คือ จูจิ (Jochi) ซากาไท
(Chaghatai) โอกาได (Ogadei) ทลู ิ (Tolui)
พระองค์ได้สถาปนาตนเองเป็น เจงกีสข่าน (หัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่) เมื่อพระชนม์มายุ 33 พรรษา เจงกีส
ข่านไมไ่ ด้รบั การศกึ ษา ไม่เคยอา่ นหนังสอื ไมเ่ คยเปน็ ลูกศิษยข์ องขนุ พลใด และไมเ่ คยมีอาจารย์สอนพเิ ศษให้ แตเ่ จงกีส
ข่านกับแม่ทัพนายกองของมองโกล (Mongol) ก็ได้ใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่เรียน จากประสบการณ์และสามัญ
สำนึกในการยุทธทุกคราวอย่างชาญฉลาด ทำให้สามารถมีอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล จากเกาหลีไปจนถึงเปอร์เซีย
หรืออิหร่านในปจั จบุ ัน และตอ่ มาภายหลงั ยังไดแ้ ผ่ขยายเขา้ ไปถึงยุโรปตะวันออก โดยลกู หลานของเจงกีสข่านและนาย
พล มองโกลชื่อ สโุ บไต (Subotai) บางหลักฐานชอ่ื บาตู (Batu) ซึง่ ได้ใชย้ ุทธศาสตร์และยทุ ธวิธี ของเจงกสี ขา่ นนัน่ เอง
การแผ่ขยายอาณาจักรของเจงกีสข่าน ได้มุ่งสู่ตะวันตกมากกว่าจะยึดอาณาจักรต่าง ๆ ของจีน เจงกีสข่านเคยบกุ เข้า
จีนจนถงึ ปกั ก่งิ แตก่ ไ็ ม่พยายามที่จะโจมตกี ารเขา้ ยดึ ครองจีน ต่อจากนนั้ เจงกสี ข่านใชแ้ ม่ทัพของท่านจัดการอาณาจักร
ซุงบนฝั่งแม่น้ำแยงซี (Yangtze) อาณาจักรซุง ก็ยังไม่ไดต้ กอยู่ใต้การปกครองของมองโกล จนกระทั่งมาถึงรุ่นหลาน
ของเจงกสี ข่าน คือ กุบไลข่าน (Kublaikhan) (พ.ศ.1759-1837) ราชวงศซ์ ุงถงึ ไดถ้ กู โค่นลงในปี พ.ศ.1822 ในปี พ.ศ.
1762-1768 เป็นช่วงทเ่ี จงกสี ข่านทำสงครามใหญแ่ ละไกลจากมองโกเลียมากทีเดยี ว เจงกีสข่านเปน็ ผูใ้ ชห้ ลักยทุ ธศาสตร์
ในการริเรม่ิ อย่างไมม่ แี มท่ ัพคนใดในประวัตศิ าสตร์เทยี บเท่า กองทัพมองโกลไดท้ ำการเข้าตอี ยู่เสมอ ๆ แม้ว่าจุดหมาย
ทางยุทธศาสตร์จะเป็นการตั้งรับก็ตามการที่พยายามโจมตีข้าศึกไม่ให้ตั้งตัวได้อยู่ตลอดเวลานี้ ย่อมเป็นการทำให้
กองทัพมองโกลเป็นฝา่ ยรเิ ริม่ ไดอ้ ยเู่ สมอ
กอ่ นท่ีจะเปิดฉากการบุกประเทศใด เจงกสี ข่านจะส่งจารบุรษุ และหน่วยสอดแนม (Imperial guard)
จำนวนมากเข้าไปในประเทศเป้าหมาย พวกจารบุรุษจะพยายามก่อให้เกิดการแตกแยกขึ้นขณะที่พวกสอดแนมก็จะ
เฝ้าดูข้าศึกและปกปิดกำบังการเคลื่อนย้ายของกองทัพมองโกลเมื่อใกล้จะถงึ เวลาบุก โดยรวมกันเปน็ กลุ่มเล็ก ๆ ติด
-61-
อาวุธซุ่มอยูต่ ามช่องทางเข้าประเทศและภายในประเทศ ทำให้ข้าศึกเกิดการหวาดกลัวและ สบั สนในการปะทะข้าศึก
ทกุ คราวไมว่ ่าขนาดใหญ่หรอื ยอ่ ย ในการปฏบิ ตั กิ ารทไ่ี ดช้ ว่ ยให้แม่ทพั มองโกลมีอสิ ระในการดำเนินกลยุทธ์นั้น ผู้บังคับ
หน่วยรองจะต้องเสีย่ งเขา้ โจมตีขา้ ศึกโดยการสนบั สนุนของหนว่ ยเหนือ มงิ ขา่ น (Mingkhan) (ผู้บงั คบั กองร้อย) อาจนำ
กำลงั ขนาด 100 คน ไปโผล่ข้ึนอย่างฉับพลัน ณ จดุ ใด ๆ แลว้ บังคบั ใหข้ า้ ศึกยอมแพ้ เน่ืองจากข้าศกึ ท่ีตั้งรบั อยไู่ ม่มีทาง
ที่จะทราบได้ว่าจะยังมีหรือไม่มี ทหารมองโกลอีกกี่พันคนตามหลังมา ในการเปิดฉากการบุกทุกครั้ง กำลังหลักของ
กองทัพมองโกลซึ่งโดยธรรมดาจะมีกำลัง 3-5 ตัวมาน (Touman) (หน่วยขนาดกองพล 1 ตัวมานประมาณ 10,000
คน) จะเคลื่อนที่รุกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมีขบวนแถวตอนของทหารม้าเบา (Light cavalry) หลายขบวนเต็ม
กว้างด้านหน้าทำการกำบังให้อยู่ข้างหน้า การติดต่อสื่อสารกระทำโดยพลนำสารขี่ม้าและระบบส่งสัญญาณอย่าง
สมำ่ เสมอ รูปขบวนดงั กล่าวมีความอ่อนตวั โดยเฉพาะอย่างยง่ิ เม่ือข้าศึกมกี ำลงั มากกว่า หรือฝ่ายมองโกลยังไม่ทราบ
ที่ตั้งของข้าศึกท่ีแนช่ ัด เมื่อขบวนทหารม้าที่กำบังให้แก่กำลังสว่ นใหญ่ไปปะทะเข้ากับขา้ ศึกอาจจะตรึงข้าศึกอย่ทู ่นี ั่น
หรอื ถอยหลบไปทางอ่ืน แลว้ แตส่ ถานการณ์
กองทัพมองโกลใช้ความลึกของพื้นที่สนามรบทั้งหมด ทำให้กำลังข้าศึกไม่อาจรวมกำลังกนั เพ่อื ที่จะ
เปน็ ฝา่ ยได้เปรียบเม่ือขา้ ศกึ รวมกำลังไดเ้ ข้มแข็ง โดยปกตมิ องโกลจะไม่นำกำลังเข้าปะทะโดยตรงแต่กลับจะทำการเข้า
ตีลึกเข้าไปในเขตหลังของข้าศึก โดยให้กำลังเพียง 1 ตัวมาน (10,000 คน) ตรึงข้าศึกไว้ แล้วใช้กำลังส่วนใหญ่เข้า
ทำลายชุมชนพลเรือน กำลังข้าศึกท่ียังไมไ่ ด้เข้าทำการรบ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้สนับสนนุ กองทัพข้าศึกมอง
โกลใช้อาวุธป้องกันไมใ่ ห้ข้าศึกเข้าใกล้ตัวได้สะดวก ทหารยุโรปตัวใหญ่กวา่ มีอาวุธประชิดดกี ว่าทหารมองโกล ฉะนั้น
มองโกลจึงใชธ้ นู (Bow) เปน็ อาวุธยิงไกล ทำลายกำลังข้าศึก ใหบ้ าดเจ็บล้มตายลงมาก ๆ ก่อนทจ่ี ะเข้าถึงตวั มองโกล
ได้ใช้เชลยศึกที่จับได้จำนวนมากกำบังการรุกของตนอยู่บ่อย ๆ เป็นการบังคับให้ข้าศึกเข่นฆ่าทหารพวกเดียวกัน
ก่อนที่จะเข้ารบประชิดทหารมองโกลได้ การยิงธนู ไปยังข้าศึกจากข้างหลังฉากกำบังด้วยมนุษย์ ทำให้มองโกล
สามารถเพ่ิมความสับสนแกก่ ำลงั ข้าศกึ ไดอ้ ย่างมาก นอกจากธนแู ล้ว มองโกลยงั ใชร้ ะบบอาวธุ อน่ื ๆ อีก เช่น เครื่องซัด
ส่ง (Catapult) จรวด ปืนใหญ่แบบง่าย ๆ หน่วยทหารช่างของเจงกีสข่านมีประสิทธิภาพพอ ๆ กับของพระเจ้าอเลก็
ซานเดอร์มหาราช และจเู ลียส ซีซาร์ ทเี ดยี ว อาวุธยุทโธปกรณ์เหล่าน้ีชว่ ยให้แม่ทัพมองโกลมีความออ่ นตัวเพม่ิ มากขึ้น
กองทัพมองโกลมีความคล่องแคล่วสูง เพราะกำลังเกือบทั้งหมดเป็นทหารม้า ทหารแต่ละคน
มีม้าสำรองหนึ่งหรอื สองตัวอีกดว้ ย กองทัพของเจงกสี ข่านสามารถไล่ติดตาม โมฮาเหม็ด ซาห์ (Mohammed shah)
เมื่อปี พ.ศ.1764 เป็นระยะทาง 130 ไมล์ ใน 2 วัน ในปี พ.ศ.1784 กองทัพของสุโบไตได้เดินทางฝ่าหิมะหนาและ
ความหนาวเย็นของฤดูหนาวไกล 180 ไมล์ ใน 3 วันเพื่อโจมตีเมืองต่าง ๆ ของรัสเซียความคล่องแคล่วผิดธรรมดา
ขนาดนี้ ทำให้เลือ่ งลือกันไปวา่ มองโกลใช้กำลงั ทหารอย่างมหาศาล ซงึ่ โดยแท้จรงิ แล้วกองทพั มองโกลเล็กกว่ากองทัพ
ฝ่ายศัตรูสำคัญ ๆ มาก กำลังกองทัพของเจงกีสข่านที่ใหญ่โตที่สุดก็เคยรวมพลเป็นกำลังที่พิชิต อาณาจักรขะวาริซ
เมียน (Khwarizmion) ดินแดนเปอร์เซีย มีกำลังไม่ถึง 240,000 คน กองทัพมองโกลที่สามารถเอาชนะรัสเซียและ
ยุโรปตะวนั ออกกับยโุ รปกลาง ไม่เคยเกิน 150,000 คน คณุ ภาพไมใ่ ชป่ ริมาณและความง่ายในการจัดกองทัพเป็นหัวใจ
สำคญั ของความคลอ่ งแคล่วเหนือชน้ั ของกองทพั มองโกล
การจัดกองทัพมองโกลยึดถือระบบทศนิยม (Decimalsystem) หรือหน่วย 10-100-1,000 หน่วย
อิสระที่ใหญ่ที่สุดได้แก่ ตัวมาน (Touman) (3 ตัวมาน เป็น 1 กองทัพ หรือ 1 หมู่กองทัพ) บังคับบัญชาโดย ออล็อก
-62-
(Orock) (จอมพล) ตัวมานประกอบด้วย 10 กรม ๆ ละ 1,000 คน (ขนาดกองพันทั่ว ๆ ไปในปัจจุบัน) แต่ละกรม
บงั คับบัญชาโดย โนยาน (Noyan) (ขุนนางช้ันบารอน) กรม ประกอบด้วย 10 กองรอ้ ย ๆ ละ 10 หมวด ๆ ละ 10 คน
ร้อยละ 40 ของกองทัพมองโกลเป็นทหารม้าหนัก (Heavy Cavalry)สำหรับเป็นกำลังชน ที่เหลืออีกร้อยละ 60 เป็น
ทหารม้าเบา (Light Cavalry) มีธนูเป็นอาวุธ ทำหน้าที่ลาดตระเวน กำลังสนับสนุนหน่วยทหารม้าหนัก กวาดล้าง
ข้าศกึ และไล่ตดิ ตาม
การวางแผนโดยละเอียดไว้ในใจ เปน็ ส่วนหน่งึ ทท่ี ำใหก้ ารทำสงครามของมองโกลมีความคล่องแคล่ว
วอ่ งไวอย่างยอดเยีย่ ม มองโกลไม่เคยวางแผนการรบ จนกวา่ จะได้ทราบชัดถึงเร่อื งดินแดน อาวธุ ยทุ โธปกรณ์ เส้นทาง
คมนาคม และสถานทรี่ ะดมพลของขา้ ศึก สำหรับการเตรียมการของมองโกลเองนั้นจะถกู ปกปิดไว้เป็นอยา่ งดี ข่ายการ
ข่าวกรองของมองโกลได้แผ่ขยายไปในดนิ แดนทว่ั โลก เท่าท่ีมองโกลร้จู ัก หลงั จากท่ไี ด้ประเมนิ รายงานข่าวกรองอย่าง
รอบคอบแล้ว มองโกลจะกำหนดที่หมายในการโจมตีตามเส้นหลักการรุกให้แก่หน่วย ตัวมานแต่ละหน่วย ผู้บังคับ
หน่วยรองจะได้รับขอบเขตกว้าง ๆ ในการบรรลุภารกิจก่อนการปะทะใหญ่ผู้บังคับหน่วยตัวมาน จะมีอิสระในการ
ดำเนนิ กลยุทธ์และเผชญิ กบั ข้าศึกได้ตามความเห็นชอบของตน แตก่ ต็ อ้ งอยูภ่ ายในขอบเขตของแผนใหญ่
ยุทธวิธีที่ทหารมองโกลชอบใช้ ก็คือ ตูลุกม่า (Tulugma) หรือการโอบลึกแบบมาตรฐานที่ใช้กัน
ซง่ึ ปกี ขา้ งหน่งึ ของขา้ ศกึ จะหันเข้าหาการโอบ และมองโกลจะเขา้ อย่างรุนแรงต่อปีกหรือข้างหลังข้าศกึ อีกยทุ ธวิธหี นึ่งท่ี
มองโกลนิยมใช้ คือ การถอยลวงให้ข้าศึกไล่ติดตามแล้วเข้าทำการตีโต้ตอบอย่างรุนแรงในเวลาอันเหมาะสม หน่วย
ข้าศึกที่ไล่ติดตามจะเผชิญกับกองทหารมองโกลส่วนอืน่ อีกทางด้านข้าง ถ้าข้าศึกสู้รบอย่างเหนียวแน่นมองโกลก็จะ
ปล่อยใหข้ า้ ศึกถอนตัวไปแลว้ เข้าโจมตีอีกขณะที่ข้าศึกกำลังเคล่ือนย้าย ซ่ึงจะเอาชนะและทำลายกำลังท่ีไล่ติดตามมา
ไดโ้ ดยงา่ ย ทหารมองโกลมักจะท้ิงรถบรรทกุ ข้าวของสัมภาระไว้เป็นเหย่อื ลอ่ เมือ่ ข้าศกึ มวั พะวงรอ้ื คน้ และเก็บรวบรวม
สัมภาระ ที่เข้าใจว่าทหารมองโกลถอยหนีเอาไปไม่ได้ ทหารมองโกลจะย้อนกลบั มาสงั หารพวกขา้ ศึกที่หลงกลเหล่าน้ี
เสยี
ความสามารถและภาวะผู้นำยอดเยี่ยมเหนอื กว่าข้าศกึ นับว่ามสี ว่ นชว่ ยมองโกลในการทำสงครามให้
ได้ชัยชนะอยู่มาก นอกจากเจงกีสข่านเองแล้ว ก็ยังมีสุโบไตแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ลิดเดิ้ลฮาร์ท (Liddell hart)
นักยุทธศาสตรช์ าวอังกฤษยกย่องไว้ว่า “ความสามารถทางยุทธศาสตร์ของผู้นำสองทา่ นนี้ ตามประวัติศาสตร์ จะมีผู้
เทียบเท่าได้ก็แต่ นโปเลียนเท่าน้ัน” แม่ทัพมองโกลคนสำคัญอ่ีน ๆ ได้แก่ มาซูสิ (Machusi) ผู้บุกโจมตีจีนเหนอื บาตู
ข่าน (Batu Khan) ผู้พิชิตรัสเซีย จีบา (Chepe) โนยาน (Noyan) ผู้พิชิตคารา (Cara) ซีไต (Setai) และ บายาน
(Bayan) ผู้ลม้ ลา้ งอำนาจของอาณาจักรซงุ ในจนี ใต้ ท่านเหล่านมี้ ีความสามารถทางยุทธศาสตร์ เกือบจะเท่ากับเจงกีส
ขา่ นและสุโบไต เจงกสี ข่านเรยี นรู้การเปน็ ผูน้ ำทางทหารเอาเองจากการทำสงครามในสนามรบอันกว้างใหญ่ไพศาล ผู้
บังคบั หน่วยท่สี ามารถจะไดร้ ับการแต่งตั้งในตำแหนง่ สงู ข้ึนอย่างทั่วถึงไมข่ าดตกบกพรอ่ ง ระบบการเลื่อนยศตำแหน่ง
ถือเอาความรู้ความสามารถเป็นเกณฑ์อย่างเดียว ออล๊อก (จอมพล) บางคนยังหนุ่มอยู่มาก สุโบไตกับจีบาได้ข้ึนครอง
ตำแหน่งสูงเมือ่ อายยุ ังไมถ่ งึ 35 ปี เจงกสี ขา่ นจะบำเหน็จรางวัลและยกยอ่ งใหป้ ระชาชนทราบ เม่อื ผ้ใู ต้บังคับบัญชาทำ
ความดี ขณะทผี่ นู้ ำหนว่ ยคนใดไม่สามารถปฏบิ ัติตามคำส่ังได้ อาจถึงกบั ฆ่าตัวตายทนั ที ผบู้ งั คับบัญชาของมองโกลทุก
คนมีลักษณะที่เหมือนกันอยู่ 2 ประการ คือ การนำหน่วยอย่างกล้าหาญเป็นตัวอย่าง และทุกคนต่างเข้าใจ
-63-
แนวความคิดในการปฏิบัตอิ ย่างเดียวกัน ซึ่งทำให้สามารถปฏิบตั ิการเป็นอิสระ ได้อย่างสอดคล้องกับแผนทัว่ ไปหรือ
แผนใหญต่ ลอดเวลา
การยุทธที่แสดงให้เห็นถึงยุทธศาสตร์และอัจฉริยะของเจงกีสข่าน หนึ่งในหลายการยุทธได้แก่
การบุกจักรวรรดิขะวาริซเมียน (Khwarizmion) ในปี พ.ศ.1761-1767 ในสมัยนั้นอาณาจักรนี้ครอบคลุมพื้นที่ตุรกี
เปอร์เซีย และอินเดียตอนเหนือ ปัจจุบันเป็นแคว้น Uzbek ของสหภาพโซเวียต (เดิม) ตอนใต้ติดกับอัฟกานิสถาน
สาเหตุของสงครามเนื่องมาจากโมฮาเหม็ดซาห์ (Mohammed shah) ผู้ปกครองจักรวรรด์ิ ได้ปฏิบัติต่อฑูตมองโก
ลอยา่ งไมเ่ ป็นธรรมใน พ.ศ.1761
หลังจากได้รวบรวมข่าวและประเมินสถานการณ์เรียบร้อยแล้ว เจงกีสข่านก็ได้เตรียมการบุก
โดยรวมกำลังหลักส่วนใหญ่ไว้ทางตะวันออกของทะเลสาบ Balkhash ริมฝั่งแม่น้ำ Irtish ในฤดูร้อน ปี พ.ศ.1762
เจงกีสข่านไดใ้ ห้ลูกชาย จูจิ (Juji) นำกำลัง 3 ตวั มาน (30,000 คน) ขา้ มแม่นำ้ Chu มงุ่ สูแ่ ม่นำ้ Syr Darya เพื่อปกปิด
เจตนาและการเตรียมการบุก กำลังของจูจิกระจายไปทั่วบริเวณ เพื่อแสดงกำลังอย่างมีประสิทธิภาพตามแผน เมื่อ
โมฮัมเหม็ดซาห์ ทราบข่าวจึงได้ส่งลูกชาย จาลาล-อัด-ดิน (Jalal addin) กับทหาร 200,000 คน ไปผลักดัน เมื่อจา
ลาลไปถงึ จูจไิ ด้สำเรจ็ ภารกิจแล้ว มองโกลไดส้ ง่ มา้ และอาหารสัตว์ทไี่ มจ่ ำเปน็ ต้องใช้กลับทั้งหมดและทำการถอนตัว จา
ลาลเข้าตีโต้ตอบแต่มองโกลกผ็ ละจากการปะทะโดยเร็วด้วยการเผาหญ้าในทุ่งราบ และหลบหายไปหลงั ฉากควัน จา
ลาลไมไ่ ด้ไลต่ ดิ ตามต่อไป
เจงกีสข่านไม่ได้เคลื่อนไหวกำลังเป็นเวลาหลายเดือน ข้างฝ่ายซาห์นั้น เมื่อได้รวบรวมพล
ชาวเตอร์ก-มุสลิม มากกว่า 400,000 คน ทำให้รู้สึกมัน่ ใจวา่ ตนสามารถจะหยุดยง้ั การบกุ ของมองโกลได้โดยเร็ว แต่ก็
เหมือนกับข้าศึกของนโปเลียนใน ค.ศ.ท่ี 19 ซาห์วางแนวตั้งรับอย่างผิดพลาด เป็นวงล้อมตามแนวแม่น้ำ
ไซดารย์ า (Syr Darya) โดยหันหน้าทางทิศเหนือ อาศัยเหมืองตา่ ง ๆ ทีเ่ รยี งรายอยู่ เสริมความแข็งแรงใหแ้ ก่แนวตั้งรับ
นี้ ข้างหลังแนวตงั้ รับเป็นที่ตั้งของศนู ยก์ ำลัง 2 แหง่ ซามารค์ านด์ กับ บคู ารา อยูท่ างตะวนั ตกเฉยี งใต้ของแม่น้ำ (Syr
Darya)
ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.1762 เจงกีสข่านจึงได้นำกำลังส่วนใหญ่ของกองทัพมองโกล
ออกเดินทางจากแมน่ ำ้ อริ ต์ ซิ (Irtish) ท่านไดแ้ บง่ กำลังออกเป็น 4 กองทพั กองทพั ละ 4-5 ตวั มาน กองทพั ท่ี 1, 2 ใน
บังคบั บัญชาของจูจิกับเจบิ เคลอ่ื นลงไปทางใต้ ม่งุ สูต่ น้ แมน่ ้ำ อมั มดู าร์ยา (Amu Darya) กองทพั ท่ี 3 ในบังคับบัญชา
ของ โอเกได (หรอื ออกาได) ภายหลงั ไดเ้ ป็นขา่ นสบื ทอดจากเจงกสี ข่านในรัชสมัยของโอเกได กองทัพมองโกลได้บกุ ไป
ถงึ มอสโก เคียฟ และเมอื งอื่น ๆ ในรัสเซีย ฮังการี โปแลนด์และขา้ มแมน่ ้ำดานบู ขณะทน่ี ำ้ ในแมน่ ำ้ เปน็ นำ้ แขง็ เข้ายึด
เมือง เอสเทอร์กอร์ม (Esztergorm)ขณะที่กองทัพของพระองค์กำลังบุกเข้าโปแลนด์ โอเกไดก็สิ้นพระชนม์เมื่อ 11
ธันวาคม พ.ศ.1784) ชากาได เคลื่อนกำลังไปทางตะวันตก มุ่งสู่เมืองป้อม Otar ส่วนกองทัพที่ 4 นำโดยเจงกีสข่าน
กับ สุโบไต เคล่ือนกำลังไปทางตะวนั ตกเปน็ วงกวา้ ง เพื่อทีจ่ ะรุกเขา้ ตีเมือง Bukhara จากทางด้านตะวันตก เจงกีสข่าน
หวงั ท่ีจะจูโ่ จมทำใหข้ ้าศกึ สบั สน โดยการเข้าตเี ป็นวงกว้างจาก 4 ทศิ ทาง
ขณะทซ่ี าห์ทราบข่าวว่า เมือง โคเฮ็น (Khojend) ถูกกองทัพจูจติ ีแตกแล้ว และกองทัพของเจบิกำลัง
รุกเข้าหา สามาข่าน จากทางใต้นั้น ตัวท่านยังอยู่ที่ บูคารา (Bukhara) ซาห์จึงรวมกำลังกองหนุน 50,000 คน มุ่งสู่
Samarkand เมืองหลวง เพื่อหยุดการรุกของเจบิ แต่กำลังของเจบิก็ตัดเส้นทางของกองทัพซาห์ซึง่ ใหญ่กว่าได้สำเร็จ
-64-
ทำให้ซาห์เริ่มต้นตระหนักเพราะไม่อาจจะเผชิญกับการรุกของเจบิ โดยเนื่องจากกำลังในแนวตั้งรับตาม แม่น้ำ Syr
Darya ได้ถกู ตรงึ อยูก่ ับท่ีและถูกทำลายย่อยยับ โดยความคล่องแคลว่ ที่เหนือกว่า ของกองทัพจจู ิ ครั้นจะดึงกำลังจาก
เมืองหลวง กำลงั กจ็ ะหมดไม่มกี ารป้องกันเลย
เจงกีสข่านเคลื่อนกำลังเข้าหาเมือง Bukhara โดยข้ามทะเลทราย คึเซคัม ซึ่งทางฝ่ายซาห์เชื่อว่า
กระทำไม่ได้ นับว่าการจู่โจมของเจงกีสข่านบรรลุผลโดยสมบูรณ์ เจงกีสข่านเข้าเมือง Bukhara ได้ เมื่อ 11 เมษายน
พ.ศ.1763 แลว้ เคลื่อนกำลงั ตอ่ ไปทางตะวนั ออกสู่เมอื ง Samarkand ขณะเดยี วกันกับกองทพั ของโอเกไดและซากาไต
รุกเข้ามาจากทางเหนือ จูจิจากทางตะวันออก และเจบิ จากทางใต้ ในที่สุด Samarkand ที่มั่นสุดท้ายของซาห์ก็ถกู
กองทัพมองโกลที่บีบเข้ามาจาก 4 ด้านตีแตก เจงกีสข่านได้สิ้นพระชนม์ในระหว่างทางกลับไปมองโกเลีย ในปี พ.ศ.
1770 แต่บางหลักฐานก็บอกว่าในระหว่างการยกกองทัพไปตีอาณาจักร ตังกุท (Tanggut) หรือ Hsia ของจีน นัยว่า
เพราะได้รบั การกระทบกระเทือนจากการตกม้าระหวา่ งทีไ่ ปลา่ สัตว์ หลังจากท่ี เจงกีสข่านสิ้นพระชนม์ไปราว 150 ปี
อาณาจักรตา่ ง ๆ ท่ีมองโกลเข้ายึดและครอบครอง ตา่ งกท็ ยอยกนั หลุดพ้นจากอำนาจของมองโกล และแยกตัวไปเป็น
อสิ ระเช่นเดมิ
ด้วยเวลาเพียง 5 เดือน เจงกสี ขา่ นสามารถทำลายกองทพั 400,000 คน โค่นจกั รวรรดิข์ ะวาริซเมียน
และเปดิ ประตทู างตะวนั ตกไปสยู่ ุโรปได้สำเร็จ ในสงครามคราวนเ้ี จงกีสข่านได้ดำเนินกลยุทธ์ และใช้หลักการสงคราม
อย่างล้ำเลศิ แต่น่าเสียดายทปี่ ระวตั ิการรบของกองทัพมองโกลส่วนมากบันทกึ ไว้โดยขา้ ศึก ของ มองโกลเอง จงึ ย่อมจะ
มีการบิดเบือนหรือไม่ยอมกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ถึงอัจฉริยะและความห้าวหาญของผู้ที่เป็นศัตรู ต่อเมื่ออีกหลาย
รอ้ ยปภี ายหลังเม่ือสงครามเกิดขน้ึ บอ่ ย ๆ นกั การทหารอาชพี จึงไดเ้ ร่มิ ศกึ ษา ประวตั ศิ าสตรก์ ารสงครามกัน เพ่ือค้นหา
หลักการสงคราม ยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี นั่นแหละการยุทธ ของ กองทัพมองโกล จึงได้ถูกนำมาศึกษาพิจารณากนั
มากขึ้น คัสตาวัส อดอลฟัส และนโปเลียน ก็สนใจศึกษา การทำสงครามของมองโกล นายทหารมา้ รัสเซียก็ศึกษาเลา่
เรยี นเรือ่ งนเี้ หมอื นกัน ต้งั แตใ่ นตอนต้นคริสตศ์ ตวรรษที่ 20 ก่อนสงครามโลกครง้ั ที่ 1 เมอื่ ปี พ.ศ.2470 ลิดเดลท์ ฮาร์ท
เขียนไว้ว่า รถถังและเครื่องบิน ก็คือ ทายาทและผู้สืบทอดของทหารม้ามองโกลสงครามสมัยใหม่ที่ใชก้ ารโอบทางดงิ่
โดยการยุทธส่งทางอากาศหรือหน่วยพลร่ม ก็นับว่าเป็นอีกมิติหนึ่งที่เพิ่มขึ้นจากการยุทธของมองโกลนั่นเอง ผู้
บัญชาการหมกู่ องทัพ ทีท่ ำสงครามเคลอ่ื นที่ในสงครามโลกคร้ังที่ 2 สองทา่ น คือ จอมพลรอมเมล (Rommel) และพล
เอกแพตตัน (Patton) ก็ได้ศึกษาการยุทธของมองโกลอยา่ งละเอียด และชื่นชมสุโบไต แม่ทัพมองโกลผู้ยิ่งใหญ่อย่าง
มาก
ถ้าจะวิเคราะห์เปรียบเทียบกลยุทธ์และวิธีการทำสงครามของมองโกล กับหลักการสงคราม
สมัยปัจจุบันของประเทศต่าง ๆ แล้ว จะเห็นได้ว่ามองโกลได้ใช้หลักการสงครามของประเทศตา่ ง ๆ รวมกันเกือบทกุ
ประการ ดังนนั้ จงึ ไมเ่ ป็นท่นี า่ สงสยั ในชัยชนะอนั ยิง่ ใหญข่ องเจงกีสข่านและลูกหลานกบั แม่ทพั นายกองของทา่ น นัก
ยุทธศาสตร์ที่ประสบผลสำเร็จย่อมจะไม่ฝ่าฝืนหลักการสงคราม ผู้ชนะสงครามจะสนใจและไม่ละเลยต่อหลักการ
สงคราม
การสงครามในสมยั โปเลียน โบนาปารต์
ประวัติ นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) หรือจักรพรรดินโปเลียนมหาราช
เป็นชนชาติฝรั่งเศส เกิดที่เมืองอาจักซิโอ (Ajaccio) เกาะคอร์ซิกา (Corsica) ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันท่ี 15 สิงหาคม
-65-
ค.ศ.1769 บิดาเป็นนักกฎหมาย ด้วยเหตุที่บิดามารดาของนโปเลียนยากจนมาก นโปเลียน จึงต้องเผชิญกับความ
ยากจนมาตัง้ แตเ่ ยาวว์ ยั แต่อาศัยท่ีมคี วามอดทนและมีมานะพากเพยี รดี จึงสามารถเข้ารบั การศึกษาทางวิชาการทหาร
ที่ เบรียง (Brienne) และต่อในโรงเรียนนายร้อยทหารบก ที่กรุงปารีส (The military academy of Paris) (ค.ศ.
1784) จนกระท่ังสำเร็จออกรับราชการ สอบได้ท่ี 42 ในจำนวนนกั เรียน 58 คน เปน็ นายทหารสญั ญาบัตร ยศร้อยตรี
เหล่าปืนใหญ่ ใน ค.ศ.1979 ในระหว่างเข้าศึกษาในโรงเรียนนายรอ้ ยทหารบก ตรงกับช่วงเวลาในการปฏิวตั ิใหญ่ใน
ฝรั่งเศส คณะปฏวิ ตั ไิ ด้ปลงพระชนมพ์ ระเจา้ หลุยส์ท่ี 16 กษัตริย์แห่งฝรง่ั เศส และพระนางแมรอ่ี ังตัวเนตพระราชินี เมื่อ
วันที่ 21 มกราคม ค.ศ.1792 ต่อจากนั้นก็ถึงยุคที่ฝรั่งเศสต้องเผชิญกับภาวะระส่ำระสายเนื่องจากการแก่งแย่งชิง
อำนาจกันเอง ทำให้ความมั่นคงของชาติเสื่อมลงไปทกุ ขณะ ด้วยเหตุนี้ฝรั่งเศสจึงถูกข้าศึกยกทพั มารุมโจมตีรอบด้าน
วาสนาของนโปเลียนได้มีโอกาสก้าวไปสูค่ วามรุง่ โรจน์ขึ้นในช่วงระยะเวลานี้เอง กล่าวคือ นโปเลียนได้รบั มอบอำนาจ
จากรัฐบาลฝรั่งเศส ขณะนั้นให้ยกกองทหารไปตีกองทหารอังกฤษที่ถือโอกาสเข้ายึดครองเมืองตูรอง (Toulon)
ในขณะทีฝ่ ร่ังเศสกำลังวนุ่ วายระสำ่ ระสายอยู่
ด้วยความปรีชาสามารถอันชาญฉลาด ประกอบด้วยความกล้าหาญอันเป็นคุณสมบัติประจำตัว
นโปเลยี นจึงสามารถเข้าตีเมอื งตูรองกลบั คืนมาสำเร็จ โดยสญู เสียกำลังทหารเพียงเล็กน้อย จงึ ได้ตอบแทนชัยชนะอัน
งดงามของนโปเลียนโดย เลื่อนยศให้นโปเลียนจากนายร้อยเป็นนายพลเลยทีเดียว นับเป็นการเลื่อนยศข้ามขั้นมาก
ที่สุด ซึ่งไม่เคยมีนายทหารคนใดเคยไดร้ บั มาก่อน นับเป็นก้าวแรกที่จะนำนโปเลียนไปสู่ความรุ่งโรจน์ต่อไปในโอกาส
ข้างหน้า
ต่อมานโปเลียนได้มีโอกาสแสดงฝมี ือให้เปน็ ท่ีประจกั ษ์ชัดถึงความสามารถของเขาทุกขณะ เริ่มตั้งแต่
การได้รับมอบให้เป็นผูป้ ราบปรามการกอ่ การจลาจลขน้ึ ในประเทศ และอาศัยที่นโปเลียนเป็นนายทหารปืนใหญ่ เขาจึง
ได้ใช้กลยุทธ์โดยนำเอาปืนใหญ่ไปจุกช่องไว้ตามถนนสายต่าง ๆ ที่จะไปยังสภาแห่งชาติ เพื่อป้องกัน มิให้ผู้ก่อการ
จลาจลบุกเข้าไปถึงสภาได้ หากยังขืนดื้อดึงและรุกล้ำเข้ามา นโปเลียนก็จะระดมยิงปืนใหญ่ออกไปทันที ด้วยอำนาจ
การยิงของปืนใหญ่ ทำให้นโปเลียนสามารถป้องกันและปราบปรามการจลาจลอย่างได้ผล ฝรั่งเศส จึงปลอดภัย
ความสามารถของนโปเลียนดงั กลา่ วทำให้เข้าไดร้ บั การแตง่ ต้ังในหน้าทีส่ ำคัญ ๆ ของชาติสูงขึ้น จนเป็นผบู้ ัญชาการเขต
ภายใน และเปน็ แมท่ ัพนำกองทัพฝรั่งเศสไปรบกบั ประเทศอิตาลี (ค.ศ.1796) ท้ัง ๆ ทมี่ ีอายุเพยี ง 25 ปเี ท่านั้นรบชนะ
เป็นผลให้ฝรั่งเศสได้รับดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำไรน์ (Rhine) ทั้งหมด นับเป็นชัยชนะอันสำคัญของนโปเลียน และชาว
ฝรั่งเศสได้ยกยอ่ งเชิดชนู โปเลยี นวา่ เป็นแมท่ พั ผ้ยู ิง่ ใหญ่ของฝรั่งเศส ยากทจี่ ะหาผู้ใดเปรียบเทยี บได้
ต่อมา นโปเลียนได้รับอนุญาตจากรัฐบาลฝรั่งเศสให้ยกกองทัพไปรบอียิปต์ (Egypt) ค.ศ.1798
และถือโอกาสเขา้ ตีเอาเมอื งต่าง ๆ ทผ่ี า่ นไปมาเป็นเมอื งขน้ึ ของฝรงั่ เศสไดเ้ ปน็ จำนวนมาก รวมท้งั เกาะมอลตา้ (Malta)
ซ่งึ ได้ใชเ้ ป็นฐานทัพทีด่ ีของฝรัง่ เศสแห่งหนึ่งด้วยเข้ายึดเมืองอเล็กซานเดรียและกรงุ ไคโร ไดเ้ ปน็ ผลสำเร็จวาสนาของน
โปเลียนได้รุ่งโรจนข์ ึ้นไปโดยลำดับ จนกระทั่งใน ค.ศ.1802 นโปเลียนได้รับแต่งตั้ง ให้เป็นกงสุล หรือหัวหน้ารัฐบาล
ปกครองประเทศฝรั่งเศสต่อไปตลอดชีวิต เพราะเห็นว่านโปเลียนได้สรา้ งความเจริญสูงสุดให้แก่ฝรั่งเศส ได้รับความ
นยิ มรกั ใคร่จากประชาชน ดังนัน้ ในท่สี ดุ นโปเลียนจงึ ประกาศตน เป็นพระเจ้าจักรพรรดิแหง่ ประเทศฝร่งั เศสเมอื่ ค.ศ.
1804 นโปเลียนมิใช่จะมีอำนาจวาสนาแต่ในประเทศฝรั่งเศสเท่านั้น หากแต่ยังได้แผ่ขยายอำนาจของตนออกไปใน
ประเทศใกลเ้ คียงดว้ ย เช่น สวสิ เซอรแ์ ลนดแ์ ละเยอรมนั อย่างไรกต็ าม ความปรารถนาของนโปเลยี นท่จี ะยกกองทัพไป
-66-
ตเี กาะองั กฤษน้นั ก็ยงั ไม่มที างจะสำเร็จลงได้ เพราะอังกฤษมกี องทัพเรือท่ีเข้มแขง็ กว่าฝรงั่ เศสเปน็ อันมาก นโปเลยี นจึง
ได้หันไปทำศึกกับออสเตรีย (Austria) ปรัสเซีย (prussia) และรัสเซีย (Russia) ต่อไปนโปเลยี นสร้างศัตรูไว้มากทำให้
ฝรงั่ เศสอยูไ่ มส่ งบ
วุฒิสภาฝรั่งเศสจึงได้ประชุมหารือและตกลงตัดสินใจ เมื่อวันท่ี 3 เมษายน ค.ศ.1814 ประกาศให้
นโปเลียนออกจากราชบัลลังก์ พร้อมกับประกาศแต่งตั้งรัฐบาลฝรั่งเศสใหม่โดยมีตาเลรังค์ ผู้ซึ่ง นโปเลียนได้เคยชุบ
เลี้ยงมาและกลับเป็นผู้ทรยศต่อนโปเลียนเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลฝรั่งเศสแทน ซึ่งในขณะนั้นนโปเลียนได้คุมกำลัง
ทหารไปสู้รบป้องกันกรุงปารีสให้พ้นจากเงื้อมมือของข้าศึกที่ฟองเตนโปล (Fontainebleau) ห่างจาก
กรุงปารีสประมาณ 60 กิโลเมตร นโปเลียนเห็นว่าไม่มที างที่จะตอ่ สู้และขดั ขืนอีกต่อไป จึงได้ยอมสละราชสมบัติเมอ่ื
วันที่ 20 เมษายน 1814 ต่อมารัฐบาลได้นำตัว นโปเลียนไปปล่อยที่เกาะเอลบา (Elba) ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึง่
ของฝรั่งเศส และรัฐบาลได้ออกประกาศแต่งตั้งให้พระอนุชาของพระเจ้าหลุยส์ ท่ี 16 ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน โดยมี
พระนามวา่ พระเจา้ หลุยส์ที่ 18 ครองราชยบ์ ลั ลงั ก์
นโปเลยี นไดถ้ ูกปล่อยทเี่ กาะเอลบา ประมาณ 10 เดือน นโปเลียนไดล้ อบลงเรอื เล็กลำหน่งึ มาขนึ้ เกาะ
ที่ฝรั่งเศสอีกเมือ่ วันที่ 1 มีนาคม ค.ศ.1814 และนโปเลียนได้รวบรวมทหารประมาณ 900 คน เพื่อใช้เป็นกำลังขบั ไล่
รัฐบาลและกลับมามีอำนาจอีกต่อไป ทางรัฐบาลได้ส่ง จอมพล เนย์ ไปจับตัว นโปเลียน แต่ปรากฏว่า จอมพล เนย์
กลบั ใจเข้าข้างนโปเลยี น ยกกองทัพเข้ามากรุงปารีสเพือ่ ยึดอำนาจจากรัฐบาลฝรง่ั เศส ดงั นน้ั บรรดาประเทศต่าง ๆ ที่
เคยประกาศสงครามกับนโปเลยี น จงึ ได้ตกลงพร้อมกนั ท่ีจะสง่ กำลงั ทหารออกไปทำการสูร้ บกับนโปเลียนอกี
นโปเลียนได้แสดงบทบาทของขุนศึกต่อไปในการรบครั้งสำคัญระหว่างกองทัพนโปเ ลียน
กับกองทัพอังกฤษ ซึ่งมี จอมพล เวลลิงตัน (Wellington) เป็นแม่ทัพอังกฤษ มีกำลังพลถึง 8 หมื่นคน ตั้งอยู่ บนเนนิ
สงู ทเ่ี รียกว่า มองตแ์ ซงตจ์ อง (Mont st Jean) ใกลห้ มู่บ้านวอร์เตอร์ลู (Waterloo) ในขณะเดยี วกัน นโปเลียนมีกำลัง
น้อยกว่า คอื มเี พยี ง 6 หมน่ื คน วนั ท่ี 18 มิถนุ ายน ค.ศ.1815 ทำการสูร้ บอยา่ งกลา้ หาญ นโปเลยี นเห็นว่าไมม่ ีทางทจ่ี ะ
ทำการสู้รบเอาชัยชนะได้อกี ต่อไป จงึ ประกาศสละราชสมบตั ิ อกี คร้ังหนงึ่
วาสนาของนโปเลียนต้องถึงกาลอวสาน อังกฤษได้นำเอาตัวนโปเลียนไปปล่อยที่เกาะเซนต์ เฮเลน
(Saint Helena) เมื่อวันท่ี 15 ตุลาคม ค.ศ.1815 และนโปเลียนมีชีวิตอยู่ในเกาะนั้นประมาณ 6 ปี จึงได้สิ้นพระชนม์
เม่ือวันท่ี 8 พฤษภาคม ค.ศ.1821 มีพระชนมายไุ ด้ 51 ปี 8 เดอื น 20 วันพอดี
1. การยทุ ธท่อี ูลม์ (Ulm)
การยุทธครั้งน้ีเกิดข้ึนเมื่อกันยายน-ตุลาคม ค.ศ.1805 ระหว่างฝ่ายฝร่ังเศส ฮอลแลนด์ สเปน อิตาลี
และบาวาเรยี (Bavaria) กบั ฝา่ ยพันธมติ รมี องั กฤษ ออสเตรยี รสั เซยี สวเี ดน และเนเบลิ เมอื ง อูลม์ อยรู่ ิมแมน่ ้ำดานบู
(Danube)ในเยอรมนเี หนอื สวิตเซอร์แลนดเ์ ล็กน้อย
ฝ่ายพันธมิตรมีกำลังของออสเตรียในอิตาลี ในบังคับบัญชาของ อาร์ซดยุค ชาร์ลส์ (Archduke
Charles) 95,000 คน ในบงั คับบญั ชาของ อารซ์ ดยคุ จอหน์ (Archduke John) 33,000 คน และในเยอรมัน มกี ำลัง
ในบงั คับบัญชาของ นายพลคาร์ลแมค (Kaelmack) 55,000 คน นอกจากน้ี ยังมกี ำลงั ของรสั เซียซงึ่ เปน็ พันธมิตรอีก 2
กองทัพ กองทัพที่ 1 มี 55,000 คน ในบังคับบัญชาของนายพลคูตูซอฟ (Kutusov) กองทัพท่ี 2 มี 40,000 คน ใน
บังคับบัญชาของ นายพลบุกซ์เฮาเดน (Buxhowden) นโปเลียนรวมพลได้ทั้งหมดถึง 219,000 คน นับว่ามากที่สุด
-67-
เท่าที่เคยมี กำลังของนโปเลียน ได้เคลื่อนที่อยา่ งรวดเร็วไปถึงแม่น้ำไรน์ (Rhine) เมื่อ 24 กันยายน และแม่น้ำดานบู
(Danube) ใน 7 ตลุ าคม ซึ่งนายพลแมค (Mack) คาดไมถ่ ึงวา่ จะไปไดเ้ รว็ ขนาดนน้ั นโปเลียนมุ่งเข้าจัดการกับกองทัพ
นายพลแมค (Mack) ให้พ่ายไปเสียก่อนโดยเร็ว ก่อนที่กองทัพรัสเซียจะเคลื่อนกำลังมาสมทบได้ทัน โดยส่งกองทพั
น้อย ของจอมพลแบร์นาดอต (Bernadotte) และ จอมพลดาวูต์ (Davout) ไปขัดขวางกองทัพรัสเซียทางเมืองมูนิค
(Munich) ส่วนทางดา้ นอิตาลนี ้นั ได้ใหก้ องทัพของจอมพลมาสเซนา (Massena) มีกำลงั 50,000 คน ทำการตรึงกำลัง
ของอารซ์ ดยคุ ชารล์ ส์ ไว้ก่อน
กำลังส่วนใหญ่ของนโปเลียนทำการข้ามแม่น้ำไรน์ ด้วยกว้างด้านหน้าถึง 200 กม.
แล้วมุ่งสู่แม่น้ำดานูบ เพื่อตลบหลังกำลังของนายพลแมค ที่เมืองอูล์ม (Ulm) กำลังอีกส่วนหนึ่งเข้าตีลวง ผ่านป่าดำ
(Black Forest) ทางใต้ นโปเลยี นขา้ มแมน่ ำ้ ดานบู ใน 7 ตุลาคม ด้วยกวา้ งด้านหนา้ 60 กม. เพื่อเข้าตลบหลงั ล้อมเมือง
อลู ม์ ใน 10 ตลุ าคม นายพลแมคได้สง่ กองทัพน้อยไปต้านทานฝรั่งเศสท่ีหน้าเมืองอูลม์ ทางทิศตะวนั ออก แต่ถูกกำลัง
ส่วนหน้าของฝรั่งเศสตีแตกไป กำลังส่วนใหญข่ องฝรั่งเศสเริ่มปะทะกับกำลังของ นายพลแมคใน 14 ตุลาคม แล้วใน
15 ตุลาคม นโปเลียนก็เข้าล้อมเมืองอลู ์มไดส้ ำเร็จ ตกบ่าย 17 ตุลาคม กำลัง 27,000 คน ของกองทัพแมคก็ยอมแพ้ มี
กำลงั บางสว่ นหนเี ล็ดลอดออกไปได้ แตก่ ถ็ กู ตามจบั เป็นเชลยหนีไปไมร่ อด
สรุปผลการยุทธที่อูล์มนี้ นโปเลียนดำเนินกลยุทธ์โดยการโอบกว้างเข้าตลบหลังข้าศึกด้วยกำลัง
สว่ นใหญ่ ใชก้ ำลงั สว่ นน้อยทำการเข้าตีลวง และสง่ กำลังอีกส่วนหนึ่งไปขัดขวางกองทัพรัสเซียไว้ นบั เป็นการยุทธครั้ง
สำคญั ครงั้ หน่ึงของนโปเลียนที่สามารถดำเนนิ การยุทธเอาชนะข้าศึกได้อย่างงดงาม
2. การยทุ ธทีอ่ อสเตอลติ ซ์ (Austerlitz)
การยุทธที่ออสเตอลิตซ์ (Austerlitz) (ค.ศ.1805) แคว้น Moravia austria (ปัจจุบันเป็นเมือง
Slavkov ในเชกโกสโลวเกยี (Czechoslo vakia) ใกลเ้ มือง Brunn เป็นการยทุ ธตดิ พันกับการยุทธที่อูลม์ (Ulm) เมื่อน
โปเลยี นเอาชนะกองทัพออสเตรยี ท้ังหมดได้แลว้ กร็ ุกเขา้ หากรุงเวียนนา (Vienna) อย่างเรง่ รบี เพื่อตดิ ตามกองทัพของ
นายพลคูตูซอฟ (Kutusov) แต่ก็ไม่สามารถทำลายกองระวงั หลังของรัสเซียได้ กำลังส่วนหน้าของ นโปเลียนเข้ากรงุ
เวียนนา (Vienna) เมื่อ 13 พฤศจิกายน 1805 กำลังทั้งสองฝ่ายได้เคลื่อนเข้าหากันและวางกำลังทางตะวันตกของ
เมืองออสเตอลติ ซ์ เมือ่ 1 ธันวาคม 1805 ดังน้ี
ฝ่ายฝรั่งเศส
ทางปีกซ้ายสุดมีกองพล ร.ซูเซต์ (Suchet) ซึ่งมีกองพล ร.คาฟฟาเรลลี (Caffarelli) อยู่ข้างหลัง
ถัดลงไปอีกเป็นกองทัพน้อยที่ 1 แบร์นาดอตต์ (Bernadotte) 12,000 คน วางกำลังคร่อมถนนไป สู่เมืองบรืนน์
(Brunn) และกองพลถัดมาทางขวา มีกองพล ร.อดู โิ นต์ (Oudinot) 6,000 คน กองทพั น้อยที่ 5 ลานส์ (Lannes) กอง
ทหาร รอ.เบสซิล (Bessieres) 5,300 คน กองทหารม้ามูร่าห์ (Murat) 5,500 คน กองทัพน้อยที่ 4 ซูลต์ (Soult)
17,000 คน ประกอบด้วยกองพล ร.วานดามม์ (Vandamme) และกองพล ร.ฮลิ แลร์ (Hilaire) ทางขวาสุดมีกองพล ร.
เลอกรองด์ (Legrond) 9,000 คน ทำการป้องกันท่าข้ามโซโกลนิตซ์ (Sokolnitz) และ เตลนิตซ์ (Tellnitz) และ
กองทัพนอ้ ย ดาวูต์ (Davout) 8,000 คน กำลงั ทั้งหมด ของนโปเลียน 74,800 คน
-68-
ฝ่ายพนั ธมิตร
กำลังของดอคตูรอฟ (Docturov) 8,500 คน อยู่ทางปีกซ้าย ถัดไปทางขวาและซ้อนกันทางลึก
แลนกิรอน (Langeron) 11,600 คน กองพล ม.ของ ลิชเทน สเตนทิน ( Lichtenstein ) 4,600 คน กองทัพน้อย
Prcshibitschewski 13,800 คน กองทัพน้อยโกลโลวลาท (Kollowrat) 25,400 คน ทหาร ร.อ.คอนสเตนทิน
(Constantine) 8,500 คน และกองทพั นอ้ ยแบกราตัน (Bagration) 13,000 คน ทางขวาสุดของขบวนกำลังของฝ่าย
พันธมติ ร รวมแลว้ 85,400 คน
การรบได้เริ่มขึ้นเมื่อกำลังของ Docturov และ Langeron เคลื่อนที่ไปยึดท่าข้าม Tellnit
และ Sololnit ในตอนเชา้ ของ 2 ธนั วาคม ปรากฎว่ากองพลเลอกรองค์กบั กองทัพน้อยท่ี 3ของดาวูต์ (Davout) ซึง่ เพง่ิ
เคลอื่ นย้ายจาก Raigern มาถึงชว่ ยกนั ตรงึ กำลงั ของพันธมิตรไว้ท่ีท่าข้ามท้งั สองแห่งได้เมอ่ื เวลา 09.30 น. ทีเ่ นิน พรา
เซ่น (Pratzen) ย่านกลางของแนวรบ กองทัพน้อยท่ี 4 ของ ซูลต์ (Soult) ได้ส่งกำลัง เข้ายึดไว้ แต่โดนกำลังของ
Kollowrat ล้อมตรงึ อย่ทู ี่ชายเนนิ ขณะเดียวกันทางใตข้ องถนน Olmutz กำลงั ของแบรน์ าดอตตแ์ ละบูร่า ได้ปะทะกับ
กำลงั ของคอนสแตนติน (Constantine) ซึ่งมที หารม้าลซิ เซน่ สไตน์ อยู่ทางขวา การสู้รบได้ดำเนินไปอยา่ งรุนแรง โดยมี
กำลังของคาฟฟาเรลลี เข้าตีช่วยบ้างด้านขวาของข้าศึก ด้วยทำให้ฝ่ายรัสเซียต้องถอยเข้าหาเมือง Krzenowitz เม่ือ
11.00 น.
ระหว่างเวลา 09.00-10.00 น. กำลังของ Bagration ได้รุกมาตามถนนโอลมูตซ์ (Olmutz)
ไปสู่เมืองบรืนส์ (Brunn) จึงปะทะกับกำลังของกองทัพน้อยลานซ์ซึ่งรุกมาข้างหน้าเหมือนกันการสู้รบได้ดำเนินไป
จนถึงเวลา 12.00 น. ฝ่ายพันธมิตรพยายามที่จะแย่งยดึ เอาเนิน Pratzen มาให้ได้ แต่ผลที่สุดก็ต้องถูกกำลังของซูลต์
ตีแตกกลับไปอย่างยับเยิน ถอยเข้าหาเมือง Krzenowitz ทางด้านกลางตรงปีกของ กอง ทัพ น ้อ ย
แบร์นาดอตต์ เมื่อไดร้ บั การเพิ่มเติมกำลังแล้ว ได้เขา้ ตีกองหนนุ ของนายพลคูตูซอฟ ท่ีสง่ มาช่วยลา่ ถอยกลับไป ฉะน้ัน
แนวรบฝา่ ยพนั ธมิตรตรงกลางจึงถกู เจาะ
ในตอนน้ีกำลังของคอนสแตนตีนเริ่มถอนตวั และเมื่อ 17.00-18.00 น. Bagration กต็ อ้ งถอยเข้าหา
เมืองออสเตอลิตซ์ เพราะถูกโอบโดยกองพลทหารม้า Nansouty เมอ่ื เห็นวา่ สถานการณข์ องแนวรบตอนกลางเป็นฝ่าย
ได้เปรียบนโปเลียนจึงให้กองทัพน้อยของซูลต์ไปช่วยโอบล้อมกำลังของ Docturov, Langeron และ
Prschibitschewski ทางปกี ซ้ายของฝ่ายพันธมิตร หลงั จากท่ียึดเนนิ Pratzen ไดแ้ ล้ว กำลังทางปกี ซ้ายฝ่ายพันธมิตร
เหลา่ นีจ้ ึงต้องถกู ล้อมตัดเส้นทางถอยดว้ ยกำลัง 5 กองพล แมน่ ้ำ ลำธาร และหนองนำ้
การรบตลอดวันที่ผ่านมา ทำให้ฝ่ายพนั ธมิตรบาดเจ็บลม้ ตายเปน็ อันมากจักรพรรดอิ อสเตรียจึงได้ส่ง
นายทหารมาติดต่อขอเจรจายุติการรบ ตอน 04.00 น. วันที่ 3 ธันวาคม แต่ถูกนโปเลียนปฏิเสธ และขอเลื่อนไปเป็น
วันที่ 4 โดยหลังจากที่จะส่งกำลังไล่ตดิ ตามขา้ ศึกใหท้ ันเสียกอ่ น ซึ่งไม่เป็นผล ข้าศึกได้ถอยหนีไปได้ โดยปลอดภัย ใน
ตอนบ่ายวนั ท่ี 4 จงึ ได้มกี ารเจรจาสงบศกึ ทีก่ องบญั ชาการของนโปเลียน การรบไดย้ ตุ ิลง และมีการทำสัญญาสันติภาพ
กันต่อมาทเี่ ปรสบรกู (Pressburg)
การยุทธที่ออสเตอร์ลิตซ์นี้ เป็นการยุทธที่โด่งดังการยุทธหนึ่งของนโปเลียน การที่พระองค์สามารถ
ดำเนนิ กลยทุ ธ์ได้อย่างชาญฉลาด นโปเลียนไมไ่ ดเ้ ขา้ ยึดเนนิ Pratzen แต่แรก เพราะจะทำให้ข้าศึกม่งุ ทำการเข้าตีแย่ง
ยดึ เนินน้ี ซ่งึ เปน็ การเข้าตตี รงหนา้ ผลการรบจะไม่เดด็ ขาดเทา่ กบั การลวงให้ขา้ ศกึ ส่งกำลังเข้าเจาะแนวทางปกี ขวาของ
-69-
ตน ที่มีกำลังยดึ รกั ษาท่าข้ามอยู่เพยี งหนึง่ กองพล เพ่อื ทจี่ ะโอบลอ้ มกำลังส่วนใหญ่ตรงกลางของนโปเลียน ครั้นแล้วน
โปเลียนจึงส่งกำลังข้ึนยึดเนิน Pratzen ภายหลัง ซึ่งทุกอย่างได้เปน็ ไปตามแผน กำลังนโปเลียน 9 กองพลทางด้านนี้
สามารถโอบล้อมกำลังของฝ่ายพันธมิตรไวไ้ ด้ทั้งหมด การรบตอนกลางและทางปกี ซ้ายของแนวก็สามารถเข้าตีให้ฝ่าย
พันธมิตรต้องถอยร่นไปหมดสิ้น ไม่อาจต้านทานได้ เพราะกำลังส่วนใหญ่ถูกส่งไปถูกล้อมเสียทางด้านซ้าย ฝ่าย
พันธมิตรเสียชีวิตและบาดเจ็บ 15,000 คน ถูกจบั เป็นเชลย 20,000 คน ในการยุทธครง้ั นี้
3. การยุทธท่วี ากราม (Wagram)
การยุทธครั้งนี้เป็นการยุทธที่ วากราม (Wagram) ค.ศ.1809 ใช้กำลังมากเป็นพิเศษ ฝ่ายฝรั่งเศส
มีกำลังถึง 188,000 คน เป็นกำลังรบที่เข้าปฏิบัติการ 165,000 คน ปืนใหญ่ 488 กระบอกฝ่ายออสเตรีย มีกำลัง
158,000 คน ใช้ปฏิบัติการจริง 137,000 คน ปืนใหญ่ 446 กระบอก น้อยกว่าของนโปเลียนเล็กน้อย กำลังของฝา่ ย
ออสเตรียวางกระจายกันอยู่จากแนวแมน่ ำ้ ดานบู (Danube) ผา่ นลาดเนินทิศใต้ วากรามยาว 15 - 20 ไมล์
การรบได้เริ่มขึ้นตอนเช้ามืด 6 กรกฎาคม 1809 โดยออสเตรียใช้กำลัง ทน.6 เคลเนา กับ ทน.3
โคลโลวแรต เขา้ ตีปกี ซา้ ยของฝรัง่ เศส ท่ี ทน.4 มาสเซนา วางกำลังต้งั รับเปน็ แนวบาง ๆ อยู่ กำลงั ส่วนใหญ่ ของมาส
เซนาต้องถอยขึน้ ไปทางเหนือ และ พล.ร.บูเดต์ (Boudet) ถูก ทน.โคลโลวแรต ตีตัดขาดจากกำลังส่วนใหญ่ ต้องถอย
หนีไปทางใต้ของเมืองแอสเบิร์น (Aspern) เมื่อจวนละ 10.00 น. ทน.6 เคลเนา ก็ได้เข้ายึดเมือง
แอสเบิร์น และเอสสลงิ (Essling) ไว้
ทางปีกขวาของฝรั่งเศส นโปเลียนได้ให้ พล.ม.มองบรืนและกรูซี เข้าตีโอบปีกซ้ายของ ทน.4
โรเซนเบิร์ก พร้อมกันนั้นได้ให้ ทน.3 ดาวูต์ เข้าตีทางปีกขวาและตรงกลางของ ทน.4 โรเซนเบิอร์กด้วย สามารถยัน
กำลังของดาวูต์ไวไ้ ด้ แตต่ รงกลางต้องถอยไปข้างหลงั ทางเหนอื ทำใหเ้ กดิ ช่องโหว่ระหว่าง ทน.4 โรเซนเบิอร์ก กบั ทน.
2 โฮเฮนโซลเลิรน์ แนวของ ทน.4 โรเซนเบอิ ร์กในตอนน้ี จึงหักต้ังฉากไปทางเหนือกับแนวของ ทน.2 โฮเฮนโซลเลิร์น
นโปเลียนไดส้ ่งั ใหก้ องพลทหารมา้ 3 กองพล ที่รกุ ทางปีกขวานัน้ ในบังคบั บญั ชาของดาวูตท์ ำการรุกไลข่ า้ ศกึ ตอ่ ไป
การเข้าตีของ ทน.แมคโดแนลด์ ได้ถูกข้าศึกระดมยิงด้วยปืนใหญ่อย่างหนัก และล้มตายลงจำนวน
มาก แต่ก็ยังคงบุกตะลุยต่อไป จนกระทั่งไปไม่ได้แล้วจึงหยุดลงเมื่อ 13.30 น. นโปเลียนจึงส่งกองพลทหารรักษา
พระองค์ไปเข้าตีช่วยแมคโดแนลด์ ถึงขั้นตะลุมบอนกันกับข้าศึก แล้วแมคโดแนลด์ก็กลับเริ่มเข้าตีต่อไปอีกจนแนว
ตอนกลางของออสเตรียแตก ลิซเตนสไตน์ต้องสู้พลางถอยพลาง พอถึงเวลา 15.00 น. ฝ่าย ออสเตรีย ก็ได้ถอยออก
จากแนวที่มน่ั ก่อนท่ีจะถกู ทำลาย ฝรัง่ เศสไดไ้ ลต่ ิดตามไปอกี เลก็ นอ้ ยไมไ่ กลนกั เพราะทหาร บอบซ้ำและทรุดโทรมมาก
เมื่อ 22.00 น. วันที่ 6 กรกฎาคม 1809 การยุทธที่วากรามก็ได้ยุติลง โดย มาสเซนา รุกเข้ายึดแนว
โลรสิ ดอร์-เลโอโปลเดา (Leopoldau) แมคโดแนลดก์ บั แบร์นาดอตต์ ยึดได้เกรัสเดอร์ฟ อดู ิโนต์กับดาวูต์ ยดึ ไดแ้ นววา
กราม-เฮลมาฮอฟ-บอคฟรสู ส์ ฝ่ายออสเตรยี เสียทหารไปประมาณ 3,600 คน รวม 2 เท่า ของฝรัง่ เศส
การยุทธของนโปเลียนที่นำชัยชนะมาสู่พระองค์ในการยุทธที่วากรามน้ี เป็นการตัดสินพระทัย
วางน้ำหนักการเข้าตีตรงหน้า ตอนกลาง ของแนวรบข้าศึกได้เป็นการถูกต้องเหมาะสม ทั้งนี้ หลังจากที่ทางปีกขวา
กำลังของฝรั่งเศสสามารถทำการรกุ ไล่ได้เปรียบข้าศึกอยู่ ไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วง ส่วนทางปีกซ้ายก็ได้ให้กำลังตรึง
ข้าศึกไว้ได้แล้ว การพิจารณาตกลงพระทัยแก้ไขสถานการณ์รบ โดยส่งกองพลทหารรักษาพระองค์ไปช่วยเขา้ ตีข้าศกึ
ต่อไป ขณะที่ ทน.แมคโดแนลด์ หมดกำลังลงน้ัน ก็นับว่าพระองค์ทรงมวี จิ ารณญาณที่รอบคอบ สุขุม และพระปรีชา
-70-
สามารถ สมกับทรงเป็นผู้นำทัพอย่างยิ่ง หากพระองค์ไม่ทรงตัดสินพระทัยเช่นนั้น สถานการณ์อาจจะกลับจากการ
ไดเ้ ปรียบเป็นเสียเปรยี บโดยทันทกี ไ็ ด้ เพราะ ทน.แมคโดแนลดอ์ อ่ นกำลัง พร้อมท่จี ะถกู ตีโต้ตอบและกลับเป็นฝ่ายถอย
เสียเอง
4. การยทุ ธที่วอร์เตอรล์ ู (Waterloo)
การยุทธที่วอร์เตอร์ลู (Waterloo) (ค.ศ.1815) เป็นการยุทธครั้งสุดท้ายท่ีจบชีวิตการทำสงคราม
ของพระองค์ลงอย่างเศร้าสลด โดยที่ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อังกฤษ กับปรัสเซียอย่างยับเยิน และนโปเลียน ไม่มี
โอกาสจะกลบั มาแก้ตัวอกี แล้ว เนอื่ งจากไดส้ นิ้ ประชนมท์ ี่เกาะเซนตเ์ ฮเลนา (St. Helena) อีก 6 ปตี อ่ มา
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้นโปเลียนต้องพ่ายแพ้ยับเยินในการยุทธครั้งน้ี ก็คือลักษณะภูมิ
ประเทศและสภาพลมฟ้าอากาศ เอื้ออำนวยแก่การตั้งรับของฝ่ายอังกฤษ และเป็นอุปสรรคแก่การเข้าตีของฝรัง่ เศส
กำลังต้ังรบั ของอังกฤษจึงสามารถทำลายกำลังของฝรั่งเศสจนสบั สนอลหมา่ นและล่าถอยกลับฝร่ังเศส อยา่ งสน้ิ หวัง
4.1 การวางกำลัง
กองทัพอังกฤษ - กำลัง 68,000 คน ประกอบด้วย 3 ทน. และ 1 พลน้อย ม. ทำการตั้งรับในที่มัน่
กองทัพปรัสเซีย - กำลง 90,000 คน ประกอบด้วย 4 ทน. อยู่ที่เมืองวาวร์ (Wavre) และแม่น้ำดีล (Dyle) จะมาช่วย
องั กฤษเมือ่ ถูกโจมตี
กองทัพฝรงั่ เศส - กำลัง 72,000 คน (ไม่รวมถึงกำลงั ของกรซู ี (Grouchy) ซ่งึ กำลังไลต่ ิดตามกองทัพป
รสั เซียของแมท่ พั บลแู ชร์ (Blucher) อยู่ และขาดการติดตอ่ กับกำลงั ของฝรงั่ เศส) ประกอบด้วยทน.1, 2 และ 6 กับ 2
พล.ม. 3 พล.ร.รักษาพระองค์ และ พล ม.รกั ษาพระองค์ เกรนาเดียร์ (Gralnadial) และทหารม้าดรากูน (Dragoons)
กำลงั ของฝร่งั เศสตง้ั เผชญิ หนา้ กบั อังกฤษหนา้ ทม่ี นั่
4.2 แผนการรบ
นโปเลียน ไดพ้ จิ ารณาตกลงใจว่าจะเข้าตีลวงที่คฤหาสน์เดอรฮ์ ูโกมองต์ (De hougomont) กอ่ นแล้ว
จึงจะเข้าตีหลักตรงกลางเพื่อเจาะแนวให้ทีม่ ัน่ ดา้ นซ้ายและขวาขาดออกจากกัน และตีทางปีกซ้ายของข้าศึก เพื่อกัน
ไมใ่ ห้ปรัสเซียเข้าชว่ ยองั กฤษ
ฝ่ายอังกฤษ ตั้งใจจะยึดที่มั่นไว้ให้ได้นานที่สุดจนกว่ากำลังของบลูแชร์ (Blucher) จะมาช่วยเข้าตี
ทางขวาและทางหลังกำลงั ของฝร่ังเศส
4.3 การจัดรปู ขบวน
อังกฤษ แบง่ ที่มั่นออกเป็น 2 ดา้ น ด้านขวาใช้กำลัง 31 กองพนั ดา้ นซ้าย 24 กองพัน โดยมีถนนเป็น
เส้นแบ่งเขตแนวต่าง ๆ ซ่อนกำบังอยู่อยา่ งดีมองไม่เห็นข้างหลังทหารราบมีทหารม้าอยู่ทางซ้าย 17 กรม ทางขวา 9
กรม กองหนุนมี 12 พัน.ร. กับ 4-5 ร้อย.ม. อยู่ที่หมู่บ้านมองต์แซงต์จอง (Mont st. jean) ทางปีกขวาของที่มั่นมี
หน่วยอสิ ระหนว่ ยหนงึ่ ยึดอยู่
รูปขบวนในการเข้าตีของฝรั่งเศสนี้ ค่อนข้างจะซับซ้อนและรวมกำลังไว้แน่นหนาแออัดมาก
ประหนึ่งว่า นโปเลียนไม่ทราบสถานการณ์ดีพอ หรือสถานการณ์ยังไม่กระจ่างชัด จึงรวมกำลังไว้เป็นปึกแผ่นก่อน
สภาพอากาศในตอนน้นั ไม่ดี มฝี นตกใหญต่ ัง้ แต่ 17 มิถนุ ายน 1815 ทำให้พืน้ ดินและถนนเปน็ โคลนไปหมด นโปเลียน
จึงต้องรออย่จู นกระทงั่ เวลา 11.00 น. จงึ ไดเ้ ร่มิ ทำการเขา้ ตี
-71-
4.4 การยุทธ
การรบเปิดฉากขึ้นโดย ทน.2 เรลลี เข้าตีลวงต่อคฤหาสน์ตามแผนกลยุทธ์ของนโปเลียนแต่ เรลลีใช้
กำลงั มากเกินไปพยายามบุกข้ามเคร่ืองกีดขวางทีอ่ งั กฤษดัดแปลงไวอ้ ย่างแขง็ แรง ทำใหเ้ สยี กำลังไปมาก แต่ก็เข้ายึดที่
มัน่ ไมไ่ ด้ ขณะเดยี วกันนน้ั จอมพลเนย์ (Ney) ได้รวบรวมปนื ใหญ่ 80 กระบอก ระดมยิงทมี่ นั่ ของอังกฤษ เพอ่ื เตรยี มให้
ทน.1 เข้าตีตรงกลางและด้านซ้ายของที่มั่นข้าศึกพอถึงเวลา 12.00 น.ขณะที่นโปเลียนจะเริ่มเข้าตีตรงกลางและ
ด้านซ้ายของข้าศึก ก็เผอิญเห็นขบวนทหารโผล่ออกมาทางขวาของพระองค์ทาง ซังลามแบรต์ จึงได้สั่งให้ พล.ม.โด
มอนต์ และ พล.ม.ซูแบร์วี (Subervie) ซึ่งเป็นกองหนุนอยู่กลางขบวน เข้าตีไปทำการรั้งหน่วงไว้ ขบวนทหารที่นโป
เลียนเหน็ น้ี เป็นกำลัง 30,000 คน ทน.4ของบูโลว์ (Bulow) แมท่ พั ปรัสเซียเดินทางมาจากลิญ่ี (Liege) และจะเข้ารบ
ได้ในเวลา 1-2 ชม.
ครั้งเวลา 13.00 น. นโปเลียนก็ได้รับสั่งให้จอมพลเนย์ (Ney) ทำการเข้าตี จอมพลเนย์จัดให้ ทน.1
เดอเออลอน เข้าตีด้วยกำลัง 4 กองพล กองพลละขบวนแต่ละกองพลจัดแถวกว้างและลึกจากการยิงของปืนใหญ่
ขณะท่ีทหารในแนวหน้าเทา่ นน้ั ท่จี ะสู้รบได้
พล.ร.1 Durvtte ได้รุกเข้าหาหมู่บ้านปาเปลอตต์ (Papelotte) และลาเฮย์ (Lahaye) พล.ร.2 และ 3
รุกไปยังถนนโอเอง (Oang) ส่วน พล.ร.4 แยกกำลงั ไปยังลาเฮยแ์ ซงต์ (Lahryesainte) 1 ขบวนกบั ตรงกลางท่มี น่ั ตง้ั รับ
อีก 1 ขบวน ท่ีหมายเข้าตีเหล่านีล้ ว้ นแตเ่ ป็นทมี่ ัน่ ดัดแปลงไว้อยา่ งแขง็ แรงทง้ั น้นั ปนื ใหญท่ ำการยงิ นำทหารราบท่ีเข้าตี
และ ทน.ม.มลิ โฮด์ (Milhaud) กเ็ คลือ่ นท่ีตาม ทน.1 ไปด้วย
ทหารฝร่ังเศสเคลื่อนทีเ่ ข้าหาท่ีมน่ั ทหารอังกฤษอย่างกล้าหาญ ทง้ั ๆ ทีภ่ มู ิประเทศและรปู ขบวนเข้าตี
ไม่อำนวย ปืนใหญ่หน่วยหนึ่งรีบเคลื่อนย้ายไปช่วยทหารราบ ต้องติดหล่มจมโคลนอยูใ่ นห้วย ทหารม้าองั กฤษ 1 พล.
น้อย จึงเข้าตะลุมบอน ทำให้ทหารปืนใหญ่หน่วยนั้นแตกหนีกระจัดกระจาย เป็นผลให้ทหารราบต้องหยุดการรุกลง
ด้วย ฝรั่งเศสได้แก้ไขสถานการณ์โดยให้ พล.ม.มิลโฮด์ เข้าประจัญบานกับทหารม้าอังกฤษ ตรงหน้า และ พล.ม.จัคคิ
โนต์ เข้าตีตลบหลัง ทหารม้าองั กฤษเสียทลี ม้ ตายเกอื บหมดกองพล ขณะที่ฝร่ังเศสก็เสียหายไมน่ ้อย
ทน.1 D’ Erlon ไม่สามารถทำการเข้าตใี ห้พรอ้ มเพรยี งกันไดต้ ่อไป พล.ร.ตรงกลาง รุกล้ำหน้าหน่วย
อื่นขึ้นไปบนที่มั่น และขับไล่แนวป้องกันข้างหน้าไปได้ แต่แล้วก็ถูกแนวป้องกันท่ี 2 ซึ่งซ่อนกำบังอยู่โอบล้อมอย่างจู่
โจม ทหารฝรั่งเศสถูกยิงล้มตายระเนระนาด จนต้องถอยหลังลงมาข้างล่าง การรุกทุกด้านได้หยุดชะงักลง ขณะท่ี
ทหารปรัสเซียได้มาเพิม่ กำลงั มากข้ึนเรือ่ ย ๆ นโปเลียนจงึ ให้ ทน.6 โลบาว (Lobal) ไปตา้ นทานไว้ข้างหนา้ ปลางซีนัวต์
( Plancenoit) เพือ่ ปอ้ งกันปีกขวาของฝรั่งเศส เสน้ ทางส่งกำลงั บำรงุ และเส้นทางถอย สถานการณ์ 3 ชม.แรกของการ
รบ ได้เป็นไปตามทีก่ ลา่ วมานี้
พอถงึ เวลา 15.00 น. จอมพลเนย์ไดป้ รับรูปขบวนการเขา้ ตใี หม่ ทางฝ่ายองั กฤษเหน็ ว่าฝรั่งเศสทมุ่
นำ้ หนักการเขา้ ตที ีต่ รงกลางและด้านซ้ายของท่ีมนั่ จงึ ย้ายเอากำลงั 20 พนั .ร. จากด้านขวามาเสรมิ ในการเข้าตีช่วงท่ี 2
ทน.1 เดอเออลอง ทำการรกุ ไปเขา้ ตีลาเฮย์แซงต์และปาเปลอตต์ ได้ ทน.2 ทำการเขา้ ตีคฤหาสน์ต่อไป แตก่ ็ตไี ม่ได้
ทหารเสียชวี ิตไปเป็นอนั มาก นโปเลียนจงึ ให้ปนื ใหญร่ ะดมยิง เผาคฤหาสนท์ ้ิงเสีย การรบทางด้านนี้จึงเปน็ การยงิ ใสก่ ัน
ด้วยปืนใหญ่ ส่วนทางด้านหลงั ของขบวนรกุ ของฝร่งั เศส ทน.6 ของโลบาวไดถ้ ูกกำลงั ของฟอนบโู ลว์ (Bulow) เข้าตีจน
ต้องถอยออกมา นโปเลยี นจงึ สง่ พล.รกั ษาพระองค์ไปช่วย 1กองพล ทำใหส้ ามารถตา้ นทานทหารปรสั เซยี ไวไ้ ด้เม่ือ
-72-
เวลา 17.00 น. ฝร่ังเศสสามารถยึดพืน้ ท่เี ข้าตบี างสว่ นไว้ได้ และสามารถขับไล่ทหารองั กฤษท่ีพยายามตีโตต้ อบกลับไป
ได้ นโปเลียนไดเ้ รง่ เข้าตที ีม่ ั่นองั กฤษ ให้เปน็ ผลสำเร็จก่อนที่ ทน.อื่น ๆ ของ บลแู ซรจ์ ะมาถงึ พระองคไ์ ดใ้ ห้ พล.ม.มิล
โฮด์ บุกขึ้นไปบนเนนิ สงู เปน็ การชว่ ยการเขา้ ตีของจอมพลเนย์ ทหารม้าเกอื บท้ังหมดทกี่ องทพั นอ้ ยมีอยู่ ได้เข้าตอี ยา่ ง
รนุ แรง จนแนวหน้าขององั กฤษแตก แตแ่ ลว้ ก็ถูกแนวหนนุ กับแนวหน้าท่ถี อยร่นไปยงิ ต่อสู้อยา่ งทรหด จน ทน.ม.มิล
โฮดต์ ้องถอยกลบั มารวมพลจดั รปู ขบวนใหม่ ท่ามกลางการระดมยงิ ของทหารองั กฤษ
ครน้ั นโปเลียนได้ทราบเหตกุ ารณ์ดังกล่าว จงึ ส่ง ทน.ม.เคลเลอมานน์ ข้นึ ไปชว่ ยทน.ม.มิลโฮด์ โดยมี
พล.ม.รักษาพระองค์ตามไปเป็นกองหนุน แต่กลับขึ้นไปถึงแนวรบหน้า และเข้ารบกับเขาด้วย ทหารม้า ฝรั่งเศส
ประมาณ 10,000 คน ได้เข้าประจัญบานกับทหารอังกฤษจนแตกกระจายไป อังกฤษเสียปืนใหญไ่ ป 60 กระบอก แต่
ทหารม้าฝรง่ั เศสกล็ ม้ ตายเปน็ จำนวนมากและยึดพืน้ ท่ไี มไ่ ด้ เพราะไม่มที หารราบ
ระหว่างนี้ ทหารปรัสเซียได้เข้ามาเพิ่มมากขึ้นทุกที ทางซังต์ลามแบร์ต 2 ทน. กับทางถนนโอเอง
1 ทน. รวมเป็น 90,000 คน เมื่อรวมกับทหารอังกฤษ 68,000 คน (ยังไม่ได้หักที่สูญเสีย) จึงเป็น 158,000 คน
มากกว่าทหารฝร่งั เศสมากมาย แต่ถงึ กระน้ันนโปเลียนกไ็ ม่ย่อทอ้ พยายามจะนำกองพลรกั ษาพระองคเ์ ข้าประจัญบาน
ด้วยพระองค์เอง แต่จอมพลเนย์ได้รบั อาสานำกำลังเข้าประจัญบานเองโดยพุ่งเข้าตะลุมบอนตรงกลางแนวต้ังรับบน
เนินของอังกฤษทหารรักษาพระองค์ได้รุกฝ่ากระสนุ ที่ยิงกราดลงมาข้ึนเนินไปด้วยความกล้าหาญ จนเข้าไปใกลท้ หาร
อังกฤษ 50 เมตร จะเข้าตะลุมบอน ทหารอังกฤษได้ระดมยิงอย่างหนักตลอดแนว ทำให้ทหารรักษาพระองค์ตาย
เกลื่อนจนต้องถอยกลับไปรวมกำลงั ใหม่ แล้วเข้าประจัญบานเป็นโอกาสสุดท้าย คราวนี้ต้องล้มตายเกือบหมดทั้งกอง
พล ข่าวการแตกพา่ ยเข้าตไี มส่ ำเร็จของกองพลรักษาพระองคท์ ีเ่ กง่ ฉกาจไม่มหี นว่ ยไหนเทียบเท่า ได้ทำใหข้ วัญทหารใน
กองทัพฝรั่งเศสเสยี ไปทวั่
ขณะนี้กองทัพฝรั่งเศสได้รุกทะลวงเข้ามาตรงปีกรอบต่อของ ทน.1 เดลเออลอน กับ ทน.6
โลบาว ประกอบกับทหารรักษาพระองค์ก็แตกถอยไปแล้ว เวลลิงตัน แม่ทัพอังกฤษจึงให้กองทัพของตนทำการรุก
ตลอดแนวเข้าตีเอาพ้ืนท่ีซ่ึงถูกยึดไปกลับคืน ฝา่ ยฝร่ังเศสเสียกำลังใจอยู่แล้ว จงึ ถูกตแี ตกไม่เป็นขบวน ตอ้ งแตกกระจาย
ถอยลงมาเรอ่ื ย ๆ เหลอื แตท่ หารรักษาพระองคเ์ ท่านนั้ ทีย่ อมสู้ตาย แตก่ ถ็ กู ทหารองั กฤษบดขย้ีละลายไป ฝ่ายอังกฤษ
ได้ไล่ติดตามทหารฝรั่งเศสที่ถอยอย่างไมล่ ดละ จนในที่สุดทหารราบ ทหารม้า และทหารปืนใหญ่ ได้ปะปนกันสับสน
อลหม่าน ต่างวิ่งหนีเอาตัวรอดเตลิดเปิดเปิงลงไปยังเมืองเกนแนป (Genappe) ทางใต้ ตอน 20.00 น. แล้วก็ถูกทหาร
องั กฤษไล่ตามไปตีอีก ตอ้ งถอยเร่ือยไปจนเข้าประเทศฝรงั่ เศส การยทุ ธครัง้ น้ฝี รัง่ เศสเสียทหารไป 25,000 คน รวมท้ัง
ถูกจบั เป็นเชลย 6,400 คน ปืนใหญ่ 250 กระบอก องั กฤษเสยี ทหาร 13,000-14,000 คน ปรสั เซียเสยี ทหาร 7,000-
8,000 คน
เม่ือนโปเลยี นเห็นวา่ ไมส่ ามารถควบคุมกองทัพของพระองคไ์ ว้ได้อกี แล้ว จงึ เสด็จกลับฝรั่งเศสถงึ ปารีส
เมื่อ 21 มิถุนายน โดยมีกองทัพปรัสเซียของบลูแชร์ติดตามเข้ามาในฝรั่งเศส ดาวูต์ (Davout) เสนาบดีกลาโหม
ขณะน้นั ไดร้ วบรวมกำลงั ต้านทานก็ไม่สำเร็จ รฐั บาลฝร่ังเศสยอมลงนามในสญั ญากรงุ ปารีสใหแ้ ก่ฝ่ายพนั ธมิตร เมื่อ 3
กรกฎาคม ปีน้นั เอง นโปเลยี นถกู บังคบั ให้สละราชสมบตั ิเปน็ คร้ังท่ี 2 และถูกส่งไป กักขังไวท้ ่เี กาะเซนตเ์ ฮเลนา (Saint
Halena) ตอ่ มาอกี 6 ปี พระองคก์ ส็ ้ินพระชนม์ เม่ือ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2364 (1821)
-73-
4.5 บทเรยี นจากการยทุ ธ
นโปเลียนไม่ไดไ้ ปตรวจการรบทสี่ ำคญั ในยทุ ธบรเิ วณ ทำใหพ้ จิ ารณาส่ังการได้ไม่ถูกต้องเหมาะสม จะคดิ
ว่าในตอนนี้นโปเลียนไม่แข็งแรงและเข้มแข็งเหมือนแต่ก่อนก็ไม่ถูกนัก เพราะนโปเลียนเพิ่งอายุได้ 46 ปีเท่านั้นการ
ตดิ ตอ่ ส่ือสารไม่ดีและล่าช้า กองทพั นอ้ ยเสยี เวลาในการเคล่ือนยา้ ย และกำลังส่วนใหญ่ไม่ได้รับข่าวจากกองทัพที่แยก
ไปปฏิบัติการ ทน.1 เดอเออลอง ได้รับคำสั่งจากนโปเลียนให้ไปช่วยโดย จอมพลเนย์ไม่ทราบจึงสั่งให้ ทน.1 กลับไป
เพราะนโปเลยี นมอบ ทน.ให้อยใู่ นบงั คับบญั ชาของจอมพลเนย์แล้ว นโปเลยี นอาจสัง่ ใช้ ทน.ได้ แต่ต้องให้จอมพลเนย์
ทราบด้วยนโปเลียนวางน้ำหนักในการใช้กำลังผิดพลาดในการรบทีล่ ิกนี (Ligny) และควาเตอร์-บราส์ (Quatre bars)
ระหว่าง 15-16 มิถุนายน ซึ่งควรใหท้ น.เดอเออลอง รวมกำลังกับส่วนใหญ่ตกี องทัพปรัสเซยี ให้แตก จึงเป็นผลให้การ
ยุทธที่วอร์เตอร์ลูนี้ต้องพ่ายแพ้เพราะกองทัพ บลูแชร์ของปรัสเซียได้ย้อนกลับมาช่วยอังกฤษรบจนได้ชัยชนะ
นอกจากน้ี การเขา้ ตคี ฤหาสนก์ ็ใช้กำลังมากไป เพราะเปน็ เพียงการเข้าตีลวง การเข้าตีท่ีมัน่ ตรงกลางท่แี ขง็ แรงโดยจอม
พลเนย์ก็เปน็ การตีผิดด้านจอมพลเนย์ไม่ได้รีบส่งข่าวผลการรบย่อยที่ ควาเตอร์-บราส์ ให้นโปเลียนทราบโดยเร็วเป็น
ผลใหน้ โปเลยี นพจิ ารณาดำเนนิ กลยุทธไ์ ด้ไม่ทันกบั สถานการณเ์ มื่อตีปรสั เซยี แตกที ลิกนี (Ligny) แลว้ นโปเลียนไม่ได้
ไล่ติดตามกองทัพบลูแชร์โดยทันที จึงไม่ทราบเส้นทางถอยของบลูแชร์ ครั้งเมื่อกองทัพกรูซีไล่ติดตามไปก็ไปผิดทาง
แทนที่จะตามไปทางเมืองวาฟร์ (Wave) ที่บลูแชรถ์ อย กลับไปเสียทางเจมิ โลช์ (Gembloux) กำลังกรูชีที่ไล่ติดตามก็
มากไป ทำให้ไปไดช้ ้า ไม่ทนั ท่ีจะไปขดั ขวางไมใ่ ห้บลแู ชร์ย้อนกลับมาสมทบกับเวลลิงตนั ทวี่ อรเ์ ตอรล์ ไู ดก้ ารข่าวไม่ดี ท้ัง
ข่าวข้าศึกและขา่ วของฝร่ังเศสเองกำลังใจของทหารเปน็ ปัจจัยท่ีจะทำให้แพ้หรอื ชนะได้ ในตอนแรกของการยุทธทหาร
ฝรั่งเศสมีขวัญดี กำลังใจฮึกเหิม จึงเกือบจะเข้าตใี ห้อังกฤษถอยออกจากท่ีมัน่ ท้ังหมดได้ แต่ในตอนหลังทีท่ หารรกั ษา
พระองค์เข้าตีที่มั่นอังกฤษล้มเหลว และเสียหายอย่างหนักทำให้ทหารหน่วยอื่นเสียขวัญไปหมด เพราะคิดว่าขนาด
ทหารรักษาพระองคซ์ ึ่งเหนอื ชนั้ กวา่ ทหารหน่วยรบอ่นื ๆ ยงั ตไี ม่สำเรจ็ หน่วยอน่ื จะตใี ห้สำเร็จได้อย่างไร การของเขา
เม่อื 15 มถิ ุนายน นบั ว่าเป็นประโยชนแ์ กฝ่ ่ายองั กฤษอย่างมาก ทีส่ ามารถลว่ งร้ถู ึงแผนการยุทธของนโปเลยี น ขณะที่น
โปเลียนต้องแสวงหานายทหารท่ีสามารถมาแทน ซง่ึ ย่งุ ยากและอาจไม่สามารถดพี อเท่าคนเกา่ กไ็ ด้
5. หลกั การทำสงครามของนโปเลยี น
หากจะทำการศกึ ษาถึงการยุทธต่าง ๆ ของนโปเลียนอย่างพินิจพเิ คราะห์แล้ว จะพบว่า นโปเลียนจะ
ปฏิบัติ คือ 1. ทำการเป็นฝ่ายรุกอยู่เสมอ 2. บุกเข้าหาข้าศึกด้วยความรวดเร็ว เพื่อประหยัดเวลาและเป็นการจู่โจม
ทางยุทธศาสตร์ 3. รวมกำลังให้เหนือกว่าข้าศึกในสนามรบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจะต้องทำการเข้าตีแตกหัก และ
4. คำนึงถงึ ระบบการปอ้ งกันหรือต้ังรับอยา่ งรอบคอบ
นโปเลยี นใช้หลกั การสงครามสำคญั ๆ ดังน้ี
1. การรุก นโปเลียนกล่าวว่า “การปล่อยให้เป็นฝ่ายถูกเข้าตี นับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่
หลวง” และ “ในตอนเริ่มการยุทธ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะทำการรุกหรือไม่ แต่เม่ือทำการรุกแล้วก็ต้องบกุ
เข้าไปจนถึงทีส่ ดุ ” ในการยทุ ธทอ่ี ลู ม์ เมอ่ื 17 ตลุ าคม ค.ศ.1805 พระองค์ไดส้ ่งสารไปถงึ นายพลมูราตว์ ่า “ข้าพเจ้าขอ
แสดงความยินดแี ก่ท่านในความสำเร็จทีไ่ ดร้ ับ แตอ่ ยา่ หยดุ เสียละ จงไล่ตดิ ตามข้าศกึ เอาดาบของท่านทิ่มแทงหลังของ
เขา และตดั การตดิ ตอ่ สอื่ สารทัง้ หมด”
-74-
2. ความคล่องแคล่ว ความรวดเร็วในการเคลื่อนย้าย เป็นปัจจัยสำคัญในการทำสงครามนโปเลียน
พระองค์เดินทัพด้วยความรวดเร็ว รอบคอบ สุขุม นโปเลียนได้กล่าวไว้ว่า “ชัยชนะย่อมเป็นของกองทัพที่ดำเนินกล
ยุทธ์” ความล่าชา้ ของแมท่ ัพใต้บงั คบั บญั ชาที่ไลปซิกและลิกนี เปน็ เหตุใหน้ โปเลียนตอ้ งแพก้ ารยุทธที่ 2 เมืองนี้ ทหาร
ของนโปเลียนไดก้ ล่าวในระหว่างการยุทธทอ่ี ูลม์ ว่า “จกั รพรรดิไดท้ รงค้นคว้าพบวธิ ีทำสงครามแบบใหม่พระองค์ใช้ขา
ของเราแทนทีจ่ ะเปน็ ดาบปลายปนื ”
3. การจโู่ จม เกอื บทกุ คร้ังทนี่ โปเลียนทำการจู่โจม เปน็ การจู่โจมทางยุทธศาสตร์ เช่น ในการยุทธที่มา
เรงโก (Marengo) (ค.ศ.1800) อูล์ม (Olm) (ค.ศ.1805) เจนา (Jena) (ค.ศ.1806) และในตอนตน้ ของการยทุ ธที่ วอร์
เตอร์ลู (Waterloo) นโปเลียนได้เขียนไวเ้ มื่อ 7 มกราคม ค.ศ.1814 ว่า “ยทุ ธศาสตรเ์ ป็นศลิ ปะในการใช้เวลาและพื้นท่ี
ให้เป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าระมัดระวังในเรื่องหลัง (พื้นที่) น้อยกว่าเรื่องแรก (เวลา) เราสามารถจะเอาพ้ืนท่ีกลับคืนมา
ได้ แต่จะไมอ่ าจเอาเวลาทเี่ สียไปกลับคนื มา”
4. การรวมกำลัง เมื่อจะต้องทำการยุทธแตกหัก นโปเลียนจะตัดการยุทธรอง ๆ ไปทั้งหมด เพื่อรวม
กำลงั ให้ได้มากที่สดุ เท่าทจ่ี ะมากได้ พระองค์ทรงกลา่ วว่า “ศลิ ปะในการวางกำลังทหาร เปน็ ศิลปะ การสงคราม จงวาง
กำลงั กระจายออก ใหส้ ามารถรวมกันได้ภายในเวลา 2-3 วนั ไม่วา่ ขา้ ศึกจะทำอะไร” การรวมพลเป็นการรวมกองทัพ
น้อย หรือกองพลในพื้นทีก่ ารยุทธ แต่การรวมกำลังกำลัง หมายถึงการรวมกำลงั กองทัพในสนามรบ ความสามารถใน
การรวมกำลังได้อยา่ งถกู ต้อง อาจทำให้ฝ่ายเสยี เปรียบเอาชนะข้าศกึ ทีไ่ ด้เปรยี บแต่รวมกำลังไม่ไดก้ ็ได้
5. การตั้งรับ นโปเลียนถูกบังคับให้ทำการตั้งรับทางยุทธศาสตร์หลายครั้ง เนื่องจากมีกำลังน้อยกว่า
ข้าศึก ถึงกระนั้นก็ตาม พระองค์ก็ยังเดินทัพอย่างรวดเร็วและทำการเข้าตีอย่างรุนแรงด้วย ในการยทุ ธเหล่าน้ัน นโป
เลยี นทรงอธบิ ายในเรอ่ื งนว้ี ่า “ศิลปะการสงครามทั้งมวล ยอ่ มรวมอยู่ในการต้ังรับ ด้วยเหตุผลท่ีดีและรอบคอบ ติดตาม
ด้วยเข้าตอี ย่างรวดเร็ว และกล้าหาญ” นโปเลียนจงเกลียดจงชังการทำสงครามอยูก่ บั ที่เป็นอย่างมาก ตามที่พระองค์
กล่าวว่า “ศลิ ปะการสงครามนนั้ เป็นความจริงที่วา่ ผทู้ ่ีมัวแต่อยู่ในสนามเพลาะ ย่อมจะถกู ตีพา่ ยไป ประสบการณ์และ
ทฤษฎีกเ็ ปน็ ไปตามท่ีกลา่ วนี้”
เหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นความรอบรู้ในศิลปะการสงคราม หรือความสามารถในการดำเนินกลยุทธ์
นโปเลียนมีคุณลักษณะส่วนพระองค์ที่โดดเด่นอยู่ประการหนึ่ง คือ ความเป็นผู้นำในการทำสงครามที่ดีคนหนึ่งใน
ประวตั ิศาสตร์
-75-
คำถามทา้ ยบทท่ี 2
ประวตั ศิ าสตร์การสงครามสากล
1. พระเจา้ อเล็กซานเดอร์ (ที่ 3) มหาราช (Alexander the great) กษตั รยิ แ์ ห่งมาเซโดเนีย (Macedonia) พระองค์
ทรงเป็นพระราชโอรสของใคร
2. เม่ือพระชนมายไุ ด้เพยี ง 16 พรรษา กไ็ ด้ทรงนำกำลงั เขา้ ปราบพวกชาวเขาแลว้ พระองคท์ รงสนใจและศึกษา
จิตวิทยา อาวธุ และวธิ ีทำสงครามของศัตรู จงอธิบายหลกั การทำสงครามทั้ง 2 ดา้ นของพระองคม์ าพอเข้าใจ
3. จงอธิบายการจดั รูปขบวนแบบฟาลงั ซ์ (Phalanx) ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ มาพอเข้าใจ
4. ถา้ จะศกึ ษาเส้นทางรกุ ของพระเจา้ อเลก็ ซานเดอร์ เปน็ การเดินทัพในลกั ษณะใด
5. เจงกสี ข่านประสูติเมือ่ ปี พ.ศ. 1710 หรืออกี ชือ่ คือ “เตมูจิน” แปลวา่ อะไร
6. เจงกสี ขา่ นไมไ่ ดร้ บั การศึกษา ไมร่ ู้หนังสอื ไม่เคยอ่านหนังสอื ไมเ่ คยเป็นลกู ศิษยข์ องขนุ พลใด และไมเ่ คยมอี าจารย์
สอนพิเศษให้ แต่สามารถขยายอาณาเขตใหก้ ว้างไกลออกไปได้ เพราะเหตุใด
7. กอ่ นทจ่ี ะเปิดฉากการบกุ ประเทศใด เจงกสี ข่านจะสง่ หน่วยใดเขา้ ไปก่อนเปน็ อนั ดบั แรก
8. กำลงั หลักของกองทัพมองโกลซงึ่ โดยธรรมดาจะมกี ำลงั เปน็ ตัวมาน (Touman) อยากทราบวา่ หน่วยขนาดกองพล 1
ตวั มาน จะมีกำลังเทา่ ใด
9. นโปเลียน โบนาปารต์ เขา้ ศกึ ษาท่ีโรงเรียนนายร้อยทหารบกทีก่ รุงปารีส (The military academy of Paris) (ค.ศ.
1784) จนกระทง่ั สำเรจ็ ออกรบั ราชการ สังกดั เหล่าใด
10. การเล่ือนยศให้ นโปเลียน จากนายรอ้ ยเป็นนายพล มาจากเหตกุ ารณ์สำคญั ใด
-76-
บทท่ี 3
สงครามโลก คร้ังท่ี 1( ค.ศ.1914 – 1918 )
สงครามโลก (The world war) ครั้งที่ 1 ซึ่งเริ่มขึ้นในปี ค.ศ.1914 นี้ เป็นสงครามที่ยุ่งยาก
สลับซับซ้อน เพราะเป็นการสู้รบกันระหว่างกลุ่มประเทศสองฝ่าย ซึ่งเกี่ยวข้องไปถึงประเทศต่าง ๆ ทั่วยุโรปผิดกับ
สงครามในปี ค.ศ.1810 ระหว่างปรัสเซียกับฝรั่งเศส สมัยนโปเลียน โบนาปาร์ต ที่จำกัดคู่สงครามอยู่แต่เฉพาะสอง
ประเทศ การสู้รบจึงจบลงโดยง่ายไม่ยุ่งยาก สงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ ได้มีผลกระทบต่อยุโรป ทั้งทวีป ฝ่ายพันธมิตร
อังกฤษกับฝรง่ั เศสมีความยุ่งยากสบั สนมากกวา่ เยอรมนั กับออสเตรยี ทีอ่ ยตู่ รงกลางทวีป 2 ประเทศ และเพราะวา่ ฝ่าย
พันธมิตรอังกฤษกับฝรั่งเศสต้องทำสงครามด้วยยุทธศาสตร์ทางเส้นนอกจึงอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีนโยบายที่สอดคล้อง
เห็นชอบร่วมกันระหว่างทุกประเทศที่เป็นฝ่ายเดียวกันนอกจากฝรั่งเศสกับอังกฤษเท่านั้นแต่ถึงกระนั้นฝรั่งเศสกับ
อังกฤษกไ็ มม่ ที ัศนะทางการเมอื งร่วมกนั อยดู่ ี
ด้วยเหตุนี้ ตลอดระยะเวลาของสงครามจึงขาดเอกภาพในการบังคับบัญชาอันเนื่องมาจากขาด
เอกภาพของนโยบาย เมื่อ 26 มีนาคม ค.ศ.1914 พลเอก เฟอร์ดินันด์ ฟอค (Gen. Ferdinand Foch) ได้รับการ
แตง่ ตั้งใหป้ ระสานการปฏิบัติของกองทัพฝา่ ยพนั ธมิตรด้านตะวนั ตก ซ่งึ พอถงึ วันที่ 1 กรกฎาคม 1914 ท่านก็ต้องเข้า
ประสานงานกองทัพทั้งหมด ทั้งด้านตะวันตก ตะวันออก และใต้ โดยมีอำนาจหน้าท่ีอย่างจำกัด บรรดาแม่ทัพต่าง ๆ
ไมย่ อมปฏบิ ัตติ ามคำสงั่ ในบางครง้ั
1. แผนการสงคราม
ใน 4 สิงหาคม ค.ศ.1914 เยอรมนั น่าจะเป็นฝ่ายชนะถงึ 10 ต่อ 1 แตใ่ น 5 สปั ดาห์ หลังจากสงคราม
ได้เริ่มขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็พ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ด้วยกันตอนเริ่มสงคราม กำลังของเยอรมันกับออสเตรีย อยู่ตรง
กลาง รายล้อมไปด้วยกำลังของรัสเซีย(Russia)ทางตะวันออก ฝรั่งเศส (France) อังกฤษ (Britain) และเบลเยี่ยม
(Belgium) ทางตะวนั ตก และเซอรเ์ บีย (Serbia) ทางใต้
- เยอรมันกับออสเตรยี มกี ำลัง 158 กองพล
- รสั เซีย มกี ำลัง 150 กองพล
- ฝร่งั เศส องั กฤษ และเบลเยีย่ ม มกี ำลงั 87 กองพล
- เซอร์เบยี มกี ำลงั 12 กองพล
จะเห็นได้ว่าฝ่ายเยอรมันเสียเปรียบในด้านกำลังพล (บางหลักฐานบอกว่า ตอนเริ่มสงครามฝ่าย
เยอรมันมีกำลัง 11,000,000 คน พนั ธมติ ร 9,500,000 คน ฝ่ายเยอรมนั มีอาวธุ ดีกว่าการฝึกและขวัญดีพอๆ กัน) แต่
โดยที่สามารถใช้ยทุ ธศาสตร์ทางเส้นในได้ ขณะที่ฝ่ายข้าศึกต้องใชย้ ุทธศาสตร์ทางเส้นนอกฝ่ายเยอรมนั จึงสามารถจะ
รวมกำลังเลอื กเข้าโจมตีกำลงั ส่วนใดๆ ของขา้ ศึกได้ โดยตรึงกำลังขา้ ศึกสว่ นอน่ื ๆ ไวก้ อ่ น
เยอรมนั (German)
นายพล อัลเฟรด ฟอน ชลิฟเฟน (Alfred von Schlieffen) ได้เขียนแผน Schlieffen เมื่อ 1906 ผู้
บัญชาการฝ่ายเยอรมัน ทราบว่ารัสเซียจะระดมพลได้ช้ากว่าฝรั่งเศสมาก และคาดได้ถูกต้องว่าฝรั่งเศสจะรวมกำลงั
ส่วนใหญ่ไว้ในแนวเมซิแยร์เอปีนัล (Mexieres-Epinal) จึงตัดสินใจให้กำลัง 10 กองพลของกองพลที่ 8 กับกำลังใน
ท้องถิน่ ไปตา้ นรสั เซียทางปรัสเซียตะวันออก ส่วนกองทพั ออสเตรยี เคลื่อนกำลังเข้าในดนิ แดน Galicia แล้วใช้กำลัง 7
-77-
กองทัพเข้ารบกับฝรั่งเศสในแนว เครเฟลด์-มัลเฮาเซิน (Krefeld-Mulhausen) โดยให้กองทัพที่ 1 ถึง 5 อยู่ทางขวา
เหนอื เมือง Metz กองทัพท่ี 6 และ 7 อยู่ทางซ้ายใตเ้ มือง Metz ชลฟิ เฟน วางแผนใหก้ องทัพท่ี 6 และ 7 ทางซา้ ยยัน
ฝรั่งเศสไว้ แล้วจึงถอยร่นให้ข้าศึกรุกตามไป ขณะที่ทางปีกขวาเยอรมันจะใช้เมือง Metz เป็นดุมในการรุกผ่าน
ลักซ์เซมเบอร์ก (Luxembourg) เบลเยี่ยม (Belgium) และเนเธอร์แลนด์ (Nentherland) แล้วเลี้ยวกลับลงทาง
ตะวนั ออกเฉียงใตม้ งุ่ ไปทางตะวนั ตกของกรุงปารีส จากน้ันจะใหร้ ุกตอ่ ไปทางตะวันออกเขา้ ข้างหลงั กองทัพฝร่ังเศสท่ีสู้
รบอยู่กับปีกซา้ ยแลว้ เขา้ ตฝี ร่งั เศสให้ถอยเข้าไปในเยอรมนั และสวสิ เซอรแ์ ลนด์เรยี กแผน ชลฟี เฟน ออสเตรียรว่ มมือกบั
เยอรมัน โดยสง่ 3 กองทพั สกดั ก้นั กำลังโปแลนดข์ องรัสเซียกับอีก 3 กองทัพ กำลังพลน้อยกว่าเข้าโจมตเี ซอรเ์ บยี
ฝรั่งเศส (France) แผนการสงครามของฝรั่งเศสให้ชื่อว่า แผน 17 (Plan XVll) เขียนโดย Joffre
เปน็ แผนทใี่ ชส้ มมุตฐิ าน 2 ประการ คอื
1. เยอรมันไม่เอากำลังสำรองเข้าทำการรบในตอนแรกด้วยกำลังทางปีกขวาของเยอรมันจึงไม่
แขง็ แรงพอท่จี ะรกุ ผ่านเบลเยีย่ มพรอ้ ม ๆ กบั การรกุ ผ่านโลเรียน (Lorraine)
2. ฝรั่งเศสน่าจะตา้ นทานการเข้าตีของฝ่ายเยอรมนั ไดย้ าก จึงจำเป็นตอ้ งวางกำลังระหว่าง เมซิแยร์
(Mezieres) กับ อีไปนัล (Epinal) ไว้โจมตีเยอรมันตามกึ่งกลางแนวรบ แล้วทำลายการติดต่อสื่อสารของเยอรมันใน
Lorraine ใหเ้ ปน็ อมั พาตไป
อังกฤษ (Britain) อังกฤษทำสงครามช่วยฝรั่งเศสด้วย 4 กองพลทหารราบกับ 1 กองพลทหารม้า
ไมไ่ ด้ทำการปิดก้ันกองเรอื ของเยอรมัน เพยี งแต่ยึดสนิ คา้ ต้องหา้ ม ตามกฎหมายการเดนิ เรือทะเลเท่านนั้
รัสเซีย (Russia) รัสเซียเรียกระดมพลจัดกำลังเป็น 8 กองทัพ 2 กองทัพเคลื่อนที่เข้าหาปรัสเซีย
ตะวนั ออก 4 กองทพั เคลอื่ นท่ีเข้าหาออสเตรยี และอกี 2 กองทัพทำการระวงั ป้องกนั ทางปีกและชายฝัง่ ทะเลดำ โดย
ต้ังกองบัญชาการท่ี เซ็นท์ ปเี ตอร์เบอร์ก และโอเดสซ่า สว่ นแผนของเบลเยีย่ ม (Belgium) และเซอร์เบยี (Serbia) มุ่ง
ท่จี ะตง้ั รับอยา่ งเหนยี วแนน่
2. การยทุ ธหลักในยโุ รป
การยุทธได้เปิดฉากขึ้นหลายยุทธบริเวณพร้อมกัน โดยมีผลในขั้นต้นดังนี้ ฝรั่งเศสถูกเยอรมันโจมตี
เสยี หายในการปะทะกนั ครัง้ แรกทางแนวรบดา้ นตะวันตก แต่แล้วไดร้ วมกำลงั กนั สู้รบอีกทำให้แผนของเยอรมนั ในด้าน
นี้ไมบ่ รรลุผลทางดา้ นตะวนั ออกตอนเร่มิ ต้นเยอรมนั ตกอยู่ในอันตรายอยา่ งมาก แตก่ ็จบลงด้วยชยั ชนะทางยุทธวิธีการ
โจมตีเซอร์เบียโดยออสเตรียต้องล้มเหลวเพราะการปฏิบัติอย่างผิดพลาดการยทุ ธระหวา่ งรัสเซียกับออสเตรยี ไม่มีผล
เด็ดขาดจากความล้มเหลวและความสำเรจ็ ในยุทธบริเวณต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นเหตุให้แผนของชลิฟเฟนไมเ่ ป็นไปตามท่ี
วางไวแ้ ละมีผลต่อเนือ่ งไปถึงการยทุ ธตอ่ ๆ ไป
ใน 14 สิงหาคม ค.ศ.1914 ขณะที่กองทัพที่ 1 ของเยอรมัน ในบังคับบัญชาของ พลเอกอเล็กซาน
เดอร์ ฟอน กลุ๊ค (Alexander von kluch) ยังคงทำการสู้รบฝ่าที่มั่น นายพล จอฟเฟร (Joffre) ผู้บัญชาการทหาร
สูงสุดของฝรั่งเศสกไ็ ด้เร่ิมเจาะแนวรบเยอรมันอย่างไม่หยุดยัง้ จนถึง 25 สิงหาคม แต่กลับปรากฏวา่ ฝรัง่ เศสเองตอ้ ง
เสียหายอย่างหนักสูญเสียทหารไปถึง 300,000 คน แนวรบฝรั่งเศสตอนกลางและปีกขวาต้องถอยลงมาอยู่ทาง
ตะวนั ตกของแวร์ดนั (Verdun) พลเอก มอลเค้ (หลาน จอมพล เคานต์ เฮลมุท คาล เบอนฮาด ฟอน มอลเค้ เสนาธิ
การปรัสเซีย ค.ศ.1800-1891) นึกว่าสามารถเอาชนะการยุทธแตกหกั ในฝรั่งเศสไดแ้ ล้วแต่ ปรากฎวา่ กองทพั ที่ 8 ที่ไป
-78-
ยันรัสเซียทางปรัสเซียตะวันออก ต้องเสียทีแก่รัสเซีย มอลเค้จึงต้องส่ง 2 กองทัพน้อยกับ 1 กองพลทหารม้า ของ
กองทัพที่ 2 และ 3 ทางปีกขวาทางแนวรบด้านฝรั่งเศสไปช่วยทำให้กำลังของกองทัพทั้งสองซ่ึงถูกดึงเอา 3 กองทพั
นอ้ ยไปยนั ทพั เบลเย่ยี มทแี่ อนท์เวอรฟ์ (Antwerp) และเข้าลอ้ มมำเบริ ก์ (Maubeuge) เสียกอ่ นแล้ว มกี ำลังน้อยลงไป
มาก ประกอบกับแม่ทัพต่าง ๆ ทำการรบอย่างอิสระไม่อยู่ในความควบคุมของ มอลเค้ เป็นเหตุให้กองทัพที่ 1 ต้อง
เคลือ่ นท่ีลงมาทางตะวันออกของปารีส แทนทจ่ี ะเป็นตะวันตก ทำใหเ้ มอื งหลวงและศูนยก์ ารรถไฟของฝรัง่ เศสรอดพ้น
จากการถกู ยดึ ครองไป
ข่าวการรุกเข้าหาด้านซ้ายของแนวรบฝรั่งเศส โดยกองทัพที่ 1 เยอรมัน ได้ทำให้ฝรั่งเศสต้องจัดต้งั
กองทัพที่ 6 ขึ้นใหม่ใกล้ ๆ เมืองอาเมียงส์ (Amiens) แล้วเดินทางโดยรถไฟมายัง Amiens ใน 1 กันยายน แต่แล้ว
กองทัพน้กี ต็ ้องถอยเข้าปารีสโดยขา้ มแม่น้ำโออุเรด (Oureq) ใน 4 กนั ยายน วันร่งุ ข้นึ การยุทธโออุเรค (Oureq) ก็ได้
เริ่มขึน้ เป็นการอุ่นเคร่ืองกอ่ นการยุทธสำคญั ที่แม่น้ำมาร์น (Marne) ใน 7 กนั ยายน เยอรมันทำท่าว่าจะแพ้ กองทัพท่ี
1 เยอรมัน จึงให้กองทัพนอ้ ยที่ 9 และ 3 ทางปีกซ้าย ไปช่วยกองทัพน้อยที่ 4 ทางปีกขวา โดยไม่ได้ประสานงานกับ
กองทพั ที่ 2 ทางซา้ ยเลย ทำให้เกดิ ช่องว่างกว้างประมาณ 20 ไมล์ ระหว่างกองทพั ที่ 1 กับที่ 2 กองทพั อังกฤษจึงฉวย
โอกาสรกุ เข้าไปในชอ่ งว่างนัน้ ทนั ที
มอลเค้ ในตอนนี้ได้มาตั้งกองบัญชาการอยู่ที่ลักแซมเบอร์ก (Luxemburg) ได้ข่าวการรบไม่สู้ดีนัก
ทำใหว้ ติ กอยมู่ าก แตแ่ ทนทต่ี นเองจะรีบรดุ ไปท่ีกองทัพที่ 1, 2 และ 3 เพอ่ื ประสานงานและแกไ้ ขสถานการณ์ ท่ีกำลัง
คับขัน มอลเค้กลับให้ พันโท เฮนซ์ (Hentsch) ฝ่ายเสนาธิการชั้นผู้น้อยเป็นผู้แทนออกเดินทาง เมื่อ 8 กันยายน
ไปติดต่อให้กองทัพต่าง ๆ ทางปีกขวา ถอยเข้าหาแม่น้ำแอสน์ (Aisne) แม่ทัพกองทัพที่ 1 จำใจต้องถอยไปยังเมือง
โซลส์ซองส์ (Solssons) ท้งั ๆ ท่ขี ัดกบั ความเหน็ ของตนเองทดี่ กี ว่าด้วยเหตุนี้ แผนของ ชลิฟเฟนจึงต้องลม้ เหลว
เพราะแม่ทัพและฝ่ายเสนาธกิ ารของกองทพั ไมเ่ ป็นตัวของตัวเอง
ใน 13 กันยายน กำลังของเยอรมันได้หยุดถอย หันมาสู้กับกำลังที่ไล่ติดตามที่แม่น้ำแอสน์ (Aisne)
การรบได้เปน็ ไปในลกั ษณะเกือบจะอยกู่ ับท่ี การยุทธตอนต่อไปเปน็ การแข่งขนั ไปให้ถึงชอ่ งแคบองั กฤษโดยทั้งสองฝ่าย
พยายามท่ีจะโอบปกี ของกนั และกัน แตก่ ็ไมม่ ฝี ่ายใดไดเ้ ปรยี บจนกระท่ังไปถงึ ฝง่ั ทะเลการส้รู บแต่ละคร้ังฝ่ายตั้งรับจะมี
ความแขง็ แรงกวา่ ฝา่ ยเข้าตีโดยการใชก้ ารยงิ ขุดสนามเพลาะ และสร้างเคร่ืองกดี ขวางประกอบกันอาจกลา่ วได้ว่าต้ังแต่
ตลุ าคม ค.ศ.1914 ถงึ มีนาคม 1918 ในแนวรบตะวันตก ไม่มกี ารเข้าตีคราวใดเลยท่ีสามารถรกุ ไปไดไ้ กล 10 ไมล์ ไมว่ ่า
ในทศิ ทางใดก็ตาม
เมื่อมาถึงตอนนี้ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนย้ายเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะเอาชนะการตั้งรับทั้งสองฝ่าย
พยายามใช้ปืนใหญ่ระดมยิงเปิดช่องว่างแนวตั้งรับของข้าศึก แต่ในฤดูใบไม้ร่วง ปี ค.ศ.1914 ปรากฎว่าไม่มีปืนใหญ่
และกระสนุ เพียงพอท่ีจะยงิ เจาะช่องว่างกนั เม่อื ขาดกระสุนปนื ใหญ่ การเจาะและขยายแนวทหารราบท่ีทำการต้ังรับ
จงึ ไม่ประสบผลสำเร็จ และเมอ่ื เขา้ ตีไมไ่ ดผ้ ลตา่ งฝา่ ยจึงเริ่มใช้ความคล่องแคลว่ ทำการเปลย่ี นแนวรบ
3. การยุทธรอง
ฝา่ ยพนั ธมติ รได้มุ่งที่จะโจมตเี อาชนะเยอรมันใหไ้ ด้ในปี ค.ศ.1914 น้ี เพราะเมอื่ เยอรมนั แพ้ก็จะทำให้
พันธมิตรของเยอรมันแพ้ไปด้วย โดยที่กองทัพเยอรมนั เป็นจดุ ศูนย์ถ่วง (Center of Gravity) ที่หากพ่ายแพ้แล้วกจ็ ะ
ทำให้กำลังส่วนอื่น ๆ พลอยแพ้ตามไปดังที่เคล้าเซวิตซ์ (Clausewitz) ได้กล่าวไว้ แต่เนื่องจากฝ่ายพันธมิตรไม่มีแผน
-79-
ยุทธศาสตรร์ ว่ มกัน นายพล จอฟเฟร (Joffre) ยนื กรานท่ีจะให้กำลังท้งั หมดรวมอยู่ในฝรง่ั เศส เพราะเป็นพื้นที่เดียวท่ี
จะใช้กำลัง และส่งกำลังบำรุงให้หนว่ ยรบได้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อการยทุ ธได้ชะงักงันลงในตอนนี้ อังกฤษจึงได้เสนอให้
เอาชนะเยอรมัน โดยทำการยุทธทั้งทางบกและทางเรือร่วมกัน เพื่อเข้ายึดเมืองออสเตนด์ (Ostend) และซีบรุกก์
(Zeebrugge) เป็นการหนั เหทศิ ทางของปกี เยอรมันบ้างก็เสนอใหโ้ จมตีชายฝัง่ Schleswing-Holstein แตน่ ายพลเรือ
Sir Winston Churchill มีความเห็นเมื่อ 1 มกราคม ค.ศ.1915 ว่าควรส่งกำลังไปยึดช่องแคบดาร์คะเนลล์
(Dardanelles) เพื่อเปดิ เส้นทางติดต่อกับกำลังของรัสเซียยดึ เมือง คอนเทนติโนเปิน (Contantinople) และช่องแคบ
Bosphorus ซึ่งจะทำใหก้ ารชะงักงนั ของสงครามกลบั คกึ คักขึ้นมาใหม่อีก ฝา่ ยพันธมิตรยอมรับและไดด้ ำเนินการตาม
ข้อเสนอของ Churchill แต่ปรากฎว่าการยุทธน้ีต้องล้มเหลวและเป็นเหตุให้ตรุ กเี ข้ารว่ มสงครามข้างฝ่ายเยอรมนั ใน
ปลายตลุ าคมกำลงั ทยี่ กพลข้นึ บกก็ตอ้ งถอนกลับทง้ั หมด เมอื่ 9 มกราคม ค.ศ.1916 ทหารอังกฤษกบั ฝรั่งเศสท่ีเข้าร่วม
การยทุ ธท้งั หมด 410,000 คน ตอ้ งตาย บาดเจ็บ สูญหาย ถูกจบั เปน็ เชลย และเจบ็ ไขไ้ ดป้ ่วย 252,000 คนในฤดูใบไม้
ร่วง ปี ค.ศ.1915 ฝรั่งเศสได้ตัดสนิ ใจส่งกำลังไปชว่ ย Serbia ที่ถูกออสเตรียโจมตี อังกฤษเห็นด้วย และได้ส่งกำลงั ไป
ขนึ้ บกท่ี Salonika เมื่อ 3 ตุลาคม ค.ศ.1915 ซงึ่ ทง้ั สองฝ่ายได้ทำการยุทธกนั ที่มาซโี ดเนยี (Macedonia) ถึง 3 ปี โดย
สองฝ่ายต้องทำการตั้งรับอยูแ่ ต่ในที่มั่น ทหารอังกฤษเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล 481,262 คน บาดเจ็บล้มตายใน
การรบ 26,750 คนนอกจากการยุทธใน 2 บริเวณดังกล่าวแล้ว ยังมีการยุทธเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) อีกโดย
เร่มิ ส้รู บกับตรุ กี ต้ังแต่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1915 ถึง 29 เมษายน ค.ศ.1916 การยุทธได้จบลงดว้ ยการยอมแพ้ของทหาร
อังกฤษและอินเดีย 10,061 คน ทหารชาติอื่น ๆ อีก 3,248 คน ในกันยายน ค.ศ.1917 กำลังทหารของอังกฤษได้
เพิ่มขึ้นไปถึงประมาณ 340,000 คน และสงคราม ในปี ค.ศ.1918 มากกว่า 414,000 คน จากจำนวนนี้ต้องสูญเสยี
ทหารจากการรบ 93,500 คน และไม่ใช่จากการรบ 217,000 คน
การยุทธอีกบรเิ วณหน่ึง เป็นการป้องกันคลองสุเอซ (Suez canal) ในมกราคม ค.ศ.1915 โดยทำการ
สู้รบกับทหารตุรกี (Turkey) และ Bedouin จนถึงธันวาคม ค.ศ.1916 แล้วก็ตั้งรับกันเสียส่วนมากต่อมา
นายลอยด์ ยอร์ช (Loyd George) นายกรัฐมนตรีอังกฤษให้ความเห็นวา่ ควรจะดำเนนิ ยุทธศาสตร์เชงิ รุกเสียทีโดยมงุ่
ทำลายพันธมิตรของเยอรมันให้พ่ายแพ้เสียก่อน ซึ่งจะทำให้เยอรมันแพ้ตามไปด้วยดังนั้น การยุทธปาเลสติน
(Palestine) จึงเริ่มขึ้นด้วยการขยายการยุทธ ป้องกันคลองสุเอซ เข้าไปในดินแดน Palestine และมีกรุงเยรูซาเลม
(Jerusalem) เป็นท่ีหมายหลกั การยทุ ธดา้ นนไ้ี ด้ยดื เยือ้ ไปจนกระทงั่ ยตุ ิสงครามแต่ก็ใช้กำลงั ทง้ั สองฝ่ายเข้าสู้รบกันถึง
432,857 คน สูญเสยี จากการรบประมาณ 58,000 คน ความพยายามเปิดการยทุ ธเหลา่ นี้ขึ้นรอบ ๆ ยุโรป ก็เพ่ือที่จะ
หาทางเจาะแนวฝ่ายเยอรมนั ซง่ึ เป็นความเพียรพยายามที่สูญเสียไปเปล่า ๆ และเสยี กำลังไปมากที่สดุ กำลังพลนับว่า
เปน็ ปัจจัยสำคญั ในการทำสงครามโลกทม่ี ีขอบเขตกว้างขวางเช่นน้ี การยุทธรองหรอื ปลกี ย่อยต่าง ๆ อาจเป็นเพยี งการ
หลกี เล่ยี งการยุทธท่สี ำคญั กวา่ ในยุโรปกไ็ ด้
4. การรกุ ของฝา่ ยพันธมติ ร
เมื่อตอนฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ.1914 ที่กำลังฝ่ายเยอรมันกับอังกฤษแข่งกันไปถึงช่องแคบอังกฤษ
ใกล้เนียวฟอร์ท ได้ทำให้แนวรบด้านตะวันตกเหยยี ดยาวไปทางตะวันตก โดยมีจะงอยแหลมอยูใ่ กล้ ๆ เมืองคอมเปีย
(Compiegne) ในปี ค.ศ.1915 นายพล Joffre จึงคดิ จะตัดแนวเยอรมนั ทีย่ ื่นยาวออกไปนี้ ใหข้ าดจากกนั ดว้ ยการรกุ 2
แห่ง โดยให้อังกฤษเข้าตีเมือง Artois ไปทางตะวนั ออก และฝรั่งเศสเข้าตีจาก Chamhagne ขึ้นไปทางเหนอื การรุกน้ี
-80-
ได้กระทำหลายคร้ังในปี ค.ศ.1915 แต่ก็ไม่สามารถเจาะแนวเยอรมันที่ยื่นแหลมออกไปได้ผลของการรบที่น่าศึกษามี
อยู่ 2 ประการ
ประการแรก ฝรั่งเศสและอังกฤษตอ้ งสูญเสียทหารมากมาย ไม่คุ้มกับผลท่ีได้รับ ดังเช่น ในการยุทธ
คร้ังที่ 3 ฝรง่ั เศสเสียทหาร 48,200 คน อังกฤษ 48,267 คน และการยทุ ธครง้ั ที่ 2 ฝรงั่ เศสเสียทหาร 143,567 คน โดย
ท้ังสองการยุทธนี้ ไมอ่ าจแย่งยดึ แนวที่มั่นเยอรมัน ซึ่งลึก 3,000 หลา ไดเ้ พมิ่ ข้ึนเลย
ประการทีส่ อง ในตอนต้นของการรุก การระดมยงิ ปืนใหญ่ช่วยให้ทหารราบเข้ายึดที่มัน่ ข้าศึกในแนว
หนา้ ได้จงึ เป็นการพิสูจนว์ ่าในระยะแรก ๆ ของสงครามท่ียงั ทำการรุกหรอื เข้าตอี ยู่ถ้ามีปนื ใหญ่ และกระสุนเพียงพอก็
จะสามารถเจาะแนวที่ม่ันข้าศึกได้ เคล็ดลับของการเข้าตีให้เป็นผลสำเร็จจึงอยู่ทีป่ ืนใหญ่ยงิ ทำลายและทหารราบยดึ
ครอง นโปเลยี นได้พร่ำสอนไว้ว่า ผทู้ ที่ ำสงครามจะตอ้ งมีปืนใหญ่ด้วย
อย่างไรกด็ ี การระดมยงิ ปืนใหญ่อยา่ งหนกั ก็มีข้อเสียอยเู่ หมอื นกนั เพราะจะทำให้ผิวพน้ื ภมู ปิ ระเทศ
เป็นหลมุ เป็นบอ่ ทวั่ ไปหมด การเคล่ือนท่ีรุกไปข้างหน้ากระทำได้ยากลำบากการสง่ กำลังไม่สะดวกตอ้ งปรับผิวดินให้ปืน
ใหญแ่ ละขบวนรถขนสง่ิ อุปกรณ์ผ่านไปได้ และขณะทมี่ วั ปรับผิวดินทำทางอยู่ข้าศึกก็อาจจะซอ่ มแซมท่ีม่ันให้คืนสภาพ
ไดอ้ ีกทำใหต้ ้องระดมยิงปนื ใหญท่ ำลายท่มี ั่นกนั ใหมอ่ ีกไม่รู้จักจบสน้ิ
ต่อมาในตอนต้นธันวาคม ค.ศ.1915 ฝ่ายพันธมิตรได้ตกลงกันว่า จะทำการรุกใหญ่ทางแนวรบ
ด้านตะวันตกในฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึงแต่ก่อนที่จะเตรียมการรุกได้พร้อม เยอรมันได้ชิงเข้า Verdun เสียก่อน
เพื่อที่จะให้กำลังอังกฤษทีย่ ันอยู่กับพันธมิตรของเยอรมันอ่อนกำลังลงและช่วยเร่งใหฝ้ รั่งเศสที่เกอื บจะแพ้อยู่แลว้ แพ้
เร็วขึ้น ฝ่ายพันธมิตรจึงพลาดโอกาสที่จะเป็นฝ่ายรุกไป การที่เยอรมันเลือกเข้าตีที่เวอร์ดนั (Verdun) ก็เพื่อบงั คับให้
ฝร่ังเศสทุ่มกำลังไปเขา้ ป้องกัน และถ้าถกู ทำลายกำลงั ของฝรั่งเศสก็จะหมดสิน้ และตอ้ งถอยไป
ใน 21 กมุ ภาพนั ธ์ ค.ศ.1916 เยอรมันได้เริ่มโจมตีเปน็ แนวกว้าง การสรู้ บไดด้ ำเนนิ ไปเกือบ 5 เดือน
จนถึง 11 กรกฎาคม เยอรมนั เจาะแนวขา้ ศึกเขา้ ไปได้เพียง 5 ไมล์ แต่ต้องเสยี ทหารไปถงึ 281,000 คน ขณะทฝ่ี รั่งเศส
เสยี 315,000 คน ในตอนปลายของการรบ ฝรั่งเศสกับองั กฤษไดท้ ำการรุกบา้ ง เพือ่ ผอ่ นคลายความกดดนั ของเยอรมัน
ท่ี Verdun เป็นการยุทธทแี่ ม่นำ้ ซอมม์ (Somme) โดยเร่มิ เขา้ ตีกว้างด้านหน้า 25 ไมล์ เม่ือ 1 กรกฎาคม หลังจากท่ีได้
ระดมยิงปนื ใหญน่ านถงึ 8 วัน ดว้ ยกระสนุ 1,738,000 นดั ทหารราบ ได้เคล่ือนทเี่ กาะฉากการยิงปนื ใหญ่ไปอยา่ งชา้ ๆ
การยุทธไดด้ ำเนินตอ่ ไปจนถึง 14 พฤศจกิ ายน เปน็ เวลา 4 เดือนครงึ่ ฝา่ ยฝร่ังเศสกับอังกฤษสามารถยึดพื้นที่ได้กว้าง
ประมาณ 30 ไมล์ ลกึ 7 ไมล์ โดยสญู เสยี ทหารองั กฤษ 419,654 คน ฝร่ังเศส 194,451 คน และเยอรมันนา่ จะมากถึง
ประมาณ 500,000 คน
การยุทธที่แม่น้ำ Somme เป็นผลให้แนวรบด้านอื่น ๆ ที่ชะงักงันอยู่กลับสู้รบกันใหม่ต่อไปอีก
ทั้งแนวรบอิตาลี ออสเตรีย และรัสเซีย ต่างฝ่ายได้สูญเสียทหารกันไปฝ่ายละไม่น้อยเลย เฉพาะรัสเซียเสียถงึ ล้านคน
ทเี ดยี ว การท่กี ารยทุ ธไมป่ รากฎผลแตกหกั ให้แพช้ นะกันได้ จงึ เร่ิมคิดท่ีจะเจรจาสงบศกึ กนั แตแ่ ล้วเรอื ดำน้ำเยอรมันท่ี
โจมตเี รอื ของทกุ ชาติ ไดท้ ำให้สหรัฐอเมรกิ ากบั เยอรมันตรงึ เครยี ดกัน
ขณะเดียวกันนี้ เมื่อ 15 พฤศจิกายน ค.ศ.1916 ฝรั่งเศสกับอังกฤษได้ร่วมกันวางแผนการยุทธในปี
ค.ศ.1917 โดยจะทำการรุกทุกด้าน แต่แนวรบด้านตะวันตกเปน็ ด้านหลกั อังกฤษจะเข้าตีเมืองอารร์ าส (Arras) ก่อน
-81-
เพื่อดึงกำลังกองหนุนเยอรมันให้มาช่วยต้านทาน แล้วหมดกำลังกองหนุน ฝรั่งเศสจะเข้าตีตามไปที่แม่น้ำแอสน์
(Aisne) เป็นการเข้าตีแตกหัก ถา้ ไมเ่ ปน็ ผลก็จะผละจากด้านนี้ ไปทำการรุกทางแควน้ Flanders ใกลช้ อ่ งแคบองั กฤษ
การรุกของอังกฤษได้เริ่มขึ้นเมื่อ 9 เมษายน ค.ศ.1917 ด้วยการระดมยิงปืนใหญ่ 2,700,000 นัด ไปสิ้นสุด เมื่อ 21
พฤษภาคม เมื่อรุกคืบหน้าไปได้ 5 ไมล์ กว้างด้านหน้า 20 ไมล์ แต่เพียง 3 พฤษภาคม อังกฤษ ก็ต้องเสียทหาร
158,000 คน เยอรมันประมาณ 150,000 คน ฝรั่งเศสได้ทำการรุกหลังอังกฤษ 8 วัน ที่แม่น้ำ อานิส (Aisne) แต่ต้อง
ล้มเหลวเสียทหารไป 187,000 คน ขณะที่เยอรมันเสีย 163,000 คน ตอนน้ี พลเอก เปเท่น (Petain) ได้เข้ารับ
ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด แทน นายพล Nivelle ที่เข้าแทน นายพลจอฟเฟร (Joffre) ก่อนแล้ว ตั้งแต่ 13
ธันวาคม ค.ศ.1916 ขวัญของทหารฝร่ังเศสเส่ือมทรามลงมา ถึงกับกองพลตา่ ง ๆ 54 กองพล กอ่ นการกำเริบ ระหว่าง
25 พฤษภาคม - 10 มถิ นุ ายน ค.ศ.1917
ในช่วงต้นปีนี้เอง ได้เกิดเหตุการณ์ขึ้น 2 กรณี ที่ทำให้สงครามเปลี่ยนรูปโฉมไปหมด กรณีแรก ใน
8 มีนาคม 1917 ไดเ้ กิดจลาจลข้ึนในเมือง เปโตรกราด โดยหนว่ ย Imperial Guard ท่ี 11 ของรสั เซยี ได้ก่อการกำเริบ
และทำการปฏิวัติ พระเจ้าซาร์ นิโคลาส ที่ 2 (Czar Nicholas II) ได้สละราชสมบัติใน 15 มีนาคม 1917 เจ้าชาย
แอลวอค จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นใน 22 มีนาคม 1917 ส่วนกรณีที่ 2 สหรัฐอเมริกาได้ประกาศสงครามกับเยอรมนั
เมอื่ 6 เมษายน 1917
เยอรมันหวังว่าจะจัดกำลังเพิ่มเติมให้แก่แนวรบด้านตะวันตกได้อย่างน้อย 1 ล้านคน ก่อนสิ้นปี
ค.ศ.1917 ทางฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศส ก็หวังที่จะได้กำลังจากสหรัฐ ฯ อย่างน้อย 1 ล้านคน ในอนาคตที่ไม่ไกล
เหมือนกัน ฝรั่งเศสจึงเสนอว่า การรุกทั้งหมดควรเลือกไปกระทำเมื่อได้กำลังของสหรัฐ ฯ มาช่วยแล้ว แต่บางเสียงก็
เห็นว่า ควรทำการเข้าตีทีห่ มายจำกัด โดยใช้ปืนใหญร่ ะดมยิงข้าศึกให้รนุ แรงที่สุด เพื่อที่จะได้สูญเสียทหารน้อยทีส่ ดุ
แต่ เซอร์ ดกั ลาส เฮก (Sir Douglas Haig) ผู้บญั ชาการทหารสงู สดุ องั กฤษ ไมช่ อบการรกุ ในขอบเขตจำกัด ท่านหวังที่
จะเอาชนะด้วยการยุทธแตกหักที่แคว้น Flanders อย่างมาก และเชื่อว่า จะสามารถเอาชนะเยอรมันได้โดยลำพัง
ก่อนที่สหรัฐ ฯ จะเข้ามาช่วย แต่ผลการยุทธที่ Flanders ในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง ปรากฎว่าต้องสูญเสียกำลังไป
มาก
ใน 7 มิถุนายน 1917 อังกฤษได้เปิดฉากการยุทธ Messines ในขอบเขตจำกัดขึ้น และประสบ
ผลสำเร็จ โดยระดมยิงปืนใหญ่ก่อนหน้าถึง 7 วัน ใช้กระสุนไป 3,500,000 นัด และริเริ่มใช้ทุ่นระเบิดบก (รวมระทุ่น
เบิด 19 ลูก มีแรงระเบิดถึง 1 ล้านปอนด์) การยุทธได้สิ้นสุดลงเมื่อ 14 มิถุนายน ทหารอังกฤษสูญเสีย 17,000 คน
เยอรมัน 25,000 คน รวมทั้งที่ถูกจับเป็นเชลย 17,500 คน นับเป็นการยุทธครั้งแรกทีอ่ ังกฤษสูญเสียทหารน้อยกว่า
เยอรมนั
ต่อมาใน 31 กรกฎาคม 1917 เป็นการยุทธที่เมืองอีปรส์ (Ypres) ครั้งที่ 3 ซึ่งอังกฤษได้รวมกำลัง
ยงิ ปนื ใหญ่มากทสี่ ดุ เป็นประวัตกิ ารณ์ โดยระดมยิงกอ่ นการเขา้ ตถี ึง 19 วนั ใช้กระสุน 4,300,000 นัด รวมน้ำหนักได้
107,000 ตัน ทำให้พื้นภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไปหมด ทางระบายน้ำ กำแพงกั้นน้ำ ท่อระบายน้ำ ฯลฯ ถูกทำลาย
หมดสิ้น และเกิดหนองนำ้ เป็นเหตุให้ทหารราบต้องแชน่ ำ้ อยู่ถงึ 3 เดือนครึ่ง เมื่อการยทุ ธยตุ ิลง ใน 10 พฤศจิกายน
เยอรมันต้องถอยกลับไป 5 ไมล์ เป็นแนวกว้าง 10 ไมล์ และเสียทหารเกือบ 200,000 คน อังกฤษเสียประมาณ
300,000 คน
-82-
5. การใชไ้ อพษิ และรถถัง
ที่มั่นตั้งรับทีด่ ัดแปลงไวอ้ ย่างแข็งแรง ย่อมจะไม่เกิดประโยชนอ์ ย่างแท้จรงิ ถ้าไม่มีทหารอยู่ประจำ
รักษาท่มี น่ั น้นั ดว้ ย เยอรมันจงึ หาทางขับไลท่ หารข้าศึกท่รี ักษาทีม่ ัน่ โดยใช้ไอพิษกอ่ นการเขา้ ตี การโจมตี ของเยอรมัน
ใกล้ ๆ เมอื ง Ypres ได้กระทำตอน 17.00 น. ใน 22 เมษายน ค.ศ.1915 โดยใชป้ ืนใหญ่ยิงนำ และปล่อย ไอพษิ คลอรนี
(Chlorine Gass) แลว้ จึงทำการออกตีหลังจากท่ีไอพษิ จางลงแล้ว ทหารทีอ่ ย่ใู นแนวหนา้ ถูกไอพษิ ล้มตายไปมากมายที่
อยู่ข้างหลังถัดไปก็แตกต่ืนและสับสนอลหม่าน เยอรมันใช้ไอพิษอีกครั้งเมื่อ 24 เมษายน 1915 ทำให้แนวรบฝรั่งเศส
และอังกฤษ ตอ้ งถอยรน่ ไปหาเมือง Ypres 3 ไมล์ แต่ปรากฎวา่ ไมไ่ ด้ผลอย่างครงั้ แรก เพราะทหารในที่ม่ันใช้หน้ากาก
ป้องกันไอพิษหรือหมวกผ้าคลุมศีรษะช่วยลดอันตรายลงได้ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ.1916 ทหารอังกฤษและฝรั่งเศสได้ใช้
หน้ากากชนิดมีเครื่องกรองอากาศ เยอรมันได้ใช้ไอพิษมัสตาด (Mastard Gass) เป็นครั้งแรกที่ Ypres เมื่อ 11
กรกฎาคม ค.ศ.1917 ซ่ึงใน 5 สปั ดาหต์ ่อมาทำให้องั กฤษเสียทหารไปกว่า 20,000 คน หลงั จากน้ัน อังกฤษกบั ฝร่งั เศส
ก็ไดเ้ ร่มิ นำเอาไอพษิ มาใช้บ้าง
การใช้ไอพิษเจาะแนวข้าศกึ ทไ่ี ด้ผลเป็นครัง้ แรกของเยอรมนั เปน็ การเข้าตแี นวรบรัสเซยี ท่ี Riga
เมื่อ 1 กันยายน ค.ศ.1917 กว้างด้านหน้าไม่เกิน 4,000 หลา โดยใช้ปืนใหญ่ยิงนำด้วยกระสุนบรรจุไอพิษปืนหน่ึง
กระบอกยงิ ได้กวา้ งด้านหนา้ เพียง 8 หลา การเขา้ ตไี ดจ้ บลงภายในเวลาไม่กชี่ ั่วโมง เยอรมันได้ใช้ไอพษิ อีกเร่อื ย ๆ ทาง
แนวรบด้านตะวันตกในการรุกใหญ่ ๆ เมื่อเดือนมีนาคม พฤษภาคม และมิถุนายน ค.ศ.1918 เป็นไอพิษฟอสยีน
(Fosgen) และมัสตาด (Mastad) ในระหว่าง 21 มีนาคม ถึง 5 เมษายน การโจมตีด้วยไอพิษไดท้ ำให้แนวรบอังกฤษ
ระหวา่ งเมืองอารร์ าส (Arras) กบั เลอ ฟีล (La fere) ถอยไปถงึ 50 ไมล์ ในเมษายน เยอรมันยงั ไดใชไ้ อพิษมสั ตาดตาม
ถนนในเมืองอีกด้วย ช่วยให้สามารถยึดเมืองได้ โดยไม่มที หารเยอรมันเสียชวี ิตเลยการเขา้ ตีแนวรบสหรัฐ ฯ ที่บริเวณ
สันเขา เซนต์ ไมไฮล์ (Saint Mihiel) เมื่อกันยายน ค.ศ.1918 และการยุทธต่อ ๆ มาก็ถูกเยอรมันยิงด้วยกระสุนไอพษิ
เสียหายอย่างหนักการสูญเสียทหารสหรัฐ ฯ เพราะถกู ไอพิษทงั้ หมดในสงครามน้ีเป็นจำนวน 70,752 คน จากการสูญเสีย
ท้ังสิน้ 258,338 คน หรือร้อยละ 27.4
การป้องกันไม่ให้ทหารที่เข้าตีเป็นอันตรายอีกวิธีหนึ่ง คือ การใช้เกราะป้องกันตัว แต่ก็ทำให้หนัก
เคลอื่ นทไ่ี มส่ ะดวก จึงให้ทหารอยูบ่ นเกราะสายพาน เพื่อให้แลน่ ในภมู ิประเทศนอกถนนได้ เหตุนี้จึงได้สร้างรถถงั ข้ึนมา
เป็นป้อมเลก็ ๆ เคล่ือนทไี่ ด้ เรยี กกนั ในตอนแรกวา่ เรือบก
รถถังได้ถูกนำออกใช้เป็นครั้งแรก โดยทหารอังกฤษเพียงไม่กี่คัน เมื่อ 15 กันยายน ค.ศ.1916
ระหว่างการยุทธที่แม่น้ำซอมมี่ (Somme) ต่อมาในการยุทธที่เมืองกัมเบร (Cambrai) ก็ยังใช้รถถังแบบ
กระปริบกระปรอยไม่มาก การยุทธคร้ังนีม้ ุ่งที่จะจู่โจมแนวตั้งรบั เยอรมัน 4 แนว ภายในเวลา 17 ชั่วโมงโดยไม่ใช้ปนื
ใหญ่ยิงเตรียมการเข้าตี อังกฤษใช้กองพนั รถถงั 9 กองพัน รถถัง 378 คัน บุกนำทหารราบ 2 กองพันน้อย เข้าโจมตี
แนว ฮินเดนเบอร์ก (Hindenbure Siegiried) ซ่ึงเป็นทมี่ ั่นแขง็ แรงที่สุดในแนวรบด้านตะวนั ตก ถ้าจะใช้ปืนใหญ่ระดม
ยงิ ก่อน ก็ต้องยิงเป็นเวลาหลายสปั ดาห์ และใช้กระสุนหลายพันตันทีเดียว
การเข้าตไี ดเ้ รมิ ข้ึนเม่ือ 06.00 น. ของ 20 พฤศจิกายน ค.ศ.1917 เยอรมนั ต้องถอยร่นไปถึง 13,000
หลา ในตอน 16.00 น. อังกฤษเจาะแนวใชไ้ ปได้ 10,000 หลา ในการยทุ ธที่เมืองยูปส์ รอบที่ 3 ก็เข้าตแี บบเดียวกันนี้
เป็นเวลา 3 เดอื น แต่เจาะแนวเยอรมนั ไม่ได้ทั้ง ๆ ทจี่ ับเชลยได้ 8,000 คน และยึดปืนใหญ่ได้ 100 กระบอก กองทัพ
-83-
น้อยอังกฤษ 2 กองทัพ สูญเสียกวา่ 4,000 คนเล็กน้อย แต่ในการยุทธแตกหกั ท่ีเมอื ง Amiens เมื่อ 8 สิงหาคม ค.ศ.
1918 อังกฤษได้ใช้รถถัง 462 คัน บุกร่วมกันการโจมตีของเครื่องบิน ตามด้วย 3 กองทัพน้อยของกองทัพที่ 4 เป็น
การยุทธแบบจู่โจมที่ได้ผลดีอกี คร้ังหน่ึง แนวตั้งรับเยอมนีสบั สนอลหมา่ นและถูกเจาะได้ รถถังเป็นอาวุธทางจติ วิทยา
มากกว่าอาวธุ ยิงทำลาย เพราะทหารเดนิ เท้าจนปญั ญาท่ีหยุดยั้งมันได้ ดว้ ยกระสนุ ปืนเลก็ และปนื กล ซ่ึงเป็นเหตุให้ใน
สมยั ตอ่ มาไดม้ กี ารคิดสร้างกระสนุ เจาะเกราะ และจรวดตอ่ ส้รู ถถงั กนั ขึ้น
6. การทำสงครามในเขตหลัง
จนกระทั่งในปี ค.ศ.1918 ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถทำการยุทธแตกหกั ให้มีผลเด็ดขาดต่อการเอาชนะ
สงครามได้ สงครามจึงสงบลงชั่วระยะด้วยความอดอยากและการปฏิวัติ ไม่ใช่ด้วยการสู้รบเมื่อฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ.
1917 ทั้งสองฝ่ายเหนื่อยหน่ายต่อการทำสงครามเพราะในรัสเซียได้เกิดการปฏิวัติกองทัพฝรั่งเศส
ก่อการกำเรบิ และทหารอติ าลี 400,000 คน เดินขบวนหนที พั
นอกจากความเหนื่อยล้าที่เกิดจากความยืดเยื้อของสงครามแล้ว ฝ่ายเยอรมันต้องถูกกระทบกระเทือน
ในเขตหลงั จากการปฏบิ ตั กิ ารขององั กฤษในการปดิ กั้นทางทะเล และการโฆษณาชวนเชือ่ การปดิ กนั้ ทางทะเลได้ทำให้
ฝา่ ยเยอรมันอ่อนกำลังลง สว่ นการโฆษณาชวนเช่ือได้บนั่ ทอนความมานะอดทนในการทำสงครามของฝา่ ยเยอรมนั
อังกฤษเพิ่งจะสกัดกัน้ ไม่ให้ยุทธปัจจัยต่าง ๆ เข้าไปยังเยอรมนั และออสเตรยี ในปลายปี ค.ศ.1914
เยอรมนั ได้ตอบโต้ในต้นปี ค.ศ.1915 โดยการปดิ ก้ันบริเทนใหญแ่ ละไอร์แลนด์ ด้วยเรอื ดำน้ำ ใน 7 พฤษภาคม 1915
เรือ Lusitania ของสหรฐั ฯ ไดถ้ ูกจมลง คนอเมริกัน 128 คนเสยี ชีวติ เปน็ การยวั่ ยุใหส้ หรัฐ ฯ เข้ารว่ มสงครามเร็วขึ้น
ซึ่งต่อมาสหรฐั ฯ ก็ไดป้ ระกาศสงครามกบั เยอรมัน แลว้ นำเอากำลัง 9 กองพล ไปวางในแนวหนา้ กับอกี 3 กองพล เป็น
กองหนนุ มีกวา้ งด้านหน้า 23 ไมล์ ในแนวรบดา้ นตะวันตกเฉียงเหนอื ของเมือง Verdun เมือ่ 26 กนั ยายน ค.ศ.1918
การปิดกั้นของอังกฤษไดก้ ระทบกระเทือนไปถึงประชาชน โรงงาน และไร่นาของฝ่ายเยอรมันทำให้
เยอรมันต้องขาดแคลนอาหาร ถึงกับจะยอมแพ้เอาทีเดียว ประชาชนต้องตายเพราะอดอาหารและเจ็บปว่ ยเนือ่ งจาก
ขาดอาหารถึง 800,000 คน ประมาณ 50 เท่าของคนท่ีจมน้ำตายไปกบั เรืออังกฤษ ที่ถูกเรือดำนำ้ เยอรมนั ยิงจม การ
ปดิ กนั้ ท่มี ผี ลตอ่ ประชาชนในเขตหลงั ทำใหก้ ารโฆษณาชวนเชอ่ื ได้ผลดีมากข้นึ ทง้ั ทหารในแนวรบและประชาชนในเขต
หลัง ต่างไม่มีจติ ใจจะทำสงครามต่อไปอีก
ด้วยผลของการยุทธแตกหัก เมื่อ 8 สิงหาคม ค.ศ.1918 และการพ่ายแพ้ของฝ่ายเ ยอรมัน
ตอ่ มาเยอรมนั ได้แจ้งให้สหรัฐ ฯ ทราบ ใน 3 ตุลาคม 1918 วา่ รฐั บาลเยอรมนั ยอมรับเงอ่ื นไข 14 ประการ เป็นพืน้ ฐาน
ในการเจรจาเพือ่ สนั ติ สหรัฐ ฯ ได้ตอบกลับไปใน 23 ตุลาคม 1918 ว่าจะไมม่ ีการเจรจาเพื่อสนั ติแต่ให้ เยอรมันยอม
แพ้ ครน้ั ถึง 3 พฤศจิกายน ไดเ้ กดิ การปฏิวัติขนึ้ ในกรงุ เบอร์ลนิ และ 9 พฤศจกิ ายน 1918 กไ็ ดม้ ีการลงนามในสัญญา
สงบศกึ ระหว่างฝ่ายพันธมติ รกบั ฝ่ายเยอรมัน ทีส่ ถานีรถไฟ Rethondes ในป่า Compiegne
7. บทเรียนจากสงคราม
สงครามโลกคร้ังที่ 1 ได้ให้บทเรียนทางยุทธศาสตร์ และก่อให้เกดิ วิวฒั นาการของอาวุธยุทโธปกรณ์
กล่าวคอื
1. สงครามคร้ังนเ้ี ปน็ สงครามเบ็ดเสร็จ ทท่ี ำการสรู้ บกนั ท้ังในสนามรบและเขตหลงั ของประเทศ คูส่ งคราม
ที่ประชาชนและกำลังอำนาจทั้งมวลของประเทศ ได้เข้าไปมีส่วนเก่ียวข้องด้วยกบั การชนะหรือแพ้สงคราม เป็นการ
-84-
สงครามในระดับยทุ ธศาสตร์ชาติ ไม่ใช่เฉพาะแต่ยุทธศาสตรท์ หารเทา่ นัน้ การปิดก้ันการขนสง่ ทางทะเลและการโฆษณา
ชวนเชื่อของอังกฤษ เป็นการทำสงครามต่อเขตหลังของฝ่ายเยอรมัน นับได้ว่าเป็นการดำเนินกลยุทธเข้าหาข้าศึก
ทางอ้อม ทีก่ วา้ งไกลทสี่ ดุ เทา่ ทเ่ี คยมีมาก่อน
2. ในสงครามนี้ ได้มีการโจมตีทิ้งระเบิดระยะไกลถึงเกาะอังกฤษเป็นครั้งแรก โดยเรือเหาะ
Zepplin L 48 ของเยอรมัน ในปี ค.ศ.1917 ซึ่งเป็นความพยายามที่จะเอาชนะข้าศึกด้วยการโจมตีแนวหลังของ
อังกฤษโดยตรง นับได้ว่าเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความสำคัญของกำลังทางอากาศที่จะเป็นปัจจัยเด็ดขาดในการทำ
สงครามในอนาคต ซึ่งก็ปรากฎเป็นความจริงในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ไม่ใช่เฉพาะแต่การโจมตีทิ้งระเบิดกันอย่าง
ธรรมดาเทา่ น้ัน หากแต่ยงั มีการใชเ้ ครอื่ งบนิ ท่ไี ม่มีนกั บิน V-1 และจรวด V-2 โจมตเี กาะอังกฤษ ตลอดจนการท้ิงระเบดิ
ปรมาณู ลงทเ่ี มืองฮิโรชิมา (Hiroshima) และนางาซากิ (Nagasaki) บงั คับใหญ้ ี่ปนุ่ ต้องยอมแพส้ งคราม
3. แม้ว่าจะเป็นภาคีของสัญญากรุงเฮก ปี ค.ศ.1899 ที่ห้ามใช้สารพิษเป็นอาวุธในการทำสงคราม
แต่ก็ปรากฎว่าทั้งสองฝ่ายได้นำเอาไอพิษมาใช้ในสงครามครั้งนี้ โดยฝ่ายเยอรมันเป็นผู้เริ่มใช้ก่อนและได้มีการพัฒนา
ปรบั ปรุงการใช้และการป้องกันในระหว่างสงครามการใชไ้ อพษิ ยงั คงมีต่อ ๆ มา เชน่ ในสงครามอริ กั อิหร่าน การสู้รบ
ในกัมพูชา เป็นต้น หลายประเทศได้ผลิตและสะสมอาวุธประเภทนี้ไว้มากบ้างน้อยบ้างขณะทีก่ ารป้องกันกไ็ ดพ้ ัฒนา
ควบคู่กันไป และปลอดภัยมากขึ้นดังเช่น เครื่องป้องกันของทหารสหรัฐ ฯ ในสงครามอ่าวเปอร์เซีย รถถังและยาน
เกราะแบบลา่ สดุ จะสามารถปอ้ งกนั ไม่ให้ไอพษิ เล็ดลอดเข้าไปเป็นอนั ตรายแกท่ หารขา้ งในได้ด้วย
4. อังกฤษประสบผลสำเร็จอย่างมากในการคิดสร้างรถถังและนำออกใช้อย่างจู่โจมในสงคราม
คราวน้รี ปู แบบรถถังและลักษณะการใชไ้ ดว้ ิวัฒนาการอยเู่ รอื่ ย ๆ ในระหวา่ งสงคราม
-85-
คำถามทา้ ยบทที่ 3
สงครามโลกครั้งที่ 1
1. สงครามโลกคร้งั ท่ี 1 ประเทศใดมกี ำลงั ทหารน้อยสุด และมีก่กี องพล
2. การยทุ ธใดที่ฝร่ังเศสเองต้องเสยี หายอย่างหนกั สญู เสียทหารไปถงึ 300,000 คน
3. จงสรุปความสญู เสียในแตล่ ะดา้ นของการบในการยทุ ธรองมาพอเข้าใจ
4. การรุกของฝ่ายพันธมติ ร มีผลของการรบทนี่ า่ ศึกษาอยู่ 2 ประการ จงอธิบายมาพอเข้าใจ
5. การใชไ้ อพษิ ก่อนการเขา้ ตขี องเยอรมัน เม่ือ 22 เมษายน ค.ศ.1915 โดยใชป้ นื ใหญ่ยิงนำเป็นการปลอ่ ยไอพิษชนิดใด
6. ในการป้องกนั ไมใ่ ห้ทหารท่ีเขา้ ตเี ปน็ อนั ตรายอีกวิธีหนึ่ง คอื การใช้เกราะป้องกนั ตวั เหตุนจ้ี ึงไดส้ รา้ งรถถงั ข้ึนมาเป็น
ป้อมเลก็ ๆ เคลื่อนท่ไี ด้ เรียกกันในตอนแรกว่าอะไร
7. เมอื่ 9 พฤศจกิ ายน 1918 ไดม้ ีการลงนามในสญั ญาสงบศกึ ระหวา่ งฝ่ายพันธมติ รกับฝ่ายเยอรมันท่ีใด
8. จงอธิบายการทำสงครามในเขตหลงั ของสงครามโลกครัง้ ที่ 1 มาโดยสังเขป
9. บทเรียนจากสงครามโลกทำให้ได้บทเรียนทางยุทธศาสตร์ และก่อให้เกิดวิวัฒนาการของอาวุธยุทโธปกรณ์
ด้านใดบ้าง
10. สงครามในครั้งนี้ เยอรมัน ได้มีการโจมตีโดยทิ้งระเบิดระยะไกลถึงเกาะอังกฤษเป็นครั้งแรก
ในปี ค.ศ. 1917 ด้วยเรือเหาะช่อื ว่าอะไร
-86-
บทท่ี 4
สงครามโลก ครง้ั ท่ี 2 (ค.ศ.1939-1945)
สงครามโลกครั้งที่ 2 (The world war II) เป็นการสู้รบกันระหว่าง 2 กลุ่มประเทศ ฝ่ายอักษะกับ
ฝ่ายพนั ธมิตร ประเทศฝา่ ยอกั ษะที่สำคญั ได้แก่ เยอรมนี (Germany) อิตาลี (Italy) และญป่ี ุ่น (Japan) ภายหลังจาก
ทส่ี งครามเร่ิมขึน้ แลว้ ในปี ค.ศ.1941-1942 ไดม้ ปี ระเทศบลั แกเรีย (Bulgaria) ฟินแลนด์ (Finland) ฮงั การี(Hungary)
โรมาเนีย (Rumania) และไทย (Thai) เข้าร่วมเป็นฝ่ายอักษะด้วย ส่วนประเทศฝ่ายพันธมิตรนั้นมีอังกฤษ (Britain)
สหรัฐอเมรกิ า (United states ) สหภาพโซเวียต (Sovietrussia) จนี (China) ฝรงั่ เศส (France) แคนาดา (Canada)
และอีก 45 ประเทศ สงครามคราวนี้เป็นสงครามเบ็ดเสร็จที่สลับซับซ้อนกระทำกันกว้างขวางทุกภูมิภาคของการ
ทำลายล้างประชาชนพลเรอื นไม่น้อยไปกว่าทหารในสนามรบอย่างไม่เคย ปรากฎมาก่อน สาเหตุประการหนึ่ง ได้แก่
ความพยายามของเยอรมนี ทจ่ี ะกวาดลา้ งคนยวิ ให้หมดไปจากยุโรป และอาจแฝงด้วยการล้างแคน้ ฝ่ายพันธมิตรที่เยอรมนี
ตอ้ งพ่ายแพ้ ในสงครามโลกคร้ังท่ี 1
สงครามโลกคราวนี้ต่างกับครง้ั ท่ี 1 โดยทีท่ ำการยทุ ธกนั อย่างคล่องแคล่ว จะเคลอื่ นท่ีรวดเร็วมีช่วงท่ี
ชะงักงันอยู่บ้างโดยเฉพาะในอิตาลี แต่เปรียบกันไม่ได้เลยกับสงครามสนามเพลาะ ในปี ค.ศ.1914-1918 ใน
สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีการนำเอารถถังและเคร่ืองบนิ มาใช้ แต่อาวุธเหล่าน้ีมิได้ถูกใช้ให้บังเกิดผลเต็มที่ จนกระท่ัง
มาถึงสงครามโลกครั้งท่ี 2 เรือบรรทุกเครื่องบินได้เป็นเรือรบผิวน้ำที่สำคัญที่สุด เรือดำน้ำได้พิสูจน์ให้เห็นพิษสงใน
สงครามน้ี เช่นเดยี วกับคร้งั ทแ่ี ล้วมา จรวดหนว่ ยทหารพลร่ม เรดาร์ โซน่า และเคร่ืองบนิ อตั วนิ ิบาต เป็นบางส่วนของ
การพัฒนาทางทหารของสงคราม สตรีได้มีสว่ นในการทำสงครามอย่างกวา้ งขวางกวา่ สงครามครั้งใด ๆ โดยการเป็น
ทหารทำงานเป็นพยาบาล ช่างเทคนิค และเสมียน บ้างก็ทำงานในโรงงานผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ และบางคนก็สู้รบ
เคียงบา่ งเคียงไหล่กับผชู้ ายโดยเป็นพวกกองโจร
ผลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ประการหนึ่งได้แก่ การเปลี่ยนแปลงแก้ไขแผนที่โลกกันเป็นการใหญ่
โซเวียตขยายดินแดนออกไปทางตะวันตก เส้นเขตแดนระหว่างประเทศต่าง ๆ ในยุโรปต้องเขียนกันใหม่อีกมากมาย
ทั้งเยอรมนีและเกาหลีถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ เยอรมนีตะวันออกเป็นคอมมิวนิสต์ แต่เยอรมนีตะวันตกไม่ใช่
เกาหลเี หนอื เป็นคอมมิวนิสต์ แต่เกาหลีใต้ไมใ่ ช่ ประเทศในยโุ รปตะวนั ออกทั้งหมด และสว่ นมากในบอลข่านตกอยู่ใต้
อิทธิพลของสหภาพโซเวียต เมืองขึ้นของยุโรปในแอฟริกาและเอเชียแยกตัวเป็นอิสระไปตาม ๆ กันและมีประเทศยิว
เกิดขึ้นใหม่ คือ อิสราเอล (Israel) ผลทางด้านการเมืองระหว่างประเทศทีก่ ว้างขวางที่สุด ได้แก่ การเป็นมหาอำนาจผ้นู ำ
ของโลก ออกเป็น 3 กลุ่ม คอมมิวนิสต์ ประชาธิปไตย และเป็นกลางหรือไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งหลายประเทศก็เป็นแต่
เพียงชือ่ เท่านัน้
1. ยุทธศาสตร์ของฮิตเลอร์ ยุทธศาสตร์ในการทำสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่แตกต่างไปจากสงคราม
ครั้งกอ่ น ๆ เท่าใดนัก ผิดกนั แต่วา่ ฝ่ายเยอรมนไี ดด้ ำเนินการในขอบเขตทก่ี วา้ งขวาง และปรบั ปรุงแก้ไขใหบ้ งั เกิดผลอย่าง
เด็ดขาดและรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกของสงคราม อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ( Adolf Hitler)
ผ้นู ำเยอรมันได้ใช้ยุทธศาสตร์การเข้าหาข้าศึกทางอ้อมทกี่ ว้างไกล ในดา้ นการสง่ กำลังบำรงุ และจิตวทิ ยาท้ังในสนามรบ
และเขตหลังของประเทศข้าศึก แต่ในระยะหลังกลับเปิดโอกาสให้ฝ่ายพันธมิตรใช้ยุทธศาสตร์กับตนเอง
ฮิตเลอร์ได้กล่าวว่า “สงครามอันแท้จริงของเราที่จริงแล้วจะต่อสู้กันก่อนที่การปฏิบัติทางทหารจะเริ่มขึ้น”
-87-
ฮติ เลอร์ไดเ้ ริ่มดำเนินยุทธศาสตร์ด้วยการรณรงค์ทางการเมือง จนสามารถเข้ากุมอำนาจเป็นผ้นู ำเยอรมนั ได้ในปี ค.ศ.
1933 หลังจากนั้นก็ไดด้ ำเนินการคืบหน้าและกวา้ งขวางออกไปเรือ่ ย ๆ โดยในปี ค.ศ.1934 ไดท้ ำสัญญาสันติภาพเป็น
เวลา 10 ปีกับโปแลนด์ เพื่อไม่ใหม้ ีศัตรูทางตะวันออก ในปี ค.ศ.1935 ได้ละเมิดข้อตกลงจำกัดอาวุธตามสนธสิ ัญญา
แวร์ซายส์ และในปี ค.ศ.1936 ก็ได้ส่งกำลังเข้ายึดครอง Rhiueland กับได้ร่วมกับอิตาลีสนับสนุน นายพล ฟรังโก
(Franco) ล้มลา้ งรัฐบาลสเปน (Spain) ซงึ่ เป็นการเข้าหาฝร่ังเศสและอังกฤษโดยอ้อมไปข้างหลัง ในมนี าคม ค.ศ.1938
ฮิตเลอร์ได้เคลื่อนกำลังเข้าไปในออสเตรีย เป็นการเข้าประชิดเชโกสโลวะเกียทางด้านใต้ไปด้วย และแหกวงล้อมที่
เยอรมันถูกปิดเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาในกันยายน ค.ศ.1938 เยอรมันก็ได้ดินแดน Sudetenland
ระหว่างเชโกสโลวะเกยี กบั โปแลนดไ์ วต้ ามขอ้ ตกลงทีเ่ มืองมิวนคิ (Munich) ทำใหเ้ ชโกสโลวะเกียถูกปดิ ล้อมไว้เกือบทุก
ด้าน ซึ่งต่อมาใน มีนาคม ค.ศ.1939 ฮิตเลอร์ก็ได้เข้ายึดครองเชโกสโลวะเกียร์ที่ปิดล้อมไว้แล้วนี้ เป็นการโอบล้อม
โปแลนด์ทางด้านใต้ ไปด้วยการดำเนินยทุ ธศาสตรแ์ บบรุกเงยี บไมต่ อ้ งเสยี เลือดเนื้อตดิ ต่อกนั ไปเป็นขั้นเป็นตอน โดยใช้
การโฆษณาชวนเชอ่ื อย่างมีเหตผุ ลดังกล่าวแล้วนี้ ฮิตเลอร์ไม่ไดเ้ พียงแต่จะทำลายอิทธิพลของฝรั่งเศสในยโุ รปตอนกลาง
และแหกวงลอ้ มทางยุทธศาสตร์ออกมาได้เท่าน้นั หากยังทำให้สถานการณ์กลับกลายมาเออื้ อำนวยแก่เยอรมัน นับว่าเป็น
การทำให้เยอรมันพรอ้ มทจี่ ะทำสงครามมากขน้ึ โดยที่กำลังของเยอรมนไี ดเ้ ติบโตเข้มแขง็ ขึ้นเรอ่ื ย ๆ ทง้ั ในทางตรงและ
ทางอ้อม ในทางตรงนั้นเยอรมันสามารถพัฒนากองทัพและอาวุธยุทโธปกรณ์ได้อย่างมหาศาล ส่วนทางอ้อมประเทศท่ี
น่าจะเป็นข้าศึกได้ถูกลิดรอนพันธมิตรให้ลดน้อยลงไป และรากฐานของยุทธศาสตร์ต้องถูกสั่นคลอนครั้นแล้วในฤดู
ใบไม้ผลิ ค.ศ.1939 ฮิตเลอร์ก็ได้ประท้วงอังกฤษในการที่ประกันความปลอดภัยใหแ้ ก่โปแลนด์และโรมาเนียในระหวา่ ง
นั้นอังกฤษกับฝรั่งเศสไม่อาจจะส่งกำลังเข้าไปในยุโรปภาคกลางได้ อีกทั้งกำลังก็น้อยกว่าเยอรมัน ฮิตเลอร์จึงไม่ห่วง
ทางด้านตะวันตก และถือโอกาสโจมตีเอาชนะโปแลนด์ได้ไม่ยากนักโดยมีรัสเซียยกกำลังเข้ามาแบ่งยึดเอาพื้นท่ี
การเกษตร 200,000 ตร.กม. ประชาชน 13 ล้านคน ของโปแลนด์ไปเยอรมันไดพ้ ้ืนที่ส่วนทีเ่ หลือซึ่งสมบูรณ์ที่สุดกับ
ประชาชน 22 ล้านคน เยอรมันจับเชลยได้ 694,000 คน
2. นโยบายของฝ่ายพันธมิตร ในตอนที่ฮิตเลอร์มีอำนาจในเยอรมันใหม่ ๆ และเมื่อเซมเบอร์เลน
(Chamberlain) เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษไม่มีกำลังทหารมากพอจะสนับสนนุ การฑตู ได้ อังกฤษ จึงต้อง
เอาใจเยอรมนั วนิ สตนั เซอร์ซิลล์ (Winston Churchill) ซ่ึงในขณะนนั้ ยังเปน็ เพยี งสมาชิกสภา ไดเ้ สนอให้อังกฤษเป็น
พันธมิตรกับรัสเซียเสีย แต่ เซมเบอร์เลน ไม่ไว้ใจรัสเซีย และไม่เชื่อว่ารัสเซียจะสามารถเอาชนะเยอรมันได้ อังกฤษ
กลับไปให้การประกันความปลอดภัยแก่โปแลนด์ เมื่อโปแลนด์ถูกเยอรมันบุกโจมตี อังกฤษกับฝรั่งเศสจึงได้ประกาศ
สงครามกับเยอรมนั ใน 3 กันยายน ค.ศ.1939
เซอร์ซิลล์ ได้แถลงถึงจุดหมายของสงครามในสภาอังกฤษว่า “นี่ไม่ใช่ปัญหาการสู้รบเพื่อดานซิก
(Danzig) หรือโปแลนด์ เรากำลังสู้รบเพื่อช่วยทั้งโลกให้พน้ จากความรา้ ยกาจของทรราชย์นาซี (Nazi) และป้องกันทุก
สิ่งที่มนุษย์ให้ความเคารพสูงสุดจะล่วงเกินไม่ได้” ดังนี้ จะเห็นได้ว่าในทัศนะขององั กฤษ สงครามคราวนี้ถือเป็นการ
ต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่วใน 4 กันยายน ค.ศ.1939 นายกรัฐมนตรีเซมเบอร์เลน (Chamberlain) ได้พูดทาง
วิทยุกระจายเสียงกับประชาชนเยอรมันว่า “ในสงครามคราวนี้ เราไม่ได้สู้กับท่าน ประชาชนเยอรมันผู้ซึ่งเราไม่มี
ความรู้สึกขมขื่นด้วยเลย หากแต่สู้รบกับระบอบการปกครองที่กดขี่และมีแต่การประหัตประหารกัน” อังกฤษและ
ฝรั่งเศสได้ปฏิเสธข้อเสนอสันติภาพของฮิตเลอร์ หลังจากที่ยึดโปแลนด์ โดยประกาศว่า “เราไม่มีเจตนาจะกีดกัน
-88-
เยอรมันไม่ให้อยู่ในที่อนั มีสิทธิโดยชอบธรรมในยุโรป ซึ่งจะอยู่อย่างเป็นมิตรและเชื่อมัน่ กับชาติอื่น ๆ เราไม่ได้เข้าสู่
สงครามนด้ี ว้ ยเจตนาท่ีจะล้างแคน้ แตเ่ พียงเพอ่ื จะป้องกนั เสรีภาพเทา่ นน้ั ”
ต่อมาเมื่อ 10 พฤษภาคม ค.ศ.1940 Sir Winston Churchill ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และ
รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงกลาโหม ทำใหก้ ารทำสงครามอยู่ในอำนาจหนา้ ท่ีของเซอรซ์ ลิ ลอ์ ย่างสมบูรณ์ และทา่ นกไ็ ด้ทำ
หนา้ ทใี่ นการทำสงครามอยา่ งดเี ด่น เซอร์ซลิ มีคณุ สมบัติตามท่ีนโปเลียนกล่าวไว้ว่า “คุณสมบัตปิ ระการแรกของแม่ทัพ
กค็ ือ จะตอ้ งมคี วามสขุ ุมเยอื กเย็นที่จะได้รบั ทราบเรอื่ งราวตา่ ง ๆ อย่างถูกตอ้ งตามความจรงิ ไมต่ ่นื เตน้ หรอื งุนงง เพราะ
ข่าวดีหรือข่าวรา้ ย”
หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ 3 วัน เซอร์ซิลได้แถลงนโยบายในการทำสงครามว่า
“เมื่อท่านถามว่านโยบายของเราคืออะไร ข้าพเจ้าจะตอบว่า คือ เราจะทำสงครามทางทะเล ทางบก และทางอากาศ
ด้วยแสนยานุภาพทั้งหมดของเรา และกำลังทั้งหมดที่พระเจ้าสามารถให้เราได้ จะทำสงครามต่อสู้กับการปกครอง
อย่างกดขี่โหดรา้ ย ไมก่ ระทำการใด ๆ อนั เป็นอาชญากรรมของมนุษยชาตทิ ่ีป่าเถอื่ นและนา่ เสียใจนน่ั คือ นโยบายของ
เรา เมื่อท่านถามว่าจดุ หมายของเราคืออะไร ข้าพเจ้าตอบได้ด้วยคำ ๆ เดียว คือ ชัยชนะ เป็นชัยชนะที่ไดม้ าด้วยการ
สูญเสียทั้งมวล แม้จะด้วยความสยดสยองทั้งปวง อย่างไรก็ตามถนนที่ไปสู่ชัยชนะอาจจะยาวและยากลำบาก
ถ้าปราศจากชัยชนะก็จะไม่มีการอยู่รอด ดังนั้นจงมาเราจะเดินไปข้างหน้าด้วยกันด้วยกำลังที่รวมเป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกนั ”
3. การบุกยุโรปของฝ่ายอักษะ ผลการปฏิบัติการของกำลังหน่วยรถถังในสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี
ค.ศ.1918 ได้ให้แนวความคิดในการใช้รถถังแก่แม่ทัพเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ นายพล ไฮนซ์ กูเดเรียน
(Heinz Guderian) แม่ทัพกองทัพน้อยเยอรมันเชื่อวา่ กองบัญชาการของขา้ ศึกจะเป็นอัมพาตไปโดยสิ้นเชงิ โดยการ
เข้าตีบดขยี้แนวหน้า แล้วผ่านไปอย่างฉับพลันทันที ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว แนวความคิดนี้เป็นกลยุทธ์การเข้าหาข้าศึก
ทางออ้ ม แทนท่ีจะทำการเข้าตตี รงหนา้ ดังเดิมนั่นเอง แตว่ ิธีการแตกตา่ งกันออกไป
เมื่อกองทพั นอ้ ยยานเกราะที่ 19 ของกูเดเรียนรุกไปถึงซดี าน (Sedan) บนฝั่งแม่นำ้ Mense แล้วยงั
เหลอื อีก 160 ไมล์ กจ็ ะถึงช่องแคบองั กฤษ จุดหมายของการดำเนนิ กลยุทธ์จึงเป็นท่ีประจักษว์ ่า เยอรมัน ทำสงคราม
สายฟ้าแลบ โดยใช้ความคล่องแคลว่ รวดเร็วเปน็ อาวุธทางจิตวิทยา ไม่ไดห้ วงั ทจี่ ะสังหารข้าศกึ แต่ต้องการที่จะเคลื่อนที่
รุดไปข้างหน้า เพื่อใหเ้ กิดความหวาดกลัว ทำให้ข้าศึกงงงวย อกสั่นขวัญหายสงสัยและสับสนในพืน้ ที่เขตหลงั ซ้ำข่าว
การบุกรุดหน้าอย่างรวดเร็วกระจายออกไป จนเกิดการตกใจกลัวกันอย่างกว้างขวาง จุดหมายที่ต้องการทำให้เป็น
อัมพาตไปนั้น ไมใ่ ช่เฉพาะแต่กองบัญชาการของขา้ ศึกเทา่ นนั้ หากแต่ยังเป็นรัฐบาลของประเทศข้าศกึ อกี ดว้ ย
กำลังของเยอรมันที่บุกฝรั่งเศส เมื่อพฤษภาคม ค.ศ.1940 ได้จัดเป็น 3 หมู่กองทัพ A, B และ C
หมู่กองทพั A และ B อยู่ทางเหนอื หมู่กองทพั C ทำการตรึงแนวมายิโนดไ์ ลร์ (Maginot line) ไว้ หมู่กองทัพ A มี 3
กองทัพ เรียงจากขวาไปซ้าย ด้วยกองทัพที่ 4 กองทัพที่ 12 และกองทัพที่ 16 กองทัพที่ 4 มีกองพลยานเกราะที่ 5
และท่ี 7 ข้ึนอยู่ กองพลยานเกราะที่ 6 และท่ี 8 รวมเป็นกองทพั นอ้ ยท่ี 41 พลเอกไรน์ฮาดด์ (Reinhardt) เปน็ แม่ทัพ
กองพลยานเกราะที่ 1, 2 และ 10 รวมเป็นกองทัพน้อยที่ 19 พลเอกกูเดเรียน (Guderian) เป็นแม่ทัพ สองกองทพั
น้อยยานเกราะนี้ข้ึนต่อ พลเอกฟอนไคสต์ (Vonkarl) รวมพลอยู่ในพ้ืนที่ของกองทัพที่ 12 เป็นกำลังหัวหอกที่จะบกุ
โจมตี ใน 10 พฤษภาคม ค.ศ.1940 ได้เริ่มทำการเขา้ ตี รุ่งข้ึนกองระวังป้องกนั ของฝรัง่ เศสทปี่ า่ Ardennes ก็ถูกขับไล่
-89-
ถอยไปทางตะวนั ตก 12 พฤษภาคม กูเดเรียนโจมตีและยดึ เมอื ง Bouillon ได้ และก่อนค่ำกองทัพน้อยยานเกราะที่
19 ของกูเดเรียน ก็ไปถึงฝั่งตะวันออกแม่น้ำ Meuse ที่เมือง Sedan ขณะที่กองทัพน้อยยานเกราะที่ 41 เข้าประชิด
เมอื ง Montherme และกองพลยานเกราะท่ี 7 ของรอมเมล (Rommel) รุกไปถงึ เมอื ง Houx ใน 13พฤษภาคม กำลงั
ของเยอรมันกข็ ้ามแมน่ ้ำ Meuse ได้ โดยใช้เครอ่ื งบนิ ดำทง้ิ ระเบดิ โจมตีกำบังให้การรุกได้เร่มิ ขึ้นใหม่ใน 16 พฤษภาคม
หลังจากน้ันเปน็ การรุกแขง่ กันไปใหถ้ งึ ช่องแคบอังกฤษ พอถงึ 20 พฤษภาคม เมือง Montreuil, Doullens, Amiens
และ Abbeville ก็ถูกยึดหมด เส้นทางคมนาคมของอังกฤษถูกตัดขาด ไม่มีการต้านทานตามทางที่ไปสู่ท่าเรือที่ช่อง
แคบเยอรมัน ใช้เวลา 11 วัน วัดการรุกได้ 220 ไมล์ ตัดการติดต่อสื่อสารของกองบัญชาการอังกฤษและฝรั่งเศส ให้
เปน็ อัมพาตไป เยอรมนั ได้ประสบผลสำเรจ็ อย่างดีย่ิงในสงครามสายฟ้าแลบ โดยอาศัยความเรว็ ในการเคล่ือนที่การจู่
โจม และการประสาน การปฏบิ ตั ริ ะหว่างกำลงั ทางบกกบั ทางอากาศ อยา่ งไม่เคยปรากฎมากอ่ น ขณะที่ใชก้ ารโฆษณา
ชวนเชอื่ โหมกระพือขา่ วให้เกดิ การสับสนและเสยี ขวัญ ท้งั ในสนามรบและแนวหลัง
4. การยทุ ธในแอฟริกา
เยอรมันกับอิตาลีมุ่งหมายที่จะเข้าครอบครองอียิปต์และคลองสุเอช โดยอิตาลีได้เปิดฉากการรุก
จากลิเบียไปหาอียิปต์ ในกันยายน ค.ศ.1940 กำลังของอิตาลีมากกว่าอังกฤษที่ป้องกันรักษาอียิปต์ แต่ไม่มีความ
คล่องแคล่ว ยานยนต์มีจำกดั ดำเนนิ กลยุทธ์ไม่ได้และขาดการจู่โจม เม่ือทำการรุกไปในทะเลทรายได้เพียง 70 ไมล์ ก็
ต้องหยุดอยู่ที่ไซได บารานไน (Sidi Barrani) ถึง 2 เดือน อังกฤษพยายามป้องกันโดยการเข้าตีแล้วถอยด้วยกองพล
ยานเกราะที่ 7 และกองพลทหารราบที่ 4 อินเดีย เมื่อเข้าตีแล้ว กองพลอินเดียได้ถอยกลับไปที่ซูดาน (Sudan) เพ่ือ
ปอ้ งกันการโจมตีของอิตาลี ทีอ่ ย่ใู นอรี ิเตรีย (Eritrea) และ อาเบยี ซนิ ิส Abyssinis ตอ่ มาใน 9 ธันวาคม อังกฤษไดเ้ ข้าตี
โอบอิตาลี จับเชลยได้ 35,000 คน กำลังของอิตาลีที่ไม่ถูกจับต้องถอยไปบาร์เดีย (Bardia) บางส่วนได้ถอยไป
Benghazi แล้วไปยังทริโปลี (Tripoli) โดยถูกกองพลยานเกราะที่ 7 ไล่ติดตามไปถึงเบนกาซี (Benghazi) ใน 5
กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.1941 และทำการโจมตีจนกำลงั อติ าลียอมแพถ้ ูกจับเป็นเชลย 21,000 คน ในตอนน้ีกำลังส่วนหน่ึงของ
Afrika Korps เยอรมันได้เดินทางไปถึงทริโปลี (Tripoli) แต่ไม่ทันที่จะช่วยอิตาลีได้ กำลังกองทัพน้อยยานเกราะใน
บังคับบญั ชาของ นายพลเออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) น้ี ไดท้ ำการยทุ ธอยูใ่ นแอฟริกาเหนือ นานถึง 2 ปกี วา่
ใน 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1941 กองทัพที่ 8 ของอังกฤษ ได้ทำการเข้าตีกองทัพน้อยของรอมเมล
แตต่ อ้ งพา่ ยแพท้ ง้ั ๆ ท่กี ำลังมากกว่าและคล่องแคล่วกวา่ เพราะรอมเมลทำการโอบและล่อใหร้ ถถงั อังกฤษเข้าไปอยู่ใน
วงล้อมของรถถังเยอรมัน และการระดมยิงด้วยปืน 88 มม. ทำให้อังกฤษต้องเสียทั้งความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์
และรถถงั จำนวนมาก รอมเมลได้ขยายผลโดยรุกโอบลึกต่อกองทัพท่ี 8 แต่กำลังยานเกราะ 3 กองพลไดร้ กุ ไกลเกินไป
ขาดการติดต่อกับส่วนใหญ่ กำลังยานเกราะของอังกฤษที่เยอรมันรกุ ผ่านไปจึงเข้าโจมตเี ข้าเชื่อมต่อกับของอังกฤษท่ี
Trobruk ในธันวาคม เยอรมันก็ต้องถอนตัวออกจากการยุทธรอบเมืองโทรบรุค Trobruk และถอยไปยังกาซีล่า
(Gazala) และต้องไปถงึ แนวรบไตรโปลิตาเนีย (Tripolitania) ซึง่ รอมเมลไดโ้ อบปีกกำลงั ของอังกฤษท่ีเข้าตีได้ชัยชนะ
ไปอีกคร้งั เมอ่ื 27 ธันวาคม 1941
แนวรบได้สงบนิ่งอยู่ 3 เดือน พอถึงเดือนพฤษภาคม รอมเมลได้ใช้หน่วยยานเกราะรุกโอบปีก
ในคนื วันที่ 26 ทำใหก้ องทัพท่ี 8 องั กฤษเสยี หลกั แตร่ อมเมลก็เกือบเสยี ทีองั กฤษ เมอ่ื ไปวางกำลังตัง้ รบั ขา้ งหน้าสนาม
ทุนระเบิดที่อังกฤษทำไว้ แต่สามารถแก้ไขสถานการณท์ ำการรุกเขา้ โอบปีกไดอ้ ีกคร้ัง กำลังบางส่วนขององั กฤษถอยไป
-90-
Trobruk หน่วยยานเกราะของรอมเมลไล่ติดตามผ่าน Trobruk ไปก่อนแล้วจึงหันกลับเข้าโจมตี นับเป็นการเข้าหา
ข้าศึกทางอ้อมชน้ั ยอด ทั้งในด้านการยทุ ธและจิตวิทยาเยอรมันเข้ายึดไดห้ มดท้งั ยุทโธปกรณ์และยานพาหนะ ซ่ึงช่วย
ให้รอมเมลทำการรุกรบต่อไปได้อีกนาน รอมเมลไล่ติดตามกองทัพที่ 8 ไปจนใกล้หุบเขา Nile แต่ก็ต้องถูกต้านทาน
อย่างทรหด จนต้องหยุดอยู่ที่นั่นหลังจากนั้นไม่นานอังกฤษได้ส่ง นายพล เบอร์นาร์ด ลอว์ มอนต์โกเมอรี่ (Gen
Bernard low montgomorey) ไปเป็นแม่ทพั กองทัพที่ 8
รอมเมล เป็นฝ่ายเข้าตีก่อนในปลายเดือนสิงหาคม รถถังเยอรมันถูกทุ่นระเบิดและเสียหาย
เพราะการเขา้ ตีครั้งนไ้ี มน่ อ้ ย เน่อื งจากถูกกองพลยานเกราะท่ี 7 โอบปกี กองทัพท่ี 8 ไดห้ ยดุ เตรียมการอยู่นาน แล้วจึง
เริ่มทำการรกุ ใหมใ่ นปลายเดือนตลุ าคม โดยมกี ำลังเหนอื กวา่ เยอรมันมากท้งั ทางอากาศ ปนื ใหญ่ และรถถัง การสูร้ บได้
เป็นไปอย่างดุเดือดทั้งสปั ดาห์ เรือบรรทุกน้ำมันที่จะนำไปส่งให้รอมเมล ได้ถูกเรือดำน้ำจมในทะเลเมดิเตอร์ เรเนียน
ทำให้เยอรมันขาดแคลนน้ำมนั เคลื่อนย้ายไมไ่ ดต้ ามต้องการ และเริ่มเป็นฝา่ ยเสียเปรียบรอมเมลได้ท้ิงหน่วยท่อี ุย้ อ้าย
และไมช่ ำนาญการรบ รวมทงั้ ทหารอติ าลีจำนวนมากไวน้ ำเอาหนว่ ย ที่เลือกแล้วขนขนึ้ รถยนต์หนีรอดไปได้ เนื่องจาก
กำลังยานเกราะที่ไดต้ ิดตามน้ำมันไม่พอ ฝนตกหนัก และระยะทางไกลในทะเลทราย รอมเมลถอยหนีไปเร่ือยไมย่ อม
หยดุ จนไปถึงท่มี ่นั ใกล้ เอล อาไกหลา El Agheila 700 ไมล์จาก El Alamain
การรบได้หยุดไปอีก 3 สัปดาห์กว่าที่กองทัพที่ 8 จะจัดกำลังและทำการเข้าตีที่มั่น El Agheila
ของรอมเมล กำลังของรอมเมลได้ตีฝา่ ทหารอังกฤษ เล็ดลอดหนไี ปได้ก่อนท่ีจะถูกระดมยงิ ด้วยปนื ใหญ่ รอมเมลไปหยุด
อีกครั้งที่ Buerat ไกลออกไป 200 ไมล์ และพักอยู่ที่นี่ 3 สัปดาห์ แต่เมื่อกองทัพที่ 8 ตามมาทัน และเข้าตีอีกใน
กลางเดือนมกราคม รอมเมลก็ถอยหนตี ่อไปอกี คราวน้ีถอยไปเรอื่ ยถึง 350 ไมล์ ผ่าน Tripoli ไปยงั แนว Mareth หลัง
พรมแดน Tunisia เนื่องจากกำลงั นอ้ ยลง เรอื ขนสง่ ส่วนมากถูกจม และอังกฤษกบั สหรัฐฯ ไดบ้ ุกโมรอคโค (Morocco)
และเอลเกเรีย (Algeria) เมื่อพฤศจิกายน ปีที่แล้ว เยอรมันไดส้ ่งกำลังทหารไปเสริม โดยทางอากาศและเรือชายฝงั่
ขนาดเล็กใกล้ ๆ ตูนิส (Tunis) เพื่อที่จะยันกองทัพพันธมิตรที่ 1 การนำเอากำลังกองหนุนของเยอรมันและอิตาลี
จำนวนมากข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนยี นไปเสริมท่ตี ูนิเซยี (Tunisia) ช่วยใหก้ ารยกพลข้ึนบกยโุ รปของฝา่ ยพันธมิตรที่จะ
กระทำสะดวกขึ้น แอฟริกาเหนือจงึ เป็นเหยื่อ ทางยุทธศาสตร์ ประกอบกับการบุกโซเวียตของเยอรมันทำให้ฮิตเลอร์
พลาดท่าเสียที เช่นเดียวกับที่สเปน เป็นเหยื่อใหน้ โปเลียนพลาดมาแลว้ แนวรบของเยอรมนั ยาวเหยียดจากแอฟริกา
เหนือจนถึงโซเวียตการทำศึกหลายด้านที่ห่างไกลกันเช่นนี้ ทำให้ความฝันของฮิตเลอร์ต้องสลายลงแบบเดียวกับ
นโปเลียน
การยุทธในปี ค.ศ.1943 ที่Tunisia ได้เริ่มขึ้นอีก โดยเยอรมันเป็นฝ่ายตีโต้ตอบก่อน
ทำให้ฝา่ ยพนั ธมิตรถึงกับตกตะลึง เพราะตอนน้ันฝ่ายพันธมิตรมีกำลงั เพ่ิมขนึ้ เปน็ 2 กองทัพ กองทพั ที่ 1 ของอังกฤษ
สหรัฐฯ ที่ตะวันตก และกองทพั ที่ 8 ขององั กฤษ ที่อยทู่ างตะวนั ออก จะโจมตีเข้าบีบกำลงั ของเยอรมันเสียเม่ือไรก็ได้
แต่ทางฝ่ายเยอรมันก็ได้รับกำลังเพ่ิมเติม จดั เป็นกองทพั ขึ้นมาเหมือนกัน รอมเมลตง้ั ใจจะใช้กลยุทธ์ทางเส้นในแบบน
โปเลยี น ทีท่ มุ่ กำลังเขา้ ตีขา้ ศึกทีละกองทพั ใหแ้ ตกพ่ายไปแผนของรอมเมลนับว่าหลักแหลมทีเดียว แต่การปฏิบัติตาม
แผนกลบั เกิดปญั หายุ่งยาก เพราะกำลงั ส่วนหนึง่ ของอิตาลที ี่ใช้ดำเนนิ กลยทุ ธไ์ มไ่ ด้อยู่ในความควบคมุ ของรอมเมล การ
เข้าตี Thala จึงล้มเหลว รอมเมลต้องถอนตัวจากการเข้าตี พอวันรุ่งข้ึนได้มีคำสัง่ จากโรม ให้กำลังฝ่ายอักษะทั้งหมด
ขึ้นในบังคับบัญชารอมเมล แต่ก็สายไปเสียแล้ว รอมเมลเข้าตีอีกครั้ง จากแนว Mareth ใน 6 มีนาคม ค.ศ.1943 แต่
-91-
ตอนน้ี มอนต์โกเมอรี มีรถถงั ถงึ 400 คนั กับปืนใหญ่ตอ่ สู้รถถงั กวา่ 600 กระบอก การเข้าตคี ร้ังนี้ เยอรมนั เสยี รถถงั ไป
50 คัน ทำให้เสียเปรยี บในการยุทธทีจ่ ะกระทำตอ่ ไป พอดกี ับรอมเมลปว่ ยตอ้ งกลบั ไปยโุ รป
การรกุ ของกองทพั น้อยท่ี 2 ของสหรัฐฯ ของ นายพลยอร์ช เอส แพตตนั (Gen George S. Patton)
เม่ือ 17 มนี าคม ทลี่ ้มเหลว เพราะถูกตา้ นทานหยดุ อยู่ทีช่ ่องเขา ทำใหเ้ ยอรมันพยายามจะทำการรุกบ้างแต่ก็ไม่สำเร็จ
และเสียรถถังไปอีก 40 คัน เป็นเหตุให้กำลงั อ่อนลงไปอีก ยากแก่การต้านทานการรุกของมอนต์โกเมอรี่ กองทัพที่ 8
ได้เริ่มเข้าตีแนว Mareth ในคืน 20 มีนาคม ทำให้เยอรมันต้องชิงละทิ้งที่มั่นในแนวนี้โดยไม่เสียกำลังไปมากนัก
เยอรมันได้ทำการรบหน่วงเวลาเป็นขั้น ๆ ไปยังตูนีส (Tunis) ซึ่งคาดว่าจะต้านทานต่อไปได้อีกนาน และอาจจะถอน
กำลังออกจากแอฟริกา กลับไปยังซิซิลี (Sicily) เลยก็ได้ การถอยของกองทัพยานเกราะแอฟริกาของรอมเมลจาก El
Alamein ถึง Tunis เป็นระยะทาง 2,000 ไมล์นี้ นับได้ว่า เป็นการปฏิบัติการที่ดีเด่นในประวัติศาสตร์การสงคราม
เยอรมันได้ตา้ นทานการรุกล้อมเข้าโจมตีของฝ่ายพันธมิตร ทั้งทางเหนือและใต้อย่างทรหด ใน 7 พฤษภาคม กองพล
ยานเกราะของอังกฤษกเ็ ข้าเมอื ง Tunis ได้ ทหารเยอรมันกวา่ 250,000 คน ถูกจับเป็นเชลย
สาเหตุของการพ่ายแพ้ของเยอรมันในตอนสุดท้ายนี้ เนื่องจากอาวุธยุทโธปกรณ์เสียหาย
เพราะการโจมตที างอากาศและการโอบล้อมเข้าดา้ นหลงั แนวรบโดยหน่วยรถถัง การตดิ ตอ่ ส่อื สารถูกตดั ขาดทำให้เกิด
การเสยี ขวัญอย่างมาก ประกอบกับขาดกำลงั กองหนุน การที่ฐานทัพเยอรมันตั้งอยู่ใกล้กับแนวทีม่ ่ันต้ังรับ ซ่ึงถูกเจาะ
เข้าไปได้ กเ็ ปน็ อีกสาเหตุหนึง่ ที่ทำให้เยอรมนั ต้องพา่ ยแพ้ เพราะทหารในฐานทัพพากันแตกตนื่ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งเมื่อ
ขา้ งหลงั พวกเขาเปน็ ทะเลทีฝ่ ่ายพันธมติ รครองอยู่ รวมท้ังทางอากาศด้วย
อนึ่ง ในการยุทธครั้งสุดทา้ ยนี้ ฝ่ายพันธมิตรได้ดำเนินกลยทุ ธแ์ บบนโปเลยี นและเหมือนกับการยทุ ธ
ที่แม่น้ำ Marne ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ค.ศ.1914 โดยไม่ได้ตั้งใจ กล่าวคือ ได้เข้าตีลวงทางปีกของเยอรมันทำให้
เยอรมันตอ้ งยึดแนวรบออกไปต้านทาน และเกิดจดุ อ่อนให้ทำการเขา้ ตีแตกหักในบริเวณอ่นื การยุทธในแอฟรกิ าน้ีได้ให้
บทเรียนทั้งในด้านการส่งกำลังบำรุง และจิตวิทยาหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าหาข้าศึกทางอ้อมใน
รปู แบบตา่ ง ๆ ทค่ี วรสนใจและศกึ ษาโดยละเอียดอย่างมาก
5. การรกุ โตต้ อบของฝา่ ยพนั ธมติ ร
เมื่อฮิตเลอร์เปลี่ยนใจไม่บุกเกาะอังกฤษแล้วหันไปบุกโจมตีโซเวียตแทน ในตอนแรกของการบุก
เยอรมันสามารถตีกองทัพของโซเวียตแตกพ่ายจนต้องถอยร่นไปถึงเมืองสตาลินกราด (Stalingrad) และมอสโก
(Moscow) แตแ่ ลว้ กต็ อ้ งไปผจญกับความโหดร้ายทารณุ ของความหนาวในฤดหู นาว และการต่อส้อู ย่างทรหด จนต้อง
พ่ายแพ้แก่โซเวียตที่ Stalingrad และถอยจากเทือกเขา Caucasus ทำให้เยอรมันหมดหวังที่จะเอาชนะโซเวียตได้
อย่างเด็ดขาด การยุทธปี ค.ศ.1942-1943 ในโซเวียต ได้แสดงให้เห็นว่ายุทธศาสตร์ ในเชิงรุกด้วยกำลังอันจำกัดใน
พ้นื ทกี่ ว้างใหญ่ไม่จำกัดนน้ั ย่อมกระทำได้อย่างจำกัด ในปี ค.ศ.1943 กำลังของเยอรมันเหลือน้อยขณะที่ของโซเวียต
เพิ่มมากขึ้น ยากที่เยอรมนั จะทำการต้ังรับต้านทานโซเวยี ต ที่ทำการรุกโต้ตอบได้สำเร็จ ถ้าเยอรมันจะทำให้สำเร็จก็
จะต้องปล่อยทิ้งดินแดนที่ยึดไว้ได้อย่างมากมาย แล้วทำการร่นถอยโดยตั้งรับแบบยืดหยุ่น ให้โซเวียตรุกไกลออกมา
จากใจกลางประเทศ เป็นการผสมผสานยุทธศาสตรเ์ ชงิ รุกกบั เชงิ รบั ใหม้ ีโอกาสทำการตอบโต้ได้อย่างฉับพลัน
แต่ฮิตเลอร์ฝังใจติดอยู่แต่การทำการรุกตามหลักที่ว่า การเข้าตีเป็นรูปแบบของการตั้งรับดีที่สุด
รองลงไปเปน็ การต้านทานอย่างเหนียวแน่น ฮิตเลอร์ไม่ยอมคิดถึงเรือ่ งการถอยเลย เมื่อปรากฎว่าเยอรมันขาดแคลน
-92-
กองหนนุ และแนวตงั้ รบั ท่ียึดอย่เู ป็นอนั ตราย ฮติ เลอร์กไ็ ม่ยอมถอย กลับใหก้ องทพั ทำการเข้าตอี ีกคร้ังในฤดูรอ้ นปี ค.ศ.
1943 เป็นเหตุให้เยอรมันต้องพยายามสู้พลางถอยพลางจากปี ค.ศ.1942 จนถึงกรกฎาคม
ค.ศ.1944 ต้ังแตแ่ นวรบดา้ นทะเลบอลติก (Baltic) ในโซเวียตลงมาจนถึงโรมาเนีย การยกพลขนึ้ บกของฝ่ายพนั ธมิตรที่
เกาะชิชิลี (Sicily) เมื่อ 10 กรกฎาคม ที่ทำให้ฝ่ายอักษะในอิตาลีต้องพ่ายแพต้ ่อมา เมื่อกันยายน ค.ศ.1942 ซึ่งได้รับ
ผลกระทบจากผลการรบท่ีตูนิส (Tunis) ด้วย ได้ทำให้เยอรมันต้องโยกย้ายเอากำลังไปช่วยท่ีแอฟริกา เป็นการทำให้
กำลังเยอรมันในยุโรปลดน้อยลง และฝ่ายพนั ธมิตรโจมตีทางอากาศไดก้ วา้ งขวางมากข้ึน
การโจมตีทางอากาศต่อแหล่งอุตสาหกรรมของเยอรมัน นับได้ว่าเป็นการเข้าหาหรือโจมตีข้าศึก
ทางอ้อม ถ้าการท้ิงระเบดิ ทางยทุ ธศาสตรส์ ามารถทำลายระบบการส่งกำลงั บำรุง แทนท่ีจะเป็นแหลง่ ชมุ นมุ ชน กจ็ ะทำ
ให้การตา้ นทานของเยอรมันอ่อนกำลังลงเร็วขน้ึ และถ้าสามารถทำลายระบบการติดตอ่ สื่อสารไดก้ ็จะเป็นการทำลาย
ขวญั ในการตอบโตก้ ารรกุ ของฝา่ ยพันธมิตร
ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่กรุงโรมถูกฝ่ายพันธมิตรยึดได้ ฝ่ายพันธมิตรก็ได้ยกพบขึ้นบกที่หาดนอร์มังดี
(Normandy) นับว่าเป็นการยุทธขั้นแตกหักของสงครามที่น่าทึ่งมาก การยกพลขึ้นบกได้เลื่อนกำหนดมาวันหนึ่ง
เพราะอากาศเลว แต่ถึงกระนั้นในตอนยกพลก็ยังมีพายุรุนแรงอยู่ดีการตัดสินใจยอมเสี่ยงของ นายพล ไอเซนเฮาว์
(Eisenhower) ผู้บัญชาการสูงสุดฝ่ายพันธมิตรได้ผลในการจู่โจมตีมากการขึ้นบกกระทำที่อ่าว Seine ระหว่างเมือง
Caen กับ Cherbourg ในตอนเช้าตรู่ของ 6 มิถุนายน ค.ศ.1944 โดยส่งกำลังพลส่งกำลังพลร่มจำนวนมากโดดลงที่
ใกล้ ๆ ปกี ทั้งสองขา้ งของหวั หาด ทา่ มกลางความมืดก่อนรุ่งสว่าง การโจมตที างอากาศต่อระบบการติดต่อสื่อสารของ
เยอรมันได้กระทำล่วงหน้าอยา่ งต่อเนื่องและรุนแรงทีส่ ุด เพื่อทีจ่ ะขัดขวางไม่ให้เยอรมันเคลือ่ นย้ายกำลงั กองหนุนซ่ึง
ส่วนใหญอ่ ยู่ทางตะวนั ออกของแมน่ ำ้ Seine เข้ามาในพ้นื ท่ยี กพลข้ึนบกได้
การที่เยอรมันวางกำลังกองหนุนไว้ในบริเวณดังกล่าว ก็เพราะเชื่อว่าฝ่ายพันธมิตรจะยกพลขึ้นบก
ท่ีแถบเมืองคาไซส์ ซึง่ มรี ะยะหา่ งของช่องแคบสัน้ ทสี่ ดุ การโจมตที างอากาศทำลายสะพานข้ามแมน่ ้ำ Seine โดยฝ่าย
พันธมิตร ประกอบกับการลวงด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การสร้างที่รวมพล รถถัง คลังสิ่งอุปกรณ์ ฯลฯ หลอก ๆ เป็น
กองทพั ผีข้นึ มาทบ่ี ริเวณชายฝง่ั อังกฤษตรงข้ามเมือง Calais ได้มสี ว่ นในการทำให้เยอรมนั คิดคำนวณการยกพลข้ึนบก
ของฝ่ายพันธมิตรผดิ พลาด การต้านทานของเยอรมันทช่ี ายหาดเบาบางกว่าที่คาดไว้มาก การยกพลข้นึ บกจงึ กระทำได้
ง่าย นอกจากทางด้านปีกซ้ายซึ่งเป็นเขตหัวหาดของสหรัฐฯ ทางตะวันออกของ Vire Estuary ใน 12 มิถุนายน ฝ่าย
พันธมิตรกส็ ามารยึดหวั หาดได้กวา้ งกว่า 60 ไมล์
หลังจากที่ฝ่ายพันธมิตรยกพลขึ้นบกได้แล้ว เยอรมันได้โจมตีเกาะอังกฤษด้วยเครื่องบินไอพ่น V-1
(Vergeltungswaffe อาวุธตอบโต้) เป็นเครื่องบินไอพ่นไม่มีนักบิน บรรทุกดินระเบิดแรงสูง 1 ตัน เยอรมันหวังที่จะ
สร้างออกใช้ได้เดือนละ 5,000 เครื่อง แต่การโจมตีทิ้งระเบิดของฝ่ายพันธมิตรได้ทำให้การสร้างลดลงและปล่อยไป
โจมตีอังกฤษได้ทั้งหมดเพียง 10,500 เครื่อง ประมาณ 1 ใน 3 ได้ไปถึงเปา้ หมายทำใหป้ ระชาชนเสียชวี ิต 6,194 คน
เนื่องจากถูกขัดขวางจากปืน เรือเหาะ และเครื่องบินขับไล่ ต่อมาตั้งแต่ 8 กันยายน ค.ศ.1944 เยอรมันกไ็ ดใ้ ช้จรวด
V-2 เป็นจรวดทอ่ นเดยี ว บรรทุกดนิ ระเบิด 10 ตัน มีความเร็วเหนอื เสยี งทไ่ี ม่อาจป้องกนั ได้อย่าง V-1 เยอรมนั ยงิ ไปตก
ทอ่ี งั กฤษได้ 1,115 ลูก ประชาชนเสยี ชีวติ ไป 2,754 คน นบั ไดว้ ่าเป็นการเรมิ่ ต้นของสงครามกดปุ่ม ซึง่ ไอเซนเฮาว์เช่ือ
ว่า ถ้าเยอรมันออกใชก้ ่อนหน้านี้สัก 2 เดือน ก็จะทำใหก้ ารเตรยี มยกพลขน้ึ บก ยากลำบากข้นึ มากทีเดยี ว
-93-
ในสัปดาห์ที่ 2 ของการยกพลขึ้นบกกองทัพที่ 1 สหรัฐฯ ได้รุกไปถึงท้ายแหลม Cherbourg
ขณะที่กองทัพท่ี 2 อังกฤษทางปกี ตะวนั ออก คอยปอ้ งกันกำลงั เสริมของเยอรมนั Cherbourg ได้จากทางด้านหลังใน
27 มถิ ุนายน ในเดือนกรกฎาคม ได้มกี ารสู้รบกนั อยา่ งดเุ ดอื ด จนสูญเสยี กันฝ่ายละมาก ๆ โดยไม่ได้ผลคบื หนา้ อะไรนัก
ในช่วง 3 สัปดาห์แรกของกรกฎาคม กำลังสหรัฐฯ ของนายพลแบรด (Briand) เลยรุกไปได้เพียง 5-6 ไมล์เท่าน้ัน
ขณะท่ีกองทพั ที่ 3 สหรัฐฯ ของนายพลแพตตัน (Patton) ได้ขา้ มจากเกาะองั กฤษมาขน้ึ ฝง่ั ที่ Normandy พร้อมท่ีจะ
ทำการรุกใหญ่ใชช้ ่ือว่า Operation Cobra ซง่ึ เร่ิมใน 25 กรกฎาคม ดว้ ยกำลงั 6 กองพล กว้างดา้ นหน้า 4 ไมล์ ทำการ
โจมตีทิ้งระเบิดอย่างรุนแรงยิ่งกว่า Operation Goodwood ที่กำลัง 3 กองพลยานเกราะทำการรุกจากหัวหาดทาง
ตะวนั ออกเฉยี งเหนือของเมอื งคีน (Caen)
ขบวนรถถังของนายพลแพตตัน ได้รุกลงทางใต้แล้วไปทางตะวันตกด้านเหนือของ Loire มุ่งไปยัง
Le Mans และ Chartres กว้างด้านหน้าเดิมที่หัวหาด 70 ไมล์ ได้ขยายออกไปเป็น 400 ไมล์ กว้างเกินกว่า ที่กำลัง
ของเยอรมันทม่ี อี ยู่จะยับยงั้ การรุกของฝ่ายพันธมิตรได้ เยอรมันพยายามตีโต้ตอบใน 6 สิงหาคม ด้วย 4 กองพลรถถัง
แต่ก็ถกู ต้านทานไวไ้ ดแ้ ละถูกฝ่ายพันธมิตรโจมตีทางอากาศ จนต้องล่าถอยไปทางตะวันตกแลว้ ไปถูกกำลังของสหรัฐฯ
เข้าโอบดา้ นหลังร่วมกบั กองทพั แคนาดาอีกด้านหนง่ึ เยอรมันถูกจบั เป็นเชลย 50,000 คน ศพทหารกระจดั กระจายใน
สนามรบอกี 10,000 คน ฝ่ายพนั ธมิตรไดใ้ ช้ความเร็วรกุ ผ่านกำลงั ส่วนใหญ่ของเยอรมนั ไปเร่ือย ๆ พ้ืนท่ีซึ่งกว้างขวาง
และความรวดเร็วในการเคล่อื นท่ี ไดช้ ่วยให้ฝา่ ยพนั ธมติ รรกุ ไปทางตะวนั ออกได้ โดยใช้กำลังหนว่ ยยานยนต์ที่เหนือกว่า
การพ่ายแพ้ของเยอรมันในฝรั่งเศสอย่างรวดเร็ว เปิดโอกาสให้ฝ่ายพันธมิตรนำกำลังกองทัพที่ 7
สหรัฐฯ กับฝรั่งเศสไปขึ้นบกทางใต้ของฝรั่งเศสเมื่อ 15 สิงหาคม ซึ่งประสบการต้านทานด้วยกำลังเพียง 4 กองพล
เมือง หมากเซสส์ (Marseilles) ถูกฝ่ายพันธมิตรยึดได้ใน 23 สิงหาคม แล้วเคลื่อนที่ต่อไปถึงเมืองกรีโนเบล
(Grenoble) ในวนั เดียวกัน หน่วยยานเกราะของฝ่ายพันธมติ รเข้ากรุงปารีสได้ ใน 25 สิงหาคม การรกุ รบท่แี ล้วมาและ
ต่อ ๆ ไปใน ฝรั่งเศส ทำให้ทหารเยอรมันต้องถูกจับเป็นเชลยมากกว่า 500,000 คน เยอรมันไม่มีทางที่จะใช้กำลัง
กองหนุนยึดรักษาแนวตงั้ รบั ซ่งึ ยาวถึง 500 ไมล์ จากสวิตเซอรแ์ ลนด์ไปถงึ ทะเลเหนอื ไวไ้ ด้ แต่เยอรมันกส็ ามารถสพู้ ลาง
ถอยพลางอยา่ งทรหด ทำให้สงครามยืดเย้ือออกไปอกี ถึง 8 เดือน ฝ่ายพันธมติ รไดส้ ง่ กองพลสง่ ทางอากาศท่ี 1 ไปลงท่ี
เมือง อัมเฮม (Arnhem) ซึ่งไกลจากแนวรบมาก โดยต้องเสียกำลังไปเปล่า ๆ หลังจากการสู้รบอย่างโดดเดี่ยวอยู่ 10
วนั ทำใหค้ วามหวงั ท่ีจะได้ชยั ชนะสงครามต้องเลอื นรางไป ต่อมาในกลางเดือนพฤศจกิ ายน ฝ่ายพนั ธมิตรได้ทำการรุก
ใหญอ่ กี ด้วยกำลัง 6 กองทพั ทางแนวตะวันตก แตไ่ มป่ ระสบผลสำเร็จ และต้องเสยี หายอย่างหนักเนื่องจากสภาพภูมิ
ประเทศไม่อำนวย และเยอรมนั คาดหมายการเข้าตีตามแนวรบไดถ้ กู ต้อง
กลางเดือนธันวาคม เยอรมันได้ทำการรุกโต้ตอบครั้งใหญ่จากป่าอาร์เดนนิส (Ardennes) ด้วย
กองทัพรถถงั ที่ 5 และ 6 โดยอาศัยสภาพอากาศทีไ่ ม่ดีกำบังการโจมตีทางอากาศของฝา่ ยพนั ธมิตร แต่การรุกของรถถัง
เยอรมันก็มีปัญหาในการที่ตอ้ งไปอัดแอกันตามถนนต่าง ๆ ที่มีสภาพเปน็ คอขวด จุดหมายในการรุกของเยอรมันก็คอื
ตอ้ งการจะมุ่งไปสูเ่ มอื งอาทเวฟ โดยทางอ้อมเพ่อื ตัดกองทัพองั กฤษให้ขาดจากกองทัพสหรัฐฯ และการส่งกำลัง การจู่
โจมได้ช่วยให้กองทัพรถถังที่ 5 เยอรมัน รุกไปได้มากในวันแรก ๆ ขณะที่กองทัพที่ 6 รุกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ผ่านเมือง Liege ไปยัง Antwerp เพื่อตลบหลังกองทัพอังกฤษแต่ ปรากฎว่าเยอรมันต้องเสยี โอกาสเพราะขาดน้ำมัน
เนอ่ื งจากถกู โจมตีทางอากาศและตอ้ งถอยเมอ่ื ฝ่ายพนั ธมติ รไดร้ วบรวมกำลงั จะทำการตีโต้ตอบ แมว้ ่าเยอรมันยังไปไม่
-94-
ถึงที่หมาย แต่ก็ทำความเสียหายให้แก่ฝ่ายพันธมิตรได้มากเหมือนกันหากจะพิจารณาถึงสถานการณ์ในส่วนรวมแล้ว
การรุกโต้ตอบของเยอรมันคร้งั น้ี เปน็ การผิดพลาดโดยที่ใช้กำลงั ไปมากขณะที่ยงั มีความจำเปน็ จะตอ้ งใช้ต้านทานฝ่าย
พนั ธมิตรตอ่ ไปอีกให้นาน ๆ
สำหรับทางด้านโซเวียตตั้งแต่สิงหาคมจนถึงสิ้นปี ค.ศ.1944 สถานการณ์ในแนวรบสงบเงียบอยู่
จนเม่ือ 13 มกราคม ค.ศ.1945 โซเวียตจงึ ได้ทำการรุกใหญ่เขา้ ไปในโปแลนด์ และยึดกรุงวอรซ์ อร์ (WarSaw) ไดใ้ น 17
มกราคม เยอรมนั ตอ้ งทำการตงั้ รับดว้ ยกำลงั ไม่มากนกั และขาดความคล่องแคล่ว โซเวยี ต ยงั คงรกุ ตอ่ ไปเรอื่ ยๆ จนเข้า
กรุงเวียนนา (Vienna) ในออสเตรีย เมื่อ 13 เมษายน แล้วมุ่งเข้าหา กรุงเบอร์ริน (Berlin) ซึ่งห่างจากเมืองโอเดอร์
(Oder) เพียง 50 ไมล์ ขบวนรถถงั โซเวยี ตไปถงึ Oder ใน 31 มกราคม และเข้ากรุง Berlin ไดใ้ น 2 พฤษภาคม
ขณะที่โซเวียตพยายามเข้ายึดเมือง Oder กองทัพสหรัฐฯได้ทำการรุกใหญ่ ในต้นเดือนกุมภาพันธ์
เพอ่ื ทำลายกำลงั ของเยอรมนั ทางตะวนั ตกของแมน่ ้ำไรน์ (Rhine) ก่อนทีจ่ ะถอยขา้ มไปได้ กำลงั ของสหรฐั ฯ เข้าเมือง
โคโลนน์ (Cologne) ได้ใน 5 มีนาคม แต่เยอรมันก็ถอยข้ามแม่น้ำไรน์ (Rhine) ไปได้ พร้อมด้วยยุทโธปกรณ์จำนวน
มาก ใน 23 มีนาคม ฝ่ายพันธมิตรได้ข้ามแม่น้ำตามเยอรมันไปในตอนกลางคืน 4 จุดด้วยกัน และส่งกองพลส่งทาง
อากาศ 2 กองพลลงในตอนเช้า เยอรมันได้ต้านทานอย่างอ่อนระโหยทุกหนแห่ง แต่สงครามก็ยังไม่ยอมยุติลงง่ายๆ
และได้ยืดเยอ้ื ตอ่ ไปอีกถงึ เดอื นกว่า ไมใ่ ชเ่ พราะการต้านทานอย่างดุเดือดของกำลังเยอรมนั ในยุทธบริเวณต่างๆ แต่ด้วย
การที่ฝ่ายพนั ธมิตรเองมีปัญหาในการส่งกำลังบำรุงการท่ีถนนหนทางเต็มไปด้วยสิ่งปรักหักพงั ทำให้เคลื่อนที่ผ่านไปไม่
สะดวกและความยุ่งยากทางการเมือง สัญญาณการยุติสงคราม โดยปรากฏขึ้นเอาตอนทีฝ่ ่ายพันธมิตรข้ามแม่น้ำไรน์
(Rhine) ไปไดแ้ ล้วน่ันเอง ฮติ เลอรไ์ ด้ฆา่ ตัวตายในกรงุ Berlin เมอ่ื 30 เมษายน ต่อมาใน 1 พฤษภาคม กองทพั เยอรมนั
ในอิตาลีได้ยอมแพ้แล้วใน 4 พฤษภาคม กองทัพเยอรมันด้านตะวนั ตกเฉียงเหนือก็ยอมแพ้การทำสัญญายอมแพท้ ั่วไปได้ลง
นามกันท่ีกองบัญชาการของไอเชนเฮาว์ทเ่ี มืองรมี ส์ (Reims) เม่อื 7 พฤษภาคม ค.ศ.1945
จากการศกึ ษาพจิ ารณาการยุทธต่างๆ ในแตล่ ะยทุ ธบริเวณ จะเห็นได้ว่าแมก้ ำลังของเยอรมันจะน้อย
กว่าฝ่ายพนั ธมิตรที่เข้าตี ก็สามารถทำการตา้ นทานอยู่ได้ถึงหลายเดือน แทนทจ่ี ะเป็นเพยี งสัปดาหเ์ ดียวตามทฤษฎีและ
เมื่อทำการยดึ รักษาที่มัน่ ด้วยกำลังที่เพียงพอ เยอรมันกย็ งั สามารถตีโต้ตอบให้ฝ่ายพันธมิตรต้องล่าถอยไปได้ แม้จะมี
กำลงั เหนอื กวา่ เยอรมันถงึ 6 ตอ่ 1 บางครงั้ ก็ถงึ 12 ตอ่ 1 เยอรมันและญ่ปี นุ่ ไม่ได้แพ้สงคราม เพราะมีกำลังน้อยกว่า
แต่เพราะความกว้างใหญ่ไพศาลของยุทธบริเวณ ที่เกินกำลังของเยอรมันและญี่ปุ่นจะสู้รบให้ชนะได้ทั่วถึง ทั้งสอง
ประเทศไดอ้ มเหย่ือไวเ้ ตม็ ปากมากเกินกว่าที่จะเคี้ยวลงคอไปได้
-95-
คำถามทา้ ยบทที่ 4
สงครามโลกคร้งั ท่ี 2
1. จงบอกรายชอ่ื ประเทศฝา่ ยพนั ธมติ รและฝา่ ยอกั ษะในสงครามโลกครงั้ ท่ี 2 มาใหท้ ราบ
2. สงครามโลกครัง้ ที่ 2 บทบาทของสตรีมีมากข้ึนโดยเฉพาะการมีสว่ นร่วมในสงครามโลก จงอธิบายบทบาทของสตรี
ดงั กล่าววา่ มีสว่ นร่วมในดา้ นใด
3. จงอธิบายยทุ ธศาสตรข์ องฮติ เลอร์ ในสงครามโลกครง้ั ที่ 2 มาพอเข้าใจ
4. ผทู้ ีม่ ีบทบาทอยา่ งมากของอังกฤษ ในสงครามโลกครงั้ ท่ี 2 คือใคร
5. แนวความคิดในการใช้รถถังแก่แม่ทพั เยอรมันในสงครามโลกครง้ั ท่ี 2 เพื่อการเข้าตีบดขยแี้ นวหนา้ แล้วผ่านไปอย่าง
ฉบั พลนั ทันที นนั้ เป็นแนวคิดของแมท่ ัพเยอรมันท่านใด
6. ลักษณะการทำสงครามสายฟา้ แลบของเยอรมนั เพื่อให้เกดิ จิตวทิ ยาในด้านใด
7. ปัจจยั ในการรกุ ของเยอรมันเพอื่ ไปให้ถึงช่องแคบองั กฤษ น้ัน ไม่มีการตา้ นทานตามทางเยอรมัน ใช้เวลา 11 วนั วัด
การรกุ ได้ 220 ไมล์ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ การรบในรูปแบบใด
8. ผูท้ ่ีนำกำลังกองทัพนอ้ ยยานเกราะไปทำการยทุ ธในแอฟรกิ าของฝา่ ยเยอรมัน คอื ใคร
9. แมท่ พั กองทัพท่ี 8 ของฝ่ายองั กฤษ ที่เขา้ ไปแกไ้ ขสถานการณใ์ นแอฟรกิ า คือใคร
10. กำลังของเยอรมันจะน้อยกว่าฝ่ายพนั ธมิตรท่ีเขา้ ตี แต่สามารถทำการต้านทานอยู่ได้ถึงหลายเดือน แม้จะมีกำลัง
เหนือกวา่ เยอรมนั ถงึ 6 ต่อ 1 บางคร้ังกถ็ ึง 12 ต่อ 1 ในการพา่ ยแพ้ของเยอรมนั และญ่ปี ่นุ นัน้ พา่ ยแพ้เพราะปัจจยั ใด