ประสบกำรณส์ ำคญั (อำรมณ์ จติ ใจ) ตัวอยำ่ งประสบกำรณ์
(๒) การฟังนิทานเกย่ี วกับคุณธรรม จรยิ ธรรม
ฟังนทิ าน เรื่องราว เหตกุ ารณ์เก่ียวกบั ความซ่ือสตั ย์
(๓) การร่วมสนทนาและแลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ เชงิ ความเมตตากรณุ า มีน้าใจช่วยเหลือ แบง่ ปัน ความเห็น
จรยิ ธรรม อกเห็นใจ ความรับผดิ ชอบ ประหยัดพอเพียง และความ
มีวินัย
ร่วมสนทนาและแสดงความคิดเหน็ เกยี่ วกบั ข่าว
เร่อื งราว เหตกุ ารณ์ นิทานเก่ียวกับคุณธรรม จรยิ ธรรม
ตามบริบท ของชมุ ชนหรือกลุม่ เป้าหมายเฉพาะ
๑.๒.๔ การแสดงออกทางอารมณ์
(๑) การพูดสะท้อนความรู้สึกของตนเองและผอู้ น่ื บอกเล่า ทาทา่ ทาง ทเ่ี ก่ยี วข้องกับความรสู้ ึกของตนเอง
และผอู้ ื่น ปรับเปลย่ี นความคิดหรือการกระทาเม่ือมี
สถานการณ์ที่เปน็ ปญั หา พูดแสดงความรสู้ กึ หลงั การทา
กิจกรรมศลิ ปะ แสดงสีหนา้ ท่าทาง บทบาทตามตวั
ละคร
(๒) การเลน่ บทบาทสมมติ เล่นและแสดงบทบาทสมมติเป็นตวั ละครตาม หนว่ ย
การจัดประสบการณห์ รือนทิ าน
(๓) การเคลื่อนไหวตามเสยี งเพลง/ดนตรี แสดงท่าทาง เคล่อื นไหวประกอบเสยี งเพลง เสียงดนตรี
หรือจังหวะชา้ และเร็ว
(๔) การรอ้ งเพลง ร้องเพลงประกอบหน่วยการจัดประสบการณห์ รือ เพลง
ทส่ี นใจอยา่ งสนุกสนาน
(๕) การทางานศิลปะ ทากิจกรรมศลิ ปะ เช่น วาดภาพระบายสี ป้ัน ร้อย ฉีก
ตัด ปะ พับ เลน่ กับสนี า้ ประดษิ ฐ์เศษวสั ดุ
๑.๒.๕ การมีอตั ลกั ษณ์เฉพาะตนและเชอ่ื วา่ ตนเองมีความสามารถ
(๑) การปฏิบตั กิ ิจกรรมต่างๆ ตามความสามารถ ของ เล่น/ทางานอยา่ งอิสระตามความถนัด ความสนใจ และ
ตนเอง ความสามารถของตนเอง เช่น กิจกรรมศิลปะ กจิ กรรม
การเคลอ่ื นไหว กจิ กรรมในกิจวตั รประจาวนั (โดยเปิด
โอกาสให้เด็กมีสว่ นร่วมในการตัดสินใจเลอื ก ทา
กิจกรรมเอง บอกได้วา่ ตนเองเปน็ อยา่ งไร ทาอะไร ได้
บา้ ง บอกความเหมือน ความแตกตา่ งของตนเองและ
ผ้อู ืน่ และบอกความคิดของตนเองไดว้ ่า “อยากเปน็
อะไร เมือ่ หนโู ตขึน้ ”)
๑.๒.๖ การเห็นอกเหน็ ใจผอู้ ่ืน
(๑) การแสดงความยินดีเม่ือผู้อื่นมีความสุข เหน็ ใจเม่ือ แสดงความยนิ ดีกบั เพ่ือนเม่ือเพือ่ นมีความสุข เช่น วนั
ผ้อู ่นื เศร้าหรอื เสียใจ และการช่วยเหลือปลอบโยนเมอ่ื เกิด และแสดงความเหน็ ใจเพื่อนหรอื ผู้อ่นื เช่น
ผ้อู นื่ ไดร้ บั บาดเจบ็ ช่วยเหลอื ปลอบโยนเมือ่ เพื่อนร้องไห้หรือบาดเจ็บ
WATMUANG ๔๗
๑.๓ ประสบกำรณ์สำคัญท่ีส่งเสริมพัฒนำกำรด้ำนสังคม เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้มีโอกาส ปฏิสัมพันธ์กับ
บุคคลและส่ิงแวดล้อมต่างๆ รอบตัวจากการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ผ่านการเรียนรู้ทางสังคม เช่น การเล่น การ
ทางานกับผู้อื่น การปฏิบัติกิจวัตรประจาวัน การดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การแก้ปัญหา ข้อขัดแย่ง
ตา่ งๆ ดังนี้
ประสบกำรณส์ ำคัญ(ด้ำนสังคม) ตวั อย่ำงประสบกำรณ์
๑.๓.๑ การปฏิบตั กิ จิ วตั รประจาวัน
(๑) การชว่ ยเหลือตนเองในกิจวตั รประจาวัน ทากจิ วัตรประจาวันดว้ ยตนเอง เชน่ แต่งตัว ล้างมอื
รับประทานอาหาร เขา้ ห้องส้วม
(๒) การปฏบิ ตั ิตนตามแนวทางหลักปรชั ญาของ
เศรษฐกิจ พอเพียง นาวัสดุเหลอื ใช้มาสร้างชิน้ งาน ใชส้ งิ่ ของเคร่ืองใช้อย่าง
ประหยัดและพอเพยี ง เชน่ ยาสีฟัน น้า วสั ดุทางาน
๑.๓.๒ การดูแลรกั ษาธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม ศิลปะ
(๑) การมสี ่วนร่วมรบั ผิดชอบดแู ลรักษาสงิ่ แวดล้อม ทั้ง - รับผดิ ชอบหน้าท่ีที่ได้รบั มอบหมาย เช่น ดแู ลรักษา
ภายในและภายนอกหอ้ งเรียน ความสะอาดหอ้ งเรียน รดน้าต้นไมเ้ ก็บขยะ
- นาวสั ดทุ ้องถน่ิ วัสดุเหลือใช้มาสร้างชน้ิ งาน
(๒) การใช้วัสดุและสงิ่ ของเคร่ืองใช้อย่างคมุ้ ค่า - ใช้นา้ สิง่ ของเครื่องใชอ้ ย่างประหยัด คุ้มคา่ เชน่
(๓) การทางานศลิ ปะท่ีนาวสั ดุหรอื ส่ิงของเคร่ืองใช้ ที่ใช้ ดินสอ สี กระดาษสี
แลว้ มาใช้ซา้ หรือแปรรปู แลว้ นากลับมาใชใ้ หม่
(๔) การเพาะปลูกและดูแลต้นไม้ นาวสั ดเุ หลอื ใช้มาสร้างชน้ิ งาน ใชส้ ่ิงของอยา่ งประหยัด
(๕) การเลี้ยงสัตว์ เช่น ดินสอ สี กาว กระดาษสี
ประดิษฐส์ ่ิงตา่ งๆ จากวัสดเุ หลอื ใช้ เชน่ ขวดน้า
พลาสตกิ กล่อง เศษผา้ แกนกระดาษ กระดาษสี ไม้
ไอศกรมี
ปลกู ต้นไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ ผกั สวนครัว ดูแลรดนา้
พรวนดิน เชน่ เพาะถว่ั งอก ปลกู ผักบุง้ ตน้ หอม
เล้ียงและดูแลให้อาหารสัตว์ เชน่ ปลา ไก่ นก
(๖) การสนทนาขา่ วและเหตุการณ์ทีเ่ กี่ยวกับธรรมชาติ สนทนาเก่ยี วกบั เหตุการณ์ ผลกระทบท่ีเกดิ จาก ความ
และสิ่งแวดลอ้ มในชีวติ ประจาวนั เปล่ยี นแปลงทางธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม เชน่ ฝนตก
น้าทว่ ม ฝนแลง้ ลมพายุ
๑.๓.๓ การปฏบิ ตั ิตามวัฒนธรรมท้องถนิ่ และความเป็นไทย
(๑) การเลน่ บทบาทสมมติการปฏบิ ตั ิตนในความเปน็ - เลน่ บทบาทสมมตเิ กย่ี วกบั การไหว้ การทักทาย และ -
คนไทย การปฏบิ ัตติ นในวนั สาคญั ของไทยและวันสาคญั ของ
ทอ้ งถนิ่
(๒) การปฏบิ ตั ิตนตามวัฒนธรรมท้องถ่นิ ที่อาศัยและ
ประเพณีไทย ทากิจกรรมในวันสาคญั และประเพณใี นท้องถน่ิ ของตน
WATMUANG ๔๘
ประสบกำรณส์ ำคัญ(ดำ้ นสังคม) ตัวอยำ่ งประสบกำรณ์
(๓) การประกอบอาหารไทย ทาอาหารง่ายๆ ตามหน่วยการจดั ประสบการณ์อาหาร
ในท้องถน่ิ หรอื อาหารประจาภาคของตนเอง
(๔) การศึกษานอกสถานท่ี วางแผน สารวจ ศกึ ษาแหลง่ เรยี นรู้นอกสถานท่ี
สมั ภาษณบ์ คุ คลตา่ งๆ บนั ทึกขอ้ มูล และนาเสนอขอ้ มูล
(๕) การละเล่นพื้นบา้ นของไทย การละเลน่ ไทย เชน่ มอญซ่อนผ้า งกู ินหาง รรี ีขา้ วสาร
โพงพาง
๑.๓.๔ การมีปฏสิ ัมพันธ์ มีวนิ ยั มีส่วนรว่ มและบทบาทสมาชิกของสงั คม
(๑) การร่วมกาหนดข้อตกลงของห้องเรียน มสี ่วนร่วมในการกาหนดและจัดทาข้อตกลงของ
(๒) การปฏบิ ัตติ นเปน็ สมาชิกทดี่ ขี องหอ้ งเรียน ห้องเรยี น
(๓) การให้ความร่วมมือในการปฏิบัตกิ จิ กรรมต่างๆ
(๔) การดูแลห้องเรียนร่วมกนั ปฏิบัตติ ามข้อตกลงของห้องเรียนทร่ี ่วมกันกาหนด เช่น
(๕) การร่วมกิจกรรมวันสาคญั การเก็บของเลน่ ของใช้เขา้ ที่ การเขา้ แถวรบั ของ
๑.๓.๕ การเลน่ และทางานแบบรว่ มมอื รว่ มใจ เขา้ ร่วมกจิ กรรมด้วยความเต็มใจทัง้ รายบุคคล กล่มุ ย่อย
และกล่มุ ใหญ่
ดูแลความสะอาดเรยี บร้อยของห้องเรียน เช่น จัดของ
เลน่ ของใช้เข้าที่ เทขยะ รดน้าตน้ ไม
ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมเกี่ยวกับวันสาคญั ในสถานการณจ์ รงิ
หรอื สถานการณจ์ าลองตามความเหมาะสมและ บริบท
ของแต่ละสถานศกึ ษา
(๑) การรว่ มสนทนาและแลกเปลย่ี นความคิดเห็น สนทนาแลกเปล่ียนแสดงความคดิ เห็นเก่ียวกับ
(๒) การเล่นและทางานร่วมกับผู้อ่นื เหตกุ ารณ์ ในนทิ าน เร่ืองราว และรับฟังความคิดเหน็
ของผู้อน่ื
เล่นและทางานรว่ มกันเป็นคู่ กลมุ่ เลก็ หรอื กลมุ่ ใหญ่
(๓) การทาศลิ ปะแบบร่วมมือ ทางานศลิ ปะรว่ มกนั เป็นกลุ่มอยา่ งมีเป้าหมายรว่ มกัน
๑.๓.๖ การแกป้ ัญหาความขดั แย้ง เช่น ปั้นดินน้ามัน วาดภาพ ฉีก ตัด ปะ งานประดิษฐ
(๑) การมสี ่วนร่วมในการเลอื กวธิ กี ารแก้ปญั หา รว่ มกันแสดงความคิดเหน็ และนาเสนอความคิด และ
ตดั สนิ ใจเลอื กวธิ ีแก้ปัญหาเกยี่ วกบั เรอื่ งราว เหตุการณ์
ต่างๆ
(๒) การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาความขดั แยง้ มสี ว่ นรว่ มในการเสนอความคิด ตดั สินใจเลือกวธิ ี
แกป้ ญั หาต่างๆ ทีเ่ กิดขน้ึ อย่างสนั ตวิ ธิ ีในสถานการณ์ ท่ี
มีความขดั แยง่
๑.๓.๗ การยอมรับในความเหมอื นและความแตกต่างระหว่างบุคคล
(๑) การเล่นหรอื ทากจิ กรรมร่วมกับกลมุ่ เพ่อื น เล่นหรอื ทากิจกรรมต่างๆ ร่วมกับเพื่อน เชน่ กจิ กรรม
ศลิ ปะสรา้ งสรรค์ กจิ กรรมการเล่นตามมุมเลน่ /มุม
WATMUANG ๔๙
ประสบกำรณส์ ำคัญ(ดำ้ นสงั คม) ตัวอย่ำงประสบกำรณ์
ประสบการณ์ ตา่ งๆ กจิ กรรมเล่นนา้ เล่นทราย และ
ยอมรับความคดิ ของเพื่อนที่ตา่ งไปจากตน
๑.๔ ประสบกำรณส์ ำคญั ทส่ี ่งเสรมิ พัฒนำกำรด้ำนสติปัญญำ เป็นการสนบั สนนุ ใหเ้ ด็ก ไดเ้ รยี นรู้การใชภ้ าษา
พัฒนาการคิดรวบยอด การคิดเชิงเหตุผล การตดั สินใจและแกป้ ัญหา การมจี นิ ตนาการและ ความคิดสรา้ งสรรค์ มี
เจตคตทิ ี่ดีต่อการเรียนรู้และการแสวงหาความรูผ้ ่านการมีปฏิสัมพันธก์ ับส่ิงแวดลอ้ ม บุคคล และสอ่ื ตา่ งๆ ดว้ ย
กระบวนการเรียนรู้ทหี่ ลากหลาย ดังนี้
ประสบกำรณส์ ำคญั (ด้ำนสติปญั ญำ) ตัวอยำ่ งประสบกำรณ์
๑.๔.๑ การใชภ้ าษา
(๑) การฟังเสยี งตา่ งๆ ในสงิ่ แวดล้อม ฟงั เสยี งต่างๆ รอบตวั และบอกเสยี งทีไ่ ดย้ นิ เช่น เสียง
หายใจ ลมพัด นกร้อง รถยนต์ คนเดิน สัตวร์ ้อง
(๒) การฟ้งและปฏิบตั ติ ามคาแนะนา ฟงั และปฏิบัตติ ามคาแนะนา เช่น การเลน่ เกม การ
เคล่อื นไหว ตามคาบรรยาย รวมท้ังข้อตกลงในห้องเรยี น
(๓) การฟังเพลง นิทาน คาคล้องจอง บทร้อยกรอง ฟังเพลง นิทาน คาคล้องจอง บทร้อยกรองงา่ ยๆ หรือ
หรือเรือ่ งราวตา่ งๆ เร่ืองราวต่างๆ
(๔) การพูดแสดงความคดิ ความร้สู ึก และความ พูดแสดงความคิดเหน็ ความรู้สกึ ความต้องการในสง่ิ ตา่ งๆ
ต้องการ ใชค้ าถาม ใคร อะไร ทาไม อย่างไร ในส่ิงที่ต้องการทราบ
(๕) การพูดกบั ผู้อืน่ เกีย่ วกบั ประสบการณ์ของตนเอง พดู เลา่ ข่าว เล่าประสบการณ์ หรือเรือ่ งราวเกยี่ วกบั ตนเอง
หรอื พดู เล่าเร่ืองราวเก่ยี วกับตนเอง หรือเหตกุ ารณป์ ระจาวนั เช่น ครอบครัวของฉัน
(๖) การพูดอธบิ ายเกยี่ วกับส่งิ ของ เหตุการณ์ และ พูดบอกลกั ษณะส่งิ ของที่สังเกต เล่าขา่ ว เล่าประสบการณ์
ความสัมพนั ธข์ องสง่ิ ตา่ งๆ เชน่ กิจกรรมทท่ี าในวนั หยุด กจิ กรรมที่ได้ทาด้วยตนเอง
หรอื ทารว่ มกับเพื่อนและครู หรอื เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน
ตามลาดับหรือตามชว่ งเวลา
(๗) การพูดอย่างสร้างสรรคใ์ นการเลน่ และการ เลา่ สิ่งที่กาลังเล่น กาลงั ทา พูดใหก้ าลงั ใจ ปลอบใจ
กระทา ตา่ งๆ คาแนะนาเพื่อนในการเลน่ และการทางาน อธบิ ายวิธีเลน่
ให้เพือ่ นฟงั
(๘) การรอจังหวะทเี่ หมาะสมในการพูด ตอบคาถามและมีมารยาทในการพูด เชน่ ยกมือกอ่ นพูด
ไม่พูดแทรกในขณะทีผ่ ้อู ่ืนกาลังพดู
(๙) การพูดเรียงลาดบั คาเพื่อใช้ในการสื่อสาร เรยี งคาพูดในส่งิ ที่คิดเพ่ืออธิบายให้ผอู้ ่นื เข้าใจ เชน่ พูดเลา่
เรอื่ งจากภาพหรือเหตุการณ์ท่ีพบเหน็
(๑๐) การอา่ นหนังสอื ภาพ นิทานหลากหลาย อา่ นภาพ นทิ าน อา่ นป้ายและสัญลักษณท์ เ่ี ด็กสนใจ อา่ น
ประเภท/ รูปแบบ นิทานให้เพื่อนฟัง
(๑๑) การอา่ นอย่างอสิ ระตามลาพงั การอ่านร่วมกนั - อา่ นนิทานหรอื หนงั สือภาพทสี่ นใจอย่างอสิ ระตามลาพัง
การอ่านโดยมีผู้ช้ีแนะ ในมุมหนงั สอื
WATMUANG ๕๐
ประสบกำรณ์สำคญั (ดำ้ นสติปัญญำ) ตัวอยำ่ งประสบกำรณ์
- อา่ นรว่ มกนั โดยครแู นะนาสว่ นต่างๆ ของหนังสือ ต้งั แต่
ปกหน้าจนถงึ ปกหลัง แล้วเป็นผ้นู าการอา่ นโดยช้คี า ใน
หนังสือจากซา้ ยไปขวา เด็กชี้และอ่านตามครูพร้อมกัน
- อา่ นโดยมผี ู้ช้แี นะ โดยครูเป็นผู้นาการอ่านกับเดก็ กลมุ่
ย่อย ๓ - ๕ คน
(๑๒) การเหน็ แบบอย่างของการอ่านท่ีถกู ต้อง ดูตวั อย่างครูชคี้ าและกวาดสายตาจากการอ่านหนังสือ
นิทาน ปา้ ย บตั รข้อความ แถบประโยค หรอื แผนภมู เิ พลง
(๑๓) การสังเกตทิศทางการอ่านตวั อกั ษร คา และ ดูตัวอย่างการกวาดสายตาอา่ นตวั อกั ษร คา และข้อความ
ข้อความ จากซา้ ยไปขวา บรรทดั บนลงบรรทัดลา่ ง
(๑๔) การอ่านและช้ีข้อความ โดยกวาดสายตาตาม ดตู วั อย่างการกวาดสายตาและชคี้ าอ่านข้อความ หนงั สอื
บรรทดั จากซา้ ยไปขวา จากบนลงล่าง นิทาน แผนภมู ิเพลง จากซา้ ยไปขวา บรรทดั บน ลง
บรรทัดลา่ ง
(๑๕) การสังเกตตัวอักษรในชื่อของตน หรือคา ชห้ี รอื บอกตัวอักษรบางตวั ทคี่ ุ้นเคยในชอ่ื ตนเอง นทิ าน
คุน้ เคย เพลง คาคล้องจอง ป้ายข้อความ สังเกตบัตรชอ่ื นามสกลุ
ตวั เองกบั เพอ่ื นวา่ มีอักษรตัวไหนเหมอื นกนั
(๑๖) การสังเกตตวั อกั ษรทีป่ ระกอบเป็นคา ผา่ นการ - มองและช้ีตวั อักษรในคา ข้อความ ประโยค นิทาน
อ่าน หรือเขยี นของผใู้ หญ่ แผนภมู เิ พลง ปรศิ นาคาทาย หรอื ประโยคที่ครูเขยี น
- สังเกตทศิ ทางการเขยี นตวั พยัญชนะหรอื คาทคี่ ุ้นเคย
ของครู
- สงั เกตการเขยี นบนทรายหรอื การเขียนในอากาศของครู
– ขดดินนา้ มนั เปน็ ตวั พยัญชนะทคี่ ุ้นเคย เช่น พยญั ชนะ
ตนชอื่ ของตนเอง
(๑๗) การคาดเดาคา วลี หรือประโยคทม่ี โี ครงสร้าง - เล่นเดาคาบางคาที่คุ้นเคยในหนังสือนิทาน เพลง คา
ซา้ ๆ กนั จากนทิ าน เพลง คาคลอ้ งจอง คลอ้ งจอง
- เลน่ เดาตวั พยญั ชนะท่หี ายไปจากคาทคี่ ุ้นเคย
- เล่นเปลย่ี นคาบางคาในประโยคทีม่ ีโครงสร้างซ้าๆ
(๑๘) การเล่นเกมทางภาษา - เล่นเกมทางภาษาต่างๆ เช่น หาภาพกับสัญลักษณ์ จับคู่
คากับภาพ
- หาตวั อกั ษรหรือคาบางคาจากนิทาน
- ต่อเติมตัวอักษรลงในบัตรคา บิงโกภาษา ลอตโต
พยัญชนะกับคา วาดภาพและแต่งเร่ืองราวท่ีมีโครงเร่ือง
เดียวกับนิทาน
(๑๙) การเห็นแบบอยา่ งของการเขียนที่ถูกต้อง - สังเกตตัวอยา่ งการเขยี นของครใู นโอกาสต่างๆ เชน่ เขียน
ข้อตกลงช้ันเรียน เขียนประกาศวันสาคัญ เขียน วันท่ี
เดือน ปี
- เขียนคาบรรยายใตผ้ ลงานศิลปะของเด็ก
WATMUANG ๕๑
ประสบกำรณส์ ำคัญ(ด้ำนสติปญั ญำ) ตวั อย่ำงประสบกำรณ์
- เขียนบนั ทกึ คาพูดของเดก็
- สังเกตตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ เช่น ป้ายช่ือครู ป้ายช่ือ
ตนเอง ปฏิทินในชวี ิตประจาวนั
(๒๐) การเขียนร่วมกนั ตามโอกาส และการเขียน - เขียนร่วมกับครูในกิจกรรมการเล่นตามมุม เช่น
อิสระ เมนูอาหาร ปา้ ยฉลาก ขวดยาคณุ หมอ
- เลียนแบบการเขียนของครู โดยลอกตัวอักษรหรือ
สญั ลกั ษณ์จากบัตรคาลงในสมดุ นิทานท่ีร่วมกันแต่ง
- รว่ มกับครวู าดภาพและเขยี นคาอธิบายภาพ
- เขียนตามโอกาส เชน่ บตั รอวยพรวนั เกดิ ให้เพ่อื น
(๒๒) การคิดสะกดคาและเขียนเพอ่ื สื่อความหมาย เขียนคาง่ายๆ ประกอบภาพตามความสนใจ เขียนช่ือ
ดว้ ยตนเองอย่างอิสระ ตนเอง เขียนบัตรอวยพรโอกาสต่างๆ เขียนภาพนทิ านหรือ
เร่ืองนิทานอย่างอิสระตามความสนใจหรือความต้องการ
ของเด็กไม่ใช้กาหนดโดยครู การคิดสะกดคาและ เขียน
อิสระของเด็กจึงมีการเขียนแบบลองผิดลองถูก ของเด็ก
เอง ซึง่ ครตู อ้ งไม่ตาหนิ/ลงโทษเมอ่ื เดก็ เขยี นผิด
๑.๔.๒ การคิดรวบยอด การคดิ เชิงเหตผุ ล การตดั สนิ ใจและแก้ปัญหา
(๑) การสังเกตลักษณะ ส่วนประกอบ การ - ใชประสาทสัมผสั ในการสงั เกตและบอกลกั ษณะหรือ ส
เปล่ียนแปลง และความสัมพันธ์ของส่ิงต่างๆ โดยใช้ วนประกอบของส่ิงตางๆ เชน รางกายของตนเอง สตั ว พชื
ประสาทสัมผัส อยา่ งเหมาะสม สิ่งของเครอื่ งใช ดิน น้า ทองฟา บรเิ วณตางๆ
- สังเกตและบอกการเปล่ียนแปลงของส่ิงต่างๆ เช่น การ
เปลี่ยนแปลงของร่างกายมนุษย์ สัตว์พืช เมื่อ เจริญเติบโต
การเปล่ียนแปลงของลมฟ้าอากาศ การเปล่ียนแปลงของ
วตั ถแุ ละสิ่งของเครอ่ื งใช้
- สังเกตและบอกความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ เช่น การนา
สง่ิ ต่างๆ มาใช้ประโยชน์ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง การกระทา
บางอย่างกับผลท่ีเกิดข้ึน เช่น ถ้ารับประทาน อาหารแล้ว
ไมแ่ ปรงฟันฟันจะผุ ถา้ ใสน่ า้ ตาลลงไป ในนา้ แล้วนา้ ตาลจะ
ละลาย ถา้ ปลอ่ ยสงิ่ ของจากท่ีสงู แลว้ ส่งิ ของจะตกลงมา
(๒) การสังเกตส่ิงต่างๆ และสถานที่จากมุมมองที่ สังเกตสิ่งของ หรือสารวจสถานที่ต่างๆ หรือเล่นปีนป่าย
ตา่ งกัน เคร่ืองเล่นสนาม ลอดอุโมงค์ และบอกหรือวาดภาพ
เกี่ยวกับลักษณะ พ้ืนท่ี ระยะ ตาแหน่งของสิ่งของ สถานท่ี
หรือเคร่ืองเล่นจากมมุ มองต่างๆ
(๓) การบอกและแสดงตาแหน่ง ทิศทาง และ - สารวจส่ิงต่างๆ ท่ีอยู่ในบริเวณหน่ึง เช่น สิ่งของที่อยู่ บน
ระยะทาง ของส่ิงต่างๆ ด้วยการกระทา ภาพวาด โต๊ะ สิ่งของท่ีอยู่ในห้อง และบอกหรือวาดภาพแสดง
ภาพถา่ ย และ รูปภาพ ตาแหน่ง ทิศทาง หรือระยะทางของสงิ่ นน้ั ๆ
WATMUANG ๕๒
ประสบกำรณส์ ำคัญ(ด้ำนสติปญั ญำ) ตัวอย่ำงประสบกำรณ์
- สารวจสถานท่ีต่างๆ ถ่ายภาพ วาดภาพ หรือเขียน
แผนผังสถานท่ีนั้นๆ แล้วนารูปภาพมาอธิบายตาแหน่ง
ทศิ ทาง หรอื ระยะทางของสถานท่ี
– เล่นเกมเก่ียวกับมิติสัมพันธ์ เช่น วางส่ิงของในตาแหน่ง
ที่กาหนด บอกชื่อส่ิงของที่อยู่ในตาแหน่งที่กาหนด บอก
ตาแหน่ง ทิศทาง หรือระยะทางของสิ่งของที่กาหนด ใช้
ร่างกายเคล่ือนที่ไปยังตาแหน่งหรือไปตามทิศทาง ท่ี
กาหนด
(๔) การเลน่ กบั ส่ือตา่ งๆ ทีเ่ ปน็ ทรงกลม ทรงส่เี หลีย่ ม - เล่นสารวจจาแนกและบอกลักษณะส่ิงของรอบตัว ท่ีมี
มมุ ฉาก ทรงกระบอก ทรงกรวย ลักษณะเหมือนหรือคล้ายทรงกลม ทรงกระบอก ทรง
สี่เหลี่ยมมมุ ฉาก และทรงกรวย
- เล่นสารวจบอกส่ิงของรอบตัวที่มีลักษณะเหมือน หรือ
คลา้ ยภาพวงกลม ส่เี หลี่ยม สามเหลีย่ ม และวงรี
- เล่นเกมจาแนกภาพหรือสิ่งของท่ีมีลักษณะเหมือน หรือ
คล้ายวงกลม ส่ีเหลยี่ ม สามเหลี่ยม และวงรี
- ป้ันดินน้ามันเป็นทรงกลม ทรงกระบอก ทรงส่ีเหล่ียม
ทรงกรวย และตดั ตามแนวนอน แนวตง้ั แนวเฉยี ง นาสว่ น
หนา้ ตัดไปพิมพภ์ าพ
- วาดภาพ พับ ตัด ต่อเติมภาพจากรูปวงกลม ส่ีเหลี่ยม
สามเหลีย่ ม และวงรี
(๕) การคัดแยก การจัดกลุ่ม และการจาแนกส่งิ ต่างๆ คัดแยก จาแนก จัดกลุ่มสิ่งต่างๆ ตามลักษณะ รูปร่าง
ตามลกั ษณะและรูปรา่ ง รปู ทรง รูปทรง หรือตามเกณฑ์ต่างๆ ที่กาหนด เช่น สัตว์ผลไม้
ใบไม้ ดอกไม้ ดนิ หนิ ของเล่น สิง่ ของเครือ่ งใช้รอบตวั
(๖) การต่อของชน้ิ เล็กเติมในช้ินใหญ่ให้สมบรู ณ์ และ - เล่นต่อหรือประกอบชิ้นส่วนของของเล่นชิ้นเล็ก ให้เป็น
การแยกช้ินส่วน ชิ้นใหญ่ที่สมบูรณ์ตามเงื่อนไขท่ีกาหนดหรือ ตาม
จินตนาการ เช่น จิ๊กซอว์ไม่หมุด จิ๊กซอว์รูปภาพ ภาพตัด
ตอ่ ตัวตอ่ บล็อก และแยกชนิ้ สว่ นของเลน่ เกบ็ เข้าที่
- ประดิษฐ์ชิ้นงานจากวัสดุต่างๆ ท่ีเป็นช้ินเล็กให้เป็น ช้ิน
ใหญ่ เชน่ ร้อยลกู ปดั ร้อยดอกไม้ ร้อยวัสดตุ า่ งๆ สร้างภาพ
จากวสั ดุจากธรรมชาตหิ รือเศษวสั ดรุ อบตวั
(๗) การทาซา้ การต่อเติม และการสรา้ งแบบรูป - สารวจหาแบบรูปจากสิ่งต่างๆ เช่น ลวดลายบนเส้ือผ้า
หรือสิ่งของเครื่องใช้ ลวดลายของกระเบ้ืองปูพ้ืนหรือ ผนัง
หอ้ งในเรื่องสี ลวดลาย ขนาด รูปร่าง รปู ทรง และ แบบรูป
จากท่าทาง เสียง
- วางแบบรูปให้เหมือนต้นแบบ หรือต่อเติมจากที่ กาหนด
หรือสร้างแบบรูปใหม่ขึ้นเอง โดยการเล่นเกมใช้ ของจริง
WATMUANG ๕๓
ประสบกำรณ์สำคญั (ด้ำนสติปัญญำ) ตัวอยำ่ งประสบกำรณ์
เชน่ วางบล็อก ไมไ้ อศกรมี ใบไม้ เปลือกหอย ฝาขวด หรือ
วัสดุอื่นๆ ให้เป็นแบบรูป และโดยการสร้าง ช้ินงานหรือ
วิธกี ารภายใต้เง่ือนไขท่กี าหนด เชน่ ร้อยลูกปดั รอ้ ยดอกไม้
ทาโมบาย ทาทา่ ทาง สรา้ งเสยี ง
(๘) การนับและแสดงจานวนของส่ิงต่างๆ ใน - ร้องเพลงหรือท้องคาคล้องจองที่เกี่ยวกับชื่อเรียกจานวน
ชวี ติ ประจาวัน – นบั ปากเปลา่ ในกิจวัตรประจาวนั เช่น นับขณะที่ รอการ
เข้าแถวหรือน่ังที่ให้เรียบร้อย นับเพื่อให้เวลากับ การเก็บ
ของเข้าท่ี นับเพ่ือเตรียมตัวออกจากจุดเร่ิมต้น ขณะเล่น
เกม นบั สง่ิ ตา่ งๆ เชน่ นับเพอ่ื นในกลุ่ม นบั ขนมในจาน นบั
ของเลน่ นับสิ่งของเคร่อื งใช้
– หยบิ หรอื แสดงสง่ิ ตา่ งๆ ตามจานวนทีก่ าหนด เชน่ หยบิ
จาน แก้วน้า ผลไม้ ดนิ สอ ดินน้ามนั ของเลน่
(๙) การเปรียบเทียบและเรียงลาดับจานวนของสิ่ง - เปรียบเทียบจานวนของสิ่งต่างๆ เช่น จานวนเด็กชาย
ต่างๆ กับเด็กหญิง จานวนขนมกับจานวนเด็ก จานวนเด็กกับ
จานวนเก้าอ้ี หรือจานวนแก้วกับจานวนแปรงสีฟัน โดยใช้
การจับคู่กันและสังเกตว่าเท่ากันหรือไม่เท่ากัน มากกว่า
หรอื น้อยกวา่
– เรียงลาดับจานวนของส่ิงต่างๆ เช่น จาแนกชนิด ของ
บล็อกแล้วนามาเรียงลาดับจานวน โดยการจับคู่ หน่ึงต่อ
หน่ึงและวางบล็อกแต่ละชนิดเรียงเปน็ แถว เพอ่ื เรยี งลาดับ
สารวจและเก็บดอกไม้หรือใบไม้ชนิดต่างๆ มาเรียงลาดับ
จานวน
(๑๐) การรวมและการแยกสง่ิ ตา่ งๆ - นาสง่ิ ตา่ งๆ สองกลุม่ มารวมเขา้ ด้วยกัน แลว้ บอก จานวน
ท่ีเกิดจากการรวมของส่ิงนั้น เช่น รวมคนสองกลุ่ม เข้า
ด้วยกันแล้วนบั และบอกจานวนทง้ั หมด นาบล็อก สองกอง
มารวมกนั แล้วนับและบอกจานวนทั้งหมด
- แยกกลุ่มย่อยของสิ่งต่างๆ ออกจากกลุ่มใหญ่ แล้ว บอก
จานวนท่ีเหลือในกลุ่มใหญ่ เช่น แยกคนจานวนหนึ่ง ออก
จากกลุ่มใหญ่แล้วนับและบอกจานวนคนที่เหลือ ในกลุ่ม
ใหญ่ แบ่งขนมให้เพ่ือนแล้วนับและบอกจานวน ที่เหลือใน
จาน หยิบสีเทียนจานวนหน่ึงออกจากกล่อง แล้วนับ
จานวนสีเทียนที่เหลอื ในกลอ่ ง
(๑๑) การบอกและแสดงอนั ดับทขี่ องสิ่งต่างๆ - บอกอนั ดบั ท่ีของตนเองหรอื เพ่ือนท่ียืนอยใู่ นแถว
- ชี้ หยิบ หรอื วางสงิ่ ของตามอันดบั ที่ทีก่ าหนด
- สนทนาและบอกเกี่ยวกับอันดับที่ในชีวิตประจาวัน หรือ
ในกิจกรรม เช่น เป็นลูกคนที่เท่าไหร่ของครอบครัว ใคร
WATMUANG ๕๔
ประสบกำรณส์ ำคัญ(ดำ้ นสติปัญญำ) ตัวอย่ำงประสบกำรณ์
มาถงึ โรงเรยี นอนั ดบั ท่ีหนง่ึ อันดบั ท่สี อง อนั ดบั ทส่ี าม บอก
อันดับท่ีการเลือกมุมเล่น เช่น หนูเลือกเล่นมุมบล็อก เป็น
กิจกรรมทีห่ นง่ึ หรอื สอง
(๑๒) การชั่ง ตวง วัดสิ่งต่างๆ โดยใช้เครื่องมือ และ - เล่นในมุมบ้านหรือเล่นบทบาทสมมติร้านขายของ ชั่งน้า
หนว่ ยทไ่ี ม่ใชห้ นว่ ยมาตรฐาน หนักสิ่งต่างๆ เช่น ผลไม้ขนม โดยใช้ตาช่ังสองแขน อย่าง
ง่ายและใช้วัสดุที่มีรูปร่างขนาดและน้าหนักเท่ากัน เป็น
หนว่ ยในการชงั่ นา้ หนกั เช่น ไมบ้ ล็อก ลูกแก้ว เหรียญ
- เล่นตวงทรายหรือน้า โดยใช้ภาชนะต่างๆ เช่น ช้อน
แก้ว ขวด และบอกปริมาตรของทรายหรือน้าที่ตวง ตาม
จานวนของภาชนะท่ีใช้เปน็ หนว่ ยในการตวง
- วัดความยาวหรือความสูงของสิ่งต่างๆ โดยเลือกใช้ส่ิงที่
มีขนาดเท่ากันนามาต่อกัน เช่น บล็อก ลวดเสียบกระดาษ
หลอด ไม้ไอศกรีม หรือส่วนของร่างกาย เช่น ส่วนสูง แล้ว
บอกความยาวหรือความสูงตามจานวนของสิ่งของ ที่
นามาใช้เปน็ หนว่ ยในการวดั
(๑๓) การจับคู่ การเปรียบเทียบ และการเรียงลาดบั - จับคู่สิ่งต่างๆ ตามลักษณะท่ีสัมพันธ์กันหรือตามท่ี
สิ่งต่างๆ ตามลักษณะ ความยาว ความสูง น้าหนัก กาหนด เช่น จับคู่สิ่งของที่เป็นของจริงที่ใช้ร่วมกัน เช่น
ปริมาตร ช้อนกับส้อม จับคู่ส่ิงที่เหมือนกัน เช่น ของเล่นท่ีมีลักษณะ
เหมือนกัน จับคู่สิ่งท่ีแตกต่างกัน เช่น บล็อกที่แตกต่างกัน
เด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชาย จับคู่ภาพกับเงา จับคู่สัญลักษณ์
ตัวเลข กบั สิ่งของที่มีจานวนตรงกบั ตัวเลขนัน้
(๑๔) การบอกและเรยี งลาดบั กจิ กรรมหรอื เหตุการณ์ เช่ือมโยงช่วงเวลากับการกระทาและเหตุการณ์ต่างๆ เช่น
ตามช่วงเวลา ท บ ท ว น กิ จ วั ต ร ป ร ะ จ า วั น แ ล ะ กิ จ ก ร ร ม ป ร ะ จ า วั น
ตามลาดับเวลา เล่นเกมเรยี งลาดบั เหตกุ ารณต์ ามช่วง เวลา
เชน่ กลางวัน กลางคืน ก่อน หลัง เชา้ บา่ ย เยน็ เมอ่ื วานนี้
วันน้ี พรุ่งน้ี
(๑๕) การใช้ภาษาทางคณิตศาสตร์กับเหตุการณ์ ใน - สังเกตเงินเหรียญและธนบัตรชนิดต่างๆ เล่นเกมจาแนก
ชีวติ ประจาวัน ชนิดของเงิน เล่นเกมขายของ จัดกิจกรรมตลาดนัดให้เด็ก
ฝากการใชเ้ งินซื้อและทอนเงิน
- สนทนาร่วมกันเกี่ยวกับเหตุการณ์ในชีวิตประจาวัน จาก
เหตุการณ์จริง เรื่องเล่าหรือนิทาน โดยใช้ภาษา ทาง
คณิตศาสตร์ในเหตุการณ์ต่างๆ เช่น จานวนเท่าไหร่
เท่ากัน ไม้เท่ากัน มากกว่า น้อยกว่า มากที่สุด น้อยท่ีสุด
คนที่ อันดับท่ีหรือลาดับท่ี รวมกัน ทั้งหมด มากข้ึน หรือ
เพิ่มขึ้นหรือเยอะขึ้น แบ่งกันหรือแยกกัน น้อยลง หรือ
ลดลง เหลือ สั้น ยาว สูง เต้ีย ต่า หนัก เบา หนักกว่า เบา
WATMUANG ๕๕
ประสบกำรณ์สำคัญ(ด้ำนสติปัญญำ) ตวั อยำ่ งประสบกำรณ์
กว่า หนักที่สุด เบาท่ีสุด กลางวัน กลางคืน ก่อน หลัง เชา้
บ่าย เย็น เม่ือวานน้ี วันน้ี พรุ่งน้ี ที่ไหน ข้างไหน ข้างบน
ข้างล่าง ข้างหน้า ข้างหลัง ระหว่าง ข้างซ้าย ข้างขวา ใกล้
ไกล ทรงกลม ทรงสีเ่ หล่ียมมุมฉาก ทรงกระบอก ทรงกรวย
วงกลม รปู ส่ีเหลีย่ ม รูปสามเหลี่ยม
(๑๖) การอธบิ ายเชอ่ื มโยงสาเหตุและผลทเี่ กิดขึ้น ใน - สารวจเหตุการณ์ในชีวิตประจาวัน และสนทนาเกี่ยวกับ
เหตกุ ารณ์หรอื การกระทา สาเหตแุ ละผลท่ีเกิดขึ้น เชน่ กนิ อาหารแลว้ ไม้แปรงฟนั จะ
ทาให้ฟันผุ ถ้าตากฝนอาจจะทาให้เป็นหวัด การทง้ิ ขยะ ไม้
ถูกท่ีจะทาใหบ้ ริเวณนัน้ สกปรก
- สังเกต สารวจ หรือทดลองอย่างง่ายเก่ียวกับสิ่งต่างๆ
รอบตวั แลว้ อธบิ ายสาเหตุและผลทเี่ กิดข้ึน เชน่ ลองใส่ น้า
ตาลลงไปในน้า สังเกตแล้วบอกได้ว่าน้าตาลสามารถ
ละลายในนา้ ได้ ฟังและเปรยี บเทียบเสียงของสิ่งต่างๆ แล้ว
บอกได้ว่าส่ิงของที่แตกต่างกันทาให้เกิดเสียงต่างกัน ทอด
ไข้แลว้ สงั เกตการเปลยี่ นแปลงแลว้ บอกได้ว่าความร้อน ทา
ให้ไข่สุกรับประทานได้ เล่นโยนหรือเตะลูกบอล โดยออก
แรงแตกต่างกันแล้วบอกได้ว่าถ้าออกแรงมาก ลูกบอลจะ
ไปไกล
(๑๗) การคาดเดาหรือการคาดคะเนสิ่งท่ีอาจจะ - สนทนาระหว่างฟังนิทานหรือเรื่องเล่าเพื่อคาดเดา
เกดิ ขน้ึ อย่างมีเหตผุ ล เหตุการณ์ที่อาจจะเกิดข้ึนพร้อมบอกเหตุผล ก่อนที่จะ ฟัง
เนื้อเรื่องต่อไป
– คาดคะเนหรือต้ังสมมติฐานก่อนทดลอง เช่น คาดคะเน
ว่า วัตถุใดจะจมน้าหรือลอยน้า คาดคะเนว่าสัตว์ที่สนใจ
น่าจะกินอาหารชนิดใด คาดคะเนว่าถ้าออกแรงในการ
ผลักรถของเล่นด้วยแรงท่ีแตกต่างกันจะทาให้รถของเล่น
มกี ารเคล่ือนทเ่ี ป็นอยา่ งไร
(๑๘) การมีส่วนร่วมในการลงความเห็นจากข้อมูล - บอกสิ่งท่ีสังเกตพบหรืออธิบายข้อค้นพบจากการสังเกต
อยา่ งมีเหตุผล สารวจ หรือทาการทดลองอย่างง่ายเก่ียวกับส่ิงต่างๆ
รอบตัว เช่น สนทนาและสรุปเกี่ยวกับส่วนประกอบ ของ
ไข่ท่ีได้จากการสังเกตไข่ของจริง สนทนาและอธิบาย
เกี่ยวกับรสชาติและส่วนประกอบของอาหารท่ีได้จาก การ
สงั เกตและชิมอาหารของจรงิ
- สังเกตอากาศแต่ละวัน สนทนาและสรุปเก่ียวกับ สภาพ
อากาศในแตล่ ะวัน สารวจต้นไม้ในบรเิ วณโรงเรียน สนทนา
และสรุปชนิดของต้นไมท้ พ่ี บในบริเวณโรงเรยี น
WATMUANG ๕๖
ประสบกำรณส์ ำคญั (ดำ้ นสติปญั ญำ) ตวั อย่ำงประสบกำรณ์
- สารวจแบบรูปของส่ิงต่างๆ รอบตัว สนทนาและ บอก
ลักษณะของแบบรูปที่พบ จัดกลุ่มส่ิงของแล้ว สนทนา
เก่ียวกับการจัดกลุ่มสิ่งของว่าจัดเป็นกลุ่ม ได้อย่างไรบ้าง
โดยใช้อะไรเป็นเกณฑ์
(๑๙) การตัดสินใจและมีส่วนร่วมในกระบวนการ - ตัดสินใจและเลือกวิธีแก้ปัญหาในระหว่างเล่น หรือ ใน
แกป้ ญั หา ชีวิตประจาวัน หรือทากิจกรรม เช่น เล่นเกมการศึกษา
ต่างๆ แก้ปัญหาในการเล่นกับเพ่ือน แก้ปัญหาในการ แบ่ง
ของเล่นให้เพียงพอกับจานวนของเพ่ือนในกลุ่ม แก่ปัญหา
ในการจัดวางหรือเก็บสิ่งของให้เป็นระเบียบ ร่วมกับครู
และเพ่ือนวางแผนและลงมือแก้ปัญหาเก่ียวกับ การกาจัด
หรือลดปริมาณขยะหรือเศษวัสดุเหลือใช้ การประดิษฐ์
สง่ิ ของหรอื ทาชน้ิ งานให้ได้ตามเง่อื นไข
๑.๔.๓ จนิ ตนาการและความคดิ สร้างสรรค์
(๑) การรับรู้และแสดงความคิด ความรู้สึกผ่านสื่อ - สังเกต สัมผสั ทดลอง เล่นอิสระกับส่อื วัสดุ และของเล่น
วสั ดุ ของเลน่ และชนิ้ งาน บอกหรอื เลา่ เร่อื งถ่ายทอดความคิดความรู้สึกท่ีได้จาก การ
สังเกต สัมผัส ทดลอง หรือเล่นอิสระกับส่ิงต่างๆ เหล่าน้ัน
เช่น ต่อบล็อกเป็นรูปต่างๆ ประดิษฐ์ส่ิงของต่างๆ – บอก
หรือเล่าเรื่องถ่ายทอดความคิดความรู้สึกที่ได้ จากการต่อ
บล็อกหรือประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ ทากิจกรรม ศิลปะใน
ลักษณะต่างๆ บอกหรือเล่าเรื่องถ่ายทอด ความคิด
ความร้สู ึกจากชน้ิ งาน
(๒) การแสดงความคิดสร้างสรรค์ผ่านภาษา ท่าทาง เล่าเร่ืองต่อกันคนละประโยคอย่างสัมพันธ์กัน วาดภาพ
การเคล่ือนไหว และศิลปะ และเล่าเร่ืองต่อเนื่อง และปริศนาคาทาย แสดงท่าทาง
เคล่อื นไหวอย่างอสิ ระประกอบการเล่านิทาน การเล่าเรื่อง
การรอ้ งเพลง รวมท้งั เพลงบรรเลง เคลือ่ นไหวประกอบ สอ่ื
หรือวัสดุอ่ืนท่ีเหมาะสม ต่อบล็อกเป็นรูปต่างๆ ประดิษฐ์
สิ่งของต่างๆ อย่างอสิ ระทแี่ สดงถึงความแปลกใหม่
(๓) การสร้างสรรค์ช้ินงานโดยใช้รูปร่าง รูปทรงจาก ระบายสีสร้างภาพ ฉีก ตัด ปะ ประดิษฐ์ หรือป้ัน โดยใช้
วัสดทุ ี่หลากหลาย รูปรา่ ง รปู ทรงตา่ งๆ จากวัสดุที่แตกต่างกัน ทั้งวัสดทุ อ้ งถิ่น
วสั ดุธรรมชาติ และวัสดุเหลือใช้
๑.๔.๔ เจตคตทิ ดี่ ีตอ่ การเรยี นรแู้ ละการแสวงหาความรู้
(๑) การสารวจส่ิงต่างๆ และแหลง่ เรียนรูร้ อบตวั สารวจ สังเกต และบันทึกสิ่งต่างๆ ที่พบทั้งในห้องเรียน
และนอกห้องเรียน เช่น สารวจส่ิงของเครื่องใช้ในห้อง
สารวจของเล่นในมุมประสบการณ์ สารวจหนังสือ ในมุม
หนังสือ สารวจเคร่ืองเลน่ ในสนาม สารวจขนม และอาหาร
ที่ขายในโรงเรียน สารวจส่งิ มชี วี ติ และไม่มีชวี ิต ในโรงเรียน
WATMUANG ๕๗
ประสบกำรณ์สำคัญ(ด้ำนสติปัญญำ) ตัวอย่ำงประสบกำรณ์
สารวจยานพาหนะ ไปทัศนศึกษาตามสถานท่ี ต่างๆ เช่น
สวนสัตว์ สวนสาธารณะ ตลาด พิพิธภัณฑ์ และแหล่ง
เรยี นรูอ้ ืน่ ๆ
(๒) การตงั้ คาถามในเรอ่ื งท่สี นใจ - ต้ังคาถามจากนิทานท่ีฟังหรือเรื่องที่สนใจ เช่น ชอบตัว
ละครใดมากที่สุด ฉาก ลาดับเหตุการณ์ ปัญหา และ
วธิ แี กไ้ ข - ตั้งคาถามจากสงิ่ ทพ่ี บจากการสงั เกต การสารวจ
หรือ การทากิจกรรมต่างๆ เช่น การสังเกตสง่ิ ต่างๆ รอบตัว
การไปทัศนศึกษา การทาอาหาร การเลี้ยงสัตว์ การปลูก
พืช การทดลองอย่างง่ายๆ การสนทนากับวิทยากร ภูมิ
ปัญญา ทอ้ งถ่นิ หรอื ผ้ปู กครอง
(๓) การสืบเสาะหาความรู้เพื่อค้นหาคาตอบของ ข้อ - ระบุหรือเลือกคาถามที่สามารถหาคาตอบได้ ร่วมกับ ครู
สงสยั ตา่ งๆ และเพ่ือนในการวางแผนและลงมือสารวจตรวจสอบ เก็บ
รวบรวม และบันทึกข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ ลงความเห็น
จากข้อมูลเพื่ออธิบายสิ่งท่ีพบ และนาเสนอสื่อสารสิ่งท่พี บ
เพ่ือตอบคาถามท่ีต้งั เอาไว้
- รวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ เช่น สังเกตโดยใช้
ประสาทสัมผัสหรือใช้เครื่องมืออย่างง่าย เช่น แว่นขยาย
เคร่ืองช่ังสองแขนอย่างง่าย อุปกรณ์ในการวัดความยาว
หรือตวง สารวจ จาแนก เปรียบเทียบ ทาการทดลอง
อย่างง่ายๆ สืบค้นข้อมูล สอบถามผู้รู้ และบันทึกข้อมูล
ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น วาดภาพ ทาสัญลักษณ์ ถ่ายภาพ
นาตัวอยา่ งของจริงมาตดิ ลงในกระดาษ
- นาเสนอข้อมูลด้วยรูปแบบต่างๆ เช่น พูดบอกเล่า หรือ
อธิบายประกอบภาพวาดหรือภาพถ่ายท่ีบันทึกไว้ แสดง
บทบาทสมมติ เช่น บทบาทสมมติแสดงท่าทาง เลียนแบบ
พฤติกรรมของสัตว์ท่ีไปสังเกตพบ ทาแบบจาลอง เช่น
แบบจาลองของสัตว์หรือพืชที่สังเกตพบ ร่วมกับ ครูและ
เพ่ือนในการทาแผนผัง ผงั ความคิด แผนภูมิ อยา่ งง่าย เช่น
แผนภูมิรูปภาพแสดงชนิดและจานวน ของยานพาหนะที่
สารวจไดใ้ นบริเวณโรงเรียน
WATMUANG ๕๘
๒. สำระที่ควรเรียนรู้
สาระที่ควรเรียนรู้ เป็นเร่ืองราวรอบตัวเด็กท่ีนามาเป็นส่ือกลางในการจัดกิจกรรมให้เด็กเกิดแนวคิด
หลังจากสาระการเรียนรู้นั้น ๆ มาจัดประสบการณ์ให้เด็ก เพื่อให้บรรลุจัดหมายที่กาหนดไว้ท้ังน้ี ไม่เน้นการ
ท่องจาเน้ือหา ครูสามารถกาหนดรายละเอียดข้ึนเองให้สอดคล้องกับวัย ความต้องการและความสนใจของเด็ก
โดยให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์สาคัญ ทั้งน้ี อาจยืดหยุ่นเน้ือหาได้โดยคานึงถึงประสบการณ์และ
สง่ิ แวดล้อมในชวี ิตจริงของเดก็ ดังนี้
๒.๑ เร่ืองรำวเก่ียวกับตัวเด็ก เด็กควรรู้จักชื่อ นามสกุล รูปร่างหน้าตา รู้จักอวัยวะต่างๆ วิธีระวังรักษา
ร่างกายให้สะอาดและมีสุขภาพอนามัยทด่ี ี การรบั ประทานอาหารท่ีเปน็ ประโยชน์ การระมดั ระวังความปลอดภัย
ของตนเองจากผู้อ่ืนและภัยใกล้ตัว รวมท้ังการปฏิบัติต่อผู้อ่ืนอย่างปลอดภัยการรู้จักความเป็นมาของตนเองและ
ครอบครัว การปฏิบัติตนเป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครวั และโรงเรียน การเคารพสิทธขิ องตนเองและผูอ้ ่ืน การรู้จัก
แสดงความคิดเห็นของตนเองและรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน การกากับตนเอง การเล่นและทาสิ่งต่างๆด้วย
ตนเองตามลาพังหรือกับผู้อื่น การตระหนักรู้เก่ียวกับตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การสะท้อนการรับรู้
อารมณ์และความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น การแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกอย่างเหมาะสม การแสดง
มารยาททด่ี ี การมคี ุณธรรมจรยิ ธรรม
๒.๒ เร่ืองรำวเก่ียวกับบุคคลและสถำนที่แวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับครอบครัวสถานศึกษา
ชุมชน และบุคคลต่างๆ ท่ีเด็กตอ้ งเกย่ี วขอ้ งหรือใกลช้ ดิ และมปี ฏสิ มั พันธ์ในชวี ติ ประจาวนั สถานทีสาคญั วันสาคญั
อาชีพของคนในชุมชน ศาสนา แหล่งวัฒนาธรรมในชุมชน สัญลักษณ์สาคัญของชาติไทยและการปฏิบัติตาม
วัฒนธรรมทอ้ งถิ่นและความเป็นไทย หรอื แหล่งเรียนรูจ้ ากภูมิปญั ญาท้องถนิ่ อนื่ ๆ
๒.๓ ธรรมชำติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เก่ียวกับช่ือ ลักษณะ ส่วนประกอบ การเปล่ียนแปลงและ
ความสัมพันธ์ของมนุษย์ สัตว์ พืช ตลอดจนการรู้จกั เกี่ยวกับดิน น้า ทอ้ งฟา้ สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ แรง และ
พลังงานในชีวติ ประจาวนั ท่แี วดลอ้ มเดก็ รวมท้ังการอนรุ กั ษ์ส่งิ แวดล้อมและการรกั ษาสาธารณสมบัติ
๒.๔ ส่ิงต่ำงๆรอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เก่ียวกับการใช้ภาษาเพื่อส่ือความหมายในชีวิตประจาวัน
ความร้พู ื้นฐานเกยี่ วกบั การใชห้ นงั สือและตัวหนงั สือ รจู้ กั ชื่อ ลกั ษณะ สี ผวิ สมั ผัส ขนาด รูปร่าง รปู ทรง ปรมิ าตร
น้าหนัก จานวน ส่วนประกอบ การเปล่ียนแปลงและความสัมพันธ์ของส่งิ ต่างๆรอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์ การ
ใช้งาน และการเลือกใช้ส่ิงของเครื่องใช้ ยานพาหนะ การคมนาคม เทคโนโลยีและการส่ือสารต่างๆ ที่ใช้อยู่ใน
ชวี ติ ประจาวันอย่างประหยดั ปลอดภยั และรกั ษาส่งิ แวดล้อม
กรอบสำระกำรเรยี นรู้ท้องถนิ่
วดั ม่วง
เป็นวัดเก่าแก่ ตามประวัติบอกไว้ในคัมภีร์ใบลานเขียนด้วยอักษรมอญว่า มีอายุอยู่ในปลายสมัยกรุงศรี
อยุธยา ในช่วงเวลาน้ัน ชุมชนบ้านม่วงและบริเวณสองฝ่ังลุ่มแม่น้าแม่กลอง มีกลุ่มชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นคนเช้ือ
สายมอญ อยู่ร่วมกันกับกลุ่มชนอื่น เช่น ไทย จีน ลาว ญวน เขมรและกะเหรี่ยง มีการผสมผสานแลกเปลี่ยน
วัฒนธรรมระหว่างกัน เกิดเป็นเอกลักษณ์ของคนในท้องถิ่นและความที่ชุมชนบ้านม่วงมีวิถีชีวิตผูกผันอยู่กับ
ประเพณีและความเชื่อดั่งเดิม ทาให้ชุมชนแห่งน้ีเป็นขุมทรัพย์ทางความรู้ด้านมอญศึกษาแก่ผู้สนใจมากมาย
สถานที่ที่น่าสนใจของวัดม่วงเป็นวัดท่ีมีพระอุโบสถหน้าบันปูนป้ัน ลวดลายเรขาคณิตระบายสีคล้ายรูปมังกร
กรอบประตู เขียนเป็นรูปซุ้ม บานประตูเป็นไม้มีภาพเขียนสีเป็นทวารบาลรูปยักษ์ยืนถืออาวุธเหยียบอยู่บนสัตว์
พาหนะ บนผนังด้านหน้าพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรม พระอุโบสถวัดม่วงสร้างข้ึนในปี พ.ศ. 2427 ซ่ึงตรงกับรัช
สมัยของพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว ร.5
WATMUANG ๕๙
พพิ ิธภัณฑ์พน้ื บำ้ นวดั ม่วง
ตั้งอยู่ภายในวัดม่วง ตาบลบ้านม่วง ริมแม่น้าแม่กลอง วัดม่วงเป็นวัดเก่าแก่ ตามประวัติบอกไว้ใน
คัมภีร์ใบลานเขียนด้วยอักษรมอญว่า มีอายุอยู่ในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ในช่วงเวลาน้ัน ชุมชนบ้านม่วงและ
บรเิ วณสองฝ่งั ล่มุ แม่น้าแม่กลอง มกี ลมุ่ ชาวบา้ นสว่ นใหญ่เป็นคนเชื้อสายมอญ อยู่ร่วมกันกับกลุ่มชนอื่น เชน่ ไทย
จีน ลาว ญวน เขมรและกะเหร่ียง มีการผสมผสานแลกเปล่ียนวัฒนธรรมระหว่างกัน เกิดเป็นเอกลักษณ์ของคน
ในท้องถิ่นและความที่ชุมชนบ้านม่วงมีวิถีชีวิตผูกผันอยู่กับประเพณีและความเชื่อด่ังเดิม ทาให้ชุมชนแห่งน้ีเป็น
ขุมทรัพย์ทางความรู้ด้านมอญศึกษาแก่ผู้สนใจมากมาย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นแหล่งค้นคว้ารวบรวมประวัติความ
เป็นมา วิถีชีวิตและวัฒนธรรมชุมชนท้องถ่ินชาวมอญตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แบ่งการจัดแสดงออกเป็นห้อง
ต่างๆ สามารถเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายโดยเร่ิมจาก ห้องโถง มอญในตานาน มอญในทาประวัติศาสตร์ ภาษามอญ
และจารึกภาษามอญ ประเพณีวัฒนธรรมมอญ มอญอพยพ มอญในไทยและผู้นาทางวัฒนธรรม มีการจัดแสดง
โบราณวัตถุ คัมภีร์ใบลานท่ีเขียนด้วยอักษรมอญมีอายุกว่า 300 ปี เสื้อผ้าข้าวของเคร่ืองใช้ต่างๆ ท่ีบ่งบอกถึง
มรดกทางภูมิปัญญาท้องถิ่นท่ีน่าสนใจ ให้ความรู้เกี่ยวกับความสาคัญของลุ่มน้าแม่กลองในอดีต ความสัมพันธ์
ดา้ นเศรษฐกิจสงั คม วัฒนธรรมของชุมชนบ้านม่วงกับชมุ ชนในเขตอาเภอบ้านโป่งและอาเภอโพธาราม
ประเพณีสงกรานต์ ชาวไทยและมอญกาหนดให้วันสงกรานต์ เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตรงกับวันท่ี ๑๓ -๑๕ เมษายน
ของทุกปี เช่นกัน อันเป็นระยะเวลาท่ีชาวมอญจะร่วมประกอบประเพณีทางศาสนาอย่างพร้อมเพรียงกันถึง ๓
วนั
ประเพณีแหป่ ลำ
มีการนาปลาหมอ ปลาดุก ใส่ขวดโหลแล้วเดินแห่ไปทางถนนรอบหมู่บ้านเพ่ือไปปล่อยในแหล่งน้าท่ี
อุดมสมบูรณ์
พธิ ีรำผมี อญ
พิธีราผี ถอื เปน็ พิธีกรรมทางครอบครวั มีสาเหตมุ าจากการผดิ ผี คือ เมอื่ มคี นเขา้ มาพักที่บ้านและเจ้าของ
บา้ นเกิดเจ็บปว่ ยในระหวา่ งน้ัน ถอื ว่าผีโกรธเจ้าของเรือน ต้องทาการบนบานศาลกลา่ ว โดยเอานา้ มารดทเ่ี สาเอก
และกล่าวอโหสิกรรมตอ่ ผี รวมทง้ั จดั พธิ เี ลีย้ งผดี ้วย
กำรเล่นสะบำ้
แบ่งผ้เู ล่นออกเป็นฝา่ ยหญงิ กบั ชายในจานวนทเ่ี ทา่ กนั และใช้ลกู สะบ้า ซึง่ ทาดว้ ยไมล้ กั ษณะกลม ๆ แบน
ๆ สาหรบั ทอย หรือเขย่งเตะ หรอื โยนด้วยเท้าแลว้ แต่โอกาส เป็นเคร่อื งมือประกอบการเล่นกะใหถ้ ูกคูเ่ ลน่ ของตน
เพอ่ื จะไดอ้ อกมาเลน่ กนั เปน็ คตู่ อ่ ไป
ลอยกระทงสำย
เปน็ ประเพณีตามแบบอย่างของชาวมอญทีส่ ืบทอดกันมา เป็นการประดิษฐ์กระทงขึ้นมาจากกระดาษ ที่
คิดคน้ มาจากภมู ิปญั ญาชาวบ้าน กระทงจะลอยเปน็ เส้นสายสวยงาม
หลักคำ่ นิยมหลักของคนไทย ๑๒ ประกำร
๑. รักชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์
๒. ซ่อื สัตย์ เสียสละ อดทน
๓. กตัญญูต่อพ่อแม่ ผปู้ กครอง ครูบาอาจารย์
๔. ใฝห่ าความรู้ หม่ันศกึ ษาเล่าเรียนทง้ั ทางตรงและทางอ้อม
๕. รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอนั งดงาม
WATMUANG ๖๐
๖. มศี ลี ธรรม รกั ษาความสัตย์ หวังดีตอ่ ผู้อนื่ เผอ่ื แผ่และแบ่งปัน
๗. เขา้ ใจเรียนรู้การเป็นประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมุขท่ีถูกต้อง
๘. มีระเบยี บวนิ ัยเคารพกฎหมายผนู้ ้อยรจู้ กั เคารพผใู้ หญ่
๙. มีสติ ร้ตู ัว รคู้ ิด ร้ทู า รู้ปฏิบัตติ ามพระราชดารสั ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว
๑๐. รูจ้ ักดารงตนอยโู่ ดยใชป้ รัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
๑๑. มคี วามเข้มแข็งทั้งร่างกายและจติ ใจไมย่ อมแพต้ ่ออานาจฝา่ ยต่าหรือกิเลส
๑๒. คานงึ ผลประโยชนข์ องสว่ นรวมและต่อชาตมิ ากกวา่ ผลประโยชนข์ องตนเอง
หลกั ปรัชญำเศรษฐกจิ พอเพียง
เป็นปรัชญาท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดารัสช้ีแนะแนวทางการดาเนินชีวิตแก่พสกนิกร
ชาวไทย เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับต้ังแต่ระดับครอบครัว ระดับ
ชุมชนจนถึงระดับรัฐ ท้ังในการพัฒนา และบริหารประเทศให้ดาเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนา
เศรษฐกจิ เพื่อใหก้ ้าวทนั ตอ่ โลกยุคโลกาภวิ ฒั น์ ชแ้ี นะแนวทางการดารงอยู่และปฏบิ ัติตนในทางที่ควรจะเปน็ โดยมี
พนื้ ฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนามาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลาและเป็นการมองโลกเชิงระบบ
ที่มีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลามุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัยและวิกฤติเพ่ือความม่ันคงและความย่ังยืน ของการ
พัฒนา ความพอเพียงหมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจาเป็นท่ีจะต้องมีระบบภูมิคุ้มกัน
ในตัวทด่ี ีและตอ้ งประกอบไปด้วยสองเง่ือนไขคือเง่อื นไขความรู้ เง่ือนไขคุณธรรม
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ประกอบไปด้วย ๕ สว่ น ดังน้ี
ขอ้ ท่ี ๑. กรอบแนวคดิ เป็นปรัชญาทช่ี ี้แนะแนวทางการดารงอยู่ และปฏิบัติตนในทางทีค่ วรจะเป็น โดยมี
พ้นื ฐานมาจากวิถีชวี ติ ดงั้ เดิมของสงั คมไทย สามารถนามาประยุกตใ์ ช้ไดต้ ลอดเวลา และเปน็ การมองโลกเชงิ
ระบบทมี่ ีการเปลีย่ นแปลงอยู่ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบท่ีมีการเปล่ียนแปลงอยตู่ ลอดเวลา
มงุ่ เนน้ การรอดพ้นจากภัย และวิกฤต เพ่อื ความม่นั คง และความยัง่ ยืนของการพัฒนา
ขอ้ ท่ี ๒. คณุ ลกั ษณะ เศรษฐกจิ พอเพียง สามารถนามาประยุกต์ใชก้ ับการปฏิบัติตนไดใ้ นทุกระดับ โดยเนน้
การปฏิบตั ิบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน
ขอ้ ที่ ๓. คานยิ าม ความพอเพยี งจะตอ้ งประกอบดว้ ย ๓ คณุ ลกั ษณะ ดงั นี้
๑.ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีท่ีไม่น้อยเกินไป และไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเอง
และผอู้ ่นื เชน่ การผลิต และการบรโิ ภคท่ีอยูใ่ นระดบั พอประมาณ
๒.ความมีเหตุผล หมายถงึ การตัดสนิ ใจเก่ยี วกับระดบั ของความพอเพียงนั้น จะตอ้ งเป็นไปอยา่ งมีเหตุผล
โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคานึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทานั้น ๆ อย่าง
รอบคอบ
๓.การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงด้านตา่ ง
ๆ ทจ่ี ะเกดิ ข้นึ โดยคานึงถงึ ความเปน็ ไปไดข้ องสถานการณ์ ต่าง ๆ ทีค่ าดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทง้ั ใกล้ และไกล
ข้อที่ ๔. เงื่อนไข การตัดสินใจและการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัยท้ัง
ความรู้ และคุณธรรมเปน็ พืน้ ฐาน ๒ เง่ือนไข ดงั น้ี
WATMUANG ๖๑
๑.เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน
ความรอบคอบท่ีจะนาความรเู้ หล่าน้ันมาพจิ ารณาให้เช่ือมโยงกนั เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวัง
ในขนั้ ปฏิบัติ
๒.เง่ือนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความ
ซ่ือสัตย์สจุ รติ และมคี วามอดทน มคี วามเพียร ใชส้ ตปิ ัญญาในการดาเนินชีวติ
ข้อท่ี ๕. แนวทางปฏิบัติ / ผลท่ีคาดว่าจะได้รับ จากการนาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ การ
พัฒนาท่ีสมดุล และยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปล่ียนแปลงในทุกด้าน ท้ังด้านเศรษฐกิจ สังคม ส่ิงแวดล้อม ความรู้
และเทคโนโลยี
WATMUANG ๖๒
หลักสตู รต้ำนทุจริตศึกษำ (Anti-Corruption Education)
กรอบการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และส่ือประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริต โดยที่
ประชุม ได้เห็นชอบร่วมกันในการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และส่ือประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกัน
กาทจุ ริต หวั ขอ้ วิชา 4 วชิ า ประกอบด้วย
1) การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชน์สว่ นรวม
2) ความอายและความไมท่ นตอ่ การทุจรติ
3) STRONG : จิตพอเพยี งตา้ นทจุ ริต
4) พลเมอื งและความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม
หลกั สตู รต้านทุจรติ ศึกษา ระดบั ปฐมวัย จะใชเ้ วลาเรียนท้ังปี จานวน 40 ชวั่ โมง จัดทาเนอื้ หาและ
กิจกรรมการเรียนการสอน ตามความเหมาะสมและการเรียนรู้ในช่วงวัย โดยมรี ายละเอยี ดดงั น้ี
หลกั สูตรตำ้ นทจุ รติ ศึกษำ ระดับหลักสตู รกำรศกึ ษำข้นั พน้ื ฐำน
1. ช่ือหลักสตู ร “รายวชิ าเพม่ิ เติม การปอ้ งกันการทจุ ริต”
ตามที่สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ร่วมกับสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดาเนินการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และ
สื่อประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริต สาหรับใช้เป็นเนื้อหามาตรฐานกลางให้สถาบันการศึกษาหรือ
หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องนาไปใช้ในการเรียนการสอนให้กับกลุ่มเป้าหมายในระดับปฐมวัย เพ่ือปลูกฝังจิตสานึกใน
การแยกประโยชนส์ ว่ นบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม จติ พอเพียง การไม่ยอมรบั และไม่ทนต่อการทุจริต โดยใช้ช่อื
ว่าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-CorruptionEducation) หลักสูตรที่ ๑ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมี
แนวทางการนาไปใชต้ ามความเหมาะสมของแตล่ ะโรงเรียน ดังนี้
๑.1 นาไปจดั เป็นรายวิชาเพมิ่ เติมของโรงเรยี น
1.๒ นาไปจดั ในช่ัวโมงลดเวลาเรยี นเพม่ิ เวลารู้
1.๓ นาไปบูรณาการกับการจัดการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วฒั นธรรม (สาระหน้าทพี่ ลเมือง) หรอื นาไปบูรณาการกบั กลุ่มสาระการเรียนรอู้ ื่น ๆ
๒. จุดมุง่ หมำยของรำยวิชำ เพื่อให้นกั เรียนปฐมวยั
๒.๑ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชน์
ส่วนรวม
๒.๒ มคี วามรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกับความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต
๒.๓ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั STRONG / จิตพอเพยี งตอ่ ตา้ นการทุจรติ
๒.๔ มีความรู้ ความเข้าใจเกีย่ วกบั พลเมืองและมีความรับผิดชอบตอ่ สังคม
๒.๕ สามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์สว่ นรวมได้
๒.๖ ปฏบิ ัตติ นเปน็ ผู้ละอายและไม่ทนต่อการทุจรติ ทุกรปู แบบ
๒.๗ ปฏิบัตติ นเปน็ ผทู้ ี่ STRONG / จติ พอเพยี งต่อตา้ นการทุจรติ
๒.๘ ปฏิบัตติ นตามหนา้ ท่ีพลเมอื งและมคี วามรับผดิ ชอบตอ่ สงั คม
WATMUANG ๖๓
๓. คำอธิบำยรำยวชิ ำ
ศึกษาเก่ียวกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ความละอายและ
ความไม่ทนต่อการทุจริต STRONG / จิตพอเพียงต่อต้านการทุจริต รู้หน้าที่ของพลเมืองและรับผิดชอบต่อสังคม
ในการตอ่ ตา้ นการทุจริต
โดยใช้กระบวนการคิด วิเคราะห์ จาแนก แยกแยะ การฝึกปฏิบัติจริง การทาโครงงานกระบวนการ
เรียนรู้ ๕ ขั้นตอน (๕ STEPs) การอภิปราย การสืบสอบ การแก้ปัญหา ทักษะการอ่านและการเขียน เพ่ือให้มี
ความตระหนกั และเหน็ ความสาคญั ของการต่อต้านและการป้องกนั การทุจรติ
๔.ผลกำรเรียนรู้
๑. มีความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกับการแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตน กับผลประโยชน์
สว่ นรวม
๒. มีความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกับความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต
๓. มีความรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกับ STRONG / จิตพอเพยี งต่อต้านการทุจรติ
๔. มคี วามรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกบั พลเมืองและมีความรบั ผิดชอบตอ่ สังคม
๕. สามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตน กบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวมได้
๖. ปฏบิ ัติตนเปน็ ผูล้ ะอายและไม่ทนต่อการทจุ รติ ทุกรปู แบบ
๗. ปฏิบัติตนเปน็ ผูท้ ่ี STRONG / จติ พอเพียงต่อต้านการทุจริต
๘. ปฏบิ ตั ิตนตามหน้าทีพ่ ลเมืองและมคี วามรับผิดชอบตอ่ สังคม
๙. ตระหนกั และเหน็ ความสาคัญของการต่อต้านและป้องกันการทจุ รติ รวมทัง้ หมด ๙ ผลการเรียนรู้
WATMUANG ๖๔
กำรจัดประสบกำรณ์
WATMUANG ๖๕
กำรจดั ประสบกำรณ์
การจัดประสบการณ์สาหรับเด็กวัย ๔-๖ ปี จะจัดในรูปแบบของกิจกรรมบูรณาการผ่านการเล่นด้วยการ
ปฏิบัติจริงโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า เพื่อให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง เกิดความรู้ ทักษะและเจตคติ ในการ
เรียนรู้ ได้พัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ดังน้ันการจัดกิจกรรมจะต้อง ครอบคลุม
ประสบการณ์สาคัญและสาระท่ีควรเรียนรู้ที่กาหนดในหลักสูตรการศึกษาปฐมวยั พุทธศักราช ๒๕๖๐ (ปรับปรุง
พุทธศักราช๒๕๖๓)
การจัดประสบการณ์ควรยึดหยุ่นให้มีสาระที่ควรเรียนรู้ที่เด็กสนใจและการกาหนดกิจกรรมให้เด็ก ในแต่ละ
วันไม่จัดเป็นรายวิชา และอาจใช้ช่ือเรียกกิจกรรมแตกต่างกันไปในแต่ละหน่วยงาน การนาแนวคิดการจัด
การศึกษาปฐมวัยต่างๆมาประยุกต์ใช้ในการจัดประสบการณ์ ผู้สอนต้องทาความเข้าใจแนวคิดการจัด การศึกษา
ปฐมวัยน้ันๆ ซึ่งแต่ละแนวคิดการจัดการศึกษาปฐมวัยจะมีจุดเด่นของตนเอง แต่โดยภาพรวมแล้ว แนวคดิ การจัด
การศึกษาปฐมวัยส่วนใหญ่ยึดเด็กเป็นสาคัญ การลงมือปฏิบัติจริงด้วยตัวเด็กจึงเป็นหัวใจสาคัญ ของการพัฒนา
เด็กโดยองค์รวม นอกจากนี้ผู้สอนต้องศึกษาและทาความเข้าใจในหลักการจัดประสบการณ์ แนวการจัด
ประสบการณ์ และการจดั กิจกรรมประจาวัน เพ่อื น าหลักสตู รสถานศกึ ษาลงส่กู ารปฏิบตั ิ ดงั นี้
หลกั กำรจดั ประสบกำรณ์
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยโรงเรียนวัดม่วง พุทธศักราช ๒๕๖๐ (ปรับปรุงพุทธศักราช ๒๕๖๓) ได้กาหนด
หลกั การจัดประสบการณไ์ ว้ ดังนี้
๑.จดั ประสบการณก์ ารเลน่ และการเรยี นรู้อย่างหลากหลาย เพ่ือพฒั นาเดก็ โดยองคร์ วมอย่างสมดลุ และ
ตอ่ เนื่อง
๒.เนน้ เด็กเป็นสาคญั สนองความตอ้ งการ ความสนใจ ความแตกตา่ งระหว่างบุคคลและบริบทของสังคม
ที่เด็กอาศัยอยู่
๓. จัดใหเ้ ด็กไดร้ บั การพัฒนา โดยให้ความสาคญั ทั้งดา้ นกระบวนการเรยี นร้แู ละพัฒนาการของเด็ก
๔.จัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่งของการจัด
ประสบการณ์ พร้อมทง้ั นาผลการประเมนิ มาพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่อง
๕.ใหพ้ ่อแม่ ครอบครัว ชมุ ชน และทุกฝา่ ยทเี่ ก่ียวข้อง มีสว่ นร่วมในการพัฒนาเดก็
แนวทำงกำรจดั ประสบกำรณ์
การจัดประสบการณส์ าหรบั เด็กปฐมวยั ควรดาเนินการตามแนวทางดังต่อไปนี้
๑.จัดประสบการณ์ให้สอดคลอ้ งกับจติ วทิ ยาพฒั นาการและการทางานของสมอง ทีเ่ หมาะสมกบั อายุวุฒิ
ภาวะ และระดบั พัฒนาการ เพอ่ื ใหเ้ ด็กทกุ คนไดพ้ ฒั นาเต็มตามศักยภาพ
๒.จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับแบบการเรียนรู้ของเด็ก เด็กได้ลงมือกระทาเรียนรู้ผ่าน ประสาท
สัมผัสทั้งห้า ไดเ้ คลอื่ นไหว สารวจ เล่น สงั เกต สืบคน้ ทดลอง และคดิ แก้ปัญหาดว้ ยตนเอง
๓. จดั ประสบการณแ์ บบบูรณาการ โดยบรู ณาการทัง้ กิจกรรม ทกั ษะ และสาระการเรยี นรู้
๔.จัดประสบการณ์ให้เด็กได้คิดริเร่ิม วางแผน ตัดสินใจ ลงมือกระทาและนาเสนอความคิด โดยผู้สอน
หรือผจู้ ดั ประสบการณเ์ ปน็ ผสู้ นับสนนุ อานวยความสะดวก และเรยี นรูร้ ่วมกบั เด็ก
๕. จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่น กับผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อมท่ีเอื้อต่อ การเรียนรู้
ในบรรยากาศที่อบอ่นุ มคี วามสุข และเรยี นร้กู ารทากจิ กรรมแบบร่วมมือในลกั ษณะตา่ งๆ
WATMUANG ๖๖
๖.จดั ประสบการณ์ให้เด็กมีปฏสิ ัมพันธ์กับสื่อ และแหลง่ การเรยี นรู้ที่หลากหลายและอยใู่ นวิถีชีวติ
ของเด็ก สอดคล้องกบั บรบิ ท สงั คม และวฒั นธรรมท่ีแวดล้อมเด็ก
๗.จัดประสบการณท์ ่ีสง่ เสริมลักษณะนสิ ยั ที่ดแี ละทักษะการใช้ชีวิตประจาวัน ตามแนวทาง หลักปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนสอดแทรกคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และการมีวินยั ใหเ้ ปน็ สว่ นหน่ึงของ
การจัดประสบการณ์การเรียนรอู้ ยา่ งต่อเนื่อง
๘.จดั ประสบการณ์ทั้งในลักษณะที่มีการวางแผนไว้ลว่ งหนา้ และแผนที่เกิดขึ้นในสภาพจริง โดยไม่ได้
คาดการณไ์ ว้
๙.จดั ทาสารนิทัศนด์ ว้ ยการรวบรวมข้อมลู เก่ยี วกับพฒั นาการและการเรยี นรู้ของเดก็ เป็น รายบุคคล
นามาไตรต่ รองเพอื่ ใช้ประโยชนใ์ นการพัฒนาเดก็ และการวจิ ัยในช้ันเรยี น
๑๐.จัดประสบการณ์โดยใหพ้ ่อแม่ ครอบครวั และชุมชนมสี ่วนร่วม ทงั้ การวางแผนการสนับสนนุ ส่ือ
แหล่งเรียนรู้ การเข้าร่วมกจิ กรรม และการประเมินพฒั นาการ
กำรจดั กจิ กรรมประจำวัน
การจัดประสบการณ์ในกิจกรรมประจาวันสาหรับเด็กอายุ ๓-๖ ปี สามารถนามาจัดได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่
กบั ความเหมาะสมในการนาไปใชข้ องแตล่ ะหน่วยงาน ซ่งึ เปน็ การชว่ ยใหผ้ ูส้ อนทราบว่าในแตล่ ะวนั จะทากจิ กรรม
อะไร เมอ่ื ใด และอย่างไร และที่สาคัญผู้สอนตอ้ งคานึงถงึ การจัดกิจกรรมให้ครอบคลุมพฒั นาการ ทกุ ด้าน การ
จดั กจิ กรรมประจาวันมีหลักการจดั และขอบข่ายของกิจกรรม ดงั นี้
หลักกำรจดั กจิ กรรมประจำวนั
การจดั กิจกรรมประจาวันจะต้องคานึงถึง อายุ และความสนใจของเดก็ ในแต่ละช่วงวัยดงั นี้
๑.การกาหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัยของเด็กใน แต่ละวัน แต่
ยืดหย่นุ ไดต้ ามความตอ้ งการและความสนใจของเด็ก เช่น
เดก็ วัย ๓-๔ ปี มีความสนใจประมาณ ๘ - ๑๒ นาที
เด็กวัย ๔-๕ ปี มคี วามสนใจประมาณ ๑๒-๑๕ นาที
เด็กวัย ๕-๖ ปี มีความสนใจประมาณ ๑๕-๒๐ นาที
๒. กิจกรรมที่ต้องใชค้ วามคิดทงั้ ในกลมุ่ เล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใชเ้ วลาต่อเนือ่ งนานเกนิ กวา่ ๒๐ นาที
๓. กิจกรรมที่เด็กมีอิสระเลือกเล่นอย่างเสรี เพ่ือช่วยให้เด็กเรียนรู้การเลือก การตัดสินใจ การคิด
แก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์ ใช้เวลาประมาณ ๔๐-๖๐ นาที เช่น กิจกรรมการเล่นตามมุม กิจกรรม การ
เลน่ กลางแจ้ง กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์
๔.กจิ กรรมควรมคี วามสมดลุ ระหวา่ งกจิ กรรมในห้องและนอกห้อง กิจกรรมท่ีใชก้ ล้ามเนื้อใหญ่ และกล้ามเนื้อเล็ก
กิจกรรมท่ีเป็นรายบุคคล กลุ่มย่อย และกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่เด็กเป็นผู้ริเร่ิมและผู้สอนเป็น ผู้ริเร่ิม กิจกรรมที่ใช้
กาลังและไม่ใช้กาลัง จัดให้ครบทุกประเภท ท้ังนี้กิจกรรมที่ต้องออกก าลังกายควรจัดสลับกับ กิจกรรมที่ไม่ต้อง
ออกกาลงั มากนกั เพ่ือเด็กจะได้ไมเ่ หน่อื ยเกินไป
ขอบขำ่ ยของกิจกรรรมประจำวนั
การเลือกกิจกรรมที่จะนามาจัดในแต่ละวัน สามารถจัดได้หลายรูปแบบ ท้ังน้ี ข้ึนอยู่กับความ เหมาะสมใน
การนาไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ท่ีสาคัญผู้สอนต้องคานึงถึงการจัดกิจกรรมให้ ครอบคลุม
พัฒนาการทุกด้านดงั ต่อไปนี้
WATMUANG ๖๗
กำรพัฒนำกล้ำมเน้ือใหญ่
เป็นการพัฒนาความแข็งแรง การทรงตัว การยืดหยุ่น ความคล่องแคล่วในการใช้อวัยวะต่างๆ การประสาน
สัมพันธ์ และจังหวะการเคลื่อนไหวในการใช้กล้ามเน้ือใหญ่ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นอิสระกลางแจ้ง เล่น
เคร่อื งเลน่ สนาม เลน่ ปนี ป่ายอยา่ งอสิ ระ และเคล่อื นไหว ร่างกายตามจังหวะดนตรี
กำรพัฒนำกลำ้ มเนอ้ื เลก็
เป็นการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเน้ือมือ นิ้วมือ และ การประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตาได้อย่าง
คลอ่ งแคล่ว โดยจัดกจิ กรรมให้เด็กได้เลน่ เครื่องเล่นสัมผสั ฝึกชว่ ยเหลือตนเองในการแต่งกาย การหยิบจับส่ิงของ
และอุปกรณ์ตา่ งๆ เชน่ ชอ้ นส้อม สีเทียน กรรไกร พกู่ นั ดินเหนยี ว
กำรพัฒนำอำรมณ์ จติ ใจ และปลูกฝงั คุณธรรม จรยิ ธรรม
เป็นการปลูกฝังให้เด็กมี ความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อ่ืน มีความเช่ือม่ัน กล้าแสดงออก มีวินัย
รับผิดชอบ ซ่ือสัตย์ประหยัด เมตตา กรุณา เอ้ือเฟื้อ แบ่งปัน มีมารยาท และปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทยและ
ศาสนาทีน่ ับถอื โดยจัดกิจกรรมตา่ งๆ ผา่ นการเลน่ ใหเ้ ดก็ ได้มโี อกาสตัดสินใจเลือก ได้รบั การตอบสนองตามความ
ต้องการ ได้ฝึกปฏิบตั โิ ดยสอดแทรก คุณธรรม จริยธรรมอยา่ งตอ่ เนื่อง
กำรพฒั นำสังคมนิสัย
เป็นการพัฒนาให้เด็กมีลักษณะนสิ ัยท่ีดี แสดงออกอย่างเหมาะสมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสขุ
ช่วยเหลือตนเองในการทากิจวัตรประจาวัน มีนิสัยรักการทางาน รักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น
รวมท้ังระมัดระวังอันตรายจากคนแปลกหน้า ให้เด็กได้ปฏิบัติ กิจวัตรประจาวันอย่างสม่าเสมอ รับประทาน
อาหาร พักผ่อนนอนหลับ ขับถ่ายทาความสะอาดร่างกาย เล่นและทางานร่วมกับผู้อ่ืน ปฏิบัติตามกฎกติกา
ข้อตกลงของส่วนรวม เกบ็ ของเข้าที่เม่อื เล่นหรือทางานเสรจ็
กำรพฒั นำกำรคดิ
เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาการคิดรวบยอดและการคิ ดเชิงเหตุผลทาง
วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้สังเกต จาแนก เปรียบเทียบ สืบเสาะหาความรู้ สนทนา
อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็กศึกษานอกสถานที่ เล่นเกมการศึกษา ฝึก
แกป้ ญั หาในชีวติ ประจาวัน ฝกึ ออกแบบและสร้างชิน้ งาน และ ทากิจกรรมเป็นรายบุคคล กลุ่มย่อย และกล่มุ ใหญ่
กำรพัฒนำภำษำ
เปน็ การพฒั นาให้เด็กใช้ภาษาในการสื่อสารถ่ายทอดความรสู้ ึก ความคิด ความเขา้ ใจในส่ิงต่างๆ ที่เด็กมี
ประสบการณ์ โดยสามารถตั้งคาถามในสิ่งที่สงสัยใคร่รู้ จัดกิจกรรม ทางภาษาให้มีความหลากหลายใน
สภาพแวดล้อมที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ มุ่งปลูกฝังให้เด็กได้กล้าแสดงออกใน การฟัง การพูด การอ่าน การเขียน มี
นิสัยรักการอ่าน และบุคคลแวดล้อมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษา ทั้งน้ีต้องคานึงถึงหลักการจัดกิจกรรม
ทางภาษาทเ่ี หมาะสมกบั เดก็
กำรสง่ เสรมิ จนิ ตนำกำรและควำมคดิ สรำ้ งสรรคเ์ ป็นกำรส่งเสริมใหเ้ ด็ก
ความคดิ รเิ ริม่ สรา้ งสรรค์ ไดถ้ ่ายทอดอารมณ์และความรสู้ กึ และเหน็ ความสวยงามของส่ิงตา่ งๆ โดยจดั กิจกรรม
ศลิ ปะสร้างสรรค์ การเคล่ือนไหวและจงั หวะตามจนิ ตนาการ ประดษิ ฐ์สงิ่ ตา่ ง ๆ อย่างอิสระเล่นบทบาทสมมติ
เล่นน้าเล่นทราย เลน่ บลอ็ ก และเลน่ ก่อสร้าง
WATMUANG ๖๘
รปู แบบกำรจดั กิจกรรมประจำวนั
การจัดตารางกิจกรรมประจาวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ทั้งน้ี ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการ
นาไปใช้ของแต่ละหน่วยงาน ท่ีสาคัญผู้สอนต้องคานึงถึงการจัดกิจกรรมให้ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน จึงขอ
เสนอแนะสัดส่วนเวลาในการพัฒนาเด็กแต่ละวัน ดงั นี้
อำย๔ุ -๕ อำย๕ุ -๖
กำรพัฒนำ ชัว่ โมง : วนั ชวั่ โมง : วนั
ประมำณ ประมำณ
๑. กิจกรรมเคลอื่ นไหว ๓๐/นาที ๓๐/นาที
๒. กจิ กรรมเสริมประสบการณ์ ๑๑
๓. กจิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ ๓๐/นาที ๓๐/นาที
๔. กจิ กรรมกลางแจง้ ๓๐/นาที ๓๐/นาที
๕. กิจกรรมเสรี ๑๑
๖. กจิ กรรมเกมการศึกษา ๑๑
๗. สรปุ กจิ กรรมประจาวัน ๓๐/นาที ๓๐/นาที
จำกตำรำงกจิ กรรมประจำวัน ผู้สอนตอ้ งจัดกิจกรรมโดยคำนึงถึงประเด็นดงั ตอ่ ไปนี้
๑. การจัดสัดส่วนของเวลาในแต่ละวันท่ีเสนอไว้สามารถปรับและยืดหยุ่นได้ ท้ังนี้ ข้ึนอยู่กับผู้สอนและ
สภาพการณ์ โดยยึดหลักการจดั กิจกรรมประจาวนั
๒. การจัดกิจกรรมประจาวันควรจัดเพ่ือส่งเสริมทักษะพ้ืนฐานในชีวิตประจาวันของเด็ก โดยผู้สอนต้อง
ให้ ความสาคัญในการส่งเสริมให้เด็กได้ใช้กล้ามเนื้อเล็กในการหยิบ จับ วัสดุต่างๆเพ่ือช่วยเหลือตนเองในการ
ปฏิบัติ กิจวัตรประจาวันและถือเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยเชน่ เด็กอายุ ๓ ปีต้องให้เวลาในการ
ทากิจวัตรประจาวันมากและเมื่อเด็กอายุมากขึ้นเวลาท่ีทากิจวัตรประจาวันจะน้อยลงตามลาดับเนื่องจากเด็ก
ช่วยเหลอื ตนเองไดม้ ากขึ้น
๓. การจัดกิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กมีร่างกายแข็งแรง มีการทรงตัวท่ีดี มี
การยดื หยุ่นและความคล่องแคล่วในการใชอ้ วัยวะต่าง ๆ ตามจังหวะการเคล่อื นไหวและการประสานสมั พันธ์กัน
๔. การจัดกิจกรรมการเล่นอิสระเสรี เป็นสิ่งสาคัญและจาเป็นสาหรับเด็กปฐมวัย ช่วยให้เด็กเลือก
ตัดสินใจ คิดแก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์ในแต่ละวันเด็กทุกวัยควรมีโอกาสเล่นอิสร ะกลางแจ้งอย่างน้อย
๑ ชว่ั โมง : วนั
๕. การคิดและความคดิ สร้างสรรค์ ทาใหเ้ ด็กเกิดความคิดรวยยอด การคดิ เชงิ เหตผุ ล มคี วามสามารถใน
การแก้ปัญหาและตดั สินใจ มีจนิ ตนาการและความคดิ สร้างสรรค์
๖. กิจกรรมพัฒนาทักษะทางสังคม เป็นกิจกรรมท่ีเด็กได้พัฒนาลักษณะนิสัยท่ีดี แสดงออกอย่าง
เหมาะสม มีปฏิสัมพันธ์และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข เด็กท่ีอายุน้อยยังยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ดังนั้น
การให้เวลา ในช่วงวัย ๓-๔ ปจี งึ ให้เวลาน้อยในการทากจิ กรรมกลุม่ เนอ่ื งจากเดก็ ยงั ยดึ ตนเองเป็นศูนย์กลาง และ
จะเพิ่มเวลาเมื่อเด็กอายุมากขึน้ เพราะเด็กตอ้ งการเวลาในการเล่นและทากิจกรรมรว่ มกบั คนอนื่ มากข้นึ
๗. กิจกรรมที่มีการวางแผนโดยครูผู้สอน ให้คิดรวบยอดโดยครูผู้สอน จะช่วยให้เด็กเกิดทักษะหรือ
ความคิดรวบยอดในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งตามสาระการเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตร เช่นผู้สอนต้องการให้เกิด
ความคิดรวบยอดเก่ียวกับน้า ผูส้ อนต้องวางแผนกิจกรรมล่วงหนา้ เวลาท่ีใชใ้ นแต่ละวันท่กี าหนดไว้ ๓/๔ ชว่ั โมง
(๔๕ นาที) ทั้งนี้มิได้หมายความว่าให้ผู้สอนสอนต่อเน่ือง ๔๕ นาทีใน ๑กิจกรรม ผู้สอนต้องพิจารณาว่า เด็กมี
WATMUANG ๖๙
ช่วงความสนใจสั้นตามพัฒนาการ จาเป็นต้องจัดแบ่งเวลาเป็นหลายช่วงและในหลากหลายกิจกรรม กิจกรรมท่ี
ตอ้ งใชค้ วามคิดทั้งในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใช้เวลาต่อเนอ่ื งนานกวา่ ๒๐ นาที
แนวทำงกำรจดั กิจกรรมประจำวัน
การจัดกิจกรรมประจาวัน ครูสามารถนาไปปรับใช้ได้ หรือนานวัตกรรมต่างๆมาปรับใช้ในการจัด
กจิ กรรมประจาวันใหเ้ หมาะสมกับสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา โดยมีแนวทางในการจัด
กิจกรรม และ การใชส้ ่ือ ดังน้ี
กจิ กรรมเคล่อื นไหว
การเคล่ือนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมท่ีจัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่าง อิสระตามจังหวะ
โดยใช้เสียงเพลง คาคล้องจอง เครื่องเคาะจังหวะ และอุปกรณ์อ่ืนๆ มาประกอบการ เคล่ือนไหว ซ่ึงจังหวะและ
เคร่อื งดนตรีประกอบ ได้แก่ การปรบมอื การรอ้ งเพลง การเคาะไม้ กรุ้งกร่ิง รามะนา กลอง กรบั เพ่อื สง่ เสริมให้
เด็กพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กอารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา เกิดจินตนาการ ความคิด
สรา้ งสรรค์ สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ดังน้ี
จดุ ประสงค์
๑. เพ่ือพัฒนาอวัยวะทุกสว่ นให้มคี วามสมั พันธก์ ันอยา่ งดีในการเคล่ือนไหว
๒. เพื่อฝึกทักษะภาษา ฝกึ ฟังคาส่ัง และข้อตกลง
๓. เพ่ือฝึกใหเ้ กิดทักษะในการฟังดนตรี หรอื จังหวะต่าง ๆ
๔. เพอ่ื ใหเ้ กิดความซาบซงึ้ และสนุ ทรียภาพ
๕. เพือ่ ฝึกความจาและเสริมสรา้ งประสบการณ์
๖. เพือ่ ฝกึ การเปน็ ผู้นาและผู้ตามที่ดี
๗. เพอ่ื พฒั นาดา้ นสังคม การปรับตวั และความรว่ มมือในกลุม่
๘. เพื่อใหโ้ อกาสเดก็ ไดแ้ สดงออก มคี วามเชื่อม่นั ในตนเอง และความคิดรเิ ร่ิมสรา้ งสรรค์
๙. เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน ผอ่ นคลายความตึงเครียดท้ังรา่ งกายและจิตใจ
ขอบข่ำยของกำรจดั กิจกรรมเคลือ่ นไหวและจังหวะ
๑. การเคล่ือนไหวร่างกาย
๒. การฟงั สญั ญาณและการปฏบิ ัติตามขอ้ ตกลง
๓. การฝกึ การเปน็ ผู้นาและผู้ตามที่ดี
๔. การฝึกจนิ ตนาการและความคิดสรา้ งสรรค์
๕. ความมรี ะเบยี บวินัย
๖. การเรียนรู้จงั หวะ
๗. ความเพลิดเพลนิ สนกุ สนาน
๘. การฝกึ ความจา
๙. การแสดงออก
๑๐. เนือ้ หาของหนว่ ยการสอน
WATMUANG ๗๐
รูปแบบกำรเคล่อื นไหว
๑. กำรเคล่ือนไหวพ้นื ฐำน เป็นกิจกรรมทีต่ ้องฝึกทุกคร้งั ก่อนที่จะเริ่มฝึกกิจกรรมอืน่ ๆต่อไปลักษณะการ
จัดกิจกรรมมีจุดเน้นในเร่ืองจังหวะและการเคลอื่ นไหวหรือท่าทางอย่างอิสระ การเคล่ือนไหวตาม ธรรมชาติของ
เดก็ มี ๒ ประเภท ได้แก่
๑.๑ กำรเคล่ือนไหวอยู่กับที่ เช่น ปรบมือ ผงกศีรษะ ขยิบตา ชันเข่า ขยับมือและแขนมือและ น้ิวมือ
เท้าและปลายเท้า
๑.๒ กำรเคลือ่ นไหวเคลือ่ นท่ี เช่น คลาน คบื เดนิ วงิ่ กระโดด ควบมา้ ก้าวกระโดด
เขย่ง กา้ วชิด
๒.กำรเคลือ่ นไหวทส่ี ัมพนั ธ์กบั เน้ือหำ
เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายโดยเน้น การทบทวนเรื่องท่ีได้รับรู้จากกิจกรรมอ่ืนและ
นามาสัมพันธก์ ับสาระการเรยี นรู้ หรือเรือ่ งอื่นๆ ทีเ่ ดก็ สนใจ ไดแ้ ก่
๒.๑ กำรเคลื่อนไหวเลียนแบบ เป็นการเคลื่อนไหวเลียนแบบสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น การเลียนแบบ
ท่าทางสัตว์ การเลียนแบบท่าทางคน การเลียนแบบเครื่องยนต์กลไกและเครื่องเล่น และการเลียนแบบ
ปรากฏการณธ์ รรมชาติ
๒.๒ กำรเคลือ่ นไหวตำมบทเพลง เป็นการเคล่อื นไหวหรอื ทาท่าทางประกอบเพลง เช่น เพลงไก่ เพลง
ข้ามถนน เพลงสวสั ดี
๒.๓ กำรทำท่ำทำงกำยบริหำรประกอบเพลงหรือคำคล้องจอง เป็นการเคลื่อนไหวแบบกายบริหาร
อาจจะมีท่าทางไม่สัมพันธ์กับเนื้อหาของเพลงหรือคาคล้องจอง เช่น เพลงกามือแบมือเพลงออกกาลัง คาคล้อง
จองฝนตกพราพรา
๒.๔ กำรเคลื่อนไหวเชิงสรำ้ งสรรค์เป็นการเคลื่อนไหวที่ให้เด็กคิดสร้างสรรค์ท่าทางขึ้นเอง หรืออาจใช้
คาถามหรือคาสัง่ หรือใช้อปุ กรณป์ ระกอบ เช่น ห่วงหวาย แถบผ้า รบิ บิ้น ถงุ ทราย
๒.๕ กำรเคล่อื นไหวหรอื กำรแสดงทำ่ ทำงตำมคำบรรยำยทคี่ รูเลำ่ หรอื เรอ่ื งราว หรอื นทิ าน
๒.๖ กำรเคล่ือนไหวหรือกำรแสดงท่ำทำงตำมคำส่ัง เป็นการเคลื่อนไหวหรือทาท่าทางตามคาสั่งของ
ครู เช่น การจัดกลุม่ ตามจานวน การท าทา่ ทางตามคาส่ัง
๒.๗ กำรเคล่ือนไหวหรือกำรแสดงท่ำทำงตำมข้อตกลง เป็นการเคลื่อนไหวหรือทาท่าทาง ตาม
ขอ้ ตกลงทีไ่ ด้ตกลงไว้ก่อนเริ่มกจิ กรรม
๒.๘ กำรเคล่ือนไหวหรือกำรแสดงท่ำทำงเป็นผู้นำ ผู้ตาม เป็นการคิดท่าทางการเคล่ือนไหว อย่าง
สร้างสรรคข์ องเดก็ เองแล้วใหเ้ พอื่ นปฏบิ ัตติ าม
จากขอบข่ายของการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะข้างต้น ผู้สอนควรตระหนักถึงลักษณะของการ
เคลื่อนไหวโดยการใชส้ ่วนต่างๆ ของร่างกายให้ประสานสัมพันธก์ ันอย่างสมบูรณ์ ด้วยการเคล่ือนไหวลักษณะชา้
เร็ว นุ่มนวล ทาท่าทางขึงขัง ร่าเริง มีความสุข หรือเศร้าโศก เสียใจ และเคล่ือนไหวในทิศทางท่ีแตกต่างกัน เพื่อ
เป็นการฝึกให้เด็กได้เคล่ือนท่ีอิสระโดยใช้บริเวณท่ีอยู่รอบๆ ตัวเด็ก ได้แก่ การเคลื่อนไหวไปข้างหน้าและ ข้าง
หลัง ไปข้างซ้ายและข้างขวา เคล่ือนตัวขึ้นและลง หรือหมุนไปรอบตัวโดยให้มีระดับของการเคล่ือนไหวสงู กลาง
และ ต่า ในบรเิ วณพน้ื ทีท่ ่เี ดก็ ต้องการเคล่อื นไหว
สอ่ื กิจกรรมเคล่ือนไหวและจังหวะ
๑. เครอ่ื งเคาะจงั หวะ เช่น นง่ิ เหล็กสามเหล่ียม กรับ รามะนา กลอง
WATMUANG ๗๑
๒. อปุ กรณ์ประกอบการเคลื่อนไหว เช่น หนงั สอื พมิ พ์ รบิ บนิ้ แถบผา้ ห่วงหวายห่วงพลาสตกิ
ฮลู าฮูบ ถุงทราย
กิจกรรมเสรมิ ประสบกำรณ์/กจิ กรรมในวงกลม
เป็นกิจกรรมท่ีมุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาทักษะการ เรียนรู้ มีทักษะการฟัง การพูด การอ่าน การสังเกต การคิด
แกป้ ญั หา การใชเ้ หตุผล โดยการฝึกปฏิบัตริ ่วมกนั และการทางานเปน็ กลุ่ม ทั้งกล่มุ ย่อยและกลุ่มใหญ่ เพอ่ื ให้เกิด
ความคดิ รวบยอดเก่ียวกบั เรือ่ งท่ีได้เรยี นรู้ สอดคลอ้ งกับจุดประสงค์ดงั นี้
จุดประสงค์
๑. เพือ่ ให้เดก็ เข้าใจเนื้อหาและเรอื่ งราวในหนว่ ยการจัดประสบการณ์
๒. เพื่อฝกึ การใช้ภาษาในการฟัง พูด และการถา่ ยทอดเรื่องราว
๓. เพื่อฝกึ มารยาทในการฟัง การพดู
๔. เพื่อฝกึ ความมีระเบียบวนิ ัย
๕. เพ่ือให้เด็กเรียนรู้ผ่านการสงั เกต มีความอยากร้อู ยากเห็นสง่ิ แวลล้อมรอบตัว
๖. เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคดิ รวบยอด การคิดแก้ปญั หาและตดั สนิ ใจ
๗. เพ่ือสง่ เสรมิ การเรียนร้วู ธิ แี สวงหาความรู้ เกิดการเรียนรู้จากการคน้ พบดว้ ยตนเอง
๘. เพ่ือฝึกให้กล้าแสดงความคิดเหน็ ร่วมแสดงความคิดเห็นอยา่ งมีเหตผุ ลและยอมรับฟงั ความ
คดิ เหน็ ของผูอ้ นื่
๙. เพ่ือฝกึ ให้มีลักษณะนิสัยใฝ่รูใ้ ฝเ่ รียน
๑๐. เพือ่ ฝึกลกั ษณะนสิ ยั ใหม้ ีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม
ขอบข่ำยสำระของกิจกรรมเสรมิ ประสบกำรณ์/กิจกรรมในวงกลม
สำระที่ควรเรียนรู้สาระในส่วนน้ีกาหนดเฉพาะหัวข้อไม่มีรายละเอียด ทั้งนี้เพ่ือประสงค์จะให้ ผู้สอน
สามารถกาหนดรายละเอียดขึ้นเองให้สอดคล้องกับวัย ความต้องการ ความสนใจของเด็ก อาจยืดหยุ่น เน้ือหาได้
โดยคานึงถึงประสบการณ์ และส่ิงแวดล้อมในชวี ติ จริงของเด็ก ผู้สอนสามารถนาสาระท่ีควรเรียนรู้มา บูรณาการ
จดั ประสบการณต์ า่ งๆ ให้ง่ายต่อการเรียนรู้ ทัง้ นมี้ ไิ ดป้ ระสงค์ให้เด็กท่องจาเน้ือหา แต่ตอ้ งการให้ เดก็ เกดิ แนวคิด
หลังจากน าสาระการเรียนรู้น้ันๆมาจัดประสบการณ์ให้เด็กเพ่ือให้บรรลุจุดหมายท่ีกาหนดไว้นอกจากนี้สาระท่ี
ควรเรียนรู้ยังใช้เป็นแนวทางช่วยผู้สอนกาหนดรายละเอียดและความยากง่ายของเนื้อหาให้ เหมาะสมกับ
พัฒนาการของเด็ก สาระท่ีควรเรียนรู้ประกอบด้วยเร่ืองราวเก่ียวกับตัวเด็ก เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคล และสถานท่ี
แวดลอ้ มเดก็ ธรรมชาติรอบตวั และสงิ่ ตา่ งๆรอบตัวเดก็ ดังน้ี
๑. เร่ืองรำวเก่ียวกับตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เก่ียวกับชื่อ นามสกุล รูปร่างหน้าตาอวัยวะต่างๆ วิธีระวัง
รักษาร่างกายให้สะอาดและมีสุขภาพอนามัยท่ีดี การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ การรักษาความ
ปลอดภัยของตนเอง รวมทั้งการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างปลอดภัย การรู้จักประวัติความเป็นมาของตนเองและ
ครอบครัว การปฏิบัติตนเป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัวและโรงเรียน การเคารพสิทธขิ องตนเองและผอู้ ื่น การรู้จัก
แสดงความคิดเห็นของตนเองและรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน การกากับตนเอง การเล่นและทาสิ่งต่างๆ ด้วย
ตนเองตามลาพังหรือกับผู้อื่น การตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การสะท้อนการรับรู้
อารมณ์และความรู้สึกของตนเองและผู้อ่ืน การแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกอย่างเหมาะสม การแสดง
มารยาทที่ดี การมีคณุ ธรรมจรยิ ธรรม
WATMUANG ๗๒
๒. เร่ืองรำวเก่ียวกับบุคคลและสถำนท่ีแวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เก่ียวกับครอบครัวสถานศึกษา ชุมชน และ
บุคคลต่างๆ ที่เด็กต้องเกย่ี วข้องหรือใกลช้ ิดและมปี ฏิสัมพนั ธ์ในชวี ิตประจาวนั สถานที่สาคัญ วันสาคญั อาชพี ของ
คนในชุมชน ศาสนา แหล่งวฒั นธรรมในชมุ ชน สญั ลกั ษณส์ าคญั ของชาติไทย และการปฏิบตั ติ าวัฒนธรรมท้องถิ่น
และความเปน็ ไทย หรอื แหลง่ เรียนรู้จากภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ อ่นื ๆ
๓. ธรรมชำติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับช่ือ ลักษณะ ส่วนประกอบ การเปล่ียนแปลงและ
ความสมั พนั ธข์ องมนษุ ย์ สัตว์ พชื ตลอดจนการรจู้ ักเกีย่ วกบั ดนิ นา้ ท้องฟา้ สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ แรง และ
พลงั งานในชีวติ ประจาวันทีแ่ วดล้อมเด็ก รวมทัง้ การอนุรกั ษ์สง่ิ แวดลอ้ มและการรกั ษาสาธารณสมบัติ
๔. ส่ิงต่ำงๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษาเพื่อส่ือความหมาย ในชีวิตประจาวัน
ความรู้พื้นฐานเก่ียวกับการใช้หนังสอื และตัวหนังสือ รู้จักช่ือ ลักษณะ สี ผิวสัมผัสขนาด รูปร่าง รูปทรง ปริมาตร
น้าหนกั จานวน สว่ นประกอบ การเปลี่ยนแปลงและความสัมพนั ธ์ของสิ่งต่างๆ รอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์ การ
ใช้งาน และการเลือกใช้สิ่งของเครื่องใช้ ยานพาหนะ การคมนาคม เทคโนโลยีและการ ส่ือสารต่างๆ ที่ใช้อยู่ใน
ชวี ติ ประจา
แนวกำรจดั กิจกรรมเสรมิ ประสบกำรณ์/กจิ กรรมในวงกลม
การจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม (ควรใช้เวลา ๑๕-๒๐) ถ้านานเกินไปเด็กจะไม่สนใจ ใน
การดาเนนิ กิจกรรมม๓ี ข้นั ตอน
- ข้ันนำ เข้าสู่บทเรียน เป็นการเตรียมเด็กให้พร้อมและกระตุ้นให้เด็กสนใจที่จะร่วมกิจกรรมต่อไป
กจิ กรรมท่ีใช้อาจจะเป็นกิจกรรมการร้องเพลง คาคลอ้ งจอง ปรศิ นาคาทาย ทา่ ใบ้ ซ่งึ จะใช้เวลาส้นั ๆ
- ข้นั สอน เป็นการจัดกิจกรรที่ตอ้ งการใหเ้ ดก็ ได้รับความรแู้ ละประสบการณ์ด้วยกิจกรรมลายรปู แบบ
- ข้ันสรุป เป็นการสรุปสง่ิ ต่างๆที่เรียนไปท้ังหมดให้เด็กได้เข้าใจดยี ่ิงข้ึน ซึ่งผู้สอนอาจใช้ คาถาม เพลง คา
คล้องจอง เกม ในการสรปุ กจิ กรรม
ในการจดั กิจกรรมเสริมประสบการณ์ มวี ธิ ีการจดั ทหี่ ลากหลายไดแ้ ก่
๑. กำรสนทนำหรือกำรอภิปรำย เป็นการพูดคุย ซักถามระหว่างเด็กกับครู หรือเด็กกับเด็ก เป็น การ
ส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาด้านการพูดและการฟัง โดยการกาหนดประเด็นในการสนทนาหรอื อภิปราย เด็กจะ
ได้แสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ครูหรือผู้สอนเปิดโอกาสให้เด็กซักถาม โดยใช้คาถาม
กระตุ้นหรือเล่าประสบการณ์ที่แปลกใหม่ นาเสนอปัญหาท่ี ท้าทายความคิด การยกตัวอย่าง การ ใช้ส่ือ
ประกอบการสนทนาหรือการอภปิ รายควรใชส้ ื่อของจริง ของจาลอง รปู ภาพ หรือสถานการณจ์ าลอง
๒. กำรเล่ำนิทำน และกำรอำ่ นนิทำน เป็นกิจกรรมที่ครหู รือผู้สอนเล่าหรอื อา่ นเร่ืองราวจาก นทิ าน โดย
การใช้น้าเสียงประกอบการเล่าแตกต่างตามบุคลิกของตัวละคร ซึ่งครูหรือผู้สอนควรเลือกสาระของ นิทานให้
เหมาะสมกับวัย สื่อที่ใช้อาจเป็นหนังสือนิทาน หนังสือภาพ แผ่นภาพ หุ่นมือหุ่นนิ้วมือ หรือการแสดง ท่าทาง
ประกอบการเล่าเร่อื ง โดยครูใช้คาถามเพ่ือกระตุ้นการเรยี นรู้ เช่น ในนิทานเรื่องนี้มตี ัวละครอะไรบา้ ง เหตุการณ์
ในนิทานเรื่องนี้เกิดท่ีไหน เวลาใด หรือ ลาดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนิทาน นิทานเร่ืองน้ีมีปัญหา อะไรบ้าง และ
เด็กๆชอบเหตกุ ารณใ์ ดในนอทานเรอื่ งน้มี ากท่สี ดุ
๓. กำรสำธิต เปน็ กจิ กรรมทเี่ ด็กไดเ้ รียนรู้จากประสบการณ์ตรง โดยแสดงหรอื ทาสิ่งทตี่ อ้ งการให้ เด็กได้
สังเกตและเรียนรู้ตามข้ันตอนของกิจกรรมนั้นๆ และเด็กได้อภิปรายและร่วมกันสรุปการเรียนรู้ การสาธิต ใน
บางคร้ังอาจให้เด็กอาสาสมัครเป็นผู้สาธิตร่วมกับครูหรือผู้สอน เพื่อนาไปสู่การปฏิบัติจริงด้วยตนเอง เช่น การ
เพาะเมลด็ พชื การประกอบอาหาร การเปา่ ลูกโป่ง การเล่นเกมการศกึ ษา
WATMUANG ๗๓
๔. กำรทดลองปฏิบัตกิ ำร เป็นกจิ กรรมท่ีจัดใหเ้ ดก็ ไดร้ ับประสบการณต์ รง จากการลงมอื ปฏิบตั ิ ทดลอง
การคิดแก้ปัญหา มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะคณิตศาสตร์ ทักษะภาษา ส่งเสริมให้เด็ก เกิดข้อ
สงสัย สืบค้นคาตอบด้วยตนเอง ผ่านการวิเคราะห์ สังเคราะห์อย่างง่ายสรุปผลการทดลอง อภิปรายผล การ
ทดลอง และสรุปการเรียนรู้ โดยกิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์ง่าย ๆ เช่น การเล้ียงหนอนผีเส้ือ การปลูกพืช
ฝึก การสังเกตการณ์ไหลของน้า
๕. กำรประกอบอำหำร เปน็ กิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการทดลองโดยเปิดโอกาสให้เดก็ ได้ ลงมอื
ทดสอบและปฏิบัติการด้วยตนเองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของผัก เน้ือสัตว์ ผลไม้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ต้ม น่ึง
ผัด ทอด หรือการรับประทานสด เด็กจะได้รับประสบการณ์จากการสงั เกตการเปล่ียนแปลงของอาหาร การรับรู้
รสชาตแิ ละกลนิ่ ของอาหาร ด้วยการใช้ประสาทสมั ผสั และการทางานรว่ มกัน เช่นการท าอาหารจากไข่
๖. กำรเพำะปลูก เป็นกจิ กรรมทเี่ น้นกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละคณิตศาสตร์ ซงึ่ เด็กจะได้ เรยี นรู้
การบูรณการจะทาให้เด็กได้รับประสบการณ์โดยทาความเข้าใจความต้องการของส่ิงมีชีวิตในโลก และ ช่วยให้
เด็กเข้าใจความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิง่ ที่อยู่รอบตัวโดยการสังเกตเปรียบเทียบ และการคิดอย่างมีเหตุผล ซ่ึงเป็น
การเปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ ไดค้ น้ พบและเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง
๗. กำรศึกษำนอกสถำนที่ เป็นการจัดกิจกรรมทัศนศึกษาท่ีให้เด็กได้เรียนรู้สภาพความเป็นจริง นอก
ห้องเรียน จากแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา หรือ แหล่งเรียนรู้ในชุมชน เช่น ห้องสมุด สวนสมุนไพรวัด ไปรษณีย์
พิพิธภัณฑ์ เพือ่ เป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์แกเ่ ด็ก โดยครูและเด็กรว่ มกนั วางแผนศึกษาสง่ิ ทีต่ ้องการเรยี นรู้การ
เดนิ ทาง และสรปุ ผลการเรยี นรทู้ ี่ได้จากการไปศกึ ษานอกสถานที่
๘. กำรเล่นบทบำทสมมติเป็นกิจกรรมให้เด็กสมมติตนเองเป็นตัวละคร และแสดงบทบาทต่างๆ ตาม
เน้ือเรื่องในนิทาน เรื่องราวหรือสถานการณ์ต่าง ๆ โดยใช้ความรู้สึกของเด็กในการแสดง เพื่อให้เด็กเข้าใจ
เรือ่ งราว ความรู้สกึ และพฤตกิ รรมของตนเองและผู้อ่ืน ๆ ควรใชส้ ่ือประกอบการเลน่ สมมติ เชน่ หุน่ สวมศีรษะ ที่
คาดศรี ษะรปู คนและสตั ว์รปู แบบต่างๆ เคร่ืองแตง่ กายและอุปกรณข์ องจริงชนดิ ตา่ ง ๆ
๙. กำรร้องเพลง ทอ่ งคำคลอ้ งจอง เป็นกจิ กรรมที่จัดให้เด็กได้เรยี นรู้เก่ียวกับภาษาจังหวะ และ การ
แสดงท่าทางใหส้ มั พนั ธ์กับเนื้อหาของเพลงหรือคาคลอ้ งจอง ครูหรอื ผูส้ อนควรเลอื กให้เหมาะกบั วยั ของเดก็
๑๐. เกม เป็นกิจกรรมท่ีนาเกมการเรียนรู้เพ่ือฝึกทักษะการคิด การแก้ปัญหา และการทางานเป็นกลุ่ม
เกมท่ีนามาเลน่ ไม่ควรเนน้ การแขง่ ขัน
๑๑. กำรแสดงละคร เป็น กิจกรรมที่เด็กจะได้เรียนรู้เก่ียวกับการลาดับเร่ืองราว การเรียงลาดับ
เหตุการณ์ หรือเรื่องราวจากนิทาน การใช้ภาษาในการส่ือสารของตัวละคร เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ และทาความ
เข้าใจบุคลกิ ลักษณะของตวั ละครที่เดก็ สวมบทบาท สอ่ื ท่ใี ช้ เชน่ ชุดการแสดงทีส่ อดคล้องกับ บทบาททีไ่ ดร้ ับ บท
สนทนาที่เด็กใช้ฝกึ สนทนาประกอบการแสดง
๑๒. กำรใช้สถำนกำรณ์จำลอง เป็นกิจกรรมที่เด็กได้เรียนรู้แนวทางการปฏิบัติตนเมื่ออยู่ใน
สถานการณท์ ่ีครูหรอื ผสู้ อนกาหนด เพ่อื ให้เด็กไดฝ้ กึ การแก้ปัญหา เชน่ นา้ ทว่ ม โรคระบาด พบคนแปลกหนา้
สอ่ื กิจกรรมเสริมประสบกำรณ์ /กิจกรรมในวงกลม
๑. สื่อของจรงิ ท่อี ยู่ใกลต้ วั และสอ่ื จากธรรมชาติหรอื วัสดทุ อ้ งถ่ิน เช่น ตน้ ไมใ้ บไม้ เปลอื กหอย เสือ้ ผ้า
๒. สอื่ ท่ีจาลองขึ้น เช่น ต้นไม้ ตุก๊ ตาสัตว์
๓. สือ่ ประเภทภาพ เชน่ ภาพพลกิ ภาพโปสเตอร์ หนงั สอื ภาพ
๔. ส่ือ เทคโนโลยี เช่น เคร่ืองบันทึกเสียง เคร่ืองขยายเสียง โทรศัพท์ แม่เหล็ก แว่นขยาย เครื่องช่ัง
กลอ้ งถ่ายรูปดิจิตอล
WATMUANG ๗๔
๕. ส่ือ แหล่งเรียนรู้ เช่น แหล่งเรียนรู้ภายในและนอกสถานศึกษา เช่น แปลงเกษตรสวนผัก สมุนไพร
ร้านค้า สวนสัตว์ แหล่งประกอบการในท้องถน่ิ
กจิ กรรมศิลปะสร้ำงสรรค์
กิจกรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ เปน็ กจิ กรรมท่มี ุ่งพฒั นากระบวนการคิดสร้างสรรค์ การรบั ร้เู กย่ี วกบั ความงาม
และส่งเสริม กระตุ้นให้เด็กแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์และจินตนาการ โดยใช้
กจิ กรรมศลิ ปะ เชน่ การวาดภาพ ระบายสี การปั้น การพิมพภ์ าพ การพบั ตัด ฉกี ปะ ทเี่ หมาะกับพฒั นาการของ
เด็กแต่ละวัยและสอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคด์ ังน้ี
จุดประสงค์
๑. เพ่อื พฒั นากล้ามเนื้อมือ และตาให้ประสานสมั พันธ์กนั
๒. เพอ่ื ใหเ้ กิดความเพลดิ เพลนิ ชืน่ ชมในสิ่งทส่ี วยงาม
๓. เพื่อส่งเสรมิ การปรับตัวในการท างานรว่ มกบั ผ้อู นื่
๔. เพ่ือสง่ เสริมการแสดงออกและความมั่นใจในตนเอง
๕. เพื่อส่งเสริมคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และทกั ษะทางสงั คม
๖. เพื่อสง่ เสรมิ ทักษะทางภาษา
๗. เพอ่ื ฝกึ ทักษะการสังเกต และการแกป้ ญั หา
๔. เพอ่ื สง่ เสรมิ ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ และจินตนาการ
ขอบข่ำยกำรจัดกจิ กรรมศิลปะสร้ำงสรรค์ กำรจัดกจิ กรรมสรำ้ งสรรค์ ประกอบด้วย
๑. การวาดภาพและระบายสี เช่น การวาดภาพดว้ ยสเี ทียน หรอื สไี ม้ การวาดภาพด้วยสนี า้
๒. การเล่นกับสีนา้ เช่น การหยดสี การเทสี การเป่าสี ละเลงสีดว้ ยนิว้ มอื
๓. การพมิ พภ์ าพ เช่น การพิมพภ์ าพดว้ ยพชื การพมิ พภ์ าพดว้ ยวสั ดตุ า่ งๆ
๔. การป้ัน เช่น การปั้นดินเหนยี ว การปั้นแปง้ ป้นั การปัน้ ดินน้ามัน การป้ันแป้งขนมปงั
๕. การพับ ฉกี ตัด ปะ เชน่ การพับใบตอง การฉีกกระดาษเสน้ การตดั ภาพต่างๆ
๖. การรอย การสาน เช่น การรอ้ ยลูกปัด การสารพระดาษ
๗. การประดิษฐ์ เช่น การประดษิ ฐ์เศษวัสดุ การรอ้ ย การสาน
สื่อกิจกรรมศิลปะสรำ้ งสรรค์
๑. กำรวำดภำพและระบำยสี
๑.๑ สีเทียนแทง่ ใหญ่ สีไม้ สีชอล์ก สีน้า
๑.๒ พกู่ นั ขนาดใหญ่ (ประมาณเบอร์ ๑๒)
๑.๓ กระดาษ
๑.๔ เสอ้ื คลุม หรือผ้ากันเป้ือน
๒. กำรเลน่ กับสี
๒.๑ การเป่าสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ สนี า้
๒.๒ การหยดสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ พู่กัน สนี ้า
๒.๓ การพบั สี มี กระดาษ สนี ้า พกู่ นั
๒.๔ การเทสี มี กระดาษ สนี า้
๒.๕ การละเลงสี มี กระดาษ สีน้า แปง้ เปยี ก
WATMUANG ๗๕
๓. กำรพมิ พภ์ ำพ
๓.๑ แม่พมิ พต์ ่าง ๆ จากของจริง เช่น น้ิวมือ ใบไม้ กา้ นกล้วย
๓.๒ แม่พมิ พ์จากวัสดุอน่ื ๆ เช่น เชอื ก เสน้ ด้าย ตรายาง
๓.๓ กระดาษ ผ้าเชด็ มือ สโี ปสเตอร์ (สนี ้า สฝี ่นุ ฯลฯ)
๔. กำรป้นั เช่น ดินน้ามนั ดินเหนยี ว แป้งโดว์ แผน่ รองปัน้ แม่พมิ พ์รปู ต่างๆ ไม้นวดแป้ง
๕. กำรพบั ฉกี ตดั ปะ เชน่ กระดาษ หรือวัสดอุ ่ืนๆทจ่ี ะใช้พับ ฉกี ตัด ปะ กรรไกรขนาดเลก็ ปลายมน กาวนา้
หรือแป้งเปียก ผ้าเช็ดมอื
๖. กำรประดษิ ฐ์เศษวัสดุ เชน่ เศษวสั ดุตา่ ง ๆ มกี ล่องกระดาษ แกนกระดาษ เศษผ้า เศษไหม กาว กรรไกร สี
ผ้าเช็ดมอื
๗. กำรรอ้ ย เชน่ ลกู ปัด หลอดกาแฟ หลอดด้าย
๘. กำรสำน เช่น กระดาษ ใบตอง ใบมะพรา้ ว
กิจกรรมกำรเล่นตำมมมุ
กิจกรรมการเล่นตามมุม เป็นกิจกรรมท่ีเปิดโอกาสให้เด็กเล่นอิสระตามมุมเล่น หรือมุมประสบการณ์ หรือ
กาหนดเปน็ พนื้ ท่เี ล่นที่จดั ไว้ในห้องเรียน ซึง่ พื้นท่หี รอื มุมต่างๆเหล่าน้ีเด็กมโี อกาสเลือกเลน่ ได้อย่างเสรตี าม ความ
สนใจและความต้องการของเด็ก ทงั้ เปน็ รายบุคคลและเป็นกลุ่มย่อยเด็กอาจจะเลือกทากิจกรรมท่ีครูจัด เสริมข้ึน
เช่น เกมการศึกษา เครือ่ งเลน่ สมั ผสั โดยจดั ให้สอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ ดังน้ี
จดุ ประสงค์
๑. เพอ่ื สง่ เสรมิ พฒั นาการด้านกลา้ มเน้อื ใหญ่ กลา้ มเน้อื เลก็ และการประสานสัมพนั ธร์ ะหวา่ งมือกบั ตา
๒. เพอ่ื สง่ เสรมิ ใหร้ จู้ ักปรบั ตัวอยู่รว่ มกับผู้อน่ื มวี ินัยเชิงบวกรู้จกั การรอคอย เอื้อเฟอื้ เผ่อื แผ่และให้อภยั
๓. เพื่อส่งเสรมิ ใหเ้ ดก็ มีโอกาสปฏิสมั พันธก์ บั เพอ่ื น ครู และสงิ่ แวดล้อม
๔. เพอ่ื ส่งเสริมพฒั นาการทางด้านภาษา
๕. เพอื่ สง่ เสรมิ ใหเ้ ด็กมีนสิ ัยรักการอา่ น
๖. เพ่อื ส่งเสริมให้เดก็ เกดิ การเรียนรดู้ ้วยตนเองจากการสารวจ การสงั เกต และการทดลอง
๗. เพอ่ื สง่ เสรมิ ใหเ้ ด็กพฒั นาความคดิ สร้างสรรค์และจินตนาการ
๘. เพื่อสง่ เสริมการคดิ แกป้ ญั หา การคิดอย่างมเี หตุผลเหมาะสมกบั วยั
๙. เพื่อสง่ เสรมิ ให้เดก็ ฝึกคิด วางแผน และตัดสนิ ในการทากจิ กรรม
๑๐. เพอื่ สง่ เสริมใหม้ ีทกั ษะพืน้ ฐานทางวทิ ยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
๑๑. เพอื่ ฝึกการท างานรว่ มกัน ความรบั ผดิ ชอบ และระเบยี บวินยั
ขอบขำ่ ยของกำรจดั กิจกรรมกำรเล่นตำมมุม
เปิดโอกาสให้เด็กเลือกทากจิ กรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ และเลน่ ตามมมุ เล่นในชว่ งเวลาเดียวกนั อย่างอิสระ
การจดั มมุ เล่นหรือมมุ ประสบการณ์ ควรจดั อยา่ งนอ้ ย ๓-๕ มุม ดังตวั อยา่ งมุมเลน่ หรอื มมุ ประสบการณ์ ดงั นี้
๑ มุมบลอ็ ก เป็นมุมท่ีสง่ เสรมิ ให้เดก็ เรยี นรูเ้ กี่ยวกบั มติ ิสมั พันธ์ผา่ นการสรา้ ง
๒ มุมหนังสือ เป็นมุมที่เด็กเรียนรู้เก่ียวกับภาษา จากการฟัง การพูด การอ่าน การเล่าเร่ือง หรือการยมื
– คืน หนังสือ
๓ มุมวิทยาศาสตร์หรือมุมธรรมชาติศึกษา เป็นมุมท่ีเด็กได้เรียนรู้ธรรมชาติรอบตัวผ่านการ เล่นทดลอง
อยา่ งงา่ ย
WATMUANG ๗๖
๔ มุมเคร่ืองเล่นสัมผัส เป็นมุมท่ีเด็กจะได้ฝึกการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตาการ สร้างสรรค์ เชน่
การร้อย การสาน การต่อเข้า การถอดออก ฯลฯ
๕ มุมบทบาทสมมติ เป็นมุมท่ีเด็กได้เรียนรู้เก่ียวกับบทบาทของแต่ละอาชีพหรือแต่ละหน้าท่ีท่ีเด็กๆ
เลยี นแบบบทบาท
ส่อื กจิ กรรมกำรเล่นตำมมุม
๑. มุมบทบาทสมมติ อาจจดั เป็นมุมเล่นต่างๆ เชน่
๑.๑ มมุ บำ้ น
๑) ของเล่นเครื่องใช้ในครัวขนาดเล็ก หรือของจาลอง เช่น เตา กระทะ ครก กาน้าเขียง มีด พลาสติก
หมอ้ จาน ช้อน ถ้วยชาม กะละมงั
๒) เคร่ืองเล่นตุ๊กตา เสือ้ ผ้าตุ๊กตา เตยี ง เปลเดก็ ตกุ๊ ตา
๓) เคร่ืองแต่งบ้านจาลอง เช่น ชุดรับแขก โต๊ะเคร่ืองแป้ง หมอนอิง หวี ตลับแป้งกระจก ขนาดเห็นเต็ม
ตวั
๔) เครื่องแต่งกายบุคคลอาชีพต่าง ๆ ท่ีใช้แล้ว เช่น ชุดเครื่องแบบทหาร ตารวจ ชุดเส้ือผ้า ผู้ใหญ่ชาย
และหญิง รองเท้า กระเป๋าถอื ท่ไี มใ่ ช้แล้ว
๕) โทรศพั ท์ เตารดี จาลอง ทรี่ ดี ผา้ จาลอง
๖) ภาพถ่ายและรายการอาหาร
๑.๒ มมุ หมอ
๑) เครื่องเล่นจาลองแบบเครอ่ื งมือแพทย์และอุปกรณ์การรักษาผูป้ ่วย เชน่ หูฟัง เส้อื คลุมหมอ
๒) อุปกรณส์ าหรบั เลียนแบบการบันทึกข้อมูลผู้ปว่ ย เชน่ กระดาษ ดนิ สอ ฯลฯ
๓) เครื่องชัง่ น้าหนัก วดั ส่วนสงู
๑.๓ มมุ ร้ำนคำ้
๑) กล่องและขวดผลติ ภณั ฑต์ า่ งๆ ทใี่ ชแ้ ล้ว
๒) ผลไม้จาลอง ผักจาลอง
๓) อปุ กรณ์ประกอบการเลน่ เชน่ เครอ่ื งคิดเลข ลูกคิด ธนบัตรจาลอง ฯลฯ
๔) ป้ายชื่อรา้ น
๕) ปา้ ยชอื่ ผลไม้ ผักจาลอง
๒. มมุ บลอ็ ก
๒.๑ ไมบ้ ลอ็ กหรือแท่งไม้ที่มีขนาดและรูปทรงต่างๆกนั เชน่ บล็อกตัน บล็อกโต๊ะ จานวนตั้งแต่ ๙๐๐ ช้ิน
ข้ึนไป
๒.๒ ของเลน่ จาลอง เชน่ รถยนต์ เคร่ืองบิน รถไฟ คน สัตว์ ต้นไม้
๒.๓ ภาพถ่ายต่างๆ
๒.๔ ท่จี ดั เก็บไมบ้ ล็อกหรอื แท่งไม้อาจเปน็ ชนั้ ลงั ไมห้ รือพลาสตกิ แยกตาม รูปทรงขนาด
๓. มุมหนงั สอื
๓.๑ หนังสอื ภาพนิทาน หนังสือภาพทม่ี คี าและประโยคสัน้ ๆ พรอ้ มภาพ
๓.๒ ช้ันหรอื ท่วี างหนังสือ
๓.๓ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการสรา้ งบรรยากาศการอ่าน เช่น เส้ือ พรม หมอน
๓.๔ สมุดเซ็นยมื หนังสอื กลบั บ้าน
WATMUANG ๗๗
๓.๕ อปุ กรณส์ าหรับการเขยี น
๓.๖ อุปกรณเ์ สริม เชน่ เคร่ืองเสยี ง แผ่นนิทานพร้อมหนงั สอื นทิ าน หฟู งั
๔. มุมวิทยำศำสตร์ หรือมมุ ธรรมชำติศึกษำ
๔.๑ วัสดตุ ่าง ๆ จากธรรมชาติ เช่น เมลด็ พชื ตา่ งๆ เปลอื กหอย ดิน หิน แร่ ฯลฯ
๔.๒ เครื่องมือเครอื่ งใช้ในการสารวจ สังเกต ทดลอง เช่น แวน่ ขยาย แมเ่ หล็ก เข็มทศิ เคร่ืองช่งั
แนวกำรจัดกิจกรรมกำรเล่นตำมมุม
๑. แนะนามมุ เลน่ ใหม่ เสนอแนะวธิ ีใช้ การเล่นของเล่นบางชนดิ
๒. เด็กและครูรว่ มกนั สร้างข้อตกลงเก่ียวกับการเลน่
๓. ครูเปิดโอกาสให้เด็กคิด วางแผน ตัดสินใจเลือกเล่นอย่างอิสระ เลือกทากิจกรรมท่ีจัดข้ึน ตามความ
สนใจของเด็กแตล่ ะคน
๔. ขณะเด็กเลน่ / ทางาน ครอู าจชแี้ นะ หรอื มสี ่วนร่วมในการเล่นกบั เดก็ ได้
๕. เดก็ ต้องการความชว่ ยเหลอื และคอยสังเกตพฤตกิ รรมการเลน่ ของเด็กพร้อมทั้งจดบันทึก พฤตกิ รรมท่ี
น่าสนใจ
๖. เตือนใหเ้ ดก็ ทราบล่วงหนา้ ก่อนหมดเวลาเลน่ ประมาณ ๓ - ๕ นาที
๗. ใหเ้ ด็กเก็บของเล่นเขา้ ทใ่ี ห้เรียบร้อยทุกครง้ั เม่ือเสร็จสนิ้ กิจกรรม
กิจกรรมกำรเลน่ กลำงแจ้ง
กจิ กรรมการเลน่ กลางแจ้ง เปน็ กจิ กรรมทจ่ี ัดให้เด็กไดม้ ีโอกาสออกไปนอกห้องเรยี นเพื่อเคลื่อนไหว
ร่างกายออกกาลงั และแสดงออกอยา่ งอิสระ โดยยึดความสนใจและความสามารถของเดก็ แต่ละคนเปน็ หลกั โดย
จดั ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ ดังนี้
จุดประสงค์
๑. เพอ่ื พัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ กลา้ มเน้อื เล็ก และการประสานสมั พนั ธข์ องอวัยวะต่างๆ
๒. เพื่อสง่ เสรมิ ใหม้ รี า่ งกายแข็งแรง สุขภาพดี
๓. เพ่ือส่งเสรมิ ใหเ้ กิดความสนกุ สนาน ผอ่ นคลายความเครียด
๔. เพื่อปรบั ตัว เล่นและทางานรว่ มกับผูอ้ นื่
๕. เพื่อเรียนรกู้ ารระมดั ระวงั รกั ษาความปลอดภัยท้ังของตนเองและผูอ้ ืน่
๖. เพอ่ื ฝึกการตัดสินใจ และแก้ปญั หาดว้ ยตนเอง
๗. เพื่อสง่ เสรมิ ใหม้ ีความอยากร้อู ยากเหน็ สงิ่ ตา่ งๆ ที่แวดลอ้ มรอบตัว
WATMUANG ๗๘
๘. เพ่ือพัฒนาทกั ษะการเรยี นร้ตู ่าง ๆ เชน่ การสังเกต การเปรยี บเทยี บ การจาแนก
ขอบข่ำยของกิจกรรมกำรเล่นกลำงแจ้ง
ลักษณะกิจกรรมการเลน่ กลางแจง้ ทค่ี รูควรจัดให้เด็กได้เลน่ ไดแ้ ก่
๑. กำรเล่นเครอ่ื งเล่นสนำม
เครื่องเล่นสนาม หมายถึง เครื่องเล่นทเ่ี ด็กอาจปีนป่าย หมนุ ซ่งึ ทาออกมาในรูปแบบตา่ งๆ เช่น
- เครือ่ งเลน่ สาหรบั ปนี ป่าย หรือตาขา่ ยสาหรับปืนเล่น
- เครอ่ื งเลน่ สาหรบั โยกหรือไกว เชน่ มา้ ไม้ ชิงช้า มา้ นั่งโยก ไม้กระดก
- เครือ่ งเล่นสาหรบั หมุน เชน่ ม้าหมนุ พวงมาลัยรถสาหรับหมุนเล่น
- ราวโหนขนาดเล็กสาหรบั เด็ก
- ตน้ ไมส้ าหรบั เดินทรงตวั หรอื ไมก้ ระดานแผน่ เดียว
- เครื่องเล่นประเภทล้อเล่ือน เชน่ รถสามล้อ รถลากจงู
๒. กำรเล่นทรำย
ทรายเปน็ สงิ่ ท่เี ด็กๆ ชอบเลน่ ทง้ั ทรายแหง้ ทรายเปยี ก นามาก่อเป็นรปู ต่างๆ ไดแ้ ละสามารถนาวัสดุอ่ืน
มาประกอบการเลน่ ตกแต่งได้ เช่น ก่งิ ไม้ ดอกไม้ เปลอื กหอย พิมพข์ นม ทตี่ กั ทรายปกติบ่อทรายจะอยู่กลางแจ้ง
โดยอาจจัดให้อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้หรือสร้างหลังคา ท าขอบก้ัน เพ่ือมิให้ทรายกระจัดกระจาย บางโอกาสอาจ
พรมน้าให้ขึ้นเพื่อเด็กจะได้ก่อเล่นนอกจากนี้ ควรมี วิธีการปิดกั้นมิให้สัตว์เลี้ยงลงไปทาความสกปรกในบ่อทราย
ได้
๓. กำรเลน่ น้ำ
เด็กท่ัวไปชอบเล่นน้ามาก การเล่นน้านอกจากสร้างความพอใจและคลายความเครียด ให้เด็กแล้วยังทา
ใหเ้ ด็กเกดิ การเรียนรู้อีกด้วย เช่น เรยี นรูท้ กั ษะการสังเกต จาแนกเปรยี บเทียบปรมิ าตรอปุ กรณ์ทใ่ี ส่น้าอาจเป็นถัง
ท่ีสร้างข้ึนโดยเฉพาะหรืออ่างน้าวางบนขาตั้งที่มั่นคงความ สูงพอที่เด็กจะยืนได้พอดี และควรมีผ้าพลาสติกกัน
เส้ือผ้าเปยี กใหเ้ ด็กใช้คลุมระหวา่ งเล่น
๔. กำรเล่นสมมติในบำ้ นต๊กุ ตำหรอื บำ้ นจำลอง
เป็นบ้านจาลองสาหรับให้เด็กเล่น จาลองแบบจากบ้านจริงๆ อาจทาด้วยเศษวัสดุประเภทผ้าใบ
กระสอบปา่ น ของจริงทีไ่ มใ่ ช้แลว้ เชน่ หมอ้ เตา ชาม อา่ ง เตารีด เครือ่ งครวั ตุ๊กตาสมมติ เปน็ บคุ คลในครอบครัว
เสื้อผ้าผู้ใหญ่ท่ีไม่ใช้แล้วสาหรับผลัดเปลี่ยน มีการตกแต่งบริเวณใกล้เคียงให้เหมือนบ้าน จริง ๆ บางคร้ังอาจ
จัดเปน็ ร้านขายของ สถานทท่ี าการตา่ ง ๆ เพอ่ื ใหเ้ ด็กเล่นสมมตติ ามจินตนาการของเดก็ เอง
๕. กำรเล่นในมุมชำ่ งไม้
เด็กต้องการออกแรงเคาะ ตอก กิจกรรมการเล่นในมมุ ช่างไมน้ ี้จะช่วยในการพัฒนา กล้ามเนอ้ื ให้แขง็ แรง
ช่วยฝึกการใช้มือและการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา นอกจากน้ียังฝึกให้รักงาน และส่งเสริมความคิด
สรา้ งสรรค์อกี ดว้ ย
WATMUANG ๗๙
๖. กำรเล่นเกมกำรละเล่น
กิจกรรมการเล่นเกมการละเล่นที่จัดให้เด็กเล่น เช่น เกมการละเล่นของไทย เกมการละเล่นของท้องถ่ิน
เช่น มอญซ่อนผ้า รีรีข้าวสาร แม่งู โพงพาง ฯลฯ การละเล่นเหล่านี้ ต้องใช้บริเวณท่ี กว้าง การเล่นอาจเล่นเป็น
กล่มุ เล็ก/กลมุ่ ใหญ่ก็ได้ ก่อนเล่นครอู ธบิ ายกติกาและสาธติ ให้เด็กเข้าใจ ไมค่ วรนา เกมการละเล่นทมี่ ีกติกายุ่งยาก
และเน้นการแข่งขันแพ้ชนะ มาจัดกิจกรรมให้กับเดก็ วัยนี้ เพราะเด็กจะเกิด ความเครียดและสร้างความรู้สึกทไ่ี ม่
ดตี ่อตนเอง
แนวกำรจัดกิจกรรม
๑. เด็กและครูร่วมกันสร้างข้อตกลง
๒. จดั เตรยี มวัสดุอุปกรณ์ประกอบการเล่นใหพ้ ร้อม
๓. สาธิตการเลน่ เครือ่ งเล่นสนามบางชนดิ
๔. ให้เด็กเลอื กเล่นอสิ ระตามความสนใจและให้เวลาเลน่ นานพอควร
๕. ครูควรจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย (ไม่ควรจัดกิจกรรมพลศึกษา) เช่น การเล่นน้า เล่นทราย เล่น
บ้านตุ๊กตา เล่นในมุมช่างไม้ เล่นบล็อกกลวง เครื่องเล่นสนาม เกมการละเล่น เล่นอุปกรณ์กีฬา สาหรับเด็ก เล่น
เคร่ืองเลน่ ประเภทล้อเลอ่ื น เลน่ ของเลน่ พื้นบ้าน (เดนิ กะลา ฯลฯ)
๖. ขณะเด็กเล่นครูต้องคอยดูแลความปลอดภัยและสังเกตพฤติกรรมการเล่น การอยู่ร่วมกันกับเพ่ือน
ของเดก็ อย่างใกลช้ ดิ
๗. เม่ือหมดเวลาควรให้เดก็ เก็บของใช้หรือของเลน่ ให้เรยี บร้อย
๘. ให้เด็กทาความสะอาดรา่ งกายและดูแลเครื่องแตง่ กายใหเ้ รยี บรอ้ ยหลงั เลน่
กิจกรรมเกมกำรศึกษำ
เกมการศึกษา (Didactic games) เป็นเกมท่ชี ่วยพัฒนาสติปัญญาชว่ ยสง่ เสริมให้เด็กเกิดการเรยี นรู้ เป็น
พืน้ ฐานการศึกษา มีกฎเกณฑ์กติกาง่ายๆ เด็กสามารถเล่นคนเดยี วหรือเล่นเป็นกลุ่มไดช้ ่วยใหเ้ ด็กรจู้ ัก สังเกต คดิ
หาเหตุผลและเกิดความคิดรวบยอด เก่ียวกับสี รูปร่าง จานวน ประเภทและความสัมพันธ์ เก่ียวกับพื้นที่ ระยะ
เกมการศึกษาที่เหมาะสมจะชว่ ยฝึกทักษะความพร้อมทางด้านรา่ งกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาสาหรับเด็ก
วยั ๓-๖ ปี มีจุดประสงค์ ดงั น้ี
จุดประสงค์
๑. เพอื่ ฝกึ ทักษะการสังเกต จาแนกและเปรียบเทยี บ
๒. เพอื่ ฝึกการแยกประเภท การจดั หมวดหมู่
๓. เพอ่ื สง่ เสรมิ การคดิ หาเหตผุ ล และตดั สินใจแกป้ ญั หา
๔. เพ่ือส่งเสรมิ ให้เดก็ เกิดความคดิ รวบยอดเก่ียวกับส่งิ ทไ่ี ดเ้ รียนรู้
๕. เพื่อสง่ เสรมิ การประสานสมั พันธ์ระหว่างมอื กับตา
๖. เพื่อปลกู ฝังคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมต่างๆ เช่น ความรับผิดชอบ ความ
เอ้อื เฟ้อื เผื่อแผ่
WATMUANG ๘๐
ประเภทของเกมกำรศกึ ษำ
๑. เกมจับคู่ เช่น จับคู่ภาพเหมือน จับคู่ภาพกับเงา จับคู่ภาพกับโครงร่าง จับคู่ภาพท่ีซ่อนอยู่ใน ภาพ
หลกั จับคู่ภาพทม่ี ีความสมั พันธ์กัน จับคู่ภาพสมั พันธแ์ บบตรงกันข้าม จับคู่ภาพทส่ี มมาตรจับคู่ ภาพแบบอนุกรม
ฯลฯ
๒. เกมต่อภาพให้สมบรู ณ์ (Jigsaws) หรือภาพตดั ตอ่
๓. เกมวางภาพตอ่ ปลาย (โดมโิ น)
๔. เกมเรียงลาดบั
๕. เกมการจัดหมวดหมู่
๖. เกมการศึกษารายละเอยี ดของภาพ (ลอตโต้)
๗. เกมจบั คู่แบบตารางสมั พนั ธ์ (เมตริกเกม)
๘. เกมพ้นื ฐานการบวก
๙. เกมหาความสัมพนั ธต์ ามลาดับท่ีกาหนด
สื่อเกมกำรศึกษำ
๑. เกมจับคู่ เพอ่ื ให้เด็กได้ฝกึ สังเกตสิ่งท่ีเหมอื นกนั หรอื ตา่ งกนั ซ่งึ อาจเปน็ การเปรยี บเทียบภาพต่างๆแลว้ จดั เป็น
คู่ๆ ตามจดุ มุ่งหมายของเกมแต่ละชดุ เกมประเภทจบั คู่นสี้ ามารถแบ่งได้หลายแบบ ดังนี้
- เกมจบั คภู่ าพทเี่ หมือนกันหรือจับคู่ส่งิ ของเดยี วกนั
- เกมจับคู่ภาพส่ิงทมี่ ีความสัมพันธก์ ัน
- เกมจับคู่ภาพชิ้นส่วนท่ีหายไป
- เกมจับคภู่ าพท่สี มมาตรกัน
- เกมจบั ค่ภู าพทส่ี มั พนั ธก์ นั แบบอุปมาอปุ ไมย
- เกมจบั คู่แบบอนุกรม
๒. เกมภำพตดั ตอ่
- ภาพตดั ตอ่ ท่สี มั พันธ์กบั หน่วยการเรยี นตา่ ง ๆ เชน่ ผลไม้ ผกั
- ภาพตัดต่อแบบมติ สิ ัมพันธ์
๓. เกมจัดหมวดหมู่
- ภาพสงิ่ ต่าง ๆ ที่นามาจดั เปน็ พวก ๆ
- ภาพเกยี่ วกับประเภทของใช้ในชีวติ ประจาวนั
- ภาพจัดหมวดหมู่ตามรปู ร่าง สี ขนาด รูปทรงเรขาคณติ
๔. เกมวำงภำพตอ่ ปลำย (โดมิโน)
- โดมิโนภาพเหมือน
- โดมิโนภาพสัมพนั ธ์
๕. เกมเรยี งลำดบั
- เรยี งลาดับภาพเหตุการณ์ต่อเนือ่ ง
- เรยี งลาดับขนาด
WATMUANG ๘๑
๖. เกมศึกษำรำยละเอียดของภำพ (ลอตโต)
๗. เกมจบั ค่แู บบตำรำงสมั พันธ์ (เมตรกิ เกม)
๘. เกมพื้นฐำนกำรบวก
แนวกำรจัดกจิ กรรมเกมกำรศกึ ษำ
๑. แนะนากิจกรรมใหม่
๒. สาธิต / อธบิ าย วธิ ีเลน่ เกมอยา่ งเปน็ ข้ันตอนตามประเภทของเกม
๓. ให้เด็กหมนุ เวียนเขา้ มาเล่นเปน็ กล่มุ หรอื รายบุคคล
๔. ขณะทเ่ี ด็กเล่นเกม ครเู ป็นเพียงผแู้ นะนา
๕. เมอ่ื เด็กเลน่ เกมแตล่ ะชดุ เสร็จเรียบร้อย ควรใหเ้ ด็กตรวจสอบความถูกต้องดว้ ยตนเอง หรอื รว่ มกนั
ตรวจกับเพ่ือน หรือครูเป็นผู้ช่วยตรวจ
๖. ให้เด็กนาเกมท่ีเลน่ แล้วเก็บใสก่ ลอ่ ง เข้าท่ใี ห้เรียบร้อยทุกครง้ั ก่อนเลน่ เกมชดุ อน่ื
WATMUANG ๘๒
กำรจัดสภำพแวดลอ้ ม
WATMUANG ๘๓
กำรจัดสภำพแวดลอ้ ม ส่ือและแหล่งเรียนรู้
โรงเรยี นวัดมว่ ง จดั เตรยี มสิ่งแวดล้อมอยา่ งเหมาะสมตามความต้องการของเดก็ สามารถเรียนรจู้ ากการเล่นที่
เป็นประสบการณ์ตรงท่ีเกิดจากการรับรู้ด้วย ประสาทสัมผัสทั้งห้า จึงจาเป็นต้องจัดสภาพแวดล้อม ใน
สถานศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการ คานึงถึงความปลอดภัย ความสะอาด ความเป็นระเบียบ
เพอื่ สง่ ผลใหบ้ รรลจุ ดุ หมายในการพฒั นาเดก็
กำรจดั สภำพแวดล้อมจะตอ้ งคำนึงถงึ สิ่งตอ่ ไปนี้
๑. ความสะอาด ความปลอดภยั
๒. ความมีอสิ ระอย่างมีขอบเขตในการเลน่
๓. ความสะดวกในการทากิจกรรม
๔. ความพร้อมของอาคารสถานที่ เชน่ ห้องเรียน ห้องน้าห้องสว้ ม สนามเดก็ เล่น ฯลฯ
๕. ความเพยี งพอ เหมาะในเรื่องขนาด น้าหนกั จานวน สขี องสื่อและเคร่ืองเล่น
๖. บรรยากาศในการเรียนรู้ การจัดท่ีเลน่ และมุมประสบการณต์ า่ งๆ
สภำพแวดลอ้ มภำยในหอ้ งเรยี น
หลักคานึงถึงหลักสาคัญในการจัดสภาพแวดล้อมภายในและภายนอก ต้องคานึงถึงความปลอดภัย ความ
สะอาด ความเป็นระเบียบ ความเป็นตัวของเด็กเอง เป้าหมายการพัฒนาเด็ก ให้เด็กเกิดความรู้สึกอบอุ่น
มั่นใจ และมคี วามสขุ ซง่ึ อาจจัดแบง่ พืน้ ที่ใหเ้ หมาะสมกับการประกอบกิจกรรมตามหลักสูตรดังน้ี
๑.พ้นื ท่ีอำนวยควำมสะดวกเพือ่ เด็กและผสู้ อน
- ที่แสดงผลงานของเด็ก อาจจัดเปน็ แผ่นปา้ ย หรอื ที่แขวนผลงาน
- ท่เี ก็บแฟ้มผลงานของเด็ก อาจจัดเป็นกล่องหรือจัดใส่แฟ้มรายบคุ คล
- ท่เี ก็บเครือ่ งใชส้ ว่ นตัวของเด็ก อาจทาเปน็ ชอ่ งตามจานวนเด็ก
- ทีเ่ กบ็ เครอื่ งใช้ของผสู้ อน เช่น อุปกรณก์ ารสอน ของสว่ นตัวผ้สู อน ฯลฯ
- ปา้ ยนิเทศตามหนว่ ยการสอนหรือสิ่งท่เี ดก็ สนใจ
๒.พืน้ ท่ีปฏิบตั กิ ิจกรรมและกำรเคลอ่ื นไหว ตอ้ งกาหนดใหช้ ัดเจน ควรมพี ้นื ที่ซึ่งเดก็ สามารถจะทางาน
ได้ด้วยตนเอง และทากิจกรรมด้วยกันในกลุ่มเล็ก หรือกลุ่มใหญ่ เด็กสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระจาก
กิจกรรมหน่ึงไปยงั กจิ กรรมหนง่ึ โดยไม่รบกวนผู้อื่น
๓.พื้นที่จัดมุมเล่นหรือมุมประสบกำรณ์ สามารถจัดได้ตามความเหมาะสมข้ึนอยู่กับสภาพของ
ห้องเรียน จัดแยกส่วนที่ใช้เสียงดังและเงียบออกจากกัน เช่น มุมบล็อกอยู่ห่างจากมุมหนังสือ มุมบทบาท
สมมติอยตู่ ิดกับมุมบลอ็ ก มมุ วิทยาศาสตร์ใกล้มุมศิลปะ ฯลฯ ท่ีสาคญั จะต้องมขี องเล่น วัสดอุ ุปกรณใ์ นมุมอย่าง
เพียงพอต่อการเรียนรู้ของเด็ก การเล่นในมุมเล่นอย่างเสรีมักถูกกาหนดไว้ในตารางกิจกรรมประจาวัน เพื่อให้
โอกาสเดก็ ไดเ้ ล่นอยา่ งเสรีประมาณวันละ ๖๐ นาที การจัดมุมเล่นต่างๆ ผูส้ อนควรคานึงถึงส่งิ ตอ่ ไปน้ี
- ในหอ้ งเรียนควรมีมมุ เลน่ อยา่ งน้อย ตา่ กว่า ๓ มมุ ทัง้ นีข้ ้นึ อยกู่ ับพ้ืนท่ีของหอ้ ง
- ควรได้มีการผลัดเปลยี่ นสอ่ื ของเล่นตามมมุ บ้าง ตามความสนใจของเดก็
- ควรจัดใหม้ ปี ระสบการณท์ ีเ่ ดก็ ได้เรยี นรูไ้ ปแลว้ ปรากฏอยใู่ นมุมเล่น เชน่ เดก็ เรยี นรู้เร่ืองผีเสอ้ื
ผสู้ อนอาจจดั ใหม้ กี ารเลี้ยงหนอน หรอื ผเี ส้อื สต๊าฟใส่กลอ่ งไว้ให้เดก็ ดใู นมมุ ธรรมชาติศึกษา หรอื มมุ วทิ ยาศาสตร์
ฯลฯ
WATMUANG ๘๔
- ควรเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการจัดมุมเล่น ท้ังน้ีเพื่อจูงใจให้เด็กรู้สึกเป็นเจ้าของ อยาก
เรียนรู้ อยากเขา้ เลน่
- ควรส่งเสริมวินัยให้กับเด็ก โดยมีข้อตกลงร่วมกันว่าเม่ือเล่นเสร็จแล้วจะต้องจัดเก็บอุปกรณ์ทุก
อยา่ งเขา้ ทีใ่ หเ้ รียบรอ้ ย
ตัวอย่ำงมุมเล่นหรือมุมประสบกำรณท์ ีค่ วรจัด มดี ังนี้
มมุ บล็อก
เปน็ มมุ ทจี่ ดั เกบ็ บล็อกไมต้ ้นท่ีมีขนาดและรูปทรงต่าง ๆ กัน เดก็ สามารถนามาเล่นต่อประกอบกนั เป็น
สง่ิ ตา่ งๆ ตามจนิ ตนาการ ความคดิ สร้างสรรค์ของตนเอง
การจัดมุมบล็อกเป็นมุมที่ควรจัดให้อยู่ห่างจากมุมท่ีต้องการความสงบ เช่น มุมหนังสือ ทั้งนี้ เพราะ
เสียงจากการเล่นก่อไม้บล็อก อาจทาลายสมาธิเด็กที่อยู่ในมุมหนังสือได้ นอกจากน้ียังควรอยู่ห่างจากทางเดิน
ผ่านหรอื ทางเขา้ ออกของห้อง เพือ่ ไมใ่ ห้กีดขวางทางเดนิ หรอื เกิดอนั ตรายจากการเดินสะดุดไมบ้ ล็อก
การจดั เกบ็ ไมบ้ ล็อกเหล่านี้ ควรจัดวางไว้ในเด็กระดบั ที่เด็กสามารถหยิบมาเล่น หรอื นาเกบ็ ดว้ ยตนเอง
ได้อยา่ งสะดวก ปลอดภัย และควรได้ฝึกให้เด็กหัดจดั เกบ็ หมวดหมูเ่ พอื่ ความเป็นระเบียบ สวยงาม
มุมหนงั สอื
ในหอ้ งเรียนควรมีทเ่ี งยี บสงบ สาหรบั ให้เด็กได้รูปภาพ อ่านหนังสอื นทิ าน ฟงั นทิ านผสู้ องควรได้จัดมุม
หนงั สือใหเ้ ดก็ ไดค้ ุ้นเคยกับตัวหนังสอื และไดท้ ากจิ กรรมสงบ ๆ ตามลาพงั หรอื เป็นกลมุ่ เล็ก ๆ
การจัดมุมหนังสือ เป็นมุมท่ีต้องการความสงบควรจัดหา่ งจากมุมที่มีเสียง เช่น มุมบล็อก มุมบทบาท
สมมติ ฯลน และควรจดั บรรยากาศจูงใจใหเ้ ดก็ ไดเ้ ข้าไปใช้เพื่อเด็กจะได้คนุ้ เคยกับตวั หนังสือและปลูกฝังนิสัยรัก
การอา่ นให้กบั เดก็
มมุ บทบำทสมมตุ ิ
มุมบทบาทสมมติ เป็นมุมที่จัดขึ้นเพื่อใหโ้ อกาสไดน้ าเอาประสบการณ์ที่ได้รบั จากบา้ นหรือชมุ ชนมาเล่น
แสดงบทบาทสมมติ เลยี นแบบบคุ คลตา่ ง ๆ ตามจินตนาการของตน เช่น เป็นพ่อแมใ่ นมมุ บา้ น เปน็ หมอในมุม
หมอ เป็นพอ่ ค้าแมค่ ้าในมุมร้านค้า ฯลฯ การเลน่ ดงั กล่าวเป็นการปลูกฝังความสานึกบทบาททางสงั คมที่เด็กได้
พบเหน็ ในชีวติ จริง
การจัดมุมบทบาทสมมุติ ควรอยู่ใกล้มุมบล็อกและอาจจัดให้เป็นสถานที่ต่างๆ นอกเหนือจากการ
จัดเป็นบ้านโดยสังเกตการและความสนใจของเด็กว่ามีการเปล่ียนแปลงบทบาทการเล่นจากบทบาทเดิมไปสู่
ระบบการเล่นอ่ืนหรือไม่ อุปกรณ์ท่ีนามาจัดก็ควรเปลี่ยนไปตามความสนใจของเด็กเช่นกัน ดังนั้นมุมบทบาท
สมมตุ ิจึงอาจเป็นบ้าน ร้านอาหาร ร้านขายของ รา้ นเสรมิ สวย โรงพยาบาล เป็นต้น ในขณะเดียวกนั อุปกรณ์
ท่ีนามาจัดให้เด็กต้องไมเ่ ป็นอนั ตรายและมคี วามเหมาะสมกบั สภาพท้องถน่ิ
มมุ วิทยำศำสตร์
มุมวิทยาศาสตร์หรือมุมธรรมชาติศึกษาเป็นมุมเล่นท่ีผู้สอนจัดรวบรวมส่ิงของต่าง ๆ หรือสิ่งท่ีมีใน
ธรรมชาติมาให้เด็กได้สารวจ สังเกต ทดลอง ค้นพบด้วยตนเองซ่ึงเป็นการช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตรใ์ ห้กบั เดก็
การจัดมุมวิทยาศาสตร์หรือมุมธรรมชาติศึกษา เปน็ มมุ ท่ตี อ้ งการความสงบคล้ายมุมหนังสอื จึงอาจจัดไว้
ใกล้กันได้ และเพื่อเร้าให้เด็กสนใจส่ิงที่นามาแสดง ของที่จัดวางไว้จึงควรอยู่ในระดับท่ีเด็กหยิบ จับดูวัสดุ
WATMUANG ๘๕
อุปกรณ์เหล่านั้นได้โดยสะดวกและสิ่งที่นามาต้ังแสดงน้ันไม่ควรจะต้ังแสดงของส่ิงเดียวกันตลอดปี แต่ควรจะ
ปรับเปล่ยี นให้นา่ สนใจ
มมุ ศิลปะ
กิจกรรมศิลปะเป็นกิจกรรมท่ีสามารถพัฒนาเด็กได้หลายด้าน เช่น ทางด้านกล้ามเน้ือมือซึ่งจะช่วยให้มือของ
เด็กพร้อมที่จะจับดินสอเขียนหนังสือได้เมื่อไปเรียนในช้ันประถมศึกษา นอกจากน้ียังช่วยในการพัฒนาทาง
อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา เด็กจะมีโอกาสทางานตามลาพังและทางานเป็นกลุ่ม รู้จักปรับตัวที่จะ
ทางานด้วยกันและส่งเสริมจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้น การจัดให้มีมุมศิลปะจึงเป็นทางหน่ึงที่จะ
ช่วยใหเ้ ด็กได้พัฒนามากขึ้นและยังสนองความสนใจความต้องการของเด็กวัยน้ีได้เปน็ อย่างดีการจัดมุมศิลปะเป็น
มุมหน่ึงท่ีเด็กต้องใช้สมาธิในการทางาน จึงควรจัดให้อยู่ในบริเวณมุมที่ต้องการความสงบ เช่นกัน อาจ
จัดเป็นโต๊ะให้เด็กทางานศิลปะ โดยมีผ้าพลาสติกหรือกระดาษปูกันเลอะเทอะก่อนทางาน และจัดวางอุปกรณ์
ทางานศลิ ปะไวบ้ นโต๊ะ หรอื จัดให้มีกระดานขาหย่ังสาหรบั เด็กเขียนภาพระบายสนี า้
กำรจดั สภำพแวดล้อมนอกห้องเรียน
สภำพแวดล้อมนอกห้องเรียน คือ การจัดสภาพแวดล้อมภายในอาคาร บริเวณรอบ ๆ สถานศึกษา รวมท้ัง
จัดสนามเด็กเล่น พร้อมเคร่ืองเล่นสนาม จัดระวังรักษาความปลอดภัยในบริเวณสถานศึกษาและบริเวณรอบ
นอกสถานศึกษา ดูแลรักษาความสะอาด ปลูกต้นไม้ให้ความร่มรื่น รอบ ๆ บริเวณสถานศึกษา ส่ิงต่าง ๆ
เหลา่ นี้เป็นส่วนหนึง่ ทีส่ ง่ ผลต่อการเรียนรู้และพฒั นาการของเด็ก
บริเวณสนำมเด็กเลน่ ตอ้ งจดั ใหส้ อดคล้องกบั หลกั สูตร ดงั นี้
สนำมเด็กเล่น ควรมีพ้ืนผิวหลายประเภท เช่น ดิน ทราย หญ้า พื้นท่ี สาหรับเล่นของเล่นที่มีล้อ
รวมทั้งท่ีร่ม ท่ีโล่งแจ้ง พื้นดินสาหรับขุด ที่เล่นน้า บ่อทราย พร้อมอุปกรณ์ประกอบการเล่นเครื่องสนาม
สาหรับปีนป่าย ทรงตัว ฯลฯ ทั้งน้ีต้องไม่ติดกับบริเวณท่ีมีอันตราย ต้องหม่ันตรวจตราเครื่องเล่นให้อยู่ใน
สภาพแขง็ แรง ปลอดภัยอยเู่ สมอและหมั่นดูแลเร่อื งความสะอาด
ท่ีนง่ั เล่นพักผ่อน จดั ท่ีน่งั ไว้ใต้ตน้ มีรม่ เงา อาจใช้กจิ กรรมกลุม่ ย่อย ๆ หรอื กิจกรรมที่ต้องการความสงบ
หรอื อาจจัดเป็นลานนทิ รรศการใหค้ วามรแู้ กเ่ ด็กและผูป้ กครอง
บริเวณธรรมชำติ ปลูกไม้ดอก ไม้ประดับ พืชผักสวนครัว หากบริเวณสถานศึกษามีไม่มากนักอาจ
ปลูกพืชในกระบะหรอื กระถาง
ห้องปฏิบัติกำรและอำคำรประกอบต่ำงๆ เช่น โรงเรียน เรือนเพาะชา ห้องสมุด ห้องปฏิบัติการต่างๆ
ควรจดั ให้มีพ้นื ท่ีสาหรบั ให้เด็กทากจิ กรรมและเรยี นรู้ ทีส่ ะอาดและปลอดภยั สาหรับเด็ก
WATMUANG ๘๖
สอ่ื
สอื่ เพือ่ สง่ เสริมพฒั นาการและการเรยี นรู้ของเด็ก เป็นตวั กลางกระตนุ้ ใหเ้ กิดการเรยี นรตู้ ามจดุ มุง่ หมายที่
กาหนดการเรียนรู้ ของเด็กอายุ ๔-๖ ปีจาเป็นต้องผ่านการลงมือปฏิบัติจริงหรือเกิดการค้นพบด้วยตนเองเป็น
ประสบการณ์ตรง ซึ่งเด็กจะเรียนรู้จากสิ่งที่เป็นรูปประธรรมหรือมองเห็น จับต้องได้ไปสู่ส่ิงท่ีเป็นนามธรรม เพื่อ
เข้าสู่อายุท่ีสูงข้ึน การเรียนรู้ของเด็กวัยน้ีจึงข้ึนอยู่กับของจริงท่ีพบเห็น ของเล่นที่เลียนแบบของจริง นิทานและ
เพลงดังนี้
๑. ของเลน่
ของเล่นเป็นสิ่งท่ีประกอบการเล่นของเด็ก ของเล่นช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้และเกิดความมั่นใจ
ในการเล่น ของเลน่ อาจจัดทาข้นึ เองจากวสั ดุ ส่งิ ของ เศษวสั ดเุ หลอื ใช้รอบตวั ในชวี ิตประจาวนั หรือเป็นการเลือก
ซอื้ ของเลน่ ที่มีขายในทอ้ งตลาด ซึง่ มกี ารจัดหาของเลน่ ให้เด็กต้องคานงึ ถึงความปลอดภยั และเหมาะสมกบั วัยของ
เด็ก
๒. ลกั ษณะของเล่นเดก็ ของเล่นเก่ียวข้องกบั การเล่นของเดก็ แบง่ เป็น
- ของจริง เป็นของเลน่ ทเ่ี ปน็ สง่ิ หรอื เคร่ืองใชใ้ นชีวิตจรงิ ของจรงิ ท่เี ดก็ เล่นไดเ้ ชน่ ชอ้ นถ้วย พลาสติก หมอ้
จาน
- ของเล่นเลียนแบบของจริง เป็นของเล่นที่ทาข้ึนให้มีรูปแบบเหมือนของจริงท่ีมีอยู่ในชีวิตประจาวัน ทา
จากวัสดุประเภทไม้ พลาสติก โลหะ กระดาษ ก็ได้ เช่น ตุ๊กตาสัตว์ขนนุ่มตุ๊กตาคน ลูกบอลเด็กเล่น รถ
เด็กเล่น ของเลน่ เครอื่ งครัว/ เครอ่ื งใชใ้ นบ้าน
- ของเล่นสรา้ งสรรค์ เปน็ ของเลน่ ท่ที าข้ึนไม่มีรูปแบบท่ีแนน่ อนตายตัวสามารถประกอบเข้าด้วยกันให้เป็น
อะไรก็ได้ตามความต้องการหรือจินตนาการของผู้เล่น เช่น ตัวต่อพลาสติก พลาสติกสร้างสรรค์ บล็อก
พลาสตกิ / ไม้ วสั ดุทใี่ ช้ในการวาดภาพ/ การป้ัน/การประดิษฐ์
- ของเล่นเพ่ือการศึกษา เป็นของเล่นท่ีทาข้ึน มีรูปแบบช่วยพัฒนาทักษะการสังเกต ทักษะกล้ามเน้ือมือ
ประสานสมั พันธ์กบั ตา ทักษะการคิด เชน่ ไม้บล็อก เกมภาพตัดตอ่ เกมโดมโิ น่
- ของเล่นพื้นบ้าน เป็นของเล่นท่ีทาจากวัสดุตามธรรมชาติหรือวัสดุท่ีมีอยู่ในท้องถ่ินด้วยเช่น โมบายปลา
ตะเพียน ตะกร้อใบลาน ตุ๊กตาสัตว์ทาจากฟาง กังหันลมใบตาล ล้อกลิ้งไม้ไผ่ นก/ ตั๊กแตนสานใบ
มะพร้าว กะลารองเทา้ ป่ใี บมะพร้าว และป้นั ดินเหนียวรปู สตั ว์
๓. ประเภทของเล่นเด็ก ของเลน่ เดก็ มีหลากหลายรปู แบบ ขน้ึ อยู่กบั วัตถุประสงค์ของการใช้เลน่ แบง่ เปน็
- ของเลน่ ฝึกประสาทสัมผัส เปน็ ของเลน่ ที่ดงึ ดดู ความสนใจของเด็ก ในการมองเห็น ไดย้ ินและสมั ผัส เช่น
ของเล่นทมี่ ผี ิวสมั ผัสเรียบ- ขรขุ ระ ของเลน่ หยบิ จบั ไวใ้ นมือไดเ้ สียงเพลง
- ของเล่นฝึกการเคล่ือนไหว เป็นของเล่นท่ีเคล่ือนท่ีไปมาได้ กระตุ้นให้เด็กใช้กล้ามเน้ือแขน ขา เช่น ลูก
บอล ของเล่นลากจงู ได้ ของเลน่ ไขลาน ของเลน่ มลี อ้ เลอ่ื น
- ของเล่นฝึกความสัมพันธ์มือตา เป็นของเล่นที่ฝึกให้เด็กได้พัฒนาการประสานสัมพันธ์ระหว่างการใช้
กล้ามเน้ือมือและตาอย่างมีจุดหมาย เช่น กระดานค้อนตอก กล่องหยอดรูปทรง ของเล่นร้อยลูกปัดเม็ด
โต ของเลน่ รอ้ ยเชอื กตามรู ของเล่นผกู เชอื ก/รูดซปิ /ติดกระดุม
- ของเล่นฝึกภาษา เป็นของเล่นท่ีช่วยในการฟัง การสื่อสารทางด้านการฟังการพูดเล่าเรื่อง เช่น หนังสือ
ภาพนิทาน เทป เพลงเดก็ เครอ่ื งดนตรี ห่นุ มอื
WATMUANG ๘๗
- ของเล่นฝึกการสังเกต เป็นของเล่นฝึกทักษะการเปรียบเทียบ การจาแนกหรือจัดกลุม่ ของ เช่น ของเล่น
รปู ทรงเรขาคณติ แผ่นภาพจบั คู่ บล็อกต่างสตี ่างขนาด
- ของเล่นฝึกการคิด เป็นของเล่นสอนให้เด็กมีสมาธิและรู้จักแก้ปัญหา คิดใช้เหตุผล เช่น ภาพตัดต่อ ตัว
ตอ่ ภาพ ปรศิ นา บล็อกไม้
- ของเล่นฝึกความคิดสร้างสรรค์ เป็นของเล่นที่ส่งเสรมิ ให้เด็กสร้างจินตนาการตามความนึกคิดหรือแสดง
บทบาทสมมตุ ิ เช่น บล็อกไม้ ตัวตอ่ ของเลน่ เครือ่ งครวั ของเล่นรา้ นค้า ของเลน่ เครือ่ งมอื แพทย์
๔. กำรเลือกของเลน่ เดก็ หลกั เกณฑ์ท่คี วรคำนึงถึงมีดังนี้
ความปลอดภัยในการเล่น ของเล่นสาหรับเด็ก อาจทาด้วยไม้ ผ้า พลาสติกหรือโลหะ ที่ไม่มีอันตรายเก่ียวกับ
ผิวสัมผัสที่แหลมคม หรือมีช้ินส่วนที่หลุดหรือแตกหักได้ ตลอดจนทาให้วัสดุที่ไม่มีพิษมีภัยต่อเด็กในสีที่ทา หรือ
ส่วนผสมในการผลิตมีขนาดไม่เล็กเกินไป จนทาให้เด็กกลืนหรือหยิบใส่รูจมูก หรือเข้าปากได้ รวมท้ังมีน้าหนัก
พอเหมาะที่เดก็ สามารถหยิบเล่นเองได้
- ประโยชน์ในการเล่น ของเล่นที่ดีควรช่วยเร้าความสนใจของเด็กให้อยากรู้อยากเห็น มีสีสันสวยงาม
สะดุดตาเด็ก มีการออกแบบท่ีส่งเสริมให้เด็กใช้ความคิดและจินตนาการท่ีจะเล่นอย่าริเร่ิมสร้างสรรค์
หรือแก้ปัญหาช่วยในการพัฒนากล้ามเนื้อ การเคล่ือนไหว และการใช้มือได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยัง
เสริมสร้างการพัฒนาประสาทมือและตาใหส้ มั พนั ธก์ ัน
- ประสิทธิภาพในการใช้เล่น ของเล่นท่ีเหมาะในการเล่นควรมีความยากง่ายกับอายุและความสามารถ
ตามพัฒนาการของเด็ก ของเล่นที่ยากเกินไปจะบ่ันทอนความสนใจในการเล่นของเด็กและทาให้เด็ก
รสู้ ึกทอ้ ถอยได้ง่าย ส่วนของเลน่ ทีง่ ่ายเกนิ ไปก็ทาใหเ้ ด็กเบือ่ ไมอ่ ยากเลน่ ได้
- นอกจากนี้ของเล่นควรทาให้เด็กได้ใช้ประสบการณ์ตรงและเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีความแข็งแรง
ทนทานและปรับเปลยี่ นแปลงใชป้ ระโยชน์ไดห้ ลายโอกาส หลายรูปแบบเล่นไดห้ ลายคน
- ความประหยัดทรัพยากร ของเล่นทดี่ ีไม่จาเปน็ ต้องมีราคาแพงหรือผลติ ดว้ ยเทคโนโลยีท่ีทนั สมัย มีตรา
เคร่ืองหมายผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมทั่วไป หากแต่เป็นวัสดุของหรือของเล่นท่ี
สามารถจัดหาง่ายๆ มีราคาย่อมเยา และมีอยู่ในท้องถิ่นน้ันโดยหาซ้ือได้ง่ายหรือทาข้ึนเองได้จากภูมิ
ปัญญาพ้ืนบ้านหรอื วฒั นธรรมทอ้ งถิน่
ตำรำงเกณฑ์พจิ ำรณำกำรเลอื กซ้ือของเล่นให้เด็ก
ประเดน็ กำรพจิ ำรณำ
๑. ของเล่นทีม่ ลี ักษณะปลอดภัยสาหรบั เดก็ ตามวัย สีท่ใี ช้ เปน็ สที ป่ี ลอดภัย ไมม่ ีชนิ้ ส่วนแหลมคมหรือแตกหกั ง่าย
๒. ของเล่นเหมาะกบั วยั ของเด็กไมย่ ากหรอื งา่ ยเกินไปที่เด็กจะเล่นได้เอง
๓. ของเลน่ ดึงดูดความสนใจการเลน่ ท้าทายความสามารถของเดก็
๔. ของเล่นมีการออกแบบอยา่ งพิถีพิถัน มองดเู หมาะกับธรรมชาตขิ องเด็ก
๕. ของเลน่ สามารถปรับเปล่ียนรปู แบบไดห้ ลากหลาย ใชเ้ ล่นไดห้ ลายแบบ หลายวิธตี ามความต้องการของผู้เล่น
๖. ของเลน่ มีความคงทนใช้เล่นได้นาน ไมบ่ บุ สลายงา่ ย
๗. ของเล่นชว่ ยส่งเสริมทักษะการเรยี นรขู้ องเดก็ ทาให้เดก็ เรียนรูห้ ลายๆด้านเกย่ี วกับส่งิ แวดล้อมรอบตัว
๘. ของเลน่ ชว่ ยขยายความคิดสร้างสรรคข์ องเด็กทาใหเ้ ดก็ ใช้จนิ ตนาการ การคิดทาสงิ่ ใหมๆ่
๙. ของเล่นทาให้เด็กมีสมาธิ ใจจดจอ่ อย่กู บั การเล่นเป็นเวลานานพอควรตามชว่ งความสนใจของวัย
๑๐. ของเลน่ ทาความสะอาดได้ง่าย หรอื นากลับมาเลน่ ใหม่ได้
WATMUANG ๘๘
ประเดน็ กำรพจิ ำรณำ
๑๑. ของเลน่ ทาให้เด็กเกิดความรสู้ ึกดตี ่อตนเองและค้นพบความสาเร็จ
๑๒. ของเลน่ มรี าคาไม่แพงจนเกินไป เมื่อเปรยี บเทียบกบั คณุ ภาพของวสั ดแุ ละการใชป้ ระโยชน์
๕. แหล่งเรียนรใู้ นชมุ ชน
แหล่งเรียนรู้ที่เป็นบุคคล เช่น ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน อบต. ตารวจชุมชน เจ้าหน้าท่ีอนามัย
กานัน พระ สัปเหร่อ เกษตรตาบล หมอปศุสัตว์ อสม. ภูมิปัญญาด้านทอผ้า ภูมิปัญญาด้านการเกษตร
ผสมผสานแหลง่ เรยี นรทู้ ี่เป็นสถานที่ เช่น วัดม่วง พิพธิ ภัณฑพ์ ้นื บ้านวดั มว่ ง ศูนย์พฒั นาเดก็ เล็ก สถานอี นามัย
สถานีตารวจ อบต. แหล่งภูมิปัญญาท้องถิ่น ฟาร์มต่าง ๆ ส่ือและแหล่งเรียนรู้ที่เป็นประเพณี เช่น ประเพณี
ประจาปี ประเพณจี งั หวดั ประเพณีทีส่ าคัญในชุมชน เช่น ประเพณีแห่ปลา พธิ กี รรมต่าง ๆ ทางไสยศาสตร์ เช่น
การเล่นผกี ะด้ง
WATMUANG ๘๙
รปู แบบกำรจัดกจิ กรรมประจำวัน
การจัดทาตารางกิจกรรมประจาวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการนามา
ไปใช้ของแต่ละหน่วยงาน ท่ีสาคัญผู้สอนต้องคานึงการจัดกิจกรรมให้ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้านสาหรับ
โรงเรยี นวัดม่วง(สานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลสมทบสรา้ ง367) ไดจ้ ดั ทาตารางกจิ กรรม ประจาวนั ดังน้ี
ตำรำงกิจกรรมประจำวัน
ตำรำงกิจกรรมพฒั นำกระบวนกำรเรียนร้เู ดก็ ปฐมวยั
โรงเรยี นวดั ม่วง สังกดั สพป.รำชบรุ ี เขต ๒
ตำรำงกจิ กรรมประจำวัน
7.00 – 7.15 น. รับเด็กเปน็ รายบุคคล
8.00 – 8.20 น. เคารพธงชาติสวดมนต์
8.20 – 8.30 น. ตรวจสขุ ภาพ/ดื่มนม/เขา้ หอ้ งน้า
8.20 – 9.00 น. กิจกรรมเคลอื่ นไหวและจงั หวะ
9.00 – 10.00 น. กจิ กรรมเสริมประสบการณ์
10.00 – ๑๐.๓๐น. กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์
10.30 – 11.00 น. กจิ กรรมกลางแจ้ง
11.00 – 12.00 น พกั รับประทานอาหารกลางวนั
12.00 – 13.00 น. นอนหลบั พกั ผ่อน
13.00 – 13.15 น. เกบ็ ที่นอน /เข้าห้องนา้
13.15 – 14.00 น. กิจกรรมเสรเี ลน่ ตามมุม
14.00 – 15.00 น. กิจกรรมเกมการศกึ ษา
ทบทวนกิจกรรมประจำวนั
หมายเหต:ุ ตารางกจิ กรรมประจาวนั ยืดหยุ่นตามความสนใจของเดก็
WATMUANG ๙๐
หน่วยการจดั ประสบการณ์
สาหรับเดก็ ปฐมวัย
WATMUANG ๙๑
การกาหนดหน่วยการจัดประสบการณส์ าหรบั เด็กปฐมวัย อายุ ๓ – ๖ ปี
โรงเรยี นวดั มว่ ง สังกดั สานกั งานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต ๒
สัปดาหท์ ี่ วัน/เดือน/ปี ภาคเรยี นท่ี 1 สาระการเรียนรู้
1 17-20 พ.ค.65 เรือ่ งราวเกีย่ วกับตวั เด็ก
2 23-27 พ.ค.65 ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้ เรือ่ งราวเกี่ยวกับบคุ คลและสถานทีแ่ วดลอ้ มเดก็
3 30 พ.ค.-3ม.ิ ย.65 ปฐมนิเทศ เรือ่ งราวเกี่ยวกับตวั เดก็
4 6-10 ม.ิ ย.65 โรงเรียนของเรา เรื่องราวเกีย่ วกบั ตัวเดก็
5 13-17 ม.ิ ย.65 ร่างกายของฉัน เรือ่ งราวเกีย่ วกับตัวเด็ก
6 20-24 ม.ิ ย.65 หนูทาได้ เรือ่ งราวเกี่ยวกบั บคุ คลและสถานที่แวดลอ้ มเดก็
7 27ม.ิ ย.-1ก.ค.65 ประสาทสัมผัสทั้ง5 เรื่องราวเกี่ยวกับบคุ คลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก
8 บ้าน สิง่ ต่าง ๆ รอบตวั
9 4-8 ก.ค.65 ครอบครวั มสี ุข เรื่องราวเกีย่ วกบั บุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก
10 11-15ก.ค.65 ของเล่นของใช้ เรือ่ งราวเกีย่ วกับตัวเด็ก
11 18-22ก.ค.65 วันเข้าพรรษา/วันอาสาฬหบชู า สิง่ ต่าง ๆ รอบตัว
12 25-29ก.ค.65 อาหารดีมีประโยชน์ สิ่งต่าง ๆ รอบตัว
13 1-5 ส.ค.65 ปลอดภยั ไวก้ ่อน เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก
14 8-12 ส.ค.65 คณิตศาสตร์แสนสนุก สิง่ ต่าง ๆ รอบตัว
15 15-19 ส.ค.65 วนั แม่ เรือ่ งราวเกีย่ วกบั บุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก
16 22-26 ส.ค.65 เศรษฐกิจพอเพยี ง ธรรมชาติรอบตัว
17 29 ส.ค.-2 ก.ย.65 ชุมชนของเรา ธรรมชาติรอบตัว
18 5-9 ก.ย.65 สัตว์น่ารัก ธรรมชาติรอบตัว
19 12-16 ก.ย.65 ข้าว ธรรมชาติรอบตวั
20 19-23 ก.ย.65 ฝนจ๋า สิง่ ต่าง ๆ รอบตวั
26-30 ก.ย.65 ผกั ผลไม้
เทคโนโลยแี ละการส่อื สาร
WATMUANG ๙๒
การกาหนดหน่วยการจัดประสบการณ์สาหรบั เดก็ ปฐมวยั อายุ ๓ – ๖ ปี
โรงเรยี นวดั มว่ ง สังกัด สานักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศึกษาราชบรุ ี เขต ๒
ภาคเรยี นท่ี 2
สปั ดาหท์ ี่ วนั /เดือน/ปี ช่อื หน่วยการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้
21 3-7ต.ค.65 หลกั สูตรท้องถิ่น / พพิ ธิ ภณั ฑว์ ัดมว่ ง เรื่องราวเกี่ยวกบั บคุ คลและสถานทีแ่ วดลอ้ มเดก็
22 10-14ต.ค.65 ดิน-นา้ -ลม-อากาศ ธรรมชาติรอบตัว
23 17-21ต.ค.65 ตน้ ไม้แสนรัก ธรรมชาติรอบตวั
24 24-28 ต.ค.65 คมนาคม สิง่ ต่าง ๆ รอบตัว
25 31ต.ค.-4พ.ย.65 โลกของแมลง ธรรมชาติรอบตวั
26 7-11พ.ย.65 โลกสวยด้วยมือเรา สิง่ ต่าง ๆ รอบตัว
27 14-18พ.ย.65 3 ฤดู ธรรมชาติรอบตัว
28 21-25พ.ย.65 กลางวัน กลางคืน ธรรมชาติรอบตัว
29 28พ.ย.-2ธ.ค.65 เวลา ธรรมชาติรอบตัว
30 5-9ธ.ค.65 วนั พ่อ เรื่องราวเกี่ยวกบั บคุ คลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก
31 12-16ธ.ค.65 พลงั งาน ธรรมชาติรอบตวั
32 19-23ธ.ค.65 อาชีพในฝัน เรื่องราวเกี่ยวกบั บุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเดก็
33 26-30ธ.ค.65 วันปีใหม่ เรื่องราวเกีย่ วกบั บุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก
34 3-6 ม.ค.66 ไข่ ธรรมชาติรอบตวั
35 9-13 ม.ค.66 ดอกไม้แสนสวย ธรรมชาติรอบตัว
36 16-20ม.ค.66 ฉนั รกั เมืองไทย เรื่องราวเกีย่ วกับบุคคลและสถานที่แวดลอ้ มเด็ก
37 23-27ม.ค.66 ท่องแดนอาเซียน เรื่องราวเกี่ยวกบั บคุ คลและสถานที่แวดลอ้ มเดก็
38 30ม.ค.-3ก.พ.66 สีหรรษา สิ่งต่าง ๆ รอบตวั
39 6-10ก.พ.66 Project Approach สิ่งต่าง ๆ รอบตวั
40 13-17ก.พ.66 Project Approach สิ่งต่าง ๆ รอบตวั
WATMUANG ๙๓
การประเมินพฒั นาการ
WATMUANG ๙๔
กำรประเมนิ พัฒนำกำร
การประเมนิ พฒั นาการเด็กอายุ ๑ – ๖ ปี เปน็ การประเมินพฒั นาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จติ ใจสงั คม
และสตปิ ัญญาของเด็ก โดยถอื เป็นกระบวนการต่อตนเอง และเป็น ส่วนหน่ึงของกจิ กรรมปกติทจ่ี ัดให้เดก็ ในแต่
ละวัน ผลที่ได้จากการสังเกตพัฒนาการเด็กต้องนามาจัดทาสารนิทัศน์หรือจัดทาข้อมูลหลักฐานหรือเอกสาร
อย่างเป็นระบบ ด้วยการวบรวมผลงานสาหรับเด็กเป็นรายบุคคลท่ีสามารถบอกเร่ืองราวหรือประสบการณ์ที่
เด็กได้รับว่าเด็กเกิดการเรียนรู้และมีความก้าวหน้าเพียงใด ทั้งนี้ ให้นาข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการเด็กมา
พิจารณา ปรับปรุงวางแผน การจัดกิจกรรม และส่งเสริมให้เด็กแต่ละคนได้รับการพัฒนาตามจุดหมายของ
หลักสตู รอย่างตอ่ เน่อื ง การประเมนิ พัฒนาการควรยดึ หลัก ดังนี้
๑. วางแผนการประเมนิ พฒั นาการอยา่ งเปน็ ระบบ
๒. ประเมินพฒั นาการเด็กครบทกุ ดา้ น
๓. ประเมนิ พัฒนาการเด็กเป็นรายบุคคลอยา่ งสม่าเสมอต่อเน่อื งตลอดปี
๔. ประเมนิ พัฒนาการตามสภาพจรงิ จากกิจกรรมประจาวนั ดว้ ยเครือ่ งมือและวิธกี ารทห่ี ลากหลาย ไม่
ควรใช้แบบทดสอบ
๔. สรุปผลการประเมิน จดั ทาขอ้ มลู และนาผลการประเมินไปใช้พฒั นาเดก็ สาหรับวิธีการประเมนิ ท่ี
เหมาะสมและควรใช้กับเดก็ อายุ ๓ – ๖ ปี ได้แก่ การสังเกต การบนั ทึกพฤติกรรม การสนทนากับเด็ก
การสัมภาษณ์ การวเิ คราะห์ข้อมูลจากผลงานเด็กที่เกบ็ อย่างมรี ะบบ
ประเภทของกำรประเมนิ พฒั นำกำร
การพฒั นาคุณภาพการเรยี นรูข้ องเดก็ ประกอบด้วย
๑) วตั ถปุ ระสงค์ (Objective) ซึ่งตามหลกั สตู รการศึกษาปฐมวยั พุทธศักราช ๒๕๖๐ หมายถงึ จดุ หมายซึ่ง
เป็นมาตรฐานคุณลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์ ตัวบง่ ช้ีและสภาพทีพ่ ึงประสงค์
๒) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (Learning) ซ่ึงเป็นกระบวนการได้มาของความรู้หรือทักษะผ่านการ
กระทาสงิ่ ต่างๆทีส่ าคัญตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกาหนดให้หรือท่ีเรียกว่าประสบการณ์สาคัญ ในการช่วย
อธิบายให้ครูเข้าใจถึงประสบการณ์ที่เด็กปฐมวัยต้องทาเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว และช่วยแนะผู้สอนในการ
สังเกต สนับสนนุ และวางแผนการ จัดกิจกรรมใหเ้ ด็กและ
๓) การประเมินผล(Evaluation) เพ่ือตรวจสอบพฤติกรรมหรือความสามารถตามวัยท่ีคาดหวังให้เด็ก
เกิดขึ้นบนพ้ืนฐานพัฒนาการตามวัยหรือความสามารถตามธรรมชาติในแต่ละระดับอายุ เรียกว่า สภาพท่ีพึง
ประสงค์ ท่ใี ชเ้ ปน็ เกณฑส์ าคัญสาหรับการประเมนิ พัฒนาการเด็ก เปน็ เป้าหมายและกรอบทิศทางในการพัฒนา
คณุ ภาพเดก็ ท้ังน้ปี ระเภทของการประเมินพัฒนาการ อาจแบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ ลักษณะ คอื
๑) แบ่งตำมวตั ถปุ ระสงคข์ องกำรประเมิน
การแบง่ ตามวตั ถุประสงค์ของการประเมนิ แบ่งได้ ๒ ประเภท ดงั นี้
๑.๑) การประเมินความก้าวหน้าของเด็ก (Formative Evaluation) หรือการประเมินเพื่อพัฒนา
(Formative Assessment) หรอื การประเมินเพื่อเรยี น (Assessment for Learning) เปน็ การประเมนิ ระหวา่ ง
การจัดระสบการณ์ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับผลพัฒนาการและการเรยี นร้ขู องเด็กในระหวา่ งทากิจกรรม
ประจาวัน/กิจวัตรประจาวันปกติอย่างต่อเนื่อง บันทึก วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูลแล้ว นามาใช้ในการ
ส่งเสริมหรือปรับปรุงแก้ไขการเรียนรู้ของเด็ก และการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้สอน การประเมิน
พัฒนาการกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้สอนจึงเป็นเร่ืองที่สัมพันธ์กันหากขาดส่ิงหนึ่งสิ่งใดการจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ก็ขาดประสิทธิภาพ เป็นการประเมินผลเพ่ือให้รู้จุดเด่น จดุ ที่ควรสง่ เสรมิ ผสู้ อนต้องใช้
WATMUANG ๙๕
วิธีการแลเคร่ืองมือประเมินพัฒนาการท่ีหลากหลาย เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การรวบรวมผลงานท่ี
แสดงออกถึงความก้าวหน้าแต่ละด้านของเด็กเป็นรายบุคคล การใช้แฟ้มสะสมงาน เพ่ือให้ได้ข้อสรุปของ
ประเด็นที่กาหนด ส่ิงที่สาคัญที่สุดในการประเมินความก้าวหน้าคือ การจัดประสบการณ์ให้กับเด็กในลักษณะ
การเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่ทาให้การเรียนรู้ของเด็กเพ่ิมพูน ปรับเปลี่ยนความคิด
ความเขา้ ใจเดิมท่ีไมถ่ ูกตอ้ ง ตลอดจนการใหเ้ ดก็ สามารถพัฒนาการเรยี นรขู้ องตนเองได้
๑.๒) การประเมินผลสรุป (Summative Evaluation) หรือ การประเมินเพ่ือตัดสินผลพัฒนาการ
(Summative Assessment) หรือการประเมินสรุปผลของการเรียนรู้ (Assessment of Learning) เป็นการ
ประเมินสรุปพัฒนาการ เพ่ือตัดสินพัฒนาการของเด็กว่ามีความพร้อมตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์
ของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยหรือไม่ เพ่ือเป็นการเช่ือมต่อของการศึกษาระดับปฐมวัยกับชั้นประถมศึกษาปี
ที่ ๑
ดังนั้น ผู้สอนจึงควรให้ความสาคัญกับการประเมินความก้าวหน้าของเด็กในระดับห้องเรียนมากกว่า
การประเมนิ เพ่ือตัดสินผลพัฒนาการของเด็กเมือ่ สน้ิ ภาคเรยี นหรอื สิ้นปกี ารศกึ ษา
๒) แบ่งตำมระดบั ของกำรประเมนิ
การแบง่ ตามระดับของการประเมิน แบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท
๒.๑) กำรประเมินพัฒนำกำรระดับชั้นเรียน เป็นการประเมินพัฒนาการที่อยู่ในกระบวนการจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ ผู้สอนดาเนินการเพื่อพัฒนาเด็กและตัดสินผลการพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์
จติ ใจสังคม และสติปัญญา จากกจิ กรรมหลกั /หน่วยการเรยี นรู้(Unit) ท่ผี ู้สอนจัดประสบการณ์ให้กับเดก็ ผสู้ อน
ประเมินผลพัฒนาการตามสภาพที่พึงประสงค์และตัวบ่งชี้ที่กาหนดเป็นเป้าหมายในแต่ละแผนการจัด
ประสบการณ์ของหนว่ ยการเรียนรู้ดว้ ยวิธตี า่ งๆ เชน่ การสังเกต การสนทนา การสัมภาษณ์ การรวบรวมผลงาน
ทแี่ สดงออกถึงความก้าวหน้า แตล่ ะด้านของเด็กเป็นรายบุคคล การแสดงกริยาอาการต่างๆของเด็กตลอดเวลา
ท่ีจัดประสบการณ์เรียนรู้ เพ่ือตรวจสอบและประเมินว่าเด็กบรรลุตามสภาพท่ีพึงประสงค์ละตัวบ่งชี้ หรือมี
แนวโน้มว่าจะบรรลุสภาพท่ีพึงประสงค์และตัวบ่งช้ีเพียงใด แล้วแก้ไขข้อบกพร่องเป็นระยะๆอย่างต่อเนื่อง
ท้ังน้ี ผู้สอนควรสรุปผลการประเมินพัฒนาการว่า เด็กมีผลอันเกิดจากการจัดประสบการณ์การเรียนรู้หรือไม่
และมากน้อยเพียงใด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมหรือสะสมผลการประเมินพัฒนาการในกิจกรรม
ประจาวัน/กิจวัตรประจาวัน/หน่วยการเรียนรู้ หรืผลตามรูปแบบการประเมินพัฒนาการที่สถานศึกษากาหนด
เพอื่ นามาเป็นขอ้ มลู ใช้ปรังปรงุ การจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ และเป็นขอ้ มลู ในการสรปุ ผลการประเมินพัฒนา
ในระดับสถานศกึ ษาต่อไปอีกด้วย
๒.๒) กำรประเมินพัฒนำกำรระดบั สถำนศึกษำ เป็นการตรวจสอบผลการประเมินพฒั นาการของเดก็
เป็นรายบุคคลเป็นรายภาค/รายปี เพื่อให้ได้ข้อมูลเก่ียวกับการจัดการศึกษาของเด็กในระดับปฐมวัยของ
สถานศึกษาว่าส่งผลตามการเรียนรู้ของเด็กตามเป้าหมายหรือไม่ เด็กมีส่ิงที่ต้องการได้รับการพัฒนาในด้านใด
รวมทั้งสามารถนาผลการประเมินพัฒนาการของเด็กในระดับสถานศึกษาไปเป็นข้อมูลและสารสนเทศในการ
ปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย โครงการหรือวิธีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ตลอดจนการจัด
แผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาปฐมวัยของสถานศึกษาตามแผนการประกันคุณภาพการศึกษาและการรายงาน
ผลการพัฒนาคุณภาพเด็กต่อผู้ปกครอง นาเสนอคณะกรรมการถานศึกษาขั้นพื้นฐานรับทราบ ตลอดจน
เผยแพร่ต่อสาธรณชน ชุมชน หรือหน่วยงานต้นสังกัดหรือหน่วยงานต้นสังกัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
สาหรับการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยในระดับเขตพื้นที่การศึกษาหรือระดับประเทศน้ันหากเขตพื้นที่
การศึกษาใดมีความพร้อม อาจมีการดาเนินงานในลักษณะของการสุ่มกลุ่มตัวอย่างเด็กปฐมวัยเข้ารับการ
WATMUANG ๙๖