หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ๑ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑
หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑
ผู้เรียบเรียง
นางสาวมรรชมณ หลาบเหมทุม
นางสาวสุรีพร จันลาวงศ์
ผู้ตรวจ
นางสาวมรรชมณ หลาบเหมทุม
นางสาวสุรีพร จันลาวงศ์
บรรณาธิการ
นางสาวมรรชมณ หลาบเหมทุม
นางสาวสุรีพร จันลาวงศ์
คำนำ
หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานภาษาไทยหลักภาษาและการใช้ภาษา
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ เล่มนี้ สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อสำหรับประกอบการเรียน
การสอนในรายวิชาพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑
โดยเนื้อหาตรงตามสาระการเรียนรู้แกนกลางขั้นพื้นฐาน อ่านทำความเข้าใจ
ง่าย ทั้งให้ความรู้และช่วยพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรและตัวชี้วัด เนื้อหาสาระแบ่ง
ออกเป็นหน่วยการเรียนรู้ตามโครงสร้างรายวิชา ได้แก่ เสียงในภาษาไทย
การสร้างคำ ชนิดและหน้าที่ของคำ ความแตกต่างของภาษา สำนวน สุภาษิต
คำพังเพย และการแต่งบทร้อยกรอง สะดวกแก่การจัดการเรียนการสอนและ
การวัดผลประเมินผล พร้อมเสริมแบบฝึกหัดและแบบทดสอบ ที่จะช่วยทำให้
ผู้เรียนได้รับความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอขอบพระคุณ ท่านอาจารย์อาจิยา หลิมกุล ที่ได้ให้คำแนะนำและให้
คำปรึกษาในการจัดทำหนังสือเล่มนี้และขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจศึกษา
และมีเนื้อหาที่ควรค่าแก่การเรียนรู้เป็นอย่างมาก
คณะผู้จัดทำ
สารบัญ ๑
๒
บทที่ ๑ เสียงในภาษาไทย ๓
๑ อวัยวะในการออกเสียง ๓
๒ เสียงสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ ๔-๕
๓ รูปสระแทนเสียง ๖-๗
๔ พยัญชนะต้นและตัวสะกด ๘
๕ การผันวรรณยุกต์, ไตรยางศ์ ๙-๑๐
กิจกรรมท้ายบทที่ ๑ ๑๑
แบบทดสอบบทที่ ๑ ตอนที่ ๑ ๑๒
แบบทดสอบบทที่ ๑ ตอนที่ ๒ ๑๓
๑๔
บทที่ ๒ การสร้างคำ ๑๕
๑ คำมูล ๑๖
๒ คำประสม ๑๗
๓ คำซ้อน ๑๘
๔ คำซ้ำ ๑๙-๒๒
๕ คำพ้อง ๒๓
กิจกรรมท้ายบทที่ ๒ ๒๔
แบบทดสอบบทที่ ๒ การสร้างคำ ๒๔
๒๕
บทที่ ๓ ชนิดและหน้าที่ของคำ ๒๕-๒๖
๑ ลักษณะพยางค์ คำ กลุ่มคำ ประโยค ๒๗-๒๘
๒ ส่วนประกอบของประโยค ๒๙-๓๐
๓ ชนิดและหน้าที่ของคำในประโยค ๓๑-๓๒
คำนาม ๓๓
คำสรรพนาม ๓๔-๓๕
คำกริยา ๓๖
คำวิเศษณ์ ๓๗
คำบุพบท ๓๘-๔๑
คำสันธาน
คำอุทาน
กิจกรรมท้ายบทที่ ๓
แบบทดสอบบทที่ ๓
สารบัญ ๔๒
๔๓
บทที่ ๔ ความแตกต่างของภาษา ๔๔
๑ ภาษาพูด ๔๕
ลักษณะ ๔๕
ระดับภาษา ๔๖
๒ ภาษาเขียน ๔๖
ความสำคัญ ๔๗-๔๘
ลักษณะ ๔๙
ระดับภาษา, การใช้ ๕๐-๕๑
กิจกรรมท้ายบทที่ ๔ ๕๒
แบบทดสอบท้ายบทที่ ๔ ๕๓
๕๔-๕๖
บทที่ ๕ สำนวน สุภาษิต คำพังเพย ๕๗
๑ ความหมาย ๕๘-๕๙
๒ ลักษณะ ๖๐
กิจกรรมท้ายบทที่ ๕ ๖๑
แบบทดสอบบทที่ ๕ ตอนที่ ๑ ๖๒
แบบทดสอบบทที่ ๕ ตอนที่ ๒ ๖๓-๖๔
๖๕
บที่ ๖ การแต่งบทร้อยกรอง ๖๖
๑ การแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ ๖๗-๖๘
๒ กาพย์ยานี ๑๑ ๗๐-๗๙
กิจกรรมท้ายบทที่ ๖
กิจกรรมท้ายบทที่ ๖ แต่งกาพย์ยานี ๑๑
แบบทดสอบบทที่ ๖
รวมเฉลยแบบทดสอบท้ายบท
เสียงในภาษาไทย บทที่
๑ตัวชี้วัด
ท ๔.๑ ม.๑/๑
อธิบายลักษณะของเสียงในภาษาไทย
สาระการเรียนรู้แกนกลาง
เสียงในภาษาไทย
เสียงในภาษาไทย
เสียงในภาษาไทย หมายถึง เสียงของมนุษย์ที่เปล่งออกมาเพื่อใช้
ในการสื่อสาร เสียงในภาษาไทย ประกอบด้วยเสียงสระ เสียงพยัญชนะ
และเสียงวรรณยุกต์
อวัยวะในการออกเสียง
อวัยวะที่ใช้ออกเสียง ได้แก่ ปอด หลอดลม และกล่องเสียงที่ลำคอ
เมื่อลมผ่านเส้นเสียงจะทำให้เส้นเสียงสะบัดเกิดเป็นเสียงก้อง ถ้าไม่สะบัดมาก
เสียงก็จะไม่ก้อง จากนั้นลมก็จะถูกปล่อยผ่านไปทางช่องปาก แล้วไปกระทบ
กับ ส่วนต่าง ๆ ของปาก เช่น ลิ้นไก่ ลิ้น ริมฝีปาก ฟัน ปุ่มเหงือก เพดานแข็ง
เพดานอ่อน ทำให้เสียง ถูกกัก กั้นลมด้วยอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในช่องปาก
หรือถูกกักลมในช่องปาก แล้วปล่อยบางส่วน ออกไปทางข้างลิ้น หรือดันลม
ให้เสียดแทรกอวัยวะต่าง ๆ ออกมา หรือดันลมให้ขึ้นจมูก ทำให้เกิดเป็น เสียง
ต่าง ๆ
๒
ลักษณะของเสียงในภาษาไทย
เสียงในภาษาไทย มี ๓ ชนิด คือ เสียงสระ พยัญชนะ และวรรณยุกต์ โดยมี
ลักษณะดังต่อไปนี้
๑. เสียงสระ หรือเสียงแท้ เป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากปอด หลอดลม
กล่องเสียง ผ่านลำคอสู่ช่องปาก ช่องจมูก โดยสะดวก ลมที่เปล่งออกมาจะไม่
ถูกสกัดกั้นจากอวัยวะใด ๆ ในปากแต่จะมีการเปลี่ยนแปลงระดับของลิ้น
และรูปริมฝีปาก โดยการยกลิ้นขึ้นในระดับต่างกันและริมฝีปากห่อมากน้อย
ต่างกันทำให้เกิดเสียงก้อง เส้นเสียงสั่นสะเทือน และสามารถออกเสียงได้
ยาวนาน
๓
๒. เสียงพยัญชนะ หรือเสียงแปร เป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากปอด
หลอดลม กล่องเสียง ผ่านลำคอ ช่องปาก ช่องจมูก โดยให้ลิ้นกล่อมเกลาเสียง
ให้กระทบกับเพดาน ปุ่มเหงือก ฟัน หรือให้ริมฝีปากกระทบกัน ลมที่เกิดขึ้น
จะถูกสกัดกั้นในลำคอ ช่องปากหรือช่องจมูก เสียงที่เกิดขึ้นมีลักษณะเสียงแปร
คือ มีลักษณะแตกต่างกันไป โดยเสียงที่แปรเกิดเป็นเสียงพยัญชนะ
มีจำนวน ๒๑ หน่วยเสียง และมีอักษรแทนเสียงพยัญชนะจำนวน ๔๔ รูป
๔
พยัญชนะควบกล้ำ
อักษรนำ
พยัญชนะต้นสองเสียงที่ออกเสียงร่วมกันสนิท และทำให้เสียง
พยัญชนะตัวที่สองเสียงสูงขึ้นกว่าเดิม เช่น /ห นำ/ หมา หมอ หมู หนู แหน
หนา หนี หงาย หรูหรา หลวม และ /อ นำ/ อย่า อยู่ อย่าง อยาก
เสียงพยัญชนะทั้งสองเสียงประสมกันแต่ไม่กลมกลืนกันสนิท จึงมีเสียง
อะ กลางคำกึ่งเสียง เช่น กนก ขนม ขนุน เฉลิม ฉลาด ตลาด ตลก ตลอด ฝรั่ง
สนาม สนุกสนาน เป็นต้น
๕
มาตราตัวสะกด
พยัญชนะท้ายเสียง หมายถึง เสียงพยัญชนะที่อยู่ท้ายคำหรือพยางค์
เรียกว่า มาตราตัวสะกด มีทั้งหมด จำนวน ๘ เสียง ดังนี้
เสียงพยัญชนะท้ายพยางค์นี้ ถ้าตัวใดมีเครื่องหมายทัณฑฆาต (-์) กำกับอยู่
แสดงว่าพยัญชนะตัวนั้นไม่ต้องออกเสียง จะออกเสียงเฉพาะเสียงพยัญชนะ
ท้าย ตัวที่เหลือ เช่น พิมพ์ (พิม) ศุกร์ (สุก) พจน์ (พด) ทิพย์ (ทิบ) วงศ์ (วง)
พิพัฒน์ (พิพัด)
๖
๓. เสียงวรรณยุกต์หรือเสียงดนตรี เป็นเสียงที่มีทำนองสูงต่ำเหมือนเสียง
ดนตรีโดยจะได้ยินเสียงวรรณยุกต์ขณะที่ออกเสียงพยัญชนะหรือสระ
เสียงวรรณยุกต์นี้บางเสียงถูกสกัดกั้น หรือไม่ถูกสกัดกั้นจึงเกิดเป็นเสียงสูงต่ำ
บางเสียงอยู่ระหว่างเสียงสูงกับเสียงต่ำ บางทีก็เป็นเสียงต่ำ แล้วค่อย ๆ เลื่อนไป
สู่เสียงสูง เสียงวรรณยุกต์มี ๕ เสียง เรียงจากเสียงต่ำไปหาเสียงสูงได้ ดังนี้
เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสี่ยงตรี และเสียงจัตวา
ไตรยางศ์ หรืออักษรสามหมู่
ไตรยางศ์ คือ การจัดพยัญชนะไทยทั้ง ๔๔ รูป แบ่งเป็นสามหมู่เพื่อให้
สะดวกในการผันอักษร ดังนี้
อักษรสูง มี ๑๑ ตัว คือ ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ส ษ ห
อักษรกลาง มี ๙ ตัว คือ ก จ ด ต ฎ ฏ บ ป อ
อักษรต่ำ มี ๒๔ ตัว คือ ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย
รลวฬฮ
สแกน
เพื่ออ่าน
เพิ่มเติม
สระในภาษาไทย การผันวรรณยุกต์ ๗
เสียงในภาษาไทย กิจกรรมท้ายบทที่ ๑
จงสรุปองค์ความรู้ เรื่อง เสียงในภาษาไทย เป็นผังความคิด (Mind Map)
๘
แบบทดสอบ
บทที่ ๑ เสียงในภาษาไทย
ตอนที่ ๑ : เลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดหนึ่งตัวเลือก โดยการวง O รอบตัวเลือก
๑. เสียงพยัญชนะหมายถึงอะไร
ก. เสียงที่เกิดจากลมผ่านปอดและผ่านเส้นเสียง อาจถูกสกัดกั้นบางส่วน
หรือทั้งหมดในลำคอ ช่องปากหรือช่องจมูก
ข. เสียงที่เกิดขึ้นจากปอด ส่งผ่านลำคอ แล้วออกทางจมูก อาจถูกสกัดกั้น
บางส่วน
ค. เสียงเปล่งออกจากปาก โดยผ่านต้นกำเนิดจากลำคอ
ง. เสียงที่เปล่งออกจากท้องผ่านปอดและทางปาก
๒. พยัญชนะในภาษาไทยมีกี่รูปกี่เสียง
ก. ๔๔ รูป ๒๑ เสียง
ข. ๔๐ รูป ๓๖ เสียง
ค. ๔๔ รูป ๔๔ เสียง
ง. ๔๕ รูป ๒๖ เสียง
๓. คำในข้อใดอยู่ในมาตราตัวสะกด แม่กด ทั้งหมด
ก. สูด ผัก ขัง
ข. รัก จัด ชัด
ค. ผัด กัด นัด
ง. ขุด มุง ยัง
๔. คำในข้อใดอยู่ในมาตราตัวสะกด แม่ ก กา
ทั้งหมด
ก. ใส ปลา กบ
ข. เสือ เสา ใคร
ค. เกา เปรม เขา
ง. เรือ ปัด งู
๕. คำในข้อใดมีพยัญชนะต้นเป็นอักษรสูงทั้งหมด
ก. เขียน เรียนอ่าน
ข. ม้า ไป นา
ค. ผึ้ง ฝา หอย
ง. ปลิง สาป ร้าย
๙
๖. ประโยคในข้อใดมีเสียง สามัญ ทั้งหมด
ก. แมวกินปลา
ข. ป่ามีเสือ
ค. เรือใบล่อง
ง. ท่องหนังสือ
๗. ข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์เหมือนกัน
ก. ไก่ กับ ไม่
ข. ปี กับ ดี
ค. เสือ กับ เรือ
ง. เขียว กับ เคียว
๘. คำใดไม่เป็นเสียงวรรณยุกต์ เอก
ก. ห่อหมก
ข. ตกเป็ด
ค. ไก่ไข่
ง. ตาปลา
๙. ข้อใดมีสระเกินมากที่สุด
ก. ฤทัยไปเที่ยวที่จังหวัดเชียงใหม่
ข. ฉันรู้สึกไม่สบายเพราะเป็นไข้หวัดใหญ่
ค. เขาเสียดายคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เจ้าของไม่ดูแล
ง. พระฤๅษีมอบผอบให้จันทโครพนำกลับไปเปิดที่เมืองของตน
๑๐. สำนวนในข้อใดไม่ปรากฏสระประสม
ก. จับแพะชนแกะ
ข. กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา
ค. กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้
ง. เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน
๑๐
แบบทดสอบ
บทที่ ๑ เสียงในภาษาไทย
ตอนที่ ๒ : จับคู่ข้อความที่มีความสัมพันธ์กันให้ถูกต้อง โดยอ่านคำถามด้านขวามือ
แล้วเลือกคำตอบด้านซ้ายมือ มาตอบลงด้านหน้าข้อคำถามที่สัมพันธ์กัน
คำถาม ตัวเลือก
......... ๑) ไม้ไต่คู้ ก) เ-
......... ๒) วิสรรชนีย์ ข) -็
......... ๓) พินทุ์อิ ค) -ู
......... ๔) ฟันหนู ฆ) -ิ
......... ๕) ตีนเหยียด ง) -ะ
......... ๖) ไม้หน้า จ) ฤๅ
......... ๗) นฤคหิต ฉ) ฦๅ
ช) -่
หรือหยาดน้ำค้าง ซ) -า
......... ๘) ลากข้าง ฌ) -ํ
......... ๙) ฝนทอง ญ) -ุ
......... ๑๐) รือ ฎ) -์
ฏ) “
ฐ) โ-
ฑ) ไ-
เฉลย
๑๑
บทที่
๒
การสร้างคำ
ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง
ท ๔.๑ ม.๑/๒ การสร้างคำ
สร้างคำในภาษาไทย - คำประสม คำซ้ำ คำซ้อน
- คำพ้อง
การสร้างคำ
มนุษย์ในยุคปัจจุบันมีการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้น คำศัพท์ต่าง ๆ ก็ต้อง
มีความหลากหลาย เพื่อแสดงอารมณ์ และความรู้สึกนึกคิดออกมาให้ตรง
ตามวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสารมากที่สุด คำมูล ซึ่งเป็นคำดั้งเดิมที่มีใช้ใน
ภาษาไทยมีไม่เพียงพอที่จะนำไปใช้ จึงจำเป็นต้องมีการสร้างคำขึ้นใหม่
ด้วยการประสมคำ ซ้อนคำ และซ้ำคำ
คำมูล
เป็นคำดั้งเดิมที่มีใช้ในภาษาไทย มีความหมายสมบูรณ์ชัดเจนในตัวเอง
อาจเป็นคำไทยแท้ หรือเป็นคำยืมจากภาษาต่างประเทศก็ได้ คำมูลแบ่ง
ออกเป็น ๒ ชนิด ดังนี้
๑๓
คำประสม
เป็นคำที่สร้างขึ้นใหม่โดยการนำคำมูลตั้งแต่สองคำขึ้นไปมารวมกันเกิดเป็น
คำใหม่ ความหมายใหม่ขึ้นคำประสมอาจมาจากการประสมคำไทยกับคำไทย
คำไทยกับคำภาษาต่างประเทศ หรือคำภาษาต่างประเทศประสมกัน
๑) คำประสมที่เกิดความหมายใหม่แต่ยังมีเค้าความหมายเดิม เช่น
เตา + ถ่าน = เตาถ่าน หมายถึง เตาที่ใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิง
เตา + รีด = เตารีด หมายถึง เตาที่ใช้รีดเสื้อผ้า
ผ้า + ขี้ริ้ว = ผ้าขี้ริ้ว หมายถึง ผ้าเก่าขาดที่ใช้เช็ดถูพื้น
๒) คำประสมที่เกิดความหมายใหม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น
ขาย + หน้า = ขายหน้า หมายถึง รู้สึกอับอาย
ราด + หน้า = ราดหน้า หมายถึง อาหารประเภทก๋วยเตี๋ยวมีน้ำ
ปรุงข้น
หัก + ใจ = หักใจ หมายถึง ตัดใจไม่ให้คิดถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ
๓) คำประสมที่เกิดจากการย่อคำให้กะทัดรัด มักขึ้นต้นด้วยคำว่า การ
ความ ของ เครื่อง ชาว นัก ผู้ ช่าง เช่น การค้า ความคิด ของหวาน เครื่องเรือน
ชาวนา นักเรียน ผู้ขาย ช่างภาพ เป็นต้น
ข้อสังเกต
๑. ถ้านำคำมูลสองคำมารวมกันแล้วไม่เกิดความหมายใหม่ ไม่จัดเป็น
คำประสม เช่น
ลูก + ไก่ = ลูกไก่ หมายถึง ลูกของไก่ (เป็นกลุ่มคำ)
ดาว + ลูก + ไก่ = ดาวลูกไก่ หมายถึงชื่อดาว (เป็นคำประสม)
๒. คำภาษาบาลีประสมกับคำสันสกฤตไม่ถือเป็นคำประสม
แต่เป็นคำสมาส เช่น
คุณ + ธรรม = คุณธรรม อ่านว่า คุน-นะ-ทำ
มัธยม + ศึกษา = มัธยมศึกษา อ่านว่า มัด-ทะ-ยม-มะ-สึก-สา
๑๔
คำซ้อน
เป็นการสร้างคำโดยนำคำมูลที่มีความหมายเหมือนกันใกล้เคียงกัน หรือ
ตรงข้ามกัน มาวางซ้อนกัน เกิดคำใหม่ มีความหมายใหม่ โดยความหมายใหม่
อาจกว้างขึ้น หนักแน่นขึ้นหรือเบาลงก็ได้
๑) คำซ้อนเพื่อความหมาย คือ คำซ้อนที่เกิดจากคำมูลที่มีความหมาย
เหมือนกัน ใกล้เคียงกันหรือตรงกันข้ามมาวางชิดกันมีลักษณะดังนี้
ความหมายเหมือนกัน เช่น เสื่อสาด เหาะเหิน พูดจา
ความหมายใกล้เคียงกัน เช่น คัดเลือก แนะนำ เกรงกลัว
ความหมายตรงกันข้ามกัน เช่น ผิดชอบ ชั่วดี ได้เสีย
๒) คำซ้อนเพื่อเสียง คือ คำซ้อนที่เกิดจากการนำคำที่มีเสียคล้องจอง
และมีความหมายสัมพันธ์กันมาซ้อนกันเพื่อให้ออกเสียงได้ง่ายและไพเราะ
มีลักษณะดังนี้
ซ้อนเสียงพยัญชนะต้น เช่น เร่อร่า ท้อแท้ จริงจัง ตูมตาม ซุบซิบ
ซ้อนเสียงสระ เช่น ราบคาบ จิ้มลิ้ม แร้นแค้น อ้างว้าง
ซ้อนเสียงพยัญชนะต้นและสระ เช่น ออดอ้อน อัดอั้น รวบรวม
ซ้อนด้วยพยางค์ที่ไม่มีความหมายแต่มีเสียงสัมพันธ์กับคำที่มีความ
หมาย เช่น พยายงพยายาม กระดูกกระเดี้ยว
ซ้อนด้วยคำที่มีความหมายใกล้เคียงแล้วเพิ่มพยางค์ให้เสียงสมดุลกัน
เช่น สะกิดสะเกา ขโมยขโจร กระดุกกระดิก
คำซ้อน ๔-๖ พยางค์จะมีเสียงสัมผัสภายในคำ เช่น ทรัพย์ในดินสินใน
น้ำ โบกปัดพัดวี ข้าเก่าเต่าเลี้ยง ถ้วยโถโอชาม ประเจิดประเจ้อ
๑๕
คำซ้ำ
คำซ้ำ เป็นการสร้างคำเพื่อให้เกิดความหมายใหม่วิธีหนึ่งโดยการนำ
คำเดิมมากล่าวซ้ำ มี ๒ วิธี ดังนี้
๑) คำซ้ำที่ใช้ไม้ยมก (ๆ) กำกับ เช่น
เด็ก ๆ ไปไหน (เด็ก ๆ หมายถึง เด็กหลายคน)
ของอร่อยๆ ทั้งนั้น (อร่อยๆ หมายถึง ของอร่อยทุกอย่าง ไม่เน้นว่า
อร่อยเพียงใด)
๒) คำซ้ำที่เล่นเสียงวรรณยุกต์ โดยเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์แรกให้สูงขึ้น
เช่น
น้องคนที่หมายเลขสาม ซ้วยสวย (ซ้วยสวย หมายถึง สวยมาก ๆ)
ลองรับประทานก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ไหมคะ พี่เขาบอกว่าอร้อยอร่อย
(อร้อยอร่อย หมายถึงอร่อยมาก)
การสร้างคำมีความจำเป็นในภาษาไทยเพราะช่วยให้มีคำที่มี
ความหมายใหม่ใช้ในภาษาไทยมากขึ้น คำที่สร้างใหม่เหล่านี้ คือ คำประสม
คำช้อน คำซ้ำ คำทั้ง ๓ ชนิดนี้ มีวิธีการสร้างคำที่แตกต่างกัน แต่ล้วนมีพื้นฐาน
ของคำมาจากคำมูล การศึกษาการสร้างคำนอกจากจะช่วยให้รู้จักการสร้างคำ
ใหม่ ๆ มาใช้ในภาษาไทยแล้ว ยังช่วยให้สามารถนำคำแต่ละชนิดไปใช้
ประโยชน์เพื่อการสื่อสารได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
๑๖
คำพ้อง
๑) คำพ้องเสียง หมายถึง คำที่อ่านออกเสียงเหมือนกันแต่สะกด
ต่างกัน มีความหมายต่างกัน
พี่ชอบนั่งดูพระจันทร์ใต้ต้นจันทน์ทุกคืน
(จันทร์ หมายถึง พระจันทร์หรือดวงจันทร์)
(จันทน์ หมายถึง ต้นไม้ชนิดหนึ่ง)
๒) คำพ้องรูป หมายถึง คำที่เขียนเหมือนกันแต่อ่านต่างกันและ
ความหมายต่างกัน เช่น
เราขับรถไปต่อไม่ได้แล้วพี่เพราะเพลาหัก
(เพลา อ่านว่า เพลา หมายถึง แกนสำหรับสอดดุมรถหรือดุมเกวียน)
รีบๆ หน่อย เพลานี้ข้าศึกมาประติดเราแล้ว
(เพลา อ่านว่า เพ-ลา หมายถึง เวลา)
นักเรียนต้องอ่านบริบทให้เข้าใจก่อนจึงจะสามารถอ่านออกเสียงได้
ถูกต้อง
๓) คำพ้องความหมาย (คำไวพจน์) หมายถึง สิ่งใดสิ่งหนึ่งอาจเรียกได้
หลายคำ ทั้งนี้ก็เพราะในภาษาไทย มีคำให้เรียกใช้ได้มากมายตามความเหมาะ
สม เรามักเลือกใช้คำลักษณะนี้ในการแต่งคำประพันธ์ เช่น
คำที่หมายถึง น้ำ ได้แก่ ชล วารี นที สายธารา กระแสสินธุ์
คำที่หมายถึง ดวงจันทร์ ได้แก่ ศศิธร รัชนีกร แข จันทร์ จันทรา แถง
๔) คำพ้องรูปพ้องเสียง เป็นคำที่เขียนเหมือนกันอ่านเหมือนกัน แต่
ความหมายแตกต่างกันเป็นคำต่างชนิดและต่างหน้าที่กัน เช่น
เขาขึ้นเขาไปหาเขากวางมาทำยา
(เขา คำแรกเป็นคำสรรพนาม บุรุษที่ ๓ ทำหน้าที่เป็นประธานขอประโยค)
(เขา คำที่สอง หมายถึง ภูเขา)
(เขา คำที่สาม หมายถึง อวัยวะส่วนที่แข็งมากอยู่บนหัวสัตว์ ซึ่งใช้เป็น
อาวุธในการต่อสู้ป้องกันตัว)
๑๗
การสร้างคำ กิจกรรมท้ายบทที่ ๒
จงสรุปองค์ความรู้ เรื่อง การสร้างคำ เป็นผังความคิด (Mind Map)
๑๘
แบบทดสอบ
บทที่ ๒ การสร้างคำ
เลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดหนึ่งตัวเลือก โดยการวง O รอบตัวเลือก
๑. ข้อใดมีคำประสม คำซ้ำ และคำซ้อนตามลำดับ
ก. มะละกอ ช้า ๆ ขับขี่
ข. แปรงสีฟัน เร็ว ๆ บ้านเรือน
ค. ซูบผอม เล็ก ๆ ใหญ่โต
ง. ร้องไห้ นาน ๆ รักเธอ
๒. คำซ้ำในข้อใดแตกต่างจากข้ออื่น
ก. กินอาหารมัน ๆ จะทำให้เลี่ยน
ข. เธอควรทำการบ้านให้เสร็จเป็นเรื่อง ๆ ไป
ค. ทำไมเธอถึงชอบซื้อของแพง ๆ นัก
ง. ต้มพะโล้ฉันขอแต่เนื้อ ๆ นะคะ
๓. “เมื่อวัน......... คุณพ่อดื่มน้ำ......... ที่ใต้ต้น........... สักพักได้ยิน
เสียงชาวบ้านโจษ............ ถึงเหตุอัศ.........ที่เกิดขึ้น”
จากข้อความข้างต้นควรเติมคำพ้องในข้อใดจึงจะถูกต้อง
ก. จันทร์ จันท์ จันทร์ จัน จรร
ข. จันทร์ จัณฑ์ จันทน์ จัน จรรย์
ค. จัน จันท์ จันทร์ จันทน์ จรรย์
ง. จันท์ จัน จันทร์ จรร จัณฑ์
๔. ข้อใดต่อไปนี้เป็นคำมูล
ก. นาฬิกา
ข. แม่น้ำ
ค. ภูเขา
ง. เรื่อย ๆ
๕. ข้อใดต่อไปนี้เป็นคำซ้อนทั้งหมด
ก. บ้านเรือน หัวใจ
ข. ซูบผอม ใหญ่โต
ค. ปลาทอง กว้างไกล
ง. ผีเสื้อ ป่าไม้
๑๙
๖. ข้อใดต่อไปนี้เป็นคำซ้อนเพื่อเสียงทั้งหมด
ก. วุ่นวาย หน้าตา รองเท้า
ข. งูปลา น้ำตา แก้วน้ำ
ค. สื่อสาร ไพเราะ เหตุผล
ง. เร่อร่า ตูมตาม ท้อแท้
๗. ข้อใดเป็นคำมูลพยางค์เดียว
ก. ศิลป์
ข. ต้นหน
ค. พุทรา
ง. ราตรี
๘. ข้อใดเป็นคำมูลทุกคำ
ก. อารมณ์ สติ ภาษิต
ข. ตักเตือน ภิกษุ ระวัง
ค. แมลงวัน ใจร้าย จิตใจ
ง. สารพัด นมเปรี้ยว น้ำปลา
๙. ข้อใดเป็นคำมูลสี่พยางค์
ก. มหาบุรุษ
ข. ละเอียดลออ
ค. เสบียงอาหาร
ง. กระจุ๋มกระจิ๋ม
๑๐. ข้อใดเป็นคำมูล
ก. ม้านั่ง
ข. แม่มด
ค. กระดาษ
ง. ลูกกวาด
๒๐
๑๑. ข้อใดเป็นคำซ้อนเพื่อความหมาย ๒๑
ก. ร้อน ๆ
ข. พลศึกษา
ค. เดือดร้อน
ง. ผ้าเช็ดหน้า
๑๒. ข้อใดมีคำประสมมากที่สุด
ก. แม่บ้านทำกับข้าวอยู่ในครัว
ข. นักเรียนต้องไม่เป็นคนใจแคบ
ค. ช่างภาพของหนังสือพิมพ์ต้องเป็นคนอย่างไร
ง. ชาวไร่ชาวนาพอใจที่ผู้นำของจังหวัดเหลียวแล
พวกตน
๑๓. คำซ้ำในข้อใดมีความหมายต่างจากเดิม
ก. ใครก็อยากได้แต่ของดี ๆ
ข. ฉันชอบของสวยๆ อย่างนี้
ค. ฉันมีชีวิตตามประสาคนจน ๆ
ง. ของกล้วยๆ อย่างนี้ฉันก็ทำได้
๑๔. ข้อใดต่อไปนี้ต่างจากข้ออื่น
ก. ถ้อยคำ
ข. หลังคา
ค. รากฐาน
ง. คัดเลือก
๑๕. ข้อใดมีคำซ้อนมากที่สุด
ก. เขาเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา
ข. แม่เป็นผู้มีบุญคุณมาก
ค. คนชั่วช้าเลวทรามต้องชดใช้กรรมที่ตนริเริ่มไว้
ง. ผู้บังคับบัญชาต้องเด็ดขาดต่อผู้ใต้บังคับบัญชา
๑๖. ข้อใดคือความหมายของ คำพ้องรูป
ก. คำที่อ่านออกเสียงเหมือนกัน และเขียนเหมือนกัน
ข. คำที่อ่านออกเสียงเหมือนกัน แต่เขียนต่างกัน
ค. คำที่เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายต่างกัน
ง. คำที่เขียนเหมือนกัน และมีความหมายเหมือนกัน
๑๗. ข้อใดต่อไปนี้ มีคำพ้องรูป
ก. ในสระน้ำแห่งนี้ มีปลา แหวกว่ายอยู่ในสระมากมาย
ข. หน้าวัดมีต้นเสมามากมาย ส่วนรอบโบสถ์ก็มีเสมาตั้งอยู่ทุกทิศทาง
ค. ในวิชาวิทยาศาสตร์ ห้ามเด็ก ๆ เล่นสาดน้ำกันเด็ดขาด
ง. ราชบุรี อยู่คนละภาคกับนครศรีธรรมราช
๑๘. ข้อใดให้ความหมายของคำพ้องเสียงได้ถูกต้อง
ก. คำที่มีรูปเขียนเหมือนกันแต่อ่านออกเสียงต่างกันและมีความหมาย
ต่างกัน
ข. คำที่มีรูปเขียนและความหมายต่างกันแต่อ่านออกเสียงเหมือนกัน
ค. คำที่มีรูปเขียนและอ่านออกเสียงเหมือนกันแต่ความหมายต่างกัน
ง. คำคนละคำแต่มีความหมายเหมือนกันและออกเสียงเหมือนกันแต่มี
ความหมายต่างกัน
๑๙. ประโยคใดมีคำพ้องเสียง
ก. ทรายกองนั้นพังทลายลงอีกแล้ว
ข. ฉันเดินวนอยู่ในวนอุทยาน แห่งนั้นจนเพลิน
ค. เธออย่าพยายามซ่อนใบสำคัญการหย่าเลยนะ
ง. นักเรียนต้องเลือกสรรคำเพื่อสรรหาคำที่ดีที่สุด
๒๐. “แม่ขับ............ไป...........น้ำต้นไม้ข้างร้านอาหาร...........ชาติอร่อย”
จากข้อความข้างต้นควรเติมคำพ้องในข้อใดจึงจะถูกต้อง
ก. รถ, รด, รส
ข. รส, รด, รถ
ค. รถ, รส, รด
ง. รด, รถ, รส
เฉลย
๒๒
ชนิดและหน้าที่ของคำ
ตัวชี้วัด บทที่
ท ๔.๑ ม.๑/๓ ๓
วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ของคำในประโยค
สาระการเรียนรู้แกนกลาง
ชนิดและหน้าที่ของคำ
ชนิดและหน้าที่ของคำ
ลักษณะของพยางค์ คำ กลุ่มคำ และประโยค
คำเกิดจากการนำเสียงในภาษาไทย คือ เสียงพยัญชนะ เสียงสระ และ
เสียงวรรณยุกต์ประสมกันแล้วไม่มีความหมายเรียกว่า “พยางค์” ถ้าพยางค์
หนึ่งพยางค์ หรือสองพยางค์ขึ้นไปรวมกัน จะเกิดเป็นคำที่มีความหมายขึ้น
เรียกว่า "คำ" ดังนั้น คำหนึ่งคำอาจมีพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้
ในการสื่อสารเพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน หากใช้เพียงคำพูดเป็นคำ ๆ
หรือกลุ่มคำอาจไม่สามารถสื่อความได้ชัดเจน จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำที่เป็น
ประโยคจึงจะได้ความเด่นชัด ประโยคที่ใช้สื่อสารกันทั่วไป ได้แก่
ประโยคความเดียว (ประโยคสามัญ)ประโยคความรวมและประโยคความซ้อน
ซึ่งความสั้นยาวของประโยคขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ส่งสาร
ดังนั้น จึงต้องศึกษาความสำคัญของประโยค ชนิดและหน้าที่ของคำ
ซึ่งเป็นส่วนประกอบของประโยคให้เข้าใจเพื่อให้การสื่อสารมีความหมาย
ครบถ้วน ชัดเจน และมีประสิทธิภาพ
ส่วนประกอบของประโยคในการสื่อสาร
สารที่ใช้สื่อสารกันส่วนมากจะพูดและเขียนเป็นประโยคหรือวลี
ประโยคประกอบด้วยส่วนสำคัญ ๒ ส่วน คือ ภาคประธานและภาคแสดง
๑) ภาคประธาน ได้แก่ ส่วนที่เป็นผู้กระทำ อาจจะมีส่วนขยายหรือ
ไม่มีก็ได้
๒) ภาคแสดง ได้แก่ ส่วนที่บอกอาการหรือบอกสภาพของประธาน
อาจมีส่วนขยายหรือไม่มีก็ได้ ส่วนขยายอาจเป็นคำ วลี หรือประโยคก็ได้
๒๔
ชนิดและหน้าที่ของคำในประโยค
คำในภาษาจำแนกได้เป็น ๗ ชนิด คือ คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา
คำวิเศษณ์ คำบุพบท คำสันธาน และคำอุทานการที่คำไทยคำเดียวมีหลาย
ความหมายและหลายหน้าที่ทั้งการจัดลำดับคำในประโยคเรียงผิดตำแหน่งจะ
ทำให้หน้าและความหมายผิดไป นักเรียนจึงต้องเรียนรู้ชนิดและหน้าที่ของคำ
ในประโยคเพื่อให้ผู้รับสารและผู้ส่งสารเข้าใจได้ตรงกัน และประสบผลสำเร็จ
ในการสื่อสาร รวมถึงหน้าที่การงานตามจุดประสงค์
๑. หมวดคำนาม
คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สภาพ ลักษณะ และอาการของ
สิ่งมีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต ทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
๑) ประเภทของคำนาม แบ่งได้ ๕ ประเภท ต่อไปนี้
๑.๑) คำนามที่เรียกชื่อทั่วไป ได้แก่ ชื่อบุคคล ชื่อสัตว์ ชื่อสิ่งของ
ชื่อสถานที่ เช่น พ่อ ช้าง สมุด โรงเรียน ธนาคาร เป็นต้น
๑.๒) คำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ ได้แก่ ชื่อบุคคล ชื่อสัตว์ ชื่อสิ่งของ
และชื่อสถานที่ เช่น พระอภัยมณี ช้างก้านกล้วย หนังสือเรียนภาษาไทย
สถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นต้น
๑.๓) คำนามที่บอกความเป็นหมู่พวก กลุ่ม หรือคณะ ได้แก่ ชื่อ
บุคคล ชื่อสัตว์ ชื่อสิ่งของ และชื่อสถานที่ เช่น คณะนักเรียนโรงเรียนบ้าน
หนองน้ำใส โขลงข้างพัง กองหนังสือ หมู่บ้านท่าข้าม เป็นต้น
๑.๔) คำนามที่เป็นนามธรรม ไม่มีขนาดและรูปร่าง แต่สามารถสื่อ
ความหมายได้เข้าใจ ดังนี้
"การ" หรือ "ความ" นำหน้าคำกริยาเรียกว่า อาการนาม เช่น
การกิน การนอน การเดิน การนั่ง ซึ่งคำที่มี "ความ" นำหน้า มักเป็นคำวิเศษณ์
หรือคำที่เกี่ยวกับจิตใจ เช่น ความรัก ความซื่อสัตย์
"การ" นำหน้าคำนาม จัดเป็นนามทั่วไป เช่น การบ้าน การเมือง
การครัว การคลัง
๑.๕) คำนามที่ใช้บอกลักษณะของนาม บางทีเรียก ลักษณนาม
คำนามประเภทนี้บอกให้ทราบถึงลักษณะของสิ่งที่กล่าวถึงว่า
มีรูปพรรณ-สัณฐานเป็นอย่างไร เช่น
บ้านเรือน มีลักษณนามเป็น หลัง
รถ ร่ม มีลักษณนามเป็น คัน
ดินสอ มีลักษณนามเป็น แท่ง ๒๕
๒) หน้าที่ของคำนามในประโยค คำนามมีหน้าที่ในประโยค ดังนี้
๒.๑) ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น
คณะรัฐมนตรีกำลังประชุมที่รัฐสภา
ปลาฉลามกัดนักท่องเที่ยวที่กำลังเล่นน้ำทะเล
๒.๒) ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค เช่น
ลูก ๆ กำลังอ่านหนังสือเรียน
เด็ก ๆ ชอบเล่นตุ๊กตา
๒.๓) ทำหน้าที่เป็นกรรมตรงและกรรมรอง โดยคำที่อยู่หลังกริยาเป็น
กรรมตรง ถ้ามีคำว่า แก่ หรือ ให้ อยู่ข้างหน้าคำนามนั้น เรียกว่า กรรมรอง เช่น
แม่ให้เงินแก่น้องทุกวัน
(เงิน เป็นกรรมตรง ส่วนน้อง เป็นกรรมรอง)
เราส่งสิ่งของต่าง ๆ ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม
(สิ่งของต่าง ๆ เป็นกรรมตรง ส่วนผู้ประสบภัยน้ำท่วม เป็นกรรมรอง)
๒.๔) ทำหน้าที่ขยายคำอื่นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ได้แก่ ขยายคำนาม คำกริยา เช่น
นายณรงค์ รักดี คณะกรรมการหมู่บ้านกล่าวเปิดงานวันสิ่งแวดล้อมไทย
(นายณรงค์ รักดี เป็นคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ คณะกรรมการหมู่บ้าน
เป็นคำนามทั่วไปที่ขยายนามชื่อเฉพาะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น)
พ่อนอนเล่นที่เก้าอี้ (เก้าอี้ เป็นคำนามขยายคำกริยาเพื่อบอกสถานที่)
เรากำลังรับประทานอาหารว่างตอนบ่าย
(อาหารว่างตอนบ่าย เป็นคำนามขยายกริยาและบอกเวลาตอนบ่าย)
๒๖
๒. หมวดคำสรรพนาม
คำสรรพนาม คือ คำที่ใช้แทนชื่อคน สัตว์ สิ่งของ มักใช้ในการพูด เช่น ผม
ฉัน ดิฉัน คุณ ท่าน เขา เรา เป็นต้น
๑) ประเภทของคำสรรพนาม แบ่งได้ ๗ ประเภท ดังนี้
๑.๑) คำสรรพนามที่ใช้ในการพูด (บุรุษสรรพนาม) ได้แก่
การใช้คำสรรพนามบางครั้งสามารถใช้ตำแหน่งหรือหน้าที่แทนได้
๑.๒) คำสรรพนามชี้ระยะ
คือ คำสรรพนามที่ใช้แทนคำนามที่อยู่ใกล้ หรือห่างและไกล
จากผู้พูด ได้แก่ คำว่า นี่ นั่น โน่น
๑.๓) คำสรรพนามที่ใช้เป็นคำถาม ได้แก่ คำว่า ใคร อะไร ไหน
๑.๔) คำสรรพนามบอกความไม่เจาะจง ไม่กำหนดว่าเป็นใคร อะไร
ที่ไหน สิ่งใด หรือผู้ใด ไม่ต้องการคำตอบ มักใช้พูดลอย ๆ เชิงปรารภ
๑.๕) คำสรรพนามบอกความชี้ซ้ำ แบ่งพวก หรือรวมพวก ได้แก่ ต่าง
บ้าง กัน คำสรรพนามประเภทนี้มักใช้ชี้ซ้ำกับคำนามที่อยู่ข้างหน้า
๑.๖) คำสรรพนามเชื่อมประโยค ใช้แทนนามที่อยู่ข้างหน้าและทำหน้าที่
เชื่อมประโยคหลักและประโยคย่อยให้เป็นประโยคเดียวกันซึ่งมีลักษณะเป็น
ประโยคความช้อน โดยคำที่ใช้แทนนามและใช้เชื่อมประโยคนี้ ได้แก่ คำว่า ที่
ซึ่ง อัน ผู้
๑.๗) คำสรรพนามที่เน้นคำนามที่อยู่ข้างหน้า เพื่อบอกความรู้สึกของผู้
พูดที่มีต่อผู้ที่กล่าวถึงข้างหน้าคำสรรพนามประเภทนี้มักเป็นคำสรรพนามบุรุษ
ที่ ๓
๒๗
๒) หน้าที่ของคำสรรพนาม เนื่องจากคำสรรพนาม คือ
คำที่แทนคำนาม
ฉะนั้น คำสรรพนามจึงมีหน้าที่เหมือนคำนาม ดังนี้
๒.๑) คำสรรพนามทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น
ผมซื้อของมาฝากคุณยายครับ
ใคร ๆ ก็รุมซื้อจนทำไม่ทัน
๒.๒) คำสรรพนามทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค เช่น
คุณแม่ให้ฉันไปตลาด
เราถูกนายจ้างให้ออกจากงาน
๒.๓) คำสรรพนามทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มในประโยค มักตาม
หลังคำว่า เป็น เหมือน
น้องนิดหน้าตาเหมือนเธอมาก
ถ้าฉันเป็นเขานะฉันจะขยันมากกว่านี้
๒.๔) คำสรรพนามทำหน้าที่เป็นคำขยาย เช่น
สุดาหยิบกระเป๋าใบนั้นให้ฉันหน่อย
(นั้นเป็นคำสรรพนามขี้เฉพาะขยายคำว่ากระเป๋า)
ของที่ถืออยู่นั่นเป็นอะไร
(นั่น เป็นคำสรรพนามไม่เจาะจงขยายคำว่าของในมือ)
๒๘
๓. หมวดคำกริยา
คำกริยา คือ คำที่แสดงอาการ บอกสภาพ หรือแสดงการกระทำ
ของประธานในประโยค หากขาดคำกริยาจะสื่อสารกันไม่เข้าใจ คำกริยา
จึงเป็นคำสำคัญในประโยคซึ่งอาจจะเป็นคำแสดงอาการคำเดียวหรือเป็นกลุ่ม
คำก็ได้ เช่น นั่ง นั่งเล่น ดู ดูแล ร้อง ร้องเรียก เรียกร้อง ร้องเพลง นั่งร้องเพลง
เป็นต้น
๑) ประเภทของคำกริยา แบ่งได้ ๔ ประเภท ดังนี้
๑.๑) คำกริยาที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่ต้องมีกรรมมารับ
ข้างท้าย เป็นคำที่บอกอาการแล้วผู้ฟังสามารถเข้าใจได้ทันที อาจมีคำขยาย
กริยา หรือคำบุพบทประกอบประโยคก็ได้ เช่น ร้องเพลง เต้นรำ เป็นต้น
๑.๒) คำกริยาที่ต้องมีกรรมมารับ คำกริยาชนิดนี้ถ้าไม่มีกรรมมารับ
ข้างท้ายจะทำให้ผู้ฟังไม่เข้าใจเพราะความหมายยังไม่สมบูรณ์ เช่น
ฉันไป (โรงเรียน)
(จากประโยคข้างต้น ไม่สามารถบอกได้ว่า ไปไหน)
๑.๓) คำกริยาที่ต้องมีส่วนเติมเต็ม เพราะใจความของประโยค
ยังไม่สมบูรณ์ ต้องมีคำนามหรือสรรพนามมารับข้างท้ายจึงจะได้ใจความ
สมบูรณ์ คำกริยาประเภทนี้ได้แก่คำว่า เป็น เหมือน คล้าย เท่า แปลว่า
หมายความว่า เท่ากับ ราวกับ คือ
๑.๔) คำช่วยกริยา เป็นคำที่ไม่มีความหมายในตัวเองต้องอาศัยกริยา
สำคัญในประโยค ช่วยสื่อความหมายในประโยคให้ชัดเจนยิ่งขึ้น คำช่วยกริยา
เป็นคำที่บอกความรู้สึก การคาดคะเนการขอร้อง บังคับโดยกริยาช่วยบางคำ
จะอยู่ท้ายประโยค ถ้าเอาคำช่วยกริยาออกก็ไม่ทำให้ขาดใจความสำคัญ
๒๙
๒) หน้าที่ของคำกริยา มีดังนี้
๒.๑) เป็นคำแสดงอาการหรือบอกสภาพของประธาน เช่น
ไก่จิกข้าวที่ตากบนลาน
นกอินทรีบินร่อนบนท้องฟ้า
๒.๒) คำริยาทำหน้าที่ขยายนาม เช่น
คุณยายทำอาหารถวายพระทุกวัน
(ทำอาหาร เป็นกริยาสำคัญ ถวาย เป็นคำกริยาขยายนาม พระ)
พี่ชวนฉันไปทะเล
(ชวน เป็นกริยาสำคัญ ไป เป็นคำกริยาขยาย ทะเล)
๒.๓) คำริยาที่ทำหน้าที่เหมือนคำนาม เช่น
สูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อชีวิตเป็นพิษต่อคนใกล้เคียง
(สูบบุหรี่ เป็นคำกริยา ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคเหมือนคำนาม)
พูดดีเป็นศรีแก่ตัว
(พูดดี เป็นคำกริยา ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคเหมือนคำนาม)
๓๐
๔. หมวดคำวิเศษณ์
คำวิเศษณ์ คือ คำที่ประกอบคำอื่นและช่วยขยายคำอื่นให้มีเนื้อความ
แปลกออกไป ทำให้ใจความในประโยคสมบูรณ์ด้วยอารมณ์ ความรู้สึก และ
จินตนาการ
๑) ประเภทของคำวิเศษณ์ จำแนกย่อยได้ ๙ ประเภท ดังนี้
๑.๑) คำวิเศษณ์บอกลักษณะ เช่น
นางสาวไทยผิวขาวสวยจริง ๆ
ขนมไทยทอมหวาน
รับประทาน
๑.๒) คำวิเศษณ์บอกเวลา เช่น
ลูกนอนดึกมากจึงตื่นสาย
วันนี้คุณดื่มนมหรือยัง
๑.๓) คำวิเศษณ์บอกสถานที่ เช่น
บ้านน้องอยู่ฝั่ งซ้าย บ้านพี่อยู่ฝั่ งขวา
บ้านของเขาอยู่ใกลจากบ้านของเธอ
๑.๔) คำวิเศษณ์บอกปริมาณหรือจำนวน เช่น
เปิดเทอมนี้แม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนจำนวนมาก
ลูกทุกคนต่างมากราบขอพรแม่
๑.๕) คำวิเศษณ์บอกความไม่ขี้เฉพาะ เช่น
หนูทำงานอะไรก็ได้
ไม่มีใครรักเธอเท่าแม่
๑.๖) คำวิเศษณ์บอกความขี้เฉพาะ เช่น
บ้านโน้นเขามีงานแต่งงาน
เด็กคนนี้เป็นลูกของฉัน
๑.๗) คำวิเศษณ์แสดงคำถาม เช่น
วิชาใดที่เธอชอบเรียนมากที่สุด
มีอะไรหายไปบ้าง
๑.๘) คำวิเศษณ์แสดงการร้องเรียก ขานรับ หรือแสดงความสุภาพ
เช่น
แสงเอ๊ย เปิดประตูให้ยายหน่อย
คุณตาครับ ผมขออนุญาตไปเล่นดนตรีกับเพื่อนนะครับ
๑.๙) คำวิเศษณ์แสดงความปฏิเสธ เช่น
อย่าเปิดประตูรับคนแปลกหน้า
ไม่ใช่เธอคนเดียวลำบาก คนอื่น ๆ ก็ลำบากเหมือนกัน
๓๑
๓) หน้าที่ของคำวิเศษณ์
คำวิเศษณ์ เป็นคำที่ขยายคำอื่น ทำให้ความหมายของคำต่าง ๆ กระจ่าง
ชัดเจนยิ่งขึ้น คำวิเศษณ์จึงมีหน้าที่ ดังนี้
๒.๑) คำวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายคำนาม เช่น
คนดีธรรมะย่อมคุ้มครอง
เด็กเล็ก ๆ กำลังว่ายน้ำในสระ
๒.๒) คำวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายคำสรรพนาม เช่น
ใครโง่ที่หลงไปเป็นเหยื่อเขา
๒.๓) คำวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายคำกริยา เช่น
นลินีพูดจาไพเราะ
๒.๔) คำวิเศษณ์ทำหน้าที่ขยายคำวิเศษณ์ เช่น
เด็ก ๆ ไม่ควรนอนดึกเกินไป
เด็กชายพชรเป็นเด็กฉลาดเฉียบแหลม เก่ง และดี
๒.๕) คำวิเศษณ์ทำหน้าที่เป็นคำบอกสภาพและเป็นตัวแสดงกริยา
อาการ เช่น
กล้วยเครือนี้แก่จัดแล้ว (แก่จัดแล้ว เป็นคำวิเศษณ์แสดงสภาพ)
๓๒
๕. หมวดคำบุพบท
คำบุพบท คือ คำที่ใช้เชื่อมคำต่อคำ มักอยู่หน้าคำนาม คำสรรพนาม หรือ
คำกริยา มีคำว่า ด้วย โดย ใน ของ แห่ง กับ. แก่ แด่ ต่อ เป็นต้น คำบุพบทมัก
จะนำหน้าคำ หรือกลุ่มคำ เพื่อบอกความสัมพันธ์ระหว่างข้อความข้างหน้า
กับคำ หรือกลุ่มคำข้างหลัง
การใช้และหน้าที่ของคำบุพบท
ข้อสังเกต
คำบุพบทจะใช้บอกความสัมพันธ์ระหว่างข้อความข้างหน้าและ
ข้างหลัง ดังนั้น คำบุพบท จึงต้องอยู่หน้าคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา
และคำวิเศษณ์ เช่น
๑. นำหน้าคำนาม เช่น อย่าหักพร้าด้วยเข่า ของขวัญนี้เพื่อน้องนะจ๊ะ
๒. นำหน้าคำสรรพนาม เช่น พี่ดีต่อฉันมาก พระท่านให้พรแก่
พวกเรา
๓. นำหน้าคำกริยา เช่น เขาเป็นคนเนแก้ได้หนังสือนี้เขาใช้สำหรับ
ค้นคว้าเท่านั้น
๓๓
๖. หมวดคำสันธาน
คำสันธาน คือ คำที่เชื่อมประโยคกับคำ เชื่อมประโยคกับกลุ่มคำ หรือ
เชื่อมประโยคกับประโยครวมให้เป็นประโยคเดียวกัน ทำให้ประโยคชัดเจน
กะทัดรัด สละสลวยยิ่งขึ้น
ดังนั้น ประโยคที่เกิดใหม่จึงสามารถแยกเป็นประโยคความเดียวได้ตั้งแต่
๒ ประโยคขึ้นไป จะพบคำสันธานในประโยค ความรวมและประโยคความ
ซ้อน ดังเช่นตารางต่อไปนี้
หน้าที่ของคำสันธาน คำสันธานมีหน้าที่ ดังนี้
๑.๑) เชื่อมคำกับคำ เช่น
ฉันกับเธอเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยเหมือนกัน
(เชื่อม ฉัน กับ เธอ)
๑.๒) เชื่อมคำกับกลุ่มคำ เช่น
คุณพ่อและญาติๆ ของฉันต่างเลี้ยงฉลองแสดงความยินดีที่ฉันได้รางวัล
(เชื่อมคุณพ่อ และญาติๆ ของฉัน)
๑.๓) เชื่อมประโยคกับประโยค เช่น
เธอจะเอาสายสร้อยหรือเอานาฬิกา
(เชื่อมประโยคเธอจะเอาสายสร้อย กับ เธอจะเอานาฬิกา ด้วยคำว่า
หรือ เพื่อให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)
๓๔
ข้อสังเกต
๑. การใช้คำสันธานเชื่อมประโยคบางครั้งอาจละคำสันธานไว้ในฐานที่
เข้าใจ เช่น (เมื่อ) น้ำมา ปลา (ก็) กินมด (แต่พอ) น้ำลด มด (ก็) กินปลา
๒. คำว่า ให้ เป็นคำริยา แต่เมื่อนำมาเชื่อมประโยค ก็ทำหน้าที่เป็น
คำสันธาน เช่น
กรรมกรชุมนุม
กรรมกรเรียกร้องรัฐบาล
รัฐบาลขึ้นค่าแรง
รวมเป็นประโยคความซ้อน กรรมกรชุมนุมและเรียกร้องรัฐบาล
ให้ขึ้นค่าแรง โดยมีคำสันธาน และ กับ ให้ เชื่อมประโยค
๓. คำสรรพนามเชื่อมความ ที่ ซึ่ง อัน ผู้ เมื่อเชื่อมประโยคจะทำหน้าที่เป็น
คำสันธาน เช่น เขาทำงาน เขาต้องอดทนมาก เชื่อมประโยคเป็น เขาทำงาน
ที่ต้องใช้ความอดทนมาก
๔. คำสันธานอาจเป็นคำชนิดอื่น เช่นเดียวกับคำสรรพนามในข้อ ๓ แต่เมื่อ
ทำหน้าที่เชื่อมคำ กลุ่มคำ หรือประโยค คำนั้นก็เป็นคำสันธาน เช่น
เขาทำงานระหว่างเรียน
(ระหว่าง เป็นคำบุพบทเพราะอยู่หน้าคำกริยา)
เขาทำงานระหว่างน้องชายนอนหลับ
(ระหว่าง เป็นคำสันธานเพราะเชื่อมประโยค)
๓๕
๗. หมวดคำอุทาน
คำอุทาน คือ คำหรือเสียงที่เปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์ ความรู้สึก
ต่าง ๆ เช่น ดีใจ เสียใจ พอใจ ตกใจ แปลกใจ เป็นต้น คำอุทานไม่มี
ความหมายสำคัญในประโยค แต่ทำให้ผู้รับสารเข้าใจเจตนา และความรู้สึก
ของผู้ส่งสารชัดเจนยิ่งขึ้น
ประเภทของคำอุทาน แบ่งได้ ๒ ประเภท ดังนี้
๑.๑) คำอุทานบอกอารมณ์ ความรู้สึก เช่น
ตายจริง ! ฉันลืมปิดเตาแก๊ส (ตายจริง อุทานด้วยความตกใจ)
ไชโย ! สวนกุหลาบชนะแล้ว (ไชโย อุทานด้วยความดีใจ)
๑.๒) คำอุทานเสริมบท เป็นคำที่ไม่ได้บอกอารมณ์ความรู้สึก
ของผู้พูด แต่ใช้ในการสนทนาเพื่อแสดงความรู้สึกคุ้นเคยและทำให้
การสนทนามีรสชาติขึ้น เช่น
ความประพฤติของหลาน ๆ ทำให้ย่าหนักอกหนักใจมากนะ
เธอเห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตอหรืออย่างไร
การใช้คำอุทานทำให้ผู้รับสารเกิดอารมณ์คล้อยตาม สนุกสนานตาม
เนื้อเรื่อง และเห็นภาพพจน์ชัดเจนยิ่งขึ้น
๓๖
ชนิดและหน้าที่ของคำ กิจกรรมท้ายบทที่ ๓
จงสรุปองค์ความรู้ เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ เป็นผังความคิด
(Mind Map)
๓๗
แบบทดสอบ
บทที่ ๓ ชนิดและหน้าที่ของคำ
เลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดหนึ่งตัวเลือก โดยการวง O รอบตัวเลือก
๑. ข้อใดเป็นคำนามทั้งหมด
ก. สมชาย เดิน หัวเราะ
ข. สมหญิง กิน ปลา
ค. สมศรี ด้าม โทรศัพท์
ง. สมบุญ วิ่ง เลี้ยว
๒. “สมุหนาม” คือคำนามประเภทใด
ก. คำนามที่ใช้บอกหมวดหมู่
ข. คำนามที่ใช้บอกอาการ
ค. คำนามที่ใช้บอกลักษณะ
ง. คำนามที่ชี้เฉพาะ
๓. “วิสามานยนาม” เป็นคำนามประเภทใด
ก. คำนามที่ใช้บอกหมวดหมู่
ข. คำนามที่ใช้บอกอาการ
ค. คำนามที่ใช้บอกลักษณะ
ง. คำนามที่ชี้เฉพาะ
๔. ประโยคในข้อใดมีคำ “สรรพนาม”
ก. สมศรีจะไปดูหนัง
ข. สมชายจะไปเที่ยว
ค. ฉันจะไปกินข้าว
ง. สมหญิงจะไปว่ายน้ำ
๕. คำ “กริยา” ที่ไม่ต้องการกรรมมารับ คือคำกริยาประเภทใด
ก. สกรรมกริยา
ข. อกรรมกริยา
ค.วิกตรรถกริยา
ง. กริยานุเคราะห์
๓๘
๖. ประโยคใดไม่มี “คำวิเศษณ์”
ก. ฉันไม่ได้สัญญาว่าจะไปเที่ยวกับเธอนะ
ข. ใครมากดกริ่งหน้าบ้าน
ค. ทุเรียนแพงอย่างที่คาดไม่ถึง
ง. ทำไมกินจุจัง
๗. ข้อใดใช้ “สมุหนาม” ได้ถูกต้อง
ก. ฉันเห็นช้างป่าสองตัว
ข. ช้างวิ่งมาเป็นฝูง
ค. มีดหายไปไหนหนึ่งด้าม
ง. ฉันมีปากกาสามแท่ง
๘. คำว่า มาก ในข้อใดทำหน้าที่ขยายคำวิเศษณ์ด้วยกัน
ก. เขารักเธอมาก
ข. เพื่อนของฉันคนนี้เรียนเก่งมาก
ค. ผู้หญิงคนนี้มีความขยันมาก
ง. ผมไม่มีเวลามากนะ
๙. คำสรรพนามในข้อใดทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค
ก. น้ำตาลเห็นเขาที่สวนสาธารณะ
ข. ฉันกับเธอไปซื้อของด้วยกัน
ค. พวกเราไม่สนับสนุนคนคดโกง
ง. คุณย่าท่านชอบไปทำบุญที่วัด
๑๐. “ด้านฝั่ งขวาของแม่น้ำท่าจีนตอนหนึ่งมีต้นลำพูใหญ่”
คำใดเป็นคำวิเศษณ์
ก. ขวา
ข. ใหญ่
ค. หนึ่ง
ง. ถูกทุกข้อ
๓๙
๑๑. ข้อใดเป็นสรรพนามที่บอกความไม่เจาะจง
ก. เธอเอาการบ้านไปส่งใคร
ข. ใครเอาสับปะรดมาให้
ค. ใคร ๆ ก็เข้าประกวดการอ่านทำนองเสนาะ
ง. แม่ของใครได้เป็นนายกสมาคมศิษย์เก่า
๑๒. พระสงฆ์พูดกับฆราวาส ท่านจะใช้สรรพนามแทนตัวท่านเองว่าอะไร
ก. ผม
ข. ฉัน
ค. ข้าพเจ้า
ง. อาตมา
๑๓. กริยาในข้อใดเป็นกริยาที่ต้องมีส่วนเติมเต็ม
ก. คนไทยย่อมรักประเทศไทย
ข. ครอบครัวคือกำแพงแห่งชีวิต
ค. นักเรียนยืนดูหนังสือเตรียมสอบ
ง. วันชัยทำผิดระเบียบของโรงเรียน
๑๔. “เขาเป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่”ข้อความนี้ใช้คำกริยาลักษณะใด
ก. กริยาช่วย
ข. กริยาที่ต้องมีกรรม
ค. กริยาไม่ต้องมีกรรม
ง. กริยาอาศัยส่วนเติมเต็ม
๑๕. ข้อใดไม่ใช่คำวิเศษณ์บอกปริมาณ
ก. สุนัขตัวเล็กกินจุ
ข. ที่ดินทั้งหมดเป็นของวัด
ค. บ้านนั้นมีคนอยู่หลายคน
ง. อย่าเปิดไฟทิ้งไว้ถ้าไม่อยู่บ้าน
๔๐
๑๖. ข้อใดใช้คำบุพบทเหมาะสมกับประโยค
ก. ฉันเห็นกับตาว่าเขาขโมยเงิน
ข. เขาแสดงความเห็นกับหัวหน้า
ค. ยายให้รางวัลแด่เด็ก ๆ ที่ขยันเรียน
ง. นกสอบได้ที่หนึ่งเป็นรางวัลให้แก่แม่
๑๗. “ เขาชนะเลิศการประกวดร้องเพลง เพราะเขาฝึกซ้อมอย่างหนัก”
ข้อความนี้ใช้คำสันธานเชื่อมความชนิดใด
ก. เหตุผล
ข. คล้อยตาม
ค. เปรียบเทียบ
ง. เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
๑๘. “ไชโย ! เราชนะแล้ว”เป็นคำอุทานที่แสดงถึงข้อใด
ก. เข้าใจ
ข. เสียใจ
ค. สงสัย
ง. ดีใจ
๑๙. ข้อใดมีกริยาที่มีกรรมมารองรับ
ก. เขานั่งเล่น
ข. เขาเดินเรือ
ค. เครื่องจักรกำลังทำงาน
ง. งานของเขากำลังเดินก้าวหน้า
๒๐. ข้อใดมีคำบุพบทบอกความเป็นเจ้าของ
ก. ข้าวในนา
ข. ฉันมากับเขา
ค. สละชีพเพื่อชาติ
ง. สนามกีฬาแห่งชาติ
เฉลย
๔๑
บทที่
๔
ความแตกต่างของภาษา
ตัวชี้วัด
ท ๔.๑ ม.๑/๔
วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างภาษาพูด
และภาษาเขียนตามความสนใจ
สาระการเรียนรู้แกนกลาง
- ภาษาพูด
- ภาษาเขียน
ความแตกต่างของภาษา
ภาษาพูด
การพูดเป็นการสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง รวมทั้งกิริยาอาการ ถ่ายทอด
ความรู้ ความคิด ความรู้สึก จินตนาการ และความต้องการของผู้พูดให้ผู้ฟังรับรู้
และตอบสนอง
ดังนั้น การพูดจึงมีความสำคัญมาก เพราะคำพูดเป็นสื่อทำให้
การสื่อสารสัมฤทธิ์ผล อีกทั้งสามารถทำให้คนรักและคนซังได้ ดังที่สุนทรภู่กล่าว
ไว้ในนิราศภูเขาทองและเพลงยาวถวายโอวาทว่า
"ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา"
"อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย แม้น
เจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย เจ็บจนตายนั้นเพราะเหน็บให้เจ็บใจ"
ดังนั้น ผู้พูดต้องพูดอย่างระมัดระวัง กล่าวคือ พูดแต่สิ่งที่ดี มีประโยชน์
เป็นมงคล พูดในเชิงสร้างสรรค์ พูดด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ มีสำเนียงอ่อนหวาน
และมีท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อกล่าวถึงผู้อื่นให้กล่าวด้วยเจตนาดี ไม่ใช้วจี
ทุจริต เช่น คำหยาบ คำเท็จ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ เป็นต้น
๔๓
๑. ลักษณะของภาษาพูด
ภาษาพูด หมายถึง ภาษาที่ใช้พูดในชีวิตประจำวันผู้พูดไม่เคร่งครัดใน
ระเบียบของภาษา มุ่งเน้นให้สามารถสื่อสารเข้าใจได้ตรงกันและบรรลุผล
ตามที่ต้องการเท่านั้น โดยมีลักษณะที่ควรสังเกต ดังนี้
๑. ระดับภาษาที่ใช้ส่วนมากเป็นภาษาระดับกันเอง ระดับสนทนา
ระดับกึ่งทางการ มักใช้ภาษาระดับกันเองสำหรับคนสนิท คุ้นเคย เช่น ใช้
สรรพนามว่า ฉัน เรา เธอ เป็นต้น ใช้ภาษาระดับสนทนากับคนที่ไม่คุ้นเคย
แตกต่างกันด้วยคุณวุฒิต่าง ๆ เพื่อแสดงความสุภาพ เช่น ใช้สรรพนามว่า
ผม กระผม ดิฉัน คุณ ท่าน
๒. ประโยคที่ใช้ส่วนมากเป็นประโยคความเดียวและประโยค
ความรวมส่วนประโยคความซ้อน
มีไม่มากนัก
๓. มักมีการตัดคำ ย่อคำ รวบคำ เพื่อความรวดเร็ว เช่น ใหญ่เปื่ อย
ไม่งอกสอง หมายถึง
ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ เนื้อเปื่ อย ไม่ใส่ถั่วงอกสองชาม
ผอ. สบายดีหรือ หมายถึง ท่านผู้อำนวยการสบายดีหรือ
๔. มีคำลงท้ายเรียกขานหรือคำขานรับ เพื่อแสดงความสุภาพ
หรือยกย่อง เช่น แม่จ๋า คุณหนูขา คุณคงเข้าใจนะคะ เป็นต้น
. ๕. มีการใช้ภาษาท้องถิ่นปะปน เช่น ปลาแดก บักหุ่ง ตำมั่ว บัก
หนาน บักเสี่ยว เป็นต้น
๖. มีการพูดโดยใช้ถ้อยคำ สำนวนโวหาร สุภาษิต คำพังเพย คำ
ซ้ำ คำซ้อน คำคล้องจองประกอบการพูด หรือใช้คำพูดที่มีความหมาย
โดยนัยต้องตีความ เช่น จับปลาสองมือ ย้อมแมวขายวัวหายล้อมคอก
เป็นต้น
๗. มีการใช้ประโยคที่ไม่สมบูรณ์ เช่น การละประธาน กริยา
กรรม หรือคำบุพบท ละไว้ในฐานที่เข้าใจซึ่งสามารถสื่อสารกันได้เพราะ
เป็นการพูดเฉพาะตัวบุคคล ผู้พูดอยู่ในสถานการณ์นั้นอยู่แล้วหากถ่ายทอด
เป็นภาษาเขียนก็ต้องดูข้อความที่แวดล้อม (บริบท) จึงจะเข้าใจ
๔๔