The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน.วิทย์.ม2-แรงและแรงลัพธ์-RD31

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Duangkamol Nong Puangkaew, 2023-08-28 03:23:02

วิจัยในชั้นเรียน.วิทย์.ม2-แรงและแรงลัพธ์-RD31

วิจัยในชั้นเรียน.วิทย์.ม2-แรงและแรงลัพธ์-RD31

10 เด็กหญิงศิริลักษณ์ ว่าบ้านพลับ 6 9 3 11 เด็กหญิงภัสร์สุชา เกาไศยนันท์ 6 8 2 12 เด็กหญิงอานาตาเซีย อาดัม 3 6 3 13 เด็กหญิงกชกร แดงประทุม 4 6 2 14 เด็กชายชัยภัทร แซ่ตั้ง 4 5 1 15 เด็กชายวรินธรณ์ สุขสุภาพ 5 6 1 16 เด็กชายสรวิช โตวาท 3 7 4 17 เด็กชายอาทิตย์ สุขปราโมทย์ 3 6 3 18 เด็กชายนิคม นามคำ 4 6 2 19 เด็กหญิงอนัญญา ดิษเจริญ 4 6 2 20 เด็กหญิงฐิดาธาร ช้างเดชา 5 8 3 21 เด็กหญิงสายชล ปานหลุมข้าว 5 7 2 22 เด็กชายภาณุพงศ์ขันขาว 4 5 1 23 เด็กชายณัฐนนท์ ทาหะพรม 3 6 3 24 เด็กชายธราธิป ภู่สงฆ์ 4 6 2 25 เด็กชายพิทักษ์ชัย แก้วลอย 3 5 2 26 เด็กชายอภิศักดิ์ ศรีโสภา 4 5 1 27 เด็กชายอาณัติ โสธรรมมงคล 4 6 2 28 เด็กหญิงณัฐติกาล สมภาร 2 5 3 29 เด็กหญิงพัชภรณ์ ปลื้มใจ 3 5 2 30 เด็กหญิงพัชรี อินเพ็ชร์ 2 6 4 31 เด็กหญิงพิมลพัส สาธราลัย 3 5 2 32 เด็กหญิงธัญภรณ์ ศรีอุบล 3 5 2 33 เด็กชายนฤภัทร จีจอม 2 5 3 34 เด็กชายกรรณชัย มูลคำก้อน 5 9 4 35 เด็กหญิงณิชกานต์มล ทองอ่อน 6 7 1 36 เด็กหญิงอรวรา มูลศรี 3 6 3 ค่าเฉลี่ย 3.98 7.11 3.13 ร้อยละของคะแนนที่เพิ่มขึ้น . . × = 78.64 จากตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่าผลการทดสอบก่อนและหลังเรียนนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 นั้น โดยใช้ วิธีการสอนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) นั้น นักเรียนทดสอบก่อนเรียนมีค่าคะแนน เฉลี่ยเท่ากับ 3.98คะแนน จากนั้นทดสอบหลังเรียนมีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.11คะแนน โดยนักเรียนมีค่าคะแนน เฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 3.13 คะแนน ซึ่งเป็นพัฒนาการของคะแนนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจากเดิม


ตารางที่ 3 การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) รายการขอความคิดเห็น ประมาณค่าความคิดเห็นของ ผู้ทรงคุณวุฒิคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 4 5 1. ความสอดคล้องเหมาะสมกับหลักสูตร +1 +1 0 +1 +1 0.8 ใช้ได้ 2. ความสอดคล้องเหมาะสมกับธรรมชาติวิชา +1 0 -1 +1 +1 0.4 ปรับปรุง 3. ความสอดคล้องเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน +1 +1 +1 +1 +1 1.0 ใช้ได้ 4. ความสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน และปัญหา +1 +1 +1 +1 0 0.8 ปรับปรุง 5. ความเหมาะสมต่อกระบวนการพัฒนาผู้เรียน +1 +1 0 +1 -1 0.4 ปรับปรุง 6. ความเหมาะสมของเนื้อหา +1 +1 +1 +1 0 0.8 ใช้ได้ 7. ความเหมาะสมของขนาดตัวอักษร +1 +1 +1 +1 +1 1.0 ใช้ได้ 8. ความเหมาะสมของการใช้ภาษา 0 +1 +1 0 +1 0.6 ใช้ได้ 9. ความเหมาะสมกับความสนใจของนักเรียน 0 +1 +1 +1 -1 0.4 ปรับปรุง 10. ความเหมาะสมของรูปแบบ +1 +1 +1 +1 +1 1.0 ใช้ได้ ค่า IOC = 0.8+0.4+1.0+0.8+0.4+0.8+1.0+0.6+0.4+1.0 10 = 7.2 = 0.72 10 สรุปผลว่า แบบฝึกชุดนี้ใช้ได้จากการหาประสิทธิภาพ ค่าดัชนีความสอดคล้องที่ยอมรับได้ต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป ข้อเสนอแนะ/ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ 1. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนควรคลอบคลุมจุดประสงค์ประสงค์การเรียนรู้ 2. กิจกรรมและเนื้อหาไม่ครอบคลุมและไม่ครบตามจุดประสงค์ 3. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนควรจะสลับข้อกัน เพื่อป้องกันนักเรียนจำคำตอบควรจะมี หลากหลายไม่ซ้ำกัน


4. ตัวอย่างในแต่ละกิจกรรมควรปรับให้เหมาะสมสอดคล้องกัน 5. การพิมพ์เอกสารทางวิชาการควรมีการให้เช็คให้ละเอียดก่อนพิมพ์ 6. ควรมีการยกตัวอย่างข้อความในชุดกิจกรรมให้ชัดเจนเพื่อความเข้าใจของผู้ปฏิบัติ


บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาวิธีเรียนรู้แบบใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ให้เอื้อต่อการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนทุกคนมีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด เรื่องแรงและ แรงลัพธ์ 2. เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้ดีขึ้นและเป็นแนวทางในการพัฒนาการสอน สมมติฐานของการวิจัย รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : การสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) สามารถทำให้นักเรียนบางส่วนที่ไม่เข้าใจบทเรียนนั้น กลับมาเข้าใจบทเรียนมากขึ้นและเรียนรู้ ได้มากขึ้นกว่าคำอธิบายของครู เกิดการเรียนรู้ได้ดี มีพัฒนาการที่เป็นไปตามความสามารถ และเต็มตามศักยภาพ ของแต่ละคน ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ผลการการวิจัยครั้งนี้ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ สามารถ นำวิธีการการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) เป็นฐาน ไปปรับใช้และ ประยุกต์ใช้ได้ใน กระบวนการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และแก้ปัญหาได้ 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) เป็นฐาน มีความสามารถในการคิด และสามารถคิดอย่างมีวิจารณญาณและแก้ไขปัญหาที่สูงขึ้นขณะเรียนได้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการสอนแบบใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 3. ใบงาน 4. แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนและแบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 36 คน การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้รายงานสร้างขึ้นไปทดสอบกับนักเรียน บันทึกคะแนน เป็นคะแนนก่อนเรียน ครูผู้สอนชี้แจงการเรียนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL)


2. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้สื่อการสอนประกอบการเรียน ตามแผนการจัดการ เรียนรู้ที่ผู้ศึกษาได้สร้างขึ้น ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทั้งหมดจำนวน 8 ชั่วโมง 3. ครูสังเกตการทำกิจกรรมของกลุ่ม การช่วยกันแก้ปัญหา ความสนใจ และความตั้งใจของสมาชิกใน กลุ่ม 4. สังเกตผลการทำแบบฝึกหัดว่าดีขึ้นหรือไม่ 5. สังเกตการประเมินตามสภาพจริงในแต่ละครั้ง 6. วัดผลการเรียนเมื่อสิ้นบทเรียน 7. ครูช่วยสรุปการเรียนรู้ทั้งหมดที่นักเรียนปฏิบัติเป็นความคิดรวบยอด สรุปผลการวิจัย ผลจากการจัดการเรียนการสอนแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) มาใช้ในการ เรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ผลปรากฎว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 3.98 คะแนน และ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 7.11 คะแนน ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เท่ากับ 3.13 คะแนน และนักเรียนทุกคนมีคะแนนสูงขึ้นกว่าเดิมโดยมีคะแนนความก้าวหน้าเมื่อเทียบระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับ คะแนนหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 78.64 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ลดลง นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใน รายวิชาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และกิจกรรมกลุ่มของนักเรียนทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีและเอื้อต่อการเรียนการ สอน ช่วยให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นสนใจ ตั้งใจ และมีความรับผิดชอบต่อการเรียนมากขึ้น อีกทั้งยังช่วย กระตุ้นให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ช่วยสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้น ในกลุ่ม รู้จักแก้ปัญหา ร่วมกัน ทำงานเป็นทีมระดมความคิดของหลายคน ซึ่งแนวทางนี้เหมาะสมในการแก้ปัญหาในชั้นเรียนได้เป็นอย่าง ดี รวมถึงสามารถสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก ผลพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของ นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) จากการ สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียน ทุกกลุ่มมีคะแนนพฤติกรรมการทำงานกลุ่มเพิ่มขึ้น อภิปรายผลการวิจัย จากการศึกษาวิจัยพบว่าการสอนโดยวิธีกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) ระหว่าง นักเรียนในรายวิชา ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความสามารถใน การคิดวิเคราะห์ หลังการจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) มีคะแนนเฉลี่ย สูงขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนเรียนและเทียบกับเกณฑ์ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็น ฐาน (Activity Based Learning : ABL) เป็นกิจกรรมที่ให้โอกาสให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองตามแนวคิดการ สร้างความรู้ นำมาใช้ในการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง สร้าง “แรงจูงใจ Motivation” ในเนื้อหาที่ จะเรียนทุกๆครั้ง เพื่อให้เกิดความต้องการจากภายใน “จิตใจ” ที่อยากรู้ อยากเรียน และอยากทำความเข้าใจใน เนื้อหานั้นๆ กระตือรือร้นที่จะเข้าร่วม “กิจกรรม” โดยไม่ต้องบังคับ มีเป้าหมายที่ชัดเจน Clear Goals ควรทำให้ ผู้เรียน “เห็นเป้าหมายในการเรียนรู้ที่ชัดเจน และคุ้มค่า” ในการเข้าร่วมกิจกรรม และถ้าให้ดีผู้เรียนควรมีตัวเลือก การออกแบบกิจกรรมที่ฉลาด แม้มีกิจกรรมเดียว กิจกรรมนั้นๆ ก็สร้างทางเลือกได้หลายทาง เช่น เลือกสี เลือก ตำแหน่ง เลือกกลุ่ม ฯลฯ เพื่อเป็นตัวกระตุ้นพลังงานและความพยายามของผู้เรียน


จากการที่ผู้เรียนมีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังจากนำกระบวนการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็น ฐาน (Activity Based Learning : ABL) มาใช้จัดการเรียนการสอนนั้นแสดงให้เห็นว่า “กิจกรรม Activity” ที่สร้าง ขึ้น หรือนำมาใช้นั้น มีลักษณะส่งเสริม และเร้าใจให้ผู้เรียนเกิดความ ”อยากรู้” จาก “ภายในจิตใจ Inside the Mind” เป็นแรงผลักดันให้เกิดการเรียนแบบสืบสวน สอบสวน ค้นคว้าหาความรู้ Inquiry ด้วยความกระตือรือร้น “ตามธรรมชาติ Natural way” การเรียนรู้จากประสบการณ์ ควรตอบสนองหลักการศึกษา Reflect Educational Principles, ตอบสนองรูปแบบของการเรียนรู้ Learning Model, และ ตอบสนองกลยุทธ์การเรียนการสอนที่ได้คิด ออกแบบไว้แล้ว Instructional strategies base on design thinking… นี้เป็นหลักสำคัญของการเรียนรู้โดยใช้ “กิจกรรม หรือ ประสบการณ์” เป็นฐานการเรียนรู้ ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะจากการวิจัยในครั้งนี้ 1.1 ครูผู้สอนควรจัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และดูแลช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ 1.2 ผู้บริหารสถานศึกษา ควรสนับสนุนให้ครูจัดเตรียม และการเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกิจกรรม นำ ภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ABL ไปจัดกระบวนการเรียนรู้และ สร้างนวัตกรรมการเรียนรู้เพิ่มเติม 1.3 ควรประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลายเหมาะสมกับธรรมชาติ ของวิชาในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ และระดับพัฒนาการของผู้เรียน 2. ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรทำวิจัยวิเคราะห์ผลการประเมิน เพื่อนาผลมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียนรวมทั้ง ปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ของตนเองด้วยในกระบวนการวิจัย 2.2 ในการวิจัยควรกำหนดเป้าหมาย วางแผน และรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเองให้บรรลุเป้าหมาย 2.3 ข้อมูลจากการวิจัยครั้งนี้ ควรแนะนำให้ครูท่านอื่นสามารถแสวงหาและเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ที่มีอยู่ อย่างหลากหลาย และรู้จักวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล ข้อความรู้ เพื่อนามาปรับใช้ในการเรียนการสอนได้


บรรณานุกรม นีรนุช เหลือลมัย. (2556). การวิจัยและพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพมหานคร. สุชีรา มีอาษา. (2557). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐานร่วมกับระบบพี่ เลี้ยง เพื่อส่งเสริมการคิด สร้างสรรค์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา. (ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต) สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา ภาควิชาคอมพิวเตอร์ ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, กรุงเทพมหานคร. สุมิตรา อังวัฒนกุล. (2558). วิธีสอนโดยใช้กิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ตามหลักสูตร. กรุงเทพมหานคร : โรง พิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. วีณา วโรตมะวิชญ. (2558). กลวิธีการเรียนการสอนจากกิจกรรมในโรงเรียนประถมศึกษา. เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. พรรณี ปานเทวัญ. (2559). การพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 กับการเรียนรู้เชิงรุกในวิชาคำนวณ. วารสาร พยาบาลทหารบก, 17(3), 17-24. ---------- . กระทรวงศึกษาธิการ (2559). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). ---------- . หกระทรวงศึกษาธิการ. (2559). สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). จิรา ยงเขตกิจ. (2559). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ ชีวิตและ พฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนโดยการเรียน แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มสัมฤทธิ์ และการสอนตามปกติ. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหา บัณฑิต สถาบันราชภัฏนครสวรรค์.


ฐิติพร ดวงจิตร. (2560). การพัฒนาชุดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่2 โดยใช้รูปแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL). ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ---------- . (2560). กลุ่มกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL) เพื่อการทำงานและ การจัดการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ : นิชินแอดเวอร์ไทซิ่ง กรู๊ฟ. อังคณา ประวงค์สา. ทบทวนแนวการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา. นครราชสีมา : สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษา นครราชสีมา เขต 1, 2560. ชนาธิป พรกุล. (2561). รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วรวิทย์ นิเทศศิลป์. (2561). สื่อและนวัตกรรมแห่งการเรียนรู้. ปทุมธานี : สกายบุ๊กส์. มลิวัลย์ สมศักดิ์. (2561). เอกสารประกอบการสอนรายงานการวิจัย. มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครศรีธรรมราช. สุกัญญา อิ่มใจ. (2562). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างการ เรียนรู้แบบร่วมมือกันเรียนรู้ด้วยแบบกลุ่มแบบ STAD กับแบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning : ABL). วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. พรวัฒนา ไชยภารัตน์. (2562). แผนการสอนที่เนนผูเรียนเปนศูนยกลาง (พิมพครั้งที่2). กรุงเทพฯ: ม.ป.ท. : มหาวิทยาลัยเกริก. ไพโรจน์ ตีรณธนากุลและคณะ. (2562). การออกแบบและการผลิตบทเรียนจากกิจกรรมการสอน. กรุงเทพ : ศูนย์ส่งเสริมคุณภาพ. Morgan, Clifford T. (2016). “Thinking and Problem Solving”. A Brief Introduction to Psychology. 2nd ed. New Delhi Tata McGrew-Hill.co. Piaget, J. (2016). The Origins of Intelligence in Children. New York : W.W.Norton. Polya,


George. (2016). How to solve it. San Francisco : Stanford University. Allen, D.E., & Duch, B.J. (2017). Thinking Toward Solution: Problem-Based Learning. Activities for General Biology. The United States of America: Harcourt Brace & Company. Bloom, Benjamin S. (2018). Taxonomy of educational objective handbook 1 : cognitiwe domain. London : Longman. Thornbury, S. (2018). How to Teach Vocabulary activity. Bangkok: Pearson Education Indochina Ltd. Shou, P. (2019). The Effect of Vocabulary Knowledge and Background Knowledge on Reading Comprehension of Taiwanese EFL Students. Electronic Journal of Foreign Language Teaching8 (1). Özen, B. (2019). Teaching Vocabulary Through Poetry in an EFL Classroom. International Online Journal of Primary Education 1 (1). Nunan, D. (2019). Language Teaching Methodology. Englewood Cliffs: Prentice Hall International (UK) Ltd. Marshall, T. (2020). The whole world guide to language learning. Yarmouth, ME: Intercultural Press, Inc., Johnson, D. D. & Pearson, D. P. (2020). Teaching Reading Vocabulary. USA. Holt, Rinehart and Winston.


ภาคผนวก


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 วิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่องแรงและการเคลื่อนที่ เวลา 6 ชั่วโมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด ว 2.2 ม.2/1 พยากรณ์การเคลื่อนที่ของวัตถุที่เป็นผลของแรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงหลายแรงที่กระทำต่อ วัตถุในแนวเดียวกันจากหลักฐานเชิงประจักษ์ ว 2.2 ม.2/2 เขียนแผนภาพแสดงแรงและแรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงหลายแรงที่กระทำต่อวัตถุในแนว เดียวกัน 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายความหมายของแรงได้ (K) 2. เขียนแผนภาพแสดงแรงและคำนวณหาแรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงหลายแรงที่กระทำต่อวัตถุใน แนวเดียวกันได้ (P) 3. ปฏิบัติกิจกรรมการหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ได้อย่างถูกต้องและเป็นลำดับขั้นตอน (P) 4. มีความใฝ่เรียนรู้และมีความมุ่งมั่นในการทำงาน (A) 3. สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น • แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ เมื่อมีแรงหลาย ๆ แรง กระทำต่อวัตถุ แล้วแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุมีค่า เป็นศูนย์ วัตถุจะไม่เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ แต่ถ้า แรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุมีค่าไม่เป็นศูนย์ วัตถุจะ เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ - 4. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ที่มีขนาดและทิศทาง มีหน่วยเป็นนิวตัน เมื่อมีแรงหลายแรงกระทำต่อวัตถุ แล้ว แรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุมีค่าเป็นศูนย์ วัตถุจะไม่เคลื่อนที่ แต่หากแรงหลายแรงกระทำต่อวัตถุ แล้วแรงลัพธ์ที่ กระทำต่อวัตถุมีค่าไม่เป็นศูนย์ วัตถุจะไม่เคลื่อนที่ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการวัด 2) ทักษะการสังเกต 3) ทักษะการทดลอง 4) ทักษะการคำนวณ 1. มีวินัย รับผิดชอบ 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. ซื่อสัตย์ สุจริต 4. มุ่งมั่นในการทำงาน


สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 5) ทักษะการทำงานร่วมกัน 6) ทักษะการพยากรณ์หรือการคาดคะเน 7) ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. กิจกรรมการเรียนรู้ แนวคิด/รูปแบบการสอน/วิธีการสอน/เทคนิค : สืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage) 1. ครูทักทายกับนักเรียน แล้วแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ จากนั้นนักเรียนทำ แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ เพื่อวัดความรู้เดิมของนักเรียน ก่อนเข้าสู่กิจกรรม 2. ครูนำอุปกรณ์สาธิตการทดลอง เช่น ลูกบอลยาง จากนั้นครูขออาสาสมัครนักเรียน 1 คน ออกมาหน้าชั้นเรียน โดยให้ตัวแทนนักเรียนโยนลูกบอลยางขึ้นไปเหนือศีรษะ แล้วให้นักเรียน แต่ละคนสังเกตการเคลื่อนที่ของลูกบอลยาง 3. ครูถามคำถามกระตุ้นความสนใจของนักเรียนโดยใช้คำถาม Big Question จากหนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 1 และร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระโดยไม่มีการเฉลย ว่าถูกหรือผิดว่า “แรงมีผลต่อการเคลื่อนที่ของวัตถุอย่างไร” (แนวตอบ : แรงมีผลทำให้วัตถุเปลี่ยนแปลงสภาพการเคลื่อนที่ ความเร็ว ทิศทาง รวมทั้งทำให้วัตถุ เปลี่ยนแปลงรูปร่างและขนาด เช่น รถยนต์ที่พุ่งชนต้นไม้ด้วยความเร็วหนึ่ง แรงที่พุ่งชนต้นไม้ สะท้อนให้รถเกิดการชำรุด) 3. นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจของตนเองก่อนเข้าสู่กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Understanding Check ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 1 โดยบันทึกลงในสมุดประจำตัว นักเรียน 4. ครูถามคำถาม Prior Knowledge จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 1 เพื่อเป็นการนำเข้าสู่ บทเรียนและตรวจสอบความรู้เดิมเกี่ยวกับ เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ ของนักเรียนว่า “วัตถุที่อยู่นิ่ง ถูกทำให้เคลื่อนที่ได้อย่างไร” (แนวตอบ : วัตถุที่อยู่นิ่งสามารถเคลื่อนที่ได้เนื่องจากมีแรงมากระทำ โดยแรงที่มากระทำต่อวัตถุ อาจสัมผัสหรือไม่สัมผัสกับวัตถุโดยตรง เช่น แรงดึง แรงผลัก แรงดัน แรงโน้มถ่วง แรงไฟฟ้า แรงแม่เหล็ก) ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (Explore) 1. นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละเท่า ๆ กัน ตามความสมัครใจ จากนั้นให้นักเรียนแต่ละ กลุ่มส่งตัวแทนออกมาจับสลากหัวข้อที่ศึกษา โดยให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าข้อมูล จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 1 หรือแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น อินเทอร์เน็ต ห้องสมุด ซึ่งหัวข้อประกอบด้วย • กลุ่มที่ 1-2 ศึกษาเกี่ยวกับความหมายของแรง • กลุ่มที่ 3-4 ศึกษาเกี่ยวกับแรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงย่อยที่อยู่ในแนวเดียวกันมากระทำกับวัตถุ


ในทิศทางเดียวกัน • กลุ่มที่ 5-6 ศึกษาเกี่ยวกับแรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงย่อยที่อยู่ในแนวเดียวกันมากระทำกับวัตถุ ในทิศทางตรงข้ามกัน 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายเรื่องที่ได้ศึกษา จากนั้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสรุปความรู้ ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าลงในสมุดประจำตัวนักเรียน (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม) ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(Explain) 3. นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลการศึกษาหน้าชั้นเรียน ในระหว่างที่นักเรียนนำเสนอครูคอย ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช้แบบประเมินการนำเสนอผลงาน) 4. ครูอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจว่า “แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ที่ทั้งขนาดและทิศทาง สามารถ เขียนแทนด้วยเส้นตรง โดยความยาวของเส้นแทนขนาดของแรงและต้องสอดคล้องกับมาตราส่วน ที่กำหนด โดยหัวของลูกศรจะชี้ไปในทิศทางที่แรงกระทำ” 5. นักเรียนศึกษาตัวอย่างที่ 4.1-4.3 จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 1 จากนั้นครูเขียนโจทย์ บนกระดาน โดยให้นักเรียนแต่ละคนเขียนแผนภาพ ลงในสมุดประจำตัวนักเรียน ตัวอย่างโจทย์ เช่น จงเขียนแรงที่มีขนาด 500 นิวตัน ที่มีทิศไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 6. ครูสุ่มเลขที่นักเรียน จำนวน 4 คน ออกมาเขียนคำตอบของตนเองหน้าชั้นเรียน โดยให้เพื่อนใน ชั้นเรียนร่วมกันพิจารณาว่าคำตอบถูกต้องหรือไม่ จากนั้นครูเฉลยคำตอบที่ถูกต้องให้นักเรียน 7. นักเรียนศึกษาเวปไซต์เพื่อการศึกษา PHET Interactive Simulation เกี่ยวกับการหาแรงลัพธ์ จากนั้น นักเรียนจับคู่กับเพื่อนในชั้นเรียน ตามความสมัครใจ จากนั้นให้นักเรียนแต่ละคู่ร่วมกันทำ ใบงานที่ 4.1.1 เรื่อง แรง เมื่อทำเสร็จแล้วนำส่งครูท้ายชั่วโมง 8. ครูเตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติกิจกรรมการหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์มาวางไว้ หน้าชั้นเรียน ดังนี้ - เครื่องชั่งสปริง 3 เครื่อง - วงแหวน - ด้าย - แผ่นใส - กระดาษ A4 9. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 6 คน ตามความสมัครใจ จากนั้นให้ตัวแทนกลุ่มออกมาจัดเตรียม อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติกิจกรรม การหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ 10. นักเรียนแต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมที่ 4.4 การรวมแรงในระนาบเดียวกันทำได้อย่างไร โดยให้แต่ละกลุ่มปฏิบัติ กิจกรรม ดังนี้ • ผูกเชือก 3 เส้นเข้ากับวงแหวน นำปลายเชือกแต่ละด้านเกี่ยวกับครื่องชั่งสปริง แล้ววางบนจุด ตามแนวของเส้นเชือกแต่ละเส้นบนกระดาษ A4 • ออกแรงดึงเครื่องชั่งสปิงในทิศทางต่างๆจนทำให้วงแหวนอยู่นิ่งบันทึกขนาดแรงและทิศทาง ของแรงโดยใช้ดินสอจุดตามแนวเส้นเชือกแต่ละเส้นบนกระดาษ A4


• เขียนเวกเตอร์ของแรงโดยลากเส้นตรงต่อจุดตามแนวเส้นเชือกแต่ละเส้นให้ความยาวของแต่ ละเส้นเป็นสัดส่วนกับขนาดของแรงที่บันทึกไว้แล้วกำกับทิศทางของแรงนั้นนั้นโดยใช้หัวลูกศร กำหนดให้ลูกศรแทนแรงที่ได้แทนเวคเตอร์ของแรง F1 F2 และ F3 • นำเวกเตอร์ของแรง F1 และ F2 มารวมกันแบบหางต่อหัวโดยให้หางของเวกเตอร์ F2 ต่อกับ หัวของเวกเตอร์ F1 • เขียนลูกศรจากทางวิคเตอร์F1 ไปยังหัวเวกเตอร์F2 วัดขนาดของลูกศรและสังเกตทิศทาง ลูกศรที่เขียนเมื่อเทียบกับเวกเตอร์F3 11. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ผลการปฏิบัติกิจกรรม แล้วอภิปรายผลและสรุปผลการปฏิบัติ กิจกรรมการหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ ลงในสมุดประจำตัวนักเรียน (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม) ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้(Explain) 12. ครูสุ่มนักเรียน จำนวน 3 กลุ่ม ออกมานำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรม การหาขนาดและทิศทางของ แรงลัพธ์ ในระหว่างที่นักเรียนนำเสนอครูคอยให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจ ที่ถูกต้อง (หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช้แบบประเมินการนำเสนอผลงาน) 13. ครูตั้งประเด็นคำถามจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวคำถาม ดังนี้ • เมื่อออกแรงกระทำต่อวงแหวนและวงแหวนอยู่นิ่ง แรงลัพธ์ที่กระทำต่อวงแหวนมีขนาดเท่าใดทราบ ได้อย่างไร (แนวตอบ : แรงลัพธ์เท่ากับศูนย์ เนื่องจากวงแหวนอยู่นิ่ง) 14. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม การหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ว่า “การลากถุงทรายด้วยอัตราเร็วสม่ำเสมอ ด้วยเครื่องชั่งสปริง 1 และ 2 เครื่อง ในแนวเดียวกัน โดยถุงทรายจะเคลื่อนที่ไปตามผลรวมขนาดของแรง หรือเรียกว่า แรงลัพธ์” 15. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาตัวอย่างที่ 1 จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 1 16. ครูเขียนโจทย์บนกระดาน โดยให้นักเรียนลอกโจทย์ และแสดงวิธีทำ ลงในสมุดประจำตัวนักเรียน ตัวอย่างโจทย์ กำหนดให้ แรง F1 = 10 N F2 = 45 N และแรง F3 = 10 N มากระทำต่อกล่อง ดังภาพ จงหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ 1) 2) 3) 4) F1 F1 F2 F2 F2 F1 F3 F1 F2 F3


17. ครูอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจว่า “แรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงย่อยที่อยู่ในแนวเดียวกัน ถ้าหาก แรงย่อยที่มากระทำมีทิศไปทางเดียวกัน ขนาดของแรงลัพธ์จะมีค่าเท่ากับผลบวกของแรงย่อย ถ้าหากแรงย่อยที่มากระทำมีทิศตรงข้ามกัน ขนาดของแรงลัพธ์จะมีค่าเท่ากับผลต่างของแรงย่อย โดยอาจกำหนดแรงที่กระทำต่อวัตถุไปทางขวามีค่าเป็นบวก และแรงที่กระทำต่อวัตถุไปทางซ้าย มีค่าเป็นลบ แต่ถ้าแรงที่มากระทำต่อวัตถุมีขนาดเท่ากันและมีทิศตรงข้ามกัน แรงลัพธ์จะมีค่า เท่ากับศูนย์ วัตถุจะรักษาสภาพการเคลื่อนที่เดิม” ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ (Elaborate) 18. ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนซักถามเนื้อหาเกี่ยวกับ เรื่อง การรวมเวกเตอร์แบบหางต่อหัวและให้ความรู้ เพิ่มเติมจากคำถามของนักเรียน โดยครูใช้ PowerPoint เรื่อง การหาแรงลัพธ์ของวัตถุ ในการอธิบายเพิ่มเติม 19. ครูแจกกระดาษลอกลายให้นักเรียน และรวมแรงแบบหางต่อหัว ตามตัวอย่างที่ 1-3 ในหนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 1 และร่วมกันสรุปหลักการรวมเวกเตอร์แบบหางต่อหัว 20. นักเรียนแต่ละคนทำใบงานที่ 4.1.2 เรื่อง แรงลัพธ์ 21. ครูสุ่มเลขที่นักเรียน จำนวน 3 คน ออกมาเขียนคำตอบของตนเองหน้าชั้นเรียน โดยให้เพื่อนใน ชั้นเรียนร่วมกันพิจารณาว่าคำตอบถูกต้องหรือไม่ จากนั้นครูเฉลยคำตอบที่ถูกต้องให้นักเรียน 22. นักเรียนแต่ละคนทำแบบฝึกหัด เรื่อง การหาแรงลัพธ์ของวัตถุ จากแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 1 เป็นการบ้านส่งในชั่วโมงถัดไป ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate) 1. ครูตรวจสอบผลการทำแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ เพื่อตรวจสอบความเข้าใจก่อนเรียนของนักเรียน 2. ครูประเมินผล โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคำถาม พฤติกรรมการทำงานรายบุคคล พฤติกรรมการทำงานกลุ่ม และจากการนำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน 3. ครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนก่อนเข้าสู่กิจกรรมการเรียนการสอน จากกรอบ Understanding Check ในสมุดประจำตัวนักเรียน 4. ครูตรวจสอบผลการทำใบงานที่ 4.1.1 เรื่อง แรง 5. ครูตรวจสอบผลการทำใบงานที่ 4.1.2 เรื่อง แรงลัพธ์ 6. ครูตรวจสอบผลการปฏิบัติกิจกรรมการหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ ในสมุดประจำตัวนักเรียน 7. ครูตรวจแบบฝึกหัด เรื่อง การหาแรงลัพธ์ของวัตถุ จากแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 8. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการหาแรงลัพธ์ของวัตถุ ซึ่งได้ข้อสรุปร่วมกันว่า “แรง คือ ปริมาณที่กระทำต่อวัตถุแล้วทำให้วัตถุเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพการเคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนแปลง รูปร่าง แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์ ต้องระบุทั้งขนาดและทิศทาง แรงลัพธ์ คือ ผลรวมของแรง ทั้งหมดที่กระทำต่อวัตถุ การหาแรงลัพธ์ ทำได้โดยวิธีหางต่อหัว”


7. การวัดและประเมินผล รายการวัด วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน 7.1 การประเมินก่อนเรียน - แบบทดสอบ ก่อนเรียน หน่วยการ เรียนรู้ที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน หน่วยการ เรียนรู้ที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ - แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ - ประเมินตามสภาพจริง 7.2 ประเมินระหว่าง การจัดกิจกรรม การเรียนรู้ 1) การหาแรงลัพธ์ ของวัตถุ - ตรวจใบงานที่ 4.1.1 - ตรวจใบงานที่ 4.1.2 - ตรวจสมุดประจำตัว หรือแบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 - ใบงานที่ 4.1.1 - ใบงานที่ 4.1.2 - สมุดประจำตัว หรือ แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 2 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 2) ผลบันทึกการ ปฏิบัติกิจกรรม การหาขนาดและ ทิศทางของ แรงลัพธ์ - ตรวจสมุดประจำตัว - สมุดประจำตัว หรือ - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 3) การนำเสนอ ผลงาน/ผลการ ปฏิบัติกิจกรรม - ประเมินการนำเสนอ ผลงาน/ผลการปฏิบัติ กิจกรรม - แบบประเมินการ นำเสนอผลงาน - ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 4) พฤติกรรมการ ทำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล - แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล - ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 5) พฤติกรรมการ ทำงานกลุ่ม - สังเกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม - แบบสังเกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม - ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 6) คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - สังเกตความมีวินัย รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการ ทำงาน - แบบประเมิน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ 2) แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.2 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่


3) ใบงานที่ 4.1.1 เรื่อง แรง 4) ใบงานที่ 4.1.2 เรื่อง แรงลัพธ์ 5) วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติกิจกรรม 6) PowerPoint เรื่อง การหาแรงลัพธ์ของวัตถุ 7) อุปกรณ์สาธิตการทดลอง เช่น ลูกบอลยาง 8) สมุดประจำตัวนักเรียน 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องเรียน 2) ห้องสมุด 3) อินเทอร์เน็ต


บัตรภาพ


ใบงานที่ 1 แรง ชื่อ ชั้น เลขที่ คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ ตอนที่ 1 คำชี้แจง : จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. แรง (Force) หมายถึง...............................................................................แทนด้วยสัญลักษณ์....................... 2. หน่วยของแรง คือ............................................................................................................................................ 3. แรง เป็นปริมาณ....................................เพราะ................................................................................................ 4. แรงมีผลทำให้วัตถุเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร 1) ……………………………………………………………………………………. 2) ……………………………………………………………………………………. 3) ……………………………………………………………………………………. 5. จงยกตัวอย่างแรงที่นักเรียนรู้จักมาอย่างน้อย 3 ชนิด 1) ……………………………………………………………………………………. 2) ……………………………………………………………………………………. 3) ……………………………………………………………………………………. ตอนที่ 2 คำชี้แจง : จงเขียนแผนภาพของแรงที่กำหนดให้ 1. จงเขียนแรงที่มีขนาด 1400 N ไปทางทิศตะวันออก กำหนดให้อัตราส่วนของแรงมีค่าเท่ากับ 700 N : 2 cm 2. จงเขียนแรงที่มีขนาด 3600 N ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กำหนดให้อัตราส่วนของแรงมีค่าเท่ากับ 900 N : 4 cm


เฉลย ใบงานที่ 1 แรง ชื่อ ชั้น เลขที่ ตอนที่ 1 คำชี้แจง : จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. แรง (Force) หมายถึง ปริมาณที่กระทำต่อวัตถุแล้วทำให้วัตถุเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพไปจากเดิม แทนด้วยสัญลักษณ์ F 2. หน่วยของแรง คือ นิวตัน 3. แรง เป็นปริมาณ เวกเตอร์ เพราะ มีทั้งขนาดและทิศทาง 4. แรงมีผลทำให้วัตถุเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร 1) วัตถุที่อยู่นิ่งจะเกิดการเคลื่อนที่ 2) วัตถุที่กำลังเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงความเร็ว 3) วัตถุเปลี่ยนแปลงทิศทางการเคลื่อนที่ 5. จงยกตัวอย่างแรงที่นักเรียนรู้จักมาอย่างน้อย 3 ชนิด 1) แรงโน้มถ่วง 2) แรงเสียดทาน 3) แรงพยุง ตอนที่ 2 คำชี้แจง : จงเขียนแผนภาพของแรงที่กำหนดให้ 1. จงเขียนแรงที่มีขนาด 1400 N ไปทางทิศตะวันออก กำหนดให้อัตราส่วนของแรงมีค่าเท่ากับ 700 N : 2 cm 2. จงเขียนแรงที่มีขนาด 3600 N ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กำหนดให้อัตราส่วนของแรงมีค่าเท่ากับ 1 cm : 900 N


ใบงานที่ 2 แรงลัพธ์ ชื่อ ชั้น เลขที่ ตอนที่ 1 คำชี้แจง : จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. แรงลัพธ์ (resultant force) คือ……………………………………………………………………………………………………..... 2. หากแรงย่อยที่มากระทำต่อวัตถุมี 2 แรง สามารถคำนวณหาแรงลัพธ์ได้ 2 กรณี กรณีที่ 1 แรงย่อยที่กระทำต่อวัตถุไปทิศทางเดียวกัน ……………………………………………………………………..... กรณีที่ 2 แรงย่อยที่กระทำต่อวัตถุไปทิศทางตรงข้ามกัน ………………………………………………………………...... 3. แรงลัพธ์คำนวณได้จากสมการ…………………………………………………………………………………………………........… 4. แรงย่อยที่มากระทำต่อวัตถุมีตั้งแต่ 2 แรงย่อยขึ้นไปสามารถหาทิศทางของแรงลัพธ์ได้จากวิธีใดบ้าง 1) ……………………………………………………………… 2) ……………………………………………………………… 5. จงหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ที่กำหนดให้ ต่อไปนี้ 1) 2) 3) F1 = 25 N F2 = 25 N F1 = 25 N F2 = 25 N F1 = 75 N F2 = 25 N


เฉลย ใบงานที่ 2 แรงลัพธ์ ชื่อ ชั้น เลขที่ ตอนที่ 1 คำชี้แจง : จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. แรงลัพธ์ (resultant force) คือ ผลรวมของแรงย่อยที่มากระทำต่อวัตถุ ตั้งแต่ 2 แรงขึ้นไป 2. หากแรงย่อยที่มากระทำต่อวัตถุมี 2 แรง สามารถคำนวณหาแรงลัพธ์ได้ 2 กรณี กรณีที่ 1 แรงย่อยที่กระทำต่อวัตถุไปทิศทางเดียวกัน ผลรวมของแรงย่อย กรณีที่ 2 แรงย่อยที่กระทำต่อวัตถุไปทิศทางตรงข้ามกัน ผลต่างของแรงย่อย 3. แรงลัพธ์คำนวณได้จากสมการ ลพ ั ธ ์ 1 2 F F F = + 4. แรงย่อยที่มากระทำต่อวัตถุมีตั้งแต่ 2 แรงย่อยขึ้นไปสามารถหาทิศทางของแรงลัพธ์ได้จากวิธีใดบ้าง 1) หัวต่อหาง 2) สร้างสี่เหลี่ยมด้านขนาน 5. จงหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ที่กำหนดให้ ต่อไปนี้ 1) 2) 3) F1 = 25 N F2 = 25 N F1 = 25 N F2 = 25 N F1 = 75 N F2 = 25 N F 50 N 25 25 F F F ลพัธ์ ลพัธ์ 1 2 = = + = + F 50 N 25 25 F F F ลพัธ์ ลพัธ์ 1 2 = = + = + F 50 N 75 25 F F F ลพัธ์ ลพัธ์ 1 2 = = − = +


แบบทดสอบ ชื่อ ชั้น เลขที่ คำชี้แจง : ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. ข้อใดอธิบายความหมายของแรงได้ถูกต้อง 1. แรง เป็นปริมาณสเกลาร์ มีหน่วย จูล 2. แรง เป็นปริมาณเวกเตอร์ มีหน่วย จูล 3. แรง เป็นปริมาณสเกลาร์ มีหน่วย นิวตัน 4. แรง เป็นปริมาณเวกเตอร์ มีหน่วย นิวตัน 2. แรงลัพธ์คืออะไร 1.แรงทั้งหมดที่กระทำต่อวัตถุ แล้วทำให้วัตถุเคลื่อนที่ 2.แรงที่มากระทำวัตถุ ส่งผลให้วัตถุเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรง ข้าม 3.ผลรวมของแรงที่มากระทำต่อวัตถุ ส่งผลให้วัตถุ เปลี่ยนแปลงสภาพการเคลื่อนที่ 4.ผลรวมของแรงที่มากระทำต่อวัตถุ ส่งผลให้วัตถุไม่ เปลี่ยนแปลงสภาพการเคลื่อนที่ 3. แรงในข้อใดมีผลทำให้วัตถุลอยน้ำได้ 1. แรงพยุง 2. แรงไฟฟ้า 3. แรงโน้มถ่วง 4. แรงเสียดทาน 4. ข้อใดคือความหมายของโมเมนต์ของแรง 1. แรง 2. จุดตรึงของคาน 3. ระยะของแรงถึงจุดหมุน 4. ผลคูณระหว่างแรงถึงจุดหมุน 5. ขณะที่เราลากกระสอบใส่ข้าวสารไปบนพื้น ค่าของแรงเสียด ทานจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับข้อใด 1. พื้นที่ผิวสัมผัส 2. น้ำหนักของกระสอบข้าวสาร, พื้นที่ผิวสัมผัส 3. น้ำหนักของกระสอบข้าวสาร, ลักษณะของผิวสัมผัส 4. น้ำหนักของกระสอบข้าวสาร, ลักษณะของผิวสัมผัส, พื้นที่ผิวสัมผัส 6. แรงในข้อใดมีผลทำให้ตกลงจากที่สูง 1. แรงพยุง 2. แรงไฟฟ้า 3. แรงโน้มถ่วง 4. แรงเสียดทาน 7. ระยะทางและการกระจัดเป็นปริมาณแรงชนิดใด ตามลำดับ 1. เป็นปริมาณสเกลาร์ทั้งหมด 2. เป็นปริมาณเวกเตอร์ทั้งหมด 3. เป็นปริมาณสเกลาร์และเวกเตอร์ 4. เป็นปริมาณเวกเตอร์และสเกลาร์ 8. ความเร็วและอัตราเร็วเป็นปริมาณแรงชนิดใด ตามลำดับ 1. เป็นปริมาณสเกลาร์ทั้งหมด 2. เป็นปริมาณเวกเตอร์ทั้งหมด 3. เป็นปริมาณสเกลาร์และเวกเตอร์ 4. เป็นปริมาณเวกเตอร์และสเกลาร์ 9. สมปองนั่งรถออกจากบ้านไปโรงเรียนเป็นเวลา 10 วินาที ซึ่ง โรงเรียนห่างจากบ้านเป็นระยะทาง 200 เมตร อัตราเร็วมีค่า เท่าใด 1. 0.2 m/s 3. 20 m/s 2. 2 m/s 4. 200 m/s 10. สมศรีเดินทางออกจากบ้านไปธนาคาร โดยวิ่งไปทางทิศเหนือ 30 เมตร และวิ่งต่อไปทางทิศตะวันออก 40 เมตร ใช้เวลา ทั้งหมด 5 วินาทีความเร็วมีค่าเท่าใด 1. 0.1 m/s 3. 10 m/s 2. 1 m/s 4. 100 m/s เฉลย 1. 4 2. 3 3. 1 4. 4 5. 4 6. 3 7. 3 8. 4 9. 3 10. 3


แบบประเมินคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักเรียน ประกอบหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 แผนการเรียนรู้ที่ 1 คำชี้แจง ครูสังเกตพฤติกรรมการเรียน และการปฏิบัติงานของนักเรียน แล้วขีด / ให้คะแนนลงในช่อง ที่ตรง กับพฤติกรรมของนักเรียน เลขที่ คุณลักษณะที่ประเมิน ความสนใจ และ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ความ ซื่อสัตย์ ความมี ระเบียบ ความรับผิด ชอบ ต่องาน การตรงต่อ เวลาในการ ทำงาน สรุปผล การประเมิน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 15 ผ่าน/ไม่ ผ่าน 1 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 2 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 3 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 4 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 12 ผ่าน 5 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 13 ผ่าน 6 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 7 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 8 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 9 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 10 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 11 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 12 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 13 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 14 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 15 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 16 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 17 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 13 ผ่าน 18 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 19 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 20 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 21 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 22 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 23 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 24 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 25 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน


26 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 27 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 28 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 29 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 30 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 31 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 32 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 33 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 34 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 35 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 36 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน เกณฑ์การประเมิน ผู้ที่ผ่านเกณฑ์ประเมินต้องได้คะแนน 12 คะแนนขึ้นไป ถือว่าผ่าน


แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนรายบุคคล ชื่อ ชั้น เลขที่ คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนนที่กำหนด ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ำกว่า 8 ปรับปรุง ลำดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 คิดอย่างมีวิจารณญาณ 5 เจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ รวม


แบบแสดงความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิที่มีต่อแบบทดสอบการประเมินผลตามจุดประสงค์ คำชี้แจง ขอให้ท่านผู้เชี่ยวชาญได้กรุณาแสดงความคิดเห็นของท่านที่มีต่อแบบทดสอบการประเมินผลตาม จุดประสงค์โดยใส่เครื่องหมาย ( ✓) ลงในช่องความคิดเห็นของท่านพร้อมเขียนข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ใน การนำไปพิจารณาปรับปรุงต่อไป +1 คือ แน่ใจ ว่าข้อสอบนั้นสอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้/วัตถุประสงค์ที่กำหนด 0 คือ ไม่แน่ใจ ว่าข้อสอบนั้นสอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้/วัตถุประสงค์ที่กำหนด -1 คือ แน่ใจ ว่าข้อสอบนั้นไม่สอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้/วัตถุประสงค์ที่กำหนด รายการขอความคิดเห็น ความคิดเห็น เหมาะสม ข้อเสนอแนะ 1 ไม่แน่ใจ 0 ไม่ เหมาะสม -1 1. ความสอดคล้องเหมาะสมกับหลักสูตร 2. ความสอดคล้องเหมาะสมกับธรรมชาติวิชา 3. ความสอดคล้องเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน 4. ความสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบันและ ปัญหา 5. ความเหมาะสมต่อกระบวนการพัฒนาผู้เรียน 6. ความเหมาะสมของเนื้อหา 7. ความเหมาะสมของขนาดตัวอักษร 8. ความเหมาะสมของการใช้ภาษา 9. ความเหมาะสมกับความสนใจของนักเรียน 10.ความเหมาะสมของรูปแบบ ข้อเสนอแนะอื่น ๆ ........................................................................................................... .......................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ขอแสดงความขอบคุณอย่างยิ่ง ............................................ (..............................................)


ตารางวิเคราะห์ความสอดคล้องของข้อสอบกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้/วัตถุประสงค์ ตารางที่ 3 การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) รายการขอความคิดเห็น ประมาณค่าความคิดเห็นของ ผู้ทรงคุณวุฒิคนที่ ค่า IOC แปลผล 1 2 3 4 5 1. ความสอดคล้องเหมาะสมกับหลักสูตร 2. ความสอดคล้องเหมาะสมกับธรรมชาติวิชา 3. ความสอดคล้องเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน 4. ความสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน และปัญหา 5. ความเหมาะสมต่อกระบวนการพัฒนาผู้เรียน 6. ความเหมาะสมของเนื้อหา 7. ความเหมาะสมของขนาดตัวอักษร 8. ความเหมาะสมของการใช้ภาษา 9. ความเหมาะสมกับความสนใจของนักเรียน 10. ความเหมาะสมของรูปแบบ สรุปผล ค่าดัชนีความสอดคล้องที่ยอมรับได้มีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป สามารถใช้แบบฝึกได้ ค่าดัชนีความสอดคล้องที่ยอมรับได้มีค่าน้อยกว่า 0.50 ลงมา ไม่สามารถใช้แบบฝึกได้ ข้อเสนอแนะ/ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ............................................................................................................................. ....................................................... ........................................................................................................................................... ......................................... .............................................................................................................. ......................................................................


9.บันทึกหลังจัดการเรียนรู้ 9.1 ผลความรู้ที่เกิดขึ้นกับนักเรียน (K) นักเรียนร้อยละ 86 มีความเข้าใจในบทเรียนและ สามารถอธิบายเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง และสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งปฏิบัติกิจกรรมตาม เนื้อหาการเรียนรู้ที่กำหนดให้ได้อย่างถูกต้อง เกิดความรู้ความเข้าใจที่คงทนคิดวิเคราะห์ได้ 9.2 กระบวนการ/สมรรถนะ (P) นักเรียนร้อยละ 90 มีความสามารถในการเรียนรู้ บทเรียนและสามาถสร้างแนวคิดจากกระบวนการสอนมาเป็นความเข้าใจของตนเองได้อย่างดีมีทักษะการคิด วิเคราะห์ที่ดี และสังเคราะห์ความคิดจากความเข้าใจของตนเองได้ 9.3 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักเรียน (A) นักเรียนร้อยละ 85 มีวินัยในการเรียนรู้ มีความรับผิดชอบในการทำงานร่วมกันและงานส่วนตัวที่ได้รับมอบหมายจากครูผู้สอน มีมารยาทให้ห้องเรียน ตั้งใจ เรียน และให้ความเคารพครูผู้สอนขณะทำการเรียนการสอน ลงชื่อ............................................. (...................................................) ครูผู้สอน ลงชื่อ............................................. (...................................................) หัวหน้ากลุ่มสาระฯ


Click to View FlipBook Version