The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยที่ 7สารเคมีในชีวิตประจำวันและในสำนักงาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ทิพกฤตา อินไชย, 2022-08-14 21:39:38

หน่วยที่ 7สารเคมีในชีวิตประจำวันและในสำนักงาน

หน่วยที่ 7สารเคมีในชีวิตประจำวันและในสำนักงาน

หน่วยที่ 7

สารเคมีที่ใช้ในชีวิต
ประจำวันและสำนักงาน

Mind Mapping (แผนผังความคิด)

ยาสีฟัน น้ำยาป้วนปาก น้ำยาล้างเล็บ

ลิปสติก แชมพูสระผม ครีมนวดผม

แป้งหอม ยาดม ยาหม่อง สบู่
น้ำยาปรับผ้านุ่ม
น้ำยาซักแห้ง ผงซักฟอก

น้ำยาเช็ดกระจก สารทำความสะอาดภาชนะโลหะ

น้ำยาล้างจาน สารทำความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ์

สมรรถนะประจำหน่วย
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสารเคมี

ในชีวิตประจำวันและสำนักงาน

สมรรถนะการเรียนรู้

1. บอกส่วนผสมสำคัญของยาสีฟันได้ 9. บอกส่วนผสมของยาหม่องได้
2. บอกส่วนผสมของน้ำยาบ้วนปากได้ 10. เขียนสมการการทำสบู่ได้

3. บอกส่วนผสมสำคัญของน้ำยาล้างเล็บได้ 11. เขียนสมการการทำผงซักฟอกได้

4. บอกส่วนผสมสำคัญของลิปติกได้ 12. บอกส่วนผสมของผงซักฟอกได้

5. บอกสมบัติของสารเคมีที่ใช้ทำแชมพูสระผมได้ 13. บอกประเภทของผงซักฟอกได้

6. บอกส่วนผสมของครีมนวดผมได้ 14. บอกส่วนผสมของน้ำยาซักแห้งได้

7. บอกส่วนผสมของแป้งหอมได้ 15. บอกข้อเสียของการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มได้

8. บอกส่วนผสมของยาดมได้ 16. บอกส่วนผสมของน้ำยาเช็ดกระจกได้

สมรรถนะการเรียนรู้

17. บอกส่วนผสมของน้ำยาล้างจานได้
18. บอกส่วนผสมของสารทำความสะอาดภาชนะโลหะได้ได้
19. บอกส่วนผสมของผงขัดพื้นห้องน้ำได้
20. บอกส่วนผสมของผงล้างท่ออุดตันได้
21. อธิบายสมบัติของสารเคมีที่นำไปใช้ในงานแต่ละสาขาอาชีพได้
22. ใช้วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ และสารเคมีที่เกี่ยวข้องได้ถูกต้อง
23. สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และน้ำความรู้ไปใช้ประโยชน์

สาระการเรียนที่ 1

ยาสีฟัน

ยาสีฟัน

ยาสีฟันมีประโยชน์ในการรักษาฟันให้สะอาด และช่วยขัดสีฟันให้เป็นเงางามเท่านั้น ส่วนผสมที่สำคัญใน
ยาสีฟัน คือ
หินปูนบริสุทธิ์หรือแคลเซียมคาร์บอเนต (CaCO3) ช่วยขัดฟันให้ขาว น้ำตาลซูโครส (C12H22O11)
นอกจากนั้นอาจจะมีผงสบู่ (เพื่อให้เกิดฟอง) แป้ง (เพื่อทำให้เป็นสารเหนียวข้นคงรูปไม่เหลวจนเกินไป และ
เป็นการเพิ่มปริมาณในยาสีฟัน) อาจใช้น้ำผึ้งเป็นส่วนผสม (เพื่อเพิ่มรสชาติ)
ปัจจุบันมีการผสมสารปรุงแต่งชนิดต่างๆ เช่น ผสมเมนทอล เพื่อให้รู้สึกเย็นในปากเวลาแปรงฟัน ผสมมินต์
ช่วยระงับกลิ่นปาก ผสมฟลูออรได์ป้องกันฟันผุ และผสมสมุนไพรจากพืชต่างๆช่วยรักษาโรคเหงือก

ยาสีฟันพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ผสมยาสีฟันด้วยเพนนิซิล และในปร ค.ศ.1951 ใช้สารคลอโรฟิลล์ผสม
ปัจจุบันนิยมใส่สารซ่าเชื้อ เพื่อป้องกันฟันผุ แต่ในทางการแพทย์ยังไม่มีหลักฐานยืนยันได้ผลจริง

ในสมัยโบราณไม่มียาสีฟัน เขาใช้วิธีใช้กิ่งข่อยนำมาตัดยาวประมาณ 2 นิ้ว ลอกเปลือกออกทุบปลายให้เป็น
เส้นเล็กๆคล้ายขนแปรงทาสีขนาดเล็กนำมาสีฟันโดยไม่ใช้ยาสีฟันใดๆ

นักศึกษาใช้ยาสีฟันยี่ห้ออะไรกันบ้างช่วยบอกที
...............................................

สาระการเรียนที่ 2

น้ำยาบ้วนปาก

น้ำยาบ้วนปาก

น้ำยาบ้วนปากเป็นผลิตภัณฑ์ช่วยทำความสะอาดภายในช่องปากที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ส่วน
หนึ่งเพราะเชื่อกันว่า จะทำให้ช่องปากสะอาด ลมหายใจมีกลิ่นหอม และรู้สึกสดชื่น เนื่องจากการแปรงฟันตาม

ปกติอาจทำให้ช่องปากไม่สะอาดพอ

ประโยชน์ที่แท้จริง ข้อดีของน้ำยาบ้วนปากขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์และวิธีการใช้ แล้วน้ำยาบ้วนปากทำงานอย่างไร
น้ำยาบ้วนปากแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

ใช้เพื่อความมั่นใจและใช้เพื่อการรักษา ประเภทที่ใช้เพื่อความมั่นใจจะช่วยให้ลมหายใจและปากสดชื่น และช่วย
ระงับ กลิ่นปาก ชนิดชั่วคราวได้

ส่วนน้ำยาบ้วนปากประเภทใช้เพื่อการรักษาจะมีส่วนประกอบ ช่วยกำจัดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นปากหรือ
เหงือกอักเสบ อาจมีฟลูออไรด์ หรือสารที่ช่วยลดคราบหินปูน รวมถึงสารช่วยลดอาการเจ็บแผลในปาก

ผู้ที่ใช้น้ำยาบ้วนปาก มีวัตถุประสงค์เพื่อ
...............................................

สาระการเรียนที่ 3

น้ำยาล้างเล็บ

น้ำยาล้างเล็บ

ส่วนประกอบสำคัญในน้ำยาล้างเล็บ คือ สารพวกเอสเทอร์ (กลิ่นสังเคราะห์) ซึ่งสารนี้ได้จากการทำปฏิกิริยา
ของกรดอินทรีย์กับแอลกอฮอล์ คือ อะซีโตนเป็นสารอินทรีย์อยู่ในกลุ่มคีโตน

นอกจากนี้ อะซีโตนยังถูกสร้างขึ้นจากขนวนการเมตาโบลิซึมในร่างกาย โดยเป็นหนึ่งใน Ketone bodies ซึ่ง
พบในเลือด เมื่อผู้ป่วยเกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากสารคีโตน (ketoacidosis) จากภาวะเลือดเป็นกรดจากเบา
หวาน (diabetic acidosis) หรือภาวะเลือดเป็นกรดจากการอดอาหาร (starvation acidosis) ซึ่งถ้ามี

อะซีโตนในเลือดในปริมาณมาก จะสามารถได้กลิ่นอะซีโตนจากลมหายใจของ ผู้ป่วย
เมื่อเราสัมผัสอะซิโตนแล้วจะไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ง่ายๆและไม่ระคายเคืองต่อผิว แต่ถ้าสัมผัสอะซิโตนไป

นานๆจะทำให้เกิดการสะสมส่งผลให้เกิดการอักเสบได้ ข้อควรระวังในการใช้อะซิโตน คือ
หากเกิดอาการไม่ชอบมาพากล ได้แก่ ไอ วิงเวียนศรีษะ เมื่อสัมผัสถูกผิดหนังจะมีอาการปวดแสบ
ปวดร้อน หรือมีผื่นแดง ระคายเคืองและแสบตา ตาแดง อาเจียน ปวดท้องและคลื่นไส้ ก็ควร

หยุดและรีบพบแพทย์

น้ำยาทาเล็บใช้สารขจัดรอยเปื้อนประเภทใด

A. อะซิโตน B. แอลกอฮฮล์

C. สารฟอกขาว D. ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์

สาระการเรียนที่ 4

ลิปสติก

ลิปสติก

เนื้อลิปสติกประกอบด้วย ไขมัน น้ำมันขี้ผึ้ง และแอลกอฮอล์ ผสมกันในอัตราส่วนต่าง ๆ กัน เนื้อลิปสติกจะ
ต้องไม่ยุ่ย ไม่เยิ้มมีความนุ่มเวลาทา และมีความชุ่มชื้น สีที่ใช้ผสมลิปสติกเป็นสีพวกสีย้อมผ้า ไม่ละลาย
น้ำ ส่วนน้ำหอมที่ใช้แต่งกลิ่นและรส เป็นพวกสารแอลกอฮอล์ผสมกับเอสเทอร์ ให้กลิ่นและรสแตกต่างกัน
ส่วนมากนิยมกลิ่นดอกไม้และรสผลไม้ ภาชนะที่ใช้บรรจุลิปสติกมีหลายแบบ เช่น บรรจุในภาชนะที่เป็น

แท่งหมุนขึ้นลงได้ บรรจุเป็นแท่งเหมือนดินสอสี บรรจุไว้ในตลับ หรือทำเป็นแท่งคล้ายสีเทียน
โดยทั่วไปลิปสติกมีส่วนประกอบหลักอยู่ 3 ส่วน ดังนี้
เว็กซ์หรือไขแข็ง (WAX) ช่วยทำให้ลิปสติกสามารถขึ้นรูปเป็นแท่งได้ง่าย เช่น ไขคาร์นอบา

(เป็นไขที่ได้จากพืชตระกูลปาล์ม) ไขแคนเดลิลลา (ได้จากต้นแคนเดลิลลา) ขี้ผึ้ง (สกัดจากน้ำผึ้งบริเวณ
ท้องน้อยที่ผึ้งสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างรัง) ไขที่มาจากธาตุ (ไขไมโครคริสตัลไลน์)

น้ำมัน (Oil) เป็นตัวหลอมละลาย หรือทำหน้าที่มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ทำให้เว็กซ์ สีและส่วนผสมอื่นรวม
เป็นเนื้อเดียวกันได้ดี ลิปสติกอ่อนนุ่ม ช่วยให้ริมฝีปากนุ่มชุ่มชื่น

ลิปสติก

สีย้อม (Dye) เนื่องจากกฎหมายห้ามใช้สารปรอทในเครื่องสำอาง ปัจจุบันจึงหันมา
ใช้สีสังเคราะห์ที่ผ่านมาตรฐานรับรอง ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
เหมือนกับสีประเภทเดียวกันกับที่ใช้ทำอาหาร หรือสีสังเคราะห์จากธรรมชาติ เช่น สีสกัดจากผักและผลไม้ เช่น
สีแดงจากบีทรูทหรือทับทิม สีสกัดจากดอกไม้ เช่น สีน้ำเงินจาดกออกอัญชัน สีเหลืองจากดอกดาวเรืองฝรั่ง
สีสกัดจากแมลงและสัตว์ เช่น ผงสกัดจากแมลงปีกแข็งจะให้สีแดงเลือกหมู ผงสกัดจากเกล็ดปลาให้สีน้ำเงินและ
เพิ่มประกายมุกให้ลิปสติก
ลิปสติกบางยี่ห้อเติมส่วนผสมอื่นที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น
สารกลุ่มเรตินอยส์ เป็นสารที่ทำปฏิกิิริยาต่อแสงแดด ส่งผลร้ายต่อ DNA ในร่างกายเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนัง
สารสังเคราะห์วิตามินอี ทำให้ริมฝีปากระคายเคือง แห้งแตกเป็นขุย สารสกัดจากน้ำมันในอุตสาหกรรม
ปิโตรเลียม ก่อให้เกิดสิวอุดตัน ผิวหน้าระคายเคืองอยู่ในตัว
สารกันเสีย ส่งผลให้อวัยวะภายในร่างกายเสี่ยงเป็นพิษเรื้อรัง
สารปนเปื้อนหรือธาตุที่เป็นพิษ เช่น สารหนู(As) ตะกั่ว(Pb) แคดเมียม(Cd) อะลูมินัม(Al) ไทเทเนียม(Ti)
แมงกานีส(Mn) โครเมียม(Cr) ทองแดง(Cu) พลวง(Sb) และนิกเกิล(Ni) เพื่อเพิ่มคุณสมบัติบางประการให้ลิปติก
หรือมีความคงตัวดีขึ้น เช่น อะลูมินัม ช่วยป้องกันการไหลเยิ้มของลิปสติก ไทเทเนียมออกไซด์ช่วยเพิ่มความขาว
นวล ทำให้โทนสีนุ่มนวล แต่หากสะสมในร่างกายนานๆส่งผลต่อสมองระบบประสาท เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง

WAX ช่วยทำให้ลิปสติกสามารถขึ้นรูปเป็นแท่งได้ง่าย
A. ถูก
B. ผิด

สาระการเรียนที่ 5

แชมพูสระผม

แชมพูสระผม

แชมพู หรือ ยาสระผม เป็นผลิตภัณฑ์ บำรุงเส้นผม ปกติอยู่ในรูปของของเหลวหนืด ใช้สำหรับทำความ
สะอาด เส้นผม แชมพูยังมีบรรจุในแบบก้อนเหมือนก้อนสบู่ แชมพูใช้โดยทาบนเส้นผมที่เปียก นวดเข้ากับเส้นผม

และล้างออก ผู้ใช้บางคนอาจใช้แชมพูร่วมกับผลิตภัณฑ์นวดผม
จุดประสงค์ของการใช้แชมพูคือ ล้างสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ต้องการบนเส้นผมโดยไม่ทำให้ไขผิวหนังหลุดลอกจนทำให้

ผมไม่เป็นทรง แชมพูโดยทั่วไปทำจากการผสม สารลดแรงตึงผิว มักจะเป็น โซเดียมลอริลซัลเฟต หรือ
โซเดียมลอเรทซัลเฟต เข้ากับสารช่วยลดแรงตึงผิว ปกติจะเป็นสาร โคคามิโดโพรพิลเบทาอีน ในน้ำ
แชมพูสูตรเฉพาะมีสำหรับคนที่มี รังแค ทำสีผม แพ้แป้งหรือกลูเทน คนที่สนใจใช้ผลิตภัณฑ์
"จากธรรมชาติล้วน" "อินทรีย์" หรือ "ผลิตจากพืช" ทารก และเด็ก (แชมพูเด็กทำให้ระคายเคือง
น้อยกว่า) นอกจากนี้ยังมีแชมพูที่ผลิตเพื่อใช้กับสัตว์ที่อาจบรรจุ ยาฆ่าแมลง หรือยาชนิดอื่น ๆ ที่บำรุง
ผิวหรือรักษาการติดเชื้อ ปรสิต เช่น เห็บหมัด
ส่วนประกอบที่มักใช้ ได้แก่ สารชำระล้าง (detergents) หรือ สารลดแรงตึงผิว
(surfactants) แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มได้แก่

แชมพูสระผม

สารชำระล้างชนิดประจุลบ (anionic surfactants)
สารชำระล้างชนิดประจุบวก (cationic surfactants)
สารชำระล้างชนิดไม่มีประจุ (nonionic surfactants)
สารชำระล้างชนิดมีสองประจุ (amphoteric surfactants)

ส่วนประกอบเสริม สารปรับสภาพเส้นผม (conditioning agent) สารเพิ่มฟอง (foam builder)

สารช่วยทำให้ข้น (thickening agent) สารช่วยทำให้ใส (clarify agent)

สารช่วยให้ทึบแสง (opacifying agent) สารกันเสีย (preservative)

สารกันการรวมตัวหรือสารซีเควสเตอร์ (sequestering agent)

ส่วนประกอบอื่นๆ เช่น สี น้ำหอม สารขจัดรังแค สมุนไพร น้ำมันจากสัตว์ ฯลฯ

อะไรบ้างคือส่วนประกอบหลักในแชมพูสระผสม

สารชำระล้างชนิดประจุลบ สารช่วยทำให้ข้น สารเพิ่มฟอง

สารกันเสีย สารชำระล้างชนิดไม่มีประจุ สารชำระล้างชนิดประจุบวก

สารช่วยทำให้ใส สารชำระล้างชนิดมีสองประจุ

สารปรับสภาพเส้นผม สารช่วยให้ทึบแสง

สาระการเรียนที่ 6

ครีมนวดผม

ครีมนวดผม

ครีมบำรุงผม หรือ ครีมนวดผม คือ ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้เส้นผมนุ่มสลวย
สิ่งที่ควรรู้เอาไว้ก็คือ ครีมนวดผมมีคุณสมบัติช่วยปรับสภาพเส้นผมให้ชุ่มชื้น เรียบลื่น และจัดทรงได้ง่ายขึ้น

ดังนั้นคำถามที่ว่าเราควรใช้ครีมนวดผมหรือไม่นั้น คำตอบก็คือ “ใช่”
แม้ว่าครีมบำรุงผมจะช่วยบำรุงดูแลเส้นผมที่แห้งเสีย แต่ก็ไม่ควรใช้มันในปริมาณที่มากจนเกินไป เพียงแต่ควร
ใช้อย่างสม่ำเสมอเท่านั้นเป็นพอ ยิ่งถ้าหากเป็นคนที่มีผมแห้งเสีย หรือหยาบกระด้างมากๆ ด้วยแล้ว ยิ่งจำเป็น

ที่จะต้องใช้ครีมนวดผมเป็นประจำสม่ำเสมอ

ทรีตเม้นต์มาส์ก (Deep conditioners) : ครีมบำรุงผมสูตร
ที่เข้มข้นมากขึ้น ใช้สำหรับหมักผม

ซึ่งจะเข้าช่วยฟื้นบำรุงผมเสียได้อย่างล้ำลึก และทำให้ผม
สามารถทนต่อการทำลายในอนาคตได้มากกว่าเดิม

ครีมนวดผม หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า......
.........................

สาระการเรียนที่ 7

แป้งหอม

แป้งหอม

แป้งทาตัว โดยทั่วไปนั้นทำมาจากแร่เถาว์ซึ่งเป็นแร่ที่แมกนีเซียมซิลิเกตเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งแร่เถาว์
เป็นหินที่อยู่ตามธรรมชาติ และส่วนประกอบต่างๆ ของแป้งก็จะมี การบูร เมนทอล น้ำมันและส่วนผสมชนิด
อื่นที่ต่างกันไปตามชนิดและยี่ห้อของแป้ง แป้งนั้นมีคุณสมบัติช่วยดูดซับความชื้นทำให้รู้สึกแห้งสบาย กันน้ำ
และยังทำให้ผิวเนียนขึ้น ยังป้องกันผดผื่นจากการใส่ผ้าอ้อมเด็กหรือช่วยซับเหงื่อได้อีกด้วย แต่ว่าข้อเสียของ

แป้งนั้นก็คือ
หากสูดดมแป้งเข้าในร่างกายไปนั้นจะทำให้ส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจ หรือคุณผู้หญิงนำมา
ใช้ทาในร่มผ้าเป็นเวลานานก็จะทำให้มีผลทำให้เกิดมะเร็งในช่องคลอดได้ เพราะแป้งทำมาจากแร่

เถาว์ ซึ่งแร่เถาว์นั้นเป็นสารอนินทรีย์ที่ไม่สามารย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ในธรรมชาตินั้นเอง
ดังนั้น การใช้แป้งฝุ่นก็ควรใช้ในปริมาณที่พอเหมาะพอควร และไม่ควรทำให้
แป้งฝุ่นนั้นฝุ้งไปในอากาศเพราะอาจจะทำให้สูดดมเข้าไปไม่รู้ตัว ที่สำคัญหาก
ต้องการที่จะทาแป้งบนตัวของเด็กเล็กก็ควรเทแป้งลงฝามือเสียก่อนจึงค่อยๆ
ทาลงบนตัวเด็กเล็กเพื่อปกป้องไม่ให้แป้งฝุ้งกระจายนั้นเอง

แป้งที่นักศึกษาใช้ เป็นแป้งแบบไหนกันบ้าง.......

.........................

สาระการเรียนที่ 8

ยาดม

ยาดม

ยาดม คือ ยาน้ำสำหรับสูดดมบรรเทาอาการคัดจมูก เวียนหัว เป็นลม หรือทารักษาอาการคัน บวม แดงจาก
แมลงกัดต่อย ซึ่งมี 2 ชนิด ได้แก่ ยาน้ำแอมโมเนีย และยาน้ำที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยหลายชนิด

เช่น การบูร เมนทอล เมทิลซาลิซีเลต เป็นต้น

คำเตือนในการใช้ยาดม

ห้ามเก็บหรือทิ้งบรรจุภัณฑ์ยาน้ำแอมโมเนียใกล้แหล่งกำเนิดความร้อนหรือประกายไฟ เพราะยาอาจติดไฟได้
ห้ามใช้ยาดมติดต่อกันเป็นเวลานาน และไม่ควรสูดดมยาที่ผสมเมทิลซาลิซีเลต เพราะอาจทำให้ระบบทางเดิน

ห้ามทายาดมบริเวณผิวหนังที่บอบบาหงาหยรใือจมเีกแิดผกลาเรปริดะคแายลเะคืหอ้างมไดใ้ห้ยาเข้าตา เพราะอาจทำให้ตาระคาย
เคืองหรือแสบร้อนได้ หากยาสัมผัสกับผิวหนังบริเวณดังกล่าวหรือยาเข้าตา ให้ผู้ป่วยล้างบริเวณนั้นด้วย

น้ำสะอาดอย่างน้อย 20 นาที โดยห้ามถูหรือทาขี้ผึ้ง แล้วรีบไปพบแพทย์ทันที
ห้ามรับประทานยาดม หากกลืนยาโดยอุบัติเหตุให้ดื่มน้ำมาก ๆ แล้วรีบไปพบแพทย์ทันที
ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาดม

ยาดม

คำเตือนในการใช้ยาดม

ไม่ควรใช้ยาดมในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี หรือต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น
ผู้ที่กำลังใช้ยารักษาโรคประจำตัวอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาดม

ห้ามใช้ยาดมหากแพ้น้ำมันหอมระเหยหรือแอมโมเนีย หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด หลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพอง โรคตา โรคหลอดเลือดสมอง และ

โรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาดม
ผู้ที่หน้ามืดหรือหมดสติบ่อย ๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยโรคหัวใจ ต้องไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการ

ตรวจหาสาเหตุของการหมดสติ

ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หากอาการเจ็บป่วยไม่ทุเลาลงหรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ เกิดขึ้นหลังจากใช้ยาดม

ผู้ป่วยอาจติดการสูดยาดมเป็นนิสัยได้หากใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะส่วนผสมบางชนิดโดย
เฉพาะการบูรและเมนทอลอาจมีผลต่อระบบประสาท

ปริมาณการใช้ยาดม ยาดม

ใช้สำลีชุบยาเล็กน้อยแล้วสูดดม หรือสูดดมยาจากบรรจุภัณฑ์โดยตรง เพื่อบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก
เวียนหัว

ใช้สูดดมช้า ๆ เพื่อรักษาอาการหน้ามืดจนกว่าผู้ป่วยจะรู้สึกดีขึ้น หรือใช้สำลีชุบยาน้ำแอมโมเนียเพื่อให้ผู้ป่วยที่
เป็นลมสูดดมช้า ๆ จนกว่าจะรู้สึกตัว โดยถือสำลีให้ห่างจากจมูกของผู้ป่วยประมาณ 4 นิ้ว

ใช้ทาบาง ๆ บริเวณผิวหนัง เพื่อรักษาอาการคัน บวม แดงจากแมลงกัดต่อยหรือการสัมผัสพืชบางชนิด

การใช้ยาดม ผู้ป่วยโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังรับประทานยารักษา
โรคอื่น ๆ ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากผลิตภัณฑ์อย่าง
เคร่งครัด หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรเสมอ
สำหรับการสูดดมยาดม ให้ใช้สำลีหรือผ้าเช็ดหน้าชุบยาน้ำผสมน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในแท่งยาดม
แล้วสูดดม หรือสูดดมยาจากบรรจุภัณฑ์โดยตรง โดยถือยาให้ห่างจากจมูกเล็กน้อย
หากต้องการสูดดมยาอย่างต่อเนื่อง ให้ทายาน้ำผสมน้ำมันหอมระเหยปริมาณเล็กน้อยบริเวณจมูก ลำคอ
และหน้าอก แต่ไม่ควรทายาในปริมาณมาก หรือสอดแท่งยาดมในรูจมูกเพื่อสูดดมตลอดทั้งวัน เพราะอาจ

ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกระคายเคืองได้

การใช้ยาดม ยาดม

ควรเช็ดบรรจุภัณฑ์ให้สะอาดและปิดฝาให้มิดชิด ไม่ควรใช้ยาดมของผู้อื่น เพราะอาจเสี่ยงติดเชื้อบางชนิดได้
ควรเก็บยาไว้ในอุณหภูมิห้อง ให้พ้นจากมือเด็กและแสงแดด และหมั่นตรวจสอบวันหมดอายุของยา
ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์หากมีอาการป่วยรุนแรง เพราะยาดมใช้รักษาอาการได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

ผลข้างเคียงจากการใช้ยาดม

ยาดมอาจทำให้ระบบทางเดินหายใจเกิดการระคายเคืองได้ โดยเฉพาะหากผู้
ป่วยใช้ผิดวิธี และผู้ที่สูดดมยาน้ำแอมโมเนียอาจไอหรือน้ำตาไหลเล็กน้อยได้

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยต้องไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการข้างเคียงที่รุนแรง เช่น เวียนหัว ปวดหัว ปวดตา
มองไม่ชัด อาเจียน ท้องเสีย รวมทั้งมีอาการแพ้ เช่น มีผื่นคัน และมีอาการบวมบริเวณใบหน้าหรือลำคอ

หายใจลำบาก เป็นต้น

ยาดมมี 3ชนิด ได้แก่ การบูร เมนทอล เมทิลซาลิซีเลต

A. ถูก B. ผิด

สาระการเรียนที่ 9

ยาหม่อง

ยาหม่อง

ยาหม่อง เป็นยาทาภายนอกสำหรับบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ อาการปวด บวม อักเสบจาก
แมลงกัดต่อย หรือใช้ดมเพื่อช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศรีษะ หน้ามืด เป็นลม ส่วนประกอบหลักของยาหม่อง
คือสารระเหยและสารสกัดจากสมุนไพรหลายชนิด เช่น เมนทอล การบูร บางสูตรอาจมีสารเมทิลซาลิไซเลต
(Methyl Salicylate) เพื่อเพิ่มสรรพคุณบรรเทาอาการปวดให้ดียิ่งขึ้น

คำเตือนการใช้ยาหม่อง ผู้ที่มีผิวบอบบางหรือผิวแพ้ง่ายควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้
สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
ห้ามใช้กับทารกหรือเด็กเล็ก หากไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ ห้ามใช้ผ้าพันแผลพันบริเวณผิวหนังที่ป้ายยา

ห้ามให้ผิวบริเวณที่ป้ายยาสัมผัสความร้อน ควรหลีกเลี่ยงการแช่น้ำร้อน ซาวน่า หรือใช้แผ่นประคบร้อน

ห้ามใช้ยาหม่องทาบริเวณผิวที่แห้ง แตก แพ้ง่าย ผิวไหม้จากแสงแดด หรือมีแผล

ห้ามทายาหม่องภายใน 1 ชั่วโมงก่อนอาบน้ำ และ 30 นาที หลังอาบน้ำ
ห้ามกลืนหรือรับประทานยาหม่องโดยเด็ดขาด

ยาหม่อง

ยาหม่องน้ำที่มีสารเมทิลซาลิไซเลตเป็นส่วนประกอบหลักไม่ควรนำมาใช้สูดดม เพราะอาจระคายเคืองต่อระบบทางเดิน
หายใจ ส่วนสารระเหยชนิดอื่น ๆ หากสูดดมที่ความเข้มข้นสูงอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูกได้เช่นกัน
นอกจากนั้น ศูนย์ข้อมูลวัตถุอันตรายและเคมีภัณฑ์ระบุว่าการสูดดมเมนทอลมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการมึนงง
สับสน มองเห็นภาพซ้อน และกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้

ปริมาณการใช้ยาหม่อง ยาหม่องสำหรับทา ทาและนวดตามบริเวณที่มีอาการปวด
เมื่อย หรือมีแมลงสัตว์กัดต่อย ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มาก

หรือน้อยจนเกินไป

ยาหม่องสำหรับสูดดม สูดดมเมื่อมีอาการวิงเวียนศีรษะ
หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม

การใช้ยาหม่อง ยาหม่อง

ปฏิบัติตามข้อแนะนำการใช้ยาของแต่ละผลิตภัณฑ์หรือตามคำแนะนำของ
เภสัชกรอย่างเคร่งครัด ไม่ควรใช้ยาหม่องในปริมาณมากเกิน น้อยเกิน

หรือใช้ติดต่อกันนานกว่าที่กำหนด
หากใช้เป็นครั้งแรก ควรป้ายยาหม่องปริมาณเล็กน้อยลงบนข้อพับแขนหรือข้อมือแล้วทิ้งไว้สักครู่ หากพบว่ามี
อาการแพ้ เช่น ผิวหนังแดง มีผื่น ควรล้างผิวบริเวณที่ป้ายยาด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที
ล้างมือก่อนและหลังจากใช้ยาหม่องทุกครั้ง หากยาหม่องเข้าตา จมูก หรือปาก ให้ล้างด้วยน้ำสะอาดทันที
รีบไปพบแพทย์หากอาการปวดไม่ดีขึ้นภายใน 7 วัน กลับมาปวดซ้ำภายใน 2-3 วันหลังจากหายดีแล้ว หรือมีผื่น
แดง ปวดศรีษะ มีไข้ หลังจากใช้ยา

เก็บยาหม่องไว้ที่อุณหภูมิห้อง ป้องกันไม่ให้ถูกแสงแดด และปิดฝาให้สนิททุกครั้งหลังใช้
ยาหม่องอาจทำให้รู้สึกร้อนหรือเย็นบริเวณผิวหนังที่ป้ายยา
ผลข้างเคียงการใช้ยาหม่อง ซึ่งความรู้สึกนี้จะค่อย ๆ บรรเทาไปเอง ทั้งนี้ หากมีอาการ

แพ้รุนแรง เช่น ลมพิษ ผิวไหม้ แสบร้อนหรือระคายเคืองที่ผิวมาก หายใจลำบาก มีอาการบวมตามใบหน้า
ริมฝีปาก ลิ้น และคอ ควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันที

ยาหม่องน้ำที่มีสารเมทิลซาลิไซเลตเป็นส่วนประกอบหลักไม่ควรนำมา
ใช้สูดดม เพราะอาจระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ

A. ถูก B. ผิด

สาระการเรียนที่ 10

สบู่

สบู่

สบู่ เป็นสารอินทรีย์อยู่ในรูปของโซเดียมของกรดคาร์บอกซิลิก (อาจเรียกว่ากรดอินทรีย์หรือกรดไขมันก็ได้) สังเคราะห์
ขึ้นมาเพื่อใช้ทำความสะอาดร่างกายตลอดจนซักเสื้อผ้า ล้างภาชนะ และวัสดุต่างๆ

แบ่งตามชนิดของสารที่ทำหน้าที่ในการซักล้าง ทำได้จากการทำปฏิกิริยาระหว่างเบส คือ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH)
กับไขมันที่ได้จากพืชและสัตว์ เช่น ไขมันที่มีชื่อว่า กลีเซอรีลไตรสเตียเรต (Glyceryltristearate) ทำปฏิกิริยากับ

โซเดียมไฮดรอกไซด์จะได้สบู่ ดังสมการ

กลีเซอริลไตรสเตียเรต + โซเดียมไฮดรอกไซด์ โซเดียมสเตียเรต + กลีเซอรอล

(ไขมัน) (เบส) (สบู่) (แอลกอฮฮล์)

สบู่ที่เตรียมได้จากสมการนี้ โดยมากมาจากไขมันสัตว์ทำปฏิกิริยากับโซเดียมไฮดรอกไซด์ ได้สบู่มีลักษณะเป็น
ก้อนแข็ง เช่น สบู่ถูตัวทั่วไป แต่ถ้าใช้น้ำมันทำปฏิกิริยากับโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์(KOH) จะได้สบู่เหลว

ได้แก่ สบู่โกนหนวด

สบู่

ไขมัน (น้ำมัน) + โซเดียมไฮดรอกไซด์ = สบู่แข็ง
ไขมัน (น้ำมัน) + โพแทสไฮดรอกไซด์ = สบู่เหลว

โดยทั่วไปสบู่ที่ได้จากไขสัตว์มีลักษณะค่อนข้างแข็ง ส่วนสบู่ที่ได้จากน้ำมันพืชมีลักษณะค่อนข้างอ่อน ในอุตสาหกรรมทำ
สบู่นิยมใช้ไขมันทั้งจากพืชและสัตว์ผสมกัน เพื่อให้ได้เนื้อสบู่ที่นุ่มนวลนำใช้ตามความประสงค์
การทำสบู่ในอุตสาหกรรมมักนิยมเติมสารอื่นลงไปด้วยเพื่อให้สบู่มีคุณภาพน่าใช้ สารที่มักเติมลงในสบู่ เช่น
(สโซารดเาพิแ่มอปชร)ะสเิตทิมธิโเภซติามเพดลีใยงนมใกนซาิสรลิบซเูั่กธกตรล้รามมงีสดูตาเทรีช่่ในชN้ซaัโ3กซSลเi้Oาดีง3ยทัม่หวคไราืปอร์โบซอแเเดตนี่ยไตมม่เฟมหีอสมูสตาเะรฟเตตNิมa2ในมCีสOสูบต3ู่ทรีเ่ใรีNชย้aถกู3ตทััP่ววO4ไปวส่าาโรซเดหาล่ซาันกี้ผม้ัาก
เติมสารที่มีกลิ่นหอม เช่น กลิ่นกุหลาบ เติมสารฆ่าเชื้อโรค เรียกว่า สบู่ยา ฯลฯ

สารละลายเบสในข้อใด เมื่อใช้ทำปฏิกิริิยากับกรดไขมัน
ได้"สบู่เหลว"

A. โซเดียมสเตียเรต B. โซเดียมไฮดรอกไซด์

C. โพแทสเซียม D. โซเดียมและ
ไฮดรอกไซด์ โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์

สบู่

การทำสบู่อาจใช้กรดชนิดอื่น ทำปฏิกิริยาเคมีโซเดียมไฮดรอกไซด์ได้อีก เช่น

กรดไขมัน + เบส สบู่ + น้ำ
C17 H35 COONa + H2O
Cก17รHดส35เCตีOยOริHก + NaOH โซเดียมสเตียเรต น้ำ
โซเดียมไฮดรอกไซด์ C15 H 31COONa + H2O
C15 H 31COOH + NaOH โซเดียมปาล์มิติก น้ำ
กรดปาล์มิติก โซเดียมไฮดรอกไซด์
C17 H33COOH + NaOH C17H33COOH + H2O
กรดโอเลลิก โซเดียมไฮดรอกไซด์ โซเดียมโอเลลิก น้ำ

หมายเหตุ กรดสเตียริก และกรดปาล์มมิติก เป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว
กรดโอเลอิก เป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว

สบู่

การเขียนสมการ การทำสบู่เป็นการเขียนแบบง่าย โดยใช้กรดไขมัน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของไขมัน มาเขียน
ทำปฏิกิริยากับเบส ถ้าเขียนให้สมบูรณืจริงๆต้องเขียนโมเลกุลของไขมันจริงๆแล้วทำปฏิกิริยากับเบส เช่น ระหว่าง
ไขมันที่มีชื่อว่า ปาล์มิติก (ไขมันอิ่มตัว) อาจเรียกว่า กลีเซอรอลปาล์มิเตต
ทำปฏิกิริยากับโซเดียมไฮดรอกไซด์(เบส) ดังสมการ
O CH2 - OH
3CH3 - (CH2)14- C - OCH2- 3NaOH 3CH3(CH2)14COO- NA+ + CH - OH

ไตรปาล์มิติน โซเดียมไฮดรอกไซด์ โซเดียมปาล์มิเตต CกHลี2เซ-อรอOลH
(ไขมัน) (เบส) (สบู่)

สบู่

หมายเหตุ ไขมันที่ใช้ทำสบู่ เช่น ไขวัว น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าวมักใช้ไขมันชนิดอิ่มตัวมากกว่าชนิดที่ไม่อิ่มตัว
ความแตกต่างของไขมันและน้ำมัน คือ กำหนดที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส ถ้าเป็นของแข็งเรียกว่า ไขมัน
แต่ถ้าของเหลว เรียกว่า น้ำมัน
การที่สบู่ใช้สารทำความสะอาดได้ก็เพราะโมเลกุลของสบู่ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นอัลคิลโซ่ยาว
ซึ่งละลายได้ดีในน้ำมันหรือไขมัน กับส่วนที่แตกตัวเป็นไอออนซึ่งละลายได้ในน้ำ ดังนี้
O
C17H35 - C - O-Na+ หรือ C17H35COO-NA+ C17H 35 คือ อัลคิลโซ่ยาว ใช้แทนด้วย R
เขียนให้สมบูรณ์ได้ ดังนี้

CH3CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH 2--

สบู่
O

เมื่อนำส่วนที่แตกตัวเป็นไอออน คือ - C - O- Na+ มาต่อจะไOด้ดังนี้

CH3CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2CH2--C - O-Na+
ส่วนที่ละลายในไขมันหรือน้ำมัน ส่วนที่ละลายน้ำ

เปรียบเทียบกับไม้ขีดไฟ 1 ก้าน ส่วนหัวไม้ขีด คือ ส่วนที่ละลายน้ำได้ และส่วนที่เป็นก้านไม้ขีด คือ ส่วนที่ละลายใน
ไขมัน หรือน้ำมัน สมมติว่ามีแก้วใบหนึ่งมีน้ำมันลอยอยู่ เมื่อใส่น้ำสบู่ลงไป โมเลกุลของสบู่จะหันส่วนที่ละลายในไข

มันเข้าสู่น้ำมัน (ก้านไม้ขีด) และหักส่วนที่ละลายในน้ำออกนอก (หัวไม้ขีด)
เมื่อเขย่าแก้วน้ำจะเกิดหยดน้ำมัน
น้ำมันลอย โมเลกุลสบู่หันส่วนที่ละลายใน เล้กๆล้อมรอบด้วยโมเลกุลของสบู่
น้ำมันเข้าสู่น้ำมันและหันส่วนที่ กระจายทั่วไปในแก้วจะไม่เห็นการ
แยกชั้นระหว่างน้ำมันกับน้ำอีก
ละลายน้ำสู่น้ำ

สารประกอบในข้อใดเป็นผลพลอยได้จากการผลิตสบู่

A. ฟีนอล B. เมทานอล

C. เอทานอล D. กลีเซอรอล

สาระการเรียนที่ 11

ผงซักฟอก

ผงซักฟอก

ผงซักฟอกจัดเป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นระหว่างสารประกอบไฮโดรคาร์บอน (อาจเรียกว่า อนุพันธ์ของสารประกอบไฮโดร
คาร์บอเนต ซึ่งโดยมั่วไปจะใช้แอลกอฮอล์ที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่) กับกรดซัลฟิวริกก่อน จะได้กรดซัลโฟนิก เมื่อ
กรดทำปฏิกิริยากับโซเดียมไฮดรอกไซด์ ก็จะได้เกลือโซเดียมของกรดซัลโฟนิกหรือผงซักฟอก ดังสมการ
NaOH
C12H25- OH + H2SO4 C12H25 OSO3H C12H25- OSO3 - OSO3- - Na+
ลอริลแอลกอฮอล์ กรดซัลฟิวริก ลอริลไฮโดรเจนซัลเฟต โซเดียมลอริลซัลเฟต (ผงซักฟอก)

ตัวอย่างการสังเคราะห์ผงซักฟอก อีกชนิดหนึ่ง คือ ระหว่างโดเดซิลเบนซินกับกรดซัลฟิวริกจะได้
พี-โดเดซัลเบนซินโฟนิกแอซิด สารนี้ทำปฏิกิริยาต่อกับโซเดียมไฮดรอกไซด์ (เบส) จะได้ผงซักฟอกชื่อ

โซเดียมพี-โดเดซิลเบนซินซัลโพเนต


Click to View FlipBook Version