รูปแบบบทเพลงและวงดนตรีไทยแต่ละยุคสมัย
๑. สมยั ก่อนสุโขทยั (สมัยน่านเจ้า)
ในสมยั น้ีไม่มีหลกั ฐานแน่นอน เป็นเพยี งขอ้ สนั นิษฐานจากการอา้ งอิงหลายบทความ กล่าววา่ ไดพ้ บ
เพลงไทยโบราณยคุ น่านเจา้
ดร.อุทิศ นาคสวสั ด์ิ ไดก้ ล่าววา่ กษตั ริยไ์ ทยแห่งอาณาจกั รน่านเจา้ ไดส้ ่งวงดนตรีไปแสดงในราชสานกั จีน
ณ กรุงชีอานฟู ขอ้ สนั นิษฐานน้ีแสดงใหเ้ ห็นถึงความเจริญทางดา้ นดนตรีไทย หรือการเกิดดนตรีไทยต้งั แต่
ก่อนสมยั สุโขทยั และกล่าววา่ เคร่ืองดนตรีไทยท่ีนาไปแสดงน้นั คือ เครื่องดนตรีประเภทเป่ า ไดแ้ ก่ แคน
ขลุ่ย และป่ี และยงั มีขอ้ สนั นิษฐานวา่ เคร่ืองดนตรีประเภทดีด สี กเ็ กิดข้ึนในสมยั น้ีดว้ ย ไดแ้ ก่ กระจบั ป่ี พิณ
ซึง ซอและสะลอ้ ซ่ึงลกั ษณะรูปร่างของเครื่องดนตรีอาจแตกตา่ งกนั เลก็ นอ้ ย
ดนตรีไทยสมยั น่านเจา้ มีการนาเคร่ืองดนตรีประเภทดีด สี และเป่ า มาประสมเป็นวง ส่วนเครื่องประกอบ
จงั หวะมีการสนั นิษฐานวา่ ใชก้ รับ และเกราะ
บทเพลงที่บรรเลงมีขอ้ สนั นิษฐานวา่ เป็น เพลงน่านเจา้ จิ้มกอ้ ง (แปลวา่ ทูตไทยเขา้ เฝ้าพระเจา้ กรุงจีน) คือ
เพลงท่ีพระเจา้ โก๊ะล่อฝงส่งไปบรรเลงในราชสานกั จีนที่เมืองชีอานฟู
๑สมัยก่อนสุโขทยั (สมัยน่านเจ้า)
เคร่ืองดนตรี ดนตรีสมยั ก่อน เครื่องดนตรี
ประเภทเป่ า สุโขทยั ประเภทดีด
แคน
ขลุ่ย บทเพลง ซึงและ
เพลงน่านเจา้ สะลอ้
ปี่ พณิ
จิ้มกอ้ ง
กระจบั ป่ี
๒. สมยั สุโขทยั
จากการรวบรวมหลกั ฐานที่ปรากฏสรุปไดว้ า่ ในสมยั สุโขทยั มีการประสมวงดนตรีในรูปแบบของการขับไม้
มีผแู้ สดง ๓ คน คือ ผขู้ บั ร้อง ผสู้ ีซอสามสาย และผทู้ าหนา้ ท่ีไกวบณั เฑาะว์ การขบั ไมใ้ ชใ้ นพีิ ีสมโภช
พระมหาเศวตฉตั ร หรือการสมโภชชา้ งเผอื ก ลกั ษณะของเน้ือร้องคลา้ ยกาพยย์ านี เรียกวา่ กาพย์ขบั ไม้
การประสมวงดนตรีอีกรูปแบบหน่ึง คือ วงปี่ พาทย์เคร่ืองห้า ท่ีประกอบดว้ ยเครื่องดนตรีประเภทตี และประเภท
เป่ า ไดแ้ ก่ ป่ี ตะโพน กลอง ฆอ้ ง และฉ่ิง
การบรรเลงดนตรีอีกรูปแบบหน่ึง คือ การบรรเลงพณิ เป็นการบรรเลงประกอบการขบั ลานาไม่จดั วา่ เป็น
วงดนตรี เพราะใชผ้ บู้ รรเลงเพียงคนเดียวเป็นผขู้ บั ลานาพร้อมกบั บรรเลงพิณไปดว้ ย
วงสุดทา้ ยท่ีมีในสมยั สุโขทยั คือ วงเคร่ืองประโคม ใชใ้ นงานสาคญั งานพระราชพีิ ีต่าง ๆ
สมัยสุโขทยั กาพย์ขบั ไม้ วงปี่ พาทย์ เครื่องดนตรี
ดนตรีสมยั เคร่ืองห้า ประเภทเป่ า
วงขบั ไม้ สุโขทยั
บทเพลง เครื่องดนตรี
วงเครื่อง ประเภทตี
ประโคม
การบรรเลงพณิ
ประโคมแตรกลองชนะ
เพลงฉ่อย เพลงสุโขทยั
ประโคมแตรและ
มโหระทึก
เคร่ืองประโคมในสมยั สุโขทยั
๑. ประโคมแตรและมโหระทึก ใชบ้ รรเลงในเวลาที่พระมหากษตั ริยเ์ สดจ็ ออกพบขนุ นาง และในการเสดจ็
พระราชดาเนินขบวนนอ้ ย
๒. ประโคมแตรสงั ขก์ ลองชนะ วงประโคมแตรสงั ข์ จะใชใ้ นพระราชพิีีท่ีเป็นมงคลอนั ศกั ด์ิสิที์ิ เพลงท่ี
ประโคมจะมีลกั ษณะส้ัน ๆ ไม่ยาวมาก ใชเ้ ป็นการใหส้ ญั ญาณสาหรับการเคารพ โดยจะตีฆอ้ งชยั รัวมโหระทึก
เป่ าสังข์ เป่ าแตรฝร่ัง แตรงอน เป็นทานองเพลงผสมติดต่อกนั ๓ คร้ัง นิยมใชท้ านองเพลง “จีนลนั่ ถน่ั ”
ท่อน ๒ ซ่ึงจะประโคมเม่ือพระมหากษตั ริยเ์ สดจ็ ออกพบขนุ นางวา่ ราชการงานแผน่ ดิน ประโคมส่งเสดจ็
และใชเ้ พลงลงสรง ประโคมเม่ือพระมหากษตั ริยส์ รงมูรีาภิเษก
บทเพลงในสมยั สุโขทยั เป็นเพลงพ้นื เมือง เช่น เพลงฉ่อย เพลงพ้ืนเมืองเทพทองหรือเรียกอีกอยา่ งวา่
เพลงสุโขทยั เพลงขบั ไมบ้ ณั เฑาะว์ ใชใ้ นวงขบั ไม้ เพลงส่วนใหญ่จะเป็นเพลงที่มีอตั ราจงั หวะ ๒ ช้นั
และช้นั เดียว
๓. สมัยอยุธยา
ในสมยั น้ีดนตรีเจริญมาก มีการประสมวงเกิดข้ึน ไดแ้ ก่ วงปี่ พาทย์ วงมโหรี และวงเคร่ืองสาย
การขบั ไมเ้ พิ่มจาก ๓ คน เป็น ๔ คน เรียก กองมโหรีเคร่ืองส่ี
บทเพลงนิยมเพลงอตั ราจงั หวะ ๒ ช้นั มากกวา่ อตั ราจงั หวะอ่ืน เพราะเหมาะเป็นเพลงประกอบ
การแสดงโขนละคร และขบั กลอ่ มไดด้ ี ส่วนเพลงช้นั เดียวน้นั นิยมร้องเน้ือเตม็ ไม่มีการเอ้ือน
เพลงท่ีเกิดข้ึนในสมยั น้ี เช่น เพลงขิมใหญ่ เพลงองั คารส่ีบท เพลงนางนาค เพลงถอยหลงั เขา้ คลอง
สมยั อยุธยา บทเพลง
วงมโหรี ดนตรีสมยั เพลงขิมใหญ่
วงปี่ พาทย์ อยุธยา
วงเคร่ืองสาย เพลงถอย
เพลงองั คาร หลงั เข้าคลอง
สี่บท
เพลงนาง
นาค
๔. สมัยธนบุรี
สมยั ีนบุรีเป็นช่วงท่ีเริ่มก่อต้งั เมืองหลวง และมีการติดต่อกบั ชาติต่าง ๆ เช่น มอญ ญวน
ฝร่ัง เขมร ทาใหเ้ กิดการรับอารยีรรมทางดนตรีของต่างชาติเขา้ มาผสมผสาน ในสมยั น้ี
จึงเกิดวงดนตรีพิณพาทยร์ ามญั ซ่ึงเป็นวงดนตรีของชาวมอญ ส่วนวงดนตรีอ่ืนในสมยั
อยีุ ยาน้นั กย็ งั คงมีอยู่ ไม่ไดเ้ ปล่ียนแปลงหรือเพม่ิ เติมเคร่ืองดนตรีชนิดใดในวงดนตรี
บทเพลงในสมยั กรุงีนบุรีเกิดข้ึนจากพระเจา้ กรุงีนบุรีไดล้ ะครมาจากนครศรีีรรมราช
และมีการฝึกละครหลวงข้ึนในกรุงีนบุรี ๒ โรง มีบนั ทึกช่ือเพลงในพระราชนิพนี์
บทละครเรื่องรามเกียรต์ิ และมีการใชเ้ พลงหนา้ พาทยม์ ากมายหลายเพลง เช่น เพลงตระ
เพลงเขา้ ม่าน เพลงเหาะ เพลงบาทสกณุ ี เพลงสาีุการ เพลงโอด เพลงพญาเดิน เพลงเตียว
เพลงพิราบป่ า เพลงพนั พลิ าป
สมยั ธนบุรี มอญ ญวน
เขมร ฝรั่ง
วงดนตรีพณิ ดนตรีสมยั บทเพลง
พาทย์รามญั ธนบุรี
เพลงหน้า เพลงพนั
พาทย์ต่างๆ พิลาป
เพลงตระ
เพลง
เพลงโอด เพลง เพลง เพลงเตียว พิราบป่ า
สาีุการ บาทสกณุ ี
๕. สมยั รัตนโกสินทร์
สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ียอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑)
ดนตรีไดร้ ับการสืบทอดมาจากสมยั ีนบุรี มีการเพม่ิ กลองทดั เขา้ ในวงป่ี พาทย์
เคร่ืองหา้ อีก ๑ ลูก ซ่ึงเดิมมีกลองทดั อยลู่ ูกเดียว โดยลูกที่เพ่ิมน้ีมีเสียงต่างออกไป
จากลูกเดิม จึงมีเสียงเกิดเป็นสองเสียง คือ ระดบั เสียงสูง ตุ้ม และระดบั เสียงต่า ต้อม
กลองทดั ลูกที่มีเสียงสูง เรียกวา่ ตัวผู้ และกลองทดั ลูกที่มีเสียงต่า เรียกวา่ ตัวเมยี
ดงั น้นั กลองทดั ในวงป่ี พาทย์ จึงแบ่งเป็น ๒ ลูก หรือ ๑ คู่ ซ่ึงนิยมใชต้ ีกนั มาจนถึง
ปัจจุบนั
บทเพลงท่ีเกิดข้ึนในสมยั น้ีนิยมนาบทละครมาร้อง คือ คดั เอาบทละครเฉพาะ
บางบทมาร้อง บทละครท่ีนามาร้อง ไดแ้ ก่เรื่อง อิเหนา พระราชนิพนี์ใน
รัชกาลท่ี ๑
สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ีเลิศหลา้ นภาลยั (รัชกาลท่ี ๒)
ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหน้ าวงปี่ พาทยเ์ ขา้ มาบรรเลงประกอบการขบั เสภา เน่ืองจากการขบั เสภา
ตอ้ งใชเ้ วลานาน และใชเ้ สียงขบั เสภาอยตู่ ลอดเวลา จึงใหม้ ีการบรรเลงปี่ พาทยค์ น่ั เป็นตอนตามโอกาส
ในการดาเนินเรื่อง
การบรรเลงปี่ พาทยป์ ระกอบการขบั เสภาน้นั เป็นการบรรเลงในอาคารสถานที่ ดงั น้นั เสียงของตะโพน
และกลองทดั จะมีขนาดเสียงท่ีดงั เกินไป จึงงดการตีตะโพนและกลองทดั แลว้ เปลี่ยนมาใช้
กลองสองหนา้ ตีจงั หวะหนา้ ทบั แทน เรียกชื่อวงป่ี พาทยท์ ่ีมีกลองสองหนา้ ตีประกอบการขบั เสภาน้ีวา่
วงปี่ พาทย์เสภา ซ่ึงบางคร้ังใชต้ ีประชนั แข่งขนั กนั ในบางโอกาส บา้ งมีการเด่ียวเครื่องดนตรีแต่ละชนิด
รวมถึงเดี่ยวกลองสองหนา้ กเ็ คยมี
การบรรเลงปี่ พาทยป์ ระกอบเสภาเดิมบรรเลงเพลงหนา้ พาทยเ์ พยี งอยา่ งเดียว ต่อมามีการขบั ร้องแบบ
ละครเพิม่ ข้ึนมาในบางบท สุดทา้ ยจึงเปลี่ยนเพลงแบบละครมาเป็นเพลงในอตั ราจงั หวะสองช้นั แลว้
จึงนิยมแต่งเพลง ๒ ช้นั ไม่มีเพลง ๓ ช้นั นอกจากการร้องในเวลาเล่นสกั วาจะใชก้ ารร้องเพลง ๓ ช้นั
เพื่อใหม้ ีเวลาในการคิดกลอนดี ๆ
การบรรเลง ี่ปพาทย์ประกอบเสภาเ ิดมบรรเลงเพลงหน้าพาทย์เพียงอย่างเ ีดยว ่ตอมา ีมการขับ ้รองแบบ
ละครเพ่ิม ้ึขนมาในบางบท ุสดท้าย ึจงเป ี่ลยนเพลงแบบละครมาเ ็ปนเพลงในอัตราจังหวะสอง ้ชัน แล้ว
ึจง ินยมแ ่ตงเพลง ๒ ้ชัน ไ ่ม ีมเพลง ๓ ้ชัน นอกจากการ ้รองในเวลาเ ่ลนสักวาจะใช้การ ้รองเพลงสาม ้ชัน
เพ่ือให้ ีมเวลาในการ ิคดกลอน ีด ๆ
สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รัชกาลท่ี ๓)
มีการประดิษฐร์ ะนาดทุ้มข้ึนเพื่อบรรเลงคู่กบั ระนาดเอกโดยทาใหม้ ีลกั ษณะคลา้ ยระนาดเอก
การบรรเลงระนาดทุม้ จะตีหยอกลอ้ ไปกบั ระนาดเอก ตีนาหนา้ หรือตีตามหลงั ระนาดทุม้
เปรียบเสมือนตวั ตลกประจาวงป่ี พาทย์
มีการสร้างเคร่ืองดนตรีอีกชิ้นหน่ึงใหม้ ีลกั ษณะคลา้ ยกบั ฆอ้ งวงใหญ่ เพียงแต่ขนาดเลก็ กวา่ และ
ลูกฆอ้ งมีจานวนมากกวา่ ฆอ้ งวงใหญ่ เรียกเครื่องดนตรีน้ีวา่ ฆ้องวงเลก็
เคร่ืองดนตรีท้งั ๒ ชนิด คือ ระนาดทุม้ และฆอ้ งวงเลก็ เมื่อนาเขา้ มาร่วมบรรเลงกบั วงปี่ พาทย์
เครื่องหา้ จะเรียกวงป่ี พาทยน์ ้ีวา่ วงป่ี พาทย์เครื่องคู่ แลว้ ยงั นาป่ี นอกมาเป่ าคู่กบั ปี่ ใน และเพมิ่ โหม่ง
และฉาบเลก็ เขา้ มาประสม
การบรรเลงดนตรีและขบั ร้องไดม้ ี เพลงสามช้ัน ใชร้ ้องส่งประกอบวงปี่ พาทยข์ ้ึน โดยพระประดิษฐ์
ไพเราะ (ครูมีแขก) เป็นผรู้ ิเริ่ม จึงทาใหก้ ารขบั ร้องและบรรเลงดนตรีเพลงสามช้นั ไดร้ ับความนิยม
อยา่ งแพร่หลาย
สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รัชกาลท่ี ๔)
มีการบรรเลงเพลงสามช้นั ดว้ ยวงปี่ พาทยม์ โหรีอยา่ งแพร่หลาย และประดิษฐเ์ ครื่องดนตรีเพิ่มในวงปี่ พาทย์
เครื่องคู่ ๒ ชนิด ไดแ้ ก่ ระนาดเอกเหลก็ และระนาดทุ้มเหลก็ ระนาดเอกเหลก็ มีลูกระนาดคลา้ ยลูกระนาดเอก
และมีจานวนเท่ากนั เพียงแต่ทาดว้ ยทองเหลืองหรือเหลก็ ส่วนรางทาดว้ ยไมเ้ พอื่ วางลูกระนาดเหลก็
เรียงกนั วีิ ีตีคลา้ ยกบั การตีระนาดเอก เรียกอีกอยา่ งวา่ ระนาดทอง สาหรับระนาดทุม้ เหลก็ พระบาทสมเดจ็
พระปวเรนทราเมศวร (พระป่ิ นเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ) ทรงคิดประดิษฐ์ โดยมีท่ีมาจากเสียงเพลงในนาฬิกาที่ทา
เป็นเครื่องจกั รที่ทรงต้งั ช่ือวา่ เครื่องเขย่ี หร่ี ระนาดทุม้ เหลก็ มีลกั ษณะคลา้ ยกบั ระนาดเอกเหลก็ เพยี งแต่มี
ขนาดใหญก่ วา่ และเสียงทุม้ กวา่
เม่ือประดิษฐร์ ะนาดเอกเหลก็ และระนาดทุม้ เหลก็ ข้ึน จึงไดน้ าเขา้ มาบรรเลงร่วมกบั วงปี่ พาทยเ์ ครื่องคู่และ
วงมโหรีเคร่ืองคู่เรียกวา่ วงปี่ พาทย์เคร่ืองใหญ่ เม่ือมาถึงสมยั รัตนโกสินทร์ไดม้ ีการปรับปรุงในสมยั อยีุ ยา
โดยนาระนาดเอกเหลก็ และระนาดทุม้ เหลก็ เขา้ มาบรรเลงในวง จึงกลายเป็นวงมโหรีเคร่ืองใหญ่
สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รัชกาลที่ ๕)
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ีอ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศไ์ ดด้ าริวีิ ีประสมวงดนตรีไทยข้ึนใหม่อีก
แบบหน่ึง เรียกชื่อวงดนตรีน้ีวา่ วงปี่ พาทย์ดกึ ดาบรรพ์ เพอ่ื ใชป้ ระกอบการแสดงละครไทยที่คลา้ ยละคร
โอเปราท่ีเจา้ พระยาเทเวศร์วงศว์ วิ ฒั น์ (ม.ร.ว.หลาน กญุ ชร) ไดป้ ระดิษฐล์ ะครดึกดาบรรพข์ ้ึน นอกจากน้ี
ยงั ไดท้ รงปรับปรุงทานองเพลงดนตรีและเพลงร้องรวมท้งั วีิ ีการร้องและวีิ ีการบรรเลงใหเ้ หมาะสมกบั
การแสดง วงดนตรีที่ใชเ้ ฉพาะการแสดงน้ีทรงปรับปรุงโดยตดั เสียงท่ีเลก็ แหลมหรือดงั เกินไปออก คงไว้
แต่เสียงทุม้ นุ่มนวล และเพิ่มเครื่องดนตรีบางอยา่ งเขา้ ในวงปี่ พาทย์ คือ ฆอ้ งหุ่ย ซออู้ กลองตะโพนแทน
กลองทดั ขลุ่ยอูแ้ ทนขลุ่ยเพียงออ ตดั ระนาดเอกเหลก็ ออกเหลือเพยี งระนาดทุม้ เหลก็ แลว้ ใหใ้ ชไ้ มน้ วมตี
ระนาดเอก ที่เรียกช่ือวา่ วงปี่ พาทยด์ ึกดาบรรพ์ เนื่องจากใหส้ อดคลอ้ งกบั โรงละครดกึ ดาบรรพ์และตามชื่อ
ละครดกึ ดาบรรพ์
ในสมยั น้ีเริ่มมีการบรรเลงดนตรีสากล และมีการแสดงจากต่างประเทศเขา้ สู่ประเทศไทย มีการ
บนั ทึกเพลงไทยดว้ ยโนต้ สากล และบรรเลงเพลงไทยโดยใชเ้ ครื่องดนตรีสากล จึงมีการผสมผสาน
ระหวา่ งดนตรีไทยและดนตรีสากล
สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รัชกาลที่ ๖)
หลวงประดิษฐไ์ พเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ไดป้ รับปรุงวงปี่ พาทยม์ อญข้ึนใหม่ โดยใชเ้ คร่ืองปี่ พาทยไ์ ทย
ผสมกบั เครื่องดนตรีของมอญ เช่น ฆอ้ งวงมอญ ป่ี มอญ ตะโพนมอญ เปิ งมาง ฉ่ิง ฉาบ จนเกิดเป็น
วงป่ี พาทย์มอญเคร่ืองห้า เครื่องคู่ และเครื่องใหญ่ซ่ึงนิยมบรรเลงในงานศพ เนื่องจากเพลงมอญมี
ท่วงทานองโศกเศร้า โหยหวน
มีการนาเครื่องดนตรีจากต่างชาติเขา้ มาประสมกบั เคร่ืองดนตรีไทยเป็นวงบรรเลงข้ึนใหม่ และนามา
ดดั แปลงเป็นเครื่องเล่นของไทย คือ องั กะลุง ซ่ึงหลวงประดิษฐไ์ พเราะไดน้ าเอาองั กะลุงของชวา
ซ่ึงมี ๕ เสียงมาปรับปรุงดดั แปลงจนมีครบ ๗ เสียง มีวีิ ีบรรเลงโดยใชเ้ ขยา่ คนละ ๒ เสียง อีกท้งั ยงั นา
เพลงของชวามาประดิษฐแ์ ต่งเป็นเพลงไทยสาเนียงชวา
มีการนาขิมมาประสมกบั วงเครื่องสายของไทย เรียกวา่ วงเคร่ืองสายผสมขมิ นาออร์แกนของชาวตะวนั ตก
มาประสมเขา้ กบั วงเครื่องสายไทย เรียกชื่อวงวา่ วงเครื่องสายผสมออร์แกน นอกจากน้ียงั นาเครื่องดนตรี
อ่ืน ๆ เขา้ มาประสมเป็นวงดนตรีที่เรียกตามชื่อเคร่ืองดนตรีที่ประสมน้นั คือ เปี ยโน ไวโอลิน ฟังไดท้ านอง
ไพเราะกลมกลืน เรียกวงดนตรีน้ีวา่ วงเคร่ืองสายผสม
การบรรเลง ่ีปพาทย์ประกอบเสภาเ ิดมบรรเลงเพลงหน้าพาทย์เพียงอย่างเ ีดยว ่ตอมา ีมการขับ ้รองแบบละคร
เพ่ิม ้ึขนมาในบางบท ุสด ึจงเป ่ีลยนเพลงแบบละครมาเ ็ปนเพลงในอัตราจังหวะสอง ้ชัน แล้ว ึจง ินยมแ ่ตง
เพลง ๒ ้ชัน ไ ่ม ีมเพลง ๓ ้ชัน นอกจากการ ้รองในเวลาเ ่ลนสักวาจะใช้การ ้รองเพลงสาม ้ชันเพื่อให้ ีมเวลา
ในการ ิคดกลอน ีด ๆ
สมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รัชกาลที่ ๗)
พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงสนพระราชหฤทยั ทางดา้ นดนตรีไทย พระองคไ์ ดพ้ ระราช-
นิพนี์บทเพลงไทยไวถ้ ึง ๓ บทเพลง คือ เพลงโหมโรงคล่ืนกระทบฝั่ง ๓ ช้นั เพลงเขมรลออองค์ (เถา)
และเพลงราตรีประดบั ดาว (เถา) พระองคแ์ ละพระราชินีทรงโปรดใหค้ รูดนตรีเขา้ ไปถวายการสอนดนตรี
ในวงั จะเห็นไดว้ า่ ในสมยั สมบูรณาญาสิทีิราชยม์ ีผนู้ ิยมเล่นดนตรีไทยกนั มากและมีผมู้ ีฝีมือทางดนตรี
ตลอดจนมีความคิดปรับปรุงเปล่ียนแปลงใหพ้ ฒั นากา้ วหนา้ มาตามลาดบั พระมหากษตั ริย์ เจา้ นาย
ตลอดจนขนุ นางผใู้ หญไ่ ดใ้ หค้ วามอุปถมั ภแ์ ละทานุบารุงดนตรีไทยในวงั ต่าง ๆ จะมีวงดนตรีประจาวงั
จึงทาใหด้ นตรีไทยเจริญเฟื่ องฟมู าก
ต่อมาภายหลงั การเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นตน้ มา รัฐบาลในสมยั น้นั มีนโยบายท่ี
เรียกวา่ “รัฐนิยม” ทาใหม้ ีการหา้ มบรรเลงดนตรีไทยเพราะเห็นวา่ ไม่สอดคลอ้ งกบั การพฒั นาประเทศให้
ทดั เทียมกบั อารยประเทศ วฒั นีรรมทางดนตรีของต่างชาติไดเ้ ขา้ มามีบทบาทในชีวติ ประจาวนั ของ
คนไทยมากข้ึน ดนตรีท่ีเราไดย้ นิ ไดฟ้ ังและไดเ้ ห็นกนั ทางโทรทศั น์ หรือที่บรรเลงตามงานต่าง ๆ โดยมาก
กเ็ ป็นดนตรีของต่างชาติ
สมยั พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล (รัชกาลที่ ๘)
การดนตรีไทยในสมยั น้ีเป็นสมยั หลงั การเปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบ
สมบูรณาญาสิทีิราชยม์ าเป็นการปกครองในระบอบประชาีิปไตย สมยั น้ีหา้ มการบรรเลง
ดนตรีไทย แต่ยงั อนุญาตใหบ้ รรเลงในงานพีิ ีหรือในบางประเพณีแต่จะตอ้ งไปขออนุญาตท่ี
กรมศิลปากรหรืออาเภอก่อน และตอ้ งมีบตั รนกั ดนตรีที่ทางราชการออกให้ นกั ดนตรีที่มีช่ือเสียง
ในสมยั น้ี ไดแ้ ก่ หลวงประดิษฐไ์ พเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) และอาจารยม์ นตรี ตราโมท
ซ่ึงประพนั ี์เพลงประกอบบทละครประวตั ิศาสตร์หลายเพลง เช่น เพลงเพอ่ื นไทย ใตร้ ่มีงไทย
ในน้ามีปลา ในนามีขา้ ว
นอกจากน้ียงั มีการจดั ต้งั โรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ข้ึน
ภายหลงั ไดม้ ีการเปล่ียนช่ือเป็นโรงเรียนศิลปากร แผนก
นาฏดุริยางค์ ต่อมาเป็นโรงเรียนสงั คีตศิลปะ และโรงเรียน
นาฏศิลป ตามลาดบั
พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช บรมนาถบพติ ร (รัชกาลท่ี ๙)
ทรงพระปรีชาสามารถเช่ียวชาญในดนตรีตะวนั ตกเป็นอยา่ งมาก ทรงพระราชนิพนีเ์ พลงข้ึนมากมาย
หลายเพลง ในทางดนตรีไทยกท็ รงเอาพระราชหฤทยั ใส่ทานุบารุง โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานทุนให้
กรมศิลปากรจดั พมิ พเ์ พลงไทยเป็ นโน้ตสากลออกจาหน่าย ทรงตรวจคาอีิบายเพลงดว้ ยพระองคเ์ อง
และทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหอ้ าจารยค์ ณะวศิ วกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ตรวจวดั ความ
สน่ั สะเทือนของเสียงเครื่องดนตรีไทย เพ่ือคน้ หาระดบั เสียงเพ่อื วางมาตรฐานเสียงของดนตรีไทย 68
ใหเ้ ป็นระดบั เดียวกนั เป็นความกา้ วหนา้ อีกข้นั หน่ึงในวงการดนตรี และไดเ้ กิดเพลงไทยท่ีมีจงั หวะ
ตามแบบของตะวนั ตกข้ึนอีกระดบั หน่ึง
การดนตรีในปัจจุบนั มีการพฒั นาข้ึนมาก มีการนาเทคโนโลยตี ่าง ๆ เขา้ มาใช้ มีการบรรเลงดนตรีไทย
ผสมกบั ดนตรีสากลเป็นวงดนตรีไทยประยุกต์ เกิดการเรียนการสอนดนตรี-นาฏศิลป์ ในระดบั การศึกษา
ทุกระดบั ช้นั ซ่ึงมีผสู้ นใจศึกษามากข้ึน เกิดสถาบนั การศึกษาดนตรีไทยมากข้ึน มีการส่งเสริมอนุรักษท์ าง
ดนตรีไทยมากข้ึน จึงทาใหด้ นตรีไทยไม่สูญหายไปและยงั เป็นท่ีรู้จกั ต่อท้งั ชาวไทยและต่างประเทศ
รูปแบบของดนตรีไทย ในช่วงที่พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพติ ร ยงั ทรง
และดนตรีสากล เป็นพระอนุชา ไดท้ รงพระราชนิพนี์เพลงแรก คือ เพลงแสงเทยี น เป็นเพลงบลูส์ แต่ยงั
ไม่โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานออกมาเพราะมีพระราชประสงคท์ ี่จะทรงพระราชนิพนี์
แกไ้ ขใหด้ ีข้ึน
พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพติ ร ทรงมี
ความถนดั ดนตรีสากลมาก โดยเฉพาะในการทรงเคร่ืองเป่ าต่าง ๆ เช่น คลาริเน็ต
แซ็กโซโฟน ทรัมเป็ต และมีบทเพลงพระราชนิพนี์มากมาย ท้งั เพลงพระราชนิพนี์
ประกอบลีลาการแสดงระบาปลายเทา้ ชุดแสงเทียน ชุดมโนราห์ เพลงพระราชนิพนี์
ปลุกใจเราสู้ เพลงความฝันอนั สูงสุด
สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี ทรงทานุบารุงดนตรีไทย และทรงมีพระปรีชาสามารถ
ในการบรรเลงดนตรีไทยไดห้ ลายประเภท
เกิดบทเพลงในรูปแบบต่าง ๆ
บทเพลงประกอบละครร้องแบบไทยสากล
บทเพลงประกอบภาพยนตร์แบบไทยสากล
บทเพลงปลุกใจของพลตรีหลวงวจิ ิตรวาทการ
บทเพลงวงดนตรีสุนทราภรณ์
เพลงอตั รา
จงั หวะ 2 ช้นั เพลงบุหลนั
ลอยเลื่อน วงป่ี พาทยเ์ สภา เพลงอตั รา
เพลงอิเหนา วงป่ี พาทยเ์ ครื่องหา้ บทเพลง จงั หวะ3 ช้นั วงป่ี พาทยเ์ ครื่องคู่
บทเพลง ดนตรี ดนตรี บทเพลง ดนตรี
เพลงยาม รัชกาลที่ 1 รัชกาลท่ี 2 รัชกาลที่ 3 วงปี่ พาทยม์ โหรี
เยน็
ใกลร้ ุ่ง รัชกาลที่ 4 ดนตรี
เพลง รัชกาลที่ 9 รูปแบบวงดนตรีไทยสมยั บทเพลง เพลงเถา เพลง
บทเพลง รัตนโกสินทร์ (ร.1-9 ) ทยอยใน
ดนตรี รัชกาลที่ 8 รัชกาลท่ี 5 ดนตรี
วงดนตรีผสม
รัชกาลท่ี 7 รัชกาลที่ 6 บทเพลง วงปี่ พาทยด์ ึก
เพลงแขกมอญ ดาบรรพ
เพลงเพ่อื น บทเพลง ดนตรี บทเพลง ดนตรี บทเพลง ดนตรี เพลงขนุ พรหม
ไทย
เพลงใตร้ ่ม เพลงโหมโรง
ีงไทย หา้ มบรรเลงดนตรีไทย เพลงราตรี วงดนตรีต่างชาติเขา้ เพลงไทย วงป่ี พาทยเ์ คร่ืองหา้
เล่นไดใ้ นโอกาสสาคญั ประดบั ดาว มาผสม สาเนียงชวา
เท่าน้นั ลาวดวงเดือน
รูปแบบบทเพลงและวงดนตรีสากลแต่ละยุคสมัย
๑. ยุคกลาง (Middle Ages) ศตวรรษที่ ๑๒ การบนั ทึก ปลายศตวรรษท่ี ๑๓ ได้
โนต้ สากลมีความสมบูรณ์ข้ึน มีการประสานเสียง ๓
ปลายยคุ กลาง ไดพ้ ฒั นาเคร่ืองหมายใน โดย กีโด แห่งเมือง อาเรสโซ แนว เรียกวา่ โมเท็ต
เพลงสวด โดยเขียนเป็นโนต้ เพื่อใหร้ ู้ (Guido d’Arezzo) (motet)
การใชเ้ สียงส้นั -ยาว
กลางศตวรรษท่ี ๑๕ การร้อง ศตวรรษที่ ๑๕ มีการนา ศตวรรษที่ ๑๔ ปรับปรุงการประสานเสียง
ไดพ้ ฒั นาโดยการประสานเสียง ดนตรีและการขบั ร้องใน ๓ แนวแบบโมเทต็ แลว้ กาหนดใหใ้ ช้
๔ แนว หรือ ๔ เสียง ศาสนาไปสู่ชาวอิตาเลียน ภาษาละตินแทน เรียกวา่ แมดริกลั
คือ เสียงโซปราโน (soprano) และมีการปรับปรุงดดั แปลง (madrigal) ซ่ึงเป็นเพลงขบั ร้องประสานเสียง
เสียงอลั โต (alto) เสียงเทเนอร์ ในเวลาต่อมา คาร้องเป็นเพลงรัก มีการนาเคร่ืองดนตรี
(tenor) และเสียงเบส (bass) ประเภท วโิ อล (viol) รีเบก (rebec)
เรียกวา่ คอรัส (chorus) ฟลูต (flute) ใชบ้ รรเลงแทนเสียงขบั ร้อง
บางเสียงของเพลงประเภทแมดริกลั
๒. ยุคฟื้ นฟูศิลปวทิ ยาการ (Renaissance)
ราวศตวรรษท่ี ๑๖ ยโุ รปฟ้ื นตวั จากภาวะเศรษฐกิจซบเซา ประชาชนเส่ือมศรัทีาในศาสนา จึงหนั มาใส่ใจใน
ศิลปะและดนตรีมากข้ึน มีการร้องแบบประสานเสียงท่ีสมบูรณ์ข้ึนและไม่นิยมร้องเพลงสวด เนื่องจากเป็นเพลง
ท่ีใชร้ ้องในโบสถ์ เน้ือหาจะเกี่ยวขอ้ งกบั ศาสนา เช่น การร้องสวดสรรเสริญพระเจา้ หรือสวดมนต์ ในสมยั น้ีมี
นกั ร้องสมคั รเลน่ มากข้ึน มีการพิมพโ์ นต้ ดนตรี ใชเ้ คร่ืองดนตรีบรรเลงประกอบการเตน้ รา เครื่องดนตรีท่ีใช้
ไดแ้ ก่ โบว์ วโิ อล (bowed viol) ลูต (lute) เวอร์จินลั (virginal) และออร์แกน (organ)
บทเพลงท่ีบรรเลงเป็นเพลงแบบแมดริกลั เป็นท่ีนิยมอยา่ งแพร่หลายในประเทศอิตาลีและองั กฤษ
ยุคฟื้ นฟูศิลปวทิ ยาการ (Renaissance)
๓. ยุคบาโรก (Baroque)
ยคุ บาโรก (Baroque) ค.ศ. ๑๖๐๐-๑๗๕๐ คาวา่ “บาโรก” (Baroque) เป็นคาที่ใชก้ บั ศิลปะทุกแขนง
หมายถึง ลกั ษณะที่โออ่ า่ สง่างาม ลกั ษณะเช่นน้ีเริ่มตน้ ที่ประเทศอิตาลีแลว้ จึงแพร่หลายไปทวั่ ยโุ รป
ดนตรีในยคุ บาโรกเร่ิมตน้ ในปลายศตวรรษท่ี ๑๖ จนถึงราวศตวรรษที่ ๑๘ รวมเวลาประมาณ ๑๕๐ ปี
นบั เป็นเวลาที่ยาวนานมาก จึงมีเหตุการณ์ทางดา้ นดนตรีท่ีมีการพฒั นาและการเปล่ียนแปลงไปตาม
เวลา ซ่ึงมีความแตกต่างไปกวา่ ยคุ อ่ืน ๆ มาก ท้งั ดา้ นเคร่ืองดนตรี คีตลกั ษณ์ และคีตกวี
๑. นิยมใชบ้ นั ไดเสียง เมเจอร์ ไมเนอร์ แทนโมด (mode)
๒. มีการใชเ้ ทคนิคและกลวีิ ีเก่ียวกบั ความชา้ -เร็ว ดงั -เบาลงในเพลง
ลกั ษณะของ ๓. มีการใชเ้ คร่ืองดนตรีต้งั แต่ ๒๐-๓๐ ชิ้น ในการบรรเลง นบั เป็นการเร่ิมของวงออร์เคสตรา (orchestra)
ดนตรี การบรรเลงดว้ ยนกั ดนตรีจานวนมากเช่นน้ี ทาใหเ้ กิดผคู้ วบคุมวงดนตรี คือ วาทยกร (conductor)
๔. กลุ่มผดู้ ีชาวฟลอเรนซ์ อิตาลี ไดน้ านาฏกรรมของกรีกโบราณผสมผสานกบั การขบั ร้องแบบใหม่ เรียกวา่
อุปรากร หรือโอเปรา (opera)
๕. ๕ดน.๑ตดรีเนกตี่ยรวีใกนบั ศศาาสสนนพาิีหี (รLือiเtพurลgงicโaบlสMถuใ์ นsiยc)คุ คบือาโดรนกตนร้ี ีแทบี่ใช่งอใ้ นอกกเิจปก็นรร๒มตป่ารงะๆเภขทอง
๕.๑ ดนตรีในศาสนพิีี (Liturgical Music) คือ ดนตรีท่ีใชใ้ นกิจกรรมต่าง ๆ ของศาสนาคริสตใ์ นฝ่ายคาทอลิก
และโปรเตสแตนต์ ไดแ้ ก่ แมส และโมเทต็
๕.๒ ดนตรีนอกศาสนพิีี (Non-Liturgical Music) คือ ดนตรีที่แมว้ า่ ไม่ไดใ้ ชใ้ นพิีีกรรมต่าง ๆ แต่เน้ือหากย็ งั
เกี่ยวขอ้ งกบั ศาสนา ไดแ้ ก่ เพสชัน (passion) และออราทอริโอ (oratorio)
๖. เพลงฆราวาสหรือเพลงคฤหสั ถม์ ีการใชก้ ารโตต้ อบกนั ข้ึนระหวา่ งนกั ร้องกบั เครื่องดนตรี หรือการ
บรรเลงเด่ียวตอบโตก้ บั การบรรเลงกลุ่ม อนั เป็นตน้ แบบของคอนเชอร์โต (concerto)
ลกั ษณะของ ๗. มีการพฒั นาการบนั ทึกตวั โนต้ จนเป็นลกั ษณะที่ใชก้ นั ในปัจจุบนั คือ การใชบ้ รรทดั ๕ เส้น (staff) การใช้
ดนตรี กญุ แจซอล (treble clef) กญุ แจฟา (bass clef) กญุ แจอลั โต (alto clef) และกญุ แจเทเนอร์ (tenor clef) มีการใช้
ตวั โนต้ และตวั หยดุ แทนความยาวของจงั หวะ และตาแหน่งของตวั โนต้ บนบรรทดั ๕ เสน้ แทนระดบั เสียง
มีตวั เลขบอกอตั ราจงั หวะ มีเส้นก้นั หอ้ ง และสญั ลกั ษณ์อื่น ๆ เพอ่ื ใชบ้ นั ทึกลกั ษณะของเสียงดนตรี
๘. คีตลกั ษณ์ในยคุ บาโรก มีรูปแบบหรือกฎเกณฑท์ ่ีไม่ชดั เจนหรือตายตวั นกั ส่วนใหญย่ งั คงยดึ แนวจาก
ยคุ กลางและยคุ ฟ้ื นฟศู ิลปวทิ ยาการ และมีการพฒั นารูปแบบของเพลงบางชนิดข้ึนมา เช่น โซนาตา (sonata)
และมีการเขียนตน้ ฉบบั ของเพลงต่าง ๆ เกบ็ ไวเ้ ป็นหลกั ฐาน รวมท้งั ตาราการประสานเสียง
ยคุ บาโรก (Baroque)
๔. ยุคโรโคโค (Rococo)
ปลายศตวรรษที่ ๑๗ เป็นยคุ ท่ีศิลปะทุกอยา่ งมีความงดงาม หรูหรา เป็นสมยั ของพระเจา้ หลุยส์ที่ ๑๔
และ ๑๕ ของฝรั่งเศส บทเพลงที่ใชเ้ รียก บทเพลงโรโคโค หมายถึง ดนตรีในแบบของ ซี.พ.ี อี.บาค.
(Carl Philpp Emanuel Bach) นกั ประพนั ี์เพลงในยคุ น้ีจะตอ้ งแต่งเพลงประกอบการแสดงละครโอเปรา
โซนาตา แคนตาตา และซิมโฟนีท้งั สิ้น ยคุ น้ีเป็นยคุ คาบเก่ียวกบั ยคุ บาโรก และยคุ คลาสสิก
๔. ยุคโรโคโค (Rococo)
๕. ยุคคลาสสิก (Classic)
ลกั ษณะของดนตรี
๑. ดนตรีในยคุ คลาสสิกเป็นดนตรีสาหรับเครื่องดนตรีมากกวา่ การขบั ร้อง เร่ิมใชว้ งออร์เคสตรา (orchestra) ที่มีขนาดใหญ่
และจานวนเครื่องดนตรีมากข้ึน
๒. ดนตรีในยคุ คลาสสิกมีรูปแบบการประพนั ี์ที่สมบูรณ์ เป็นตน้ แบบของเพลงคลาสสิกในยคุ ต่อ ๆ มาที่นามาใชแ้ ละ
พฒั นาบา้ ง เพลงประเภทซิมโฟนี คอนเชอร์โต และโซนาตา ไดร้ ับความนิยมและรุ่งเรืองอยา่ งสูงสุดจากนกั ประพนั ี์เพลง
และผชู้ มเป็นจานวนมาก
๓. มีการปฏิรูปอุปรากร โดยเนน้ ที่บทบาทของดนตรีและการแสดง แบ่งอุปรากรออกเป็น ๒ แบบ คือ อุปรากรหนัก
(Grand Opera หรือ Opera Seria) เรื่องราวของอุปรากรประเภทน้ี มกั จะเป็นเร่ืองของความเก่งกาจของพระเอก หรือเป็น
เร่ืองโศกนาฏกรรม อุปรากรเบาสมอง (Comic Opera) เรื่องราวของอุปรากรประเภทน้ีมกั จะมีเน้ือเรื่องท่ีสนุกสนาน
ตลกขบขนั นกั ประพนั ี์ท่ีเป็นผนู้ าในดา้ นการประพนั ีอ์ ุปรากร ไดแ้ ก่ โมซาร์ต
ยคุ คลาสสิก (Classic)
ลกั ษณะของดนตรี
๔. ยงั คงนิยมการใชค้ วามเขม้ ของเสียง และเทคนิคต่าง ๆ ในการบรรเลง
๕. เคร่ืองดนตรีที่นิยมกนั มากในยคุ น้ี คือ เปี ยโน ท่ีประดิษฐข์ ้ึนมาใชแ้ ทนฮาร์ปซิคอร์ด ในยคุ น้ีคีตกวไี ดแ้ ต่งบทเพลงสาหรับ
เปี ยโนไวม้ าก
๖. เน่ืองจากในยคุ น้ีมีการขยายตวั ในดา้ นอื่น ๆ อยา่ งเป็นอิสระมากข้ึน ดนตรีเกี่ยวกบั ศาสนายงั คงใชร้ ูปแบบของเพลงในยคุ
บาโรก มีการแต่งเพิม่ บา้ งโดยคีตกวที ่ีมีชื่อเสียง ส่วนเพลงฆราวาส หรือเพลงคฤหสั ถก์ ม็ ีโอราโตริโอ
๗. วงเชมเบอร์มิวสิก ยงั เป็นท่ีนิยมกนั อยู่ และเร่ิมมีสตริงควอเทต็ (string quartet) ซ่ึงบุกเบิกโดยไฮเดิน
๖. ยุคโรแมนติก
ลกั ษณะของดนตรี
๑. ทานองดนตรีเด่นชดั ในดา้ นการบรรยายความรู้สึกของตนเอง
๒. การแบ่งวรรคตอนของเพลงยดื หยนุ่ ไม่แน่นอน
๓. มีการคิดคอร์ดดนตรีใหม่ ๆ เพื่อใชบ้ รรยายความรู้สึกไดเ้ ด่นชดั มากข้ึน
๔. มีการใชโ้ นต้ คร่ึงเสียง และการเปล่ียนบนั ไดเสียงไปสู่อีกบนั ไดเสียงหน่ึง ทาใหเ้ กิดแนวคิดในการพฒั นาบนั ไดเสียงในยคุ ต่อ ๆ มา
๕. รูปแบบของเพลงยงั คงเป็นรูปแบบโซนาตาอลั เลโกร
๖. บทเพลงประเภทโอเปรา ส่วนใหญ่จะเป็นเน้ือเรื่องท่ีเกี่ยวกบั การลอ้ เลียนการเมือง ความรักที่อ่อนหวาน ไปจนถึงโศกนาฏกรรม
๗. เพลงคฤหสั ถ์ เป็นเพลงท่ีนิยมประพนั ี์กนั มากในยคุ น้ี โดยเป็นเพลงในลกั ษณะแมส และสวดศพ
๘. เปี ยโนไดพ้ ฒั นาใหด้ ีข้ึนในยคุ โรแมนติก
เบโีเฟน รอสซินี ไชคอฟสกี โบโรดิน ชูมานน์ โชแปง แวร์ดี ดวอชาค
ยคุ โรแมนตกิ
๗. ยุคศตวรรษที่ ๒๐-ปัจจุบนั
ลกั ษณะของดนตรี
๑. เกิดงาน ๒. มีคีตกวแี ต่งเพลง ๓. เพลงโบสถ์ ใน ๔. เกิดีุรกิจเกี่ยวกบั ๕. มีการผสมผสานโครงสร้างของ
ดนตรีมากมาย เพลงระหวา่ งรูปแบบเก่ามาใชก้ บั
ประพนั ีท์ างดา้ น ประกอบบลั เลตม์ ากข้ึน ยคุ น้ีมีการแต่งเพลง รูปแบบใหม่ แต่ยงั คงยดึ ถือรูปแบบ
ดนตรีมากเกิน ส่วนโอเปราที่เคย ศาสนาบา้ ง แต่ ของดนตรีคลาสสิกไวเ้ ป็นอยา่ งดี
ความตอ้ งการ รุ่งเรืองค่อย ๆ ลด เป็นไปในแนวของ
เกิดการแข่งขนั โดย บทบาทลงและมี เพลงคฤหสั ถ์ ท้งั ผเู้ ล่นและผฟู้ ัง จึงดูเหมือนวา่
ยคุ น้ีเป็นยคุ ท่ีมีการแบ่งดนตรี
คานึงถึงปริมาณ ละครเพลง (musical ออกเป็นสองข้วั คือ ดนตรีคลาสสิก
มากกวา่ คุณภาพ play) เขา้ มาแทนท่ี และดนตรีสมยั ใหม่
ยคุ ศตวรรษที่ ๒๐-ปัจจุบนั
คตี ลกั ษณ์ (form) คือ ลกั ษณะ รูปแบบ หรือโครงสร้างของบทเพลงที่เป็นแบบแผนในดนตรีตะวนั ตก
มีหลายประเภท
๑. ซิมโฟนี (symphony)
เป็นภาษาเยอรมนั แปลวา่ เสียงที่รวมกนั (Sounding together) มีความหมายไดส้ องนยั คือ หมายถึง
วงดนตรี และบทประพนั ธ์เพลงสาหรับวงซิมโฟนี เกิดข้ึนในราวปลายสมยั บาโรก และปรับปรุงจนเป็น
แบบแผนมาตรฐานในยคุ คลาสสิก และใชต้ อ่ กนั มาจนถึงยคุ ปัจจุบนั นกั ประพนั ี์เพลงในยคุ คลาสสิกจะ
นิยมแต่งบทเพลงซิมโฟนีกนั มาก นกั ประพนั ี์เพลงท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ ไฮเดินและโมซาร์ต โดยเฉพาะไฮเดิน
แตง่ ซิมโฟนีไวถ้ ึง ๑๐๖ บท จนไดร้ ับฉายาวา่ “บิดาแห่งซิมโฟนี”