Education
ก หนดการสอน (Course Outline)
รายวชิ าทักษะการเรยี น ความส เรจ็
(Learning Skill for Success)
ค อธบิ ายรายวิชา
การรับ เกี่ยวกับตนเองและสมรรถนะแ งตนการก กบั ตนเอง การพัฒนา
ทักษะ ความส เรจ็ การเรียนและชีวติ การพัฒนาทกั ษะ าเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการ อสาร
เกณ การใ คะแนน 70 คะแนน
1. คะแนนเก็บระห างเรยี น รวม
1.1 การเ าชั้นเรียน และการมี วน วม 10 คะแนน
1.2 การเรียน จากประสบการ (พดู ) 10 คะแนน
1.3 การตัด นใจทด่ี ี 5 คะแนน
1.4 การคิดอ างมวี จิ ารณญาณ 5 คะแนน
1.5 คลิปวดี โี อบคุ คล นแบบความส เร็จ 10 คะแนน
1.6 Portfolio (แ มสะสมงาน) 20 คะแนน
1.7 แผนและโครงการ 10 คะแนน
2. สอบปลายภาค 30 คะแนน
รวม 100 คะแนน
้ฟำ้ต่ยิส์ณู้ร่ร่ส้ข่ว้ห์ฑ่ืส้ดำู่สำ่หู้รำ
ำู่สู้รำ
ก หนดการสอน (Course Outline)
รายวชิ าทักษะการเรยี น ความส เร็จ
(Learning Skill for Success)
หมายเหตุ
ปดา ท่ี หัว อ/รายละเอียด
1 แนะน รายวิชา/ลกั ษณะการเรียนการสอน/เกณ การวัดและ
การประเมนิ ผล และทักษะที่จ เ นในศตวรรษที่ 21
2 เคล็ดลบั ความส เร็จ และกจิ กรรมการพดู แช ประสบการ 10 คะแนน
3 7 อปุ นิ ย ความส เร็จ 10 คะแนน
4 การคดิ ประเภท าง ๆ
5 การคิดแบบหมวกหกใบ 5 คะแนน
6 S.M.A.R.T. Goal และการเขียนแผน 5 คะแนน
7 S.M.A.R.T. Goal และการเขยี นแผน ( อ) ง Portfolio***
8 การน เสนอแผนโครงการของนกั ศกึ ษาก ม าง ๆ 10 คะแนน
9 สอบกลางภาค (ไ มี) 30 คะแนน
10 การคดิ อ างมวี จิ ารณญาณ
11 กิจกรรมเกมยทุ ธนาวี
12 การตัด นใจที่ดี
13 กิจกรรมเกมเรือ ม
14 การรบั ตนเองและสมรรถนะแ งตน
15 การรับ ตนเองและสมรรถนะแ งตน ( อ)
16 การน เสนอคลปิ วดี ีโอบุคคล นแบบความส เรจ็
17 สอบปลายภาค
่ส้ขำ้ตำ่ต่หู้ร่หู้ร่ลิส่ย่ม่ตุ่ลำ่ต่ตำู่สัส์ณ์รำู่ส็ปำ์ฑำ์หัส
ำู่สู้รำ
การตดั สินใจท่ดี ี
การตดั สินใจทีด่ กี ็คอื การตดั สนิ ใจทเ่ี กณ ตัดสินที่ใ ไ รบั การยอมรับจากคน วนให
หรือท้งั หมด ซึ่งการตัดสนิ ทคี่ น วนให หรอื ท้ังหมดยอมรบั ก็คือการตัดสินในสถานการ ใด ๆ
ที่ ตัดสินไ กระท อ างสองมาตรฐานและเ นเกณ ตดั สินท่ีมีประสิทธิผลเหมาะสมกบั
สถานการ
เกณ ตัดสนิ ทีน่ ิยมน มาใ กนั ไ แ
1.เกณ ตัดสินแบบประโยช นิยม
เกณ ตดั สินแบบน้ีค นึงถงึ ประโยช (สขุ ) ท่ีจะเกิดขึ้นตามมาภายหลงั การตดั สิน
มี 2 แนวทาง ไ แ
1.1 ประโยช (สุข) ทจ่ี ะเกิดข้ึนเ นประโยช (สุข) ของ กระท (อตั นิยม : Egoism)
ประโยช นิยมแนวนค้ี น วนให ไ ยอมรบั เพราะเหน็ าเ นการเหน็ แ ตวั
1.2 ประโยช (สขุ ) ทจ่ี ะเกดิ ข้ึนเ นของคน วนให (ประโยช นิยม : Utilitarianism)
แนวคิดนเ้ี นที่ยอมรับกนั ท่วั โลก ที่เสนอแนวคิดนี้ าอ างชดั เจนคือจอ น ส วต มลิ
เขาไ เสนอหลักการคิดไ ดงั นี้
(1) หลักการของประโยช นยิ มคือหลกั มหสขุ (The Greatest
Happiness) : ความสุขท่ีมากทีส่ ุดแ คนจ นวนมากทีส่ ดุ
(2) การตัดสินใจแ ละครง้ั ไ องค นงึ ถึงเจตนา/วิธีการ/
บทบัญญัตทิ างกฎหมาย/กฎกติกา มารยาท/
ขนบธรรมเนยี มประเพณี/ค สอนหรือ อ ามทางศาสนา
ค นึงถึงแ ผลทจ่ี ะติดตามมาซึ่ง องเ นไปตามหลักมหสุข
(3) เมอื่ องค นงึ ถึงหลกั มหสขุ จึง องมกี ารค นวณผลทกุ ครัง้ อนตดั สินใจ
โดย องใ ท้ังผลซึ่งห าและผลในระยะยาว กหมดุ ที่ปรมิ าณ (จ นวนคน)
ท่จี ะไ รบั ประโยช (สขุ ) ใ แ ละคนมี าเ ากนั หมดในการค นวณ องหกั
ลบคนไ ประโยช (สขุ ) คนเสยี ประโยช (สขุ ) แ วเลือกแนวทางทมี่ ี ไ
รบั ประโยช สุขมากก า
(4) ไ มคี นดหี รอื คนชว่ั เมอ่ื ตดั สนิ ใจตามหลักมหสขุ มีแ คนท ถกู ซ่ึงกค็ ือคนท่ี
ท ตามหลักมหสขุ กบั คนท ผิดซงึ่ กค็ ือคนทไี่ ท ตามหลักมหสขุ เกณ ตดั สนิ
ของประโยช นยิ มจงึ มไี ตัดสนิ การกระท ไ ไ มีไ ตดั สินคน
้ว้ด่มำ้ว์น์ฑำ่มำำำ่ต่ม
็ป้ต่ตำ้ห้ขำำ้ต่ม่ต
่ว์น้ดู้ผ้ล์น์น้ด้ตำ่ท่ค่ต้ห์น้ดำัป้น้ช้ต่กำ้ตำ้ตำ่ก์น
้ว้ด์ล๊จ์ห่ย่วู้ผ็ป์น่ญ่ส็ป์น
่ก็ป่ว่ม่ญ่ส์นำู้ผ์น็ป์น่ก้ด้ชำ์ฑ
่ก้ด์นำ์ฑ์น์ฑ
์ณ์ฑ็ป่ยำ่มู้ผ์ณ่ญ่ส่ญ่ส้ด้ช์ฑ
การตดั สินโดยยดึ หลักมหสุขนั้น เมอ่ื น มาใ จรงิ ๆ พบ ามี ญหา
หรอื จุด อนหลายจุด เ น
(1) ผลออกมาไ เ นไปตามทค่ี นวณไ โดยเฉพาะผลในอนาคตซ่งึ มี
ระยะยาวไกลก าจะเหน็ ผล
(2) ใ ไ ไ กบั ทกุ สถานการ เพราะบางสถานการ รบี วนไ มเี วลา
ใ ค นวณผล ประโยช นยิ มก าว า ในเวลาเ นน้ีไ องค นวณ ใ ตัดสนิ
ใจอ างทคี่ นท่ัวไปตดั สนิ ใจไ เลย เ ด องใ คนท่ไี องการค นวณผลใ
เ น อ างไ
(3) เ นเร่ืองยากทจี่ ะตดั อารม ความ สึกหรอื พันธะห าที่ อบุคคล
พิเศษท้ิงไ เ น องเลอื กบุคคลอืน่ ทิง้ อแ ตนเอง
2.เกณ ตดั สินของลัทธิ าน
อมิ มานูเอล าน เสนอความเหน็ า าทุกคนยดึ ห าทเ่ี นเกณ ตดั สนิ
ญหาเรื่องความผิดพลาดของผลท่ีตามมาจะหมดไป หลักการตัดสินที่ าน น
เสนอคือ จงท ในส่ิงท่ี านจงใจจะใ เ นกฎสากล หรือจงท ตามห าท่ีท่ีเ น
สากล ซ่ึงเ นห าทีท่ ีท่ ุกคนเหน็ ตรงกนั าเ นสงิ่ ท่ีควรกระท หรอื ไ กระท เ น
องไ ากันเพราะทุกคนรักชีวิตตนเอง แ วจะเอาอะไรมาเ นตัวตัดสิน าน่ีคือ
ห าทีท่ เ่ี นสากล าน บอก าก็ใ เอาใจเขามาใ ใจเรา อะไรทีเ่ ราไ ปรารถนาใ
คนอืน่ กระท กับเรา เรากอ็ ากระท อคนอน่ื ทกุ คนมศี ักดศ์ิ รคี วามเ นมนษุ เ า
เทียมกัน มี าเ ากัน หลักการของ าน ยึดความจงใจหรือเจตนาเ นตัวตัดสิน
ไ น ผลมา วมพิจารณา เพราะเชื่อ าเมื่อเหตุดี ผลก็ องดี เมื่อเหตุไ รับการ
ยอมรับจากทกุ คน ผลกไ็ รับการยอมรับจากคนทกุ คนเ นกัน
่ช้ด้ด้ต่ว่รำ่ม็ป์ท้ค่ท่ค่ท์ย็ป่ตำ่ยำ้ห่ม่ส้ห่ว์ท้ค็ป้น่ว็ป้ล่ฆ่ม้ต่ชำ่มำ็ป่ว้น็ป็ป้นำ็ป้ห่ทำำ์ท้คัป์ฑ็ป้น้ถ่ว์ท้ค์ท้ค์ฑ้ด้อ้ข็ป้ชำ้ต่ม้ห่ชิป้ด่ย้หำ้ต่ม่ช่ว่ล์นำ้ห่ม่ด์ณ์ณ้ด่ม้ช่ว้วำ็ป่ม่ม่พ้ต่ช้ด่ต้นู้ร์ณ็ป่ช่อัป่ว้ชำ
โดยเกณ ตัดสนิ แบบนี้ คนชัว่ ก็สามารถกระท ในส่งิ ทีด่ ี (ท ตามห าท่ที ี่
เ นสากล) ไ าเขาสามารถบงั คบั หรือควบคุมตนเองไ ในทัศนะของ าน คนชว่ั
องออกแรงมาก าเลอื กใ เกณ ของเขาขณะทีค่ นดีท สิง่ นี้ไ าย ดังนน้ั สังคม
ควรใ รางวัลหรอื ยก องคนชัว่ เม่ือเขาท ความดีเพือ่ เ นแรงจูงใจใ เขาท ความดี
อไป
เกณ การตัดสินของ าน เม่อื น มาใ จริงกม็ ี ญหาหรือจดุ อนเ นกัน เ น
(1) ใจเขาใจเราอาจไ ตรงกัน เ น คนบางคนอาจอยากตายในขณะทค่ี นอื่นไ
อยากใ เขาตาย หรอื การรักษาชวี ิตทุกคน อาจท ใ คนบางคนท่ีเ น ญหาสงั คมมี
ชวี ติ อ ส าง ญหาใ สังคม อไป
(2) การท ตามห าท่ี องตดั อารม ความ สกึ หรอื พันธะพเิ ศษทง้ิ เ นกนั ท ใ
ยากในการตัดสินใจ
นอกจาก 2 เกณ น้ยี งั มเี กณ อ่ืนอกี
เน
จรรยาบรรณวชิ าชีพ กฎหมาย
านิยม จารีตประเพณี
อารม ความ สึก คณุ ธรรม หลักค สอนทางสาสนาซึ่งแ ละเกณ กม็ จี ุด อน
จดุ แขง็ การเลือกใ เกณ ตัดสนิ จงึ องค นงึ ถงึ ความเหมาะสมของแ ละ
สถานการ
- เรียบเรียงจากงานเขียนของศาศตราจาร ดร.วศิ วศิ ทเวท
(ปรชั ญาท่ัวไป มนษุ : โลกกบั ความหมายของชวี ติ )-
์ย์ย์ว์ย่ค่ช์ฑ์ฑ
์ณ่ตำ้ต์ฑ้ช่อ์ฑ่ตำู้ร์ณ
้หำ่ชู้ร์ณ้ต้นำ
่ต้หัป้รู่ยัป็ป้หำ้ห่ม่ช่ม
่ช่ช่อัป้ชำ์ท้ค์ฑ
่ตำ้ห็ปำ่ย้ห่ง้ดำ์ฑ้ช้ถ้ต์ท้ค้ด้ถ้ด็ป้นำำ์ฑ
“คนที่ประสบความส เร็จ และคนท่ปี ระสบความ ม
เหลวมักจะท ทุกอ างเหมือนกัน แ ท วยทัศนและวธิ ี
คดิ ทแี่ ตก างกนั ”
เวลาเราดกู ารแ งกีฬาบางประเภทเ น สเก็ต แข็ง หรือ
ยมิ นาสตกิ ซ่ึง เ นจะถกู กรมการใ ใ วง า ลีลาการแ งขนั
ท่ีเหมือนกัน จะเห็นไ าการแ -ชนะ จะอ ท่ีคุณภาพจิตและ
ความคิด ที่ไ รับชัยชนะมักจะเ นนักกีฬาที่มีจิตนิ่ง หรือลง
แ งขัน วยจิตใจท่ีเบิกบานโดยไ มีความคิดหวาดกลัว าจะแ
หรอื ชนะแ คิด าจะขอท ใ ดที ่ีสุด ณ วนิ าทีน้ัน ๆ
ระบบความคิดท ใ คนซึ่งมีพื้นแพความ การศึกษา
เหมอื น ๆ กนั มชี ีวิตแตก างกันออกไป จะเห็นไ าในอเมรกิ ามี
คนเ นแสนท่ีสมัครเ าเรียนในสาขาคอมพิวเตอ วิศวะ
คอมพิวเตอ พ อม ๆ กับท่ีบิล เกต เ าของบริษัท
ไมโครซอฟ เ าเรยี นมหาวทิ ยาลัย แ มีเพยี ง บลิ เกต คน
เดียวเ านน้ั ที่สามารถส างอาณาจกั รทางธุรกิจมลู า 6 พนั าน
เหรยี ญขึ้นมาไ เพราะเขามีวิธีคิดเกยี่ วกับการท ธุรกิจและการ
ประยุก ใ ศาสต ที่ เรยี นมากแตก างไปจากคนอ่นื ๆ
การที่ระบบวธิ ีคิดและการมองโลกของคนเราเ นพื้นฐาน
ส คัญของความส เร็จ างๆ ท ใ คนจ นวนมากพยายามที่จะ
ศึกษาใ เ าใจ าบรรดาคนประเภทท่ีไ ชัยชนะและบรรลุส่ิงที่
ตนเองปรารถนาอ เสมอ ๆ เขาด เนินชีวิตอ างไร คดิ อ างไร
โดยหวงั าเมอ่ื เราไ เรยี น เงอื่ นไขแ งความส เร็จของคนอืน่ ก็
จะสามารถเลือกน มาเ นแนวทางในการพัฒนาการด เนินชีวิต
ของตนเองใ เอ้ือ อการประสบความส เร็จและไ รับชัยชนะท้ัง
ในเร่อื งครอบครวั การงาน และการเงนิ
้หำ่ว่ต้พ่ว่ม้ด่ข็ป้ดู้ผู่ย้พ่ว้ด่ข่ท่ท้ช้ห่ลู้ผำ้น่ช่ข
้ดำ่ต้หำ็ปำำ่หู้ร้ด่ว่ย่ยำู่ย้ด่ว้ข้หำ้หำ่ตำำ็ป
่ตำ่ร์ร้ช์ตำ้ด้ล่ค้ร่ท์ต์ล่ต้ข์ต้จ์ต์ล้ร์ร์ร้ข็ป่ว้ด่ตู้ร้หำ่ต้ดำ่ต่ยำ้ลำ
ปราช ในโลกตะวันตกและตะวันออกตลอดจนบรรดาหนังสือ
แนวส างก ลังใจ ไ ก าวถึงเคลด็ ลบั ของความส เรจ็ ท่ีมนษุ ทุก
คนควรจะไ เรียน หรอื เอาไ ค ายคลึงกนั ดังน้ี
1. การระมดั ระวังความคดิ
ความคิดของมนุษ เ นส่งิ ทีม่ พี ลงั อ นาจมหาศาล เพราะเ นจุดเริม่ นของการกระท
และเ นสง่ิ ท่ผี ลกั ดนั ใ จินตนาการของมนุษ ใ กลายเ นความจริง คนเราจะท อะไรไ
ส เร็จจะ องเคยคดิ ไต ตรองเรื่องน้นั มา อนอ างรอบคอบในใจ แ ว อย ๆ ลงมือกระท ดัง
น้นั จึงมีค พดู ที่ า คนเราคิดอะไรอ างนั้นกไ็ อ างน้นั คดิ ดี ก็ไ ดี คดิ าตนเองไ มี
คุณ า ตนเองกไ็ มคี ุณ า คิด าตนเองจะประสบความส เรจ็ กจ็ ะท ส เร็จ คิด าตนเองท
ไ ไ กจ็ ะท ไ ไ ดงั ค ก าวที่ า You are what you think.
นโปเลียน ฮิล ไ ศึกษาบคุ คลทีป่ ระสบความส เรจ็ 500
คนทัว่ อเมริกาและพบ า คนทป่ี ระสบความส เร็จยิง่ ให จะคิดถงึ เร่ือง
ที่เขาจะท อ ตลอดเวลา โดยไ ป อยใ จิตใจถกู ชกั จงู ลากพาไป
เรอ่ื งอืน่ ๆ ท่ีไ มีความส คัญนอกจาน้ี คนทจ่ี ะคดิ แ วประสบความ
ส เร็จ องเ นคนทมี่ ีนิสัยคดิ อะไรตลอดรอด ง คอื ต้ังใจคิดอ าง
ถงึ ทสี่ ดุ ใ ละเอียดรอบคอบชดั เจน (Think accurately) มใิ คดิ อะไร
แบบพอ าน ๆ ไปที หรืออาศยั การเดามากก าจะใ วิจารณญาณอ าง
เตม็ ที่
2. การตัง้ เ าหมายใ ชวี ติ แ เนิน่ ๆ
มนษุ ทกุ คนเกิดมาไ มีใคร า เราเกดิ มาท ไม มหี าทอี่ ะไร จะเดนิ ทางไปไหน
และอีก 10 หรือ 20 างห า เราจะเ นอ างไร อะไรคือจุด งหมายในชวี ิต ผลของการ
ม่แี ผนท่ีท ใ เรามอี สิ ระทจ่ี ะเลือกเ นทางชีวติ วยตนเอง ในขณะเดยี วกัน การทช่ี ีวติ ไ มี
แผนที่ ก็บงั คบั ใ เรา องขวนขวายหาอปุ กร เครอื่ ง นแรง าง ๆ มา วยใ การเดินทาง
ของเราเ นไปอ างราบรนื่ ท่สี ดุ เครอื่ ง นแรงดงั ก าวกไ็ แ ความ สติ สมาธิ ความ
เพียร
แ เครื่อง นแรงใด ๆ กไ็ ส คัญ อการเดนิ ทางไกลมากไปก าการมเี ขม็ ทิศ ซึง่ ใน
กรณนี ้ีคอื การมเี าหมายส คัญแ นอนในชวี ิต ดังนน้ั บทแรกของหนังสอื self-help เร่ือง
กฎเหล็กแ งความส เร็จ จึง องเริ่ม น วยการแนะน ใ คน จักส างเ าหมายที่แ นอน
และส คญั ใ กบั ชีวิต อน
่ย้ช่ว่ผ่ช้ห่ย่ัฝ็ป้ตำ้ลำ่ม้ห่ล่มู่ยำ่ญำ่วำ้ด์ล
่ก้หำ่น้ป้รู้ร้หำ้ด้ต้ตำ่ห่นำ้ป่ว่ตำ่มุ่ท่ต
ู้ร่ก้ด่ลุ่ท่ย็ป้ห่ช่ตุ่ท์ณ้ต้ห่ม้ด้ส้หำุ่ม่ย็ป้น้ขีปีป้นำ่วู้ร่ม์ย
่ต้ห้ป
่ว่ลำ้ด่มำ้ด่มำ่วำำำ่ว่ค่ม่ค่ม่ว้ด่ย้ด่ย่วำำ่ค้ล่ย่ก่ร้ตำ้ดำ็ป้ห์ย้ห็ปำ้ต็ปำ็ป์ย
้ล้วู้ร้ด์ยำ่ล้ดำ้ร์ญ
2. การตั้งเ าหมายใ ชวี ิตแ เนิน่ ๆ ( อ)
คนท่ีจะประสบความส เรจ็ ในทางใดทางหน่งึ จะ องเ นคนท่ีถามตนเองอ เสมอ า ตนเอง
องการจะเ นอะไร องการอะไร ปรารถนาจะบรรลุส่งิ ใดในชีวติ มีเข็มทิศทีจ่ ะท อะไร และท่ีสุด
แ วเรา องเขียนแผนท่ชี ีวิตของเราขึ้นมา วยการ อย ๆ คิด อย ๆ เลือกเ าหมายใ ตนเอง
คนท่ีไ เคยถามอ างจริงจงั แ ว เ า า เรา องการอะไร ก ลังท อะไร และจะท อะไร อไป
กเ็ ปรยี บไ กบั ขอนไ หน่ึง อนที่ องลอยอ ในมหาสมุทรก างให มักจะถูกพดั พาไปตามการ
เปล่ยี นแปลงของคลน่ื ลม กระแส และสงิ่ แวด อมภายนอก ยากทีจ่ ะเดินทางถึงอกี งเพราะยัง
ไ เคยมคี วาม า งทะเลที่ องการเดนิ ทางไปอ ทิศทางไหน
นอกจากน้ี การส างเ าหมายแ นอนในชวี ิต เ นการน กฎธรรมชาตมิ าใ ในการส าง
พลังชีวิต ซง่ึ กฎธรรมชาติอ างหนงึ่ เก่ียวกับมนษุ ก าว า การเคลื่อนไหวทุกอ างของมนษุ
ไ าจะอ ในรูปของการกระท หรือค พดู ถกู บงการ วยส่ิงทเ่ี รยี ก าความคิด หากเราไ มคี วาม
คิดท่ีอ ในรปู ของเ าหมาย การกระท และค พูดทกุ อ างของเราก็จะเลอ่ื นลอย ไ พลัง เ นเพียง
แ การโ ตอบส่งิ แวด อมภายนอกท่มี ากระทบตามสัญชาตญาณเดิมเ านน้ั
นอกจากน้ี การไ มีเ าหมายชดั เจน จะท ใ เราเ นคนทไี่ มีบคุ ลกิ ภาพ งม่ัน ดูไ จรงิ จงั
ไ าเชอ่ื ถอื เหมือนท อะไรไปเรือ่ ย ๆ ถึงก็ าง ไ ถงึ ก็ าง เ นบคุ ลกิ ภาพทจี่ ะไ มีใครไ วางใจ
ใ ท อะไรส คญั เพราะดกู ็ าคน ๆ น้ี ขาดสิ่งท่ีเรยี ก า “พลังชวี ติ ”
อ างไรก็ตามในการตงั้ เ าหมายชีวิต ส่ิงที่ องระวังกค็ ือ เ าหมายท้ังไ องไ ก าง ไ
เล่อื นลอยจนเกนิ ไป ประเภทที่ต้งั ไ า อยากรวย อยากมชี ือ่ เสยี ง อยากประสบความส เร็จยง่ิ
ให เห านถี้ อื เ นเ าหมายเล่อื นลอย องจ กัดวงใ แคบลง า องการรวย วยการท อาชพี
ใด หรอื ธรุ กจิ แบบไหน า องการมีช่ือเสียง องการชอ่ื เสียงในทางใด จะเ นนัก องที่มีชื่อเสยี ง
เ นนัก สกิ ช่ือดงั หรือจะเ นนักการเมืองทีค่ นทงั้ แ นดนิ อง จกั
การมีเ าหมายท่ีแ นอนในใจมีผล วยกระ นใ จิตใ ส นึกเราท งาน ย่ิงเ าหมายเฉพาะ
เจาะจง เหน็ ภาพในใจไ ละเอียดมากเ าใด จิตใ ส นกึ เราก็จะมคี วามเ าใจ และ วยเราคิดหา
หนทางเดนิ ทางไป เ นชัยไ มากเ านน้ั แ าเ าหมายไ ชัดเจน จติ ใ ส นกึ ของเรากเ็ หมอื น
โปรแกรมคอมพวิ เตอ บางอ าง ซง่ึ าเรา อน อมูลยงั ไ ครบ วน ยงั ไ ถกู อง ก็จะไ ยอม
function อไป
่ต่ม้ต่ม้ถ่ม้ข้ป้ถ่ย์รำ้ต่ม้ป้ถ่ต่ท้ด้สู่ส่ช้ขำ้ต่ท้ด้ปำำ้ต้หุ้ต่ช่น้ป
ู้ร้ต่ผ็ป์สิฟ็ป้ร็ป้ต้ต้ถำ้ด้ต่ว้หำ้ต้ป็ป่ล่ญำ่ว้ว่ม้ว่ม้ต้ว้ป้ต้ป่ย
่ว่วู้รำำ้ห้ว่ม็ป่ช่ม่ชำ่น่ม่มุ่ม่ม็ป้หำ้ป่ม
่ต่ต้ห้ป
่ท้ล้ต่ค็ป้ร่ยำำ้ปู่ย่ม่ว้ดำำู่ย่ว่ม์ย่ย่ว่ล์ย่ย้ร้ชำ็ป่น้ป้ร
ู่ย้ต่ัฝ่วู้ร่ม่ัฝ้ลำ้น่ญ้วู่ย่ล่ท้ม้ด่ตำำำ้ต่ว่ลำ้ซ้ลำ้ซ่ย่ม้ห้ป่ค่ค้ด้ต้ลำ้ต็ป้ต่วู่ย็ป้ตำ
2. การตง้ั เ าหมายใ ชวี ิตแ เนิน่ ๆ ( อ)
อ างไรกต็ าม ใ าทุกคนจะสามารถคิดวางเ าหมายใ ตนเอง
ไ เหมอื นกนั หมด คนทจี่ ะเขียนแผนที่ชีวติ ใ ตนเองจะ อ’เ นคนที่
องการ “ และเลือก วยตนเอง” หรอื คนทีม่ ีความเชอ่ื าคนเราไ
ควรยอมใ จติ ใจของเราอ ใ อทิ ธพิ ลของความเคยชนิ เดมิ ๆ ไ ตก
เ นทาสประสาทสัมผัสทง้ั 5 ไ ถกู ครอบง โดยเพือ่ น ญาตพิ ่ี อง
แฟชั่น หรอื แนวโ มของสังคม แ เราจะ องเ น คิด ตดั สินใจ และ
เลอื กทกุ อ างอ างมีสติ วยตนเอง ก าวอกี นยั หนึง่ คือเรา องมคี วาม
เชอื่ าตวั เราเ น programmer ท่สี ามารถ program ชีวิตเราเองไ
ในการตงั้ เ าหมายชวี ิต นอกจากจะ องตั้งแ เน่นิ ๆ ใน วง นของ
ชีวิต ย่งิ เรว็ ย่ิงดีแ ว ยงั มอี ีกสองเรื่องทเี่ รา องค นึงถึง คอื เรา องถาม
ตนเองอ เสมอ าเ าหมายของเราเ นส่งิ ทย่ี ตุ ิธรรมส หรบั คนอน่ื หรอื ไ
เมอื่ สองพนั ก า มาแ วขงจือ้ ก าว า หากจุด งหมายของเราจะท ส เรจ็
ไ องส างความเดอื ด อนใ คนมากมาย จุดหมายน้นั อมขดั อาณัติ
สวรร ขดั อประสง ของ าดนิ ในทสี่ ุดเราก็จะถูกโจมตีขัดขวางจากทุก
าย จนยากที่จะประสบผลส เร็จไ
เ าหมายเม่ือตั้งเอาไ แ ว สามารถปรับเปล่ียนไ คนท่ีฉลาด
องมีการตงั้ ค ถาม วิพาก วิจาร จดุ งหมายของตนเองอ เสมอ า
เ นสิง่ ท่ีเรา องการจรงิ ๆ หรือเป า เพราะเมอื่ เวลา านไป เรา
เตบิ โตข้นึ มเี ง่ือนไขให ๆ สงิ่ ทีเ่ รา องการในอดตี อาจจะไ เหมาะกับ
เราอีก อไป าถามตนเองแ วไ ค ตอบ าไ ใ เรากจ็ ะไ หาทาง
เปลีย่ นเ นทาง อ าป อยใ เกิดกรณีเขน็ ครกข้ึนภูเขาผิดลูก คือ
หลงั จาก มเทแรงกายแรงใจไปเกอื บท้งั ชีวติ แ วมาตระหนักภาย
หลงั าเ าหมายนัน้ ๆ ไ ใ สง่ิ ท่เี รา องการจริง ๆ
้ดำ่ฝ้ฟ์ค่ต์ค่ยู้ผ้ห้ร้ร้ต้ดำำุ่ม่ว่ล้ลีป่ว่มำ็ป้ป่วู่ย้ตำ้ต้ล้ต่ช่ต้ต้ป
้ด็ป่ว้ต่ล้ด่ย่ยู้ผ็ป้ต่ต้น้นำ่ม็ป่ม้ตู่ย้ห่ม่ว้ดู้ร้ต็ป้ต้ห้ด้ห้ป่ว่ช่ย
้ต่ช่ม้ป่ว้ลุ่ท้ห่ล่ย้ส้ด่ช่ม่วำ้ด้ล้ถ่ต่ม้ต่ม่ผ่ล้ต็ป่วู่ยุ่ม์ณ์ษำ้ต้ด้ล้ว้ป
่ต่ต้ห้ป
3. การแสวงหาความ ที่จ เ น
ความ ทจี่ เ น อความส เร็จมอี สองประเภท ประกอบ วย ประเภทแรก คอื
ความ ความเชีย่ วชาญเฉพาะ าน (expertise) ก าวคอื ในส่ิงท่เี ราท อ เราจะท
อะไรไ ส เรจ็ ก็ องมคี วาม ความช นาญในเรอื่ งน้ัน ๆ พอควร าจะใ ดี ก็คอื ควร
มีความ ความเชย่ี วชาญจนถงึ ขนั้ ท ไ ดี และท ไ ดกี าใคร ๆ อีกหลายคนจึงจะ
สามารถโดดเ นขนึ้ มาไ ความ ประเภทที่สองไ แ ความ ทส่ี างใ เรามี
บุคลกิ ภาพประเภททีส่ ามารถ าลม ฝน พายุ าง ๆ ในชีวิตไ แ ไข ญหาเฉพาะ
ห าไ ดี และสามารถเปลีย่ นความ ระดบั ทีเ่ น fact ใ เ นโอกาสไ
โสคราติส ปราช ชาวกรีก เห็น าความ ท่ี
จะท เรามบี ุคลิกภาพแบบสามารถ าลม ฝน
พายุ าง ๆ ในชวี ิต และเปล่ียน fact เ นโอกาสไ
มอี ง ประกอบคือ
1.ความ ทจ่ี ะท ใ เรามีการตัดสนิ ใจ
มีวิจารณญาณเลอื กการกระท ไ
อ างเหมาะสมในทกุ สถานการ
3.ความ ทจี่ ะท ใ เรามีอารม 2.ความ ที่จะท ใ เราทันคน
ชนดิ ทไี่ ขึน้ ลงตามความสุขและ ทนั สถานการ และมี
ทกุ มากจนเกนิ ไปนกั ไ หลงระเริง มนุษยสัมพนั ท่ีดี (EQ)
ไปกับความส เรจ็ ชั่วคร้ังชัว่ คราว
4.ความ ทีจ่ ะท ใ เรามีความซอ่ื สตั
จนเสียศนู ก าหาญ เมตตา และรบั ผิดชอบ
์ค้ด็ป่ต่ฝำู้ร่ว์ญ
์ยำ่ม์ข่ม์ณ้หำู้ร์ธ์ณ้หำู้ร
์ณ่ย้ดำ้หำู้ร็ปำู้ร
้ล์ย้หำู้ร
้ด็ป้ห็ปู้ร้ด้นัป้ก้ด่ต่ฝ้ห้รู้ร่ก้ดู้ร้ด่ด่ว้ดำ้ดำู้ร้ห้ถำู้ร้ตำ้ดำู่ยำ่ล้ดู้ร้ดู่ยำ่ต็ปำู้ร
ขงจือ้ ใ ความเหน็ า แ คนเราจะเกิดมามี ญญาสงู ไ เ ากัน
มโี อกาสในการศึกษาไ เ ากนั แ คนเรากส็ ามารถส างสมพฒั นาสติ
ญญาตนเองใ เ น “ยอดคน” ไ วยวิธี าย ๆ แบบพลิก ามอื โดย
การ “ใ สมาธิ ตัง้ ใจดูและตัง้ ใจ ง” และ วยการถามตนเองอ เรื่อย ๆ
าท อ างไร เราจึงจะมองเหน็ อะไรแ วสามารถจะเหน็ และเ าใจสิ่งนน้ั
ทะลปุ รโุ ป ง และเมื่อไ ยินอะไรแ ว ท อ างไรจงึ จะ งใ เ าใจไ
หมด
เมอื่ เราตัง้ ใจดู ตัง้ ใจ ง ค ตอบ าง ๆ ในชวี ิตจะผดุ ขึน้ มา
เองจากภายใน เมอื่ เราตงั้ ใจดู ตง้ั ใจ ง เราจะมฐี าน อมูลทีถ่ กู
องแ นย มีความเ าใจเรื่อง าง ๆ ลึกซึ้ง ถ่ี วน องแ และ
เม่ือเราตง้ั ใจดู ตงั้ ใจ ง เรา อมเ นคนท่มี ีการกระท ตัง้ อ บน
พ้ืนฐานของสมาธิเ นหลกั
นอกจากน้ขี งจ้อื ยงั แนะน อีก วย า คนเรา องหัด กฝนการคิด
และเรยี น อมลู ให ๆ ไปพ อม ๆ กนั เพราะการเรยี น โดยไ คดิ
ท ใ เราอาจไ อมูลท่ี านการตคี วามผิดพลาดมาจากคนอืน่ แ
าเราเอาแ คิดวิเคราะ สิ่ง าง ๆ โดยไ ชอบศึกษาหา อมูล
ความคิดของเราก็ยังอ ในระดับการคาดเดา อมจะเกิดการผิด
พลาดข้นึ ไ าย ๆ
่ง้ด่ยู่ย้ข่ม่ต์ห่ต้ถ่ต่ผ้ข้ด้หำ่มู้ร้ร่ม้ขู้รึฝ้ต่ว้ดำ
็ปู่ยำ็ป่ยัฟ้ท่ถ้ถ่ต้ขำ่ม้ต้ขัฟ่ตำัฟ
้ด้ข้หัฟ่ยำ้ล้ด่ร้ข้ล่ยำ่วู่ย้ดัฟ้ช่ฝ่ง้ด้ด็ป้หัป้ร่ต่ท่ม่ท่มำ่ตัป้ม่ว้ห
4. การมคี วามเพียรส เสมอ อเน่อื ง
(persistence)
ทจ่ี ะประสบความส เรจ็ ไ จะ องมวี ิรยิ ะอตุ สาหะและความเพยี ร
ที่ส เสมอและ อเนอื่ ง ความส เสมอ อเนอื่ งเ นสงิ่ ส คัญ เพราะใน
ความเ นจริง คน วนให ซ่ึงปรารถนาอะไรมาก ๆ พอเจอ ญหา อ
เน่อื งเ นอาทิต เ นเดือน ก็จะเร่ิมเบ่ือ เลกิ รา ยอมแ ในขณะที่
กิจการ างให ๆ าง ๆ น้นั จะท ใ ส เร็จไ บางกิจการใ เวลาเ น
า สิบ ดงั นั้น คนท่จี ะประสบความส เรจ็ ไ จะ องมคี วามเพยี รใน
ระดบั ทีไ่ ธรรมดา ซง่ึ ความเพยี รลักษณะดงั ก าวจะเกิดขนึ้ ไ เรา
องมเี าหมายทีแ่ นอน องมีความ องการในสิง่ น้ันลกุ โชนตลอด
เวลา และทีส่ คัญทสี่ ดุ คือเรา องมี Plan of Actions ทชี่ ดั เจน เพ่อื ท่ี
เราจะไ จะไ างานแ ละช้ิน องใ เวลาเ าไร ใ ทรัพยากรอะไร
ขณะน้ีงานของเราด เนินมาถงึ ข้นั ตอนใดแ ว เพื่อใ เรามคี วามคาดหวงั
ที่ถูก อง และสามารถประเมินผลส เร็จของงานไ อ างชดั เจน ไ มี
false expectation และไ มีการหลอกตนเอง
่ตำ่ม
่ม่ม่ย้ดำ้ต้ห้ลำ้ช่ท้ช้ต่ต่วู้ร้ด้ด้ตำ้ต้ต่น้ป้ต้ด่ล่ม้ต้ดำีปีป้ห็ป้ช้ดำ้หำ่ต่ญ่ต้พ็ป์ย็ป่ตัป่ญ่ส็ปำ็ป่ตำ่ม่ตำ่ม้ต้ดำู้ผ
5. การ จกั ส าง “อภิจิต”
หรอื Master Mind Group
อภจิ ิต คอื ก มพันธมิตรท่ีมจี นวน 2 คนข้นึ ไป เ นก มคน
ท่ีมคี วามเชอ่ื ความคดิ อุดมการ และจดุ งหมายเดยี วกัน ที่
ส คญั คือเวลาท งาน วมกนั แ วมคี วามกลมกลนื เ นอันหนึ่งอนั
เดยี วกัน
ก มอภจิ ติ มีความส คญั ย่งิ ประการแรก “ความ ความ
สามารถ” เ นอ นาจที่ทรงพลังมากที่สดุ อ างหน่งึ ในการด เนนิ ธรุ กจิ
การงาน แ อ นาจของความ ความสามารถน้ี เราสะสมเองไ ยาก จะใ
เวลาเรียนหนงั สอื หาประสบการ ทง้ั ชวี ิตก็คงไ สามารถทจี่ ะเกบ็ เก่ียว
ประสบการ ไ เพยี งพอ ดังน้นั คนที่ องการประสบความส เรจ็ จงึ
องพยายามส างก มเพ่ือน พนั ธมิตรทางธรุ กิจที่เรียก า อภจิ ติ ข้ึนมา
หลาย ๆ คน เพอ่ื มา วยกนั คดิ วยกนั ท ประการที่สอง ไ แ การ
ท ใ เราสามารถใ ประโยช จากส่ิงทเี่ รยี ก า การผนึกก ลงั หรือพลงั
(synergy)
เ นท่ี กนั มานานแ ว าพลงั ความคิดของคนเราเ นเรอ่ื งแปลก เวลาเราคดิ
คนเดยี วจะมี อจ กัดมาก แ าคนสองคนหรอื มากก าสองคนมา วมกันคิดจะ
เกดิ สิ่งทเ่ี รียก า synergy ซ่ึงจะไ ผลดกี าคน 2 คนแยกกันท งานและแยกกัน
คดิ ก าวอกี นัยหนึ่งคอื ในสูตรคณิตศาสต ปรกติแ ว 1+1 เ ากับ 2 แ ในสูตร
ของ synergy นัน้ 1+1 มากก า 2 เสมอ และยงิ่ เม่อื สามารถท งานกันเ นทมี
หลาย ๆ คน ผลลัพ ท่ีไ ก็จะย่งิ ใก เคยี งความสมบูร แบบมากขนึ้ ความเช่อื
เรอ่ื ง synergy งผลใ business school ทวั่ อเมรกิ ามีการจัดการระบบการ
ท งานของนักศึกษาใ ท รายงานกันเ นทีม presentation เ นทีม และมี
ก หนดการใ นกั ศกึ ษาไปท การ าน วมกนั เ นทีม เพื่อปลูก งนิสยั การส าง
synergy ระห างก มบุคคลใ กบั นกั ธรุ กจิ นให การจะส าง synergy ไ ไ
หมายความ าเราจะ องเลอื กคบเฉพาะคนทีค่ ดิ เหมอื นเราทกุ อ าง จะมคี วามคิด
างกนั สุดโลกก็ยังเกดิ synergy ไ แ อ าง อยคนสองคนน้จี ะ องมเี าหมาย
และอดุ มการ ค ายคลึงกบั เรา และท่สี คญั คือมีความปรารถนาดี อกันอ าง
แ จรงิ
ำ่ว์น้ช้หำ่ก้ดำ่ช่ช่วุ่ล้ร้ตำ้ต้ด์ณ่ม์ณ้ช้ดู้รำ่ตำ่ยำ็ปู้รำุ่ล
็ป้ล่รำำุ่ม์ณุ่ล็ปำุ่ล
้รู้ร
้ท่ย่ตำ้ล์ณ้ป้ต้น่ย่ต้ด่ต่ย้ต่ว้ด่ม้ร่มุ่ร้หุ่ล่ว้รัฝ็ป่ร้บำ้หำ็ป็ปำ้หำ้ห่ส์ณ้ล้ด์ธ็ปำ่ว่ต่ท้ล์ร่ลำ่ว้ด่ว่ร่ว้ถ่ตำ้ข็ป่ว้ลู้ร็ป
6. การ จักน เอา psychic power
หรอื six sense มาใ ประโยช
Napoleon Hill ก าวไ าประสาทสัมผัสทห่ี กหรอื
six sense กค็ ือคณุ สมบตั ทิ ่ที ใ genius ทงั้ หลาย าง
จากคนธรรมดา ๆ และประสาทสัมผัสท่หี กในความหมาย
นค้ี ือ การมีจนิ ตนาการ ความคิดส างสรร และความ ที่
เกดิ ขึ้นมาเอง า อะไรใ -ไ ใ อะไรควรท -ไ ควรท
อันเ นความ ทเ่ี กดิ มาจากภายใน ไ มีใครมาบอก
ประสาทสมั ผสั ทหี่ กจะมีขน้ึ ไ คน ๆ นนั้ จะ องมีก ลงั สมาธิ
สงู และสามารถเอาใจไปจด อกับเร่อื งใดเร่อื งหนง่ึ ไ นาน ๆ เมอื่
เราสามารถจด อความคิดอ ท่ีเรอ่ื งบางเร่ืองไ นาน ๆ ความ
ภายในเกี่ยวกบั เร่อื งนัน้ กจ็ ะเกิดขน้ึ เองตามธรรมชาติ ก าวอีกนัย
หนึง่ ประสาทสมั ผัสที่หกเ นผลจาก power of concentration
หรือสมาธิ
็ป่ลู้ร้ดู่ย่จ้ด่จำ้ต้ด
์น้ชำู้ร่มู้ร็ปำ่มำ่ช่ม่ช่วู้ร์ค้ร่ต้หำ่ว้ว่ล
7. มีการตัดสินใจทดี่ ี
บุคคลท่ปี ระสบความส เรจ็ ยิ่งให มักจะมกี ารตัดสินใจท่ฉี บั ไว
ทันสถานการ เมอ่ื ตัดสนิ ใจไปแ วไ เปลย่ี นใจ าย ๆ วนคนท่ี ม
เหลวในชีวิต มักมนี สิ ัยไ ชอบตดั สินใจ เมอ่ื ตดั สินใจไปแ วกจ็ ะเปลยี่ น
ใจอ ตลอดเวลา
คนเราจะมีการตดั สินใจที่ดี จะ องมวี ิจารณญาณท่ดี ี วิจารณญาณทีด่ ี
จะเกิดไ จะ องมเี งอ่ื นไข าง ๆ ดงั อไปนี้
การมสี ติ สมาธิ และความ ความเชี่ยวชาญในการเลือกคบคน
ไ แวด อมตนเอง วยคนทมี่ องโลกในแ าย อจิ ฉารษิ ยา ซ่ึงมองโลก
ไ ตรงกบั ความเ นจรงิ จะท ใ เรารบั นิสัยมองโลกไ ตรงตามความ
เ นจริงมา วย
เลอื กรบั งความเหน็ เฉพาะทเี่ นความคดิ เหน็ ของ
ก ม Master Mind หรือศกึ ษาประวตั ขิ องมหาบุรษุ /สตรใี น
โลก เพือ่ เรียน วิธีคิด การตดั สนิ ใจ การมองโลก อผิด
พลาดและความ มเหลว และใ ประสบการ ของ านเห านี้
เ นแบบอ างในใจ
้ด็ป่ม้หำ็ป่ม้ร่ง้ด้ล่มู้ร
่ต่ต้ต้ด้ต
ู่ย้ล่ม้ล่ส่ง่ม้ล์ณ่ญำ
่ย็ป่ล่ท์ณ้ช้ล้ขู้รุ่ล็ปัฟ
8. การมีทศั นคตทิ ี่ถูก องเกีย่ วกบั ความ มเหลว
คนประเภททีเ่ น the winner แ จริงก็คอื คนทเี่ ม่อื ประสบความ ายแ
แ วก็ยงั มคี วามอดทนสามารถลกุ ขน้ึ าว อไป างห าไ อกี ไ าจะกค่ี ร้ัง
กต็ าม คนแบบนมี้ องเห็นความผิดพลาดเ นครู และไ ยอมจ นนกับอะไร
าย ๆ วนคนแ กค็ ือคนท่ี มหนเดยี วกห็ มดแรง ส้นิ ก ลงั ใจทจี่ ะท อะไร
อไปในชีวติ
นกั วิทยาศาสต ทีไ่ รบั รางวลั โนเบลทุกคน อม
จะสามารถยืนยันความจริงเรือ่ งนี้ไ เพราะในการ
ทดลองทางวิทยาศาสต ในทกุ สาขา ไ าจะเ น
เคมี สิก ชวี วทิ ยา จะ องมีการลองผิดลองถูก
และ านการทดลองท่ี มเหลวมาแ วเ น อยเ น
พันหนก าทกี่ ารทดลองจะประสบผลส เร็จ
เก่ียวกับเร่ืองน้ี คนอเมริกันมักจะนึกถึงตัวอ างของประธานาธิบดี
Abraham Lincoln ซ่งึ มี list ความ มเหลวในชวี ิตยาวเหยยี ด อนที่จะ
มาเ นประธานาธิบดี ก าวคือ Lincoln พอเร่มิ ท ธรุ กจิ ก็ มละลาย หลงั
จากนั้นเคยสติวิปลาสไปชั่วเวลาหน่ึง อมาพอเริ่มเ นการเมืองก็สอบ
ตกหลายคร้ัง ชิงต แห งส.ส.ของรัฐอิลลินอย ไ ส เร็จหนึ่งคร้ัง
สมคั รต แห งสมาชกิ สภา Congress สหรัฐฯ ก็สอบตก ชงิ ต แห ง
สมาชกิ วฒุ สิ ภาสหรฐั ฯ ไ ส เรจ็ สองคร้งั ชงิ ต แห งรองประธานาธิบดี
ไ ส เรจ็ ใน 1866 จนส่ี ใ หลงั จึงไ มาเ นประธานาธบิ ดีใน 1860
คนอเมริกันจะคิดอ เสมอ า เ นทางชีวิตท่ี มลุกคลุกคลานแบบของ
Abraham Lincoln คือเ นทางปกตขิ องคนที่ องการประสบความส เรจ็
่ตำำ้ล้พ่ส่งำ่ม็ป่ว่ม้ด้น้ข่ต้ก้ล้พ่พ้ท็ป
ำ้ต้ส้ล้ส่วู่ยีป็ป้ด้หีปีปำ่ม่นำำ่ม่นำ่นำำ่ม์ส่นำ่ล่ต้ลำ่ล็ป่ก้ล่ย
ำ่ว็ป้ร็ป้ล้ล่ผ้ต์สิฟ็ป่ว่ม์ร้ด่ย้ด์ร้ล้ต
9. การ จักความม่งั คงั่ ที่แ จรงิ
คนท่จี ะประสบความส เร็จไ จะ อง จักใ ชวี ติ อ างมดี ุลยภาพ
อกี นยั หน่ึงคอื า ความม่ังค่ังทแ่ี จริงนัน้ องประกอบ วย จจัย าง ๆ
เห าน้ีไ แ
สุขภาพ างกายแขง็ แรง การมองโลกในแ ดี
(Sound physical health) (Positive mental attitude)
มมี นุษยสัมพัน ดี เ นอิสระจากความกลวั
(Harmony in human relations) (Freedom from fear)
การ จกั แ ง นความสุขใ คนอื่น
(Willingness to share one’s blessing with others)
มีใจเ ดก างรบั ง มรี ะเบียบวินัย
ความคิดเหน็ ของคนอ่ืน (Self-discipline)
(Open mind)
ท่มี า ส นักงานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั (สกว.) ส นกั งานภาค
็ป
้หัป่บู้ร
์ธ
่ร
่ง
ำำ้ทู้ร
่ก้ด่ล่ตัป้ด้ต้ท่วู้ร่ย้ชู้ร้ต้ดำ
ัฟ้วิป
S.M.A.R.T Goal
Speci c (เฉพาะเจาะจง) Measurable (วัดผลไ )
จงก หนดเ าหมายของชวี ิตใ (วดั ผลไ ) เ าหมายของคณุ จะ อง
เฉพาะเจาะจง รอบคอบ และรัดกมุ มขี อบเขตเ นตัวเลขหรือวนั เวลาท่ี
ไ เ นนั้นคุณอาจจะพลดั หลงออก ชัดเจน เพราะนนั่ จะ วยใ คุณมี
นอกเ นทางไ าย ๆ ความ งม่นั มากยง่ิ ขน้ึ
Attainable (สามารถไปถึงไ
เ าหมายนั้นจะ องมิใ เรือ่ งละเมอเ อพก Relevant (มคี วามหมาย)
แ องสามารถไปถงึ ไ จรงิ จงจ ไ า
“ นอยากบินไ ” กับ “ นอยากขนึ้ เครอ่ื ง
บิน” น้ันแตก างกนั อ างสน้ิ เชิง
เ าหมายจะ องมีความส คญั มคี วามหมาย
และมีความเก่ียวกนั กบั ชีวิตของคุณ ย่ิงเ น
เ าหมายทค่ี ณุ พ อม มกายใจเพ่ือไปใ ถึง
โดยไ องการเสียเวลาแ สักนาทเี ดียวไ ก็
ยิ่งวเิ ศษ
Time-based (มีกรอบเวลาท่ีแ ชัด)
การจะใ บรรลุถึงเ าหมายที่ตง้ั ไ จะ องค นึงถงึ
ความเหมาะสมเร่อื งเวลา วยการตั้งเ าหมายของ
คณุ จึงควรเริม่ น วยค า “ภายในสามเดอื นน้ี”
“ภายในสน้ิ น”ี้ หรือ...ฯลฯ
ทมี่ า หนงั สอื เดอะทอ็ ปซีเครต็
ีป่วำ้ด้ต้ป้ดำ้ต้ว้ป้ห่น
้ด้ม้ต่ม้หุ่ท้ร้ป็ปำ้ต้ป
่ย่ตัฝ้ดัฝ่ว้วำ้ด้ต่ต้พ่ช้ต้ป
้ดุ่ม้ห่ช็ป้ต้ป้ด้ด่ง้ด้ส่ช่ม้ห้ปำif
การรบั ตนเองและสมรรถนะแ งตน
ร่หู้
การรบั ตนเองและสมรรถนะแ งตน
การรบั เกย่ี วกบั ตนเอง เ นสิ่งทบี่ คุ คลจะ องท การรับ วิธีทบ่ี ุคคลจะ จักตนเองไ
ชดั เจนกค็ ือการส รวจตนเอง ซง่ึ จะท ใ บุคคลสามารถมองเหน็ ตนเองไ อ างชัดเจนทั้งใน
แ บวกเละแ ลบ ทงั้ ใน วนดีและ วนเสยี ที่ องปรับปรุง รวมไปถงึ เร่อื งของบคุ ลกิ ภาพ ามี
วนใดทจี่ ะ องพัฒนาใ ดยี ง่ิ ขนึ้
กนั ยา สวุ รรณแสง (2533:322-326) อธิบายโดยสรุป า บคุ คลจะ อง จักตนเอง
อ าง อยใน 3 ลักษณะคือ 1.อปุ นิสัยของตนเอง เรา องวเิ คราะ อ างถ่ี วน าตนเอง
มอี ปุ นิสัยอ างไร ท การ งเสริมอุปนิสัยท่ดี ี และท การปรบั ปรุงแ ไขอุปนิสยั ท่ีไ
ดี 2.ลักษณะ วนรวมของคน การท ความ จกั วนน้ี องอาศัย อน่ื เ น ใ อมูล ค
บอกเ าหรอื ค วจิ าร ของ อ่นื อาจท ใ เราเจ็บปวดไ อยาก ง แ ก็ องอดทน ง
โดยเฉพาะค วงตงิ วิจาร ท่ีมาจากความจริงใจ อาย ใ แ คดิ ดี ๆ แ เราไ
3.บทบาทของตน แ ละคนมสี ถานภาพ (Status) าง ๆ มากมาย องแสดงบทบาท
(Role)ใ เหมาะสม
การจะท ความเ าใจตนเองไ ทกุ แ ทุกมมุ บุคคล องท ใจใ เ นกลาง
ไ เ า างตนเองจะท ใ มองตนไ ออก ก าวคือ องท ใจใ ก าง พ อมรบั
งค ตชิ มเพอ่ื จะไ น มาพฒั นาตนเอง อไป
่ตำ้ดำัฟ้ร้ว้หำ้ต่ล่ม้หำ้ข้ข่ม็ป้หำ้ต่ง้ด้ขำ
้ห้ต่ต่ต้ด่ก่ง้ห์ณ้ทำัฟ้ต่ตัฟ่ม้หำู้ผ์ณำ่ลำ้ข้หู้ผ็ปู้ผ้ต่สู้รำ่ส่ม้กำ่สำ่ย่ว้ถ่ย์ห้ต้น่ยู้ร้ต่ว
้ห้ต่ส่ว้ต่ส่ส่ง่ง่ย้ด้หำำ้ดู้รู้รำ้ต็ปู้ร่หู้ร
มโนภาพแ งตนหรืออตั มโนทศั (Self-Concept)
มโนภาพแ งตน หมายถงึ แนวคิดเกี่ยวกับตนเอง า เ นใคร เ นอะไร มลี กั ษณะ
ประจ ตวั ความสามารถ านยิ ม เจตคติอ างไร หากบุคคลมีมโนภาพแ งตนในทาง
ที่ดี จะท ใ เพิม่ การนบั ถือตนเอง ภาคภมู ิใจในตนเองมากข้ึน งผล อการท งานและ
การด เนนิ ชวี ติ ประจ วนั ของบุคคลนั้น ๆ วยเ นกัน
มโนภาพแ งตนสามารถแ งออกไ เ น 4 วนดงั ภาพ
1 2
Ideal Self Looking-Glass Self
4 3
Real Self Self-Image
ทีม่ า : Joseph Masaic and John Dougtas, Managing : A Contemporary Introduction
(Englewood Clifts, NJ: Prentice-Hall), P. 317.
่ส็ป้ด่บ่ห่ช้ดำำำ่ต่ส้หำ่ห่ย่คำ็ป็ป่ว่ห์น่ห
1.Ideal Self
ตวั ตนที่เรา องการจะเ น เ นภาพทีบ่ ุคคลอยากเห็นอยากเ นในอนาคต บางคนอาจมี
ภาพทีช่ ัดเจน ในขณะทบ่ี างคนอาจจะมีภาพไ ชดั เจนหรอื เ นภาพที่ไปไ ไ สิ่งท่มี ักจะท ใ
บคุ คลมี ญหาก็คือ การทบ่ี คุ คลคดิ าไ บรรลตุ ัวตนตามอดุ มคติแ ว ซึ่งในความเ นจรงิ เ น
สิง่ ที่ องใ เวลายาวนานในการทจี่ ะบรรลุ อแ บางคนส างภาพทเ่ี ด็กควรเ นหรอื จะไ รบั
การยอมรบั ไ ใ เดก็ ซง่ึ จะท ใ เด็กไ มคี วามสขุ เพราะความคาดหวงั เห านีอ้ าจไ ตรงกบั ส่งิ
ที่เขาปรารถนาอยากจะเ น โดยสรุปตวั ตนตามอุดมคติคอื ตวั คนท่บี คุ คลปรารถนาจะเ นหรือ
ทคี่ วรจะเ น คือเ นตัวตนที่ยึดมั่นในคณุ งามความดี มคี ุณธรรม จริยธรรม เกดิ จากการอบรม
ส่ังสอนใ จกั ผดิ ชอบชั่วดี าปฏบิ ัติไ บคุ คลกจ็ ะ สึกภูมิใจ ชื่นชมในตนเอง าไ ไ ทีจ่ ะ
สกึ หด เสยี ใจ อาจถงึ ขั้นเกลียดตวั เอง อถอย หรอื หมดหวัง
2.Looking-Glass Self
เ นภาพตนเองท่ีคนอนื่ หรอื สงั คม องการใ เ น อันเ นไปตาม านิยม ความเชื่อ
หรือ อก หนด ของแ ละสังคม อาจจะใ ค า Public-self ก็ไ
3. Self-Image
ตัวตนตามการรบั ของตน ซ่งึ การรับ น้อี าจจะตรงกับตวั ตนท่ีแ จริงหรือไ ตรง
ก็ไ าการรับ ตนเอง เ นการรบั านบวก ก็จะท ใ มีเ าหมายในชวี ติ และมคี วามสขุ
ไ แ ามีในทางกลบั กนั กจ็ ะไ มีความสขุ
4. Real-Self หรอื Actual-Self
คนตามความเ นจริง หมายถงึ ตวั ตนท่ีเ นจริง ๆ ซึง่ องใ เวลานานในการ นพบ
ตนเอง า เ นคนชนดิ ใด มคี วาม สกึ นกึ คดิ อ างไร มีความสามารถ านไหน ตัวตนที่แ
จรงิ ของแ ละคนอาจไ รบั หรือไ ไ รับการ ยอมรับจากสงั คมก็ไ
ตวั ตนทง้ั 4 น้ไี สามารถ อนทับกนั ไ สนทิ ตลอดไป หากตัวตนทเ่ี นจรงิ กับตัวตน
ทีป่ รารถนาอยากจะเ นอ างกันมากกจ็ ะท ใ บคุ คล สึกหด เสียใจ หรอื ถึงข้ัน
เกลยี ดตัวเอง อถอย หมดหวงั และสญู เสียการนบั ถือหรือภาคภมู ิใจในตวั เองไ
แ าหากตัวตนท่เี นจรงิ กบั ตวั ตนท่ปี รารถนาจะเ นใก เคียงกนั หรือทบั กันสนิท
คนจะมคี วามนบั ถอื ตนเองสูง บุคคลจะ สึกภาคภูมิใจและช่ืนชมตวั เอง
ู้ร้ล็ป็ป้ถ่ต้ด้ทู่หู้ร้หำ่หู่ย็ป็ป้ด้ซ่ม
้ด้ด่ม้ด่ต้ท้ด่ยู้ร็ป่ว้ค้ช้ต็ป็ป
่ม้ถ่ต้ด้ป้หำ้ดู้ร็ปู้ร้ถ้ด่ม้ทู้รู้ร
้ด่วำ้ช่ตำ้ข่ค็ป็ป้ห้ต็ป
้ทู่หู้ร้ด่ม้ถู้ร้ด้ถู้ร้ห็ป็ป็ป็ป่ม่ล่ม้หำ้ห้ว้ด็ป้ร่ม่พ้ช้ต็ป็ป้ล้ด่วัป้หำ้ด่ม็ป่ม็ป็ป็ป้ต
การท ความ จักตนเอง เ นฐานของการด เนินการพฒั นาตน ทกุ คนมักจะคดิ าตน
จกั ตนดซี งึ่ ไ ใ ความจรงิ เสมอไป เกณ หน่ึงของการประเมิน าเรา จักตนเองดีพอหรือไ
คือการมีพฤติกรรมท่แี สดงออกใน าน าง ๆ ไ อ าง เหมาะสมและพอดี อตั มโนทัศ หรอื
ภาพเก่ยี วกับตนเองนั้นมไิ มมี าแ แรกเกิด แ จะพัฒนามาทลี ะ อยโดย านการ ปฏสิ มั พนั
กบั บุคคลรอบ างโดยเริม่ ตงั้ แ ในวัยทารก วนการที่คนเราจะมองภาพตนเองในแบบใดนนั้ มี
ทฤษฎีอธบิ าย : เร่ืองน้ไี 2 ทฤษฎี วยกนั คอื
1. ทฤษฎกี ารประเมนิ เชงิ สะ อน
ทฤษฎนี ้อี ธบิ าย าภาพเกย่ี วกับตนเองเกดิ จากการประเมินของคนอนื่ เมื่อบคุ คลรับ า
คนอน่ื ประเมนิ ตน าน บวกจะ งผลใ เขา สกึ าไ รับการยอมรับ มี า ารักและมีความ
ส คัญ ค พูดที่ งถึงการประเมนิ านบวกก็เ น ค พูด ประเภทท่ี าสวย เ ง ดีหรืออนื่ ๆ ใน
ท นองเดียวกนั าบคุ คลรบั า อ่ืนประเมินตน านลบกจ็ ะท ใ เขา สึก อย สกึ าความ
นับถือตนเองถูกท ลายและ สกึ าคนไ มีคณุ า ครอบครัวเ นแห งแรกท่เี ราไ รับ อมลู
การประเมนิ ท้ังใน ทางบวกและในทางลบ โดยเราไ รบั อมูล านการปฏบิ ตั ิของ อแ หรอื
เลยี้ งดูท้งั ท่ตี ั้งใจและไ ต้ังใจ ทัง้ โดยภาษา อยค และกาษา าทาง การประเมินโดยบุคคลอืน่
นี้ าเ นบคุ คลส คัญในชีวติ จะยงิ่ มผี ลมากขนึ้ แ อ างไรก็ตามมีใ อมลู ทกุ อมูลและคน
ทุกคนท่ปี ระเมินจะมีผล อการส างภาพเกยี่ วกับตนเอง การทีจ่ ะน เอาส่ิงท่ปี ระเมนิ มาส าง
ภาพน้ันข้นึ อ กับเงอ่ื นไข อไปนี้
- บคุ คล ประเมนิ องเ นคนท่รี ับ า จกั เราดีพอ
- ประเมนิ องถูกรบั าประเมนิ ไ ตรง
- การประเมินจะ องสมเหตุสมผลและสอดค องกบั การประเมินตนเองของเรา
- การประเมินท่ีสอดค องกบั อมูล วนให ทม่ี ีอ จะท ใ เชอื่ มากก าการประเมนิ
ทต่ี รง ามกัน
้ข่ว้หำู่ย่ญ่ส้ข้ล
้ล้ต
้ด่วู้ร้ตู้ผ
ู้ร่วู้ร็ป้ตู้ผ
้ท
่ตู่ย้รำ้ร่ต้ข้ข่ช่ย่ตำ็ป้ถ่ทำ้ถ่มู้ผ่ม่พ่ผ้ข้ด้ข้ด่ล็ป่ค่ม่วู้รำ่วู้ร้ดู้ร้หำ้ดู้ผ่วู้ร้ถำ่ก่วำ่ช้ด่บำำ่น่ค้ด่วู้ร้ห่ส้ด่วู้ร่ว
้ด้ว่ส่ต้ข์ธ่ผ้น่ต่ต้ด์น่ย้ด่ต้ด่มู้ร่ว์ฑ่ช่มู้ร่วำ็ปู้รำ
2. ทฤษฎกี ารเปรียบเทียบทางสังคม
ทฤษฎนี ้จี ะบอกเรา าเราสามารถส างภาพเกี่ยวกับตนเองจากการเปรียบเทยี บ
กับคนอื่น ซ่ึงการเปรียบเทียบกับบุคคลอื่นนอกจากจะท ใ เราส างภาพเกี่ยวกับ
ตนเองขึน้ มาแ วยงั สามารถเปลยี่ นแปลงภาพของตนเองไ วย ก าวคือ ประการที่
หน่ึง ในการเลือกตัวแบบท่ีจะเปรียบเทียบ ส หรับวัย นมักจะมองหาตัวแบบทาง
สังคมโดยอาจเ นคนที่อ รอบ ๆ ตวั หรืออาจเ นคนดงั ในสังคม ประการท่สี อง เรมิ่
คิดเปล่ียนแปลงตนใ สอดค องกับมาตรฐานซ่ึงเห็นจากตัวแบบนั้น แ จะไปไ ไ
ถงึ ก็ตาม และประการทสี่ าม มีการใ อมลู จากตัวแบบมาโ เถียง หากใครกต็ ามไ
เห็น วยกับภาพเก่ียวกับ ตนเองของเรา หรือเราอาจสรุป าความเห็นของ ที่วิจาร
เราไ มีคุณ า ซ่ึงก็เ นการ องกันตนเองอีกแบบหนึ่งของบุคคล แ ไ าเก่ียวกับ
ตนเองของบุคคลจะพัฒนาขึ้นมาตามทฤษฎีใดก็ตาม สิ่งหนึ่งท่ีพบคือภาพนั้นจะไ
ตายตัว ตรงกัน ามจะ
เปลย่ี นไปตามวยั โดยมีความสัมพนั ในทางบวกกบั อายทุ ่เี พมิ่ ขน้ึ ท้งั น้ี
อาจเ นไปไ า เมอ่ื คนเราอายมุ ากขน้ึ โอกาสทเ่ี รา จะควบคุมชีวิตของ
ตนเองไ วยตนเองมีมากขน้ึ ดังนนั้ คนเราจึงเลือกท ในสง่ิ ท่สี าง
ความพึงพอใจใ กับตนเองไ มากก า ผลท่ตี ามมาคอื การเกดิ ความ
สกึ พงึ พอใจในตนเองจะมมี ากขน้ึ ตามวัย
ู้ร่ว้ด้ห้รำ้ด้ด่ว้ด็ป์ธ้ข่ม่ว่ม่ต้ป็ป่ค่ม์ณู้ผ่ว้ด่ม้ต้ข้ช่ม้ด้ม้ล้ห็ปู่ย็ปุ่รำ่ล้ด้ด้ล้ร้หำ้ร่ว
การเหน็ คุณ าตนเองหรือการนับถอื ตนเอง (Self Esteem)
มาสโลว (Maslow,1979: 45 างถงึ ใน ชยาพร ลป้ี ระเสรฐิ , 2536, 4) ไ ใ ความ
หมาย า การเหน็ คณุ าตนเองนัน้ เ นความ องการอ างหน่งึ ของมนุษ ทอ่ี ยากใ คนเ มแข็ง
ประสบความส เรจ็ มีความสามารถเพยี งพอในการกระท กิจกรรม าง ๆ วยเหลอื ตนเองไ มี
อิสรภาพ และมคี วามเชือ่ ม่นั ในการเผชิญกบั สงิ่ าง ๆ ในโลก การเห็นคุณ าในตนเอง ประกอบ
วยความมนั่ ใจในตนเองและการเคารพตนเอง ( Braden,1981) และการเหน็ คุณ าในตนเองนัน้
เ นส่งิ ไ คงท่ี ท้งั นีเ้ นเพราะ า ภาพทคี่ นเรามเี กีย่ วกับตนเองจะจ แนกออกไปไ เรอ่ื ย ๆ ตาม
วันเวลาท่ี านไปใน วงของพฒั นาการ เ น เราอาจส รวจพบ าความสามารถและทักษะใน าน
หนง่ึ ของราเพิ่มพนู ขนึ้ แ อกี านหนึง่ เราอาจไ มีหรือมีในระดับ ดังน้นั ความนบั สตนเองของ
บคุ คลจะแยกแยะไปตามภาพเกยี่ วกบั ตนเองใน าน าง ๆ ทเี่ รามีอ
การพฒั นาของการเห็นคณุ าตนเองอธิบายโดยอาศยั แนวคิด 3 แนวคิดไ ดงั น้ี (Lenny
and Gold 1982 Balbladelia, 1984 างถึงใน ชยาพร ล้ีประเสริฐ 2536, 23-24)
แนวคิดแรก
เ นแนวคิดของการประเมินเชิงสะ อน ซงึ่ คุณ าของตนเองจะไ มาโดย านการประเมิน
ของ อน่ื ท้ัง วย ภาษาพูดและภาษา าทาง
แนวคดิ ทส่ี อง
เ นแนวคิดของการเปรยี บเทยี บทางสงั คม ซึ่งเ นการน เอาตนเองไป เปรียบเทยี บกับ
บุคคลอืน่ และตาม แนวคดิ นอ้ี ธิบาย า การเปรียบเทยี บตนเองกับบุคคลทมี่ สี ถานภาพทางสงั คม
ก ามผี ลท ใ ระดบั การเห็นคุณ าในตนเอง ของบคุ คลเพมิ่ ขึน้ ในทางตรง ามหากเปรยี บเทยี บ
ตนเองกับบคุ คลทีม่ ีสถานภาพสงู ก าจะน ไป การลดคณุ าของตนเอง ลง ดงั น้ันจงึ พบเสมอ า
บุคคลมแี นวโ มจะลดคุณ าของคนอ่ืนเพ่อื เพมิ่ ระดบั คณุ าของตนเอง และการเปรยี บเทียบทาง
สังคมน้ีจะปรากฏใน หญงิ มากก า ชาย
แนวคดิ ทีส่ าม
เ นแนวคิดเรื่องการจ แนกหางสังคม แนวคดิ น้อี ธบิ าย า การจ แนกประเภทของ
บคุ คลในสังคมและคณุ าที่ สังคมใ กบั คนแ ละประเภทนั้น งผลกระทบ อการเหน็
คณุ าของตนในคนแ ละประเภท วย ตวั อ างเ น ชายมีการเหน็ คณุ าในตนสงู ก า
หญงิ ทั้งนี้เ นเพราะตามวฒั นธรรมและประเพณนี นั้ เพศชายไ ในการยอมรับและสังคมใ
คุณ า มากก าเพศหญิง
่ว่ค้ห้ด็ปู้ผ่ว่คู้ผ่ช่ย้ด่ต่ค่ต่ส่ต้ห่คำ่วำ็ป
ู้ผ่วู้ผ่ค่ค้น่ว่คู่สำ่ว้ข่ค้หำ่วำ่ต่วำ็ป็ป
่ท้ดู้ผ่ผ้ด่ค้ท็ป้อ้ด่ค
ู่ย่ต้ดำ่ต่ม้ด่ต้ด่วำ่ช่ช่ผ้ดำ่ว็ป่ม็ป่ค้ด่ค่ต้ด่ช่ตำำ้ข้ห์ย่ย้ต็ป่ค่ว้ห้ด้อ่ค
วนอง ประกอบท่ีมอี ิทธิพล อการเห็นคณุ าในตนเองน้ัน คเู ปอ สมธิ (Coopersmith, 1981
างถงึ ใน ชยาพร ล้ปี ระเสริฐ 2536,24) ไ แ งไ 2 ประการ คือ
1.อง ประกอบเฉพาะบคุ คล ไ แ
(1) ลกั ษณะทางกายภาพ เ นลกั ษณะท่มี ีผล อการเหน็ คณุ าในตนเองของบคุ คล
โดยตรง เ น ความสวยงามของ างกาย หรอื ลกั กษณะทางกายภาพทีเ่ อ้ือ อความ
ส เร็จในการท กจิ กรรม าง ๆ บุคคลท่ีมีลักษณะทางกายภาพที่ าพงึ พอใจ จะเหน็
คณุ าในตนเองสงู ก าบุคคลทีม่ ลี กั ษณะทางกายภาพทไี่ าพงึ พอใจ
(2) ศกั ยภาพ ความสามารถทั่วไป เ นตัวช้ีความถ่ีในการประสบความส เรจ็ ของ
บคุ คลในการกระท กิจกรรม างๆ
(3) ภาวะทางอารม เกิดจากการปฏิสัมพัน กับคนอน่ื แ วไ มีการประเมินตนเอง
จากความสัมพนั นนั้ หาก ประเมินไ ในทางบวก จะ งผลใ สกึ าตนเองมี
คณุ า แ หากประเมนิ ไ ในทางลบจะมอง าตนเองไ า
(4) ญหาสขุ ภาพกายและสุขภาพจิตรวมทั้งการมพี ฤตกิ รรมท ลาย ท่มี ี ญหา
ดงั ก าวมกั เห็นแ ตนเองและ แสดงออกในรูปของความวิตกกังวล
(5) านยิ ม วนบุคคล โดยทัว่ ไปคนเราจะใ คุณ า อส่ิง าง ๆ ไ เหมือนกนั แ
เมอ่ื ใ คณุ า อสิ่งใดแ วกม็ กั จะ เช่อื าสง่ิ น้ันเ นมาตรฐานที่ส คญั อ างไรกต็ าม
คนเรามีแนวโ มทจ่ี ะใ มาตรฐานทางสงั คมตดั สินคุณ าของคน วยเ นกนั หากไ
ประสบความส เรจ็ ตามคุณ าทีย่ ดึ ถือจะท ใ การประเมินคณุ าของตนเอง ลงไป
วย
(6) ความปรารถนา วนบคุ คล หากผลท่อี อกมาสค องกนั กับเกณ หรือสงู ก า
เกณ จะท ใ คน นน้ั เห็น า ตนเองมีคณุ า แ หากเ นไปในทางตรง ามทีจ่ ะมอง
าตนเอง มเหลวและตัดสนิ าตนเองไ คณุ า
่ค้ร่ว้ล่ว้ข็ป่ต่ค่วู้ผ้หำ์ฑ่ว์ฑ้ล่ส
้ดำ่ต่ค้หำ่คำ่ม่ช้ด่ค้ช้น่ยำ็ป่ว้ล่ต่ค้ห่ต่ม่ต่ต่ค้ห่ส่ค
่ค่ลัปู้ผำัป่ค้ร่ว้ด่ต่ค่วู้ร้ห่ส้ด์ธ้ด้ล์ธ์ณ
่ตำำ็ป
่น่ม่ว่ค่น่ตำำ่ต่ร่ช่ค่ต็ป
่ก้ด์ค
้ว่บ้ด้อ์ร่ค่ต์ค่ส
2.อง ประกอบภายนอกบุคคล หมายถงึ สภาพแวด อมทม่ี ีผล อการมอง
เห็นคณุ าของคน ไ แ
(1) ความสมั พัน กบั ครอบครัวและ อแ ประสบการ ที่บุคคลไ รบั จากครอบครัวมี
อิทธพิ ลส คัญ อการเ น คณุ าแ งตนของบคุ คลอ างลึกซ้ึง การเลย้ี งดูแบบรักและ
สนับสนนุ รวมไปถงึ การใ อิสระในการกระท สิง่ าง ๆ มผี ล อ ความสามารถในการ
พัฒนาคุณ าของคนขน้ึ มาไ ในตวั เรา
(2) โรงเรียน เ นสถาบันท่ใี เด็กพัฒนาคุณ าของตนเองสืบ อจากครอบครัว ดังน้นั
กจิ กรรมที่จดั ขึน้ ในโรงเรียน องเ นไปเพ่ือตอบสนองความ องการของเด็กในการ
พฒั นาความคิดและการตระหนกั ถงึ คณุ าของตนเอง โดยมคี รูรับ บทบาทส คญั
(3) สถานภาพทางสงั คม ไ แ อาชพี รายไ ต แห งงาน บทบาททางสังคม และ
สายตระกลู สามารถใ เ นตวั งช้ีถึงระดบั ของการเห็นคุณ าในตัวเองของแ ละ
บคุ คลไ
(4) สงั คมและก มเพอื่ น คนเราจะเหน็ าตนเองมคี ุณ าหรือไ เพียงไร วธิ หี นง่ึ ทจ่ี ะ
ทราบไ คอื การน เอาตวั เองไปเปรียบเทียบกบั ก มเพอ่ื น สิ่งทน่ี มาเปรียบเทียบกันนน้ั
ไ แ ทักษะ ความสามารถ ความถนดั ผลสัมฤทธิ์ เ น น หาก ลกั ษณะเห านี้สงู ก า
เพ่ือน ๆ จะ งผลใ บุคคลมองเหน็ คณุ าในตนสงู ตามไป วย
้ด่ค้ห่ส่ว่ล้ต็ป่ก้ดำุ่ลำ้ด่ม่ค่วุ่ล้ด่ต่ค่บ็ป้ช่นำ้ด่ก้ด
ำ่คู้ร้ต็ป้ต่ต่ค้ห็ป
้ด่ค่ต่ตำ้ห่ย่ห่ค็ป่ตำ้ด์ณ่ม่พ์ธ
่ก้ด่ค่ต้ล์ค
บุคคลสามารถมองเห็นคณุ าของตนเองไ ท้งั 2 ระดบั คือสูงและ การที่
บุคคลเห็นคุณ าของตนเอง าอ ใน ระดับใดนั้นอาจแสดงออกมาใ อื่นสังเกต
เห็นไ โดยภาษาพูดหรือภาษา าทาง จะโดย ตัวหรือไ ตัวก็ตาม ซึ่งอาจใ
แนวทางที่ ชยาพร ล้ีประเสรฐิ (256:23-29) ประมวลมาดังน้ี
ลกั ษณะของบุคคลที่มองเหน็ คุณ าตนเองในระดบั สงู
(1) เชอ่ื มน่ั และยอมรบั ตนเอง เห็น าตนเองมีความส คญั
(2) ก าแสดงความคิดของตน แ จะ า อนื่ ไ เหน็ วย
เน่ืองจากเชอื่ าความคิดของตนเองถูก อง
(3) ไ กลัวการส างสรร ส่ิงให ซง่ึ างไปจากเดมิ
(4) มคี วามเชื่อม่ันในการรับ ตัดสนิ และความเช่อื ของตนในการแ ญหา
(5) พดู และแสดงความคิดเหน็ เมือ่ อ ในก ม
(6) มคี วามเพยี รพยายามท่จี ะเอาชนะอุปสรรคและเผชญิ กบั ญหาทีซ่ บั อน
(7) กระตือรอื นท่ีจะ งไปยังจดุ งหมายทีว่ างไ แ
ขณะเดยี วกันกย็ อมรบั ความ มเหลวของตนเองไ
(8) ก าแสดงออกและยืดห นในการใ ชีวิต
้ชุ่ย้ล้ด้ล่ต้วุ่มุ่ม้ร
้ซัป
ุ่ลู่ย
ัป้กู้ร
่ต่ม์ค้ร่ม
้ต่ว้ด่มู้ผ่วู้ร้ม้ลำ่ว่ค
้ชู้ร่มู้ร่ท้ดู้ผ้หู่ย่ว่คำ่ต้ด่ค
ลกั ษณะของบคุ คลที่มองเห็นคณุ าตนเองในระดบั
(1) ไ เห็นความส คญั ของตนเอง คดิ าตน
ไ สามารถท ใ ใครชอบพอไ
(2) ไ คิด าตนเองจะท อะไรตามท่ี องการจริง ๆ ไ
หรอื ไ สามารถท อะไรไ ดแี าจะพยายามแ ว
(3) ยึดติดกับสิง่ ที่ นเคยและใ ความปลอดภัย
เนื่องจากไ เชอื่ าตนเองจะควบคุมวิถชี ีวิตของตวั ไ
(4) ไ ก าแสดงตนและไ ก าแสดงความโกรธ อน่ื
(5) หว่นั ไหว อค วพิ าก วิจาร ของ อ่ืน
(6) ไ ยอมรับความ มเหลวของตน
(7) มีอารม ตึงเครียดและวิตกกงั วลสูง
์ณ้ล่ม
ู้ผ์ณ์ษำ่ต
ู้ผ้ล่ม้ล่ม้ด่ว่ม้หุ้ค้ล่ว้ม้ดำ่ม้ด้ตำ่ว่ม้ด้หำ่ม่วำ่ม
ำ่ต่ค
จากงานวิจัย (Harris : 1990) พบ าคนท่ีไ เหน็ คณุ าของตนเองหรอื มรี ะดบั การ
นบั ถอื ตนเอง (Low Self-Esteem) จะมี ญหา านอารม มากก าคนที่เหน็ คณุ าของ
ตนเองมีการนบั ถอื ตนเองสงู (High Self-Esteem) การนบั ถือตนเองจะเกดิ ขึ้นไ ายเมื่อ
บุคคลเปรยี บเทียบตนเองกบั บุคคลอืน่ และบางครง้ั มยี ลทนี่ ับถือตนเอง จะแสดงจุดเ น
เฉพาะ บางอ าง เ น การแ งกาย การแสดงความคดิ เห็น การเ นกฬี าเพอื่ เ นการชดเชย
แ บุคคลเห าน้ไี สามารถลด ความ สึกพ องในการนบั ถือตนเองหรอื ความภาคภูมิใจใน
ตนเอง แ จะพยายามส างจดุ เ นใ ตนเองแ วกต็ าม ในทาง กลบั กนั บุคคลทีม่ กี ารนับถือ
ตนเองสูง (High Self-Esteem) จะสามารถมคี วามสุขและพงึ พอใจในชีวติ เพราะเขาจะมีแรง
จูงใจ ในการด เนนิ ชีวิตใ ประสบความส เรจ็ อันเ นผลมาจากความปรารถนาท่ีจะท ใ เ า
หมายในชีวติ หรอื การท งานบรรลผุ ล ไ ใ จากแรงจงู ใจที่จะชดเชยความ สึกทีต่ นเองไ มี
ความภาคภมู ใิ จในตนเอง
Carl Roger เชอ่ื าการพัฒนา Self-esteem สามารถพฒั นาไ
ต้งั แ วยั เดก็ การยอมรบั ของ อแ ปกครองเ นสิ่ง ส คัญ หาก อแ
ใ การยอมรับเด็กโดยปราศจากเง่ือนไขจะท ใ เด็กมีการนับถือตนเองสูง
หาก อแ ใ การยอมรับเด็ก แบบมีเงื่อนไขก็จะท ใ เด็กมีการนับถือ
ตนเอง .
ำ่ต้หำ้ห่ม่พ้หำ้ห่ม่พำ็ปู้ผ่ม่พ่ต้ด่ว
่มู้ร่ช่มำ้ป้หำ็ปำ้หำ้ล้ห่ด้ร้ม่รู้ร่ม่ล่ต็ป่ล่ต่ช่ย่ดำ่ต่ง้ด่ค่ว์ณ้ดัปำ่ต่ค่ม่ว
การนับถอื ตนเองกบั การท งาน
จจัยท่สี คัญท่ี งบอกถงึ ความส เรจ็ และความ มเหลวของบุคคลคอื
การนับถือตนเอง (Karen : i93) จาก การศกึ ษาพบ าคนท่ีมีการนับถอื ตนเองจะวิตก
กงั วล ซึมเศ า ไ มีเหตุผล าว าว และ สึกแปลกแยก ซงึ่ จะท ใ มี ญหาในการ
ปฏิบัติงาน ไ มีความสุขในการท งาน การนบั ถอื ตนเองทม่ี คี วามสัมพนั กับความพึง
พอใจในงาน และ สัมพัน กับการ างงาน วย คนท่มี ีระดับการนบั ถือตนเองสงู
(High Self-Esteem) จะเ ดรับประสบการ ให ๆ มกี ารปรบั ตัวไ เมื่อ องประสบ
ญหาเพราะไ กลัว าความคดิ หรือความสามารถของตนจะไ ไ รับการยอมรบั และ
พ อมท่ี จะรับ ง อมลู อนกลับ (Feedback) จากท่อี ืน่ และมคี วามพงึ พอใจในงาน
สูงและไ งานท มากก าคนทน่ี ับถอื ตนเอง
การรับ สมรรถนะแ งตนหรือการรับ ความสามารถของตนอง
(Self-Ef cacy)
Albert Bandura (1986) ใ ความจ กัดความ า การรับ สมรรถนะแ งตนหรอื การ
รบั ความสามารถของตนเอง (Perceived Self-Ef cacy) าเ นความเชอ่ื มัน่ หรอื การรับ หรือ
การท่ีบคุ คลตัดสนิ ใจเก่ยี วกบั ความสามารถของตนเองท่ีจะ กระท พฤติกรรมใดพฤตกิ รรมหนงึ่ และ
ด เนินการกระท พฤติกรรมใ บรรลเุ าหมายที่ก หนดไ Bandura มีความเช่อื า การรบั ความ
สามารถของตนเองนั้น มผี ล อการกระท ของบคุ คล บคุ คล 2 คนอาจมีความสามารถไ างกัน แ
อาจแสดงออกในคณุ ภาพที่แตก างกันไ าพบ าคน 2 คนนี้มีการรับ ความสามารถของตนเอง
แตก างกัน ในคนคนเดียวก็เ นกัน ารบั ความสามารถของตนเองในแ ละสถานการ แตก างกัน
กอ็ าจจะแสดงพฤติกรรมออกมาไ แตก างกัน เ นกนั Bandura เห็น าความสามารถของคนเราน้นั
ไ ตายตวั หากแ ยดื ห นตามสถานการ ดงั นัน้ สิง่ ท่ีจะก หนดประสทิ ธภิ าพของการแสดงออก จึง
ขึ้นอ กบั การรับ ความสามารถของตนเองในสภาวการ นนั้ ๆ น่ันเอง นัน่ คอื าเรามี ความเช่อื าเรา
มคี วามสามารถ เราก็จะแสดงออกถงึ ความสามารถนน้ั ออกมา คนทเี่ ช่ือ าตนเองมีความสามารถจะมี
ความ อดทน อุตสาหะ ไ อถอย าย และจะประสบความส เรจ็ ในทีส่ ุด
if
ำ่ง้ท่ม่ว่ว้ถ์ณู้รู่ยำ์ณุ่ย่ต่ม่ว่ช่ต้ด่ต์ณ่ตู้ร้ถ่ช่ตู้ร่ว้ถ้ด่ต่ต่ต่มำ่ตู้ร่ว้วำ้ป้หำำำู้ร็ป่วifู้ร่หู้ร่วำ้หู้ร่หู้ร
ำ่ต่วำ้ด้ย้ขัฟ้ร้ด่ม่ว่มัป้ต้ด่ม์ณิป้ด่ว์ธำ่ต์ธำ่มัป้หำู้ร้ร้ก่ม้ร่ว้ลำ่บำัปำ
การตดั สินใจในการกระท พฤตกิ รรมของบคุ คล เกดิ จากความเช่อื หรือ
ความคาดหวงั 2 ประการ คือ
1. การรับ สมรรถนะแ งตน (received self-ef cacy or ef cacy beliefs)
หมายถึงความเชื่อมัน่ หรือความมั่นใจ ของบคุ คล าตนมองมีความสามารถทจ่ี ะแสดง
พฤติกรรมใดพฤตกิ รรมหนึง่ ท่ี องการจนประสบผลส เรจ็ และไ ผลลพั ตามที่
องการ ซ่งึ เ นความคาดหวังทีเ่ กดิ ขน้ึ อนการกระท พฤติกรรม
2. ความคาดหวงั ในผลลพั (outcome expectancies) หมายถึงความเช่อื ทบ่ี ุคคล
ประเมนิ าพฤติกรรมท่ีตนเอง กระท น้นั จะน ไป ผลลัพ ตามท่ตี นเองคาดหวังไ ซ่งึ
เ นความคาดหวงั จากผลลพั ท่ีจะตามมาจากการกระท พฤตกิ รรม
การรับ สมรรถนะแ งตนและความคาดหวังในผลลัพ มคี วามสมั พัน กนั
และมีผล อการตัดสินใจในการกระท พฤติกรรมของบุคคลในรูปแบบที่แตก าง
กันคือ การทบ่ี ุคคลจะกระท พฤตกิ รรมใดพฤติกรรมหน่งึ หรอื ไ นัน้ อมข้ึนอ
กับความคาดหวังจากผลลัพ ของการกระท และความเช่ือม่ัน าตนเองมีความ
สามารถที่จะกระท พฤติกรรมนั้น ไ ส เร็จ โดยบุคคลที่มีการรับ สมรรถนะ
แ งตนสูงและมีความคาดหวังจากผลลัพ ของการกระท ที่จะเกิดข้ึนสูง
จะกระท พฤติกรรมนั้นไ อ างมีประสิทธิภาพ (productive engagement)
มคี วามปรารถนาท่ีจะกระท พฤตกิ รรมนัน้ ไ อ างมี ประสทิ ธภิ าพ (productive
engagement) มีความปรารถนาท่ีจะกระท พฤติกรรมน้นั (aspiration) และพงึ
พอใจ (personal satisfaction) อการกระท พฤตกิ รรมน้ันถงึ แ าผลลัพ ท่ี
คาดหวังอาจไ เ นไปตามที่ องการ บคุ คลนั้นยงั คงพยายาม และยืนยันท่ีจะท
พฤตกิ รรมนน้ั อไป
่ตำ้ต็ป่ม์ธ่ว้มำ่ตำ่ย้ดำ่ย้ดำำ์ธ่หู้รำ้ดำ่วำ์ธู่ย่ย่มำ่ตำ่ต์ธ์ธ่หู้ร
ำ์ธ็ป้ว์ธู่สำำ่ว์ธ
ำ่ก็ป้ต์ธ้ดำ้ต่วifif่หู้รำ
บุคคลทมี่ ีการรบั สมรรถนะแ งตนสงู แ มีความคาดหวังจากผลลพั
ของการกระท ทจ่ี ะเกดิ ข้ึน มแี นวโ มท่ีจะกระท พฤตกิ รรมน้ันแ อาจมี
การ อ านการปฏบิ ตั ิตาม (protest) มีความคบั องใจ (grievance) มีการ
เรยี ก องทางสังคม (social activism) และพยายามเปล่ยี นแปลงส่งิ
แวด อม (milieu change)
บคุ คลทมี่ ีการรบั สมรรถนะแ งตน แ มคี วามคาดหวังจากผลลพั
ของการกระท ทีจ่ ะเกดิ ขึน้ สงู มีแนวโ มท่จี ะกระท พฤตกิ รรมนัน้ หรอื อาจ
ไ กระท พฤตกิ รรมนั้นกไ็ เนื่องจากจะ สึก าตนเองไ มีความสามารถ
(self-devaluation) หมดหวัง และส้ินหวงั (despondency)
วนบุคคลทมี่ กี ารรับ สมรรถนะแ งตน และมคี วามคาด
หวงั จากผลลัพ ของการกระท ท่ีจะเกดิ ขึน้ มแี นวโ มทีจ่ ะ
ไ ท พฤตกิ รรมนั้นอ างแ นอน (resignation) และไ
สนใจทจี่ ะกระท พฤตกิ รรมนน้ั อีก อไป (apathy)
่ตำ่ม่น่ยำ่ม้นำ่ตำ์ธำ่ต่หู้ร่ส
่ม่วู้ร้ดำ่มำ้นำ์ธ่ตำ่ต่หู้ร
้ล้ร้ข้ต่ต่ตำ้นำ่ตำ์ธ่ต่หู้ร
ผลของการรับ สมรรถนะแ งตน
การรับ สมรรถนะแ งตนจะ งผล อพฤตกิ รรมของบคุ คล แบบแผนความคดิ และการ
ตอบสนองทางอารม ของแ ละบคุ คลในรปู แบบทแี่ ตก างกนั ดงั น้ี (Bandura, 1986)
1.พฤตกิ รรมการเลอื ก (choice behavior) ในการด เนนิ ชีวติ ประจ วัน บุคคลจะ องคิดตดั สนิ
ใจอ ตลอดเวลา า จะ องกระท พฤติกรรมใดและ องกระท อ าง อเน่ืองยาวนานเ าไร การ
เลอื กกระท พฤตกิ รรมใดในสถานการ ใด สถานการ หนึ่งนน้ั เ นผลมาจากการรบั สมรรถนะ
แ งตน โดยบุคคลจะเลือกท สง่ิ นั้น ๆ าเขาเชอ่ื าเขาสามารถทีจ่ ะท มนั ใ ส เร็จไ ในขณะ
เดียวกันบุคคลท่ีเชื่อ าเขามีความสามารถไ เพียงพอในการท สิ่งนั้น ก็มีแนวโ มท่ีจะเล่ียงการ
กระท สิ่งน้ันๆ บุคคลท่ีมีการรับ สมรรถนะแ งตนซ่ึงมักจะเลือกท พฤติกรรมหรือท งานท่ีมี
ลกั ษณะ าทาย มแี รงจงู ใจที่ จะพฒั นาความสามารถของตนใ สงู ยิง่ ข้ึน วนบุคคลทมี่ ีการรับ
สมรรถนะแ งตน มกั จะเลีย่ งงาน อถอย ขาดความ มน่ั ใจในตนเองซงึ่ เ นการพลาดโอกาสท่ี
จะพฒั นาตนเอง
2.การใ ความพยายามและการยืนหยัด (effort expenditure and persistence) สมรรถนะ
แ งตนทีบ่ คุ คลประเมนิ จะ เ นตัวก หนด าเขาจะ องใ ความพยายามมาเ าไห และจะ อง
อดทนเผชญิ กับอปุ สรรค างๆไ นานเ าใด บคุ คล การรับ สมรรถนะแ งตนสงู เ าใดก็จะมี
ความพยายามและอดทนในการท สิง่ างๆมากขนึ้ เ านน้ั และมักประสบ ความส เรจ็ ในส่ิงที่
าทายความสามารถ วนบุคคลทม่ี กี ารรับ สมรรถนะแ งตน มกั จะสงสัยในความสามารถ
ของ ตนเองเม่ือ องเผชิญกบั อุปสรรคหรือพบกนั งานทีม่ ี ายาก ท ใ ขาดความพยายามและ
เลิกกระท ไปในทส่ี ดุ
3.แบบแผนความคดิ และแสงอารม (thought patterns and emotion reaction)
การตัดสนิ ความสามารถของตนเองหรอื การรบั สมรรถนะแ งตนมีอทิ ธพิ ล อแบบแผนความ
คิดและปฏิกริ ิยาทางอารม ของบคุ คล ก าวคอื บคุ คลทีม่ ีการรบั สมรรถนะแ งตนสงู จะ
เอาใจใ และมคี วามพยายามในการกระท พฤติกรรม เมอ่ื พบ ญหาอปุ สรรคจะกระ นใ เขามี
ความพยายามมากขน้ึ ตรงกัน ามกับบคุ คลท่ีมีการรับ สมรรถนะแ งตน มักจะ สึก ามี
ความยากล บากในการเผชิญกับ ญหาเพราะเขาจะคาดการ าจะ อง มเหลวอันเน่อื งมาจาก
การขาดความสามารถของตนแ วกถ็ อยไ พยายามแ ญหา ท ใ เกิดความ สึกหมดหวงั อ
ใ เกิด ญหาทางอารม อื่น ๆ ตามมา เ นเครยี ด ซึมเศ า เ น น
้ต็ป้ร่ช์ณัป้ห่กู้ร้หำัป้ก่ม้ล้ล้ต่ว์ณัปำ่วู้รำ่ต่หู้ร้ข้หุ้ตัปำ่ส่หู้ร่ล์ณ่ต่หู้ร์ณำ้หำ่ท้ตำ่ต่หู้ร่ส้ทำ่ท่ตำ่ท่หู้ร่ท้ด่ต้ต่ร่ท้ช้ต่วำ็ป่ห้ช
็ป้ทำ่ต่หู้ร่ส้ห้ทำำ่หู้รำ้นำ่ม่ว้ดำ้หำ่ว้ถำ่หู้ร็ป์ณ์ณำ่ท่ต่ยำ้ตำ้ต่วู่ย้ตำำ
่ต่ต์ณ่ต่ส่หู้ร่หู้ร
ผลของการรบั สมรรถนะแ งตน ( อ)
4.มนษุ เ น ส างพฤติกรรมมากก าเ น ท นายพฤติกรรม (human as producers rather
than simply foretellers of behavior) บคุ คลทีม่ กี ารรบั สมรรถนะแ งตนสูง จะคดิ สึก
และกระท พฤติกรรมแตก างไปจากบคุ คลทม่ี ีการรับ สมรรถนะแ งตน โดยเขาจะสนใจและ
เลือก าสิ่งที่ าทาย หากยงั ไ บรรลเุ าหมายกจ็ ะพยายามมากยง่ิ ขน้ึ เม่อื เขาพบกับความ มเหลว
ก็จะน ความ มเหลวมาเ นตวั กระ นใ ประสบความส เรจ็ และกระท สงิ่ าง ๆโดยไ วิตกกงั วล
ตรงกนั ามกบั ท่ีมีการรับ สมรรถนะแ งตน ท่มี ักจะเอาความสามารถมาท นายพฤตกิ รรมใน
อนาคตตนคิด าตนท ไ ไ จึงไ พยายามทจี่ ะใ ความสามารถของคน หลกี เล่ยี งงานที่ยาก เมอ่ื
พบอปุ สรรคก็เลกิ มการกระท นั้น ท ใ มีความปรารถนา ความทะเยอทะยาน งผลใ เกิด
ความเครียดและความวติ กกังวลตามมา
การรับ สมรรถนะแ งตนจะมผี ล อการเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมและการเลือกกระท
กจิ กรรม าง ๆ ของบุคคล าบุคคลตดั สิน าตนมคี วามสามารถเขาก็จะพยายามกระท
พฤตกิ รรมน้นั อไป แ าเขามีความเชอื่ าตนเองไ มี ความสามารถท่ีจะหลกี เล่ยี งทจี่ ะ
กระท พฤติกรรมนนั้ นอกจากนี้การรับ สมรรถนะแ งตนยงั มีผล อการกระท กจิ กรรม
างๆ ของบุคคล คือบุคคลสองคนอาจมีความสามารอไ แตก างกันแ อาจแสดง
พฤตกิ รรม างกันไ าทัง้ สองคนมีการ รับ สมรรถนะแ งตนแตก างกัน หรือแ แ
บุคคลคนเดียวกันหากมีการรับ สมรรถนะแ งตนในแ ละสถานการ แตก างกันก็อาจ
แสดงพฤติกรรมออกมา างกนั ไ เ นกัน (Bandura, 1977) ทั้งนี้การรบั สมรรถนะแ ง
ตนไ ไ มีคล อ การแสดงพฤตกิ รรมของบุคคลโดยตรง แ จะ อง านกระบวนการทาง
ญญา อน และเม่ือเกดิ การเปลีย่ นแปลงทาง ญญา แ วจึงจะท ใ เกิดการเปลีย่ นแปลง
พฤตกิ รรมตามมา (สมโภช เอยี่ มสุภาษติ , 2543)
์น้หำ้ลัป่กัป่ผ้ต่ต่ต้ด่ม่หู้ร่ช้ด่ต่ต์ณ่ต่หู้ร่ต้ม่ต่หู้ร้ถ้ด่ต่ต่ต่ม่ตำ่ต่หู้รำ่ม่ว้ถ่ต่ตำ่ว้ถ่ตำ่ต่หู้ร
้ห่สำ่ต้หำำ้ล้ช่ม้ด่มำ่วำำ่ต่หู้รู้ผ้ข่ม่ตำำ้หุ้ต็ป้ลำ้ล้ป่ม้ท่วำ่ต่หู้ร่ตำู้ร่หู้รำู้ผ็ป่ว้รู้ผ็ป์ย่ต่หู้ร
การพฒั นาการรบั สมรรถนะแ งตน
ในการพฒั นาการรบั ความสามารถของตนเองนั้น
Bandura เสนอ ามอี วยกนั 4 วธิ ี คือ
1. ประสบการ ความส เรจ็ ของตนเอง
เ นวธิ ีการทมี่ ีประสิทธิภาพมากทสี่ ุดในการพัฒนาการรบั ความสามารถของตนเอง
เนอ่ื งจากเ นประสบการ โดยตรง การประสบความส เร็จท ใ เพิ่ม ความสามารถของ
ตนเอง บุคคลจะเชือ่ าเราสามารถท่ีจะท ไ การกระท กจิ กรรมจนเกดิ ความส เร็จ จะ วย
งผลใ บุคคลมีการรบั ความสามารถของตนเองสูง โดยเชื่อ า าหากใ กระท กจิ กรรม
น้ันอีกหรอื กระท กจิ กรรมท่มี ลี ักษณะค ายคลึงกัน จะสามารถกระท กจิ กรรมนั้นไ ส เร็จ
อีก ความส เรจ็ หลาย ๆ ครัง้ ทไี่ รับจะ วยส างระดับพลังความเชือ่ ท่ีแรงก าในการรับ
ความสามารถของตนเอง แ ความ มเหลว แ ว เ ากจ็ ะบ่นั ทอนความเช่อื ในการรับ
ความสามารถของตนเองลง วยเ นกัน โดยเฉพาะอ างยง่ิ าความ มเหลวนั้นเกดิ ขนึ้ อนที่
ความเชื่อมั่นในความสามารถ ของตนเองจะถกู ส างขึ้น าหากบคุ คลใดไ ส างความเชอ่ื มั่น
ในความสามารถของตนเองข้นึ มาแ ว กม็ ักจะมคี วาม พยายามในการท กิจกรรมท่ีก หนด
และถึงแ จะ องเผชญิ กับอุปสรรค าง ๆ ไ อ อ าย ๆ ประสบการ ของการใ รับ ความ
ส เร็จมา อนจงึ เ นแห งท่มี าทสี่ คญั และมอี ทิ ธพิ ลมากที่สุดในการส างการรับ ความ
สามารถของตนเอง (Perceived self-ef ciency)
ำ์ณ
ifู้ร้รำ่ล็ป่กำ้ห์ณ่ง้ท่ย่ม่ต้ต้มำำ้ล้ร้ด้ถ้ร่ก้ล่ว่ย่ช้ดู้ร่ลำ้ซ้ลำ้ซ้ล่ตู้ร้ล้ร่ช้ดำำ้ซำ้ดำ้ลำำ้ห้ถ่วู้ร้ห่ส่ชำำ้ดำ่ว้หำำ์ณ็ปู้ร็ป
้ดู่ย่วู้ร่หู้ร
2.การใ “ตัวแบบ” (Model) หรอื การใ ประสบการ จาก อืน่ (Vicarious experience)
การสงั เกตประสบการ จากตวั แบบท่ปี ระสบความส เร็จหรอื ความ มเหลวจากการ
กระท ในเรื่องใดเร่อื งหนึ่ง อมมผี ล อการรบั ความสามารถ ของ สงั เกตในเรื่องนน้ั ๆ วย
โดยเฉพาะอ างยิ่ง าตัวแบบน้ันมีลักษณะหรืออ ในสถานการ ที่ค ายคลึงกับ สังเกตมาก
เ าไร ก็ยิง่ มีอทิ ธิพลมากขน้ึ การท่ีไ สงั เกตตวั แบบแสดงพฤติกรรมทีม่ คี วามซับ อนและ
ไ รับผลลัพ ท่ีพึงพอใจ ก็จะท ใ สังเกต สึก าเขาก็สามารถท่ีจะประสบความส เร็จไ
าเขาพยายามจรงิ และไ อ อ Bandura จงึ มคี วามเช่ือ าคนเรา วนให นัน้ จะ อง าน
การเรียน โดยการสังเกตพฤติกรรมจาก อื่นมาแทบทั้งสิ้น ประเภทของตัวแบบแ งเ น
2 ประเภทดงั นี้ (Bandura, 1977) คอื
ประเภทที่ 1
ตวั แบบทเ่ี นบคุ คลจรงิ ๆ (Live Modeling) คือตัวแบบที่
บุคคลไ มีโอกาสสงั เกตและมปี ฏิสมั พัน โดยตรง
ประเภทท่ี 2
ตวั แบบทีเ่ นสญั ลักษ (Symbolic modeling) คือตวั แบบท่ีเสนอ านสอ่ื างๆ เ น
วิทยุ โทรทัศ กา ตนู หนงั สอื ภาพพลิก (สมโภช เอ่ียมสุภาษติ , 2541)ตัวแบบที่
ท ใ บคุ คลมีการสังเกตน้ันจะ องมีลักษณะเ นชดั ท ใ สงั เกตเกดิ ความพึงพอใจ
พฤตกิ รรมทีแ่ สดงออกไ ซับ อน มีความเ นไปไ ดงึ ดดู ใจใ ปฏิบตั ติ ามและมี
คุณ าในการ ใ ประโยช (Bandura, 1997)
ู้ผ์ณ้ช้ช
์น้ช่ค้ห้ด็ป้ซ่มู้ผ้หำ่ด้ต้หำ์น์ร์น่ช่ต่ผ์ณ็ป
์ธ้ด็ป
็ป่บู้ผู้ร่ผ้ต่ญ่ส่ว้ท่ย่ม้ถ้ดำ่วู้รู้ผ้หำ์ธ้ด้ซ้ด่ทู้ผ้ล์ณู่ย้ถ่ย้ดู้ผู้ร่ต่ยำ้ลำ์ณ
3.การพูดชักจูง (Verbal persuasion)
หมายถงึ การ ทอ่ี ่ืนซึ่งมีความส คญั มอี ิทธิพลในการโ ม าวจติ ใจหรอื เ น ทเี่ คารพนบั ถือ
ของบคุ คลนน้ั (Signi cant persuasion) ไ แสดงออกโดยค พดู าบุคคลนั้นมคี วามสามารถ
ท่จี ะกระท กิจกรรมทก่ี หนดไ โดยการพดู ชักจงู ใ เช่ือในความสามารถของเ าตวั อมท ใ
บุคคลเลิกสงสัยในตัวเอง (Self-doubts) เกิดก ลงั ใจและมคี วามพยายามมากขึน้ ทจ่ี ะกระท
การนัน้ ๆ ใ ส เรจ็ ซงึ่ จะ งผลดี อการพัฒนาการรบั ความสามารถของ บคุ คล นั้น
4.การกระ นเ าทางอารม (Emotional arousal)
ในการตัดสินความสามารถของตนเองของบคุ คล วนหนงึ่ อาศัยอาการแสดงทางกายและ
สภาพอารม ที่ถูกกระ น เมื่อเผชิญกับภาวะเหน่ือย าหรือตึงเครียดหรือสถานการ ท่ี
คุกคาม ภาวะเห าน้ีจะมีผล อความ สึกในทางลบ เ น เกิดความกลัว ความวิตกกังวล
ท ใ การรับ ความสามารถูของ ตนเองลดลง ซ่ึงโดยท่ัวไปคนเรามักจะ อถอยและคิดถึง
ความ มเหลวมากก าจะคาดหวงั ถงึ ความส เร็จเมื่ออ ในภาวะน้ี เพราะคนเรามกั จะตีความหมาย
ของปฏิกิริยาความเครียด าเ นผลมาจากการไ มีความสามารถดีพอและจะน ไป การรับ
ความสามารถของตนเอง ลง าอารม ลกั ษณะดงั ก าวเกดิ มากข้ึนจะท ใ บุคคลไ สามารถ
ที่จะแสดงออกไ ดี อันจะ น ไป ประสบการ ของความ มเหลว าบคุ คลสามารถลด หรือ
ระงับการถูกกระ นทางอารม ไ จะท ใ การรบั ความสามารถของตนดขี นึ้ อนั จะท ใ การ
แสดงออกถึงความสามารถดีข้นึ วย อนง่ึ สภาพ างกายของบคุ คลที่มีผล อการ รบั สมรรถนะ
แ งตนก าวคือ ในสภาวะท่ี างกายแข็งแรงมภี าวะสขุ ภาพท่ีดบี ุคคลจะมกี ารรบั สมรรถนะแ ง
ตนสูง ตรงกัน ามกับในสภาวะท่ี างกายมีความเสี่ยง อความผิดปกติหรือเจ็บ วย
เจ็บปวด เหน่อื ย า ภาวะทไี่ สขุ สบาย จะ งผลใ บคุ คลมีการรับ สมรรถนะแ งตนลดลง
์ณ้รุ้ต
่หู้ร้ห่ส่ม้ล่ป่ต่ร้ข่หู้ร่ร่ล่หู้ร่ต่ร้ด้หำู้ร้หำ้ด์ณุ้ต้ถ้ล์ณู่สำ้ด่ม้หำ่ล์ณ้ถำ่ตู้รู่สำ่ม็ป่วู่ยำ่ว้ล้ทู้ร้หำ่ชู้ร่ต่ล์ณ้ลุ้ต์ณ่ส
ู้ผู้ร่ต่สำ้หำำ้หำ่ย้จ้ห้ดำำ่วำ้ดif็ป้น้นำู้ผ
การก กบั ตน (Self-Regulation)
การก กบั ตน เ นเทคนิคการพัฒนาตนอกี วธิ หี นง่ึ เ นการก กบั พฤตกิ รรมของ
ตน การก กับตนประกอบ วย มาตรฐานของพฤตกิ รรม ความ สึก อพฤตกิ รรม และ
การเปรียบเทยี บระห างพฤติกรรม 2 อ าง และเมื่อใดมีความ สกึ า พฤตกิ รรมน้นั ไ
เหมาะสม การปรบั พฤติกรรมโดยวธิ ีการก กบั ตนหรอื วิธอี นื่ ก็จะเกดิ ขน้ึ
กระบวนการก กบั ตนมีขั้นตอนดังน้ี
ขนั้ ที่ 1 จบั ตาตน (Self-monitoring Stage)
เ นขนั้ ท่ีสนใจตนเองอ างจรงิ จัง มกี ารก หนดกฎเกณ เพอ่ื การปฏบิ ัติหรอื ก หนดมาตรฐาน
ข้ึนเ นกฎเกณ หรือมาตรฐานที่บุคคลใ ตัดสินพฤติกรรมของคนกฎเกณ ทไ่ี รับอิทธิพลจาก
านิยมทางสังคมและประสบการ วนบุคคล
ขัน้ ท่ี 2 ขั้นประเมนิ ตน (Self-evaluation Stage)
เ นขน้ั ทม่ี กี ารเปรยี บเทยี บระห างสารสนเทศทีไ่ จาก การจบั ตาตนกับมาตรฐานของ
พฤตกิ รรมของบุคคลการประเมินคนทเ่ี กดิ จากการจบั ตาตนไ เพียงพอหรือเ นมาตรฐานท่ี
เ นไปไ ไ จะมผี ลกระทบ อการก กับตนคือจะเ นการก กับคนท่ไี มีประสทิ ธิภาพ
ขนั้ ที่ 3 ขน้ั เสรมิ แรงคน (Self-reinforcement Stage)
เ นขน้ั ทบ่ี ุคคลมปี ฏิกิริยา อสารสนเทศที่ไ มาจากกระบวนการประเมินตนเ นขนั้ ทีเ่ กีย่ ว
กับการจูงใจคอื พฤติกรรมเ าหมายสอดค องกบั มาตรฐานบคุ คลจะพอใจใ เกิด แรงจูงใจใ
เปลีย่ น แ าพฤตกิ รรมนั้น ก ามาตรฐานจะท ใ บคุ คลพยายามทีจ่ ะเปลี่ยนพฤตกิ รรมให
เพื่อใ สอดค อง ตามเกณ หรือมาตรฐานเมอ่ื ใดบคุ คลเปล่ยี นพฤตกิ รรมไ สอดค องกบั
มาตรฐานจะ องมกี ารเสริมแรง
กระบวนการก กบั ตน จะเกิดข้ึน ๆ จนก าจะไ มาตรฐาน
เกดิ เ นทกั ษะ เกิดเ นนสิ ัยหรอื จนก าจะยอมแ อันแสดงถึง
การไ สามารถก กับตนไ
้ดำ่ม้พ่ว็ป็ป้ด่วำ้ซำ
้ต้ล้ด์ฑ้ล้ห่ม้หำ่วำ่ต้ถ่ต้ห้ห้ล้ป็ป้ด่ต็ป
่มำ็ปำ่ต้ด่ม็ป็ป่ม้ด่ว็ป
่ส์ณ่ค้ด์ฑ้ช์ฑ็ปำ์ฑำ่ย็ปำ
ำ่ม่วู้ร่ย่ว่ตู้ร้ดำำ็ป็ปำ
ำ
การควบคมุ ตน (Self-Control)
การควบคุมตน เ นเทคนิควธิ กี ารพัฒนาตนอ างหนง่ึ เ นการควบคุมภายใน ส หรับการควบคมุ ตน
มี ใ ความหมายไ า หมายถงึ พฤติกรรมทีบ่ คุ คลกระท เพื่อใ ไ สง่ิ ทต่ี น องการ โดยสิง่ น้นั เ นสิง่ ที่
ตนเองพจิ ารณาตัดสนิ ใจ เลือก วยตนเอง หรอื การควบคมุ ตน คอื กระบวนการท่ีบคุ คล ใ วธิ ีการหนึง่ วธิ ี
การโตหรือหลายวิธีรวมกัน เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเอง จากพฤติกรรมที่ไ พึงประสง ไป
พฤตกิ รรมทีพ่ ึงประสง โดยท่บี ุคคลนน้ั เ น ก หนดพฤติกรรมเ าหมาย และกระบวนการทนี่ ไป เ า
หมายนนั้ วยตนเอง การควบคมุ ตนเองเ นทักษะที่เกดิ จากการ เรียน
1.ข้นั ตอนการพฒั นาตนโดยวธิ กี ารควบคุมตนเองมีข้นั ตอนในการพฒั นาตนดังน้ี
(1) ก หนดพฤติกรรมเ าหมาย วย (2) สังเกตและบันทกึ พฤติกรรมของคน
ตนเอง เร่ิม น วยบุคคลจะ องก หนด การสงั เกตและบันทึกพฤตกิ รรมจะ อง
กระท วยตนเอง และบนั ทึกเ นระยะ ๆ
พฤติกรรมเ าหมายที่ องการ
เปลี่ยนแปลงแ ไข วยตนเองใ ชดั เจน
(3) ก หนดเงือ่ นไขการเสรมิ แรงหรอื การลงโทษตนเอง เ นการก หนดเง่ือนไขใน
การทีจ่ ะไ รับการ เสริมแรงหรอื การลงโทษหลังจากที่ไ ท พฤติกรรมเ าหมายการ
ก หนดเงื่อนไขของการเสริมแรงหรอื การลงโทษนคี้ วร กระ า วยตนเองเพราะ
สอดค องกบั ความ องการของตนอันจะน ไป เ าหมายไ อ างมีประสิทธผิ ล
(4) เลือกเทคนคิ วยตนเอง การเลอื ก (5) ใ เทคนคิ การควบคุมตนเองตามวธิ ี
เทคนคิ วยตนเองจะ วยใ สามารถ การและข้นั ตอนของเทคนิคทีน่ มาใ
เลอื กเทคนิคเพอื่ ควบคุม พฤตกิ รรม
ไ เหมาะสมกับตน
(6) ประเมินตนเองเพื่อดกู ารเปล่ียนแปลง
พฤตกิ รรมเ าหมาย าเปลยี่ นแปลงตาม
เง่ือนไขและ อก หนดหรือไ
(7) เสริมแรงหรอื การลงโทษตนเอง หลังจากประเมนิ พฤตกิ รรมเ าหมายแ วการจะ
ไ รับการเสริมแรง หรอื ลงโทษนน้ั ขึน้ อ กับการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมเ าหมาย า
เ นไปตามเกณ ที่ต้ังไ หรือไ าเ นไปตามเกณ ทตี่ ง้ั ไ ก็เสริมแรง วยการใ
รางวัลแ าไ เ นไปตามเกณ ท่ีควรมีการลงโทษเ นกัน
่ช์ฑ็ป่ม้ถ่ต้ห้ด้ว์ฑ็ป้ถ่ม้ว์ฑ็ป่ว้ปู่ย้ด้ล้ป
่มำ้ข่ว้ป
้ชำ้ช้ด้ห่ช้ด้ด
่ย้ด้ปู่สำ้ต้ล้ด้ทำ้ปำ้ด้ดำ็ปำ็ป้ดำ้ต
้ห้ด้ก้ต้ปำ้ต้ด้ต้ด้ปำ
ู้ร็ป้ด้ปู่สำ้ปำู้ผ็ป์คู่ส์ค่ม้ช้ด็ป้ต้ด้หำ่ว้ว้หู้ผำ็ป่ย็ป
2.การด เนินการเพ่อื การควบคุมตน เพือ่ ใ การควบคุมตนบรรลุเ าหมาย
และเกดิ ประสิทธผิ ล การด เนินการเพอ่ื การควบคมุ ตนมีวิธดี เนินการดงั น้ี
(1) ก หนดเ าหมาย (Set a goal) การควบคมุ ตนจะส เร็จไ วยดีจะ องเรมิ่ วยการ
ก หนดเ าหมาย ส หรบั ตน เ าหมายปกติจะก หนดเ นพฤตกิ รรมเ า (target behavior)
(2) ระบุพฤตกิ รรมเ าหมาย (De ning our target behavior) การควบคมุ ตนมคี วาม
จ เ นอ างมากท่ี จะ องก หนดพฤติกรรมเ าหมายในรูปของเ าหมายเชิงพฤติกรรม
เ น “เลิกบุหรี”่ ในการก หนดพฤตกิ รรมเ าหมายควรมี ลักษณะเ นบวก า องการจะ
ลด หนกั ลง าเขยี น า “เพอื่ ไ ใ วน"ซ่ึงมลี กั ษณะเ นสบแ ควรเขยี น า "เพื่อใ
ผอม ลง” ซึ่งมลี ักษณะเ นบวก คอื เ นส่ิงท่ี าน องการจะเ นไ ใ สิง่ ที่ านเ นอ
(3) เลอื กเ าหมายที่บรรลุไ (Selecting and attainable goal) พฤตกิ รรมเ าหมายจะ
องบรรลุไ ความ ผิดพลาดของการปรับปรุงตนเองใ ดขี ้ึนก็คือการเลอื กเ าหมายทเ่ี น
ไปไ ไ หรือสูงเกินไป
4) บนั ทึกพฤติกรรม (Recording your behavior) ครงั้ แรกทีก่ หนดเ าหมายจ เ นจะ อง
สังเกต พฤติกรรมใน จจุบันเพ่ือใ เ นฐานในการประเมินความ าวห าและเพ่ือการเปรียบ
เทียบ อไปวิธีการบันทึกใ ใ วิธีการ ที่ปฏิบัติไ ไ ยากและสามารถเคลื่อนที่ไ
(Portable) ปกติควรบนั ทกึ อ าง อยสัปดา ละครั้งแ ไ ควรนานก า 34 สัปดา อคร้ัง
(5) การท สัญญากบั ตน (Marking a self-contract) เพ่อื ใ ไ อตกลงกับตวั เองท่ีชดั เจน
เก่ียวกบั สง่ิ ที่ จะ องท ใ เสร็จ วิธที ด่ี ีทีส่ ุด คือการท สัญญากบั ตนเอง สญั ญาดังก าวจะ
องเขียนเ นลายลกั ษ อกั ษร ชดั เจน ยตุ ิธรรม และมี อความในเชงิ บวก
(6) การเสรมิ แรงตน (Self-reinforcing) ในอดุ มคติการเสรมิ แรงทดี่ ีทสี่ ดุ ก็คอื การเสริมแรง
ทันทที ีม่ ี พฤตกิ รรมตามเ าหมาย
้ป
้ข์ณ็ป้ต่ลำ้หำ้ต้ข้ด้หำ
่ต์ห่ว่ม่ต์ห้น่ย้ด่ม้ด้ช้ห่ต้น้ก็ป้ชัป้ต็ปำ้ปำ
้ด่ม็ป้ป้ห้ด้ต้ป้ด้ป
ู่ย็ป่ท่ช่ม็ป้ต่ท็ป็ป้ห่ว่ต็ป้อ้ห่ม่ว้ถำ้น้ต้ถ็ป้ปำ่ช้ป้ปำ้ต่ย็ปำif้ป
้ป็ปำ้ปำ้ปำ้ด้ต้ด้ดำ้ปำำำ้ป้หำ
นอกจากนแ้ี บนดูรา (Bandura, 1986) ยงั ก าวถงึ จจัยทม่ี อี ิทธิพล อ
กระบวนการก กับตนเองซ่ึงมี 6 จจยั ดงั นี้
1. ประโยช วนตวั (personal bene ts)
เมื่อบุคคลกระท พฤตกิ รรมก กับตนเองแ ว ไ รับประโยช โดยตรง อ ตนเอง
เขาจะยดึ มัน่ อการก กบั ตนเอง งผลใ การก กบั ตนเองคงอ อไป
2. การเสริมแรงทางสังคม (social reinforcement)
เม่ือบคุ คลมีพฤตตกิ รรมก กับตนเองแ วไ รับการยก อง ชมเชย สรรเสรญิ ใ
เกียรติ ใ การยอมรับหรือไ รับการเสริมแรงจากบุคคลในสงั คม การเสรมิ แรงทาง
สังคมเห านี้จะ วยใ การ ก กบั ตนเองคงอ อไป
3.การสนบั สนุนจากตวั แบบ (modeling supports)
บคุ คลท่มี ีมาตรฐานในการก กับตนเอง เ น การพดู จาไพเราะ หากไ อ ในสิง่
แวด อมท่บี คุ คลอื่น ๆ รอบ างมีการพูดยาไพเราะ บุคคลทีพ่ ดู จาไพเราะ
เห านจ้ี ะมี วน วยในการเ นตวั แบบทจี่ ะสนับสนุนซึง่ กนั และกนั
4. ปฏกิ ริ ิยาทางลบจากบุคคลอืน่ (negative sanctions)
บคุ คลที่มีการพัฒนามาตรฐานในการก กับตนเองขน้ึ มาแ ว ภายหลงั มีการใ รางวัลกบั
ตนเอง อพฤตกิ รรมที่ ก ามาตรฐานจะท ใ บคุ คลในสังคมแสดงปฏกิ ริ ิยาทางลบ อ
ตัวเขา ซง่ึ ปฏกิ ิริยาทางลบเห านีจ้ ะ งผลใ บุคคล อนกลบั ไปใ มาตรฐานน้ันอกี
5. การสนับสนนุ จากสภาพแวด อม (contextual supports)
บคุ คลที่อ ในสง่ิ แวด อมทีเ่ คย งเสริมใ ตนมกี ารก กับ ตนเอง วย
มาตรฐานในระดบั หนง่ึ อมมโี อกาสท่จี ะก กบั คนเอง วยมาตรฐานน้นั อีและมี
แนวโ มทีจ่ ะหลีกเล่ียงสถานการ ท่ีมีอทิ ธพิ ลใ ตนเอง องลดมาตรฐานลง
ไป
6. การลงโทษตนเอง (self-in icted punishment)
การลงโทษตนเองจะเ นแนวทางในการ วยลดความไ สนใจ จากการกระท ผิด
มาตรฐานทต่ี นไ ก หนดไ และในบางครงั้ กเ็ นการลดปฏิกริ ยิ าทางลบจากบคุ คล
อื่นแทนที่จะถกู บุคคล เห านน้ั ลงโทษโดยตรง บคุ คล วนมากมกั จะ สกึ พงึ พอใจ
กับการลงโทษตนเองมากก าการถกู ลงโทษจากบุคคลอ่ืน และ ในบางครั้งการ
ลงโทษตนเองก็เ นการกระท ทไ่ี รับการชมเชยจาก อน่ื
lf้ลif่ส์น
ู้ผ้ดำ็ป่วู้ร่ส่ล็ป้วำ้ดำ่ม่ช็ป
้ต้ห์ณ้น้ดำ่ย้ดำ้ห่ส้ลู่ย
้ช้ย้ห่ส่ล่ต้หำ่วำ่ต่ต้ห้ลำ็ป่ช่ส่ล้ข้ลู่ย้ด่ชำ
่ตู่ยำ้ห่ช่ล้ด้ห้ห่ย้ด้ลำ
่ตู่ยำ้ห่สำ่ต่ต์น้ด้ลำำัปำ่ตัป่ล
อดีของการปรับพฤตกิ รรม วยการก กับตนเอง
(Bandura, 1986) มีดงั นี้
1. เ นวธิ ที สี่ ะดวกและไ ส้ินเปลอื ง าใ าย
2. การก กับตนเองท ใ บุคคลสามารถคงไ ซ่ึงมาตรฐานใน
การแสดงพฤติกรรมของตนเอง อใ เกิดการ เปล่ยี นแปลง
พฤติกรรมท่ียาวนานก าการใ วธิ ีการควบคุมจากภายนอก
3. ท่สี ามารถก กบั ตนเองไ นน้ั จะสามารถอดทน อสิง่ ย่วั ยวน
จากภายนอกไ และสามารถน ไปใ กบั พฤตกิ รรมอื่นไ าย
4. ในการก กบั ตนเองนน้ั บคุ คลสามารถติดตามและก กับพฤตกิ รรม
ตนเองไ ตลอดเวลาไ าจะอ ในส่ิงแวด อม ใด และบุคคลยัง
สามารถแสดงปฏิกริ ิยา อตนเองไ อ างทนั วงที ทง้ั ทางบวกหรอื
ทางลบโดยการเสรมิ แรงตนเอง
่ท่ย้ด่ต้ลู่ย่ว่ม้ดำำ
่ง้ด้ชำ้ด่ต้ดำู้ผ
้ช่ว้ห่ก้ว้หำำ่จ้ช่ค่ม็ป
ำ้ด้ข