ผงซักฟอก
ผงซักฟอกเป็นสารทำความสะอาดที่ทำปฏิกิริยากับน้ำได้ทุกชนิด เช่น น้ำบ่อ น้ำฝน น้ำคลอง น้ำบาดาล น้ำทะเล ฯลฯ
ถึงแม้จะเป็นน้ำกระด้าง ผงซักฟอกก็จะทำปฏิกิริยาได้ ซึ่งเป็นสมบัติของผงซักฟอกที่ดีอันหนึ่งที่ต่างกับสบู่ ความนิยมใน
การใช้ผงซักฟอกจึงมากกว่าสบู่ โดยเฉพาะการใช้ผงซักฟอกมรการซักเสื้อผ้า
ตัวอย่างชื่อทางเคมีของผงซักฟอกอื่นๆ เช่น
โซเดียมลอริลอีเทอร์ซัลเฟต ไตรเอทาโนลามีนลอริลซัลเฟต ลิเทียมลอริลอีเทอร์ซัลเฟต
โยเดียมไมริสติลซัลเฟต ฯลฯ
ส่วนประกอบของผงซักฟอกโดยทั่วไปผงซักฟอกมีส่วนผสม ดังนี้
1. สารลดแรงตึงผิว (Surface Tension) แบ่งเป็น
ไอออนลบ (Anion) เป็นเกลือโซเดียมซัลโฟเนตของเอสเทอร์จากกรดอินทรีย์
ไอออนบวก (Cation) เป็นเกลือของเบส
2. สารประกอบฟอสเฟต 3. สารประกอบซิลิเกต 4. โซเดียมคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส
(ช่วยให้ผงซักฟอกละลายน้ำได้ดี)
ผงซักฟอก
5. สารเพิ่มความสดใส 6. อิมัลซิฟายเออร์ (ช่วยป้องกันไม่ให้ผงซักฟอกตกตะกอน)
7. โซเดียมซัลเฟต (ป้องกันผงซักฟอกตะตะกอน) 8. แคลเซียมไฮโปคลอไรด์ โซเดียมไฮโปรคลอไรด์ (สารฟอกขาว)
ประเภทของผงซักฟอกมี 4 ประเภท ดังนี้
ผงซักฟอกประเภทแอนไอออนิก มีสารลดแรงตึงผิวพวกอัลคิลเบนซินซึ่งผลพลอยได้จากอุตสาหกรรม จัดเป็น
ผงซักฟอกที่ใช้ภายในบ้านทั่วไป อาจนำผงซักฟอกประเภทนี้ไปทำแชมพู สบู่เหลว น้ำยาล้างจาน ได้อีกด้วย
ผงซักฟอกประเภทแคดไอออนิก มีสมบัติเหมือนผงซักฟอกประเภทแอนไอออนิก แต่ไอออนบวกจะทำหน้าที่
เป็นสารลดแรงตึงผิว แทนไอออนลบ เตรียมได้จาก เทอเชียรีเอมีน (เอมีนองศาสาม) กับอัลคิลคลอไรด์
ผงซักฟอกประเภทนันไอออนิก เมื่อละลายน้ำมวลโมเลกุลของสารลดแรงตึงผิวจะไม่แตกตัวเป็นไอออน
เตรียมได้จากการทำปฏิกิริยาระหว่างอัลคิลฟินอล หรือกรดไขมัน หรือแอลกอฮอล์กับเอทิลีนออกไซด์ที่มากเกินพอ
ผงซักฟอกประเภทแอมโฟเทอริก สามารถลดแรงตึงผิวมีสมบัติเป็นได้ทั้งไอออนบวกและ
ไอออนลบเมื่อละลายอยู่ในน้ำ
ผงซักฟอกมีผลทำให้สัตว์น้ำตายน้ำเป็นสีดำและเกิด
ก๊าซไข่เน่าผลจากสารใด
A. สารฟอสเฟต B. สารทำให้เกิดฟอง
C. สารลดแรงตึงผิว D. อะซิโตน
สาระการเรียนที่ 12
น้ำยาซักแห้ง
น้ำยาซักแห้ง
น้ำยาซักแห้งเป็นสารละลายผสมซึ่งประกอบด้วย ตัวทำละลาย (Sovent) ที่สำคัญ ได้แก่
คาร์บอแนนเฟตทตาระหครลืออปไิรโตด์รมเีลสีูยตมรเบCนCซlิ4น เป็นส่วนผสมของน้ำมันเบนซิน
อะซิโตน
ส่วนประกอบสำคัญคล้ายคลึงกับผงซักฟอก คือ มีโซเดียมลอริลซัลเฟต เป็นองค์ประกอบ
การซักแห้งไม่ได้ หมายความว่า ไม่ใช้น้ำเข้าช่วยในการซัก แต่การซักแห้ง หมายถึง การใช้สารเคมีเฉพาะอย่างเป็นตัว
ทำละลายสิ่งสกปรกออกจากเสื้อผ้า แล้วทำความสะอาดด้วยน้ำขั้นสุดท้าย หรือไม่ใช้น้ำเลยสำหรับเสื้อผ้าที่
ผลิตจากใยสังเคราะห์บางชนิดต้องระวัง เมื่อนำไปซักแห้งอาจเกิดความเสียหายได้ เช่น ใยแอซีเตตเรยอง
จะละลายได้ในอะซีโตน โดยเฉพาะเส้นใยสังเคาระห์ปัจจุบันจะซักน้ำหรือซักแห้งคุณภาพของเนื้อผ้าจะไม่แตก
ต่างกัน เพระาเส้นใยไม่เหมือนกับใยขนสัตว์หรือใยไหมจึงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการซักแห้งเพียงแต่ใช้ผงซักฟอก
หรือสารเคมีชื่อ โซเดียมลอริลซัลเฟตผสมน้ำซัก
สาระการเรียนที่ 13
น้ำยาปรับผ้านุ่ม
น้ำยาปรับผ้านุ่ม
น้ำยาปรับผ้านุ่ม หมายถึง สารเคมีที่ที่มีคุณสมบัติทำความสะอาด และปรับปรุงเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มให้มีความนุ่มนวล
มีความหอม เมื่อสัมผัสหรือสวมใส่ทำให้ความรู้สึกนุ่มสบายของเนื้อผ้า มักใช้ใส่หลังจากการซักผ้าด้วยผงซักฟอกแล้ว
น้ำยาปรับผ้านุ่มประกอบด้วยสารเคมี 2 ส่วนคือ ส่วนที่ทำให้ผ้านุ่ม ได้แก่ กรดไขมันที่ได้จากสัตว์ เมื่อสัมผัสผิวผ้าจะ
ทำให้เกิดความนุ่ม ไม่แข็ง (ไม่ใช่ กรดน้ำมัน) และสารที่ให้กลิ่นหอม ติดทนนาน ซึ่งปัจจุบันใช้แค่สาร
"เอทิลอะซีเตท-เบนซิลอะซีเตท" เพราะไม่เป็นอันตราย
น้ำยาปรับผ้านุ่มเป็นสารลดแรงตึงผิวที่มีองค์ประกอบของสาเคมีในลักษณะของสารโมเลกุลยาว ใช้เพื่อจุดประสงค์หลัก
เพื่อลดความหยาบกระด้างของเส้นใยผ้าชนิดต่างๆ เพิ่มความเรียบลื่น และความอ่อนนุ่มของเนื้อผ้า
การใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มในช่วงแรกมีการใช้ในเส้นใยเรยอน และต่อมามีการผลิตเพื่อใช้สำหรับเส้นใยผ้าได้ทุกชนิด
เนื่องจากโดยธรรมชาติของเส้นใยผ้าที่ผลิตจากเส้นใยชนิดต่างๆมักมีความชื้นอยู่น้อย มีความแข็ง หยาบ ทำให้
เกิดการหยาบต่อผิวเวลาสวมใส่ และเกิดไฟฟ้าสถิตได้ง่าย
น้ำยาปรับผ้านุ่ม
น้ำยาปรับผ้านุ่มมีส่วนทำให้เกิดสารตกค้างในผ้า แต่มีปริมาณที่น้อยมาก การสวมใส่เสื้อผ้าบนผิวหนังจึงไม่มีสารที่ซึมเข้า
สู่เลือดจนส่งผลต่อฮอร์โมน ยกเว้นคนที่มีอาการแพ้ เกิดผื่น หากเปลี่ยนยี่ห้อแล้วหาย
ทำให้ผ้าอ่อนนุ่ม เนื่องจากโครงสร้างของสารมีส่วนประกอบของไขมัน น้ำมันหรือขี้ผึ้ง
ที่เคลือบอยู่บนผิวผ้าทำให้เกิดความนุ่มลื่น นอกจากนั้น สารปรับผ้านุ่มยังมีคุณสมบัติในการ
ดูดความชื้นได้ดีทำให้เส้นใยมีความชื้นเพิ่มขึ้น
ลดไฟฟ้าสถิตย์ เนื่องจากสารปรับผ้านุ่มมีประจุบวกที่เข้าเกาะติดกับประจุลบของเส้นใยทำให้ลดปริมาณ
ประจุลบที่จะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตย์ได้
ผ้าทนต่อแรงขัดหรือการเสียดสี เนื่องจากมีการเคลือบของสารประเภทไขมันที่ช่วยลดแรงเสียดสี
ของเส้นใยได้
ช่วยเพิ่มน้ำหนักผ้า ทำให้ผ้าทิ้งตัวได้ดี ทั้งน้ำหนักจากสารปรับผ้านุ่ม และการดูดซับความชื้น
บนเส้นใยเพิ่มขึ้น
น้ำยาปรับผ้านุ่ม
ผ้ารีดง่ายขึ้น จากผ้าที่มีไขมัน และความชื้น ทำให้สามารถรีดง่าย ไม่ยับง่าย
ลดการเกิดขุยของผ้า โดยเฉพาะบริเวณที่มีการเสียดสี เช่น แขน ขา รักแร้ ซึ่งสารปรับผ้านุ่มจะช่วยลดแรงเสียดสี
ที่เป็นสาเหตุของการเกิดขุย
ทำให้ผ้าแห้งเร็ว เนื่องจากสารปรับผ้านุ่มมีส่วนประกอบของแอมโมเนียที่สามารถพาน้ำระเหยออกได้เร็ว
ลดการเปียกน้ำ สำหรับผ้าที่ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มบ่อยๆ จะมีปริมาณไขมันเกาะติดมากทำให้ผ้าลดการเปียกน้ำได้ดีขึ้น
ผ้าที่ดูดซับความชื้นได้ดีจะดูดซับความชื้นได้น้อยลงจากการเคลือบ
ของสารปรับผ้านุ่ม
การใช้น้ำยาบ่อยครั้งอาจทำให้เกิดรอยคราบบนผ้า โดยเฉพาะการใช้ในปริมาณความเข้มข้นมากๆ
ผ้าเกิดเชื้อราได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีการดูดซับความชื้นไว้ในเนื้อผ้า แต่ปัจจุบันมักมีส่วนผสมของสารเคมีที่
ช่วยป้องกันเชื้อรา
ขัดขวางการทำงานของผงซักฟอก เนื่องจากสารปรับผ้านุ่มมักมีส่วนผสมของสารที่ทำให้ปริมาณ
ฟองลดลง ดังนั้น จึงนิยมใช้หลังการซักผ้าเสร็จก่อนตาก
น้ำยาปรับผ้านุ่ม
ทำให้ความเหนียวของผ้าลดลงจากความชื้นของผ้า ทำให้ผ้ามีความทนไฟลดลง
สารแคตไอออนิกที่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสม ได้แก่ สารประกอบควอเตอร์
นารีไนโตรเจน อาทิ ไดอัลคิลแอมโมเนียมคลอไรด์ ส่วนสารแคตไอออนิกช
นิดอื่นๆที่นำมาใช้ เช่น amino amides และ imidazoleines
สารทำให้นุ่มที่สามารถกระจายในตัวทำละลาย (น้ำ) ได้ดี
สารช่วยกระจายตัว ทำให้ผลิตภัณฑ์มีเสถียรภาพ สามารถเก็บรักษาได้นาน ไม่มีการเกาะตัว และ
กระจายตัวในสารละลายได้ดี
สารช่วยให้ดูดติดเส้นใย ทำหน้าที่ช่วยในการดูดติดระหว่างสารทำให้นุ่มกับเส้นใยมีการดูดติดที่ดีขึ้น
สารกันบูด ทำหน้าที่ป้องกันการเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ช่วยป้องกันการบูดของน้ำยาทำให้
สามารถเก็บไว้ได้นาน
ผงซักฟอกประเภทใด นิยมนํามาดัดแปลงทำ
น้ำยาปรับผ้านุ่ม
A. แอนไอออนิก B. แคตไอออนิก
C. นันไอออนิก D. แอมโฟเทอริก
สาระการเรียนที่ 14
น้ำยาเช็ดกระจก
น้ำยาเช็ดกระจก
น้ำยาเช็ดกระจก จัดอยู่ในผลิตภัณฑ์ซักล้าง จึงมีสารลดแรงตึงผิวเป็นองค์ประกอบหลักผสมกับสารเคมีที่ใช้เป็นตัวทำละลาย
ส่วนผสมหลัก จะใช้ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ (isopropyl alcohol) ในปริมาณ 1.0-4.0% ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์เป็น
ของเหลวใส ไม่มีสี ไวไฟ และมีกลิ่นฉุนมาก ใช้ในการทำความสะอาด ถ้าจะใช้ฆ่าเชื้อต้องใช้ที่ความเข้มข้นสูงถึง 60-70%
การหายใจเข้าไปในปริมาณเล็กน้อยจะระคายเคืองจมูก ลำคอ และระบบทางเดินหายใจ ทำให้ปวดหัว คลื่นไส้ วิงเวียน
อาเจียน ถ้าได้รับปริมาณสูงขึ้นอาจทำให้หมดสติ หรือตายได้ การสัมผัสนาน ทำให้ผิวหนังแห้งและแตก การกลืนกินมี
อาการคล้ายการหายใจ อาเจียนและอาจทำอันตรายแก่ปอด และระคายเคืองต่อตา ห้ามทิ้งสู่แหล่งน้ำ น้ำเสีย หรือดิน
สามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้
สารเคมีที่นิยมใช้เป็นตัวทำละลายในน้ำยาเช็ดกระจกอีกชนิดคือบิวทิลเซลโลโซลฟ์ (butyl cellosolve) เป็นตัวทำ
ละลายเคมีที่ละลายน้ำได้ (water-soluble solvent) มักใช้กับคราบมัน หรือทำให้มัน มีชื่อทางเคมีว่า 2-บิวทอกซีเอ
ทานอล (2-butoxyethanol) หรือเอทาลีนไกลคอลโมโนบิวทิลอีเทอร์ (ethylene glycol monobutyl ether) มีค่า
LD50 (หนู) 470 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เป็นพิษหากถูกดูดซึมผ่านผิวหนัง กินเข้าไปทำให้มึนเมาได้
น้ำยาเช็ดกระจก
ตัวทำละลายทั้ง 2 มีผลกระทบคล้ายกันคือ ระคายเคืองต่อตา ผิวหนัง จมูก ลำคอ เกิดอาการไอ คลื่นไส้ วิงเวียน ปวดหัว
ตาแดง เจ็บตา เห็นไม่ชัด ปวดท้องน้อย ท้องเสีย อาเจียน กดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก แต่ไม่ต้อง
กังวลมากเพราะตัวทำละลายในน้ำยาเช็ดกระจกมีความเข้มข้นน้อยมากคือเพียง 0.5-2.5% เท่านั้น
สารลดแรงตึงผิวที่ใช้ในน้ำยาเช็ดกระจก คือ sodium lauryl ether sulfate (SLES) หรือ sodium laureth sulfate ใช้ใน
ปริมาณ 0.1 - 0.6 % โดยน้ำหนัก SLES มีค่า LD50 (หนู) 1,600 มิลลิกรัม/กิโลกรัม มีพิษปานกลาง เป็นสารทำให้เกิดฟอง
มักใช้ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และแชมพู อาจทำให้เกิดการระคายเคืองตาและผิวหนัง หากเกิดอาการ
หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ควรหยุดใช้ทันที ในกระบวนการผลิต SLES อาจปนเปื้อนด้วย 1,4-dioxane ซึ่งอาจเป็นสารก่อมะเร็ง
น้ำยาเช็ดกระจกบางชนิดที่ไม่ใช้ sodium lauryl ether sulfate เป็นสารลดแรงตึงผิว จะใช้ cocamidopropyl
betaine แทน ซึ่งเป็นสารลดแรงตึงผิวที่จับกับทั้ง anion และ cation ในเวลาเดียวกัน สาร
cocamidopropyl betaine เป็นสารลดแรงตึงผิวแบบอ่อน ที่ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและ
เนื้อเยื่อในจมูก มีสมบัติฆ่าเชื้อโรคด้วย และเข้าได้กับสารลดแรงตึงผิวชนิดอื่นๆ cocamidopropyl betaine
ในน้ำยาเช็ดกระจกมีความเข้มข้นต่ำกว่า 1 % จะไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง อย่างไรก็ตามสำหรับที่ความ
เข้มข้นสูงขึ้นไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ ควรหลีกเลี่ยงการเทผลิตภัณฑ์ใส่มือโดยตรง
สาระการเรียนที่ 15
น้ำยาล้างจาน
น้ำยาล้างจาน
น้ำยาล้างจาน หมายถึง ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ทำความสะอาดจาน ชาม รวมถึงภาชนะอื่นๆที่ใช้ในครัวเรือนเพื่อช่วยกำจัดคราบ
ไขมัน และเศษอาหารให้ออกได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้น ยังใช้เพื่อทำความสะอาดในด้านอื่นๆ เช่น ใช้ทำความสะอาดภาชนะ
ต่างๆ ใช้ทำความสะอาดมือเท้า เป็นต้น
ชนิดของน้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างจานจากพืช เป็นน้ำยาล้างจานที่ผลิตได้จากส่วนผสมของพืชเป็นหลัก
เช่น น้ำมะกรูด น้ำมะนาว เป็นต้น มักเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตในภาคครัวเรือนเพื่อใช้เองหรือผลิตเพื่อการ
จำหน่ายขนาดเล็กเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน
น้ำยาล้างจานจากสารเคมี เป็นน้ำยาล้างจานที่มีส่วนผสมของสารเคมีเป็นหลัก เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตมาก
ในภาคอุตสาหกรรม
น้ำยาล้างจานจากสารเคมี และจากพืช เป็นน้ำยาล้างจานที่มีส่วนผสมของสารเคมี และสาร
สกัดจากพืชเป็นหลัก เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิต และใช้มากในปัจจุบัน ทั้งในภาคอุตสาหกรรม
และครัวเรือน
น้ำยาล้างจาน
ส่วนประกอบของน้ำยาล้างจาน ส่วนประกอบของน้ำยาล้างจานที่เป็นสารเคมีสังเคราะห์จะประกอบ
ด้วยสารเคมีในกลุ่มสารลดแรงตึงผิวที่ให้ประจุลบเป็นหลัก มีลักษณะลื่น เมื่อละลายน้ำจะมีฤทธิ์เป็นกรด
และทำให้เกิดฟองจำนวนมาก สามารถแทรกซึมสู่พื้นผิวของภาชนะได้ดีทำให้คราบไขมัน และเศษอาหารหลุดออกได้ง่าย
ส่วนประกอบที่สำคัญได้แก่
Sodium Alkyl Benzene Sulphonate หรือ Linear Alkyl Benzene Sulphonate (น้ำยา N70) 12.8 – 14.4% w/w
Sodium Lauryl Ether Sulphate 3.5% w/w
Cocamidopropyl Betaine 0.5% w/w
สารสกัดจากพืช เช่น น้ำมะนาว น้ำมะกรูด
ประโยชน์น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างจาน
ใช้ล้างทำความสะอาดคราบไขมัน คราบอาหารที่เปื้อนตามมือ เท้า หรือส่วนต่างๆของร่างกาย ยกเว้น
บริเวณผิวบอบบาง เช่น ใบหน้า
ใช้ล้างทำความสะอาดอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนเครื่องจักรต่างๆ
ใช้ล้างทำความสะอาดแก้ว กระจกหรือเครื่องตกแต่งต่างๆ ใช้ล้างรถ
น้ำที่ใช้แล้วจากการล้างจานหรือภาชนะในครัวเรือนสามารถนำมารดต้นไม้หรือลานหญ้าเพื่อเพิ่มปุ๋ยฟอสฟอรัสได้
ข้อควรระวัง ระมัดระวังไม่ให้สัมผัสกับตา เนื่องด้วยสารประกอบส่วนใหญ่มีฤทธิ์เป็นกรด
หากสัมผัสกับตาจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง แสบตา ตาแดง ตาอักเสบได้ง่าย เมื่อสัมผัสให้
รีบล้างด้วยน้ำสะอาดทันที
ผู้ที่มีอาการแพ้ต่อสารเคมีได้ง่ายควรทดสอบโดยการละลายน้ำ และทาบางๆบนผิวหนัง หากเกิด
อาการแพ้ควรหลีกเลี่ยงการใช้หรือให้สวมถุงมือก่อนใช้ทุกครั้ง
ห้ามรับประทาน และควรเก็บให้พ้นจากมือเด็กที่อาจหยิบจับได้ง่าย
น้ำยาล้างจานมีฤทธิ์เป็น "กรด" หรือ "เบส"
A. กรด B. เบส
สาระการเรียนที่ 16
สารทำความสะอาดภาชนะโลหะ
สารทำความสะอาดภาชนะโลหะ
ผลิตภัณฑ์ล้างและทำความสะอาดผิวโลหะ คือผลิตภัณฑ์เคมีที่มีความเหมาะสมในการล้างทำความสะอาดชิ้นงานโลหะใน
อุตสาหกรรมโดยเฉพาะ โดยจะล้างไขมันและฝุ่นผงต่างๆ ออกไป เป็นการเตรียมผิวชิ้นงานให้สะอาดก่อนเข้าสู่
กระบวนการถัดไปหากการทำความสะอาดไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ อาจจะส่งผลต่อคุณสมบัติต่างๆ ของชิ้นงาน
เช่น ประสิทธิภาพการป้องกันสนิม หรือการยึดติดของสี เป็นต้น
คุณสมบัติ สามารถล้างน้ำมันกันสนิมและฝุ่นผงออกได้ดี
สามารถใช้ได้ทั้งกระบวนการแบบจุ่มและแบบสเปรย์
สามารถล้างทำความสะอาดในบริเวณที่ยาก
สามารถใช้ได้กับวัสดุหลากหลายประเภท ต่อการเข้าถึง เช่น ตามแนวรอยพับ เป็นต้น
สามารถแยกน้ำมันออกจากน้ำยาเคมีได้ง่าย ทำให้ง่ายต่อการทำความสะอาด และสามารถใช้น้ำยาเคมีได้นาน
ใช้งานได้ที่อุณหภูมิต่ำ แต่ยังคงประสิทธิภาพสูงในการล้างและเกิดฟองน้อย
สามารถยับยั้งการกัดกร่อนหรือการเกิดสนิมบนชิ้นงานโลหะได้ชั่วคราว โดยการสร้างชั้นฟิล์มบางที่
มีประสิทธิภาพในการป้องกันสนิม
สาระการเรียนที่ 17
สารทำความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ์
สารทำความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ์
สารทำความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ์ (น้ำยาล้างห้องน้ำ) หมายถึง น้ำยาทำความสะอาดที่ประกอบด้วยกรด และสารลดแรง
ตึงผิวที่ใช้สำหรับทำความสะอาด และขจัดคราบสกปรกในห้องน้ำ
น้ำยาล้างห้องน้ำทุกชนิดจะมีส่วนประกอบหลักที่สำคัญ 1 ชนิด คือ กรดไฮโดรคลอริก (Hydrochloric Acid) ซึ่งเป็นกรดแก่
มีคุณสมบัติ ดังนี้
มีฤทธิ์กัดก่อนโลหะ
ทำปฏิกิริยากับโลหะหรือสารเคมีอื่นจะทำให้เกิดก๊าซไฮโดรเจนคลอไรด์ที่มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อระบบหายใจ
เมื่อเปิดทิ้งไว้หรือขณะใช้จะเกิดไอระเหยของก๊าซไฮโดรเจนคลอไรด์ วิธีใช้
ทำปฏิกิริยากับหินปูนทำให้เกิดก๊าซ CO2
สำหรับสูตรเข้มข้นที่มีกรดไฮโดรคลิอริก 15-22% ให้ผสมน้ำในอัตราส่วน 1:1 ก่อน แล้ว
ค่อยเทราดตามผนัง พื้นห้องน้ำ หรืออุปกรณ์สุขภัณฑ์ และปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที
สำหรับสูตรที่มีกรดไฮโดรคลิอริก น้อยกว่า 15% ให้ผสมน้ำในอัตรา 1:0.5 แลจ้ึวงคค่่ออยยใช้แปลงขัดถู และล้างออก
เทราดทิ้งไว้ 10 นาที ก่อนขัดล้างออกด้วยแปลง หรือไม่ต้องผสมก็ได้
สารทำความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ์
ประโยชน์สารทำความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ์ (น้ำยาล้างห้องน้ำ)
ขจัดคราบตะไคร่น้ำ ขจัดคราบสนิม ขจัดคราบหินปูน ขจัดคราบตะกรัน ขจัดคราบสิ่งปฏิกูล
ขจัดคราบสบู่ หรือ น้ำยาทำความสะอาดร่างกาย ขจัดคราบผงซักฟอก ขจัดคราบยาสระผม
ขจัดคราบดำของสิ่งสกปรกตามร่องตื้น ช่วยฆ่าเชื้อโรค ป้องกันการลื่นของห้องน้ำ
พิษสารทำความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ์ (น้ำยาล้างห้องน้ำ)
ไอระเหยของก๊าซไฮโดรเจนคลอไรด์มีฤทธิ์ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ
น้ำยาล้างห้องน้ำมีฤทธิ์เป็นกรด เมื่อสัมผัสกับผิวหนังในร่างกายจะทำให้เกิดการระคายเคือง ผิวหนังไหม้
ปวดแสบปวดร้อน และเกิดผื่นแดงหรืออาจเกิดแผลอักเสบได้ หากสัมผัสกับผิวหนังให้รีบล้างออกทันที
หากน้ำยาสัมผัสกับตา อาจทำให้ตาบอดได้ เมื่อสัมผัสจะต้องรีบล้างออกด้วยน้ำสะอาดทันที
แต่หากล้างน้ำแล้วอาการไม่ดีขึ้น ให้รีบพบแพทย์ทันที
เมื่อกรดไฮโดรคลอริกทำปฏิกิริยากับหินปูจะเกิดก๊าซชนิดใด
A. CO B. CO2
C. SO2 D. NO2