ประเมินก็ได้ ท้ังน้ี การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยขอให้ถือปฏิบัติตามหลักการการประเมินพัฒนาการตาม
หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัย พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐
บทบำทหน้ำที่ของผู้เกีย่ วข้องในกำรดำเนนิ งำนประเมนิ พัฒนำกำร
การดาเนนิ งานประเมินพฒั นาการของสถานศึกษานัน้ ต้องเปิดโอกาสให้ผเู้ กี่ยวข้องเขา้ มามสี ว่ นร่วมใน
การประเมนิ พัฒนาการและร่วมรบั ผดิ ชอบอย่างเหมาะสมตามบรบิ ทของสถานศึกษาแต่ละขนาด ดงั นี้
ผูป้ ฏิบัติ บทบำทหน้ำทใ่ี นกำรประเมินพฒั นำกำร
๑. ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย และแนวการ
ป ฏิ บั ติ ก า ร ป ร ะ เ มิ น พั ฒ น า ก า ร ต า ม ห ลั ก สู ต ร
สถานศึกษาปฐมวัย
ผู้สอน ๒. วิเคราะห์และวางแผนการประเมินพัฒนาการท่ี
สอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู้/กิจกรรมประจาวัน/
กจิ วตั รประจาวนั
๓. จัดประสบการณ์ตามหน่วยการเรียนรู้ ประเมิน
พัฒนาการ และบันทึกผลการประจาวัน/กิจวัตร
ประจาวนั
๔. รวบรวมผลการประเมินพัฒนาการ แปลผลและ
สรุปผลการประเมนิ เม่ือสิ้นภาคเรยี นและสนิ้ ปี
การศกึ ษา
๕. สรุปผลการประเมนิ พัฒนาการระดบั ช้นั เรยี นลง
ในสมดุ บนั ทึกผลการประเมินพัฒนาการประจาช้ัน
๖. จดั ทาสมุดรายงานประจาตัวนักเรยี น
๗. เสนอผลการประเมินพัฒนาการต่อผู้บริหาร
สถานศกึ ษาลงนามอนมุ ตั ิ
๑.กาหนดผู้รับผิดชอบงานประเมินพัฒนาการตาม
ผบู้ ริหารสถานศึกษา หลักสูตร และวางแนวทางปฏิบัติการประเมิน
พัฒนาการเด็กปฐมวัยตามหลักสูตรสถานศึกษา
ปฐมวัย
๒. นิเทศ กากับ ติดตามให้การดาเนินการประเมิน
พัฒนาการให้บรรลเุ ป้าหมาย
๓. นาผลการประเมินพัฒนาการไปจัดทารายงานผล
ก า ร ด า เ นิ น ง า น ก า ห น ด น โ ย บ า ย แ ล ะ ว า ง แ ผ น
พฒั นาการจดั การศกึ ษาปฐมวยั
๑. ให้ความร่วมมือกับผู้สอนในการประเมิน
พฤติกรรมของเด็กทส่ี งั เกตได้จากทบ่ี ้าน
เพ่ือเป็นข้อมูลประกอบการแปลผลที่เที่ยงตรงของ
พอ่ แม่ ผ้ปู กครอง ผสู้ อน
WATMUANG ๙๗
ผปู้ ฏิบตั ิ บทบำทหนำ้ ทีใ่ นกำรประเมินพฒั นำกำร
คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพืน้ ฐาน
๒. รับทราบผลการประเมินของเด็กและสะท้อนให้
สานกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษา ขอ้ มลู ยอ้ นกลับท่ีเป็นประโยชนใ์ น
การสง่ เสรมิ และพฒั นาเดก็ ในปกครองของตนเอง
๓. ร่วมกับผู้สอนในการจัดประสบการณ์หรือเป็น
วิทยากรทอ้ งถิ่น
๑. ใหค้ วามเห็นชอบและประกาศใช้หลกั สูตร
สถานศกึ ษาปฐมวยั และแนวปฏบิ ัตใิ นการ
ประเมนิ พัฒนาการตามหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวยั
๒. รับทราบผลการประเมินพัฒนาการของเด็กเพื่อ
การประกันคุณภาพภายใน
๑. สง่ เสริมการจดั ทาเอกสารหลักฐานว่าดว้ ยการ
ประเมินพฒั นาการของเดก็ ปฐมวัยของสถานศึกษา
๒. ส่งเสริมให้ผู้สอนในสถานศึกษามีความรู้ ความ
เข้าใจในแนวปฏิบัติการประเมินพัฒนาการตาม
มาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ตามหลักสูตร
สถานศึกษาปฐมวัยตลอดจนความเข้าใจในเทคนิค
วิธีการประเมินพัฒนาการในรูปแบบต่างๆโดยเน้น
การประเมนิ ตามสภาพจรงิ
๓. ส่งเสริม สนับสนุนให้สถานศึกษาพัฒนาเคร่ืองมือ
พัฒนาการตามมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์
ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยและการจัดเก็บ
เอกสารหลักฐานการศึกษาอยา่ งเป็นระบบ
๔. ให้คาปรึกษา แนะนาเกี่ยวกับการประเมิน
พฒั นาการและการจัดทาเอกสารหลกั ฐาน
๕. จัดให้มีการประเมินพัฒนาการเด็กที่ดาเนินการ
โดยเขตพ้ืนที่การศึกษาหรือหน่วยงานต้นสังกัดและ
ใ ห้ ค ว า ม ร่ ว ม มื อ ใ น ก า ร ป ร ะ เ มิ น พั ฒ น า ก า ร
ระดับประเทศ
WATMUANG ๙๘
แนวปฏิบตั กิ ำรประเมนิ พฒั นำกำร
การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวยั เป็นกิจกรรมท่ีสอดแทรกอยู่ในการจัดประสบการณ์ทุกขั้นตอนโดย
เร่ิมต้ังแต่การประเมินพฤติกรรมของเด็กก่อนการจัดประสบการณ์ การประเมินพฤติกรรมเด็กขณะปฏิบัติ
กิจรรมและการประเมินพฤติกรรมเด็กเมื่อส้ินสุดการปฏิบัติกิจกรรม ท้ังนี้ พฤติกรรมการเรียนรู้และพัฒนาการ
ด้านต่างๆของเด็กท่ีได้รับการประเมินน้ัน ต้องเป็นไปตามมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ตัวบ่งช้ี และ
สภาพที่พึงประสงค์ของหลักสูตรสถานศึกษาระดับปฐมวัยที่ผู้สอนวางแผนและออกแบบไว้ การประเมิน
พัฒนาการจึงเป็นเคร่ืองมือสาคัญที่จะช่วยให้การเรียนรู้ของเด็กบรรลุตามเป้าหมายเพื่อนาผลการประเมินไป
ปรับปรงุ พัฒนาการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ และใช้เป็นข้อมลู สาหรับการพัฒนาเด็กต่อไป สถานศึกษาควร
มีกระบวนการประเมินพัฒนาการและการจัดการอย่างเป็นระบบสรุปผลการประเมินพัฒนาการท่ีตรงตาม
ความรู้ ความสามารถ ทักษะและพฤตกิ รรมทแี่ ท้จริงของเด็กสอดคล้องตามหลกั การประเมินพัฒนาการ รวมทงั้
สะท้อนการดาเนินงานการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง แนวปฏิบัติการ
ประเมินพฒั นาการเดก็ ปฐมวัยของสถานศกึ ษา มดี ังน้ี
๑.หลักกำรสำคัญของกำรดำเนินกำรประเมินพัฒนำกำรตำมหลักสูตรกำรศึกษำปฐมวัย พุทธศักรำช
๒๕๖๐
สถานศึกษาท่ีจัดการศึกษาปฐมวัยควรคานึงถึงหลักสาคัญของการดาเนินงานการประเมินพัฒนาการ
ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวยั สาหรบั เดก็ ปฐมวยั อายุ ๓-๖ ปี ดงั น้ี
๑.๑ ผู้สอนเป็นผู้รับผิดชอบการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย โดยเปิดโอกาสให้ผู้ท่ีเก่ียวข้องมีส่วน
รว่ ม
๑.๒ การประเมินพัฒนาการ มีจุดมุ่งหมายของการประเมินเพื่อพัฒนาความก้าวหน้าของเด็กและ
สรปุ ผลการประเมินพฒั นาการของเด็ก
๑.๓ การประเมินพัฒนาการต้องมีความสอดคล้องและครอบคลุมมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์
ตวั บ่งช้ี สภาพท่ีพึงประสงค์แตล่ ะวยั ซึ่งกาหนดไว้ในหลกั สูตรสถานศึกษาปฐมวัย
๑.๔ การประเมินพฒั นาการเป็นสว่ นหนึ่งของกระบวนการจดั ประสบการณ์การเรยี นร้ตู ้องดาเนินการ
ด้วยเทคนิควิธีการท่หี ลากหลาย เพอื่ ให้สามารถประเมินพัฒนาการเด็กไดอ้ ย่างรอบดา้ นสมดุลทง้ั ด้านรา่ งกาย
อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา รวมทั้งระดับอายุของเด็ก โดยต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของความเท่ียงตรง
ยตุ ธิ รรมและเชื่อถือได้
๑.๕ การประเมินพัฒนาการพิจารณาจากพัฒนาการตามวัยของเด็ก การสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้
และการร่วมกิจกรรม ควบคู่ไปในกระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามความเหมาะสมของแต่ละระดบั
อายุและรูปแบบการจัดการศกึ ษา และต้องดาเนินการประเมินอย่างตอ่ เนื่อง
๑.๖ การประเมินพฒั นาการต้องเปิดโอกาสให้ผูม้ สี ่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายไดส้ ะท้อนและตรวจสอบผลการ
ประเมนิ พฒั นาการ
๑.๗ สถานศึกษาควรจัดทาเอกสารบันทึกผลการประเมินพัฒนาการของเด็กปฐมวัยในระดับช้ันเรียน
และระดับสถานศึกษา เช่น แบบบันทึกการประเมินพัฒนาการตามหน่วยการจัดประสบการณ์ สมุดบันทึกผล
WATMUANG ๙๙
การประเมินพัฒนาการประจาชั้น เพ่ือเป็นหลักฐานการประเมินและรายงานผลพัฒนาการและสมุดรายงาน
ประจาตัวนกั เรยี น เพื่อเปน็ การส่ือสารขอ้ มูลการพฒั นาการเด็กระหว่างสถานศกึ ษากับบ้าน
๒. ขอบเขตของกำรประเมินพัฒนำกำร
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย โรงเรียนวัดม่วง ปีการศึกษา๒๕๖๓ (ตามหลักสูตรปฐมวัยพุทธศักราช
๒๕๖๐) ได้กาหนดเป้าหมายคุณภาพของเดก็ ปฐมวยั เปน็ มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ซ่งึ ถอื เปน็ คุณภาพ
ลักษณะท่ีพึงประสงค์ท่ีต้องการให้เกิดขึ้นตัวเด็กเมื่อจบหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย คุณลักษณะที่ระบุไว้ใน
มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ถือเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับเด็กทุกคน ดังน้ัน สถานศึกษาและหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กให้มีคุณภาพมาตรฐานท่ีพึงประสงค์
กาหนด ถือเป็นเครื่องมือสาคัญในการขับเคล่ือนและพัฒนาคุณภาพการศึกษาปฐมวัย แนวคิดดังกล่าวอยู่บน
ฐานความเชื่อที่ว่าเด็กทุกคนสามารถพัฒนาอย่างมีคุณภาพและเท่าเทียมได้ ขอบเขตของการประเมินพัฒนา
การประกอบดว้ ย
๒.๑ สง่ิ ที่จะประเมิน
๒.๒ วธิ ีและเครื่องมอื ทีใ่ ช้ในการประเมนิ
๒.๓ เกณฑ์การประเมนิ พฒั นาการ
๒.๑ สิง่ ทจ่ี ะประเมนิ
การประเมินพฒั นาการสาหรับเดก็ อายุ ๓-๖ ปี มีเปา้ หมายสาคญั คือ มาตรฐานคุณลกั ษณะท่ี
พงึ ประสงคจ์ านวน ๑๒ ข้อ ดังนี้
๑. พัฒนำกำรด้ำนรำ่ งกำย ประกอบดว้ ย ๒ มำตรฐำน คอื
มาตรฐานท่ี ๑ รา่ งการเจริญเติบโตตามวัยและมีสขุ นิสยั ท่ดี ี
มาตรฐานท่ี ๒ กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเน้ือเล็กแข็งแรง ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์
กนั
๒. พัฒนำกำรด้ำนอำรมณ์ จติ ใจ ประกอบดว้ ย ๓ มำตรฐำน คอื
มาตรฐานที่ ๓ มีสุขภาพจิตดีและมคี วามสุข
มาตรฐานท่ี ๔ ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคล่ือนไหว
มาตรฐานที่ ๕ มีคุณธรรม จรยิ ธรรม และมีจติ ใจทด่ี งี าม
๓. พฒั นำกำรดำ้ นสงั คม ประกอบด้วย ๓ มำตรฐำน คือ
มาตรฐานท่ี ๖ มที ักษะชีวติ และปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
มาตรฐานท่ี ๗ รกั ธรรมชาติ สง่ิ แวดล้อม วฒั นธรรมและความเปน็ ไทย
มาตรฐานท่ี ๘ อยู่รว่ มกับผูอ้ ืน่ ได้อยา่ งมคี วามสขุ และปฏิบัตติ นเป็นสมาชกิ ท่ีดีของ
สังคมในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมท้ังเกิดวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต
สร้างความตระหนักให้นักเรียน ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน มีจิตพอเพียงต้านทุจริต
ละอายและเกรงกลวั ทีจ่ ะไม่ทจุ รติ และไม่ทนต่อการทจุ ริตทุกรปู แบบ
๔. พัฒนำกำรด้ำนสตปิ ัญญำ ประกอบดว้ ย ๔ มำตรฐำน คอื
มาตรฐานท่ี ๙ ใชภ้ าษาส่ือสารไดเ้ หมาะสมกบั วยั
มาตรฐานที่ ๑๐ มคี วามสามารถในการคดิ ที่เปน็ พ้ืนฐานในการเรยี นรู้
WATMUANG ๑๐๐
มาตรฐานที่ ๑๑ มจี นิ ตนาการและความคิดสร้างสรรค์
มาตรฐานที่ ๑๒ มีเจตคติท่ีดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับ
วยั
ดำ้ นร่ำงกำย ประกอบดว้ ย การประเมนิ การมนี า้ หนักและส่วนสงู ตามเกณฑ์ สุขภาพอนามยั สขุ นสิ ยั ท่ี
ดีการรู้จักรักษาความปลอดภัย การเคลื่อนไหวและการทรงตัว การเล่นและการออกกาลังกาย และการใช้มือ
อยา่ งคลอ่ งแคล่วประสานสมั พันธ์กนั
ด้ำนอำรมณ์ จิตใจ ประกอบด้วย การประเมินความสามารถในการแสดงออกทางอารมณ์อย่าง
เหมาะสมกบั วยั และสถานการณ์ ความร้สู ึกท่ดี ีตอ่ ตนเองและผู้อืน่ มคี วามรสู้ กึ เหน็ อกเห็นใจผู้อ่ืน ความสนใจ/
ความสามารถ/และมีความสุขในการทางานศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว ความรับผิดชอบในการทางาน
ความซ่ือสัตย์สุจริตและรู้สึกถูกผิด ความเมตตากรุณา มีน้าใจและช่วยเหลือแบ่งปัน ตลอดจนการประหยัด
อดออม และพอเพียง
ดำ้ นสังคม ประกอบด้วย การประเมนิ ความมีวนิ ยั ในตนเอง การช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตร
ประจาวัน การระวังภัยจากคนแปลกหน้า และสถานการณ์ท่ีเสี่ยงอันตราย การดูแลรักษาธรรมชาติและ
ส่ิงแวดล้อม การมีสัมมาคารวะและมารยาทตามวัฒนธรรมไทย รักษาความเป็นไทย การยอมรับความเหมือน
และความแตกต่างระหว่างบุคคล การมีสัมพันธ์ท่ีดีกับผู้อื่น การปฏิบัติตนเบ้ืองต้นในการเป็นสมาชิกที่ดีของ
สังคมในระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมุข
ด้ำนสติปัญญำ ประกอบด้วย การประเมินความสามารถในการสนทนาโต้ตอบและเล่าเร่ืองให้ผู้อื่น
เข้าใจความสามารถในการอ่าน เขียนภาพและสัญลักษณ์ ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา คิดเชิงเหตุผล คิด
รวบยอดการเล่น/การทางานศิลปะ/การแสดงท่าทาง/เคลื่อนไหวตามจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของ
ตนเอง การมีเจตคตทิ ด่ี ีต่อการเรียนรู้และความสามารถในการแสวงหาความรู้
๒.๒ วธิ ีกำรและเครือ่ งมอื ท่ีใชใ้ นกำรประเมินพฒั นำกำร
การประเมนิ พัฒนาการเดก็ แต่ละครัง้ ควรใช้วธิ ีการประเมินอย่างหลากหลายเพื่อให้ไดข้ ้อมูลที่สมบรู ณ์
ที่สุด วิธกี ารทีเ่ หมาะสมและนยิ มใชใ้ นการประเมินเดก็ ปฐมวัยมีด้วยกนั หลายวิธี ดงั ตอ่ ไปน้ี
๑. กำรสงั เกตและกำรบนั ทกึ การสงั เกตมอี ยู่ ๒ แบบคือ
กำรสงั เกตอย่ำงมรี ะบบ ได้แก่ การสงั เกตอยา่ งมจดุ มงุ่ หมายที่แน่นอนตามแผนท่วี างไว้
กำรสังเกตแบบไม่เป็นทำงกำร เป็นการสงั เกตในขณะท่ีเด็กทากิจกรรมประจาวันและเกิดพฤติกรรม
ท่ีไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นและผู้สอนจดบันทึกไวก้ ารสงั เกตเป็นวิธีการที่ผู้สอนใชใ้ นการศึกษาพัฒนาการของเด็ก
เมอ่ื มีการสังเกตกต็ ้องมีการบันทึก ผู้สอนควรทราบว่าจะบันทกึ อะไรการบนั ทกึ พฤติกรรมมคี วามสาคัญอย่างย่ิง
ที่ต้องทาอย่างสม่าเสมอ เนื่องจากเด็กเจริญ เติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงต้องนามาบันทึกเป็น
หลกั ฐานไวอ้ ยา่ งชัดเจน การสงั เกตและการบันทึกพัฒนาการเดก็ สามารถใชแ้ บบงา่ ยๆคอื
๑.๑ แบบบันทึกพฤติกรรม ใช้บันทึกเหตุการณ์เฉพาะอย่างโดยบรรยายพฤติกรรมเด็ก ผู้บันทึกต้องบันทึก
วัน เดือน ปีเกิดของเดก็ และวนั เดอื น ปี ที่ทาการบนั ทึกแตล่ ะคร้ัง
๑.๒ การบนั ทึกรายวนั เปน็ การบันทกึ เหตุการณห์ รอื ประสบการณห์ รอื ประสบการณ์ที่เกดิ ขึน้ ในช้นั
เรียนทุกวัน ถ้าหากบนั ทกึ ในรปู แบบของการบรรยายก็มักจะเนน้ เฉพาะเด็กรายท่ีต้องการศึกษา ขอ้ ดขี องการ
บนั ทกึ รายวนั คือ การชี้ใหเ้ ห็นความสามารถเฉพาะอยา่ งของเดก็ จะช่วยกระต้นุ ให้ผู้สอนไดพ้ ิจารณาปัญหาของ
WATMUANG ๑๐๑
เด็กเป็นรายบุคคลช่วยให้ผู้เชียวชาญมีข้อมูลมากขึ้นสาหรับวินิจฉัยเด็กว่าสมควรจะได้รับคาปรึกษาเพื่อลด
ปัญหาและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้อย่างถูกต้อง นอกจากน้ันยังช่วยช้ีให้เห็นข้อเสียของการจัดกิจกรรม
และประสบการณไ์ ดเ้ ปน็ อยา่ งดี
๑.๓ แบบสารวจรายการ ชว่ ยใหส้ ามารถวิเคราะหเ์ ดก็ แตล่ ะคนไดค้ ่อนขา้ งละเอยี ด
๒. กำรสนทนำ
สามารถใช้การสนทนาได้ท้ังเปน็ กลมุ่ หรือรายบุคคล เพอื่ ประเมนิ ความสามารถในการแสดงความคดิ เห็น
และพัฒนาการดา้ นภาษาของเดก็ และบนั ทึกผลการสนทนาลงในแบบบันทึกพฤตกิ รรมหรือบันทึกรายวัน
3. กำรสัมภำษณ์
ด้วยวิธีพูดคุยกับเด็กเป็นรายบุคคลและควรจัดในสภาวะแวดล้อมเหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดความเครียดและวิตก
กังวล ผู้สอนควรใช้คาถามที่เหมาะสมเปิดโอกาสให้เด็กได้คิดและตอบอย่างอิสระจะทาให้ผู้สอนสามารถ
ประเมินความสามารถทางสติปัญญาของเด็กแต่ละคนและค้นพบศักยภาพในตัวเด็กได้โดยบันทึกข้อมูลลงใน
แบบสมั ภาษณ์
การเตรียมการกอ่ นการสมั ภาษณ์ ผสู้ อนควรปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี
- กาหนดวตั ถปุ ระสงค์ของการสมั ภาษณ์
- กาหนดคาพูด/คาถามท่ีจะพูดกบั เด็ก ควรเป็นคาถามทเ่ี ด็กสามารถตอบโตห้ ลากหลาย ไม่ผดิ /ถกู
การปฏบิ ตั ิขณะสัมภาษณ์
- ผูส้ อนควรสร้างความคุ้นเคยเป็นกนั เอง
- ผสู้ อนควรสรา้ งสภาพแวดล้อมทีอ่ บอุ่นไมเ่ ครง่ เครยี ด
- ผสู้ อนควรเปดิ โอกาสเวลาให้เดก็ มโี อกาสคิดและตอบคาถามอยา่ งอสิ ระ
- ระยะเวลาสัมภาษณไ์ ม่ควรเกนิ ๑๐-๒๐ นาที
๔. กำรรวบรวมผลงำนท่ีแสดงออกถึงควำมก้ำวหนำ้ แตล่ ะด้ำนของเด็กเป็นรำยบคุ คล
โดยจัดเก็บรวบรวมไว้ในแฟ้มผลงาน (portfolio) ซ่ึงเป็นวิธีรวบรวมและจัดระบบข้อมูลต่างๆท่ี
เกี่ยวกับตัวเด็กโดยใช้เครื่องมือต่างๆรวบรวมเอาไว้อย่างมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน แสดงการเปล่ียนแปลงของ
พัฒนา การแต่ละด้านนอกจากนี้ยังรวมเคร่ืองมืออื่นๆ เช่น แบบสอบถามผู้ปกครอง แบบสังเกตพฤติกรรม
แบบบันทึกสุขภาพอนามัยฯลฯ เอาไว้ในแฟ้มผลงาน เพ่ือผู้สอนจะได้ข้อมูลเก่ียวกับตัวเด็กอย่างชัดเจนและ
ถูกต้อง การเก็บผลงานของเด็กจะไม่ถือว่าเป็นการประเมินผลถ้างานแต่ละช้ินถูกรวบรวมไว้โดยไม่ได้รับการ
ประเมินจากผู้สอนและไม่มีการนาผลมาปรับปรุงพัฒนาเด็กหรือปรับปรุงการสอนของผู้สอน ดังน้ันจึงเป็นแต่
การสะสมผลงานเท่านั้น เช่นแฟ้มผลงานขีดเขียน งานศิลปะ จะเป็นเพียงแค่แฟ้มผลงานท่ีไม่มีการประเมิน
แฟ้มผลงานนี้จะเป็นเครื่องมือการประเมินต่อเน่ืองเมื่องานท่ีสะสมแต่ละชิ้นถูกใช้ในการบ่งบอกความก้าวหน้า
ความต้องการของเด็ก และเป็นการเก็บสะสมอย่างต่อเน่ืองท่ีสร้างสรรค์โดยผู้สอนและเด็กผู้สอนสามารถใช้
แฟ้มผลงานอย่างมีคุณค่าส่ือสารกับผู้ปกครองเพราะการเก็บผลงานเด็กอย่างต่อเนื่องและสม่าเสมอในแฟ้ม
ผลงานเป็นข้อมูลให้ผู้ปกครองสามารถเปรียบเทียบความก้าวหน้าที่ลูกของตนมีเพ่ิมขึ้น จากผลงานชิ้นแรกกับ
ชิ้นต่อๆมาข้อมูลในแฟ้มผลงานประกอบด้วย ตัวอย่างผลงานการเขียดเขียน การอ่าน และข้อมูลบางประการ
ของเด็กที่ผู้สอนเป็นผู้บันทึก เช่น จานวนเล่มของหนังสือที่เด็กอ่าน ความถ่ีของการเลือกอ่านท่ีมุมหนังสือใน
ช่วงเวลาเลอื กเสรี การเปลีย่ นแปลงอารมณ์ ทัศนคติ เปน็ ต้น ข้อมลู เหล่านีจ้ ะสะท้อนภาพของความงอกงามใน
เด็กแต่ละคนได้ชัดเจนกว่าการประเมินโดยการให้เกรด ผู้สอนจะต้องช้ีแจงให้ผู้ปกครองทราบถึงท่ีมาของการ
เลือกช้ินงานแต่ละช้ินงานท่ีสะสมในแฟ้มผลงาน เช่น เป็นชิ้นงานท่ีดีท่ีสุดในช่วงระยะเวลาท่ีเลือกช้ินงานนั้น
WATMUANG ๑๐๒
เป็นชิ้นงานที่แสดงความต่อเน่ืองของงานโครงการ ฯลฯ ผู้สอนควรเชิญผู้ปกครองมามีส่วนร่วมในการคัดสรร
ชน้ิ งานทบ่ี รรจลุ งในแฟ้มผลงานของเด็ก
๕. กำรประเมนิ กำรเจรญิ เตบิ โตของเด็ก
ตวั ชีข้ องการเจรญิ เตบิ โตในเด็กทีใ่ ชท้ วั่ ๆไป ได้แก่ น้าหนักส่วนสงู เสน้ รอบศรี ษะ ฟัน และการ
เจริญเติบโตของกระดูก แนวทางประเมินการเจริญเติบโต มดี งั น้ี
๕.๑ กำรประเมินกำรเจรญิ เตบิ โต โดยการชงั่ นา้ หนกั และวัดส่วนสงู เด็กแลว้ นาไปเปรยี บเทียบ
กับเกณฑป์ กตใิ นกราฟแสดงน้าหนกั ตามเกณฑ์อายุกระทรวงสาธารณสขุ ซ่งึ ใช้สาหรบั ติดตามการเจริญเตบิ โต
โดยรวม วธิ กี ารใชก้ ราฟมขี นั้ ตอน ดังน้ี
เมื่อชั่งน้าหนักเด็กแล้ว นาน้าหนักมาจุดเคร่ืองหมายกากบาทลงบนกราฟ และอ่านการเจริญเติบโต
ของเดก็ โดยดเู คร่อื งหมายกากบาทว่าอยใู่ นแถบสีใด อา่ นข้อความบนแถบสนี ั้น ซงึ่ แบง่ ภาวะโภชนาการเป็น ๓
กลุ่มคือ น้าหนักที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ น้าหนักมากเกนเกณฑ์ น้าหนักน้อยกว่าเกณฑ์ ข้อควรระวังสาหรับ
ผู้ปกครองและผู้สอนคือ ควรดูแลน้าหนักเด็กอย่างให้เบี่ยงเบนออกจากเส้นประเมินมิเช่นน้ันเด็กมีโอกาส
น้าหนักมากเกนิ เกณฑ์หรือนา้ หนักนอ้ ยกว่าเกณฑไ์ ด้
ข้อควรคำนงึ ในกำรประเมินกำรเจริญเติบโตของเด็ก
-เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกันในด้านการเจริญเติบโต บางคนรูปร่างอ้วน บางคนช่วงคร่ึงหลังของ
ขวบปีแรก น้าหนักเด็กจะข้ึนชา้ เนอ่ื งจากห่วงเล่นมากข้ึนและความอยากอาหารลดลงร่างใหญ่ บางคนรา่ งเล็ก
-ภาวะโภชนาการเป็นตัวสาคัญทีเ่ กี่ยวข้องกับขนาดของรูปรา่ ง แตไ่ มใ่ ช่สาเหตุเดยี ว
-กรรมพนั ธ์ุ เดก็ อาจมรี ูปรา่ งเหมือนพ่อแม่คนใดคนหนึ่ง ถา้ พอ่ หรือแม่เตีย้ ลกู อาจเตยี้ และพวกนี้อาจมี
นา้ หนักต่ากว่าเกณฑ์เฉลี่ยไดแ้ ละมกั จะเป็นเดก็ ท่ีทานอาหารไดน้ ้อย
๕.๒ กำรตรวจสขุ ภำพอนำมยั เป็นตวั ชีว้ ัดคุณภาพของเดก็ โดยพจิ ารณาความสะอาดสง่ิ ปกติของ
ร่างกายที่จะส่งผลต่อการดาเนินชวี ิตและการเจริญเติบโตของเด็ก ซ่ึงจะประเมินสุขภาพอนามัย ๙ รายการคือ
ผมและศีรษะ หูและใบหู มือและเล็บมือ เท้าและเล็บเท้า ปาก ล้ินและฟัน จมูก ตา ผิวหนังและใบหน้า และ
เส้อื ผ้า
๒.๓ เกณฑ์กำรประเมินพฒั นำกำร
การสรา้ งเกณฑห์ รือพัฒนาเกณฑห์ รือกาหนดเกณฑ์การประเมินพฒั นาการของเด็กปฐมวัย ผู้สอนควร
ให้ความสนใจในส่วนทเ่ี กย่ี วข้อง ดังน้ี
๑. การวางแผนการสงั เกตพฤติกรรมของเด็กอยา่ งเปน็ ระบบ เชน่ จะสังเกตเด็กคนใดบ้างในแต่ละวัน
กาหนดพฤตกิ รรมที่สงั เกตให้ชดั เจน จัดทาตารางกาหนดการสงั เกตเด็กเปน็ รายบุคคล รายกลุ่ม ผู้สอนตอ้ ง
เลอื กสรรพฤตกิ รรมทตี่ รงกับระดบั พฒั นาการของเด็กคนนั้นจริงๆ
๒. ในกรณีที่หอ้ งเรยี นมีนกั เรียนจานวนมาก ผ้สู อนอาจเลือกสงั เกตเฉพาะเด็กท่ีทาไดด้ แี ล้วและเด็กที่
ยงั ทาไม่ได้ ส่วนเดก็ ปานกลางใหถ้ ือวา่ ทาได้ไปตามกจิ กรรม
๓. ผ้สู อนต้องสงั เกตจากพฤติกรรม คาพดู การปฏบิ ตั ิตามขั้นตอนในระหวา่ งทางาน/กจิ กรรม และ
คุณภาพของผลงาน/ชน้ิ งาน ร่องรอยทน่ี ามาใชพ้ จิ ารณาตัดสินผลของการทางานหรอื การปฏิบัติ ตวั อยา่ งเช่น
๑) เวลาทใ่ี ช้ในการทากิจกรรม/ทางาน ถ้าเด็กไม่ชอบ ไม่ชานาญจะใช้เวลามาก มีท่าทาง
อิดออด ไมก่ ลา้ ไมเ่ ต็มใจทางาน
๒) ความต่อเนื่อง ถ้าเดก็ ยงั มีการหยุดชะงัก ลงั เล ทางานไม่ต่อเน่ือง แสดงว่าเดก็ ยังไม่
ชานาญหรือยงั ไมพ่ ร้อม
WATMUANG ๑๐๓
๓) ความสัมพนั ธ์ ถา้ การทางาน/ปฏิบัตนิ ั้นๆมีความสมั พันธต์ อ่ เน่อื ง ไม่ราบร่ืน ทา่ ทางมอื และ
เทา้ ไมส่ ัมพันธก์ นั แสดงวา่ เด็กยงั ไม่ชานาญหรือยังไมพ่ ร้อม ทา่ ที่แสดงออกจึงไม่สงา่ งาม
๔) ความภมู ใิ จ ถา้ เดก็ ยังไมช่ ่ืนชม กจ็ ะทางานเพียงใหแ้ ลว้ เสรจ็ อยา่ งรวดเร็ว ไมม่ คี วามภูมใิ จ
ในการทางาน ผลงานจึงไมป่ ระณตี
๒.๓.๑ ระดับคณุ ภำพผลกำรประเมินพฒั นำกำรเด็ก
การให้ระดับคุณภาพผลการประเมินพัฒนาการของเด็กท้ังในระดับชั้นเรียนและระดับสถานศึกษาควร
กาหนดในทิศทางหรอื รูปแบบเดยี วกัน สถานศึกษาสามารถใหร้ ะดับคณุ ภาพผลการประเมนิ พฒั นาการของเด็ก
ท่ีสะท้อนมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ตัวบ่งชี้ สภาพท่ีพึงประสงค์ หรือพฤติกรรมท่ีจะประเมิน เป็น
ระบบตวั เลข เช่น ๑ หรอื ๒ หรือ ๓ หรือเปน็ ระบบที่ใช้คำสำคัญ เชน่ พอใช้ ควรส่งเสริม ตามทส่ี ถานศกึ ษา
กาหนดตวั อย่างเช่น
ระบบตวั เลข ระบบที่ใชค้ ำสำคญั
๓ ดี
๒ พอใช้
๑ ควรส่งเสรมิ
สถานศกึ ษาอาจกาหนดระดับคุณภาพของการแสดงออกในพฤติกรรม เปน็ ๓ ระดับ ดงั น้ี
ระดับคุณภาพ ระบบท่ีใชค้ าสาคัญ
๑ หรอื ควรส่งเสริม เด็กมีความลังเล ไม่แน่ใจ ไม่ยอมปฏิบัติกิจกรรม
ทงั้ น้ี เนื่องจากเดก็ ยังไม่พร้อม
ยังมั่นใจ และกลัวไม่ปลอดภัย ผู้สอนต้องยั่วยุหรือ
แสดงให้เห็นเปน็ ตัวอย่างหรอื
ต้องคอยอยู่ใกล้ๆ ค่อยๆให้เด็กทาทีละข้ันตอน
พรอ้ มต้องให้กาลังใจ
๒ หรือ พอใช้ เดก็ แสดงได้เอง แตย่ งั ไม่คล่อง เด็กกลา้ ทามากขน้ึ
ผสู้ อนกระตุ้นน้อยลง ผู้สอนต้องคอยแก้ไขในบางครงั้
หรือคอยใหก้ าลังใจใหเ้ ดก็ ฝึกปฏิบัตมิ ากข้นึ
๓ หรือ ดี เดก็ แสดงได้อย่างชานาญ คล่องแคล่ว และภมู ใิ จ
เด็กจะแสดงไดเ้ องโดยไมต่ ้องกระตุน้ มีความสัมพนั ธ์
ทีด่ ี
ตวั อย่างคาอธบิ ายคุณภาพ
พฒั นาการดา้ นร่างกาย : สุขภาพอนามัย พฒั นาการด้านรา่ งกาย : กระโดดเท้าเดยี ว
ระดับคุณภาพ คาอธิบายคุณภาพ ระดบั คุณภาพ คาอธิบายคุณภาพ
๑ หรอื ควรสง่ เสริม ส่งเสรมิ ความสะอาด ๑ หรอื ควรส่งเสริม ทาได้แตไ่ ม่ถกู ต้อง
๒ หรอื พอใช้ สะอาดพอใช้ ๒ หรือ พอใช้ ทาได้ถกู ต้อง
แตไ่ ม่คลอ่ งแคล่ว
๓ หรอื ดี สะอาด ๓ หรือ ดี ทาได้ถกู ต้อง และ
คลอ่ งแคลว่
WATMUANG ๑๐๔
พฒั นาการด้านอารมณ์ : ประหยดั
ระดบั คุณภาพ คาอธิบายคุณภาพ
๑ หรอื ควรส่งเสริม ใชส้ ่ิงของเคร่อื งใชเ้ กินความจาเป็น
๒ หรอื พอใช้ ใช้สง่ิ ของเครื่องใช้อยา่ งประหยดั เป็นบางครงั้
๓ หรอื ดี ใชส้ ิ่งของเครื่องใช้อย่างประหยดั ตามความจาเปน็ ทกุ คร้งั
ดา้ นสงั คม : ปฏิบัติตามข้อตกลง
ระดบั คุณภาพ คาอธบิ ายคุณภาพ
๑ หรอื ควรส่งเสริม ไมป่ ฏิบัตติ ามขอ้ ตกลง
๒ หรอื พอใช้ ปฏิบัติตามข้อตกลง โดยมีผชู้ นี้ าหรือกระต้นุ
๓ หรือ ดี ปฏิบตั ติ ามข้อตกลงได้ด้วยตนเอง
พัฒนาการดา้ นสตปิ ญั ญา : เขยี นชื่อตนเองตามแบบ
ระดบั คุณภาพ คาอธิบายคุณภาพ
๑ หรอื ควรสง่ เสริม เขยี นชอื่ ตนเองไม่ได้ หรอื เขยี นเปน็ สัญลักษณ์ท่ไี ม่เป็นตวั อักษร
๒ หรอื พอใช้ เขียนชอ่ื ตนเองได้ มีอักษรบางตวั กลบั หวั กลบั ดา้ นหรือสลับที่
๓ หรอื ดี เขียนช่ือเองได้ ตวั อักษรไม่กลับหัว ไม่กลบั ด้านไมส่ ลับที่
๒.๓.๒ กำรสรปุ ผลกำรประเมินพัฒนำกำรเด็ก
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย โรงเรียนวัดม่วง ปีการศึกษา๒๕๖๓ (ตามหลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช
๒๕๖๐)กาหนดเวลาเรียนสาหรับเด็กปฐมวัยต่อปีการศึกษาไม่น้อยกว่า ๑๘๐ วัน สถานศึกษาบริหารจัดการ
เวลาที่ได้รับน้ีให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาเด็กอย่างรอบด้านและสมดุล ผู้สอนมีเวลาในการพัฒนาเด็ก
และเติมเต็มศักยภาพของแด็ก เพื่อให้การจัดประสบการณ์การเรียนรู้มีประสิทธิภาพ ผู้สอนต้องตรวจสอบ
พฤติกรรมท่ีแสดงพัฒนาการของเด็กต่อเน่ืองมีการประเมินซ้าพฤติกรรมนั้นๆอย่างน้อย ๑ คร้ังต่อภาคเรียน
เพื่อยืนยันความเชื่อมั่นของผลการประเมินพฤติกรรมนั้นๆ และนาผลไปเป็นข้อมูลในการสรุปการประเมิน
สภาพท่ีพึงประสงค์ของเด็กในแต่ละสภาพที่พึงประสงค์ นาไปสรุปการประเมินตัวบ่งชี้และมาตรฐาน
คณุ ลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ตามลาดับอนึ่ง การสรปุ ระดบั คุณภาพของการประเมนิ พัฒนาการเด็ก วธิ กี ารทางสถิติ
ท่ีเหมาะสมและสะดวกไม่ยุ่งยากสาหรับผู้สอน คือการใช้ฐานนิยม (Mode) ในบางคร้ังพฤติกรรม หรือสภาพท่ี
พึงประสงค์หรือตัวบ่งชี้นิยมมากว่า ๑ ฐานนิยม ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษา กล่าวคือ เมื่อมีระดับ
คุณภาพซ้ามากกว่า ๑ ระดบั สถานศกึ ษาอาจตัดสินสรุปผลการประเมินพัฒนาการบนพ้นื ฐาน หลกั พฒั นาการ
และการเตรียมความพร้อม หากเป็นภาคเรียนท่ี ๑ สถานศึกษาควรเลือกตัดสินใจใชฐ้ านนยิ มที่มีระดับคุณภาพ
ต่ากว่าเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาเด็กให้พร้อมมากข้ึน หากเป็นภาคเรียนที่ ๒ สถานศึกษาควรเลือก
ตดั สินใจใชฐ้ านนิยมที่มีระดับคณุ ภาพสูงกว่าเพื่อตัดสนิ และการสง่ ต่อเดก็ ในระดับชัน้ ที่สูงขนึ้
๒.๓.๓ กำรเลือ่ นช้นั อนุบำลและเกณฑก์ ำรจบกำรศกึ ษำระดบั ปฐมวัย
เมื่อสิน้ ปีการศกึ ษา เดก็ จะได้รบั การเลือ่ นชน้ั โดยเด็กต้องไดร้ ับการประเมนิ มาตรฐานคุณลกั ษณะท่พี ึง
ประสงค์ทั้ง ๑๒ ข้อ ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย เพื่อเป็นข้อมูลในการส่งต่อยอดการพัฒนาให้กับเด็กใน
ระดับสงู ขึ้นต่อไป และเน่อื งจากการศึกษาระดบั อนุบาลเปน็ การจัดการศึกษาขน้ั พนื้ ฐานที่ไม่นับเปน็ การศึกษา
ภาคบังคับ จึงไม่มีการกาหนดเกณฑ์การจบช้ันอนุบาล การเทียบโนการเรียน และเกณฑ์การเรียนซ้าช้ัน และ
หากเด็กมีแนวโน้มว่าจะมีปัญหาต่อการเรียนรู้ในระดับท่ีสูงข้ึน สถานศึกษาอาจตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณา
WATMUANG ๑๐๕
ปัญหา และประสานกบั หน่วยงานท่ีเกยี่ วข้องในการให้ความช่วยเหลือ เชน่ เจา้ หน้าท่สี าธารณสุขสง่ เสรมิ ตาบล
นักจิตวิทยา ฯลฯ เขา้ รว่ มดาเนินงานแกป้ ญั หาได้
อยา่ งไรกต็ าม ทกั ษะท่ีนาไปสู่ความพร้อมในการเรียนรู้ที่สามารถใชเ้ ปน็ รอยเชื่อมต่อระหว่างชน้ั
อนุบาลกับช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี ๑ ท่คี วรพจิ ารณามีทักษะดังนี้
๑. ทักษะการช่วยเหลอื ตนเอง ไดแ้ ก่ ใชห้ อ้ งน้าห้องส้วมได้ด้วยตนเอง แตง่ กายได้เอง เก็บของเขา้ ท่ี
เม่อื เลน่ เสรจ็ และชว่ ยทาความสะอาด รูจ้ ักรอ้ งขอให้ช่วยเม่ือจาเป็น
๒. ทกั ษะการใชก้ ล้ามเน้ือใหญ่ ไดแ้ ก่ ว่งิ ได้อย่างราบรืน่ วงิ่ ก้าวกระโดดได้ กระด้วยสองขาพน้ จากพืน้
ถือจบั ขวา้ ง กระดอนลูกบอลได้
๓. ทักษะการใชก้ ล้ามเน้ือเลก็ ไดแ้ ก่ ใชม้ อื หยิบจับอุปกรณ์วาดภาพและเขียน วาดภาพคนมีแขน ขา
และสว่ นต่างๆของร่างกาย ตัดตามรอยเส้นและรูปตา่ งๆ เขยี นตามแบบอย่างได้
๔. ทกั ษะภาษาการรหู้ นงั สอื ไดแ้ ก่ พดู ให้ผ้อู น่ื เขา้ ใจได้ ฟงั และปฏิบัติตามคาช้ีแจงงงา่ ยๆ ฟังเรื่องราว
และคาคล้องจองต่างๆอย่างสนใจ เข้าร่วมฟังสนทนาอภิปรายในเรื่องต่างๆ รู้จักผลัดกันพูดโต้ตอบ เล่าเรื่อง
และทบทวนเรื่องราวหรือประสบการณ์ต่างๆ ตามลาดับเหตุการณ์เล่าเร่ืองจากหนังสือภาพอย่างเป็นเหตุเป็น
ผล อ่านหรอื จดจาคาบางคาทมี่ ีความหมายตอ่ ตนเอง เขียนชือ่ ตนเองได้ เขียนคาท่มี คี วามหมายต่อตนเอง
๕. ทกั ษะการคิด ได้แก่ แลกเปลี่ยนความคิดและให้เหตุผลได้ จดจาภาพและวสั ดุท่ีเหมือนและต่างกัน
ได้ใช้คาใหม่ๆในการแสดงความคิด ความรู้สึก ถามและตอบคาถามเก่ียวกับเรื่องที่ฟังเปรียบเทียบจานวนของ
วัตถุ ๒กลุ่ม โดยใช้คา “มากกว่า” “น้อยกว่า” “เท่ากัน” อธิบายเหตกุ ารณ์/เวลา ตามลาดับอย่างถูกต้อง รู้จัก
เช่ือมโยงเวลากับกิจวตั รประจาวนั
๖. ทักษะทางสังคมและอารมณ์ ได้แก่ ปรับตัวตามสภาพการณ์ ใช้คาพดู เพ่อื แกไ้ ขข้อขัดแยง้ นัง่ ไดน้ าน
๕-๑๐ นาที เพือ่ ฟงั เรือ่ งราวหรอื ทากจิ กรรม ทางานจนสาเร็จ ร่วมมือกับคนอ่ืนและรูจ้ กั ผลดั กันเลน่ ควบคุม
อารมณ์ตนเองได้เม่อื กังวลหรือตน่ื เตน้ หยุดเล่นและทาในส่ิงทผ่ี ู้ใหญต่ อ้ งการให้ทาได้ ภูมใิ จในความสาเรจ็ ของ
ตนเอง
๓. กำรรำยงำนผลกำรประเมินพฒั นำกำร
การรายงานผลการประเมนิ พัฒนาการเป็นการสื่อสารให้พ่อแม่ ผูป้ กครองได้รับทราบความกา้ วหนา้ ใน
การเรียนรู้ของเด็ก ซึง่ สถานศกึ ษาตอ้ งสรุปผลการประเมินพัฒนาการ และจัดทาเอกสารรายงานใหผ้ ปู้ กครอง
ทราบเป็นระยะๆ หรืออยา่ งนอ้ ยภาคเรียนละ ๑ คร้ัง
การรายงานผลการประเมินพัฒนาการสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพที่แตกต่างไปตามพฤติกรรม
ที่แสดงออกถึงพัฒนาการแต่ละด้าน ที่สะท้อนมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ท้ัง ๑๒ ข้อ ตามหลักสูตร
การศึกษาปฐมวยั
๓.๑ จดุ ม่งุ หมำยกำรรำยงำนผลกำรประเมินพัฒนำกำร
๑) เพ่อื ใหผ้ ู้เก่ยี วข้อง พ่อ แม่ และผู้ปกครองใช้เป็นขอ้ มลู ในการปรบั ปรงุ แกไ้ ข ส่งเสรมิ และ
พฒั นาการเรยี นรู้ของเดก็
๒) เพื่อให้ผ้สู อนใชเ้ ปน็ ข้อมูลในการวางแผนการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้
๓) เพ่ือเปน็ ข้อมูลสาหรบั สถานศึกษา เขตพ้นื ท่ีการศกึ ษา และหน่วยงานตน้ สงั กัดใชป้ ระกอบในการ
กาหนดนโยบายวางแผนในการพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา
๓.๒ ข้อมลู ในกำรรำยงำนผลกำรประเมนิ พฒั นำกำร
๓.๒.๑ ข้อมูลระดบั ชนั้ เรยี น ประกอบด้วย เวลาเรียนแบบบนั ทกึ การประเมนิ พฒั นาการตาม
WATMUANG ๑๐๖
หน่วยการจัดประสบการณ์ สมุดบันทึกผลการประเมินพัฒนาการประจาช้ัน และสมุดรายงานประจาตัว
นักเรียนและสารนิทัศน์ท่ีสะท้อนการเรียนรู้ของเด็ก เป็นข้อมูลสาหรับรายงานให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่
ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้สอน และผู้ปกครอง ได้รับทราบความก้าวหน้า ความสาเร็จในการเรียนรู้ของเด็กเพ่ือ
นาไปในการวางแผนกาหนดเปา้ หมายและวธิ กี ารในการพัฒนาเด็ก
๓.๒.๒ ข้อมูลระดับสถำนศึกษำ ประกอบด้วย ผลการประเมินมาตรฐานคุณลกั ษณะที่พึงประสงคท์ ง้ั
๑๒ ข้อตามหลกั สตู ร เพ่ือใชเ้ ป็นขอ้ มลู และสารสนเทศในการพัฒนาการจดั ประสบการณ์การเรียนการสอนและ
คุณภาพของเด็ก ให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์และแจ้งให้ผู้ปกครอง และผู้เกี่ยวข้องได้รับ
ทราบข้อมูล โดยผู้มีหน้าที่รับผิดชอบแต่ละฝ่ายนาไปปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาเด็กให้เกิดพัฒนาการอย่าง
ถูกตอ้ ง เหมาะสม รวมท้ังนาไปจดั ทาเอกสารหลักฐานแสดงพัฒนาการของผู้เรยี น
๓.๒.๓ ข้อมูลระดับเขตพ้ืนท่ีกำรศึกษำ ได้แก่ ผลการประเมินมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ท้ัง
๑๒ ข้อ ตามหลักสูตรเป็นรายสถานศึกษา เพื่อเป็นข้อมูลที่ศึกษานิเทศก์/ผู้เก่ียวข้องใชว้ างแผนและดาเนินการ
พัฒนาคุณภาพการศึกษาปฐมวัยของสถานศึกษาในเขตพ้ืนที่การศึกษา เพ่ือให้เกิดการยกระดับคุณภาพเด็ก
และมาตรฐานการศกึ ษา
๓.๓ ลักษณะข้อมลู สำหรบั กำรรำยงำนผลกำรประเมินพฒั นำกำร
การรายงานผลการประเมินพัฒนาการ สถานศึกษาสามารถเลือกลักษณะข้อมูลสาหรับการรายงานได้
หลายรูปแบบให้เหมาะสมกับวิธีการรายงานและสอดคล้องกับการให้ระดับผลการประเมิน พัฒนาการโดย
คานึงถึงประสิทธภิ าพของการรายงานและการนาข้อมลู ไปใช้ประโยชนข์ องผูร้ ายงานแต่ละฝา่ ยลักษณะข้อมูลมี
รูปแบบดังนี้
๓.๓.๑ รายงานเป็นตัวเลข หรือคาท่เี ปน็ ตัวแทนระดับคณุ ภาพพฒั นาการของเด็กท่เี กิดจากการ
ประมวลผล สรปุ ตัดสินขอ้ มลู ผลการประเมนิ พฒั นาการของเด็ก ไดแ้ ก่
- ระดับผลการประเมินพัฒนาการมี ๓ ระดับ คือ ๓ ๒ ๑
- ผลการประเมินคณุ ภาพ “ด”ี “พอใช้” และ “ควรส่งเสริม”
๓.๓.๒ รายงานโดยใช้สถิติ เป็นรายงานจากข้อมูลท่ีเป็นตัวเลข หรือข้อความให้เป็นภาพแผนภูมิหรือ
เสน้ พัฒนาการ ซงึ่ จะแสดงให้เห็นพัฒนาการความก้าวหน้าของเด็กวา่ ดีขน้ึ หรอื ควรได้รับการพฒั นาอย่างไร
เม่ือเวลาเปล่ียนแปลงไป
๓.๓.๓ รายงานเป็นข้อความ เป็นการบรรยายพฤติกรรมหรือคุณภาพท่ีผู้สอนสังเกตพบ เพ่ือรายงาน
ใหท้ ราบวา่ ผู้เก่ียวข้อง พ่อ แม่ และผปู้ กครองทราบวา่ เด็กมคี วามสามารถ มพี ฤติกรรมตามคณุ ลักษณะท่ี
พงึ ประสงคต์ ามหลกั สูตรอย่างไร เชน่
- เดก็ รับลกู บอลทีก่ ระดอนจากพื้นด้วยมอื ทั้ง ๒ ข้างไดโ้ ดยไม่ใชล้ าตัวชว่ ยและลกู บอลไมต่ กพ้นื
- เด็กแสดงสีหนา้ ทา่ ทางสนใจ และมีความสุขขณะทางานทุกช่วงกิจกรรม
- เดก็ เล่นและทางานคนเดยี วเป็นสว่ นใหญ่
- เดก็ จบั หนังสอื ไม่กลับหวั เปิด และทาท่าทางอ่านหนงั สือและเลา่ เรอ่ื งได้
๓.๔ เป้ำหมำยของกำรรำยงำน
การดาเนินการจัดการศึกษาปฐมวยั ประกอบดว้ ย บุคลากรหลายฝา่ ยรว่ มมือประสานงานกนั พัฒนา
เด็กทางตรงและทางอ้อม ให้มีพฒั นาการ ทักษะ ความสามารถ คุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ มและคุณลกั ษณะที่
พึงประสงคโ์ ดยผมู้ สี ่วนร่วมเก่ียวขอ้ งควรไดร้ บั การายงานผลการประเมนิ พัฒนาการของเดก็ เพ่ือใช้เปน็ ข้อมลู ใน
การดาเนนิ งาน ดังนี้
WATMUANG ๑๐๗
กลมุ่ เปา้ หมาย การใชข้ ้อมูล
-วางแผนและดาเนนิ การปรบั ปรุงแกไ้ ขและพฒั นาเด็ก
ผ้สู อน -ปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาการจัดการเรียนรู้
ผูบ้ ริหารสถานศึกษา -ส่งเสรมิ พัฒนากระบวนการจัดการเรียนร้รู ะดบั ปฐมวัย
ของสถานศกึ ษา
พอ่ แม่ และผปู้ กครอง -รับทราบผลการประเมนิ พฒั นาการของเด็ก
-ปรับปรงุ แก้ไขและพฒั นาการเรียนรขู้ องเด็ก รวมทง้ั
การดแู ลสขุ ภาพอนามยั
รา่ งกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม และพฤตกิ รรมต่างๆของ
เด็ก
คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพืน้ ฐาน -พฒั นาแนวทางการจดั การศึกษาปฐมวยั สถานศกึ ษา
สานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษา/หน่วยงานต้นสงั กดั -ยกระดับและพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษาปฐมวัยของ
สถานศึกษาในเขตพืน้ ท่ีการศึกษา นเิ ทศ กากับ ตดิ ตาม
ประเมินผลและให้ความชว่ ยเหลอื การพัฒนาคณุ ภาพ
การศึกษาปฐมวัยของสถานศึกษาในสงั กดั
๓.๕ วธิ ีกำรรำยงำนผลกำรประเมนิ พัฒนำกำร
การรายงานผลการประเมินพัฒนาการใหผ้ ู้เกย่ี วข้องรับทราบ สามารถดาเนนิ การ ได้ดังน้ี
๓.๕.๑ กำรรำยงำนผลกำรประเมนิ พฒั นำกำรในดอกสำรหลักฐำนกำรศกึ ษำ ขอ้ มลู จากแบบ
รายงาน สามารถใช้อ้างอิง ตรวจสอบ และรับรองผลพฒั นาการของเด็ก เช่น
- แบบบนั ทึกผลการประเมินพัฒนาการประจาชน้ั
- แฟม้ สะสมงานของเด็กรายบคุ คล
- สมดุ รายงานประจาตัวนกั เรียน
- สมดุ บนั ทกึ สุขภาพเดก็ ฯลฯ
๓.๕.๒ กำรรำยงำนคณุ ภำพกำรศึกษำปฐมวัยให้ผูเ้ ก่ียวข้องทรำบ สามารถรายงานได้หลายวธิ ี เชน่
- รายงานคุณภาพการศึกษาปฐมวยั ประจาปี
- วารสาร/จุลสารของสถานศึกษา
-จดหมายส่วนตัว
-การใหค้ าปรึกษา
-การให้พบครทู ี่ปรกึ ษาหรอื การประชุมเครือข่ายผู้ปกครอง
- การให้ขอ้ มูลทางอนิ เตอรเ์ น็ตผ่านเวบ็ ไซต์ของสถานศึกษา
สรปุ ผลกำรประเมนิ จดั ทำข้อมูลและนำผลกำรประเมนิ ไปใช้พัฒนำเด็ก
สาหรบั วธิ กี ารประเมนิ ท่ีเหมาะสมและควรใช้กบั เด็กอายุ ๓-๖ ปี ไดแ้ ก่ การสังเกต การบันทึกพฤตกิ รรม
กาสนทนากับเด็ก การสมั ภาษณ์ การวิเคราะหข์ ้อมูลจากผลงานเด็กที่เก็บอย่างมีระบบ การประเมินพัฒนาการ
เด็กของผู้สอนระดบั ปฐมวยั จะมีขั้นตอนสาคัญๆคล้ายคลึงกบั การประเมินการศึกษาทัว่ ไป ขนั้ ตอนต่างๆอาจ
ปรบั ลด หรอื เพ่ิมได้ตามความเหมาะสมกับบรบิ ทของสถานศกึ ษาและสอดคล้องกับการจดั ประสบการณ์ หรอื
อาจสลับลาดบั ก่อนหลงั ได้บ้าง ข้ันการประเมนิ พฒั นาการเด็กปฐมวัย โดยสรุปควรมี ๖ ขน้ั ตอน ดังนี้
WATMUANG ๑๐๘
ข้ันตอนที่ ๑ การวเิ คราะห์มาตรฐานคุณลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ ตัวบ่งช้ี และสภาพทพี่ ึงประสงค์ ตวั บ่งชี้
และสภาพท่ีพึงประสงค์ที่สัมพันธ์กับหน่วยการจัดประสบการณ์ต่างๆ อันจะเป็นประโยชน์ในการดาเนินงาน
การประเมนิ พฒั นาการอยา่ งเปน็ ระบบและครอบคลมุ ทว่ั ถงึ
ขั้นตอนที่ ๒ การกาหนดส่ิงท่ีจะประเมินและวิธีการประเมิน ในข้ันตอนน้ีสิ่งที่ผู้สอนต้องทาคือ การ
กาหนดการประเด็นการประเมิน ได้แก่ สภาพท่ีพึงประสงค์ในแต่ละวัยของเด็กท่ีเกิดจากการจัดประสบการณ์
ในแต่การจัดประสบการณ์ มากาหนดเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้ จุดประสงค์ย่อยของ
กิจกรรมตามตารางประจาวัน ๖กิจกรรมหลัก หรือตามรูปแบบการจัดประสบการณ์ที่กาหนด ผู้สอนต้อง
วางแผนและออกแบบวิธีการประเมินให้เหมาะสมกับกิจกรรม บางคร้ังอาจใช้การสังเกต พฤติกรรม การ
ประเมินผลงาน/ชิ้นงาน การพูดคุยหรือสัมภาษณ์เด็ก เป็นต้น ท้ังนี้วิธีการท่ีผู้สอนเลือกใช้ต้องมีความหมาย
หลากหลาย หรอื มากว่า ๒ วิธีการ
การบันทกึ ผลการประเมนิ พัฒนาการตามสภาพท่ีพึงประสงคข์ องแต่ละหนว่ ยการจัดประสบการณ์นน้ั
ผสู้ อนเป็นผู้ประเมินเดก็ เปน็ รายบุคคลหรือรายกลุม่ อาจให้ระดบั คุณภาพ ๓ หรอื ๒ หรอื ๑ หรือให้คาสาคัญ
ท่ีเป็นคุณภาพ เช่น ดี พอใช้ และควรส่งเสริม ก็ได้ ท้ังนี้ควรเป็นระบบเดียวกันเพ่ือสะดวกในการวิเคราะห์
ข้อมูลและแปลผลการประเมินพัฒนาการเด็ก ในระยะต้นควรเป็นการประเมินเพื่อความก้าวหน้าไม่ควรเป็น
การประเมินเพ่ือตัดสิ้นพัฒนาการเด็ก หากผลการประเมินพบว่า เด็กอยู่ในระดับ ๑ พฤติกรรมหน่ึงพฤติกรรม
ใดผสู้ อนตอ้ งทาความเข้าใจว่าเดก็ คนนนั้ มีพฒั นาการเรว็ หรือช้า ผสู้ อนจะต้องจดั ประสบการณ์สง่ เสรมิ ในหน่วย
การจัดประสบการณ์ต่อไปอย่างไร ดังน้ัน การเก็บรวบรวมข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการในแต่ละหน่วยการ
จัดประสบการณ์ของผู้สอน จึงเป็น การสะสมหรือรวบรวมข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการของเด็กรายบุคคล
หรือรายกลุ่มน่ันเอง เมื่อผู้สอนจัดประสบการณ์ครบทุกหน่วยการจัดประสบการณ์ตามที่วิเคราะห์สาระการ
เรยี นรรู้ ายปขี องแตล่ ะภาคเรียน
ขัน้ ตอนที่ ๕ การวิเคราะห์ข้อมูลและแปลผล ในข้นั ตอนนี้ ผสู้ อนทเี่ ปน็ ผปู้ ระเมิน ควรดาเนินการ ดงั นี้
๑) การวิเคราะห์และแปลผลการประเมินพัฒนาการเม่ือส้ินสุดหน่วยการจัดประสบการณ์ผู้สอนจะ
บันทึกผลการประเมินพัฒนาการของเด็กลงในแบบบันทึกผลการสังเกตพฤติกรรมตามสภาพที่พึงประสงค์ของ
หน่วยการจดั ประสบการณห์ นว่ ยที ๑ จนถงึ หน่วยสุดท้ายของภาคเรียน
๒) การวิเคราะห์และแปลผลการประเมินประจาภาคเรียนหรือภาคเรียนท่ี ๒ เม่ือส้ินปีการศึกษา
ผู้สอนจะนาผลการประเมินพัฒนาการสะสมท่ีรวบรวมไว้จากทุกหน่วยการเรียนรู้สรุปลงในสมุดบันทึกผล
ประเมนิ พัฒนาการประจาชนั้ และสรปุ ผลพฒั นาการรายด้านทงั้ ชน้ั เรียน
ขั้นตอนที่ ๖ การสรุปรายงานผลและการนาข้อมูลไปใช้ เป็นขน้ั ตอนท่ีผสู้ อนซึง่ เปน็ ครูประจาชนั้ จะ
สรุปผลเพ่ือตัดสินพัฒนาการของเด็กปฐมวัยเป็นรายตัวบ่งช้ีรายมาตรฐานและพัฒนาการท้ัง ๔ ด้าน เพ่ือ
นาเสนอผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติการตัดสิน และแจ้งคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พร้อมกับครู
ประจาช้ันจะจัดทารายงานผลการประเมินประจาตัวนักเรียน นาข้อมูลไปใช้สรุปผลการประเมินคุณภาพเด็ก
ของระบบประกนั คุณภาพภายในของสถานศึกษาเม่ือสิน้ ภาคเรยี นที่ ๒ หรือเมอื่ ส้ินปกี ารศึกษา
รำยละเอยี ดกำรดำเนินงำนแต่ละขั้นตอน มีดงั นี้
ข้นั ตอนท่ี ๑ การวเิ คราะห์มาตรฐาน ตัวบ่งช้ี และสภาพทพี่ ึงประสงค์ตามหลักสูตรสถานศึกษา โดยนาข้อมลู
จากการวิเคราะหก์ ารเรียนร้รู ายปีในหลกั สูตรสถานศึกษาปฐมวยั มาตรวจสอบความถ่ีของตวั บง่ ช้ี และสภาพที่
พงึ ประสงคว์ า่ เกดิ ขึน้ กับเด็กตามหน่วยการจัดประสบการณ์เรยี นรใู้ ดบา้ ง
ขน้ั ตอนที่ ๑.๑ การวิเคราะห์สาระการเรยี นรู้รายปีของโรงเรยี น
WATMUANG ๑๐๙
ข้นั ตอนที่ ๑.๒ ตรวจสอบความถีเ่ พื่อตรวจสอบจานวนครั้งของตวั บง่ ชี้ สภาพที่พึงประสงค์ว่าวางแผน
ให้เกิดพัฒนาการในหนว่ ยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ใดบา้ งจากหลกั สูตรสถานศึกษา
ข้ันตอนที่ ๒ กาหนดส่งิ ทีป่ ระเมินและวธิ กี ารประเมนิ โดยกาหนดสภาพที่พึงประสงคท์ ี่วเิ คราะห์ไวใ้ นขนั้ ตอนท่ี
๑.๒ มากาหนดจดุ ประสงค์การเรยี นรใู้ น ๖ กจิ กรรมหลัก
๒.๑ การเขียนหรือกาหนดจดุ ประสงคก์ ารเรียนของหนว่ ยการจดั ประสบการณ์
๒.๒ การวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ข้ันตอนที่ ๓ การสร้างเครื่องมือและเกณฑ์การประเมิน ผูส้ อนจะต้องกาหนดเกณฑ์การประเมิน
พัฒนาการเด็กให้สอดคล้องกับพฤติกรรมท่ีจะประเมินตามแผนการจัดกิจกรรม พร้อมทาเกณฑ์การประเมิน
และสรุปผลการประเมิน พร้อมจดั ทาแบบบันทึกผลหลังสอนประจาหน่วยการจดั ประสบการณ์
ขั้นตอนที่ ๔ การดาเนนิ การเปน็ การรวบรวมขอ้ มลู ข้ันตอนนี้ ผู้สอนท่ที าหน้าท่ีเปน็ ผ้ปู ระเมินโดยการ
สังเกตพฤตกิ รรมของเดก็ รายบุคคล รายกลมุ่ การพูดคยุ หรือสัมภาษณเ์ ดก็ หรอื การประเมนิ ผลงานชิน้ งานของ
เด็กอย่างเป็นระบบ ไปพร้อมๆกับกิจกรรมให้เด็ก เพื่อรวบรวมข้อมูลพัฒนาการของเด็กทุกคน และบันทึกลง
แบบบันทกึ ผลหลงั สอนประจาหน่วยการจัดประสบการณ์ ทจ่ี ัดเตรียมไว้
ขัน้ ตอนที่ ๕ การวเิ คราะหข์ ้อมูลและแปลผลเมือ่ ส้ินสุดหน่วยการจดั ประสบการณ์ ผสู้ อนจะตรวจสอบ
ความครบถ้วน สมบูรณ์ของผลการประเมินในแบบบันทึกผลการประเมินพัฒนาการของเด็กหลังการจัด
ประสบการณ์ลงในแบบบันทึกผลหลังการจัดประสบการณ์ประจาหน่วยการจัดประสบการณ์ และเก็บสะสม
เพื่อนาได้สรุปผลในการตัดสินพัฒนาการเด็กในภาพรวมเม่ือส้ินปีการศึกษา โดยผู้สอนจะนาผลการประเมิน
พัฒนาสะสมที่รวบรวมไว้ทุกหนว่ ยการเรียนรู้ มาสรุปลงในสมดุ บนั ทึกผลการประเมนิ พฒั นาการประจาช้ันและ
สรปุ ผลพัฒนาการรายด้านท้ังช้ันเรียน ท้ังน้ีการสรปุ ผลการประเมนิ พฒั นาการ ผู้สอนควรใช้ ฐานนิยม (Mode)
จึงเหมาะสมและสอดคล้องกบั การประเมินมากท่สี ดุ ตามทีก่ ลา่ วมาแล้วขา้ งต้น
ขัน้ ตอนที่ ๖ การสรปุ รายงานผลและการนาขอ้ มูลไปใช้ ครูประจาชั้นจะสรปุ ผลเพอ่ื พฒั นาการของเดก็
ปฐมวัยเป็นรายตัวบ่งช้ี รายมาตรฐานและพัฒนาการทั้ง๔ ด้าน และรายงานต่อผู้บริหารสถานศึกษาอนุมัติผล
การตัดสินและแจ้งคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พร้อมกับครูประจาชั้นจะจัดทารายงานผลการ
ประเมนิ พัฒนาการของเด็กรายบุคคล รายภาค และรายปีตอ่ ผูป้ กครองในสมดุ รายงานประจาตวั เด็กนักเรียน
กำรจดั ทำหลักสูตรสถำนศกึ ษำ
หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยเป็นหลักสูตรของสถานศึกษาท่ีเปิดสอนระดับปฐมวัยแต่ละแห่ง
วางแผนหรือกาหนดแนวทางการจัดการศึกษา เพ่ือส่งเสริมให้เด็กบรรลุมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตัง
บ่งชี้ และสภาพที่พึงประสงค์ตามที่หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกาหนด สถานศึกษาต้องคานึงถึง วิสัยทัศน์
จุดเนน้ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น สภาพบริบทและความตอ้ งการของชมุ ชน มาออกแบบหลักสูตรสถานศกึ ษา ดงั น้ี
๑.จุดหมำยของหลักสูตรสถำนศึกษำ
สถานศกึ ษาต้องดาเนินการจัดทาหลักสตู รสถานศึกษาปฐมวยั บนพื้นฐานหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย
โดยสถานศึกษาต้องเชื่อมโยงมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย เช่น การ
ประสานความรว่ มมอื ระหวา่ งครอบครัวชมุ ชน คณะกรรมการสถานศกึ ษา ผูส้ อนปฐมวยั และผูม้ สี ว่ นเกี่ยวข้องมี
ส่วนร่วมในการพฒั นาเดก็
๒.กำรสรำ้ งหลักสตู รสถำนศึกษำ
WATMUANG ๑๑๐
หลกั สตู รสถานศึกษาจะต้อสนองตอ่ การเปล่ียนแปลทางสังคมเศรษฐกจิ และปรบั เปลย่ี นใหส้ อดคล้อ
กบั ธรรมชาติและการเรียนรู้ของเดก็ ปฐมวัย การสรา้ งหลักสูตรสถานศกึ ษาควรดาเนินการ ดงั น้ี
๒.๑ ศึกษาทาความเข้าใจหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย และเอกสาร
ประกอบหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย รวมทั้งศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กและครอบครัว สภาพปัจจุบันสภาพ
ต่างๆที่เป็นปัญหา จดุ เด่น ภูมปิ ัญญาท้องถิน่ ความตอ้ งการของชมุ ชนแลทอ้ งถิ่น
๒.๒ จดั ทาหลกั สตู รสถานศึกษา โดยกาหนดปรัชญา วสิ ยั ทัศน์ ภารกิจหรอื พนั ธกิจ เปา้ หมายมาตรฐาน
คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตังบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ โดยโครงสร้างหลักสูตร ประกอบด้วย การวิเคราะห์
สาระการเรียนรู้รายปีเพื่อกาหนดประสบการณ์สาคัญและสาระท่ีควรรู้ในแต่ละช่วงอายุ ระยะเวลาและการ
บริหารจัดการหลักสูตร ซึ่งสถานศึกษาอาจกาหนดโครงสร้างหลักสูตรได้ตามความเหมาะสมและความจาเป็น
ของสถานศกึ ษาแต่ละแห่ง
๒.๓ การประเมินหลักสูตรของสถานศึกษาปฐมวัย แบ่งออกเป็นการประเมินก่อนนาหลักสูตรไปใช้
เป็นการประเมินเพ่ือตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร องค์ประกอบของหลักสูตรหลังจากท่ีได้จัดทาแล้วโดย
อาศยั ความคิดเหน็ จากผใู้ ช้หลักสตู ร ผมู้ ีส่วนร่วมในการทาหลักสูตร ผเู้ ช่ยี วชาญ ผู้ทรงคุณวฒุ ิในด้านต่างๆ การ
ประเมินระหว่างดาเนินการใชห้ ลักสตู รเป็นการประเมินเพ่ือตรวจสอบว่าหลักสูตรสามารถนาไปใช้ได้ดีเพียงใด
ควรมีการปรับปรุงแก้ไขในเร่ืองใด และการประเมินหลังการใช้หลักสูตร เป็นการประเมินเพ่ือตรวจสอบ
หลักสูตรทั้งระบบหลังจากท่ีใช้หลักสูตรครบแต่ละช่วงอายุเพื่อสรุปผลว่าหลักสูตรท่ีจัดทาควรมีการปรับปรุง
หรือพัฒนาใหด้ ขี ้ึนอยา่ งไร
กำรจดั กำรศกึ ษำระดบั ปฐมวัย (เด็กอำยุ ๓-๖ ปี ) สำหรับกล่มุ เป้ำหมำยเฉพำะ
การจัดการศึกษาระดับปฐมวัยสาหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะสามารถนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยไป
ปรบั ใช้ได้ ท้ังในส่วนของโครงสร้างหลกั สูตร สาระการเรยี นรู้ การจัดประสบการณ์ และการประเมนิ พัฒนาการ
ให้เหมาะสมกับสภาพ บริบท ความต้องการ และศักยภาพของเด็กแต่ละประเภท เพ่ือพัฒนาให้เด็กมีคุณภาพ
ตามมาตรฐานคณุ ลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ที่หลักสูตรการศกึ ษาปฐมวยั กาหนด โดยดาเนินการ ดงั น้ี
๑. การกาหนดเป้าหมายคุณภาพเด็ก ซึ่งหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยได้กาหนดมาตรฐานและคุณลักษณะที่
พึงประสงค์ และสาระการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางให้ทุกฝ่ายท่ีเก่ียวข้อใช้ในการพัฒนาเด็ก
สถานศึกษาหรือผู้จัดการศึกษาสาหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ สามารถเลือกปรับปรุงใช้ ตัวบ่งชี้ และสภาพที่พึง
ประสงค์ในการพัฒนาเด็ก เพื่อนาไปจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลให้ครอบคลุมพัฒนาการของเด็ก
ท้ังด้าน ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คม และสตปิ ญั ญา
๒.การประเมินพฒั นาการต้องคานึงถึงปัจจยั ความแตกตา่ งของเด็ก อาทิ เดก็ ทีม่ คี วามพิการแตล่ ะดา้ น อาจ
ต้องมีการปรับการประเมินพัฒนาการท่ีเอื้อต่อสภาพความพิการ ทั้งวิธีการเคร่ืองมือที่ใช้ควรสอดคล้องกับเด็ก
กลมุ่ เป้าหมายเฉพาะดา้ นดังกล่าว
๓.สถานศึกษาท่ีเด็กมีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะด้านควรได้รับการสนับสนุนครูพี่เลี้ยงให้การดูแลช่วยเหลอื และ
ส่งเสริมพัฒนาการ กรณีที่มีเด็กกลุ่มเป้าหมายเฉพาะด้านมีผลพัฒนาการไม่เป็นไปตามเป้าหมายควรมีการส่ง
ตอ่ ไปยังสถานพฒั นาเด็กท่มี คี วามต้องการพิเศษเพ่ือใหไ้ ด้รับการพัฒนาตอ่ ไป
กำรสรำ้ งรอยเช่ือมต่อระหว่ำงกำรศกึ ษำระดับปฐมวยั กับระดบั ปฐมศกึ ษำปีท่ี๑
การสรา้ งรอยเช่อื มต่อระหว่างการศึกษาระดบั ปฐมวัยกบั ระดับการศกึ ษาปีที่๑ มีความสาคัญอย่าง
ยิง่ ส่งผลดตี ่อการเรยี นร้ขู องเด็กปฐมวยั ในการปรบั ตวั รับความเปลีย่ นแปลงไดเ้ ปน็ อย่างดีสามารถพัฒนาการ
WATMUANG ๑๑๑
เรียนร้ไู ดอ้ ย่างราบร่นื การเช่ือมโยงของการศกึ ษาระดบั ปฐมวยั กับระดบั ปฐมศึกษาปที ี่๑ จะประสบผลสาเร็จได้
บคุ ลากรทุกฝ่ายทเ่ี กี่ยวข้องต้องดาเนนิ การดังต่อไปนี้
๑.ผู้บริหำรสถำนศึกษำ
ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคคลสาคัญที่มีบทบาทเป็นผู้นาในการสร้างรอยเช่ือมต่อระหว่างหลักสูตร
การศึกษาปฐมวัยกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานในชั้นประถมศึกษาปีที่๑ โดยต้องศึกษาหลักสูตร
ทั้งสองระดับ เพื่อทาความเข้าใจและจัดระบบการบริหารงานด้านวิชาการท่ีเอื้อต่อการเช่ือมต่อการศึกษา โดย
ดาเนินการดงั นี้
๑.๑ จัดประชุมผู้สอนระดับปฐมวัยและผู้สอนระดับประถมศึกษา ร่วมกันสร้างความเข้าใจรอยเชื่อมต่อ
ของหลักสูตรท้ังสองระดับให้เป็นแนวปฏิบัติของสถานศึกษา เพ่ือผู้สอนทั้งสองระดับจะได้เตรียมการสอนได้
สอดคล้องกบั เดก็ วัยนี้
๑.๒ จัดหาเอกสารหลกั สตู รและเอกสารทางวิชาการของท้งั สองระดบั มาไว้ใหผ้ ู้สอนและบุคลากรอืน่ ๆได้
ศึกษาทาความเข้าใจ อยา่ งสะดวกและเพยี งพอ
๑.๓ จัดกิจกรรมใหผ้ ู้สอนทง้ั สองระดับมโี อกาสแลกเปลี่ยนและเผยแพร่ความรใู้ หมๆ่ รว่ มกัน
๑.๔ จัดหาสอื่ วัสดอุ ุปกรณ์ และจดั สภาพแวดลอ้ มท่ีสง่ เสรมิ การสร้างรอยเชอื่ มต่อ
๑.๕ จัดกิจกรรมให้ความรู้ กิจกรรมสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ และจัดทาเอกสารเผยแพร่ให้กับ พ่อแม่
ผู้ปกครองอย่างสม่าเสมอ เพ่ือให้พ่อแม่ ผู้ปกเข้าใจการศึกษาท้ังสองระดับและให้ความร่วมมือในการช่วยเด็ก
ให้สามารถปรับตัวเขา้ กับสภาพแวดล้อมใหม่ไดด้ ี
ในกรณีที่โรงเรียนไม่มีช้ันประถมศึกษาปีที่๑ ในสถานศึกษาของตนเอง ผู้บริหารสถานศึกษาควรประสาน
กับสถานศึกษาที่คาดว่าเด็กจะไปเข้าเรียน เพ่ือสร้างความเข้าใจให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง ในการช่วยเหลือเด็ก
สามารถปรับตวั เขา้ กับสถานศกึ ษาใหม่ได้
๒.ผสู้ อนระดบั ปฐมวัย
ผู้สอนระดับปฐมวัยต้องศึกษาหลักสูตรแกนกลางสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานการจัดการเรียนการสอนในช้ัน
ประถมศึกษาปีที่๑ และสร้างความเข้าใจให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองและบุคลากรอ่ืนๆรวมท้ังช่วยเหลือเด็กในการ
ปรบั ตัวกอ่ นเล่อื นข้นึ ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี๑ โดยผ้สู อนควรดาเนินการ ดงั นี้
๒.๑ เก็บรวบรวมข้อมูลเดก็ เป็นรายบคุ คลเพ่ือส่งต่อผ้สู อนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี๑ ซ่งึ จะทาให้ผู้สอนระดบั
ปฐมศึกษาสามารถใช้ขอ้ มูลนน้ั ช่วยเหลือเด็กในการปรบั ตวั เขา้ กับการเรียนรใู้ หม่ต่อไป
๒.๒ พดู คุยกบั เดก็ ถึงประสบการณ์ดีๆเกย่ี วกับการจัดการเรียนรู้ในระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี๑ เพอื่ ใหเ้ ด็ก
เกดิ เจตคตทิ ่ดี ีต่อการเรยี นรู้
๒.๓จัดให้เด็กมีโอกาสทาความรู้จักกับผู้สอนตลอดจนการสารวจสภาพแวดล้อมและบรรยากาศของ
หอ้ งเรยี นชั้นประถมศึกษาปที ๑ี่
๒.๔ จัดส่ือ วัสดุอุปกรณ์ หนังสือท่ีเหมาะสมกับวัยเด็กที่ส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้และมีประสบการณ์
พ้ืนฐานทีส่ อดคล้องกบั รอยเช่อื มตอ่ ในการเรยี นระดับชนั้ ประถมศึกษาปีที่๑
๓.ผู้สอนระดบั ประถมศึกษำ
WATMUANG ๑๑๒
ผู้สอนระดับประถมศึกษาต้องมีความรู้ ความเขา้ ใจในการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั และมเี จตคติทด่ี ตี อ่ การจัด
ประสบการณ์ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย เพื่อนามาเป็นข้อมูลการพัฒนาจัดการเรียนรู้ระดับช้ัน
ประถมศกึ ษาปที ๑ี่ ให้ต่อเนือ่ งกับการพัฒนาในระดบั ปฐมวยั โดยควรดาเนินการ ดังน้ี
๓.๑ จัดกิจกรรมให้เด็กพ่อแม่ และผู้ปกครอง มีโอกาสได้ทาความรู้จักคุ้นเคยกับผู้สอนและห้องเรียนชัน้
ประถมศึกษาปีท๑่ี กอ่ นเปดิ ภาคเรียน
๓.๒ จัดสภาพห้องเรียนให้ใกล้เคียงกับห้องเรียนระดับปฐมวัย โดยจัดให้มีมุมประสบการณ์ภายในห้อง
เพอื่ ใหเ้ ด็กได้มีโอกาสทากิจกรรมไดอ้ ยา่ งอสิ ระ เช่น มุมหนังสือ มมุ ของเลน่ มุมเกมการศึกษา เพ่ือชว่ ยให้เด็ก
ชน้ั ประถมศึกษาปีท๑ี่ ไดป้ รับตัวและเรยี นรู้จากการปฏบิ ตั จิ รงิ
๓.๓ จดั กิจกรรมรว่ มกันกบั เดก็ ในการสรา้ งขอ้ ตกลงเก่ยี วกับการปฏิบัตติ น
๓.๔ จัดกจิ กรรมชว่ ยเหลอื สง่ เสริมการเรยี นรู้ใหก้ ับเด็กตามความแตกต่างระหว่างบคุ คล
๓.๕ เผยแพร่ขา่ วสารดา้ นการเรยี นรูแ้ ละสร้างความสมั พนั ธท์ ด่ี ีกบั เดก็ พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และชมุ ชน
๔. พอ่ แม่ ผู้ปกครอง
พอ่ แม่ ผปู้ กครองเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการอบรมเล้ียงดูและสง่ เสริมการศึกษาของบุตรหลาน และ
เพอ่ื ช่วยบตุ รหลานของตนเองในการศกึ ษาต่อชั้นประถมศึกษาปที ี่๑ ควรดาเนนิ การดังน้ี
๔.๑ ศกึ ษาและทาความเขา้ ใจหลักสูตรของการศึกษาทั้งสองระดบั
๔.๒ จัดหาหนังสือ อปุ กรณ์ทเี่ หมาะสมกบั วยั เด็ก
๔.๓ มีปฏิสมั พันธท์ ี่ดีกับบุตรหลาน ให้ความรกั ความเอาใจใส่ ดแู ลบตุ รหลานอยา่ งใกล้ชดิ
๔.๔ จัดเวลาในการทากจิ กรรมรว่ มกบั บุตรหลาน เช่น เล่านิทาน อ่านหนงั สือร่วมกนั สนทนาพูดคยุ
ซักถามปัญหาในการเรยี น ให้การเสรมิ แรงและใหก้ าลงั ใจ
๔.๕ รว่ มมอื กบั ผสู้ อนและสถานศึกษาในการชว่ ยเตรียมตัวบตุ รหลานเพือ่ ช่วยใหบ้ ุตรหลานปรับตัวไดด้ ี
ข้นึ
กำรกำกบั ตดิ ตำม ประเมินและรำยงำน
การจัดการศึกษาปฐมวัยมีหลักการสาคัญในการให้สังคม ชุมชน มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและ
กระจายอานาจการศึกษาลงไปยังท้องถิ่นโดยตรง โดยเฉพาะสถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ซ่ึงเป็น
ผู้จัดการศึกษาในระดับนี้ ดังน้ัน เพ่ือให้ผลผลิตทางการศึกษาปฐมวัยมีคุณภาพตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พึง
ประสงค์และสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคม จาเป็นต้องมีระบบการกากับ ติดตาม ประเมิน
และรายงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทุกกลุ่มทุกฝ่ายท่ีมีส่วนร่วม ช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน วางแผน และ
ดาเนนิ การจักการศกึ ษาปฐมวัยใหม้ ีคณุ ภาพอย่างแท้จริง
การกากบั ติดตาม ประเมนิ และรายงานผลการจัดการศึกษาปฐมวยั เป็นสว่ นหนง่ึ ของกระบวนการ
บรหิ ารการศกึ ษา กระบวนการนิเทศ และระบบการพัฒนาคณุ ภาพการศึกษา ทีต่ ้องดาเนินการอยา่ งต่อเน่ือง
เพื่อนาไปสูก่ ารพฒั นาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาปฐมวยั สร้างความมั่นใจให้ผเู้ ก่ยี วขอ้ ง โดยต้องมีการ
ดาเนนิ การทเ่ี ปน็ ระบบเครอื ข่ายครอบคลมุ ท้ังหนว่ ยงานภายในและภายนอก ในรปู แบบของคณะกรรมการที่มา
จากบคุ คลทกุ ระดับและทุกอาชพี การกากับ ตดิ ตาม และประเมินผลตอ้ งมกี ารรายงานผลงานจากทุกระดับให้
ทุกฝ่าย รวมทั้งประชาชนทราบทว่ั ไป เพ่ือนาข้อมลู จากรายงานผลมาจดั ทาแผนพฒั นาคุณภาพการศึกษาของ
สถานศกึ ษาหรือสถานพัฒนาเดก็ ปฐมวยั ต่อไป
WATMUANG ๑๑๓
ภำคผนวก
WATMUANG ๑๑๔
แบบตรวจสอบหลักสูตรสถำนศกึ ษำระดับปฐมวยั ก่อนกำรนำหลักสูตรไปใช้
โรงเรียนวดั มว่ ง ตำบลบ้ำนม่วง อำเภอบ้ำนโปง่ จงั หวัดรำชบุรี
สำนักงำนเขตพืน้ ทกี่ ำรศึกษำประถมศึกษำรำชบรุ ี เขต ๒
คำชแี้ จง
แบบตรวจสอบหลักสูตรศึกษาปฐมวัยฉบับน้ี เป็นแบบสารวจความคิดเห็นท่ีใช้เป็นเครื่องมือในการ
ตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยก่อนนาหลักสูตรไปใช้และให้ผู้มีส่วนเก่ียวข้องของสถานศึกษา
ทาหน้าที่ตรวจสอบ เช่น ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้สอนปฐมวัย คณะกรรมการสถานศึกษา / คณะกรรมการ
บริหารโรงเรยี น ผู้ทรงคุณวฒุ ิ ผู้แทนผ้ปู กครอง และผู้แทนชมุ ชน เปน็ ตน้
กรณีท่ีสถานศึกษามีความต้องการในการตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร โดยใช้วิธีการในการรวบรวม
ความคดิ เห็นดว้ ยวธิ กี ารอ่ืนๆ เชน่ การประชมุ สนทนากลุม่ การประชุมกลมุ่ ย่อย
ตอนที่ ๑ ข้อมูลทัว่ ไปของผ้ใู ห้ข้อมูล
๑. เพศ ชาย หญิง
๒. อายุ ๒๐-๔๐ ปี ๔๑-๕๐ ปี ๕๑-๖๐ ปี มากกว่า ๖๐ ปี
๓. สถานะ/ตาแหนง่ หน้าท่ี
ผู้บรหิ ารสถานศึกษา ครูปฐมวัย
ผู้ทรงคุณวุฒิ ผ้แู ทนคณะกรรมการสถานศึกษา
ผแู้ ทนผูป้ กครอง ผูแ้ ทนชุมชน
ผู้แทนครู อน่ื ๆ โปรดระบุ……………………….
WATMUANG ๑๑๕
ตอนท่ี ๒ กำรตรวจสอบคณุ ภำพหลกั สตู รศกึ ษำปฐมวัยก่อนนำไปใช้
โปรดระบุเครื่องหมาย √ ในช่อง ใช่/ไมใ่ ช่ และบันทึกความคิดเห็นในข้อเสนอแนะเพ่มิ เติม
ท่ี รำยกำร ใช่ ไม่ใช่ ขอ้ เสนอแนะ
เพิม่ เตมิ
๑ ปรัชญำกำรศึกษำปฐมวยั ของสถำนศกึ ษำ
๑.๑ แสดงแนวคดิ และความเชื่อในการจัดการศึกษาเพ่อื
พัฒนาเดก็ ปฐมวัย ชัดเจน ครบถว้ น
๑.๒ มีความสอดคล้องกับหลักสตู รการศึกษาปฐมวัย
พทุ ธศักราช ๒๕๖๐
๑.๓ มคี วามเชอ่ื มโยงกบั ความเช่ือในการจดั การศึกษาเพอ่ื
พัฒนาเด็กปฐมวยั
๑.๔ ผู้มีสว่ นเกีย่ วขอ้ งทกุ ฝ่ายมสี ่วนร่วมในการกาหนด
ปรัชญาการศึกษา
๒ วิสยั ทศั น์ พันธกิจ เปำ้ หมำย
๒.๑ มคี วามชัดเจนและสอดคล้องกับปรชั ญาการศึกษา
ปฐมวัยของสถานศึกษา
๒.๒ แสดงความคาดหวังและวิธีการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ใน
อนาคตไดช้ ัดเจน
๒.๓ แสดงถงึ จดุ เน้น อัตลักษณ์ เอกลักษณ์ ทต่ี ้องการของ
สถานศึกษา
๒.๔ ผู้มีสว่ นเก่ียวขอ้ งทกุ ฝ่ายมสี ว่ นรว่ มในการกาหนด
๒.๕ มกี ารกาหนดเป้าหมายท่ีต้องการใน เชิงปริมาณหรือ
เชงิ คุณภาพ
๓ จุดหมำย
๓.๑ มีความสอดคล้องและครอบคลมุ จุหมายของหลักสูตร
สถานศกึ ษาปฐมวยั พุทธศักราช ๒๕๖๐
๓.๒ มีความสอดคลอ้ งกบั ปรัชญา วสิ ยั ทัศน์ การศึกษา
ปฐมวยั ของสถานศึกษา
๓.๓ มคี วามเป็นไปได้ในการนาไปสู่การ
๓.๔ ปฏบิ ตั ิตามจดุ หมายที่กาหนดในหลักสตู ร
๔ มำตรฐำนคณุ ลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์
๔.๑ นามาตรฐานคุณลกั ษณะทีพ่ งึ ประสงคแ์ ละสภาพท่ีพึง
ประสงค์ มากาหนดในหลกั สตู รสถานศกึ ษาปฐมวยั
ครบถ้วน
๔.๒ นามาตรฐานคุณลกั ษณะทีพ่ ึงประสงคแ์ ละสภาพท่ีพงึ
WATMUANG ๑๑๖
ท่ี รำยกำร ใช่ ไม่ใช่ ขอ้ เสนอแนะ
เพมิ่ เตมิ
ประสงคม์ าจัดแบง่ กล่มุ อายุเด็ก และระดับช้ันเรียนได้
ชดั เจนครบถว้ น
๕ กำรจัดเวลำเรยี น
๕.๑ มีการกาหนดเวลาเรียนต่อ ๑ ปกี ารศึกษาไม่น้อยกวา่
๑๘๐ วัน
๕.๒ มีกาหนดเวลาเรียนแตล่ ะวันไม่น้อยกวา่ ๕ ชั่วโมง
๕.๓ มกี ารกาหนดชว่ งเวลาการจดั กจิ กรรมประจาวัน
เหมาะสมกบั วัยและความสนใจของเด็ก
๖ สำระกำรเรยี นรูร้ ำยปี
๖.๑ มคี วามสอดคล้องกับมาตรฐาน ตวั บ่งชี้ สภาพท่พี ึง
ประสงค์ ในแต่ละชว่ งวัย
๖.๒ มกี ารกาหนดครอบคลุมประสบการณ์สาคญั และสาระ
ท่คี วรเรียนรู้ ตามหลักสตู รการศึกษาปฐมวยั พ.ศ. ๒๕๖๐
๖.๓ มีการจดั แบ่งสาระการเรียนรเู้ หมาะสมกบั ช่วงเวลาใน
การจัดหน่วยประสบการณ์
๗ กำรจดั ประสบกำรณ์
๗.๑ มีกาหนดการจดั ประสบการณ์โดยใช้หลกั การบูรณา
การผ่านการเลน่ ทส่ี อดคล้องกับพัฒนาการตามวัยของเดก็
๗.๒ มรี ูปแบบการจดั ประสบการณส์ อดคลอ้ งกบั ปรชั ญา
วสิ ยั ทศั น์ และจุดหมายของการจัดการศึกษาปฐมวัย
๗.๓ มกี าหนการจัดประสบการณ์แต่ละช่วงอายุทเ่ี หมาะสม
กบั วัยและความสนใจของเดก็
๗.๔ มีกาหนดการจดั ประสบการณ์เน้นให้เด็กลงมอื ปฏบิ ัติ
รเิ ร่ิมและมสี ว่ นรว่ มในการออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้
๗.๕ มีกาหนการจัดประสบการณ์เปิดโอกาสใหเ้ ดก็ มี
ปฏิสัมพันธ์กับบุคคล สื่อ และใช้แหล่งการเรียนรู้ที่
หลากหลาย
๗.๖ มีกาหนดการจดั ประสบการณ์ส่งเสริมให้เด็กมีทักษะ
ชีวติ และการปฏบิ ตั ติ นตามแนวทางหลักปรชั ญาของ
เศรษฐกจิ พอเพยี ง
๗.๗ มีกาหนการจัดประสบการณส์ ง่ เสริมการพฒั นาใหเ้ ด็ก
เป็นคนดี มีวนิ ยั และมีความเป็นไทย
๘ กำรจดั สภำพแวดล้อม สอ่ื และแหลง่ เรยี นรู้
๘.๑ ระบุแนวการจัดสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกที่
เออื้
WATMUANG ๑๑๗
ท่ี รำยกำร ใช่ ไม่ใช่ ข้อเสนอแนะ
เพิม่ เติม
ตอ่ การเรยี นรู้ของเดก็
๘.๒ มสี ื่อท่ีหลากหลาย เหมาะสมและเพียงพอ
๘.๓ มีแหลง่ เรียนร้ใู นและนอกสถานศึกษาทส่ี ง่ เสริม
พฒั นาการและการเรยี นรู้ของเด็ก
๙ กำรประเมินพฒั นำกำร
๙.๑ มกี ารประเมินพัฒนาการเดก็ ครอบคลมุ มาตรฐาน
คณุ ลกั ษณะพึงประสงค์
๙.๒ มีการประเมินพฒั นาการตามสภาพจริง
๑๐ กำรบรหิ ำรจดั กำรหลกั สูตร
๑๐.๑ มีความพร้อมด้าน ครู บุคลากร และขอ้ มลู
สารสนเทศ
๑๐.๒ มงี บประมาณและทรัพยากรสนับสนนุ เพยี งพอ
๑๐.๓ มกี ารวางแผนการประเมนิ หลกั สูตรสถานศึกษา
(กอ่ น-ระหว่าง-หลังการใช้)
๑๐.๔ มีแผนการนิเทศ ตดิ ตามการนาหลกั สตู รสถานศกึ ษา
ปฐมวัยสู่การปฏิบัติ
๑๑ กำรเชือ่ มต่อของกำรศึกษำ
๑๑.๑ ผ้บู ริหารมกี ารวางแผนและสร้างความเข้าใจแก่
ผสู้ อนปฐมวยั ผูส้ อนประถมศึกษาที่เกย่ี วข้อง พ่อแม่
ผู้ปกครอง และชุมชนในการสรา้ งรอยเชื่อมต่อของ
หลกั สูตรทัง้ สองระดับ
๑๑.๒ ครูผู้สอนปฐมวัยและประถมศกึ ษามีการและเปลีย่ น
และกาหนดแนวทางการทางานรว่ มกนั
๑๑.๓ มีแนวทางการจดั กจิ กรรมใหเ้ ดก็ ปฐมวยั มีความ
พร้อมในการเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี ๑ ของครูผู้สอน
รว่ มกันดว้ ยวิธีการหลากหลาย
๑๑.๔ มีการจัดเตรียมข้อมลู สารสนเทศของเด็กปฐมวยั
รายบคุ คลสง่ ตอ่ ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๑ เพ่ือการวางแผน
พัฒนาเดก็ รว่ มกัน
ขอ้ เสนอแนะ
............................................................................................................................. .................................................
ลงชอื่ ....................................................ผูต้ รวจสอบ
(................................................)
ตาแหน่ง..................................................
วัน เดอื น ปี.............................................
WATMUANG ๑๑๘
แบบตรวจสอบหลักสูตรสถำนศึกษำระดบั ปฐมวยั หลงั กำรนำหลกั สตู รไปใช้
โรงเรียนวดั มว่ ง ตำบลบ้ำนม่วง อำเภอบ้ำนโป่ง จังหวดั รำชบรุ ี
สำนกั งำนเขตพ้ืนทกี่ ำรศกึ ษำประถมศกึ ษำรำชบุรี เขต ๒
คำชแ้ี จง
แบบตรวจสอบหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยฉบบั นี้ เปน็ แบบสารวจความคดิ เหน็ ท่ใี ช้เคร่ืองมือในการ
ตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยหลังการนาหลักสูตรไปใช้และให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของ
สถานศึกษาทาหน้าที่ตรวจสอบ เช่น ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้สอนปฐมวัย คณะกรรมการสถานศึกษา/
คณะกรรมการบรหิ ารโรงเรยี น ผทู้ รงคณุ วุฒิ ผู้เชย่ี วชาญ ผูแ้ ทน ผปู้ กครอง และผ้แู ทนชมุ ชน
ตอนท่ี ๑ ข้อมลู ท่ัวไปของผูใ้ หข้ ้อมูล หญงิ
๑. เพศ ชาย ๔๑-๕๐ ปี ๕๑-๖๐ ปี มากกวา่ ๖๐ ปี
๒. อายุ ๒๐-๔๐ ปี
๓. สถานะ/ตาแหน่งหนา้ ที่ ครูปฐมวยั
ผ้บู รหิ ารสถานศึกษา ผแู้ ทนคณะกรรมการสถานศกึ ษา
ผู้ทรงคณุ วฒุ ิ ผู้แทนชมุ ชน
ผแู้ ทนผู้ปกครอง อนื่ ๆ โปรดระบุ……………………….
ผู้แทนครู
WATMUANG ๑๑๙
ตอนท่ี ๒ กำรตรวจสอบคณุ ภำพหลักสตู รสถำนศึกษำปฐมวัยหลังกำรนำหลกั สูตรไปใช้
โปรดทำเคร่อื งหมำย✓ตำมระดับคุณภำพและให้ขอ้ เสนอแนะเพม่ิ เติมเกณฑร์ ะดับคณุ ภำพ
ระดบั คุณภาพ ๓ ดี หมายถงึ สามารถนาหลกั สตู รไปใชไ้ ด้ครบถว้ นและเหมาะสม
ระดับคุณภาพ ๒ พอใช้ หมายถึง สามารถนาหลักสูตรไปใช้ได้แตบ่ างประเดน็ ควรปรับปรุง
ระดับคุณภาพ ๑ ปรบั ปรงุ หมายถึง ไมส่ ามรถนาไปใชไ้ ดเ้ ป็นสว่ นใหญ่ ต้องปรบั ปรงุ แกไ้ ข
ที่ รำยกำร ระดับคณุ ภำพ ข้อเสนอแนะเพอ่ื กำร
๓ ๒๑ ปรับปรงุ
๑ ปรัชญาการศึกษาปฐมวยั ของสถานศกึ ษา
๑.๑ แนวคิดและความเชอื่ ของปรัชญา
การศกึ ษาปฐมวัย ชดั เจนครบถ้วน
๑.๒ สง่ เสรมิ พัฒนาเด็กตามเปา้ หมายหลักสตู ร
การศกึ ษาปฐมวยั พ.ศ.๒๕๖๐
๒ วสิ ยั ทศั น์ พนั ธกิจ เป้ำหมำย
๒.๑ บรรลุผลปรชั ญาการศึกษาปฐมวัยได้
ชัดเจน
๒.๒ บรรลุผลตามความคาดหวังในอนาคตได้
ชดั เจน
๒.๓ สอดคลอ้ งจดุ เน้น อตั ลกั ษณ์ ท่ตี อ้ งการ
ของสถานศกึ ษา
๒.๔ บรรลุตามเป้าหมายทีต่ ้องการในเชิง
ปริมาณหรอื เชิงคณุ ภาพ
๓ จุดหมำย
๓.๑ มคี วามสอดคลอ้ งและครอบคลุมจุดหมาย
ของหลกั สตู รสถานศึกษาปฐมวยั พุทธศักราช
๒๕๖๐
๓.๒ มคี วามสอดคล้องปรัชญา วสิ ัยทศั น์
การศึกษาปฐมวยั ของสถานศึกษา
๓.๓ นาไปส่กู ารปฏบิ ตั ิตามจดุ หมายทก่ี าหนดใน
หลกั สูตรได้
๔ มำตรฐำนคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
๔.๑ นามาตรฐานคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
และสภาพที่พึงประสงค์ไปใชไ้ ด้ครบถ้วน
๔.๒ นามาตรฐานคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
และสภาพที่พงึ ประสงค์ไปใช้กบั เดก็ ทุกกลุ่มอายุ
และระดับช้นั เรยี นได้ครบถ้วน
WATMUANG ๑๒๐
ท่ี รำยกำร ระดบั คณุ ภำพ ข้อเสนอแนะเพ่อื กำร
๓ ๒๑ ปรบั ปรุง
๕ กำรจดั เวลำเรียน
๕.๑ กาหนดเวลาเรยี นตอ่ ๑ ปีการศึกษาได้
เหมาะสม
๕.๒ กาหนดเวลาเรียนแต่ละวันมคี วาม
เหมาะสม
๕.๓ กาหนดช่วงเวลาการจัดกิจกรรมประจาวนั
มคี วามเหมาะสม
๖ สำระกำรเรียนรู้รำยปี
๖.๑ มีความสอดคล้องกบั มาตรฐาน ตวั บ่งช้ี
สภาพทพ่ี ึงประสงค์ในแตล่ ะช่วงวัย
๖.๒ มคี วามครอบคลุมประสบการณ์สาคัญและ
สาระท่คี วรเรียนรู้ ตามหลกั สูตรสถานศกึ ษา
ปฐมวยั พ.ศ. ๒๕๖๐
๖.๓ มกี ารจดั แบ่งสาระการเรียนรไู้ ด้เหมาะสม
๗ กำรจดั ประสบกำรณ์
๗.๑ ใช้หลกั การบรู ณาการผ่านการเล่นท่ี
สอดคลอ้ งกบั การพัฒนาการตามวัยของเด็ก
๗.๒ มีความสอดคลอ้ งปรัชญา วิสัยทศั น์ และ
จุดหมายของการจดั ศึกษาปฐมวยั
๗.๓ มคี วามเหมาะสมกบั วยั และความสนใจของ
เด็ก
๗.๔ เน้นใหเ้ ด็กลงมือปฏบิ ัติ รเิ ริ่มและมสี ว่ น
ร่วมในการออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้
๗.๕ เปดิ โอกาสใหเ้ ด็กมีปฏิสัมพนั ธก์ บั บุคคล
สือ่ และใชแ้ หลง่ เรยี นรทู้ ห่ี ลากหลาย
๗.๖ ส่งเสรมิ ให้เดก็ ทที กั ษะชวี ิตและปฏบิ ตั ิตน
ตามแนวหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
๗.๗ สง่ เสรมิ การพฒั นาให้เด็กเปน็ คนดี มีวนิ ยั
และมคี วามเป็นไทย
๘ กำรจัดสภำพแวดล้อม สอ่ื และแหล่งเรียนรู้
๘.๑ มีการจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพและ
สภาพแวดล้อมทางจิตภาพทเี่ ออ้ื ต่อการเรยี นรู้
ของเด็ก
๘.๒ มีสื่อท่ีหลากหลายเหมาะสม เพียงพอ
WATMUANG ๑๒๑
ท่ี รำยกำร ระดบั คณุ ภำพ ขอ้ เสนอแนะเพอ่ื กำร
๘.๓ มแี หล่งเรยี นรใู้ นและนอกสถานศึกษา ๓ ๒๑ ปรับปรุง
เหมาะสม เพียงพอต่อการจัดกจิ กรรม
๙ กำรประเมินพัฒนำกำร
๙.๑ มกี ารประเมินพฒั นาการเด็กครอบคลุม
มาตรฐานคณุ ลักษณะพึงประสงค์
๙.๒ มีการประเมนิ พฒั นาการตามสภาพจริง
๙.๓ มรี อ่ งรอยการประเมินพัฒนาการเดก็
๙.๔ มกี ารรายงานผลการประเมนิ พัฒนาการแก่
ผู้บรหิ าร ผปู้ กครอง หน่วยงานทเี่ กยี่ วข้อง
๑๐ กำรบริหำรจดั กำรหลักสตู ร
๑๐.๑ มีความพร้อมด้าน ครู บคุ ลากร และ
ข้อมูลสารเทศ
๑๐.๒ มงี บประมาณและทรัพยากรเพียงพอ
๑๐.๓ มีการประเมนิ หลักสูตรสถานศึกษา
๑๐.๔ มรการนเิ ทศ ตดิ ตามการนาหลักสูตร
สถานศึกษาปฐมวัยสู่การปฏิบัติ
๑๑ กำรเชอื่ มต่อของกำรศกึ ษำ
๑๑.๑ ผบู้ รหิ ารสร้างความเขา้ ใจในการสร้าง
รอยเชื่อมต่อของหลักสตู รทงั้ สองระดบั
๑๑.๒ ครผู สู้ อยปฐมวยั และประถมศกึ ษามีการ
แลกเปลีย่ นและทางานรว่ มกัน
๑๑.๓ มีการจัดกจิ กรรมให้เด็กปฐมวยั มีความ
พร้อมในการเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๑ ของ
ครูผรู้ ่วมกันดว้ ยวธิ ีการหลากหลาย
๑๑.๔ มีการจัดกิจกรรมให้ความรู้และหรือ
กิจกรรมสมั พนั ธใ์ หพ้ ่อแม่ ผู้ปกครองเขา้ ใจ
การศกึ ษาท้ังสองระดับ
ข้อเสนอแนะอนื่ ๆ
............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ............................................................................................
ลงช่อื ..................................................ผตู้ รวจสอบ
(……...............………………………….)
ตาแหนง่ .............................................................
วันเดือนปี...........................................................
WATMUANG ๑๒๒
กำรประเมนิ พฒั นำกำรเด็กปฐมวัย
พัฒนำกำรด้ำนรำ่ งกำย
1. กระโดดขำเดียวอย่กู บั ที่ได้
วธิ กี ำรประเมนิ
1. อาสาสมัครนาอบอ่นุ ร่างกาย
2. ครอู ธบิ ายและสาธิตวิธกี ารกระโดดขาเดยี ว โดยเลน่ เกมนายพรานจบั นกเขา ดงั น้ี
2.1 ครขู ดี วงกลมเสน้ ผ่าศูนย์กลาง 4 เมตร
2.2 เลอื กเด็ก 10 คน คนที่ 1 เลน่ เปน็ นายพราน โดยยกขาข้างใดขา้ งหน่งึ แล้วกระโดดไปแตะตวั
เพื่อนเพ่ือนทเี่ หลืออกี 9 คน ให้วงิ่ หนีไปไม่ให้แตะได้ แต่ต้องอย่ภู ายในวงกลม
2.3 ครูและเพื่อนทีเ่ หลอื คอยดู
2.4 ให้เด็กทุกคนทดลองเล่น โดยผลดั เปลยี่ นกันเปน็ นายพราน
3. ครคู อยดูและสงั เกตพรอ้ มจดบนั ทึกประเมินผลเป็นรายบคุ คล
4. สนทนาซกั ถามความรสู้ ึกและให้เล่นอสิ ระ
5. ทาความสะอาดร่างกายและกลับเข้าช้ันเรียน
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถงึ กระโดดขาเดียวอยกู่ บั ทีไ่ ด้ โดยไมเ่ สยี การทรงตัว
ปานกลาง หมายถงึ กระโดดขาเดียวอยู่กบั ที่ได้ แต่หยดุ พกั บ่อย
ควรเสรมิ หมายถึง กระโดดขาเดียวได้ แต่เสียการทรงตวั
2. รับลูกบอลไดด้ ้วยมือท้ังสองขำ้ ง
วธิ กี ารประเมิน
1. อาสาสมคั รนาอบอนุ่ รา่ งกาย
2. ครูอธิบายและสาธติ วธิ รี ับลูกบอล ดงั น้ี
2.1 ใหเ้ ดก็ เข้าแถวเปน็ รูปวงกลม
2.2 ครูโยนลูกบอลให้อาสาสมัครรบั ด้วยมอื ท้งั สอง
2.3 รอบท่ี 1 ครูโยนลกู บอลใหเ้ ดก็ ทุกคนให้เด็กทดลองรับเปน็ รายบคุ คล
รอบท่ี 2 ใหเ้ ดก็ รับลกู บอลที่ครูโยน ครคู อยสงั เกตความก้าวหนา้ ในการรบั ลกู บอลของเดก็
2.4 ใหเ้ ดก็ เลน่ อิสระโดยมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนโยนลกู บอล ครคู อยดูและสงั เกตพร้อมจดบันทกึ
ประเมนิ ผลเป็นรายบุคคล
3. สนทนาซกั ถามความรู้สกึ
4. ให้เดก็ เลน่ อสิ ระ
5. ทาความสะอาดร่างกาย
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถงึ รับลกู บอลดว้ ยมือทั้งสองได้ 2 – 3 ครั้ง
ปานกลาง หมายถงึ รับลูกบอลดว้ ยมือท้งั สองได้ 1 – 2 ครงั้
ควรเสริม หมายถงึ รับลกู บอลไมไ่ ด้แม้แต่ครั้งเดยี ว
WATMUANG ๑๒๓
3. เดินขน้ึ ลงบันไดสลับเท้ำได้
วธิ ีการประเมิน
1. อาสาสมคั รนาอบอุ่นร่างกาย
2. ครูอธิบายและให้อาสาสมัครสาธิตการเดนิ ขน้ึ ลงบนั ไดสลับเทา้
2.1 อาสาสมคั ร 1 คน เดนิ ขึ้นลงบนั ไดสลบั เทา้ โดยไม่จับราวบนั ได
2.2 ให้เดก็ ทุกคนทดลองเดิน
2.3 ครูคอยสงั เกตการขนึ้ ลงบนั ไดสลับเท้าของเด็กเป็นรายบคุ คล พร้อมบนั ทึก
3. ซักถามความรสู้ ึก ให้เล่นอิสระ
4. ทาความสะอาดร่างกายและกลับเข้าชน้ั เรยี น
เกณฑ์การประเมิน
ดี หมายถึง เดก็ เดินขน้ึ ลงบนั ไดสลับเทา้ ได้
ปานกลาง หมายถงึ เด็กเดินขนึ้ ลงบนั ไดสลบั เทา้ ไดแ้ ต่ช้า
ควรเสริม หมายถึง เด็กเดินข้นึ ลงบันไดสลบั เทา้ ได้ช้า และต้องพักเท้าก่อนก้าวเดิน
4. เขียนรูปส่เี หลี่ยมตำมแบบได้
วิธกี ารประเมนิ
1. ครูและเด็กรว่ มสนทนาถงึ รูปสเ่ี หลี่ยม
2. ใหเ้ ดก็ เขียนรปู สเ่ี หล่ยี มตามแบบ
3. ครคู อยดูและบรกิ ารวัสดุ อุปกรณ์ เช่น กระดาษ สีเทียน ใหเ้ ดก็
4. เดก็ เขยี นรูปสเ่ี หลยี่ มตามแบบได้
เกณฑ์การประเมิน
ดี หมายถงึ ความสามารถในการเขยี นรูปสี่เหลีย่ มตามแบบ มี มมุ มดี ้านท่ชี ดั เจน
ปานกลาง หมายถึง ความสามารถในการเขียนรปู สเ่ี หล่ยี มตามแบบได้ แต่มีมุม มดี า้ น ไมช่ ัดเจน
ควรเสรมิ หมายถึง ในการเขยี นรปู สเี่ หลยี่ มตามแบบได้ มีมุม มีด้าน ไมช่ ัดเจน และบอกวา่
ตวั เองทาอะไร
5. ตดั กระดำษเปน็ เสน้ ตรงได้
วิธกี ารประเมิน
1. ครแู จกกระดาษขาว A 4 ที่ทาเปน็ แนวเสน้ ตรงมีรอยเส้นประ
2. ให้เดก็ ใช้กรรไกรตัดกระดาษแนวเสน้ ตรงที่มรี อยเส้นประเหล่าน้ัน
3. ครูคอยดแู ละสงั เกตความสามารถในการตัดกระดาษ
4. บนั ทกึ พฤติกรรมประเมนิ ผลเปน็ รายบคุ คล
5. เกบ็ วสั ดอุ ุปกรณเ์ ข้าทีใ่ หเ้ รียบร้อย
เกณฑ์การประเมิน
ดี หมายถึง ตัดกระดาษเปน็ เส้นตรงไดด้ ี
ปานกลาง หมายถึง ตัดกระดาษเป็นเส้นตรงได้ แตม่ ีรอยหยกั
ปรบั ปรุง หมายถงึ ตัดกระดาษเป็นเสน้ ตรงไดบ้ ้าง แตไ่ ม่ตัดตามแนวเส้นที่กาหนด
WATMUANG ๑๒๔
กำรประเมินพัฒนำกำรเดก็ ปฐมวัย
พัฒนำกำรด้ำนรำ่ งกำย
1. กระโดดขำเดียวไปข้ำงหน้ำอย่ำงตอ่ เนื่องได้
วิธกี ารประเมนิ
1. อาสาสมัครนาอบอนุ่ ร่างกาย
2. ครแู ละอาสาสมัครอธบิ ายและสาธิตการกระโดดขาเดยี ว โดยเกมกระต่ายขาเดียว ดังน้ี
2.1 เลือกเด็ก 5 คน คนท่ี 1 เล่นเปน็ กระตา่ ยขาเดียว โดยยกขาข้างใดขา้ งหนงึ่ กระโดดไปแตะตัว
เพอื่ นใหไ้ ด้ เพื่อนท่เี หลือวิง่ หนไี ปให้แตะไม่ได้
2.2 ครแู ละเพอื่ นคอยดู
2.3 ใหเ้ ดก็ ทุกคนทดลองเลน่ โดยผลัดเปลย่ี นกนั เป็นกระต่าย
3. ครคู อยดูและสังเกตพรอ้ มจดบนั ทกึ ประเมินผลเป็นรายบุคคล
4. สนทนาซกั ถามความรสู้ กึ และให้เลน่ อิสระ
5. ทาความสะอาดรา่ งกายกลับเขา้ ช้ันเรยี น
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถงึ กระโดดขาเดียวไปข้างหนา้ อย่างตอ่ เนื่องได้ โดยไมเ่ สียการทรงตัว
ปานกลาง หมายถงึ กระโดดขาเดยี วไปข้างหนา้ อย่างตอ่ เน่ืองได้ แต่ต้องหยุดพัก
ปรับปรงุ หมายถึง กระโดดขาเดยี วไปขา้ งหน้าได้ไม่ต่อเนอ่ื ง เสยี การทรงตวั
2. รับลูกบอลท่ีกระดอนขน้ึ จำกพน้ื ได้ด้วยมือท้ังสอง
วิธีการประเมิน
1. อาสาสมัครนาวอร์มอบอุ่นรา่ งกาย
2. ครแู ละอาสาสมัครอธิบายและสาธิตวิธรี บั ลกู บอลด้วยมือท้ังสอง
2.1 ให้เดก็ เข้าแถวเปน็ รปู วงกลม
2.2 ครโู ยนลกู บอลลงพน้ื โดยกะให้ลกู บอลกระดอนขน้ึ แลว้ เดก็ สามารถรบั ได้ด้วยมือท้งั สอง
2.3 รอบท่ี 1 ครโู ยนลกู บอลใหก้ ระดอนหนา้ เด็กทกุ คน ให้เดก็ รองรับลกู บอลเปน็ รายบคุ คล
รอบที่ 2 ใหเ้ ด็กรับลูกบอลท่คี รโู ยน ครคู อยสงั เกตความก้าวหนา้ ในการรับลกู บอลของเด็ก
2.4 ให้เด็กเล่นอิสระโดยมีเพ่ือนคนหน่ึงเป็นคนโยนลูกบอลให้กระดอนจากพื้น ครูคอยดูและ
สังเกต
พรอ้ มจดบนั ทึกผลเป็นรายบุคคล
3. สนทนาซกั ถามความรู้สึก
4. ให้เดก็ เล่นอิสระ
5. ทาความสะอาดรา่ งกายแล้วกลับเข้าช้นั เรียน
เกณฑ์การประเมิน
ดี หมายถงึ รบั ลกู บอลได้ 3 – 4 คร้งั
ปานกลาง หมายถงึ รับลกู บอลได้ 1 – 2 คร้งั
ปรับปรุง หมายถงึ รับลูกบอลไม่ได้
WATMUANG ๑๒๕
3. เดนิ ขึ้นลงบนั ไดสลบั เทำ้ ไดอ้ ย่ำงคล่องแคล่ว
วิธกี ารประเมนิ
1. อาสาสมัครนาวอรม์ อบอุน่ รา่ งกาย
2. ครแู ละอาสาสมัครอธบิ ายและสาธิตวิธเี ดินขนึ้ ลงบนั ไดสลับเทา้ ดังน้ี
2.1 อาสาสมคั ร 1 คน เดนิ ข้ึนลงบันไดโดยไมจ่ ับราวบันได ให้เพอ่ื นดูและสังเกต
2.2 ให้เดก็ ทดลองปฏบิ ตั ิ
2.3 ครคู อยสังเกตการเดนิ ขนึ้ ลงบันไดสลบั เท้าเป็นรายบุคคล พรอ้ มจดบันทกึ
3. สนทนาซักถามความรสู้ ึกและให้เลน่ อสิ ระ
4. ทาความสะอาดรา่ งกายและกลบั เข้าชน้ั เรยี น
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถึง เดนิ ขึน้ ลงบนั ไดสลับเท้าได้อย่างคล่องแคล่ว
ปานกลาง หมายถึง เดนิ ขึน้ ลงบนั ไดสลบั เท้าไดแ้ ต่ชา้
ปรบั ปรงุ หมายถงึ เดินข้ึนลงบันไดสลับเท้าไม่ได้ ตอ้ งพักคู่ก่อนก้าวเดินต่อไป
4. เขียนรูปสำมเหล่ียมตำมแบบได้
วิธกี ารประเมิน
1. ครแู ละเด็กร่วมสนทนาถึงรูปสามเหล่ยี ม
2. ใหเ้ ดก็ เขยี นรูปสามเหลีย่ มตามแบบโดยครูคอยดูแล และบริการวัสดุ อุปกรณ์ เช่น กระดาษ สเี ทียน
3. เด็กเขยี นรปู สามเหลีย่ มได้ถูกต้อง
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถงึ ความสามารถในการเขยี นรูปสามเหลี่ยมตามแบบมมี ุมมดี ้านท่ชี ัดเจน
ปานกลาง หมายถงึ ความสามารถในการเขียนรูปสามเหล่ยี มตามแบบไดแ้ ต่มีมุมมีดา้ น ไม่
ชัดเจน
ปรบั ปรุง หมายถงึ ความสามารถในการเขียนรปู สามเหลย่ี มตามแบบได้แต่มมี มุ มีดา้ น ไม่
ชัดเจน และบอกไม่ไดว้ า่ ตัวเองทาอะไร
5. ตัดกระดำษตำมแนวเสน้ โคง้ ท่กี ำหนด
วธิ กี ารประเมนิ
1. ครแู จกกระดาษรปู
2. ใหเ้ ดก็ ใช้กรรไกรตัดกระดาษใหเ้ ป็นรูป ตามแนวเสน้
3. ครูคอยสงั เกตความสามารถในการตดั กระดาษ
4. บนั ทึกพฤติกรรมและประเมนิ ผลเปน็ รายบุคคล
5. เกบ็ วสั ดุเข้าท่ีใหเ้ รียบร้อย
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถงึ ตัดได้ตามแนวเสน้ โดยไม่มีรอยหยกั เสน้ ท่ีตดั แสดงถึงความเชือ่ มนั่
ปานกลาง หมายถงึ ตดั ได้ตามแนวเสน้ แตม่ รี อยหยัก
ปรบั ปรุง หมายถงึ ตัดได้แตไ่ ม่ตัดตามแนวเส้นทก่ี าหนด
WATMUANG ๑๒๖
กำรประเมนิ พัฒนำกำรเด็กปฐมวัย
พฒั นำกำรดำ้ นอำรมณ์และจิตใจ
1. แสดงอำรมณ์ได้สอดคล้องกบั สถำนกำรณ์อย่ำงเหมำะสม
วธิ กี ารประเมนิ
1. ครแู ละเด็กรว่ มกนั ทอ่ งคาคลอ้ งจอง “นกกระจิบ นกกระจาบ”
2. ครูและเด็กร่วมสนทนาเกย่ี วกบั เน้ือหาของคาคล้องจอง
3. ครเู ลา่ นิทานเร่ือง “นกกระจบิ นกกระจาบ” ให้เด็กฟัง
4. สนทนาเกย่ี วกับเนื้อหาในนทิ าน โดยใช้คาถามนาในการสนทนา
5. ครูคอยสงั เกตการณต์ อบคาถามของเด็ก โดยชว่ ยกันตอบคาถาม
6. ครปู ระเมินผลการตอบคาถามเกยี่ วกับนทิ านของเด็กเป็นรายบคุ คล
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถึง เดก็ แสดงอารมณไ์ ด้สอดคล้องกับสถานการณอ์ ย่างเหมาะสม
ปานกลาง หมายถึง เดก็ แสดงอารมณไ์ ด้สอดคล้องกับสถานการณ์เปน็ บางเรื่อง
ปรับปรุง หมายถึง เดก็ แสดงอารมณไ์ มร่ ้เู รื่อง
2. ชนื่ ชมควำมสำมำรถและผลงำนของตนเองและผู้อื่น
วิธีการประเมนิ
1. ให้เดก็ ปฏบิ ัติกจิ กรรมเพอื่ แสดงความสามารถของแตล่ ะบคุ คล เช่น วาดภาพระบายสี ปั้นดินน้ามัน
ฉีกปะกระดาษ พบั กระดาษ รอ้ ยลูกปดั เล่นตามมมุ เกมการศึกษา ฯลฯ
2. ครดู แู ลและสังเกตพฤติกรรม ในขณะท่ีเด็กปฏบิ ตั กิ ิจกรรมรว่ มกับผอู้ ่นื
3. ครูให้เดก็ แสดงความคดิ เห็นในผลงานของตนเองและผู้อื่น
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถึง ชื่นชม ยอมรับ แสดงความภาคภมู ใิ จและชมผลงานของตนเองและผูอ้ ืน่
ปานกลาง หมายถึง ชน่ื ชม ยอมรับ แสดงความภาคภมู ใิ จและชมผลงานของตนเองและผู้อื่น
โดยมีเพื่อนหรอื ครูคอยชี้นา
ปรบั ปรงุ หมายถงึ แสดงสหี นา้ เฉย ๆ ไม่แสดงความคิดเห็นตอ่ ผลงานตนเองและผ้อู ่นื
4. ยึดตนเองเปน็ ศูนยก์ ลำงน้อยลง
วิธกี ารประเมนิ
1. ใหเ้ ดก็ ปฏบิ ตั ติ นตามตารางกิจกรรมประจาวันตามหนว่ ยการเรียน เพ่ือประเมนิ การยึดตนเองเปน็
ศนู ย์กลางน้อยลง เชน่ การเลน่ การช่วยเหลอื การแบง่ ปัน การรอคอย การเสียสละ ฯลฯ
2. ครดู ูแลและสังเกตพฤติกรรมพรอ้ มทง้ั ประเมนิ ผลเป็นรายบคุ คลหลาย ๆ คร้ัง
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถงึ ยดึ ตนเองเปน็ ศูนย์กลางนอ้ ยลง
ปานกลาง หมายถึง ยดึ ตนเองเปน็ ศูนย์กลางนอ้ ยลงแตต่ อ้ งมีครูและเพื่อนๆ คอยช้ีนา
ปรับปรุง หมายถึง ยดึ ตนเองเป็นศูนยก์ ลาง ถงึ แม้ว่าครูและเพ่ือนจะเตอื น
คาคล้องจอง
นกกระจบิ นกกระจาบ
WATMUANG ๑๒๗
มีนกสองตวั เกาะอยู่บนกงิ่ ไม้ ตวั หนึ่งชอื่ นกกระจิบ จิ๊บ ๆ ๆ
ตัวหน่งึ ช่ือนกกระจาบ จา๊ บ ๆ ๆ บนิ ไปเจา้ นกกระจิบ จบิ๊ ๆ ๆ
บินไปเจ้านกกระจาบ จา๊ บ ๆ ๆ บนิ มาเจา้ นกกระจิบ จ๊บิ ๆ ๆ
บินมาเจา้ นกกระจาบ จา๊ บ ๆ ๆ
นิทานเรื่องนกกระจิบ นกกระจาบ
กาลครัง้ หนง่ึ นานมาแล้ว ยงั มีนกสองตวั เปน็ เพอ่ื นกัน ตวั หน่งึ ชื่อนกกระจบิ อีกตัวหนงึ่ ชือ่ นก
กระจาบ นกทง้ั สองตัวเป็นเพื่อนท่รี กั กนั มากไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ
วนั หนงึ่ ขณะทท่ี งั้ สองกาลังบินเลน่ และบินมาเกาะอยู่บนต้นไม้ นกทั้งสองตวั ก็พดู คุยเสียง
ดงั จ๊บิ ๆ ๆ จา๊ บ ๆ ๆ ตามประสาอย่างมคี วามสุข ก็มีเด็กเกเรคนหน่ึงถือหนังสติ๊กใส่กอ้ นหินพร้อมท่จี ะยิงมาท่ี
นกทง้ั สองตวั นกกระจิบมองเหน็ ก่อนจงึ รีบกระพอื ปีกบอกเปน็ สญั ญาณให้นกกระจาบรวู้ า่ มีคนจะทาอันตราย
นกท้ังสองรีบบินขึน้ เพอ่ื จะหนีใหท้ ัน แต่เด็กเกเรได้ยงิ กระสุนถูกนกกระจาบ นกกระจาบจงึ บินไมส่ ะดวก
พยายามบินด้วยความอดทนและความเจ็บปวดจนมาถึงรงั นกกระจบิ ไดเ้ ฝา้ ดูอาการเพื่อนรกั ตลอดเวลา โดย
ออกไปหาอาหารมาปอ้ น จนในทส่ี ดุ นกกระจาบก็หาย
นกทั้งสองรดู้ วี ่า บริเวณทที่ ง้ั สองเคยไปนัน้ มีอันตราย กไ็ ม่บินไปแถวนนั้ อีกเลย เพื่อท่จี ะไดห้ ่าง
จากเดก็ เกเรคนน้นั
คาถาม
1. มีนกช่ืออะไรบ้าง
2. นกทั้งสองตวั เปน็ อะไรกัน
3. ทาไมนกกระจาบจึงบาดเจ็บ
4. นกกระจาบถูกยงิ ที่ใด
5. ถ้าเดก็ ๆ เจบ็ ขาหรือเท้า การเดินทางจะเป็นอย่างไร
6. ถ้าเดก็ ๆ เป็นนกกระจาบ เด็ก ๆ จะรู้สึกอยา่ งไร
7. ถ้าเด็ก ๆ เป็นนกกระจิบ เด็ก ๆ จะรสู้ กึ อยา่ งไร เมือ่ เห็นเพื่อนบาดเจ็บ
8. เด็ก ๆ จะเลอื กเปน็ ตัวละครใด
9. ทาไมจึงเลือกเป็นตัวละครนั้น
10. เด็ก ๆ ชอบเพอ่ื นลักษณะใด
WATMUANG ๑๒๘
กำรประเมนิ พัฒนำกำรเดก็ ปฐมวยั
พฒั นำกำรด้ำนสังคม
1. ปฏิบตั กิ จิ วตั รประจำวนั ไดด้ ว้ ยตนเอง
วธิ ีการประเมนิ
1. ให้เด็กปฏิบตั ิกิจกรรมตามตารางกจิ กรรมประจาวนั
2. ครูคอยดแู ลสงั เกตความสามารถในการปฏบิ ัติกิจวัตรประจาวันดว้ ยตนเอง เช่น การเข้าหอ้ งน้า หอ้ งสว้ ม
การใชว้ ัสดอุ ปุ กรณ์อยา่ งคลอ่ งแคล่ว การรบั ประทานอาหาร การช่วยเหลือเพอื่ น การช่วยเหลืองานครู
การแปรงฟัน การปูทีน่ อน เก็บทีน่ อน
3. ครูประเมินผลโดยสังเกตหลาย ๆ ครัง้ กอ่ นตัดสินผล
เกณฑ์การประเมิน
ดี หมายถงึ ความสามารถในการชว่ ยเหลอื ตนเองในการปฏิบตั ิกิจวัตรประจาวนั ไดด้ ว้ ย
ตนเอง
ปานกลาง หมายถงึ ความสามารถในการช่วยเหลอื ตนเองในการปฏิบตั กิ ิจวตั รประจาวัน โดยครู
และเพอ่ื นชน้ี า
ปรบั ปรงุ หมายถึง ช่วยเหลอื ตนเองในการปฏบิ ตั ิกิจวตั รประจาวนั โดยครูและเพอื่ นเตือนบ่อย ๆ
และบางกิจกรรมทาไมไ่ ด้
2. เล่นหรือทำงำนโดยมจี ุดมงุ่ หมำยรว่ มกนั ได้
วธิ กี ารประเมนิ
1. เด็กปฏิบัติกจิ กรรมกลุ่ม โดยที่กลุ่มจะสลับกนั ไป รวมกลุ่มตามความสนใจ ตามหน่วยการเรยี นฯลฯ
ปฏบิ ัติกจิ กรรมต่าง ๆ เชน่ เคลือ่ นไหวและจงั หวะ สรา้ งสรรค์ เลน่ ตามมุม กลางแจง้ เสรมิ ประสบการณ์ เกม
การศึกษา
2. ครปู ระเมนิ ผลการทากจิ กรรมของเด็กเปน็ รายบคุ คล โดยสังเกตหลาย ๆ ครัง้ เพือ่ ให้เกิดความแนใ่ จ
เกณฑก์ ารประเมนิ
ดี หมายถึง เดก็ สามารถเล่นหรอื ทางานรว่ มกบั ผอู้ นื่ ได้ทกุ กจิ กรรมโดยไม่มขี ้อขดั แย้งกบั
สมาชิกในกลุม่
ปานกลาง หมายถึง เดก็ สามารถเล่นหรือทางานรว่ มกับผูอ้ ่ืนไดบ้ างกิจกรรมโดยไมม่ ีขอ้ ขดั แย้
กบั สมาชิกในกลมุ่
ปรบั ปรงุ หมายถงึ เลน่ หรอื ทางานร่วมกับผู้อนื่ ไดบ้ างกจิ กรรมแต่มขี อ้ ขัดแย้งบา้ งทาใหง้ านท่มี ี
จดุ มุ่งหมายรว่ มกันไม่ประสบผลสาเรจ็
3. พบผู้ใหญร่ ูจ้ ักไหว้ทำควำมเคำรพ
วิธกี ารประเมนิ
1. ครูและเด็กสนทนาถึงกจิ วัตรประจาวนั ทเ่ี ด็กดคี วรปฏิบตั ใิ นแต่ละวัน
2. ครูและเด็กร่วมร้องเพลง และสาธติ การไหว้ท่ีถูกวธิ ี
3. ครดู แู ลและสังเกตพฤติกรรมในขณะอย่โู รงเรยี น กอ่ นกลับบ้าน และติดต่อพบปะผ้ใู หญ่รจู้ กั การไหว้ ทา
ความเคารพ
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถงึ เด็กมีมารยาทในการทาความเคารพ ร้จู กั ไหว้ เมื่อพบผใู้ หญ่ทกุ คร้ังสามารถ
WATMUANG ๑๒๙
ปฏิบตั ิได้โดยไมม่ ีผชู้ ้ีนา
ปานกลาง หมายถึง เด็กมีมารยาทในการทาความเคารพ รู้จกั ไหว้ เมอ่ื พบผูใ้ หญ่
เป็นบางคร้งั โดยมผี ู้ชนี้ า
ปรับปรงุ หมายถึง เด็กไม่ทาความเคารพ ต้องอาศัยผู้ชน้ี าทกุ ครัง้
4. รูจ้ ักขอบคณุ เม่ือรบั ของจำกผู้ใหญ่
วิธกี ารประเมนิ
1. ครแู ละเด็กสนทนาถึงกิจวัตรประจาวนั ทเ่ี ด็กดีควรปฏบิ ตั ใิ นแต่ละวัน
2. ครแู ละเด็กรว่ มร้องเพลง และสาธติ วิธรี ับของจากผใู้ หญ่
3. ครดู แู ลและสังเกตพฤติกรรมในขณะอยู่โรงเรียน ก่อนกลบั บา้ น และเมื่อรบั ของจากผู้ใหญ่กลา่ วคาว่า
ขอบคุณ
เกณฑ์การประเมิน
ดี หมายถงึ เด็กมีกิรยิ ามารยาทที่ดี รจู้ กั ใช้คาพดู ขอบคณุ เมื่อรบั ของจากผู้ใหญ่ทุก
ครง้ั และสามารถปฏบิ ัตดิ ้วยตนเองโดยไมม่ ีผชู้ น้ี า
ปานกลาง หมายถงึ เดก็ มีกิรยิ ามารยาททดี่ ี ร้จู ักใช้คาพูดขอบคุณ เม่อื รับของจาก
ผูใ้ หญเ่ ป็นบางคร้งั โดยมผี ้ชู ีน้ า
ปรบั ปรงุ หมายถึง เด็กไมก่ ลา่ วคาขอบคุณเมือ่ รบั ของจากผู้ใหญ่ ตอ้ งอาศยั ผชู้ ้นี าทุกคร้ัง
5. รับผดิ ชอบงำนที่ได้รับมอบหมำย
วิธกี ารประเมนิ
1. ให้เด็กปฏบิ ัติงานตามท่ีครูมอบหมายจากกิจกรรมและหน่วยการเรียน เช่น เกบ็ ของเข้าท่ี การปฏบิ ัตติ าม
คาสง่ั งานกล่มุ งานรายบุคคล งานท่คี รูมอบหมาย ฯลฯ
2. ครคู อยดแู ลและสังเกตพฤติกรรมพร้อมประเมินผลเปน็ รายบุคคลหลาย ๆ คร้ัง
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถึง ความสามารถในการรบั ผดิ ชอบงานที่ไดร้ ับมอบหมายทันเวลาและสง่
งานทุกงานดว้ ยตนเอง
ปานกลาง หมายถงึ ความสามารถในการรับผดิ ชอบงานที่ไดร้ ับมอบหมายทนั เวลาและส่ง
งานทุกงานแต่ครูและเพ่ือน ๆ คอยช้ีนา
ปรบั ปรงุ หมายถงึ ปฏิบตั งิ านท่ไี ด้รับมอบหมายไม่ทันเวลา หรอื ไม่ยอมสง่ งานถึงแมว้ า่ ครู
และเพื่อนจะเตือน
WATMUANG ๑๓๐
กำรประเมินพัฒนำกำรเดก็ ปฐมวยั
พฒั นำกำรด้ำนสติปัญญำ
1. บอกควำมแตกตำ่ งของกลนิ่ สี เสียง รส รปู ร่ำง จำแนก และจัดหมวดหมูส่ ิง่ ของได้
วิธกี ารประเมิน
1. ครนู าผ้าห่อสิ่งต่าง ๆ เหล่าน้ี แลว้ ใหเ้ ดก็ ดมกล่นิ
- มะนาว , มะกรูด , หัวหอม , กระเทียม , น้าหอม , แอมโมเนีย แล้วบอกกลน่ิ
2. ครูนาสเี ทยี นมาใหเ้ ด็กแยกสี
- แดง , น้าเงิน , เขยี วแก่ , เขียวอ่อน , เหลือง , มว่ ง , ชมพู , สม้ , ฟา้ , ขาว , ดา , เทา
3. ครูนาแถบบนั ทกึ เสียงมาใหเ้ ดก็ ๆ ฟัง แลว้ ใหเ้ ด็กบอกเสยี ง ดังน้ี
- ฝนตก , แตรรถ , นกหวดี , ไก่ขัน , ฟ้ารอ้ ง , ฟ้าผา่ , เสียงกริ่ง , เสยี งโทรศพั ท์ , เสียงปะทดั
4. ครูให้เด็กชมิ รส ดงั นี้
- น้าเปลา่ , นา้ โซดา , น้ามะนาว , น้าเกลือ , น้าเชื่อม
5. ครนู าไมบ้ ล็อกมาให้เด็กบอกรูปร่าง ดงั นี้
- สามเหลยี่ ม , ส่เี หลี่ยม , วงกลม , วงรี
6. ครนู าก้อนหิน ใบไม้ เมล็ดพชื ไม้บลอ็ ก สี ใหเ้ ดก็ จาแนกและจัดหมวดหมู่
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถงึ เด็กสามารถบอกความแตกต่างของกลิ่น สี เสยี ง รส รปู ร่างจาแนกและจัด
หมวดหมสู่ งิ่ ของได้ 4 ลักษณะ ดว้ ยตนเอง
ปานกลาง หมายถงึ เดก็ สามารถบอกความแตกตา่ งของกล่ิน สี เสียง รส รูปร่างจาแนกและจัด
หมวดหมสู่ งิ่ ของได้ 3 ลกั ษณะ ด้วยตนเองไดบ้ างกจิ กรรมครแู ละเพือ่ นชน้ี า
ปรับปรุง หมายถงึ เด็กสามารถบอกความแตกต่างของกลิน่ สี เสียง รส รูปร่างจาแนกและ
จดั หมวดหมสู่ ่งิ ของได้ 1-2 ลักษณะ ดว้ ยตนเองไดบ้ างกิจกรรมโดยครูและ
เพ่อื นช้นี า บางกจิ กรรมทาไม่ได้
2. บอกช่ือ นำมสกุล และอำยขุ องตนเองได้
วธิ ีการประเมนิ
1. ครูนาสนทนาใหเ้ ด็กตอบ
2. ครูให้เด็กบอกชื่อจรงิ ชอื่ เล่น นามสกุล อายขุ องตนเอง
3. ครูประเมินและบันทึกผล
เกณฑ์การประเมิน
ดี หมายถึง เดก็ บอกช่ือ นามสกลุ และอายุของตนเองได้ถูกต้องด้วยตนเอง
ปานกลาง หมายถงึ เดก็ บอกชอื่ นามสกลุ และอายุของตนเองไดถ้ ูกต้องโดยการช้นี าของเพอ่ื น
และครู
ปรับปรงุ หมายถึง เดก็ บอกชือ่ นามสกุล และอายขุ องตนเองได้ ถา้ เพ่อื นและครูช้ีแนะ จะบอก
ไดถ้ กู ต้องบางคาเท่านนั้
WATMUANG ๑๓๑
3. พยำยำมหำวธิ แี ก้ปญั หำด้วยตนเอง
วธิ ีการประเมิน
1. ครนู าสนทนาให้เด็กตอบ
2. ประเมินผลความสามารถของเดก็ ในการพยายามแก้ไขปัญหาดว้ ยตนเองจากตารางกิจกรรมประจาวัน
และหนว่ ยการเรียนเรยี นรู้ โดยผา่ นการสนทนา ซกั ถาม สัมภาษณ์ ความสามารถในการแกไ้ ขปัญหาดงั น้ี
- ถ้าเด็ก ๆ วงิ่ ชนเพอ่ื น ในขณะเคลอื่ นไหวร่างกาย เด็ก ๆ จะทาอย่างไร
- ถา้ เด็ก ๆ พบคนแปลกหน้าจะทาอยา่ งไร
- ถา้ เด็ก ๆ อยากเล่นของกบั เพอื่ นคนอน่ื ๆ เด็ก ๆ จะทาอย่างไร
- ถ้ากระดานลืน่ มีคนเลน่ มาก ๆ มีวิธีการอย่างไรทจ่ี ะทาให้เด็ก ๆ เลน่ ได้ทุกคนและรวดเร็ว
- ถ้าเดก็ ๆ ดม่ื นมแลว้ ทานมหก เด็ก ๆ จะทาอยา่ งไร
- ถ้าไฟดบั เด็ก ๆ จะตอ้ งเขา้ ไปในหอ้ ง เด็ก ๆ จะทาอย่างไร
- ถา้ ฝนตก เด็ก ๆ จะกลับบา้ น เด็ก ๆ จะทาอยา่ งไร
3. ครปู ระเมนิ และบันทึกผล
เกณฑ์การประเมิน
ดี หมายถึง ความสามารถในการแกป้ ญั หาดว้ ยตนเองประสบผลสาเร็จปัญหาหมดไป
ทาได้ราบร่นื บอ่ ย ๆ ครัง้ ต้ังแต่ 10 คร้งั ขนึ้ ไปด้วยตนเอง
ปานกลาง หมายถงึ ความสามารถในการแก้ปญั หาดว้ ยตนเองประสบผลสาเรจ็
ปัญหาหมดไป ทาไดร้ าบร่ืนบ่อย ๆ ครั้ง ตั้งแต่ 7 - 8 คร้ังขึ้นไปดว้ ยตนเอง
ปรบั ปรุง หมายถึง ความสามารถในการแกป้ ญั หาดว้ ยตนเองประสบผลสาเร็จ
ด้วยการชี้นาของครูและเพ่ือน ๆ หากให้คิดแกป้ ัญหาเองไม่สามารถทาได้
4. สนทนำโต้ตอบ/เลำ่ เปน็ เรอ่ื งรำวได้
วธิ ีการประเมิน
1. เด็กปฏิบตั กิ ิจกรรมเล่าข่าวและเหตกุ ารณ์ หรือปฏิบตั ิกิจกรรมตามตารางกิจกรรมประจาวนั เชน่ วาด
ภาพระบายสี ปั้นดินน้ามัน เล่นตามมมุ ฯลฯ เด็ก ๆ นาผลงานมานาเสนอ
2. ครูนาสนทนา ให้เดก็ ตอบเรอื่ งราว
3. ครปู ระเมินและบันทกึ ผล
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถึง เด็กสามารถสนทนาโตต้ อบ/เลา่ เรื่องราวเกย่ี วกับผลงานของตนเองไดด้ ้วย
ตนเอง
ปานกลาง หมายถงึ เดก็ สามารถสนทนาโตต้ อบ/เล่าเรอื่ งราวเกยี่ วกับผลงานของตนเองได้โดย
ครแู ละเพื่อนคอยช้นี า
ปรับปรงุ หมายถงึ เด็กสามารถสนทนาโตต้ อบ/เล่าเรอื่ งราวไดเ้ พยี งการคอยตอบคาถามเมื่อ
ครูถามและตอบโต้ไดโ้ ดยการช้ีนาของเพ่ือนและครู
5. สร้ำงผลงำนตำมควำมคิดของตนเอง โดยมรี ำยละเอียดเพม่ิ ข้ึนและแปลกใหม่
วิธกี ารประเมนิ
1. เด็กปฏบิ ตั ิกจิ กรรมสร้างสรรค์ เช่น วาดภาพด้วยสีเทยี น สนี า้ ปั้นดนิ น้ามัน พบั กระดาษ ประดิษฐ์เศษ
WATMUANG ๑๓๒
วสั ดุ
2. ครูดูแลและบันทกึ พฤติกรรม พร้อมจัดแสดงผลงานของเดก็ เป็นรายบคุ คล
3. การประเมนิ ผลโดยการเก็บชิ้นงานครง้ั ก่อนเปรียบเทียบกับผลงานช้นิ ปัจจบุ นั ดูความก้าวหนา้ ของผลงาน
เปน็ รายบคุ คล บนั ทึกผล
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถึง ผลงานทีเ่ ด็กสร้างขึน้ มคี วามก้าวหน้าขน้ึ ตามลาดับ
ปานกลาง หมายถงึ ผลงานทีเ่ ด็กสรา้ งข้นึ มีความก้าวหน้าไม่สมา่ เสมอ ดีขึ้น ลดลง สลับกันไป
ปรบั ปรงุ หมายถึง ผลงานย่าอยทู่ ่ีเดมิ ไมม่ ีการพัฒนาผลงานของตนเอง
6. ร้จู กั ใชค้ ำถำม “ทำไม” “อยำ่ งไร”
วธิ ีการประเมนิ
1. ครูสรา้ งสถานการณห์ รอื เล่านิทานใหเ้ ด็กฟงั
2. ใหเ้ ด็กสนทนาและใชค้ าถาม “ทาไม” “อยา่ งไร”
3. ครูดแู ลและสังเกตการณ์ใช้คาถาม
4. ครบู ันทึกและประเมนิ ผล
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถึง เด็กใชค้ าถาม “ทาไม” “อยา่ งไร” ไดด้ ้วยตนเอง
ปานกลาง หมายถึง เด็กใชค้ าถาม “ทาไม” “อย่างไร” ไดโ้ ดยครแู ละเพ่ือนคอยชน้ี า
ปรับปรุง หมายถงึ เด็กใชค้ าถาม “ทาไม” “อย่างไร” ไม่ได้
7. เริม่ เขำ้ ใจส่งิ ทเี่ ป็นนำมธรรม
วิธกี ารประเมนิ
1. เดก็ ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์ เชน่ สารวจ ทดลอง ค้นคว้า ทัศนศึกษา ฟังอธิบายจาก
วิทยากรเด็ก ๆ เขา้ ใจส่งิ ที่เป็นนามธรรม
2. ครูดูแลและบนั ทกึ พฤติกรรม
3. บันทกึ ผลความก้าวหน้าเป็นรายบคุ คล
เกณฑ์การประเมนิ
ดี หมายถงึ เดก็ เรม่ิ เข้าใจส่ิงท่ีเปน็ นามธรรมด้วยตนเอง
ปานกลาง หมายถงึ เด็กเร่มิ เขา้ ใจสิ่งที่เปน็ นามธรรมด้วยตนเอง โดยการช้นี าของเพอ่ื น
ปรับปรุง หมายถึง เด็กไมเ่ ขา้ ใจสง่ิ ทเี่ ป็นนามธรรม
8. นับปำกเปล่ำได้ถึง 20
วิธกี ารประเมิน
1. ครูประเมนิ ผลความสามารถในการนับปากเปลา่ 1 – 20 จากหนว่ ยการเรยี นรู้และกิจกรรมประจาวัน
2. ครจู ัดสถานการณภ์ ายในห้องเรียน จากเกมศึกษา ในการรบั รแู้ ละนับปากเปลา่ 1 – 20
3. ครูสงั เกตและบนั ทึกผล
เกณฑ์การประเมิน
ดี หมายถงึ เดก็ นับปากเปล่า 1 – 20 ได้ด้วยตนเอง
ปานกลาง หมายถึง เด็กนับปากเปล่า 1 – 20 ไดด้ ว้ ยตนเอง โดยครูและเพื่อนคอยชว่ ยเหลือ
ปรบั ปรงุ หมายถงึ เด็กนบั ปากเปลา่ ได้ไมเ่ กิน 10
WATMUANG ๑๓๓
แบบบันทกึ พฤติกรรมแบบรายวัน
ช่ือ………………………………………………………………………………………………………
ช้นั ………………………………………………………………..
เกิดวนั ท่ี…………………………………………………………
ช่ือครทู ่สี งั เกต………………………………………………………………………..………วันทบี่ นั ทึก……………………………………
สถานท่ี : …………………………………………………………………………………………………………………………………………..
พฤติกรรม……………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ความคดิ เหน็ ของผสู้ อน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………...........................................................................................................................................
WATMUANG ๑๓๔
แบบสำรวจรำยกำรพัฒนำกำรทัง้ 4ดำ้ น
ชอื่ ด.ช/ด.ญ…………………………………………………………………เกิดวันที่………..เดือน……………………..พ.ศ…………
คาชี้แจง โปรดทาเคร่ือง ลงในชอ่ งตรงกบั พฤติกรรมของเดก็
พฒั นำกำร พฤติกรรมเด็ก ครัง้ ท่ี ๑ ครงั้ ท่ี ๒ ครัง้ ท๓ี่ สรปุ
1.ลา้ งมือก่อน ไม่ ปฏบิ ตั ิ ไม่ ปฏบิ ตั ิ ไม่ ปฏบิ ตั ิ
รบั ประทานอาหาร ปฏบิ ตั ิ ปฏิบัติ ปฏิบัติ
และหลังจากใช้
ด้านร่างกาย หอ้ งน้าหอ้ งส้วมได้
ดว้ ยตนเอง
๒.นอนพักผ่อนเวลา
๓.เล่น ทากจิ กรรม
และปฏบิ ัตติ อ่ ผู้อ่นื
อยา่ งปลอดภยั
๑.แสดงอารมณ์
ความรู้สึกได้
สอดคลอ้ งกบั
ด้านอารมณ์ สถานการณ์อย่าง
จติ ใจ เหมาะสม
๒.กลา้ พูดกลา้
แสดงออกอยา่ ง
เหมาะสมตาม
สถานการณ์
๑.จาแนกละจดั กลุ่ม
ส่ิงต่างๆโดยใชต้ ้ังแต่
ด้านสตปิ ัญญา ๒ ลักษณะขัน้ ไปเปน็
เกณฑ์
๒.กระตือรือรน้ ใน
การรว่ มกจิ กรรม
ตัง้ แต่ต้นจนจบ
ข้อเสนอแนะ………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………….......
WATMUANG ๑๓๕
แบบบันทึกกำรสนทนำ
ช่ือ………………………………………………….…………..สกลุ ……………………..................................อำยุ……………
ภำคท่ีเรียน………………/………………………..
กิจกรรม กำรสนทนำขำ่ วและเหตกุ ำรณต์ อนเชำ้
วัน เดอื น ปี คำพดู ของเด็ก ควำมคดิ เห็นผสู้ อน
ขอ้ เสนอแนะ………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
(………………………………………………………..)
นางสาวกฤติกา ศรีสวัสดธ์ิ ารา
ครูประจาชน้ั
WATMUANG ๑๓๖
กำรสรปุ ผลกำรประเมินพัฒนำกำรเดก็ ด้ำนสตปิ ญั ญำ จำแนกตำมมำตรฐำนคณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ของ
นกั เรยี นชน้ั อนบุ ำล ๓ (อำยุ ๕ - ๖ ป)ี
โรงเรียน………………………………………………………………ภำคเรยี นท่ี………ปีกำรศกึ ษำ……………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………………………………………………………
ผลกำรประเมนิ ภำคเรียนท…่ี …….. สรุปพัฒนำกำร
พัฒนำกำร ๓๒๑
ด้ำนสตปิ ัญญำ
มฐ. ๙ ใชภ้ ำษำสือ่ สำรไดเ้ หมำะสมกบั วยั
๙.๑ สนทนาโต้ตอบและเล่าเรื่องใหผ้ อู้ ่ืนเขา้ ใจ
๙.๒ อา่ น เขียนภาพ และสัญลักษณ์ได้
มฐ. ๑๐ มคี วำมสำมำรถในกำรคิดทเี่ ปน็ พื้นฐำนใน
กำรเรียนรู้
๑๐.๑ มคี วามสามารถในการคิดรวบยอด
๑๐.๒ มคี วามสามารถในการคดิ เชงิ เหตผุ ล
๑๐.๓ มคี วามสามารถในการคดิ แก้ปัญหาและ
ตัดสินใจ
มฐ. ๑๑ มีจนิ ตนำกำรและควำมคดิ สร้ำงสรรค์
๑๑.๑ ทางานศิลปะตามจินตนาการและความคิด
สรา้ งสรรค์
๑๑.๒ แสดงทา่ ทาง/เคลอ่ื นไหวตามจนิ ตนาการ
อย่างสร้างสรรค์
มฐ. ๑๒ มีเจตคตทิ ่ีดตี อ่ การเรียนรู้ และมี
ความสามารถในการ แสวงหาความร้ไู ด้เหมาะสมกบั
วยั
๑๒.๑ มเี จตคตทิ ด่ี ตี อ่ การเรียนรู้
๑๒.๒ มคี วามสามารถในการแสวงหาความรู้
สรปุ พฒั นาการเด็กด้านสตปิ ัญญา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
WATMUANG ๑๓๗
WATMUANG 138