The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วรรณสาร วิลาสวัฒนธรรมถิ่นใต้ ฉบับที่ ๖๑ ประจำเดือนกันยายน - ธันวาคม ๒๕๖๒

สาขาวิชาภาษาไทย
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by D_mat Name, 2020-11-07 23:53:27

วรรณสาร วิลาสวัฒนธรรมถิ่นใต้ ฉบับที่ ๖๑

วรรณสาร วิลาสวัฒนธรรมถิ่นใต้ ฉบับที่ ๖๑ ประจำเดือนกันยายน - ธันวาคม ๒๕๖๒

สาขาวิชาภาษาไทย
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต

ด้วย โดยที่ประติมากรรมเสือเขียวดาบ ตังอยู่ที่ถนนมหาราช อ้าเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ติดกับถนนหลวงพ่อ
ทางเขา้ ตลาดสดมหาราช ซึ่งเป็นตลาดทช่ี าวกระบนี่ ยิ มมาจับจ่ายใช้สอยกันในยามเชา้

๓. ประตมิ ากรรมสญั ญาณไฟจราจรนกอินทรี

ประติมากรรมสัญญาณไฟจราจรนกอินทรี เป็น
อีกหน่ึงประติมากรรมท่ีเด่นและสง่างาม โดยที่มีประวัติ
ความเป็นมาคือ นกอินทรีซ่ึงเป็นนกประจ้าถ่ินอาศัยอยู่
บริเวณยอดเขาขนาบน้า อ้าเภอเมือง จังหวัดกระบ่ี
สามารถพบเห็นได้ง่าย โดยนกอินทรีมักจะบินออกจากรัง
ร่อนจับปลาในแม่น้ากระบี่และบ่อปรับปรุงคุณภาพน้า
ของเทศบาล มีล้าตัวยาวประมาณ ๖๕-๗๐ เซนติเมตร
ตอนอายุยังน้อยขนสีน้าตาลเม่ืออายุได้ ๓ ปี จะโตเต็มที่
ขนบริเวณ หัว อก ท้อง และปลายหางจะมีสีขาว ด้านบน
เป็นสี น้าตาลเทา หางและปีกเป็นสีเทาเข้ม ลักษณะนิสัย
ชอบท้ารังอยูต่ ามชายฝั่งทะเลและแมน่ ้าใหญ่ ๆ รกั สงบ
อยู่เป็นคู่ มีลักษณะพิเศษ คือ บินสูง มองไกล และสามารถจับเหยื่อได้อย่างแม่นย้า เมื่อถึงฤดูผสมพันธ์ุจะบิน
ร่อนบริเวณรงั ท่ีอาศัย ส่งเสียงร้องดังมาก ออกไข่ครังละ ๒-๓ ฟอง ใช้เวลาฟักไข่นานประมาณ ๕๑ วัน อาหาร
จะเป็นพวกปลา งูทะเลและนกตัวเล็ก ความน่าสนใจของนกประจ้าถ่ินดังกล่าว ท้าให้เทศบาลเมืองกระบี่สร้าง
ประติมากรรมนกอินทรี หรือนกออกขึนมา เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันอนุรักษ์นกอินทรีให้อาศัย
อยู่คูเ่ ขาขนาบนา้ และอยู่คู่เมืองกระบี่ อกี ทังยงั เปน็ สัญลักษณ์วิสัยทัศน์ของผ้บู รหิ ารเทศบาลเมืองกระบี่ นนั่ กค็ ือ
“บินให้สูง มองให้ไกล ไปให้ถึง” อีกด้วย ประติมากรรมนกอินทรีตังอยู่ ๒ จุด คือ หลักกิโลเมตรท่ีศูนย์ ใกล้กับ
ประติมากรรมปดู ้า และบริเวณสีแ่ ยกถนนมหาราช แยะถนน
รอดบญุ และถนนหุตางกูร เรียกวา่ ส่แี ยกนกอินทรี

๔. ประตมิ ากรรมสี่แยกชา้ งชูกระบี่ หนา้ ๙๗

ประติมากรรมสัญญาณไฟจราจรช้างชูกระบ่ี
เป็นประติมากรรมสัญญาณไฟจราจรที่สื่อความหมายอัน
เป็นเอกลักษณ์และประวัติความเป็นมาของจังหวัดกระบ่ี
๓ ประการ ได้แก่

วรรณสารฉบบั ที่ ๖๑ วิลาสวฒั นธรรมถน่ิ ใต้

๑. กระบี่เคยเป็นจังหวดั ท่ีมชี า้ งมากท่ีสุดในประเทศไทย มีการบนั ทึกทางประวัตศิ าสตร์ว่า ในสมยั กรุง
รัตนโกสินทร์ เจ้าพระยานคร (น้อย) สั่งให้พระปลัดเมืองนครศรีธรรมราชมาตังเพนียดคล้องช้างท่ีบ้านปกาสัย
เพื่อน้าไปฝกึ ใช้งานและสง่ ขายตา่ งประเทศ

๒. กระบี่เคยจับช้างเผือก (ช้างส้าคัญ) คู่พระบารมีช้างแรกของรัชกาลท่ี ๙ เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๙๗
โดยนายแปลก ฟงุ้ เฟื่อง และพวก มภี ูมลิ า้ เนาอยทู่ ี่ตา้ บลลา้ ทบั อา้ เภอคลองท่อม จงั หวดั กระบ่ี (ในอดีต) คล้อง
ช้างได้ถึง ๖ ช้าง ภายหลังมีการพิสูจน์ได้ว่ามีช้างเผือก อยู่ ๑ ช้าง จึงแจ้งให้นายมังกร ณ ถลาง ซ่ึงเป็น
นายอ้าเภอล้าทับ แจ้งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ทราบ แล้วแจ้งไปยังพลโทบัญญัติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา
ผู้อ้านวยการองค์การสวนสัตว์ น้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เม่ือวันท่ี ๑๐
กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๑ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๒ เวลา ๑๖.๔๐ น. พระบาทสมเด็จพระ
ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดชฯ ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการสมโภชขึนระวางช้างเผือกประจ้ารัชกาล
และพระราชทานามว่า...

“พระเศวตอดุลยเดชพาหน ภูมิพลนวมนาถบารมี ทุติยเศวตกรีกมุทพรรโณภาส
บรมกมลาสนวศิ ุทธวงศ์ สรรพมงคลลักษณคเชนทรชาติ สยามราษฎรสวัสด์ิประสิทธิ์ รตั นกุญ
ชรนมิ ิตบญุ ญาธกิ าร ปรมินทรบพติ รสารศกั ดเิ ลศิ ฟ้า”

๓. ช้างชูกระบ่ี เป็นส่วนหนึ่งของตราเทศบาลเมืองกระบี่ ตังอยู่ท่ีถนนมหาราช แยกถนนสุดมงคล
และถนนจันทร์กวีกูล ใกล้สา้ นักงานเทศบาลเมืองกระบ่ี เรยี กวา่ “สีแ่ ยกชา้ ง” ทังหมดน่ีจงึ เปน็ ที่มาในการสร้าง
ประตมิ ากรรมช้างชูดาบของจงั หวัดกระบ่ี

วรรณสารฉบบั ท่ี ๖๑ วลิ าสวัฒนธรรมถิ่นใต้ หน้า ๙๘

นับว่าประติมากรรมแต่ละท่ีล้วนมีประวัติความเป็นมาท่ีแตกต่างกัน และความส้าคัญในการเป็น
สถานท่ีบง่ บอกเร่ืองราวของจังหวัดกระบ่ีได้เปน็ อย่างดี ทงั นีเพอ่ื ใหน้ ักท่องเที่ยวที่มาเยือนและประชากรจังหวัด
กระบี่ไดต้ ระหนักถึงคณุ คา่ ของทรัพยากรท่ีมีอยู่ และถือว่าเป็นการสง่ เสรมิ การทอ่ งเที่ยวให้กับจังหวดั กระบ่ีและ
ประเทศไทยอีกด้วย

““กระบี่หัวเสา”: ประติมากรรมสัญญาณไฟจราจร จงั หวดั กระบ่ี
นายอ้านาจ จันทรค์ ง : ปราชญช์ าวบ้าน

นางสาวภัทราภรณ์ สุคนธากรณ์ : เลา่ ความ

วรรณสารฉบบั ที่ ๖๑ วิลาสวฒั นธรรมถน่ิ ใต้ หน้า ๙๙

“คนยู่ คันยอ ปลาพดุ นบพติ า”

ในอดีต “ต้าบลนบพิต้า” อ้าเภอนบพิต้า จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นชุมชนโบราณท่ีมีการกล่าวถึง
ในต้านานเมอื งนครและมีหลักฐานโบราณคดีที่ค้นพบมากมายหลายชิน มโี บราณสถาน และโบราณวัตถทุ ี่แสดง
ใหเ้ ห็นถงึ เรือ่ งราวทางศาสนา รวมถึงความเช่อื ในเรอื่ งสิง่ ศกั ดิ์สิทธ์ิ วถิ ชี ีวิต ความเปน็ อยู่ และศิลปวัฒนธรรมอัน
หลากหลาย

ที่มาและความหมายของชื่อต้าบลนบพิต้า จากการ
รวบรวมพบว่า มีที่มา ๒ แหล่ง ดังนี แหล่งแรก ค้าว่า
“นบพิต้า” ได้มาจากครังสมัยเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ทรงเร่ง
ให้ตังบ้านเรือนให้แล้วเสร็จ ภายหลังจากเมืองได้กลายเป็นเมือง
ร้างเน่ืองจากโรคห่าระบาด ทรงให้สร้างป่าเป็นนาทุกต้าบล
เจ้าพระยานครศรีธรรมราชให้ผู้คนออกหักป่าเป็นนา ซึ่งในครัง
นันได้ให้นายไส และนายแก้ว เป็นผู้น้าชาวบ้านมาบุกป่าให้เป็น
นาซ่ึงได้มาตังบ้านอยู่ท่ีกรุงชิง นายไสและนายแก้วมี
ความสามารถในด้านชลประทานท่ีได้รับอารยธรรมด้านการ
เกษตรกรรมมาจากอินเดีย จึงเกณฑ์ผู้คนให้สร้างท้านบกักเก็บ
น้าในพืนที่ต่้า จึงมีการเรียกช่ือสถานท่ีนันว่า ท้านบที่ต้่า ตาม
สภาพของสถานที่ ต่อมากร่อนและเพียนเสยี งเปน็ “นบพติ า้ ”
แหล่งต่อมา ค้าว่า “นบพิต้า” เป็นความหมายและที่มาตามคติชาวบ้าน จากหนังสือวารสาร
นครศรีธรรมราช ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๓๘ นายลับ รักษ์สุวรรณและนายเพชร แก้วมี ได้ให้ข้อมูล
สรุปว่า “นบพิต้า” มาจากเหตุการณ์เม่ือประมาณ ๑๕๐ – ๒๐๐ ปีที่แล้ว ชาวฉวางประมาณ ๕ ครอบครัว
อพยพหนีไข้เข้ามาอยู่ในบริเวณกรุงชิงเป็นกลุ่มแรก มีผู้อาวุโสซ่ึงเป็นท่ีนับถือของทุกคน ชื่อว่า นายต้า บุคคล
ทั่วไปต่างก็เรียกว่า “พี่ต้า” ต่อมากร่อนเสียงและเพียนเสียงเป็น บ้านพิต้า ประกอบกับพืนที่บริเวณใกล้เคียง
บ้านพิต้าคือบ้านท้านบน้า มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ธัญญาหาร แร่ธาตุป่าไม้ และมีเนือท่ีกว้างใหญ่
นา้ ท่าอุดมสมบูรณ์ มีนา้ ตกและธรรมชาตสิ วยงาม สรปุ ความจึงเรยี กวา่ “บา้ นนบพติ ้า”

วรรณสารฉบบั ที่ ๖๑ วลิ าสวัฒนธรรมถิ่นใต้ หนา้ ๑๐๐

ด้วยลกั ษณะพนื ทีท่ ่ีมคี วามอดุ มสมบรู ณ์ ประกอบกับผู้คน
ท่ีอาศัยอยู่บริเวณใกล้แม่น้าล้าธาร จึงก่อเกิดวิถีชีวิตแห่งชาว
นบพิต้าท่ีมีคู่มากับแม่น้าล้าธารท่ีน่าสนใจ หน่ึงในนัน คือ การยก
ยอหาปลาพุดของชาวบ้านเขายอดเหลือง อ้าเภอนบพิต้า จังหวัด
นครศรธี รรมราช

นอกจากจะมีอาชีพหรือวิถีชวี ิตเกย่ี วกบั การเป็นเกษตรกร
ท้าสวนยาง ปลูกผลไม้แล้ว ในช่วงฤดูน้าหลากชาวบ้านเขายอด
เหลืองยังมีการหาปลาตามแหลง่ น้า โดยชาวบ้านในพืนที่จะพากัน
ท้า “ยอ” หรือท่ีเรียกอีกอย่างว่า “สะดุ้ง” อุปกรณ์จับปลาที่มี
ความกว้างประมาณ ๑ ตารางวา มาดักจับปลาและสัตว์น้านานา
ชนิด ปลาท่ีได้มีทังปลาซิว ปลาขาว แต่ที่เป็นจุดเด่นของหมู่บ้าน
ยอดเหลือง คือ “ปลาพุด” ซ่ึงเป็นปลาพืนถิ่นท่ีจะมีโอกาสจับได้ปีละครังในช่วงฤดูฝนท่ีมีน้าหลากเท่านัน
ซึ่งหากปีไหนท่ีฝนตกนอ้ ย น้าไมท่ ่วม ปลาพดุ ก็จะหาไดย้ ากมาก

ในทกุ ๆ ปีชว่ งฤดนู า้ หลาก ชาวบ้านยอดเหลืองจะยกยอรอดักปลาพุด ท่ีไหลลงมาตามกระแสนา้ คลอง
ท่าพุด ซึ่งเป็นทางน้าไหลมาจากเทือกเขาหลวงในหมู่บ้านยอดเหลือง โดยจากค้าบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่
กล่าวถงึ ทีม่ าของชอื่ ปลาพดุ วา่ “ปลาพุด” เป็นชือ่ ปลาทใ่ี ช้เรยี กกันของคนในพืนถิ่น โดยไดม้ าจากช่อื ของคลอง
ท่าพุด ซ่ึงพบปลาชนิดนีในช่วงฤดูน้าหลากจ้านวนมากและมีเป็นประจ้าทุก ๆ ปี เพราะก่อนช่วงน้าหลาก
ปลาพุดจะว่ายทวนกระแสน้าขึนไปวางไข่บริเวณซอกหินต้นแม่น้า เมื่อถึงช่วงน้าหลากปลาพุดจะลงมาตาม
กระแสนา้ เปน็ ประจา้ ทกุ ปีตงั แต่สมยั โบราณมาจนถึงปจั จบุ นั

ยอ หรือที่เรียกว่า สะดุ้ง
เคร่ืองมือที่ใช้ในการดักจับ
ปลา มีความกว้างประมาณ
๑ ตารางวา

วรรณสารฉบับท่ี ๖๑ วลิ าสวฒั นธรรมถิ่นใต้ หน้า ๑๐๑

ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ
โดยเฉพาะปลาพุด ซ่ึงเม่ือน้าไปขาย มีราคาขายใน
ชุมชนกิโลกรัมละ ๓๕๐-๔๐๐ บาท จึงท้าให้บ้าน
ยอดเหลอื งเป็นทีส่ นใจดงึ ดดู ผู้คนต่างถิน่ ใหเ้ ข้ามาท้า
มาหากินมากมาย จนท้าให้ประสบปัญหาการจับ
ปลาท่ีไม่ถูกต้อง โดยชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า ก่อนนีมี
อยู่ช่วงหนึ่งที่ชาวบ้านต่างพืนท่ีเข้ามาใช้เครื่องมือ
หนักในการดักจับปลาพุด ท่ีเรียกว่า “ดักถุง”
เป็นเครื่องมือคล้ายโพงพางดักปลาเอามาดักแบบ
เต็มล้าคลอง ท้าให้ปลาเล็กปลาน้อยต้องลงไปในถุง
หมดส่งผลให้ระบบนิเวศเสียหายเป็นอย่างมาก
ท้าให้คนในท้องถ่ินเดือดร้อน ผู้น้าชุมชนจึงตอ้ งออก
มาตรการวางระเบียบการท้าประมงดักปลาพุดใน
ชุมชน โดยอนุญาตให้ใช้เพียงเคร่ืองมือขนาดเล็ก เช่น ยกยอ ทอดแห เท่านัน เคร่ืองมืออื่นห้ามเด็ดขาด ส่งผล
ให้ปัญหาการจับปลาทีไ่ ม่ถกู ต้องหมดไป ชาวบา้ นทไี่ ปทา้ มาหากินในระแวกนันกม็ ีความเป็นอยู่ท่ดี ขี ึน และยังได้
เห็นถึงวิถชี ีวติ การจับปลาพดุ คงอยู่ไมเ่ ลือนหายไปตามกาลเวลามาจนถึงปัจจุบนั

แปลไทยเปน็ ไทย : ศัพท์ไทยท้องถน่ิ (นบพิตา)
ยู่ = ภาษาใต้ทอ้ งถิน่ มาจากค้าว่า อยู่
แปลไทยเปน็ ไทย : นายแจง แกว้ เกิด : ปราชญ์ชาวบ้านท้องถ่นิ นบพติ ้า จังหวัดนครศรีธรรมราช

“คนยู่ คนั ยอ ปลาพุด นบพิตา”
นายแจง แกว้ เกิด : ปราชญ์ชาวบ้าน
นางสาวปภัศรา ครี พี ันธ์ : เลา่ ความ

วรรณสารฉบบั ท่ี ๖๑ วิลาสวฒั นธรรมถ่ินใต้ หนา้ ๑๐๒

“เคยี่ วเบน”

“เคี่ยวเบน” ค้าว่า เบน มาจากปลาเบน หรือปลากระเบน เป็นส่วนประกอบส้าคัญของการท้าอาหาร

พืนบ้าน “เค่ียวเบน” หรือ “เคยี่ วปลากระเบน” ของชมุ ชนเกาะยาวน้อย อ้าเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ด้วยสภาพพืนที่

เป็นเกาะล้อมรอบด้วยทะเล ท้าให้เกาะยาวอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางทะเล กุ้ง หอย ปู ปลา อาชีพส้าคัญของ

ชุมชนแห่งนีจึงเป็นอาชีพการท้าประมงพืนบ้านขนาดเล็ก และประกอบกับการเป็นชุมชนมุสลิม การรับประทาน

เนอื สตั วจ์ งึ เนน้ ไปที่อาหารทะเลมากกว่าเนอื สตั ว์อย่างอ่ืน

ใ น อ ดี ต ชุ ม ช น เ ก า ะ ย า ว ไ ม่ มี

ไฟฟ้าใช้ ท้าให้ไม่มีตู้เย็นเพื่อเก็บอาหาร

ทะเล ชาวบ้านจึงคิดวิธีการถนอม

อาหารในรูปแบบต่าง ๆ ดังเช่นการ

ถนอมปลากระเบนให้สามารถเก็บไว้

รับประทานได้หลายวันด้วยการย่าง

ซึ่ ง ส า ม า ร ถ เ ก็ บ ป ล า ไ ว้ ไ ด้ น า น ถึ ง

๑๓ – ๑๔ วัน ปลากระเบนท่ีย่างสุก

แล้วสามารถน้าไปรับประทานกับข้าว

สวยได้เลย แต่คนในท้องถิ่นยังมีการ

รังสรรค์อาหารจากปลากระเบนให้มี

ความหลากหลาย โดยเพ่ิมรสชาติจากปลาย่างธรรมดาให้มีรสชาติเผ็ดร้อน น่ารับประทาน สามารถน้าไป

รบั ประทานเปน็ กับขา้ วได้หลายมือ เพราะเคีย่ วปลาเบนยง่ิ อนุ่ หลายครงั ก็ย่ิงเพิ่มความอรอ่ ยมากขึน นอกจากนเี ค่ียว

ปลาเบนยังเป็นอาหารเพ่ือสุขภาพท่ีมีคุณค่าทางโภชนาการทังจากปลากระเบน และเคร่ืองแกง ถือเป็นอีกเมนูแนะน้า

ส้าหรับคนรกั สุขภาพ

วตั ถดุ บิ

๑. ปลากระเบนผา่ นการยา่ ง ๒ ตวั ๖. ใบมะกรูด ๓ - ๔ ใบ

๒. เคร่อื งแกง ๒ ชอ้ นโตะ๊ ๗. เตมิ ทิพย์ ๑ ชอ้ นชา

๓. น้ากะทิ ๔ ขีด

๔. เกลอื ๑ ชอ้ นชา

๕. กะปิ ๑ - ๒ ช้อนโต๊ะ

วรรณสารฉบบั ที่ ๖๑ วิลาสวฒั นธรรมถิ่นใต้ หนา้ ๑๐๓

ขั้นตอนการปรุง
๑. นา้ ปลากระเบนสด ๆ จากการออกอวน มาผา่ เอาพุงออก

ล้างนา้ ใหส้ ะอาด
๒. น้าปลากระเบนไปย่างไฟจนสุก แตย่ ่างไม่ใหเ้ นือปลาสกุ แห้ง

จนเกินไป
๓. น้าปลากระเบนทีย่ า่ งเรียบร้อยแลว้ มาฉกี เป็นชินเลก็ ๆ
๔. เตรยี มเครอื่ งแกง ไดแ้ ก่ ตะไคร้ พริกเเห้ง พริกไทยด้า หอม

กระเทียม ขมนิ และกะปิ ต้าใหล้ ะเอยี ด
๕. นา้ นา้ กะทใิ ส่ลงในหม้อ ตงั น้ากะทบิ นเตาไฟจนเดอื ด

๖. เตมิ เคร่ืองแกง กะปิ เกลอื ลงในหม้อคนจนเครอื่ งแกง
กะปลิ ะลายเปน็ เนือเดยี วกนั

๗. ใสป่ ลากระเบนทฉี่ ีกแลว้ ลงในหมอ้ ใสเ่ กลอื
๘. น้าใบมะกรูดฉกี ใสล่ งในหมอ้ แกงเพ่ือเพิ่มรสชาติ และความหอม
๙. เค่ยี วจนนา้ กะทมิ ีความเขม้ ขน้ และเครื่องปรงุ เขา้ ไปในเนือปลา

พร้อมรบั ประทาน และหากมีการอนุ่ อีกหลายครังกย็ ง่ิ เพม่ิ
รสชาตคิ วามอร่อยมากขนึ

วรรณสารฉบบั ท่ี ๖๑ วลิ าสวัฒนธรรมถิ่นใต้ หน้า ๑๐๔

แม้ปัจจุบันชุมชนเกาะยาวน้อยจะมี
ความเจริญมากขึน มีไฟฟ้า มีส่ิงอ้านวยความ
สะดวกหลากหลาย แต่เค่ียวปลาเบนก็ยังคง
เ ป็ น อ า ห า ร ที่ ช า ว เ ก า ะ ย า ว น้ อ ย นิ ย ม ป รุ ง
รับประทานภายในครัวเรือน ทังนีด้วยปลา
กระเบนยังคงหาได้ไม่ยากนัก เพราะแทบทุก
ครงั ของการออกทะเลของชาวปลาประมงมักมี
ปลากระเบนติดไม้ตดิ มอื กลบั มาดว้ ยเสมอ

“เค่ยี วเบน เบนเค่ยี ว ย่างเบน ยา่ งเบน จ้มุ นาชบุ เบนยา่ ง

เบนยา่ ง ขูดเบน เคย่ี วพลาง เบนยา่ ง เบนเคีย่ ว เคย่ี วเบน”

แปลไทยเปน็ ไทย : ศพั ท์ไทยทอ้ งถิ่น(อาเภอเกาะยาว)
เคีย่ วเบน = เบน มาจาก ปลากระเบน
แปลไทยเป็นไทย : นางพัจรี เรงิ สมุทร : ปราชญ์ชาวบา้ นทอ้ งถนิ่ เกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา

“เค่ียวเบน”
นางพจั รี เริงสมทุ ร : ปราชญ์ชาวบ้าน

นางสาวนจุ รี เรงิ สมุทร : เลา่ ความ

วรรณสารฉบับที่ ๖๑ วลิ าสวฒั นธรรมถน่ิ ใต้ หนา้ ๑๐๕

เจ๊ะแมะ๊

ขนมพืนถิ่นโบราณของสามจังหวัดชายแดนใต้มีหลากหลายชนิด เหล่านีเปรียบเสมือนส่ือสะท้อนวิถี
ชีวิตความเป็นอยู่และภูมิปัญญาของผู้คน ผ่านการรังสรรค์ถ่ายทอดออกมาเป็นวัฒนธรรมการกินอันเป็น
เอกลักษณ์ แต่เน่ืองด้วยปัจจุบันวัฒนธรรมการเป็นอยู่ของผู้คนได้เปล่ียนแปลงไปตามกาลเวลา ส่ิงที่เคยมี
บางอย่างก็ได้รับการพัฒนา บางอย่างก็ได้รับการประยุกต์ และบางอย่างก็สูญหายไป อาหารการกินอย่างขนม
โบราณก็เช่นกัน ทุกวันนีขนมพืนถ่ินบางอย่างกลบั ไม่สามารถพบเจอได้ทั่วไป แต่ต้องเสาะแสวงหาตามหมบู่ า้ น
หรือชุมชนดังเดิมท่ียังคงมีคนประกอบอาชีพท้าขนม หรือเปิดร้านขายน้าชาโบราณในยามเช้า ซึ่งหนึ่งในนัน
คือ “เจ๊ะแม๊ะ” ขนมโบราณพืนถิ่นชายแดน
สามจังหวดั ด้ามขวานทองของไทย

“ เ จ๊ ะ แ ม๊ ะ ” ม า จ า ก ภ า ษ า ย า วี
สามจงั หวัดชายแดนใต้ ช่ือเตม็ เรยี กว่า “ตอื ปง
เจ๊ะแม๊ะ” เป็นขนมสูตรโบราณท่ีมีความเป็น
เอกลักษณ์เฉพาะพืนถ่ินจนอาจกล่าวได้ว่า
สามารถหาทานได้เฉพาะพืนที่สามจังหวัด
ชายแดนใต้เพียงเท่านัน ขนมเจ๊ะแม๊ะมี
ส่วนผสมหลักจากมันเทศ แป้งอเนกประสงค์
และน้าตาลทรายแดง นิยมรับประทานกับน้าชาในตอนเช้า และจะเป็นที่นิยมท้ากินกันอย่างมากในวันส้าคัญ
ตา่ ง ๆ ของชาวพืนถน่ิ เชน่ วนั ฮารีรายอของชาวมสุ ลิม วันขึนบา้ นใหม่ หรือเทศกาลเฉลิมฉลองในโอกาสต่าง ๆ
เปน็ ตน้

ขนมเจ๊ะแม๊ะ เป็นขนมพืนถ่ินโบราณของสามจังหวัดชายแดนใต้ท่ีมีเสน่ห์และมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น
ไมซ่ ้าใคร โดยมวี ัตถุดิบและขนั ตอนในการทา้ ดงั รายละเอียดต่อไปนี

วัตถุดิบ แปง้ ขา้ วเจ้า
หวั มันเทศ ไข่ไก่
แป้งอเนกประสงค์
เกลอื บรสิ ุทธิ์
น้าตาลทรายแดง

วรรณสารฉบับท่ี ๖๑ วลิ าสวฒั นธรรมถน่ิ ใต้ หนา้ ๑๐๖

ขัน้ ตอนการทา
๑. นา้ มันเทศไปล้างให้สะอาด แลว้ ปอกเปลอื กให้เรียบรอ้ ย
๒. น้ามันเทศที่ปอกเปลอื กแล้วไปต้มหรอื น่งึ ใหส้ กุ
๓. จากนนั น้ามนั เทศมาตา้ ให้ละเอยี ด เมอ่ื ละเอียดแล้ว ให้ใสส่ ่วนผสม เกลือ ๑ ช้อนชา

ไข่ไก่ ๑ ฟอง แปง้ ขา้ วเจ้า แปง้ อเนกประสงค์ ลงไปนวดให้เปน็ เนอื เดียวกัน
๔. นา้ ส่วนผสมทเ่ี ปน็ เนอื เดยี วกนั แลว้ มา

ปั้นให้เป็นลักษณะก้อนกลมขนาดพอดีค้า กดตรงกลางให้
บุ๋มเป็นหลุม แล้วเติมน้าตาลทรายแดงลงไป ๑ ช้อนชาเพื่อ
ทา้ เปน็ ไส้ แล้วปัน้ ให้เป็นทรงกลมหรือวงรกี ไ็ ด้

๕. เมอื่ ปั้นเสร็จ น้าขนมไปทอดในนา้ มัน
เดือด ใช้ไฟปานกลางทอดให้ขนมมีสีเหลืองแดง เป็นอันว่า
สกุ เรียบร้อยพรอ้ มรบั ประทาน

“ตือปงเจ๊ะแม๊ะ” วัฒนธรรมอาหารการกิน ขนมพืนถ่ินแห่งสามจังหวัดชายแดนใต้ เสน่ห์ขนมปลาย
ด้านขวานทองของไทย ท่ียังคงมีให้สัมผัสลิมลองรสชาติ เอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่ไม่ซ้าใคร ขนมโบราณปักษ์ใต้
บา้ นเรา

วรรณสารฉบบั ที่ ๖๑ วลิ าสวัฒนธรรมถ่ินใต้ หนา้ ๑๐๗

แปลไทยเป็นไทย : ศพั ทไ์ ทยทอ้ งถิ่น(ดนิ แดนสามจงั หวดั )
ตอื ปง = ขนม (ภาษายาวีท้องถนิ่ )
แปลไทยเป็นไทย : นายสอบรี คอลออาแซ : ปราชญ์ชาวบา้ นทอ้ งถ่ินจังหวัดนราธวิ าส

“เจ๊ะแมะ๊ ”
นายสอบรี คอลออาแซ : ปราชญ์ชาวบา้ น
นางสาวนูรฎ์ฮัยฟาร์ คอลออาแซ : เล่าความ

วรรณสารฉบับที่ ๖๑ วลิ าสวัฒนธรรมถนิ่ ใต้ หน้า ๑๐๘

“ตาหยาบ” หนมหรอยโด้ โหม้ตลู บา้ นเรา

วัฒนธรรมและประเพณที ้องถ่ิน เปน็ ส่งิ ท่ีบง่ บอกถงึ ความเปน็ เอกลกั ษณข์ องผคู้ นในแต่ละพนื ท่ี โดยถูก
สรรค์สร้างขึนมาจากการใช้ชีวิต วิถีความเป็นอยู่ ความเช่ือ ความศรัทธา สู่การร้อยเรียงเป็นเรื่องราวและ
สะท้อนผ่านประเพณีและวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมเกี่ยวกับความเชื่อ เทศกาลงานบุญต่าง ๆ
แมก้ ระท่งั วฒั นธรรมการกิน ดังจะกลา่ วให้รบั สรู่ คู้ วามในวิถีผ้คู นชมุ ชนจงั หวดั สตูล ทมี่ วี ัฒนธรรมการกินสื่อผ่าน
อาหารซ่งึ เป็นขนมพนื บา้ นมนี ามวา่ “ตาหยาบ” ขนมท้องถ่ินดินแดนโหม้ตูล

ขนม “ตาหยาบ” เป็นขนมพืนถ่ินที่ชาวจังหวัดสตูลรู้จักกันดี โดย “ตาหยาบ” เป็นค้าท่ีเพียนมาจาก
ภาษามลายู เนื่องด้วยจังหวัดสตูล
มีอาณาเขตติดกับ รัฐเปอรลิส
ประเทศมาเลเซีย มีการติดต่อ
ค้าขายกับ ช าว มลายู จึงได้รับ
อิทธิพลในด้านต่าง ๆ หนึ่งในนัน
คืออาหารการกิน ขนมตาหยาบจึง
เป็นขนมท้องถ่ินท่ีมีกล่ินอายความ
เป็นมลายูผสมผสานกับชาวไทยใน
สไตลพ์ นื ถ่ินสตลู ได้เปน็ อย่างดี

ขนมตาหยาบ นิยมรับประทานในช่วงเดือนรอมฎอน ซึ่งเป็นเดือนแห่งการถือศีลอด (เดือนบวช) ของ
ชาวมุสลิม เม่ือเทศกาลเดอื นรอมฎอนหรอื การถือศลี อดมาเยือน “โหมต้ ลู ” กจ็ ะท้าขนมชนิดนีขึน สะท้อนได้ว่า
ขนมตาหยาบ เป็นขนมที่ไม่ได้หาทานได้ท่ัวไป และเป็นที่นิยมในช่วงเทศกาลเดือนรอมฎอนอย่างแพร่หลาย
หรืออาจกล่าวได้ว่า “ถ้ามีเดือนบวช ต้องมีตาหยาบ” นั่นเอง โดยกรรมวิธีการท้าและจุดเด่นรสชาติของ ขนม
ตาหยาบ นางเจ๊ะม๊ะ หมันเร๊ะ ปราชญ์ชาวบา้ นผู้เชี่ยวชาญการท้าขนมท้องถิ่น ได้เล่าความตามขันตอนก่อนกนิ
ไว้ ดงั นี

วัตถดุ บิ การทาขนมตาหยาบ มะพรา้ วออ่ น
แปง้ ข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า
น้าตาลทรายแดง เกลือ
แปง้ กาดม (แปง้ สาล)ี ไขไ่ ก่
นา้ ใบเตย

วรรณสารฉบบั ที่ ๖๑ วิลาสวฒั นธรรมถิ่นใต้ หนา้ ๑๐๙

ข้นั ตอนการทาขนมตาหยาบ
๑. เตรยี มไส้ โดยการนา้ มะพรา้ วอ่อนไปผดั กบั น้าตาลทรายแดงจนสกุ
๒. เตรียมแป้งห่อ โดยการน้าแป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า แป้งกาดม (แป้งสาลี) เกลือ และน้าใบเตย

เล็กน้อย ใส่ลงไปเพื่อเพ่มิ กล่นิ หอมและให้สีสนั สวยงาม ผสมใหเ้ ขา้ กนั
๓. จากนันใส่ไข่ไกล่ งไป และคอ่ ย ๆ เทน้าใบเตยไปอกี ครงั คนใหเ้ ขา้ กนั จนไดท้ ี่
๔. เตรียมกระทะตังไฟ โดยเอาผ้าหรือพดมะพร้าว (กาบมะพร้าว) ชุบน้ามันทาบาง ๆ เพ่ือไม่ให้แป้ง

ตดิ กระทะ
๕. น้าแป้งทผ่ี สมไดท้ ่ีแลว้ ลงกระทะโดยใสแ่ ปง้ ให้เปน็ แผ่นกลม ๆ กลบั ด้านจนสุก
๖. เมื่อแป้งและไส้พร้อมแลว้ ขนั ตอนตอ่ ไป คือ การน้าทังสองสว่ นมาประกอบด้วยกัน โดยการแผแ่ ป้ง

ออก เติมใส้ตรงกลางแลว้ หอ่ ออกมาให้เปน็ ลกั ษณะแนวยาวคล้ายหอ่ โรตี เสร็จสนิ พร้อมทาน
ขนมตาหยาบจะรับประทานคู่กับน้าชา รสชาติของขนมจะมีความหวานละมุน ความหอมมันจากไส้

มะพร้ามอ่อนท่ีผัดกับน้าตาลทรายแดง ตัดรสชาติด้วยแป้งท่ีห่อหุ้มอยู่ภายนอกที่มีความหอมของกล่ินใบเตย
ชวนรับประทาน เป็นขนมพืนบ้านท่ีหาทานได้ง่ายในช่วงเดือนรอมฎอนของชาวมุสลิม ซึ่งตามปฏิทินอิสลาม
แล้วมีเพียงปีละครัง หรือถ้าจะหารับประทานในช่วงเวลาอื่น ก็อาจจะมีวางขายในร้านน้าชา ร้านเซาะ
(ขายอาหารเช้า) ในชุมชนท้องถ่ินจังหวัดสตูล แต่ก็ต้องอาศัยความอดทนเสาะหาสักหน่อย เน่ืองจากไม่ค่อย
นยิ มท้าขายโดยท่วั ไป

อย่างไรก็ตาม ขนมตาหยาบ ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมการกินของ “โหม้ตูล” ท่ีมีเรื่องราว
เอกลักษณ์และความน่าสนใจ หากใครได้ไปเยือนถ่ินสตูล อย่าได้พลาดแวะลิมลอง “ขนมตาหยาบ ของหรอย
โหม้ตลู ” ขนมพนื บา้ นของดีจังหวัดสตลู

แปลไทยเป็นไทย : ศัพท์ไทยท้องถิ่น(ดินสตลู )

หนม = ขนม หรอยโด้ = เปน็ ส้านวนการพูด หมายถงึ อรอ่ ยมากนะ

โหม้ = พวกเรา ตูล = สตลู

แป้งกาดม = แป้งสาลี

แปลไทยเปน็ ไทย : นางเจ๊ะม๊ะ หมนั เร๊ะ : ปราชญ์ชาวบา้ นทอ้ งถน่ิ จังหวัดสตูล

“ตาหยาบ” หนมหรอยโด้ โหม้ตลู บา้ นเรา”
นางเจะ๊ ม๊ะ หมันเร๊ะ : ปราชญช์ าวบา้ น
นางสาวโรฮานี ตา้ แดสา : เล่าความ

วรรณสารฉบบั ท่ี ๖๑ วลิ าสวฒั นธรรมถน่ิ ใต้ หนา้ ๑๑๐

เจา้ บทเจ้ากลอน

เจ้าบทเจา้ กลอน สรา้ งโอกาส เปดิ พืนที่ ใหน้ ักกวี ได้รังสรรค์ ประพันธ์อกั ษร

ไดเ้ รียงร้อย ถ้อยคา ทาเปน็ กลอน จากคาสอน สงู่ านศิลป์ จนิ ตนา

“แม่”

แสงสว่างอ่นื ใดไมเ่ ทยี บเท่า แสงและเงาจากร่มต้นไม้ใหญ่
ทป่ี กคลุมเบกิ บานส้าราญใจ จนเตบิ ใหญ่แผก่ า้ นใบใหไ้ ดช้ ม
เปรียบด่ังความส้าเร็จจากมือแม่ ทีด่ ูแลเอาใจใส่ใหเ้ หมาะสม
แมม่ เิ คยทา้ ให้ลกู ช้าระทม คอยสรา้ งสมความรักเฝา้ ถักทอ

ลมสเี งนิ : ลดั ดาวัลย์ สิโปด

“ความรกั ของแม่”

ความรักของแม่นี ความภักดีของลูก จะเพาะปลูกลูกยา ให้น้าพาความดี เพื่อศักด์ิศรีตัวตน
ให้เป็นคนแทนคุณ ขอให้บุญคุ้มครอง คอยเฝ้ามองเสมอมา แม่ห่วงหาลูกรู้ คอยแลดูเฝ้าไข้
เอาใจใส่ไมห่ ยดุ ปกปอ้ งบตุ รพน้ ภัย ดวงฤทยั แมใ่ ห้ ประณตน้อมกราบไหว้ เทดิ ไท้บชู า

เจา้ หญิงอสูร : นทั ธมน รตั นตรัง

วรรณสารฉบับท่ี ๖๑ วิลาสวัฒนธรรมถิ่นใต้ หนา้ ๑๑๑

“ขา้ ว”

รวงขา้ วมากลน้ เติบบนผืนดนิ
ฤดเู กบ็ กนิ งานหนิ น่าดู
เนือแท้อดสู
หนึ่งก้าเห็นผล ก้านชูลอยลม
ถึงครารว่ งพรู ทา่ ทีหวานขม
โคลนตมดดี ี
หนึง่ กา้ วา่ ดี สลวยคงท่ี
แสงแดดดา้ ดม เกลาศรสี มบูรณ์
ต้องก้าวจากศูนย์
หน่ึงกา้ เรียงสวย จรญู เม็ดพันธุ์
บม่ เพาะมณี

กวา่ จะเป็นขา้ ว
เตมิ น้าใหพ้ นู

สุพิตตา ชนะจิตวิกุล

“รุ่นใหมไ่ ฟแรง”

กราบสวสั ดีท่านทังหลายด้วยเคารพ พธุ บรรจบสดุ บรรเจดิ พร้อมขับขาน
ดวลฝปี ากโตว้ าทกี อ้ งกังวาน ลว้ นฉะฉานมาร้อยเรียงเสยี งประชนั
ฝา่ ยเสนอชนรนุ่ ใหม่พร้อมยนื หนงึ่ จ้าต้ององึ วจเี ลิศลา้ สร้างสรรค์
เป่ียมเหตุผลชวนให้คดิ สาระครัน พร้อมฟาดฟนั นนั่ สองนางและหนงึ่ หนมุ่
จักรินทร์หวั หน้าทมี เก่งฉกาจ ลือนักปราชญ์วาจาเด็ดมาดสุขุม
อุดมคติแสนคมคายหลากหลายมมุ รู้ครอบคลมุ ฝ่ายค้านเทือนเฉือนบาดใจ
ควงแขนขวาภัณฑริ าแมส่ าวน้อย สา้ เนยี งหรอยอักขระพาหวัน่ ไหว
ไม่ทะนงแต่กานดามาควา้ ชัย คราจับไมล์ต้องจบั ตาน่าตดิ ตาม
ควงแขนซา้ ยนามกระต่ายยวิษฐา เสอื นักลา่ นางนักพดู หลายสนาม
ถ้อยเสนห่ ์นา้ เสนอคล้อยทุกยาม ผลงานงามท้าจับไมลม์ าประลอง
เชญิ ทา่ นฟงั เชญิ มาเชยี ร์ชนรนุ่ ใหม่ แรงดั่งไฟเราเสนอรอสนอง
นอ้ มเคารพกติกาเพื่อปรองดอง น้าตานองใครสยบเด๋ียวรู้กนั

วรรณสารฉบับท่ี ๖๑ วลิ าสวฒั นธรรมถน่ิ ใต้ นกขุ้ม : สิรยิ ากรณ์ ราโชการณ์

หนา้ ๑๑๒

นิราศเพอ่ื นเยอื นถลาง

โอ้นริ าศนัดเพอ่ื นรว่ มสุขสม ถึงแลว้ หนอดา่ นตรวจทา่ ฉตั รไชย “ตีน่า” ใช้วาจานา่ ขบขัน

วันอาทิตย์ท่สี ม่ี นี าคม หมายจกั ชมสารสินถน่ิ ตา้ นาน ออกปากวา่ ตา้ รวจท่ยี ืนนัน่ คอื สามีของฉนั อย่างแน่นอน
นดั เวลากันบ่ายสองต้องมาเจอ
ต้องเรง่ รีบเร่งไปอย่าช้านาน ใครเผอเรอเพ่อื นพ้องตอ้ งประสาน “กนกวรรณ” บอกนี่แหละหาดทรายแก้ว ต้นสนโตตามแนวทวิ สลอน
เม่ือรวมตัวชายหน่ึงหญงิ ซง่ึ หก
ทาปากแดงสวยใสตามใจเรา ท้องมนั พาลวา่ หวิ จะกรวิ เอา น้าสคี รามน้าสีสวยแสนรอนรอน แดดเร่มิ อ่อนตะวันคล้อยสบายตา
เร่ิมเดนิ ทางศนู ยก์ ลางคือแหลมหนิ
เพ่ือซือของอาหารอนั มากมาย รว่ มกันตกแตง่ ตาคมทังผมเผ้า ถงึ แล้วหนอสะพานสารสนิ เปน็ เมอื งมากเพชรนิลแสนหรูหรา
ถึงสะปาคา้่ ครวญหวนคดิ ถงึ
คดิ ถงึ วันที่พี่มาจับจอง หนา้ ตอ้ งขาวแกม้ อรา่ มตามสไตล์ เมอื งภเู ก็ตเมืองไข่มุกตระการตา มที ี่มาเปน็ ตา้ นานเลา่ ขานกนั
ก่อนหนา้ นเี ราเคยอยู่เคียงค่กู นั
พ่เี คยทา้ ให้นอ้ งนนั สุขใจ เตรยี มทรพั ยส์ นิ ทอี่ อมพร้อมจบั จา่ ย เรอื่ งความรักชายหน่มุ กบั หญิงสาว มเี รือ่ งราวนา่ รนั ทดชา่ งโศกศัลย์
ถงึ เกาะแกว้ แล้วหนารถราแนน่
เปรยี บชีวติ ของขา้ ทกุ คืนวัน อันหลากหลายรสชาตนิ า่ ลมิ ลอง คนทงั สองเคยร่วมรักอยา่ งผูกพนั แตพ่ อ่ แม่กดี กันตอ้ งช้าใจ
เดินทางตอ่ ถงึ ย่านบา้ นทา่ เรือ
คือยา่ มุกย่าจนั ขออา้ งอิง สุดคะนึงถงึ วนั วานของเราสอง จึ่งตดั สนิ คิดจบแสนหดหู่ ผ้าขาวม้าผกู คยู่ ากแก้ไข
ความเก่งกลา้ เก่งกาจช่างปราดเปรอื่ ง
สองหญงิ นีมเี ร่ืองราวเป็นค้ากลอน ก่อนทนี่ อ้ งต้องจา้ ลามาแดนไกล ทงั สองนันกระโดดลงนา้ ไป จึงกลนั ใจรกั นีไดเ้ ปน็ ต้านาน
ถึงบ้านพอนฝนสาดเปน็ ดาษดื่น
หากฉะนันต้องประสบพบกบั ภยั อันสขุ สนั ตส์ ุขสมแสนสดใส ฟงั เรอ่ื งจบ “โบว์” บอกวา่ ท้องมนั หวิ น่งั ชมววิ สารสินคนพลุกพลา่ น
ฝนหยดลงจากฟา้ พาใจหวัน่
จะไปตอ่ หรอื หยุดตอ้ งแจกแจง มิเปน็ ไรอีกสี่ปีไดเ้ จอกนั ซอื ไขต่ ้มสม้ ต้าคนละจาน มานัง่ ทานล้อมวงสขุ อุรา
น่ังค้านวณคิดแลว้ ไม่แคลว้ คลาด
รบี สวมหมวกกันนอ็ คไมล่ ะเลย เหมือนดังแล่นไปมาเพอ่ื หาฝนั ลมโชยมาในยามเยน็ เป็นสขุ จริง นงั่ กันน่ิงพดู คยุ ตามประสา
ขร่ี ถมาไมช่ ้าถึงบา้ นเคียน
เพือ่ นบางคนบอกหวิ อยากกนิ ชา ท่ีต้องแล่นทา้ ใหฝ้ ันนนั เป็นจรงิ เรอื่ งรกั บา้ งเรยี นบา้ งเจรจา ถึงเวลาตอ้ งกลับกันให้ทันคราว
ตะโกนล่นั พลันวา่ ข้าอยากกิน
เพราะบะหมี่ทวี่ ่าอยมู่ ิไกล เรือ่ งเหลือเชื่อความกลา้ สองยา่ หญงิ ต้องจากแลว้ สะพานสารสิน มงุ่ หน้ามาส่ถู ่นิ หาดไม้ขาว
“ทพิ ยน์ ภา” บ่นอยากกนิ ลูกยาหนดั
แม่ค้าบอกรสหวานนา่ ลมิ ลอง ขอพกั พงิ ถน่ิ นีท่อี ย่นู อน ชมน้าใสชายหาดท่ีทอดยาว ทังหนมุ่ สาวเล่นนา้ อยา่ งเปรมปรดี ิ์
มงุ่ หน้าไปดว้ ยใจทีม่ ีหวงั
กวา่ จะถงึ ทีห่ มายใชเ้ วลา ซง่ึ ลอื เลื่องเร่ืองรบไม่ถอยถอน เรานง่ั ชมเครือ่ งบินบนชายหาด จากหลายชาติมายังเกาะแห่งนี
แวะพกั รถซือน้าท่ีป๊ัมเชลล์
เพื่อนกบ็ อกใหต้ ะวนั ใสก่ ระโปรง ใหบ้ งั อรกล้าหาญอยา่ งชาญชัย ทังฝรั่ง องั กฤษ ตุรกี รวมเกาหลี แขก จนี หลากชาตพิ ันธ์
ป๊ัมสีเหลอื ง สวยอรา่ ม งามสะอาด
ทังขนม นม เนย มมี ากมาย ถนนล่นื ต้องระวังอย่าเผลอไผล อัสดงก็เริม่ ลว่ งลับขอบฟ้า ไมเ่ หวห่ วา้ เพราะมีเพอ่ื นรว่ มสรา้ งสรรค์

จงตังใจใหน้ งิ่ อยา่ ซิง่ แซง แต่ต้องกลัวเพราะพร่งุ นคี ือวันจนั ทร์ วชิ านนั คอื กวีนิพนธไ์ ทย

หยดุ รถพลนั ร่วมพูดรว่ มแถลง ทุกคนบอกอยากกลบั แลว้ นะแก้วจา๋ ต้องรีดผ้าเตรียมตวั เพอ่ื วันใหม่

หรอื จะทานขา้ วแกงทนี่ เ่ี ลย เร่งขับรถกลับบา้ นให้เรว็ ไว หากมดื ไปกลัวจกั ค่า้ ล้าบากกาย

ฝนหยดุ สาดไปต่อไม่น่งิ เฉย จบแลว้ หนานิราศเมืองถลาง ความทรงจ้าจะไม่จางลบเลอื นหาย

โอเ้ พอื่ นเอ๋ยจงทา้ ตามกติกา เราเจด็ คนรักกนั ทงั ใจกาย ขอกราบไหว้ทกุ ท่านสวัสดี

เรามาเปล่ียนคนขบั กนั เถดิ หนา

“นรู ฎ์ฮยั ฟาร์” บอกอยากกนิ หมผี่ ัดไท

เตรยี มทรพั ยส์ ินออกมาอยา่ เฉไฉ

กจ็ ะไดซ้ อื หาสมใจปอง

เพอื่ นไม่ขดั จดั ใหก้ ลัวใจหมอง

“โร” ต้องการสองกองรีบจดั มา

มีเรย่ี วแรงมีก้าลงั ทุกคนหนา

ประมาณการไดว้ ่าสองชั่วโมง

“ตะวนั ” บอกปวดเอวจะตายโหง

จะปลอดโปร่งไม่รัดรูปสบายกาย กัลยาณมิตร
แฟมลิ มี่ าร์ชก็ดีมขี องขาย

ลว้ นหลากหลายมใี ห้เลือกอยา่ งครบครนั

วรรณสารฉบบั ที่ ๖๑ วลิ าสวัฒนธรรมถน่ิ ใต้ หน้า ๑๑๓

เกร็ดความรู้

เร่อื งนา่ รู้ รอบตัว หยบิ มาเล่า “บงู อฆาปา” ของคเู่ หยา้ โบราณว่า
“เรื่องพร้าวพร้าว” เกาะสมุย เขานามา เรอื่ งชาว “มลายูโพน้ ทะเล เมอื งลิกอ”

“บงู อฆาปา” ดีเมอนารอ

บูงอฆาปา หรือบุหงาร้าไป คือ
เคร่ืองหอมชาววังแบบโบราณ ท้ามาจากกลีบ
ดอกไม้ที่มีกล่ินหอมหลากหลายชนิด ผสมเข้า
กับเครื่องหอมเล็กน้อยแล้วบรรจุใส่ภาชนะ
ในอดีตบุหงาร้าไปได้รับความนิยมเป็นอย่าง
มาก โดยเฉพาะในงานพิธีที่มีการรวมตัวของ
กลุ่มคน เช่น งานเทศกาล งานพิธีการอันเป็น
มงคล เป็นต้น ซ่ึงก็ยังส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน
เพียงแต่เปล่ียนแปลงลักษณะจากการท้าเพื่อ
ประดับไว้ภายในบ้าน กลายมาเป็นของช้าร่วย
ส้าหรับแจกจ่ายให้กับผู้เข้าร่วมงาน เช่น
งานมงคลสมรส เปน็ ตน้

ในอดีต บหุ งารา้ ไปมกั นยิ มน้ามาใช้เป็นเคร่ืองหอมที่ตงั ไว้ตามจดุ ตา่ ง ๆ ภายในบ้านไม่วา่ จะเป็นการตัง
ไว้บริเวณห้องรับแขกเพ่ือสร้างบรรยากาศให้กับแขกผู้มาเยือน ตังไว้บริเวณหัวเตยี งในห้องนอนอีกทังยังใช้เป็น
เครอื่ งหอมดับกล่ินอบั ชว่ ยเพิ่มความหอมให้กับตู้เสือผา้ เพือ่ ใหเ้ สือผ้ามีกลิ่นหอม สดช่ืนมากขึนอีกด้วย

วรรณสารฉบบั ท่ี ๖๑ วิลาสวฒั นธรรมถนิ่ ใต้ หน้า ๑๑๔

ในวิถีมุสลิมซ่ึงนับถือศาสนาอิสลาม บุหงาร้าไปก็ยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเช่นกัน เนื่องด้วย
บุหงาร้าไปนอกจากจะใช้เป็นเครื่องหอมไว้ประดับภายในบ้านแล้ว ยังถูกน้าไปเป็นส่วนหน่ึงในการประกอบ
พิธีกรรม งานวันเฉลิมฉลองต่าง ๆ อีกด้วย
เช่น วันฮารีรายอ วันแต่งงาน วันขึนบ้าน
ใหม่ เป็นต้น นอกจากนียังใช้เป็นส่วนหนึ่ง
ในการประกอบพิธีกรรมท่ีมีมาตังแต่อดีต
จนถึงปัจจุบัน นั่นคือ “พิธีกรรมวันเหมาะ
โล๊ะ” หมายถึงวันเมาลิด คือวันคล้ายวัน
ประสูติของท่านศาสดาในศาสนาอิสลาม
ซึ่ ง ใ น ก า ร ป ร ะ ก อ บ พิ ธี จ ะ มี ก า ร น้ า
บุหงารา้ ไปใส่ลงในภาชนะที่จัดเตรียมไว้ โดยสง่ิ ทบี่ รรจุลงไปจะนยิ มใช้ใบเตยอย่างดี และจะเพิ่มความหอมด้วย
การพรมน้าหอม ซ่ึงน้าหอมท่ีใช้มักจะเป็นน้าหอมท่ีมีกล่ินเฉพาะของบุหงาร้าไปท่ีได้มาจากมหานครเมกกะ
ประเทศซาอุดีอาระเบีย หยดลงไปในภาชนะให้มีกล่ินหอมท่ัวทังภาชนะ แล้วน้าไปวางไว้ตรงกลางท่ีมีคนก้าลงั
Zangi (ซันจี) คือ ผู้ท่ีท้าการอ่านประวัติศาสดาในศาสนาอิสลาม (อ่านเป็นภาษาอาหรับ) ซึ่งนั่งล้อมรอบเป็น
วงกลมอยู่ เพอื่ สง่ กลนิ่ หอมใหก้ บั ผู้คนทีม่ าเขา้ รว่ มประกอบพิธกี รรม

บุหงาร้าไปยังมีการบรรจุลงในภาชนะที่ออกแบบให้มองเห็นถึงความสวยงามของใบเตย ซึ่งในภาชนะ
นันก็จะนิยมใส่เหรียญลงไปด้วย แล้วแต่ความประสงค์ตามฐานะของบุคคลนัน ๆ หากมีการใส่เหรียญลงไป
จะต้องใสใ่ หม้ ปี ริมาณท่ีเท่า ๆ กนั ทังหมด ซึ่งมคี วามเชอื่ ว่าการใสเ่ หรียญอันเปน็ การแทนคุณค่าด้านปัจจยั ยังชีพ
ลงไปนันเปน็ การสอื ดือเกาะห์ หรอื บรจิ าคใหแ้ กผ่ ูท้ ีเ่ ข้ามารว่ มทา้ พธิ กี รรมอกี ด้วย

วรรณสารฉบับท่ี ๖๑ วลิ าสวฒั นธรรมถ่ินใต้ หนา้ ๑๑๕

การท้าบุหงาร้าไปมีการเปล่ียนแปลงไปตามยุคสมัย ซึ่งในอดีตการท้าบุหราร้าไปจะใช้ส่วนผสมหลัก
คือ ใบเตย แต่ในปัจจุบันมักจะนยิ มใชเ้ ปน็ กลีบดอกไม้สดนานาชนดิ ในการท้า เช่น ดอกกุหลาบมอญ ดอกมะลิ
ดอกอัญชัน ดอกเฟ่ืองฟ้า ดอกพิกุล เป็นต้น และบรรจุลงภาชนะหรือขวดโหลแก้ว เพื่อให้เห็นถึงความสวยงาม
ของสีสันที่ได้จากดอกไม้หลากหลายชนิด เป็นเคร่ืองหอมที่ใช้ส้าหรับประดับบ้านซ่ึงได้มาจากการสร้างสรรค์
ของผูค้ นในอดตี และยงั ถ่ายทอดมาจนถงึ ปัจจุบัน

แปลไทยเปน็ ไทย : ศัพทไ์ ทยทอ้ งถิ่น(บางนราฯ)
บูงอฆาปา = ภาษามลายูท้องถิ่น หมายถึง บหุ งาร้าไป
ดเี มอนารอ = ภาษามลายทู ้องถนิ่ หมายถึง มาจากนราธิวาส
แปลไทยเปน็ ไทย : นายสอบรี คอลออาแซ : ปราชญช์ าวบา้ นท้องถน่ิ จงั หวัดนราธิวาส

“บงู อฆาปา”ดีเมอนารอ
นายสอบรี คอลออาแซ : ปราชญช์ าวบ้าน
นางสาวนรู ฎฮ์ ยั ฟาร์ คอลออาแซ : เรียบเรียง

วรรณสารฉบบั ที่ ๖๑ วิลาสวัฒนธรรมถ่นิ ใต้ หนา้ ๑๑๖

เรือ่ งพรา้ ว พร้าว

“ปะการงั งาม นาทะเลใส หาดทรายขาว มะพรา้ วเยอะ”
ค้าขวัญข้างต้นเป็นค้าขวัญของ อ้าเภอเกาะสมุย ที่บ่ง
บอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ของเกาะสมุย และเม่ือพูดถึงค้า
ว่า เกาะ หลาย ๆ คนคงจะนึกถึงทะเลที่มีความสวยงาม
หาดทรายสีขาว บรรยากาศท่ีสงบ แต่หลายคนอาจจะยังไม่
ทราบว่า ในอ้าเภอเกาะสมุยไม่ได้มีความน่าสนใจแค่ทะเล
หรือชายหาดเพียงอย่างเดียว โดยยังมีสิ่งท่ียังคงความเป็น
เอกลกั ษณท์ น่ี ่าสนใจอีกอยา่ งหน่งึ นันก็คือ “มะพร้าว”

ในอดีตเกาะสมุยเป็นเกาะที่มีมะพร้าวมากที่สุดในประเทศไทยท่ีสามารถผลิตมะพร้าวผล น้ามัน
มะพร้าว ให้คนไทยได้ใช้ทั่วทังประเทศมายาวนานกว่า ๑๐๐ ปี จึงนับได้ว่ามะพร้าวเป็นพืชเศรษฐกิจท่ีมี
ความสา้ คญั มากของคนเกาะสมุย และเปน็ สญั ลักษณ์คู่เกาะมาโดยตลอดในหลายปที ี่ผ่านมา เกาะสมุย มี
ชื่อเสียงในเรื่องผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวมากมาย คนบนเกาะมองว่าตังแต่บรรพบุรุษในอดีตหลายร้อยปีมาแล้ว
มีการน้าเอาต้นมะพร้าว ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีมากบนเกาะสมุย ตังแต่ยอดไปจนถึงรากมาใช้ประโยชน์ ด้วยการ
แปรรูปเปน็ เคร่ืองมอื เครอ่ื งใชต้ า่ ง ๆ สามารถนา้ มาใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ย่างหลากหลาย

ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวทังหมดนัน สามารถน้ามา
ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ้าวันได้ นอกจากนียังเป็นผลิตภัณฑ์
ที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาท้องถ่ินต้านานของปราชญ์ท้องถิ่น
สภาพความเป็นอยู่ วิถีชีวิตชาวบ้าน ตลอดจนวัฒนธรรมที่ดี
งามของคนเกาะสมุย ทังนี วิถีชีวิตของคนสมุย (ดังเดิม)
มกี ารด้าเนินชวี ติ แบบสมถะพอเพยี งมาตังแตต่ ้น เพราะเนื่อง
ด้วยสภาพทางภูมศิ าสตรท์ ่ีเป็นเกาะ มีน้าทะเลลอ้ มรอบ หา่ ง
จากฝ่ังซึ่งเป็นแผ่นดินใหญ่ ดังนันคนสมุยจะต้องเลียงชีพ
ตัวเองให้ได้บนเกาะแห่งนี อาชีพหลักของคนเกาะสมุย
ดังเดิม ได้แก่ อาชีพด้านการเกษตร ค้าขาย และท้าสวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ีพืชที่นิยมปลูกกันมาก ได้แก่
มะพร้าว ซง่ึ ผลิตภณั ฑท์ ่ีเปน็ ภูมิปัญญาชาวบ้านของคนเกาะสมุย เช่น

วรรณสารฉบบั ที่ ๖๑ วิลาสวัฒนธรรมถ่นิ ใต้ หน้า ๑๑๗

“ไม้กวาดทางพร้าว” เป็นไม้กวาดที่คนเกาะสมุยจะต้องมีใช้กันเกือบทุกบ้าน เพราะหาได้ง่าย โดยท้า
มาจากก้านใบย่อยของทางมะพรา้ ว ซ่ึงมีวิธีการทา้ คือ ตดั ก้านใบยอ่ ยตรงโคนก้านออกจากทางมะพร้าว จากนัน
น้าใบมะพร้าวมากรีดแยกแผ่นใบทังสองข้างออก ก่อนน้าไปตากแดดให้แห้ง จากนันตัดโคนก้านให้เสมอกัน
ก่อนน้ามามดั ตดิ ซ่งึ สะท้อนให้เห็นว่าคนเกาะสมุยมกั จะมีวถิ ีชวี ิตทีเ่ กย่ี วข้องกับการทา้ มะพรา้ ว ทังยงั บ่งบอกว่า
มีสภาพความเป็นอยทู่ ่ีเรยี บง่ายอกี ดว้ ย

ทังยังมีการท้าถ้วยจากกะลามะพร้าว ซึ่งคนเกาะ
สมุยเรียกว่า “ถ้วยพลก” ถ้วยพลก มีไว้เพ่ือใส่อาหารบาง
ชนิดของคนเกาะสมุย ซ่ึงกะลามะพร้าวท่ีน้ามาใช้นันต้อง
คัดเลือก รูปทรงให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ เช่น ถ้าท้าถ้วย
ชามก็ต้องเลือกกะลามะพร้าวที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งมีวิธีการท้า
ก็ คือ หลังจากท่ีคัดเลือกกะลามะพร้าวแล้ว ต่อไปจะน้า
กะลามะพร้าวมาตัดออกเป็นสองส่วน จะได้ส่วนตัวกะลา
แ ล ะ ส่ ว น หั ว ก ะ ล า ห ลั ง จ า ก นั น ใ ช้ ก ร ะ ด า ษ ท ร า ย ขั ด
กะลามะพร้าวให้เรียบทังสองซีก และใช้แล็กเกอร์ทา
กะลามะพรา้ วทังสองสว่ นใหข้ ึนเงาแล้วตากไว้จนแหง้ สนิทก็
จะสามารถน้ากะลามาใช้งานไดอ้ ยา่ งดี

นอกจากการท้าเคร่ืองใช้ต่าง ๆ ภายใน
ครัวเรือนแลว้ ยงั มจี ดุ เด่นทเี่ ป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งนั่น
ก็คือการท้า “น้ามันมะพร้าว” ท่ีท้ากันสด ๆ จากต้น
โดยจะมีวิธีการท้าก็คือ อันดับแรกต้องมีมะพร้าวลูกโต
๑ ลูก หลังจากนันผ่ามะพร้าว แล้วล้างน้าให้สะอาด
ก่อนน้ามาขูดหากคันกะทิด้วยมือ ที่ส้าคัญควรจะคันให้
นาน ๆ เพ่ือให้ได้กะทิท่ีมีความมันมากเป็นพิเศษ
จากนันน้าน้ากะทิท่ีได้ไปใส่ในตู้เย็นไว้ ตังทิงไว้ ๑ วัน
และตักน้ามนั ออกมากรองดว้ ยผา้ ขาวบางตงั ทงิ ไว้อกี ๑
สัปดาห์ เพ่ือให้น้ามันใส และสามารถน้ามาใช้ ประโลม
ผิวกายได้ท่ีส้าคัญจะมีกลิ่นหอมของมะพร้าวท่ีเป็น
เอกลกั ษณ์ท่ชี วนหลงใหล

วรรณสารฉบบั ที่ ๖๑ วิลาสวฒั นธรรมถิ่นใต้ หนา้ ๑๑๘

เราจะเห็นแล้ววา่ ข้าวของเคร่อื งใช้ต่าง ๆ ของคนเกาะสมยุ เป็นสิ่งที่มาจากภูมปิ ญั ญาของชาวบา้ นท่ีท้า
ให้เราเกิดความรู้ และยังสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถท่ีบรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ และถ่ายทอดมาให้เราด้วย
วธิ กี ารหลายอย่างท่ีชว่ ยให้เกดิ ความรู้เหลา่ นี และมันจะเปน็ สิ่งท่ีเกดิ ประโยชน์แกค่ นรุน่ หลงั ตลอดไป

เรอื่ งพร้าวพร้าว พรา้ วจากโคน ถงึ ยอดพรา้ ว โคนต้นพรา้ ว ลาต้นพรา้ ว เขาทาหนา

ใบตน้ พรา้ ว เหลาเปน็ เซ่ ไม้กลดั ทา เหยือเขานา ทาพร้าวเค่ยี ว ทากายา

แปลไทยเป็นไทย : ศพั ทไ์ ทยท้องถน่ิ (เกาะสมุย)
เซ่ = ภาษาใต้ทอ้ งถ่ิน มาจากไมก้ ลัดท่ีท้ามาจากก้านมะพรา้ ว เรยี กลักษณนามเป็น “สี”
เหยือ = เนือของมะพรา้ ว
หน้า = ขน้า
แปลไทยเปน็ ไทย : นายอุทยั สมคิด : ปราชญช์ าวบา้ นท้องถ่ินเกาะสมุย จงั หวัดสุราษฎธ์ านี

“เรื่อง พรา้ ว..พร้าว”
นายอทุ ัย สมคิด : ปราชญช์ าวบ้าน
นางสาววนุช อินทวงษ์ : เรียบเรียง

วรรณสารฉบับท่ี ๖๑ วลิ าสวัฒนธรรมถน่ิ ใต้ หนา้ ๑๑๙

มาลายโู พ้นทะเล เมอื งลกิ อ

กลุ่มมลายู-โปลีเนเซีย ที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกมลายู มีการอพยพเคล่ือนย้ายถิ่นฐานตังแต่อดีต
ในปัจจุบันคนมลายูอาศัยอยู่ในประเทศต่าง ๆ มากมายเช่น ในโลกอาหรับ ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ ประเทศแอฟริกาใต้ มาดากัสการ์ สุรีนาม ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ในจังหวัดนครศรีธรรมราช
ก็เช่นเดียวกัน ได้มีชาวมลายูมาตังถ่ินฐานเป็นจ้านวนมาก ปัจจุบันยังคงมีชาวมลายูยังคงรักษาอัตลักษณ์ทาง
วัฒนธรรม เช่น ภาษาแต่โดยส่วนใหญ่แล้วถูกกาลเวลาท้าให้ค่อย ๆ เลือนหายไปจากสังคมเมือง
นครศรีธรรมราช

เรื่องราวชาวมลายูโพ้นทะเลถือเป็นเรื่องราวท่ีน่าสนใจ ดิฉันขอน้าเผยแพร่เร่ืองดังกล่าว โดยน้าบท
สัมภาษณ์จาก ส้านักพิมพ์ปาตานี ฟอร่ัม ท่ีได้สัมภาษณ์ อาจารย์กิตติ อะหลีแอ เมื่อวันท่ี ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖
ซ่ึงอาจารย์กิตติ อะหลีแอ ผู้ศึกษาและมีข้อมูลเกี่ยวกับคนมลายูในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้กล่าวถึงประเด็น
ต่าง ๆ เกี่ยวกับคนมาลายูในจังหวดั นครศรีธรรมราช ดังตอ่ ไปนี

ความสมั พนั ธร์ ะหว่างนครศรธี รรมราชกบั เมืองมลายใู นอดีต
ศาสนาอิสลามได้เข้ามาในนครศรีธรรมราชตังแต่สมัยสุโขทัยแล้ว โดยมุมมองส่วนตัว อาจจะไม่ใช่ชาว

มลายู ซ่ึงอาจจะเป็นชาวอาหรับที่เดินทางมาท้าการค้า การเผยแพร่ศาสนา ในอดีตได้มีโจรสลัดมลายู เข้ามา
ปล้นเมืองนครศรีธรรมราช พระยาราชท้ายน้า ขุดคูคลองป้องกัน กระท่ังในปัจจุบันได้กลายมาเป็นคูขวาง
ชมุ ชนส้าคัญ ชุมชนหน่ึงในจังหวดั นครศรธี รรมราช ในสว่ นของวัดพระมหาธาตุ ชาวมลายูได้มกี ารสละทรพั ย์สิน
เพื่อบูรณะ วัดพระมหาธาตุ นครรัฐท่ีเป็นศูนย์กลางในการปกครอง คนมลายูได้เกี่ยวพันกับนครศรีธรรมราช
มาอย่างช้านานคนมลายูที่อยู่ในสยาม มันขัดกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ วิถีชีวิต วัฒนธรรม สยามจึงยกทัพไป
ปราบ เมื่อปราบส้าเร็จแล้ว จึงมีการตัดก้าลังด้วยการย้ายถ่ินฐาน ส้าหรับคนที่มีฝีมือมาให้เป็นช่างทอง
ชา่ งเครือ่ งถมท้างานในวังพอนานไป และเรม่ิ มีจ้านวนมากขึนคนเหลา่ นีเริม่ ที่จะออกจากวัง เพือ่ ทา้ งานอย่างอื่น
กระทั่งในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า บริเวณใกล้เคียงวัดพระมหาธาตุในปัจจุบันนันเต็มไปด้วยร้านขายเคร่ืองถม
ซึ่งบรรดาพอ่ ค้า แมค่ ้ากเ็ ปน็ ลูกหลานชาวมลายู ตลาดแขกเป็นตลาดทสี่ ร้างความสมั พันธ์ระหวา่ ง ชาวมลายเู ดิม
และผู้คนท้องถิ่น รวมทังคนอินเดีย คนจีน สร้างวัฒนธรรมท่ีเชื่อมสัมพันธ์ ผ่านการค้ากระทั่งได้เรียกพืนท่ี
เหลา่ นันวา่ เปน็ ตลาดแขก

วรรณสารฉบบั ที่ ๖๑ วลิ าสวฒั นธรรมถนิ่ ใต้ หน้า ๑๒๐

สาเหตุของการย้ายถ่ิน
กอ่ นอืน่ จะกลา่ วถงึ ก่อนวา่ คนมลายูคอื ใคร หากใช้ภาษาและสภาพทางภูมิศาสตร์จากคาบสมุทรมลายู

เป็นตัวตังแล้ว จะพบว่าโดยความหมายคนที่อยู่ในพืนท่ีเมืองนคร จะไม่ใช่คนมลายู คนกลุ่มนีจะเป็นคนไทย
แต่ในสารัตถะจริง ๆ แล้วไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า ใครเป็นเชือชาติใด มีความเช่ือว่าคนในจังหวัด
นครศรีธรรมราชโดยส่วนหน่ึงแล้ว อาจจะเป็นคนมลายู มีเชือสายมลายู อย่างไรก็ตามการเคล่ือนย้ายของคน
มลายูในพืนท่ีทางตอนล่างและคาบสมุทรมลายู ในประวัติศาสตร์นันได้เคลื่อนย้ายมาตังถ่ินฐานที่จังหวัด
นครศรีธรรมราช กระทั่งได้น้าสู่การเกิดชุมชนมุสลิมก็เพราะว่า การสงคราม การค้าขาย การเผยแพร่ศาสนา
และเดินทางตามญาติพี่นอ้ งได้ท่ีไดย้ า้ ยมาตังถนิ่ ฐานก่อนหน้านี

ถ่ินฐานทีช่ าวมลายูตง้ั เป็นท่อี ยูอ่ าศยั
ส้าหรับพืนที่แรก ๆ ของการตังถิ่นฐานของชาวมุสลิมในจังหวัดนครศรีธรรมราช นั่นก็คือต้าบล

ปากพนู อา้ เภอเมืองนครศรธี รรมราชในปจั จุบัน มีชาวปตั ตานี ชาวกลันตนั ชาวตรงั กานู เป็นกลุ่มแรก ๆ ที่เข้า
มาก่อตังเป็นชุมชนมุสลิม ปากน้ากลายและพังปริง และในชุมชนบ้านมะขามชุม วัดคิดมาเป็นศูนย์กลางของ
มุสลิมได้เปล่ียนเป็นมัสยิดวัดคิด บ้านท่าโพธิ์ในอดีตเป็นชุมชนใหญ่ กลุ่มชาวมลายูที่ย้ายถ่ินมาตังรกรากท่ี
นครศรีธรรมราชในอดีตชาวมลายูที่ได้ย้ายถิ่นมายังนครศรีธรรมราชสามารถแบ่งออกเป็นสามกลุ่มด้วยกัน คือ
กลุ่มแรกจากไทรบุรี (ประกอบด้วยเคดาห์ ปะลิส กูบังปาสู และสตูล) กลุ่มที่สองจากกลันตัน และกลุ่มที่สาม
จากเมืองปตั ตานี

กลุ่มแรกนันกลุ่มจากเมืองไทรบุรี เป็นคนมุสลิมท่ีเข้ามาอยู่เน่ืองจากผลพวงจากการสงคราม
และการถูกกวาดต้อนเข้ามา ส้าหรบั เหตุการณ์ในการสงครามหลังจากทเี่ จา้ พระยานคร (น้อย ) ยกทัพไปปราบ
เมืองไทรบุรี และกวาดต้อนผู้คนจากเมืองไทรบุรี มาเป็นเชลยศึกน้ามาไว้ยังที่ต่าง ๆ ในนครศรีธรรมราชแล้ว
ในจ้านวนเชลยศึกเหลา่ นันมปี ังลมิ อ เจะ๊ เต๊ะ แม่ทพั เมอื งสตูลและเครือญาตติ ดิ มาดว้ ย โดยคนเหลา่ นนั ถกู กวาด
ต้อนมาไว้ที่บ้านทุ่ง บ้านใหญ่ ต้าบลโมคลาน อ้าเภอท่าศาลา ในปัจจุบัน ผู้ถูกกวาดต้อนเป็นมุสลิมท่ีมีทังเด็ก
และผ้ใู หญ่ เม่อื มาอย่แู ลว้ ก็มีลูกหลานเกดิ ขนึ อยู่ทเี่ ดมิ บ้าง แยกย้ายกันไปอย่ใู นท่ีต่าง ๆ ของอา้ เภอท่าศาลาบ้าง
เช่น ชุมชนมุสลิมบ้านยางด้วน ชุมชนมุสลิมบ้านทุ่งเกราะ ชุมชนมุสลิมบ้านสี่แยกวัดโหนด ชุมชนมุสลิมบ้าน
สองแพรก

กล่มุ ทีส่ องจากกลันตนั ถูกกวาดต้อนมาเมื่อคราวพระยานคร (น้อย) ไปตเี มอื งไทรบรุ ี แลว้ กวาดตอ้ นคน
มาด้วย ทีแรกก็พามาปล่อยไว้ตามท่ีต่าง ๆ เช่นพวกหนึ่งเอาไปไว้หลังพระธาตุ พวกหนึ่งพาไปไว้ท่ีบ้านนาเคียน
(ต้าบลนาเคียน อ้าเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช) พวกหนึ่งพาไปไว้ท่ีบ้านปากพญา (ต้าบลปากพญา
อ้าเภอเมอื งนครศรีธรรมราช) พวกหน่งึ พาไปไว้ทบ่ี ้านท่าซัก (ตา้ บลทา่ ซัก อ้าเภอเมอื งนครศรีธรรมราช)

วรรณสารฉบับที่ ๖๑ วลิ าสวฒั นธรรมถิน่ ใต้ หนา้ ๑๒๑

กลุ่มที่สามจากปัตตานี กลุ่มนีเข้ามาค้าขายท่ีปากน้ากลายจนกระทั่งปากน้ากลาย คนมุสลิมกลุ่ม
ปัตตานีมีฐานะทางเศรษฐกิจและความรู้ทางศาสนาดีกว่ากลุ่มอ่ืน ๆ เพราะว่าคนกลุ่มนีได้ย้ายเข้ามาต่างจาก
ผคู้ นสองกลุ่มขา้ งตน้ คือ ย้ายมาเพ่อื การค้าและการศาสนา ไม่ใช่จากปัจจยั ของสงคราม

สถานทีส่ าคญั ทางประวตั ิศาสตร์ ที่เป็นรอ่ งรอยของชาวมลายใู นนครศรธี รรมราช
บ้านก้าปงลามอ ซึ่งบ้านก้าปงลามอมีช่ือเรียก อย่างน้อย ๓ ช่ือ คือ ก้าปงลามอ และบ้านทุ่งบ้านใหญ่

มีความหมายวา่ “บา้ นโบราณ” กา้ ปงลามอเป็นชมุ ชนมุสลิมจากจงั หวัดสตูลรุ่นแรกทเ่ี ข้ามาปลูกบา้ นอาศัยและ
ตังหลักแหล่ง หัวหน้ามุสลิมชื่อปังลิมอเจ๊ะเต๊ะมีต้าแหน่งเป็นอดีตแม่ทัพเมืองสตูล ต่อมาชาวบ้านก้าปงลามอ
ย้ายถ่ินไปอาศัยที่บ้านทุ่งรง บ้านยางด้วน และบ้านวัดโหนด บ้านก้าปงลามอเป็นแหล่งโบราณคดีของมุสลิม
โมคลาน มีสุสานมุสลิม สระน้า และศาลาสุสาน วันท่ีเจ็ดหลังวันรายอออกบวช ลูกหลานท่ีอาศัยในต้าบล
โมคลานและตา้ บลใกลเ้ คียงในเขตอา้ เภอทา่ ศาลา เป็นประเพณนี ดั หมายมาพบกันที่สสุ านปงั ลมิ อเจ๊ะเต๊ะ

จะเห็นได้ว่าความเป็นมา การอพยพถ่ินฐานของชาวมลายู และวัฒนธรรม ท่ีมีมาตังแต่อดีตจนถึง
ปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองนครศรีธรรมราช และการมีสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างชาวไทย
พทุ ธและมสุ ลิมท่อี ยูร่ ว่ มกนั ในสังคมอยา่ งมีความสุข มีการปรองดองช่วยเหลอื ซ่งึ กันและกัน รวมทงั แสดงให้เห็น
ถงึ วฒั นธรรมทส่ี วยงามของชาวมลายู หรือชาวมสุ ลมิ ท่อี าศยั อยูใ่ นเมืองนครศรธี รรมราช

“มาลายูโพน้ ทะเล เมืองลิกอ”
สา้ นักพมิ พ์ฟอร่มั ปาตานี : ข้อมลู
นางสาวธีราพร วายภู ักดิ์ : เรยี บเรยี ง

วรรณสารฉบับท่ี ๖๑ วิลาสวัฒนธรรมถ่ินใต้ หนา้ ๑๒๒

ในบคันวทามึกทภารพงจา

บันทกึ ภาพ “ขา้ ราชการดเี ด่น” แหง่ ทศศ.
บันทึกภาพ ผศ. หน้าใหม่ “ยกย่อง เชิดชเู กยี รติ และสานสัมพันธ์สรา้ งสรรคอ์ งคก์ รณ์”

บนั ทกึ ภาพ เรอื่ งราว แหง่ จติ ใจ
บนั ทึกภาพ “ฉายาคณาจารย์แหง่ ครอบครัว ทศศ.” ไว.้ .ในความ..ทรงจา

ขา้ ราชการดเี ด่น

เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๒ สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ราชภัฏภูเก็ต ขอแสดงความยินดีแด่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รุ่งรัตน์ ทองสกุล เนื่องในโอกาสได้รับคัดเลือกให้

วรรณสารฉบับที่ ๖๑ วลิ าสวฒั นธรรมถน่ิ ใต้ หน้า ๑๒๓

เป็น “ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจ้าปี ๒๕๖๑” ทังนี ได้เข้ารับเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติจาก
ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรฐั มนตรี ในงานวนั ข้าราชการพลเรือน ประจ้าปี ๒๕๖๒ ณ หอ้ งวายุภกั ษ์ โรงแรม
เซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชนั่ เซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรงุ เทพมหานคร

“...การทางาน สิ่งหนงึ่ คิดกบั ตัวเองอย่ตู ลอด คือ
เราไมส่ ามารถทาทกุ อยา่ งให้สาเรจ็ ได้ด้วยตัวเองเพียงลาพงั

ฉะน้ัน ถา้ เราต้องการให้คนอืน่ ชว่ ยเหลือเรา
เราย่อมต้องช่วยเหลอื คนอืน่ กอ่ น

ยิง่ ถา้ ตอ้ งการความช่วยเหลือจากผ้อู ืน่ มาก
ย่ิงต้องช่วยเหลือผู้อ่ืนให้มาก มากพอเทา่ ทเ่ี ราจะทาได้
แลว้ เราก็จะไดใ้ นส่ิงทีอ่ ยากได้ ถา้ เราทามันด้วยใจจรงิ ...”

ผศ.ดร.รุ่งรตั น์ ทองสกุล

“ขา้ ราชการพลเรือนดเี ดน่ ประจ้าปี ๒๕๖๑”
อาจารยป์ ระจ้าสาขาวชิ าภาษาไทย

คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏภูเกต็

วรรณสารฉบับท่ี ๖๑ วิลาสวัฒนธรรมถ่นิ ใต้ “ข้าราชการดีเดน่ ”
นางสาวปยิ าภรณ์ ทิพยท์ อง : เล่าความ

หน้า ๑๒๔

ยกย่อง เชิดชูเกยี รติ และสานสมั พนั ธส์ ร้างสรรคอ์ งค์กร

คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จัดโครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร
กิจกรรม “การยกย่อง เชิดชูเกียรติ และสานสัมพันธ์สร้างสรรค์องค์กร” เม่ือวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๒
ณ ศาลารตั นภิรมย์

กจิ กรรมครังนี มวี ตั ถุประสงค์เพ่ือเปน็ การสร้างขวัญก้าลังใจให้แก่บคุ ลากรและส่งเสรมิ การท้างานของ
บุคลากรให้ท้างานอย่างมปี ระสิทธภิ าพในองค์กร โดยกิจกรรมภายในงาน สาขาวิชาภาษาไทย (ทศศ.) ได้รับโล่
รางวัลสาขาวิชาที่มีผลการประเมินสูงสุด ประจ้าปีการศึกษา ๒๕๖๑ ด้วยผลคะแนน ๔.๒๘ ระดับ “ดีมาก”
รวมทังยังมีการมอบแจกันดอกไม้แสดงความยินดีกับอาจารย์ในสาขาวิชา เน่ืองในโอกาสได้รับการแต่งตังเป็น
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาวชิ าภาษาไทย ไดแ้ ก่ ผศ.ดร.วรพงศ์ ไชยฤกษ์ และ ผศ.จุฬารัตน์ เสงย่ี ม

วรรณสารฉบับท่ี ๖๑ วิลาสวัฒนธรรมถิ่นใต้ หน้า ๑๒๕

อธิการบดมี อบเงนิ รางวลั เพอ่ื เปน็ ขวัญก้าลงั ใจ คณบดีมอบโล่รางวลั แกส่ าขา

กิจกรรมในครังนีนอกจากจะจัดขึนเพ่ือเป็นการสร้างขวัญก้าลังใจให้แก่บุคลากร และส่งเสริมการ
ท้างานของบุคลากรให้ท้างานอย่างมีประสิทธิภาพในองค์กรแล้ว ยังเป็นการสร้างความสุข และช่วยเสริมสร้าง
สานสัมพนั ธท์ ่ีดีระหว่างกันให้แก่บุคลากรในองค์กร ใหม้ คี วามใกลช้ ดิ แน่นแฟน้ มน่ั คงมากยง่ิ ขึน เพอ่ื ใหบ้ ุคลากร
มีกา้ ลังใจในการทา้ งาน และพัฒนาตนในการทา้ หนา้ ท่อี ีกต่อไป

“ยกย่อง เชิดชูเกียรติ และสานสมั พันธส์ รา้ งสรรค์องคก์ ร”
คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ภเู กต็ : ภาพ

นางสาวประสตุ า ส่งเสริม : เล่าความ

วรรณสารฉบับที่ ๖๑ วลิ าสวัฒนธรรมถนิ่ ใต้ หน้า ๑๒๖

“ฉายาคณาจารย์แห่งครอบครวั ทศศ.”

เมือ่ วันท่ี ๒๖ ธนั วาคม ๒๕๖๒ สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ราชภัฏภูเก็ต ได้จัดกิจกรรมสังสรรค์สร้างขวัญก้าลังใจ เนื่องในโอกาสส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่เพ่ือสร้าง
ความสัมพันธ์อันดีระหว่างคณาจารย์กับนักศึกษาให้กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึน ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีนักศึกษา
ตังใจจัด โดยเฉพาะกิจกรรมไฮไลต์ในปีนีที่สร้างความประทับใจให้กับอาจารย์ประจ้าสาขาวิชาทัง ๗ ท่าน
และอาจารย์พิเศษอีก ๑ ท่าน นั่นคือ “ฉายาแห่งปี ๒๐๑๙” ซ่ึงนักศึกษา ทศศ. ทุกชันปี ได้ร่วมใจกันแต่งตัง
ฉายาให้กับคณาจารย์ เพื่อเป็นของขวัญที่สร้างรอยยิมและเรียกเสียงหัวเราะ โดยอาจารย์แต่ละท่านมีฉายา
ดังนี

ผศ.ดร.วรพงศ์ ไชยฤกษ์ ผศ.จฬุ ารตั น์ เสงีย่ ม
“ซูเปอร์บอยด์” อาจารย์ผู้ท้างานและปฏิบัติ
หน้าท่ีเพื่อสาขาอย่างแข็งขัน เปรียบได้กับ “นางฟ้าปาเต๊ะ” ฉายานีมีที่มาจาก
ซเู ปอรฮ์ ีโร่ที่คอยชว่ ยกโู้ ลก อาชีพเสริมขายผ้าปาเต๊ะของอาจารย์
รวมทังความใจดีของอาจารย์ก็เปรียบ
วรรณสารฉบับท่ี ๖๑ วิลาสวัฒนธรรมถ่ินใต้ เหมอื นกบั นางฟา้ ของชาว ทศศ.

หนา้ ๑๒๗

ผศ.ดร.รุ่งรตั น์ ทองสกุล อาจารยป์ รดี า สุวรรณจนั ทร์

“มาเลฟเี ซนต์” อาจารย์ผเู้ ข้มงวดและน่าเกรงขาม “แม่นางบุษบา” อาจารย์ผู้รอบรู้โลกแห่ง
แตภ่ ายในใจนนั หวงั ดกี ับนักศึกทกุ คน ซ่ึงเปรียบไดก้ บั ว รรณกรรม โ ดยฉายานีได้จากการสอน
มาเลฟิเซนต์ ท่ีเปน็ แม่มดผูใ้ จดี วรรณกรรมทีเ่ ก่ยี วกบั นางบษุ บา

อาจารยพ์ ัชราภรณ์ คชินทร์ อาจารย์สุริยา ทองคา

“มัทนาขาลุย” อาจารย์สาวสวยแสนสตรอง “บาฮูบาลี ๒๐๑๙” อาจารย์ผู้เก่งรอบด้าน
ประจ้าสาขา ผู้ท่ีมีความสามารถทังด้านการสอน ซ่ึงฉายานีได้มาจากรูปแบบการสอน ผ่านส่ือ
ในรูปแบบใหม่ ๆ และงานสอื่ สา้ หรับภาษาไทย ภาพยนต์ เร่อื ง บาฮบู าลี นัน่ เอง

วรรณสารฉบบั ที่ ๖๑ วิลาสวฒั นธรรมถน่ิ ใต้ หน้า ๑๒๘

ผศ.สมหมาย ปนิ่ พทุ ธศลิ ป์ ดร.อรณุ รัตน์ สรรเพชร

“ปู่ไอน์สไตน์” อาจารย์ปู่ที่เคารพยิ่งของชาว “รุ้งอิมพอร์ต” อาจารย์ผู้เป็นมิตรแท้กับสาขา
ทศศ. ปู่หมายผู้เก่งกาจ ผู้รอบรู้ในทุก ๆ ด้าน ซ่ึงฉายานีมาจากช่ือเล่นของอาจารย์ และความรัก
เสมือนกับ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ ในการออกไปท่องเทีย่ วในสถานทตี่ า่ ง ๆ ของท่าน
ระดบั โลก

ฉายาของอาจารย์แต่ละท่านนัน บ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันของอาจารย์
เป็นภาพลักษณ์ท่นี ักศกึ ษาทุกคนในสาขาวิชาไดร้ ู้จักและสัมผสั ถึง จึงเกิดเปน็ ฉายาทงั หมดนีขนึ เพื่อเป็นกิจกรรม
ท่ีสร้างรอยยมิ และสรา้ งความประทับใจให้กบั อาจารย์ทกุ ๆ ทา่ น และสดุ ทา้ ยนี หากลว่ งเกนิ ประการใด ตอ้ งขอ
อภัยมา ณ โอกาสนีด้วยนะคะ แต่อย่างไรก็ตามนักศึกษาทุกคนรักและเคารพอาจารย์ทุกท่านเสมอ
ขอบพระคณุ คะ่

วรรณสารฉบับที่ ๖๑ วิลาสวฒั นธรรมถิ่นใต้ “ฉายาคณาจารย์แหง่ ครอบครัว ทศศ.”
นางสาวอรวรรยา ขลกิ ค้า : เลา่ ความ

หนา้ ๑๒๙

วลิ าสฯ ยกมาเล่า :

น่ังคล่าวเลา่ นิทาน

วลิ าสฯ ถก ยกกล่าว เขาเลา่ ว่า ตานานผี “แคน้ มโนราห์” พาเล่อื มใส
นิทานสอน “หนงึ่ บญุ หนึง่ บาป หนึง่ บัย” เรือ่ งเร้นลับ ในพงไพร “เมืองพับแพว”

(ตานานผีเมอื งพัทลุง / หนงึ่ บญุ หน่ึงบาป หน่ึงบัย / เมืองพบั แพว : เมืองเร้นลบั บนเขาพญาบังสา)

ตานานผีจังหวดั พัทลุง : แคน้ ของมโนราห์

เมื่อตอนท่ีเขายังเด็ก ๆ เกิดคดีสะเทือนขวัญเกิดขึนในหมู่บ้านหนึ่งน่ันคือท่ีหมู่บ้านท่าแค มีการจ้าง
คณะโนราห์คณะหนึ่งมาท้าการแสดงข้ามเขามาจากฝ่ังพัทลุง เป็นคณะแสดงเล็ก ๆ คืนนันเขาก็ได้ไปดูด้วย
เพราะเขาเป็นคนชอบดูมโนราห์ แต่ร้าไม่เป็นและหน่ึงในมโนราห์ท่ีมาร้าหน้าตาดี เขาก็ดูจนจบก็กลับไปบ้าน
นอน ตื่นเช้ามามีต้ารวจมาท่ีหมู่บ้าน พ่อเขาก็ไปฟังข่าวก็กลับมาเล่าสู่แม่ฟัง เขาเลยรู้ว่ามีผู้หญิงถูกฆ่าตายด้วย
การจับผูกคอกับต้นไม้ และคนท่ีตายคือหญิงสาวหน้าตาดี ที่เป็นมโนราห์ที่มาร้าเม่ือคืนนันนี่เอง ถูกฆ่าท่ีในป่า
ข้างหม่บู า้ น ต้ารวจไปตรวจสอบแลว้ น่าจะเป็นการฆาตกรรมอ้าพราง เพราะการตรวจสอบพบว่ามีร่องรอยการ
ต่อสู้ในจุดไม่ไกลจากที่พบศพแล้วกางเกงในก็ถูกถลกขึนตกอยู่ในพุ่มไม้ ตามเนือตัวศพก็พบรอยเหมือนถูกดูด
เป็นจา้ ๆ ท่เี ต้านม ชอ่ งคลอดกม็ ีคราบเลือดเต็มไปหมด น่าจะถกู ข่มขืนแล้วฆ่าดว้ ยการจับผูกคอกบั ต้นไม้

สมัยนันโซเชียลยังไม่มีเลยเป็นข่าวแค่ในวงแคบ ๆ ต้ารวจก็พาศพไปชันสูตร เพ่ือตามสืบจับคนร้าย
คนในหมู่บ้านทเ่ี ปน็ ผชู้ ายนา่ สงสัยโดนเรียกตัวไปสอบปากค้ารวมทังพ่อเขาด้วย แตก่ ็ไมไ่ ด้อะไร ต้ารวจกท็ ้างาน
ต่อไป พอตายไป ผู้หญิงคนนันคงจะแค้นมาก เธอก็ออกมาหลอกคนในหมู่บ้าน เม่ือเดินผ่านต้นขนุนต้นท่ีเธอ
โดนผกู คอ ผูค้ นในหมู่บ้านกล็ ือกันไปทังหมบู่ า้ น จนไม่มใี ครกล้าผ่านต้นขนนุ ตน้ นันสักคน ขนาดตอนกลางวันถ้า

วรรณสารฉบบั ท่ี ๖๑ วลิ าสวฒั นธรรมถนิ่ ใต้ หน้า ๑๓๐

เล่ียงได้ คนก็ไม่กล้าผ่าน ผู้ใหญ่บ้านเคยมาน่ังคุยกับพ่อเขา เขาก็ไปน่ังฟัง ผู้ใหญ่บ้านบอกพ่อกับแม่เขาว่า
เขาโดนเตม็ ๆ ไม่กว่ี ันกอ่ น

"เห้ เห้อ อีสาวที่โดนฆ่าผูกคอฮัน แลท่าเฮียนจังแล แรกวันก่อน หวันบ่าย กูถือปืน
ขึนเขา วา่ อีไปหาหมเู ถอื่ น พอขาหลบหวนั เย็น หลบผ่านต้นหนุนนนั แนะ วา่ ห่าง ๑๐๐ เมตร
ได้ มายืนใส่ชุดโนราห์ร้าอยู่ใต้ต้นหนุน กูแบกปืนแล่นฉ้าบตาย" "มันคงแค้นแรง พรือใครที่
ทา้ มนั สกั ที ม่ายโรน้ ายอีจบั ไดต้ อใด ไอ้พวกทีท่ า้ "

พอลุงผใู้ หญ่บ้านโดนหลอก แกก็เทย่ี วไปเชิญหมอผี พระ แม่ชี ร่างทรง ซนิ แส มาช่วย แตก่ ็ทา้ ไมไ่ ด้
สักคน ทา่ นวา่ ผีผหู้ ญงิ มโนราห์คนนนั มีความแค้นสูงมากจนนา่ กลัว พระที่ท่านไปปราบ ทา่ นกว็ า่ ผนี างนี
นอกจากไม่กลัวใครแลว้ ยังมากระทบื เทา้ ขู่ทา่ นกลางดึกถึงหน้ากฏุ ิ จนแทบไมไ่ ดจ้ า้ วัด

"ไอ้บ่าวชาติ มันหลบมาแต่กรุงเทพ มันไปยิงนก พอเดินหลบมันก็เดินผ่านต้นขนุน
ต้นนัน มันว่าเงยหน้าขึนมองจะหายิงนกบนยอดไม้ อีผีนันมาห้อยต่องแต่ง แต่งตัวเต็มยศ
เอาเท้าเก่ียวกับก่ิงขนุน ยืดแขนร้าโนราห์ไปมา หน้าบวมอืดเลยนะแลบลินใส่อีก จนไอ้บ่าว
ชาติ ทงิ ปืนแกป๊ วิ่งหนี่เย่ียวแตกเตม็ กางเกงลงมาบ้าน" พ่อวา่

ตอนท่ีพ่อไปเยีย่ มพบ่ี ่าวชาติ เขากไ็ ป อ่อ จบั ไข้หวั โกร๋น ได้เห็นแลว้ เป็นงเี อง พอฟื้น พบ่ี ่าวชาติก็เปิด
กลับกรุงเทพไปเลย ผีสาวมโนราหน์ ันเธอก็ไม่ไปไหนนะ เที่ยววนเวยี นให้คนเห็นบ่อย ๆ บางทีก็มาเป็นเสียงคน
ร้องบทโนราห์ แบบ ว่า อ้อ ออ ออ อ้อ ออ ออ... คนบ้านที่ใกล้ ๆ จุดนันอยู่ไม่เป็นสุขสักคน กลัวเดินมาหาท่ี
บ้าน ผ่านไปคร่ึงปีได้ ต้ารวจก็ยังจับคนท้าไม่ได้ แต่พอถึงวันนึงก็มีการแตกตื่นอีก มีผู้ชายไปผูกคอตายซ้าที่ต้น
ขนุนต้นนัน มีคนผ่านไปเจอพอเจอศพก็ไม่รู้ว่าใคร รองเท้าไม่ใส่ มีรอยเดินตรงมาท่ีต้นขนุนแล้วก็ผูกคอเลย
พอสืบไปสืบมาเปน็ คนอกี หมบู่ ้านใกล้ ๆ กนั น่เี อง คนกพ็ ากนั กลวั ลกั ษณะคือ นา่ จะเดนิ ข้ามเขามาเพราะมีรอย
ตีนเห็นชัดนะ แต่ท้าไมถึงต้องเดินข้ามเขาเพื่อมาผูกคอตายท่ีต้นขนุนต้นนันด้วย จนหลาย ๆ คนพากันบอกว่า
คงโดนผีสาวนันอ้ามาผูกให้ตายตามแน่ ๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดหรอกนะว่า ชายคนที่ตายน่าจะเป็นคนข่มขืน
ผูห้ ญงิ คนนัน แต่เขาได้ยินพ่อคุยกับแมเ่ ขาวา่

"กวู า่ ไอ้บ่าวนันแนะ ขม่ ขืนแล้วผูกคออีสาวนนั มนั เลยเอาคืน"

ทุกคนคิดว่าน่าจะจบแล้ว แต่พอผ่านไปอีกเดือน ก็มีคนเจอศพผู้ชายมาผูกคอตายอีกคนซ้าจุดเดิมเลย
คนในหมู่บ้านบางคนก็รู้จักว่าเป็นคนพัทลุง ข้ามเขามาเท่ียวเล่นจีบสาวในหมู่บ้านประจ้า คนก็งงกันไปอีก
เพราะรถเครื่องขับเข้ามาจอดทิงไว้ใกล้ ๆ แล้วก็เดินดุ่ย ๆ เข้าไปผูกคอตายเหมือนศพแรกเลย ผู้ใหญ่บ้านก็ทน
ไม่ไหวแล้ว คนมาตายท่ีเดิม รวมผู้หญิงด้วยก็ ๓ ศพแล้ว เสียชื่อหมู่บ้านท่ีสงบหมด ก็ฟันธงแล้วว่าเป็นผีสาวใน

วรรณสารฉบบั ท่ี ๖๑ วิลาสวฒั นธรรมถน่ิ ใต้ หนา้ ๑๓๑

ต้นขนุนท้าแน่ ๆ แกเลยบอกจะพาคนมาโค่นต้นขนุนทิง พอตอนเช้าก็มีคนไปเจอรถเคร่ืองผู้ใหญ่บ้าน ตะแคง
ล้มอยใู่ นปา่ หญ้าคาข้างทาง คนก็ตามหากนั ไปเจอลงุ ผ้ใู หญน่ อนหลับอยูห่ ลงั พระพุทธรปู ในวัด ผใู้ หญ่บา้ น ก็
บอกแกขับรถเครื่องไปบ้านเพื่อนท่ีอีกหมู่บ้าน เรื่องจะหาคนมาตัดต้นขนุนทิง เพราะคนในหมู่บ้านไม่กล้าตัด
พอขากลับมาถึงจดุ เกิดเหตุ แกวา่

"อีโนราหน์ ันแนะ มายนื โบกรถขา้ งทาง กกู ็บิดหนี วงิ่ ตามแล้วโดดซอ้ นทา้ ย หน้ามนั
จะแปะหนา้ กูเลย กเู ลยทงิ รถแล้วว่ิงเข้ามานอนในวัดนแี นะ"

ผ่านไป ๒ ศพแล้ว แถมเฮียนเพิ่มขึนขนาดออกมาว่ิงยิกผู้ใหญ่บ้านแล้วก็ไม่มีใครกล้าลองของ จ้าได้ว่า
พอค้่า แมก่ ็จะปดิ บา้ นพาเขานอนทันที ถ้าเกดิ ใครมาเปิดเพลงโนราหใ์ ห้ได้ยนิ จะสะดงุ้ กลัวกนั เปน็ แถว ๆ

จนวันนึงก็มีตา้ รวจเข้ามาในหม่บู า้ นอีก แล้วพาตัวน้าพงศ์คนในหมู่บา้ นไป พอ่ ไปฟงั ขา่ วเลยร้วู ่าน้าพงศ์
มาสารภาพผิดกับผู้ใหญ่บ้าน ขอให้เรียกต้ารวจมาจับเขาไปรับโทษ เขาสารภาพว่า เป็นเขาเองกับคนที่ตายไป
ทัง ๒ คนก่อนหน้าน่ันแหละที่เป็นคนข่มขืนแล้วจับโนราห์สาวคนนันผูกคอปิดปาก พอแกเห็น ๒ คนนันตาย
เหมือนท่ีท้ากับสาวคนนันเขาก็กลัว เขาบอกแกแทบไม่กล้าไปไหนเลยกลางคืน ขียังต้องขีใส่ถุงบนบ้าน เพราะ
หอ้ งนา้ อยูแ่ ยกจากบ้าน แถมตอนกลางคืนกม็ เี สียงคนมาเดนิ รอบบ้าน ร้องบทโนราห์กวนทงั คนื จนกินไมไ่ ด้นอน
เขายงั ไม่อยากตายชิงมามอบตัวขอรับผิด

ทุกวันนีน้าพงศ์พ้นคุกออกมาแล้ว และได้โกนหัวไปบวชเป็นพระอยู่ที่วัดวัดนึงท่ีนครศรีธรรมราช
บอกว่าจะบวชไม่สึกเพราะถ้าสึกคงไม่รอดแน่ ๆ ผู้หญิงคนนันเค้าไม่ยอมอโหสิกรรมให้มาเข้าฝันว่า จะรอเอา
หลวงน้าพงศ์มาผูกคอที่ต้นขนุนต้นนันให้ได้ จะรอจนกว่าหลวงน้าพงศ์จะสึก ปัจจุบันนีต้นขนุนต้นนันก็ยังอยู่
เพราะไม่มีใครกล้ายุ่งแถมยังมีผ้าแพร ๗ สีผูกเต็มต้น มีคนสร้างศาลเล็ก ๆ ให้อยู่ด้วย เพื่อไม่ให้ออกมาก่อกวน
คน แต่ก็มีคนเจออยู่เป็นระยะคงเพราะแค้นมากจึงยังไงก็ไม่ยอม หลวงน้าพงศ์ท่านก็ไม่ยอมสึกมาตาย
เหมอื นกนั

วรรณสารฉบับท่ี ๖๑ วิลาสวฒั นธรรมถน่ิ ใต้ นางพมุ ไข่แกว้ : ปราชญ์ชาวบา้ น
ปยิ าภรณ์ ทิพยท์ อง : เล่าความ

หนา้ ๑๓๒

หน่งึ บยั หน่ึงบุญ หนงึ่ บาป

หนึ่งคนผู้ใฝ่หา หนง่ึ คนผู้ตอ้ งการ และหนงึ่ คนผู้ยอมจา้ นน เก่ยี วกบั เรอ่ื งราวภาษติ สอนใจในบริบทของ
ศาสนาอิสลาม ความอยากรู้ อยากได้ และสิ่งท่ีควรจะได้ น้าเสนอเรื่องราวผ่านตัวละคร ๓ บุคลิก ซ่ึงท้ายท่ีสุด
ได้แฝงแง่คิดและเครื่องเตือนใจในการด้ารงชีวิตของทุกคน เพื่อความมีสติเห็นถึงปัญญาและคุณค่าในการ
กระท้า เรอื่ งราววรรณกรรมท้องถ่ิน ตา้ บลเกาะยาวนอ้ ย อา้ เภอเกาะยาว จงั หวัดพงั งา เลา่ ความได้ดังนี

มีบัยคนหนึ่ง คือ คนท่ีเรียนรู้ในหลักการของศาสนาอิสลาม บัยคนนีได้เล่าเรียนด้านศาสนาจนกระทั่ง
รู้จัก หรือเรียนรู้ถึงพระผู้เป็นเจ้า ตนจึงมีความคิดว่าอยากเดินทางไปหาพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าอยู่ไหน ...
หลังจากท่ีมีความคิดแบบนีตนเลยตัดสินใจเดินทางไปหาพระผู้เป็นเจ้า จากนันจึงเร่ิมต้นการออกเดินทาง
ระหว่างการเดินทางนัน บยั ผูน้ ไี ดพ้ บกบั โต๊ะอีหม่าม คือ ผ้นู ้าศาสนาของอสิ ลาม ท่มี คี วามรู้และเป็นแบบอย่างที่
ดใี ห้แกค่ นในชมุ ชน โตะ๊ อหี มา่ มคนนีเลยถามบยั ไปว่า

โตะ๊ อิหม่าม : “อไี ปไหนเลา้ ”
บัย : “ผมก้าลงั เดนิ ทางไปหาเป็นเจ้า”

หลงั จากทโ่ี ต๊ะอิหม่ามได้ยินเช่นนัน เขาเลยหัวเราะแลว้ พูดตอ่ ว่า

โต๊ะอิหม่าม : “ไปหาเป็นเจ้าเห้อ ฮะ ฮะ ฮ่า ขนันขวากถามถึงเป็นเจ้ากัน กูมาหยัง
(ละหมาด) จนว่าหน้าผากด้านหมดแล้ว ขวากถามเป็นเจ้ากันว่าเตรียมสวรรค์ให้กูแล้วม่าย
กตู ้องโหยส๊ วรรคช์ นั ไหน ขวากบอกเปน็ เจ้ากันน้อ”

บัยกร็ ับปากด้วยความเตม็ ใจวา่ “ครบั ”

หลงั จากนนั บัยก็ออกเดินทางตอ่ จนกระทง่ั ไปพบกบั ยาจกซึ่งเป็นคนที่ไมด่ ี เพราะยาจกคนนเี ปน็ คนที่
ทา้ แตเ่ ร่ืองเลวร้ายทงั หลาย รา่ งกายสกปรกมอมแมม ซ่ึงต่างกบั โตะ๊ อีหมา่ มอยา่ งลบิ ลวิ่ เมื่อยาจกเห็นบัยคนนี
เดนิ ทางมา ยากจกจึงถามวา่

ยาจก : “เอ้าไปไหนเลา้ ”
บัย : “กูไปหาเป็นเจ้า”
หลงั จากนนั ยาจกก็ถามต่อด้วยความโศกเศร้าเสยี ใจวา่
ยาจก : “มึงไปหาเป็นเจา้ เห้อ กูขวากถามเป็นเจ้ากันน้อ กูท้าเลวมามากมายชีวิตนีกไู ม่
มาหยัง กูไม่ท้าอิบาดะห์อะไรเลย ไม่ท้าไรสักส่ิงนึงของท่ีเขาใช้ กูลักของมัง แหลงขีหกมัง

วรรณสารฉบับท่ี ๖๑ วิลาสวัฒนธรรมถน่ิ ใต้ หน้า ๑๓๓

สารพัด กูนีท้าเลวมาทังชีวิตแล้ว กูเลยขวากถามเป็นเจ้ากันว่าต้องลงนรกขุมไหน กูหมดแล้ว
ชีวติ นกี ูไม่เอาแลว้ กูได้เตรยี มตัว กขู วากถามเป็นเจา้ กนั ”

บยั ผู้นีกร็ บั ปาก หลงั จากทบี่ ัยรับปากยาจกคนนเี สรจ็ แลว้ บัยกเ็ ดนิ ทางต่อไปเรอ่ื ย ๆ เพ่ือไปหาเปน็ เจ้า
ในนิทานเร่อื งเล่าเรอ่ื งนีไม่ได้บอกวา่ บยั พบพระผู้เปน็ เจ้าหรอื ไม่ แตใ่ นนิทานจบดว้ ยค้าถาม ใครจะได้ขึนสวรรค์
ใครจะได้ลงนรก อนั เกิดจากการกระท้าของตัวละคร ๓ ตวั ละครนี โดยให้ผฟู้ งั ได้พินจิ คิดด้วยตนเอง

แปลไทยเปน็ ไทย : ศพั ท์ไทยท้องถน่ิ (ดนิ สตูล)
อี หมายถึง จะ
โหย๊ หมายถึง อยู่
อิบาดะห์ หมายถึง การทา้ ความดี
ไหนเลา้ หมายถึง ไหนละ่
มาหยงั หมายถึง ละหมาด
ยาจก หมายถงึ คนไม่ดี
สักสิง่ นงึ หมายถึง อยา่ งหนงึ่
ลัก หมายถงึ ขโมย
จนว่า หมายถงึ จนกว่า
โตะ๊ อหี มา่ ม หมายถงึ ผนู้ า้ ศาสนาของอิสลาม
เป็นเจ้า หมายถงึ พระผ้เู ป็นเจ้าของศาสนาอสิ ลาม
ขวาก หมายถึง ฝาก

“หนึง่ บัย หน่ึงบญุ หนงึ่ บาป”
เสน็ ดาวเรอื ง : ปราชญช์ าวบา้ น
นางสาวกนกวรรณ นาคสงา่ : เลา่ ความ

วรรณสารฉบับท่ี ๖๑ วลิ าสวฒั นธรรมถิน่ ใต้ หนา้ ๑๓๔

เมอื งพับแพว : เมอื งเรน้ ลับบนเขาพญาบังสา

กาลครังหน่ึงนานมาแล้ว มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งช่ือว่า เมืองพับแพว ซึ่งเป็นเมืองเร้นลับบนเขาพญาบงั สา
โดยมีเร่ืองเล่าต่อ ๆ กันมาว่า มีชายคนหนึ่ง ช่ือว่า นายหมูด ซ่ึงเป็นชายหนุ่มรูปงาม อายุประมาณ ๑๙ ปี
มีอาชีพรับพายเรือจ้างบริเวณทุ่งปาดังกลิง ระหว่างควนโพธ์ิกับฉลุง อยู่มาวันหน่ึงพายเรือจนมืดค่้า ได้พบกับ
ชายชราคนหนง่ึ ขออาศัยเรือกลับมาด้วย พอมาถึงท่าเทียบเรือชายชราคนนันบอกว่า ให้น้ากงุ้ เสยี บ หอย ไปยัง
สถานท่ีแห่งหนึ่งแล้วจะได้พบกับของดี แต่นายหมูดสดันไม่ท้าตาม แต่ด้วยชราคนนันได้มาหาหลายครัง ท้าให้
นายหมูดท้าตามค้าบอกเล่า และท้าให้เขาได้พบกับผู้หญิงรูปงามที่มีผมยาวสลวย หลังจากนันนายหมูด
ก็ลืมตัวไปมารู้สึกตัวอีกที่ก็อยู่ ณ เมืองแห่งหน่ึง ซ่ึงพวกเราเรียกว่า เมืองพับแพรว ซ่ึงเมืองพับแพรวจะมีอยบู่ น
ภูเขาพญาบังสา สภาพทั่วไปที่เห็นจะมีตลาดนัด มีการท้านา มีการปลูกผัก และสภาพทั่วไปของเมืองนีก็
เหมือนกับบ้านของเรา แต่เมืองนีมีข้อแม้ว่าทุกคนห้ามพูดโกหก มิฉะนันจะอยู่ที่เมืองแห่งนีไม่ได้ เมื่อเวลาผ่าน
ไปอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ นายหมูดก็อยู่กับผู้หญิงสวยคนนีดั่งสามีภรรยา ท้านา ท้าสวน เหมือนกับวิถี
ชีวิตทั่วไป จนกระทงั ไดล้ ูกหญงิ หนง่ึ คน ชายหนึ่งคน อยู่มาวันหนึง่ ภรรยาก็ได้ไปเก็บโล้กแตง (แตงโม) ปล่อยให้
นายหมูดเลยี งลกู อยู่ท่บี ้านตามลา้ พงั ลูกคนนีกร็ อ้ งไมย่ อมหยดุ นายหมูดไมร่ จู้ ะท้ายงั ไง ก็ได้พูดไปวา่

นายหมดู : “หยุดร้องโลก้ โดมะ๊ มาแลว้ แน่ง แนง่ ”
แต่ในทันใดน่ันเอง ภรรยาท่ีเก็บโล้กแตงอยู่ ก็รู้โดยสัญชาติญาณ ว่าสามีของตนได้พูดโกหกไปแล้ว
ก็เลยวิ่งกลับมาบ้านด้วยความเสยี ใจ นายหมูดเองกร็ สู้ ึกตวั เอง กเ็ สยี ใจเหมอื นกัน
ภรรยากบ็ อกนายหมูดว่า “ได้เวลาแลว้ ทีเ่ ตนิ จะต้องหลบไปโยบ๋ ้านเดิมที่หอนโย๋ เพราะเตินไดท้ า้ ผิดกฎ
ของเมืองพบั แพรว คือ แหลงขีหก”
นายหมูด : “ขอไดห้ ม้าย ขอสกั หนได้หมา้ ย ”
ภรรยากบ็ อกนายหมูดวา่ : “หมา้ ยด้าย ๆ กฎกค็ อื กฎ”

นายหมูดก็ขออ้อนวอน แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะกฎของคนเมืองพับแพรว ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้
หลังจากนนั ต่างคนตา่ งร้่าลาด้วยความอาลัย และเสียใจอยา่ งสุดซึง กอ่ นเดนิ ทางกลบั ภรรยาและญาติพี่น้องก็ได้
มอบของฝากแก่นายหมูด ซ่ึงเป็นขมินแล้วนายหมูดก็เอาของฝากนันผูกมัดใส่ในชายผ้าขาวม้า แล้วก็เดินกลับ
ด้วยความเสียใจ ท้าไม่สนใจกับของฝากมากนัก ระหว่างเดินทางกลับขมินก็ตกหล่นหายไปทีละน้อย ทีละน้อย
จนมาถึงบ้านนายหมูด นายหมูดก็โยนผ้าขาวม้าไปไว้ท่ีซองตู ด้วยความเสียใจที่ต้องจากภรรยาและลูกมาจึงไม่
สนใจกบั ของฝากนนั เลย หลังจากนนั หลายวันก็มาเปิดดดู ้วยความคิดถึงภรรยาและลูก พอเปิดดขู มนิ ทเ่ี หลืออยู่
ก็มีอยู่น้อยนิด กลับกลายเป็นทองขึนมา หลังจากนันนายหมูดก็กลายเป็นคนเจ้าชู้ แต่ทว่ามีภรรยาก่ีคนก็

วรรณสารฉบับที่ ๖๑ วลิ าสวฒั นธรรมถนิ่ ใต้ หน้า ๑๓๕

เสียชีวิตหมดทุกคน ยกเว้นนางม๊ะ ด้าพิลา ภรรยาคนปัจจุบันท่ีอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า โดยมีลูกด้วยกันทังหมด
๖ คน ซึ่งทุก ๆ ปีลูกที่ได้กับคนเมืองพับแพรวจะมาเยี่ยมทุกปี โดยครอบครัวของนายหมูดเท่านันที่เห็นตอนท่ี
แกเสียชีวิต และก็มีคนเห็นลูกคนธรรพ์มาไว้อาลัยด้วยเช่นกัน อีกทังยังเป็นท่ีน่าแปลกใจ ลูกชายของนายหมูด
คือ นายหมาด ด้าพิลา เป็นคนท่ีมีความชา้ นาญในเร่ืองของการจบั ปลา อาจจะเป็นเพราะมีพ่ีน้องเป็นพับแพรว
ทา้ ใหน้ ายหมาด ด้าพลิ า มีความเชย่ี วชาญในการจับปลา

แปลไทยเป็นไทย : ศพั ท์ไทยท้องถน่ิ (ดินสตลู ) สดนั หมายถงึ ดือดัน
ซองตู หมายถึง ขา้ งประตบู ้าน โลก้ หมายถึง ลกู
โล้กแตง หมายถึง แตงโม มะ๊ หมายถึง แม่
โด หมายถงึ นนู้ หลบ หมายถงึ กลบั
แน่ง หมายถงึ นงิ่ โย๋ หมายถงึ อยู่
เติน หมายถงึ คา้ ที่คนใตใ้ ชเ้ รียกคยุ กนั โยแ๋ หลง หมายถงึ พดู
หอน หมายถึง เคย หม้าย หมายถึง ไม่
ขีหก หมายถึง โกหก ด้าย หมายถงึ ได้
สักหน หมายถึง สักครงั

แปลไทยเปน็ ไทย : นายธารา สลีมนี : ปราชญช์ าวบา้ นทอ้ งถนิ่ จังหวัดสตลู

“เมืองพับแพว : เมืองเร้นลบั บนเขาพญาบงั สา”
นายธารา สลีมนี : ปราชญ์ชาวบา้ น

ศนู ย์ปฏบิ ัตกิ ารสว่ นกลาง. ๒๕๕๓. ชุมชนทอ่ งเที่ยวบ้านพญาบังสา. : ขอ้ มูล
นางสาวภทั ราภรณ์ กูมุดา : เลา่ ความ

วรรณสารฉบบั ท่ี ๖๑ วิลาสวฒั นธรรมถิ่นใต้ หนา้ ๑๓๖

ผ้เู รียบเรยี ง

นายวรวฒุ ิ ศริ บิ ุญช่วย นักศกึ ษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐
นายสราวธุ เสน็ สามารถ นกั ศกึ ษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐
นางสาวธรี าพร วายุภักด์ิ นักศกึ ษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐
นางสาวขวัญใจ สืบตนั นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐
นางสาวธญั รดา พิเคราะห์ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐
นางสาวกนกวรรณ นาคสง่า นกั ศกึ ษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐
นางสาววนชุ อนิ ทวงษ์ นกั ศึกษาสาขาวชิ าภาษาไทย ๖๐
นางสาวโรฮานี ด้าแดสา นกั ศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐
นางสาวทิพย์นภา ทา้ เครื่อง นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐
นางสาวจนั ทมิ า สงิ หภ์ มร นกั ศกึ ษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐
นางสาววณิชยา หวังผล นักศึกษาสาขาวชิ าภาษาไทย ๖๐
นาวสาวภัทราภรณ์ สคุ นธากรณ์ นกั ศกึ ษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐
นางสาวอรวรรยา ขลิกคา้ นักศึกษาสาขาวชิ าภาษาไทย ๖๐
นางสาวภัทราภรณ์ กูมุดา นกั ศึกษาสาขาวชิ าภาษาไทย ๖๐
นางสาวปภัศรา ครี พี นั ธุ์ นักศกึ ษาสาขาวชิ าภาษาไทย ๖๐
นางสาวนจุ รี เริงสมทุ ร นกั ศกึ ษาสาขาวชิ าภาษาไทย ๖๐
นางสาวนรู ฏ์ฮัยฟาร์ คอลออาแซ นกั ศกึ ษาสาขาวชิ าภาษาไทย ๖๐
นางสาวลัดดาวัลย์ สิโปด นักศึกษาสาขาวชิ าภาษาไทย ๖๐
นางสาวปยิ าภรณ์ ทิพยท์ อง นักศกึ ษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐
นางสาวประสุตา ส่งเสริม นกั ศกึ ษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๐
นางสาวกรรณิการ์ สขุ สมบรู ณ์ นกั ศึกษาสาขาวชิ าภาษาไทย ๖๑
นางสาวสุพติ ตา ชนะจิตวิกุล นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑
นางสาวสริ ิยากรณ์ ราโชกาญจน์ นักศกึ ษาสาขาวิชาภาษาไทย ๖๑
นางสาวนัทธมน รตั นตรัง นกั ศึกษาสาขาวชิ าภาษาไทย ๖๑

วรรณสารฉบับท่ี ๖๑ วิลาสวฒั นธรรมถ่ินใต้ หน้า ๑๓๗

ปรชั ญาของสาขาวิชาภาษาไทย

การสอื่ สาร ภาษาไทย สมสมัย สรา้ งสรรค์ สร้างอาชีพ

คุณลักษณะพฤตกิ รรมนกั ศึกษาของสาขาวชิ าภาษาไทย
บคุ ลิกภาพดี มีคุณธรรม มงุ่ มนั่ ใฝ่รู้ ส้งู งาน

วรรณสารฉบบั ที่ ๖๑ วิลาสวฒั นธรรมถิ่นใต้ หนา้ ๑๓๘


Click to View FlipBook Version