37 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย ในการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการ สอน Model - Eliciting Activities วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้ดำเนินการศึกษาค้นคว้าตามหัวข้อต่อไปนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. แบบแผนการวิจัย 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดร พิทยานุกูล อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 2. กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 45 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ที่ได้มาจากการ วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) แบบแผนการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีแบบแผนการทดลอง (Experimental Design) กลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลัง การทดลอง One Group Pretest – Posttest Design (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 60 - 61) ตารางที่1 แบบแผนการทดลองกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการทดลอง กลุ่ม สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง E T1 X T2
38 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง E แทน การสุ่มตัวอย่าง T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชา คณิตศาสตร์ (ค21101) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ที่เรียนโดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities เรื่อง รูป เรขาคณิตสองมิติและสามมิติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง 1.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา คณิตศาสตร์ (ค21101) ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็น แบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 1.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities รายวิชา คณิตศาสตร์ (ค21101) เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ผู้สอน นายนที พ่อไชยราช สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 1 ชุด 2. การสร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยกำหนดรายละเอียดของการสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ดังนี้ 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ผู้ศึกษาได้ดำเนินการสร้าง ดังนี้ 2.1.1 ศึกษาและวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี และการจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการ สอน Model - Eliciting Activities 2.1.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ คู่มือครู หนังสือเรียนวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐานช่วงชั้นที่ 1 ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จัดทำโดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกระทรวงศึกษาธิการ 2.1.3 ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนพิอุดรพิทยานุกูล กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ช่วงชั้นที่ 3 วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
39 2.1.4 สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหาคณิตศาสตร์ หน่วยการ เรียนรู้ที่ 4 เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ 2.1.5 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities จำนวน 4 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง ดังแสดงรายละเอียดในตารางที่ 3-2 ตารางที่ 2 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities เรื่อง รูป เรขาคณิตสองมิติและสามมิติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ลำดับ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวนชั่วโมง เรื่อง 1 หน้าตัดของรูปเรขาคณิต ตอน หน้าตัดผลไม้ของเชฟตัวน้อย 2 2 หน้าตัดของรูปเรขาคณิต ตอน เค้กเรขาคณิตแสนหวาน 2 3 ภาพด้านหน้า ภาพด้านข้าง และภาพด้านบนของรูปเรขาคณิตสามมิติ 2 4 ภาพด้านหน้า ภาพด้านข้าง และภาพด้านบนของรูปเรขาคณิตสามมิติที่มี รูปเรขาคณิตสามมิติที่ประกอบขึ้นจากลูกบาศก์ 2 รวม 6 2.1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ด้านหลักสูตร และการสอน การวิจัยและการวัดผลประเมินผล เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้ และการ วัดผลประเมินผล โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้ - ให้คะแนน 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด - ให้คะแนน 3.51 – 4.50 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับมาก - ให้คะแนน 2.51 – 3.50 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับปานกลาง - ให้คะแนน 1.51 – 2.50 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับน้อย - ให้คะแนน 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับน้อยที่สุด โดยกำหนดให้คะแนนเฉลี่ย 3.51 ขึ้นไป เป็นเกณฑ์ที่มีความเหมาะสมที่ยอมรับว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีคุณภาพที่สามารถนำไปใช้ได้โดยพบว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีค่าความ เหมาะสม เท่ากับ 5.00 มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด 2.1.7 ปรับปรุง และแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ
40 2.1.8 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่กำลังเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ปีการศึกษา 2565 2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา คณิตศาสตร์ (ค21101) ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก มีขั้นตอนในการสร้างและหาประสิทธิภาพดังนี้ 2.2.1 ศึกษาทฤษฎีวิธีสร้างเทคนิคการเขียนข้อสอบแบบเลือกตอบ คู่มือการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรุง พ.ศ. 2560) 2.2.2 สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหาสาระวิชาคณิตศาสตร์ 2.2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์แบบปรนัย ชนิด เลือกตอบมี4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระและผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 2.2.4 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้นเสนอต่อ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน การวิจัย และด้านการวัดผลและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ตรวจสอบ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้ - ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดได้สอดคล้องกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ - ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดได้สอดคล้องกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ - ให้คะแนนเป็น -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดไม่ได้ไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์การ เรียนรู้ 2.2.5 นำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ระหว่างข้อคำถามของแบบทดสอบกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่ง ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.67 ขึ้นไป โดยพบว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 2.2.6 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้นจำนวน 20 ข้อ ไปทดลองใช้กับนักเรียนที่กำลังเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ปีการศึกษา 2565 ที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติผ่านมาแล้ว จำนวน 30 คน แล้วนำ
41 คะแนนที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) โดยค่าความยากง่าย (p) มีค่า อยู่ระหว่าง 0.20 – 0.80 และค่าอำนาจจำแนก (r) มีค่าอยู่ระหว่าง 0.20 ขึ้นไป (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) โดยพบว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์มีค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.23 ถึง 0.50 และค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.20 ถึง 0.53 และค่าความเชื่อมั่น (rtt) โดยใช้สูตร คูเดอร์– ริชาร์ดสัน 20 (Kuder – Richardson 20 : KR – 20) มีค่าเท่ากับ 0.79 2.2.7 นำแบบทดสอบที่ได้ไปวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์กับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการทดลองภาคสนาม ต่อไป 2.3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities รายวิชา คณิตศาสตร์ (ค21101) เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 1 ชุด มีขั้นตอนในการสร้างและหา ประสิทธิภาพดังนี้ 2.3.1 ศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เนื้อหา แนวคิด ทฤษฎีและขั้นตอนในการสร้าง แบบสอบถามความพึงพอใจ 2.3.2 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจโดยกำหนดระดับความพึงพอใจเป็น 5 ระดับ จำนวน 15 ข้อ ต้องการใช้จริง 10 ข้อ โดยผู้วิจัยกำหนดประเด็นการวัดความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้ 3 ด้าน คือ ด้านบรรยากาศในการเรียน ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน และด้านพัฒนาการการเรียนของ นักเรียนการให้ความหมายของคะแนน ดังนี้ 5 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจมากที่สุด 4 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจมาก 3 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจปานกลาง 2 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจน้อย 1 หมายถึง นักเรียนมีความพึงพอใจน้อยที่สุด 2.3.3 นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของข้อคำถามและความสอดคล้องของข้อคำถามกบนิยามประเด็นหลักที่ ต้องการวัด และปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำ 2.3.4 นำแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแกไขตามข้อแนะนำ แล้ว เสนอผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมประเมินความสอดคล้องของคำถามที่ต้องการวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้ แต่ละข้อ ดังนี้
42 ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่ารายการประเมินนั้นสอดคล้องกับคุณลักษณะที่ ต้องการวัด ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่ารายการประเมินนั้นสอดคล้องกับคุณลักษณะที่ ต้องการวัด ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่ารายการประเมินนั้นไม่สอดคล้องกับคุณลักษณะที่ ต้องการวัด 2.3.5 วิเคราะห์ข้อมูลหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับคุณลักษณะที่ ต้องการวัดเลือกข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.8 – 1.00 โดยพบว่า แบบสอบถามความพึงพอใจมีค่า IOC เท่ากับ 1.00 2.3.6 จัดพิมพ์เป็นแบบวัดความพึงพอใจฉบับจริงเพื่อใช้เก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป 2.3.7 นำแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผ่านการแก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่องเรียบร้อยแล้ว ไปใช้จริงกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง ในการทดลองภาคสนาม โดยใช้เกณฑ์การแปลความหมายเฉลี่ยดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545, น. 105- 106) - ให้คะแนน 4.21 – 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจมากที่สุด - ให้คะแนน 3.41 – 4.20 หมายถึง มีความพึงพอใจมาก - ให้คะแนน 2.61 – 3.40 หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง - ให้คะแนน 1.81 – 2.60 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย - ให้คะแนน 1.00 – 1.80 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อยที่สุด การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งดำเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างตามลำดับ ดังนี้ 1. ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pre - test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. ผู้วิจัยดำเนินการสอนกลุ่มตัวอย่างด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นจำนวน 4 แผน โดยให้ นักเรียนเรียนและปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ตามขั้นตอนในแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ
43 3. เมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้ว ให้นักเรียนทำการทดสอบหลังเรียน (Post - test) โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ชุดเดิมกับการทำการทดสอบก่อนเรียนไปทดสอบ นักเรียนอีกครั้ง 4. ผู้วิจัยนำแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูลทำเพื่อเก็บข้อมูล ความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบการสอนของนักเรียน จากนั้นนำผลที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติต่อไป การวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัย ดำเนินการโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ตามขั้นตอนดังนี้ 1. วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์โดยนำข้อมูลจากคะแนนสอบวัดผลฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังเรียนที่ได้มาวิเคราะห์โดยใช้สถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แล้วนำมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่เป้าหมายกำหนดไว้ร้อยละ 75 2. วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ก่อนเรียนเปรียบเทียบหลังเรียน โดยนำ ข้อมูลจากคะแนนสอบวัดผลฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน มาวิเคราะห์โดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แล้วนำคะแนนก่อนเรียนมาเปรียบเทียบกับคะแนน หลังเรียน โดยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test for Dependent Sample) 3. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล โดยนำข้อมูลจากการทำ แบบสอบถามความพึงพอใจ มาวิเคราะห์โดยใช้สถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน โดยใช้เกณฑ์การแปลความหมายเฉลี่ยดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545, น. 105-106) - ให้คะแนน 4.21 – 5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจมากที่สุด - ให้คะแนน 3.41 – 4.20 หมายถึง มีความพึงพอใจมาก - ให้คะแนน 2.61 – 3.40 หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง - ให้คะแนน 1.81 – 2.60 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย - ให้คะแนน 1.00 – 1.80 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อยที่สุด
44 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเลือกใช้สถิติ ดังนี้ 1. สถิติที่ใช้หาคุณภาพของเครื่องมือ 1.1 การหาคุณภาพแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1.1.1 การหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างผลการเรียนรู้ที่คาดหวังกับเนื้อหา (บุญชม ศรีสะอาด. 2543 : 102) IOC = ∑ R N เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างผลการเรียนรู้ที่คาดหวังกับ เนื้อหาของข้อสอบ ∑ R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 1.2 ค่าความยากง่าย (p) ค่าอำนาจจำแนก (r) และค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยใช้สูตรคู เดอร์-ริชาร์ดสัน (K-R20) ของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้โปรแกรม Excel 1.2.1 ค่าความยากง่าย (P) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน P= sh +Sl -(nt )(xm ) nt (xmax-xmin) เมื่อ p แทน ค่าความยากง่ายของข้อสอบแต่ละข้อ sh แทน คะแนนผลรวมของนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มสูง sl แทน คะแนนผลรวมของนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มตํ่า nt แทน จำนวนผู้เรียนในกลุ่มสูงและกลุ่มตํ่า xmax แทน คะแนนสูงสุด xmin แทน คะแนนตํ่าสุด
45 1.2.3 ค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน r= sh -sl nt (xmax-xmin) เมื่อ r แทน ค่าอำนาจจําแนกของข้อสอบแต่ละข้อ sh แทน คะแนนผลรวมของนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มสูง sl แทน คะแนนผลรวมของนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มตํ่า nt แทน จำนวนผู้เรียนในกลุ่มสูงและกลุ่มตํ่า xmax แทน คะแนนสูงสุด xmin แทน คะแนนตํ่าสุด 2.1 ค่าความเชื่อมั่น (r tt) ของคูเดอร์- ริชาร์ดสัน ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน r tt= k K-1 [1- ∑ pq S.D.2 ] เมื่อ r tt แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน k แทน จำนวนข้อของแบบทดสอบ S.D.2 แทน ความแปรปรวนของข้อสอบทั้งหมด 2. สถิติพื้นฐาน 2.1 ค่าร้อยละ (Percentage) 2.2 ค่าเฉลี่ย (X) 2.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ซึ่งในการคำนวณหาค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (X) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) คำนวณผลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ทดสอบสมมุติฐานโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ SPSS for Windows 3.1 สถิติที่ใช้ทดสอบความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน คือ การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test for Dependent Samples)
46 3.2 สถิติที่ใช้ทดสอบความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 75 คือ การ ทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t – test for Dependent Sample)
47 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการ สอน Model - Eliciting Activities วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยมีการนำเสนอเป็นลำดับ ดังนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ผู้วิจัยได้กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ n แทน จำนวนนักเรียน X̅แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง (Mean) S.D. แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน D̅ แทน ค่าเฉลี่ยของผลต่างของคะแนนระหว่าการทดสอบหลังเรียนกับการทดสอบ ก่อนเรียน S.D.D แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลต่างของคะแนนระหว่างการทดสอบหลัง เรียนกับการทดสอบก่อน % แทน ร้อยละ t แทน ค่าสถิติที่ใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤตจากการแจกแจงแบบที (t-distribution) P แทน ความน่าจะเป็นสำหรับบอกนัยสำคัญทางสถิติ * แทน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
48 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ โดยใช้ รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนเปรียบเทียบ กับเกณฑ์ที่เป้าหมายกำหนดไว้ร้อยละ 75 ตารางที่3 แสดงสรุปผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติ และ สามมิติ โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนเปรียบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 การทดสอบ n คะแนนเต็ม Mean S.D. % of Mean t Sig หลังเรียน 45 20 16.07 1.78 80.33 4.03 * 0.0001 *มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตาราง 3 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสาม มิติ โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียน มี คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 16.07 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.33 และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างเกณฑ์กับคะแนน สอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตอนที่ 2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ โดยใช้ รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนเปรียบเทียบ หลังเรียน ตารางที่ 4 แสดงสรุปผลการประเมินค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติทดสอบที และระดับ นัยสำคัญทางสถิติของการทดสอบเปรียบเทียบคะแนนสอบก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 จำนวน 45 คน การ ทดสอบ X̅ S.D. D̅ S.D.D t Sig. (1-tailed) ก่อนเรียน 14.44 2.48 1.62 1.39 7.85 * 0.0000 หลังเรียน 16.07 1.78 *มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
49 จากตาราง 4 พบว่าการทดสอบเปรียบเทียบคะแนนสอบก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 14.44 คะแนน และ 16.07 คะแนน ตามลำดับ และเมื่อ เปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตอนที่ 3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ตารางที่5 การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities รายวิชา คณิตศาสตร์ (ค21101) เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ผู้สอน นายนที พ่อไชยราช สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 45 คน รายการประเมิน คะแนน ระดับความ ค่าเฉลี่ย S.D. พึงพอใจ ด้านที่ 1 ด้านบรรยากาศในการเรียน 1.1 นักเรียนเกิดความสนุกสนานในการเรียนคณิตศาสตร์ 4.67 0.56 มากที่สุด 1.2 นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนคณิตศาสตร์ 4.33 0.90 มากที่สุด 1.3 นักเรียนมีความกล้าแสดงออกในการตอบคำถามคณิตศาสตร์ 4.22 1.08 มากที่สุด 1.4 นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อตนเอง และกลุ่ม 4.51 0.66 มากที่สุด 1.5 นักเรียนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนในกลุ่ม และต่างกลุ่ม 4.64 0.57 มากที่สุด ด้านที่ 2 ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน 2.1 เนื้อหาและกิจกรรมเหมาะสมกับนักเรียน 4.87 0.34 มากที่สุด 2.2 นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมในชั้นเรียน 4.53 0.66 มากที่สุด 2.3 กิจกรรมการเรียนการสอนส่งเสริมให้นักเรียนเกิดทักษะการ แก้ปัญหา 4.71 0.63 มากที่สุด 2.4 กิจกรรมการเรียนการสอนส่งเสริมให้นักเรียนฝึกการคิดอย่างมี วิจารณญาณ 4.69 0.70 มากที่สุด 2.5 สื่อการสอนประกอบกิจกรรมการเรียนการสอนเหมาะสมกับเรื่อง ที่เรียน 4.87 0.34 มากที่สุด
50 ด้านที่ 3 ด้านพัฒนาการการเรียนของนักเรียน 3.1 นักเรียนเข้าใจบทเรียนมากขึ้น 4.87 0.34 มากที่สุด 3.2 นักเรียนสามารถแก้โจทย์ปัญหาได้ 4.64 0.71 มากที่สุด 3.3 นักเรียนสามารถประยุกต์การแก้โจทย์ปัญหาจากตัวอย่างที่ กำหนดได้ 4.62 0.68 มากที่สุด 3.4 นักเรียนสามารถแก้โจทย์ปัญหาได้คล่องแคล่วขึ้น 4.71 0.51 มากที่สุด 3.5 นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้เรียนไปต่อยอดได้ 4.69 0.60 มากที่สุด รวม 4.62 0.64 มากที่สุด จากตาราง 5 พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities รายวิชา คณิตศาสตร์ (ค21101) เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2565 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ผู้สอน นายนที พ่อไชยราช สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 45 คน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด(X̅= 4.62, S.D.= 0.64)
51 บทที่ 5 บทสรุป การวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดย ใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องรูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ที่เรียนโดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ของนักเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 45 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ที่ได้มาจากการวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชา คณิตศาสตร์ (ค 21101) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ที่เรียนโดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา คณิตศาสตร์ (ค21101) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities รายวิชา คณิตศาสตร์ (ค21101) เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 กลุ่มสาระ
52 การเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ผู้สอน นายนที พ่อไชยราช สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 1 ชุด ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล เริ่มจากการเลือกกลุ่มกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ และให้นักเรียนทำการทดสอบก่อนเรียน (Pre - test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติจำนวน 20 ข้อ จากนั้นผู้วิจัยดำเนินการสอนกลุ่ม ตัวอย่างด้วยแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติที่สร้างขึ้นจำนวน 4 แผน โดยให้ นักเรียนเรียนและปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ตามขั้นตอนในแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities เมื่อสิ้นสุดการทดลองแล้ว ให้นักเรียนทำการทดสอบหลังเรียน (Post - test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ชุดเดิมกับการทำการทดสอบก่อน เรียนไปทดสอบนักเรียนอีกครั้ง แล้วนำแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูลทำเพื่อเก็บข้อมูลความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบการสอนของนักเรียน จากนั้นนำผลที่ได้ไปวิเคราะห์ ข้อมูลทางสถิติและสรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1. สรุปผลการวิจัย 2. อภิปรายผล 3. ข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ โดยใช้รูปแบบ การสอน Model - Eliciting Activities ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียน มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 16.07 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.33 และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างเกณฑ์กับคะแนนสอบหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. การทดสอบเปรียบเทียบคะแนนสอบก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มี คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 14.44 คะแนน และ 16.07 คะแนน ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนน ก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05
53 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities รายวิชา คณิตศาสตร์ (ค21101) เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 กลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ผู้สอน นายนที พ่อไชยราช สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 45 คน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X̅= 4.62, S.D.= 0.64) อภิปรายผล จากการศึกษาการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 45 คน 1. พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ โดยใช้ รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียน มีคะแนน เฉลี่ย เท่ากับ 16.07 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.33 และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างเกณฑ์กับคะแนนสอบ หลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเมื่อ พิจารณาเป็นรายจุดประสงค์การเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้จากการจัดการเรียนรู้จะเห็นได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียน มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 16.07 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.33 และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างเกณฑ์กับคะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในทุกจุดประสงค์การเรียนรู้ ทั้งนี้ เนื่องมาจากการจัดการเรียนการสอนเน้นให้ผู้เรียนได้นำความรู้ทางคณิตศาสตร์ที่มีไปใช้ในการสร้างวิธีใน การแก้ปัญหา สามารถตรวจสอบกระบวนการแก้ปัญหาด้วยตนเอง และสามารถหาคำตอบร่วมกับผู้อื่นใน กลุ่มได้จากสถานการณ์ที่กำหนดให้ โดยสถานการณ์ที่พบได้ในชีวิตจริง ผู้เรียนได้ใช้ความรู้ทาง คณิตศาสตร์ ทฤษฎีบท บทนิยาม กฎ สูตร และสมบัติต่าง ๆ มาใช้ในกระบวนการคิดแก้ปัญหาระหว่าง สถานการณ์ในชีวิตจริงกับการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ด้วยกระบวนการของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับ Garfield, Delmas, and Zieffler (2012, p. 2) ได้ให้ความหมายของรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ว่า การจัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้แสวงหาความรู้ มีรูปแบบในการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ นักเรียนได้คิดค้นตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหา และสามารถตรวจสอบกระบวนการ แก้ปัญหาของตนเองได้ นักเรียนจะได้รับปัญหาซึ่งเป็นปัญหาปลายเปิดที่ครูออกแบบมาเพื่อท้าทายให้
54 นักเรียนสร้างตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์เพื่อใช้ในการแก้ที่ซับซ้อนจากปัญหาโลกแห่งความจริง และ สอดคล้องกับ (Lesh et al., 2000, pp. 624-630) ที่กล่าวถึงทฤษฎีแนวคิดหรือหลักการของรูปแบบการ สอน Model Eliciting Activities ว่าแต่ละกิจกรรมที่สร้างขึ้นตามแนวคิด MEAs สามารถช่วยส่งเสริมให้ นักเรียนแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน สามารถพบได้ในสถานการณ์หรือโลกแห่งความจริงซึ่งต้องใช้ กระบวนการในการแก้ปัญหาที่ เป็นขั้นตอนหรือวิธีการ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการเรียน และ สามารถนำรูปแบบที่ นักเรียนสร้างไปใช้ในการตัดสินใจได้สำหรับในสถานการณ์จริง จากงานวิจัยของชุติกาญจน์ เหง้าชัยภูมิ และทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน (2563) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะ การเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ Model - Eliciting Activities พบว่า ทักษะการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังจาก การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Model - Eliciting Activities ในวงจรปฏิบัติการที่ 1 2 และ 3 นักเรียนมี คะแนนเฉลี่ย เป็นร้อยละ 54.32 64.20 และ 76.95 ตามลำดับ อีกทั้งจากการประเมินพฤติกรรมการ เชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์จากแบบประเมินพฤติกรรมและการสัมภาษณ์นักเรียนจากแบบสัมภาษณ์ นักเรียน พบว่า นักเรียนสามารถระบุความรู้ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์ที่จําเป็นในการแก้ปัญหาได้อย่าง ครบถ้วนและยังสามารถนําความรู้เหล่านั้นมาทำการเชื่อมโยงกันได้อย่างสมเหตุผล ดังนั้นจากที่กล่าวมาข้างต้นจึงส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียน มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 16.07 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 80.33 และเมื่อ เปรียบเทียบระหว่างเกณฑ์กับคะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่าเกณฑ์อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. การทดสอบเปรียบเทียบคะแนนสอบก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มี คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 14.44 คะแนน และ 16.07 คะแนน ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนน ก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากนักเรียนได้คิดแก้ปัญหา วิเคราะห์ วิจารณ์ พิจารณา และประเมินผล แล้ว นำความรู้ทางคณิตศาสตร์ที่เรียนไปใช้ประกอบการตัดสินใจ ซึ่งสอดคล้องกับ (Lesh et al., 2000, pp. 624-630) ที่กล่าวว่ารูปแบบการสอน Model Eliciting Activities เป็นแนวคิดในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยนักเรียนในระดับประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้นได้พัฒนา แนวความคิดรากฐาน และการคิดขั้นสูงในวิชาคณิตศาสตร์ก่อนการเรียนในระดับที่สูงขึ้น
55 จากงานวิจัยของขวัญหทัย พิกุลทอง (2561) ได้ศึกษาการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนเพื่อ ส่งเสริม ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่ ส่งเสริม ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยใช้การสร้างตัวแบบเชิงคณิตศาสตร์หรือการ จัดการเรียนรู้แบบ MEAs และการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ พบว่า นักเรียนมีความสามารถในการ แก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งในภาพรวม และจำแนกเป็นบทเรียน นักเรียนมีการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ดีขึ้นผลการ สะท้อนคิดในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนแสดงให้เห็นว่า นักเรียนมีความรู้เพียงพอในการ แก้ปัญหา และขยายปัญหา นักเรียนสามารถรับรู้ถึงอุปสรรค และปัญหาต่าง ๆ ในระหว่างการแก้ปัญหา แต่มีนักเรียนเพียงบางคนเท่านั้นที่สามารถแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง ดังนั้นจากที่กล่าวมาข้างต้นจึงส่งผลให้การทดสอบเปรียบเทียบคะแนนสอบก่อนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 14.44 คะแนน และ 16.07 คะแนน ตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities รายวิชา คณิตศาสตร์ (ค21101) เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 กลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ผู้สอน นายนที พ่อไชยราช สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 45 คน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X̅= 4.62, S.D.= 0.64) ทั้งนี้อาจ เนื่องมาจากนักเรียนได้สร้างรูปแบบการแก้ปัญหาที่สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจได้สำหรับใน สถานการณ์จริงได้ด้วยตนเองและสมาชิกภายในกลุ่ม แทนที่จะเป็นเพียงคำตอบหรือจำนวนที่ตอบเท่านั้น ทั้งนี้ในการทำงานของนักเรียนจะแสดงให้เห็นกระบวนการคิดตลอดการทำกิจกรรม และกระบวนการ สร้างรูปแบบในการแก้ปัญหาของนักเรียนสอดคล้องกับ ขวัญหทัย พิกุลทอง (2561) ที่กล่าวว่าการจัดการ เรียนรู้แบบ Model - Eliciting Activities เป็นกระบวนการที่ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้ ได้ลงมือค้นหา คำตอบ ผ่านการเรียนการสอน คือ เริ่มต้นจากความสงสัย อยากเรียน อยากรู้ แล้วก็พัฒนาเป็นปัญหาที่ ต้องการคำตอบและจากปัญหาที่ต้องการคำตอบก็จะพัฒนาไปสู่การค้นหาคำตอบ
56 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะเพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอน 1.1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ต้องคำนึงถึง ความยากง่ายของเนื้อหาความเหมาะสมกับกิจกรรม การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต้องวางแผนการทำสื่อให้ รัดกุม สอดคล้องกับเนื้อหา เวลาและกิจกรรมการเรียนการสอนให้มากที่สุด 1.2 ครูผู้สอนที่จะจัดการเรียนรู้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ต้องศึกษาให้ เข้าใจทุกขั้นตอนอย่างละเอียดจนเกิดความชำนาญแล้วนำมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพและ เกิดประโยชน์กับนักเรียนมากที่สุด ซึ่งครูจะต้องวางแผนและเตรียมตัวให้พร้อมก่อนทำการสอน ครูต้อง เตรียมการสอนและสื่อการสอนมาอย่างดี จัดบรรยากาศที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจในเรื่องที่ เรียนอย่างแท้จริง 1.3 ครูผู้สอนที่จัดกิจกรรมเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities ควร เน้นให้ผู้เรียนลงมือฝึกปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองและให้มีส่วนร่วมมากที่สุด เนื่องจากการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้รูปแบบนี้ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมแต่ละขั้นตอนค่อนข้างนาน ผู้สอนจึงควรวางแผนการใช้เวลาใน การทำกิจกรรมให้รัดกุมเพื่อให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เกิดประโยชน์สูงสุด 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน แบบทดสอบในกระบวนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบ วัดกระบวนการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ต้องพิจารณาและทำการประเมินคุณภาพเกณฑ์มาตรฐานของ ข้อสอบให้เหมาะสมกับผู้เรียน
57 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2561). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจำกัด. ขวัญหทัย พิกุลทอง. (2561). การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา ทางคณิตศาสตร์. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ขวัญหทัย พิกุลทอง, & ชนิศวรา เลิศอมรพงษ์. (2562). Model Eliciting Activities (MEAS): การจัดการ เรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาสาหรับนักเรียนไทยในยุคการศึกษา 4.0. วารสาร ศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร, 21(3), 342-355. ทรงชัย อักษรคิด. (2555). การแก้ปัญหาและการตั้งปัญหาทางคณิตศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ ภาควิชาการศึกษา สาขาวิชาการสอนคณิตศาสตร์. นงนุช ยืดเนื้อ. (2557). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน.วิทยานิพนธ์ ปริญญาครุศาสตร์มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวิจัยเบื้องต้น. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. สำนักทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ. (2563). ผลจากการทดสอบระดับชาติ (National Test : NT) ระดับ โรงเรียน. สืบค้นจาก https://bet.obec.go.th/New2020/ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2560), คู่มือการใช้หลักสูตร ระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย. กรุงเทพฯ: สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สมนึก ภัททิยธนี. (2546), เทคนิคการสอนและรูปแบบการเขียนข้อสอบแบบเลือกตอบ วิชา คณิตศาสตร์เบื้องต้น, กาฬสินธุ์: ประสานการพิมพ์ วิฬาร์ เลิศสมิตพร. (2558). ผลของการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนว Model - Eliciting Activities ที่มี ต่อความสามารถในการถ่ายโยงการเรียนรู้ และความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตร์มหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Coxbill, E., Chamberlin, S. A., & Weatherford, J. (2556). Using Model - Eliciting Activities As a Tool to Identify and Develop Mathematically Creative Students. Journal for the education of the gifted, 36(2), 176-197. Juhaina, Wajeeh, & Shaker. (2557). MATHEMATICAL KNOWLEDGE AND THE COGNITIVEAND METACOGNITIVE PROCESSES EMERGED IN MODEL - ELICITING ACTIVITIES. International Journal on New Trends in Education and Their Implications.
58 Celik, N. S., & Eraslan, A. (2 5 5 8 ) . Primary School Students’ Modeling Processes: Crime Problem. ICEP 2015 : 17 th International Conference on Education and Pedagogy (s.554). Venice: World Academy of Science, Engineering and Technology. Dedebaş, E. (2 0 1 7 ) . " AN INVESTIGATION OF FIFTH GRADE STUDENTS’ BEHAVIORS AND DIFFICULTIES THROUGH MULTIPLE IMPLEMENTATION OF MODEL ELICITING ACTIVITIES. (Master degree of science), Middle East Technical University, Turkey. Garfield, et al. (2009). Inventing and testing models: Using model–eliciting activities. [Online]. Available from: http//serc.carleton.edu/sp/library/mea/index.html [accessed August 16, 2019] Lesh, R., M. Hoover, B. Hole, A. Kelly, & T. P. (2000).Principles for Developing Thought-Revealing Activities for Students and Teachers In A. Kelly and R. Lesh. (eds.). Handbook of research design in mathematics and science education. Mahwah, New Jersey: Lawrence Erlbaum Associates. Lesh, R., & English, L. D. (2005). Trends in the evolution of models & modeling perspectives on mathematical learning and problem solving. ZDM International Journal on Mathematics Education, 37(6), 487-489. Stohlmann, M. (2013). Integrated STEM Model - Eliciting Activities: Developing 21st Century Thinkers STEM Education: Room for Improvement.
ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
60 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities วิชา คณิตศาสตร์ เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ 1. นางนาฏฤดี คงผดุง ตำแหน่ง ครูวิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 2. นายธนกร ขันตรีสกุล ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 3. นายสุบัณฑิต ชาบุตรโคตร ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล แผนการจัดการเรียนรู้ใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities 1. นางนาฏฤดี คงผดุง ตำแหน่ง ครูวิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 2. นายธนกร ขันตรีสกุล ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 3. นายสุบัณฑิต ชาบุตรโคตร ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities 1. นางนาฏฤดี คงผดุง ตำแหน่ง ครูวิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 2. นายธนกร ขันตรีสกุล ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล 3. นายสุบัณฑิต ชาบุตรโคตร ตำแหน่ง ครู โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล
ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ส่วนที่ 1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา คณิตศาสตร์ (ค21101) เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ส่วนที่ 2 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities
62 ส่วนที่ 1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา คณิตศาสตร์ (ค21101) เรื่อง รูปเรขาคณิต สองมิติและสามมิติ 1. กระดาษคำถาม
63
64
65
66
67 2. กระดาษคำตอบ 3. เฉลยคำตอบ
68 ส่วนที่ 2 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities
69
ภาคผนวก ค ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอน Model - Eliciting Activities เรื่อง รูปเรขาคณิตสองมิติและสามมิติ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86