การวจิ ยั ในชัน้ เรยี น
เรือ่ ง
การจัดกจิ กรรมสรา้ งสรรค์งานสวยดว้ ยเอกลักษณไ์ ทย
โดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4
โรงเรียนนวมนิ ทราชินทู ิศ สตรวี ิทยา พทุ ธมณฑล
จัดทำโดย
นายพสิษฐ์ อธิษฐ์ธรรมธัช
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี ฯ เทอม 2 ปีการศึกษา 2562
โรงเรยี นนวมนิ ทราชินทู ศิ สตรีวิทยาพทุ ธมณฑล
สำนักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต1
กระทรวงศกึ ษาธิการ
โรงเรียนนวมินทราชินทู ิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล
ชอื่ เรือ่ ง การจัดกิจกรรมสรา้ งสรรคง์ านสวยดว้ ยเอกลักษณไ์ ทย โดยใช้โครงงานเป็นฐาน
ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนนวมนิ ทราชนิ ูทิศ สตรวี ิทยา พุทธมณฑล
ผูว้ ิจัย นายพสษิ ฐ์ อธษิ ฐธ์ รรมธัช
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ การงานอาชพี
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2562
บทคดั ยอ่
การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนกลุ่มสาระการเรียนรกู้ ารงานอาชีพ การเปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นได้
ลงมือปฏิบัติจริงอย่างเป็นระบบด้วยตนเอง ช่วยให้ผู้เรียนค้นพบองค์ความรู้จากการปฏิบัติ เกิดทักษะ
และกระบวนการทำงานที่ถูกต้อง การศึกษาค้นคว้าในคร้ังน้ีมีความมุ่งหมายเพ่ือ 1) หาประสิทธิภาพ
ของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน ตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบโครงงาน และ 3) ศึกษาความ
พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน กลุ่มสาระการงานอาชีพ เร่ืองการ
สร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 4/5 จำนวน 38 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ
สตรีวิทยา พุทธมณฑล ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sample) เครื่องมือท่ีใช้ใน
การศึกษาค้นคว้ามี 3 ชนิด ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน จำนวน 5 แผน
10 ช่ัวโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ
และ 3) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน สถิติที่ใช้ใน
การศึกษาคน้ ควา้ ไดแ้ ก่ ค่าเฉล่ีย ร้อยละ ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาคน้ คว้าปรากฏดังน้ี
1. แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบโครงงานเรื่องการสร้างสรรค์งานสวยด้วย
เอกลักษณ์ไทย กลุ่มสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ที่ผู้ศึกษา
คน้ คว้าพัฒนาขน้ึ มปี ระสทิ ธิภาพ 83/82
2. ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นก่อนเรียนและหลังเรียนดว้ ยการจัดกิจกรรมการเรยี นรูแบบ
โครงงาน เรื่องการสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย กลุ่มสาระการเรียนรูการงานอาชีพและ
เทคโนโลยีงาน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อน
เรยี นอย่างมีนยั สำคญั ทางสถติ ิระดับ .05
3. นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง
การสร้างสรรคง์ านสวยดว้ ยเอกลักษณ์ไทย โดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน และความพงึ พอใจเป็นรายดา้ นอยใู่ น
ระดับมาก
โดยสรุป แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เร่ืองการสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย โดยใช้
โครงงานเป็นฐาน ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าข้ึนมีประสิทธิภาพและช่วยพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนครูผู้สอน
สามารถนำไปใช้ในการพัฒนากับผเู้ รยี นหรือประยกุ ตใ์ ชใ้ ห้สอดคล้องกับบริบทท่ีตอ้ งการได้
กิตติกรรมประกาศ
การศึกษาค้นคว้าอิสระฉบับน้ี สำเร็จสมบูรณ์ ผู้ศึกษาค้นคว้าขอขอบคุณ นายธนะกุล
ช้อนแก้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล พร้อมคณะครูโรงเรียน
นวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล ท่ีให้ความอนุเคราะห์ และอำนวยความสะดวกในการศึกษา
ค้นคว้าเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งน้ี และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีให้ความร่วมมือในการเก็บ
รวบรวมข้อมูลเป็นอย่างดี สุดท้ายขอขอบคุณบุพการีและบูรพาจารย์ทุกท่านท่ีส่งเสริมสนับสนุน
และเปน็ กำลังใจให้แก่ผศู้ กึ ษาคน้ ควา้ มาโดยตลอด
คุณค่าและประโยชน์จากการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้ศึกษาค้นคว้าของมอบบูชาคุณบิดา
มารดา คุณบูรพาจารย์ทุกท่านท่ีให้ความรักให้การอบรมส่ังสอนให้มีความรู้ และคุณธรรมจนผู้ศึกษา
ค้นคว้าประสบความสำเร็จ
นายพสิษฐ์ อธษิ ฐธ์ รรมธชั
ผู้ทำการวจิ ัย
สารบญั หนา้
บทที่ 1
1. บทนำ 1-๑๐
10
ภมู หิ ลงั 10
ความมงุ่ หมายของการศกึ ษาค้นควา้
ความสำคัญของการศึกษาค้นคว้า ๑๐-๑๑
ขอบเขตของการศกึ ษาค้นคว้า
2. เอกสารและงานวิจยั ท่ีเก่ียวข้อง 12-๑๓
เอกสารทเ่ี กย่ี วข้องกบั หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี 13-2๓
เอกสารท่ีเกย่ี วข้องกับโครงงาน 2๓-25
เอกสารที่เก่ยี วข้องกบั ดัชนีประสทิ ธิภาพและดัชนีประสิทธผิ ล 25-๒๖
เอกสารทเ่ี กยี่ วข้องกับการวัดความพึงพอใจหรอื ทศั นคติ 26-๒๗
เอกสารท่เี ก่ยี วข้องกับความรู้ทวั่ ไปเกีย่ วกบั งานประดิษฐท์ ่ีเป็นเอกลักษณ์ไทย 2๗-2๘
งานวจิ ยั ที่เกีย่ วข้อง
3. วธิ ดี ำเนินการศึกษาค้นควา้ 2๙
ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง 2๙
แบบแผนการทดลองท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ๓๐
เครื่องมือท่ีใชใ้ นการวิจยั ๓๐-๓๑
ขนั้ ตอนการสรา้ งและหาคุณภาพของเคร่ืองมือ ๓๒-๓๕
วธิ กี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู
4. ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ๓๖
สญั ลกั ษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๓๖
ลำดับขัน้ ตอนในการเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ๓๖-๔๓
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
5. สรุป อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ 4๔
วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั 4๔
สมมติฐานของการวจิ ัย 44-๔๕
สรุปผลการวจิ ยั ๔๕-๔๗
การอภิปรายผล 47
ขอ้ เสนอแนะ
สารบญั (ต่อ) หนา้
48
บรรณานกุ รม
๕๐-๖๕
ภาคผนวก ๖๗-๖๙
ภาคผนวก ก ตัวอยา่ งแผนการจดั การเรยี นรู้ ๗๑-๗๓
ภาคผนวก ข แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ๗๕-๘๖
ภาคผนวก ค แบบประเมนิ ความพึงพอใจ
ภาคผนวก ง ตวั อย่างรูปภาพประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1
บทที่ 1
บทนำ
ภมู หิ ลงั
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรอิง
มาตรฐาน ซึ่งกำหนดส่ิงที่ผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ไว้ในมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด ซึ่งจะ
ประกอบด้วย ความรู้ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่พึงประสงค์ เมื่อผู้เรียนได้รับการ
พัฒนาไปแล้ว นอกจากจะมีความรู้ความสามารถ ตลอดคุณธรรมจริยธรรมที่กำหนดไว้ในมาตรฐานการ
เรียนรู้และตัวช้ีวัดแล้ว จะนำไปสู่การมีสมรรถนะสำคัญ 5 ประการและมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8
ประการอีกด้วย คุณลักษณะอังพึงประสงค์ที่หลักสูตรกำหนดนั้นต้องได้รับการปลูกฝังและพัฒนา ผ่าน
การจัดการเรียนการสอน การปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนในลักษณะต่างๆจนตกผลึกเป็นคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์ต้องใช้ข้อมูลจากการสังเกตพฤติกรรม ซ่ึงใช้เวลาในการเก็บข้อมูลพฤติกรรมเพ่ือนำมา
ประเมินและตดั สิน
ผู้วิจัยได้เห็นความสำคัญของคุณลักษณะอันพึงประสงค์ข้อที่ 7 รักความเป็นไทย
หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงออกถึงความภาคภูมิใจ เห็นคุณค่า ร่วมอนุรักษ์สืบทอดภูมิปัญญาไทย
ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะและวัฒนธรรม ใช้ภาษาไทยในการสื่อสารได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ผู้ท่ีรักความเป็นไทย คือ ผู้ท่ีมีความภาคภูมิใจ เห็นคุณค่า ชื่นชม มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ สืบทอด
เผยแพร่ภูมิปัญญาไทย ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะและวัฒนธรรมไทย มีความกตัญญูกตเวที ใช้
ภาษาไทยในการสือ่ สารอย่างถูกตอ้ งเหมาะสม
หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ได้จัดเน้ือหาออกเป็น 4
สาระที่ 1 การดำรงชีวิตและครอบครัว มาตรฐาน ง 1.1 เข้าใจการทำงาน มีความคิดสร้างสรรค์ มี
ทักษะกระบวนการทำงาน ทักษะ การจัดการ ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา ทักษะการทำงานร่วมกัน
และทักษะการแสวงหาความรู้ มีคุณธรรม และลักษณะนสิ ัยในการทำงาน มจี ิตสำนึกในการใช้พลังงาน
ทรัพยากร และส่ิงแวดล้อมเพ่ือการดำรงชีวิตและครอบครัว สาระที่ 2 การออกแบบและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ง ๒.๑ เขา้ ใจเทคโนโลยีและกระบวนการเทคโนโลยี ออกแบบและสร้างส่ิงของเครื่องใช้ หรือ
วิธีการ ตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ เลือกใช้เทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ต่อ
ชีวิต สังคม ส่ิงแวดล้อม และมีส่วนร่วมในการจัดการเทคโนโลยีท่ีย่ังยืน สาระที่ 3 เทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสาร มาตรฐาน ง ๓.๑ เข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้กระบวน การเทคโนโลยี
สารสนเทศในการสืบค้นข้อมูล การเรียนรู้ การสื่อสาร การแก้ปัญหา การทำงาน และอาชีพอย่างมี
ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและมีคุณธรรม สาระที่ 4 การอาชีพ มาตรฐาน ง ๔.๑ เข้าใจ มีทักษะที่
จำเป็น มปี ระสบการณ์ เห็นแนวทางในงานอาชพี ใช้เทคโนโลยเี พอื่ พัฒนาอาชีพ มคี ุณธรรม และมี
เจตคตทิ ่ีดีตอ่ อาชพี
การเรียนร้โู ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (Project-Based Learning ) หมายถงึ การเรียนรูท้ ่ี
จัดประสบการณ์ในการปฏิบัติงานให้แก่ผู้เรียนเหมือนกับการทำงานในชีวิตจริงอย่างมีระบบ เพื่อเปิด
โอกาสให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ตรง ได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา วิธีการหาความรู้ความจริงอย่างมี
เหตุผล ได้ทำการทดลอง ได้พิสูจน์สิง่ ต่าง ๆ ด้วยตนเอง รจู้ ักการวางแผนการทำงาน ฝึกการเป็นผูน้ ำ
ผู้ตาม ตลอดจนได้พัฒนากระบวนการคิดโดยเฉพาะการคิดข้ันสูง และการประเมินตนเอง โดยมีครู
เป็นผู้กระตุ้นเพื่อนำความสนใจท่ีเกิดจากตัวผู้เรียนมาใช้ในการทำกิจกรรมค้นคว้าหาความรู้ด้วยตัวเอง
2
นำไปสู่การเพ่ิมความรู้ที่ได้จากการลงมือปฏิบัติ การฟัง และการสังเกตจากผู้รู้ โดยผู้เรียนมีการเรียนรู้
ผ่านกระบวนการทำงานเป็นกลุ่ม ท่ีจะนำมาสู่การสรุปความรู้ใหม่ มีการเขียนกระบวนการจัดทำ
โครงงานและไดผ้ ลการจัดกิจกรรมเปน็ ผลงานแบบรูปธรรม
นอกจากน้ีการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน ยังเน้นการเรียนรู้ทใ่ี ห้ผูเ้ รียนไดร้ ับ
ประสบการณ์ชีวิตขณะที่เรียน ได้พัฒนาทักษะต่างๆ ซ่ึงสอดคล้องกับหลักพัฒนาการตามลำดับข้ัน
ความรู้ความคดิ ของบลูม ทั้ง 6 ข้ัน คอื ความรคู้ วามจำ ความเข้าใจ การประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การ
สังเคราะห์ การประเมินค่า และการคิดสร้างสรรค์ การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ถือได้ว่า
เป็น การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เน่ืองจากผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติเพ่ือฝึกทักษะต่างๆด้วย
ตนเองทุกขนั้ ตอน โดยมีครูเปน็ ผู้ใหก้ ารสง่ เสรมิ สนับสนุน
ลกั ษณะสำคัญของจัดการเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน
1. ยดึ หลกั การจดั การเรยี นรทู้ ี่เน้นผู้เรยี นเป็นสำคญั ท่ีเปดิ โอกาสให้ผูเ้ รียนได้ทำงานตามระดับ
ทกั ษะทตี่ นเองมีอยู่
2. เปน็ รูปแบบหนึ่งของการจดั กิจกรรมการเรยี นรทู้ ี่เน้นบทบาทและการมสี ว่ นรว่ มของผเู้ รียน
(Active Learning)
3. เป็นเรื่องท่ีผ้เู รียนสนใจและรสู้ ึกสบายใจท่จี ะทำ
4. ผู้เรียนไดร้ บั สทิ ธิในการเลือกว่าจะตั้งคำถามอะไร และต้องการผลผลิตอะไรจากการทำ
โครงงาน
5. ครทู ำหนา้ ทเี่ ป็นผ้สู นบั สนนุ อุปกรณ์และจัดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรยี น สนับสนุนการแก้ไข
ปญั หาและสร้างแรงจูงใจให้แก่ผเู้ รียน
6. ผู้เรียนกำหนดการเรยี นรขู้ องตนเอง
7. เชื่อมโยงกบั ชีวติ จริง สิ่งแวดล้อมจริง
8. มฐี านจากการวจิ ัย ศึกษา ค้นคว้า หรือ องค์ความรูท้ เ่ี คยมี
9. ใช้แหล่งขอ้ มลู หลายแหลง่
10. ฝังตรึงดว้ ยความรู้และทักษะต่างๆ
11. สามารถใชเ้ วลามากพอเพยี งในการสร้างผลงาน
12. มีผลผลติ
ประเภทของโครงงาน
โครงงานทเี่ กี่ยวข้องกับการจัดการเรยี นรู้ของผ้เู รยี น อาจจำแนกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คอื
โครงงานทแ่ี บ่งตามระดับการให้คำปรึกษาของครู และโครงงานท่ีแบ่งตามลักษณะกจิ กรรม ดงั นี้
1. โครงงานท่ีแบ่งตามระดบั การให้คำปรึกษาของครูหรือ ระดับการมบี ทบาทของผเู้ รยี น
3
1) โครงงานประเภทครนู ำทาง (Guided Project)
ครูกำหนดปญั หาให้
ครูออกแบบการรวบรวมขอ้ มลู
กำหนดวิธีทำกจิ กรรม
ผู้เรยี นปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
ตามวิธที ี่กำหนด
ทักษะการสงั เกต ทกั ษะการวดั ทักษะการบนั ทกึ ผล
ทักษะการ
ตีความหมายขอ้ มลู
ทกั ษะการสรุปผล
2) โครงงานประเภทครูลดการนำทาง - เพมิ่ บทบาทผ้เู รียน (Less – guided Project)
ครแู ละผเู้ รยี นรว่ มกันระบปุ ญั หา
ครูและผเู้ รียนร่วมกันออกแบบ
การรวบรวมข้อมูลเพื่อหาคำตอบ
ผู้เรยี นใช้เคร่อื งมือใน
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
ทกั ษะการสงั เกต ทกั ษะการวดั ทกั ษะการบันทกึ ผล
ทักษะการ
4
ตคี วามหมายข้อมูล
ทักษะการสรปุ ผล
3) โครงงานประเภทผ้เู รียนนำเอง ครไู มต่ ้องนำทาง (Unguided Project)
นักเรียนระบปุ ญั หาตามความสนใจ
นักเรียนออกแบบการรวบรวม
ข้อมลู เพ่ือหาคำตอบด้วยตนเอง
นกั เรียนใชเ้ ครอื่ งมือ
ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
ทักษะการสงั เกต ทกั ษะการวัด ทกั ษะการบนั ทกึ ผล
ทกั ษะการ
ตีความหมายข้อมลู
ทกั ษะการสรปุ ผล
2. โครงงานทแี่ บ่งตามลักษณะกจิ กรรม
1) โครงงานเชงิ สำรวจ (Survey Project)
ลักษณะกิจกรรมคือผู้เรียนสำรวจและรวบรวมข้อมูลแล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาจำแนกเป็น
หมวดหมู่ และนำเสนอในรูปแบบตา่ ง ๆ เพ่ือให้เห็นลกั ษณะหรอื ความสัมพนั ธใ์ นเร่ืองทตี่ ้องการศกึ ษาได้
ชัดเจนย่ิงขนึ้
2) โครงงานเชิงการทดลอง (Experiential Project)
ข้ันตอนการดำเนินงานของโครงงานประเภทน้ีจะประกอบด้วยการกำหนดปัญหา การกำหนด
จุดประสงค์ การต้ังสมมติฐาน การออกแบบการทดลอง การดำเนินการทดลอง การรวบรวมข้อมูล การ
ตคี วามหมายข้อมลู และการสรุป
5
3) โครงงานเชิงพฒั นา สร้างสิง่ ประดิษฐ์ แบบจำลอง (Development Project)
เป็นโครงงานเกี่ยวกับการประยุกต์องค์ความรู้ ทฤษฎี หรือหลักการทางวิทยาศาสตร์หรือ
ศาสตร์ด้านอ่ืน ๆ มาพัฒนา สร้างส่ิงประดิษฐ์ เคร่ืองมือ เคร่ืองใช้ อุปกรณ์ แบบจำลอง เพื่อประโยชน์
ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่งอาจจะเป็นส่ิงประดิษฐ์ใหม่ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมท่ีมีอยู่แล้วให้มี
ประสิทธิภาพสูงข้ึนก็ได้ อาจจะเป็นด้านสังคม หรือด้านวิทยาศาสตร์ หรือการสร้างแบบจำลองเพื่อ
อธบิ ายแนวคิดต่าง ๆ
4) โครงงานเชงิ แนวคิดทฤษฎี (Theoretical Project)
เป็นโครงงานนำเสนอทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดใหม่ ๆ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของสูตรสมการ
หรือคำอธิบายก็ได้ โดยผู้เสนอได้ต้ังกติกาหรือข้อตกลงขึ้นมาเอง แล้วนำเสนอทฤษฎี หลักการหรือแนวคิด
หรือจินตนาการของตนเองตามกติกาหรือข้อตกลงน้ัน หรืออาจจะใช้กติกาหรือข้อตกลงเดิมมาอธิบายก็ได้
ผลการอธิบายอาจจะใหม่ยังไม่มีใครคิดมาก่อน หรืออาจจะขัดแย้งกับทฤษฎีเดิม หรืออาจจะเป็นการขยาย
ทฤษฎีหรือแนวคิดเดิมก็ได้ การทำโครงงานประเภทนี้ต้องมีการศึกษาค้นคว้าพ้ืนฐานความรู้ ในเรื่องนั้นๆ
อยา่ งกวา้ งขวาง
5) โครงงานด้านบริการสังคมและส่งเสริมความเป็นธรรมในสังคม (Community Service
and Social Justice Project)
เปน็ โครงงานที่ม่งุ ใหผ้ ้เู รียนศึกษาค้นควา้ ประเด็นทีเ่ ปน็ ปญั หา ความต้องการในชุมชนท้องถ่ิน
และดำเนินกิจกรรมเพ่ือการให้บริการทางสังคม หรือร่วมกับชุมชน องค์กรอื่นๆในการแก้ปัญหา หรือ
พัฒนาในเรื่องน้นั ๆ
6) โครงงานดา้ นศลิ ปะและการแสดง (Art and Performance Project)
เป็นโครงงานท่ีมุง่ ส่งเสริมให้ผู้เรียนศึกษา ค้นคว้า นำความรู้ที่ได้จากการเรียนตามหลักสูตร
โดยเฉพาะอย่างย่ิงด้านภาษาและสังคม มาต่อยอด สร้างผลงานด้านศิลปะและการแสดง เช่นงาน
ศิลปกรรม ประติมากรรม หนังสือการ์ตูน การแต่งเพลง ดนตรี แสดงคอนเสิร์ต การแสดงละคร การ
สร้างภาพยนตรส์ ้ัน ฯลฯ
7) โครงงานเชิงบรู ณาการการเรยี นรู้
เป็นโครงงานที่มุ่งส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนบรู ณาการเชอ่ื มโยงความรู้จากตา่ งสาระการเรียนรู้ตั้งแต่
สองสาขาวิชาขึ้นไป มาดำเนินการแก้ปัญหา หรือสร้างประเด็นการศึกษาค้นคว้า ทั้งในแง่มิติเชิง
ประวัติศาสตร์ ทักษะการประกอบอาชีพข้ามสาขาวิชา การแก้ปัญหาส่ิงแวดล้อม สังคม ที่ต้องนำ
ความรู้ต่างสาขา มาประยุกต์ใช้ การคดิ ค้นสร้างนวตั กรรมจากการบูรณาการความรู้ ฯลฯ
กระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
แนวคดิ ที่ 1 ขน้ั การจัดการเรยี นรู้ ตาม รูปแบบจกั รยานแหง่ การเรยี นรู้
แนวคิดนี้ มีความเช่ือว่า หากต้องการให้การเรียนรู้มีพลังและฝังในตัวผู้เรียนได้ ต้องเป็น
การเรียนรู้ท่ีเรียนโดยการลงมือทำเป็นโครงงาน มีการร่วมมือกันทำเป็นทีม และทำกับปัญหาท่ีมีอยู่ใน
ชีวติ ดังรูป
6
โมเดล จกั รยานแห่งการเรียนร้แู บบ PBL
๑. Define คือ ขัน้ ตอนการระบุปัญหา ขอบข่าย ประเด็นทจ่ี ะทำโครงงาน เปน็ การสรา้ ง
ความเขา้ ใจระหว่างสมาชกิ ของทีมงานร่วมกับครู เกยี่ วกบั คำถาม ปญั หา ประเด็น ความทา้ ทายของ
โครงงานคอื อะไร และเพ่ือให้เกดิ การเรยี นรู้อะไร
2. Plan คือ การวางแผนการทำโครงงาน ครูก็ตอ้ งวางแผนในการทำหนา้ ทโ่ี ค้ช รวมทงั้ เตรียม
เครอ่ื งอำนวยความสะดวกในการทำโครงงานของผู้เรยี น เตรียมคำถามเพื่อกระตนุ้ ให้คิดถึงประเด็น
สำคญั บางประเดน็ ทผี่ ้เู รยี นอาจมองข้าม โดยถือหลักว่า ครูตอ้ งไมเ่ ขา้ ไปชว่ ยเหลือจนทมี งานขาดโอกาส
คดิ เองแก้ปัญหาเอง ผู้เรียนทเี่ ป็นทีมงานกต็ อ้ งวางแผนงานของตน แบ่งหนา้ ท่ีกนั รบั ผิดชอบ การประชมุ
พบปะระหวา่ งทีมงาน การแลกเปลย่ี นข้อคน้ พบแลกเปล่ยี นคำถาม แลกเปล่ียนวธิ กี าร ย่ิงทำความเข้าใจ
ร่วมกันไวช้ ัดเจนเพียงใด งานในข้นั ตอ่ ไป (Do) ก็จะสะดวกเล่อื นไหลดีเพยี งนั้น
3. Do คือ การลงมือทำ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ทักษะในการแก้ปัญหา การประสานงาน การ
ทำงานรว่ มกันเปน็ ทีม การจัดการความขดั แย้ง ทักษะในการทำงานภายใต้ทรัพยากรจำกัด ทกั ษะในการ
ค้นหาความรู้เพ่ิมเติม ทักษะในการทำงานในสภาพที่ทีมงานมีความแตกต่างหลากหลาย ทักษะการ
ทำงานในสภาพกดดัน ทักษะในการบันทึกผลงาน ทักษะในการวิเคราะห์ผล และแลกเปลี่ยนข้อ
วเิ คราะห์กับเพ่ือนรว่ มทมี เปน็ ต้น
ในขั้นตอน Do นี้ ครูจะได้มีโอกาสสังเกตทำความรู้จักและเข้าใจผู้เรียนป็นรายคน และเรียนรู้
หรือฝึกทำหนา้ ทีเ่ ป็นผู้ดูแล สนับสนนุ กำกบั และโคช้ ดว้ ย
4. Review คือ ผู้เรียนเรียนจะทบทวนการเรียนรู้ ว่าโครงงานได้ผลตามความมุ่งหมายหรือไม่
รวมถึงทบทวนว่างานหรือกิจกรรม หรือพฤติกรรมแตล่ ะขน้ั ตอนได้ให้บทเรียนอะไรบ้าง ทั้งข้ันตอนทีเ่ ป็น
7
ความสำเร็จและความล้มเหลว เพ่ือนำมาทำความเข้าใจ และกำหนดวิธีทำงานใหม่ที่ถูกต้องเหมาะสม
รวมทั้งเอาเหตุการณ์ระทึกใจ หรือเหตุการณ์ท่ีภาคภูมิใจ ประทับใจ มาแลกเปล่ียนเรียนร้กู ัน ข้ันตอนน้ี
เป็นการเรียนรู้แบบทบทวนไตรต่ รอง (reflection) หรอื เรยี กว่า AAR (After Action Review)
5. Presentation ผู้เรียนนำเสนอโครงงานต่อชั้นเรียน เป็นขั้นตอนที่ให้การเรียนรู้ทักษะอีก
ชุดหนึ่ง ตอ่ เน่ืองกับขั้นตอน Review เป็นขน้ั ตอนที่ทำให้เกิดการทบทวนขั้นตอนของงานและการเรียนรู้
ที่เกิดขึ้นอย่างเข้มข้น แล้วเอามานำเสนอในรูปแบบที่เร้าใจ ให้อารมณ์และให้ความรู้ ทีมงานอาจสร้าง
นวัตกรรมในการนำเสนอก็ได้ โดยอาจเขียนเป็นรายงาน และนำเสนอเป็นการรายงานหน้าชั้น มีส่ือ
ประกอบ หรอื จัดทำวดี ิทัศนน์ ำเสนอ หรือนำเสนอเปน็ ละคร เป็นต้น
แนวคิดที่ ๒ แนวคิดที่ปรับจากการศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบ PBL ท่ีได้จากโครงการสร้างชุด
ความรู้เพ่ือสร้างเสริมทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ของเด็กและเยาวชน: จากประสบการณ์ความสำเร็จ
ของโรงเรยี นไทย
มีทัง้ หมด 6 ขน้ั ตอน ดงั นี้
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน(ปรับปรุงจาก ดุษฎี โยเหลาและคณะ, 2557: 20-
23)
1. ขนั้ ใหค้ วามรพู้ ้นื ฐาน ครูให้ความรู้พน้ื ฐานเกย่ี วกบั การทำโครงงานกอ่ นการเรียนรู้
เน่ืองจากการทำโครงงานมีรูปแบบและขั้นตอนท่ีชัดเจนและรัดกุม ดังนั้นผู้เรียนจึงมีความจำเป็นอย่าง
ย่ิงท่ีจะต้องมีความรู้เก่ียวกบั โครงงานไว้เป็นพ้ืนฐาน เพ่ือใช้ในการปฏิบัติขณะทำงานโครงงานจรงิ ในขั้น
แสวงหาความรู้
2. ขนั้ กระตุ้นความสนใจ ครูเตรยี มกจิ กรรมทีจ่ ะกระตนุ้ ความสนใจของผู้เรยี น โดยตอ้ งคดิ
หรือเตรียมกิจกรรมที่ดึงดูดให้ผู้เรียนสนใจ ใคร่รู้ ถึงความสนุกสนานในการทำโครงงานหรือกิจกรรม
ร่วมกัน โดยกิจกรรมน้ันอาจเป็นกิจกรรมที่ครูกำหนดขึ้น หรืออาจเป็นกิจกรรมท่ีผู้เรียนมีความสนใจ
8
ต้องการจะทำอยู่แล้ว ท้ังน้ีในการกระตุ้นของครูจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเสนอจากกิจกรรมท่ีได้เรียนรู้
ผ่านการจัดการเรียนรู้ของครูท่ีเก่ียวข้องกับชุมชนที่ผู้เรียนอาศัยอยู่หรือเป็นเร่ืองใกลต้ ัวที่สามารถเรียนรู้
ไดด้ ้วยตนเอง
3. ขนั้ จัดกลุ่มร่วมมอื ครูให้ผู้เรยี นแบง่ กลุ่มกันแสวงหาความรู้ ใชก้ ระบวนการกลุ่มในการ
วางแผนดำเนินกิจกรรม โดยนักเรียนเป็นผู้ร่วมกันวางแผนกิจกรรมการเรียนของตนเอง โดยระดม
ความคิดและหารือ แบ่งหน้าท่ีเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติร่วมกัน หลังจากที่ได้ทราบหัวข้อส่ิงที่ตนเองต้อง
เรียนรใู้ นภาคเรียนน้ันๆ เรียบรอ้ ยแล้ว
4. ขัน้ แสวงหาความรู้ ในขนั้ แสวงหาความรมู้ ีแนวทางปฏิบัติสำหรบั ผู้เรียนในการทำกิจกรรม
ดังน้ีนักเรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมโครงงานตามหัวข้อที่กลุ่มสนใจผู้เรียนปฏิบัติหน้าท่ีของตนตาม
ข้อตกลงของกลุ่ม พร้อมท้ังร่วมมือกันปฏิบัติกิจกรรม โดยขอคำปรึกษาจากครูเป็นระยะเม่ือมีข้อสงสัย
หรือปญั หาเกดิ ขน้ึ ผู้เรยี นร่วมกันเขยี นรปู เล่ม สรปุ รายงานจากโครงงานท่ตี นปฏิบัติ
5. ข้ันสรปุ สิ่งท่ีเรียนรู้ ครูให้ผู้เรียนสรุปส่ิงท่ีเรียนรู้จากการทำกิจกรรม โดยครูใช้คำถาม ถาม
ผู้เรยี นนำไปสกู่ ารสรปุ ส่ิงท่ีเรียนรู้
5. ข้ันนำเสนอผลงาน ครูให้ผู้เรยี นนำเสนอผลการเรยี นรู้ โดยครูออกแบบกจิ กรรมหรือจดั
เวลาให้ผู้เรียนได้เสนอสิ่งที่ตนเองได้เรยี นรู้ เพื่อให้เพ่ือนร่วมชั้น และผู้เรียนอื่นๆในโรงเรียนได้ชมผลงาน
และเรยี นร้กู ิจกรรมทผ่ี ู้เรยี นปฏิบัติในการทำโครงงาน
การประเมนิ ผล
๑. ประเมินตามสภาพจรงิ โดยผสู้ อนและผเู้ รยี นร่วมกนั ประเมนิ ผลว่ากจิ กรรมท่ีทำไปนั้น
บรรลุตามจุดประสงค์ท่ีกำหนดไว้หรือไม่ อย่างไร ปัญหาและอุปสรรคที่พบคืออะไรบ้าง ได้ใช้วิธีการ
แก้ไขอย่างไร ผเู้ รยี นได้เรยี นรอู้ ะไรบา้ งจากการทำโครงงานนน้ั ๆ
๒. ประเมนิ โดยผู้เก่ียวขอ้ ง ไดแ้ ก่
(1) ผ้เู รยี นประเมนิ ตนเอง
(2) เพื่อนชว่ ยประเมนิ
(3) ผสู้ อนหรอื ครทู ่ีปรกึ ษาประเมนิ
(4) ผปู้ กครองประเมนิ
(5) บุคคลอ่ืน ๆ ท่ีสนใจและมีส่วนเกยี่ วข้อง
9
บทบาทของครผู สู้ อน
บทบาทของครูในฐานะผูก้ ระตุ้นการเรียนรู้
1. ใช้คำถามกระตนุ้ การเรียนรู้ คำถามทีใ่ ช้ในการกระต้นุ การเรยี นรู้น้นั ตอ้ งเปน็ คำถามทม่ี ี
ลักษณะเป็นคำถามปลายเปิด เพื่อให้ผู้เรียนได้อธิบาย โดยขึ้นต้นว่า “ทำไม” หรือ ลงท้ายว่า “อย่างไร
บา้ ง” “อะไรบา้ ง” “เพราะอะไร”
2. ทำหน้าทเ่ี ป็นผู้สงั เกต ครูจะต้องคอยสังเกตวา่ ผู้เรียนแตล่ ะคนมีพฤตกิ รรมอยา่ งไร ขณะ
ปฏิบตั กิ จิ กรรมเพ่อื หาทางชแ้ี นะ กระต้นุ หรอื ยับยั้งพฤตกิ รรมท่ไี มเ่ หมาะสม
3. สอนให้ผ้เู รยี นเรียนรกู้ ารต้งั คำถาม เมือ่ ผเู้ รยี นสามารถต้งั คำถามได้ จะทำใหผ้ ้เู รยี น
รู้จักถามเพ่ือค้นคว้าข้อมูล รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน และร่วมแสดงความคิดเห็นของตนเองใน
เรอ่ื งท่เี ก่ียวข้องกับการเรยี นรู้
๔. ใหค้ ำแนะนำเมื่อผู้เรยี นเกดิ ข้อสงสยั ครูจะต้องเปน็ ผูค้ อยแนะนำ ชี้แจง ใหข้ ้อมลู ตา่ งๆ
หรือยกตวั อยา่ งเหตุการณใ์ กลต้ วั ต่างๆ ทีเ่ กดิ ขนึ้ ในชวี ิตประจำวนั ของผเู้ รยี นเช่ือมโยงไปสู่ความรู้ดา้ น
อน่ื ๆในขณะทำกจิ กรรมเม่ือผูเ้ รยี นเกิดข้อสงสยั หรอื คำถาม โดยไมบ่ อกคำตอบ
๕. เปิดโอกาสให้ผเู้ รียนคดิ หาคำตอบดว้ ยตนเอง สงั เกตและคอยกระตุน้ ดว้ ยคำถามใหผ้ ู้เรียน
ได้คดิ กจิ กรรมที่อยากเรยี นรูแ้ ละหาคำตอบในส่ิงท่ีสงสัยด้วยตนเอง
๖. เปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นสร้างสรรคผ์ ลงานอยา่ งอิสระ ตามความคิดและความสามารถของ
ตนเอง เพ่อื ให้ผู้ไดใ้ ชจ้ ินตนาการและความสามารถของตนเองในการคดิ สร้างสรรค์อยา่ งเต็มท่ี
10
จากการศึกษาความหมายและขอบข่ายของคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการ ทำ
ให้ผวู้ ิจยั เล็งเหน็ ความสำคัญท่ีจะพฒั นาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใชก้ ารเรียนแบบโครงงานเป็น
ฐาน ใชใ้ นการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน ได้ศึกษา ปัญหา หลักการ เหตุผล และตระหนกั ถึงปญั หาใน
บทเรียน หน่วยที่ 5 วิชาการงานอาชีพ สำหรับมัธยมศึกษาปีท่ี 4 เร่ือง สร้างสรรค์งานสวยด้วย
เอกลักษณ์ไทย ซ่ึงในปัจจุบันนักเรียนขาดความภาคภูมิใจในขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ วัฒนธรรม
ไทย ความกตญั ญูกตเวที เหน็ คุณค่าและใชภ้ าษาไทยในการสอ่ื สารได้อยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม อนุรกั ษแ์ ละ
สืบทอดภูมิปัญญาไทย จึงเป็นเหตุผลในการเลือกจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน โดยการ
พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง สร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้การ
งานอาชีพและเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เพ่ือ
สง่ เสรมิ ใหน้ ักเรียนได้เรียนรู้ ไดร้ ับประสบการณ์ตรง เรียนรู้การแกป้ ัญหาการทำงานอย่างเป็นระบบ รูจ้ ัก
วางแผนการทำงาน ฝึกการทำงานร่วมกับผู้อ่ืน ฝึกการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ การประเมินตนเองฝึก
ให้นักเรยี นมีความขยนั ประหยัด ซื่อสัตย์และอดทน มีคุณธรรมนำภมู ิปญั ญาไทยมาใช้ให้เหมาะสมในวิถี
ชวี ติ มีส่วนรว่ มในการสืบทอดภมู ิปัญญาไทย
ความมุ่งหมายของการศกึ ษาค้นควา้
1. เพ่ือพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบโครงงานเร่ืองการสร้างสรรค์งานสวยด้วย
เอกลักษณ์ไทย กลุ่มสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มี
ประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
2. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการ
เรยี นรูแบบโครงงาน เรื่องการสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย กลุ่มสาระการเรียนรูการงานอาชีพ
และเทคโนโลยงี าน ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4
3. เพอื่ ศึกษาความพงึ พอใจของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 4 ท่ีมตี ่อการจดั กิจกรรมการเรียนรู
แบบโครงงานเรื่องการสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทยกลุ่มสาระการเรียนรูการงานอาชีพและ
เทคโนโลยี
ความสำคญั ของการศกึ ษาค้นควา้
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้จะทำให้ได้แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน
การสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย กลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 4 และเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมโครงงานกลุ่มสาระอ่ืนๆ ตลอดจนเป็นข้อสนเทศ
สำหรับครูผ้สู อนเพ่อื นำไปพัฒนาการเรียนรู้ใหม้ ีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ขอบเขตของการศกึ ษาค้นคว้า
1. ประชากร ในการศึกษาค้นคว้าเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน
นวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 3 ห้องเรียน คือ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4/5 นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4/10 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
4/13 จำนวนทั้งหมด 102 คน
2. กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครง้ั นี้ เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 4/5 ของโรงเรียน
นวมนิ ทราชนิ ูทศิ สตรีวิทยา พทุ ธมณฑล จำนวน 38 คน
11
3. ตัวแปรท่ศี ึกษา
3.1 ตวั แปรอิสระ คือ การเรียนรู้แบบโครงงาน
3.2 ตัวแปรตาม คือ การสรา้ งสรรคง์ านสวยดว้ ยเอกลกั ษณ์ไทย
12
บทท่ี 2
เอกสารและทฤษฎีทีเ่ ก่ียวข้อง
ในการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์
ไทย โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนนวมินท
ราชนิ ทู ิศ สตรีวิทยา พทุ ธมณฑล ผู้ศึกษาค้นได้ศึกษาคน้ ควา้ จากเอกสารที่เกย่ี วข้อง ดังนี้
1. เอกสารที่เกีย่ วข้องกับหลกั สตู รกล่มุ สาระการงานอาชพี และเทคโนโลยี
2. เอกสารทเ่ี กี่ยวข้องกับโครงงาน
3. เอกสารที่เกย่ี วขอ้ งกับดัชนีประสทิ ธิภาพและดชั นปี ระสทิ ธผิ ล
4. เอกสารทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั การวดั ความพงึ พอใจหรือทัศนคติ
5. เอกสารที่เกี่ยวขอ้ งกบั ความรทู้ ่ัวไปเกยี่ วกบั การสร้างสรรค์งานงานประดิษฐ์ท่ีเป็น
เอกลกั ษณ์ไทย
6. งานวิจยั ท่เี กย่ี วขอ้ ง
1. หลักสตู รกลุ่มสาระการงานอาชพี และเทคโนโลยี
กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี มุ่งพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวม เพ่ือให้มี
ความรู้ความสามารถ มีทักษะในการทำงาน เห็นแนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาต่อ ได้
อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ โดยมสี าระสำคญั ดงั น้ี
• การดำรงชีวิตและครอบครัว เป็นสาระเกี่ยวกับการทำงานในชีวิตประจำวัน
ช่วยเหลือตนเอง ครอบครัว และสังคมได้ในสภาพเศรษฐกิจท่ีพอเพียง ไม่ทำลายส่ิงแวดล้อม เน้นการ
ปฏิบัตจิ ริงจนเกิดความมั่นใจและภูมิใจในผลสำเร็จของงาน เพื่อใหค้ ้นพบความสามารถ ความถนัด และ
ความสนใจของตนเอง
• การออกแบบและเทคโนโลยี เป็นสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวกับการพัฒ นา
ความสามารถของมนุษย์อย่างสร้างสรรค์ โดยนำความรู้มาใช้กับกระบวนการเทคโนโลยี สร้างสิ่งของ
เคร่ืองใช้ วิธีการ หรือเพิม่ ประสิทธิภาพในการดำรงชวี ติ
• เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เป็นสาระเกี่ยวกับกระบวนการเทคโนโลยี
สารสนเทศ การติดต่อส่ือสาร การค้นหาข้อมูล การใช้ข้อมูลและสารสนเทศ การแก้ปัญหาหรือการ
สรา้ งงาน คุณคา่ และผลกระทบของเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สาร
• การอาชีพ เป็นสาระท่ีเกี่ยวข้องกับทักษะที่จำเป็นต่ออาชีพ เห็นความสำคัญของ
คุณธรรม จริยธรรม และเจตคติท่ีดีต่ออาชีพ ใช้เทคโนโลยีได้เหมาะสม เห็นคุณค่าของอาชีพสุจริต
และเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพ
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ ๑ การดำรงชวี ิตและครอบครัว
มาตรฐาน ง๑.๑ เข้าใจการทำงาน มีความคดิ สร้างสรรค์ มที ักษะกระบวนการทำงาน
ทักษะ การจัดการ ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา ทักษะการทำงานร่วมกัน และทักษะการแสวงหา
ความรู้ มีคุณธรรม และลักษณะนิสัยในการทำงาน มีจิตสำนึกในการใช้พลังงาน ทรัพยากร และ
สิง่ แวดลอ้ มเพ่ือการดำรงชีวิตและครอบครวั
13
สาระที่ ๒ การออกแบบและเทคโนโลยี
มาตรฐาน ง ๒.๑ เข้าใจเทคโนโลยีและกระบวนการเทคโนโลยี ออกแบบและสร้าง
สิ่งของเครื่องใช้ หรือวิธีการ ตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ เลือกใช้เทคโนโลยี
ในทางสร้างสรรคต์ อ่ ชีวติ สงั คม ส่งิ แวดลอ้ ม และมสี ว่ นรว่ มในการจัดการเทคโนโลยีทีย่ งั่ ยืน
สาระที่ ๓ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
มาตรฐาน ง ๓.๑ เขา้ ใจ เห็นคณุ ค่า และใชก้ ระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการ
สืบค้นข้อมูล การเรียนรู้ การส่ือสาร การแก้ปัญหา การทำงาน และอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ
ประสทิ ธิผลและมีคุณธรรม
สาระท่ี ๔ การอาชพี
มาตรฐาน ง ๔.๑ เขา้ ใจ มีทักษะที่จำเป็น มีประสบการณ์ เหน็ แนวทางในงานอาชีพ
ใชเ้ ทคโนโลยีเพอ่ื พฒั นาอาชพี มคี ณุ ธรรม และมเี จตคตทิ ี่ดีต่ออาชีพ
คณุ ภาพผู้เรียน
จบชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี ๖
• เข้าใจวิธีการทำงานเพื่อการดำรงชีวิต สร้างผลงานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ มี
ทกั ษะ การทำงานร่วมกัน ทักษะการจดั การ ทกั ษะกระบวนการแก้ปญั หา และทักษะการแสวงหาความรู้
ทำงานอย่างมีคุณธรรม และมีจติ สำนึกในการใชพ้ ลังงานและทรัพยากรอย่างคุ้มคา่ และย่งั ยืน
• เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อ่ืน ๆ วิเคราะห์ระบบเทคโนโลยี
มีความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการ สร้างและพัฒนา ส่ิงของเครื่องใช้หรือ
วิธีการ ตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างปลอดภัยโดยใช้ซอฟท์แวร์ช่วยในการออกแบบหรือนำเสนอ
ผลงาน วิเคราะห์และเลือกใช้เทคโนโลยีท่ีเหมาะสมกับชีวิตประจำวันอย่างสร้างสรรค์ต่อชีวิต สังคม
สิ่งแวดล้อม และมีการจัดการเทคโนโลยีดว้ ยวธิ ีการของเทคโนโลยีสะอาด
• เข้าใจองค์ประกอบของระบบสารสนเทศ องค์ประกอบและหลักการทำงานของ
คอมพิวเตอร์ ระบบส่ือสารข้อมูลสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ คุณลั กษณะของคอมพิวเตอร์
และอุปกรณ์ต่อพ่วง และมีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์แก้ปัญหา เขียนโปรแกรมภาษา พัฒนาโครงงาน
คอมพิวเตอร์ ใช้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ติดต่อส่ือสารและค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต
ใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศเพ่ือการตัดสินใจ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
นำเสนองาน และใชค้ อมพวิ เตอรส์ รา้ งช้ินงานหรอื โครงงาน
• เข้าใจแนวทางสู่อาชีพ การเลือก และใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมกับอาชีพ
มปี ระสบการณ์ในอาชพี ทีถ่ นัดและสนใจ และมคี ุณลักษณะทดี่ ตี ่ออาชีพ
2. เอกสารที่เกย่ี วข้องกบั โครงงาน
1. ความหมาย ของโครงงาน
โครงงาน หมายถึง กิจกรรมท่ีทำให้ได้เรียนรู้ด้วยตนเองจากการลงมือปฏิบัติจริงใน
ลักษณะ ของการศึกษา สำรวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น ซึ่งผู้เรียนเป็นผู้คิด หัวเรื่องจัดหา
ข้อมูล ทดลอง สรุปผล เขียนรายงาน แสดงผลงาน โดยมีครูเป็นผู้กระตุ้น แนะนำ และให้
คำปรึกษา อย่างใกล้ชดิ
โครงงาน หมายถงึ กิจกรรมที่ให้นักเรยี นรู้จกั วิธีการท าโครงงานวิจัยเล็ก ๆ ผู้เรยี นลง
มือปฏิบัติเพ่ือพัฒนาความรู้ ทักษะ และสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพ ระเบียบวิธีดำเนินการเป็นระบบ
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ จุดประสงค์หลักของการสอนแบบโครงงานต้องการกระตุ้นให้นักเรียนรู้จัก
14
สังเกต รู้จักต้ังคำถาม รู้จักตั้งสมมติฐาน รู้จักวิธีแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เพ่ือตอบคำถามท่ีตนอยากรู้
รู้จักสรุป และทำความเขา้ ใจกบั สิง่ ทคี่ ้นพบโครงงานอาจจดั ในเวลาเรียน หรือนอกเวลาเรียนกไ็ ด้
โครงงานอาชีพ หมายถึง กิจกรรมเสริมหลักสูตรวิชาการงานอาชีพที่เปิดโอกาสให้
นักเรียนได้ศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เก่ียวข้องกับการงานอาชีพและเทคโนโลยีตามความ ถนัดและความ
สนใจ ด้วยวิธีการบูรณาการความรู้ต่าง ๆ ที่ได้เรียนมา ภายใต้การแนะนำปรึกษาช่วยเหลือและการ
ดูแล จากครูหรือผู้ทรงคุณวุฒิ อาจจัดในเวลาเรียนหรือนอกเวลาเรียนก็ได้ รวมท้ังสามารถดำเนิน
กิจกรรมไดท้ ้ังใน และนอกโรงเรยี น ซง่ึ อาจทำเป็นรายบุคคลหรอื กลุ่มก็ได้ แล้วจัดเขยี นเป็นรายงาน และ
แสง ผลงานท่ีทำเผยแพร่สำหรับเป็นแนวทางในการพัฒนาศึกษาต่อ โครงงานเทคโนโลยี เป็นรูปแบบ
การทำโครงงานที่เก่ียวกับการนำความรู้ ทักษะ และ ทรัพยากรมาสร้างหรือประดิษฐ์เคร่ืองมือ
อปุ กรณ์ หรอื วิธกี ารเพ่ือแกป้ ัญหาหรือสนองความตอ้ งการ ซ่ึงอาจเป็นการสร้างหรือประดษิ ฐ์ของใหม่
ๆ ปรับปรุงหรือพัฒนาของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพ สูงข้ึนตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่าง
ปลอดภัย โดยกำหนดปัญหาหรือความต้องการ รวบรวม ข้อมูล เลือกวิธีการ ออกแบบถ่ายทอด
ความคิดเป็นภาพร่างหรอื แผนทีค่ วามคิดก่อนลงมือสร้างและ ประเมินผล โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์
มาบูรณาการจัดทำโครงงานเทคโนโลยีโดยใช้โปรแกรม Desktop Author ,Flip Album, Ulead,
Word, Excel, powerpoint, Captivate เป็นต้น สรุป โครงงาน คืองานวิจัยเล็ก ๆ สำหรับนักเรียน
เป็นการแก้ปญั หาหรอื ข้อสงสยั หา คำตอบโดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และอาจใช้เคร่ืองมอื หรือ
อุปกรณ์ต่างๆ ช่วยในการศึกษา ค้นคว้า หรือให้การศึกษาค้นคว้านั้นบรรลุวัตถุประสงค์ อาจทำในเวลา
เรียนหรือนอกเวลาเรียนก็ได้ โดยไม่จำกัดสถานท่ี อาจทำเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มได้ หากเนื้อหา
หรือข้อสงสัยเป็นไปตามรายวิชาใดจะเรียกว่าโครงงานในรายวิชาน้ัน ๆ เช่น โครงงานวิทยาศาสตร์
โครงงานคณติ ศาสตร์ โครงงานอาชพี เป็นต้น
15
ผงั กราฟฟิก เรือ่ ง ความหมายของโครงงานการงานอาชีพและเทคโนโลยี
กระบวนการวทิ ยาศาสตร์ท่ีใช้คือ
1. เมือ่ นักเรียนเกิดปญั หา
2. นกั เรยี นก็ตอบปญั หาช่วั คราว(สมมตุ ฐิ าน)
3. นกั เรียนจะต้องออกแบบการทดลองเพอ่ื พิสจู น์ปัญหาว่าจรงิ หรอื ไม่
4. ทำการทดลอง หรือศึกษาค้นคว้าเพื่อสรปุ ผล
4.1 ถ้าคำตอบไม่ตรงกับสมมุติฐานทีต่ ั้งไว้ กต็ ั้งสมมุติฐานใหม่ และทำข้อ 3 ข้อ 4 จน
เปน็ จรงิ
4.2 เม่อื คำตอบตรงกับสมมุติฐาน กจ็ ะทำให้ไดค้ วามรู้ใหม่ และเกดิ คำถามใหม่
5.นำผลที่ได้ไปใช้ประโยชน์ ในการที่นักเรียนจะทำโครงงาน นกั เรยี นจะเปน็ ผู้เลือกหวั ขอ้ ท่ีจะ
ศึกษาค้นคว้า ดำเนินการ วางแผน ออกแบบ ประดิษฐ์ สำรวจ ทดลอง เก็บรวบรวมข้อมูล รวมทั้ง
การแปรผล สรุปผล และการเสนอผลงาน โดยตัวนักเรียนเอง ครูเป็นเพียงผู้ดูแลและให้คำปรึกษา
เท่าน้ัน การที่นักเรียนได้ ทำโครงงานนอกจากจะมีคุณค่าทางด้านการฝึกให้นักเรียนมีความรู้ ความ
ชำนาญ และมีความมั่นใจในการนำเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา หรือค้นคว้าหา
ความรตู้ ่างๆ ด้วยตนเอง แล้วยังจะใหค้ ุณค่าอ่ืนๆ คอื
1. รจู้ ักตอบปัญหาโดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ไม่หลงเชื่องมงายไร้เหตุผล
2.ได้ศึกษาค้นควา้ หาความรูใ้ นเรอื่ งทตี่ นสนใจได้อย่างลึกซ้ึงกว่าการสอนของครู
3. ทำให้นักเรียนไดแ้ สดงความสามารถพิเศษของตนเอง
4. ทำให้นกั เรียนสนใจเรียนในรายวิชาน้นั ๆ มากย่งิ ขึน้
5. นกั เรียนไดใ้ ช้เวลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์
2. ประเภทของโครงงาน
เน่ืองจากโครงงาน คือ การแก้ปัญหาหรือข้อสงสัยของนักเรียนโดยใช้กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ จึงแบ่งโครงงานตามการได้มาซ่ึงคำตอบของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ออกเป็น 4
ประเภท คือ
2.1 โครงงานประเภทการสำรวจและรวบรวมข้อมูล โครงงานประเภทนี้ ผู้ทำ
โครงงานเพียงต้องการสำรวจและรวบรวมข้อมูล แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาจำแนกเป็นหมวดหมู่และ
นำเสนอในรปู แบบต่าง ๆ เพ่อื ให้เหน็ ลกั ษณะหรือความสัมพนั ธ์ในเร่ืองที่ต้องการศึกษาให้ชัดเจน ในการ
ทำโครงงานประเภทสำรวจและรวบรวมข้อมูล ไม่จำเป็นจะต้องมีตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้อง นักเรียน
เพียงแต่สำรวจรวบรวมขอ้ มูลที่ได้ แลว้ นำข้อมูลทีไ่ ด้มาจดั ใหเ้ ป็นหมวดหมแู่ ละนำเสนอ ก็ถือ ว่าเป็นการ
สำรวจรวบรวมขอ้ มูลแลว้ เชน่
- การสำรวจรปู ทรงทางเรขาคณติ ของใบพืชชนดิ ต่าง ๆ
- การสำรวจสัตว์ในท้องถ่ิน
- การสำรวจภมู ิปญั ญาทอ้ งถิ่นในด้านตา่ ง ๆ
- การสำรวจเสน้ ทางเดินทัพตามประวตั ศิ าสตร์ไทย
- การสำรวจภาษาถ่นิ ในชมุ ชน
- การสำรวจพืชสมนุ ไพรในท้องถน่ิ
- การศึกษาเส้นทางเดินของสุนทรภตู่ ามนริ าศ
- การศกึ ษาคน้ ควา้ หลักฐานทางประวัติศาสตร์เร่ืองเจดีย์ยุทธหตั ถี
- การศกึ ษาค้นคว้าหลักฐานทางประวตั ศิ าสตรเ์ ร่ืองพนั ท้ายนรสิงห์
16
- การสบื คน้ และศึกษาเรอื่ งอาหารจากกาพยเ์ หเ่ รือชมเครอื่ งคาวหวาน
- การศกึ ษาค้นควา้ ตำรายาแผนโบราณ
- การสำรวจพืชสมุนไพรในท้องถน่ิ ฯลฯ
2.2 โครงงานประเภททดลอง ในการทำโครงงานประเภททดลอง ตอ้ งมีการจัดการ
กบั ตวั แปรทจ่ี ะมผี ลต่อการทดลอง ซง่ึ จะมี 4 ชนิด คอื
2.2.1 ตัวแปรตน้ หรอื ตวั แปรอสิ ระ หมายถึง เหตุของการทดลองนัน้ ๆ
2.2.2 ตวั แปรตาม ซ่ึงจะเป็นผลทเ่ี กิดจากการเปลยี่ นแปลงตัวแปรตน้
2.2.3 ตวั แปรควบคุม หมายถงึ สิ่งที่ตอ้ งควบคุมให้เหมือน ๆ กนั มฉิ ะนน้ั
จะมีผลทำให้ตวั แปรตามเปลย่ี นไป
2.2.4 ตัวแปรแทรกซ้อน ซ่ึงจริง ๆแล้วก็คือ ตัวแปรควบคุมนั่นเอง แต่
บางครั้งเราจะควบคุมไม่ได้ ซึ่งจะมีผลแทรกซ้อนทำให้ผลการทดลองผิดไป แต่แก้ไขได้โดยการตัด
ขอ้ มูลที่ผดิ พลาดทิ้งไป เช่น
- การศกึ ษาสตู รอาหารไก่ตอน
- การทดลองปลูกพชื ในน้ำยาหรือการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดนิ
- การควบคุมการเจริญเตบิ โตของไม้ประดับประเภทเถา
- การศึกษาขนมอบชนดิ ตา่ ง ๆ
- การศึกษาสูตรเครื่องดมื่ ท่ผี ลิตจากไม้ผล ฯลฯ
2.3 โครงงานประเภทส่ิงประดิษฐ์หรือพัฒนาช้ินงาน เป็นการนำเอาความรู้ที่มีอยู่มา
ประดิษฐ์หรือสร้างส่ิงใหม่ ๆ ข้ึนมาซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากมาย อาจจะรวมถึงการเขียน หนังสือ
แตง่ เพลง สรา้ งบทละครและอน่ื ๆ ไวใ้ นโครงงานประเภทสิง่ ประดิษฐ์ดว้ ย เช่น
- การประดิษฐเ์ คร่ืองห่อผลไม้
- การสร้างหรอื พฒั นาระเบียบวิธกี ารจดั จำหน่ายผลติ ภณั ฑ์หรอื ผลิตผล
- เคร่ืองกลน่ั น้ำพลงั แสงอาทิตย์
- การปลูกพืชโดยไม่ใชด้ ิน
- การประดษิ ฐเ์ คร่ืองสูบน้ำพลงั ลม
- เทคนิคการถนอมอาหารแบบพนื้ บ้าน
- เทคนคิ การปลูกพชื สมนุ ไพร
- นวตั กรรมในการลอกภาพเขียนโบราณ
- เทคนิคการย้อมสีผ้าโดยใช้ภูมิปัญญาไทย
- การพัฒนาสรา้ งสรรคส์ ตู รอาหาร
- การประดษิ ฐห์ วั ฉดี พน่ น้ำในแปลงปลกู ผกั
- การประดษิ ฐ์ของชำร่วย
- การออกแบบเส้ือผ้าชาย หญิง ฯลฯ
2.4 โครงงานประเภททฤษฎี เป็นการใช้จินตนาการของตนเองมาอธิบายหลักการ
หรือแนวความคิดใหม่ ๆ ซ่ึงอาจอธิบายในรูปของสูตรหรือสมการ หรืออธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึน
และไม่สามารถอธิบายได้โดยหลกั การเดมิ ๆ เช่น
- ความมหศั จรรย์ของเลข 9
17
3. ข้ันตอนการจัดทำโครงงาน
ข้นั ตอนการทำโครงงาน จริ าภรณ์ ศิรทิ วี (2542) เสนอขนั้ ตอนการทำโครงงานไว้
ดังนี้
1. กำหนดปัญหาหรือหัวขอ้ ท่ีต้องการศึกษา
2. กำหนดตวั แปร ตวั แปรท่ตี อ้ งการศึกษาเป็นตัวแปรตน้ ผลทีต่ ามมาเป็นตัวแปรตาม
และถา้ มีความจำเป็นต้องควบคุมตวั แปรเพ่ือให้ข้อมลู นา่ เชอ่ื มนั่ ตวั แปรนั้นคือ ตัวแปรควบคมุ
3. ออกแบบการทดลองหรือกำหนดวิธกี ารหรอื แหล่งข้อมูลท่ีจะต้องศึกษา
4. ดำเนนิ การทดลองหรือศึกษาตามที่วางแผนเอาไว้ ถ้าเป็นโครงงาน ประเภททดลอง
ตอ้ งมีการทดลองหลาย ๆ ครั้ง (อยา่ งน้อย 3 ครง้ั ) เพอ่ื ให้เกดิ ความแน่ใจ ก่อนนำผลท่ี ไดม้ าสรุป
5. อภปิ รายผล นำข้อมูลท่ีได้จากการทดลองมาประเมิน อภปิ รายโดย การศึกษาจาก
เอกสารหลกั ฐานอื่น ๆ มาประกอบว่ามีข้อแตกต่างกันเพราะอะไร
6. นำเสนอผลการศึกษาในรูปรายงานหรอื จัดบอร์ดแสดงส่งิ ที่ศึกษาหรอื ดว้ ยวาจา
7. การเขียนเค้าโครงโครงงาน ก่อนที่ผู้เรียนจะจัดทำโครงงาน ผู้เรียนควรวางแผนใน
การจัดทำโครงงานไว้ ล่วงหน้าว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้าง การเขียนเค้าโครงโครงงาน โดยท่ัวไป ควร
ประกอบด้วยหัวข้อ ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. ชอ่ื โครงงาน นักเรียนควรเลอื กหัวข้อโครงงานดว้ ยตนเองโดยคำนึงถงึ
เปา้ หมายสำคัญของการทำโครงงานในคร้งั น้ี แนวปฏิบตั ิของการเลอื กโครงงานมาจากปัญหาที่พบแลว้
ต้องการแกป้ ัญหาโดยการออกแบบการทดลองเพ่ือพิสจู น์การแก้ปัญหานัน้
2. ชื่อผู้ทำโครงงาน
3. ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา
4. ทม่ี าและความสำคัญของโครงงาน
5. วัตถุประสงค์ของการศึกษา
6. สมมติฐาน (ถา้ ม)ี
7. วธิ ีดำเนนิ งาน
8. แผนการกำหนดเวลาปฏิบตั ิงาน
9. ประโยชน์หรอื ผลทค่ี าดว่าจะได้รับ
10. เอกสารอ้างอิง
8. รูปแบบการเขียนโครงงาน ผู้เรียนร่วมกันเขียนรายงานผลเป็นเอกสารเพื่อ
นำเสนอต่อช้ันเรียน และเผยแพรต่ ่อสาธารณะ โดยร่วมกนั คิดและเขยี นรายงาน ใหเ้ ห็นถึงเคา้ โครงต้ังแต่
เริ่มต้นจนจบกระบวนการ ใน ประเดน็ ต่าง ๆ ดงั น้ี
1. ชอื่ โครงงาน
2. ระยะเวลาท่ีจัดทำ (ระหวา่ งวนั ท่/ี เดอื น/พ.ศ./ ถึง วันท่ี/เดือน/พ.ศ.)
3. ชือ่ ผู้จดั ทำโครงงาน (บอกระดบั ช้ันและช่ือโรงเรียนดว้ ย)
4. ช่อื อาจารย์ท่ีปรึกษา
5. บทคัดย่อ (สรปุ เรอ่ื งทศ่ี ึกษา วิธกี ารศกึ ษา และข้อคน้ พบสนั้ ๆ)
6. กติ ติกรรมประกาศ (ประกาศขอขอบคณุ ผู้อย่เู บ้ืองหลังความสำเร็จใน
กรณีท่มี ี)
7. ทม่ี าและความสำคัญของโครงงาน
8. วตั ถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษา
18
9. คำตอบที่คาดเดาก่อนเริ่มลงมอื ปฏิบตั ิ
10. วธิ ดี ำเนนิ งาน
11. ผลทีเ่ กดิ ขน้ึ
12. สรุปผล
13. ประโยชน์ท่ีได้รบั
14. ข้อเสนอแนะ
15. เอกสารอ้างองิ
9. การแสดงผลโครงงาน การแสดงผลโครงงาน เป็นการนำเสนอผลงานท่ีได้ศึกษา
ค้นคว้าให้ผู้อื่น ได้รับรู้และเข้าใจอาจจะทำในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การจัดนิทรรศการ การรายงานปาก
เปล่า การรายงานประกอบสไลด์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น การแสดงผลงานโครงงานทำได้หลายระดับ
เชน่
1. การจัดแสดงผลงานภายในชั้นเรยี น
2. การจดั นิทรรศการภายในโรงเรียนเปน็ การภายใน
3. การจดั นิทรรศการในงานประจำปีของโรงเรยี น
4. การส่งผลงานเข้ารว่ มในการแสดงหรือประกวดภายนอกโรงเรียน
10. การจดั นิทรรศการ
4. การแสดงผลงาน
การแสดงผลงานเป็นงานข้ันสุดท้ายและการนำเสนอโครงงานเป็นขั้นตอนที่สำคัญอีก
ประการหน่ึงของการทำโครงงาน เพราะสะท้อนการทำงานของนักเรียน ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับ
เรอื่ งที่ทำ การตอบข้อซักถาม บุคลิกท่าทาง ท่วงท่า วาจา ไหวพริบปฏภิ าณ นักเรียนควร ได้รับการฝึก
บุคลิกภาพในการนำเสนอให้สง่าผ่าเผย พร้อมทั้งฝึกให้มีมารยาทในการฟังด้วย การเสนอ ผลงาน
โครงงานมีหลายลกั ษณะคือ
5.1 บรรยายประกอบแผ่นใส / สไลด์คอมพิวเตอร์
5.2 บรรยายประกอบแผงโครงงาน
5.3 การจดั นิทรรศการ
5.3.1 นิทรรศการ คือ การนำวัสดุหรือส่ือแสดงหลายๆอย่าง เช่น ของจริง
หุ่นจำลอง ภาพวาด ภาพถ่าย ป้ายนิเทศ ภาพโฆษณา ฯลฯ มาจัดแสดงเพ่ือให้ผู้ดูได้เห็นและเกิด การ
เรียนรูอ้ ยา่ งกว้างขวางหลายแงม่ มุ ซง่ึ โดยทว่ั ไปมกั แบง่ นทิ รรศการออกเปน็ 3 ประเภท คือ
1. นิทรรศการถาวร เป็นการรวบรวมวัสดุหรือสื่อแสดงอ่ืน ๆมาจัดแสดงไว้
ในสถานที่หน่ึงเป็นการถาวร ส่วนใหญ่สื่อท่ีจัดในนิทรรศการถาวรนี้จะมีการเปลยี่ นแปลงไม่มากนัก การ
จัดนิทรรศการถาวร ได้แก่ การจดั นิทรรศการในพิพิธภณั ฑต์ า่ ง ๆ
2. นิทรรศการช่ัวคราว เปน็ การแสดงหรอื รวบรวมวัสดตุ ่าง ๆ มา
จัดเป็นเร่ืองราวเฉพาะเรื่องบางโอกาส เช่น การจัดนิทรรสการเนื่องในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
หรอื วาระโอกาสพเิ ศษ การจดั นทิ รรสการเกย่ี วกับวฒั นธรรมไทย เป็นต้น
3. นิทรรศการเคล่ือนที่ เป็นการเก็บรวบรวมวัสดุหรือสื่อแสดงต่าง ๆ มาจัด
แสดงเปน็ เรอื่ งราวเฉพาะเรื่องเช่นเดยี วกับการจดั นทิ รรสการชว่ั คราวแตว่ ัสดุส่ิงของต่าง ๆที่จดั ไว้ จะจัด
ในลกั ษณะท่ีเตรยี มไวใ้ หส้ ะดวกตอ่ การเคล่อื นทีแ่ ละเปล่ยี นแปลงไปยังสถานทต่ี า่ ง ๆไดด้ ้วย
5.3.2 หลักในการจัดนิทรรศการ การจัดนิทรรศการในโรงเรียนหรือในช้ันเรียนส่วน
ใหญ่หรือเกือบท้ังหมด จะเป็นการจัดนิทรรศการแบบช่ัวคราว โดยมีนักเรียนเป็นผู้มีส่วนในการจัดหา
19
อุปกรณ์หรือจัดวาง อุปกรณ์ แต่เพื่อเป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และส่งเสริมความสามารถ
สังเคราะหค์ วามร้ไู วก้ บั นกั เรียน
1. กำหนดจุดมุ่งหมายในการจัดนิทรรศการว่าต้องการจัดเพ่ือ อะไร และ
ต้องการให้ใครดูบ้าง การจัดนิทรรศการเพ่ือการเรียนรู้อาจจดั ในห้องเรียนเป็นคร้ังคราว เพ่ือให้นักเรียน
ในหอ้ งดู
2. เลือกเร่ืองที่ต้องการจัด และกำหนดเน้ือสาระของเร่ืองว่าต้องการ ในเน้ือ
สาระอะไรบา้ ง และมีขอบเขตมากน้อยเพยี งใด
3. จดั เตรียมวัสดุอุปกรณ์ และสถานที่ทจี่ ะจดั วางวสั ดุอุปกรณ์ ต่าง ๆ รวมท้ัง
ทิศทางการเขา้ ชมนิทรรศการของผดู้ ดู ว้ ย
4. ถา้ เป็นการจดั นิทรรศการเพือ่ ให้นกั เรียนเขา้ ชมพรอ้ มกนั หลายๆห้องควรมี
การวางแผนในการประชาสมั พนั ธด์ ้วย
ขนาดของแผงโครงงาน
5.การวัดผล ประเมนิ ผล
ประเมนิ ผลการทำงาน โดยการสังเกตพฤติกรรมระหวา่ งการทำงาน วดั ผล ตวั ความรู้
โดยการซักถามหรือวิธกี ารอนื่ ๆ นกั เรียนควรประเมนิ ตนเอง ประเมนิ โดยเพื่อน ครู และ ผ้ปู กครอง
หรอื บคุ คลอื่น ๆ ท่มี าเยยี่ มชมนทิ รรศการ เพื่อการตรวจสอบวา่ นิทรรศการแตล่ ะคร้ังน้นั ได้ผลตาม
จุดมุ่งหมายทต่ี ้ังไวห้ รือไม่ ควรมีการประเมนิ ผูด้ โู ดยอาจใช้วิธสี อบถามดว้ ยแบบสอบถาม หรอื สัมภาษณ์
ก็ได้
การเขียนโครงงาน
หลังจากท่ีได้เลือกหัวข้อช่ือโครงงานแล้ว ก็ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและตำราต่าง ๆ
ทัง้ ภาคทฤษฎี และหลักวชิ าการจงึ เริม่ ต้นปฏิบตั ิโครงงานสำเรจ็ จงึ เขียนโครงงานเพ่ือเสนอครทู ่ีปรึกษา
โครงงาน แนวทางการเขียนโครงงาน แนวทางการเขียนโครงงาน โครงงานประกอบด้วยองค์ประกอบ
ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. ช่ือโครงงาน การตั้งช่ือโครงงานให้นักเรียนระบุช่ือโครงงานท่ีชัดเจน
กะทัดรัดเจาะจงว่า จะทำอะไร ศึกษาอะไร และจะต้องพิจารณาถึงความต้องการและความถนัดของ
ตนเอง นอกจากนั้น ตอ้ งคำนงึ ถงึ ส่ิงอำนวยความสะดวกในการปฏิบัตงิ านท่ีจะสง่ เสริมใหง้ านสำเร็จลุลว่ ง
ไปได้ เช่น เคร่ืองมือและอุปกรณ์ตลอดจนสภาพแวดล้อมท่ีอยู่ใกล้ตัว ซ่ึงจะมีผลกระทบต่อโครงงาน
และผลผลิต หรือชิน้ งานที่ได้น้นั สามารถนำไปใชป้ ระโยชน์หรือเปน็ ทตี่ อ้ งการของตลาดหรือไม่
20
2. ผู้รับผิดชอบโครงงาน ในการจัดทำโครงงานแต่ละครั้ง จำเป็นต้องมี
ผู้รับผิดชอบ ซึ่งอาจทำเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ และจำนวนสมาชิกแต่ละกลุ่มขึ้นอยู่กับความ
เหมาะสมของ ปริมาณงานท่ีปฏิบัติ
3. ครู - อาจารย์ท่ีปรึกษาโครงงาน ในการจัดทำโครงงานแต่ละคร้ัง
จำเป็นตอ้ งมีทีป่ รกึ ษา เพอ่ื คอยให้คำแนะนำและชว่ ยแกป้ ัญหาท่ีอาจจะเกิดข้ึน
4. ความสำคัญของโครงงาน ให้นักเรียนระบุความสำคัญ ความจำเป็นท่ี
ตอ้ งจดั ทำโครงงานนี้ เขยี นอธิบายว่าโครงงานน้ีมีสาเหตุมาจากอะไร ดีอย่างไร ทำไมจงึ เลอื ก ผูจ้ ดั ทำ
โครงงานต้อง บอกหลักการและเหตุผลในการจัดทำโครงงานนี้ใหช้ ดั เจน
5. จุดมุ่งหมาย ให้ระบุว่า เม่ือทำโครงงานนี้และผู้จัดทำโครงงานจะได้
อะไรบ้าง เป็นตัว บ่งช้ีถึงสภาวะหรือวัสดุหรือผลงานท่ีเราต้องการท่ีจะเกิดข้ึนอันเป็นจุดมุ่งหมาย
ปลายทางของการ ดำเนินงานที่เฉพาะเจาะจงหรืออาจกล่าวง่าย ๆ ว่าจุดมุ่งหมายของโครงงานน้ีจะทำ
ให้เกิดอะไรขน้ึ บา้ ง เกดิ ข้ึนกับใคร
6. การศึกษาขอ้ มลู ของโครงงาน ผู้จดั ทำโครงงานนจ้ี ะตอ้ งศึกษารายละเอียด
เก่ียวกับ หลักเกณฑ์ ทฤษฎีหรือหลักวิชาการจากเอกสาร ตำรา ส่ิงพิมพ์ หรือประสบการณ์ที่เกิดข้ึน
ในเหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ
7. วธิ กี ารดำเนนิ งาน หมายถึง การกำหนดกิจกรรมขั้นพื้นฐานท่จี ะตอ้ งจดั ทำ
ข้ึนในโครงงาน โดยจัดเรียงลำดับก่อนหลัง กิจกรรมท่ีกำหนดข้ึนอาจจะมีกิจกรรมย่อย ๆ หลาย
กิจกรรมในการ ดำเนนิ งาน
8. ระยะเวลาในการดำเนินงาน หมายความว่า การทำโครงงานต้องกำหนด
ระยะเวลา เร่ิมต้นและส้ินสุดของกิจกรรมแต่ละกิจกรรมเพ่ือประโยชน์ในการวางแผนงานตลอดจน
ประเมินผล สำเร็จของงาน
9. สถานท่ีในการดำเนินงาน หมายความว่า ในการทำงานแต่ละครั้ง ต้องมี
สถานท่ใี นการทำงานท่แี น่นอนเพื่อสะดวกในการปฏิบตั ิงาน
10. งบประมาณ ค่าใช้จ่ายโครงงาน หมายความว่า การจัดทำโครงงานทุก
ครั้งต้องมีการการเขียนโครงงาน ประมาณค่าใช้จ่ายไว้ล่วงหน้า เพราะงบประมาณเป็นตัวช่วยให้งาน
สำเรจ็ ลงได้ถา้ ขาดงบประมาณ แลว้ ทุกอย่างก็อาจล้มเหลวได้
11. ผลท่ีคาดว่าจะได้รับเป็นการคาดคะเนว่าถ้าหากโครงงานน้ีสำเร็จ
เรียบร้อยแล้วจะเกิด อะไรขึ้นบ้างในอนาคต เช่น เกิดความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ สิ่งของความ
แปลกใหม่ ความคิด ริเร่ิม ผลงานที่ ตรงตามจุดหมาย รายได้ท่ีคาดว่าจะได้รับโดยประมาณว่าเท่าไร
และเกิดขึ้นกบั ใคร ที่ไหน เมือ่ ไร
12. เอกสารอ้างอิงที่ใช้เขียนโครงงาน ให้บอกชื่อผู้แต่งหนังสือครั้งที่พิมพ์
สถานท่ีพิมพ์ สำนักพิมพ์และปีท่ีพิมพ์ หรือแหล่งข้อมูลที่นักเรียนใช้ค้นคว้า เพ่ือนำมาเป็นข้อมูลใน
การเขียน โครงงาน
แนวทางการเขยี นโครงงาน 5 บท
ผู้เรียนร่วมกันเขียนรายงานผลเป็นเอกสารเพื่อนำเสนอต่อชั้นเรียน และเผยแพร่ต่อ
สาธารณะ โดยร่วมกันคิดและเขียนรายงาน ให้เห็นถึงเค้าโครงตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการ ใน
ประเดน็ ต่าง ๆ ดังหัวข้อต่อไปนี้
21
บทที่ 1 บทนำ กลา่ วถึงที่มา ความสำคัญของโครงงานท่ที ำวา่ มเี หตผุ ลใดที่
ต้องการศึกษา โครงงานเร่ืองนี้ มีปัญหา หรือมีความสำคัญอย่างไร ต้ังวัตถุประสงค์ สมมติฐาน
ขอบเขตของ โครงงาน และประโยชน์ท่คี าดว่าจะได้รบั
บทท่ี 2 วรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง ค้นคว้าเอกสารตำราในเร่ืองที่เก่ียวกับ
โครงงานที่ทำ ว่ามีผู้ใดที่ได้ศึกษาไว้บ้างแล้ว มีทฤษฎี หลักการ แนวคิดอะไรบ้างท่ีจะเอื้อประโยชน์ใน
การทำโครงงาน
บทท่ี 3 วิธีดำเนินงาน การวางแผนการท างานตั้งแต่ต้นจนจบสิ้นโครงงาน
ว่านกั เรยี นจะเตรียมการ ดำเนินการ และเก็บข้อมูลอย่างไร
บทท่ี 4 ผลการดำเนินงาน การรายงานผลการดำเนินงานตามที่ได้วางแผน
ไว้ในบทท่ี 3 โดยละเอียดว่าผลที่ได้ศึกษา ทดลองออกมาอย่างไร ให้รายงานตามข้อมูลที่เป็นจริงโดย
ไมต่ ้องเสนอแนะวา่ เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนนั้
บทท่ี 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ หลังจากที่ได้ดำเนินงานตาม
โครงงานท่ีได้จัดทำ แล้วสรุปผลที่ได้ท้ังหมด อภิปรายผลท่ีเกิดขึ้นว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นน้ัน อีกท้ัง
เสนอแนะวา่ ควรจะ ทำอยา่ งไรหากจะนำผลการทดลองไปใชห้ รือทดลองอีกคร้ังหน่งึ
ตวั อยา่ งโครงงาน
โครงงานอาชพี
1. ซาลาเปาเพอื่ สุขภาพ
2. การทำตะกร้าจากผักตบชวา
3. การทอเสือ่ กก
4. น้ำพรกิ เห็ด
5. ฯลฯ
โครงงานจากภูมิปัญญาชาวบา้ น
1. กำจดั ขยะมลู ฝอยในชมุ ชน
2. การรณรงคต์ ้านยาเสพติด
3. รณรงคห์ นุม่ สาวเข้าวดั วันพระ
โครงงานทดลอง
1. การใช้สะเดาในการกำจดั ศตั รพู ืช
2. การปลกู ผักกางมงุ้
3. การใชป้ ๋ยุ ชีวภาพ
โครงงานสำรวจ
1. การสำรวจผไู้ ม่รู้หนังสอื
2. การสำรวจสมุนไพรท่มี ีในทอ้ งถ่ิน
3. การสำรวจการใชส้ ารเคมี
โครงงานสงิ่ ประดิษฐ์
1. การทำเครอ่ื งสีขา้ วโพด
2. การทำเครื่องปอกมะพร้าว
3. การทำเครอื่ งอบผลไม้จากแสงอาทิตย์
22
การคดิ หวั ขอ้ โครงงาน
การคิดหัวข้อเรื่อง นักเรียนเป็นผู้กำหนดเองจากท่ีตนเองหรือตามที่กลุ่มสนใจ หรือ
อาจจะมาจากเน้ือหาสาระการเรยี นรู้ในบทเรยี น หรือมาจากคำบอกเล่า จากวารสาร หนังสือพิมพ์ วิทยุ
โทรทัศน์ การไปศกึ ษาตามสถานทต่ี า่ ง ๆ จากตวั อย่างท่มี ีผู้ทำมาแลว้ จากปรากฏการณท์ พี่ บเหน็ รอบ ๆ
ตัวของนักเรียน หัวข้อเรื่องจะต้องมีแนวคิด ท่ีมาและความสำคัญ หรือมาจากปัญหาที่พบ จาก ที่สังเกต
แล้วเกิดปัญหา ทำให้เกิดแรงจูงใจท่ีจะศึกษา และที่สำคัญควรเป็นเร่ืองท่ีแปลกใหม่ มี ประโยชน์ต่อ
การศกึ ษาค้นควา้
การวางแผนในการดำเนนิ งาน
เมื่อนักเรียนได้หัวข้อเรื่องแล้วก็จะนำมาวางแผนการดำเนินงานหรือการทำโครงงาน
เพื่อให้ การทำโครงงานสำเร็จตามท่ีกำหนดไว้ โดยการศึกษาความรู้ท่ีเก่ียวข้องกับหัวเรื่องเพ่ิมเติม จาก
เอกสารวารสารต่าง ๆ มกี ารวางแผนการศึกษา คน้ ควา้ ทดลอง ว่าเร่ืองน้จี ะมีการศกึ ษา สำรวจ ประดษิ ฐ์
หรือทดลองอย่างไร และจะไปศกึ ษาหรือหาแหล่งเรียนรู้ท่ใี ดบ้าง รวมท้ังวางแผนการเก็บ รวบรวมขอ้ มูล
หรือบันทึกผ่านผลการศึกษา ต้องมีแผนการจัดทำข้อมูล การออกแบบตารางบันทึกซ่ึง นักเรียนจะต้อง
วางแผนและออกแบบเองโดยครูอาจจะให้คำแนะนำด้วยกไ็ ด้
การเขียนรายงานโครงงาน
เมื่อทำโครงงาน ครบตามทุกข้ันตอนแล้ว นักเรียนต้องนำข้อมูลที่บันทึกที่ได้จาการ
ทดลองมา รวบรวมสรุปและเขยี นรายงานให้สมบูรณ์ ซง่ึ รปู แบบการเขยี นรายงานโครงงานมรี ูปแบบงา่ น
ๆ ท่ี ประกอบดว้ ยองค์ประกอบดังต่อไปนี้
1. ชอื่ เรือ่ ง
2. คณะนกั เรียนท่ที ำ และโรงเรียน
3. อาจารย์ทป่ี รกึ ษา
4. แนวคิด ทม่ี าหรอื ความสำคัญหรอื ปญั หา
5. ความรู้ หลกั การและทฤษฎที เี่ ก่ียวข้อง
6. จดุ ม่งุ หมายหรอื วตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษา
7. สมมตฐิ านของการศกึ ษา (ถา้ ม)ี
8. ขอบเขตของการศกึ ษา
9. ขัน้ ตอนการศึกษา
10. เคร่อื งมอื หรอื วสั ดอุ ปุ กรณ์ท่ีใช้ศึกษา
11. ผลการศึกษา (ทำเป็นตาราง กราฟหรอื มรี ูปถา่ ยด้วยตามขนั้ ตอนในข้อ 8
12. สรปุ และวิเคราะหผ์ ลการศึกษา
13. ประโยชนท์ ีไ่ ด้รบั จากโครงงานเร่อื งน้ี
14. บรรณานกุ รม
การเขยี นบทคัดยอ่
การเขียนบทคดั ยอ่ โดยท่ัว ๆ ไปจะเขียนส้ัน ๆ มีเนื้อความไมเ่ กินหน่ึงหนา้ กระดาษ โดย
หัวกระดาษจะมีช่ือเรื่อง คณะผู้จัดทำ และมีเน้ือความย่อของเร่ืองท่ีจะทำ ในส่วนของเนื้อความย่อ จะ
ประกอบด้วย จุดประสงค์หรือวัตถุประสงค์ของเร่ืองที่ทำ ข้ันตอนการศึกษา (ทดลอง สำรวจหรือการ
ประดิษฐ์) ผลท่ีได้จากการศึกษา (ทดลองการสำรวจ การตรวจสอบประสิทธิภาพการใช้งานของ
23
สิ่งประดิษฐ์ โดยเขียนย่อสั้น ๆ แล้วลงข้อสรุปท่ีเด่น ๆ ลักษณะการเขียนให้เป็นไปตามลำดับข้ันตอน
อย่างตอ่ เน่อื ง
3. เอกสารทเ่ี กีย่ วขอ้ งดัชนีประสทิ ธภิ าพและดัชนีประสทิ ธผิ ล
ประสิทธิภาพ หมายถึง ความสามารถทางการเรยี นทท่ี ำใหผ้ ู้เรยี นประสบ
ผลสำเร็จท้ังด้านกระบวนการและผลลัพธ์
เกณฑ์ประสิทธิภาพ (E1/E2) มีความหมายแตกต่างกันหลายลักษณะ ในท่ีน้ีจะ
ยกตัวอยา่ ง E1/E2= 80/80 ดงั นี้
1. เกณฑ์ 80/80 ในความหมายที่ 1 ตัวเลข 80 ตัวแรก (E1) คือ นักเรียนท้ังหมดทำ
แบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบย่อยได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 คือ เป็นประสิทธิภาพของกระบวนการ
ส่วนตัวเลข 80 ตัวหลัง (E2) คือ นักเรียนท้ังหมดที่ทำแบบทดสอบหลังเรียน (Post-Test) ได้คะแนน
เฉลีย่ ร้อยละ 80 คอื ประสิทธภิ าพของผลลัพธ์ หาคา่ เฉลย่ี E1 และ E2
2. เกณฑ์ 80/80 ในความหมายที่ 2 ตัวเลข 80 ตัวแรก (E1) คือ จำนวนผู้เรียนร้อยละ 80
ทำแบบทดสอบย่อยหลังเรียน (Post-Test) ได้คะแนนร้อยละ 80 ทุกคนส่วนตัวเลข 80 ตัวหลัง (E2)
คือ นกั เรยี นทง้ั หมดทำแบบทดสอบหลังเรยี นครั้งน้ันได้คะแนนจากการทดสอบหลงั เรยี นถงึ ร้อยละ 80
3. เกณฑ์ 80/80 ในความหมายท่ี 3 ตัวเลข 80 ตัวแรก (E1) คือ จำนวนนักเรียนท้ังหมดทำ
แบบทดสอบหลังเรียน (Post-Test) ได้คะแนนเฉล่ียร้อยละ 80 ส่วนตัวเลข 80 ตัวหลัง (E2) คือ
คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ที่นักเรียนทำเพิ่มขึ้นจากแบบทดสอบหลังเรียน (Post-Test) โดยเทียบจาก
คะแนนที่ทำได้ก่อนการเรียน ตัวอย่าง ตัวเลข 80 ตัวหลัง (E2) อธิบายได้ดังน้ี สมมุตินักเรียนในห้อง
ทงั้ หมดทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน (Pre-Test) ได้คะแนนเฉลีย่ ร้อยละ 10 แสดงว่า แตกตา่ งจากคะแนน
เต็ม (ร้อยละ 100) เท่ากับ 90 ถ้านักเรียนทั้งหมดทำแบบทดสอบหลังเรียน(Post-Test) ได้คะแนน
เฉล่ียร้อยละ 85 แสดงวา่ ความแตกต่างของการสอบ 2 ครง้ั น้ี (กอ่ นเรยี นกบั หลงั เรียน) เท่ากับ 80-10
= 75 ดงั นั้น คา่ ของ E2 = (75/90) × 100 = 83.33 % ถอื ว่าสงู กว่าเกณฑท์ ีก่ ำหนดไว้ (E2= 80)
4. เกณฑ์ 80/80 ในความหมายท่ี 4 ตัวเลข 80 ตัวแรก (E1) คือ นักเรียนท้ังหมดทำ
แบบทดสอบหลังเรียนได้คะแนนเฉล่ียร้อยละ 80 ส่วนตัวเลข 80 ตัวหลัง (E2) หมายถึง นักเรียน
ทั้งหมดทำแบบทดสอบหลังเรียนแต่ละข้อถูกมีจำนวนร้อยละ 80 (ถ้านักเรียนทำข้อสอบข้อใดถูกมี
จำนวนนักเรียนไม่ถึงร้อยละ 80 แสดงว่า ส่ือไม่มีประสิทธิภาพและชี้ให้เห็นว่าจุดประสงค์ท่ีตรงกับข้อ
น้ันมีความบกพร่อง) โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า เกณฑ์ในการหาประสิทธิภาพของสื่อการเรียนการสอนจะ
นยิ มต้ังเปน็ ตัวเลข 3 ลักษณะ คือ 80/80, 85/85 และ 90/90 ท้งั นี้ ข้นึ อยู่กบั ธรรมชาตขิ องวิชาและ
เน้ือหาที่นำมาสร้างส่ือนั้น ถ้าเป็นวิชาที่ค่อนข้างยากก็อาจตั้งเกณฑ์ไว้ 80/80 หรือ 85/85 สำหรับ
วิชาท่มี ีเน้ือหาง่ายก็อาจตงั้ เกณฑ์ไว้ 90/90 เปน็ ต้น นอกจากนี้ยัง ต้ังเกณฑ์เป็นค่าความคลาดเคลื่อนไว้
เท่ากับร้อยละ 2.5 น่ันคือ ถ้าตั้งเกณฑ์ไว้ที่ 90/90 เม่ือคำนวณแล้วค่าที่ถือว่าใช้ได้คือ 87.5/87.5
หรือ 87.5/90 เป็นต้น ประสิทธิภาพของส่ือเทคโนโลยีการเรียนการสอน จะมาจากผลลัพธ์ของการ
คำนวณ E1 และ E2 เป็นตัวเลขตัวแรกและตัวหลังตามลำดับ ถ้าตัวเลขเข้าใกล้ 100 มากเท่าไรยิ่งถือ
ว่ามีประสิทธิภาพมากข้ึน เป็นเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาการรับรองประสิทธิภาพสื่อการเรียนการสอน และมี
แนวคดิ ในการหาประสทิ ธิภาพที่ควรคำนึง ดงั นี้
1. สื่อการเรียนการสอนท่ีสร้างข้ึนต้องมีการกำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เพ่ือการ
เรยี นการสอนอย่างชดั เจนและสามารถวัดได้
24
2. เน้ือหาของบทเรียนท่ีสรา้ งข้ึนตอ้ งผ่านกระบวนการวิเคราะห์เนื้อหาตามจุดประสงค์
ของการเรียนการสอน
3. แบบฝึกหัดและแบบทดสอบ ต้องมีการประเมินความเท่ียงตรงของเน้ือหาตาม
วัตถุประสงค์ของการสอนที่ได้วิเคราะห์ไว้ ส่วนความยากง่ายและอำนาจจำแนกของแบบฝึกหัดและ
แบบทดสอบ ควรมกี ารวเิ คราะหเ์ พอ่ื นำไปใช้กำหนดคา่ นำ้ หนักของคะแนนในแต่ละข้อคำถาม
4. จำนวนแบบฝึกหัดต้องสอดคล้องกับจำนวนของวัตถุประสงค์ และต้องมีแบบฝึกหัด
และข้อคำถามในแบบทดสอบครอบคลุมจุดประสงค์การสอน จำนวนแบบฝึกหัดและข้อคำถามใน
แบบทดสอบไมค่ วรนอ้ ยกว่าจำนวนวัตถุประสงค์
การหาคา่ ดัชนปี ระสทิ ธผิ ล
ดัชนปี ระสิทธผิ ล หมายถงึ การประเมนิ ความก้าวหน้าทางการเรยี นของนกั เรยี นที่ได้รับ
จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยประเมินจากคะแนนหลังเรียนที่เพิ่มขึ้นจากก่อนเรียน (เผชิญ กิจ
ระการ, 2546 : 3-4) ได้ สรุปว่า ดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index) หมายถึง ตัวเลขท่ีแสดงถึง
ความก้าวหน้าของผู้เรียน โดยการเทียบคะแนนท่ีเพิ่มขึ้นจากคะแนนการทดสอบก่อนเรียนกับคะแนนที่
ไดจ้ ากการทดสอบหลังเรียน และคะแนนเต็มหรอื คะแนนสูงสุดกับคะแนนทไ่ี ด้จากการทดสอบก่อนเรียน
เมื่อมีการประเมินส่ือการสอนท่ีผลิตข้ึนมา เรามักจะดูถึงประสิทธิผลทางด้านการสอนและการวัด
ประเมินผลทางสื่อนั้น ตามปกติแล้วจะเป็นการประเมินความแตกต่างของค่าคะแนนใน 2 ลักษณะ คือ
ความแตกต่างของคะแนน การทดสอบก่อนเรียน และคะแนนการทดสอบหลังเรียน หรือเป็นการ
ทดสอบความแตกต่างเก่ียวกับผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นระหวา่ งกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ ในทางปฏิบัติ
ส่วนมากจะเน้นที่ผลของความแตกต่างทางสถิติ แต่ในบางกรณีการเปรียบเทียบเพียง 2 ลักษณะ ก็
อาจจะไม่เป็นการเพียงพอ เช่น ในกรณีของการทดลองใช้สื่อในการเรียนการสอนครั้งหนึ่งปรากฏว่า
กลุ่มที่ 1 การทดลองการทดสอบก่อนเรียนได้คะแนน 18 % การทดสอบหลังเรียนได้คะแนน 67 %
และกลุ่มท่ี 2 การทดสอบก่อนเรียนได้คะแนน 27 % การทดสอบหลังเรียนได้คะแนน 74 %ซึ่งเมื่อดู
ผลการวิเคราะห์ทางสถิติปรากฏว่า คะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี นแตกต่างกันอย่างมีนยั สำคัญ
ทางสถิติทง้ั 2 กลุ่ม แต่เม่ือเปรียบเทยี บคะแนนทดสอบหลงั เรยี นระหวา่ งกลมุ่ ทงั้ สองปรากฏวา่ ไม่มคี วาม
แตกต่างกัน ซึ่งไมส่ ามารถระบุได้ว่าเกิดขึ้นเพราะตัวแปรทดลอง (Treatment) นั้นหรือไม่ เนอื่ งจากการ
ทดสอบท้ัง 2 กรณีนั้นมีคะแนนพื้นฐาน (คะแนนทดสอบก่อนเรียน) แตกต่างกัน ซึ่งจะส่งผลถึงคะแนน
การทดสอบหลงั เรียนที่จะเพม่ิ ข้นึ ได้สูงสุดของแต่ละกรณีดชั นปี ระสิทธิผล (E.I.) ซงึ่ คำนวณได้จากการหา
ความแตกต่างของการทดสอบก่อนการทดลอง และการทดสอบหลังการทดลอง ด้วยคะแนนสูงสุดท่ี
สามารถทำเพิ่มข้ึนได้ Hovland เสนอว่า ค่าความสัมพันธ์ของการทดลองจะสามารถกระทำได้อย่าง
ถูกต้องแน่นอน จะต้องคำนึงถึงความแตกต่างของคะแนนพื้นฐาน (คะแนนทดสอบก่อนเรียน)และ
คะแนนที่สามารถทำได้สูงสุด ดัชนีประสิทธิผลจะเป็นตัวชี้ถึงขอบเขต และประสิทธิภาพสูงสุดของสื่อ
เทคโนโลยีหรอื นวตั กรรมน้นั เอง ดัชนปี ระสทิ ธผิ ลมีรูปแบบในการหาค่า ดงั นี้
หรอื
25
หรือ
4. เอกสารท่ีเก่ียวขอ้ งกับความพึงพอใจหรือทศั นคติ
อุทัย พรรณสุดใจ (2545) ได้กล่าวถึง ความพึงพอใจว่า เป็นความรู้สึกรักชอบยินดีเต็มใจ
หรือมีเจตคติที่ดีของบุคคลตอ่ สิ่งใดส่ิงหน่ึง ความพอใจจะเกิดเม่ือได้รบั ตอบสนองความต้องการ ทั้ง ด้าน
วัตถุและด้านจิตใจ ความพึงพอใจเป็นเร่ืองเก่ียวกับอารมณ์ ความรู้สึก และทัศนะของบุคคล อัน
เนอ่ื งมาจากสิ่งเรา้ และสง่ิ จูงใจ โดยอาจเปน็ ไปในเชงิ ประเมนิ คา่ ว่าความรู้สึกหรอื ทัศนคตติ ่อ ส่ิงเหล่าน้ัน
เปน็ ไปในทางลบหรือบวก
ราชบัณฑิตสถาน (2546) ได้กล่าวถึง ความหมายของคำว่า ความพึงพอใจ ดังน้ี คำว่า “พึง”
เปน็ คำกรยิ าอนื่ หมายความวา่ ยอมตาม เช่น พงึ ใจ และคำวา่ “พอใจ” หมายถึง สมชอบ ชอบใจ
กชกร เป้าสุวรรณ และคณะ (2550) ได้กล่าวถึง ความหมายของความพึงพอใจว่า สง่ ที่ควร
จะเป็นไปตามความต้องการ ความพึงพอใจเป็นผลของการแสดงออกของทัศนคติของบุคคลอีกรูปแบบ
หนึ่ง ซ่ึงเป็นความรู้สึกเอนเอียงของจิตใจที่มีประสบการณ์ท่ีมนุษย์เราได้รับอาจจะมากหรือน้อยก็ได้
และเป็นความรู้สึกท่ีมีต่อสิ่งใดส่ิงหนึ่ง ซึ่งเป็นไปได้ท้ังทางบวกและทางลบ แต่ก็เมื่อได้ส่ิงนั้น สามารถ
ตอบสนองความต้องการ หรือทำให้บรรลุจุดมุ่งหมายได้ ก็จะเกิดความรู้สึกบวก เป็นความรู้สึกท่ีพึง
พอใจ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าส่ิงนั้นสร้างความรู้สึกผิดหวัง ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกทางลบ เป็น
ความรู้สึกไมพ่ ึงพอใจ
Applewhite (1965) ได้กล่าวถึง ความพึงพอใจ เป็นความรู้สึกส่วนตัวของบุคคลในการ
ปฏิบัติงาน ซึ่งรวมไปถึงความพึงพอใจเป็นความรู้สึกส่วนตัวของบุคคลในการปฏิบัติงาน ซึ่งรวมไป ถึง
ความพึงพอใจในสภาพแวดล้อมทางกายภาพด้วย การมีความสุขที่ทำงานร่วมกับคนอ่ืนที่เข้ากัน ได้มี
ทัศนคติท่ดี ีตอ่ งานดว้ ย
Good (1973) ได้กลา่ วถึง ความพึงพอใจ หมายถึงสภาพหรือระดับความพึงพอใจท่ีเปน็ ผล
มา จากความสนใจ และเจตคตขิ องบุคคลทมี่ ตี อ่ งาน
จากการศึกษาผู้วิจัยสรุปได้ว่า ความหมายของความพึงพอใจ คือความรู้สึกนึกคิด หรือ
ทศั นคตขิ องบคุ คลท่มี ีต่อส่ิงใดสงิ่ หนึ่งสามารถเป็นไปในทางทด่ี ีหรือไม่ดี หรอื ในด้านบวกและด้านลบ ซึ่ง
จะเกดิ ขน้ึ กต็ ่อเมอ่ื ส่งิ นนั้ สามารถตอบสนองความต้องการแก่บคุ คลนนั้
การวัดความพงึ พอใจ
ค ว าม พึ งพ อ ใจ เกิ ด ข้ึ น ห รือ ไม่ นั้ น ขึ้ น อ ยู่ กั บ ก ร ะ บ ว น ก า รจั ด ก า รเรีย น รู้ ป ร ะ ก อ บ กั บ ร ะ ดั บ
ความรู้สึกของนักเรียนดังนั้นในการวัด ความพึงพอใจในการเรียนรู้กระทำได้หลายวิธี ต่อไปนี้ (สาโรจน์
ไสยสมบัติ , 2534: 39)
1. การใช้แบบสอบถามซ่งึ เปน็ วิธีทนี่ ยิ มใชม้ ากอยา่ งแพร่หลายวิธีหน่งึ
26
2. การสัมภาษณ์ซ่ึงเป็นวิธีท่ีต้องอาศัย เทคนิคและความชำนาญพิเศษของผู้สัมภาษณ์ท่ีจะจูง
ใจให้ผ้ตู อบคำถามตามขอ้ เทจ็ จรงิ
3. การสังเกต เป็นการสังเกตพฤติกรรมทั้ง ก่อนการปฏิบัติกิจกรรม ขณะปฏิบัติกิจกรรมและ
หลังการปฏิบัติกิจกรรมจะเห็นได้ว่าการวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้สามารถท่ีจะวัดได้หลายวิธี ทั้งนี้
ข้ึนอยู่กับความ สะดวกความเหมาะสม ตลอดจนจุดมุ่งหมาย หรือเป้าหมายของการวัดด้วยจึงจะส่งผล
ใหก้ ารวัดนั้น มีประสิทธิภาพนา่ เชอื่ ถอื
จากการศึกษา ผู้วิจัย สรุปได้ว่า ความพึงพอใจในการเรียนและผลการเรียน จะมี
ความสัมพันธ์กันในทางบวก ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับ กิจกรรมที่ผู้เรียนได้ปฏิบัตินั้น ทำให้ผู้เรียนได้รับการ
ตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกายและจิตใจ ซ่ึงเป็นส่วนสำคัญท่ีจะทำให้เกิดความสมบูรณ์ของ
ชีวิตมากน้อยเพียงใด นั่นคือสิ่ง ที่ครูผู้สอนจะคำนึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆในการเสริมสร้างความพึง
พอใจในการเรียนรู้ให้กบั ผเู้ รยี น
5. เอกสารและความรู้ท่วั ไปเกย่ี วกับงานประดิษฐ์ทเี่ ปน็ เอกลักษณ์ไทย
๑. ความหมาย ของงานประดษิ ฐ์ทเี่ ปน็ เอกลักษณ์ไทย
๑.๑ ความหมายความหมายของงานประดิษฐ์ งานประดิษฐ์ หมายถึง สิ่งที่จัดทำข้ึน โดยใช้
ความคิด สร้างสรรค์ให้เกิดความประณีต สวยงาม น่าสนใจ เพ่ือประโยชน์ที่พึงประสงค์ เช่น งาน
ประดิษฐด์ อกไม้ ผ้ารองจาน กระเป๋า ตุ๊กตา ท่ีค่นั หนังสือ กระทงใบตอง บายศรี พานดอกไม้ มาลัยแบบ
อื่น ๆ
๑.๒ คุณค่าของงานประดิษฐ์ท่ีเป็นเอกลักษณ์ไทย คุณค่าต่อนักเรียน ได้ฝึกฝนการทำงาน
ประดิษฐ์ จะได้เรียนรู้ถงึ ความวิริยะอุตสาหะ ได้ฝึกนิสัยให้มีความประณีต ละเอียดลออ พิถีพิถัน อดทน
ขยนั มีความรอบคอบ และเห็นคุณค่า เอาใจใส่ต่องานทกุ ช้ิน
1.3 ประเภทของงานประดิษฐ์ทเี่ ปน็ เอกลกั ษณไ์ ทย
1.3.1 งานดอกไมส้ ด
1.3.2 งานใบตอง
1.3.3 งานแกะสลักพชื ผักและผลไม้
1.3.4 งานแกะสลักไม้
1.3.5 งานปนั้
1.3.6 งานจกั สาน
1.4 งานประดษิ ฐท์ เ่ี ปน็ เอกลักษณไ์ ทย
เช่น การสานกระดง้
1 เลาไมไ้ ผใ่ หแ้ บนกว้าง ประมาณ 2 เซนตเิ มตร
2 จดั วางรูปแบบในลักษณะการสาน 2 แถว
3 เรม่ิ สานไปจนไดข้ นาดตามต้องการ
4 เตรยี มขอบกระดง้ ใช้ไมไ้ ผห่ นาๆมาดัดใหเ้ ปน็ วงกลม
1.5 แนวทางการสรา้ งรายได้จากงานประดษิ ฐ์ทเี่ ปน็ เอกลักษณ์ไทย
งานประดิษฐ์สร้างรายได้ ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างอาชีพ โดยในอาชีพ
หมวดหมู่นี้ก็เป็นอีกหน่ึงทางที่จะขายไอเดียซ่ึงเกิดจากความคิดมนุษย์ภายใต้ความสร้างสรรค์ที่บรรเจิด
27
ข้ึนในสมอง และเป็นอีกหนึ่งหนทางที่ใครหลายคนสนใจโดยเฉพาะผู้ท่ีชอบการสร้างสรรค์ โดยงาน
ประดิษฐส์ รา้ งรายได้ดังกล่าวมักเป็นไปในทางผลงานดา้ นฝีมือเป็นหลัก
อาชีพเสริมจากงานฝีมืองานประดิษฐ์ งานฝีมือทีมีวัสดุอุปกรณ์จากธรรมชาติ ย่ิงเป็นที่
ต้องการของตลาด เช่น งาน จักสาน การทำโคมไฟจากกะลา การทำของเล่น การทำของแต่งบ้าน
แปลกๆ การวาดรูประบายสี ส่ิงประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่กล่าวมา ชาวต่างชาติชอบ บางคนซ้ือไปขายต่อใน
ราคาสงู ๆและขายตอ่ หลายเท่าตัวเลยทเี ดยี ว
6. งานวิจยั ทเ่ี ก่ียวข้อง
มานติ ย์ กลา้ ไพรี (2547 : บทคดั ย่อ) ไดศ้ ึกษาการพัฒนาแผนการเรยี นรโู้ ดยโครงงาน เร่อื งการ
ขยายพนั ธ์ุพืชโดยวิธีไม่ใช้เพศ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 กลมุ่ ตวั อยา่ งได้แกน่ ักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5/1
จำนวน 37 คน ปกี ารศึกษา 2546 โรงเรียนชัยภักดีชมุ พล อำเภอเมือง จงั หวดั ชัยภมู ิ เคร่ืองมือท่ใี ช้
ศกึ ษาคน้ ควา้ คอื แผนการเรียนรแู้ บบโครงงาน แบบสอบถามเจตคตขิ องนักเรยี น แบบทดสอบวัด
ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น ผลการศกึ ษาค้นคว้าพบวา่ แผนการเรยี นรู้แบบโครงงานมีประสิทธิภาพสูงกว่า
เกณฑ์ 85/85 มีค่าประสิทธภิ าพเท่ากบั 88.51/89.49 และเจตคติของนักเรียนที่มีต่อแผนการเรียนรู้
ในภาพรวมคดิ เป็นร้อยละ 88.58
สวุ ดี ผลงาม (2551 : บทคดั ยอ่ ) ได้ศึกษาการพัฒนาพฤตกิ รรมการเรยี นรู้และเจตคติ
ในการทำโครงงานของนักเรยี น ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนทับปุดวิทยา โดยใช้กจิ กรรมคา่ ยเรียนรู้
โครงงานผา่ นภูมปิ ัญญาท้องถิ่น กล่มุ ตัวอยา่ งในการวจิ ยั ครง้ั น้ี เป็นนกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3
โรงเรียนทบั ปุดวิทยา อำเภอทบั ปดุ จงั หวัดพงั งา จำนวน 45 คน เคร่อื งมือท่ีใช้ในการศึกษาคน้ ควา้ คอื
หลักสตู รการจัดกจิ กรรมค่ายเรียนรู้โครงงาน แบบวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ในการทำโครงงาน แบบวัด
เจตคติในการทำโครงงาน ผลการศึกษาพบวา่ นักเรียนที่เขา้ ร่วมกิจกรรมค่ายเรียนร้โู ครงงาน ผ่านภมู ิ
ปัญญาท้องถิ่น มีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการเรียนรูร้ ้อยละ 87.37 และมนี ักเรยี นผา่ นเกณฑ์ ร้อยละ
100 ของนักเรียนทเ่ี ข้าร่วมกจิ กรรมทั้งหมด และนกั เรยี นมเี จตคตหิ ลงั การเข้ารว่ มกจิ กรรมค่ายเรยี นรู้
โครงงาน ผ่านภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น สงู ขนึ้ กว่าก่อนการเขา้ ร่วมกจิ กรรมอยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิติท่ีระดบั
.05
ทิฆัมพร ศรวี ัฒนพงศ์ (2550 : บทคดั ยอ่ ) ได้ศึกษา การพฒั นาแผนการจดั กิจกรรม
การเรยี นรู้โดยโครงงาน เร่ืองการประดษิ ฐ์ของชำรว่ ย กลมุ่ สาระการงานอาชพี และเทคโนโลยี ชั้น
มัธยมศึกษาปที ี่ 1 โดยมคี วามมุง่ หมายเพื่อหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 หาประสิทธิผล การ
เรียนรู้และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนโดยแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน กลุ่ม
ตัวอย่าง นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 1 จำนวน 30 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมอื ใน
การศึกษา ได้แก่ แผนการจดั การเรียนรู้โดยโครงงาน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นชนิด
เลอื กตอบ แบบวดั ความพึงพอใจต่อการเรยี นโดยโครงงาน สถติ ทิ ีใ่ ช้ ไดแ้ ก่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย และส่วน
เบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลการศกึ ษาค้นคว้าพบวา่ แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้แบบโครงงานมี
ประสิทธิภาพเทา่ กบั 86.17/84.00 ซงึ่ สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ต้ังไว้ และมีค่าดชั นีประสิทธิผล
ทางการเรียนรู้ เท่ากับ 0.6283 ซ่งึ หมายความวา่ นักเรียนมีความกา้ วหนา้ ในการเรยี นร้อยละ 62.83
และผูเ้ รียนมคี วามพึงพอใจในการจดั กิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบโครงงาน โดยรวมอยู่ในระดับมาก
จากการศึกษางานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง แสดงให้เห็นว่าการสอนโดยโครงงาน ผู้สอนจึงจำเป็นต้อง
ชว่ ยเหลือนักเรยี นและต้องประสารเพ่อื ขอความร่วมมือ ความชว่ ยเหลอื จากผู้เชย่ี วชาญท้ังในด้านเน้ือหา
และเทคโนโลยี และเป็นกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนได้รับได้นำความรู้อย่างแท้จริงให้กับ
28
ผเู้ รียนได้ การเรียนรแู้ บบรว่ มมือ และช่วยสรา้ งแรงจูงใจให้กบั นักเรียน เป็นการพัฒนาความคิดรวบยอด
และมนุษย์สัมพันธ์แลกเปล่ียนเรียนรู้ของนักเรียนได้เป็นอย่างดี ซ่ึงส่งโดยตรงต่อการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนสูงข้ึน ช้ีให้เห็นว่า การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน จึงเป็นการจัดการเรียนการสอนอีกวิธี
หน่งึ ที่มคี วามเหมาะสมอย่างย่ิงในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน
29
บทที่ 3
วิธดี ำเนนิ การศึกษาคน้ คว้า
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพ่ือศกึ ษา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรือ่ ง การ
สรา้ งสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ของชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศกึ ษา 2562 โรงเรียนนวมินทราชนิ ทู ิศ สตรีวทิ ยา พทุ ธมณฑล ไดด้ ำเนนิ การศกึ ษาตามลำดบั ดงั นี้
1. ประชาการและกลมุ่ ตวั อยา่ ง
2. แบบแผนการทดลองทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย
3. เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการวิจยั
4. ข้ันตอนการสรา้ งและหาคุณภาพของเครอ่ื งมือ
5. วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
6. การจัดทำกับขอ้ มลู และวเิ คราะห์ขอ้ มูล
1. ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง
ประชากร
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล ภาคเรียนท่ี 2
ปีการศึกษา 2562 จำนวน 3 ห้องเรียน คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4/5 นักเรียนชนั้ มัธยมศึกษา
ปีที่ 4/10 และนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 4/13 จำนวนท้งั หมด 102 คน
กลุม่ ตัวอยา่ ง
นกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4/5 โรงเรยี นนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล ภาคเรียนท่ี
2 ปีการศึกษา 2562 จำนวนนักเรียน 39 คน ได้จากการสุ่มแบบเกาะกลุ่ม (Cluster Random
Sampling)
2. แบบแผนการทดลองทใ่ี ช้ในการวิจัย
การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วย
เอกลักษณ์ไทย โดยใช้โครงงานเป็นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ
สตรีวิทยา พุทธมณฑล ซึ่งรูปแบบของแผนการวิจัยที่ใช้เป็นแบบกลุ่มเดียว สอบก่อน และหลังเรียน
(One Group Pretest Posttest Design) ดังตารางท่ี 4
ตารางท่ี 4 แบบแผนการศกึ ษาคน้ คว้า One Group Pretest Posttest Design
ทดสอบก่อนเรยี น ทดลอง ทดสอบหลังเรยี น
T1 X T2
สญั ลกั ษณ์ทใี่ ชใ้ นการศกึ ษาค้นคว้า
T1 หมายถงึ การทดสอบก่อนเรยี น (Pretest)
T2 หมายถึง การทดสอบหลงั เรยี น (Posttest)
X หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง การสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย โดย
ใช้โครงงานเปน็ ฐาน จำนวน 3 แผน
30
3. เครือ่ งมือท่ใี ช้ในการวจิ ยั
ในการวิจัยครัง้ น้ีผวู้ จิ ัยใช้เคร่อื งมือในการวิจยั ประกอบด้วยเครอื่ งมือในการวจิ ยั 3 ชนิด คือ
1. แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ เรื่อง สร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย โดยใช้โครงงานเป็นฐาน จำนวน 3
แผนการเรียนรู้ ใช้เวลา คาบ ดังนี้
แผนการเรยี นรู้ท่ี 1 งานจักสาน
แผนการเรียนรทู้ ่ี 2 งานใบตอง
แผนการเรยี นร้ทู ่ี 3 งานแกะสลกั
2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน สาระการเรียนรู้การงาน
อาชีพและเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ
เวลาในการทำขอ้ สอบ 30 นาที
4. ขั้นตอนการสร้างและหาคุณภาพของเคร่อื งมอื
4.1 การสร้างแผนการจดั การเรยี นร้กู ลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี
ผู้วิจัยจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 เรื่องการสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ผู้วิจัยได้
ดำเนนิ การตามข้ันตอน ดังนี้
4.1.1 ศกึ ษาหลกั สูตรเพอื่ ทำความเขา้ ใจเกี่ยวกบั มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนร้ทู ี่
คาดหวงั คำอธิบายรายวชิ า และการวดั และผลประเมนิ ผลทางการศึกษา
4.1.2 ศึกษาเน้ือหาที่ใช้ในการศึกษา เป็นเนื้อหากลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ
และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เรื่องการสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย ตามหลักสูตร
แกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐานพุทธศักราช 2551
4.1.3 ศึกษาวิธีการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ
เทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 เร่ืองการสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย โดยใช้โครงงานเป็น
ฐาน
4.1.4 นำโครงสร้างมาเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้โครงงานเป็นฐาน จำนวน
3 แผน ใช้เวลา 6 ช่ัวโมง (ไม่รวมเวลาการกระทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน) ตาม
องคป์ ระกอบของแผนการสอนแบบโครงงาน ซ่ึงมรี ายละเอียดตามขนั้ ตอนดงั น้ี
4.1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีสร้างขึ้นไปให้ผู้เช่ียวชาญเพ่ือพิจารณาตรวจสอบ
แนะนำเพ่ือการแก้ไขปรับปรุง ให้แผนการบริหารการสอนมีความสมบูรณ์ ประกอบดว้ ย แผนการจัดการ
เรียนรทู้ ง้ั 3 แผนทเี่ ขียน โดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน
4.1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่แก้ไขปรับปรุง เพื่อประเมินความเหมาะสมและ
ความสอดคล้องของเครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการทดลอง
4.1.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ที่ได้แก้ไขปรับปรุง จนครบ
ทกุ แผนเพื่อดคู วามเหมาะสมของเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เน้ือหา
4.1.8 ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ เพ่ือตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้งโดย
ผู้เชี่ยวชาญให้แก้ไขปรับปรุงการเขียนข้อคำถาม ให้ใช้ภาษาท่ีอ่านแล้วเข้าใจตรงกัน และแก้ไข
จุดประสงค์การเรียนรู้โดยรวมจุดประสงค์การเรียนรูท้ ่ีใกล้เคียงกันไว้ในข้อเดียวกันเพื่อท่ีจะออกข้อสอบ
ได้ง่ายและครอบคลมุ ทกุ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
31
4.1.9 นำแผนการจัดการเรียนรู้ ท่ีปรับปรุงแก้ไขแล้วจัดพิมพ์เป็นฉบับจริง เพ่ือ
นำไปใช้ทดลองสอนจริงกับนกั เรียนกลุ่มตวั อย่าง
4.1.10 นำคะแนนระหว่างเรียนและคะแนนหลังเรียนของแต่ละแผนการจัดการ
เรยี นรมู้ าวเิ คราะห์หาประสทิ ธิภาพของแผนตามเกณฑ์ทกี่ ำหนด 80/80
4.2 การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์
ความรู้ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 ท่ีผวู้ จิ ัยสรา้ งขึ้นเป็นแบบทดสอบปรนัยมี 4 ตัวเลอื ก จำนวน 20 ขอ้ โดย
ใช้ทดสอบนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนเพ่ือประเมินผลว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
คณิตศาสตร์เป็นไปตามสมมติฐานของการวิจัยหรือไม่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ มีขั้นตอนการ
ดำเนินการสรา้ งดงั น้ี
4.2.1 ศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 4 ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 จัดทำโดยสถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
กระทรวงศกึ ษาธิการ
4.2.2 วิเคราะห์ความสอดคล้องของจุดประสงค์การเรียนรู้สาระการเรียนรู้
และจำนวนข้อสอบ
4.2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนชนิดอิงเกณฑ์ แบบประ
นัยชนิด 4 ตวั เลือก จำนวน 40 ขอ้ โดยใหส้ อดคลอ้ งกับจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
4.2.4 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นทสี่ รา้ งข้ึนเสนอผู้เชี่ยวชาญ
เพ่ือพิจารณาตรวจสอบ แนะนำเพ่ือการแก้ไขปรับปรุง และภาษาที่ใช้ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องตาม
ข้อเสนอแนะคือ ปรับปรงุ การใช้คำถามโดยให้ใช้ภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่ต้องตีความ และได้แก้ไข
ปรบั ปรงุ ตามขอ้ เสนอแนะของผ้เู ช่ียวชาญ
4.2.5 สร้างแบบประเมินสำหรับผู้เช่ียวชาญ เพ่ือประเมินความสอดคล้อง
ของขอ้ คำถามกบั เน้ือหาและจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ในแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
4.2.6 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบประเมินไปให้
ผู้เชีย่ วชาญชดุ เดิม เพื่อประเมินความสอดคลอ้ งของข้อคำถาม กับจุดประสงคก์ ารเรยี น
4.2.7 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีเข้าเกณฑ์จัดพิมพ์เป็น
แบบทดสอบแล้วนำไปทดลองใช้
4.2.8 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนแบบอิงเกณฑ์ไปจัดพิมพ์
เปน็ ฉบับจริง ซึ่งประกอบด้วยหวั ข้อแบบทดสอบ ชื่อวิชา ระดับชั้น จำนวนข้อสอบ เวลาที่ใช้สอบ คำ
ช้แี จงและข้อสอบตามจำนวนที่ระบไุ ว้ เพ่ือเตรียมนำไปใช้กับนักเรียนกลุ่มตวั อยา่ งต่อไป
4.2.9 นำข้อมูลท่รี วบรวมไดจ้ ากแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนหลัง
เรียนมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงแบบมาตรฐาน ทดสอบสมมุติฐานเพ่ือเปรียบเทียบระหว่าง
คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยค่าสถิติ t-test (Dependent Sample t-test) และทดสอบ
สมมุติฐานด้วยการนำคะแนนเฉลยี่ หลังเรียนเปรียบเทียบกับเกณฑ์ด้วยค่าสถติ ิ t-test (One Sample t-
test)
32
5. วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
ในการวิจัยในคร้ังนี้ ผู้วิจัยได้ทำการทดลองด้วยตนเอง ใช้เวลาในการสอนติดต่อกัน รวม 6
ชั่วโมง ทั้งนี้ไม่รวมเวลาทดสอบก่อนและหลังเรียน ระยะเวลาในการทดลองคือ ภาคเรียนท่ี 2 ปี
การศึกษา 2562 โดยผูว้ ิจัยไดด้ ำเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ตามลำดับดังน้ี
5.1 ปฐมนิเทศชแี้ จงข้อตกลงในการเรียนการสอน
5.2 ทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนชนิดเลือกตอบ 4
ตัวเลอื ก จำนวน 10 ขอ้ ทดสอบกอ่ นทจ่ี ะทำการทดลอง เพื่อตรวจสอบพน้ื ฐานความรู้เดมิ ของนักเรียน
5.3 ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต้งั แต่แผนการสอนท่ี 1 ไปจนถงึ แผนการสอนที่
3 ใชแ้ ผนการสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน ซึ่งใช้เวลาสอน 6 ช่ัวโมง และเก็บคะแนนระหว่างเรียนไว้
ทุกแผน
5.4 ทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรยี น หลังจากจัดกิจกรรม
การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ครบทุกแผน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนชุดเดมิ กับ
ทใ่ี ช้ทดสอบก่อนเรยี น แลว้ นำคา่ ไปวิเคราะห์ทางสถติ ติ อ่ ไป
5.5 ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบอิงเกณฑ์ ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก
จำนวน 10 ขอ้
6. การจัดทำกบั ขอ้ มูลและวเิ คราะหข์ อ้ มลู
ผู้วจิ ัยไดท้ ำการวิเคราะหข์ ้อมลู โดยใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเรจ็ รปู ดังนี้
6.1 นำข้อมูลท่ีรวบรวมได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนมาวิเคราะห์
หาค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมุติฐานเพื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนเฉล่ียก่อน
เรยี นและหลงั เรยี น ด้วยค่าสถิติ t-test (Dependent Sample t-test) และทดสอบสมมุติฐานด้วยการ
นำคะแนนเฉลยี่ หลงั เรียนเปรียบเทยี บกบั เกณฑ์ของโรงเรียนดว้ ยคา่ สถิติ t-test (One Sample t-test)
6.2 นำข้อมูลที่รวบรวมได้จากแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและ
ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน มาทดสอบสมมุติฐานเปรียบเทยี บกับเกณฑ์ท่ีกำหนด
6.3 การวิเคราะหข์ อ้ มูล ผู้วจิ ยั ไดใ้ ชส้ ถิติในการวเิ คราะห์ ดงั น้ี
6.3.1 การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ 80/80 ใช้สูตร E1/E2 (นพ
พร ธนะชยั ขันธ์ (2552 : 280)
80 ตวั แรก หมายถงึ คะแนนเฉล่ยี ของนกั เรยี นทกุ คนจากการทำแบบทดสอบ
ระหวา่ งเรียน โดยนำคะแนนมารวมกนั และคดิ เฉลยี่ เป็นรอ้ ยละ 80
เมอ่ื แทน ประสทิ ธิภาพของกระบวนการ
แทน ผลรวมของคะแนนระหวา่ งเรียนของนักเรียนทกุ คน
แทน คะแนนเต็มระหวา่ งเรียนท้ังหมด
แทน จำนวนนักเรยี นทัง้ หมด
33
80 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบหลังเรียนของ
นกั เรียนทุกคนเพอื่ วดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน คดิ เฉลย่ี เปน็ รอ้ ยละ 80
เมือ่ แทน ประสิทธภิ าพของผลลพั ธ์
แทน ผลรวมของคะแนนจากการทดสอบหลังเรียนของ
นักเรยี นทกุ คน
B แทน คะแนนเตม็ ของการทดสอบหลังเรียน
แทน จำนวนนกั เรยี นทงั้ หมด
6.3.2 หาค่าความเที่ยงของแบบทดสอบใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC (นพพร
ธนะชัยขันธ์ (2552 : 293) โดยใช้สูตร
=
เมอ่ื แทนดชั นีความสอดคลอ้ งระหวา่ งขอ้ สอบกับจดุ ประสงค์
แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เหน็ ของผู้เชยี่ วชาญ
แตล่ ะคนท่ใี ห้
แทน จำนวนผเู้ ชีย่ วชาญ
6.3.3 ค่าความยากง่าย (P) ตามสูตรสัดส่วนของผู้ตอบถูก โดยใช้สูตร (บุญชม ศรี
สะอาด ,2545 : 86) ดังนี้
เมือ่ p แทน คา่ ความยากงา่ ยของข้อสอบ
R แทน จำนวนนกั เรยี นทีต่ อบถกู
N แทน จำนวนนักเรียนทส่ี อบท้ังหมด
6.3.4 คำนวณหาค่าอำนาจจำแนกรายข้อของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิการหา
อำนาจจำแนก เป็นการดูความเหมาะสมของรายข้อว่า ข้อคำถามสามารถจำแนกกลุ่มเก่งและกลุ่มอ่อน
ไดจ้ ริง หรือจำแนกผู้ท่มี ีคุณลักษณะสงู จากผมู้ ีคุณลกั ษณะต่ำได้ใช้สตู ร (เยาวดี วิบูลยศ์ รี, 2545)
เมอ่ื คือ คา่ อำนาจจำแนก
คอื จำนวนนกั เรยี นในกลุ่มสูงทีต่ อบถกู
คือ จำนวนนกั เรยี นในกลุม่ ต่ำท่ีตอบถกู
34
คือ จำนวนนกั เรียนในกลุ่มสูงหรือกลมุ่ ต่ำ
6.3.5 หาคา่ ความเชอ่ื ม่ัน (Reliability) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนตาม
วธิ ขี อง Lovett (ศริ พิ งษ์ เศาภายน 2551 : 218-223)
rcc = 1 - k∑x1 - ∑x12
k - 1∑(x1- c)2
เมอื่ rcc แทน ความเช่ือม่ันของแบบทดสอบ
K แทน จำนวนขอ้ สอบ
X1 แทน คะแนนของแต่ละกลมุ่
C แทน คะแนนเกณฑห์ รอื จุดตดั ของแบบทดสอบ
6.3.6 คา่ เฉล่ยี เลขคณติ โดยใช้สตู ร (นพพร ธนะชยั ขนั ธ,์ 2552 : 329)
=
เมอื่ แทน ค่าเฉลีย่
แทน ผลรวมของคะแนน
แทน จำนวนผูเ้ รยี น
6.3.7 คา่ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน โดยใชส้ ูตร (นพพร ธนะชยั ขนั ธ,์ 2552 : 329)
S.D. = แทน ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน
เม่อื S.D. แทน ผลรวมของคะแนนยกกำลงั สอง
n
แทน กำลังสองของคะแนนรวม
แทน จำนวนผเู้ รียน
6.3.8 สถิติที่ใช้ในการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนจากการ
ทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนโดยใช้การทดสอบค่าวิกฤตที (t-test) แบบ Dependent Sample
วเิ คราะหข์ ้อมลู โดยใชส้ ตู ร (กาญจนา วัฒายุ, 2548)
35
เม่อื t df = n - 1
D แทน สถติ ิทดสอบทีจ่ ะใชเ้ ปรียบเทยี บกับคา่ วกิ ฤต จากการแจกแจง
N แบบ t เพ่ือทราบความมีนยั สำคญั
แทน คา่ ผลต่างระหวา่ งค่คู ะแนน
แทน จำนวนกลุม่ ตวั อยา่ งหรอื จำนวนคู่คะแนน
36
บทที่ 4
ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล
รายงานการวิจัย เรื่อง การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย โดยใช้
โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล
ผ้วู จิ ัยได้เสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลตามลำดับดงั นี้
1. สัญลกั ษณท์ ใ่ี ชใ้ นการเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู
2. ลำดบั ขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล
3. ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
1. สัญลกั ษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู
ผู้ศึกษาไดก้ ำหนดความหมายของสญั ลกั ษณใ์ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ดงั น้ี
N แทน จำนวนนักเรียนในกลมุ่ ตัวอย่าง
แทน คะแนนเฉลีย่
S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
D แทน คา่ ผลต่างระหวา่ งคู่คะแนน
E1 แทน ประสิทธภิ าพกระบวนการ
E2 แทน ประสิทธิภาพผลลัพธ์
t แทน ค่าสถิติท่ีใช้เปรียบเทียบค่าวิกฤติในการแจกแจงแบบ
t (t-distribution) เพอื่ ทราบความมีนยั สำคญั ทางสถติ ิ
* แทน มนี ัยสำคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดบั .05
Σ แทน ผลรวม
% แทน รอ้ ยละ
2. ลำดับขน้ั ตอนในการเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
ผศู้ ึกษาได้เสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้
2.1 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วย
เอกลักษณ์ไทย โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ
สตรวี ิทยาพทุ ธมณฑล ทมี่ ีประสิทธิภาพตามเกณฑ์รอ้ ยละ 80 / 80
2.2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง การ
จดั กิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ปที ี่ 4
2.3 ผลการวิเคราะหค์ วามพงึ พอใจของนกั เรียนทีม่ ตี ่อการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
เร่ือง การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปีที่ 4
3. ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล
3.1 การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การจัด
กจิ กรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีที่
4 ตามเกณฑ์ 80/80
37
ผศู้ ึกษาวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การจัดกิจกรรม
สร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ผล
ปรากฏ ดงั ตาราง 5
ตาราง 1 คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียน ท่ีเรียนด้วยการจัดกิจกรรมเรียนรู้ เรื่อง การจัด
กจิ กรรมสรา้ งสรรคง์ านสวยด้วยเอกลกั ษณไ์ ทย โดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน ของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษา
ปีที่ 4
คะแนนท่ีไดจ้ ากการทาใบงานในแต่ละแผน คะแนนสอบ
เลขท่ี หลงั เรียน
1 2 3 4 (40) (30)
30
17 7 7 9 30
28
28 7 7 8 30 23
20
37 9 9 8 33 28
19
4 10 9 10 10 39 20
20
57 9 8 8 32 28
22
67 8 8 8 31 19
77 8 7 7 29 23
23
89 8 9 9 35 22
22
97 9 8 8 32 22
23
10 8 8 9 9 37 26
24
11 พกั การเรียน
12 8 9 8 5 30
13 7 9 10 8 34
14 6 8 10 9 33
15 6 8 10 9 33
16 9 9 9 8 35
17 7 8 8 9 32
18 9 8 8 8 33
19 9 7 8 8 32
38
20 9 10 9 7 35 24
21 9 10 8 7 34 26
22 9 8 8 9 34 25
23 9 9 8 8 34 27
24 7 9 8 8 32 25
25 8 10 8 8 34 26
26 9 10 9 8 36 27
27 9 9 9 9 36 25
28 8 7 8 8 31 27
29 8 8 9 9 34 27
30 9 8 8 8 33 23
31 8 9 8 6 31 23
32 8 9 9 9 35 28
33 9 7 7 9 32 28
34 8 9 8 8 33 26
35 10 9 9 9 37 24
36 8 10 8 8 34 26
37 9 10 9 8 36 28
38 9 8 8 8 33 25
39 9 9 8 8 34 28
รวม 313 326 317 310 1266 932
×̅ 8.24 8.58 8.34 8.16 32.46 24.53
S.D 0.97 0.91 0.78 0.91
% 82.37 85.79 83.42 81.58
E1=83.29 E2=81.75
จากตาราง 1 พบวา่ นกั เรยี นระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 ไดค้ ะแนนเฉล่ียจากคะแนนทดสอบ
หลังเรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง กิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทยโดยใช้
โครงงานเป็นฐาน ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 เฉลี่ยเท่ากับ 32.46 คิดเป็นร้อยละ 81.58 และทำคะแนน
เฉล่ียจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เฉลี่ยเท่ากับ 24.53 คิดเป็นร้อยละ 81.58 ดังนั้น ผลการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง กิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทยโดยใช้โครงงานเป็นฐานของ
39
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83/82 แสดงว่า ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
เร่ือง สร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทยโดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัย
พฒั นาขน้ึ มีประสิทธิภาพสงู กว่าเกณฑ์ 80/80
3.2. การวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัด
กิจกรรมการเรียนการเรียนรู้ เรื่อง สร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทยโดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของ
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4
ผู้ศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย การจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง สร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทยโดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของชั้น
มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 ผลปรากฏ ดงั ตาราง 2
ตาราง 2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ เร่ือง สร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทยโดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่
4
คาแนนก่อนเรียน คะแนนหลงั ผลตา่ งของ ผลตา่ งของคะแนน
เลขท่ี (30) เรียน(30) คะแนน(D) กาลงั สอง(D)
1 17 28 11 121
2 14 23 9 81
3 18 20 2 4
4 18 28 10 100
5 15 19 4 16
6 15 20 5 25
7 15 20 5 25
8 22 28 6 36
9 17 22 5 25
10 17 19 2 4
11 พกั การเรียน
12 13 23 10 100
13 18 23 5 25
14 21 24 3 9
15 19 22 3 9
16 18 22 4 16
17 17 23 6 36
18 21 26 5 25
19 20 24 4 40
20 20 24 4
21 19 26 7 16
22 22 25 3 16
23 23 27 4 49
24 21 25 4 9
25 20 26 6 16
26 21 27 6 16
27 22 25 3 36
28 24 27 3 36
29 19 27 8 9
30 15 23 8 9
31 14 23 9 64
32 19 28 9 64
33 18 28 10 81
34 18 26 8 81
35 17 24 7 100
36 18 26 8 64
37 22 28 6 49
38 17 25 8 64
39 20 28 8 36
รวม 721 932 367 64
×̅ 18.53 24.53 6 64
S.D 2.70 2.74 1600
% 63.25 81.75 42.11
41
ตาราง 3 การเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง สร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทยโดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของช้ัน
มธั ยมศึกษาปที ี่ ๔
การทดสอบ จำนวน x S.D. t df sig
ผู้เรยี น
กอ่ นเรียน 38 18.53 2.70
หลังเรยี น 14.77 37 .000*
38 24.53 2.74
* ระดบั นัยสำคัญทางสถติ ิ .05
จากตาราง 3 พบว่า tคำนวณ มีค่าเท่ากับ 14.77 ซึ่งมีค่ามากกว่า tตาราง มีค่าเท่ากับ 1.68
สรุป ได้ว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ระดับ .05 ซง่ึ เป็นไปตามสมมติฐานทีต่ ั้งไว้
3.3 การวเิ คราะห์ความพงึ พอใจของนักเรยี นที่มตี อ่ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง สรา้ งสรรค์
งานสวยดว้ ยเอกลกั ษณ์ไทยโดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ของชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลปรากฏดงั ตาราง
ตาราง 4 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนกั เรยี นทีม่ ีตอ่ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอื่ ง
การปลูกผักปลอดสารพิษ โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 5
รายการ ×̅ S.D ระดับความพึงพอใจ
ดา้ นการเตรียมการสอน มาก
1. เปดิ โอกาสให้นกั เรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดข้อตกลง 4.37 0.67 มาก
มาก
กิจกรรมการเรียนรู้ มาก
2. บอกจดุ ประสงค์การเรียนรู้อยา่ งชัดเจน 4.13 0.66 มาก
มาก
3. การเตรยี มแหล่งเรียนรู้ ส่ือ เคร่อื งมือ อุปกรณ์ในการเรียนรู้ 4.47 0.68 มาก
มาก
รวม 4.32 0.67
มากที่สุด
ดา้ นสาระการเรยี นรู้ มาก
4. มีสาระการเรยี นรทู้ ี่ครอบคลมุ 4.24 0.70 มากท่ีสดุ
มากท่ีสุด
5. เขา้ ใจสาระการเรยี นรู้ไดง้ ่าย 4.26 0.82
6. สาระการเรยี นรู้เกี่ยวขอ้ งกับชีวิตประจำวนั 4.08 0.81
รวม 4.19 0.77
ด้านการจดั กระบวนการเรยี นรู้
7. นักเรยี นมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมการเรียนรู้ 4.63 0.62
8. นักเรยี นได้ฝึกทักษะการวางแผนการทำงาน 4.45 0.68
9. ได้ฝกึ ทกั ษะกระบวนการปฏิบัตจิ ากกิจกรรมการเรยี นรู้ 4.61 0.63
รวม 4.56 0.61
42
ดา้ นสื่อการเรยี นรู้ 4.32 0.76 มาก
10. มีสอื่ นวตั กรรมเพียงพอต่อการศึกษาคน้ คว้า 4.32 0.69 มาก
11. ส่ือมคี วามเหมาะสมกบั เนือ้ หา เวลาและกิจกรรมการ
เรยี นรู้ 4.32 0.73 มาก
12. มีส่อื และแหลง่ เรียนรทู้ ม่ี ีคุณค่า 4.32 0.73 มาก
รวม 4.32 0.73 มาก
ดา้ นการวัดผลประเมนิ ผลการเรียนรู้ 4.24 0.74 มาก
13. มีวิธีการวัดผลทีห่ ลาหลาย 4.18 0.79 มาก
14. เกณฑก์ ารวัดชดั เจนเหมาะสม 4.34 0.80 มาก
4.27 0.77 มาก
15. เข้าสอนตรงเวลาสม่ำเสมอ
16. มคี วามกระตืนรือร้นในการสอน 4.50 0.72 มากที่สดุ
4.50 0.68 มากที่สดุ
รวม
ดา้ นกจิ กรรมโครงงาน 4.39 0.67 มาก
17. มคี วามพอใจท่ไี ด้เรยี นกิจกรรมโครงงาน
18. ได้มีโอกาสในการแสดงความคิดเห็น ค้นควา้ หาคำตอบ 4.45 0.75 มาก
ด้วยตนเอง
19. กจิ กรรมโครงงานทำให้เข้าใจวิธกี ารทำงานและการ 4.46 0.71 มาก
วางแผนอยา่ งเปน็ ระบบ
20. การเรียนด้วยกิจกรรมโครงงานทำให้ไดเ้ รียนร้อู ย่างเป็น 4.63 0.53 มากที่สดุ
ระบบและมรความรมู้ ีทกั ษะมากขนึ้
4.58 0.63 มากทส่ี ุด
รวม
ดา้ นกิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลกั ษณไ์ ทย 4.53 0.64 มากทส่ี ุด
21. กจิ กรรมสร้างสรรคง์ านสวยด้วยเอกลักษณ์ไทยของ
นกั เรียนไดร้ ับ(ความรู้ ประสบการณ)์ ตรงกบั เป้าหมายของ 4.66 0.62 มากทส่ี ุด
ผเู้ รียนในการร่วมกจิ กรรมการเรียนการสอนนี้
22. กิจกรรมสรา้ งสรรคง์ านสวยด้วยเอกลักษณไ์ ทยช่วยให้ มากที่สดุ
นกั เรยี นมคี วามขยัน อดทนและรบั ผดิ ชอบมากข้ึน
23. กิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยดว้ ยเอกลักษณ์ไทยช่วยให้ มากที่สดุ
นกั เรยี นได้เรยี นรู้การทำงาน และการทำงานกับคนอ่นื มากข้นึ มาก
24. กิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยดว้ ยเอกลกั ษณ์ไทยชว่ ยให้
นกั เรียนมสี มาธิมากขน้ึ
25. นักเรียนภมู ิใจในกจิ กรรมสร้างสรรค์งานสวยดว้ ย 4.61 0.54
เอกลักษณ์ไทย และมคี วามสุขในการเขียน
4.60 0.59
รวม 4.39 0.69
โดยรวม
43
จากตาราง 4 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วย
เอกลักษณ์ไทยโดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โดยรวมทั้ง 7 ด้าน คือ ด้าน
การเตรียมการสอน ด้านสาระการเรียนรู้ ดา้ นการจดั กระบวนการเรียนรู้ ดา้ นสื่อการเรยี นรู้ ด้านการ
วัดผลประเมินผลการเรียนรู้ ด้านกิจกรรมโครงงาน และด้านกิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วย
เอกลักษณ์ไทย โดยมดี ้านทม่ี ีค่าเฉลี่ยมากท่ีสดุ 3 อันดับแรก ได้แก่ ด้านกิจกรรมสรา้ งสรรค์งานสวยด้วย
เอกลกั ษณ์ไทย ( ×̅ = 4.60 ) ด้านการจัดกระบวนการเรยี นรู้ ( ×̅ = 4.50 ) และด้านกิจกรรมโครงงาน
( ×̅ = 4.46 )
44
บทท่ี 5
สรุป อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ
รายงานการวิจัยเร่ือง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วย
เอกลักษณ์ไทย โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ
สตรีวทิ ยา พทุ ธมณฑล มีผลการวิจยั สรปุ ได้ดังนี้
1. วัตถุประสงคข์ องการวิจัย
2. สมมติฐานของการวจิ ยั
3. สรปุ ผลการวิจยั
4. การอภิปรายผล
5. ข้อเสนอแนะ
1. วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย
1.1 เพือ่ พัฒนาแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรูเรื่อง การจดั กจิ กรรมสร้างสรรคง์ านสวยด้วย
เอกลักษณ์ไทย โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 ใหม้ ีประสิทธิภาพตามเกณฑ์
80/80
1.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการ
เรียนรูแบบโครงงาน เรื่อง การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย โดยใช้โครงงานเป็น
ฐาน ของนกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยงี าน
1.3 เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการจัด
กจิ กรรมสรา้ งสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย กลุ่มสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยี
2. สมมติฐานของการวจิ ัย
2.1 การพัฒนาแผนการจัดกจิ กรรมการจดั กิจกรรมสร้างสรรคง์ านสวยดว้ ยเอกลักษณ์ไทย กลุ่ม
สาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์
80/80
2.2 ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์งานสวย
ดว้ ยเอกลักษณไ์ ทย โดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน หลงั เรียนสงู กวา่ ก่อนเรยี น
2.3 นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การจัด
กจิ กรรมสรา้ งสรรคง์ านสวยด้วยเอกลกั ษณ์ไทย โดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
3. สรปุ ผลการวิจัย
3.1 การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เร่ืองการจัดกิจกรรม
สร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย กลุ่มสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยี ของช้ัน
มัธยมศึกษา ปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83/82 แสดงว่า ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การ
จัดกิจกรรมสร้างสรรคง์ านสวยด้วยเอกลักษณ์ไทย โดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่
ผวู้ ิจยั พฒั นาข้ึน มปี ระสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 80/80
3.2 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่อื ง เรื่องการจัดกิจกรรมสรา้ งสรรค์งานสวยด้วยเอกลกั ษณ์ไทย
โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า นักเรยี นมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลัง
เรยี นสงู กว่าก่อนเรยี นอย่างมีนัยสำคญั ทางสถติ ิระดบั .05
45
3.3 นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การจัด
กิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทยโดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน และความพงึ พอใจเป็นรายด้าน
อยใู่ นระดบั มาก
4. การอภิปรายผล
รายงานการวิจัยเรื่อง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วย
เอกลักษณ์ไทยโดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรียนนวมนิ ทราชนิ ูทิศ สตรี
วทิ ยา พุทธมณฑล พบว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์และสมมติฐานของการวิจัยทุกข้อ ผู้วิจัยมีข้ออภิปราย
ดังน้ี
4.1 การพัฒนาแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรูแบบโครงงานเรื่องการจัดกจิ กรรมสร้างสรรคง์ าน
สวยด้วยเอกลักษณ์ไทยโดยใช้โครงงานเป็นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้น
มัธยมศึกษา ปีท่ี 4 ไดค้ ะแนนเฉลี่ยจากคะแนนทดสอบหลงั เรียนโดยใช้การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื ง
การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทยโดยใช้โครงงานเป็นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4
เฉล่ียเท่ากับ 41.91 คิดเป็นร้อยละ 84 และทำคะแนนเฉล่ียจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิเฉลี่ย
เท่ากับ 31.82 คิดเป็นร้อยละ 80 ดังนั้น ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การจัดกิจกรรม
สร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทยโดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 มี
ประสิทธิภาพเท่ากับ 84/80 แสดงว่า ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์
งานสวยด้วยเอกลักษณ์ไทยโดยใช้โครงงานเป็นฐาน โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ท่ีผู้วิจัยพัฒนาข้ึน มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ทั้งนี้เพราะ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ
โครงงาน เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองจากการลงมือปฏิบัติ แสวงหา
ความรู้ ค้นคว้าหาคำตอบในส่ิงท่ีเรียนรู้ สอดคล้องกับแนวคิดของ John Dewey, Piaget และ
Vygotsky มานิตย์ ไพรี (2547 : บทคัดย่อ) การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยโครงงาน เรื่อง การ
ขยายพันธุ์พืชโดยวิธีไม่ใช้เพศ กลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ผล
การศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการเรียนรู้ แบบโครงงาน มีประสิทธิภาพสงู กวา่ เกณฑ์ท่ีต้ังไว้ ซึ่งสอดคล้อง
กับ สุนทร หลักคำ (2547 : บทคัดย่อ) ศึกษาการพัฒนาแผนการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้การงาน
อาชพี และเทคโนโลยี เรอื่ ง การจัดทำปุ๋ยชวี ภาพ โดยใช้เทคนิคการเรียนรูแ้ บบโครงงาน ชัน้ มัธยมศึกษาปี
ที่ 1 พบว่า แผนการเรียนรู้มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ท่ีต้ังไว้ สอดคล้องกับทิฆัมพร ศรีวัฒนพงศ์
(2550 : 86-89) ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการเรียนรู้แบบโครงงาน มีประสิทธิภาพ เท่ากับ
86.17/84.10 ซ่งึ สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ท่ีต้งั ไว้
4.2 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรยี นและหลังเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรยี นรูแบบโครงงาน
เรื่องการจดั กจิ กรรมสร้างสรรค์งานสวยด้วยเอกลักษณไ์ ทยโดยใช้โครงงานเป็นฐาน กล่มุ สาระการเรียนรู
การงานอาชีพและเทคโนโลยีงาน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง
เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .05 ซ่ึงเป็นไปตามสมมติฐานการศึกษาท่ีตั้งไว้
ทั้งนี้เนื่องจาก แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานที่ผู้ศึกษาค้นคว้าพัฒนาขึ้น เปิดโอกาสให้
นักเรียนได้เรียนรู้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข และเป็นเรื่องท่ีมี
ประโยชน์สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน จึงส่งผลให้นักเรียนท่ีเรียนรู้จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
แบบโครงงาน มีความรู้เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับ ความเชื่อและหลักการของ Guzdial, M (ทิศนา แขมมณี.
2552 : 138-139) ทเี่ ช่ือวา่ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้แบบโครงการหรือโครงงาน เปน็ กิจกรรมทชี่ ่วย
ให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะกระบวนการในการสืบเสาะและแก้ปัญหาและยังสามารถดึงศักยภาพต่าง ๆ ท่ีมี