The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ทำอีบุ๊ก ล่าสุด

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by bamlovely_25, 2022-03-03 22:16:21

ทำอีบุ๊ก ล่าสุด

ทำอีบุ๊ก ล่าสุด

๒. ระดับภาษาที่ใช้ในการพูดสื่อสาร
การพูดในชีวิตประจำวันมีลักษณะการใช้ภาษาแต่ละระดับแตกต่างกัน
ดังนี้

๑) ภาษาพิธีการ มีลักษณะเป็นแบบแผน ใช้ถ้อยคำประณีตบรรจง
มุ่งให้ผู้รับสารฟังด้วยความสำรวม มักพบในการพูดสดุดี คำกล่าวบวงสรวง
คำกล่าวในพิธีต่าง ๆ

๒) ภาษาทางการ มีลักษณะเป็นแบบแผน แต่ใช้ถ้อยคำกะทัดรัด
กว่าระดับพิธีการ ถ้อยคำมีความสละสลวย แต่ชัดเจน เคร่งครัดไวยากรณ์ ใช้
สื่อสารอย่างเป็นทางการไปสู่สาธารณชน มักพบในการแสดงปาฐกถา

๓) ภาษากึ่งทางการ มีลักษณะการใช้ถ้อยคำคล้ายคลึงกับภาษา
ทางการ แต่ลดระดับความเป็นทางการ ลดความเคร่งครัดในไวยากรณ์ ผู้ส่ง
สารและผู้รับสารมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน มีส่วนร่วมในการสื่อสาร
มักพบในการอภิปราย การประชุม การบรรยายในชั้นเรียน

๔) ภาษาสนทนา มีการใช้ถ้อยคำที่เป็นกันเองมากขึ้น ระยะห่าง
ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารมีน้อยลงเป็นภาษาที่ใช้เพื่อการสนทนาอย่างมี
มิตรไมตรีที่ดีต่อกัน ใช้ในการพูดคุย สนทนากับบุคคลทั่วไปที่รู้จักกันในวง
สนทนา หรือคุ้นเคยกันในระดับหนึ่ง

๕) ภาษากันเอง มีการใช้ถ้อยคำที่เป็นกันเองมากขึ้น ไม่ให้ความ
สำคัญกับความถูกต้องทางไวยากรณ์ ผู้ส่งสารและผู้รับสารมีความสนิทสนม
กัน ใช้ถ้อยคำที่เข้าใจกันเป็นการส่วนตัว คำเฉพาะกลุ่ม

๔๕

ภาษาเขียน

ภาษาเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึกนึกคิด ความคิด ความเข้าใจ
ของมนุษย์โดยใช้อักษรหรือใช้สัญลักษณ์อื่น ๆ แทนคำพูด เช่น แผนภาพ แผนภูมิ
แผนที่ เพื่อให้ผู้อื่นได้รับรู้ เข้าใจ และตอบสนองตามที่ผู้เขียนต้องการ การเขียน
เป็นการสื่อสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นหลักฐานที่ใช้อ้างอิงได้ ผู้เขียน
สามารถตรวจทาน ทบทวน แก้ไขให้ถูกต้องเหมาะสมได้ ซึ่งแตกต่างจากภาษาพูด
เพราะการพูดเป็นกาสื่อสารเฉพาะหน้าที่มีโอกาสแก้ไขคำพูดของตนน้อยมาก
ภาษาพูดจึงอาจผิดพลาดไม่เหมาะสมได้เท่ากับภาษาเขียน

๑. ความสำคัญของภาษาเขียน

ในสมัยโบราณการเขียนมีความสำคัญในฐานะที่เป็นหลักฐานในการบันทึก
ความรู้ ความคิดความเชื่อ สภาพสังคมในสมัยนั้นถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้
และเข้าใจวิถีชีวิตของบรรพชน เป็นการเขียนเพื่อระบายอารมณ์ ความรู้สึก หรือ
เพื่อแสดงภูมิปัญญาของผู้เขียน แต่ปัจจุบันการเขียนมีความสำคัญมากขึ้น
นอกจากเป็นการสื่อสารความรู้ความเข้าใจจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งแล้วการ
เขียนยังทำให้เกิดอาชีพ เช่น อาชีพนักเขียนสารคดี นักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์
นักโฆษณา เป็นต้น การเขียนบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทราบสภาพวิถีชีวิต
ความคิด ความเชื่อ ความต้องการของคนในสังคม การเขียนกฎหมาย เป็นกฎ
ระเบียบแนวทางที่ผู้คนจะต้องปฏิบัติเพื่อสังคมสงบสุข การเขียนข่าว เป็นการแจ้ง
ข่าวคราว เหตุการณ์บ้านเมืองให้คนในสังคมทราบ ดังนั้น ภาษาเขียนจึงเป็น
เครื่องมือแสดงความคิด ความรู้ อารมณ์ ความรู้สึก และแสดงภูมิปัญญาของมนุษย์

๒. ลักษณะของภาษาเขียน
การเขียนเป็นการบันทึกความรู้ ความคิด ความเข้าใจต่าง ๆ

เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งแตกต่างจากภาษาพูด ผู้เขียนสามารถขัดเกลาภาษา
ให้สละสลวย ทำให้ภาษาเขียนมีลักษณะสุภาพ ถูกต้องตามระดับภาษาตรง
ความหมาย และสะกดถูกต้อง ภาษาเขียนโดยทั่วไปมี ๒ ลักษณะ คือ

๑) เขียนตามภาษาพูดที่พูดในชีวิตประจำวัน เหมาะสมกับลักษณะ
วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของบุคคล เช่น การเขียนบันทึกส่วนตัวบันทึกความรู้
จากการอ่าน การเขียนเรื่องสั้น นวนิยาย นิทาน อัตชีวประวัติ เป็นต้น

๒) เขียนโดยใช้ภาษาที่กลั่นกรองถ้อยคำอย่างละเมียดละไม มี
ความประณีตในการใช้ภาษา ใช้ภาษาที่ถูกต้องตามพจนานุกรม ตามรูปแบบ
ตามระเบียบ และตามขนบธรรมเนียมชองภาษา เช่น การเขียนเรียงความ
ย่อความ บทความ สารคดี รายงาน โครงงาน และร้อยกรอง เป็นต้น

๔๖

๓. การใช้ภาษาเขียน
การสื่อสารด้วยภาษาเขียนนั้น ผู้ส่งสารต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่อง

หลักภาษาและสามารถใช้ภาษาเขียนถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้ ความคิด
จินตนาการ และประสบการณ์ เป็นตัวอักษรสื่อสารให้ผู้รับสารเข้าใจได้
อย่างไรก็ตาม การใช้ภาษาเขียนขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของผู้ส่งสารและรูป
แบบการเขียน ซึ่งสามารถแบ่งได้ ๒ ลักษณะ ดังนี้

๑) การเขียนอย่างไม่เป็นทางการ เป็นการเขียนถ่ายทอดเหตุการณ์
อารมณ์ ความรู้สึกของผู้เขียน เช่น การเขียนบันทึกประจำวัน การเขียน
จดหมาย การเขียนเล่าเรื่อง การแต่งเพลง การเขียนเรื่องสั้น นวนิยาย
เป็นต้น ให้ผู้อื่นได้รับรู้ หรือเก็บไว้อ่านเอง ภาษาเขียนอย่างไม่เป็นทางการ
เป็นการถ่ายทอดอารมณ์ของผู้สื่อสารเหมือนเสียงพูดของมนุษย์ที่ใช้สื่อสาร
ในชีวิตประจำวัน

๒) การเขียนอย่างเป็นทางการ เป็นการเขียนอย่างมีแบบแผน มี
หลักในการเขียน เช่น การเขียนเรียงความ ย่อความ การแต่งคำประพันธ์ การ
เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้า การเขียนรายงาน โครงงาน รายงานการวิจัย
การเขียนบันทึกข้อความ จดหมายราชการ เป็นต้น การใช้ภาษาเขียนต้องมี
การขัดเกลาภาษาให้ละเมียดละไม ไพเราะสละสลวย เหมาะสมกับระดับ
ภาษา สถานภาพบุคคล โอกาส และสถานการณ์ ถูกต้องตามข้อบังคับ องค์
ประกอบ และรูปแบบที่กำหนด

ระดับภาษาเป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องคำนึงถึงทุกครั้งที่ใช้ภาษา
ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการเขียน เพราะการสื่อสารจะไม่ประสบผลสำเร็จ
หากใช้ระดับภาษาไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามในชีวิตประจำวัน ผู้สื่อสารอาจ
ใช้ระดับภาษาปะปนกันได้ เช่น ภาษาระดับพิธีการ อาจมีภาษาระดับ
ทางการปะปนอยู่ด้วย

๔๗

เปรียบเทียบภาษาพูดและภาษาเขียน
ภาษาพูดที่ใช้ในการสื่อสารมีอยู่หลายระดับ และแตกต่างจากภาษาเขียน

เพราะภาษาเขียนมีระดับและระเบียบที่เคร่งครัดมากกว่าภาษาพูด

๔๘

ความแตกต่างของภาษากิจกรรมท้ายบทที่ ๔
จงสรุปองค์ความรู้ เรื่อง ความแตกต่างของภาษา

เป็นผังความคิด (Mind Map)

๔๙

แบบทดสอบ
บทที่ ๔ ความแตกต่างของภาษา

เลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดหนึ่งตัวเลือก โดยการวง O รอบตัวเลือก

๑. ข้อใดคือลักษณะภาษาพูด
ก. ภาษาที่ใช้พูดสื่อสารในชีวิตประจำวัน
ข. ภาษาที่ใช้สื่อสารด้วยลักษณะท่าทาง
ค. ภาษาที่เขียนโดยใช้สัญลักษณ์และตัวอักษร
ง. ถูกทุกข้อ

๒. ข้อใดไม่มีการใช้ภาษาเขียน
ก. นุ่นเขียนเรียงความเรื่องแม่ส่งครู
ข. ฝันอ่านบทอาขยานให้เพื่อนฟัง
ค. เปรี้ยวจดงานตามที่คุณครูสอน
ง. กานบันทึกสิ่งที่พบเห็นในแต่ละวันไว้ในสมุดบันทึก

๓. ข้อใดที่มีการใช้ภาษาพูดและภาษาเขียน
ก. พิมช่วยน้องฝึกเขียนหนังสือโดยการจับมือเขียน
ข. พรอ่านเรียงความของเพื่อนให้ครูฟัง
ค. พาใช้ภาษามือในการสื่อสารกับพี่
ง. พลอยเขียนรายงานแล้วนำมาอ่านหน้าชั้นเรียน

๔. ข้อความใดใช้ภาษาพูด
ก. สารคดีเรื่องนี้ได้รับรางวัลสารคดียอดเยี่ยม
ข. ชาวบ้านอกสั่นขวัญหายเพราะกลัวแผ่นดินไหว
ค. วันที่ ๒๖ มิถุนายน เป็นวันสุนทรภู่
ง. กลอนสวดเป็นวรรณกรรมร้อยกรอง

ที่นำมาอ่านเป็นทำนองสวด

๕. จากข้อความ “ฉันว่าถ้าจะให้เร็ว เราควรจะมาแบ่งงานกันนะ”
จะเขียนเป็นภาษาเขียนได้ตามข้อใด
ก. ฉันคิดว่าเพื่อความรวดเร็ว เราควรแบ่งหน้าที่กัน
ข. ถ้าเรารีบ เรามาแบ่งงานกัน
ค. ดิฉันว่าต่างคนต่างไปทำงานของตัวเองดีกว่า
ง. งานของเราจะคืบหน้าได้ ถ้าแบ่งงานกัน

๕๐

๖. ข้อใดเป็นการเขียนอย่างไม่เป็นทางการทั้งหมด
ก. การแต่งเพลง หนังสือราชการ นวนิยาย
ข. การเขียนรายงาน การเขียนเรื่องสั้น จดหมาย
ค. การเขียนจดหมาย การเขียนบันทึกประจำวันการเขียนนวนิยาย
ง. การแต่งคำประพันธ์ บันทึกข้อความ เขียนเล่าเรื่อง

๗. ข้อใดคือลักษณะของภาษาเขียน
ก. มุ่งสื่อสารให้เข้าใจ รู้จักคิดและตีความมีเวลากลั่นกรอง
ข. มีการใช้ภาษาที่ประณีตกว่าการพูด
ค. เป็นลายลักษณ์อักษรใช้อ้างอิงได้
ง. ถูกทุกข้อ

๘. ข้อใดใช้ภาษาพูดต่างจากข้ออื่น
ก. เรียนท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน
ข. ดิฉันชื่อเด็กหญิงสมศรี
ค. ฉันจะพาไปดู
ง. วีดิทัศน์แนะนำตัวของดิฉัน

๙. ข้อใดใช้ภาษาได้เหมาะสมที่สุด
ก. อย่าเสียใจมากไปเลย แค่หมาของเธอเสียชีวิตเอง
ข. กราบเรียนเพื่อน ๆ ที่น่ารักทุกคน
ค. ผมขออนุญาตเข้าห้องครับครู
ง. ฉันจะให้เกียรติไปร่วมงานวันเกิดของเธอ

๑๐. เพราะเหตุใดจึงต้องใช้ระดับภาษาให้ถูกต้อง
ก. เพื่อให้สังคมยอมรับ
ข. เพื่อแสดงความเป็นไทย
ค. เพื่อความสบายใจ
ง. เพื่อการสื่อสารที่ถูกต้องและเหมาะสม

เฉลย

๕๑

บทที่ ตัวชี้วัด
ท ๔.๑ ม.๑/๖
๕ จำแนกและใช้สำนวนที่เป็นคำพังเพย
และสุภาษิต

สาระการเรียนรู้แกนกลาง
สำนวนที่เป็นคำพังเพยและสุภาษิต

สำนวน คำพังเพย

และสุภาษิต

สำนวน คำพังเพย และสุภาษิต



สำนวน คำพังเพย และสุภาษิต
ในการอ่านและการฟังสารต่าง ๆ บ่อยครั้งที่มักพบเห็นการใช้

สำนวน คำพังเพย สุภาษิตเพื่อสื่อสารให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
เช่น ฝ่ายค้านติงรัฐบาลเรื่องการใช้งบจะเป็นแบบ ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
ซึ่งสำนวน คำพังเพย และสุภาษิต จะมีลักษณะแตกต่างกัน ดังนี้

๑) สำนวน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔
ให้ความหมายว่า น. ถ้อยคำที่เรียบเรียง โวหาร บางทีใช้ว่า สำนวนโวหาร
ถ้อยคำหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้วมีความหมายไม่ตรง
ตามตัวอักษรหรือมีความหมายอื่นแฝงอยู่ เช่น สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ
สอนหนังสือ สังฆราช กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา น้ำพี่งเรือเสือพึ่งป่า

๒) คำพังเพย หมายถึง ถ้อยคำหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมา
โดยกล่าวเป็นกลางๆ เพื่อให้ตีความให้เข้ากับเรื่อง ไม่ใช่คำสอน แต่เป็นคำ
ติชมอยู่ในตัว เช่น กระต่ายตื่นตูม กบเลือกนาย หน้าไหว้หลังหลอก ขี่ช้าง
จับตั๊กแตน

๓) สุภาษิต ภาษิตหรือสุภาษิต หมายถึง คำที่กล่าวดีคำพูดมีคติ
ควรฟังเป็นถ้อยคำที่แสดงหลักความจริง มุ่งแนะนำ สั่งสอน เตือนสติ เช่น
น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนธรรมะย่อมรักษา
ผู้ประพฤติธรรม ช้า ๆ ได้พร้าสองเล่มงาม น้ำขึ้นให้รีบตัก

๔) คำขวัญ คำคม หมายถึง ข้อความที่กล่าวด้วยโวหารอัน
คมคาย แสดงแง่คิด ปรัชญา
มีความหมายลึกซึ้งกินใจ เช่น งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข สะอาด
กายเจริญวัย สะอาดใจเจริญสุข
อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา ไม่มีใครแก่เกินเรียน

๕๓

๑. สำนวน เป็นคำที่มีความหมายโดยนัย ไม่ตรงตามตัวอักษร ได้แก่
แต่งองค์ทรงเครื่อง หมายความว่า แต่งตัว มีความหมายเชิง

ประชดว่า แต่งตัวนานมากเหมือนลิเก หรือละครที่ตัวเอกมีเครื่องแต่งตัวมาก
ต้องแต่งตัวนาน

กิ่งทองใบหยก หมายความว่า คู่แต่งงานที่เหมาะสมกันทั้งรูปร่าง
หน้าตา ฐานะ ความรู้

ใส่ตะกร้าล้างน้ำ หมายความว่า ทำให้หมดมลทิน เหมือนผัก
เหมือนปลาที่สุกปรก หรือมีกลิ่นเหม็น
ใส่ตะกร้าล้างน้ำแล้วก็จะสะอาดขึ้น หายเหม็นคาว

ย้อมแมวขาย หมายความว่า ตกแต่งคนหรือสิ่งของที่ไม่ดี หรือมี
ค่าน้อย โดยมีเจตนาหลอกลวงให้
ผู้อื่นเชื่อว่าดีเฒ่าหัวงู หมายความว่า ชายแก่เจ้าเล่ห์ ชอบหลอกสาวๆปั้ นหน้า
หมายความว่า ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

๒. คำพังเพย เป็นคำที่กล่าวเปรียบเปรย กล่าวเป็นกลางๆ ไม่ว่าใคร ได้แก่

ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หมายความว่า ใช้จ่ายทรัพย์มากมายโดยไร้ประโยชน์
ขนหน้าแข้งไม่ร่วง หมายความว่า ไม่สนใจสิ่งที่เสียไป โดยเห็นว่าเป็นของเล็กน้อย
ขว้างงูไม่พ้นคอ หมายความว่า ทำอะไรแล้ว ผลร้ายหรือภาระไม่พ้นตนเอง
ก้นหม้อไม่ทันดำ หมายความว่า แต่งงานอยู่กินกันฉันสามีภรรยาไม่นานก็เลิกร้างกัน
สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง หมายความว่า ทุกคนมีโอกาสทำผิดได้
ตีนเท่าฝาหอย หมายความว่า เลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กทารก

๓. สุภาษิต เป็นคำที่ไพเราะ ให้ข้อคิด ให้คติเตือนใจ ได้แก่
ขอให้รักใคร่ ให้อภัยกัน ใจเดียวรักเดียว มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง

หมายความว่า ให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขให้รักกันมั่นคงให้อภัยไม่นอกใจกัน
(ไม่ทำผิดศีลธรรม)

ขอให้อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร
หมายความว่า ให้อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า

๕๔

สำนวนไทย

จุดไต้ตำตอ

พูดหรือทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งบังเอิญไปโดนเอาเจ้าตัวหรือผู้ที่เป็น

เจ้าของเรื่องนั้นเข้าโดยผู้พูดหรือผู้ทําไม่รู้ตัว.

คนดีผีคุ้ม

คนทำดีย่อมแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง เสมือนมีเทวดา

คุ้มครอง, มักใช้คู่กับ คนร้ายตายขุม เป็น คนดีผีคุ้มคนร้ายตายขุม

๕๕

สำนวนไทย

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

จะทำการใดๆ พยายามทำด้วยตัวเองอย่างสุดความสามารถ

และเพียรพยายาม

สแกน QR Code

เพื่ออ่านสำนวนไทยเพิ่มเติม

๕๖

สำนวน สุภาษิต คำพังเพย กิจกรรมท้ายบทที่ ๕
จงสรุปองค์ความรู้ เรื่อง สำนวน สุภาษิต คำพังเพย เป็นผังความคิด


(Mind Map)

๕๗

แบบทดสอบ
บทที่ ๕ สำนวน สุภาษิต คำพังเพย
เลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดหนึ่งตัวเลือก โดยการวง O รอบตัวเลือก

๑. “เธอชอบพูด............ทำให้ต้องเปลี่ยนเรื่องคุย”
ควรเติมสำนวนในข้อใดลงในช่องว่างจึงจะเหมาะสม

ก. ชักแม่น้ำทั้งห้า
ข. ชักใบให้เรือเสีย
ค. ชักหน้าไม่ถึงหลัง
ง. ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน

๒. สำนวนในข้อใดสะท้อนให้เห็นความแตกต่างระหว่างชนชั้นมากที่สุด
ก. คนจนว่าผี คนมีว่าศพ
ข. ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน
ค. ข้างนอกสุกใส ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง
ง. ผ้าขี้ริ้วห่อทอง

๓. นิวมักจะไปโรงเรียนแต่เช้าและทำความสะอาดห้องเรียนอยู่เสมอ
โดยที่ไม่มีใครรู้ การกระทำของนิวตรงกับสำนวนใด

ก. น้ำซึมบ่อทราย
ข. เข้าตามตรอกออกตามประตู
ค. ปิดทองหลังพระ
ง. ใกล้เกลือกินด่าง

๔. การกระทำในข้อใดสอดคล้องกับสำนวน "เข้าเมืองตาหลิ่ว
ต้องหลิ่วตาตาม"

ก. ก้องไปเที่ยวประเทศจีนเขาจึงต้องรับประทานอาหารด้วยตะเกียบแม้เขา
จะใช้ตะเกียบไม่ถนัด
ข. ติ๊กคบเพื่อนเกเร ทำให้เขาเป็นคนเกเรไปด้วย
ค. บอยไปเที่ยวทะเล ก๊อตจึงไปขอให้พ่อแม่พาไปทะเล
ง. นิ่มชวนเพื่อน ๆ ที่สนิทไปฟังเพลงด้วยกัน

๕๘

ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบข้อ ๕ – ๘
ก. คำกล่าวดี คำพูดมีคติควรฟัง ยึดหลักความจริง
ข. ถ้อยคำที่เรียบเรียง โวหาร บางที่ใช้ สำนวนโวหาร
ค. ข้อความที่กล่าวด้วยโวหารคมคาย แสดงแง่คิด
ง. ถ้อยคำที่สืบทอดต่อกันมา กล่าวเป็นกลาง ไม่ใช่คำสอน

แต่เป็นคำติชมในตัว

๕. ข้อใดคือความหมายของ สำนวน
ตอบข้อ ก. ข. ค. ง.

๖. ข้อใดคือความหมายของ สุภาษิต
ตอบข้อ ก. ข. ค. ง.

๗. ข้อใดคือความหมายของ คำขวัญ คำคม
ตอบข้อ ก. ข. ค. ง.

๘. ข้อใดคือความหมายของ คำพังเพย
ตอบข้อ ก. ข. ค. ง.

๙. ข้อใดคือคำขวัญวันเด็ก ปี พ.ศ.๒๕๖๕
ก. “รู้คิด รอบคอบ รับผิดชอบต่อสังคม”
ข. “พัฒนาครู พัฒนาเด็ก เรียนรู้สู่อนาคต”
ค. “คนรุ่นใหม่ ไม่ใช้ยาเสพติด”
ง. “รักษ์โลก เริ่มจากรักษ์ดิน สู่ความยั่งยืน”

๑๐. “ไม้มักพูดจาห้วน ๆ” การกระทำดังกล่าวตรงกับสำนวนใด
ก. มือถือสากปากถือศีล
ข. พูดเป็นต่อยหอย
ค. มะนาวไม่มีน้ำ
ง. ปลาหมอตายเพราะปาก

๕๙

แบบทดสอบ
บทที่ ๕ สำนวน สุภาษิต คำพังเพย
จงเติมคำในช่องว่างให้ถูกต้องและสัมพันธ์กัน

เฉลย

๖๐

บทที่



การแต่งบทร้อยกรอง

ตัวชี้วัด
ท ๔.๑ ม.๑/๕
แต่งบทร้อยกรอง

สาระการเรียนรู้แกนกลาง
กาพย์ยานี ๑๑

การแต่งบทร้อยกรอง



การแต่งบทร้อยกรอง
การแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์

การแต่งบพร้อยกรองประเภทกาพย์ เป็นการแต่งคำประพันธ์ของไทยที่ง่ายที่สุด
เพราะมีเพียงการบังคับจำนวนคำ เสียง และสัมผัส เท่านั้น ไม่มีบังคับครุ ลหุ เหมือน
คำประพันธ์ประเภทฉันท์ คำประพันธ์ประเภทกาพย์จึงเป็นที่นิยมแต่งกันมาตั้งแต่
สมัยกรุงศรีอยุธยา และนิยมแต่งร่วมกับคำประพันธ์ประเภทฉันท์ เพราะมีเสียง
ไพเราะ วรรณคดีประเภทกาพย์ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ กาพย์เห่เรือและกาพย์ห่อโคลง
เสด็จประพาสธารทองแดงพระนิพนในเจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ (เจ้าฟ้า
กุ้ง) กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลัย (ร.๒) และกาพย์เรื่องพระไชยสุริยาของสุนทรภู่ ซึ่งสมัยต้นรัตนโกสินทร์ใช้
เป็นแบบฝึกอ่านการสะกดคำในมาตราตัวสะกตต่าง ๆ และกำหนดให้ ผู้เรียนระดับ
มัธยมศึกษาตอนต้นเรียนในปัจจุบัน

ลักษณะข้อบังคับของร้อยกรองประเภทกาพย์ มีดังนี้
๑)คณะ หมายถึง จำนวนที่กำหนดใน ๑ บทว่ามีกี่วรรค วรรคละกี่คำ

ตัวเลขท้ายชื่อกาพย์ บอกว่าในหนึ่งบทนั้นมีจำนวนคำกี่คำ เช่น กาพย์ยานี ๑๑
หนึ่งบท มี ๑๑ คำ กาพย์ฉบัง ๑๖ หนึ่งบท มี ๑๖ คำ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
หนึ่งบท มี ๒๘ คำ

๒) เสียง หมายถึง ข้อบังคับเสียงวรรณยุกต์ กาพย์แต่ละชนิดจะมีข้อ
บังคับเสียงวรรณยุกต์ แตกต่างกันซี่งวรรณยุกต์บางเสียงทำให้กาพย์บางชนิดมี
ความไพเราะ หรือคำสุดท้ายของวรรค ในกาพย์บางชนิดควรหลีกเลี่ยงการใช้
วรรณยุกต์บางเสียง

๓) สัมผัส หมายถึง ข้อบังคับที่ใช้ในฉันทลักษณ์เพื่อให้เสียงรับกัน
ประกอบด้วยสัมผัสใน และสัมผัสนอก ดังนี้

สัมผัสใน เป็นสัมผัสที่อยู่ภายในวรรค ช่วยให้บทร้อยกรองมีความ
ไพเราะ ซึ่งคำประพันธ์ ประเภทกาพย์จะไม่บังคับใช้สัมผัสใน

สัมผัสนอก เป็นสัมผัสนอกวรรคหรือสัมผัสระหว่างวรรคตลอดจน
สัมผัสระหว่างบท โดยกาพย์แต่ละชนิด
มีการบังคับสัมผัสที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ในบทหนึ่ง คำท้ายวรรคจะส่งสัมผัส
รับกับ คำใดคำหนึ่งในวรรคต่อไป
โดยบังคับให้ต้องใช้รรณยุกต์รูปใด เสียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับกาพย์แต่ละชนิด

๖๒

กาพย์ยานี ๑๑
กาพย์ยานี ๑๑ เป็นกาพย์ที่แต่งง่าย มีลีลาการอ่านช้า ๆ อ่อนหวาน

มักใช้แต่งพรรณนาชมความงดงามของสิ่งของ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม มัก
นิยมแต่งคู่กับโคลง โดยขึ้นต้นด้วยโคลง แล้วต่อด้วยกาพย์ยานี ๑๑ อีกหลาย
บทที่มีเนื้อหาตรงกันกับโคลง เรียกว่า กาพย์ห่อโคลง

ลักษณะของกาพย์ยานี ๑๑
คณะ

กาพย์ยานี ได้ชื่อว่ายานี ๑๑ เพราะ จำนวนพยางค์ใน ๒ วรรค
หรือ ๑ บรรทัด รวมได้ ๑๑ พยางค์ ๑ บท มี ๔ วรรค วรรคหน้า ๕ พยางค์
วรรคหลัง ๖ พยางค์

สัมผัสระหว่างวรรค ใน ๑ บท มีสัมผัส ๒ คู่ สังเกตจากแผนผังและตัวอย่าง
สัมผัสระหว่างบท พยางค์สุดท้ายของบทต้นสัมผัสกับพยางค์สุดท้ายของ
วรรคที่ ๒ ของบทถัดไป

พยางค์
พยางค์หรือคำ วรรคแรกมี ๕ คำ วรรคหลังมี ๖ คำ รวมเป็น ๑๑ คำ
จึงเรียกว่า “กาพย์ยานี ๑๑” ทั้งบาทเอกและบาทโทมีจำนวนคำเหมือนกัน

๖๓

สัมผัส
คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ สัมผัสกับคำที่ ๑ , ๒ และคำที่ ๓
ของวรรคที่ ๒
คำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๓
คำสุดท้ายของวรรคที่ ๔ สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๒
ของบทต่อไป (สัมผัสระหว่างบท)

การอ่านกาพย์ยานี ๑๑
การอ่านกาพย์ยานี ๑๑ จะต้องแบ่งจังหวะการอ่านคำในแต่ละวรรค
ดังนี้
วรรคแรกมี ๕ คำ วรรคหลังมี ๖ คำ การอ่านจึงเว้นเป็นจังหวะตามวรรค คือ
วรรคหน้าเว้นจังหวะ ๒/๓ คำ ส่วนวรรคหลังเว้นจังหวะ ๓/๓คำ

๖๔

การแต่งบทร้อยกรอง กิจกรรมท้ายบทที่ ๖

จงสรุปองค์ความรู้ เรื่อง การแต่งบทร้อยกรองเป็นผังความคิด (Mind Map)

๖๕

แต่งกาพย์ยานี ๑๑
จงแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี ๑๑ ในหัวข้อ “ความฝันของฉัน”

จำนวนสองบท



๖๖

แบบทดสอบ
บทที่ ๖ การแต่งบทร้อยกรอง
เลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดหนึ่งตัวเลือก โดยการวง O รอบตัวเลือก

๑.คำประพันธ์ประเภทกาพย์มีจุดเด่นตรงกับข้อใด
ก. แต่งง่าย มีสัมผัส บังคับจำนวนคำชัดเจน
ข. มีบังคับคำครุ ลหุ
ค. มีบังคับคำเอก คำโท
ง. ไม่มีบังคับจำนวนคำและจำนวนบทชัดเจน แต่งแบบใดก็ได้

๒. คำในตัวเลือกใดเหมาะสมที่จะนำมาเติมในช่องว่างทั้งสองคำ
สองมือเลี้ยงลูก........ หวังแค่ว่าเป็นคนดี

สองมือที่คอย........ อยากให้ดีอยากให้จำ
ก.น้อย / นี้
ข.แม่ / มี
ค.หนา / นี้
ง.มา / ตี

๓. ข้อใดถูกต้องเมื่อนำวรรคที่กำหนดให้ต่อไปนี้เติมลงไปในช่องว่าง (๑)
และ (๒) ตามลำดับ

จ. แสนสุขใจหลือเกิน ฉ. ป่าไม้ในวันนี้
ช. ชมไม้ในป่าใหญ่ ซ. เห็นกวางน่าชื่นชม

(๑) เสียงเรไรแว่วระงม
(๒) แสนสุขสมเดินชมไพร
ก. จ และ ช
ข. ฉ และ ซ
ค. ช และ ซ
ง. จ และ ซ

๖๗

๔. ข้อใดเรียงลำดับได้ถูกต้อง
๑. ชาวบุรีก็ปรีดา ๒. ไพร่ฟ้าประชาชี
๓. ได้ข้าวปลาแลสาลี ๔. ทำไร่ข้าวไถนา

ก. ๑-๓-๔-๒
ข. ๒-๑-๔-๓
ค. ๓-๔-๑-๒
ง. ๒-๓-๔-๑

๕. ข้อใดถูกต้องเมื่อนำวรรคที่กำหนดให้ต่อไปนี้เติมลงไปในช่องว่าง

มัสมั่นแกงแก้วตา _____________

ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา

ก.รสดีด้วยน้ำปลา

ข.หอมยี่หร่ารสร้อนแรง

ค.โอชาจะหาไหน

ง.วางจานจัดหลายเหลือตรา

เฉลย

๖๘

รวม

เฉลยแบบทดสอบท้ายบท

เฉลยแบบทดสอบบทที่ ๑

ตอนที่ ๑
ข้อที่ ๑ ตอบ ก. เสียงพยัญชนะเกิดจากเสียงลมที่ผ่านปอดและผ่านเส้น


เสียงอาจถูกสกัดกั้นบางส่วน
หรือทั้งหมดในลำคอ ช่องปาก หรือช่องจมูก

ข้อที่ ๒ ตอบ ก. พยัญชนะไทยมีทั้งหมด 44 รูป 21 เสียง
ข้อที่ ๓ ตอบ ค. ผัด กัด นัด /มาตราตัวสะกด แม่กด มี จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ

ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส เป็นตัวสะกด
ข้อที่ ๔ ตอบ ข. เสือ เสา ใคร /มาตราตัวสะกด แม่ ก กา คือมาตราตัว

สะกดที่ไม่มีตัวสะกด มีเพียงพยัญชนะต้นและสระ
ข้อที่ ๕ ตอบ ค. ผึ้ง ฝา หอย /อักษรสูงมี ๑๑ ตัว คือ ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ

สห
ข้อที่ ๖ ตอบ ก. แมวกินปลา / ตัวเลือกอื่น ๆ มีเสียงวรรณยุกต์อื่น เช่น
ป่า ล่อง ท่อง คือเสียงเอก
ข้อที่ ๗ ตอบ ข. ปี กับ ดี /เป็นเสียงสามัญเหมือนกัน
ข้อที่ ๘ ตอบ ง. ตาปลา /เป็นเสียงสามัญ
ข้อที่ ๙ ตอบ ค. เขาเสียดายคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เจ้าของไม่ดูแล /มี 5 คำ

โดยสระเกินมี อำ ใอ ไอ เอา ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ
ข้อที่ ๑๐ ตอบ ก. จับแพะชนแกะ / ตัวเลือกอื่น ๆ มีสระประสม ดังนี้

เรือน ถั่ว เบี้ย

๗๐

เฉลยแบบทดสอบบทที่ ๑

ตอนที่ 2
ข้อที่ ๑ ตอบ ข
ข้อที่ ๒ ตอบ ง
ข้อที่ ๓ ตอบ ฆ
ข้อที่ ๔ ตอบ ฎ
ข้อที่ ๕ ตอบ ญ
ข้อที่ ๖ ตอบ ก
ข้อที่ ๗ ตอบ ฌ
ข้อที่ ๘ ตอบ ซ
ข้อที่ ๙ ตอบ ช
ข้อที่ ๑๐ ตอบ จ

๗๑

เฉลยแบบทดสอบบทที่ ๒

ข้อที่ ๑ ตอบ ข. แปรงสีฟัน(คำประสม) เร็ว ๆ (มีไม้ยมก ๆ คือ คำซ้ำ)
บ้านเรือน(คำซ้อน)
ข้อที่ ๒ ตอบ ข. เธอควรทำการบ้านให้เสร็จเป็นเรื่อง ๆ ไป /ซึ่ง เรื่อง ๆ ดังกล่าว

คือคำซ้ำที่เป็นพหูพจน์ แต่ตัวเลือกอื่น ๆ คือคำซ้ำที่เน้นความหมายให้มีน้ำ

หนักมากขึ้น
ข้อที่ ๓ ตอบ ข. วันจันทร์ น้ำจัณฑ์ ต้นจันทน์ โจษจัน อัศจรรย์
ข้อที่ ๔ ตอบ ก. นาฬิกา คือคำมูลหลายพยางค์
ข้อที่ ๕ ตอบ ข. ซูบผอม ใหญ่โต คือคำซ้อนทั้งหมด
ข้อที่ ๖ ตอบ ง. เร่อร่า ตูมตาม ท้อแท้ คือคำซ้อนเพื่อเสียงทั้งหมด
ข้อที่ ๗ ตอบ ก. ศิลป์ คือคำมูลพยางค์เดียว
ข้อที่ ๘ ตอบ ก. อารมณ์ สติ ภาษิต คือคำมูลทั้งหมด
ข้อที่ ๙ ตอบ ง. กระจุ๋มกระจิ๋ม คือคำมูลสี่พยางค์ อ่านว่า กระ-จุ๋ม-กระ-จิ๋ม
ข้อที่ ๑๐ ตอบ ค. กระดาษ คือคำมูล

๗๒

เฉลยแบบทดสอบบทที่ ๒

ข้อที่ ๑๑ ตอบ ค. เดือดร้อน คือคำซ้อนเพื่อความหมาย
ข้อที่ ๑๒ ตอบ ง. มีคำประสม 4 คำ ดังนี้ ชาวไร่ ชาวนา พอใจ ผู้นำ
ข้อที่ ๑๓ ตอบ ง. ของกล้วย ๆ หมายถึง สิ่งง่าย ๆ
ข้อที่ ๑๔ ตอบ ข. หลังคา เป็นคำประสม ส่วนตัวเลือกอื่น ๆ เป็นคำซ้อน
ข้อที่ ๑๕ ตอบ ค. มีคำซ้อนทั้งหมด 2 คำ ดังนี้ เลวทราม ริเริ่ม
ข้อที่ ๑๖ ตอบ ค. คำพ้องรูป คือคำที่เขียนเหมือนกันแต่ความหมายต่างกัน
ข้อที่ ๑๗ ตอบ ข. หน้าวัดมีต้นเสมา(สะ-เหมา)มากมาย ส่วนรอบโบสถ์ก็มี

เสมา(เส-มา)ตั้งอยู่ทุกทิศทาง
ข้อที่ ๑๘ ตอบ ข. คำพ้องเสียง คือคำที่มีรูปเขียนและความหมายต่างกันแต่การ

อ่านออกเสียงเหมือนกัน
ข้อที่ ๑๙ ตอบ ค. อย่า และ หย่า เป็นคำพ้องเสียง
ข้อที่ ๒๐ ตอบ ก. ขับรถ รดน้ำ รสชาติ

๗๓

เฉลยแบบทดสอบบทที่ ๓

ข้อที่ ๑ ตอบ ค. สมศรี ด้าม โทรศัพท์ ซึ่งคำนามคือคำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์

และสิ่งของ
ข้อที่ ๒ ตอบ ก. สมุหนาม คือคำนามที่ใช้บอกหมวดหมู่หรือลักษณะของคน

สัตว์ และสิ่งของ
ข้อที่ ๓ ตอบ ง. วิสามานยนาม คือคำนามชี้เฉพาะ
ข้อที่ ๔ ตอบ ค. ฉัน คือคำสรรพนาม
ข้อที่ ๕ ตอบ ข. อกรรมกริยา หมายถึง กริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ
ข้อที่ ๖ ตอบ ข. ใครมากดกริ่งหน้าบ้าน ไม่ปรากฏคำวิเศษณ์
ข้อที่ ๗ ตอบ ก. ช้างป่าสองตัว คือสมุหนามที่ใช้ได้ถูกต้อง
ข้อที่ ๘ ตอบ ข. เพื่อนของฉันคนนี้เรียนเก่งมาก
ข้อที่ ๙ ตอบ ก. น้ำตาล(คำนาม)เห็น(กริยา)เขา(สรรพนาม)ที่สวน

สาธารณะ /เขา คือคำสรรพนามทำหน้าที่กรรม
ข้อที่ ๑๐ ตอบ ง. ถูกทุกข้อ เพราะคำว่า ขวา ใหญ่ หนึ่ง เป็นส่วนขยายของ

คำว่า แม่น้ำท่าจีน

๗๔

เฉลยแบบทดสอบบทที่ ๓

ข้อที่ ๑๑ ตอบ ค. ใคร ๆ เป็นสรรพนาที่ไม่เจาะจงว่าเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ข้อที่ ๑๒ ตอบ ง. อาตมา คือคำสรรพนามใช้แทนตัวผู้พูด สำหรับพระภิกษุ

สามเณรพูดกับคฤหัสถ์
ข้อที่ ๑๓ ตอบ ข. ครอบครัวคือกำแพงแห่งชีวิต คำว่า คือ เป็นส่วนเติมเต็ม

กริยา
ข้อที่ ๑๔ ตอบ ง. เขาเป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ คำว่า เป็น คือส่วนเติมเต็มกริยา
ข้อที่ ๑๕ ตอบ ง. อย่าเปิดไฟทิ้งไว้ถ้าไม่อยู่บ้าน ประโยคนี้ไม่มีคำวิเศษณ์บอก

ปริมาณ
ข้อที่ ๑๖ ตอบ ก. กับ คือคำบุพบทที่เหมาะสมกับประโยค

โดยตัวเลือก ข. ควรใช้คำว่า ต่อ แทนคำว่า กับ
ตัวเลือก ค. ควรใช้คำว่า แก่ แทนคำว่า แด่
ตัวเลือก ง ควรใช้คำว่า แด่ แทนคำว่า แก่

ข้อที่ ๑๗ ตอบ ก. คำว่า เพราะ คือคำสันธานในประโยค แสดงความเป็นเหตุ

เป็นผล
ข้อที่ ๑๘ ตอบ ง. ไชโย ! คือคำอุทานที่แสดงออกถึงความดีใจ
ข้อที่ ๑๙ ตอบ ข. เขาเดินเรือ /เขาคือคำสรรพนาม เดินคือคำกริยา เรือคือ

กรรม
ข้อที่ ๒๐ ตอบ ง. คำว่า แห่ง คือคำบุพบทบอกความเป็นเจ้าของ สรุปได้ว่า

สนามกีฬาแห่งนี้เป็นของประเทศ

๗๕

เฉลยแบบทดสอบบทที่ 4

ข้อที่ ๑ ตอบ ก. ภาษาที่ใช้พูดสื่อสารในชีวิตประจำวัน คือลักษณะหนึ่งของภาษา

พูด
ข้อที่ ๒ ตอบ ข. ฝันอ่านบทอาขยานให้เพื่อนฟัง เป็นการใช้ภาษาพูด
ข้อที่ ๓ ตอบ ง. พลอยเขียนรายงาน(ภาษาเขียน) แล้วนำมาอ่านหน้าชั้นเรียน

(ภาษาพูด)
ข้อที่ ๔ ตอบ ข. ชาวบ้านอกสั่นขวัญหายเพราะกลัวแผ่นดินไหว/อกสั่นขวัญหาย

เป็นภาษาพูด
ข้อที่ ๕ ตอบ ก. ฉันคิดว่าเพื่อความรวดเร็ว เราควรแบ่งหน้าที่กัน
ข้อที่ ๖ ตอบ ค. การเขียนจดหมาย การเขียนบันทึกประจำวัน การเขียนนวนิยาย
ข้อที่ ๗ ตอบ ง. ทุกตัวเลือกคือลักษณะของภาษาเขียน ดังนี้

-มุ่งสื่อสารให้เข้าใจ รู้จักคิดและตีความ มีเวลากลั่นกรอง
-มีการใช้ภาษาที่ประณีตกว่าการพูด
-เป็นลายลักษณ์อักษรใช้อ้างอิงได้
ข้อที่ ๘ ตอบ ค. ฉันจะพาไปดู เป็นภาษาสนทนา ส่วนตัวเลือกอื่น ๆ เป็นภาษา

ทางการ
ข้อที่ ๙ ตอบ ค. ผมอนุญาตเข้าห้องครับครู เป็นการพูดที่เหมาะสมกับบุกคลและ

สถานการณ์
ข้อที่ ๑๐ ตอบ ง. การใช้ระดับภาษาให้ถูกต้อง เพื่อการสื่อสารที่ถูกต้องและ

เหมาะสม

๗๖

เฉลยแบบทดสอบบทที่ ๕
ตอนที่ ๑
ข้อที่ ๑ ตอบ ข. ชักใบให้เรือเสีย หมายถึง พูดหรือขวางให้การสนทนาออกนอก

เรื่อง
ข้อที่ ๒ ตอบ ก. คนจนว่าผี คนมีว่าศพ หมายถึง การเปรียบเทียบฐานะการ

ยกย่องคนรวยและเหยียดหยามคนจน
ข้อที่ ๓ ตอบ ค. ปิดทองหลังพระ หมายถึง ทำดีโดยไม่เปิดเผย
ข้อที่ ๔ ตอบ ก. เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม หมายถึง ทำตัวให้เหมาะกับ

สภาพแวดล้อมที่คนในสังคมนั้นเขาทำกัน ซึ่งตรงกับการกระทำของก้อง
ข้อที่ ๕ ตอบ ข. สำนวน หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียง โวหาร บางที่ใช้ สำนวน

โวหาร
ข้อที่ ๖ ตอบ ก. สุภาษิต หมายถึง คำกล่าวดี คำพูดมีคติควรฟัง ยึดหลักความจริง
ข้อที่ ๗ ตอบ ค. คำขวัญ คำคม หมายถึง ข้อความที่กล่าวด้วยโวหารคมคาย

แสดงแง่คิด
ข้อที่ ๘ ตอบ ง. คำพังเพย หมายถึง ถ้อยคำที่สืบทอดต่อกันมา กล่าวเป็นกลาง

ไม่ใช่คำสอน แต่เป็นคำติชมในตัว
ข้อที่ ๙ ตอบ ก. “รู้คิด รอบคอบ รับผิดชอบต่อสังคม” คือคำขวัญวันเด็ก ประจำ

ปี พ.ศ.2565 โดยท่านนายกเทศมนตรี
ข้อที่ ๑๐ ตอบ ค. มะนาวไม่มีน้ำ หมายถึง การพูดจาห้วน ๆ ไม่ไพเราะ

๗๗

เฉลยแบบทดสอบบทที่ ๕

ตอนที่ ๒
๑. ขี่ช้างจับตั๊กแตน
๒. คาหนังคาเขา
๓. งมเข็มในมหาสมุทร
๔. ช้า ๆ ได้พร้าสองเล่มงาม
๕. ตัดหางปล่อยวัด
๖. ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
๗. น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง
๘. ปากปราศรัยใจเชือดคอ
๙. ฝนทั่งให้เป็นเข็ม
๑๐. พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียตำลึงทอง
๑๑. ยกภูเขาออกจากอก
๑๒. เหยียบเรือสองแคม
๑๓. เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
๑๔. เอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง
๑๕. สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ

๗๘

เฉลยแบบทดสอบท้ายบทที่ ๖

ข้อที่ ๑ ตอบ ก. คำประพันธ์ประเภทกาพย์ แต่งง่าย มีสัมผัสและมีการบังคับ


จำนวนคำต่อบทที่ชัดเจน

ข้อที่ ๒ ตอบ ง. มา / ตี สังเกตจากสัมผัส โดยคำว่า มา คำสุดท้ายในวรรค


แรกสัมผัสกับคำว่า ว่า คำที่สามในวรรคที่สอง และคำว่า ดี คำสุดท้ายของ


วรรคที่สองสัมผัสกับว่า ตี คำสุดท้ายในวรรคที่สาม

ข้อที่ ๓ ตอบ ค. ช และ ซ /จะมีสัมผัสที่ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ ทำให้ไพเราะ


สละสลวยและเนื้อหาสัมพันธ์กัน

ข้อที่ ๔ ตอบ ข. 2-1-4-3 /เมื่อนำมาเรียงลำดับกันได้คำประพันธ์ ดังนี้

ไพร่ฟ้าประชาชี ชาวบุรีก็ปรีดา

ทำไร่ข้าวไถนา ได้ข้าวปลาแลสาลี

ข้อที่ ๕ ตอบ ข. หอมยี่หร่ารสร้อนแรง /จากคำประพันธ์จะเห็นได้ว่ามีคำว่า


ยี่หร่า ที่รับสัมผัสมาจากคำว่า ตา คำสุดท้ายในวรรคที่หนึ่ง รวมไปถึงคำว่า


แรง ที่ส่งสัมผัสไปยังคำว่า แกง คำสุดท้านในวรรคที่สาม

๗๙

อ้างอิง

พรทิพย์ แฟงสุต. (๒๕๔๔). รวมหลักภาษาไทย ม.ต้น.
กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ฟิสิกส์เซ็นเตอร์

ฟองจันทร์ สุขยิ่ง และคณะ. (2559). หลักภาษาและการใช้ภาษา.
กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์ อจท.

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1. (2562).
บัญชีคำพื้นฐานระดับมัธยมศึกษา.

สืบค้นเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2565, จาก http://www.otep-

sti.go.th/wp-content/uploads/2019/12/th-sec.pdf?fbclid



สแกน

เพื่ออ่านหนังสือเรียนภาษาไทย
หลักภาษาและการใช้ภาษา
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑

ฉบับ E-book


Click to View FlipBook Version