The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน.วิทย์.ม2-แรงและแรงลัพธ์-RD31

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Duangkamol Nong Puangkaew, 2023-08-28 03:23:02

วิจัยในชั้นเรียน.วิทย์.ม2-แรงและแรงลัพธ์-RD31

วิจัยในชั้นเรียน.วิทย์.ม2-แรงและแรงลัพธ์-RD31

คำนำ การจัดการเรียนรู้ เป็นกระบวนการที่สำคัญในการนำหลักสูตรสู่การพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามเป้าหมายที่ หลักสูตรกำหนด ครูผู้สอนจึงควรให้ความสำคัญและสรรหากระบวนการการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด ทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ นำพาให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญของ ผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ดี ผู้เรียนควรได้มีส่วนร่วมในการออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้/กระบวนการเรียนรู้ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างผู้เรียน พัฒนาผู้เรียนให้สอดคล้องกับ พัฒนาการทางสมอง และมุ่งเน้นความรู้คู่คุณธรรม จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีความ หลากหลาย ทันสมัย เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ธรรมชาติของวิชาให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าหรือเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ ตามความสนใจ ใช้สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง โดยมีครูผู้สอนเป็นผู้อำนวย ความสะดวก ทั้งนี้ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ยึดหลักการว่า ผู้เรียนทุกคนสามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้โดยการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนให้สามารถ พัฒนาตนเองได้ ได้ลงมือศึกษาค้นคว้า คิดแก้ปัญหา และปฏิบัติงานเพื่อสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยมีครูผู้สอน เป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุนจัดสถานการณ์ให้เอื้อต่อการเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยในฐานะผู้สอนจึงสนใจที่เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) กับการจัดการเรียนการสอนตามปกติว่าแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร และศึกษาพฤติกรรมการ ทำงานกลุ่มของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนและพัฒนาคุณภาพผู้เรียน อันเป็นประโยชน์ในการจัดการ เรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ดวงกมล เล็กสวาสดิ์ ผู้จัดทำ


สารบัญ หน้า คำนำ บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ สารบัญ บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาของปัญหาและปัญหา.......................................................................... 7 วัตถุประสงค์ของการวิจัย........................................................................................ 8 สมมติฐานของการวิจัย............................................................................................ 8 ความสำคัญและประโยชน์ของการวิจัย................................................................... 8 ขอบเขตของการวิจัย............................................................................................... 9 การนิยามคำศัพท์เฉพาะ.......................................................................................... 9 บทที่ 2 หลักการ แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง................................................................................................. 17 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง...................................................................................... 35 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ....................................................................................... 36 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล......................................................................................... 38 การวิเคราะห์ข้อมูล.................................................................................................. 39 การวิเคราะค่า IOC.................................................................................................. 40


บทที่ 4 ผลการวิจัย สัญลักษณ์ในการนำเสนอข้อมูล............................................................................... 42 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................. 45 บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจัย........................................................................................................ 46 การอภิปรายผล........................................................................................................ 48 ข้อเสนอแนะ............................................................................................................ 49 บรรณานุกรม ภาคผนวก แผนการจัดการเรียนรู้................................................................................................ 51 ใบงาน/แบบทดสอบ................……………………………………………………..………….……... 54 แบบประคุณลักษณะอันพึงประสงค์........................................................................... 63 แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียน.................................................................................... 65 ตารางการหาค่า IOC.................................................................................................. 67 บันทึกหลังจัดการเรียนรู้............................................................................................. 70


บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาวิธีเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ให้เอื้อต่อการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนทุกคนมีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด เรื่องแรงและ แรงลัพธ์ 2. เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้ดีขึ้นและเป็นแนวทางในการพัฒนาการสอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยชุดกิจกรรมการเรียน ได้แก่ 1. รูปแบบการเรียนการสอนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) 2. แบบบันทึกคะแนน ใบงานและใบกิจกรรมของนักเรียน 3. แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนและแบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน ผลจากการจัดการเรียนการสอนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) มาใช้ในการ เรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ผลปรากฎว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 3.98 คะแนน และ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 7.11 คะแนน ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เท่ากับ 3.13 คะแนน และนักเรียนทุกคนมีคะแนนสูงขึ้นกว่าเดิมโดยมีคะแนนความก้าวหน้าเมื่อเทียบระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับ คะแนนหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 78.64 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ลดลง นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใน รายวิชาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และกิจกรรมกลุ่มของนักเรียนทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีและเอื้อต่อการเรียนการ สอน ช่วยให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นสนใจ ตั้งใจ และมีความรับผิดชอบต่อการเรียนมากขึ้น อีกทั้งยังช่วย กระตุ้นให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ช่วยสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในกลุ่ม รู้จักแก้ปัญหา ร่วมกัน ทำงานเป็นทีมระดมความคิดของหลายคน ซึ่งแนวทางนี้เหมาะสมในการแก้ปัญหาในชั้นเรียนได้เป็นอย่าง ดี รวมถึงสามารถสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมากผลพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของ นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) จากการ สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียน ทุกกลุ่มมีคะแนนพฤติกรรมการทำงานกลุ่มเพิ่มขึ้น *******************************************


กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยชั้นเรียนฉบับนี้ เป็นการวิจัยเชิงพัฒนาเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 สำเร็จลุล่วงได้ด้วยคณะครู ผู้เชี่ยวชาญ และผู้อำนวยการโรงเรียน ที่กรุณาให้คำปรึกษาพร้อมทั้ง ช่วยเหลือ แนะนำตรวจสอบ แก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ผู้รายงานขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอขอบคุณคณะครู นักเรียนในโรงเรียนทุกคน ที่ให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้สู่งานวิจัยใน ครั้งนี้ด้วยดีและการวิจัยจะส่งผลดีต่อนักเรียนและผู้วิจัยมีแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนได้มากขึ้น คุณค่าและประโยชน์ของรายงานฉบับนี้ ผู้รายงานขอมอบเป็นเครื่องแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณใน ชีวิต ที่ให้การศึกษา อบรมสั่งสอน ให้มีสติปัญญาและคุณธรรมทั้งหลาย อันเป็นเครื่องมือนำไปสู่ความสำเร็จใน ชีวิตของผู้รายงาน และจะนำไปสู่การพัฒนาสังคมได้อีกไม่มีที่สิ้นสุด ดวงกมล เล็กสวาสดิ์ ผู้จัดทำ


บทที่1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญ การจัดการเรียนรู้ที่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ให้ความสำคัญกับความ แตกต่างของผู้เรียนแต่ละคน เพื่อวางรากฐานชีวิตให้เจริญงอกงามอย่างสมบูรณ์ มีพัฒนาการสมวัยอย่างสมดุล ทั้ง ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา การจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนค้นพบและแสดงออกถึง ศักยภาพของตนเอง ครูผู้สอนจึงควรมีข้อมูลผู้เรียนเป็นรายบุคคล สำหรับใช้ในการวางแผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้และนาไปพัฒนาผู้เรียนให้เหมาะสมกับความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน การจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการทางสมอง เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียน ได้รับการพัฒนาได้อย่างเหมาะสมกับการทำงานของสมอง การเชื่อมโยงวงจรสมองการจัดการเรียนรู้ที่ขัดต่อการ ทำงานของสมองจะทำให้เกิดการเรียนรู้ไม่ได้เต็มตามศักยภาพ อีกทั้งต้องคำนึงถึงพัฒนาการทางด้านอารมณ์ของ ผู้เรียนที่เป็นกัลยาณมิตรให้เรียนอย่างมีความสุข โดยใช้ประสบการณ์ตรงด้านร่างกายที่เป็นรูปธรรม ข้อเท็จจริง และทักษะด้านต่าง ๆ ที่ปรากฏในชีวิตจริงตามธรรมชาติ ตลอดจนสื่อการเรียนรู้ที่ดึงดูดความสนใจ เป็นเครื่องมือ ในการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับพัฒนาการทางสมองในแต่ละช่วงวัย จะส่งผลให้ผู้เรียนมีความสนใจ ความ ตั้งใจ มีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ทำงานและอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข การจัดการเรียนรู้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม ด้วยการจัดการเรียนรู้ที่ บูรณาการคุณธรรม จริยธรรม ได้รับรู้ เกิดการยอมรับ เห็นคุณค่าและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเป็นลักษณะนิสัยที่ดี ทำความรู้จัก A.B.L. หรือ Activity Based Learning หรือ “การเรียนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน” ในฐานะ “ตัวจักรสำคัญ” ของการเรียนการสอนยุคใหม่..Learn …How to Learn…..ในการยึดหลักการให้ผู้เรียนสร้างองค์ ความรู้ด้วยตนเอง “Child Centered” ตามหลักการของ Constructionism การเรียนโดยการปฏิบัติจริง Learning by Doing และปฏิบัติเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และแก้ปัญหาได้ Doing by Learning จึงถูกนำมาใช้อย่าง จริงจังในการปฏิรูปการศึกษาของไทย การเรียนแบบ Learning by Doing นั้นใช้ “กิจกรรม Activity” เป็นหลัก ในการเรียนการสอน โดยการ “ปฏิบัติจริง Doing”ในเนื้อหาทุกขั้นตอนของการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทุกคนในกลุ่มเป็นผู้ปฏิบัติ คุณครูเป็นพี่เลี้ยงและเทรนเนอร์แต่กิจกรรมที่นำมาใช้นี้ต้องมีประสิทธิภาพในการ เรียนรู้เนื้อหานั้นๆ มีจุดมุ่งหมาย สนุก และน่าสนใจ ไม่ซ้ำซากจนก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย ดังนั้น คุณครูจึงเป็น “นักออกแบบกิจกรรม Activity Designer”มืออาชีพ ที่สามารถ “มองเห็นภาพกิจกรรม” ได้ทันที เมื่ออ่านเนื้อหา จบลง...สิ่งที่คุณครูต้อง “สร้าง Constructed”ให้เกิดมีขึ้นในตัวคุณครูในเวลานี้ก็คือ “ความคิดวิเคราะห์ critical Thinking” เพื่อจะได้รู้ความต้องการและความคิดแท้จริงของนักเรียน..เพื่อเข้าใจความต้องการของกลุ่ม ทันสมัยอยู่ เสมอ ไม่ตกยุค..คุณครูต้องมี “ความคิดสร้างสรรค์ Creative Thinking” เพื่อจะได้มีความสามารถสร้างสรรค์ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ใหม่และน่าสนใจอยู่เสมอ... บทความนี้ ดูผิวเผินก็น่าจะเป็นที่ลำบากใจของคุณครู แต่ความ จริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะในรายวิชาต่างๆ ก็ “ล้วนมีวิธีการเรียนการสอน” อันเหมาะสมกับรายวิชานั้นๆ อยู่แล้ว ขอแต่เพียงคุณครู “จัดกิจกรรมของรายวิชา” อย่างจริงจัง “ที่ไม่ใช่การบอกความรู้” แต่ “เป็นการเรียนรู้” ของ นักเรียนจริงๆเท่านั้น...คุณครูก็เติมสีสันลงไปอีกตามความเหมาะสม ก็จะทำให้การเรียนการสอนของเราน่าสนใจไม่ น้อยเลยทีเดียว.... การเรียนโดยใช้ “กิจกรรมหรือ Activity Based Learning” ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะแต่เดิมก็ ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว


บทบาทครูผู้สอน การสำรวจประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียน ครูผู้สอนควรคำนึงว่าผู้เรียนแต่ละคนมี วิธีการเรียนรู้ (Learning Styles) แตกต่างกัน ดังนั้น ครูผู้สอนควรจะต้องให้เวลาในการเรียนรู้และให้โอกาสกับ ผู้เรียนได้ค้นพบวิธีการเรียนรู้ของตนเอง จึงจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและทาให้การเรียนรู้นั้นมีความหมายต่อผู้เรียน การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity-Based Learning) เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนา มาจากแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เผยแพร่ในปลายศตวรรษที่ 20 ที่เรียกว่าการเรียนรู้ที่เน้นบทบาท และ การมีส่วนร่วมของผู้เรียน หรือ “การเรียนรู้เชิงรุก” (Active Learning) ซึ่งหมายถึงรูปแบบการเรียนการสอน ที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ และบทบาทในการเรียนรู้ของผู้เรียน "ใช้กิจกรรมเป็นฐาน" หมายถึงเอากิจกรรมเป็นที่ตั้งเพื่อที่จะฝึกหรือพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ กำหนด ลักษณะสำคัญของการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน 1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความตื่นตัวและกระตือรือร้นด้านการรู้คิด 2. กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้จากตัวผู้เรียนเองมากกว่าการฟังผู้สอนในห้องเรียนและการท่องจำ 3. พัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง นอกห้องเรียนอีกด้วย 4. ได้ผลลัพธ์ในการถ่ายทอดความรู้ใกล้เคียงกับการเรียนรู้รูปแบบอื่น แต่ได้ผลดีกว่าในการพัฒนาทักษะ ด้านการคิดและการเขียนของผู้เรียน 5. ผู้เรียนมีความพึงพอใจกับการเรียนรู้แบบนี้มากกว่ารูปแบบที่ผู้เรียนเป็นฝ่ายรับความรู้ ซึ่งเป็นการ เรียนรู้แบบตั้งรับ (Passive Learning) 6. มุ่งเน้นความรับผิดชอบของผู้เรียนในการเรียนรู้โดยผ่านการอ่าน เขียน คิด อภิปราย และเข้าร่วมใน การแก้ปัญหา และยังสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ตามลำดับขั้นการเรียนรู้ของบลูมทั้งในด้านพุทธิพิสัย ทักษะ พิสัย และจิตพิสัย ด้วยเหตุผลและความสำคัญดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงพัฒนากระบวนการได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) เป็นฐาน เพื่อส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิด แก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ศึกษา วิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการวาง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ท้าทายความสามารถของผู้เรียน โดยคำนึงถึงลักษณะการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนที่มีภูมิ หลัง สติปัญญา ความสามารถ ความถนัด รูปแบบการเรียนรู้ ความสนใจ และความต้องการที่แตกต่างกัน และ จัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับพื้นฐานของผู้เรียนและสนองความต้องการของผู้เรียน วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาวิธีเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ให้เอื้อต่อการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนทุกคนมีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด เรื่องแรงและ แรงลัพธ์ 2. เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้ดีขึ้นและเป็นแนวทางในการพัฒนาการสอน


สมมติฐานของการวิจัย รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : การสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) สามารถทำให้นักเรียนบางส่วนที่ไม่เข้าใจบทเรียนนั้น กลับมาเข้าใจบทเรียนมากขึ้นและเรียนรู้ ได้มากขึ้นกว่าคำอธิบายของครูเกิดการเรียนรู้ได้ดี มีพัฒนาการที่เป็นไปตามความสามารถ และเต็มตามศักยภาพ ของแต่ละคน ขอบเขตของการวิจัย 1. กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 36 คน 2. ตัวแปรที่ศึกษาได้แก่ 2.1 ตัวแปรต้น การจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : การสอนโดยใช้ กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) 2.2 ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ 3. การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ผลการการวิจัยครั้งนี้ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ สามารถ นำวิธีการการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) เป็นฐาน ไปปรับใช้และ ประยุกต์ใช้ได้ใน กระบวนการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และแก้ปัญหาได้ 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) เป็นฐาน มีความสามารถในการคิด และสามารถคิดอย่างมีวิจารณญาณและแก้ไขปัญหาที่สูงขึ้นขณะเรียนได้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการสอนแบบใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 3. ใบงาน 4. แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนและแบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน ระยะเวลาการดำเนินงานวิจัย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 รวมระยะเวลา 2 สัปดาห์


นิยามศัพท์เฉพาะ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนของนักเรียนที่ได้จากการประเมินผลก่อนเรียนและหลังเรียน ซึ่งเครื่องมือเป็นข้อสอบที่ครูสร้างขึ้นเองและได้ตรวจสอบคุณภาพแล้ว 2. ความสนใจเรียน หมายถึง การที่นักเรียนแสดงออกถึงความรู้สึกชอบ และพอใจในวิธีสอน ที่ใช้การ สอนโดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบการใช้กระบวนการกลุ่มการพัฒนาการคิด การสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมใน ชั้นเรียน และเอาใจใส่ต่อวิชาที่เรียนอยู่ ด้วยการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลต่างๆ การทำแบบฝึกหัด ด้วยความพอใจ มีความกระตือรือร้นและจดจ่อต่อการเรียนการสอนในชั่วโมง และสนใจซักถาม ปัญหา ในเรื่องที่ครูสอนเมื่อมีข้อสงสัย สนทนา โต้แย้งอภิปรายปัญหาในเรื่องที่เรียน ติดตามเอกสาร หนังสือพิมพ์ หรือตำราเรียนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนด้วยความสมัครใจ 3. กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) หมายถึง การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ กิจกรรมเป็นพื้นฐาน เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้เรียนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดขึ้นไม่จำเป็นต้องเป็นกิจกรรมที่ใหญ่โตหรือใช้พื้นที่ขนาดกว้างมากๆ (แต่บางกิจกรรมก็ จำเป็นต้องใช้) เพราะบางบทเรียนการให้ผู้เรียนทำกิจกรรมด้วยตัวเอง จะทำให้เกิดความเข้าใจในตัวบทเรียนมาก ขึ้นหลังจากการอ่าน การท่องจำหรือการฟังที่ครูสอน อันที่จริงแล้ว ABL นั้นก็มักจะมีให้เห็นอยู่บ่อยๆในการเรียนการสอนบางรายวิชา เช่น วิชาวิทยาศาสตร์ที่มี การทดลองต่างๆเพื่อพิสูจน์ผลลัพธ์การทดลอง วิชาพละศึกษาที่เน้นการทำกิจกรรมผ่านการออกกำลังหรือเล่นกีฬา วิชาคหกรรมและงานฝีมือต่างๆที่ต้องลงมือปฏิบัติจริงเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของการเรียนรู้ แต่ก็ยังมีรายวิชา อื่นๆอีกมาก ที่ยังใช้การเรียนการสอนแบบเก่า คือตาดูหูฟัง อ่านและท่องจำ แต่ที่ว่ามานั้นไม่ใช่ว่าไม่สำคัญ เรายัง จำเป็นต้องเรียนรู้จากพื้นฐานโดยใช้การอ่านและจดจำทฤษฎีต่างๆ การดูและฟังคำอธิบายจากครูผู้สอน ประกอบการเรียน แต่บ่อยครั้ง มันก็ไม่สามารถสร้างความเข้าใจให้กับผู้เรียนได้ทุกคน และบางทีมันก็ทำให้ผู้เรียน เกิดอาการง่วงหงาวหาวนอน เกิดอาการเบื่อและไม่อยากเรียนรู้ขึ้นมาก็ได้ ซึ่งการนำ ABL มาช่วยในการเรียนการ สอนก็จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจ เพิ่มความสนุก สร้างความเข้าใจให้กับผู้เรียนได้เพิ่มมากขึ้น ผ่านกิจกรรมหรือเกมที่ได้ ทำ ได้เห็นคำตอบหรือผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น 4. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ หมายถึง ความสามารถในการตัดสินข้อความหรือปัญหาว่าเป็นข้อเท็จจริง หรือเป็นเหตุเป็นผลกัน เป็นกระบวนการคิดที่ใช้เหตุผลโดยมีการศึกษาข้อเท็จจริง หลักฐาน และข้อมูลต่าง ๆ เพื่อ ประกอบการตัดสินใจ แล้วนำมาพิจารณาวิเคราะห์อย่างสมเหตุผล ก่อนตัดสินใจว่าสิ่งใดควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ 5. การแก้ปัญหา หมายถึง การตระหนักถึงสิ่งที่เป็นปัญหา ทำความเข้าใจปัญหา วิเคราะห์ความสำคัญ สาเหตุปัญหา เงื่อนไขหรือข้อจำกัดของสถานการณ์ปัญหา เพื่อกำหนดขอบเขตของปัญหา เสนอแนวทางวิธีการ แก้ไขปัญหา จากสถานการณ์ของปัญหาได้ตรงประเด็น ซึ่งจะนำไปสู่การคิดเลือกหัวข้อทำกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL)


กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม แบบแผนที่ใช้ในงานวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา เพื่อหาประสิทธิภาพชุดการสอน โดยใช้รูปแบบการวิจัยที่มีการ ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนกับกลุ่มเดียว (Pretest - Posttest One Group Design) มีลักษณะดังนี้ ตารางที่ 1 แบบแผนการทดลอง Pretest Treatment Posttest O1 X O2 เมื่อ O1 แทน การทดสอบก่อนเรียน X แทน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการสอนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) O2 แทน การทดสอบหลังเรียน การเรียนการสอนแบบใช้ กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น และมีค่าผ่านเกณฑ์มาตรฐาน


บทที่2 หลักการ แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้ 1. เอกสารเกี่ยวกับสื่อประกอบการเรียน 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3. การสร้างแบบฝึกประกอบการเรียนการสอน 4. การสอนวิชาการ 5. การเรียนการสอนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. เอกสารเกี่ยวกับสื่อประกอบการเรียน เอกสารเกี่ยวกับสื่อนวัตกรรมประกอบการเรียน ความหมายของการใช้สื่อนวัตกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอน หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ ซึ่งถูกนำมาใช้ในการการเรียนการสอน เพื่อเป็นตัวกลาง ในการนำส่งหรือถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และเจตคติ จากผู้สอนหรือแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียน ช่วยให้การเรียนการ สอนดำเนินไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ และทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของการเรียนการ สอนที่ตั้งไว้ สื่อการสอน (Instructional Media) หมายถึง การนำสื่อมาใช้ในการเรียนการสอนโดยตรง ซึ่งหายถึง การนำวัสดุ เครื่องมือและวิธีการมาเป็นสะพานเชื่อมโยงความรู้ เนื้อหาไปยังผู้เรียนได้ เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ สิ่งที่ถ่ายทอดซึ่งกันและกัน ได้ผลตามจุดมุ่งหมาย สื่อชนิดใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นเทปบันทึก เสียง สไลด์วิทยุ โทรทัศน์ วีดีทัศน์ แผนภูมิ ภาพนิ่ง ซึ่งบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนการสอน สื่อการสอนนับว่าเป็นสิ่งที่มีบทบาทอย่างมากในการเรียนการสอนนับแต่ ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากเป็นตัวกลางที่ช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้สอนและ ผู้เรียนดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้ผู้เรียนมี ความเข้าใจความหมายของ เนื้อหาทบเรียนได้ตรงกับที่ผู้สอนต้องการไม่ว่าสื่อนั้นจะเป็นสื่อในรูปแบบใดก็ตาม ล้วนแต่เป็นทรัพยากรที่สามารถอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น คำว่าสื่อการสอนหรือสื่อการเรียนการสอนเมื่อก่อนนี้จะใช้คำว่าโสตทัศนูปกรณ์ (โสต+ทัศน์+อุปกรณ์) โดยจะประกอบไปด้วย วัสดุและเครื่องมือ ซึ่งการศึกษาค้นคว้าในทางด้านนี้จะเรียกว่า “โสตทัศน์ศึกษา” ถ้าจะมีการเลือกใช้สื่อได้อย่างเหมาะสม สื่อจะช่วยให้การจัดกิจกรรม การเรียนการสอน บรรลุจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน ดังนี้ 1. จูงใจให้ผู้เรียนมีความตั้งใจและสนใจเรียนมากขึ้น 2. ให้ประสบการณ์แก่ผู้เรียนมีความหมาย


3. ก่อให้เกิดเจตคติที่ดีแจะมีความประทับใจในสิ่งที่เรียน 4. อธิบายเนื้อหาวิชาและทักษะกระบวนการต่างๆได้อย่างชัดเจน 5. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนมากขึ้น การใช้สื่อการเรียนการสอน คือตัวกลางหรือช่องทางในการถ่ายทอดองค์ความรู้ ทักษะ และ ประสบการณ์ จากแหล่งความรู้ไปสู่ผู้เรียน ประเภทของสื่อการเรียนการสอน 1. สื่อประเภทวัสดุ ได้แก่สไลด์ แผ่นใส เอกสาร ตำรา สารเคมี สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ และคู่มือการฝึกปฏิบัติ 2. สื่อประเภทอุปกรณ์ ได้แก่ของจริง หุ่นจำลอง เครื่องเล่นเทปเสียง เครื่องเล่นวีดิทัศน์ เครื่องฉาย แผ่นใส อุปกรณ์และเครื่องมือในห้องปฏิบัติกา 3. สื่อประเภทเทคนิคหรือวิธีการ ได้แก่การสาธิต การอภิปรายกลุ่ม การฝึกปฏิบัติการฝึกงาน การจัด นิทรรศการ และสถานการณ์จำลอง 4. สื่อประเภทคอมพิวเตอร์ ได้แก่คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) การนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer presentation) การใช้ Intranet และ Internet เพื่อการสื่อสาร (Electronic mail: E-mail) และ การใช้ WWW (World Wide Web) สื่อการเรียนการสอนตามลักษณะและการใช้ 1. เครื่องมือหรืออุปกรณ์ (Hardware) 2. วัสดุ (Software) 3. เทคนิคหรือวิธีการ (Techinques or Methods) การจำแนกสื่อการเรียนการสอนตามประเภทต่างๆ สื่อการเรียนการสอนจำแนกตามประสบการณ์ 1. ประสบการณ์ตรงและมีความมุ่งหมาย ประสบการณ์ขั้นนี้ เป็นรากฐานสำคัญของการศึกษาทั้งปวง เป็น ประสบการณ์ที่ผู้เรียนได้รับมาจากความเป็นจริงและด้วยตัวเองโดยตรง ผู้รับประสบการณ์นี้จะได้เห็น ได้จับ ได้ทำ ได้รู้สึก และได้ดมกลิ่นจากของจริง ดังนั้นสื่อการสอนที่ไห้ประสบการณ์การเรียนรู้ในขั้นนี้ก็คือของจริงหรือความ เป็นจริงในชีวิตของคนเรานั่นเอง 2. ประสบการณ์จำลอง เป็นที่ยอมรับกันว่าศาสตร์ต่างๆ ในโลก มีมากเกินกว่าที่จะเรียนรู้ได้หมดสิ้นจาก ประสบการณ์ตรงในชีวิต บางกรณีก็อยู่ในอดีต หรือซับซ้อนเร้นลับหรือเป็นอันตรายไม่สะดวกต่อการเรียนรู้จาก ประสบการณ์จริง จึงได้มีการจำลองสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นมาเพื่อการศึกษา ของจำลองบางอย่างอาจจะเรียนได้ง่าย กว่าและสะดวกกว่า


3. ประสบการณ์นาฏการ ประสบการณ์ต่าง ๆ ของคนเรานั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่สามารถประสบได้ ด้วยตนเอง เช่น เหตุการณ์ในอดีต เรื่องราวในวรรณคดี การเรียนในเรื่องที่มีปัญหาเกี่ยวกับสถานที่ หรือเรื่อง ธรรมชาติที่เป็นนามธรรม การแสดงละครจะช่วยไปให้เราได้เข้าไปใกล้ความเป็นจริงมากที่สุด เช่น ฉาก เครื่อง แต่งตัว เครื่องมือ หุ่นต่าง ๆ เป็นต้น 4. การสาธิต การสาธิตคือ การอธิบายถึงข้อเท็จจริงหรือแบ่งความคิด หรือกระบวนการต่าง ๆให้ผู้ฟังแลเห็น ไปด้วย เช่น ครูวิทยาศาสตร์เตรียมก๊าซออกซิเจนให้นักเรียนดู ก็เป็นการสาธิต การสาธิตก็เหมือนกับนาฏการ หรือ การศึกษานอกสถานที่ เราถือเป็นสื่อการสอนอย่างหนึ่ง ซึ่งในการสาธิตนี้อาจรวมเอาสิ่งของที่ใช้ประกอบหลาย อย่าง นับตั้งแต่ของจริงไปจนถึงตัวหนังสือ หรือคำพูดเข้าไว้ด้วย แต่เราไม่เพ่งเล็งถึงสิ่งเหล่านี้ เราจะให้ความสำคัญ กับกระบวนการทั้งหมดที่ผู้เรียนจะต้องเฝ้าสังเกตอยู่โดยตลอด 5. การศึกษานอกสถานที่ การพานักเรียนไปศึกษานอกสถานที่ เป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตเพื่อให้ นักเรียนได้เรียนจากแหล่งข้อมูล แหล่งความรู้ที่มีอยู่จริงภายนอกห้องเรียน ดังนั้นการศึกษานอกสถานที่จึงเป็น วิธีการหนึ่งที่เป็นสื่อกลางให้นักเรียนได้เรียนจากของจริง 6. นิทรรศการ นิทรรศการมีความหมายที่กว้างขวาง เพราะหมายถึง การจัดแสดงสิ่งต่างๆเพื่อให้ความรู้แก่ ผู้ชม ดังนั้นนิทรรศการจึงเป็นการรวมสื่อต่าง ๆ มากมายหลายชนิด การจัดนิทรรศการที่ให้ผู้เรียนมามีส่วนร่วมใน การจัด จะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีโอกาสคิดสร้างสรรค์มีส่วนร่วม และได้รับข้อมูลย้อนกลับด้วยตัวของเขาเอง 7. โทรทัศน์และภาพยนตร์ โทรทัศน์เป็นสื่อการสอนที่มีบทบาทมากในปัจจุบัน เพราะได้เห็นทั้งภาพและได้ ยินเสียงในเวลาเดียวกัน และยังสามารถแพร่และถ่ายทอดเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้ด้วย นอกจากนั้นโทรทัศน์ยังมี หลายรูปแบบ เช่น โทรทัศน์วงจรปิด ซึ่งโรงเรียนสามารถนำมาใช้ในการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมี โทรทัศน์วงจรปิด ที่เอื้อประโยชน์ต่อการศึกษาอย่างกว้างขวาง ภาพยนตร์เป็นสื่อที่จำลองเหตุการณ์มาให้ผู้ชมหรือ ผู้เรียนได้ดูและได้ฟังอย่างใกล้เคียงกับความจริง แต่ไม่สามารถถ่ายทอดเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้ ถึงอย่างไรก็ ตามภาพยนตร์ก็ยังนับว่าเป็นสื่อที่มีบทบาทมากในการเรียนการสอน เช่นเดียวกันกับโทรทัศน์ 8. ภาพนิ่ง การบันทึกเสียง และวิทยุ ภาพนิ่ง ได้แก่ ภาพถ่าย ภาพวาดซึ่งมีทั้งภาพทึบแสงและโปร่งแสง ภาพทึบแสงคือรูปถ่าย ภาพวาด หรือภาพในสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ส่วนภาพนิ่งโปร่งใสหมายถึงสไลด์ ฟิล์มสตริป ภาพ โปร่งใสที่ใช้กับเครื่องฉายวัสดุโปร่งใส เป็นต้น ภาพนิ่งสามารถจำลองความเป็นจริงมาให้เราศึกษาบนจอได้ การ บันทึกเสียง ได้แก่ แผ่นเสียงและเครื่องเล่นแผ่นเสียง เทปและเครื่องบันทึกเสียง และเครื่องขยายเสียงตลอดจน อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเสียงซึ่งนอกจากจะสามารถนำมาใช้อย่างอิสระในการเรียนการสอนด้วยแล้ว ยังใช้กับ รายการวิทยุและกิจกรรมการศึกษาอื่น ๆ ได้ด้วย ส่วนวิทยุนั้น ปัจจุบันที่ยอมรับกันแล้วว่า ช่วยการศึกษาและการ เรียนการสอนได้มาก ซึ่งไม่จำกัดอยู่แต่เพียงวิทยุโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงวิทยุทั่วไปอีกด้วย 9. ทัศนสัญลักษณ์ สื่อการสอนประเภททัศนสัญลักษณ์นี้ มีมากมายหลายชนิด เช่น แผนภูมิแผนภาพ แผน ที่ แผนผัง ภาพโฆษณา การ์ตูน เป็นต้น สื่อเหล่านี้เป็นสื่อที่มีลักษณะเป็นสัญลักษณ์สำหรับถ่ายทอดความหมายให้ เข้าใจได้รวดเร็วขึ้น


10. วจนสัญลักษณ์ สื่อขั้นนี้เป็นสื่อที่จัดว่า เป็นขั้นที่เป็นนามธรรมมากที่สุด ซึ่งได้แก่ตัวหนังสือหรืออักษร สัญลักษณ์ทางคำพูดที่เป็นเสียงพูด ความเป็นรูปธรรมของสื่อประเภทนี้จะไม่คงเหลืออยู่เลย อย่างไรก็ดี ถึงแม้สื่อ ประเภทนี้จะมีลักษณะที่เป็นนามธรรมที่สุดก็ตามเราก็ใช้ประโยชน์จากสื่อประเภทนี้มาก เพราะต้องใช้ในการสื่อ ความหมายอยู่ตลอดเวลา สื่อการเรียนการสอนจำแนกตามคุณสมบัติ 1. ทัศนวัสดุ (Visual Materials) เช่น กระดานดำ กระดานผ้าสำลี แผนภูมิ รูปภาพ ฟิล์มสตริป สไลด์ ฯลฯ 2. โสตวัสดุ (Audio Materials) เช่น เครื่องบันทึกเสียง (Tape Recorder) เครื่องรับวิทยุ ห้องปฏิบัติการ ทางภาษา ระบบขยายเสียง ฯลฯ 3. โสตทัศนวัสดุ (Audio Visual Materials) เช่น ภาพยนตร์ โทรทัศน์ ฯลฯ 4. เครื่องมือหรืออุปกรณ์ (Equipments) เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องฉายฟิล์มสตริปเครื่องฉายสไลด์ 5. กิจกรรมต่าง ๆ (Activities) เช่น นิทรรศการ การสาธิต ทัศนศึกษา ฯลฯ ประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอน 1. สื่อการเรียนการสอนสามารถเอาชนะข้อจำกัดเรื่องความแตกต่างกันของประสบการณ์ดั้งเดิมของ ผู้เรียน คือเมื่อใช้สื่อการเรียนการสอนแล้วจะช่วยให้เด็กซึ่งมีประสบการณ์เดิมต่างกันเข้าใจได้ใกล้เคียงกัน 2. ขจัดปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสถานที่ ประสบการณ์ตรงบางอย่าง หรือการเรียนรู้ 3. ทำให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงจากสิ่งแวดล้อมและสังคม 4. สื่อการเรียนการสอนทำให้เด็กมีความคิดรวบยอดเป็นอย่างเดียวกัน 5. ทำให้เด็กมีมโนภาพเริ่มแรกอย่างถูกต้องและสมบูรณ์ 6. ทำให้เด็กมีความสนใจและต้องการเรียนในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น เช่นการอ่าน ความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ทัศนคติ การแก้ปัญหา ฯลฯ 7. เป็นการสร้างแรงจูงใจและเร้าความสนใจ คุณค่าของสื่อการเรียนการสอนการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนสามารถเอาชนะข้อจำกัดเรื่อง ความแตกต่างกันของประสบการณ์ดั้งเดิมของผู้เรียน คือเมื่อใช้สื่อการเรียนการสอนแล้วจะช่วยให้เด็กซึ่งมี ประสบการณ์เดิมต่างกันเข้าใจได้ใกล้เคียงกัน ขจัดปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสถานที่ ประสบการณ์ตรงบางอย่าง หรือ การเรียนรู้ทำให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงจากสิ่งแวดล้อมและสังคม สื่อการเรียนการสอนทำให้เด็กมีความคิด รวบยอดเป็นอย่างเดียวกัน ทำให้เด็กมีมโนภาพเริ่มแรกอย่างถูกต้องและสมบูรณ์ ทำให้เด็กมีความสนใจและ ต้องการเรียนในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น เช่นการอ่าน ความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ทัศนคติ การแก้ปัญหา ฯลฯ เป็นการ สร้างแรงจูงใจและเร้าความสนใจ ช่วยให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์จากรูปธรรมสู่นามธรรม สื่อการเรียนการสอนมีประโยชน์สำหรับครูผู้สอนอย่างไร สื่อการเรียนการสอนสามรถช่วยการเรียน การสอนของครูได้ดีมากซึ่งเราจะเห็นว่าครูนั้นสามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้มากทีเดียว แถม


ยังช่วยให้ครูมีความรู้มากขึ้นในการจัดแหล่งวิทยาการที่เป็นเนื้อหาเหมาะสมแก่การเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายในการ สอนช่วยครูในด้านการคุมพฤติกรรมการเรียนรู้และสามารถสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนได้มากทีเดียว สื่อการ สอนจะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมหลายๆรูปแบบ เช่น การใช้ศูนย์การเรียน การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การสาธิต การแสดงนาฏการ เป็นต้น ช่วยให้ครูผู้สอนได้สอนตรงตามจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน และยังช่วยใน การขยายเนื้อหาที่เรียนทำให้การสอนง่ายขึ้น และยังจะช่วยประหยัดเวลาในการสอน นักเรียนจะได้มีเวลาในการ ทำกิจกรรมการเรียนมากขึ้นจากข้อมูลเราจะได้เห็นถึงประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอน ซึ่งทำให้เรามองเห็นถึง ความสำคัญของสื่อสารมีประโยชน์และมีความจำเป็นสามารถช่วยพัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกและจัดหาสื่อการเรียนการสอน ในการเลือกสื่อการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อ การเรียนการสอนนั้น ผู้สอนจำเป็นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบในการเลือกสื่อได้แก่ จุดมุงหมายของการสอน รูปแบบและระบบของการเรียนการสอนลักษณะของผู้เรียน เกณฑ์เฉพาะของสื่อ วัสดุอุปกรณ์และตลอดจนสิ่ง อำนวยความสะดวกที่มีอยู่นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเภทของสื่อกับคุณสมบัติเฉพาะและ จุดประสงค์ของการเรียนการสอน การเลือกใช้สื่อในปัจจุบันสามารถทำได้หลายช่องทางไม่ว่าจะเป็นการเรียนด้วย เทคโนโลยีสื่ออิเล็กทอรนิกส์สื่อมัลติมีเดีย ระบบสอนออนไลน์ เกม แอปพลิเคชัน เป็นต้น 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่างๆ ซึ่งเกิดจากนักเรียนได้รับประสบการณ์ จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัดและประเมินผล การสร้างเครื่องมือวัดให้ มีคุณภาพนั้น ได้มีผู้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ดังนี้ สมพร เชื้อพันธ์ (2547) สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ หมายถึงความสามารถ ความสำเร็จและสมรรถภาพด้านต่างๆของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน การฝึกฝน หรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วยวิธีการต่างๆ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2548) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึงขนาดของ ความสำเร็จที่ได้จากกระบวนการเรียนการสอน ปราณี กองจินดา (2549) กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือผลสำเร็จที่ได้รับ จากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่ แตกต่างกัน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2546) ให้ความหมายว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นการวัด ความสำเร็จทางการเรียน หรือวัดประสบการณ์ทางการเรียนที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอน โดยวัดตาม จุดมุ่งหมายของการสอนหรือวัดผลสำเร็จจากการศึกษาอบรมในโปรแกรมต่าง ๆ ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ให้คำจำกัดความผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า คือคุณลักษณะ รวมถึงความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือ มวลประสบการณ์ทั้งปวงที่บุคคลได้รับจากการ


เรียนการสอน ทำให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่างๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมาย เพื่อเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถสมองของบุคคลว่าเรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านใดมาก น้อยเท่าไร ตลอดจนผลที่เกิดขึ้นจากการเรียนการฝึกฝนหรือประสบการณ์ต่างๆ ทั้งในโรงเรียน ที่บ้าน และ สิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวมทั้งความรู้สึก ค่านิยม จริยธรรมต่างๆ ก็เป็นผลมาจากการฝึกฝนด้วย ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากกระบวนการเรียนการสอนที่จะทำให้ นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และสามารถวัดได้โดยการแสดงออกมาทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพิสัย ด้าน จิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความจำเป็นต่อการเรียนการสอน หรือการตัดสินผลการเรียน เพราะเป็น การวัดระดับความสามารถในการเรียนรู้ของบุคคลหลังจากที่ได้รับการฝึกฝน โดยอาศัยเครื่องมือประเภท แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นิยมมากที่สุด การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามแนวคิดของ Bloom (1982) ถือว่าสิ่งใดก็ตาม ที่มีปริมาณอยู่จริงสิ่งนั้น สามารถวัดได้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก็อยู่ภายใต้กรอบแนวคิดดังกล่าว ซึ่งผลการวัดจะเป็นประโยชน์ในลักษณะ ทราบและประเมินระดับความรู้ ทักษะและเจตคติของนักเรียน และระดับความรู้ความสามารถตามแนวคิดของ Bloom มี 6 ระดับ ดังนี้ 1) ความจำ คือ สามารถจำเรื่องต่าง ๆ ได้ เช่น คำจำกัดความสูตรต่าง ๆ วิธีการ เช่น นักเรียนสามารถ บอกชื่อสารอาหาร 5 ชนิดได้ นักเรียนสามารถบอกชื่อธาตุที่เป็นองค์ประกอบของโปรตีนได้ครบถ้วน 2) ความเข้าใจ คือ สามารถแปลความ ขยายความ และสรุปใจความสำคัญได้ 3) การนำไปใช้ คือ สามารถนำความรู้ ซึ่งเป็นหลักการ ทฤษฎี ฯลฯ ไปใช้ในสภาพการณ์ที่ต่างออกไปได้ 4) การวิเคราะห์ คือ สามารถแยกแยะข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อยเช่น วิเคราะห์ องค์ประกอบ ความสัมพันธ์ หลักการดำเนินการ 5) การสังเคราะห์ คือ สามารถนำองค์ประกอบ หรือส่วนต่าง ๆ เข้ามารวมกันเป็นหมวดหมู่อย่างมี ความหมาย 6) การประเมินค่า คือ สามารถพิจารณาและตัดสินจากข้อมูล คุณค่าของ หลักการโดยใช้มาตรการที่ผู้อื่น กำหนดไว้หรือตัวเองกำหนดขึ้น


เยาวดี วิบูลย์ศรี (2558) ได้กล่าวถึงข้อตกลงเบื้องต้นที่ควรคำนึงถึงในการสร้างแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ไว้ ดังนี้ 1) เนื้อหา หรือทักษะภายในขอบเขตที่ครอบคลุมในแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์นั้น จะต้อง สามารถจำกัดอยู่ในรูปของพฤติกรรม ซึ่งมีความเฉพาะเจาะจงในลักษณะที่จะสื่อสารไปยังบุคคลอื่นได้ ถ้า เป้าหมายทางการศึกษาไม่สามารถจำกัดอยู่ในรูปของพฤติกรรมแล้ว ย่อมไม่สามารถที่จะวัดได้ในลักษณะ ของผลสัมฤทธิ์ได้อย่างชัดเจน 2) ผลิตผลที่แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์วัดนั้น จะต้องเป็นผลิตผลเฉพาะที่เกิดขึ้นจากการเรียนการ สอนตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการเท่านั้น จะวัดผลผลิตผลอย่างอื่นไม่ได้ 3) ผลสัมฤทธิ์หรือความรู้ต่าง ๆ ที่แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์วัดได้นั้น ถ้าจะนำไปเปรียบเทียบกัน แล้ว ผู้เข้าสอบทุกคนจะต้องมีโอกาสได้เรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ เท่าเทียมกัน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สมบูรณ์ ตันยะ (2555) ได้ให้ความหมายว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเป็นแบบทดสอบที่ใช้ สำหรับวัดพฤติกรรมทางสมองของผู้เรียนว่ามีความรู้ ความสามารถใน เรื่องที่เรียนรู้มาแล้ว หรือได้รับการฝึกฝน อบรมมาแล้วมากน้อยเพียงใด ส่วน พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2544) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการที่ผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้ว ว่า บรรลุผลสำเร็จตาม จุดประสงค์ที่กำหนดไว้เพียงใด พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2555) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงแบบทดสอบที่ใช้วัด ความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการที่นักเรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่าบรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนด ไว้เพียงใด


สิริพร ทิพย์คง (2556) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงชุดคำถามที่มุ่งวัด พฤติกรรมการเรียนของนักเรียนว่ามีความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพด้านสมองด้านต่างๆ ในเรื่องที่เรียนรู้ไปแล้ว มากน้อยเพียงใด สมพร เชื้อพันธ์ (2557) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงแบบทดสอบหรือชุด ของข้อสอบที่ใช้วัดความสำเร็จหรือความสามารถในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนที่เป็นผลมาจากการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนว่าผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้เพียงใด ดังนั้นสรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ และทักษะ ความสามารถจากการเรียนรู้ในอดีตหรือในสภาพปัจจุบันของแต่ละบุคคล ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ได้จัดประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง (Teacher made tests) และแบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized tests) ซึ่งทั้ง 2 ประเภทจะถามเนื้อหาเหมือนกัน คือถามสิ่งที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอนซึ่งจัดกลุ่ม พฤติกรรมได้ 6 ประเภท คือ ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการ ประเมิน 1. แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเป็นแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเองเพื่อใช้ในการทดสอบผู้เรียนในชั้นเรียน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.1 แบบทดสอบปรนัย (Objective tests) ได้แก่ แบบตอบถูก – ผิด (True-false) แบบจับคู่ (Matching) แบบเติมคำให้สมบูรณ์ (Completion) หรือแบบคำตอบสั้น (Short answer) และแบบ เลือกตอบ (Multiple choice) 1.2 แบบอัตนัย (Essay tests) ได้แก่ แบบจำกัดคำตอบ (Restricted response items) และ แบบไม่จำกัดความตอบ หรือ ตอบอย่างเสรี (Extended response items) 2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized tests) เป็นแบบทดสอบที่สร้าง โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ใน เนื้อหา และมีทักษะการสร้างแบบทดสอบ มีการวิเคราะห์หาคุณภาพของแบบทดสอบ มีคำชี้แจงเกี่ยวกับการ ดำเนินการสอบ การให้คะแนนและการแปลผล มีความเป็นปรนัย (Objective) มีความเที่ยงตรง (Validity) และ ความเชื่อมั่น (Reliability) แบบทดสอบมาตรฐาน ได้แก่ California Achievement Test, Iowa Test of Basic Skills, Standford Achievement Test และ the Metropolitan Achievement tests เป็นต้น ส่วนพวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2554) ได้จัดประเภทแบบทดสอบไว้ 3 ประเภท ดังนี้ 3. แบบปากเปล่า เป็นการทดสอบที่อาศัยการซักถามเป็นรายบุคคล ใช้ได้ผลดีถ้ามีผู้เข้าสอบจำนวนน้อย เพราะต้องใช้เวลามาก ถามได้ละเอียด เพราะสามารถโต้ตอบกันได้ 4. แบบเขียนตอบ เป็นการทดสอบที่เปลี่ยนแปลงมาจากการสอบแบบปากเปล่า เนื่องจากจำนวนผู้เข้า สอบมากและมีจำนวนจำกัด แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ


1. แบบความเรียง หรืออัตนัย เป็นการสอบที่ให้ผู้ตอบได้รวบรวมเรียบเรียงคำพูดของตนเองใน การแสดงทัศนคติ ความรู้สึก และความคิดได้อย่างอิสระภายใต้หัวเรื่องที่กำหนดให้ เป็นข้อสอบที่สามารถ วัดพฤติกรรมด้านการสังเคราะห์ได้อย่างดี แต่มีข้อเสียที่การให้คะแนน ซึ่งอาจไม่เที่ยงตรง ทำให้มีความ เป็นปรนัยได้ยาก 2. แบบจำกัดคำตอบ เป็นข้อสอบ ที่มีคำตอบถูกใต้เงื่อนไขที่กำหนดให้อย่างจำกัด ข้อสอบแบบนี้ แบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ แบบถูกผิด แบบเติมคำ แบบจับคู่ และแบบเลือกตอบ 5. แบบปฏิบัติ เป็นการทดสอบที่ผู้สอบได้แสดงพฤติกรรมออกมาโดยการกระทำหรือลงมือปฏิบัติจริงๆ เช่น การทดสอบทางดนตรี ช่างกล พลศึกษา เป็นต้น สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งได้ 2 ประเภท คือ แบบทดสอบมาตรฐาน ซึ่งสร้าง จากผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาและด้านวัดผลการศึกษา มีการหาคุณภาพเป็นอย่างดี ส่วนอีกประเภทหนึ่ง คือ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น เพื่อใช้ในการทดสอบในชั้นเรียน ในการออกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คำศัพท์เพื่อการสื่อสาร ผู้วิจัยได้เลือกแบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น แบบปฏิบัติ ในการวัดความสามารถในการนำ คำศัพท์ไปใช้ในการสื่อสารด้านการการพูดและการเขียน และเลือกแบบทดสอบแบบเขียนตอบที่จำกัดคำตอบโดย การเลือกตอบจากตัวเลือกที่กำหนดให้ ในการวัดความรู้ความเข้าใจความหมายของคำศัพท์ และการนำคำศัพท์ไป ใช้ในการฟังและการอ่าน การวางแผนการสร้างและการเลือกชนิดของแบบทดสอบให้เหมาะสมกับเนื้อหา ในการสร้างแบบทดสอบให้ครอบคลุมเนื้อหาและสามารถวัดพฤติกรรมได้เหมาะสมกับเนื้อหา ควรมีการ สร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร (Developing the table of specifications) เพื่อจะเป็นแนวทางในการสร้าง เหมือนกับการเขียนแบบสร้างบ้าน ที่เรียกกันว่า Test blueprint ตารางวิเคราะห์หลักสูตรประกอบด้วยหัวข้อ เนื้อหา และวัตถุประสงค์การเรียนรู้กับพฤติกรรมที่ต้องการจะวัด การสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรเริ่มที่การสร้างตาราง 2 มิติ คือแนวตั้งเป็นพฤติกรรมที่ต้องการจะวัด ประกอบด้วย ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ส่วนแนวนอน เป็นหัวข้อเนื้อหาหรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งขึ้นอยู่กับเนื้อหาและ/หรือวัตถุประสงค์ของวิชานั้น จากนั้นจึง กำหนดน้ำหนักของเนื้อหา พิจารณาจากความสำคัญของเนื้อหานั้นๆ โดยอาจกำหนดน้ำหนักเป็นร้อยละ พร้อมกับ กำหนดพฤติกรรมที่ต้องการจะวัดและกำหนดความสำคัญ โดยพิจารณาจากจุดประสงค์การเรียนรู้ควบคู่ไปกับ เนื้อหา สุดท้ายจึงกำหนดแบบทดสอบที่จะใช้วัด เช่น แบบถูกผิด แบบจับคู่ แบบเติมคำ แบบเลือกตอบ หรือแบบ อัตนัย เป็นต้น 3. การสร้างแบบฝึกประกอบการเรียนการสอน ความหมายและความสำคัญของแบบฝึกหรือแบบฝึกหัด แบบฝึกมีความสำคัญต่อผู้เรียนไม่น้อย ในการ ที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะให้กับผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจได้เร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น กว้างขวางขึ้น ทำให้การ สอนของครูและการเรียนของนักเรียนประสบผลสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ


ประโยชน์ของแบบฝึก แบบฝึกมีประโยชน์มากมาย สรุปได้ดังนี้ ๑. ทำให้เข้าใจบทเรียนดีขึ้น เพราะเป็นเครื่องอำนวยประโยชน์ในการเรียนรู้ ๒. ทำให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนที่ต่อบทเรียน ๓. ฝึกให้เด็กมีความเชื่อมั่นและสามารประเมินผลตนเองได้ ๔. ฝึกให้เด็กทำงานตามลำพัง โดยมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ๕. ช่วยลดภาระครู ๖. ช่วยให้เด็กฝึกฝนได้อย่างเต็มที่ ๗. ช่วยพัฒนาความแตกต่างระหว่างบุคคล ๘. ช่วยเสริมทักษะคงทน ซึ่งลักษณะการฝึกเพื่อช่วยให้เกิดผลดังกล่าวนั้นได้แก่ ๑) ฝึกทันทีหลังจากที่เด็กได้เรียนรู้ในเรื่องนั้นๆ ๒) ฝึกซ้ำหลายๆครั้ง ๓) เน้นเฉพาะในเรื่องที่ผิด ๙. เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนหลังจากจบบทเรียนในแต่ละครั้ง ๑๐.ใช้เป็นแนวทางในการทบทวนด้วยตนเอง ๑๑.ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่างๆ ของเด็กได้ชัดเจน ๑๒.ประหยัดค่าใช้จ่ายแรงงานและเวลาของครู จิตวิทยาการเรียนรู้การสร้างแบบฝึก การศึกษาในเรื่องจิตวิทยาการเรียนรู้ เป็นสิ่งที่ผู้สร้างแบบฝึกมิควรละเลย เพราะการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ ต้องขึ้นอยู่กับปรากฏการณ์ของจิต และพฤติกรรมที่ตอบสนองนานาประการ โดยอาศัยกระบวนการที่เหมาะสม และเป็นวิธีที่ดีที่สุด การศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้จากข้อมูลที่นักจิตวิทยาได้ทำการค้นพบ และทดลองไว้แล้ว สำหรับการสร้างแบบฝึกในส่วนที่มีความสัมพันธ์กันมีดังนี้ 1. ทฤษฎีการลองผิดลองถูกของธอร์นไดค์ ซึ่งได้สรุปเป็นกฎเกณฑ์การเรียนรู้ 3 ประการ คือ 1) กฎความพร้อม หมายถึง การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลพร้อมที่จะกระทำ 2) กฎผลที่ได้รับ หมายถึง การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเพราะบุคคลกระทำซ้ำ และยิ่งทำมากความ ชำนาญจะเกิดขึ้นได้ง่าย 3) กฎการฝึกหัด หมายถึง การฝึกหัดให้บุคคลทำกิจกรรมต่างๆนั้น ผู้ฝึกจะต้องควบคุมและจัด สภาพการให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่ผู้สร้างต้องการ 3. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของสกินเนอร์ ซึ่งมีความเชื่อว่า สามารถควบคุมบุคคลให้ทำตามความประสงค์ หรือแนวทางที่กำหนดได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความคำนึงถึงความรู้สึกทางด้านจิตใจของบุคคลผู้นั้นว่าจะรู้สึกนึกคิด อย่างไร เขาจึงได้ทดลองและสรุปได้ว่าบุคคลสามารถเรียนรู้ได้ด้วยการกระทำ โดยมีการเสริมแรงเป็นตัวการ เมื่อบุคคลตอบสนองการเร้าของสิ่งเร้าควบคู่กันในช่วงเวลาที่เหมาะสม สิ่งเร้านั้นจะรักษาระดับหรือเพิ่มการ ตอบสนองให้เข้มข้นขึ้น


3. วิธีการสอนของกาเย่ ซึ่งมีความเห็นว่าการเรียนรู้มีลำดับขั้น และผู้เรียนจะต้องเรียนรู้เนื้อหาที่ง่ายไป หายาก การสร้างแบบฝึก จึงควรคำนึงถึงการฝึกตามลำดับขั้นจากง่ายไปหายาก 4. แนวคิดของบลูม ซึ่งกล่าวถึงธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความแตกต่างกัน ผู้เรียนสามารถ เรียนรู้เนื้อหาในหน่วยย่อยต่างๆ ได้โดยใช้เวลาเรียนที่แตกต่างกัน ดังนั้นการสร้างแบบฝึกจึงต้องมีการกำหนดเงื่อนไขที่จะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนสามารถผ่านลำดับขั้นตอนของ ทุกหน่วยการเรียนได้ ก็จะทำให้นักเรียนประสบความสำเร็จมากขึ้น จุดประสงค์การเรียนรู้กับการสร้างแบบฝึก การสร้างแบบฝึกต้องยึดจุดประสงค์ของการเรียนรู้เป็นสำคัญ เพราะจุดประสงค์การเรียนคือเป้าหมาย สุดท้ายที่ต้องการให้ผู้เรียนได้หรือเป็น ดังนั้นการนำจุดประสงค์มาเป็นเครื่องนำทางจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หากจะกล่าวถึงการแบ่งชนิดของจุดประสงค์ทางการเรียน สามารถแบ่งได้ตามลักษณะของพฤติกรรม คือ - พฤติกรรมทางด้านพุทธพิสัย - พฤติกรรมทางด้านจิตพิสัย - พฤติกรรมทางด้านทักษะพิสัย การใช้คำสั่งในแบบฝึกจึงควรคำนึงถึงพฤติกรรมที่จะนำไปสู่จุดประสงค์ในแต่ละด้านด้วยซึ่ง วิชัย วงศ์ ใหญ่ ( 2558 : 87-90 ) ได้นำเสนอพฤติกรรมซึ่งเป็นคำกริยาที่บ่งบอกถึงการกระทำ อันจะนำไปสู่จุดประสงค์แต่ ละด้านเพื่อนำไปใช้ประกอบในการสร้างแบบฝึก ดังนี้ พฤติกรรมทางด้านพุทธพิสัย นั้นเป็นกิจกรรมทางสมอง ซึ่งบลูม (Bloom) และคณะได้จำแนกไว้ 6 ระดับ เรียงจากพฤติกรรมที่ต่ำสุดถึงสูงสุด คำกริยาที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับระดับต่างๆของการกำหนด จุดประสงค์ทางด้านความรู้ ดังนี้ ความรู้ความจำ ความเข้าใจ การประยุกต์ใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินค่า พฤติกรรมทางด้านจิตพิสัย เป็นเรื่องเกี่ยวกับทัศนคติ ความสนใจ คุณค่าแก่การพัฒนา ความซาบซึ้ง และการปรับปรุงตัว การเขียนจุดประสงค์การเรียนทางด้านเจตคติ เพื่อให้สามารถสังเกตและวัดได้ย่างชัดเจน เป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก เพราะพฤติกรรมบางอย่างของด้านนี้มีความซับซ้อนคลุมเครือ ที่จะแสดงออกมาให้


สังเกตและวัดได้ตรงกัน แต่อย่างไรก็ตามจุประสงค์การเรียนด้านจิตพิสัยนี้ ก็สามารถจะวัดและสังเกตได้โดย วิธีการโน้มน้าว (Approach tendencies) ซึ่งหมายถึงการแสดงจิตพิสัยต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือในสถานการณ์ใด สถานการณ์หนึ่ง คำกริยาต่างๆซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการระบุจุดประสงค์การเรียนมีดังนี้ 1. การรับรู้ 2. การตอบสนอง 3. การเกิดคุณค่า 4. การจัดระบบคุณค่าหรือรวบรวมพินิจ 5. การประเมินคุณค่า พฤติกรรมทางด้านทักษะพิสัย เป็นเรื่องเกี่ยวกับกิจกรรมทางกล้ามเนื้อ และระบบประสาทกล้ามเนื้อซึ่ง ฟรีสแมน (Fleishman) ได้วิเคราะห์องค์ประกอบเกี่ยวกับความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อสรุปได้องค์ประกอบ 11 ประการ คือ 1. ความสามรถในการใช้กล้ามเนื้อที่ละเอียดทางมือและเท้า ทำการควบคุมให้เคลื่อนไหวและทำได้ อย่างรวดเร็ว 2. ความสามรถในการประสานระหว่างกล้ามเนื้อใหญ่กับกล้ามเนื้อเล็ก 3. ความสามารถในการตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้อย่างถูกต้อง คือรู้จักเลือกปฏิบัติหรือกากระทำได้ตรงต่อ ภาวะนั้นๆ 4. สามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ปรากฏได้อย่างรวดเร็วทันที 5. ความสามารถในการเคลื่อนไหวแขนได้รวดเร็วทันที 6. ความรวดเร็วในการควบคุมอัตราการทำงานของกล้ามเนื้อได้ถูกต้อง รวดเร็วทุกขณะที่เปลี่ยนไป 7. ความสามรถในการควบคุมการเคลื่อนไหวของมือและแขน ให้สามารถทำงานได้อย่างมีทักษะ 8. ความสามารถในการควบคุมการทำงานของนิ้วมือ 9. วามสามรถในการใช้มือและแขนได้อย่างแน่นอนแม่นยำ เที่ยงตรง 10. ความสามารถในการหมุนข้อมืออย่างรวดเร็ว 11. ความสามารถในการาดคะเนได้อย่างตรงเป้าหมาย ลักษณะของแบบฝึกที่ดี แบบฝึกเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเสริมทักษะให้กับผู้เรียน การสร้างแบบฝึกให้มีประสิทธิภาพ จึง จำเป็นจะต้องศึกษาองค์ประกอบและลักษณะของแบบฝึก เพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของ นักเรียน วรสุดา บุญไวโรจน์ ( 2560 : 37 ) กล่าวแนะนำให้ผู้สร้างแบบฝึกได้ยึดลักษณะของแบบฝึกที่ดีไว้ ดังนี้ 1. แบบฝึกที่ดี ควรมีความชัดเจนทั้งคำสั่งและวิธีทำ คำสั่งหรือตัวอย่างแสดงวิธีทำที่ใช้ไม่ควรยาวเกินไป เพราะจะทำให้เข้าใจยาก ควรปรับปรุงให้ง่าย เหมาะสมกับผู้ใช้ ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนสามารถศึกษาด้วยตนเองได้ ถ้าต้องการ 2. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความหมายต่อผู้เรียน และตรงตามจุดมุ่งหมายของการฝึก ลงทุนน้อย ใช้ได้ นาน และทันสมัยอยู่เสมอ


3. ภาษาและภาพที่ใช้ในแบบฝึกหัด ควรเหมาะสมกับวัยและพื้นฐานความรู้ของผู้เรียน 4. แบบฝึกหัดที่ดีควรแยกฝึกเป็นเรื่องๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไป แต่ควรมีกิจกรรมหลายรูปแบบ เพื่อเร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจ และไม่น่าเบื่อหน่ายในการทำ และเพื่อฝึกทักษะใดทักษะหนึ่งจนเกิดความ ชำนาญ 5. แบบฝึกหัดที่ดี ควรมีทั้งแบบกำหนดคำตอบให้ แบบให้ตอบโดยเสรี การเลือกใช้คำ ข้อความ หรือ รูปภาพในแบบฝึกหัด ควรเป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคย และตรงกับความในใจของนักเรียน เพื่อว่า แบบฝึกหัดที่สร้างขึ้นจะได้ก่อให้เกิดความเพลิดเพลิน และพอใจแก่ผู้ใช้ ซึ่งตรงกับหลักการเรียนรู้ที่ว่า เด็กมักจะเรียนรู้ได้เร็วในการกระทำที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจ 6. แบบฝึกหัดที่ดี ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ให้รู้จักค้นคว้า รวบรวมสิ่งที่พบเห็น บ่อยๆหรือที่ตัวเองเคยใช้ จะทำให้นักเรียนเข้าใจเรื่องนั้นๆมากยิ่งขึ้น และรู้จักนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ย่างถูกต้อง มีหลักเกณฑ์และมองเห็นว่าสิ่งที่เขาได้ฝึกฝนนั้นมีความหมายต่อเขาตลอดไป 7. แบบฝึกหัดที่ดี ควรตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนมีความ แตกต่างกันในหลายๆด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญา และประสบการณ์ ฯลฯ ฉะนั้นการทำแบบฝึกหัดแต่ละเรื่องควรจัดทำให้มากพอ และมีทุกระดับ ตั้งแต่ ง่าย ปานกลาง จนถึง ระดับข้นข้างยาก เพื่อว่าทั้งเด็กเก่ง กลาง และอ่อน จะได้เลือกทำได้ตามความสามารถ ทั้งนี้เพื่อให้เด็กทุกคน ประสบความสำเร็จในการทำแบบฝึกหัด 8. แบบฝึกหัดที่ดี ควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนได้ตั้งแต่หน้าปกไปจนถึงหน้าสุดท้าย 9. แบบฝึกหัดที่ดี ควรรับการปรับปรุงควบคู่ไปกับหนังสือแบเรียนอยู่เสมอ และควร ใช้ได้ดีทั้งในและนอกห้องเรียน 10. แบบฝึกหัดที่ดี ควรเป็นแบบฝึกหัดที่สามารถประเมินและจำแนกความเจริญงอกงาม ของเด็กได้ด้วย ดังนั้นอาจสรุปได้ว่าลักษณะของแบบฝึกที่ดี จึงควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ ผู้เรียนได้ศึกษาด้วย ตนเอง ความครอบคลุม ความสอดคล้องกับเนื้อหา รูปแบบน่าสนใจ และคำสั่งชัดเจน ส่วนประกอบของแบบฝึกหรือแบบฝึกหัด 1. คู่มือการใช้แบบฝึก เป็นเอกสารสำคัญประกอบการใช้แบบฝึก ว่าใช้เพื่ออะไร และมีวิธีการใช้อย่างไร เช่น ใช้เป็นงานฝึกท้ายบทเรียน ใช้เป็นการบ้าน หรือใช้สอนซ่อมเสริม ควรประกอบด้วย - ส่วนประกอบของแบบฝึก จะระบุว่าแบบฝึกชุดนี้มีแบบฝึกทั้งหมดกี่ชุด อะไรบ้าง และมีส่วนประกอบ อื่นๆหรือไม่ เช่น แบบทดสอบ หรือแบบบันทึกผลการประเมิน - สิ่งที่ครูหรือนักเรียนต้องตรียม (ถ้ามี) จะเป็นการบอกให้ครูหรือนักเรียนเตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้า ก่อนเรียน - จุดประสงค์ในการใช้แบบฝึก


- ขั้นตอนในการใช้ บอกข้อตามลำดับการใช้ และอาจเขียนในรูปของแนวการสอนหรือแผนการสอนจะ ชัดเจนยิ่งขึ้น - เฉลยแบบฝึกในแต่ละชุด 2. แบบฝึก เป็นสื่อที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนฝึกทักษะ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ถาวร ควรมีองค์ประกบ ดังนี้ - ชื่อชุดฝึกในแต่ละชุดย่อย - จุดประสงค์ - คำสั่ง - ตัวอย่าง - ชุดฝึก - ภาพประกอบ - ข้อทดสอบก่อนและหลังเรียน - แบประเมินบันทึกผลการใช้ รูปแบบของการสร้างแบบฝึก การสร้างแบบฝึก รูปแบบก็เป็นสิ่งสำคัญในการที่จะจูงใจให้ผู้เรียนได้ทดลองปฏิบัติ แบบฝึกจึงควรมี รูปแบบที่หลากหลาย มิใช่ใช้แบบเดียวจะเกิดความจำเจ น่าเบื่อหน่าย ไม่ท้าทายให้อยากรู้อยากลอง จึงขอ เสนอรูปแบบของแบบฝึกที่เป็นหลักใหญ่ไว้ก่อน ส่วนผู้สร้างจะนำไปประยุกต์ใช้ ปรับเปลี่ยนรูปแบบอื่นๆ ก็ แล้วแต่เทคนิคแต่ละคน ซึ่งจะเรียงลำดับจากง่ายไปหายากดังนี้ 1. แบบถูกผิด เป็นแบบฝึกที่เป็นประโยคบอกเล่า ให้ผู้เรียนอ่านแล้วเลือกใส่เครื่องหมายถูกหรือผิดตาม ดุลยพินิจของผู้เรียน 2. แบบจับคู่ เป็นแบบฝึกที่ประกอบด้วยคำถาม หรือตัวปัญหา ซึ่งเป็นตัวยืนไว้ในสดมภ์ ซ้ำยมือ โดยมีที่ว่างไว้หน้าข้อ เพื่อให้ผู้เรียนได้เลือกคำตอบที่กำหนดไว้ในสดมภ์ขวามือ มาจับคู่กับคำถามให้ สอดคล้องกัน โดยใช้หมายเลขหรือรหัสคำตอบไปวางไว้ในที่ว่างหน้าข้อคำถามหรือจะใช้การโยงเส้นก็ได้ 3. แบบเติมคำหรือข้อความ เป็นแบบฝึกที่มีข้อความไว้ให้แต่จะเว้นช่องว่างไว้ให้ผู้เรียนเติม คำหรือข้อความที่หายไป ซึ่งมีคำหรือข้อความที่นำมาเติม อาจเติมอย่างอิสระ หรือกำหนดตัวเลือกให้เติมก็ได้ 4. แบบหลายตัวเลือก เป็นแบบฝึกเชิงทดสอบ โดยจะมี 3 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นคำถาม ซึ่ง


จะต้องเป็นประโยคคำถามที่สมบูรณ์ชัดเจนไม่คลุมเครือ ส่วนที่ 3 เป็นตัวเลือกคือคำตอบึ่งอาจจะมี 3-5 ตัวเลือกก็ได้ ตัวเลือกทั้งหมดจะมีตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุดเพียงตัวเลือกเดียว ส่วนที่เหลือเป็นตัวลวง 5. แบบอัตนัย คือความเรียงที่เป็นแบบฝึกที่มีคำถาม ผู้เรียนต้องเขียนบรรยายคำตอบอย่างเสรี ตาม ความรู้ความสามารถ โดยไม่จำกัดคำตอบ แต่จำกัดในเรื่องของเวลา อาจใช้ในรูปของคำถามทั่วๆไป หรือเป็นคำสั่งให้เขียนเรื่องราวก็ได้ ขั้นตอนในการสร้างแบบฝึก ขั้นตอนในการสร้างแบบฝึก จะคล้ายคลึงกับการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษาประเภทอื่นๆ ซึ่งมี รายละเอียด ดังนี้ 1. วิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น - ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะทำการสอน - ปัญหาการผ่านจุดประสงค์ของนักเรียน - ผลจากการสังเกตพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2. ศึกษารายละเอียดในหลักสูตร เพื่อวิเคราะห์เนื้อหา จุดประสงค์แต่ละกิจกรรม 3. พิจารณาแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากข้อ 1. โดยสร้างแบบฝึก และเลือกเนื้อหาในส่วนที่จะสร้าง แบบฝึกนั้น ว่าจะทำเรื่องใดบ้าง กำหนดเป็นโครงเรื่องไว้ 4. ศึกษารูปแบบของการสร้างแบบฝึกจากเอกสารตัวอย่าง 5. ออกแบบชุดฝึกแต่ละชุดให้มีรูปแบบที่หลากหลาย น่าสนใจ 6. ลงมือสร้างแบบฝึกในแต่ละชุด พร้อมทั้งข้อทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนให้สอดคล้องกับเนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้ 7. ส่งให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ 8. นำไปทดลองใช้ แล้วบันทึกผลเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขส่วนที่บกพร่อง 9. ปรับปรุงจนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 10. นำไปใช้จริงและเผยแพร่ต่อไป ข้อเสนอแนะในการสร้างแบบฝึก


การสร้างแบบฝึกเพื่อใช้ประกอบในการจัดการเรียนการสอน ในวิชาต่างๆนั้น จะเน้นสื่อการสอนใน ลักษณะเอกสารแบบฝึกหัดเป็นส่วนสำคัญ ดังนั้น การสร้างจึงควรให้มีความสมบูรณ์ที่สุด ทั้งในด้านเนื้อหา รูปแบบ และกลวิธีในการนำไปใช้ ซึ่งควรเป็นเทคนิคของแต่ละคนในที่นี้จะขอเสนอแนะ ดังนี้ 1. พึงระลึกเสมอว่า ต้องให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาก่อนใช้แบบฝึก 2. ในแต่ละแบบฝึก อาจมีเนื้อหาสรุปย่อ หรือเป็นหลักเกณฑ์ไว้ให้ผู้เรียนได้ศึกษาทบทวนก่อนก็ได้ 3. ควรสร้างแบบฝึกให้ครอบคลุมเนื้อหา และจุดประสงค์ที่ต้องการ ไม่ยากหรือง่ายจนเกินไป 4. คำนึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ของเด็ก ต้องให้เหมาะสมกับวุฒิภาวะ และความแตกต่างของ ผู้เรียน 5. ควรศึกษาแนวทางการสร้างแบบฝึกให้เข้าใจก่อนปฏิบัติการสร้าง อาจนำหลักการของผู้อื่น หรือ ทฤษฎีการเรียนรู้ของนักการศึกษา หรือนักจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับเนื้อหาและสภาพการณ์ได้ 6. ควรมีคู่มือการใช้แบบฝึก เพื่อให้ผู้สอนคนอื่นนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง หากไม่มีคู่มือต้องมีคำ ชี้แจงขั้นตอนการใช้ที่ชัดเจน แนบไปในแบบฝึกหัดด้วย 7. การสร้างแบบฝึก ควรพิจารณารูปแบบให้เหมาะสมกับธรรมชาติของแต่ละเนื้อหาวิชา รูปแบบจึง ควรแตกต่างกับสภาพการณ์ 8. การออกแบบชุดฝึกควรมีความหลากหลาย ไม่ซ้ำซาก ไม่ใช้รูปแบบเดียว เพราะจะทำให้ผู้เรียนเกิด ความเบื่อหน่าย ควรมีแบบฝึกหลายๆแบบ เพื่อฝึกให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะอย่างกว้างขวาง และส่งเสริมความคิด สร้างสรรค์อีกด้วย 9. การใช้ภาพประกอบเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้แบบฝึกนั้นน่าสนใจ และยังเป็นการพักสายตาให้กับ ผู้เรียนด้วย 10. การสร้างแบบฝึก หากต้องการให้สมบูรณ์ครบถ้วน ควรสร้างในลักษณะของเอกสารประกอบการ สอน (ศึกษารายละเอียดจากคู่มือการฝึกอบรมปฏิบัติการ “การผลิตเอกสารประกอบการสอน” แต่จะเน้นความ หลากหลายของแบบฝึกมากกว่า และเนื้อหาที่สรุปไว้จะมีเพียงย่อๆ 11. แบบฝึกต้องมีความถูกต้อง อย่าให้มีข้อผิดพลาดเด็ดขาด เพราะเหมือนกับยื่นยาพิษ ให้กับลูกศิษย์ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาจะจำในสิ่งที่ผิดๆตลอดไป 13. คำสั่งในแบบฝึกเป็นสิ่งสำคัญมิควรมองข้าม เพราะคำสั่งคือประตูบานใหญ่ที่จะไขความรู้ความเข้าใจ ของผู้เรียนไปสู่ความสำเร็จ คำสั่งต้องสั้นกะทัดรัด เข้าใจง่าย ไม่ทำให้ผู้เรียนสับสน 13. การกำหนดเวลาในการใช้แบบฝึกแต่ละชุดควรให้เหมาะสมกับเนื้อหา และความสนใจของผู้เรียน 14. กระดาษที่ใช้ ควรมีคุณภาพเหมาะสม มีความเหนียวและทนทาน ไม่เปราะบางหรือขาดง่าย จนเกินไป


ขั้นตอนการผลิตเอกสารประกอบการเรียน 4. การสอนวิชาการ การสอนวิชาการ เป็นภาวะอันหนักแก่ผู้สอนอย่างยิ่ง เพราะนักเรียนในชั้นมีทั้งเรียนเก่งและนักเรียนที่ เรียนอ่อน ถ้าครูวิทยาศาสตร์สอนโดยวิธีเดียวกันนักเรียนที่เรียนเก่งก็สามารถ เข้าใจได้รวดเร็วและไม่มีปัญหามาก นัก แต่นักเรียนที่เรียนอ่อนอาจไม่เข้าใจมากนัก จึงทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากเรียน จึงมีความจำเป็นที่ จะต้องหาวิธีการสอนที่จะให้นักเรียนทุกคนสามารถเข้าใจได้และสนองตอบต่อความแตกต่างทางสติปัญญา (ยุพิน พิพิธกุล. 2560 : 276) ดังนั้น การสอนวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้ผลดีและเป็นไปตามความสามารถหรือความ แตกต่างระหว่างบุคคล ยุพิน พิพิธกุล (2560 : 174) ได้เสนอวิธีการสอนวิทยาศาสตร์ไว้หลายวิธีคือ 1. วิเคราะห์ปัญหา 6. ลงมือสร้างตามกรอบ 7. ตรวจสอบความ มั่นใจ 8. นำไปใช้ แก้ปัญหา 9. ศึกษาผลที่ได้รับ 5. ศึกษาแบบอย่าง 4. เจาะจงเนื้อหา 3. กำหนด จุดประสงค์ 2. ศึกษาหลักสูตร ส่วนประกอบของแบบฝึก 1. ปกนอก 7. แบบฝึกปฏิบัติ 2. ปกใน 8. ข้อสอบก่อนเรียน 3. คำนำ 9. ชุดฝึก-ตัวอย่าง-ภาพ 4. สารบัญ 10. ข้อสอบหลังเรียน 5. คำแนะนำในการใช้ 11. เฉลย 6. จุดประสงค์ 13. บรรณานุกรม


1. วิธีสอนแบบบอกให้รู้เป็นวิธีสอนที่ครูเป็นผู้บอกให้นักเรียนเป็นผู้ตีความ เมื่อครูปรารถนาที่จะให้นัก เรียนรู้เรื่องใด ครูก็จะอธิบายและมักจะสรุปเสียเอง ในขณะที่ครูอธิบายนั้น ครูจะวิเคราะห์แยกแยะให้เห็น และ ตีความให้นักเรียนเข้าใจ ครูอาจจะมีวัสดุการสอนมาแสดงให้ดูแต่ครูใช้ประกอบการอธิบายหรือการบอกของครู เพื่อให้นักเรียนติดตามในการสอนกฎหรือสูตร ครูมักจะบอกสูตรนั้นและบอกว่านำไปใช้อย่างไร โดยยกตัวอย่าง ประกอบ เสร็จแล้วครูก็ให้นักเรียนลองทำแบบฝึกหัดโดยใช้สูตรนั้น ถ้านักเรียนทำได้ก็แสดงว่านักเรียนเข้าใจ 2. วิธีสอนแบบบรรยาย เป็นการสอนแบบบอกให้รู้เช่นเดียวกัน การสอนแบบนี้ครูจะเป็นฝ่ายพูดเป็น ส่วนมาก โดยมุ่งจะป้อนเนื้อหาวิชาให้แก่นักเรียนเพียงฝ่ายเดียว นักเรียนจะเป็นผู้ฟังครูอาจจะใช้สื่อการสอน ประกอบการบรรยายก็ได้ 3. วิธีสอนแบบสาธิตเป็นการแสดงให้นักเรียนดูซึ่งผู้แสดงจะใช้วัสดุประกอบการสอนหรือจะแสดงโดยวิธี ใดก็ตาม ให้นักเรียนสามารถสรุปบทเรียนได้จากการแสดงนั้น ๆ การแสดงนั้นอาจจะแสดงโดยครูหรือโดยนักเรียน ก็ได้และในบางครั้งครูและนักเรียนอาจจะร่วมกันแสดงกิจกรรมนั้น ๆ 4. วิธีสอนแบบทดลอง เป็นการสอนที่ให้นักเรียนได้กระทำด้วยตนเอง เพื่อค้นหาข้อสรุปการทดลองนั้น อาจทดลองเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ 5. วิธีสอนแบบถาม – ตอบ เป็นกลวิธีสอนที่ใช้แทรกกับวิธีสอนอื่น ๆ ซึ่งนับว่า เป็นวิธีที่สำคัญวิธีหนึ่ง ครู บางคนคิดว่า วิธีสอนที่ดีนั้นจะต้องมีสื่อการสอนเสมอ ความจริงแล้ว ยังมีวิธีสอนที่ดีอีกคือ “วิธีสอนแบบถาม – ตอบ” ถ้าครูสามารถใช้คำถามที่ดีนักเรียนสามารถเข้าใจก็ย่อมใช้ได้ 6. วิธีสอนแบบฮิวริสติค ได้รับมาจากภาษากรีก ซึ่งหมายความว่า “ฉันพบ” นักเรียนจะต้องเป็นผู้ค้นพบ นักเรียนจะเป็นผู้ค้นหาคำตอบด้วยตนเองแทนการบอกครูวิธีนี้ต้องการให้นักเรียนได้กระทำด้วยตนเอง เป็นวิธีการ ที่นักเรียนจะได้ให้เหตุผลด้วยตัวของเขาเอง 7. วิธีสอนแบบวิเคราะห์– สังเคราะห์วิธีสอนแบบวิเคราะห์เป็นการแยกแยะปัญหานั้นออกมาจากสิ่งที่ไม่ รู้ไปสู่สิ่งที่รู้หรือการแยกสิ่งต่าง ๆ อยู่รวมกันออกจากกัน ผู้ที่วิเคราะห์นั้น จะต้องพยายามคิดอยู่เสมอว่าต้องการ ค้นพบอะไรเป็นอันดับแรก และคิดต่อไปว่าอะไรที่จะค้นพบต่อไปวิธีสอนแบบสังเคราะห์เป็นขบวนการตรงกันข้าม กับการวิเคราะห์การสังเคราะห์ประกอบด้วย การนำข้อสรุปย่อยที่จำเป็นต่าง ๆ มารวมกัน จนกระทั่งได้ข้อสรุป รวมที่ต้องการ หรืออีกนัยหนึ่ง การวิเคราะห์จะต้องเริ่มจากสิ่งที่รู้แล้ว เพื่อจะนำมาช่วยในการหาสิ่งที่ยังไม่รู้มา ช่วยในการพิสูจน์เนื้อหาใหม่ เรียกว่า เป็นการสังเคราะห์ 8. วิธีสอนแบบนิรนัย - อุปนัยอุปนัย หมายถึง การนำไปสู่ ในระหว่างกระบวนการสอน ครูจะช่วยนักเรียน ให้ตีวงแคบเข้า จนสามารถกำหนดนัยทั่วไปได้นิรนัย วิธีนิรนัยนี้สัมพันธ์กับวิธีบอกให้รู้ครูที่ใช้วิธีนี้จะบอกกฎ หลักเกณฑ์หรือนัยทั่วไป ซึ่งเป็นเรื่องที่จะนำมาใช้ประโยชน์แล้วนักเรียนก็ถูกถาม เพื่อใช้คำบอกนั้นมาแก้ปัญหา 9. วิธีสอนแบบแก้ปัญหา หมายถึง วิธีสอนที่จะให้นักเรียนได้ใช้เหตุผลในการแก้ปัญหาวิธีการแก้ปัญหานั้น ขึ้นอยู่กับเนื้อหา หรือโจทย์ปัญหาที่จะให้นักเรียนคิด วิธีการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ย่อมมีกลวิธีแตกต่างกัน ตามลักษณะปัญหานั้น ๆ 10. วิธีสอนแบบค้นพบ มีความหมายเป็น 2 ประการ คือ


10.1 เป็นกระบวนการค้นพบ ครูจะมอบปัญหาให้แก่นักเรียน แล้วให้นักเรียนเสาะแสวงหาวิธีการที่จะ แก้ปัญหานั้น โดยครูจะให้ปัญหาที่ง่ายก่อนแล้วก็ให้นักเรียนทำปัญหาที่คล้ายกัน ซึ่งเชื่อว่านักเรียนจะค้นพบได้แต่ ครูก็ไม่คาดหวังว่านักเรียนจะค้นพบอะไร 10.2 เป็นการเน้นไปที่นักเรียนจะค้นพบอะไร เช่น ค้นพบสูตรคูณ นิยาม ฯลฯนักเรียนจะเกิดมโนมติและ กำหนดนัยทั่วไปได้การค้นพบนี้จะเป็นการค้นพบโดยวิธีใดก็ได้เช่น การถามตอบ สาธิตการทดลอง การอภิปราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนโดยวิธีอุปนัยหรือนิรนัย วิธีการสอน และเอกสารฝ่ายวิชาการ วิธีสอนแบบต่างๆ ในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้หลากหลายวิธีและสามารถ เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับผู้เรียน กับแต่ละสถานการณ์ และแต่ละสิ่งแวดล้อม การสอนแบบบรรยายอย่าง เดียวไม่เพียงพอ ครูผู้สอนต้องใช้วิธีสอน เทคนิคการสอนที่หลากหลายเข้ามาใช้บูรณาการในการจัดการเรียนการ สอน ซึ่งวิธีการสอนต่างๆ มีตัวอย่างดังนี้ 1. วิธีสอนแบบสาธิต (Demonstration Method) วิธีสอนแบบสาธิต หมายถึง การที่ครูหรือนักเรียนคนใดคนหนึ่ง แสดงบางสิ่งบางอย่างให้นักเรียนดู หรือให้เพื่อนๆดู อาจเป็นการแสดงการใช้เครื่องมือแสดงให้เห็นกระบวนการวิธีการ กลวิธีหรือการทดลองที่มี อันตราย ซึ่งไม่เหมาะที่จะให้นักเรียนทำการทดลอง การสอนวิธีนี้ช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจและ สามารถทำในสิ่งนั้นได้ถูกต้อง และยังเป็นการสอนให้นักเรียนได้ใช้ทักษะในการสังเกต และถือว่าเป็นการได้ ประสบการณ์ตรงวิธีหนึ่ง วิธีสอนแบบสาธิต จึงเป็นการสอนที่ยึดผู้สอนเป็นศูนย์กลาง เพราะผู้สอนเป็นผู้วางแผน ดำเนินการ และลงมือปฏิบัติ ผู้เรียนอาจมีส่วนร่วมผบ้างเล็กน้อย วิธีสอนแบบนี้จึงเหมาะสำหรับ จุดประสงค์การ สอนที่ต้องการให้ผู้เรียนเห็นขั้นตอนการปฏิบัติ เช่น วิชาพลศึกษา ศิลปศึกษา อุตสาหกรรมศิลป์ วิชาในกลุ่มการ งานและพื้นฐานอาชีพ เป็นต้น ความมุ่งหมาย เพื่อแสดงให้ผู้เรียนได้เห็นขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจได้ อย่างแจ่มแจ้ง และสามารถปฏิบัติตามได้ เมื่อใดจึงจะใช้การสอนแบบสาธิต 1. เมื่อนำเข้าสู่บทเรียน ผู้สอนสาธิตให้ผู้ดูเพื่อให้ผู้เรียนตั้งปัญหาและเกิดความอยากรู้ อยากเห็น อยากค้นหาคำตอบต่อไป 2. เพื่อสร้างปัญหาให้ผู้เรียนคิด 3. เพื่อต้องการสร้างความเข้าใจในความคิดรวบยอด ความจริงหลักทฤษฎี โดยนักเรียน สามารถ มองเห็นโดยตรง 4. เมื่ออธิบายเครื่องมือวิทยาศาสตร์ส่วนไหนทำหน้าที่อะไร


5. เมื่อเครื่องมือที่จะทำการทดลองมีราคาแพง หรือเกิดอันตรายได้ง่าย 6. ควรคำนึงถึงฤดูกาล โอกาสในการใช้ 1. เพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียนให้มีความสนใจในบทเรียน 2. ช่วยอธิบายเนื้อหาวิชาที่ยาก ต้องใช้เวลานานให้เข้าใจง่ายขึ้นและประหยัดเวลา 3. เพื่อแสดงวิธีการหรือกลไกวิธีในการปฏิบัติงานซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เช่น การทำ กิจกรรม วิชาศิลปะ หัตถกรรม งานประดิษฐ์ นาฏศิลป์ 4. เพื่อช่วยสรุปบทเรียน 5. เพื่อใช้ทบทวนบทเรียน 6. เพื่อสร้างความเข้าใจ ความคิดรวบยอด ความจริง หลักทฤษฎี โดยนักเรียนมองเห็นได้โดยตรง เพื่อทดสอบหรือยืนยันการสังเกตในครั้งก่อนๆ ว่าผลเหมือนเดิมหรือไม่ ประเภทของการสาธิต แบบที่ 1 1. สาธิตให้ดูทั้งชั้น การสาธิตให้ดูทั้งชั้นผู้สอนจะต้องระวังให้ทุกคนมองเห็นและเข้าใจการสาธิต ในแต่ละครั้ง อย่างไรก็ตามการสาธิตให้ดูทั้งชั้นย่อมมีผู้เรียนบางคนไม่เข้าใจดีพอเนื่องจากบางคนมีพื้น ความรู้หรือประสบการณ์แตกต่างกัน 2. การสาธิตให้ดูเป็นกลุ่มหรือเป็นหมู่ เมื่อมีผู้เรียนจำนวนหนึ่ง เรียนไม่เข้าใจดีพอ จึง จำเป็นต้องสาธิตให้ดูใหม่เป็นกลุ่มเล็ก ในแต่ละชั้นเรียนอาจมีผู้เรียนได้เร็วมาก ปานกลางหรือช้าไปบ้าง การสาธิตให้ดูเป็นหมู่ เฉพาะที่มีความรู้ไล่เลี่ยกันจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนแต่ละหมู่ทำงานอย่างเต็ม ความสามารถของตน 3. การสาธิตให้ดูเป็นรายบุคคล เมื่อผู้สอนสาธิตให้ดูเป็นหมู่ เป็นกลุ่มแต่ผู้เรียนบางคนไม่ อาจจะเข้าใจการสาธิตทั้งชั้นหรือเป็นกลุ่มได้ หรือผู้เรียนบางคนไม่ได้เข้าร่วม ผู้สอนจึงต้องสาธิตให้ดูเป็น รายบุคคล แบบที่ 2 1. ครูแสดงการสาธิตคนเดียว ( Teacher-Demonstration) 2. ครูและนักเรียนช่วยกันแสดงสาธิต (Teacher-Student-Demonstration ) 3. กลุ่มนักเรียนล้วนเป็นผู้สาธิต (Student Group Demonstration ) 4. นักเรียนคนเดียวเป็นผู้สาธิต (Individual Student Demonstration )


5. วิทยากรเป็นผู้สาธิต ( Guest Demonstration ) ขั้นตอนการสอน 1. ขั้นเตรียมการสอน - กำหนดจุดประสงค์ในการสาธิตให้ชัดเจน - จัดลำดับเนื้อหาตามขั้นตอนให้เหมาะสม - เตรียมกิจกรรมการเรียนการสอน สิ่งที่จะให้นักเรียนปฏิบัติ ตลอดจนคำถามที่จะใช้ให้รอบคอบ - เตรียมสื่อการเรียนการสอนและเอกสารประกอบให้พร้อม - กำหนดเวลาในการสาธิตให้พอเหมาะ - กำหนดวิธีการวัดผลประเมินผลที่ชัดเจน - เตรียมสภาพห้องเรียนให้เหมาะสมเพื่อให้นักเรียนมองเห็นการสาธิตให้ทั่วถึง - ทดลองสาธิตเพื่อให้แน่ใจว่าไม่เกิดการติดขัด 2. ขั้นตอนการสาธิต - บอกจุดประสงค์การสาธิตให้นักเรียนทราบ - บอกกิจกรรมที่นักเรียนจะต้องปฏิบัติ เช่น นักเรียนจะต้องจดบันทึก สังเกตกระบวนการ สรุป ขั้นตอน ตอบคำถาม เป็นต้น - ดำเนินการสาธิตตามลำดับขั้นตอนที่เตรียมไว้ ประกอบกับอธิบายตัวอย่างชัดเจน 3. ขั้นสรุปและประเมินผล - ผู้สอนเป็นผู้สรุปความสำคัญ ขั้นตอนของสิ่งที่สาธิตนั้นด้วยตนเอง - ให้ผู้เรียนเป็นผู้สรุป เพื่อประเมินว่าผู้เรียนมีความเข้าใจในบทเรียนนั้นๆมากน้องเพียงใด - ผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆ เพื่อประเมินว่าผู้เรียนเข้าใจเนื้อเรื่อง ขั้นตอนการสาธิตมากน้อยเพียงใด เช่น ให้ตอบคำถาม ให้เขียนรายงาน ให้แสดงสาธิตให้ดู ฯลฯ - ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามหรือแสดงความคิดเห็นภายหลังจากการสาธิตแล้ว 2. วิธีการสอนโดยใช้การแสดงละคร (Dramatization) เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนแสดงละคร ซึ่งเป็น เรื่องราวที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามเนื้อหาและบทละครที่ได้กำหนดไว้ (ทิศนา แขมมณี, 2558) และนำ เรื่องราวที่แสดงออกมา และการแสดงของผู้แสดงมาอภิปรายร่วมกัน วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ผู้เรียนเห็นภาพเรื่องราวที่ชัดเจน และสามารถจดจำเรื่องราวได้นาน 2. เพื่อนนักเรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน และฝึกทักษะต่างๆ ขั้นตอนการสอน 1. ผู้สอน / ผู้เรียนเตรียมบทละคร ผู้สอนและผู้เรียนควรอภิปรายวัตถุประสงค์ในการเลือกใช้ ละครเป็นวิธีการเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ นักเรียนควรจะมีส่วนในการเลือกเรื่องราวที่จะแสดง ในการเตรียม


บทละครผู้สอนอาจเตรียมให้หรือผู้เรียนเตรียมกันเอง แต่ต้องมีการศึกษาเนื้อหาหรือเรื่องราวให้เข้าใจ ได้ เนื้อหาที่ครบถ้วนสมบูรณ์ให้มากที่สุด 2. ผู้เรียนศึกษาบทละครและเลือกบทบาทที่จะแสดง ในการเลือกละคร ควรคำนึงถึงความ เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนกับบทที่จะแสดง แต่ในบางกรณีผู้สอนอาจเลือกผู้เรียนที่มี บุคลิกภาพไม่ตรงกับบทที่จะแสดงเพื่อให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ในการแสดง แต่ผู้แสดงควรมีความ เต็มใจที่จะแสดง เพื่อให้การแสดงออกมาดีที่สุด 3. ผู้เรียนซ้อมการแสดง ในการซ้อมการแสดงต้องมีการฝึกซ้อมการแสดงร่วมกัน และในบางกรณี อาจจำเป็นจะต้องเปลี่ยนตัวผู้แสดงคนใหม่ เพื่อให้การแสดงสมบทบาทและสื่อความหมายได้ถูกต้อง ส่วน ผู้เรียนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการแสดง ผู้สอนจะต้องแนะนำในการชมการแสดงว่า ควรสังเกตและให้ความ สนใจที่เรื่องอะไรบ้าง จุดไหนบ้าง 4. ผู้เรียนแสดงและชมการแสดง ในขณะแสดง ผู้สวนและผู้ชมไม่ควรขัดการแสดงกลางคัน และ ควรให้กำลังใจผู้แสดง ผู้ชมควรตั้งใจสังเกตการแสดงในเรื่องราวที่สำคัญที่ผู้สอนได้แนะนำ 5. อภิปรายการแสดง ในการอภิปรายต้องมุ่งไปที่เรื่องราวที่แสดงออกมา และการแสดงของผู้ แสดงว่า สามารถแสดงได้สมจริงเพียงใด ข้อดีและข้อจำกัด ข้อดี 1. ทำให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์จริง 2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน 3. นักเรียนได้ฝึกทักษะต่าง ๆ เช่น ทักษะการพูด การเขียน การแสดงออก การ จัดการ การแสวงหาความรู้ และการทำงานเป็นกลุ่มเป็นต้น ข้อจำกัด 1. ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมมาก 2. มีค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรม 3. ต้องอาศัยความชำนาญในการเขียนบท 3. วิธีการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ (Role Playing) เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนสวมบทบาทใน สถานการณ์ซึ่งมีความใกล้เคียงกับความเป็นจริง และแสดงออกตามความรู้สึกนึกคิดของตนและนำเอาการ แสดงออกของผู้แสดง ทั้งทางด้านความรู้ ความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมที่สังเกตพบ มาเป็นข้อมูลในการ อภิปราย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ (ทิศนา แขมมณี , 2557) วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับบทบาทสมมติที่ตนแสดง 2. เพื่อนนักเรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน และฝึกทักษะต่าง ๆ ขั้นตอนการสอน 1. ผู้สอน / ผู้เรียนนำเสนอสถานการณ์สมมติและบทบาทสมมติ บทบาทสมมติที่กำหนดขึ้นควรมี ความใกล้เคียงกับความเป็นจริง ไม่มีบทให้ ผู้สวมบทบาทจะต้องคิดแสดงเอง หรืออาจให้บทบาทสมมติ แบบแก้ปัญหาซึ่งจะกำหนดสถานการณ์ที่มีปัญหาหรือความขัดแย้งให้ และผู้สวมบทบาทแก้ปัญหาตาม ความคิดของตน 2. ผู้สอน / ผู้เรียนเลือกผู้แสดงบทบาท ในการเลือกผู้แสดง ควรคำนึงถึงความเหมาะสมกับ ความสามารถของผู้เรียนกับบทที่จะแสดง แต่ในบางกรณีผู้สอนอาจเลือกผู้เรียนที่มีบุคลิกภาพไม่ตรงกับ


บทที่จะแสดงเพื่อให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ในการแสดง แต่ผู้แสดงควรมีความเต็มใจที่จะแสดง เพื่อให้การแสดงออกมาดีที่สุด 3. ผู้สอนเตรียมผู้สังเกตการณ์หรือผู้ชม ผู้สอนควรแนะนำการชมว่า ควรสังเกตอะไร และควร บันทึกข้อมูลอย่างไร หรือผู้สอนอาจจัดทำแบบสังเกตการณ์ให้ผู้ชมใช้ในการสังเกตด้วยก็ได้ 4. ผู้เรียนแสดงบทบาท ผู้ชมและผู้สอนสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออก 5. ผู้เรียนและผู้สอนอภิปรายร่วมกัน เกี่ยวกับความรู้ ความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมที่ แสดงออกของผู้แสดง ข้อดีและข้อจำกัด ข้อดี 1. ผู้เรียนเกิดความเข้าใจความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้อื่น 2. ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงเจตคติและพฤติกรรมของตน 3. พัฒนาทักษะในการเผชิญสถานการณ์ ตัดสินใจและแก้ปัญหา 4. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนมาก ข้อจำกัด 1. ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมมาก 2. ต้องอาศัยความสามารถของผู้สอนในการแก้ปัญหาเนื่องจากการแสดงของ ผู้เรียนอาจไม่เป็นไปตามความคาดหมายของผู้สอน ผู้สอนจะต้องสามารถแก้ปัญหาหรือปรับ สถานการณ์และประเด็นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ 4. วิธีการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง (Case) คือกระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนศึกษาเรื่องที่สมมติขึ้น จากความเป็นจริง และตอบประเด็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องนั้น แล้วนำคำตอบและเหตุผลที่มาของคำตอบนั้นมาใช้ เป็นข้อมูลในการอภิปราย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ (ทิศนา แขมมณี , 2557) วัตถุประสงค์ 1. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และเรียนรู้ความคิดของผู้อื่น 2. ช่วยให้ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น ขั้นตอนการสอน 1. ผู้สอน / ผู้เรียนนำเสนอกรณีตัวอย่าง กรณีตัวอย่างส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องราวที่มีสถานการณ์ เป็นปัญหาขัดแย้ง ผู้สอนอาจใช้วิธีการตั้งประเด็นคำถามที่ท้าทายให้ผู้เรียนคิดก็ได้ ใช้เรื่องจริงหรือเรื่อง จากหนังสือพิมพ์ รวมทั้งสื่อต่าง ๆ ผู้สอนต้องเตรียมประเด็นคำถามสำหรับการอภิปรายเพื่อนำไปสู่การ เรียนรู้ที่ต้องการ ในการเสนอทำได้หลายวิธี เช่น การพิมพ์เป็นข้อมูลมาให้ผู้เรียนอ่าน การเล่ากรณี ตัวอย่างให้ฟัง หรือนำเสนอโดยใช้สื่ออื่น 2. ผู้เรียนศึกษากรณีตัวอย่าง ผู้สอนควรแบ่งกลุ่มย่อยในการศึกษากรณีตัวอย่าง ไม่ควรให้ผู้เรียน ตอบประเด็นคำถามทันที 3. ผู้เรียนอภิปรายประเด็นคำถามเพื่อหาคำตอบ ผู้เรียนแต่ละคนควรมีคำตอบของตนเตรียมไว้ ก่อน แล้วจึงร่วมกันอภิปรายเป็นกลุ่ม และนำเสนอผลการอภิปรายระหว่างกลุ่ม 4. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายคำตอบ นำเสนอผลการอภิปรายระหว่างกลุ่ม คำถามสำหรับการ อภิปรายนี้ ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิดอย่างชัดเจนแน่นอน แต่ต้องการให้ผู้เรียนเห็นคำตอบและเหตุผลที่ หลากหลาย ทำให้ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น ช่วยให้การตัดสินใจมีความรอบคอบขึ้น การอภิปรายควรมุ่ง ความสนใจไปที่เหตุผลหรือที่มาของความคิดที่ผู้เรียนใช้ในการแก้ปัญหาเป็นสำคัญ


5. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายเกี่ยวกับปัญหาของผู้เรียน และสรุปการเรียนรู้ที่ได้รับ ข้อดีและข้อจำกัด ข้อดี 1. ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และคิด แก้ปัญหา 2. ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น 3. ช่วยให้เกิดความพร้อมที่จะแก้ปัญหาเมือเผชิญปัญหานั้นในสถานการณ์จริง ข้อจำกัด แม้ปัญหาและสถานการณ์จะใกล้เคียงกับความเป็นจริง แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ๆ กับผู้เรียน ความคิดในการแก้ปัญหาจึงมักเป็นไปตามเหตุผลที่ถูกที่ควรซึ่งอาจไม่ตรงกับการ ปฏิบัติจริงได้ 5. วิธีการสอนโดยใช้เกม (Game) คือกระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนเล่นเกมตามกติกา และ นำเนื้อหาและข้อมูลของเกม พฤติกรรมการเล่น วิธีการเล่น และผลการเล่นเกมของผู้เรียนมาใช้ในการอภิปรายเพื่อ สรุปการเรียนรู้ (ทิศนา แขมมณี, 2557) วัตถุประสงค์ 1. ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ อย่างสนุกสนานและท้าทายความสามารถ 2. ทำให้เกิดประสบการณ์ตรง 3. เป็นวิธีที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมสูง ขั้นตอนการสอน 1. ผู้สอนนำเสนอเกม ชี้แจงวิธีการเล่น และกติกาการเล่นเกม เกมที่ได้รับการออกแบบให้เป็น เกมการศึกษาโดยตรงมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือ 1) เกมแบบไม่มีการแข่งขัน 2) เกมแบบแข่งขัน 3) เกม จำลองสถานการณ์ การเลือกเกมเพื่อนำมาใช้สอนทำได้หลายวิธีผู้สอนอาจเป็นผู้สร้างเกมขึ้น หรืออาจนำ เกมที่มีผู้สร้างขึ้นแล้วมาปรับดัดแปลงให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ และควรชี้แจงกติกาการเล่นเกมให้ เข้าใจ 2. ผู้เรียนเล่นเกมตามกติกา ผู้สอนควรติดตามสังเกตพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด และควรบันทึกข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนของผู้เรียน 3. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายผล ควรอภิปรายผลเกี่ยวกับผลการเล่น และวิธีการหรือพฤติกรรม การเล่นของผู้เรียนที่ได้จากการสังเกตจดบันทึกไว้ และในการอภิปรายผลควรให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ การใช้เกมในการสอนโดยทั่ว ๆ ไป มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ฝึกฝนเทคนิคหรือทักษะต่าง ๆ 2) เรียนรู้เนื้อหา สาระจากเกม 3) เรียนรู้ความเป็นจริงตามสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนั้นการอภิปรายควรมุ่งประเด็นไปตาม วัตถุประสงค์ของการสอน ข้อดีและข้อจำกัด ข้อดี 1. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้สูง 2. ผู้เรียนได้รับความสนุกสนาน และเกิดการเรียนรู้จากการเล่น ข้อจำกัด เป็นวิธีการสอนที่ผู้สอนต้องมีทักษะในการนำการอภิปรายที่มีประสิทธิภาพ จึง จะสามารถช่วยให้ผู้เรียนประมวลและสรุปการเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์ 6. วิธีการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง (Simulation)


กระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนลงไปเล่นในสถานการณ์ที่มี บทบาท ข้อมูล และกติกาการเล่น ที่สะท้อนความเป็นจริง และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในสถานการณ์นั้น โดยข้อมูลที่มีสภาพคล้ายกับข้อมูลในความเป็นจริง ในการตัดสินใจและแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งการตัดสินใจนั้นจะ ส่งผลถึงผู้เล่นในลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริง (ทิศนา แขมมณี, 2557) วัตถุประสงค์ ช่วยให้ผู้เรียนได้รู้สภาพความเป็นจริง เกิดความเข้าใจในสถานการณ์ ขั้นตอนการสอน 1. ผู้สอนเตรียมสถานการณ์จำลอง สถานการณ์จำลองโดยทั่วไปมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ 1) สถานการณ์จำลองแท้ จะเป็นสถานการณ์การเล่นที่ให้ผู้เรียนได้เล่น เพื่อเรียนรู้จริง 2) สถานการณ์จำลอง แบบเกม มีลักษณะเป็นเกมการเล่น แต่เกมการเล่นนี้มีลักษณะที่สะท้อนความเป็นจริง ในขณะที่เกม ธรรมดาทั่ว ๆ ไป อาจจะไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงอะไร 2. ผู้สอนนำเสนอสถานการณ์จำลอง บทบาท ข้อมูล และกติกาการเล่น ในการนำเสนอ ผู้สอน ควรเริ่มด้วยการบอกเหตุผลและวัตถุประสงค์กว้าง ๆ แก่ผู้เรียนว่า การเล่นในสถานการณ์จำลองนี้จะให้ อะไรและเหตุใดจึงมาเล่นกัน ต่อไปจึงให้ภาพรวมทั้งของสถานการณ์จำลองทั้งหมด แล้วจึงให้รายละเอียด ที่จำเป็น 3. ผู้เรียนเลือกบทบาทที่จะเล่นหรือผู้สอนกำหนดบทบาทให้ ผู้เรียนทุกคนควรได้รับบทบาทใน การเล่น ซึ่งผู้เรียนอาจะเป็นผู้เลือกเองหรือผู้สอนกำหนดบทบาทให้ผู้เรียนบางคน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการ เรียนรู้ตรงตามความต้องการ 4. ผู้เรียนเล่นตามกติกาที่กำหนด ในขณะที่ผู้เรียนกำลังเล่นผู้สอนควรติดตามพฤติกรรมอย่าง ใกล้ชิดและคอยให้คำปรึกษาตามความจำเป็น 5. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันอภิปราย ควรมุ่งไปประเด็นไปที่การเรียนรู้ความเป็นจริง อะไรเป็น ปัจจัยที่มีอิทธิพล ผู้เรียนควรได้เรียนรู้จากการเล่นของตน 6. ผู้สอนและผู้เรียนสรุปการเรียนรู้ที่ได้รับจากการเล่น ข้อดีและข้อจำกัด ข้อดี 1. ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องที่มีความซับซ้อน อย่างเข้าใจเนื่องจากได้มี ประสบการณ์ด้วยตัวเอง 2. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนสูง 3. ผู้เรียนมีโอกาสฝึกทักษะกระบวนการต่าง ๆ จำนวนมาก ข้อจำกัด 1. ใช้ค่าใช้จ่ายสูง และใช้เวลามาก 2. ผู้สอนต้องอาศัยการเตรียมการมาก 3. ถ้าไม่มีสถานการณ์จำลองต้องสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง 7. วิธีการสอนมโนทัศน์ (Concept Attainment Model) 1. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ จอยส์และวีล(Joyce & Weil, 2016 : 161-178) พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นโดยใช้แนวคิดของ บรุน เนอร์ กู๊ดนาว และออสติน (Bruner, Goodnow, และ Austin) การเรียนรู้มโนทัศน์ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นั้น สามารถทำได้โดยการค้นหาคุณสมบัติเฉพาะที่สำคัญของสิ่งนั้น เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการจำแนกสิ่งที่ใช่ และไม่ใช่สิ่งนั้นออกจากกันได้ 2. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ


เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ของเนื้อหาสาระต่าง ๆ อย่างเข้าใจ และสามารถให้คำ นิยามของมโนทัศน์นั้นด้วยตนเอง 3. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ขั้นที่ 1 ผู้สอนเตรียมข้อมูลสำหรับให้ผู้เรียนฝึกหัดจำแนก ผู้สอนเตรียมข้อมูล 2 ชุด ชุดหนึ่งเป็น ตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน อีกชุดหนึ่งไม่ใช่ตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน ในการเลือก ตัวอย่างข้อมูล 2 ชุดข้างต้น ผู้สอนจะต้องเลือกหาตัวอย่างที่มีจำนวน มากพอที่จะครอบคลุมลักษณะของ มโนทัศน์ที่ต้องการนั้น ถ้ามโนทัศน์ที่ต้องการสอนเป็นเรื่องยากและซับซ้อนหรือเป็นนามธรรม อาจใช้ วิธีการยกเป็นตัวอย่างเรื่องสั้น ๆ ที่ผู้สอนแต่งขึ้นเองนำเสนอแก่ผู้เรียนผู้สอนเตรียมสื่อการสอนที่เหมาะสม จะใช้นำเสนอตัวอย่างมโนทัศน์เพื่อแสดง ให้เห็นลักษณะต่าง ๆ ของมโนทัศน์ที่ต้องการสอนอย่างชัดเจน ขั้นที่ 2 ผู้สอนอธิบายกติกาในการเรียนให้ผู้เรียนรู้และเข้าใจตรงกัน ผู้สอนชี้แจงวิธีการเรียนรู้ให้ ผู้เรียนเข้าใจก่อนเริ่มกิจกรรมโดยอาจสาธิตวิธีการและให้ผู้เรียนลองทำตามที่ผู้สอนบอกจนกระทั่งผู้เรียน เกิดความเข้าใจพอสมควร ขั้นที่ 3 ผู้สอนเสนอข้อมูลตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน และข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวอย่างของมโน ทัศน์ที่ต้องการสอน การนำเสนอข้อมูลตัวอย่างนี้ทำได้หลายแบบ แต่ละแบบมีจุดเด่น- จุดด้อย ดังต่อไปนี้ 1) นำเสนอข้อมูลที่เป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนทีละข้อมูลจนหมดทั้งชุด โดย บอกให้ ผู้เรียนรู้ว่าเป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนแล้วตามด้วยข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะ สอนทีละข้อมูลจนครบหมดทั้งชุดเช่นกัน โดยบอกให้ผู้เรียนรู้ว่าข้อมูลชุดหลังนี้ไม่ใช่สิ่งที่ จะสอน ผู้เรียนจะต้องสังเกตตัวอย่างทั้ง 2 ชุด และคิดหาคุณสมบัติร่วมและคุณสมบัติที่ แตกต่างกัน เทคนิควิธีนี้สามารถช่วยให้ผู้เรียนสร้างมโนทัศน์ได้เร็วแต่ใช้กระบวนการคิด น้อย 2) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนสลับกันไปจนครบ เทคนิควิธีนี้ช่วย สร้างมโนทัศน์ได้ช้ากว่าเทคนิคแรก แต่ได้ใช้กระบวนการคิดมากกว่า 3) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนอย่างละ 1 ข้อมูล แล้วเสนอข้อมูลที่ เหลือทั้งหมดทีละข้อมูลโดยให้ผู้เรียนตอบว่าข้อมูลแต่ละข้อมูลที่เหลือนั้นใช่หรือไม่ใช่ ตัวอย่างที่จะสอน เมื่อผู้เรียนตอบ ผู้สอนจะเฉลยว่าถูกหรือผิด วิธีนี้ผู้เรียนจะได้ใช้ กระบวนการคิดในการทดสอบสมมติฐานของตนไปทีละขั้นตอน 4) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างสิ่งที่จะสอนอย่างละ 1 ข้อมูล แล้วให้ผู้เรียนช่วยกัน ยกตัวอย่างข้อมูลที่ผู้เรียนคิดว่าใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอน โดยผู้สอนจะเป็นผู้ตอบว่าใช่ หรือไม่ใช่ วิธีนี้ผู้เรียนจะมีโอกาสคิดมากขึ้นอีก ขั้นที่ 4 ให้ผู้เรียนบอกคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งที่ต้องการสอน จากกิจกรรมที่ผ่านมาในขั้นต้น ๆ ผู้เรียนจะต้องพยามหาคุณสมบัติเฉพาะของตัวอย่างที่ใช่และไม่ใช่สิ่งที่ผู้เรียนต้องการสอนและทดสอบ คำตอบของตน หากคำตอบของตนผิดผู้เรียนก็จะต้องหาคำตอบใหม่ซึ่งก็หมายความว่าต้องเปลี่ยน สมมติฐานที่เป็นฐานของคำตอบเดิม ด้วยวิธีนี้ผู้เรียนจะค่อย ๆ สร้างความคิดรวบยอดของสิ่งนั้นขึ้นมา ซึ่ง ก็จะมาจากคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งนั้นนั่นเอง ขั้นที่ 5 ให้ผู้เรียนสรุปและให้คำจำกัดความของสิ่งที่ต้องการสอน เมื่อผู้เรียนได้รายการของ คุณสมบัติเฉพาะของสิ่งที่ต้องการสอนแล้ว ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกันเรียบเรียงให้เป็นคำนิยามหรือคำจำกัด ความ


ขั้นที่ 6 ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายร่วมกันถึงวิธีการที่ผู้เรียนใช้ในการหาคำตอบ ให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการคิดของตัวเอง 4. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ เนื่องจากผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ จากการคิด วิเคราะห์และตัวอย่างที่หลากหลาย ดังนั้น ผลที่ผู้เรียนจะได้รับโดยตรงคือ จะเกิดความเข้าใจในมโนทัศน์นั้น และได้เรียนรู้ทักษะการสร้างมโนทัศน์ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการทำความเข้าใจมโนทัศน์อื่น ๆต่อไปได้ รวมทั้งช่วยพัฒนาทักษะการใช้เหตุผลโดย การอุปนัย(inductive reasoning) อีกด้วย 5. การเรียนการสอนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ในปัจจุบัน การเรียนการสอนแบบ ABL คือ หนึ่งในวิธีที่ยึดตัวผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Centered) เหมือนกับกระบวนการเรียนการสอนอื่นๆที่กำลังเป็นที่นิยม เน้นให้ผู้เรียนลงมือทำ เรียนรู้และจดจำ แก้ปัญหาจาก ประสบการณ์จริงผ่านกิจกรรมที่คุณครูได้ออกแบบขึ้นมา มีการตั้งวัตถุประสงค์ของกิจกรรมกับประเมินผลเพื่อ นำไปพัฒนาการเรียนการสอนในครั้งต่อๆไป และกิจกรรมส่วนใหญ่ก็มักจะมีแนวโน้มอิงกับโลกความเป็นจริงมาก ขึ้น กล่าวคือ เวลาที่ผู้เรียนทำกิจกรรม นอกจากจะเพลิดเพลินแล้วยังต้องได้ทักษะการแก้ปัญหาที่สามารถนำไป ปรับใช้จริงในชีวิตประจำวันได้ นอกเหนือจากความรู้ขั้นพื้นฐานที่ได้รับ บางครั้ง ABL ก็ปรับตามพื้นที่และบริบท ของโรงเรียน ในต่างจังหวัดก็มีโรงเรียนจำนวนมากที่ออกแบบกิจกรรมให้เข้ากับพื้นที่ที่โรงเรียนตั้งอยู่ ไม่ได้จำกัด แค่จัดขึ้นในห้องเรียน แต่พาไปดูและไปลองปลูกข้าว ปลูกพืชและจัดทำสินค้าที่มาจากการทำกิจกรรมเลยก็มี(ใช่ว่า จะต้องเป็นที่ต่างจังหวัดเสมอไป เพราะวิชาคหกรรมของบางโรงเรียนก็นำสิ่งที่พวกเขาทำในคาบเรียน เช่น น้ำ ผลไม้หรือของกินต่างๆ มาขายให้แก่เพื่อนนักเรียนในโรงเรียนกินกันก็มี) ถ้าเป็นในตัวเมืองที่มีเทคโนโลยีเข้าถึง ก็ อาจบูรณาการนำเทคโนโลยีมาใช้กับกิจกรรมที่ออกแบบขึ้นมาก็ได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่ากิจกรรมนั้นจัดขึ้นมาเพื่อให้ ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องอะไรและขึ้นอยู่กับความถนัดของคุณครูผู้สอนด้วย คนที่สนุกกับการเรียนรู้อาจไม่ได้มีแค่ผู้เรียนเท่านั้น คุณครูก็อาจจะได้รับความสนุกที่ได้เห็นผู้เรียนมี ความสุขกับการเรียน ได้เห็นพวกเขาพยายามทำกิจกรรมที่เราได้ออกแบบอย่างจริงจัง เห็นการมีปฏิสัมพันธ์กันของ ผู้เรียนที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างการทำกิจกรรม มันก็อาจคุ้มค่าที่จะลองจัดการเรียนการสอนแบบ ABL ดูซักครั้ง ในการยึดหลักการให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรูด้วยตนเองแบบ “Child Centered” ตามหลักการของ Constructionism การเรียนโดยการปฏิบัติจริง Learning by Doing และปฏิบัติเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และ แก้ปัญหาได้ Doing by Learning จึงถูกนำมาใช้อย่างจริงจังในการปฏิรูปการศึกษาของไทย การเรียนรู้ชนิดนี้เอง ที่มีผู้ตั้งฉายาว่า “สอนแต่น้อย ให้เรียนมากๆ Teach less..Learn More” เล่นเอา “ฯพณฯ ท่าน และท่านๆ” ใน วงการศึกษาเสียมวยไปแล้วเพราะเข้าใจผิดก็มี การเรียนแบบ Learning by Doing นั้นใช้ “กิจกรรม Activity” เป็นหลักในการเรียนการสอน โดยการ “ปฏิบัติจริง Doing” ในเนื้อหาทุกขั้นตอนของการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทุกคนในกลุ่มเป็นผู้ปฏิบัติ คุณครูเป็นพี่เลี้ยงและเทรนเนอร์ แต่กิจกรรมที่นำมาใช้นี้ต้องมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้เนื้อหานั้นๆ มีจุดมุ่งหมาย สนุก และน่าสนใจ ไม่ซ้ำซากจนก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย ดังนั้น คุณครูจึงเป็น “นักออกแบบกิจกรรม Activity Designer” มืออาชีพ ที่สามารถ “มองเห็นภาพกิจกรรม” ได้ทันที การเรียนโดยใช้ “กิจกรรม หรือ Activity Based Learning” เป็นฐาน ไม่ยากอย่างที่คิด เพราะแต่เดิมเรา ก็ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น 1. การเรียนวิทยาศาสตร์ นักเรียนทุกคนจะต้องผ่าน “กิจกรรมกระบวนการทางวิทยาศาสตร์"


2. การเรียนคณิตศาสตร์ นักเรียนทุกคนก็จะต้อง ผ่าน “กิจกรรมกระบวนการคิด และแก้ปัญหา" นั่นคือ การทำโจทย์แบบฝึกหัดมากๆ ยิ่งมากเท่าไร กระบวนการคิดและแก้ปัญหาก็จะยิ่งเจริญงอกงามมากขึ้น ตามสัดส่วน ของการฝึกฝนด้วยตนเอง 3. การเรียนภาษาต่างประเทศ ก็ต้องผ่าน “กิจกรรมการฝึกฝนให้เกิดทักษะ หรือความชำนาญ” ไป ตามลำดับของธรรมชาติการเรียนรู้ “ภาษา Language” ฟัง พูด อ่าน เขียน ตามลำดับ 4. การเรียนวิชาทางฝ่ายสังคมศาสตร์ ก็ต้องมี “กิจกรรมศึกษา ค้นคว้า จด จำ" ตามลักษณะธรรมชาติของ รายวิชานั้นๆ แต่ “ความสำคัญ” ของการเรียนยุคใหม่ คือ Learning by Doing นั้น “เน้นความสำคัญไปที่ ผู้เรียน เรียนผ่านประสบการณ์ ที่เรียกว่า Experiential Learning ซึ่งเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการส่งเสริม ศักยภาพของบุคคล Individual Potential ที่จะพัฒนาไปได้ตลอดชีวิต..ผู้เรียนจะเรียนอย่างมีความสุข มีการ พัฒนาไปด้วยความมั่นใจ และพึงพอใจ Help the individual grow as a confident and contented person... การเรียนผ่านประสบการณ์เป็นความเจริญงอกงามจากภายในจิตใจ และมันสมองของผู้เรียน ซึ่งแตกต่างจาก แนวคิดดั้งเดิม ที่ตอบสนองความต้องการจากภายนอกด้วยคะแนน และการสอบเพื่อรับประกาศนียบัตร หรือ วุฒิบัตรต่างๆ... “กิจกรรม หรือ Activity” คือการเรียนจากประสบการณ์ Experiential Learning... นับว่าเป็น Learner Centered อย่างแท้จริง เพราะมีการค้นพบและพัฒนาความรู้ ทักษะ และอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เจริญงอกงาม จากภายใน ผ่านประสบการณ์ Internal growth and discovery develops knowledge..skill and emotions via experiences…… ท่านทั้งหลายจึงเห็นได้ว่า วัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ของศตวรรษที่ 21 นี้ มุ่งที่จะส่งเสริมและพัฒนา ศักยภาพมนุษย์ตลอดชีวิตอย่างแท้จริง มากกว่าการเรียนเพื่อวุฒิบัตรในระดับชั้นต่างๆ เมื่อเป็นดังนี้ คุณครู “ผู้ออกแบบกิจกรรม” จะต้องตอบคำถาม “ตนเอง” ให้ได้ก่อนว่า จะให้นักเรียน “ทำกิจกรรมนี้เพื่ออะไร ?..” เพราะตามปกติแล้ว ในการ “ออกแบบกิจกรรม Activity design” จะต้องพิจารณาใน 3 กลุ่มหลัก คือ 1. กลุ่มประสบการณ์ชีวิต Life Skill หรือ Life Experiences หรือ Humanity 2. กลุ่มพัฒนาการทางสติปัญญา Intellectual development 3. กลุ่มวิชาการ Academic groups หลักการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน 1. ให้ความสนใจที่ตัวผู้เรียน 2. เรียนรู้ผ่านกิจกรรมการปฏิบัติที่น่าสนใจ 3. ครูผู้สอนเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวก 4. ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการเรียน 5. ไม่มีการสอบ แต่ประเมินผลจากพฤติกรรม ความเข้าใจ ผลงาน 6. เพื่อนในชั้นเรียนช่วยส่งเสริมการเรียน 7. มีการจัดสภาพแวดล้อม และบรรยากาศที่เอื้อต่อการพัฒนาความคิด และเสริมสร้างความมั่นใจใน ตนเอง ประเภทของการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน กิจกรรมการเรียนรู้โดยวิธีใช้กิจกรรมเป็นฐานมีหลากหลายกิจกรรม การนำมาใช้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมนั้นๆ ว่ามุ่งให้ผู้เรียนได้เรียนรู้หรือพัฒนาในเรื่องใด โดยทั่วไป สามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ


1. กิจกรรมเชิงสำรวจ เสาะหา ค้นคว้า (Exploratory) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรวบรวม สั่งสมความรู้ ความคิด รวบยอด และทักษะ 2. กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ (Constructive) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรวบรวม สั่งสมประสบการณ์โดยผ่าน การ ปฏิบัติ หรือการทำงานที่ริเริ่มสร้างสรรค์ 3. กิจกรรมเชิงการแสดงออก (Expressional) ได้แก่กิจกรรมที่เกี่ยวกับ การนำเสนอ การเสนอ ผลงาน กิจกรรมการเรียนรู้ที่นิยมใช้ • การอภิปรายในชั้นเรียน (class discussion ) ที่กระทำได้ทั้งในห้องเรียนปกติ และการอภิปราย ออนไลน์ • การอภิปรายกลุ่มย่อย (Small Group Discussion) • กิจกรรม “คิด-จับคู่-แลกเปลี่ยน” (think-pair-share) • เซลล์การเรียนรู้ (Learning Cell) • การฝึกเขียนข้อความสั้นๆ (One-minute Paper) • การโต้วาที (Debate) • บทบาทสมมุติ (Role Play) • การเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์ (Situational Learning) • การเรียนแบบกลุ่มร่วมแรงร่วมใจ (Collaborative learning group) • ปฏิกิริยาจากการชมวิดิทัศน์ (Reaction to a video) • เกมในชั้นเรียน (Game) • แกลเลอรี่ วอล์ค (Gallery Walk) • การเรียนรู้โดยการสอน (Learning by Teaching) 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การเรียนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) งานวิจัยในประเทศ พัชรี ตระกูลแก้ว ( 2557 ) ได้ศึกษาการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การสอนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ผลการการวิจัยพบว่า การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ทางคณิตศาสตร์สามารถพัฒนาสูงขึ้นไปได้เมื่อใช้เทคนิคการสอนเหมาะสมกับ เนื้อหาและการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนเน้นให้นักเรียนแสดงออกและปล่อยให้ผู้เรียนได้คิดอย่างอิสระ สอดคล้อง กับการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนเน้นเนื้อหาให้นักเรียนแสดงออกและปล่อยให้ผู้เรียนได้คิด อย่าง อิสระสอดคล้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) โดยนักเรียนได้มีโอกาส พัฒนาความคิดสร้างสรรค์งานการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ที่นักเรียนได้เรียนรู้หลายๆเนื้อหา มา สร้างสรรค์งานอย่างอิสระ เพชรรัตน์ สุริยา ( 2557 ) ได้พัฒนาบทเรียนภาษาอังกฤษกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) เพื่อส่งเสริมทักษะ ทางภาษาด้านการพูด และการเขียนนำเสนอกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ผลปรากฏว่าผู้เรียนได้รับการพัฒนาทักษะ ทางภาษาด้านการพูดและการเขียนนำเสนอกิจกรรม


เป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) โดยสามารถผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้อยู่ในระดับ ค่อนข้างดีและผลจาก การสอบถามวัดความภาคภูมิใจตนเองของผู้เรียน ปรากฎว่าผู้เรียนมีความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองอยู่ระดับมาก ชาลีนี ศุขมิลินท์ ( 2558 ) ได้พัฒนาบทเรียนภาษาอังกฤษกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) เพื่อส่งเสริมความรู้ ทางวัฒนธรรม ผลปรากฏว่าผู้เรียนได้รับความรู้ทางวัฒนธรรมโดยสามารถผ่านเกณฑ์ที่ กำหนดไว้ ในระดับดีมาก และผลการประเมินความสามารถทางภาษาด้านทักษะการฟัง – พูด และทักษะการ อ่าน เขียนของผู้เรียนภายหลังจากการเรียนวิชาภาษาอังกฤษกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ปรากฏว่าผู้เรียนมีความ สามารถทางด้านการฟัง – พูดอยู่ในระดับดี และมีความสามารถทางด้านการอ่าน - เขียน อยู่ใน ระดับดีมาก พจน์ วงศ์ปัญญา ( 2558 ) ได้ศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามหลักสูตรชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ที่เน้นการสร้างกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) จากภาพรวมของกิจกรรมการเรียนการสอนโดยการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) พบว่า นักเรียนทุกกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจในการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) อยู่ในระดับดีมาก และนักเรียนมีความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนอยู่ในระดับดี นายสุระศักดิ์ อักษร (2558) การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) เรื่องผลิตภัณฑ์ จากผ้าไหมลายขิด กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนทุ่งไชยพิทยา รัชมังคลาภิเษก อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ผลการวิจัยพบว่า แผนการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 89.39 / 83.48 มีค่าดัชนี ประสิทธิผลของการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) เท่ากับ 0.76 หมายความว่าผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 76 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วย แผนการ จัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) มีความพึง พอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีคะแนนเฉลี่ย 4.61 บุศริน ช่างสลัก (2559) ได้ศึกษาเรื่อง ผลการใช้คู่มือการจัดการเรียนรู้โดยการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) สำหรับครูการศึกษานอกโรงเรียน จังหวัดนครพนม พบว่า ครูการศึกษานอก โรงเรียน สามารถนำคู่มือการจัดการเรียนรู้โดยการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนในระดับมาก และ มีความพึงพอใจในการจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยการสอนโดย ใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ทุกเรื่องอยู่ในระดับมาก นอกจากนี้มีความคิดเห็นว่า คู่มือ การจัดการเรียนรู้โดยการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) สำหรับครูการศึกษา นอกโรงเรียนจังหวัดนครพนม มีประโยชน์โดยสร้างความรู้ความเข้าใจ ทำให้สามารถจัด กระบวนการเรียนรู้โดย การสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ได้ สามารถให้คำปรึกษาแนะนำนักศึกษาใน การจัดทำ กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ได้ เป็นการสร้างเจตคติที่ดีให้กับผู้เรียน สามารถ วัดผลงานของผู้เรียนได้ สามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาตนเองและครอบครัวได้ นอกจากนี้ยังได้ ศึกษาความคิดเห็นของ www.ssru.ac.th นักศึกษา พบว่า นักศึกษา มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับกระบวนการ จัดทำกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ทุกเรื่องอยู่ ในระดับมาก และสามารถนำความรู้ที่


ได้รับจากครูผู้สอนไปใช้ในการจัดทำกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) และประโยชน์ที่ ได้รับ จากการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ทุกเรื่องอยู่ในระดับมาก โดยสามารถนำ ความรู้ไปใช้ในการพัฒนาตนเอง ครอบครัว และการพัฒนาอาชีพได้และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชนสังคม วรรณา ใจกว้าง (2559) ได้ศึกษาเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) โรงเรียนชุมชนบ้านตาหลังใน พบว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) สามารถทำให้นักเรียนมีความสามารถ เพิ่มขึ้น ดังนี้ 1) นักเรียนสามารถทำกิจกรรมเป็น ฐาน (Activity Based Learning : ABL) ได้ถูกต้องทุกขั้นตอน 2) นักเรียนได้ฝึก กระบวนการกลุ่มและฝึกการ แก้ปัญหา 3) นักเรียนได้นำประสบการณ์ ความรู้ในแต่ละกลุ่มกลุ่ม สาระการเรียนรู้มาบูรณาการกับการสอนโดยใช้ กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ได้ 4) นักเรียนรู้จักวิธีการศึกษาค้นคว้า และเก็บ รวบรวม ข้อมูลอย่างเป็นระบบ 5) นักเรียนสามารถเผยแพร่ความรู้ หรือให้คำแนะนำในการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) กับนักเรียนคนอื่นได้ ศักดิ์อนันต์ อนันตสุข (2559) ได้ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง งานและ พลังงานโดยใช้การสอนด้วยรูปแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองเชิงปฏิบัติการ คือ แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) เรื่องงานและพลังงาน จำนวน 8 แผน 9 ชั่วโมง ดังนี้ (1) เรื่อง งาน, (2) เรื่อง กำลัง, (3) เรื่องพลังงานจลน์, (4) เรื่อง พลังงานศักย์, (5) เรื่องกฎการอนุรักษ์พลังงาน, (6) เรื่องการเคลื่อนที่ของ วัตถุในแนววงกลมในระนาบดิ่ง, (7) เรื่อง เครื่องกล, (8) เรื่อง แหล่งพลังงานและการใช้พลังงานเครื่องมือที่ใช้ใน การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการปฏิบัติ ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง งานและ พลังงาน จำนวน 40 ข้อ มีค่าความยากง่าย(p)และค่าอำนาจจำแนก(r)อยู่ระหว่าง 0.20–0.80 มีค่าความเชื่อมั่น ของแบบทดสอบ 0.83 2) แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นแบบสังเกต พฤติกรรมการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอน โดยครูผู้ร่วมวิจัยเป็นผู้สังเกต 3) แบบสำรวจตนเองและแบบ สำรวจกลุ่ม เป็นแบบสำรวจสำหรับนักเรียนได้สำรวจพฤติกรรมการเรียนของตนเองในชั้นเรียน 4) แบบบันทึก เหตุการณ์การเรียนการสอน เป็นแบบบันทึกเหตุการณ์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในชั้นเรียน โดยผู้วิจัย และครูผู้ร่วมวิจัยเป็นผู้บันทึก 5) แบบบันทึกความคิดเห็น เป็นแบบแสดงความคิดเห็นของนักเรียน และครูผู้ร่วม วิจัยในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 6) แบบสัมภาษณ์ เป็นแบบสัมภาษณ์ปลายเปิด ใช้คำถามที่เปิดโอกาสให้ ผู้ตอบได้แสดงออกซึ่งความคิดและความรู้สึกของตนเอง ทั้งครูผู้ร่วมวิจัยและนักเรียนที่เกี่ยวข้อง 7) แบบบันทึก ประจำวันของครู 8) กล้องถ่ายภาพ และกล้องวีดีโอบันทึกภาพเคลื่อนไหว จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาฟิสิกส์เรื่อง งานและพลังงาน พบว่า จำนวนนักเรียนร้อยละ 87.50 ทำคะแนนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 และ มีนักเรียนเพียงร้อยละ 12.50 ที่ทำคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 27.18 คะแนน จากคะแนนเต็ม 40 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 67.94 ของคะแนนเต็ม และเมื่อนำแบบทดสอบรายจุดประสงค์ เรื่อง งานและพลังงาน ในปีการศึกษา 2548 มาทดสอบกับนักเรียนที่เรียน เรื่อง งานและพลังงาน จากการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ผลปรากฏว่า นักเรียนที่เรียนเรื่อง งานและพลังงาน โดยการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญแบบกิจกรรม เป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) สามารถทำแบบทดสอบผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 จำนวน 32 คน คิด


เป็นร้อยละ 80.00 ของนักเรียนทั้งหมด 40 คน และมีคะแนนเฉลี่ย 14.36 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ซึ่งนักเรียนกลุ่มนี้สามารถทำคะแนน รชาดา บัวไพร (2559) ได้ทำการศึกษาการจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอน แบบโมเดลกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และ เจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยใช้แบบ แผนการวิจัย One Group PretestPosttest Design เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ แบบโมเดลกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ แบบวัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) หลังการทดลองค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้รูปแบบการ เรียนการสอนแบบโมเดลกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 2)หลังการทดลอง ค่าเฉลี่ยของคะแนนเจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน แบบโมเดลกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 อรุณี ซ้อนกลิ่นสกุล (2560) ได้พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาเคมีเพิ่มเติม 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ์และผลิตภัณฑ์ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) รูปแบบการวิจัยดําเนินการตามหลักการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ซึ่งประกอบด้วย การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกตและการสะท้อนผลการปฏิบัติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการเรียนรู้ซึ่ง เป็น แนวทางในการดําเนินการเรียนการสอน แบบบันทึกต่างๆ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการ เก็บรวบรวมข้อมูลดําเนินการ ดังนี้ 1) ดําเนินการสอนตามรูปแบบการสอนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) นําการสะท้อนผลการปฏิบัติที่ได้จากผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยมาใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงการ จัด กิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ จนครบทุกแผนการเรียนรู้ 2) ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียน 3) วิเคราะห์ข้อมูล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิง คุณภาพโดยการนําข้อมูลมา วิเคราะห์ ตีความ สรุปและรายงานผลในลักษณะการบรรยาย และการ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าเฉลี่ย และค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบวา การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบกิจกรรมเป็น ฐาน (Activity Based Learning : ABL) เป็นกิจกรรมที่มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนทําให้ผู้เรียน สนใจและกระตือรือร้น ในการร่วมกิจกรรม ได้ลงมือปฏิบัติจริงทําให้เกิดการสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง มีโอกาส ได้ พัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ ในการแสวงหาความรู้เพื่อคิดและแกปัญหาโดยใช้กระบวนการกลุ่มเป็น เครื่องมือจึงทําให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนและครูในการที่จะอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ และนําเสนอผลงานที่ ค้นพบทําให้เกิดความภาคภูมิใจและมีความสุขในการเรียน อีกทั้งยังสามารถ นําความรู้ที่ได้ไปปรับ ใช้กบ สถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจําวันได้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้มีการพัฒนาโดยการปรับเปลี่ยนกิจกรรมใน ด้านต่างๆ เช่น 1) การศึกษาใบกิจกรรม 2) การแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบในกลุ่ม 3) ทักษะในการปฏิบัติ การ ทดลองและการใช้อุปกรณ์ 4) การมีส่วนร่วมในกิจกรรม 5) การอภิปรายซักถามและแลกเปลี่ยน ความรู้ 6) การใช้ เวลาในการทํากิจกรรม และ 7) การรายงานและการนําเสนอผลงาน ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่านักเรียนมี


ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คือได้คะแนนสูงกว่าร้อยละ 70 โดยมีจํานวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ ทั้งหมดจํานวน 24 คน คิดเป็น ร้อยละ 88.84 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 80 นายคณิต จันทสโร (2561) ได้ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์เรื่อง สารชีวโมเลกุล โดยใช้ รูปแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถใน การคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนมัธยมศึกษาในเขตอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เรื่อง สารชีวโมเลกุล และแบบทดสอบวัดความสามารถใน การคิดวิเคราะห์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ ค่าที ผลการวิจัยปรากฏว่า (1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สารชีวโมเลกุล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนมัธยมศึกษาในเขตอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สารชีวโมเลกุล หลังเรียนของนักเรียนดังกล่าวสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (3) ความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนของนักเรียนดังกล่าวสูงกว่า ความสามารถก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ (4)ความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียน ของนักเรียนดังกล่าวสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และผ่านเกณฑ์มากกว่า นักเรียนในปีการศึกษา 2548 ที่ทดสอบผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 เพียง 14 คน คิดเป็นร้อยละ 38.89 ของจำนวน นักเรียนทั้งหมด 36 คน และมีคะแนนเฉลี่ย 11.25 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน การเรียนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) งานวิจัยในต่างประเทศ บิกก์ (Bigge. 2017) ได้ศึกษาวิธีการเรียนการสอนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ พบว่า สามารถช่วยให้นักเรียนพัฒนาในด้านความสามารถและความเข้าใจใน การใช้ความคิด ความอยากรู้ อยากเห็น การสืบสอบ ความเพียรพยายามและความรอบคอบ โกลับ และ โคเลน (Golub and Kolen. 2017) ได้ศึกษาและพบว่า เด็กที่มาจากรูปแบบ การสอนแบบ กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ มีความคิดซับซ้อนมากกว่าเด็ก ที่มาจากโรงเรียนอนุบาลทั่วไป เมื่อเปรียบเทียบในกิจกรรมการเล่นอิสระและพบว่า เด็กมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มี ความร่วมมือ และ อิสระในการตัดสินใจด้วยตัวเองมากกว่ากลุ่มควบคุม เรนเนอร์ และ มาเรค (Renner and Marek : 2018) ได้ศึกษาโดยการนำทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา ของเพียเจต์มาออกแบบทดลองสอนวิทยาศาสตร์แบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) โดย ใช้วัฎจักรการเรียนรู้ (the learning cycle) พบว่า โมเดลนี้มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ช่วยให้นักเรียน พัฒนาทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทักษะทางสังคมและการเข้าใจความหมายของคำ การแก้ปัญหาและ ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้วิธีคิด ไมค์ สแตนตัน (Mike Stantonn : 2019) ได้ศึกษาวิจัยการปฏิบัติเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ตลอดเวลาของ “การทำ” สิ่งต่างๆ นี้ จะทำให้ร่างกายเกิดการสัมพันธ์กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ จะเกิดการเรียนรู้ เกิดการแก้ปัญหา เกิด


การปรับเปลี่ยนแก้ไข ทั้ง “วิธีการและความคิด” เกิดความชำนาญช่ำชองขึ้นไปเรื่อยๆ เกิดภาวการณ์ที่เรียกว่า “พลังแห่งการเรียนรู้ Powerfull Learning” ก่อให้เกิดเป็นคุณสมบัติที่ต้องการ คือ “คิดเป็น ทำเป็น และ แก้ปัญหาเป็น” สมเจตนารมณ์แห่งการศึกษา สรุปว่าการจัดการเรียนการสอนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) เมื่อมีการ เปลี่ยนแปลงหลักสูตร แนวคิดเรื่องการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง นับเป็นแนวคิดหลักของการ เปลี่ยนแปลง หลักสูตรฉบับดังกล่าวได้ส่งเสริมให้ครูเปลี่ยนแนวการจัดการเรียนการสอนจากการบรรยาย บอกเล่า มาเป็นการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม เมื่อเริ่มมีการปฏิรูปทางการเมืองเกิดขึ้น วงการศึกษาก็ได้มีการ เคลื่อนไหวให้มีการปฏิรูปการศึกษาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งส่งผลทำให้เกิดพระราชบัญญัติการศึกษาขึ้น การปฏิรูปครั้งนี้ มี ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการปฏิรูปการเรียนการสอนที่ชัดเจน และกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม หรือ การจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ก็ยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องส่งเสริมกันอย่างเข้มแข็งต่อไป นับว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจที่แม้ว่าเวลาจะผ่านไปแล้ว นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร แต่แนวคิดเดิมใน เรื่องการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางก็ยังคงอยู่ แสดงให้เห็นว่าแนวคิดดังกล่าวยังไม่เกิดผลในทางปฏิบัติในระดับ ที่เป็นที่น่าพอใจ จึงเป็นเรื่องที่ควรวิเคราะห์หาสาเหตุ เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาต่อไป


บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้วิธีการเรียนการสอนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยและจัดลำดับ ตามขั้นตอนดังนี้ 1. กลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การวิเคราะห์ข้อมูล 5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 6. ค่าความยากง่ายของข้อสอบ 7. การหาค่าความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม (IOC) กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการสอนแบบใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 3. ใบงาน 4. แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนและแบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) โดย ผู้วิจัยสร้างจากแนวคิดที่ได้จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีเนื้อหาเกี่ยวกับการวิจัยของครู ในด้าน ความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมในการทำวิจัยของครู เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันด้านนโยบาย การบริหารงานวิจัย ปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวิจัยของครู และพัฒนาจากเครื่องมือการวิจัยของ ภัทรวดี เทพพิทักษ์ (2550 : 103 - 112) พงศ์พัชรินทร์ พุธวัฒนะ (2557 : 258 - 266) พฤกษวรรณ ทองมาก (2558 : 105) โดยแบ่งเป็น 5 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ปัจจัยส่วนบุคคลของครูแบบตรวจสอบรายการ (Check List) และแบบให้เติมคำในช่องว่าง รวม 7 ข้อ ตอนที่ 2 สภาพการทำวิจัยของครูแบบตรวจสอบรายการ (Check List) และแบบให้เติมคำ ในช่องว่าง รวม 22 ข้อ ตอนที่ 3 ความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมด้านการทำวิจัยของครู จำนวน 34 ข้อ แบบมาตราส่วนประมาณ ค่า (Rating Scale) มี 5 ระดับ โดยมีหลักเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ 1. กรณีที่ข้อความมีลักษณะในทางบวก (Positive) ซึ่งได้แก่คาถามข้อที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 15, 16, 17, 18, 20, 22, 26, 28, 30, 31, 32,34 มีหลักเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้


ครูมีทัศนะต่อความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมการทำวิจัย ในระดับมากที่สุด เท่ากับ 5 คะแนน ครูมีทัศนะต่อความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมการทำวิจัย ในระดับมาก เท่ากับ 4 คะแนน ครูมีทัศนะต่อความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมการทำวิจัย ในระดับปานกลาง เท่ากับ 3 คะแนน ครูมีทัศนะต่อความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมการทำวิจัย ในระดับน้อย เท่ากับ 2 คะแนน ครูมีทัศนะต่อความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมการทำวิจัย ในระดับน้อยที่สุด เท่ากับ 1 คะแนน 2. กรณีที่ข้อความมีลักษณะในทางลบ (Negative) ซึ่งได้แก่คาถามข้อที่ 13, 14, 19, 21, 23, 24, 27, 29, 33 มีหลักเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ครูมีทัศนะต่อความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมการทำวิจัย ในระดับมากที่สุด เท่ากับ 1 คะแนน ครูมีทัศนะต่อความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมการทำวิจัย ในระดับมาก เท่ากับ 2 คะแนน ครูมีทัศนะต่อความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมการทำวิจัย ในระดับปานกลาง เท่ากับ 3 คะแนน ครูมีทัศนะต่อความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมการทำวิจัย ในระดับน้อย เท่ากับ 4 คะแนน ครูมีทัศนะต่อความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมการทำวิจัย ในระดับน้อยที่สุด เท่ากับ 5 คะแนน ตอนที่ 4 ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามแบบของลิคเอิร์ท (Likert, อ้างถึงในผ่องศรี วาณิชย์ศุภวงศ์, 2546 : 132) แบ่งเป็น 5 ระดับ โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนดังนี้ ระดับ 5 หมายถึง ครูมีทัศนะต่อปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวิจัยในระดับมากที่สุด ระดับ 4 หมายถึง ครูมีทัศนะต่อปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวิจัยในระดับมาก ระดับ 3 หมายถึง ครูมีทัศนะต่อปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวิจัยในระดับปานกลาง ระดับ 2 หมายถึง ครูมีทัศนะต่อปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวิจัยในระดับน้อย ระดับ 1 หมายถึง ครูมีทัศนะต่อปัจจัยที่เอื้อต่อการทำวิจัยในระดับน้อยที่สุด ตอนที่ 5 เป็นแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบสอบถามปลายเปิดเกี่ยวกับข้อเสนอแนะในการพัฒนา วัฒนธรรมวิจัยของครู การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้รายงานสร้างขึ้นไปทดสอบกับนักเรียน บันทึกคะแนน เป็นคะแนนก่อนเรียน ครูผู้สอนชี้แจงการเรียนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) 2. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้สื่อการสอนประกอบการเรียน ตามแผนการจัดการ เรียนรู้ที่ผู้ศึกษาได้สร้างขึ้น ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทั้งหมดจำนวน 6 ชั่วโมง 3. ครูสังเกตการทำกิจกรรมของกลุ่ม การช่วยกันแก้ปัญหา ความสนใจ และความตั้งใจของสมาชิกใน


กลุ่ม 4. สังเกตผลการทำแบบฝึกหัดว่าดีขึ้นหรือไม่ 5. สังเกตการประเมินตามสภาพจริงในแต่ละครั้ง 6. วัดผลการเรียนเมื่อสิ้นบทเรียน 7. ครูช่วยสรุปการเรียนรู้ทั้งหมดที่นักเรียนปฏิบัติเป็นความคิดรวบยอด การวิเคราะห์ข้อมูล การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่องแรงและแรงลัพธ์ที่ เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการสอนที่เน้นกระบวนการแก้ปัญหา โดยการนำคะแนนของนักเรียนทั้ง 36 คน มาคำนวณหาค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย และนำเสนอข้อมูลโดยใช้ตารางประกอบคำบรรยาย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้รูปแบบการ สอนที่เน้นกระบวนการแก้ปัญหาและทำการทดสอบก่อนและเรียน โดยนำคะแนนทดสอบของนักเรียนมาหาค่า ร้อยละ และค่าเฉลี่ย 1.1 สูตรหาค่าร้อยละ (Percentage) เพื่อใช้แปลความหมายของข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบ แบบสอบถามตามส่วนที่ 1 การนำเสนอข้อมูลโดยใช้ตารางแจกแจงความถี่ (Frequency Table) ดังนี้ สูตร = ×100 เมื่อ P แทน ค่าร้อยละ หรือ % f แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ n แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด 1.2 สูตรค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ( x ) ใช้สูตรของล้วน ยศสาย และ อังคณา ยศสาย (2557: 59) x x N = เมื่อ x คือ ค่าเฉลี่ย x N คือ ผลรวมของคะแนน N คือ จำนวนนักเรียนทั้งหมด


1.3 สูตรการหาค่าความเที่ยงตรง ( Validity ) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตรค่าดัชนี ความสอดคล้อง IOC ( สมนึก ภัททิยธนี. 2556 : 221 ) ดังนี้ N R IOC = เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมและเนื้อหา หรือระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหา R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 1.4 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้สูตร (Ferguson, 2008 : 49) .. = √ 2 ∑ 2 − (∑ ) 2 ( − 1) แทนค่า .. คือ ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑ 2 คือ ผลรวมของกำลังสองของคะแนน (∑ ) 2 คือ ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกำลังสอง คือ จำนวนคนในกลุ่มตัวอย่าง


บทที่ 4 ผลการศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาวิธีการเรียนของนักเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนทุกคนมีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด โดยเสนอผลการวิเคราะห์ ข้อมูลเป็นลำดับ ในลักษณะตารางประกอบคำบรรยายดังนี้ ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบความสามารถในการเรียนรู้ในวิชาวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้กิจกรรมเป็นฐานในชั้นเรียนตลอดงานวิจัยนี้เรื่องแรงและ แรงลัพธ์ของนักเรียนก่อนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 36 คน การทดสอบ คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย ( x ) ร้อยละของคะแนนที่ เพิ่มขึ้น ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ก่อนเรียน 10 3.98 78.64 1.84 หลังเรียน 10 7.11 1.71 จากตารางที่ 1 พบว่าคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 3.98 คะแนน และคะแนนเฉลี่ยหลัง เรียนเท่ากับ 7.11 คะแนน ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เท่ากับ 3.13 คะแนน และนักเรียนทุกคนมี คะแนนสูงขึ้นกว่าเดิมโดยมีคะแนนความก้าวหน้าเมื่อเทียบระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียนคิดเป็น ร้อยละ 78.64 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ลดลง ตารางที่ 2 แสดงผลการทดสอบก่อนและหลังเรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ที่ ชื่อ-สกุล ทดสอบก่อน เรียน ทดสอบหลัง เรียน ความแตกต่าง ค่าคะแนน (10 คะแนน) (10 คะแนน) 1 เด็กชายกฤษดา อัลซาดจาลี 4 6 2 2 เด็กชายณัฐภาส ใจยิ้ม 5 8 3 3 เด็กชายภาฆิน วันยาเล 5 7 2 4 เด็กชายณัฐพล อาดัม 3 7 4 5 เด็กชายฎีกากรณ์ บริรักษ์ 5 6 1 6 เด็กชายศรชัย พรมใหม 4 5 1 7 เด็กชายพลากร อาดัม 3 5 2 8 เด็กชายธนัท บุญเหล็ง 2 5 3 9 เด็กหญิงอารียา มูฮำหมัด 3 6 3


Click to View FlipBook Version