ปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ศูนย์อ านวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาฝ่ายพลเรือน (กสพ.) สรุปผลเชิงวิจัย กิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือและพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กก าพร้าในสถานศึกษา น าร่องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายปฎิพัทธ์ มะลิสุวรรณ นายอัสมัน แวกามา นายวุธิไกร ศรีจันทร์
Research Summary Title: "Activities Promoting Collaboration and Quality of Life for Street Children in Leading Educational Institutions in the Area" Authors: Mr. Patipat Malisuwan, Head of the Education Promotion and Social Opportunity Development Working Group, Mr. Asman Waekama, Policy and Expert Analyst. Mr. Wuthikrai Srichan, Policy and Operations Analyst. Government Department: Southern Border Provinces Administrative Center (SBPAC) Fiscal Year: 2023 (B.E. 2566) **************************************** Executive Summary/Abstract This summary report summarizes the results of a research project aimed at promoting cooperation and improving the quality of life for underprivileged children in leading educational institutions in the southern border region of Thailand. The target group includes teachers or educational staff and students, with a total of 49 participants from 11 schools in various provinces in the southern border region. These provinces include Narathiwat, Pattani, Yala, Songkhla, Satun, and others. The objectives of this research project are as follows: To seek ways to promote and support the development of opportunities and livelihoods for underprivileged children (children at risk) in building careers to create a peaceful environment. To study the positive behaviors of at-risk students in privately-run Islamic schools in the area, following capacity development training under the support of the Border Patrol Police Bureau. To enhance collaborative efforts in the development and problem-solving processes for at-risk children, reducing inequalities among them. Opportunities and support were accessed through key network communities, with schools serving as central hubs for development. A total of 497 at-risk children benefited from this project, ranging from kindergarten to high school. Twelve students were at risk due to unrest situations and had not received assistance from any of the three parties involved, accounting for 2.41% of the total beneficiaries. Nine schools were able to harvest hydroponic vegetables, with an average income of 3,125 Baht. The results of the project indicate that preparedness for hydroponic vegetable cultivation was moderately satisfactory. The average score was 3.62%. As for promoting agricultural learning and skills development, the evaluation yielded a high level of satisfaction, with an average score of 4.15. Changes in students' behavior and their increased responsibility, confidence in using the Thai language, and ideas for selfemployment were observed. However, there is a need for additional knowledge in hydroponic vegetable cultivation, possibly due to its status as a relatively new technology with limited operators and resulting in fewer learning resources. The overall assessment of collaboration and understanding with families and communities was at a moderate level,
with an average score of 3.11. The project highlighted the importance of enhancing collaboration in the area and involving all parties in the development process. The overall assessment of connecting and linking with relevant organizations and agencies was at a moderate level, with an average score of 3.11. The project emphasized the need to strengthen and develop the process of problem-solving for at-risk children in the area. In terms of practical experience and practice, it was found that there is a need to develop and promote hands-on learning, experimentation, and various activities within schools to align with scientific and mathematical development. The overall assessment of support and problem-solving was at a moderate level, with an average score of 3.86. In conclusion, the project underscored the need to develop and empower educational staff to have a positive mindset and provide guidance based on the aptitude of at-risk children. This approach aims to foster positive behavioral changes and attitudes among youth in the area. The overall assessment of staff performance and support for problem-solving was at a moderate level, with an average score of 3.40. Recommendations: (1) Promote and support childcare skills for teachers to reduce negative behaviors in life. (2) Promote activities that contribute to both behavioral and attitudinal development so that at-risk children in the area can accept biological and social diversity. (3) Promote opportunities for learning technology. (4) Support and promote access to the juvenile justice process and opportunities for vocational education. (5) Promote assistance for disadvantaged at-risk children's families to access upper secondary education or compulsory education. (6) Encourage community involvement, volunteer groups, and creative activities in private Islamic schools in the area. (7) Create scientific and mathematical thinking processes to lead at-risk students in private schools around the southern border province to positive or creative thinking. (8) Promote the participation of all sectors in society and raise awareness of solving social problems collectively by all segments. In conclusion, the activities promoting collaboration and improving the quality of life for street children in leading educational institutions in the area aim to create an environment that fosters cooperation among street children and provides comprehensive development opportunities. The goal is to enhance collaboration and the quality of life for street children within the school, educational, and community environment of that area. Utilizing the school as a central point has been effective in achieving these goals, and it is crucial for school administrators to support and promote policies, budgets, and the continuous development of these activities to enable street children to develop themselves and have a bright and useful future in the community. ********************************
ชื่อสรุปผลเชิงวิจัย กิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือและพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กกำพร้า ในสถานศึกษานำร่องในพื้นที่ ผู้จัดทำ นายปฏิพัทธ์ มะลิสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการศึกษาและเสริมสร้างโอกาสทางสังคม นายอัสมัน แวกามา นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ นายวุธิไกร ศรีจันทร์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ ส่วนราชการ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ************************** บทสรุปผู้บริหาร/บทคัดย่อ รายงานสรุปผลฉบับนี้เป็นการสรุปผลการดำเนินงานเชิงวิจัยกิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือ และพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กกำพร้าในสถานศึกษานำร่องในพื้นที่ กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยครูหรือบุคลากร ทางการศึกษา และนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวจำนวน 49 คน จากโรงเรียนเป้าหมายจำนวน 11 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วยจังหวัดนราธิวาสจำนวน 1 แห่ง จังหวัดปัตตานีจำนวน 3 แห่ง จังหวัดยะลาจำนวน 3 แห่ง จังหวัดสงขลาจำนวน 2 แห่ง (อำเภอสะบ้าย้อย 1 แห่งและอำเภอนาทวี 1 แห่ง) และจังหวัดสตูล 2 แห่ง โดยมีวัตถุประสงค์ (1) แสวงหาแนวทางในการส่งเสริมและสนับสนุนการสร้าง ความเข้าใจ และการส่งเสริมเติมเต็มให้กับผู้ด้อยโอกาสทางสังคม (เด็กกำพร้า) ในการสร้างอาชีพให้กับเด็ก กำพร้าเพื่อสร้างพื้นที่สันติสุข (2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมเชิงบวกของนักเรียนกำพร้าในสถานศึกษาเอกชนสอน ศาสนาอิสลามในพื้นที่ที่ผ่านการอบรมพัฒนาศักยภาพ ภายใต้กิจกรรมที่ ศอ.บต. สนับสนุน และ (3) เพื่อหนุน เสริมกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเด็กกำพร้า ลดความเหลื่อมล้ำ ให้กับเด็กกำพร้า สามารถเข้าถึงโอกาสและการสนับสนุนจากภาคีเครือข่ายที่สำคัญ โดยใช้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา มีผู้จำนวนมีเด็กกำพร้าที่ได้รับประโยชน์ ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล – มัธยมปลาย จำนวน 497 คน มีนักเรียน กำพร้าที่เกิดจากสถานการณ์ความไม่สงบ แต่ไม่ได้รับการเยียวยา (ไม่ได้รับการรับรอง 3 ฝ่าย) จำนวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 2.41 ของจำนวนเด็กกำพร้าที่ได้รับประโยชน์ทั้งหมด โรงเรียนที่ปลูกผักไฮโดรโปนิค แล้วสามารถเก็บเกี่ยวได้ จำนวน 9 แห่ง รายได้เฉลี่ย จำนวน 3,125 บาท ผลการดำเนินงาน พบว่า สมรรถนะด้านการเตรียมความพร้อมในการปลูกผัก ไฮโดรโปนิค พบว่า โรงเรียน ครูและนักเรียน มีการศึกษาและหาความรู้เกี่ยวกับการปลูกผักไฮโดรโปนิค ก่อนที่จะได้รับการสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ความพร้อมด้านการรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ผลการประมาณ อยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.62 สมรรถนะด้านการส่งเสริมการเรียนรู้การดำเนินงาน ทางการเกษตร พบว่า นักเรียนกำพร้าได้รับองค์ความรู้และศึกษาดูงาน ทำให้เกิดความเข้าใจ และนักเรียน กำพร้าเกิดการพัฒนาทักษะการเกษตรและการบริหารจัดการในด้านการปลูกผักไฮโดรโปนิค ผลการประเมิน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.15 สมรรถนะด้านผลกระทบที่เกิดกับนักเรียน พบว่า นักเรียน ที่เข้าร่วมกิจกรรมมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรม มีความรับผิดชอบ มีความกล้าแสดงออกสามารถสื่อสาร ภาษาไทย (มีความมั่นใจในการใช้ภาษาไทย) และเกิดแนวคิดในการพัฒนางาน เพื่อสร้างอาชีพให้กับตัวเองได้ ส่วนองค์ความรู้จำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติม อาจจะเป็นเพราะการปลูกผักไฮโดรโปนิคเป็นนวัตกรรมใหม่ ที่มีผู้ดำเนินการหรือผู้ประกอบการน้อย ส่งผลให้แหล่งการเรียนรู้น้อยและมีขอบเขตที่จำกัด ผลการประเมิน โดยรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.14 สมรรถนะด้านการสร้างความร่วมมือและความเข้าใจ
กับครอบครัวและชุมชน พบว่า กระบวนการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชนต้องมีการพัฒนากระบวนการ ดังกล่าวให้มีความร่วมมือมากยิ่งขึ้น โดยโรงเรียนต้องจัดทำแผนรองรับความร่วมมือทั้งในระดับครัวเรือน และระดับชุมชน โดยสร้างความสำคัญของการแก้ไขปัญหาเด็กกำพร้า เป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายในพื้นที่ และการพัฒนาในกระบวนการเรียนการสอนส่งผลต่อการสร้างความร่วมมือและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ในพื้นที่ ผลการประเมินโดยรวมอยู่ที่ระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.11 สมรรถนะด้านการสร้างสัมพันธ์ และเชื่อมโยงกับองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า ต้องมีการพัฒนาและสร้างกระบวนการในการสาน สัมพันธ์เพิ่มขึ้น และต้องสร้างกระบวนการแก้ไขปัญหาเด็กกำพร้าในพื้นที่ให้เป็นบทบาทของทุกฝ่าย โดยให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงความร่วมมือในพื้นที่ผลการประเมินโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.11 สมรรถนะด้านการปฏิบัติการและการฝึกปฏิบัติพบว่า การเสริมสร้างพฤติกรรม ในการสนับสนุนนักเรียนให้เกิดกระบวนการปฏิบัติงานในเชิงคุณถาพ ต้องมีการพัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ ในเชิงทดลองหรือการลงมือทำในลักษณะสาธิต หรือการดำเนินงานในด้านต่างๆ ในโรงเรียนเพิ่มชั่วโมง การเรียนรู้ในโรงเรียน สอดคล้องกับการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ส่งเสริมการลงมือทำ หรือการทดลองสิ่งใหม่ๆ ผลการประเมินโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.86 สมรรถนะ ด้านการสนับสนุนและการแก้ไขปัญหา พบว่า ต้องมีการพัฒนาและต้องเสริมสร้างครูหรือบุคลากร ทางการศึกษาที่ดูแลเด็กกำพร้าได้เกิดทักษะในการปลูกฝั่งแนวคิดเชิงบวก การแนะแนวทางตามความถนัด ของเด็กกำพร้า เพื่อให้สามารถเสริมสร้างแนวคิดที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมและทัศนคติ ของเยาวชนในพื้นที่ผลการประเมินโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 3.40 ข้อเสนอแนะ (1) ส่งเสริมและสนับสนุนทักษะการดูแลเด็กกำพร้าให้กับครู เพื่อลดการเกิด พฤติกรรมเชิงลบในการดำเนินชีวิต (2) ส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นสร้างกระบวนการพัฒนา ทั้งในเชิงของพฤติกรรมและทัศนคติ เพื่อให้เด็กกำพร้าในพื้นที่สามารถยอมรับในความหลากหลายทางชีวภาพ ทางสังคม (3) ส่งเสริมโอกาสในการเรียนรู้เทคโนโลยี (4) สนับสนุน/ส่งเสริมเด็กกำพร้าให้เข้าถึงกระบวนการ ยุติธรรม รวมทั้งโอกาสในการประกอบอาชีพ (5) ส่งเสริมการช่วยเหลือสำหรับครอบครัวเด็กกำพร้าที่มี ความยากจน ให้เข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษาหรือการศึกษาภาคบังคับ (6) การสนับสนุนภาคประชาชน หรือภาคประชาสังคม กลุ่มอาสาต่างๆ ได้เข้าไปมีบทบาทในกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ในโรงเรียนเอกชนสอน ศาสนาอิสลามในพื้นที่ (7) การสร้างกระบวนการคิดเชิงวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เพื่อให้นักเรียนกำพร้า ในสถานศึกษาเอกชนนำร่องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดตรรกะของความคิดในเชิงบวก หรือเชิงสร้างสรรค์ที่มีเหตุและผล (8) สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในสังคม ให้ตระหนักถึงการแก้ไข ปัญหาสังคมร่วมกันของทุกภาคส่วน สรุปผลการดำเนิน พบว่า กิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือและพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กกำพร้า ในสถานศึกษานำร่องในพื้นที่ กิจกรรมเหล่านี้มุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน ระหว่างเด็กกำพร้าและส่งเสริมพัฒนาการอย่างครอบคลุมของเด็กกำพร้า โดยการจัดกิจกรรมที่ตอบสนอง ความสนใจและความต้องการของเด็กกำพร้า การประเมินผลสำเร็จและความเป็นไปได้ในการพัฒนาคุณภาพ ชีวิตของเด็กกำพร้าในองค์กรทางการศึกษาและชุมชนของพื้นที่นั้น เป้าหมายของกิจกรรมเหล่านี้คือเสริมสร้าง ความร่วมมือและเพิ่มคุณภาพชีวิตของเด็กกำพร้าในสถานศึกษานำร่องในพื้นที่ เพื่อให้เด็กกำพร้ามีโอกาส พัฒนาตัวเองและมีอนาคตที่สดใสและมีความเป็นประโยชน์ในสังคมในภายหลัง การใช้โรงเรียนเป็นศูนย์กลาง ในการพัฒนาทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและช่วยในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่าง เด็กกำพร้า ผู้บริหารจะต้องสนับสนุนและส่งเสริม การกำหนดนโยบาย ตลอดจนสนับสนุนงบประมาณ ในการออกแบบและสนับสนุนกิจกรรมเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เด็กกำพร้ามีโอกาสพัฒนาตัวเอง และมีอนาคตที่สดใสและเป็นประโยชน์ในสังคมในภายหลังในชุมชนของพื้นที่นั้น ********************************
กิตติกรรมประกาศ สรุปผลการดำเนินงานเชิงวิจัยกิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือ และพัฒนาคุณภาพชีวิต เด็กกำพร้าในสถานศึกษานำร่องในพื้นที่ จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และสามารถส่งเสริมและสนับสนุนสถานศึกษา เอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ในการพัฒนาทั้งในเชิงพฤติกรรมและทัศนคติเด็กกำพร้าในพื้นที่ ตลอดจน การยกระดับการศึกษาของนักเรียนกำพร้า การส่งเสริมในการเข้าถึงบริการภาครัฐ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำนั้น ต้องขอขอบพระคุณผู้ที่สนับสนุนและส่งเสริมให้กิจกรรมนี้ประสบความสำเร็จ ดังนี้ 1. ขอขอบคุณนายชนธัญ แสงพุ่ม รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดน ภาคใต้ ที่มอบวิสัยทัศน์ และนโยบายสำคัญในการดูแลเด็กกำพร้าในสถานศึกษาเอกชนในพื้นที่ ตลอดจน เล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม 2. ขอขอบคุณนาวาเอกจักรพงษ์ อภิมหาธรรม ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงาน พัฒนาฝ่ายพลเรือน ในฐานะผู้บังคับบัญชาการปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ ที่คอยให้คำแนะนำ ข้อเสนอแนะ และกำลังใจสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่และการปฏิบัติงาน 3. ขอขอบคุณผู้บริหาร ครูหรือบุคลาการทางการศึกษาจากโรงเรียนเป้าหมายทั้ง 11 แห่ง ที่สนับสนุนการดำเนินกิจกรรมให้ประสบความสำเร็จและทำหน้าที่คอยติดตามการเปลี่ยนแปลง ทั้งในเชิงทัศนคติและเชิงพฤติกรรมของนักเรียนกำพร้าที่เข้าร่วมกิจกรรม และเสนอแนะแนวทางในการพัฒนา นักเรียนกำพร้าในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง 4. ที่สำคัญต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ภายใน ศอ.บต. และเจ้าหน้าที่ประจำกลุ่มงานส่งเสริม การศึกษาและเสริมสร้างโอกาสทางสังคมที่คอยสนับสนุนแรงกายและแรงใจ การประสานงานต่างๆ ที่ส่งผลให้ กิจกรรมนี้ประสบความสำเร็จ สุดท้ายขอบคุณทุกๆ ท่าน ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมแรงร่วมใจในการพัฒนาและแก้ไข ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ว่าปัญหายังไม่สิ้นสุด แต่ปัจจุบันได้ทุเลาความรุนแรงลงไป ส่งผลให้ การช่วยเหลือจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงมือประชาชนในทุกระดับ และจะมุ่งปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาในทุกมิติต่อไป ********************************
คำนำ กิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือและพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กกำพร้าในสถานศึกษานำร่องในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นหัวข้อที่สำคัญและน่าสนใจในสังคมปัจจุบัน เด็กกำพร้าคือกลุ่มที่ต้องเผชิญ กับความยากลำบากในชีวิตและอาจประสบกับปัญหาสังคมที่หลากหลาย ทั้งนี้เนื่องจากสภาพความรู้สึก ขาดคนรักและความคุ้มครองที่เหมาะสม หรือมิได้รับการสนับสนุนในด้านการศึกษาและพัฒนาบุคลิกภาพ อย่างที่ควร ที่สำคัญคือ การทำให้เด็กกำพร้ามีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาความร่วมมืออย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วย ให้พวกเขามีโอกาสเติบโตเป็นบุคคลที่มีคุณค่าและมีบทบาทในสังคมในอนาคต การส่งเสริมความร่วมมือและพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กกำพร้าในสถานศึกษานำร่องในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเป้าหมายของงานวิจัยนี้ โดยมุ่งเน้นการศึกษาเชิงคุณภาพเกี่ยวกับแนวทางการ พัฒนาทักษะทั้งในเชิงทัศนคติ ทักษะในเชิงพฤติกรรม ให้สามารถดำเนินชีวิตในสังคมที่เหมาะสมได้ และกิจกรรมที่มีฟังก์ชันการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเด็กกำพร้า รวมถึงแนวทางการพัฒนาทักษะชีวิต สำคัญ เช่น การเสริมสร้างทักษะทางการอ่านและเขียน, การเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการส่งเสริมคุณภาพการดูแลสุขภาพ โดยการทำวิจัยทางกลุ่มงานส่งเสริมการศึกษาและเสริมสร้างโอกาส ทางสังคม หวังว่าจะสามารถพบข้อมูลและข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ในการสนับสนุนและพัฒนาโครงการ หรือนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเด็กกำพร้าในสถานศึกษานำร่องในพื้นที่ เพื่อที่เด็กกำพร้าจะมีโอกาสที่ดี ในการเติบโตและมีส่วนร่วมในสังคมในอนาคตที่ดีขึ้นและยั่งยืนต่อไป นายปฏิพัทธ์ มะลิสุวรรณ นายอัสมัน แวกามา นายวุธิไกร ศรีจันทร์
สารบัญ บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ คำนำ สารบัญ บทที่ 1 บทนำ 1 – 8 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์ 6 ขอบเขตการดำเนินงาน 6 สมมุติฐานการวิจัย 7 กรอบแนวคิดในการศึกษาและการดำเนินงาน 7 คำจำกัดความ 7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 8 บทที่ 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 9 – 27 กระบวนการมีส่วนร่วม 9 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 10 - ทฤษฎีการสนับสนุนทางสังคม 12 - ทฤษฎีแรงจูงใจ 14 - ทฤษฎีการเสริมแรง 16 - ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง 17 ทัศนคติ 20 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 24 บทที่ 3 วิธีดำเนินงาน 27 – 34 ขั้นตอนการดำเนินงาน 27 รูปแบบการศึกษา 31 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 31 การเก็บรวบรวมข้อมูล 34 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิจัย 34 บทที่ 4 ผลการวิจัย 35 – 60 ผลการดำเนินงาน 35 ผลผลิตที่เกิดขึ้นจริง 35 ผลการประเมิน 52 การนำไปใช้ประโยชน์ 58 บทที่ 5 สรุปผลและข้อเสนอแนะ 61 - 64 สรุปผล 61 ข้อเสนอแนะ 64 บรรณานุกรรม 65 ประวัติผู้วิจัย 66 ***********************************
บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ อันประกอบไปด้วยจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และบางส่วนของจังหวัดสงขลา ที่ประทุขึ้นในปี พ.ศ. 2547 ได้สะท้อนรากเหง้าของปัญหาที่สั่งสม ในตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งลักษณะของปัญหาดังกล่าวมีความซับซ้อนและมีความเชื่อมโยงกับปัญหาอื่นๆ ในหลายมิติ โดยสถานการณ์ความรุนแรงและความไม่สงบที่เกิดขึ้นได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน ของประชาชนทุกกลุ่มในพื้นที่ รวมทั้งมีผลกระทบและความสูญเสียที่เกิดขึ้นในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งนับเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีความอ่อนแอที่สุด ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปี 2560 มีเด็ก เสียชีวิตจำนวน 238 คน เด็กได้รับบาดเจ็บ จำนวน 1,151 คนเด็ก พิการจำนวน 36 คน และมีเด็กกำพร้าจากสถานการณ์จำนวน 6,998 คน รวมเป็นเด็กที่ได้รับผลกระทบ จาก สถานการณ์จำนวน 8,423 คน 4 ซึ่งเป็น จำนวนที่ไม่น้อยเลย แต่เมื่อดูแนวโน้ม ของผลกระทบที่มีต่อเด็กจะเห็น ได้ว่าจำนวนเด็กที่เสียชีวิตมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งตัวเลขลดต่ำลง น้อยกว่า 10 คนต่อปี โดยเฉพาะในปี 2560 ตัวเลขเด็กที่เสียชีวิตจากสถานการณ์ความไม่สงบ มีจำนวนเพียง 2 คนซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบ 14 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากการเกิดขึ้นของเครือข่ายที่ทำงานด้านเด็ก กว่า 23 องค์กรตั้งแต่ปี 2556 ได้ทำงานรณรงค์การปกปูองคุ้มครองเด็กมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสิทธิที่เด็ก จะมีชีวิตรอดนำมาซึ่งการปฏิบัติการทางทหารที่เคารพในหลักสิทธิมนุษยชนมากขึ้น จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อกลุ่มเด็กและเยาวชน ประกอบด้วยการเสียชีวิตและบาดเจ็บความเป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย (คนพิการ) การตกเป็น ผู้ต้องสงสัย ถูกดำเนินคดีและคุมขัง การถูกพลัดพรากจากครอบครัวในกรณีที่คนในครอบครัวถูกกล่าวหาว่า เห็นต่างจากรัฐ และการต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าจากการสูญเสียบุคคลในครอบครัว โดยเด็กที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ความขัดแย้งและความรุนแรง จะมีผลกระทบทางจิตใจที่อาจจะนำไปสู่ภาวะความซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล หรือแม้แต่การใช้ความรุนแรงในการจัดการปัญหาอีกด้วย ผลกระทบที่สั่งสมจากความยืดเยื้อของสถานการณ์ ส่งผลให้มีจำนวนหญิงหม้ายและเด็กกำพร้าสูงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้รวมถึงจังหวัดสงขลาด้วย หญิงหม้ายต้องประสบทั้งความรุนแรงทางตรงทางโครงสร้างและวัฒนธรรมที่ทุกภาคส่วน ควรให้ความใส่ใจ ในขณะที่เด็กกำพร้าต้องการมาตรการเยียวยาทางจิตใจในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ก้าวพ้นบาดแผล ทางจิตใจอันเกิดจากการสูญเสีย บิดาและ/หรือมารดา และความรู้สึกที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมที่บั่นทอน ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม โดยเฉพาะเด็กกำพร้าที่มาจากครอบครัวที่ไม่ได้รับการรับรองสามฝ่าย (ตำรวจ ทหาร ปกครอง) ผลกระทบที่สั่งสมอีกประการคือเด็กและเยาวชนคิดเป็นร้อยละ 43 ของประชากร ในพื้นที่จังหวัดชายแดน ภาคใต้ที่เติบโตและใช้ชีวิตในพื้นที่ที่เสี่ยงความรุนแรง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ไม่เลือกเวลา และสถานที่ เด็กและเยาวชนจึงอยู่ในความเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตหรือเกิดความพิการขึ้นได้ นอกจากนี้ ในปัจจุบัน พบว่ามีผู้เป็นแนวร่วมจำนวนหนึ่งคือเยาวชนที่เติบโตมาในพื้นที่ในสภาพกดดันรู้สึกว่าตนและกลุ่ม ของตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ปรากฎให้เห็นขึ้นเป็นระยะซึ่งอาจมีผลต่อพลวัตและเงื่อนไขใหม่ต่อสถานการณ์ ในพื้นที่ในอนาคตในขณะที่ยังไม่มีการศึกษาอย่างครอบคลุมถึงจำนวนเด็กและลักษณะการมีส่วนร่วม กับแนวร่วม รวมทั้งไม่มีมาตรการคุ้มครองป้องกันการเข้าร่วมของเด็กและขาดมาตรการรองรับที่จะช่วยให้เด็ก ที่เคยเข้าเป็นแนวร่วมหวนคืนสู่ครอบครัวและชุมชนเดิมหากพวกเขาเปลี่ยนใจ
ห น ้ า | 2 อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child: CRC) ได้รับการ รับรองโดยสมัชชาใหญ่สหประชาชาติเมื่อ พ.ศ. 2532 และมีผลบังคับใช้ พ.ศ. 2533 โดยประเทศไทย เข้าร่วมเป็นรัฐภาคีเมื่อ พ.ศ. 2535 อนุสัญญาว่าด้วยเด็กประกอบด้วยบทบัญญัติ 54 ข้อ แบ่งเป็นหลัก พื้นฐาน 4 ประการ ได้แก่ 1) การให้ความสำคัญแก่เด็กทุกคนเท่าเทียมกันและห้ามเลือกปฏิบัติต่อเด็กบนฐาน ของภาษา ศาสนา เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ เพศ ความพิการ ความคิดเห็นทางการเมือง หรือ สถานะอื่น ๆ ของเด็ก หรือบิดามารดา หรือผู้ปกครองทางกฎหมาย 2) การดำเนินการทั้งหลายต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก เป็นอันดับแรก 3) สิทธิเด็กในการมีชีวิต การอยู่รอด และการพัฒนาทางด้านจิตใจ อารมณ์ สังคม และ 4) สิทธิในการแสดงความคิดเห็นของเด็กและการให้ความสำคัญกับความคิดเหล่านั้น หากมองเฉพาะประเด็น “เด็กกำพร้า” ก็นับว่าเป็นปัญหาที่ยากจะรับมือไหวสำหรับเด็ก และเยาวชน แต่เมื่อถูกซ้ำเติมด้วยความรุนแรงจากสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ยิ่งทำให้ปัญหานั้น ทบทวีมากยิ่งขึ้น ซึ่งจำเป็นที่ทุกฝ่ายควรที่จะเรียนรู้และเข้าใจร่วมกันเพื่อทำความเข้าใจ โดยไม่ลดทอน ความรุนแรงของปัญหา การจำแนกเด็กกำพร้าในพื้นที่ชายแดนใต้ออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้กลุ่มที่หนึ่ง เด็กที่ต้อง กำพร้าจากการสูญเสียพ่อแม่ในภาวะปกติในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ กรณีนี้มีกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงมนุษย์ (พม.) เป็นผู้ดูแลหลัก กลุ่มที่สอง เด็กกำพร้าที่ต้องสูญเสียพ่อแม่ในสถานการณ์ ความรุนแรงจากข้อมูลปี 2565 พบว่า เด็กกลุ่มนี้มีทั้งสิ้นมากกว่า 12,000 คน กลุ่มที่สาม เด็กกำพร้า จากสถานการณ์ความรุนแรงที่ไม่ได้รับ “การรับรอง 3 ฝ่าย” จากรัฐ (ทหาร ตำรวจ และปกครอง) เนื่องจาก ถูกประเมินว่า พ่อแม่ของพวกเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อสถานการณ์ความรุนแรง หมายความว่า เด็กกลุ่มนี้จะไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ จากรัฐ และไม่ถูกบันทึกข้อมูลในระบบการเยียวยาทำให้เด็กกลุ่มนี้ ถูกผลักให้อยู่ภายใต้การดูแลของภาคประชาสังคมและองค์การนอกรัฐอย่าง NGO (Non-governmental Organization) โดยปริยาย เด็กกำพร้าในกลุ่มนี้จำนวนหนึ่งถูกจัดรวมอยู่ในกลุ่ม“เด็กกำพร้าทั่วไป” ตามนิยาม ของ พม. ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกตั้งคำถามจากหลายฝ่ายเพราะเด็กกลุ่มนี้ต้องเจอกับความรุนแรง หลายระดับทั้งความสูญเสีย บาดแผลจากความรุนแรง และการถูกเลือกปฏิบัติซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแล และเยียวยาในระยะยาวตามความซับซ้อนของปัญหา การแก้ปัญหาโดยการมัดรวมกลุ่มเช่นนี้จึงอาจไม่ใช่ วิธีการที่ดีและอาจผลักให้เด็กเข้าสู่สภาวะเปราะบางมากกว่าเดิม กลุ่มที่สี่ เด็กกำพร้านอกพื้นที่หรือเด็ก ที่ต้องสูญเสียพ่อแม่จากสถานการณ์ความรุนแรง และไม่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ หากแต่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศนับพันคนจากข้อมูลศูนย์ประสานงานวิชาการ ให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับ ผลกระทบจากเหตุความไม่สงบจังหวัดชายแดนใต้ (ศวชต.) พบว่า เด็กกำพร้ากลุ่มนี้คือลูกของเจ้าหน้าที่ทหาร พราน ซึ่งถูกเกณฑ์ให้มาประจำการบริเวณชายแดน และเป็นกลุ่มที่อาจไม่ได้รับการเยียวยาจากรัฐ ซึ่งปัจจุบัน ยังไม่มีหน่วยงานหรือองค์กรใดเข้าไปเก็บข้อมูลอย่างจริงจัง นับแต่วันที่ประเทศไทยเริ่มมีการระบาด มีเด็กที่ต้องสูญเสียพ่อเเม่หรือผู้ดูแล และกลายเป็น เด็กกำพร้าถึง 369 คน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนใต้ที่ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติซ้อนวิกฤติ และถือเป็นพื้นที่ ที่มียอดสะสมของเด็กกำพร้ามากที่สุดถึง 131 คน ในขณะที่ภาคกลางมี 99 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 92 คน ภาคเหนือ 40 คน และในเขตกรุงเทพมหานคร 7 คน หากจำแนกเป็นช่วงอายุจะพบว่า มีเด็กกำพร้า อายุ 6-18 ปี คิดเป็นร้อยละ 71.54 เด็กปฐมวัยที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี คิดเป็นร้อยละ 33.06 ไม่ว่าจะ ด้านการดำรงชีวิต การศึกษา และสภาวะทางใจที่บอบช้ำ จากข้อมูลพบว่า เด็กๆ จำนวน 231 คน อาศัยอยู่ กับพ่อหรือแม่ อยู่กับครอบครัวเครือญาติ 133 คน อยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์อาสาสมัคร 3 คน และอยู่ในสถาน สงเคราะห์เพื่อจัดหาครอบครัวทดแทน 2 คน โดยข้อมูลเด็กกำพร้าทั้งหมดจะถูกบันทึกลงในระบบสารสนเทศ เพื่อการคุ้มครองเด็ก (CPIS) เพื่อใช้ในการวางแผนการดูแลและการจัดบริการให้แก่เด็กทั้งระยะสั้นและระยะ ยาว ขณะเดียวกันกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ระบุถึงการเตรียมงบประมาณ เพื่อรองรับการจัดสวัสดิการให้กับเด็กและครอบครัว ด้วยการสนับสนุนครอบครัวและครอบครัวอุปถัมภ์ในการ
ห น ้ า | 3 ดูแลเด็กกลุ่มนี้ โดยคาดการณ์ว่าจะมีเด็กได้รับความช่วยเหลือประมาณ1,600 คน และมีเงินอุดหนุนสวัสดิการ เด็กในครอบครัวยากจนอีกด้วย แม้จะมีการวางแผนในเชิงนโยบายและเตรียมการช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ ทว่าในทางปฏิบัติยังไม่อาจมั่นใจได้ว่า มาตรการเยียวยาดังกล่าวจะสามารถเข้าถึงเด็กกำพร้าทุกกลุ่มหรือไม่ และคาดว่าจะมีเด็กกำพร้าจำนวนไม่น้อยตกหล่น ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ถือเป็นพื้นที่ที่เผชิญกับปัญหาในหลายระดับจากรายงาน ในปี 2563 พบว่า มีเด็กกำพร้าราว 1,000 คน ไม่ได้รับการเยียวยาจากภาครัฐบาล มีเพียงมูลนิธิ หรือสถานสงเคราะห์ในพื้นที่นั้นๆ เป็นผู้ดูแล เนื่องจากพวกเขาถูกจัดอยู่ในกลุ่มลูกหลานของ “ผู้เห็นต่าง” ที่เสียชีวิตจากการจับกุมและปะทะกับเจ้าหน้าที่ การเลือกปฏิบัติและเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ ทำให้เกิด ข้อกังขาว่าเหตุใดการเติบโตตามสิทธิอันพึงได้รับของเด็กกลุ่มหนึ่งจึงต้องถูกผูกโยงกับประเด็นความมั่นคง ของรัฐ ข้อสังเกตที่น่าตั้งคำถามคือ เด็กกำพร้าประมาณ 1,000 คนในพื้นที่ชายแดนใต้ ที่รัฐมองว่าเป็น “กลุ่มเสี่ยง” อาจถูกดึงเข้าไปสู่วงจรความรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำอีก รัฐไม่ได้ให้การช่วยเหลือเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ เป็นกลุ่มเห็นต่างและเสียชีวิต จากเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่เพราะเป็นเหตุจากการบังคับใช้กฎหมายแต่พยายาม ช่วยเหลือในทางอื่นนอกเหนือจากเกณฑ์ที่กำหนด เด็กกลุ่มนี้จึงอยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิเอกชนที่ใช้ชื่อว่า “นูซันตารา” ทั้งนี้ ทางมูลนิธิได้ยกตัวอย่างกรณีเด็กชายวัย 11 ปี หลังจากผู้เป็นพ่อเสียชีวิตจากการปะทะ กับเจ้าหน้าที่เมื่อประมาณปี 2559 ภายหลังเหตุการณ์นั้น เด็กชายก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือดูแลจากรัฐ ทำให้ ผู้เป็นแม่ต้องตัดสินใจนำตัวมาฝากไว้ให้มูลนิธินูซันตาราดูแล นอกจากนี้ ทางมูลนิธิชี้เเจงเพิ่มเติมว่า เด็กทั้งหมด ล้วนมาจากครอบครัวที่ถูกเรียกว่าเป็น “ฝ่ายตรงข้ามรัฐ” ซึ่งผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตจากการถูกวิสามัญ และถูกสังหารจากผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับทางการ ส่งผลให้ไม่สามารถหาตัวคนผิดได้สถิติและความถี่ ของเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะมีจำนวนลดลง ทำให้ตัวเลขของเด็กกำพร้า ลดลงตามลำดับ ทว่าปัจจุบันจำนวนเด็กกำพร้าที่มียอดสะสมอยู่ 7,000 กว่าคน (จากระบบฐานข้อมูลเพื่อการ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ DSRD ปี 2562) ก็ยังคงไม่ได้รับ การเยียวยาทั่วถึง โดยเฉพาะการเยียวยาด้านจิตใจที่ภาครัฐยังไม่มีแนวทางเป็นรูปธรรม นอกจากการให้เงิน สนับสนุนช่วยเหลือซึ่งไม่อาจเทียบได้กับความสูญเสียที่เกิดขึ้น จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า “เด็กกำพร้า” ถูกพูดถึงอย่างเบาบางในสังคม โดยเฉพาะในสถานการณ์โรคระบาด และในพื้นที่ความรุนแรงทางการเมือง จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ถูกสั่งสมมานานและมีแต่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นในห้วงที่การระบาดและความรุนแรงยังคง ดำรงอยู่ อาจพออนุมานได้ว่า ในอนาคตปัญหานี้จะใหญ่กว่าเดิม หากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่มี มาตรการติดตามและเยียวยาที่ครอบคลุมและชัดเจน โดยเฉพาะการเยียวยาบาดแผลทางใจของเด็กๆ ที่ต้องสูญเสีย หากปัญหาเหล่านี้ยังถูกเพิกเฉยหรือถูกจัดการอย่างไม่เหมาะสม อาจนำไปสู่ปัญหาทางสังคม อื่นๆ กระทั่งว่าเมื่อเด็กๆ กลุ่มนี้เติบโตขึ้น พวกเขาอาจหันหลังให้สังคมหรือหมดความเชื่อมั่นต่อรัฐ เฉกเช่นที่สังคมหันหลังให้พวกเขา อีกประเด็นของปัญหา นั่นคือ การปิดล้อม หมู่บ้านเพื่อไม่ให้คนในพื้นที่ออกไปไหนได้ ทำให้หมู่บ้านนั้นๆ มีสภาพไม่ต่างจากชุมชนแออัด และผลกระทบที่เห็นได้ชัด ที่สุดคือ เด็กในพื้นที่ไม่ได้ไปโรงเรียนซึ่งชุมชนแออัดไม่ใช่ พื้นที่ในการเรียนรู้สำหรับเด็ก ส่งผลให้เด็กเกิดความรู้สึก ไม่อยากเรียนและเรียนได้น้อยลง จนนำไปสู่แนวโน้มที่เด็ก จะหลุดออกจากระบบการศึกษาในที่สุด ถึงแม้จะมีกองทุน เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เข้ามาดูแล แต่ก็ สามารถดูแลเด็กเล็กและสนับสนุนให้ได้เรียนต่อจนถึง
ห น ้ า | 4 ชั้นระดับมัธยมต้นหรือ ม.3 เท่านั้น แต่หากจบ ม.3 ไปแล้วยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามารับช่วงต่อ ดังนั้น เด็กจำนวนมากอาจต้องเผชิญหน้ากับความเคว้งคว้างทันทีภายหลังจากสำเร็จการศึกษา ปัจจุบัน 3 จังหวัด ชายแดนใต้ยังคงติดอยู่กับปัญหาความยากจนเป็นหลัก ซึ่งเป็นความยากจนข้ามรุ่นรวมไปถึงปัญหาอื่นๆ เช่น การไม่สามารถทำการประมงได้ เนื่องจากอาจเข้าข่ายการทำประมงที่ผิดกฎหมาย (IUU: Illegal Unreported and Unregulated Fishing) และไม่สามารถดำรงชีพด้วยงานเกษตรกรรมได้ เนื่องจากยางพาราที่ราคาตกต่ำ ทั้งหมดทั้งมวลนี้นำไปสู่การเกิดภาวะยากจนที่ซ้ำซ้อน ปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยตัดวงจรความยากจนในอนาคตได้ ก็คือการศึกษา หากยังไม่มีการผลักดันและแก้ไขปัญหาด้านนี้อย่างจริงจัง ท้ายที่สุดแล้ววัยรุ่นชายแดนใต้อาจจะ ต้องเติบโตในสภาพที่ไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของตนเองได้ เมื่อจบการศึกษาภาคบังคับในระดับชั้น ม.3 ก็จำต้องออกมาทำงานเป็นแรงงานรับจ้างรายวัน นำไปสู่การกลายเป็นคนจนเมืองที่ทำงานภาคบริการระดับ ล่าง ในทางกลับกัน หากรัฐยังไม่สามารถจัดการและดูแลรวมถึงวางระบบเยียวยาที่ครอบคลุมและเหมาะสมได้ ปัญหาที่สะสมเหล่านี้อาจนำไปสู่ การเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความรุนแรง และสร้างความเกลียดชังในกลุ่มเด็ก กำพร้าที่ไม่สามารถเข้าถึงการเยียวยา ได้หากรัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เลือกที่จะสนับสนุนด้านการศึกษาให้ เด็กกลุ่มนี้อย่างเต็มที่ ผลักดันให้ สามารถเข้าถึงระบบการศึกษา รวมถึง ทรัพยากรที่ดีได้ อาจนำไปสู่การสร้าง เด็กกลุ่มนี้ให้เติบโตไปเป็นบุคลากรที่มี คุณภาพ และเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะ ช่วยสร้างคุณประโยชน์ อีกทั้งมีส่วน ช่วยในการพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นได้ในอนาคต โดยจะสามารถเห็นได้จากการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลผลสอบ PISA ของนักเรียนไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมาของ กสศ. พบว่า มีนักเรียน ‘กลุ่มช้างเผือก’ ซึ่งเป็นนักเรียนที่มีฐานะต่ำ ที่สุดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25 ของประเทศ สามารถทำคะแนนสอบได้ในระดับที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มคะแนนสูงสุด ร้อยละ 25 ของโลก ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าแม้จะเป็นนักเรียนที่มาจากครอบครัวยากจนก็มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรู้ที่ไม่น้อยไปกว่าใคร ด้วยเหตุนี้ หากรัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน ต่างมีความเข้าใจและเชื่อมั่นในศักยภาพของผู้เรียน กล้าที่จะปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียน การสอน และมีเป้าหมายร่วมกันคือการพัฒนาเด็กกลุ่มนี้เป็นรายบุคคลผ่านการจัดสรรทรัพยากรและทำให้เด็ก กลุ่มนี้สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพได้ นี่ก็จะเป็นอีกทางออกที่จะสามารถช่วยเหลือและมอบ ความหวังให้เด็กกลุ่มนี้ได้มีสิทธิที่จะจินตนาการเรียนรู้ และได้เติบโตเหมือนเด็กทั่วไปได้อีกครั้ง ปัจเจกบุคคลทำให้เด็กกำพร้าส่วนหนึ่งถูกทอดทิ้งทางสังคมเพราะขาดผู้ดูแล และอาจมี ทัศนคติเชิงลบต่อกระบวนการภาครัฐ และสุ่มเสี่ยงต่อการถูกชักจูงที่ฝ่ายที่เห็นต่างจากภาครัฐได้โดยง่าย ประกอบกับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นอุปสรรคปัญหาต่อการเรียนการสอน ในสถานศึกษา การมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาดูแลเด็กกำพร้าในสถานศึกษา เพื่อหนุนเสริมการเรียนรู้ ด้านการทำกิจกรรมด้านเกษตรปลอดภัย และปลูกฝังให้มีจิตสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณผ่านการใช้หลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีต่อตนเองและสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยเฉพาะการเข้าถึงบริการสวัสดิการและการเรียนรู้ที่เหมาะสม และเอื้อต่อการเสริมสร้างความเป็นพลเมือง ที่มีหลักคุณธรรม จริยธรรม และเข้าใจหลักการใช้ชีวิตที่เหมาะสม ให้มีคุณภาพไปสู่การสร้างสังคมบนพื้นฐาน การอยู่ร่วมกันภายใต้พหุวัฒนธรรมที่หลากหลายอย่างสันติสุข สอดคล้องกับ (1) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ห น ้ า | 5 พุทธศักราช 2560 มุ่งเน้นโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพ เท่าเทียมและได้มาตรฐาน ทั้งการศึกษา ในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัยต่อเนื่องตลอดชีวิต ดังที่ตราไว้ในมาตรา 54 ที่ระบุว่า“รัฐต้องดําเนินการ ให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายรัฐต้องดําเนินการให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามความต้องการในระบบต่าง ๆ รวมทั้ง ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต และจัดให้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนในการจัดการศึกษาทุกระดับ โดยรัฐมีหน้าที่ดําเนินการกํากับส่งเสริมและสนับสนุนให้การจัด การศึกษาดังกล่าวมีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล”(2) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (sustainable development goals :SDGs) เป้าหมายที่ 4 คือ การศึกษาที่เท่าเทียม ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแก่ทุกคน ด้วยการเข้าถึงการศึกษาภาคบังคับที่มีคุณภาพการเพิ่มโอกาสในการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย รวมทั้ง การเรียนในสายอาชีพเพื่อการจ้างงานและเป็นผู้ประกอบการ รวมทั้งความมั่นคงทางการเงิน การขจัด ความไม่เท่าเทียมทางการศึกษา การจัดโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอํานวยความสะดวก รวมทั้งครูและกลไก สนับสนุนครูที่มีคุณภาพ ในการจัดการศึกษาที่มีความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจแก่เด็ก (3) นโยบาย และจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพื่อพัฒนาผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย ของการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ โดยคำนึงถึงชาติ ศาสนา ศิลปะ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม กีฬา ความปลอดภัย ความมีโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษา รวมทั้งมีสมรรถนะที่สำคัญจำเป็นสำหรับโลก ยุคใหม่ ประกอบด้วย สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้เรียนและประชาชน สร้างหลักประกันว่าทุกคนจะต้องมีการศึกษา ที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมทุกพื้นที่ ให้ความสำคัญกับการประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ผ่านกลไก การรับฟังความคิดเห็นมาประกอบการดำเนินงานที่เป็นประโยชน์ต่อการยกระดับคุณภาพการศึกษา และมุ่งเน้นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของภาคการศึกษาที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน และประชาชน โดยมุ่งเป้าหมายการพัฒนาการศึกษา เพื่อร่วมกัน “พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล” (Transforming Education to Fit in the Digital Era) พระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2553 มาตรา 9 (12) ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยบทบาทและหน้าที่ จึงมีความจำเป็น และสำคัญยิ่งที่ ศอ.บต. จะต้องดำเนินการให้เป็นรูปธรรมในระดับหนึ่ง เพื่อพัฒนาและยกระดับการศึกษา ในองค์รวมของพื้นที่ จชต. ควบคู่กับการพัฒนาหลักสูตร กระบวนการศึกษาเพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่ โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญให้นักเรียนทุกระดับ มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรม เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้มีคุณภาพชีวิต คุณภาพทัศนะคติ คุณภาพของสภาพแวดล้อมที่จำเป็นและสำคัญต่อไป
ห น ้ า | 6 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อแสวงหาแนวทางในการส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างความเข้าใจ และการส่งเสริม เติมเต็มให้กับผู้ด้อยโอกาสทางสังคม (เด็กกำพร้า) ในการสร้างอาชีพให้กับเด็กกำพร้าเพื่อสร้างพื้นที่สันติสุข 2. เพื่อศึกษาพฤติกรรมเชิงบวกของนักเรียนกำพร้าในสถานศึกษาเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในพื้นที่ ที่ผ่านการอบรมพัฒนาศักยภาพ ภายใต้กิจกรรมที่ ศอ.บต. สนับสนุน 3. เพื่อหนุนเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเด็กกำพร้า ลดความ เหลื่อมล้ำ ให้กับเด็กกำพร้าสามารถเข้าถึงโอกาสและการสนับสนุนจากภาคีเครือข่ายที่สำคัญ โดยใช้โรงเรียน เป็นศูนย์กลางในการพัฒนา ขอบเขตการดำเนินงาน 1. โรงเรียนเป้าหมายนำร่อง โรงเรียนนำร่องในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย ดังนี้ 3.1 โรงเรียนสุขสวัสดิ์วิทยา อำเภอยะหา จังหวัดยะลา 3.2 โรงเรียนอิสลามบาเจาะวิทยา อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา 3.3 โรงเรียนพัฒนาวิทยากรวิทยา อำเภอรามัน จังหวัดยะลา 3.4 โรงเรียนมุสลิมพัฒนศาสตร์อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี 3.5 โรงเรียนอิสลามพัฒนา อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี 3.6 โรงเรียนวัฒนธรรมอิสลาม อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี 3.7 โรงเรียนสมบูรณ์ศาสตร์ อำเภอนาทวีจังหวัดสงขลา 3.8 โรงเรียนอิสลามวิทยามูลนิธิอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา 3.9 โรงเรียนต้นตันหยง อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส 3.10 โรงเรียนนิด้าศึกษาศาสตร์อำเภอละงูจังหวัดสตูล 3.11 โรงเรียนสามัคคีอิสลามวิทยา อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล 2. วิธีดำเนินการ การดำเนินการเก็บข้อมูลผ่านกิจกรรม กิจกรรมอบรมพัฒนาศักยภาพและศึกษาดู งานการทำเกษตรทฤษฎีใหม่แก่นักเรียน (กำพร้า/ครู) ในโรงเรียนสังกัดเอกชนในพื้นที่ จชต. ระหว่างวันที่ 6 – 14 มิถุนายน 2566 ณ จังหวัดยะลา จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดพัทลุง ซึ่งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้เตรียมการในการดำเนินงาน ดังนี้ 2.1 การประชุมเตรียมความพร้อม เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูล แนวทางการ ดำเนินงานร่วมกับครู/บุคลาการทางการศึกษาของโรงเรียนเป้าหมาย เนื่องจากเป็นโรงเรียงเอกชนสอนศาสนา อิสลาม ซึ่งมีข้อจำกัดในหลายประการทั้งของเด็กนักเรียน โรงเรียนและหลักการทางศาสนา การดำเนินการ ดังกล่าวจึงจำเป็นที่จะต้อง “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” ในการดำเนินกิจกรรม 2.2 มีการทำแบบสอบถามประเมินเบื้องต้นผ่าน Google Form เพื่อให้นักเรียน มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ความต้องการและความพร้อมทางจิตใจที่จะเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อแสวงหา ความสมัครใจ ตลอดจนการประเมินทางด้านจิตวิทยาด้านการเสริมสร้างแรงจูงใจผ่านแบบสอบถาม 2.3 การประชุมวางแผนงานประกอบด้วยวิทยากรจากสถานสงเคราะห์เด็กปัตตานี ครู/บุคลากรทางการศึกษา/และ ศอ.บต. เพื่อวางแผนการดำเนินงานในการกำหนดกิจกรรมที่จะสามารถเสริม แรงจูงใจ และสร้างการมีส่วนร่วม
ห น ้ า | 7 2.4 การประเมินผล ทาง ศอ.บต. ได้กำหนดการประเมินผลออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 การประเมินผลหลังจากอบรม ผ่านแบบสอบถามเพื่อวัดองค์ความรู้ การเปิดใจในเรื่องที่เป็นข้อกังวลหรือปัญหาที่ไม่อาจจะพูดหรือเล่าให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งทราบ ซึ่งการประเมิน หลังจากการอบรม เป็นเรื่องการประเมินการเปิดใจเป็นสำคัญ และการสร้างความไว้วางใจต่อเพื่อ ครู และคนรอบข้าง ระยะที่ 2 เป็นการประเมินติดตามพฤติกรรม การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ ปลูกผักไฮโดรโปนิค ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ศอ.บต. เพื่อติดตามในเชิงพฤติกรรมและการมีส่วนร่วม ความรับผิดชอบ ภาวะผู้นำ ในการที่จะสร้างการรวมกลุ่มภายในโรงเรียน เพื่อดำเนินกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ และการดึงนักเรียนกำพร้ารายอื่นๆ เข้าร่วมกลุ่ม เพื่อรองรับการพัฒนาในเชิงทัศนคติ และการพัฒนาด้านอื่นๆ ต่อไป ระยะที่ 3 การประเมินเพื่อวางแผนการดำเนินงานในระยะถัดไป และเป็นการ ประเมินพฤติกรรม ทัศนคติ การมีส่วนร่วม และความพึงพอใจ ซึ่งเป็นการประเมินหลังจากผ่านการดำเนินงาน ในระยะที่ 2 ประมาณ 2 เดือน เป็นการประเมินทั้งนักเรียนและครูหรือบุคลาการทางการศึกษา โดยมีภาคส่วน ต่าง ๆ ร่วมรับฟังและเสนอข้อเสนอแนะ เพื่อขยายผลการดำเนินงานในระยะต่อไป 3. วิธการและเครื่องมือในการเก็บข้อมูล 3.1 การประชุมภายใต้กิจกรรมสำคัญที่ ศอ.บต. ดำเนินงาน 3.2 การเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามผ่านระบบ Google Form/แบบสำรวจ 3.3 การจัด Focus Group ระหว่างวิทยากร ครู เจ้าหน้าที่ ศอ.บต. 3.4 การจัดกิจกรรมกลุ่มในระหว่างการอบรม โดยวิทยากรจะสอบถามในชุดคำถาม ที่แตกต่างกัน 3.5 การประเมินแบบสอบถาม เพื่อวัดผล ซึ่งโรงเรียนต้องทำการประเมินนักเรียน ที่ผ่านการอบรมในเบื้องต้น เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปตอบแบบสอบถามของ ศอ.บต. สมมุติฐานงานวิจัย นักเรียนกำพร้าที่ผ่านการอบรมฯ สามารถมีพฤติกรรมและทัศนติในการยอมรับ ความหลากหลายในสังคม ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการคิดวางแผนการดำเนินชีวิตของตนเองในอนาคตได้ เพียงใด กรอบแนวคิดในการศึกษาและดำเนินกิจกรรม การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเด็กกำพร้าที่มิได้รับการรับรองสามฝ่าย (ตำรวจ ทหาร พลเรือน) เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ และปิดวงจรการสืบทอดความเกลียดชังต่อภาครัฐ โดยอาศัยโรงเรียน เอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและให้ความช่วยเหลือ ผ่านกระบวนการ มีส่วนร่วม และการพัฒนายกระดับการศึกษาของสถานศึกษาเอกชนสอนศาสนาอิสลาม คำจำกัดความ เด็กกำพร้านอกระบบ หมายถึง เด็กกำพร้าที่ไม่ได้รับการรับรองสามฝ่าย รับรอง 3 ฝ่าย หมายถึง หน่วยงานที่รับรองผลการเกิดเหตุการณ์ความไม่ สงบในพื้นที่ ตามหลักการของการเยียวยา จังหวัดชายแดนภาคใต้ หมายถึง จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลาและสตูล
ห น ้ า | 8 การสืบทอดความเกลียดชังต่อภาครัฐ หมายถึง เด็กกำพร้าที่เกิดจากพ่อหรือแม่ หรือทั้ง พ่อและแม่ ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความ ไม่สงบ และไม่ได้รับการรับรองสามฝ่าย ส่งผลให้ เด็กกำพร้าเกิดผลกระทบทางความรู้สึกที่ไม่ได้รับ ความเป็นธรรมจากภาครัฐ และมีโอกาสที่ จะขยายความรู้สึกนั้นไปยังบุตรของตัวเอง กระบวนการมีส่วนร่วม หมายถึง ภาครัฐ/ภาคเอกชน /ภาคประชาสังคม / ภาคประชาชน/ภาคศาสนา/ภาควิชาการ และภาคสื่อสารมวลชน ได้ดำเนินการในการ พัฒนาและแก้ไขปัญหาเด็กกำพร้าในพื้นที่ อบรมพัฒนาศักยภาพ หมายถึง กิจกรรมอบรมพัฒนาศักยภาพและศึกษาดูงาน การทำเกษตรทฤษฎีใหม่แก่นักเรียน (กำพร้า/ครู) ในโรงเรียนสังกัดเอกชนในพื้นที่ จชต. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ทุกภาคส่วนเกิดความตระหนักต่อการให้ความช่วยเหลือนักเรียนกำพร้านอกระบบในพื้นที่ 2. เกิดการสนับสนุนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาในพื้นที่ เพื่อให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลาง ในการให้ความช่วยเหลือนักเรียนกำพร้า 3. การช่วยเด็กกำพร้าจะช่วยลดความเดือดร้อนในพื้นที่และลดโอกาสให้พวกเขาเข้าร่วม กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการครอบครัวและชุมชนที่มีการกระทำความรุนแรงและการละเมิดสิทธิของเด็กเพิ่มขึ้น 4. การพัฒนาและสนับสนุนเด็กกำพร้าในด้านการศึกษาและพัฒนาทักษะชีวิตจะช่วยให้เด็ก กำพร้ามีโอกาสดีขึ้นในอนาคต มีโอกาสในการศึกษาและทำงานในอาชีพที่มีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น 5. การพัฒนาเด็กกำพร้าเป็นวิธีที่ดีในการลดโอกาส การเข้าร่วมกลุ่มกลางคนและกลายเป็น อาชญากรรม โดยการให้เด้กำพร้าเข้าถึงโอกาสในการศึกษาและการอบรมที่มีคุณภาพ 6. การแก้ไขปัญหาเด็กกำพร้าจะช่วยสร้างสังคมที่มีศักยภาพ ทักษะ และส่งเสริม การร่วมมือ ในชุมชน เช่น การสร้างโครงสร้างการสนับสนุนที่มีผู้เชี่ยวชาญและองค์กรที่มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหา การพัฒนา โครงสร้างการสนับสนุนเด็กกำพร้าและการส่งเสริมครอบครัวที่สามารถดูแลเด็กได้ดีขึ้นจะช่วยลดการกระจาย ตัวของเด็กกำพร้าในพื้นที่ 7. การแก้ไขปัญหาเด็กกำพร้าจะสร้างความตั้งใจในการพัฒนาของรัฐบาลและชุมชนในพื้นที่ โดยเป็นการยืนยันว่าสังคมสนับสนุนการเติบโตและพัฒนาของเด็กและวัยรุ่น สร้างชุมชนที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ******************************
บทที่ 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสรุปผลโครงการเชิงวิจัย ได้ศึกษาแนวทางในเชิงพฤติกรรมและเชิงของจิตวิทยา ของนักเรียนกำพร้ากลุ่มตัวอย่างในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 45 คน โดยศึกษาบนสมมุติฐานว่า “การศึกษาในกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคม (เด็กกำพร้า) จะสามารถให้เด็กด้อยโอกาสอยู่ร่วมกันในสังคม ได้อย่างปกติสุข และเกิดการยอมรับทั้งในเชิงพฤติกรรมและทัศนคติเชิงบวก นำไปสู่การลดเงื่อนไข ความรุนแรงทางสังคม” โดยการนำการประเมินผล ข้อเสนอแนะ และแนวทางที่คาดหวัง มาสังเคราะห์ เป็นกรอบแนวคิดในกรณีศึกษา ดังนี้ 1. กระบวนการมีส่วนร่วม 2. ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.1 ทฤษฎีเชิงพฤติกรรม 2.2 ทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคม 2.3 ทฤษฎีแรงจูงใจ 2.4 ทฤษฎีการเสริมแรงบวก 2.5 ทฤษีเศรษฐกิจพอเพียง 3. ทัศนคติ 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กระบวนการมีส่วนร่วม เมตตา สินยบุตร (2548 : 7) ให้ความหมายการมีส่วนร่วม หมายถึง กระบวนการพัฒนา แบบมีส่วนร่วมจะต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการติดสินใจ กำหนดความต้องการ ของตนเอง ตัดสินใจใช้ทรัพยากร กล่าวคือ การมีส่วนร่วมของประชาชนก่อให้เกิดกระบวนการ และโครงสร้างที่ประชาชน ในชนบทสามารถที่จะแสดงออก ซึ่งความต้องการของตนการจัดอันดับ ความสําคัญการเข้าร่วมในการพัฒนา และได้รับประโยชน์จากการพัฒนานั้น โดยเน้นการให้อํานาจ การตัดสินใจแก่ประชาชนในชนบท อาจกล่าว ได้ว่า การให้โอกาสประชาชนเป็นฝ่ายตัดสินใจ กำหนดความต้องการของตนเองเป็นการเสริมพลังอํานาจให้ ประชาชนระดมขีดความสามารถในการจัดการทรัพยากร การตัดสินใจและควบคุมกิจกรรมตาง ๆ มากกว่า ที่จะเป็นฝ่ายตั้งรับ มาลี เบ็ญจะมโน (2546 : 27) สรุปความหมายของการมีส่วนร่วม หมายถึง กระบวนการ ที่ประชาชนได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมในองค์การ โดยร่วมแสดงความคิดเห็นและกระทําในสิ่งที่ เห็นพ้อง ต้องกัน ตลอดจนรวมพิจารณากำหนดปัญหาความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นของตน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกลาวให้ลุลวงไป โคเฮน และอัฟฮอฟ (Cohen and Uphoff. 1979 : 6) ได้ให้ความหมายของการมีส่วนร่วม ของชุมชนไว้ว่า สมาชิกของชุมชนต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องใน 4 มิติ ได้แก่ 1. การมีส่วนร่วมการตัดสินใจว่าควรทําอะไรและทําอย่างไร 2. การมีส่วนร่วมเสียสละในการพัฒนา รวมทั้งลงมือปฏิบัติตามที่ได้ตัดสินใจ 3. การมีส่วนร่วมในการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการดําเนินงาน 4. การมีส่วนร่วมในการประเมินผลโครงการ
ห น ้ า | 10 ณัฐพร แสงประดับ (2527) ได้ให้ความหมายของการมีส่วนร่วมว่าการมีส่วนร่วม หมายถึง การเกี่ยวข้องทางด้านจิตใจและอารมณ์ของบุคคลหนึ่งในสถานการณ์กลุ่ม ซึ่งผลของการเกี่ยวข้องดังกล่าว เป็นเหตุเร้าใจให้การกระทําบรรลุจุดมุ่งหมายของกลุ่ม นั้น ทําให้เกิดความรู้สึกร่วมรับผิดชอบกับกลุ่มดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้กลาวถึงปัจจัย ที่มีผลต่อการมีส่วนร่วม ได้แก่ ความศรัทธาที่มีต่อความเชื่อถือตัวบุคคล ความเกรงใจที่มีต่อตัวบุคคลที่เคารพนับถือหรือมีเกียรติยศตําแหน่งทําให้การมีส่วนร่วมเป็นไปด้วยความเต็มใจ สันติชัย เอื้อจงประสิทธิ (2551) ได้กล่าวถึงสาระสําคัญของการมีส่วนร่วมของบุคลากรว่า หมายถึง การเปิดโอกาสให้บุคลากรเข้ามามีส่วนร่วมในการคิดริเริม ตัดสินใจในการปฏิบัติงานและการร่วม รับผิดชอบในเรื่องต่างๆ อันมีผลกระทบมาถึงตัวของบุคลากรเอง การที่จะสามารถทําให้บุคลากรเข้ามา มีส่วนร่วมในการพัฒนาเพื่อ แก้ไขปัญหาและนํามาซึ่งสภาพความเป็นอยู่ของบุคลากรให้ดีขึ้นนั้น ผู้นําจะต้อง ยอมรับ ในปรัชญาการพัฒนาว่ามนุษย์ทุกคนมีความปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุขได้รับ การปฏิบัติอย่างเป็นธรรมเป็นที่ยอมรับของผู้อื่นและพร้อมที่จะอุทิศตนเพื่อกิจกรรมของส่วนร่วมในองค์กร Erwin (อ้างอิงใน ยุพาพร รูปงาม5 2545, หน้า 6) ไต้ให้ความหมายเกี่ยวกับการมีส่วนร่วม ไว้ว่า คือ กระบวนการให้บุคคลเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินงานพัฒนา ร่วมคิด ตัดสินใจ แก้ไขปัญหา ด้วยตนเอง เน้นการมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องอย่างแข่งขันของบุคคล แก้ไขปัญหาร่วมกับการใช้วิทยาการที่เหมาะสม และสนับสนุนติดตามการปฏิบัติงานขององค์การและบุคคลที่เกี่ยวข้อง สรุป กระบวนการมีส่วนร่วม หมายถึง กระบวนการที่ประชาชนได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรม ในการคิดริเริม ตัดสินใจในการปฏิบัติงานและการร่วมรับผิดชอบในเรื่องต่างๆ ตลอดจนรวมพิจารณากำหนด ปัญหาความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นของตน ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ทฤษฎีเชิงพฤติกรรมนิยม พฤติกรรมนิยมเกิดขึ้นเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อจิตซึ่งเป็นแนวทางเชิงอัตวิสัยในการวิจัย ที่นักจิตวิทยาใช้ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ในทางจิตวิทยา จิตใจจะถูกศึกษาโดยการเปรียบเทียบ และโดยการพิจารณาความคิดและความรู้สึกของตนเอง กระบวนการที่เรียกว่าวิปัสสนา นักพฤติกรรมนิยม มองว่าการสังเกตทางจิตเป็นอัตวิสัยมากเกินไป เนื่องจากมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างนักวิจัย แต่ละราย ซึ่งมักนำไปสู่ข้อค้นพบที่ขัดแย้งและไม่สามารถทำซ้ำได้ พฤติกรรมนิยมมีสองประเภทหลัก: พฤติกรรมนิยมเชิงระเบียบวิธี ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมาก จากงานของ John B. Watson และพฤติกรรมนิยมแบบสุดขั้ว ซึ่งบุกเบิกโดยนักจิตวิทยา BF Skinner พฤติกรรมนิยมตามระเบียบวิธี ในปี 1913 นักจิตวิทยา จอห์น บี. วัตสัน ได้ตีพิมพ์บทความที่ถือว่าเป็นคำแถลงการณ์ ของพฤติกรรมนิยมในยุคแรก: “จิตวิทยาตามที่นักพฤติกรรมนิยมมองมัน” ในบทความนี้ วัตสันปฏิเสธวิธีการ ทางจิตและให้รายละเอียดเกี่ยวกับปรัชญาของเขาว่าจิตวิทยาควรเป็นอย่างไร: ศาสตร์แห่งพฤติกรรม ซึ่งเขา เรียกว่า "พฤติกรรมนิยม" ควรสังเกตว่าแม้ว่าวัตสันมักถูกระบุว่าเป็น "ผู้ก่อตั้ง" ของพฤติกรรมนิยม แต่เขาก็ไม่ เคยเป็นคนแรกที่วิพากษ์วิจารณ์การวิปัสสนาและไม่ใช่เป็นคนแรกที่สนับสนุนวิธีวัตถุประสงค์ในการศึกษา จิตวิทยา อย่างไรก็ตาม หลังจากรายงานของวัตสัน พฤติกรรมนิยมก็ค่อยๆ เกิดขึ้น จนถึงปี ค.ศ. 1920 ปัญญาชนจำนวนหนึ่ง รวมทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น นักปรัชญา และต่อมาผู้ได้รับรางวัลโนเบล เบอร์ทรานด์ รัสเซลล์ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของปรัชญาของวัตสัน
ห น ้ า | 11 พฤติกรรมนิยมหัวรุนแรง ในบรรดานักพฤติกรรมนิยมหลังจากวัตสัน บางทีที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ BF Skinner ตรงกัน ข้ามกับนักพฤติกรรมนิยมหลายคนในสมัยนั้น แนวคิดของสกินเนอร์มุ่งเน้นไปที่คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ มากกว่าวิธีการ สกินเนอร์ เชื่อว่าพฤติกรรมที่สังเกตได้เป็นการแสดงออกภายนอกของกระบวนการทางจิต ที่มองไม่เห็น แต่สะดวกกว่าในการศึกษาพฤติกรรมที่สังเกตได้เหล่านั้น แนวทางของเขาเกี่ยวกับพฤติกรรมนิยม คือการเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของสัตว์กับสภาพแวดล้อมของสัตว์ การปรับสภาพแบบคลาสสิกกับการปรับสภาพการใช้งาน นักพฤติกรรมศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์เรียนรู้พฤติกรรมผ่านการปรับสภาพ ซึ่งเชื่อมโยงสิ่งเร้า ในสภาพแวดล้อม เช่น เสียงเข้ากับการตอบสนอง เช่น สิ่งที่มนุษย์ทำเมื่อได้ยินเสียงนั้น การศึกษาที่สำคัญ ในพฤติกรรมนิยมแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างการปรับสภาพสองประเภท การปรับสภาพแบบคลาสสิก ซึ่งเกี่ยวข้องกับนักจิตวิทยาเช่น Ivan Pavlov และ John B. Watson และการปรับสภาพของผู้ปฏิบัติการ ที่เกี่ยวข้องกับ BF Skinner การปรับสภาพแบบคลาสสิก: สุนัขของ Pavlov การทดลองสุนัขของ Pavlov เป็นการทดลองที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายเกี่ยวกับสุนัข เนื้อ และเสียงกระดิ่ง ในช่วงเริ่มต้นของการทดลอง สุนัขจะได้รับการนำเสนอเนื้อ ซึ่งจะทำให้น้ำลายไหล เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงกริ่ง พวกเขาไม่ได้ยิน สำหรับขั้นตอนต่อไปในการทดลอง สุนัขได้ยินเสียงกระดิ่งก่อน นำอาหารมาเมื่อเวลาผ่านไป สุนัขได้เรียนรู้ว่าเสียงกริ่งหมายถึงอาหาร ดังนั้นพวกมันจึงเริ่มน้ำลายไหลเมื่อได้ยิน ระฆัง แม้ว่าจะไม่ตอบสนองต่อเสียงกริ่งมาก่อนก็ตาม จากการทดลองนี้ สุนัขจะค่อยๆ เรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงเสียง กระดิ่งกับอาหาร แม้ว่าพวกมันจะไม่เคยตอบสนองต่อเสียงกริ่งมาก่อนก็ตาม การทดลองสุนัข ของ Pavlov แสดงให้เห็นถึงเงื่อนไขแบบคลาสสิก กระบวนการที่สัตว์หรือมนุษย์เรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงสิ่งเร้า ที่ไม่เกี่ยวข้องสองอย่างก่อนหน้านี้เข้าด้วยกัน สุนัขของพาฟลอฟเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงการตอบสนองต่อสิ่งเร้า (น้ำลายไหลเมื่อได้กลิ่นอาหาร) กับสิ่งเร้าที่ "เป็นกลาง" ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ทำให้เกิดการตอบสนอง (เสียงกริ่ง) การปรับสภาพประเภทนี้เกี่ยวข้องกับการตอบสนองโดยไม่สมัครใจ การปรับสภาพแบบคลาสสิก: Little Albert ในการทดลองอื่นที่แสดงให้เห็นการปรับสภาพอารมณ์แบบคลาสสิกในมนุษย์ นักจิตวิทยา JB Watson และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของเขา Rosalie Rayner ได้เปิดโปงเด็กอายุ 9 เดือน ซึ่งพวกเขา เรียกว่า "อัลเบิร์ตน้อย" ต่อหนูขาวและสัตว์มีขนอื่นๆ เช่น กระต่ายและสุนัข เช่นเดียวกับผ้าฝ้าย ขนสัตว์ หนังสือพิมพ์ที่ไหม้ไฟ และสิ่งเร้าอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำให้อัลเบิร์ตตกใจ อย่างไรก็ตาม ต่อมาอัลเบิร์ตได้รับ อนุญาตให้เล่นกับหนูทดลองสีขาว วัตสันและเรย์เนอร์ใช้ค้อนทุบเสียงดัง ซึ่งทำให้อัลเบิร์ตตกใจและทำให้เขา ร้องไห้หลังจากพูดซ้ำหลายครั้ง อัลเบิร์ตรู้สึกกังวลใจมากเมื่อพบหนูขาวเพียงตัวเดียว นี่แสดงให้เห็นว่าเขาได้ เรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงการตอบสนองของเขา (กลายเป็นความกลัวและร้องไห้) กับสิ่งเร้าอื่นที่ไม่เคยทำให้เขากลัว มาก่อน การปรับสภาพการทำงาน: กล่องสกินเนอร์ นักจิตวิทยา บีเอฟ สกินเนอร์ วางหนูที่หิวโหยในกล่องที่มีคันโยก ขณะที่หนูเดินไปรอบๆ กล่อง มันจะกดคันโยกเป็นบางครั้ง จึงทำให้พบว่าอาหารจะหล่นลงมาเมื่อกดคันโยก หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หนูก็เริ่มวิ่งตรงไปยังคันโยกเมื่อวางมันลงในกล่อง บ่งบอกว่าหนูรู้ว่าคันโยกนั้นหมายความว่ามันจะได้รับอาหาร ในการทดลองที่คล้ายกัน หนูถูกวางลงในกล่องสกินเนอร์ที่มีพื้นไฟฟ้า ทำให้หนูรู้สึกไม่สบาย หนูพบว่าการกด คันโยกหยุดกระแสไฟฟ้า หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หนูก็พบว่าคันโยกนั้นหมายความว่ามันจะไม่อยู่ภายใต้
ห น ้ า | 12 กระแสไฟฟ้าอีกต่อไป และหนูก็เริ่มวิ่งตรงไปยังคันโยกเมื่อมันถูกวางไว้ในกล่อง การทดลองกล่องสกินเนอร์ แสดงให้เห็นถึงการปรับสภาพการทำงานซึ่งสัตว์หรือมนุษย์เรียนรู้พฤติกรรม (เช่น กดคันโยก) โดยเชื่อมโยง กับผลที่ตามมา (เช่น การทำเม็ดอาหารตก หรือการหยุดกระแสไฟฟ้า) การเสริมแรงสามประเภทมีดังนี้: การเสริมแรงเชิงบวก : เมื่อมีการเติมสิ่งดีๆ (เช่น เม็ดอาหารหยดลงในกล่อง) เพื่อสอน พฤติกรรมใหม่ การเสริมแรงเชิงลบ : เมื่อมีการขจัดสิ่งไม่ดีออกไป (เช่น กระแสไฟฟ้าหยุดทำงาน) เพื่อสอน พฤติกรรมใหม่ การลงโทษ : เมื่อมีการเพิ่มสิ่งเลวร้ายเพื่อสอนเรื่องให้หยุดพฤติกรรม อิทธิพลต่อวัฒนธรรมร่วมสมัย พฤติกรรมนิยมยังคงเห็นได้ในห้องเรียนสมัยใหม่ซึ่งใช้การปรับสภาพของผู้ปฏิบัติการ เพื่อเสริมสร้างพฤติกรรม ตัวอย่างเช่น ครูอาจให้รางวัลกับนักเรียนที่ทำข้อสอบได้ดีหรือลงโทษนักเรียน ที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมโดยให้เวลาพวกเขาในการกักขัง แม้ว่าพฤติกรรมนิยมจะเคยเป็นเทรนด์ที่โดดเด่น ในด้านจิตวิทยาในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 แต่ตั้งแต่นั้นมา มันก็สูญเสียการยึดเกาะกับจิตวิทยาการ รู้คิดซึ่งเปรียบเทียบจิตใจกับระบบประมวลผลข้อมูล เช่น คอมพิวเตอร์ ทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคม แรงสนับสนุนทางด้านสังคม (Social Support)(House , 1985 อ้างในสรงค์กฏณ์ ดวงคำ สวัสดิ์ , 2539 : 29 - 35) 1. ความหมายแรงสนับสนุนทางด้านสังคม หมายถึง สิ่งที่ผู้รับได้รับแรงสนับสนุนทางสังคม ในด้านความช่วยเหลือทางด้านข้อมูลข่าวสาร วัตถุสิ่งของหรือการสนับสนุนทางด้านจิตใจจากผู้ให้ การสนับสนุนซึ่งอาจเป็นบุคคลหรือกลุ่มคนและเป็นผลให้ผู้รับได้ปฏิบัติหรือแสดงออกทางพฤติกรรมไปในทาง ที่ผู้รับต้องการในที่นี้หมายถึงการมีสุขภาพดีแรงสนับสนุนทางสังคมอาจมาจากบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนบ้าน ผู้นำชุมชน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนนักเรียน ครูเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรืออาสาสมัคร สาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) แคพแพลน (Caplan , 1976 : 39 - 42) ได้ให้คำจำกัดความแรงสนับสนุน ทางสังคม หมายถึง สิ่งที่บุคคลได้รับโดยตรงจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลอาจเป็นทางข่าวสาร เงิน กำลังงาน หรือทางอารมณ์ซึ่งอาจเป็นแรงผลักดันให้ผู้รับไปสู่เป้าหมายที่ผู้ให้ต้องการ ฟิลิชุก (Pilisuk , 1982 : 20) กล่าวว่า แรงสนับสนุนทางสังคม หมายถึง ความสัมพันธ์ ระหว่างคนไม่เฉพาะแต่ความช่วยเหลือทางด้านวัตถุความมั่นคงทางอารมณ์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการที่บุคคล รู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของผู้อื่นด้วย 2.แหล่งของแรงสนับสนุนทางสังคม โดยปกติกลุ่มสังคมจัดแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือกลุ่มปฐมภูมิและกลุ่มทุติยภูมิ กลุ่มปฐมภูมิเป็นกลุ่มที่มีความสนิทสนมและมีสัมพันธภาพระหว่างสมาชิกเป็นการส่วนตัวสูง กลุ่มนี้ได้แก่ครอบครัว ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน กลุ่มทุติยภูมิเป็นกลุ่มสังคมที่มีความสัมพันธ์ตามแผนและกฎเกณฑ์ที่วางไว้มีอิทธิพล เป็นตัวกำหนดบรรทัดฐานของบุคคลในสังคมกลุ่มนี้ได้แก่ เพื่อนร่วมงาน กลุ่มวิชาชีพและกลุ่มสังคมอื่นๆ ซึ่งในระบบ แรงสนับสนุนทางสังคม ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าแหล่งของแรงสนับสนุน ทางสังคม นั้นมีทั้งแหล่งปฐมภูมิและแหล่งทุติยภูมิ
ห น ้ า | 13 3. องค์ประกอบของการสนับสนุนทางสังคม (Pilisuk , 1982 : 20) หลักการที่สำคัญ ของแรงสนับสนุนทางสังคมประกอบด้วย ดังนี้ 3.1. ต้องมีการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ให้และผู้รับแรงสนับสนุน 3.2. ลักษณะของการติดต่อสัมพันธ์นั้น จะต้องประกอบด้วย 3.2.1 ข้อมูลข่าวสารที่ทำให้ผู้รับเชื่อว่ามีความเอาใจใส่และมีความรักความหวัง ดีในสังคมอย่างจริงใจ 3.2.2 ข้อมูลข่าวสารที่มีลักษณะทำให้ผู้รับรู้สึกว่าตนเองมีค่าและเป็นที่ยอมรับ ในสังคม 3.2.3 ข้อมูลข่าวสารที่มีลักษณะทำให้ผู้รับเชื่อว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และมีประโยชน์แก่สังคม 3.3 ปัจจัยนำเข้าของการสนับสนุนทางสังคมอาจอยู่ในรูปของข้อมูลข่าวสาร วัสดุสิ่งของหรือด้านจิตใจจะต้องช่วยให้ผู้รับได้บรรลุถึงจุดหมายที่เขาต้องการ 4. ประเภทของแรงสนับสนุนทางสังคม เฮ้าส์(House อ้างในBabara A.Israel , 1985 : 66) ได้แบ่งประเภทของพฤติกรรมในการให้การสนับสนุนทางสังคม เป็น 4 ประเภท ดังนี้ . 4.1 Emotional Support คือการสนับสนุนทางอารมณ์เช่น การให้ความพอใจ การยอมรับนับถือ การแสดงถึงความห่วงใย 4.2 Appraisal Support คือ การสนับสนุนด้านการให้การประเมินผล เช่น การให้ ข้อมูลป้อนกลับ (Feed Back) การเห็นพ้องหรือให้รับรอง (Affirmation) ผลการปฏิบัติหรือการบอกให้ทราบ ถึงผลดีที่ผู้รับได้ปฏิบัติพฤติกรรมนั้น 4.3 Information Support คือ การให้การสนับสนุนทางด้านข้อมูลข่าวสาร เช่น การให้คำแนะนำ (Suggestion) การตักเตือน การให้คำปรึกษา (Advice) และการให้ข่าวสารรูปแบบต่างๆ 4.4. Instrumental Support คือ การให้การสนับสนุนทางด้านเครื่องมือ เช่น แรงงาน/เงิน/เวลา เป็นต้น 5. ระดับของแรงสนับสนุนทางสังคมนักพฤติกรรมศาสตร์กอทต์ลิบ (Gottlieb , 1985 : 5 - 12) ได้แบ่งระดับแรงสนับสนุนทางสังคมออกเป็น 3 ระดับ คือ 5.1. ระดับกว้าง (Macro level) เป็นการพิจารณาถึงการเข้าร่วมหรือการมี ส่วนร่วมในสังคมอาจวัดได้จากความสัมพันธ์กับสถาบันในสังคมการเข้าร่วมกับกลุ่มต่างๆ ด้วยความสมัครใจ และการดำเนินวิถีชีวิตอย่างไม่เป็นทางการในสังคม เช่น การเข้าร่วมกลุ่มกิจกรรมต่างๆ ในสังคมชุมชน ที่เขาอาศัยอยู่อาทิกลุ่มแม่บ้านเลี้ยงลูกด้วยนมแม่/กลุ่มหนุ่มสาวพัฒนาหมู่บ้าน/กลุ่มต้านภัยเอดส์/กลุ่มเลี้ยง สัตว์ปีก/กลุ่มจักสาน/กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร เป็นต้น 5.2. ระดับกลุ่มเครือข่าย (Mezzo level) เป็นการมองที่โครงสร้างและหน้าที่ ของเครือข่ายสังคมด้วยการพิจารณาจากกลุ่มบุคคลที่มีสัมพันธภาพอย่างสม่ำเสมอ เช่น กลุ่มเพื่อน กลุ่มบุคคล ใกล้ชิดในสังคมเสมือนญาติชนิดของการสนับสนุนในระดับนี้ได้แก่ การให้คำแนะนำ/การช่วยเหลือด้านวัสดุ สิ่งของ/ความเป็นมิตร/การสนับสนุนทางอารมณ์/และการยกย่อง 5.3. ระดับแคบหรือระดับลึก (Micro level) เป็นการพิจารณาความสัมพันธ์ ของบุคคลที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากที่สุด ทั้งนี้มีความเชื่อกันว่าคุณภาพของความสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์มากในเชิงปริมาณ คือ ขนาด จำนวนและความถี่ของความสัมพันธ์หรือโครงสร้าง ของเครือข่ายในการสนับสนุนในระดับนี้ได้แก่ สามีภรรยาและสมาชิกในครอบครัวซึ่งมีความใกล้ชิด ทางอารมณ์/การสนับสนุนทางจิตใจ และแสดงความรักและห่วงใย (Affective Support)
ห น ้ า | 14 6. ผลของแรงสนับสนุนทางสังคมที่มีต่อสุขภาพ มีรายงานการศึกษาวิจัยมากมายที่บ่งบอก ถึงความสัมพันธ์ระหว่างแรงสนับสนุนทางสังคมที่มีต่อสุขภาพอนามัย พอสรุปได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 6.1. ผลต่อสุขภาพกาย แบ่งออกเป็น 6.1.1 ผลโดยตรง จากรายงานผลการศึกษาของ เบอร์กแมน และไซม์ (Berkman and Syme , 1979 : 186 – 204 อ้างใน Minkler 1981 : 150) ซึ่งติดตามผลในวัยผู้ใหญ่จำนวน 700 คน ที่อาศัยอยู่ในเมืองอามีดา รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นเวลานาน 9 ปีโดยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ทั่วไป ของสุขภาพอนามัยและสถิติชีพที่สำคัญรวมทั้งแรงสนับสนุนทางสังคมน้อยมีอัตราป่วยและตายมากกว่าผู้ได้รับแรง สนับสนุนทางสังคมมากถึง 2.5 เท่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในทุกเพศ ทุกเชื้อชาติและทุกระดับเศรษฐกิจการศึกษา ของคอบบ์และแคสเซล (Cobb 1976 and Cassel 1961 อ้างใน Berkman and Syme , 1979 : 186 – 204) พบว่าผู้ป่วยเป็นวัณโรค/ความดันโลหิตสูง/อุบัติเหตุ ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ขาดแรงสนับสนุนทางสังคม หรือถูกตัดขาดจากเครือข่ายแรงสนับสนุนทางสังคม นอกจากนี้การศึกษาทางระบาดวิทยาสังคมยัง พบว่า คนที่ขาด แรงสนับสนุนทางสังคมจะเป็นผู้ที่อยู่ในภาวะของการติดโรคได้ง่ายเนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบ ต่อมไร้ท่อและมีผลทำให้ภูมิคุ้มกันโรคลดลงอีกด้วย 6.1.2 ผลต่อพฤติกรรมการปฏิบัติตามคำแนะนำในการรักษาพยาบาล (Compliance to Regismens) มีรายงานผลการศึกษาเป็นจำนวนมากที่บ่งบอกถึงผลของแรงสนับสนุนทางสังคมที่มีต่อพฤติกรรม การปฏิบัติตามคำแนะนำของคนไข้ซึ่งเบอร์กเลอร์(Burgler อ้างใน Pilisuk , 1985 : 94) พบว่าผู้ป่วยที่ปฏิบัติ ตามคำแนะนำของแพทย์ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีครอบครัวคอยให้การสนับสนุนในการควบคุมพฤติกรรมและผู้ป่วยที่ที่มี แรงสนับสนุนทางสังคมมากจะเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามคำแนะนำมากกว่าผู้ที่มีแรงสนับสนุนทางสังคมน้อย 6.1.3 ผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรค คอบป์ (Cobb ,1976) และแลงกลี (Langlie, 1977) ได้รายงานผลการศึกษาถึงพฤติกรรมการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ เช่น การตรวจสุขภาพร่างกาย ประจำการออกกำลังกาย/การบริโภคอาหาร พบว่า ผู้ที่มีแรงสนับสนุนทางสังคมจะมีพฤติกรรมการป้องกันโรค และส่งเสริมสุขภาพดีกว่าผู้ที่มีแรงสนับสนุนทางสังคมน้อย 6.2.ผลต่อสุขภาพจิตผลของแรงสนับสนุนทางสังคมที่มีต่อสุขภาพจิต มีลักษณะเช่นเดียวกับ สุขภาพกาย คือ พบว่าแรงสนับสนุนทางสังคมเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต บุคคลช่วยลดความเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากความเครียดและช่วยลดความเครียดซึ่งจะมีผลต่อการเพิ่มความต้านทาน โรคของบุคคลได้อีกด้วย กอร์(Gore1977อ้างใน Minkler ,1981 : 151) ศึกษาในผู้ชายว่างงาน จำนวน 110 คน พบว่าผู้ที่ได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมในระดับสูง มีปัญหาทางด้านร่างกายและจิตใจน้อยกว่า ผู้ได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมในระดับต่ำและแคพแลน (Caplan 1974 : 7) กล่าวว่าการสนับสนุนทางอารมณ์ เป็นสิ่งที่ช่วยลดผลของความเครียดที่มีผลต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจในผู้ที่ทำงาน พบว่า มีความเครียดมากและยังพบอีกว่าผู้ที่มีแรงสนับสนุนทางสังคมต่ำมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจมากกว่าผู้ที่มีแรงสนับสนุนทางสังคมสูง ทฤษฎีแรงจูงใจ ( Motivation Theories ) ความหมายของแรงจูงใจ “แรงจูงใจ” (Motivation) มาจากคำกริยาในภาษาละตินว่า “Mover”(Kidd, 1973:101) ซึ่งมีความหมายตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “to move” อันมีความหมายว่า “เป็นสิ่งที่โน้มน้าวหรือมักชักนำ บุคคลเกิดการกระทำหรือปฏิบัติการ” (To move a person to a course of action) ดังนั้น แรงจูงใจ จึงได้รับความสนใจมากในทุกๆ วงการ โลเวลล์(Lovell, 1980:109) ให้ความหมายของแรงจูงใจว่า “เป็นกระบวนการที่ชักนำโน้ม น้าวให้บุคคลเกิดความมานะพยายามเพื่อที่จะสนองตอบความต้องการบางประการให้บรรลุผลสำเร็จ”
ห น ้ า | 15 ไมเคิล คอมแจน (Domjan 1996:199) อธิบายว่า “การจูงใจเป็นภาวะในการเพิ่ม พฤติกรรมการกระทำกิจกรรมของบุคคลโดยบุคคลจงใจกระทำพฤติกรรมนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ” แฮนสัน (Hanson, Mark E., 1996: 195) ให้ความหมายของแรงจูงใจว่า “สภาพภายใน ที่กระตุ้นให้มีการกระทำ หรือการเคลื่อนที่ โดยมีช่องทางและพฤติกรรมที่นำไปสู่เป้าหมาย” สรุปได้ว่า การจูงใจเป็นกระบวนการที่บุคคลถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้าโดยจงใจให้กระทำ หรือ ดิ้นรน เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์บางอย่าง พฤติกรรมที่เกิดจากการจูงใจเป็นพฤติกรรมที่มิใช่เป็นเพียง การตอบสนองสิ่งเร้าปกติธรรมดา ยกตัวอย่างลักษณะของการตอบสนองสิ่งเร้าปกติคือ การขานรับเมื่อได้ยิน เสียงเรียก แต่การตอบสนองสิ่งเร้าจัดว่าเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการจูงใจ เช่น พนักงานตั้งใจทำงานเพื่อหวัง ความดีความชอบเป็นกรณีพิเศษ ลักษณะของแรงจูงใจ มี2 ลักษณะดังนี้ 1. แรงจูงใจภายใน (Intrinsic motives) แรงจูงใจภายในเป็นสิ่งผลักดันจากภายในตัวบุคคล ซึ่งอาจจะเป็นเจตคติ ความคิด ความสนใจ ความตั้งใจ การมองเห็นคุณค่า ความพอใจ ความต้องการ ฯลฯ สิ่งต่างๆ ดังกล่าวนี้มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมค่อนข้างถาวร เช่น คนงานที่เห็นองค์การคือสถานที่ให้ชีวิตแก่เขา และครอบครัวเขาก็จะจงรักภักดีต่อองค์การ และองค์การบางแห่งขาดทุนในการดำเนินการก็ไม่ได้ จ่ายค่าตอบแทนที่ดีแต่ด้วยความผูกพันพนักงานก็ร่วมกันลดค่าใช้จ่ายและช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่ 2. แรงจูงใจภายนอก (Extrinsic motives) แรงจูงใจภายนอกเป็นสิ่งผลักดันภายนอกตัว บุคคลที่มากระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมอาจจะเป็นการได้รับรางวัล เกียรติยศชื่อเสียง คำชม หรือยกย่อง แรงจูงใจนี้ ไม่คงทนถาวร บุคคลแสดงพฤติกรรมเพื่อตอบสนองสิ่งจูงใจดังกล่าวเฉพาะกรณีที่ต้องการสิ่งตอบแทนเท่านั้น ทฤษฎีแรงจูงใจ (Theories of Motivation) มีทฤษฎีและการศึกษาเรื่องจูงใจจำนวนมาก ในที่นี้จะกล่าวโดยสังเขป เพื่อนำมาประยุกต์ใช่ในองค์การซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. ทฤษฎีเนื้อหาของการจูงใจ (Content theories of Motivation) 2. ทฤษฎีกระบวนการ (Process Theories) 3. ทฤษฎีการเสริมแรง (Reinforcement Theory) ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s hierarchy of needs theory) ทฤษฎี มนุษยวิทยา (ทรัพยากรมนุษย์) จะมองว่าเป็น “มนุษย์ที่ประสงค์จะทำงานให้สำเร็จด้วยตนเอง” เป็นทฤษฎี ที่เกี่ยวข้องกับความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งกำหนดโดยนักจิตวิทยา ชื่อ มาสโลว์ ( Abraham Maslow) เป็นทฤษฎีการจูงใจที่มีการกล่าวขวัญอย่างแพร่หลาย มาสโลว์มองว่าความต้องการของมนุษย์ มีลักษณะเป็นลำดับขั้นจากระดับต่ำสุดไปยังระดับสูงสุด เมื่อความต้องการในระดับหนึ่งได้รับการตอบสนอง แล้ว มนุษย์ก็จะมีความต้องการอื่นในระดับที่สูงขึ้นต่อไป 1. ความต้องการทางร่างกาย (Physiological needs) เป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน ของมนุษย์เพื่อความอยู่รอด เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อากาศ น้ำดื่ม การพักผ่อน เป็นต้น 2. ความต้องการความปลอดภัยและมั่นคง (Security or safety needs) เมื่อมนุษย์สามารถ ตอบสนองความต้องการทางร่างกายได้แล้ว มนุษย์ก็จะเพิ่มความต้องการในระดับที่สูงขึ้นต่อไป เช่น ความต้องการความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความต้องการความมั่นคงในชีวิตและหน้าที่การงาน 3. ความต้องการความผูกพันหรือการยอมรับ (ความต้องการทางสังคม) (Affiliation or Acceptance needs) เป็นความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ซึ่งเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ เช่น ความต้องการให้และได้รับซึ่งความรัก ความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ ความต้องการได้รับการยอมรับ การต้องการได้รับความชื่นชมจากผู้อื่น เป็นต้น
ห น ้ า | 16 4. ความต้องการการยกย่อง (Esteem needs) หรือ ความภาคภูมิใจในตนเอง เป็นความ ต้องการการได้รับการยกย่อง นับถือ และสถานะจากสังคม เช่น ความต้องการได้รับความเคารพนับถือ ความต้องการมีความรู้ความสามารถ เป็นต้น 5. ความต้องการความสำเร็จในชีวิต (Self- actualization) เป็นความต้องการสูงสุด ของแต่ละบุคคล เช่น ความต้องการที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้สำเร็จ ความต้องการทำทุกอย่างเพื่อตอบสนอง ความต้องการของตนเอง เป็นต้น จากทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ สามารถแบ่งความต้องการออกได้เป็น 2 ระดับ ดังนี้ 1) ความต้องการในระดับต่ำ (Lower order needs) ประกอบด้วยความต้องการทางร่างกาย ความต้องการความปลอดภัยและมั่นคง และความต้องการความผูกพันหรือการยอมรับ 2) ความต้องการในระดับสูง (Higher order needs) ประกอบด้วย ความต้องการการยกย่อง และความต้องการความสำเร็จในชีวิต ทฤษฎีการเสริมแรง การเสริมแรง หมายถึง การทำให้ผู้ทำพฤติกรรมเกิดความพึงพอใจ เมื่อทำพฤติกรรม ใดพฤติกรรมหนึ่งแล้ว เพื่อให้ทำพฤติกรรมนั้นซ้ำ ๆ อีก เช่น เมื่อนักเรียนตอบคำถามถูกต้อง ครูให้รางวัล (นักเรียนพอใจ) นักเรียนจะตอบคำถามอีกหากครูถามคำถามครั้งต่อ ๆ ไป การทำให้ผู้ทำพฤติกรรมเกิดความพึง พอใจทำได้โดยให้ตัวเสริมแรง (Reinforcer) เมื่อทำพฤติกรรมแล้ว ประเภทของการเสริมแรง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. การเสริมแรงบวก คือ การให้ตัวเสริมแรงบวก เมื่อทำพฤติกรรมที่กำหนด (ต้องการ) แล้ว เช่น ทำงานเสร็จแล้วได้รับค่าจ้าง ทำงานเป็นพฤติกรรมที่กำหนด เงินค่าจ้างเป็นตัวเสริมแรงบวก 2. การเสริแรงลบ คือ การให้ตัวเสริมแรงลบ เมื่อทำพฤติกรรมที่กำหนด (ต้องการ) แล้ว เช่น เมื่ออยู่ในห้องที่อบอ้าวเราจะเปิดหน้าต่าง เปิดหน้าต่างเป็นพฤติกรรมที่กำหนด หายอบอ้าวเป็นตัว เสริมแรงลบ หรือนักเรียนที่ตอบคำถามครูถูกจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำรายงานมาส่ง เป็นต้น การเสริมแรงทำได้เป็น 2 ลักษณะ คือ 1. เสริมแรงต่อเนื่อง คือเสริมแรงทุกครั้งที่ทำพฤติกรรมถูกต้อง เหมาะสมกับการเรียนรู้ พฤติกรรมใหม่ 2. เสริมแรงเป็นบางครั้ง เหมาะสำหรับการรักษาพฤติกรรมที่เรียนรู้แล้วไว้ โดยไม่จำเป็นต้องมี การเสริมทุกครั้ง เจ้าของทฤษฎี นี้คือ สกินเนอร์ (Skinner) กล่าวว่า ปฏิกิริยาตอบสนองหนึ่ง อาจไม่ใช่ เนื่องมาจากสิ่งเร้าสิ่งเดียว สิ่งเร้านั้นๆ ก็คงจะทำให้เกิดการตอบสนองเช่นเดียวกันได้ ถ้าได้มีการวางเงื่อนไข ที่ถูกต้อง การนำทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มพฤติกรรมมาใช้กับเทคโนโลยีการศึกษานี้จะใช้ในการออกแบบ การเรียนการสอนให้เข้ากับลักษณะดังต่อไปนี้คือ 1. การเรียนรู้เป็นขั้นเป็นตอน (Step by Step) 2. การมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของผู้เรียน (Interaction) 3. การได้ทราบผลในการเรียนรู้ทันที (Feedback) 4. การได้รับการเสริมแรง (Reinforcement) แนวคิดของสกินเนอร์นั้น นำมาใช้ในการสอนแบบสำเร็จรูป หรือการสอนแบบโปรแกรม (Program Inattention) สกินเนอร์เป็นผู้คิดบทเรียนโปรแกรมเป็นคนแรก
ห น ้ า | 17 การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการเสริมแรง การเสริมแรงทางบวกจะดีกว่าทางลบ การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความใกล้ชิดระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง การเสริมแรงมีหลายวิธี อาจใช้ วัตถุสิ่งของ หรือถ้อยคำที่แสดงความรู้สึกก็ได้ ที่สามารถสร้างบรรยากาศกระตุ้นให้ความพึงพอใจให้เกิด ความสำเร็จหรือเครื่องบอกผลการกระทำว่าถูกผิด และอาจเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเสริมแรงต่อๆ ไปการเสริมแรงควรจะต้องให้สม่ำเสมอ นอกจากนั้นหลักการเสริมแรงยังทำให้สามารถปรับพฤติกรรมได้ ควรจะให้การเสริมแรงทันที ที่มีการตอบสนองได้อย่างถูกต้อง ซึ่งควรจะเกิดขึ้นภายในประมาณ 10 วินาที ถ้าหากมีการตอบสนองที่ต้องการซ้ำหลายครั้งๆ ก็ควรเลือกให้มีการเสริมแรงเป็นบางคราว แทนที่จะเสริมแรง ทุกครั้งไป ควรจะจัดกิจกรรมการเรียนให้เป็นไปตามลำดับจากง่ายไปยาก และเป็นตอนสั้นๆ ที่สอดคล้อง กับความสามารถของผู้เรียน การให้ข้อมูลป้อนกลับ (Giving Feedback) เป็นแนวทางหนึ่งในการใช้การเสริมแรง ในการจัดการเรียนการสอน การให้ข้อมูลป้อนกลับ Giving Feedback หมายถึง คำหรือประโยคที่ใช้พูด หรือเขียนเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ในการจัดการเรียนการสอน ครูผู้สอนควรให้ข้อมูลป้อนกลับ เพื่อเป็นการกระตุ้นการเรียนรู้ของนักเรียน ครูผู้สอนสามารถนำการให้ข้อมูลป้อนกลับไปใช้ ในการตรวจสอบ การทำงานของนักเรียน หรือในขณะที่นักเรียนนำเสนองาน เป็นต้น ประโยชน์ของการให้ข้อมูลป้อนกลับ ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ของนักเรียนและช่วยให้นักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียน แนวทางการนำการให้ข้อมูลป้อนกลับไปใช้ในชั้นเรียน ทำได้ด้วยการพูดหรือเขียนคำ หรือประโยคที่เป็นการชื่นชม เพื่อช่วยให้นักเรียนชอบและปรับปรุงการเรียนรู้ของตน ประเภทของการให้ข้อมูล ป้อนกลับ ดังนั้น 1. ข้อมูลป้อนกลับเชิงบวก Positive Feedback 2. ข้อมูลป้อนกลับเชิงลบ Negative Feedbackการให้ข้อมูลป้อนกลับเชิงลบอาจลดแรงจูงใจ ของนักเรียน ดังนั้นผู้สอนควรเปลี่ยนไปใช้การให้ข้อมูลป้อนกลับเชิงบวกแทน ผู้ศึกษาได้นำแนวคิดด้านการเสริมแรงโดยการให้ข้อมูลป้อนกลับ (Giving Feedback) ไปใช้ กับกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นนักเรียนโรงเรียนบ้านท่าตะคร้อ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 25 คน ทำการสอน ตามแผนการสอนระยะเวลา 60 นาที และเก็บข้อมูลโดยการสังเกตบรรยากาศการเรียนรู้และให้นักเรียนตอบ แบบสอบถามหลังการเรียน พบว่านักเรียนมีความสนุกสนาน มีความตื่นเต้นและ มีความสุขในการเรียน ภาษาอังกฤษ นักเรียนได้เรียนรู้คำศัพท์เพิ่มมากขึ้น นักเรียนสามารถนำความรู้ที่เรียนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ นักเรียนอยากเรียนเช่นนี้ทุกวัน เพราะชอบครู ต้องการให้ครูมาสอนอีกเพราะเป็นการสอนที่ไม่เครียด ต้องการ ให้ครูมาสอนอีกเพราะชอบการเล่นเกมที่ใช้ความคิด ชอบการออกเสียงภาษาอังกฤษ ชอบการเรียนที่มีการเล่น และการแข่งขัน ชอบการฟังภาษาอังกฤษ ชอบความตลกและอารมณ์ขันของครู จะเห็นได้ว่าการให้การเสริมแรง การชมและการให้ข้อมูลป้อนกลับช่วยส่งเสริมให้บรรยากาศ การเรียนการสอนมีความสนุกสนาน นักเรียนมีความสุขในการเรียน เกิดการเรียนรู้ที่ดี และพัฒนาไปถึงขั้น สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ นอกจากนี้ยังพบว่า องค์ประกอบอื่นๆก็สามารถนำมาใช้เป็นการเสริมแรง ได้ เช่น กิจกรรมการแข่งขัน เกมต่างๆ กิจกรรมที่เน้นทักษะการคิด อารมณ์ขันและความตลกของผู้สอน และบรรยากาศการเรียนการสอนที่ไม่เคร่งเครียดจนเกินไป เป็นต้น ทฤษฎีเศรฐกิจพอเพียง สุเมธ ตันติเวชกุล (2550ข, หน้า 56) ได้อธิบายถึง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนว พระราชดำริ จึงประกอบหลักการหลักวิชาและหลักธรรมหลายประการ อาทิ 1. เป็นปรัชญาแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับ ครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ
ห น ้ า | 18 2. เป็นปรัชญาในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง 3. จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจให้ก้าวทันโลกยุคโลกาภิวัตน์ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการ รองรับ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลก ภายนอกได้ อย่างดี 4. ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่ จะต้องมี ระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้ง ภายนอก และภายใน 5. จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำ วิชาการ ต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน 6. จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนักในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้ มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนิน ชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ สุเมธ ตันติเวชกุล (2550ก, หน้า 78) ได้อธิบายถึง พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 คำว่า ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็น ที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกัน ในตัวดีพอสมควรต่อผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอก และภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอนและขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มี ความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้ สมดุลและพร้อมต่อการรองรับ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี สุเมธ ตันติเวชกุล (2550ก, หน้า 83) ได้อธิบายถึง การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ให้ประสบความสำเร็จได้นั้น สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ การมีสติพิจารณาตัวเองรู้จักใช้ทรัพยากรให้เพียงพอ และเหมาะสมอย่าให้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ซึ่งทุกจังหวัดต้องสำรวจจำนวนข้าราชการพร้อม ศักยภาพข้าราชการ และวางแผนการทำงานให้เกิดการพัฒนา ในแต่ละจังหวัดไม่จำเป็นต้องดำเนินงาน ในลักษณะที่เหมือนกันก็ได้ รู้จักใช้เหตุและผล พร้อมกับสติปัญญา ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ รู้จักปรับปรุงพัฒนาตัวเองให้รอบรู้อยู่เส มอและที่สำคัญ คือ ต้องมี ความซื่อสัตย์สุจริต เพราะหาก ข้าราชการไม่ซื่อสัตย์สุจริตแล้วจะเกิดความเดือดร้อนต่อประชาชน และประเทศชาติ สมพร เทพสิทธา (2548, หน้า 13-14) ได้อธิบายถึง เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญา นำทางการพัฒนาของประเทศ โดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 พ.ศ. 2545-2549 ได้ยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริเป็นปรัชญานำทางการพัฒนาของประเทศ โดยมีแนวทาง ดังนี้ 1. ทางสายกลาง ไม่พัฒนาไปในทางทิศใดทิศหนึ่งจนเกินไป เช่น ปิดหรือเปิดเสรีเต็มที่ 2. ความสมดุลและความยั่งยืน เน้นการพัฒนาในลักษณะองค์รวม 3. ความพอประมาณอย่างมีเหตุผล มีความพอดีทั้งในการผลิตและการบริโภค 4. ภูมิคุ้มกันและรู้เท่าทันโลก รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่าง รวดเร็ว 5. การเสริมสร้างคุณภาพคน เน้นให้มีความซื่อสัตย์สุจริต มิตรไมตรี เอื้ออาทร มีความ เพียร มีวินัย มีสติ ไม่ประมาท พัฒนาปัญญาและความรู้อย่างต่อเนื่อง สมพร เทพสิทธา (2548, หน้า 33-34) ได้อธิบายถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ สอดคล้องกับเศรษฐศาสตร์แนวพุทธ
ห น ้ า | 19 ของ (Schumacher) นักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้กล่าวว่า “สัมมาอาชีวะ” ซึ่งเป็นธรรมข้อหนึ่งในมรรค แปดของพระพุทธเจ้าเป็นเศรษฐศาสตร์แนวพุทธ นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ส่งเสริมให้มนุษย์มีมาตรฐาน การครอบชีพที่สูงโดยวัดจากจำนวนการบริโภคและ ถือว่าผู้ที่บริโภคมากจะ “อยู่ดีกินดี” กว่าผู้บริโภคน้อย แต่นักเศรษฐศาสตร์แนวพุทธมีความเห็นว่า การบริโภคเป็นเพียงมรรคที่จะนำมาซึ่งความอยู่ดีกินดี ดังนั้น จุดมุ่งหมายน่าจะอยู่ที่การทำให้การกินดีอยู่ดีมากที่สุด โดยการบริโภคให้น้อยที่สุด หัวใจของเศรษฐศาสตร์ แนวพุทธ คือ ความเรียบง่าย อหิสาธรรม และทางสายกลาง สมพร เทพสิทธา (2548, หน้า 36-37) ได้อธิบายถึง “เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ” ของพระธรรมปิฎก (ประยุทธ ปยุตโต) ว่าเศรษฐศาสตร์แนวพุทธ มีลักษณะเป็นสายกลางอาจจะเรียกว่า เศรษฐศาสตร์สายกลางหรือเศรษฐศาสตร์มัชฌิมาปฏิปทา ที่ว่าเป็น สายกลางเป็นมัชฌิมา คือ มีความพอดี พอประมาณ ได้ดุลยภาพ ความพอดี คือ จุดที่คุณภาพชีวิตกับความพึง พอใจมาบรรจบกัน หมายความว่า เป็นการได้รับความพึงพอใจด้วยการตอบสนองความต้องการของคุณภาพ ชีวิต ตัวกำหนด เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ คือ มัตตัญญุตา ความรู้จักพอประมาณ รู้จักพอประมาณ รู้จักพอดี ในการบริโภค หมายถึง ความพอดี ให้คุณภาพของชีวิตมาบรรจบกับความพึงพอใจ จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา (2550ค) ได้อธิบายถึง การประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กับการบริหารเศรษฐกิจได้แยกออกเป็น 4 ส่วน คือ การพัฒนาคนของประเทศไทยคิดแบบเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงในภาคปฏิบัติและเศรษฐกิจพอเพียงกับหนทางข้างหน้าในเนื้อหาสำคัญส่วนหนึ่ง ของเศรษฐกิจพอเพียงในภาคปฏิบัติ ได้ระบุไว้ว่านักเศรษฐศาสตร์แสดงให้เห็นเช่นกันว่า หลักการของเศรษฐกิจ พอเพียงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการบริหารเศรษฐกิจ การออกแบบนโยบายและการวางแผนการพัฒนา ประเทศได้ ในช่วงการฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 หลักการของเศรษฐกิจ พอเพียง ในเรื่องการ สร้างภูมิคุ้มกันจากผลกระทบทำให้เกิดมาตรการและเครื่องมือในการจัดการกับความเสี่ยงและความผันผวน ในระบบเศรษฐกิจมหภาคขึ้นหลายอย่าง การจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ก็ยึด แนวทางของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางหลักที่ให้คนเป็นเป้าหมายหลักของการพัฒนา และมีแนวคิด ที่จะทบทวนวิธีการใช้ทรัพยากรและงบประมาณทั้งหมดของประเทศ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่มีความสมดุล ความยั่งยืน และการเติบโตที่เสมอภาคยิ่งขึ้นผลสำเร็จระยะยาวของการพัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่าแนวคิดนี้จะสามารถซึมลึกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประเทศได้มากน้อย เพียงใด ขณะที่ส่วนท้ายสุด คือ เศรษฐกิจพอเพียงกับหนทางข้างหน้า ได้มีข้อเสนอแนะ 6 ประการ ในการ ขับเคลื่อนการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ 1. เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่มีความสำคัญยิ่งสำหรับการขจัดความยากจน และการลด ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจของคนจน 2. ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นพื้นฐานของการสร้างพลังอำนาจของชุมชนและการ พัฒนา ศักยภาพชุมชนให้เข้มแข็งเพื่อเป็นฐานรากของการพัฒนาประเทศ 3. ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงช่วยยกระดับความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท ด้วยการ สร้างข้อปฏิบัติในการทำธุรกิจที่เน้นผลกำไรระยะยาวในบริบทที่มีการแข่งขัน 4. หลักการเศรษฐกิจพอเพียงจะมีความสำคัญต่อการปรับปรุงมาตรฐานของหลักธรรมาภิบาล ในการบริหารงานภาครัฐ 5. ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสามารถใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายของชาติเพื่อสร้าง ภูมิคุ้มกันต่อสถานการณ์ที่เข้ามากระทบโดยฉับพลัน และเพื่อปรับปรุงนโยบายต่าง ๆ ให้เหมาะสม 6. ในการปลูกฝังจิตสำนึกพอเพียงจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนค่านิยมและความคิดของคน เพื่อให้เอื้อต่อการพัฒนาคน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อาจจะไม่เห็นภาพ ชัดเจนในห้วงเวลา อันใกล้นี้ เพราะจะต้องเริ่มตั้งแต่การสร้างและปรับเปลี่ยนทัศนคติของคนให้
ห น ้ า | 20 เกิดความพอเพียง ให้เกิดการสานต่ออย่างสม่ำเสมอและแนวทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีความลึกซึ้ง มากกว่าแนวทางการพัฒนาทั่วไป เนื่องจากมีการเชื่อมโยงเรื่องการพัฒนาที่เน้นเรื่องคนเป็นเป้าหมาย เกษม วัฒนชัย(2550ค, หน้า 123) ได้อธิบายถึง ในขณะนี้ประเทศชาติมีการเปลี่ยนแปลงมาก ดังนั้น การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำมาใช้อย่างรู้เท่าทันและอย่างฉลาด ใช้ เพราะภาวะหลายอย่างของประเทศขณะนี้ มีปัญหาในหลายด้านโดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง สังคม หากประชาชนนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ก็จะอยู่ได้อย่างมีความสุข และวันนี้หลายคน ยังมีความเข้าใจผิดเรื่อง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็นแนวคิดที่ต่อต้านโลกาภิวัตน์ แต่ในความเป็นจริง แล้วปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับครอบครัวไปจนถึงประเทศ เพื่อรองรับ การเปลี่ยนแปลง โดยยึดหลักสายกลาง ประหยัด อดออม ซึ่งทุกประเทศสามารถนำไปใช้ได้ ทัศนคติ มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า Aptus แปลว่า โน้มเอียง ซึ่งนักวิชาการแต่ละท่านได้ให้ ความหมายของทัศนคติ ไว้อย่างแตกต่างกันตามทรรศนะของตน ดังนี้ ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร (2545: 138) ให้ความหมายของทัศนคติไว้ว่า ทัศนคติคือ สภาวะความ พร้อมทางจิตที่เกี่ยวข้องกับความคิดความรู้สึกและแนวโน้มของพฤติกรรมบุคคลที่มีต่อบุคคล สิ่งของ สถานการณ์ ต่าง ๆ ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งและสภาวะความพร้อมทางจิตนี้จะต้องอยู่นานพอสมควร สร้อยตระกูล (ติวยานนท์) อรรถมานะ (2541: 64) ให้ความหมายของทัศนคติไว้ ว่า ทัศนคติคือ ผลผสมผสานระหว่างความนึกคิด ความเชื่อความคิดเห็น ความรู้และความรู้สึกของบุคคลที่มี ต่อ สิ่งหนึ่งสิ่งใดคนใดคนหนึ่งสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง ๆ ซึ่งออกมาในทางประเมินค่าอันอาจเป็นไป ในทางยอมรับหรือปฎิเสธก็ได้และความรู้สึกเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งขึ้น พงศ์ หรดาล (2540: 42) ให้ความหมายของทัศนคติไว้ว่า ทัศนคติคือ ความรู้สึกท่าที ความคิดเห็นและพฤติกรรมของคนงานที่มีต่อเพื่อนร่วมงานผู้บริหาร กลุ่มคน องค์กรหรือสภาพแวดล้อมอื่นๆ โดยการแสดงออกในลักษณะของความรู้สึกหรือท่าทีในทางยอมรับหรือปฎิเสธ Newstrom และ Devis (2002: 207) ให้ความหมายของทัศนคติไว้ว่า ทัศนคติคือความรู้สึก หรือความเชื่อซึ่งส่วนใหญ่ใช้ตัดสินว่าพนักงานรับรู้สภาวะแวดล้อมของพวกเค้าอย่างไร และผูกพันกับการกระทำ ของพวกเค้าหรือมีแนวโน้มของการกระทำอย่างไร และสุดท้ายมีพฤติกรรมอย่างไร Hornby, A S . (2001: 62) “Oxford Advanced Learner's Dictionary of Current English”ให้ความหมายของทัศนคติไว้ว่า ทัศนคติคือ วิถีทางที่คุณคิดหรือรู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือคนใด คนหนึ่งและวิถีทางที่คุณประพฤติต่อใครหรือคนใดคนหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่าคุณคิดหรือรู้สึกอย่างไร Gibson (2000: 102) ให้ความหมายของทัศนคติไว้ว่า ทัศนคติคือ ตัวตัดสินพฤติกรรมเป็นความรู้สึก เชิงบวกหรือเชิงลบเป็นสภาวะจิตใจในการพร้อมที่จะส่งผลกระทบต่อการตอบสนองของบุคคลนั้น ๆ ต่อบุคคลอื่น ๆ ต่อวัตถุหรือต่อสถานการณ์ โดยที่ทัศนคตินี้สามารถเรียนรู้หรือจัดการได้โดยใช้ประสบการณ์ Schermerhorn (2000: 75) ให้ความหมายของทัศนคติไว้ว่า ทัศนคติคือ การวาง แนวความคิดความรู้สึก ให้ตอบสนองในเชิงบวกหรือเชิงลบต่อคนหรือต่อสิ่งของในสภาวะแวดล้อมของบุคคล นั้นๆ และทัศนคตินั้นสามารถที่จะรู้หรือถูกตีความได้จากสิ่งที่คนพูดออกมาอย่างไม่เป็นทางการ หรือจากการ สำรวจที่เป็นทางการ หรือจากพฤติกรรมของบุคคลเหล่านั้น จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้น อาจสรุปได้ว่า ทัศนคติ หมายถึง ความรู้สึก ความคิด หรือความเชื่อและแนวโน้มที่จะแสดงออกซึ่งพฤติกรรมของบุคคล เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบโดยการประมาณค่าว่า ชอบหรือไม่ชอบส่งผลกระทบต่อการตอบสนองของบุคคลในเชิงบวกหรือเชิงลบต่อบุคคล สิ่งของ
ห น ้ า | 21 และสถานการณ์ในสภาวะแวดล้อมของบุคคลนั้นๆ โดยที่ทัศนคตินี้สามารถเรียนรู้หรือจัดการได้โดยใช้ ประสบการณ์และทัศนคตินั้นสามารถที่จะรู้ หรือถูกตีความได้จากสิ่งที่คนพูดออกมาอย่างไม่เป็นทางการ หรือจากการสำรวจที่เป็นทางการ หรือจากพฤติกรรมของบุคคลเหล่านั้น ลักษณะของทัศนคติเนื่องจากว่านักจิตวิทยาได้ศึกษาในความหมายที่แตกต่างกัน ดังนั้น จึงควรกล่าวถึงลักษณะรวม ๆ ของทัศนคติที่ทำให้เกิดความเข้าใจทัศนคติให้ดีขึ้น (ศักดิ์ไทย, 2545: 138) ซึ่งลักษณะของทัศนคติ สรุปได้ดังนี้ 1. ทัศนคติเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ 2. ทัศนคติมีลักษณะที่คงทนถาวรอยู่นานพอสมควร 3. ทัศนคติมีลักษณะของการประเมินค่าอยู่ในตัว คือ บอกลักษณะดี – ไม่ดีชอบ – ไม่ชอบ เป็นต้น 4. ทัศนคติทำให้บุคคลที่เป็นเจ้าของพร้อมที่จะตอบสนองต่อที่หมายของทัศนคติ 5. ทัศนคติบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับบุคคล บุคคลกับสิ่งของและบุคคล กับสถานการณ์ องค์ประกอบของทัศนคติ จากการตรวจเอกสารเกี่ยวกับองค์ประกอบของทัศนคติพบว่า มีผู้เสนอความคิดไว้ 3 แบบ คือ ทัศนคติแบบ 3 องค์ประกอบ/ทัศนคติแบบ 2 องค์ประกอบ และทัศนคติแบบ 1 องค์ประกอบ (ธีระพร, 2528: 162 - 163) ดังนี้ 1. ทัศนคติมี 3 องค์ประกอบ แนวคิดนี้จะระบุว่าทัศนคติมี3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) องค์ประกอบด้านปัญญา (Cognitive Component) ประกอบด้วยความเชื่อความรู้ความคิด และความคิดเห็น 2) องค์ประกอบด้านอารมณ์ ความรู้สึก (Affective Component) หมายถึงความรู้สึกชอบ - ไม่ ชอบ หรือท่าทางที่ดี –ไม่ดี 3) องค์ประกอบด้านพฤติกรรม (Behavioral Component) หมายถึง แนวโน้มหรือความพร้อม ที่บุคคลจะปฏิบัติ มีนักจิตวิทยาที่สนับสนุนการแบ่งทัศนคติออกเป็น 3 องค์ประกอบ ได้แก่ Kretch, Crutchfield , Pallachey (1962) และ Triandis (1971) 2. ทัศนคติมี 2 องค์ประกอบ แนวคิดนี้จะระบุว่าทัศนคติมี2 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) องค์ประกอบ ด้านปัญญา (Cognitive Component) 2) องค์ประกอบด้านอารมณ์ ความรู้สึก (Affective Component) มีนักจิตวิทยาที่สนับสนุนการแบ่งทัศนคติออกเป็น 2 องค์ประกอบ ได้แก่ Katz (1950) และ Rosenberg (1956, 1960, 1965) 3. ทัศนคติมีองค์ประกอบเดียว แนวคิดนี้จะระบุว่า ทัศนคติมีองค์ประกอบเดียว คือ อารมณ์ ความรู้สึกในทางชอบหรือไม่ชอบที่บุคคลมีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด นักจิตวิทยาที่สนับสนุนแนวคิดนี้ ได้แก่ Bem (1970) Fishbein และ Ajzen (1975) Insko (1976) Sharon และ Saul (1996: 370) กล่าวว่า ทัศนคติ ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ดังนี้ 1. องค์ประกอบด้าน ความรู้ ความเข้าใจ (Cognitive Component) หมายถึง ความเชื่อ เชิงการประเมินเป้าหมาย โดยอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ จินตนาการ และการจำ 2. องค์ประกอบด้านอารมณ์ ความรู้สึก (Affective Component) หมายถึง ความรู้สึก ในทางบวกหรือลบ หรือทั้งบวกและลบต่อเป้าหมาย 3. องค์ประกอบด้านพฤติกรรม (Behavioral Component) หมายถึง แนวโน้ม ของพฤติกรรม หรือ แนวโน้มของการแสดงออกต่อเป้าหมาย
ห น ้ า | 22 Gibson (2000: 103) กล่าวว่า ทัศนคติเป็นส่วนที่ยึดติดแน่นกับบุคลิกภาพของบุคคล เราซึ่งบุคคลเราจะมีทัศนคติที่เป็นโครงสร้างอยู่แล้วทางด้านความรู้สึก ความเชื่อ อันใดอันหนึ่ง โดยที่ องค์ประกอบนี้จะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ซึ่งหมายความว่า การเปลี่ยนแปลงในองค์ประกอบหนึ่งทำให้ เกิดความเปลี่ยนแปลงในอีกองค์ประกอบหนึ่งซึ่งทัศนคติ3 องค์ประกอบ มีดังนี้ 1. ความรู้สึก (Affective) องค์ประกอบด้านอารมณ์หรือความรู้สึกของทัศนคติคือ การได้รับ การถ่ายทอดการเรียนรู้มาจากพ่อ แม่ครู หรือกลุ่มของเพื่อนๆ 2. ความรู้ ความเข้าใจ (Cognitive) องค์ประกอบด้านความรู้ความเข้าใจของทัศนคติ จะประกอบด้วย การรับรู้ของบุคคล ความคิดเห็น และความเชื่อของบุคคล หมายถึง กระบวนการคิด ซึ่งเน้นไป ที่การใช้เหตุผลและตรรกะ องค์ประกอบที่สำคัญของความรู้ ความเข้าใจ คือ ความเชื่อในการประเมินผล หรือความเชื่อที่ถูกประเมินผลไว้แล้วโดยตัวเองประเมินซึ่งความเชื่อเหล่านี้จะแสดงออกมาจากความประทับใจ ในการชอบหรือไม่ชอบซึ่งบุคคลเหล่านั้นรู้สึกต่อสิ่งของหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง 3. พฤติกรรม (Behavioral ) องค์ประกอบด้านความรู้ความเข้าใจของทัศนคติจะ หมายถึง แนวโน้มหรือความตั้งใจ (intention) ของคนที่จะแสดงบางสิ่งบางอย่างหรือที่จะกระทำ (ประพฤติ) บางสิ่ง บางอย่างต่อคนใดคนหนึ่ง สิ่งใดสิ่งหนึ่งในทางใดทางหนึ่ง เช่น เป็นมิตรให้ความอบอุ่น ก้าวร้าว เป็นศัตรู เป็นต้นโดยที่ความตั้งใจนี้อาจจะถูกวัดหรือประเมินออกมาได้จากการพิจารณาองค์ประกอบทางด้านพฤติกรรม ของทัศนคติ Schermerhorn (2000: 76) กล่าวว่า ทัศนคติประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ดังนี้ 1. องค์ประกอบด้าน ความรู้ ความเข้าใจ (Cognitive Component) คือ ทัศนคติที่จะสะท้อน ให้เห็นถึงความเชื่อ ความคิดเห็น ความรู้และข้อมูลที่บุคคลคนหนึ่งมีซึ่งความเชื่อจะแสดงให้เห็นถึงความคิด ของคนหรือสิ่งของและข้อสรุปที่บุคคลได้มีต่อบุคคลหรือสิ่งของนั้นๆ เช่น งานของฉันขาดความรับผิดชอบ เป็นต้น 2. องค์ประกอบด้านอารมณ์ ความรู้สึก (Affective Component) คือ ความรู้สึกเฉพาะอย่าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลกระทบส่วนบุคคล ซึ่งได้จากสิ่งเร้าหรือสิ่งที่เกิดก่อนทำให้เกิดทัศนคตินั้นๆ เช่น ฉันไม่ชอบ งานของฉันเป็นต้น 3. องค์ประกอบด้านพฤติกรรม (Behavioral Component) คือ ความตั้งใจที่จะประพฤติ ในทางใดทางหนึ่ง โดยมีรากฐานมาจากความรู้สึกเฉพาะเจาะจงของบุคคลหรือทัศนคติของบุคคล เช่น ฉันกำลัง ไปทำงานของฉันเป็นต้น Katz ( อ้างถึงใน Loudon และ Della Bitta,1993: 425) ได้กล่าวถึงหน้าที่ของทัศนคติ ที่สำคัญ 4 ประการ ดังนี้ 1. หน้าที่ในการปรับตัว (Adjustment function) ทัศนคติช่วยให้เราปรับตัวเข้าหาสิ่งที่ทำ ให้ได้รับความพึงพอใจหรือได้รางวัลขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงต่อสิ่งที่ไม่ปรารถนาไม่พอใจหรือให้โทษนั่น คือยึดแนวทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด และหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นโทษให้เกิดน้อยที่สุด ซึ่งช่วย ในการปรับตัวของแต่ละบุคคลให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นเกิดความพอใจ คือ เมื่อเรา เคยมีประสบการณ์ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาก่อนและเราได้ประสบกับสิ่งนั้นอีก เราจะพัฒนาการตอบสนองของเรา ในทิศทางที่เราต้องการ 2. หน้าที่ในการป้องกันตน (Ego – defensive function) ทัศนคติช่วยปกป้องภาพลักษณ์ แห่งตน (ego or self-image) ต่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ และแสดงออกมาเป็นกลไกที่ป้องกัน ตนเองใช้ในการปกป้องตัวเองโดยการสร้างความนิยมนับถือตนเองหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ไม่พอใจ หรือสร้างทัศนคติ ขึ้นมาเพื่อรักษาหน้า
ห น ้ า | 23 3. หน้าที่ในการแสดงออกของค่านิยม (Value expressive function) ในขณะที่ทัศนคติ ที่ปกป้องตนเองได้สร้างขึ้นเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของตนเองหรือเพื่อปิดบังทัศนคติที่แท้จริงไม่ให้ปรากฎ แต่ทัศนคติที่ทำหน้าที่แสดงออกถึงค่านิยมจะพยายามแสดงลักษณะที่แท้จริงของตนเองทำหน้าที่ให้บุคคลแสดง ค่านิยมของตนเองเป็นการแสดงออกทางทัศนคติที่จะสร้างความพอใจให้กับบุคคลที่แสดงทัศนคตินั้นออกมา เพราะเป็นการแสดงค่านิยมพื้นฐานที่แต่ละบุคคลพอใจ 4. หน้าที่ในการแสดงออกถึงความรู้ (Knowledge function) มนุษย์ต้องการเกี่ยวข้อง กับวัตถุต่างๆรอบข้าง ดังนั้นจึงต้องแสวงหาความมั่นคง ความหมาย ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น ทัศนคติ จะเป็นสิ่งที่ใช้ประเมิน และทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม และเป็นมาตรฐานเพื่อเปรียบเทียบ หรือเป็น ขอบเขตแนวทางสำหรับอ้างอิงเพื่อหาทางเข้าใจให้สามารถเข้าใจโลกและสิ่งแวดล้อมได้ง่ายๆขึ้น เพราะคนเรา ได้รับรู้แล้วครั้งหนึ่งก็จะเก็บประสบการณ์เหล่านั้นๆ ไว้เป็นส่วนๆ เมื่อเจอสิ่งใหม่จะนำประสบการณ์ที่มีอยู่เดิม มาเป็นกรอบอ้างอิงว่าสิ่งใดควรรับรู้สิ่งใดควรหลีกเลี่ยงซึ่งทัศนคติช่วยให้คนเราเข้าใจสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบตัว เรา โดยเราสามารถตีความหรือประเมินค่าสิ่งที่อยู่รอบตัวเราได้ ประเภทของทัศนคติ การแสดงออกทางทัศนคติสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท (ดารณี, 2542: 43) คือ 1. ทัศนคติในทางบวก (Positive Attitude) คือ ความรู้สึกต่อสิ่งแวดล้อมในทางที่ดี หรือยอมรับความพอใจ เช่น นักศึกษาที่มีทัศนคติที่ดีต่อการโฆษณา เพราะวิชาการโฆษณาเป็นการให้บุคคลได้ มีอิสระทางความคิด 2. ทัศนคติในทางลบ (Negative Attitude) คือ การแสดงออกหรือความรู้สึกต่อสิ่งแวดล้อม ในทางที่ไม่พอใจ ไม่ดีไม่ยอมรับ ไม่เห็นด้วย เช่น นิดไม่ชอบคนเลี้ยงสัตว์ เพราะเห็นว่าทารุณสัตว์ 3. การไม่แสดงออกทางทัศนคติหรือมีทัศนคติเฉยๆ (Negative Attitude) คือ มีทัศนคติ เป็นกลางอาจจะเพราะว่าไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ หรือในเรื่องนั้นๆ เราไม่มีแนวโน้มทัศนคติอยู่เดิม หรือไม่มีแนวโน้มทางความรู้ในเรื่องนั้นๆ มาก่อน เช่น เรามีทัศนคติที่เป็นกลางต่อตู้ไมโครเวฟ เพราะเราไม่มี ความรู้เกี่ยวกับโทษหรือคุณของตู้ไมโครเวฟมาก่อน การก่อตัวของทัศนคติ(The Formation of Attitude) การเกิดทัศนคติแต่ละประเภทนั้น จะก่อตัวขึ้นมาและเปลี่ยนแปลงไปได้เนื่องจากปัจจัยหลายประการด้วยกันซึ่งในความเป็นจริงปัจจัยต่าง ๆ ของการก่อตัวของทัศนคติไม่ได้มีการเรียงลำดับตามความสำคัญแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะแต่ละปัจจัย มีความสำคัญมากกว่าขึ้นอยู่กับการอ้างอิงเพื่อก่อตัวเป็นทัศนคตินั้น บุคคลดังกล่าวได้เกี่ยวข้องกับสิ่งของ หรือแนวความคิดที่มีลักษณะแตกต่างกันไปอย่างไร ซึ่ง Newsom และ Carrell ได้กล่าวถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิด ทัศนคติและอธิบายว่าการเกิดทัศนคติประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1. พื้นฐานของแต่ละบุคคลหรือเบื้องหลังทางประวัติศาสตร์ (Historical Setting) หมายถึง ลักษณะทางด้านชีวประวัติของแต่ละคน ได้แก่ สถานที่เกิด/สถานที่เจริญเติบโต/สถานภาพทางเศรษฐกิจ/ สังคมและการเมืองที่ผ่านมาจะเป็นตัวหล่อหลอมบุคลิกภาพของบุคคลและเป็นปัจจัยนำไปสู่การเกิดทัศนคติ ของคน 2. สิ่งแวดล้อมทางสังคม (Social environment) ได้แก่ การปฎิสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีต่อกัน และกัน เช่น การเปิดรับข่าวสารกลุ่มและบรรทัดฐานของกลุ่มสภาพการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับบุคคล และประสบการณ์ 3.กระบวนการสร้างบุคลิกภาพ (Personality Process) และสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อ(Predispositions) เป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานในการสร้างทัศนคติของแต่ละบุคคลได้แก่ความคิดเห็น
ห น ้ า | 24 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ฮานานมูฮิบบะตุดดีน นอจิ/นำชัย ศุภฤกษ์ชัยสกุลและคณะ (2561 บทคัดย่อ) ทำการศึกษา วิจัยเรื่อง ความเที่ยงตรงของโครงสร้างองค์ประกอบและแบบจำลอง ความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างการมองเชิง บวกทางวิชาการ ของครูในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จังหวัดชายแดนใต้พบว่า การมองเชิงบวก ทางวิชาการของครูได้รับอิทธิพลทางตรงจากมุมมองเกี่ยวกับเวลา มุมมองการจัดการเรียนการสอน แรงจูงใจ ของนักเรียนและการสนับสนุนจากชุมชน และพบว่าตัวแปรที่ได้รับอิทธิพลจากการมองเชิงบวกทางวิชาการ ของครูได้แก่ ความยึดมั่นผูกพันในวิชาชีพ ความตั้งใจคงอยู่ในวิชาชีพ พฤติกรรมการทำงานและพฤติกรรม การเป็นสมาชิกที่ดีขององค์การ รสสุคนธ์แสงมณี/จงรัก พลาศัย และคณะ (2556,บทคัดย่อ) ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง ประเมินผลการดำาเนินงานเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบ อันเนื่องจากเหตุการณ์ ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ : กรณีจังหวัดนราธิวาส พบว่า ผู้ได้รับความเสียหายฯ พึงพอใจต่อการ ปฏิบัติงานด้านเยียวยาและต่อรูปแบบการช่วยเหลือ เยียวยาในระดับปานกลาง พึงพอใจต่อการดูแลของรัฐ ในระดับมาก จุดอ่อนของการเยียวยาคือ หลักเกณฑ์การเยียวยายัง ไม่ครอบคลุมทุกกลุ่ม ขาดการวิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลการดำาเนินงานเยียวยาเพื่อนำไปสู่การวางแผนเยียวยาอย่างเป็นระบบ จุดแข็งคือ ผู้ได้รับ ความเสียหายฯมีทัศนะเชิงบวกต่อการเยียวยา และมีการตั้งเครือข่ายเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ดูแลซึ่งกันและกัน ปัญหาและอุปสรรคคือหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยาที่ไม่เท่ากันทำาให้เกิดความแตกแยก การทำงานเยียวยา ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน พระมหาประเวช สมสมัย (2552,บทคัดย่อ) การศึกษาเรื่อง “การบริหารจัดการสวัสดิการ ด้านการศึกษาแก่เด็กกำพร้าและยากจนในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าและยากจนวัดสระแก้วจังหวัดอ่างทอง” เพื่อศึกษา การจัดสวัสดิการด้านการศึกษาแก่เด็กกำพร้าและยากจนในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าและยากจน วัดสระแก้ว ปัญหาอุปสรรคและความต้องการในการจัดสวัสดิการด้านการศึกษาในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า และยากจนวัดสระแก้ว วิธีการศึกษาดำเนินการโดยการเก็บรวบรวมข้อมูล จากเอกสารการวิจัยและภาคสนาม ประชากรที่ใช้ในการศึกษามี 3 กลุ่ม คือ กลุ่มตัวอย่างที่เป็นเด็กนักเรียนจำนวน 188 คน และกลุ่มครู / เจ้าหน้าที่จำนวน 88 คน และการสัมภาษณ์ผู้บริหารโรงเรียนจำนวน 5 คน ได้แก่ เจ้าอาวาสวัดสระแก้ว ผู้จัดการโรงเรียน ผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียน และหัวหน้าธุรการ โดยมีแนวคำถาม ประกอบการสัมภาษณ์ พบว่า การจัดสวัสดิการด้านการศึกษามีรูปแบบที่หลากหลาย ที่สำคัญ ดังนี้ 1. จัดการศึกษาสงเคราะห์ให้อยู่ประจำโรงเรียนรัฐบาลจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหาร เสื้อผ้า วัสดุการศึกษา ส่วนค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสถานสงเคราะห์บริการให้2. จัดการศึกษาสงเคราะห์ในลักษณะไป-กลับ เหมือนโรงเรียนปกติทั่วไปแก่เด็กยากจนที่ไม่ได้อยู่ในสถานสงเคราะห์ที่เข้าไปเรียนในโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ แต่จัดบริการอาหาร กลางวัน หนังสือ วัสดุการศึกษา และบริการเสริมต่าง ๆ 3. จัดกิจกรรมการฝึกอาชีพ ให้เด็กในสถานสงเคราะห์4. ส่วนบริการต่าง ๆ เช่น 1) บริการทั่วไป ได้แก่ มีที่อยู่อาศัย มีอาหารเลี้ยงเด็กวัน ละ 3 มื้อทุกวัน มีเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตที่สถานสงเคราะห์จัดให้และเสื้อผ้าที่ได้รับ บริจาค และมีการดูแลพื้นฐานในด้านสุขภาพทั่วไป 2) บริการการรักษาพยาบาล ได้แก่ บริการตรวจสุขภาพ ประจำปี บริการฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก บริการตรวจสุขภาพฟัน บริการให้การรักษาพยาบาล เด็กที่เจ็บป่วยภายในสถานสงเคราะห์โดยมีห้องรักษาพยาบาลและเจ้าหน้าที่ประจำและการจัดส่งเด็กเข้ารับการ รักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลภายนอกสถานสงเคราะห์ 3) ด้านสังคมสงเคราะห์ได้แก่ การให้บริการให้ คำปรึกษาด้านการศึกษาด้านอาชีพและอื่น ๆ
ห น ้ า | 25 ผลการศึกษาเด็กนักเรียน พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 53.7 เพศหญิง ร้อยละ 46.3 สาเหตุการเข้ารับการอุปการะในสถานสงเคราะห์ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากความยากจน มีระยะเวลาอยู่ในสถาน สงเคราะห์ 1-3 ปี โดยกลุ่มตัวอย่างมีระดับความคิดเห็นในด้านบริการทั่วไปในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง คือ มีความพอใจกับเสื้อผ้าที่ได้รับจากการบริจาคมากที่สุด มีความเห็นว่าอาหารที่รับประทานมีความสะอาด อยู่ในระดับปานกลางที่ค่อนข้างต่ำ ด้านครู/เจ้าหน้าที่โดยภาพรวมความเห็นอยู่ในระดับมาก คือ ให้การดูแล เอาใจใส่และให้คำแนะนำปรึกษาเมื่อเด็กมีปัญหา ด้านการรักษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างให้ความคิดเห็น ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยเห็นว่า เมื่อเด็กเจ็บป่วยมากจะถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาล ภายนอก อย่างเหมาะสมอยู่ในระดับมาก แต่การบริการรักษาโรคผิวหนัง พบว่า ความเห็นอยู่ในระดับปานกลางที่ต่ำ ด้านการฝึกอาชีพ กลุ่มตัวอย่าง ให้ความเห็นอยู่ในระดับมาก คือ การฝึกอาชีพที่สถานสงเคราะห์จัดให้ เป็นประโยชน์ต่อนักเรียนในชีวิตจริง ด้านสันทนาการมีการจัด กิจกรรมตามวันหยุดตามประเพณีอยู่ในระดับ มาก แต่มีการจัดทัศนศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนตามความสนใจ อยู่ในระดับปานกลางที่ค่อนข้างต่ำ ผลการศึกษา ความต้องการต่อสวัสดิการด้านการศึกษาของเด็กกลุ่มตัวอย่างด้านทั่วไป พบว่า เด็กส่วนใหญ่ต้องการเงิน ทุนการศึกษาจนจบหลักสูตร จำนวนร้อยละ 59.6 รองลงมา ต้องการบริการจัดหางานระหว่างเรียนเพื่อหาเงิน มาเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนจำนวนร้อยละ 47.3 ด้านการศึกษา กลุ่มตัวอย่างมีความต้องการโดยภาพรวม ทั้งหมดอยู่ในระดับมาก คือต้องการบริการแนะแนวการศึกษาต่อด้านอาชีพ จำนวนร้อยละ 61.2 รองลงมา คือต้องการศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและ/หรืออาชีวะ(ปวช./ปวส.) จำนวนร้อยละ 59.6 ด้านสุขภาพกลุ่มตัวอย่างมีความต้องการโดยภาพรวมทั้งหมดอยู่ในระดับมาก คือ ต้องการการส่งตัวไป โรงพยาบาล ทันทีเมื่อเจ็บป่วยรุนแรง จำนวนร้อยละ 73.9 รองลงมาคือต้องการการจัดกิจกรรมที่สอน หรือ ส่งเสริมให้เด็กใส่ใจในสุขภาพ ของตนเอง จำนวนร้อยละ 59.0 ด้านสันทนาการ กลุ่มตัวอย่าง มีความต้องการโดยภาพรวมทั้งหมดอยู่ในระดับมาก คือต้องการการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ค่ายพักแรม และงานปีใหม่ เป็นต้น จำนวนร้อยละ 70.2 รองลงมาคือต้องการบริการทัศนศึกษานอกสถานที่ จำนวน ร้อยละ 68.6 ผลการศึกษาส่วนครู/เจ้าหน้าที่ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 62.5 เพศชาย ร้อยละ 37.5 มีอายุระหว่าง 31-40 ปีมากที่สุด จำนวนร้อยละ 37.5 รองลงมาคือมีอายุระหว่าง41-50 ปี จำนวนร้อยละ 36.4 รับผิดชอบด้านการสอนมากที่สุด ผลการศึกษาความคิดเห็นของครู/เจ้าหน้าทีต่อการจัด สวัสดิการด้านการศึกษาแก่เด็กกำพร้าและยากจน พบว่า ครู/เจ้าหน้าที่มีความคิดเห็นโดยภาพรวมอยู่ในระดับ มาก คือ การบริหารจัดการมีคณะกรรมการมูลนิธิร่วมกับคณะกรรมการโรงเรียนเป็นผู้รับผิดชอบ ด้านการบริหารงาน ความคิดเห็นโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก คือ มีการวางแผนการดำเนินงานประจำปีมาก ที่สุดส่วนมีการวางแผนเพื่อปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องอย่างมีส่วนร่วม พบว่า ความเห็น อยู่ในระดับปานกลาง และในด้านการมีส่วนร่วม พบว่า พ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการจัดการด้านการศึกษา อยู่ในระดับปานกลางที่ค่อนข้างต่ำ ด้านงบประมาณโดยภาพรวม ความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก คือ มีการ ตรวจสอบการใช้จ่าย ประจำเดือน-ปี มีการจัดทำแผนการใช้จ่ายประจำเดือน-ปี มีการจัดสรรงบประมาณที่มี ความ โปร่งใส มีคณะกรรมการตรวจสอบภายในกำกับติดตามและรายงานผล ด้านการพัฒนาการศึกษาของเด็ก โดยภาพรวมความเห็นอยู่ในระดับมาก แต่พบว่า มีการจัดตั้งกองทุนศึกษาสงเคราะห์สำหรับนักเรียน อย่างเหมาะสม อยู่ในระดับปานกลางที่ค่อนข้างต่ำ ด้านการรักษาพยาบาล โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก คือ มีบริการจัดส่งเด็กเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลภายนอก ส่วนการบริการตรวจสุขภาพประจำปี และบริการตรวจสุขภาพฟัน มีความเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ผลการศึกษาปัญหาอุปสรรคในการจัดสวัสดิการ ด้านการศึกษา พบว่า ครูมีภาระหน้าที่รับผิดชอบหลายด้าน ครูบางคนไม่มีวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาตรี และยังไม่มีใบประกอบวิชาชีพครู ส่วนงบประมาณ เนื่องจากประสบกับปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ และเกิด
ห น ้ า | 26 ความขัดแย้งภายในองค์กรทำให้ชุมชนและสังคมลดการบริจาคลงไป ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งนี้ สถานสงเคราะห์ควรมีการตรวจสอบเรื่องอาหารที่เด็ก รับประทานให้มีความสะอาดมากขึ้น ควรเพิ่มการตรวจ รักษาโรคผิวหนังให้กับเด็กในสถาน สงเคราะห์มากขึ้น ควรเพิ่มบริการให้คำปรึกษาในเรื่องการประกอบอาชีพ ให้เด็กสามารถหางานทำได้ตรงกับความต้องการและความถนัดและเพิ่มบริการจัดหางานให้เด็กทำในช่วงปิด ภาคเรียน ควรจัดทำหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของเด็กนักเรียนและความต้องการของตลาดแรงงาน และเป็นหลักสูตรที่มีใบรับรองการฝึกวิชาชีพจากหน่วยงานราชการ เพื่อให้เด็กนักเรียนที่จบออกจากสถาน สงเคราะห์ได้นำไปสมัครงานและประกอบวิชาชีพได้ดียิ่งขึ้น ควรแบ่งงานของครูและเจ้าหน้าที่ให้มีความชัดเจน ในเรื่องการสอนและการดูแลเด็กในสถานสงเคราะห์ เพื่อให้ครูได้เตรียมความพร้อมด้านวิชาการในการสอนให้มี ประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ภัทรปภา จารุธีรากุล (บทคัดย่อ,๒๕๕๗) ได้ทำการศึกษา แนวทางการพัฒนาการสนับสนุน ทางสังคมสำหรับเด็กกำพร้าในครอบอุปถัมภ์ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ ๗๘.๓ มีการเลี้ยงดูเด็ก กำพร้าในแบบที่เหมาะสม และร้อยละ ๒๑.๗ มีการเลี้ยงเด็กกำพร้าในแบบที่ไม่เหมาะสม ด้านปัญหาในการ เลี้ยงดูเด็กกำพร้า พบว่า ร้อยละ ๗๕.๗ มีปัญหาในการเลี้ยงเด็กกำพร้า เมื่อพิจารณารายประเด็น พบว่า ร้อยละ๔๘.๑ มีปัญหาเกี่ยวกับตัวอุปการะ ๒๔.๓ มีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธภาพในครอบครัว และร้อยละ ๖.๙ มีปัญหาเกี่ยวกับตัวเด็กกำพร้า ประเด็นปัญหาที่มีความต้องการสนับสนุนทางสังคมมากที่สุด ส่วนใหญ่ มีความต้องการสนับสนุนทางด้านสิ่งของหรือเงินทอง เนื่องจากในการรับอุปการะเด็กกำพร้านั้น จะส่งผลต่อ ระบบเศรษฐกิจของครอบครัวที่จะมีเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ข้อเสนอแนะจากการศึกษา ดังนี้ ๑. ปรับเปลี่ยนชื่อกรมประชาสงเคราะห์ ว่าด้วยการสงเคราะห์เด้กแบบครอบครัวอุปถัมภ์ พ.ศ. ๒๕๔๔ ๒. มีการปรับเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับอัตราและหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยค่าเลี้ยงดูเด็ก กำพร้ากาครอบครัวอุปถัมภ์ และ/หรือช่วยเหลือเครื่องอุปโภคบริโภคเด็กกำพร้าตามความจำเป็น ๓. มีการจัดกิจกรรมเพื่อสานสัมพันธ์สายใยระหว่างตัวอุปถัมภ์ สมาชิกในครอบครัวอุปถัมภ์ และตัวเด็กกำพร้าอยู่อย่างสม่ำเสมอ ๔. ส่งเสริมให้เด็กำพร้าได้รับการฝึกอาชีพ และมีการติดต่อสอบถามครอบครัวอุปถัมภ์ อย่างสม่ำเสมอ **************************************
โรงเรียนวัฒนธรรมอิสลาม อำเภอปะนาเระ โรงเรียนสามัคคีอิสลาม อำเภอควนกาหลง โรงเรียนอิสลามพัฒนาศาสตร์ อำเภอมายอ บทที่ ๓ วิธีการดำเนินงาน การศึกษาและสรุปผลเชิงวิจัยในครั้งนี้ ดำเนินการภายใต้กิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือ และพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กกำพร้าในสถานศึกษานำร่อง ในพื้นที่ จชต. ซึ่งเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหาร จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้อนุมัติกิจกรรมประกอบด้วย 4 กิจกรรมย่อย ดังนี้ กิจกรรมย่อยที่ 1 ประชุมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้านการทำเกษตร (ปลูกผักไฮโดรโปรนิค) ให้แก่สถานศึกษานำร่องในพื้นที่ จชต. กิจกรรมย่อยที่ 2 อบรมพัฒนาศักยภาพและศึกษาดูงานการทำเกษตรทฤษฎีใหม่แก่นักเรียน (กำพร้า) และครู ในสถานศึกษานำร่องสังกัดเอกชนในพื้นที่ จชต. กิจกรรมย่อยที่ 3 คณะทำงานลงพื้นที่ให้คำแนะนำ และติดตามผลการดำเนินงาน ของสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการในพื้นที่ จชต. กิจกรรมย่อยที่ 4 ประชุมแนวทางการพัฒนาและขยายผลการดำเนินงานสู่ชุมชนใกล้เคียง สถานศึกษานำร่องในพื้นที่ จชต. ขั้นตอนการดำเนินงาน ๑. ศอ.บต. ได้ประชุมสร้างความเข้าใจแนวทางการดำเนินงาน และเตรียมความพร้อม ในการดำเนินงานและ มีการกำหนดสถานศึกษาเอกชนสอนศาสนาอิสลามเป้าหมายนำร่องจำนวน ๑๑ โรง โดยการ ประชุมดังกล่าวนั้น ประกอบด้วย สำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา และสตูล สำนักงานการศึกษาเอกชนอำเภอ จำนวน ๑๑ อำเภอ และส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒. ศอ.บต. เชิญครู/บุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนเป้าหมายนำร่องทั้ง ๑๑ โรง เพื่อชี้แจง แนวทางการดำเนินงาน และสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการวางแผน กำหนดขั้นตอน และเสนอแนะข้อคิดเห็น เพื่อให้การดำเนินงานมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายมีความเปราะบางในหลายๆ มิติ จำเป็นต้องให้ เป้าหมายได้เข้ามาร่วมกำหนดแนวทางการดำเนินงานร่วมสมกับ ศอ.บต. และเป็นการเก็บข้อมูลสภาพปัญหา และความต้องการในเบื้องต้น เพื่อนำมาวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายให้สอดคล้องกับผลการศึกษาในหลายๆ ประเด็น เพื่อให้สามารถสนองตอบปัญหาและคามต้องการ ๓. ศอ.บต. ดำเนินการประชุมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้านการทำ เกษตร (ปลูกผักไฮโดรโปรนิค) ให้แก่สถานศึกษานำร่องในพื้นที่ จชต. เพื่อเป็นการสนับสนุนโรงเรียนเอกชน สอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ ในการดูแลนักเรียนกำพร้า เพื่อเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย โดยการนำนวัตกรรมสมัยใหม่ เข้าไปในโรงเรียน ให้ผู้บริหารและนักเรียนได้เกิดความสนใจในวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมสมัยใหม่ ที่แตกต่างจากเดิม สร้างแรงจูงใจในเกิดความเข้าใจและรักในความพอเพียง ซึ่งพบว่า ปัญหาส่วนใหญ่ครูและบุคลากรทางการศึกษา นักเรียนกำพร้า ไม่มีองค์ความรู้และ ไม่มีแหล่งเรียนรู้รอบข้าง เพื่อศึกษาแนวทางการปลูกผักไฮโดรโปนิค ศอ.บต. จำเป็นต้องพากลุ่มเป้าหมายไปศึกษาดูงานการปลูกผักไฮโดรโปนิค ทำให้ทราบได้ว่า พื้นฐานของโรงเรียนเอกชนสอน ศาสนาอิสลามนำร่องในพื้นที่ จชต. ยังเข้าไม่ถึงการเรียนการสอนทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และไม่มีองค์ความรู้
ห น ้ า | 28 ในด้านนวัตกรรม ส่วนใหญ่ใช้หลักปรัชญาชีวิตที่ยึดโยงกับหลักการศาสนาในการเรียนสอน การยอมรับทฤษฎีร่วมสมัย นั้นยังมีน้อย 4. ซักซ้อมแนวทางการดำเนินกิจกรรมอบรมพัฒนาศักยภาพและศึกษาดูงานการทำ เกษตรทฤษฎีใหม่แก่นักเรียน/ครู ในโรงเรียนสังกัดเอกชนในพื้นที่ จชต. เพื่อชี้แจงแนวทางการดำเนินกิจกรรม อบรมพัฒนาศักยภาพและศึกษาดูงานการทำเกษตรทฤษฎีใหม่แก่นักเรียน (กำพร้า) และครู ในสถานศึกษา นำร่องสังกัดเอกชนในพื้นที่ จชต. เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายมีความละเอียดอ่อน การเดินทางออกนอกพื้นที่ จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน 5. ศอ.บต. ดำเนินกิจกรรมอบรมพัฒนาศักยภาพและศึกษาดูงานการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ แก่นักเรียน (กำพร้า) และครู ในสถานศึกษานำร่องสังกัดเอกชนในพื้นที่ จชต. ในระหว่างวันที่ 6 – 14 มิถุนายน 2566 เพื่อเป็นการเสริมสร้างองค์ความรู้ทางการเกษตรและทฤษฎีพอเพียงในพื้นที่จังหวัดยะลา จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดพัทลุง ทั้งนี้ ได้มีการเก็บข้อมูล ทัศนคติ และทักษะการเข้าสังคม การใช้ภาษาไทยในการดำเนินชีวิต ความกล้าแสดงออกของนักเรียน การยอมรับในความหลากหลายทางวัฒนธรรมในต่างพื้นที่ ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดแนวทาง การศึกษาในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเด็กกำพร้าในสถานศึกษาเอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ เพื่อเป็นชุด ข้อมูลในการนำประเด็นปัญหาเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนายกระดับ การจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ห น ้ า | 29 6. ศอ.บต. ได้ประชุมติดตามผลการดำเนินงานติดตามผลการดำเนินงานด้านการเกษตร (ปลูกผักไฮโดรโปนิค) ให้แก่สถานศึกษานำร่องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การดำเนินงานดังกล่าวสามารถ สรุปเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายในการส่งเสริมการพัฒนาและยกระดับการศึกษาให้กับกลุ่มเปราะบาง (เด็กกำพร้า) ในพื้นที่โดยการพัฒนา และยกระดับการพัฒนาเด็กกำพร้าในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องที่ต้องให้ ความสำคัญและการดำเนินการเป็นเชิงนโยบายอย่างมีเป้าหมาย เพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืนและสันติภาพในพื้นที่ ดังกล่าว โดยมีข้อเสนอเชิงนโยบายที่สามารถนำเสนอ เพื่อพัฒนาและยกระดับการพัฒนาเด็กกำพร้าในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ดังนี้ 6.1. ให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาที่เข้มแข็งและเป็นระบบในพื้นที่ สร้างโอกาสให้กับเด็กกำพร้าในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สามารถเข้าถึงการศึกษาที่เท่าเทียมกัน โดยเน้นให้มี โรงเรียนที่มีคุณภาพและครอบคลุมทุกระดับชั้นเพื่อเสริมสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่เหมาะสมและเพื่อสนับสนุน การพัฒนาทักษะและความสามารถของเด็ก 6.2. ต้องส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างงานที่มีคุณค่าและงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ชายแดนภาคใต้ เพื่อให้ครอบครัวที่มีเด็กกำพร้าสามารถมีรายได้เพียงพอและสามารถดูแลเด็กได้ในระดับที่ เหมาะสม นอกจากนี้ยังควรสนับสนุนการออกแบบและพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ เพื่อสร้างงานที่มีรายได้สูง และสร้างโอกาสให้กับเด็กกำพร้าในอนาคต 6.3. ควรมีการสร้างระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและสามารถเข้าถึงได้สำหรับเด็ก กำพร้า รวมถึงการให้ความสนใจและการดูแลเฉพาะบุคคลสำหรับเด็กที่มีความต้องการเพิ่มเติม นอกจากนี้ ควรมีการสนับสนุนในเรื่องของสวัสดิการสำหรับเด็กและครอบครัว เช่น การให้เงินช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน การสนับสนุนการพัฒนาทักษะชีวิตและการให้คำปรึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูเด็ก 6.4 ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาและดูแลเด็กกำพร้า ให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนกับชุมชนท้องถิ่นและสถาบันทางศาสนา สร้างการ รับผิดชอบร่วมกันในการพัฒนาเด็กและสนับสนุนการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับกับการเติบโต และพัฒนาของเด็กกำพร้า 6.5 การสนับสนุนในการพัฒนาทักษะและความรู้ที่จำเป็นสำหรับเด็กกำพร้า เช่น การสร้างโอกาสให้เด็กได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและสนับสนุนในการเรียนรู้ที่หลากหลายและสร้างสรรค์ นอกจากนี้ควรมีการเตรียมความพร้อมให้เด็กกำพร้าที่จะเข้าสู่สังคม โดยการสนับสนุนในเรื่องของทักษะ ส่วนบุคคล เช่น ทักษะสังคม ทักษะการแก้ไขปัญหา และทักษะการสื่อสาร 6.6. ควรมีการสนับสนุนในการดูแลและคุ้มครองสิทธิของเด็กกำพร้าในพื้นที่ รวมถึง การป้องกันความรุนแรงและการทุจริตต่อเด็ก นอกจากนี้ควรส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมของเด็กในการ ตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของตนเอง 7. การประชุมแนวทางการพัฒนาและขยายผลการดำเนินงานสู่ชุมชนใกล้เคียงสถานศึกษา นำร่องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยประเด็นการพิจารณา ดังนี้ 7.1 พิจารณาแนวทางการเข้าถึงเด็กกำพร้าที่อยู่นอกระบบ ซึ่งมีความจำเป็น ที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือ และสามารถส่งต่อความช่วยเหลือให้กับส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวง พัฒนาสังคมฯ และกระทรวงศึกษาธิการ ได้ดำเนินการในระยะต่อไป 7.2 พิจารณาแนวทางการสนับสนุนให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางในพื้นที่ ในการพัฒนา และแก้ไขปัญหาเด็กกำพร้า ตลอดจนการเชื่อมโยงแนวทางไปสู่ชุมชน และสถาบันทางศาสนาในพื้นที่ ได้เข้ามา มีบทบาทในการช่วยเหลือเก็กกำพร้า
ห น ้ า | 30 7.3 พิจารณาเติมเต็ม (ร่าง) แนวทางการดำเนินงานในการพัฒนานักเรียน (กำพร้า) ในสถานศึกษาเอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ จชต. ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗ เพื่อพัฒนาและขยายผล การดำเนินงานสู่ชุมชนใกล้เคียงสถานศึกษานำร่องในพื้นที่ จชต. มติที่ประชุมประเด็นที่ 1 ดังนี้ 1. ศอ.บต. ผลักดันการอบรมหลักสูตรครู ข ให้กับครูและบุคลากรการศึกษา ของสถานศึกษาเอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ เพื่อสร้างองค์ความรู้และทักษะทั้งในเชิงจิตวิทยาและในเชิง พฤติกรรมในการดูแลเด็กกำพร้า เพื่อมุ่งเน้นการปรับทัศนะคติและปรับพฤติกรรมของนักเรียนกำพร้า ในสถานศึกษาเอกชนสอนศาสนาอิสลาม โดยบูรณาการกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในแต่ละจังหวัด เพื่อจัดทำหลักสูตรในการอบรมดังกล่าว และคาดว่าจะสามารถดำเนินงานให้เร็วที่สุด 2. เปิดพื้นที่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม เพื่อดึงกลุ่มสภาเด็กและเยาวชน ได้เข้า มาจัดกิจกรรมเชิงบวกอย่างเหมาะสมกับสถานศึกษาที่สอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ เพื่อให้นักเรียนกำพร้า สามารถพัฒนาศักยภาพในเชิงพฤติกรรมและการเรียนรู้เทคโนโลยี ตลอดจนการใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร ประจำวัน เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนกำพร้าที่มีความพร้อมในการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา 3. ให้โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ต้อง เลือกเฟ้นนักเรียนกำพร้าที่มีผล การเรียนดี เพื่อเข้ารับการคัดเลือกในการจัดสรรทุนการศึกษา ซึ่งมหาวิทยาลัยในพื้นที่พร้อมที่จะสนับสนุน โควตาในการเข้าเรียนในสาขาที่ขาดแคลน ส่วนนักเรียนกำพร้าที่มีฐานะยากจนและไม่อาจจะศึกษา ต่อในระดับอุดมศึกษาให้จบได้ จะร่วมกันผลักดันในได้รับการศึกษาในสายอาชีพ หรือหลักสูตรระยะสั้น เพื่อลดภาระให้กับครอบครัว 4. ให้ ศอ.บต. กำหนดแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้กับผู้ปกครอง ของนักเรียนกำพร้า ให้มีงานมีอาชีพ ก่อให้เกิดรายได้ที่แน่นอน เพื่อเป็นทุนทรัพย์ในการส่งบุตรหลานเข้าเรียน ให้จบภาคบังคับ มติที่ประชุมประเด็นที่ 2 ดังนี้ 1) ศอ.บต. อยู่ระหว่างการจัดเก็บข้อมูลเด็กกำพร้าทุกประเภทที่อยู่ในสถานศึกษา เอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ โดยให้สำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดทั้ง 5 จั้งหวัดรวบรวมส่ง ภายใน วันที่ 20 กันยายน 2566 โดยจำแนกข้อมูล ดังนี้ 1.1) ข้อมูลนักเรียนกำพร้าในสถานศึกษาเอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ 1.2) ข้อมูลครู/บุคลากรทางการศึกษา ในสาขาที่ขาดแคลน เพื่อเข้าสู่การยกระดับ การศึกษาตามของเสนอของเครือข่ายโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ 2) ประสานและหารือกับวิทยาลัยในพื้นที่ เพื่อจัดสรรโควตา ให้กับเด็กกำพร้ารวมถึง การกำหนดคะแนนพิเศษให้กับเด็กกำพร้าที่ยากจนเป็นกลุ่มแรกก่อน เพื่อให้สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ 3) ให้โรงเรียนได้เปิดโอกาสให้เด็กกำพร้าได้เข้าร่วมทำกิจกรรมและเป็นสมาชิก ของสภาเด็กและเยาวชน เพื่อให้เกิดเครือข่ายของนักเรียนในสถานศึกษาเอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่ 4) ประเด็นเรื่องการส่งเสริมอาชีพและการใช้ฐานข้อมูล TPMAP ในการให้ความ ช่วยเหลือครอบคัวเด็กกำพร้าในพื้นที่ ศอ.บต. จะประสานส่วนที่เกี่ยวข้อง และส่วนราชการภายใน ได้กำหนด แผนงานการให้ความช่วยเหลือ พร้อมส่งต่อให้ส่วนราชการในระดับท้องถิ่น เช่น อบต.และเทศบาล ได้ให้ การสนับสนุนต่อไป 5) ให้ ศอ.บต. นำข้อเสนอของอาจารย์วาริน นาราวิทย์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัย นราธิวาสราชนครินทร์เป็นหลักในการกำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือเด็กกำพร้านอกระบบและเด็ก กำพร้าอื่นๆ รวมถึงขอให้ ศอ.บต. นำประเด็นการช่วยเหลือนักเรียนกำพร้า เข้าสู่การประชุมยกระดับการศึกษา
ห น ้ า | 31 เพื่อให้สามารถส่งเสริมด้านการศึกษาให้กับคนเปราะบาง เช่น การสนับสนุนโควตาพิเศษสำหรับเด็กกำพร้า ในการเข้าสู่รั่วมหาวิทยาลัย รูปแบบการศึกษา การศึกษาแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเด็กกำพร้าในสถานศึกษาเอกชนสอนศาสนา อิสลามนำร่องในพื้นที่ จชต. เป็นการศึกษาวิจัยเชิงสำรวจ (Survey research) โดยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) ด้วยการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary research) และวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยโดยเรียงลำดับตามขั้นตอนดังนี้ 1. กลุ่มเป้าหมาย 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ กลุ่มเป้าหมาย การศึกษาในครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยภายใต้กิจกรรมอบรมพัฒนาศักยภาพและศึกษาดูงาน การทำเกษตรทฤษฎีใหม่แก่นักเรียน (กำพร้า) และครู ในสถานศึกษานำร่องสังกัดเอกชนในพื้นที่ จชต. ซึ่งมี ผู้เข้าร่วมจำนวน 49 คน จากสถานศึกษาเอกชนสอนศาสนานำร่องในพื้นที่ 11 แห่ง ประกอบด้วย โรงเรียนสุขสวัสดิ์วิทยา อำเภอยะหา จังหวัดยะลา นักเรียน 3 คน ครู 2 คน โรงเรียนอิสลามบาเจาะวิทยา อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา นักเรียน 3 คน ครู 2 คน โรงเรียนพัฒนาวิทยากรวิทยา อำเภอรามัน จังหวัดยะลา นักเรียน 3 คน ครู 2 คน โรงเรียนมุสลิมพัฒนศาสตร์อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานีนักเรียน 3 คน ครู 2 คน โรงเรียนอิสลามพัฒนา อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานีนักเรียน 3 คน ครู 2 คน โรงเรียนวัฒนธรรมอิสลาม อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานีนักเรียน 3 คน ครู 1 คน โรงเรียนสมบูรณ์ศาสตร์ อำเภอนาทวีจังหวัดสงขลา นักเรียน 3 คน ครู 2 คน โรงเรียนอิสลามวิทยามูลนิธิอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา นักเรียน 3 คน ครู 2 คน โรงเรียนต้นตันหยง อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส นักเรียน 2 คน ครู 1 คน โรงเรียนนิด้าศึกษาศาสตร์อำเภอละงูจังหวัดสตูล นักเรียน 2 คน ครู 2 คน โรงเรียนสามัคคีอิสลามวิทยา อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล นักเรียน 2 คน ครู 1 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบประเมินผล กิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือและพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กกำพร้าในสถานศึกษานำร่องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้านการทำเกษตร (ปลูกผักไฮโดรโปนิค) ให้แก่ สถานศึกษานำร่องในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมอบรมพัฒนาศักยภาพและศึกษาดูงานการทำเกษตรทฤษฎีใหม่แก่นักเรียน (กำพร้า) และครู ในสถานศึกษานำร่องเอกชนสังกัดเอกชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 1. ข้อมูลทั่วไป เพศ ชาย หญิง อายุ 11 – 15 ปี 16 – 20 ปี 21 – 25 ปี 26 ปีขึ้นไป
ห น ้ า | 32 ชั้นเรียน ม. 1 - ม. 3 ม.4 - ม.6 2. ข้อมูลนักเรียนกำพร้า 2.1. นักเรียนกำพร้าที่เข้าร่วมกิจกรรม (ศึกษาดูงานที่เพชรบุรี) จำนวน 3 คน 2.1.1 ชื่อ...................................................สกุล...............................................ชั้น ................................. 2.1.2 ชื่อ...................................................สกุล...............................................ชั้น .................................. 2.1.3 ชื่อ...................................................สกุล...............................................ชั้น ................................. 2.2. จำนวนนักเรียนกำพร้าผู้ได้รับประโยชน์จำแนกตามระดับชั้น 2.2.1 อนุบาล 1 – 3 จำนวน.........-...............คน ชาย..............-..............คน หญิง................-...........คน 2.2.2 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 จำนวน....-...............คน ชาย..................-..........คน หญิง.............-..............คน 2.2.3 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 จำนวน.....-..............คน ชาย.............-...............คน หญิง.............-..............คน 2.2.4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 จำนวน......................คน ชาย..............................คน หญิง.............................คน 2.2.5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 จำนวน......................คน ชาย............................คน หญิง............... ...........คน 2.3. จำนวนนักเรียนกำพร้า จำแนกตามประเภทของเด็กกำพร้า (แนบไฟล์รายชื่อแบบฟอร์มตาม QR code ท้ายเอกสาร) 2.3.1 นักเรียนกำพร้า เนื่องจากพ่อและแม่หรือพ่อหรือแม่ เสียชีวิตตามธรรมชาติ เพศชาย จำนวน.............................คน เพศหญิง จำนวน.............................คน 2.3.2 นักเรียนกำพร้า เนื่องจากพ่อและแม่หรือพ่อหรือแม่ เสียชีวิตเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ และ ได้รับการเยียวยาจากภาครัฐ (กรณีที่พ่อและแม่หรือพ่อหรือแม่ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ) เพศชาย จำนวน.............................คน เพศหญิง จำนวน.............................คน 2.3.3 นักเรียนกำพร้า เนื่องจากพ่อและแม่หรือพ่อหรือแม่ เสียชีวิตเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ และ ได้รับการเยียวยาจากภาครัฐ (กรณีที่พ่อและแม่หรือพ่อหรือแม่ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ) เพศชาย จำนวน.............................คน เพศหญิง จำนวน.............................คน 2.3.4 นักเรียนกำพร้า เนื่องจากพ่อและแม่หรือพ่อหรือแม่ เสียชีวิตเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ แต่ ไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยา เพศชาย จำนวน.............................คน เพศหญิง จำนวน.............................คน 3. ข้อมูลการประเมินผล ที่ ประเด็นการประเมิน(สมรรถนะ) ระดับการประเมิน 1 การเตรียมความพร้อมในการปลูกผักไฮโดรโปรนิค 5 4 3 2 1 1.1 มีการประชุมชี้แจงให้กับนักเรียนกำพร้า เพื่อให้นักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมเกิดความ เข้าใจในระดับ 1.2 มีการจัดเตรียมสถานที่ที่เหมาะสมในการจัดตั้งโรงเรือน 1.3 ครูและนักเรียนกำพร้ามีหาข้อมูล เกี่ยวกับการปลูกผักไฮโดรโปนิคก่อนดำเนินการ 1.4 ครูและนักเรียน ได้รับคำแนะนำจากเกษตรอำเภอหรือผู้ที่เชี่ยวชาญ ก่อนดำเนินงาน
ห น ้ า | 33 2 การส่งเสริมการเรียนรู้การดำเนินงานทางการเกษตร 5 4 3 2 1 2.1 นักเรียนกำพร้าได้รับการฝึกอบรมความรู้เกี่ยวกับการปลูกผักไฮโดรโปนิค เกิดความ เข้าใจในการดำเนินงาน 2.2 นักเรียนกำพร้าได้รับองค์ความรู้และศึกษาดูงาน ทำให้เกิดความเข้าใจในระดับ 2.3 นักเรียนกำพร้าเกิดการพัฒนาทักษะการเกษตรและการบริหารจัดการในด้านการ ปลูกผักไฮโดรโปนิค 3 ผลกระทบที่เกิดกับนักเรียนกำพร้า 5 4 3 2 1 3.1 นักเรียนกำพร้า เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการปลูกผักไฮโดรโปนิค 3.2 นักเรียนกำพร้าที่เข้าร่วมกิจกรรม เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรม เช่น มีความ รับผิดชอบ/มีความกล้าแสดงออก/สามารถสื่อสารภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง 3.3 นักเรียนกำพร้าเกิดความรับผิดชอบในการดูแลผักไฮโดรโปนิค รวมถึงมีแนวคิดใน การต่อยอดการดำเนินงาน เพื่อก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น 4 การสร้างความร่วมและความเข้าใจกับครอบครัวและชุมชน 5 4 3 2 1 4.1 ครอบครัวเด็กกำพร้า ให้ความร่วมมือในการปลูกผักไฮโดรโปนิค 4.2 โรงเรียนมีการแบ่งปัน/สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการปลูกผักไฮโดรโปนิคให้กับ ครอบครัวและชุมชน 4.3 ชุมชนพร้อมให้การสนับสนุนการปลูกและการสนับสนุนผลผลิตจากไฮโดรโปนิค 5 การสร้างสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 5 4 3 2 1 5.1 โรงเรียนมีการสร้างกลไกความร่วมมือกับองค์กรส่วนท้องถิ่นและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนการปลูกผักไฮโดรโปนิค (มีแผนการ ขอรับการสนับสนุนเพื่อต่อยอดกับองค์ส่วนท้องถิ่น และได้มีการดึงองค์ ปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาเรียนรู้และดูผลผลิตของนักเรียน) 5.2 องค์กรส่วนท้องถิ่นมีการสนับสนุน เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานของ นักเรียนกำพร้าในโรงเรียน (การสนับสนุนอื่นๆ นอกจากการปลูกผักไฮโดร โปนิค) 5.3 โรงเรียนมีการประสานงานในประเด็นการให้ความช่วยเหลือเด็กกำพร้าใน โรงเรียน (มีการประชุมวางแผนการให้ความช่วยเหลือและอื่น/การองค์ ปกครองส่วนท้องถิ่นได้เข้ามาจัดกิจกรรมกับเด็กกำพร้าในโรงเรียน) 6 การปฏิบัติการและการฝึกปฏิบัติ 5 4 3 2 1 6.1 คุณภาพของการจัดการปฏิบัติการและการฝึกปฏิบัติของโรงเรียน 6.2 โรงเรียนมีการส่งเสริมการเรียนรู้จากปฏิบัติการ (กำหนดเวลาสำหรับการให้นักเรียน ทำการเกษตร) 7 การสนับสนุนและการแก้ไขปัญหา 5 4 3 2 1 7.1 การให้คำแนะนำ การสนับสนุนส่งเสริมจากเกษตรในพื้นที่ 7.2 โรงเรียนการสร้างพลังเชิงบวก การสร้างกำลังใจ การสร้างแรงจูงใจ ให้นักเรียน กำพร้าสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุขในสังคม 4. ข้อเสนอแนะและข้อคววามเห็นเพิ่มเติม ........................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................................................... 5. ลงชื่อ ผู้ให้ข้อมูล (...................................................)
ห น ้ า | 34 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. การเก็บรวบรวมข้อมูลวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยวิธีวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary research) ผู้วิจัยดำเนินการรวบรวมข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง นำมาสังเคราะห์และจัดกระทำเนื้อหาสาระ ที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ คุณภาพการบริการ และแนวทางการพัฒนาคุณภาพการบริการ เก็บรวบรวมข้อมูล ในระดับทุติยภูมิ (Secondary data) ประเภทต่าง ๆ เพื่อตอบคำถามการวิจัยและใช้ในการกำหนดแนวทาง 2. การเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณ ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้ โปรแกรม IBM SPSS Statistics รุ่น trail การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิจัย 1. การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยพิจารณาประเด็นหลัก (Major themes) จากนั้นนำมาพิจารณาแบ่งแยกออกเป็นประเด็นย่อย (Sub-themes) และหัวข้อย่อย (Categories) โดยการเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ภาพรวมไปสู่การวิเคราะห์ประเด็นย่อยของกระบวนการ วิเคราะห์ตามแนวทางการวิจัยเชิงคุณภาพ นำเสนอข้อมูลแบบบรรยายและพรรณนา (Descriptive research) 2. การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ จะนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติด้วยเครื่อง คอมพิวเตอร์ ผ่านระบบ IBM SPSS Statistics มีดังนี้ 2.1 การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistic) ได้แก่ ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบ แบบสอบถาม นำมาวิเคราะห์โดยใช้ค่าร้อยละ (Percentage) 2.2 การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistic) ในการประเมินการรับรู้ คุณภาพการบริการและปัญหาที่เกิดจากการรับรู้ นำมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย (Means) และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviations) เป็นรายข้อและผลรวมการแปลผลข้อมูลจากแบบสอบถาม กำหนดเกณฑ์การให้คะแนนค่าเฉลี่ยและเกณฑ์การแปลความหมายเพื่อจัดระดับ คะแนนเฉลี่ยค่าความสำคัญ กำหนดเป็นช่วงคะแนน ดังนี้ ระดับ 5 ค่าความถี่ 5 หมายถึง มากที่สุด ระดับ 4 ค่าความถี่ 4 – 4.9 หมายถึง มาก ระดับ 3 ค่าความถี่ 3 – 3.9 หมายถึง ปานกลาง ระดับ 2 ค่าความถี่ 2 – 2.9 หมายถึง น้อย ระดับ 1 ค่าความถี่ 1 – 1.9 หมายถึง น้อยที่สุด *********************************
บทที่ 4 ผลการวิจัย ผลการดำเนินงาน งานวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างด้วยตนเอง ได้รับข้อมูลกลับคืน จำนวน 49 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 100 หลังจากนั้นผู้วิจัยนำข้อมูลมาวิเคราะห์และเสนอผลการวิเคราะห์ ข้อมูล ตามลำดับดังต่อไปนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 ข้อมูลผู้ได้รับประโยชน์ ตอนที่ 3 การวิเคราะห์เชิงพฤติกรรมและทัศนคติที่มีต่อปัจจัยที่ได้รับการสนับสนุน ตอนที่ 4 ข้อเสนอแนะ โดยเป็นการรวบรวมข้อเสนอแนะในการดำเนินกิจกรรม ข้อเสนอแนะจากการประชุมต่างๆ และข้อเสนอเชิงนโยบาย สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล X แทน ค่าเฉลี่ย S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง ผลผลิตที่เกิดขึ้นจริง กิจกรรมที่ ๑ กิจกรรมอบรมพัฒนาศักยภาพและศึกษาดูงานการทำเกษตรทฤษฎีใหม่แก่นักเรียน (กำพร้า) และครูในสถานศึกษานำร่องเอกชนสังกัดเอกชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป้าหมายกิจกรรม มุ่งเน้นให้นักเรียนในสถานศึกษาเอกชนได้เรียนรู้การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ และสามารถนำ ภูมิปัญญาไปสานต่อและต่อยอดการทำเกษตรในพื้นที่ในฐานะแกนนำสำคัญ ตลอดจนการสร้างเครือข่าย กลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินงาน และสามารถประสานงานกับภาคส่วนที่สำคัญ การพัฒนาพื้นที่ต่อไป วัตถุประสงค์ของกิจกรรม ๑. เพื่อเสริมสร้างทัศนะคติเชิงบวกให้กับนักเรียน (เด็กกำพร้า) ให้สามารถอยู่ร่วมกัน ในความหลากหลายทางสังคมและความหลากหลายในพหุวัฒนธรรมในพื้นที่ สามารถสร้างสรรค์กิจกรรม เชิงบวกในพื้นที่/ในโรงเรียน ๒. เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ในวิถีเกษตรพอเพียงและการทำเกษตรไฮโดรโปนิค ซึ่งเป็นการ ทำเกษตรแนวใหม่ที่ใช้นวัตกรรมในการดำเนินงาน ๓. เพื่อสร้างภาคีเครือข่ายกลุ่มของเยาวชนแกนนำในพื้นที่ คำปรารภในพิธีเปิดกิจกรรม นาวาเอกจักรพงษ์ อภิมหาธรรม ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนา ฝ่ายพลเรือน (กสพ.) เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม โดยประธานมุ่งเน้นให้เกิดความดี ๔ ประการ เพื่อให้ นักเรียนเป็นทรัพยากรที่ดีมีคุณค่า เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ สามารถพัฒนาพื้นที่ได้ ตลอดจนการเสริมสร้าง กำลังใจ เสริมทัศนะคติเชิงบวก และส่งเสริมความรู้และความเข้าใจในการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ อีกทั้ง ยังสร้างสรรค์แรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมที่จะนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปปรับใช้ในการพัฒนา โรงเรียนและชุมชนของตนเองให้เติบโตและยั่งยืน การใช้องค์ความรู้เรื่องการเกษตรนำไปพัฒนาพื้นที่และสร้าง ความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืนในอนาคต และภาครัฐมุ่งเน้นการสนับสนุนการศึกษาอย่างทุกมิติ
ห น ้ า | 36 ผ่านความร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งเอกชน มหาชนและภาคธุรกิจต่างๆ เพื่อทำให้เยาวชนเกิดการ พัฒนาที่ประสิทธิภาพต่อไป กิจกรรมภาคทฤษฎีวันที่ ๖ - ๗ มิถุนายน ๒๕๖๖ ณ ห้องประชุมปาหนัน โรงแรมปาร์ควิว จังหวัดยะลา ๑. กิจกรรม Ice Breaking ส่งผลดีโดยทั่วไปเนื่องจากช่วยสร้างความเชื่อมั่น สร้างทีมงาน ที่มีประสิทธิภาพ ลดความกังวล สร้างการสื่อสารที่ดี และสร้างบรรยากาศที่ดีในกลุ่มผู้เข้าร่วมกิจกรรม มุ่งให้ นักเรียนเกิดผลการอยู่ร่วมกัน ดังนี้ ๑.๑ สร้างความเชื่อมั่น: ช่วยในการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างผู้เข้าร่วมกิจกรรมโดยการ ช่วยให้ผู้คนเริ่มค้นพบและเข้าใกล้กัน ผ่านการทำกิจกรรมที่มีการพูดคุย และทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นการสร้าง ความเชื่อมั่นระหว่างคนในกลุ่มนักเรียน ๑.๒ สร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ: ช่วยในการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ โดยเพิ่ม ความเข้าใจกันระหว่างสมาชิกในทีม และส่งเสริมการทำงานร่วมกันผ่านการสร้างสัมพันธภาพที่ดี และเสริมสร้างความเป็นทีม ๑.๓ ลดความกังวล: ช่วยในการลดความกังวลหรือความเครียดก่อนเริ่มกิจกรรม หรือประชุมที่สำคัญ โดยการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและสนุกสนาน ทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกผ่อนคลาย และมีอารมณ์ที่ดีเพื่อเริ่มต้นกิจกรรมในสภาพจิตใจที่ดี ๑.๔ สร้างการสื่อสารที่ดี: ช่วยสร้างการสื่อสารที่ดีระหว่างผู้คนในกลุ่ม ผ่านการแบ่งปัน ข้อมูล การพูดคุย หรือการทำกิจกรรมร่วมกัน การสร้างการสื่อสารที่ดีนี้สามารถช่วยให้คนเข้าใจและรับฟังกันได้ ดีขึ้น และลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ๑.๕ สร้างบรรยากาศที่ดี: ช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีและเพิ่มความสนุกสนานให้กับ ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ดีและมีความทรงจำในผู้เข้าร่วมกิจกรรมนั้น ๆ 2. กิจกรรมการทำความรู้จักตัวเองและการรู้จักคนอื่น การรู้จักตัวเอง รู้จักผู้อื่น และการ รู้จักสังคมมีความสำคัญที่สำคัญในการพัฒนาเราเป็นบุคคลที่ดี ช่วยให้เรามีการตัดสินใจที่ดีขึ้น เข้าใจและสร้าง ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น และมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ดังนี้ 2.1 การรู้จักตัวเองช่วยให้เรารู้ว่าเราเป็นใครมีความสามารถและความสนใจอย่างไร และช่วยเราในการตัดสินใจและการวางแผนชีวิตให้เหมาะสมกับความต้องการและความเป็นอยู่ของเราเอง 2.2 การรู้จักตัวเองช่วยให้เรารู้จักความสามารถและข้อจำกัดของเราทำให้เรามั่นใจ ในตัวเองและสามารถเผชิญกับความท้าทายได้อย่างมั่นคง 2.3 การรู้จักตัวเองช่วยให้เราสามารถพัฒนาและปรับปรุงความสามารถและทักษะ ต่าง ๆ เพื่อให้เราเติบโตและพัฒนาเป็นบุคคลที่ดีขึ้นได้ 2.4 การรู้จักผู้อื่นช่วยให้เรารู้เกี่ยวกับความต้องการและความคาดหวังของผู้อื่น ทำให้ เราสามารถสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้ 2.5 การรู้จักผู้อื่นช่วยสร้างเครือข่ายที่มีคุณค่าทางสังคมและอาชีพ โดยการเชื่อมต่อ กับผู้คนที่มีความรู้หรือทักษะที่สามารถช่วยเราได้ในการเติบโตและพัฒนา 2.6 การรู้จักผู้อื่นช่วยพัฒนาทักษะสังคม เช่น การสื่อสารการทำงานร่วมกัน การแก้ไข ข้อขัดแย้ง และการให้รับคำติชมและคำแนะนำจากผู้อื่น 2.7 การรู้จักสังคมช่วยให้เรารับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อ วัฒนธรรม และกฎเกณฑ์ ที่มีอยู่ในสังคม ทำให้เราสามารถปรับตัวและเข้าร่วมกิจกรรมของสังคมได้อย่างเหมาะสม 2.8 การรู้จักสังคมช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นในสังคม ทำให้เรามีการ เชื่อมต่อและความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งกับชุมชนของเรา
ห น ้ า | 37 2.9 การรู้จักสังคมช่วยให้เรารู้ถึงปัญหาทางสังคมและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา ดังกล่าว โดยการมีการแสดงความคิดเห็น การเข้าร่วมกิจกรรมสังคม หรือการมีบทบาทในการช่วยเหลือผู้อื่นที่ เจอปัญหา 3. การสร้างกำลังใจในการดำเนินชีวิต เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เรามีพลังและแรงบันดาลใจ ในการต่อสู้และพัฒนาตัวเอง ตลอดจนการดำเนินชีวิตในฐานะสมาชิกของกลุ่มทางสังคมในพื้นที่ โดยมิได้ถือว่า เด็กกำพร้าเป็นปัญหาทางสังคม และให้มีมุมมองที่สะท้อนถึงศักยภาพของเด็กกำพร้า โดยสรุปกิจกรรมส่งผล ดังนี้ 3.1 มุ่งให้นักเรียนกำหนดเป้าหมายที่ต้องการให้มันเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนิน ชีวิต ซึ่งเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นระยะยาวมักจะช่วยให้เรามีแรงบันดาลใจในการต่อสู้และมุ่งมั่นทำงาน ให้สำเร็จ 3.2 มุ่งสร้างแผนการทำงานที่ชัดเจนและเป็นระยะยาวเพื่อให้เรามีทิศทางและแผนงาน ที่ต้องการดำเนินไป การมีแผนการทำงานที่เป็นรายละเอียดช่วยให้เรามีความมั่นใจและมีพลังในการดำเนิน ตามแผน 3.3 พยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เราเครียดและกังวล เพราะความเครียด และกังวลสามารถทำให้เราสูญเสียกำลังใจและความมุ่งมั่นในการดำเนินชีวิตได้ 3.4 การดูแลสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างกำลังใจความเป็นอยู่ที่มีสุขภาพดี ช่วยให้เรามีพลังและความกระปรี้กระเปร่าในการทำกิจกรรมต่าง ๆ 3.5 ค้นหาเพื่อนร่วมทางหรือคนในครอบครัวที่สนับสนุนและเอื้ออำนวยให้กับเด็ก กำพร้า เมื่อได้รับการสนับสนุนและการประทับใจแล้วจะช่วยให้มีกำลังใจในการดำเนินชีวิต 3.6 อ่านหนังสือที่มอบแรงบันดาลใจ ฟังบทสรุปจากผู้ที่ประสบความสำเร็จ หรือติดตามความคืบหน้าของผู้อื่นที่เราสนใจ เพื่อให้ได้แรงบันดาลใจและความกระตือรือร้นในการดำเนินชีวิต โดยใช้ “รัชกาลที่ 9” เป็นแรงบันดาลใจ 3.7 การพัฒนาตนเองและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องช่วยเพิ่มความมั่นใจและกำลังใจในการ ดำเนินชีวิต เราสามารถศึกษาหรือฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ ที่ต้องการและที่สนใจได้ ภาพกิจกรรม
ห น ้ า | 38 การศึกษาเชิงพื้นที่และแนวทางการดำเนินงาน ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อนักเรียนได้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่ในหลากหลายมิติ รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้อง เช่น ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่นั้นๆ การใช้ประโยชน์และการรักษาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ และปัญหาที่อาจจะ เกิดขึ้นในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านั้น โดยนำความรู้ที่ได้ ไปเชื่อมโยงกับการพัฒนาพื้นที่ ที่สอดคล้องกับศักยภาพ 2. เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้แนวทางการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนและสอดคล้อง กับความต้องการของสังคมและผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ การสร้างสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมการใช้งานทรัพยากรธรรมชาติและการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมสภาพให้สามารถใช้ ประโยชน์อย่างมีชาญลาด 3. เพื่อเรียนรู้กระบวนการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก การพัฒนา เช่น การให้ความสำคัญแก่การปรึกษาและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้อง กับพื้นที่ และการสร้างความตระหนักให้กับประชาชนในเรื่องการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ อย่างยั่งยืน แนวทางการดำเนินงาน 1. วิทยากรประจำศูนย์สนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่นที่มีความรู้และความสนใจ เดียวกัน ให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการแบ่งปันความรู้กัน ซึ่งให้นักเรียนได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติ ในสถานการณ์ที่เป็นจริง เช่น การวัดค่าความหวานของอ้อยออแกร์นิค การควบคุมอุณหภูมิในการทำถ่าน ชีวมวล และการนำถ่านชีวมวลมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างรายได้ 2. เรียนรู้การแก้ไขปัญหาดินดาน โดยการปลูกหญ้าแฝก ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ หญ้าแฝกดอน เหมาะกับพื้นที่แห้งแล้ง หญ้าแฝกลุ่ม เหมาะกับพื้นที่ชุ่มน้ำ การใช้รากหญ้าแฝกเป็นตัวนำรากของพืชชนิดอื่น ๆ ซึ่งหญ้าแฝกเป็นพื้นที่ต้องการแสง เมื่อต้นไม้ชนิดอื่นโตขึ้นปกคลุมทำให้หญ้าแฝกตายเองตามธรรมชาติ สามารถเลี้ยงไม้ผล หรือพืชชนิดอื่นต่อไปได้ โดยไม่ต้องใช้สารเคมี
ห น ้ า | 39 3. เสริมสร้างความสมดุลของการประกอบอาชีพ บนพื้นฐานการใช้ประโยชน์จากที่ดิน หรือที่ดินที่ได้รับการฟื้นฟูตามแผนภูมิ 1 เพื่อให้สามารถบริหารจัดการเวลาในการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม โดยการให้ความสำคัญในบริบทของอาชีพตามความเหมาะสม และสามารถยืดหยุ่นในแนวทางการปฏิบัติได้ 4. การแลกเปลี่ยนและการสร้างระบบสนับสนุนการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่นที่มีความรู้ (วิทยากร) และความสนใจเดียวกัน ให้นักเรียนสอบถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดจนการสะท้อน ปัญหาของพื้นที่ เพื่อเกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการแบ่งปันความรู้กันและกัน 5. นอกจากการศึกษาทฤษฎีแล้ว วิทยากรให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง ในสถานที่ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การลงมือปฏิบัติในการเผาไม้ เพื่อทำถ่านชีวมวล การอัดถ่านชีวมวล การลงมืออัดถุงเพาะเห็ด การลงเชื้อเห็ด การอบวัสดุและการปรับสภาพสถานที่เพาะเห็ด รวมถึงการบริหารจัดการสถานที่เพื่อสร้าง ความสมดุลของดิน พืช สัตว์และป่า ผลที่ได้รับ 1. นักเรียนจะได้รับฐานความรู้ที่มีคุณภาพเพียงพอที่จะเข้าใจและนำไปใช้ในการแก้ไข ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ 2. พัฒนาทักษะและความสามารถต่างๆ ได้ เช่น การแก้ไขปัญหา, การคิดวิเคราะห์, การตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญในการเติบโตและประสบความสำเร็จในชีวิต 3. นักเรียนสามารถใช้ความรู้ที่มีอยู่เพื่อทำความเข้าใจปัญหา วิเคราะห์สาเหตุและผลที่ เป็นไปได้ และพัฒนาวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ สังเกตได้จากการที่นักเรียนได้สอบถามปัญหา เพื่อแลกเปลี่ยนกับวิทยากร เช่น การแก้ปัญหาหญ้าแฝก การแก้ปัญหาน้ำเสีย เพื่อลดผลกระทบ ต่อสภาพแวดล้อม 4. นักเรียนสามารถนำความรู้และทักษะที่มีมาใช้ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม และสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับผู้อื่นในการพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น สังเกตได้จากการที่นักเรียน ได้สอบถามวิทยากรถึงการแก้ไขปัญหาในกรณีที่ชาวบ้านบุกรุกพื้นที่ทำการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งได้นำ ชาวบ้านเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยแก้ไขปัญหาของพื้น เพื่อชาวบ้าน โดยชาวบ้านเองได้รับประโยชน์ อาชีพหลัก อาชีพรอง อาชีพเสริม แผนภูมิที่ 1 ความสมดุลของการประกอบอาชีพ
ห น ้ า | 40 5. จากการเรียนรู้ทฤษฎีพอเพียงคือการพัฒนาทักษะและความรู้ที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน การเติบโตเป็นบุคคลที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาและการตัดสินใจ การสร้างสังคมที่ยั่งยืน และการ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้นได้ ภาพกิจกรรม
ห น ้ า | 41 การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ : อุทยานราชภักดิ์ อุทยานราชภักดิ์ เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ตั้งพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต 7 พระองค์ โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานชื่อว่า “อุทยานราชภักดิ์” ซึ่งเป็นอุทยานที่สร้างขึ้นด้วยความจงรักภักดีและเพื่อเป็นการเทิดทูนและประกาศเกียรติ คุณพระมหากษัตริย์แห่งสยาม โดยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระยศเป็นสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จ พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา (พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาในขณะนั้น) ทรงเปิดอุทยาน เมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558 ในปีถัดมาได้มีการจดทะเบียน “มูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรม โอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร” ย่อว่า “ร.ภ.” โดยมีพลเอก อุดมเดช สีตบุตร เป็นประธานคณะกรรมการ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตทั้ง 7 พระองค์ ที่ทรงเป็น “มหาราช”ของประเทศไทย 2. เพื่อเสริมสร้างทัศนะคติเชิงบวกให้กับนักเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และการเรียนรู้ในวิถีของพหุสังคมในพื้นที่ แนวทางการดำเนินงาน วิทยากรประจำอุทยานได้บรรยายความเป็นมาของการจัดตั้งอุทยาน และความเป็นมาของ กษัตริย์ไทยในอดีตที่ทรงเป็นมหาราช ผลที่ได้รับ 1. ได้รับการชื่นชมจากวิทยากรประจำอุทยาน ที่นักเรียนสามารถตอบคำถามทาง ประวัติศาสตร์ไทยได้ถูกต้อง โดยชื่นชมเนื่องในฐานะประชาชนชาวไทยเชื้อสายมลายู ที่มีความสนใจต่อ ประวัติศาสตร์ชาติไทยได้เป็นอย่างดี 2. นักเรียนสามารถแยกแยะระหว่างการเรียนรู้กับวิถีของศาสนาอิสลาม ที่ส่งผลให้เกิด ปัจจัยเอื้อต่อการสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ห น ้ า | 42 ปลูกผักไฮโดรโปนิค : วิสาหกิจชุมชนบารอกัตฟาร์มผักไฮโดรโปนิกส์ ต.นาเคียน อ.เมืองนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช เหตุผลความจำเป็น ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้สนับสนุนวัสดุและอุปกรณ์ พร้อมพันธุ์ผัก ในการส่งเสริมให้โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามได้รวมกลุ่มนักเรียนกำพร้าในโรงเรียน เพื่อร่วมกันปลูกผักไฮโรโปนิค ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สนับสนุนให้โรงเรียนเกิดรายได้ ลดภาระรายจ่าย ในการช่วยเหลือเด็กกำพร้าในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามหรือ “โรงเรียนปอเนาะ” ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนองค์ความรู้และทักษะในการใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับการทำ เกษตรพอเพียงที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ และเป็นความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน เป็นการเพิ่ม ช่องทางที่ก่อให้เกิดรายได้กับโรงเรียนและนักเรียนกำพร้าในพื้นที่ ลดภาระค่าใช้จ่ายของโรงเรียน ในการช่วยเหลือเด็กกำพร้า วิสาหกิจชุมชนบารอกัตฟาร์มผักไฮโดรโปนิค เป็นวิสาหกิจที่ดำเนินงานในการปลูกผัก ดังกล่าวส่งตลาดที่สำคัญในพื้นที่ เช่น โลตัส บิ๊กซี และผู้ประกอบการร้านชาบู เนื้อกระทะ และกลุ่มคนที่นิยม บริโภคผักสลัด ซึ่งตลาดในพื้นที่มีความต้องการสูงและการผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ที่สำคัญ วิสาหกิจบารอกัตฟาร์ม เป็นวิสาหกิจที่ดำเนินการโดยกลุ่มชนที่นับถือศาสนาอิสลาม จึงมีจุดเด่น ในการผลิตที่ถูกต้องตามกระบวนการ “ฮาลาลและตอยญิบัน” ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญของการผลิต อาหารที่ถูกต้องตามหลักการของศาสนาอิสลาม ที่มีความใกล้เคียงกับประชากรและบริบทของพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ กระบวนการ 1. วิทยากรได้บรรยายถึงความเป็นมาของการปลูกผักไฮโดรโปนิค การการดำเนินงาน ของวิสาหกิจบารอกัตฟาร์ม รวมถึงการขยายผลการผลิตไปสู่สินค้าประเภทอื่น เช่น การเลี้ยงผึ่งชันโรง การปลูก ผักไฮโดรโปนิคด้วยผักพื้นเมือง เช่น ผักบุ้ง 2. ให้นักเรียนได้ทดลองการปลูกเม็ดผักในวัสดุที่เตรียมสำหรับการปลูกผักไฮโดรโปนิค หรือการเตรียมขั้นตอนในการอนุบาลต้นกล้าผัก 3. เรียนรู้การประกอบวัสดุอุปกรณ์โรงเรือนประเภทน้ำวน ซึ่งเป็นการประหยัดต้นทุน ในการปลูกผักไฮโดรโปนิค 4. ถาม - ตอบ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปลูกผักไฮโดรโปนิค ผลที่ได้รับ ครูและนักเรียน เข้าใจในแนวทางการปลูกผักไฮโดรโปรนิค สามารถนำองค์ความรู้ไปใช้ใน การปลูกผักไฮโดรโปนิคที่ได้รับการสนับสนุนจาก ศอ.บต. เพื่อให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มให้กับนักเรียนกำพร้า ในพื้นที่ ภาพกิจกรรม