The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารวิชาการองค์ความรู้ "การแปรรูปผลิตภัณฑ์ผึ้งและชันโรง"

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การแปรรูปผลิตภัณฑ์ผึ้งและชันโรง

เอกสารวิชาการองค์ความรู้ "การแปรรูปผลิตภัณฑ์ผึ้งและชันโรง"

Keywords: การแปรรูปผลิตภัณฑ์,ผึ้ง,ชันโรง

คํานํา

“ผึ้ง”และ “ชันโรง” เป็นแมลงท่ีมีความสําคัญต่อมวลมนุษย์ในการสร้างสมดุลอาหาร

ในระบบนิเวศ โดย "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" อัจฉริยะบุคคลสําคัญของโลกทางด้านฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์
เคยกลา่ วไว้ว่า "หากวนั ใดผง้ึ สูญพนั ธุ์ มนุษยเ์ รากจ็ ะสญู พันธภ์ุ ายใน 4 ปีให้หลัง" ผึ้งและชนั โรงมปี ระโยชน์มาก
ในการช่วยผสมเกสรเพ่ิมการติดผลในพืชผลทางการเกษตรหลากหลายชนิด และยังช่วยในการเพิ่มคุณภาพ
ผลผลติ ให้ดีขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังให้ผลิตภัณฑ์ผ้ึงท่ีเป็นผลพลอยได้อันทรงคุณค่าและมีประโยชน์ต่อมนุษย์
ท้ังด้านสุขภาพและความงาม เช่น น้ําผึ้ง เกสรผ้ึง นมผึ้ง ไขผ้ึง พรอพอลิส และพิษผ้ึง ชันโรงที่ให้ผลผลิต
เป็นน้ําผึ้งท่ีมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และชันท่ีมีคุณสมบัติยับย้ังเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคได้ เป็นผลิตภัณฑ์ซึ่ง
เกษตรกร สามารถนําไปจําหน่ายได้โดยตรง หรือนําไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการอุปโภคบริโภคช่วย
ลดรายจา่ ยในชวี ิตประจาํ วนั และสร้างรายไดเ้ สรมิ แก่ตนเองและครอบครัวได้

เอกสารวิชาการองค์ความรู้ การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผ้ึงและชันโรงฉบับนี้ ได้รวบรวม
ความรู้ท่ีเกี่ยวข้องกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผ้ึงและชันโรงจากแหล่งต่างๆ ร่วมกับองค์ความรู้ที่เกิดจาก
ประสบการณใ์ นการทาํ ผลิตภณั ฑผ์ ง้ึ และชันโรงของผ้เู ขยี นเอง ซึ่งสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้จริง โดยผู้เขียน
มีเจตนารมณ์เพื่อรวบรวมและเผยแพร่ความรู้เก่ียวกับผลิตภัณฑ์จากผึ้งและชันโรง ตลอดจนความรู้พ้ืนฐาน
ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผ้ึงและชันโรงน้ีให้แก่เกษตรกร ผู้สนใจ เจ้าหน้าที่นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร
ระดับจังหวัด อําเภอและศูนย์ปฏิบัติการ ได้ใช้ประโยชน์ในการเผยแพร่ความรู้แก่เกษตรกรในพื้นที่รับผิดชอบ
ต่อไป ผู้เขียนขอกราบขอบพระคุณ ครูบาอาจารย์ที่ได้อบรมสั่งสอนวิชาความรู้ด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์
ทุกท่าน ขอขอบคุณคณาจารย์ผู้เขียนตําราทุกเล่ม ทุกฉบับท่ีได้อ้างอิงในเอกสารเล่มน้ี เพื่อประโยชน์ต่องาน
สง่ เสรมิ อาชพี เกษตรกรและผูส้ นใจได้ใช้ประโยชนต์ อ่ ไป

พิชญากร เพช็ รดี
กันยายน ๒๕๖๔

สารบญั หนา้

บทที่ ๑ ผลิตภัณฑ์จากผงึ้ ๑

บทท่ี ๒ ผลติ ภณั ฑ์จากชนั โรง ๑๒

บทที่ ๓ ความรพู้ น้ื ฐานสาํ หรบั การผลิตเคร่ืองสําอางเบือ้ งต้น ๑๖

บทท่ี ๔ สบู่ (SOAP) ๒๑

บทท่ี ๕ ลิบบาลม์ ทาปาก ๒๖

บทท่ี ๖ สครบั (ขัดผวิ ) ๒๗

บทที่ ๗ การแปรรปู ผลติ ภณั ฑจ์ ากผ้ึงและชนั โรง ๒๙

 การแปรรูปผลติ ภัณฑจ์ ากผง้ึ ๓๐
สบู่ก้อนนาํ้ ผง้ึ ๓๑
สบูเ่ หลวน้ําผ้งึ ๓๖
สบู่นํ้าผึง้ สครับผวิ กากกาแฟ ๓๗
ลบิ บาลม์ ไขผึง้ ๓๙
สครับน้ําผึ้งกากกาแฟ ๔๑
ขผ้ี ึง้ สมนุ ไพรเสลดพงั พอน ๔๒
ข้ีผงึ้ ไพล ๔๓
ขี้ผงึ้ สมุนไพร ๔๔
ครมี ไขผ้งึ บํารุงสน้ เทา้ แตก ๔๖
นํา้ หอมแหง้ (Solid perfume) ๔๗
เครอื่ งด่มื น้าํ ผ้ึงผสมมะนาว ๔๘
เคร่ืองดม่ื ชาเขยี วนา้ํ ผง้ึ ผสมมะนาว ๔๙
คุ้กกี้ธัญพชื อบน้ําผึ้ง ๕๐
แยมนาํ้ ผึ้งลําไย ๕๑
แยมนาํ้ ผ้ึงสตรอบอร่ี ๕๒

สารบัญ หนา้

 การแปรรปู ผลิตภัณฑจ์ ากผึง้ (ตอ่ ) ๕๓

วุ้นนาํ้ ผงึ้ ลาํ ไยอัญมณี ๕๔
เตา้ ฮวยน้ําผ้งึ ฟร้ตุ สลัด ๕๕
 การแปรรูปผลติ ภัณฑ์จากชันโรง ๕๖
สบู่กอ้ นพรอพอลิส ๕๗
สบ่เู หลวพรอพอลสิ ๕๘
สบนู่ าํ้ ผึ้งพรอพอลิสผสมสารสกัดเมล็ดลาํ ไย ๕๙
ขผี้ ้ึงสมุนไพรพรอพอลิส ๖๐
พรอพอลิสบาล์ม ๖๑
สารสกัดพรอพอลิส ๖๒
เจลล้างมือสูตรพรอพอลสิ
๖๓
เอกสารอา้ งองิ ๖๕
ภาคผนวก ๖๖
๖๗
บันทกึ แหง่ ความภาคภมู ิใจ
ยืนยนั คณุ ภาพจากรวี ิว



บทที่ 1

“ผลิตภณั ฑจ์ ากผ้งึ ”

“ผ้ึง” เป็นแมลงที่มีประโยชน์และมีความสําคัญต่อมวลมนุษย์และระบบนิเวศตามธรรมชาติ
เน่ืองจากเป็นแมลงช่วยผสมเกสรเพ่ิมปริมาณและคุณภาพของพืชผลทางการเกษตร และสร้างความ
หลากหลายทางชีวภาพให้กับโลกมากมาย ประชากรของผึ้งท่ีพบเห็นตามธรรมชาติสามารถเป็นดัชนีช้ีวัด
สิ่งแวดล้อมท่ีแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์และความปลอดภัยจากสารเคมีท่ีเป็นอันตราย นอกจากนี้
มนุษย์ยังได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ที่ได้ จากผึ้งอีกมากมาย กรมส่งเสริมการเกษตร (2557) กล่าวว่า
ผลติ ภัณฑจ์ ากผึ้งแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท ตามแหลง่ ทมี่ า ไดแ้ ก่

๑) ผลิตภณั ฑ์จากภายนอกรงั ได้แก่ เกสร และ พรอพอลสิ
๒) ผลิตภณั ฑท์ ่ีผ่านขบวนการย่อยของผ้งึ แลว้ ค่อยสะสมในหลอดรวง ไดแ้ ก่ นา้ํ ผึง้
๓) ผลติ ภัณฑท์ เี่ ปน็ ผลทางด้านสรีรวิทยา ไดแ้ ก่ ไขผึ้ง นมผึ้ง พิษผ้ึงและตัวอ่อนผึ้ง

นาํ้ ผ้งึ (Honney)

คือ น้ําหวานที่ผ้ึงเก็บจากต่อมนํ้าหวานของดอกไม้ หรือต้นไม้ที่ผ่านขบวนการย่อยภายใน
ตวั ผ้ึง ขณะกาํ ลงั บนิ กลับรงั แล้วคายออกมาเก็บไวใ้ นหลอดรวง จากนั้นผ้ึงจะช่วยกันกระพือปีกเพ่ือไล่ความช้ืน
จนน้ําหวานในหลอดรวงน้ันมีความชื้นน้อยกว่า ๒๐% จึงปิดฝาหลอดรวง นํ้าผ้ึงจัดเป็นอาหารประเภท
คารโ์ บไฮเดรตทด่ี ที ่ีสุดเพราะ 99% ของน้ําผึ้ง คือนํ้าตาล ทําให้ได้พลังงานมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอาหาร
ชนิดอ่ืน องค์ประกอบหลักของนํ้าผ้ึงประกอบด้วยน้ําตาลโมเลกุลเด่ียวท่ีร่างกายสามารถดูดซึมและนําไปใช้
ประโยชน์ได้ง่าย นอกจากน้ียังพบว่าในนํ้าผึ้งยังมีสารแอนติออกซิแดนท์เช่นเดียวกับท่ีมีในผักใบเขียว และยัง
ประกอบด้วยวิตามนิ และแร่ธาตอุ ื่นๆ ทจี่ ําเปน็ ตอ่ รา่ งกาย



องค์ประกอบในนา้ํ ผ้ึง

กรมสง่ เสรมิ การเกษตร (2556) ระบวุ ่าน้ําผง้ึ มอี งคป์ ระกอบท่ีสําคญั ๆ ดงั นี้
๑. นาํ้ หรอื ความชืน้ ทีม่ อี ยใู่ นนํา้ ผึง้ ทีด่ ีจะมปี ริมาณความชื้นประมาณ ๑๗-๑๘% เพราะจะทํา
ใหเ้ ก็บไวไ้ ด้นาน ไมบ่ ดู เสียง่าย
๒. น้ําตาล มีไม่ตํ่ากว่า ๑๗ ชนิด เช่น fructose glucose sucrose maltose เป็นต้น ทําให้
น้ําผึ้งเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ดีท่ีสุดชนิดหน่ึง และเป็นส่วนสําคัญท่ีทําให้น้ําผ้ึงมีรสหวาน สามารถ
ใหพ้ ลงั งานแก่ผบู้ รโิ ภคไดท้ นั ที
๓. กรดในนํ้าผึ้งมีหลายชนิด ชนิดท่ีสําคัญ ได้แก่ กรดกลูโคนิค กรดซัคซินิค กรดฟอร์มิก
กรดอะซิติก กรดบวิ ธีรคิ กรดแลคธคิ กรดไพโรกลูตามคิ และกรดอะมโิ น ๑๖ ชนิด ซ่ึงเป็นกรดท่ีมีประโยชน์ต่อ
รา่ งกาย
๔. แร่ธาตุ ได้แก่ โปรแตสเซียม แคลเซียม กํามะถัน ฟอสฟอรสั เหล็ก แมกนีเซียม แมงกานีส
คอปเปอร์ ถึงจะมีปริมาณ ๐.๐๒-๑% แต่ก็เป็นแร่ธาตุท่ีจําเป็นต่อกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย เช่น การ
เสรมิ สร้างกระดูกและฟัน การรักษาสมดุลกรด-ด่างในเลือด การทํางานของระบบประสาทและกล้ามเน้ือ เป็น
สว่ นประกอบของฮโี มโกลบินและการสงั เคราะห์อนิ ซูลนิ ในตับ เปน็ ตน้
๕. เอนไซม์ เชน่ อนิ เวอร์เตส ไดเอสเตส คาตาเลส กลโู คออกซเิ ดส โปรตีเนส ฟอสฟาเตส
๖. วิตามิน เช่น Thiamin (B1) , Riboflavin (B2), Ascorbic acid (C), Pyridoxine
(B6),Vitamin B complex ซึง่ จะมีปรมิ าณทแ่ี ตกตา่ งกนั ตามชนิดของเกสรดอกไมใ้ นนํ้าผึง้ นน้ั ๆ
๗. โปรตีน พบโปรตีนในนํ้าผึ้งประมาณ ๐.๒๖% ซ่ึงจะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและ
ซ่อมแซมสว่ นที่สึกหรอของรา่ งกาย เสริมสรา้ งคอลลาเจน และสารสือ่ ประสาท

คุณสมบตั ิท่ัวไปของน้าํ ผง้ึ

ภาณุวรรณ (2552) ระบุว่า นํ้าผึ้งมีความหนาแน่นประมาณ ๑.๓๖ กิโลกรัมต่อลิตร ซ่ึง
มากกว่านํ้าประมาณ ๓6 เปอร์เซ็นต์ และกรมส่งเสริมการเกษตร (2556) ระบุว่า นํ้าผึ้งมีความหนาแน่น



มากกว่านาํ้ และมคี วามถ่วงจาํ เพาะ 14.225 นํ้าผ้ึง 1 กิโลกรัมจะมีปริมาตร 750 ซีซี ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับชนิดของ
น้ําผ้ึงและปริมาณนํ้าหรือความช้ืนในนํ้าผ้ึง น้ําผึ้ง ๑๐๐ กรัม มีค่าพลังงานเท่ากับ ๓๐3 แคลอรี่ หรือ ๑ ช้อน
โต๊ะ (๒๐ กรัม) มคี า่ พลังงานเท่ากบั ๖๐ แคลอร่ี

วิธีการเลือกซ้ือนํ้าผง้ึ

๑. สะอาดไม่มีเศษไขผง้ึ หรอื ตวั ผ้ึงปะปนในน้ําผึง้
๒. ใส ข้น มีความหนืด มีสีเหลืองอ่อนจนถึงสีน้ําตาล สีเดียวกันกลมกลืนกันทั้งขวด
ไมแ่ ยกชั้น
๓. มีกล่ินหอมตามแหล่งของดอกไม้ที่ผ้ึงไปเก็บ ไม่มีกล่ินบูดเปรี้ยว หรือมีฟองอากาศบริเวณ
ผวิ ของน้ําผง้ึ
๔. รสชาติหวานหอม ไม่ขมเฝื่อน ไม่มกี ลิ่นไหม้
๕. ไม่มีการปรุงแต่งสี กลิ่น รส และการปนเป้ือนของสารปฏิชีวนะ ยาฆ่าแมลงและกําจัดไร
และจุลินทรีย์ก่อโรค
๖. บรรจุในภาชนะที่สะอาด ปิดมิดชิด มีฉลากแสดงเครื่องหมายการค้า วัน เดือน ปี และ
แหลง่ ผลิตทีช่ ดั เจน หรอื ไดร้ บั มาตรฐานรับรองจากหนว่ ยงานท่ีเกี่ยวข้อง

การจําแนกนํา้ ผึ้งแท้และไม่แท้

การทดสอบว่านํ้าผึ้งแท้หรือไม่แท้ด้วยวิธีทางกายภาพ เช่น การหยดบนกระดาษทิชชู
การหยดน้ําผ้ึงในน้ําดูการละลาย การจุ่มไม้ขีดไฟ ไม่สามารถจําแนกนํ้าผึ้งแท้หรือไม่แท้ได้อย่างชัดเจน
การท่ีจะจําแนกนํ้าแท้หรือไม่แท้ท่ีชัดเจน ต้องอาศัยกระบวนการวิเคราะห์ตรวจสอบปริมาณซูโครสและ
สารอาหารตา่ งๆ ท่มี ีอยใู่ นนาํ้ ผึง้ ตามองค์ประกอบของน้ําผ้ึง จึงนบั เป็นเรื่องยากของผู้บริโภคที่ไม่มีความชํานาญ
หรือไม่เคยมีประสบการณ์ในการชิม หรือรับรู้รสชาติของน้ําผึ้งแท้ อย่างไรก็ตามผู้บริโภคสามารถนําหลักและ
วิธกี ารเลอื กซ้ือนํา้ ผ้ึงข้างตน้ ไปพจิ ารณาในการซ้ือนา้ํ ผ้งึ ได้

การตกผลกึ ของน้ําผ้งึ

นา้ํ ผงึ้ แท้จากพชื บางชนดิ สามารถตกผลึกได้
เช่น นํ้าผึง้ จากดอกลนิ้ จ่ี ดอกทานตะวัน ยางพารา ซงึ่ เป็นลักษณะเฉพาะ
ที่เกิดจากการมีปริมาณนํ้าตาลกลูโคสในนา้ํ ผึง้ สงู กวา่ น้าํ ตาลฟรกุ โตส
ผลึกจะมีรปู ร่างเปน็ แทง่ เหล่ยี ม เปราะบางและมสี ีเดียวกลมกลืนท้งั ขวด
ไมแ่ ยกชน้ั ซง่ึ แตกต่างจากการตกตะกอนของนํา้ ผงึ้ ทีม่ ีการปลอมปน
น้าํ ตาลทรายทีผ่ ลกึ จะมสี นี ้ําตาลเข้ม แตกตา่ งจากสว่ นทีเ่ ป็นของเหลว
ชัดเจนน้ําผึ้งแท้ที่ตกผลึกไม่ใช่นํ้าผ้ึงเสีย สามารถแก้ไขได้โดยการนําขวดนํ้าผึ้งไป
แช่ในนํ้าอุ่นท่ีอุณหภูมิไม่เกิน ๖๐ องศาเซลเซียส ใช้เวลาประมาณ ๕ นาที ลักษณะ
การตกผลกึ จะหายไป



การเปลย่ี นสขี องนํา้ ผง้ึ

น้ําผึ้งท่ีถูกเก็บไว้ระยะเวลานาน จะเกิดการเปล่ียนสี หรือมีสีท่ีเข้มขึ้นได้ เพราะปฏิกิริยาการ
สลายนํ้าตาลฟรุกโตส เกิดสาร HMF (hydroxyl methyl furfural) โดยท่ีน้ําผ้ึงนั้นยังสามารถนํามาบริโภคได้
เพียงแต่มีสีท่ีไม่น่ารับประทานเท่าน้ัน น้ําผึ้งแต่ละชนิดจะเปล่ียนสีเร็วหรือช้าแตกต่างกัน เช่น น้ําผ้ึงจากดอก
ลําไย และมะพรา้ วจะเปล่ยี นเปน็ สเี ขม้ จนถึงดําได้เร็วกวา่ นํา้ ผงึ้ จากดอกลิน้ จ่ี น่นุ และงา เปน็ ตน้

การเก็บรกั ษานาํ้ ผ้งึ

ควรเกบ็ นาํ้ ผึ้งในท่ีเยน็ และไมโ่ ดนแสงแดด แต่ไมจ่ ําเป็นต้องเกบ็ ในตู้เย็น นาํ้ ผ้งึ ทเี่ กบ็ ไวน้ าน
จะมสี ีเข้มขึน้ เพราะปฏิกริ ิยาการสลายฟรุคโตส แต่ยงั สามารถนํามาบริโภคได้ ไม่ควรเก็บนํ้าผึง้ นานเกิน ๒ ปี
เพราะจะทําให้คณุ ค่าทางอาหารลดลง (กรมส่งเสรมิ การเกษตร,๒๕๕๖)

ประโยชน์ของน้าํ ผ้งึ

ในน้ําผึ้งมีวิตามินบี และแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี
แมงกานีส ทองแดง นอกจากน้ียังมีโปรตีน เอนไซม์ และกรดอะมิโน รวมถึงสารแอนติออกซิเดนท์ช่วยชะลอ
ความเสื่อมของเซลล์ซ่ึงท้ังหมดมีความจําเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บํารุงร่างกายบํารุง
โลหิตเป็นอาหารเสริมบํารุงสุขภาพ ทําให้ร่างกายสดชื่นแข็งแรง ช่วยบํารุงผิวพรรณให้ชุ่มช้ืนนุ่มนวล และ
ชะลอความเห่ียวย่นของผิวหนัง บํารุงเส้นผม บํารุงระบบประสาท บรรเทาอาการไอ บรรเทาอาการท้องผูก
และชว่ ยสมานบาดแผลสด



คุณคา่ ทางเภสชั ของนํา้ ผงึ้

น้ําผึ้งกับโรคเบาหวาน

ผู้ปุวยท่ีเป็นโรคเบาหวาน คือผู้ท่ีตับอ่อนสร้างอินซูลินไม่ได้ หรือได้น้อยไม่เพียงพอในการนํา
กลูโคสเข้าสู่เซลล์ ทําให้มีปริมาณกลูโคสอยู่ในกระแสเลือดมากกว่าปกติ แต่ผู้ปุวยยังคงต้องการพลังงาน ซึ่ง
นํ้าตาลฟรุคโตสในน้ําผ้ึงสามารถทดแทนกลูโคสได้เป็นอย่างดี เน่ืองจากนํ้าตาลฟรุคโตสสามารถดูดซึมเข้าสู่
กระแสเลือดได้ทันทีโดยไม่ต้องอาศัยอินซูลีน ดังน้ัน ผู้ปุวยเบาหวานสามารถบริโภคน้ําผึ้งได้ แต่ควรอยู่ใน
ปรมิ าณท่ีเหมาะสม คอื รับประทานวันละ ๓ ช้อนโต๊ะ ควบคู่กับการลดอาหารประเภทแปูงลง ๑๐% จะทําให้
ผูป้ ุวยเบาหวานไดร้ บั พลงั งานที่เพียงพอ ฟ้ืนตวั ได้เร็วและใชย้ าควบคมุ เบาหวานลดลง (กรมส่งเสริมการเกษตร
,๒๕๕๖)
น้าํ ผ้งึ กับโรคตบั

นาํ้ ผึ้งมีวิตามนิ บีรวม และแรธ่ าตุทีจ่ ําเปน็ สําหรบั ตับ ช่วยให้ตับสร้างเอนไซม์ได้ถึง ๒๐๐ ชนดิ
และทสี่ ําคัญทีส่ ุดคือ ในน้าํ ผ้งึ มี “กรดกลโู คนิค” ท่มี ีประโยชนแ์ ละทําลายพิษในตับ ดังน้ัน นา้ํ ผ้งึ จึงมีประโยชน์
อย่างย่งิ โดยเฉพาะผู้ที่มอี าการเสี่ยงตอ่ โรคตบั แข็งและตับอักเสบ หรือผู้ที่รบั ประทานยาปฏิชวี นะปริมาณมาก
(ภาณุวรรณ,๒๕๕๒)
นาํ้ ผึง้ ใชเ้ ปน็ ยาแกก้ ลา้ มเนอื้ เปน็ ตะครวิ กลา้ มเนือ้ กระตุกและเหนบ็ ชา

เม่ือร่างกายขาดแคลเซียม เราก็จะเป็นตะคริว กล้ามเน้ือกระตุก เพราะกล้ามเนื้อไม่สามารถ
เปล่ียนกรดแลกติกมาเป็นพลังงานได้ อาการเหล่านี้นํ้าผ้ึงช่วยบรรเทาได้ เพราะในน้ําผ้ึงมีธาตุโซเดียม ซ่ึงเป็น
องค์ประกอบอยู่ในของเหลวภายนอกเซลล์และมีโพแตสเซียมซึ่งพบอยู่ภายในเซลล์ ซึ่งท้ังสองส่วน
มีความสําคัญอย่างย่ิงต่อสมดุลของความดันน้ํา ตลอดจนระบบสมองและประสาท นอกจากน้ีวิตามินบีรวมใน
นํ้าผงึ้ ยังมบี ทบาทสําคัญหลายอยา่ ง เช่น ชว่ ยในการทํางานของกล้ามเน้ือ และช่วยให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นอีกด้วย
(ภาณุวรรณ,๒๕๕๒)
นาํ้ ผงึ้ รกั ษาบาดแผล

นํ้าผึ้งสามารถลดอาการอักเสบของบาดแผล เช่น แผลไฟไหม้ น้ําร้อนลวก แผลเน่าเปื่อย
และแผลพพุ องได้
นาํ้ ผึง้ ช่วยยอ่ ยอาหาร

นาํ้ ผง้ึ มเี อนไซม์หลายชนิดที่สามารถย่อยโมเลกุลต่างๆให้สั้นลงได้ ดังน้ัน เมื่อมีอาการท้องอืด
ทอ้ งเฟอู เนอ่ื งจากอาหารไม่ย่อย นํา้ ผ้ึงจึงสามารถบรรเทาอาการดังกลา่ วได้
น้าํ ผง้ึ ชว่ ยในการขับถา่ ย

นํ้าผึ้งมีสารหล่อเล้ียงตามธรรมชาติ คือ มิวซิน จากกระเพาะของผ้ึง เด็กทรินและมอลโตส
จากดอกไม้ช่วยหล่อลื่นผิวกระเพาะและลําไส้เป็นอย่างดี ดังน้ัน ผู้ปุวยท่ีมีอาการริดสีดวง ท้องผูก หาก
รับประทานน้ําผ้ึงก่อนนอน จะช่วยให้ขับถ่ายได้ดีในตอนเช้า นอกจากนี้ยังลดอาการปวดแผลในกระเพาะ
อาหารและลาํ ไสไ้ ด้ (กรมสง่ เสรมิ การเกษตร,๒๕๕๖)



น้ําผง้ึ ช่วยแกน้ อนไม่หลบั
ชงนา้ํ ผึ้งผสมนํ้าอนุ่ หรือชาดอกไม้ เชน่ ชาดอกคาโมมายลด์ ื่มก่อนนอนจะชว่ ยให้หลับสบาย

น้ําผง้ึ กับความงาม
ผ้ทู ี่มีปัญหาสิวเสยี้ นหรอื ตอ้ งการบํารุงผวิ หน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่ายๆ ดังน้ี หลังจากล้างหน้า

ด้วยน้ําอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้วนํากล้วยหอมคร่ึงลูกมาบดผสมกับนํ้าผ้ึงท่ีไม่ผ่านความร้อน นํามาทาบนใบหน้า
ทิ้งไว้ซัก ๑๐-๑๕ นาที แล้วลา้ งออก จะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มช่ืนและนุ่มนวลขึ้น นอกจากน้ีนํ้าผึ้งยังช่วยบํารุงเส้น
ผมได้ โดยหลังสระผมเสร็จให้หมักผมด้วยนํ้าผึ้งไม่ผ่านความร้อนและนํ้ามันมะกอกอย่างละ ๓ ช้อนโต๊ะ ท้ิงไว้
๓-๕ นาที จึงล้างออกด้วยนํา้ สะอาด จะทําให้ผมนม่ิ และเงางามตามธรรมชาติ
นํ้าผ้ึงมีสารตา้ นอนุมลู อิสระ

จากการศึกษาถึงการส่งเสริมสุขภาพจากการบริโภคนํ้าผึ้ง พบว่ามีการเพิ่มข้ึนของ
ประสิทธิภาพการต้านอนุมูลอิสระ หลังจากกินน้ําผึ้ง นํ้าผ้ึงไทยมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระดีเพราะมี
สารประกอบพวกฟีนอลลิก โดยได้ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยพบว่าน้ําผ้ึงไทยหลายชนิด เช่น นํ้าผึ้งลําไย น้ําผ้ึง
สาบเสือ นํ้าผึ้งงา น้ําผ้ึงยางพารา น้ําผึ้งเงาะ น้ําผ้ึงทานตะวัน น้ําผึ้งลิ้นจ่ี น้ําผ้ึงดอกไม้ปุา และน้ําผ้ึงนุ่น
มคี วามสามารถในการเปน็ สารต้านอนุมูลอิสระอยูใ่ นช่วงค่า IC๕๐ เท่ากบั ๓.๑๕-๒๙.๙๔ มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร
สว่ นใหญ่พบว่านาํ้ ผึง้ สเี ขม้ มีความสามารถในการตา้ นอนมุ ูลอิสระมากกวา่ สีอ่อน (ภาณวุ รรณ,๒๕๕๒)

เกสรผึ้ง (Bee Pollen)

กรมส่งเสริมการเกษตร (2556) กล่าวว่า เกสรผึ้ง คือ ละอองเกสร (pollen) ของพืชหรือ
เซลล์สืบพันธ์ุเพศผู้ของพืชท่ีผ้ึงเก็บจากดอกไม้ โดยผ้ึงจะใช้ขาคู่หน้าตะกุยเกสรและใช้ขาคู่กลางรวบรวมเกสร
เป็นก้อนและเก็บก้อนเกสรไว้ที่ขาคู่หลัง (หรือ ตะกร้อเก็บเกสร) แล้วบินกลับเข้ารังเพ่ือนําเกสรมาสะสม
ในหลอดรวงและนาํ มาเปน็ อาหารใหก้ บั ตวั อ่อนของผ้ึง



องค์ประกอบในเกสรผึง้
กรมส่งเสริมการเกษตร (2557) กล่าวว่า องค์ประกอบในเกสรผ้ึงจะข้ึนกับชนิดของพืชและ

แหล่งของพืชท่ีผ้ึงไปเก็บสะสมอาหารโดยทั่วไปจะมี สารอาหารโดยประมาณดังนี้ โปรตีน 30 – 35 %
กรดอะมิโน 15 – 20 % คาร์โบไฮเดรต 40 – 50 % ไขมัน 1 – 5 % และแร่ธาตุต่างๆ เช่น โซเดียม
โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม เหล็ก ทองแดง สังกะสี ฟอสฟอรัส เป็นต้น วิตามินที่พบ ได้แก่ วิตามินบี
1 วติ ามนิ บี 2 วิตามนิ บี 5 หรือไนอะซิน กรดเพนโททีนกิ (panthothenic acid) ไบโอทิน (biotin) กรดโฟลิก
(folic acid) วิตามินซี และวิตามินอี นอกจากนี้ ยังมี เอนไซม์ต่างๆ ฮอร์โมน รงควัตถุ และสารฟลาโวนอยด์
(flavonoid) โดยควรมีความชน้ื ไม่เกิน 25 %

ประโยชนข์ องเกสรผึง้
เกสรผึ้งอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะโปรตีนในเกสรผึ้ง

มีคุณค่าสูงกว่า เนื้อ เนย และไข่ 5 เท่า ในปริมาณนํ้าหนักที่เท่ากันและธาตุอาหารต่างๆ ในเกสรผึ้งสามารถ
ดูดซึมทางกระเพาะอาหารและลําไส้และนํามาใช้ประโยชน์ได้ดี จึงมีคุณสมบัติในการช่วยเสริมสร้างความ
แข็งแรงแก่ร่างกาย กระปร้ีกระเปร่า และเสริมภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย และบรรเทาอาการของโรค เช่น
นอนไม่หลับ ความจําเส่ือม เบาหวาน ภูมิแพ้ ปวดข้อ ปวดกระดูก ชะลอความชรา เสริมสมรรถภาพทางกีฬา
และทางเพศ กระตุ้นการเจริญการเจริญของเน้ือเยื่อบริเวณผิวหนัง กระตุ้นให้เลือดไปเล้ียงเซลล์ได้อย่างทั่วถึง
ให้ความชุ่มช้ืนต่อผิวหนังท่ีแห้ง จึงมีการนําไปใช้ในเครื่องสําอาง เช่น ครีมบํารุงผิว ครีมรองพื้น และใช้ในการ
บํารงุ รักษาเสน้ ผมใหเ้ งางาม



นมผึ้ง (Royal jelly)

คือ อาหารของผึ้งนางพญาและตัวอ่อนของผึ้งงาน ซ่ึงผลิตจากต่อมไฮโปฟาริงซ์ท่ีอยู่บริเวณ
หวั ของ ผ้ึงงาน มีลกั ษณะเปน็ ของเหลวข้น สีเหลอื งอ่อน-ขาว มีรสเปรีย้ ว เผ็ด หวานเล็กนอ้ ย มฤี ทธิเ์ ปน็ กรด

องค์ประกอบในนมผ้ึง
 นา้ํ ๖๖.๙%
 โปรตีน ๑๑.๔%
 นํา้ ตาล ๙.๑%
 สาร 10 HDA (10-hydroxy-2decenoic acid)
 เถ้าถา่ น ๐.๙๔%
 เอนไซมก์ ลโู คสออซเิ ดสและเอนไซม์ฟอสฟาเทส
 วิตามินต่างๆ

ประโยชน์ของนมผึ้ง
๑. ชว่ ยการทํางานของระบบประสาท บรรเทาอาการเครียด นอนไม่หลับ
๒. บาํ รงุ ผวิ พรรณให้ดอู ่อนกว่าวยั ช่วยเพิม่ ความแขง็ แรงของกล้ามเนื้อ
๓. บรรเทาอาการก่อนมีประจําเดือนจนถึงวัยหมดประจําเดือน
๔. ช่วยลดระดบั นํ้าตาลในเลือด

การบริโภคนมผง้ึ ควรบริโภคแบบสดซ่ึงต้องเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิตํ่ากว่า -๑๒ องศาเซลเซียส เพื่อให้คงสภาพ
ความสดและคณุ สมบตั เิ ดิมไว้ ผูบ้ รโิ ภคบางกลุ่มโดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหอบหืดอาจมีอาการแพ้ ซึ่งอาจทําให้เกิด
ผ่ืนลมพษิ หรือหายใจไมอ่ อก จึงควรสงั เกตอาการเมอื่ เร่มิ บรโิ ภคครั้งแรกด้วย ปัจจุบันมีการเอานมผ้ึงมาใช้เป็น
ผลติ ภัณฑ์เสรมิ อาหารและเคร่ืองสาํ อางอย่างแพรห่ ลาย



ไขผึ้ง (Beeswax)

เป็นสารที่ผ้ึงงานผลิตจากต่อมไขผ้ึง (wax glands) ซ่ึงอยู่บริเวณส่วนท้อง เพ่ือใช้สร้าง
ซ่อมแซมและปดิ ฝาหลอดรวง มีลักษณะเป็นเกล็ดขนาดเล็ก สีขาวใสมีนํ้าหนักเบา ถ้านําแผ่นไขผ้ึง 800,000
เกล็ดมาช่ัง จะพบนํ้าหนักไม่ถึงกิโลกรัม และผ้ึงต้องกินน้ําหวานมากถึง 8.4 กิโลกรัม เพื่อใช้ผลิตไขผ้ึง
1 กโิ ลกรมั (สมนึก,๒๕๔๔)
คุณสมบัติของไขผ้ึง

1. ไขผึ้งจะละลายไดด้ ใี นนาํ้ มันโดยเฉพาะนํ้ามนั สน แต่ไม่ละลายในน้ํา มีจดุ หลอมเหลว
63 - 65 °ซ ถ้าไดร้ บั ความร้อนสงู กว่าจดุ หลอมเหลว จะเกดิ เปลวไฟลุกไหม้ ดังนน้ั การหลอมไขผ้ึงควรใช้
ความรอ้ นจากไอนาํ้ หรอื น่ึงในน้ํารอ้ น

2. ถา้ เกบ็ ท่อี ุณหภูมติ ํ่า ไขผง้ึ จะหดตวั และทําใหเ้ ปราะแตกงา่ ย
ประโยชนข์ องไขผ้ึง

๑. ใชใ้ นการทําเทียนไข
๒. ใช้ผลติ แผน่ รังเทยี มในอุตสาหกรรมการเลี้ยงผึง้
๓. ใช้เปน็ ส่วนผสมของเครื่องสําอางเชน่ ครีมทาผิว ลิปสติก
๔. เป็นส่วนผสมของผลติ ภัณฑ์ขดั เคลือบเงารองเท้าและเฟอร์นเิ จอรต์ ่างๆ
๕. ใช้ทํายาหมอ่ งและสว่ นผสมในอุตสาหกรรมอน่ื ๆ เชน่ กาว สเี ทียน หมากฝรัง่ และหมึก

๑๐

พรอพอลิส (Propolis)

กรมส่งเสริมการเกษตร (๒๕๕๖) กล่าวว่า พรอพอลิสเป็นสารที่ผ้ึงงานรวบรวมมาจากยางไม้
โดยเฉพาะยางไมท้ ีเ่ คลอื บอยู่บรเิ วณตาใบ มลี กั ษณะเป็นยางเหนียว สีน้ําตาลส้มถึงแดงแล้วแต่ชนิดของต้นไม้ที่
ผ้ึงงานไปเก็บมา แล้วนํามาผสมกับน้ําย่อยและไขผึ้งจนได้เป็นพรอพอลิส ใช้ปิดรอยโหว่และอุดรอยร่ัวของรัง
พรอพอลิสมคี ุณสมบตั เิ ปน็ สารปฏิชีวนะตามธรรมชาติ มีสารประกอบฟลาโวนอยด์ท่ีมีคุณสมบัติในการต่อต้าน
การเกิดปฏิกิรยิ าออกซเิ ดชน่ั ตอ่ ต้านเช้ือแบคทีเรีย เชื้อรา ไวรสั และมคี ุณสมบัติยบั ยง้ั การอักเสบ

องคป์ ระกอบของพรอพอลสิ
องคป์ ระกอบของพรอพอลิสโดยเฉลยี่ ประกอบดว้ ย
 เรซิน (ประกอบด้วยสารกลุม่ flavonoids และกรดเบนโซอิค) ร้อยละ ๔๕-๕๕
 ไขผ้ึง ร้อยละ ๒๕-๓๕
 Essential oil ร้อยละ ๑๐
 เกสรร้อยละ ๕
 สารอนิ ทรียอ์ นื่ ร้อยละ ๕

ท้ังนี้ องคประกอบและความสามารถในการออกฤทธ์ิทางชีวภาพของพรอพอลิสในแตละพ้ืนที่น้ันแตกตางกัน
ตามสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และพืชพรรณ (Burdock et al.,1998) และปัจจัยสําคัญคือชนิดของพืช
พรรณ ท้ังนี้ เพราะวาผึ้งสรางพรอพอลิสโดยเก็บยางของตนไม และนํามาผสมหรือเปล่ียนแปลงยางไมใหเปน
พรอพอลิส (Marcucci et al., 1995)
ประโยชนข์ องพรอพอลิส

๑. เป็นสารต่อต้านเชื้อโรค เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย นํามาใช้เป็นส่วนผสมของยา
รักษาโรคต่างๆ เช่น ยาแก้ไอ แก้เจ็บคอ ยารักษาสิว ยารักษากลากเกลื้อน ยารักษาแผลเร้ือรัง ยารักษาแผล
ในปาก เปน็ ตน้

๒. ใชเ้ ปน็ สว่ นผสมของเคร่ืองสาํ อาง เชน่ โลช่ัน สบู่ ยาสีฟัน

๑๑

กรมส่งเสริมการเกษตร (๒๕๕๗) กล่าวถึง ประโยชน์ของพรอพอลิสว่า ฮิปโปเครทีส
(Hippocrates) บดิ าทางการแพทย์ของโลกใช้พรอพอลิสเป็นครีมสมานแผล บรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน
รักษาแผลเน่าเปื่อย ชาวโรมันใช้บรรเทาอาการปวดเม่ือยเอ็นและกล้ามเนื้อ ลดอาการบวมและความปวด
จากแผล ใช้ต้านการติดเชื้อในช่องปาก ดับกล่ินปาก ขจัดตาปลาและเนื้อตาย บรรเทาอาการหวัด ในรัสเซียใช้
เป็นยาทาเฉพาะที่โดยใช้ความเข้มข้น ๒-๔% เพอื่ บรรเทาอาการอกั เสบ มปี ระสิทธภิ าพในการใช้เป็นยาแกป้ วด

พษิ ผงึ้ (Bee Venom)

กรมส่งเสริมการเกษตร (๒๕๕๗) ระบุว่า พิษผ้ึง เป็นสารประกอบโปรตีนท่ีผลิตโดยต่อมพิษ
และเกบ็ ไว้ในถุงนํ้าพิษที่อยู่บริเวณโคนเหล็กใน ผ้ึงจะสร้างนํ้าพิษได้ในช่วงท่ีผ้ึงงานตัวเต็มวัยอายุ ๑๐-๑๔ วัน
และมีปริมาณมากท่ีสุดในช่วงท่ีผ้ึงงานอายุ ๑๕ วันและจะมีปริมาณคงที่ตลอดอายุชีพ พิษผึ้งท่ีผลิตขึ้นมาใช้
ปอู งกันตวั และปอู งกนั รังเท่านนั้

ลกั ษณะของพษิ ผ้งึ
พิษผ้ึงมีลักษณะเป็นของเหลวใส มีรสขม มีกลิ่นของสารอโรมาติกคล้ายกล่ินนมแมว มีฤทธ์ิ

เปน็ กรดและมีความถ่วงจําเพาะ ๑.๓๑๓ เปน็ สารอนิ ทรยี เ์ คมที ่ีออกฤทธ์เิ ร็วและรนุ แรงทาํ ใหแ้ มลงบางชนิดตาย

องคป์ ระกอบของพษิ ผึ้ง
พิษผ้ึงมีส่วนประกอบทางเคมีที่ซับซ้อน มีสารที่มีปฏิกิริยาทางเภสัชและทางชีวเคมีได้แก่

เมลิททิน (melitin) อะปามีน (apamin) ฮีสตามีน (histamine) โดปามีน (dopamine) นอร์อีพิเนฟริน
(norepinephrine) สารทําลายแกรนูลเลติ้งในแมสเซลล์ (mast cell degranulating peptide) ฟอสโฟ
ไลเปส เอสอง (Phospholipase A2) ไฮยาลูโรนิเดส (hyaluronidase)
ประโยชนข์ องพิษผง้ึ

๑. รักษาโรครูมาติซึมและโรคเกาต์ อาการปวดไมเกรนปวดเอวปวดคอปวดไหล่ ชาตามมอื นว้ิ ล็อก
๒. รกั ษาอาการภูมแิ พจ้ ากพษิ ของผึ้ง
๓. ใชเ้ ปน็ ส่วนผสมในเครอ่ื งสําอางบาํ รงุ ผิว
ท้ังนี้ การใช้พิษผึ้งในการบําบัดโรคนั้น ผู้ใช้ต้องมีความรู้และได้รับการฝึกอบรมหรือเป็นแพทย์/บุคลากรที่
เชีย่ วชาญและควรใช้พิษผงึ้ ด้วยความระมัดระวงั
จากท่ีกล่าวมาท้ังหมดจะเห็นได้ว่าผ้ึงเป็นแมลงท่ีสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติท่ีมีคุณค่า
อเนกอนันต์ไม่ว่าจะเป็นด้านการส่งเสริมสุขภาพ ความงาม และบําบัดโรค นา นา ชนิด ผู้ท่ีจะนําผลิตภัณฑ์ผ้ึง
ไปใช้ประโยชน์ในการแปรรปู เพ่อื สร้างมูลคา่ เพม่ิ จึงควรมีความรู้และความเข้าใจถึงประโยชน์ คุณลักษณะและ
ข้อจํากัดการใช้ของผลิตภัณฑ์ผึ้งอย่างถ่องแท้เพ่ือนําไปใช้ประโยชน์ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์จ ากผึ้งได้อย่าง
ถกู ต้องต่อไป

๑๒

บทที่ ๒
“ผลิตภัณฑจ์ ากชันโรง”

ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านแมลงเศรษฐกิจ จังหวัดเชียงใหม่ (๒๕๖๓) ชันโรง
เป็นแมลงจาํ พวกผึง้ ทีไ่ มม่ ีเหล็กใน (Stingless bee) มีมากกวา่ 500 ชนิดทั่วโลกพบท่ัวไปในเขตร้อนตลอดจน
บริเวณใกลเ้ คียงท่ีติดกบั เขตร้อน ในสว่ นของประเทศไทยปจั จบุ ันไดม้ กี ารค้นพบพันธชุ์ ันโรง จํานวน 37 ชนิด
รวม 12 สกุล กระจายอยูท่ ั่วทุกภาคของประเทศไทย มีชอ่ื เรยี กชนั โรงแตล่ ะภาคแตกตา่ งกันไป ได้แก่
ภาคเหนอื : เรียกชันโรงชนิดตัวเล็กว่า “ข้ีตังนหี รอื ข้ีตึง” ชนิดตัวใหญ่เรยี กว่า ขี้ย้าดาํ , ขี้ยา้ แดง
ภาคใต้ : เรยี กชนั โรงทง้ั ตัวเล็กตัวใหญ่ว่า “แมลงอุง่ ”
ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื (ภาคอีสาน) : เรยี กชนั โรงท่ีทาํ รงั ใต้ดินว่า “ข้สี ดู ”
ภาคกลาง : เรยี ก “ชนั โรง”
ภาคตะวันออก : เรยี กชนั โรงว่า “ตัวชาํ มะโรง” หรือ “อีโลม”
ภาคตะวนั ตก : เรียก ชนั โรงว่า “ตัวตุง้ ต้ิง” หรือติ้ง

ชามา (๒๕๖๓) กล่าววา่ ชันโรงเป็นแมลงช่วยผสมเกสรท่มี ปี ระสทิ ธิภาพสงู ชว่ ยผสม
เกสรดอกมะม่วง ลําไย เงาะ ส้มโอ มะพรา้ ว พชื ตระกลู แตงและพืชท่ีปลกู ในโรงเรอื นไดเ้ ป็นอย่างดี
เป็น POLLINATER ทที่ าํ ใหพ้ ืชในระบบนเิ วศเกิดการผสมข้าม ทาํ ให้พชื เกิดผลและเมลด็ ทมี่ ีความหลากหลาย
ทางพันธกุ รรม กรมส่งเสริมการเกษตร
(๒๕๕๖) กล่าวถงึ ประโยชนข์ องชนั โรง
ในด้านการเกษตรทําหน้าทชี่ ่วยผสม
เกสรให้กับพชื ผลทางการเกษตรทั้งใน
สวนผลไม้ และพืชผัก เน่อื งจากชนั โรง
มีพฤติกรรมเกบ็ เกสรดอกไม้ ๘๐
เปอร์เซ็นตแ์ ละเก็บนํ้าหวาน ๒๐
เปอรเ์ ซ็นต์ ทาํ ให้เกษตรกรได้ปรมิ าณ

๑๓

ผลผลิตอย่างสมํา่ เสมอและมีคุณภาพดี นอกจากน้เี กษตรกรผูเ้ ลย้ี งชันโรงยังสามารถเกบ็ ผลผลติ จากชนั โรง
ไดแ้ ก่ นาํ้ ผึง้ ชนั โรง และพรอพอลสิ เปน็ ผลพลอยได้อีกดว้ ย

น้ําผึง้ ชันโรง

ชามา (๒๕๖๓) กล่าวถึงนํ้าผ้ึงชันโรงว่าเป็นน้ําผ้ึงท่ีมีคุณค่าสูง มีกลิ่นและรสชาติเป็น
เอกลกั ษณ์ อดุ มไปด้วยสารต่อต้านอนุมลู อิสระสงู สมนึก (ม.ป.ป.) กล่าวว่าน้ําผึ้งจ๋ิวมีความเป็นกรดค่อนข้างสูง
จงึ มรี สเปร้ยี ว และมีความช้ืนค่อนข้างสูง เพราะผ้งึ จ๋ิวควบคมุ อุณหภูมิในรังไมไ่ ด้ การรบั ประทานนํา้ ผ้ึงจ๋ิวโดยใช้
ช้อนสะอาดตักน้ําผ้ึงให้มีส่วนของชันผึ้งติดมาด้วยแล้วรับประทานด้วยการกลืนน้ําผึ้งลงไป ส่วนที่เหลือคือ
ชันผ้ึงสามารถเค่ียวเล่นได้ สารในชันผึ้งมีประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถปูองกันโรคเก่ียวกับฟันและเหงือกได้
ชันผึ้งท่ีกลืนลงกระเพาะช่วยให้การทํางานของกระเพาะดีข้ึน และสามารถฆ่าเช้ือจุลินทรีย์ในกระเพาะได้
ทําให้รู้สึกสบายท้อง น้ําผ้ึงท่ีอยู่ในรังนานเป็นปี จะมีสีค่อนข้างเข้มเกือบดํา ส่วนนํ้าผึ้งที่ได้จากรังแยกขยาย
ใหม่ๆ จะมีสีอ่อนกว่า แต่ท้ังน้ี ก็ข้ึนกับแหล่งท่ีมาของชันผึ้งที่ผ้ึงไปเก็บมาสร้างถ้วยนํ้าผ้ึงด้วย ชันผึ้งท่ีละลาย
ปะปนในนํ้าผึ้งน้ี เรียกว่า น้ําผ้ึงสมุนไพร “Propolis honey” จากองค์ประกอบและประโยชน์ของน้ําผ้ึง
ชันโรงท่ีกล่าวมาปัจจุบันนํ้าผ้ึงชันโรงจึงเป็นที่นิยมกันในหมู่คนรักสุขภาพและมีราคาจําหน่ายค่อนข้างสูง
กิโลกรัมละ ๑,๕๐๐ - ๒,๐๐๐ บาท

การนํานา้ํ ผงึ้ ชนั โรงมาใช้ประโยชน์
จิราพร และคณะ (๒๕๖๑) กล่าวว่า คนไทยรู้จักการใช้ประโยชน์จากผลผลิตที่ได้ชันโรงซ่ึง

สามารถเก็บได้จากรังชันโรงตามธรรมชาติมาเป็นระยะเวลานาน ได้แก่ การนํานํ้าผ้ึงมาบริโภคโดยตรง โดยมี
ความเชื่อกันว่า นํ้าผ้ึงจากชันโรงมีสรรพคุณทางยามากกว่านํ้าผ้ึงจากผึ้ง จึงมักนิยมใช้น้ําผึ้งชันโรงเป็น
องค์ประกอบของยาสมุนไพร น้ําผ้ึงชันโรงสามารถแปรรูปเป็นสบู่น้ําผ้ึงชันโรง ช่วยปกปูองผิวจากความแห้ง
กร้านดว้ ยสว่ นผสมจากนํา้ ผ้งึ ชันโรงท่ีมีสรรพคุณบำรุงผิว ด้วยคุณสมบัติของนํ้าผ้ึงชันโรงท่ีมีฤทธ์ิเป็นกรดอ่อนๆ
ซ่ึงมี pH ใกล้เคียงกับสภาพผิวปกติ และมีฤทธ์ิยับยั้งเช้ือแบคทีเรียบนผิวได้ดี การแปรรูปอาจแปรรูปเป็น
สบู่ก้อน หรือสบู่เหลว โดยสบู่นํ้าผึ้งชันโรงมีคุณสมบัติเด่น คือ อุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม

๑๔

ชุ่มช่ืน ลดเลือนริ้วรอยท่ีเกิดจากอนุมูลอิสระไม่ระคายเคืองผิว เนื่องจากมีส่วนผสมจากสารธรรมชาติ
นอกจากน้ียังสามารถนำนาํ้ ผึ้งชันโรงไปเป็นส่วนประกอบในการผลิตแชมพูน้ําผึ้งชันโรงผสมสมุนไพร ลิปบาล์ม
ไขผึ้งผสมน้าํ ผึ้งชนั โรง

ชนั ผง้ึ

สมนึก (ม.ป.ป.) กล่าวว่า คนไทยรู้จกั นาํ เอาชนั ผง้ึ มาใช้ประโยชน์นานมาแล้ว เชน่ ใชท้ ําชนั
ยาเรอื กนั รัว่ ยากระชเุ พ่ือใช้ตักนาํ้ และเคร่อื งจักรสานชนดิ อืน่ ๆ โดยนํามาละลายในนาํ้ มันให้ข้นเหลวแลว้ ชโลม
เครือ่ งจักรสาน หรือท้องเรือเพอื่ กันน้าํ

การใชป้ ระโยชน์จากชันผึง้
จิราพรและคณะ (๒๕๖๑) กล่าวว่า ชันของชันโรง คนไทยนำมาใช้ประโยชน์หลายด้าน

เมอื่ ชันโรงเก็บยางไมจ้ ากต้นพืชหลากหลายชนิด นำมาผสมรวมกับไขผ้ึงทช่ี นั โรงผลติ ข้ึนจากภายในลำตัวชันโรง
จะได้ชันซ่ึงเป็นสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) มีผลในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระต้านเช้ือโรคและ
เพ่ิมภูมิคุ้มกัน ปัจจุบันมีการนำชันมาใช้ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์หลายอย่าง เช่น ใช้เป็นยารักษาการติดเช้ือ
ในช่องปาก รักษาเหงือกอักเสบ รักษาการอักเสบของผิวหนัง ทำเป็นยาหม่อง ใช้ในผลิตภัณฑ์เคร่ืองสําอาง
เช่น สบู่ ยาสีฟัน แชมพูสระผม ใช้ยาส่ิงของเคร่ืองใช้ต่างๆ เช่น ภาชนะบรรจุนํ้า จอกนํ้า ขันนํ้า ใช้อุดยุ้งฉาง
ท่สี านดว้ ยไม้ไผ่ ใช้อุดเครื่องดนตรอี ยา่ งแคน ใช้ติดลูกระนาดกบั ระนาด ใช้ทำวตั ถุมงคล ใช้อดุ ฐานพระ

สมนึก (ม.ป.ป.) กลา่ วว่าการใช้ประโยชนจ์ ากชนั ผง้ึ อาจแบ่งออกได้หลายทางดงั นี้
๑. ยารักษาโรค ชันผ้ึงมีคุณสมบัติหลักคือ เป็นสารปูองกันและกําจัดโรคของมนุษย์เป็นสาร
ยับย้ัง เช้ือแบคทีเรีย ไวรัส รา หรือโรคผิวหนัง ที่เกิดจากเช้ือดังกล่าวรวมถึงโรคในช่องปาก กล่องเสียง และ
ลําไส้ใหญ่ด้วย ชาวอียิปต์จึงใช้ชันผ้ึงในการทํามัมมี่ หรือศพอาบยา Burdock (๑๙๙๘) ได้รวบรวมรายงาน
เกี่ยวกับการทดสอบการออกฤทธิ์ทางชีวภาพของชันผ้ึงต่อสัตว์ทดลอง เช่น หนูชนิดต่างๆ พบว่า ชันผ้ึง
มีคุณสมบัติในการการยับย้ังเชื้อรา ไวรัส การเกิดเนื้องอกและเซลล์มะเร็ง รักษาแผลอักเสบโรคในช่องปาก
เป็นต้น นายแพทย์ชาวรัสเซียได้รายงานถึง สรรพคุณของชันผ้ึงในการเป็นยาชาเฉพาะท่ี โดยใช้สารละลาย
0.25 % ของชนั ผึ้งในแอลกกอฮอล์ เขาพบวา่ สารละลายนี้ใชไ้ ดผ้ ลดีกวา่ โคเคน หรือโนโวเคน ชันผ้ึงใช้เป็นยา
รักษาโรคติดเชื้อ (Antibiotic) หรือใช้ชันผึ้งสกัดเพ่ือฆ่าเชื้อสเตรปโตคอคคัส ออเรียส (Streptococcus

๑๕

aureus) สแตปไฟโลคอคคัส (Staphylococcus sp.) บาซิลลัส (Bacillus sp.) ชันผึ้งนําไปเป็นส่วนผสม
ในนาํ้ มนั นวดแกป้ วด ใช้ชันผ้ึงชโลมเพ่ือรักษาโรคผิวหนังท่ีเกิดจากเชื้อสแตปไฟโลคอคคัสท่ีด้ือต่อยาปฏิชีวนะ
สังเคราะห์ ชันผึ้งถูกนํามาผลิตยาในรูปสารละลายเข้มข้น (Tincture) แคปซูล (Capsule) กอเอียะ
(Medicinal paste) เปน็ ตน้ ชนั ผง้ึ ทน่ี ําเอาสารไมพ่ ึงประสงคอ์ อกไปแล้ว จะด้วยวิธีใดก็ตามสามารถนํามาผสม
กับสารอื่นหรือละลายอยู่กับตัวทําละลายท่ีบริโภคได้ หรือชันผึ้งที่ถูกสกัดให้บริสุทธ์ิ มีเพียงสารออกฤทธ์ิ
เช่น ฟลาโวนอยด์ ซึ่งไม่ต่างจากฟลาโวนอยด์สังเคราะห์แต่อย่างใด สามารถนํามาแปรรูปด้วยการผสมกับ
สารอ่ืน ได้แก่

๒. เครื่องสาํ อาง เชน่ โลช่ัน น้ําหอมครีมทใี่ ห้ความชุม่ ช่ืนแก่ผิวหนงั (Moisturizing cream)
สบู่ เปน็ ตน้ ไดร้ บั ความนยิ มอยา่ งแพรห่ ลาย เน่ืองจากเป็นสารจากธรรมชาติ (Natural products)

๓. ลกู อม (Lozenge or candy) ลกู อมผสมชนั ผ้ึง ใหร้ สชาตอิ ย่างมีเอกลกั ษณ์เฉพาะ
จดั เป็นยาอมแก้เจบ็ คอ หรือคออักเสบ

๔. อาหารเสริม (Supplementary food) โดยผสมชันผ้ึงสกัดกบั นมผง้ึ เกสรผึ้ง หรอื
น้ําผ้ึงเพอื่ เพิ่มพูนธาตุอาหารให้ครบถ้วน

๕. ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ชันผึ้งสกัดนาํ มาทําน้าํ มันขดั เงาคุณภาพสูง

จึงนับว่าชันโรงเป็นแมลงที่มีประโยชน์อย่างมากมาย ที่นอกจากจะเป็นแมลงท่ีมี
ความสามารถในการช่วยผสมเกสรได้ดีแล้ว ผลิตภัณฑ์จากชันโรงที่ได้ ท้ังนํ้าผึ้งและชัน ยังเต็มเป่ียมไปด้วย
คุณค่าที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ ที่โดดเด่นคือ เร่ืองของสารต้านอนุมูลอิสระ และคุณสมบัติการยับยั้ง
เชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคหลายชนิด สามารถนํามาใช้ประโยชน์ด้านยา เครื่องสําอาง อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์
ตา่ งๆ ได้มากมาย จงึ ควรทจ่ี ะอนรุ กั ษ์และส่งเสริมการเลีย้ งแมลงชนดิ น้ี เพ่อื ประโยชนแ์ ก่ลกู หลานสบื ต่อไป

**************************************

๑๖

บทท่ี 3

ความรพู้ นื้ ฐานสําหรับการผลติ เครอื่ งสําอางเบ้ืองต้น

ศนู ย์วิจยั และพัฒนาผลิตภัณฑ์ปศุสัตวเ์ ชยี งใหม่ (2561) ไดก้ ล่าวถึง ความรู้พืน้ ฐานสําหรบั
การผลิตเคร่ืองสาํ อางเบ้ืองต้น ดงั น้ี

1.สารออกฤทธิ์ (active ingredient)
ตวั นคี้ ือตัวออกฤทธท์ิ ่ีแท้จริง ผสมสารหลายตัวและสดุ ท้าย ก็เพื่อเอา active เหล่าน้ี มาทา

บนผวิ และใหซ้ ึมลงผวิ ได้
2. สารประสานเนือ้ ครีม (emulsifier,thickener)

ทาํ หนา้ ท่ปี ระสานน้ําเข้ากับน้ํามัน สาร emulsifier น้ี ทําหนา้ ทีป่ ระสานนํา้ และนํา้ มัน
ให้เขา้ กันกลายเป็นเนื้อครีม ส่วน thickener ก็ทําหน้าท่ีให้เนอ้ื ครมี หรือเจล หรอื เซรมั่ ข้นข้ึน
3. สารสร้าง skin-feel (emollient)

ทาํ หน้าที่ปรุงให้เนือ้ ครีม เนอ้ื เจล หรือเซร่มั รู้สึกน่าใช้ ทาแล้วลื่น ซึมเร็ว ตัวอย่างสารเหล่าน้ี
คือ Glycerin, Propylene Glycol, Butylene Glycol ถ้าไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ มักจะต้องมีตัวน้ีกันแทบ
ทง้ั น้ัน เพราะอยากให้ครีมล่ืน ใช้แล้วรู้สึกดี แต่ไม่มีประโยชน์ในด้านการบํารุง แล้วถ้าใช้เยอะๆ สามารถทําให้
ระคายเคืองผิวไดด้ ว้ ย ย่ิงใส่สารเยอะ ก็ย่ิงเพ่มิ โอกาสการแพข้ องผิวมากขึน้
4. สง่ิ ปรงุ แต่ง เช่น สี หรอื นํ้าหอม (colorant, perfume)

แนวโนม้ ในปจั จบุ นั หมดสมยั แลว้ ทเี่ คร่อื งสําอางจะมาใส่สีใส่นา้ํ หอมเยอะๆ พวกนส้ี ามารถ
ก่อให้เกิดการแพ้ได้ โดยเฉพาะนํ้าหอม
5. สารกนั เสีย/สารกนั บดู (preservative)

เป็นส่ิงจําเป็น ถ้าบริษัทไหนผลิตขายแล้วไม่ใส่ตัวน้ี ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เมื่อมีนํ้าก็ต้องมี
แบคทเี รีย แล้วถา้ ครีมคณุ มีแบคทเี รยี กอ่ ตวั เปน็ กอ้ นดาํ ๆ อยูข่ ้างใน ทาผิวเข้าไป ย่ิงอันตรายใหญ่ และอันตราย
กวา่ การใส่สารกันเสยี อีก สารกนั เสียมีหลายอย่าง มีตั้งแต่สารที่สกัดจากธรรมชาติซ่ึงราคาแพงและไม่ค่อยกล้า
ใชก้ ัน

ข้อควรรูเ้ ก่ียวกบั สารเคมีท่ีใช้ในการผลติ เครอ่ื งสาํ อาง
1. สารเคมีที่ให้ผลิตเครื่องสําอางควรเป็นสารเคมีท่ีได้มาตรฐาน ผู้ผลิตควรทําการสอบถาม

แหลง่ ทีม่ าของสารเคมี เพ่ือให้แน่ใจวา่ มาจากแหล่งผลติ ท่ีน่าเชือ่ ถอื ได้
2. สารเคมีในเคร่ืองสําอางมีชื่อเคมีมากกว่าหน่ึงช่ือ รวมท้ังมีชื่อทางการค้าได้หลากหลาย

ขน้ึ อยกู่ ับบริษัทที่ผลติ
3. สารเคมีชนดิ หนึง่ อาจจาํ หน่ายในความเข้มข้นที่ต่างกัน และใช้ช่ือทางการค้าที่แตกต่างกัน

ซ่ึงสามารถใชแ้ ทนกนั ได้ แตต่ อ้ งคาํ นวณปรมิ าณท่ีใช้ เพื่อให้ได้ความเข้มข้นของสารสาํ คญั ตามตอ้ งการ

๑๗

4. การผลิตเครื่องสําอางในท้องถิ่นอาจใช้ชื่อสารเคมีที่มีการบัญญัติศัพท์ข้ึนมาเพ่ือสะดวก
ตอ่ การจาํ ผู้ผลติ ควรจะสอบถามหรอื คน้ คว้าวา่ สารดงั กล่าวเป็นสารเคมีชนิดใด ท้ังน้ี เพ่ือสามารถปรับส่วนผสม
หรือทดแทนการใช้สารดังกลา่ วได้อยา่ งเหมาะสม

5. ในทางการค้าบริษัทท่ีจําหน่ายสารเคมีอาจจะจําหน่ายในรูปสารผสม ด้วยการผสม
สารเคมี หลายชนิดไว้ด้วยกนั แลว้ จาํ หน่ายในชอื่ ทางการค้าอกี ชอ่ื หน่ึง ทัง้ น้ี เพื่อให้สะดวกแก่ผู้ผลิตที่จะสามารถ
เจือจางหรือเติมน้ําเพื่อให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ท่ีต้องการได้เลย การใช้สารผสมดังกล่าวมีข้อเสียคือ จะไม่สามารถ
ปรับส่วนประกอบในสูตร เพื่อปรับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้ได้ตามต้องการ อีกท้ังสารผสมดังกล่าวยังอาจจะมี
ราคาแพงกว่าการใชส้ ารเดย่ี วๆ ผสมกนั เองอีกด้วย

6. สงิ่ ตา่ งๆ เหลา่ น้เี ปน็ สิ่งท่ผี ู้ผลติ จะทาํ การค้นควา้ ให้ไดข้ ้อมลู ท่ีถูกต้อง โดยอาจสอบถามจาก
บริษัทผู้ผลิตโดยตรง หรือคน้ คว้าจากหนงั สอื และเอกสารอ้างอิงอื่น ๆ

มาตราชั่ง ตวง

การช่ังตวงเป็นหลักการเบื้องต้นของการให้ได้มาของปริมาณสารที่เหมาะสมที่จะใช้ใน
การผลิต การชงั่ ตวง ที่ถกู ตอ้ งเป็นส่วนหน่ึงที่จะทําใหไ้ ด้ผลิตภณั ฑ์ทม่ี ีคณุ ภาพสมํา่ เสมอตรงความต้องการของ
ผู้ผลิต จึงควรจะมีความรู้พื้นฐานในการชั่ง ตวง เป็นอย่างดี มาตราชั่ง ตวง มีหลายมาตรา เช่น มาตราเมตริก
(Metric system) และ มาตราอังกฤษ (English system) สําหรับประเทศไทยนิยมใช้มาตราช่ัง ตวง ในระบบ
เมตริก อย่างไรก็ตามผู้ผลิตควรจะเรียนรู้ วิธีการเปรียบเทียบมาตรช่ัง ตวง ที่ต่างระบบกัน ทั้งนี้ เนื่องจาก
ผู้ผลิตอาจมีสูตรพ้ืนฐานในมาตราหน่วยอ่ืนๆ ซึ่งต้องการเปล่ียน ให้อยู่ในหน่วยท่ีจะสามารถช่ัง ตวง ได้อย่าง
สะดวก

1. มาตราชง่ั

มาตราเมตรกิ

1 กโิ ลกรัม (kilogram,kg.) = 1000 กรัม (gram,g.)

1 กรมั = 1000 มิลลกิ รัม (milligram,mg.)

สําหรับชาวบา้ นท่วั ไปจะใช้หน่วยเป็น ขีด ซึ่งสามารถเปรียบเทยี บเปน็ หนว่ ยในมาตราเมตรกิ ดังนี้

1 กโิ ลกรัม = 10 ขดี

1 ขดี = 100 กรมั

มาตราอังกฤษ (Avoirdupois)

1 ปอนด์ (pound,Ib.) = 16 ออนซ์ (ounce,oz.)

1 ออนซ์ = 437.5 เกรน (grain,gr.)

๑๘

เปรียบเทียบมาตราเมตรกิ กับ อังกฤษ

1 กโิ ลกรัม = 2.2 ปอนด์

1 ปอนด์ = 454.0 กรัม

1 ออนซ์ = 28.4 กรัม

2. มาตราตวง

มาตราเมตริก

1 ลิตร (liter,l.) = 1000 มลิ ลลิ ิตร (milliliter,ml.)

1 มลิ ลิลติ ร = 1 ซซี ี (c.c.)

3.การเปรยี บเทียบมาตรา

1 แกลลอน (British Imperial) = 4.55 ลิตร

1 แกลลอน (US Liquid Measure) = 3.79 ลิตร

1 แกลลอน (US Liquid Measure) = 4 ควอท

1 ควอท = 2 ไพน์ (pint)

1 ไพน์ = 2 ถว้ ย

1 ถว้ ย = 8 ออนซ์ (fluidounce,Fluid oz.)

1 ออนซ์ (Fluid oz.) = 2 ชอ้ นโตะ๊ (ช.ต.)

1 ปอนด์ (Fluid oz.) = 30 มิลลลิ ติ ร

1 ชอ้ นโต๊ะ = 3 ชอ้ นชา (ช.ช.)

1 ช้อนโตะ๊ = 15 มิลลลิ ติ ร

1 ช้อนชา = 5 มิลลลิ ิตร

ข้อควรระวงั

1. หน่วย ช้อนโตะ๊ และ ชอ้ นชา ในทน่ี ไ้ี ม่ใชช่ อ้ นโต๊ะท่รี ับประทานอาหาร หรอื ชอ้ นชาทีใ่ ช้ชงกาแฟ
ช้อนโต๊ะที่ใช้รับประทานอาหารนั้น จะมีปริมาตรบรรจุเพียง 8-15 มิลลิลิตร (ขึ้นอยู่กับขนาดของช้อน) และ
ช้อนชาท่ีชงกาแฟจะมีขนาดเพียง 3 มิลลิลิตร เท่าน้ัน ดังนั้น ควรใช้ช้อนตวงมาตรฐานท่ีใช้สําหรับการตวง
โดยเฉพาะ

๑๙

2. หนว่ ยของออนซ์ ออนซ์ ซง่ึ อาจเปน็ ได้ทั้งหนว่ ยของนา้ํ หนัก (เป็น oz.) และหนว่ ยของปรมิ าตร
(เปน็ Fluid oz.) ซ่ึงมีค่าไมเ่ ท่ากนั และไมค่ วรใชส้ ลบั กัน

3. หนว่ ยของแกลลอนกม็ อี ยู่ 2 ชนดิ คอื องั กฤษ และอเมรกิ า ซ่งึ ก็มีปรมิ าตรท่ตี ่างกันอีกดว้ ย

สารเคมที ่ีห้ามมีในการผลติ ภณั ฑเ์ ครอ่ื งสําอาง
สารเคมีหลายชนิดมีรายงานว่าเป็นอันตรายต่อการใช้ อ งค์การอาหารและยาของ

สหรฐั อเมริกาไดป้ ระกาศห้ามใช้สารตา่ งๆ เหลา่ นี้ในเครื่องสําอาง ได้แก่
1) Hexachlorophene เนอื่ งจากมผี ลตอ่ ระบบประสาท และสามารถซึมสู่ผิวหนังคนได้ แต่ให้ใช้

เป็นสารกันเสีย (preservative) ได้ในกรณีที่ไม่สามารถใช้สารกันเสียอื่นด้วย (สําหรับประเทศไทย สารนี้เป็น
สารห้ามใชใ้ นเครือ่ งสําอาง)

2) สารปรอท (Mercury compound) สามารถซึมสู่ผิวหนังและสะสมในร่างกายได้ อาจทําให้
เกิดอาการแพ้ ระคายเคืองผิวหนัง เกิดอันตรายต่อระบบประสาท ระบบทางเดินปัสสาวะ และไตอักเสบได้
(ประเทศไทยหา้ มใชส้ ารนี้ ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2532)

3) Chlorofluorocarbon propellants ห้ามใชส้ ารขบั ดันชนดิ น้ี ในเคร่อื งสําอางชนดิ ฉดี พน่
(aerosol product)

4) สารตอ้ งห้ามอ่ืน ๆ สารเหลา่ นไ้ี ดถ้ กู ห้ามใชใ้ นเคร่อื งสาํ อาง ไดแ้ ก่
-Bithionol เนอ่ื งจากทําใหเ้ กิดการแพ้เม่ือถูกแสงแดด
-Halogenated salicylanilides ทําให้เกิดการแพเ้ ม่ือถูกแสงแดด
-Chloroform เป็นสารก่อเกิดมะเร็ง ประเทศไทยห้ามใชส้ ารน้ี ต้ังแต่ พ.ศ. 2529
-Vinyl chloride ห้ามใช้ในเครอ่ื งสําอางฉีดพ่น เพราะเป็นสารก่อใหเ้ กิดมะเร็ง
-สารประกอบเชิงซอ้ นของZirconiumห้ามใช้ในเครอ่ื งสาํ อางฉีดพน่ เพราะเป็นอันตรายตอ่ ปอด
-Methyllene chloride เปน็ สารกอ่ มะเรง็ ในสัตว์ และเปน็ อนั ตรายต่อสขุ ภาพของคน

5) Acetylethyltetramethyltetralin (AETT) หา้ มใชใ้ นเคร่ืองสาํ อางที่เป็นน้ําหอม (fragrance
formulations) เพราะพบว่าเปน็ อนั ตรายต่อระบบประสาทอยา่ งมาก และยงั ซมึ ผ่านเข้าผวิ หนังได้ดว้ ย

6) Musk Ambrette อาจทําให้เกิดการแพ้ เม่ือถูกแสงแดด เช่น เกิดการแพ้ท่ีผิวหนัง และยัง
เป็นอันตรายตอ่ ระบบประสาทดว้ ย

7) 6-Methylcoumarin (6-MC) เป็นสารท่ีก่อให้เกิดการแพ้อย่างรุนแรงเมื่อถูกแสงแดด ห้ามใช้

ในเคร่อื งสาํ อางปูองกนั แสงแดด (suntan and sunscreen preparations)
8) Nitrosamines เป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง และสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ สารเคมีในกลุ่ม

amines หรืออนุพนั ธ์ของ amino โดยเฉพาะ di- และ triethanolamine สามารถเปล่ียนเป็น nitrosamines
ได้เม่ือมีสาร ท่ีเป็น nitrosating agents (หรือ nitrites) อยู่ร่วมด้วย สารกันเสียชนิด 2-bromo-2-
nitropropane-1,3-diol สามารถถูกเปล่ียนให้เป็น nitrosamine ได้ด้วย สารเคมีในกลุ่ม amines หรือ

๒๐

อนุพันธ์ของ amino มีอยูอ่ ย่างแพรห่ ลายในครีม โลชั่น แชมพู และครีมนวดผม และสาร nitrosating agents
อาจเกิดข้ึนในระหว่างการผลิตหรือเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ จากปัญหาข้างต้น กระทรวงสาธารณสุขของประเทศ
ไทย โดยสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา จึงได้กําหนดเง่ือนไขของการใช้วัตถุกันเสียบางชนิดท่ีอาจ
กอ่ ใหเ้ กดิ nitrosamines ได้ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสขุ (ฉบับท่ี 27) พ.ศ. 2539 เร่ือง กําหนดวัตถุที่
อาจเปน็ ส่วนผสมในการผลิตในเครอื่ งสําอาง (ฉบบั ที่ 2)

9) Dioxanes ทาํ ใหเ้ กิดมะเร็งในตบั และจมกู ได้ สามารถซึมผ่านผิวหนัง และสง่ ผลทวั่ ร่างกายได้
สารนี้อาจปะปนมาในสารเคมีท่ใี ช้ในการผลติ เครื่องสําอาง เช่น สารชาํ ระล้างประเภท ethoxylated
surfactancs ไดแ้ ก่ สารที่ขนึ้ ตน้ ด้วยคาํ ว่า “PEG” “polyethylene” “polyoxyethylene” “-eth-”
“oxynol”

ข้อควรระวังการเลอื กใชส้ ารเคมใี นการผลติ เครือ่ งสาํ อาง
ในการพฒั นาสตู รตํารบั เคร่ืองสําอางเพือ่ ผลิตออกจาํ หน่าย ในขั้นตอนท่ีทราบว่าสตู รตํารับ

ประกอบด้วยสารใดในปรมิ าณเท่าไหร่แลว้ เพ่อื ใหเ้ ครื่องสําอางท่ีผลิตมีคณุ ภาพมาตรฐานและไมฝ่ ุาฝืนกฎหมาย
โดยรเู้ ท่าไมถ่ ึงการณ์ โดยผูผ้ ลิตจะต้องตรวจสอบทัง้ ชนิดและปรมิ าณทีใ่ ชข้ องสารทุกตวั ในสตู รวา่ เป็นสารท่ี
อนญุ าตให้ใช้ในเคร่ืองสาํ อางประเภทนน้ั ๆ หรือปริมาณท่ีใชน้ ั้นปลอดภัย สามารถสืบค้นขอ้ มลู กฎหมาย
เครอ่ื งสาํ อางเพม่ิ เติมได้ท่ี กลุ่มควบคมุ เครอ่ื งสําอาง สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา
https://www.fda.moph.go.th/sites/Cosmetic/SitePages/Laws.aspx

**********************************************

๒๑

บทท่ี 4

สบู่ (SOAP)

ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์เชียงใหม่ (2561) กล่าวว่า “สบู่” เป็นผลิตภัณฑ์
สําหรับทําความสะอาดรา่ งกายทไี่ ด้จากปฏิกิริยาของดา่ งกับไขมันจากพชื หรือสตั ว์ ปัจจุบันสบู่มีการใช้ส่วนผสม
ชนดิ ตา่ งๆเพือ่ ปรับปรงุ คุณสมบัติของสบใู่ หม้ ีลักษณะพเิ ศษ ตรงตามความต้องการใช้งานที่หลากหลายข้ึน ท่ีทํา
ให้เป็นก้อน หรือเป็นของเหลว พร้อมด้วยส่วนผสมต่างๆ เพื่อให้มีคุณสมบัติเหมาะสําหรับการใช้ทําความ
สะอาด ซึ่งก็คอื ผลิตภณั ฑ์สบทู่ เ่ี ราใช้กันในทกุ วันนี้

สบู่ คือ เกลือของกรดไขมนั ซ่ึงเกดิ จากทําปฏกิ ิริยา “Saponification” ระหวา่ งนาํ้ มัน/ไขมัน
ต่างๆ (ท้ังจากพชื และจากสตั ว์) กับนา้ํ ด่าง ทาํ ให้เกิดเน้ือสบู่ 4 ส่วน (บางตํารากว็ ่า 5 สว่ น) และกลเี ซอรีน
1 สว่ น มีคุณสมบตั ิในการชาํ ระล้างสงิ่ สกปรก และควรมีคา่ pH อยู่ ระหวา่ ง 8-10 (ไม่ควรเกนิ 11) ซ่ึงจะ
เรียกว่า “เกล็ดสบู่” ไขมนั พืช/ไขมันสัตว์ + โซเดยี มไฮดรอกไซด/์ โพแทสเซยี มไฮดรอกไซด์ =เกลด็ สบู่ (soap)
+ กลีเซอรอล/ กลเี ซอรีน + แอลกอฮอล์ + น้ํา

ดา่ ง (Lye) ที่ใชใ้ นการทําสบู่ แบ่งไดเ้ ปน็ 3 ประเภทใหญๆ่ คอื
1. เถา้ (Ash) ปัจจุบนั ไมน่ ยิ มใช้ เนอ่ื งจากควบคุมปัจจัยในการผลิตไดย้ าก
2. โซดาไฟ / โซดาแผดเผา (Sodium Hydroxide / สตู รเคมี : NaOH) ใช้ในการทําสบกู่ อ้ น
3. โปแตสเซยี มไฮดรอกไซด์ (PotassiumHydroxide/สูตรเคมี :KOH) ใช้ในการทําสบเู่ หลว
สบู่แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก
1. สบู่ผลิตในระดบั อตุ สาหกรรม
เป็นสบู่ท่ีผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมโดยใช้เครื่องจักรเป็นหลัก เพ่ือผลิตให้ได้ปริมาณมาก
โดยการนาํ เกล็ดสบู่ หรอื ทีเ่ รียกกนั ว่า Soap Noodle หรือ Soap Chip มาเติมสารบํารุงผิว ซ่ึงมักเป็นสารเคมี
และน้ําหอมลักษณะของเน้ือสบู่ท่ีได้จะมีความแข็ง จึงสามารถนํามาป๊ัมขึ้นรูปได้ จึงมักมีรูปก้อนสบู่ท่ีสวยงาม
น่าใช้ ราคาไม่แพง แต่อาจมีการแพ้หรือระคายเคืองสําหรับบางคนได้ เน่ืองจากใช้สารเคมีมาเติมในสบู่มาก
มีขายทวั่ ไป
2. สบ่ทู ีท่ าํ ขน้ึ ใช้เอง (Home made ) แบ่งได้ 3 ประเภท
2.1 สบู่กวนเยน็ CP (Cold Process)
คือ การทําสบู่โดยไม่ใช้ความร้อนในการเร่งปฏิกิริยาทําให้เกิดสบู่ จะใช้น้ํามันหรือไขมันผสม
กับนํ้าด่าง (โซดาไฟ) กวนให้ข้นเทลงพิมพ์ แล้วท้ิงไว้ 24-48 ช่ัวโมง (หรือมากกว่านั้นหากเป็นสบู่สูตรท่ี
ค่อนข้างนิ่ม) แล้ว จึงเอาออกจากพิมพ์มาตัดเป็นก้อนเล็กๆ แล้วนํามาตากในท่ีอากาศถ่ายเท 4-6 สัปดาห์ จึง
ค่อยนํามาใช้ ซง่ึ สบู่ประเภทนจ้ี ะลงทุนค่อนข้างสงู กวา่ สบปู่ ระเภทอ่ืน เนื่องจากต้องใช้เวลาในการบ่มสบู่ให้ได้ที่
มีความอันตราย ในการใช้โซดาไฟ และมีรายละเอียดในการทําค่อนข้างมาก แต่สามารถนําสมุนไพรมาใส่ได้
ใช้น้ํามันที่มีคุณสมบัติในการบํารุงผิวต่างๆได้ แต่ข้อเสียของสบู่ชนิดน้ี คือ จะต้องมีการคํานวณการใช้โซดาไฟ
ให้เหมาะสมกับน้ํามัน/ไขมัน ที่นํามาใช้ในการทําสบู่ เพราะอาจทําให้สบู่ไม่แข็งตัว ไม่มีฟอง หรือแม้แต่การ

๒๒

ชําระล้างอาจน้อยลงด้วย และการเติมสมุนไพรบางชนิด อาจเกิดการสูญเสียประสิทธิภาพ อันเกิดจากการทํา
ปฏกิ ิรยิ าของโซดาไฟก็เปน็ ได้

2.2 สบูก่ วนรอ้ น HP (Hot Process)
ใชว้ ิธีเดยี วกับสบู่กวนเย็น เพียงแต่ใช้ความร้อนจากการตุ๋น Double boiler เพื่อเร่งปฏิกิริยา
การเกดิ สบู่ ใชเ้ วลาในการผลิตไม่นาน เน้ือสบ่จู ะมีความขรุขระซง่ึ เปน็ คุณลักษณะของสบู่ประเภทน้ี การทําสบู่
ในโรงงานก็ใช้กระบวนการผลิตในรูปแบบน้ี เพียงแต่สบู่ HP ท่ีผลิตแบบ handmade นั้น จะไม่ดึง Glycerin
ที่ได้จากธรรมชาติออกไป
2.3 สบู่กลีเซอรนี /สบู่หลอมเท MP (Melt and Pour )
เป็นสบู่ท่ีวิธีทําง่ายท่ีสุด และมีความอันตรายน้อยท่ีสุด เน่ืองจากผู้ทําไม่ต้องยุ่งกับโซดาไฟ
การทําสบู่ประเภทนี้ ก็แค่นําเบสสบู่มาละลาย ใส่สารสกัด ใส่สมุนไพร ใส่สี ใส่กลิ่น เทลงพิมพ์ รอให้แข็งตัว
แกะออกจากพิมพ์ แล้วก็ห่อด้วยพลาสติกใสเพื่อปูองกันไอนํ้าเกาะเบสสบู่ชนิดนี้ มีทั้งชนิดใส (Opaque
Glycerin Soap Base) และชนิดขาวขุ่น (Transparent Glycerin Soap Base) ก็คือสบู่กวนร้อนท่ีมี
กระบวนการผลิตมากกว่า มีการใส่สารประกอบอ่ืนๆ เพ่ิมเติม เพ่ือให้สบู่สามารถหลอมเหลว และกลับมาแข็ง
เปน็ ก้อนได้ใหม่ ซ่ึงจริงๆ แล้วตวั เบสสบู่กส็ ามารถนํามาใช้งานไดเ้ ลย โดยไม่ต้องนํามาหลอมใหมก่ ็ได้

ความแตกต่างระหว่างสบอู่ ุตสาหกรรมกับสบู่โฮมเมด

สบู่อุตสาหกรรม หรือท่ีเรียกว่าสบู่โรงงานนั้น มีวิธีการทําสบู่เหมือนกับสบู่ (HP) โดยการใช้
ความร้อนมาชว่ ยในการต้มสบู่กบั น้าํ ด่างจนทําปฏิกริ ยิ าสมบูรณ์แลว้ กจ็ ะนําไปล้างกับนํ้าเกลือ จากน้ันจะพักไว้
ให้ไขมันแยกชั้น ซ่ึงในขั้นตอนน้ีจะเกิด Glycerin ท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติของการทําปฏิกิริยาการเกิดสบู่
(และได้มีการสกัดเอา Glycerin ออกไปใช้ในอุตสาหกรรมเคร่ืองสําอาง และอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย จึงทําให้
สบทู่ ีไ่ ดจ้ ะเหลือแตเ่ น้ือสบูท่ ีม่ ีแต่ค่าการชาํ ระลา้ ง ขาดความชุ่มช้ืน จากน้ันก็จะนําสบู่ที่ได้ไปเปาให้แห้ง บดย่อย
ให้เป็นเม็ดสบู่ จึงเติมสีและน้ําหอม (เป็นข้อดีท่ีว่าสบู่โรงงานจะมีกล่ินหอมน่าใช้มากกว่า) นําไปอัดเป็นแท่ง
แล้วจึงนําไปปั๊มขึ้นรูปเป็นก้อนสบู่แบบที่เราใช้กัน นอกจากนี้ สบู่โรงงานมักจะทําจากนํ้ามันปาล์มและน้ํามัน
มะพร้าวเพื่อลดต้นทุน ทําให้สบู่ประเภทน้ีจึงมีราคาท่ีค่อนข้างถูก ซึ่งก็มีการจําหน่ายและใช้กันมาก มาจนถึง
ปจั จบุ นั สว่ นสบแู่ ฮนเมดผทู้ ําสามารถเลอื กใชน้ าํ้ มนั ที่มคี า่ การบํารงุ สูงๆ ได้ ต้นทนุ จึงสูงกว่า ส่วนขั้นตอนการทํา
ก็จะนาํ น้ํามันและนํา้ ดา่ งมาผสมและกวนใหเ้ ขา้ กัน จากนัน้ จงึ เทลงแม่พมิ พ์ ทิง้ ไว้จนเซต็ ตวั นํามาตดั เป็นก้อนๆ
หลังจากนน้ั นาํ สบมู่ าบม่ (ตาก) ต่อประมาณ 4-8 สัปดาห์ จึงทําใหส้ บทู่ ี่ได้มีค่าการบํารงุ สงู ท้ังจากนา้ํ มัน และ
Glycerin ธรรมชาติ แต่ข้อเสียของสบู่แฮนเมด คอื ราคาแพงกว่า และดว้ ยความทส่ี บ่มู ีความชมุ่ ชืน้ สงู ดงั น้ัน
สบแู่ ฮนเมดจะละลายนา้ํ ได้ดีและเป่ือยยุ่ยได้ง่ายกว่าสบู่โรงงานมาก (จงึ ควรวางสบ่แู ฮนเมดไว้ในท่ไี มม่ นี า้ํ ขงั )
นอกจากน้ี อาจพบวา่ สีและกลิ่นของสบไู่ ม่ค่อยหอม บางครั้งอาจจะเป็นกลน่ิ น้ํามนั ตุย่ ๆ ก็เนอื่ งจากระบวนการ
บม่ สบู่ อาจทําให้น้ําหอมเจือจางลงดว้ ย สบ่แู ฮนเมดให้คณุ ค่าการบํารุงผิว (Conditioning) แต่สบไู่ ม่ได้ให้
ความชมุ่ ช้ืน (Moisturising) ดงั น้ัน หลงั อาบนา้ํ แล้วจึงควรทาครมี หรือโลชนั่ ตามด้วย

๒๓

ข้นั ตอนการทาํ สบู่กลเี ซอรนี MP (Melt and Pour) งา่ ย ๆ ดังนี้

1. หลอมสบู่ ดว้ ยไฟอ่อน ๆ
2. เตมิ สี สมนุ ไพร วติ ามินต่างๆ
3. เตมิ กลน่ิ
4. รินลงในพิมพ์
5. แกะออกจากพิมพ์ ไดส้ บ่ทู ี่พรอ้ มใช้

ขนั้ ตอนการทาํ มีดังน้ี

(1) การหลอมสบู่
นําเบสสบู่มาตัดออกเป็นช้ินๆ เพื่อให้หลอมได้เร็วข้ึน และชั่งตามส่วนผสมท่ีระบุ ควรหลอม
เผื่อไว้เพราะถ้าเหลือสามารถเทลงพิมพ์เล็กท่ีเตรียมเสริมไว้ได้ หรือจะรอให้แห้งและเก็บไว้ใช้งานต่อไปได้
ข้อดีของการทําสบู่วิธีน้ีคือ หลอมใช้ใหม่ได้เร่ือยๆ ถ้าหลอมสบู่ไว้ไม่พอกับปริมาณท่ีต้องการใช้ การหลอมเพ่ิม
ทหี ลงั และนาํ ไปเติมบนชิ้นงานท่แี ห้งสนทิ อาจทาํ ให้สบู่ติดกันไม่สนิทและแยกช้ินกันขณะใช้งานได้ นําสบู่ท่ีชั่ง
แล้วลงในภาชนะสแตนเลส หรือแก้วทนไฟ เพื่อทําการหลอมโดยใช้ไฟอ่อนๆ จนสบู่ละลายหมด ควรใช้เตา
ไฟฟูาหรอื เตาแก๊สชนิดพิเศษท่ีไมม่ กี ลิ่นแก๊ส โดยการใชห้ ม้อสองชั้นเป็นลักษณะตุ๋น ระดับความร้อนท่ีใช้ควรใช้
ไฟอ่อนๆ ให้สบ่ลู ะลายช้าๆ หากไฟแรงเกนิ ไปจะเกิดฟองมาก เมื่อเทสบู่ลงพิมพ์จะทําให้สบไู่ มส่ วย
(2) การเติมสี
- การเติมสีควรทาํ ก่อนเติ่มกลิ่น และหลังจากที่สบหู่ ลอมหมดแล้ว
- การหยดสีควรใชห้ วั หยด และหยดเพยี งทีละหยด คนเล็กน้อยเพื่อดูความเขม้ ของสี และ
ถ้าพบว่าเข้มไมเ่ พียงพอ จงึ หยดเพม่ิ ทลี ะหยด
- คนเบาๆ ช้าๆ และคอยสังเกตสี การคนเรว็ และแรงเกินไปจะทาํ ใหเ้ กดิ ฟองเล็กๆ มากมาย
ในตวั สบู่ ทาํ ให้สบ่ขู ุ่นและไมส่ วย โปรดจําไวว้ า่ สจี ะเขม้ ขน้ึ เลก็ นอ้ ยเม่ือสบูแ่ หง้ แลว้
ข้อควรระวัง กล่ินท่ีเติมบางชนิดอาจทําให้สีเพ้ียนไปบ้าง อาจมีความจําเป็นที่ต้องปรับสี
ทีหลังจากการเติมกล่ิน ถ้าสีที่ได้ไม่ถูกใจ แต่โดยปกติการเติมกลิ่นทีหลัง จากการเติมสีจะดีกว่า เพราะกลิ่น
ไม่ควรเติมขณะท่ีสบู่ร้อนจัด และควรเติมทันทีในขณะท่ีสบู่พร้อมจะเทลงในพิมพ์ มิเช่นนั้นความร้อนจะทําให้
กลิ่นระเหยหมดได้ การเลือกใช้สี หลีกเล่ียงสีผง ซึ่งอาจจับตัวเป็นก้อนในสบู่ และสบู่บางก้อนสวยๆ ที่เราเห็น
มปี ระกายคลา้ ยๆ เพชรอย่ใู นเน้อื สบู่นั้น คือ ผงท่ีเรียกว่า Glitter เป็นสีผงชนิดหนึ่งที่มีประกายเพชร ชนิดที่ใช้
กบั เครอ่ื งสาํ อางที่ไมม่ อี ันตรายต่อผิว ใชเ้ พยี งเล็กน้อย ใสใ่ นสบู่ทห่ี ลอมแล้ว ในระหว่างกขั้นตอนการใส่สีอาจใช้
คู่กนั ได้
(3) การเติมกล่นิ
เติมกล่ิน 1-2% ของเนื้อสบู่ทั้งหมด ถ้าทําสบู่ขนาด 90-110 กรัม จะเติมกล่ินประมาณ
1.25 - 3.75 กรัม ท้ังน้ีปริมาณที่เติมยังขึ้นกับความเข้มของกลิ่นแต่ละชนิด ลองดมหลังจากที่เติมและคน
ให้เขา้ กันดีแลว้ ดมกลนิ่ หา่ งประมาณ 4 นิ้ว ถา้ กลน่ิ อ่อนใหเ้ ตมิ ได้อีก

๒๔

- เติมกล่ินหลังจากเติมสี
- คนใหเ้ ข้ากนั เบาๆ จนเขา้ กันไดด้ ี
- ข้อควรระวงั ไม่ควรเตมิ กล่ินในขณะที่สบู่ร้อนจดั เพราะกลน่ิ อาจจะเจือจางเน่ืองจากความรอ้ น
- ระวังอย่าให้สบู่เย็นเกินไปเพราะอาจเกิดเป็นฝูาบนผิวสบู่ และทําให้ต้องหลอมใหม่เพื่อ
ละลายผิวสบู่ อาจทําให้สีและกลิ่นจางหายไปได้
- ถ้าเติมสมนุ ไพร หรือสว่ นประกอบทเี่ ป็นพชื ชนิดผงแหง้ ควรเตมิ ปรมิ าณ 1-2% ของสบู่
ถ้าหลอมสบู่ไวไ้ มพ่ อกบั ปริมาณท่ตี ้องการใช้ การหลอมเพ่ิมทหี ลงั และนาํ ไปเติมบนชนิ้ งานทแ่ี ห้งสนิท อาจทําให้
สบู่ติดกันไม่สนิท และแยกช้ินกันขณะใช้งานได้ นําสบู่ที่ช่ังแล้ว ลงในภาชนะสแตนเลสหรือแก้วทนไฟ เพื่อทํา
การหลอม โดยใช้ไฟออ่ นๆ จนสบูล่ ะลายหมด ควรใช้เตาไฟฟูา หรือเตาแก๊สชนิดพิเศษท่ีไม่มีกล่ินแก๊ส โดยการ
ใช้หม้อสองชั้นเปน็ ลักษณะต๋นุ ระดับความรอ้ นท่ใี ช้ควรใชไ้ ฟออ่ นๆ ให้สบู่ละลายช้าๆ หากไฟแรงเกินไป จะเกิด
ฟองมาก เมอื่ เทสบู่ลงพมิ พจ์ ะทาํ ให้สบูไ่ มส่ วย
(4) รนิ ลงแบบพมิ พ์
- วางแบบพิมพ์ให้อยู่บนแนวราบเสมอกัน ไม่ลาดเอียง และให้อยู่ในที่ไม่ต้องเคลื่อนย้าย
จนกวา่ สบ่จู ะแห้ง
- รนิ สบลู่ งในแบบพมิ พ์ โดยรินให้ลงตรงกลาง ยกเว้นกรณีทใ่ี ช้เทคนิคพิเศษอื่นๆ
- ทันทีทร่ี ินสบ่ลู งในแบบพิมพ์เสร็จ ให้ฉีดแอลกอฮอล์ (ใช้ Rubbing Alcohol70% สีใสหรือ
สีฟาู ใส) ท่ผี วิ หน้าสบเู่ พอ่ื กําจัดฟองทป่ี รากฏอยบู่ นผวิ สบู่
- ท้ิงไว้ในแบบพมิ พ์ โดยไม่ขยับเขยื้อนจนกว่าสบ่จู ะแหง้ ดแี ล้ว การเคลอื่ นยา้ ยจะทาํ ใหส้ บู่ ไมเ่ รียบ
(5) แกะออกจากแม่พมิ พ์
- รอให้สบู่แห้งดีแล้ว โดยปกติใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วแต่ขนาดของสบู่ ตรวจสอบ
ความพร้อมได้ดว้ ยการ ลองกดตัวสบู่ดใู หแ้ นใ่ จวา่ ตรงกลางไมน่ ่มิ แล้วถึงแกะออกจากพิมพ์ได้
- พิมพ์ท่ีใช้ในสมัยนี้ นิยมใช้พิมพ์ซิลิโคน ซ่ึงมีความยืดหยุ่นสูง ทนความร้อนสูงได้ดี และ
ท่สี าํ คญั แกะสบอู่ อกงา่ ย

ข้อควรระวงั
ถา้ ไม่รบี หอ่ สบูท่ นั ทีหลงั แกะออกจากพมิ พ์ อาจมเี หง่อื เกาะอยบู่ นผวิ สบู่ ไม่ต้องตกใจ สบู่

ไม่ได้เสีย เนื่องจากคุณสมบัติท่ีดีของกลีเซอรีน คือ ให้ความชุ่มช้ืนต่อผิว โดยการดูดความช้ืนในอากาศ ดังน้ัน
เราจะต้องรีบห่อสบู่ทันทีหลังแกะออกจากพิมพ์ แต่ถ้าเผลอท้ิงไว้จนเกิดหยดน้ําหรือเหงื่อสบู่ ให้รีบเช็ดให้แห้ง
แลว้ รีบหอ่ ใหเ้ รยี บร้อย

ปัญหาเหงื่อเกาะอยู่บนผิวสบู่เป็นปัญหาคลาสิคท่ีผู้เขียนได้รับคําถามบ่อยจากผู้เข้าอบรม
หลายๆรุ่น หลายคนท่ีเคยทําสบู่กลีเซอรีนมักเกิดปัญหามีเหง่ือหรือหยดน้ําเกาะท่ีผิวสบู่ จึงขออธิบายเพ่ือทํา
ความเข้าใจดังนี้ ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วว่าเบสสบู่ท่ีมีส่วนผสมของกลีเซอรีน ซึ่งเกิดข้ึนในกระบวนการทําสบู่
กลีเซอรีนเป็นตัวช่วยให้การเก็บกักและเพ่ิมความชุ่มชื้นให้กับผิว ในข้ันตอนของการผลิตในสภาพอากาศ

๒๕

ภายนอกท่ีมีความช้ืนในอากาศสูง เช่น หน้าฝนมัก หรือในวันท่ีฝนตก กลีเซอรีนในสบู่จะดูดเอาความชื้น
เข้ามาทําให้เกิดเป็นเม็ดใสๆ คล้ายเหงื่อเกาะที่ผิวของสบู่ ถ้าไม่จําเป็นจึงไม่แนะนําให้ทําการหลอมสบู่
ในช่วงเวลาดงั กล่าว หรือสามารถปูองกนั ไดโ้ ดยในขณะทที่ าํ การตุ๋นเพือ่ ละลายเบสสบู่ ให้ทําการเอาฝาหม้อปิด
เพื่อกันส่วนของนํ้าในเบสสบู่ระเหยออก อย่าใช้ความร้อนนานเอาแค่พอละลาย เม่ือเสร็จสิ้นข้ันตอนของการ
ทําสบู่ เมื่อแกะสบู่ออกจากแม่พิมพ์ ให้พึ่งสบู่ให้แห้งในตะกร้าที่มีผ้าคลุมสักพัก พอเย็นแล้วรีบห่อสบู่โดยใช้
ฟิลม์ ห่อสบู่ซงึ่ มีความหนามากกวา่ ฟลิ ์มห่ออาหาร หรอื ใช้พลาสติกท่ีมคี วามหนาเพื่อกันอากาศเข้าออก จะช่วย
ลดปญั หาการเกิดเหงอ่ื บนผวิ และช่วยยืดอายสุ บกู่ ลีเซอรีนใหเ้ กบ็ ไดย้ าวนานข้นึ ไม่ควรท้ิงสบู่ไว้ข้ามคืน หรือ
นําไปแชต่ เู้ ย็นเพราะจะทาํ ใหเ้ กดิ ปัญหาเหงื่อหรือไอนาํ้ เกาะทําใหย้ งุ่ ยากในการห่อตามมาได้

**************************************************

๒๖

บทที่ 5

ลบิ บาลม์ ทาปาก

ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์เชียงใหม่ (2561) กล่าวว่า ลิบบาล์ม คือ ลิปสติก
ชนิดหน่ึง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เคร่ืองสําอางประเภทหน่ึง ที่มีการใช้อย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่ผู้ใช้จะทาริมฝีปาก
เพือ่ ชว่ ยให้ชุ่มชื้นไม่แห้ง ช่วยปกปูองผิวของริมฝีปากจากสิ่งที่กระทบภายนอก ช่วยแต่งเติมรูปปากให้สวยงาม
ขึ้น แต่งสีให้เด่นสะดุดตาแลดูงดงาม แต่เน่ืองจากลิปสติกเป็นเครื่องสําอางที่มักจะมีการกลืนกินเข้าไปใน
ร่างกายได้ ดังน้ัน จึงต้องเลือกซ้ือและใช้ลิปสติกด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้าลิปสติกท่ีเลือกซื้อ
และใช้ไม่ไดม้ าตรฐานกจ็ ะเป็นอนั ตรายต่อร่างกาย โดยส่วนประกอบต่างๆ ของลิปสติก จะมีสารให้ความชุ่มชื่น
แก่ผวิ รมิ ฝีปาก และช่วยให้ลิปสติกนั้นคงรูปอยู่ได้ สีท่ีใช้ต้องเป็นสีที่กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้ลิปสติก
ส่วนประกอบเสริมจะมีสารที่ทําให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์ดีขึ้น หรือมีความคงตัวดีข้ึน เช่น นํ้าหอม สารแต่ง
กลิน่ แต่งรส วัตถทุ ใี่ ช้สารกันหืนและสารปูองกันแสงแดด ลิปสติกประเภทน้ีส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีสี หรือบางอัน
อาจเปล่ียนเป็นสีชมพูระเรื่อ ทาแล้วให้ความชุ่มชื้นกับริมฝีปากได้ดี นอกจากใช้ทาท่ีริมฝีปากโดยตรงแล้ว
ยังนิยมใช้ทากอ่ นลงลปิ สตกิ สีอนื่ ทบั เพอ่ื ช่วยให้ริมฝปี ากไม่แห้งและช่มุ ชน้ื มากขน้ึ

ลบิ บาลม์ พ้นื ฐาน

ส่วนประกอบ ปรมิ าณ (กรัม)

น้าํ มนั ละหงุ่ 12.5

น้ํามนั งา 2

ข้ีผึ้ง (bee wax) 4

วิตามินอี 0.5

นํา้ ผ้ึง 0.5

สารสกดั ชนั โรง 0.5

รวม 20

ท่ีมา: ศูนยว์ ิจยั และพัฒนาผลติ ภัณฑป์ ศุสตั ว์เชียงใหม่ (2561)

วิธที ํา

1. นาํ ขผ้ี งึ้ หลอมในหมอ้ ตุ๋น หรอื หมอ้ ทตี่ ง้ั บนไอนํ้า

2. แล้วเติมน้าํ มันละหุ่ง และน้าํ มนั งา กวนใหเ้ ข้ากัน

3. หลังจากนัน้ เตมิ น้าํ ผง้ึ วติ ามนิ อี และ สารสกัดชนั โรงกวนให้เขา้ กัน รอใหค้ วามร้อนลดลง

ยกลงจากเตาไฟแลว้ เทใสต่ ลบั ทิง้ ไว้

๒๗

บทที่ 6

สครบั (ขดั ผิว)

ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์เชียงใหม่ (2561) ได้กล่าวถึง สครับ (scrub)
หมายถึง การขัด หรือ การถู ซ่ึงการทําสครับมีวัตถุประสงค์เพื่อการทําความสะอาดด้วยวิธีการขัดหรือการ
ถูสครับ ช่วยในการขจัดส่ิงสกปรกท่ีอุดตันตามรูขุมขน รวมทั้งเซลล์ผิวเก่าท่ีเส่ือมสภาพหรือเซลล์ผิวหนัง
ช้นั นอกท่ีตายแล้ว ทเี่ กาะอยู่บนบรเิ วณผิวหนังชั้นนอกใหส้ ามารถหลุดออกไดเ้ ร็วข้ึน โดยปกติแล้วในช่วงวัยเด็ก
หรือวัยรุ่น กระบวนผลัดเซลล์ผิวสามารถทําได้ดี เซลล์ผิวเก่าสามารถผลัดเซลล์ผิวใหม่ได้ดีกว่าวัยผู้ใหญ่
จะสังเกตได้ว่าผิวของเด็กๆ หรือวัยรุ่น จะมีความสดใสดูมีชีวิตชีวามากกว่าผิวของผู้ใหญ่ ดังน้ัน สครับจึงมี
ประโยชน์ในการช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกได้ง่ายขึ้น และให้โอกาสเผยเซลล์ผิวใหม่ที่ดูสดใส มีชีวิตชีวา
กว่าเซลล์ผิวเก่าสภาพเสื่อมท่ีดูหมองคลํ้า และเป็นการลดปัญหาของการเกิดสิวเน่ืองจากส่ิงสกปรกและไขมัน
ท่ีอดุ ตันตามผิวหนา้ ซึ่งการเร่งกระบวนผลดั เซลลผ์ วิ อาจจะทาํ ได้อีกวิธหี น่ึง คือ การใช้กระบวนการของ Alpha
Hydroxy Acid (AHA) ซึง่ เป็นกระบวนการทีแ่ ตกตา่ งจากการ สครบั โดยสน้ิ เชิง ซ่ึงเป็นกรดที่ได้จากกรดวิธีทาง
เคมี จากธรรมชาติหรือการสังเคราะห์ ท่ีมีส่วนช่วยในการขจัดเซลล์ผิวเก่าท่ีเส่ือมสภาพแล้วเช่นกัน
สครบั สว่ นมากทจ่ี ะผมไดใ้ นบา้ นเราซึง่ สามารถแบ่งได้ดงั นี้

1. สครับทที่ ําจากธรรมชาติ
โดยมากเนื้อเมล็ดของสครับจะทําจากเมล็ดของพืช เช่น walnut meal, corn meal,
coconut meal, apricot meal และอ่ืนๆ เมล็ดสครับท่ีได้จากธรรมชาติน้ันมักจะมีรูปร่างที่ไม่แน่นอน และ
ขนาดของเมล็ด สครับจะมีลักษณะค่อนข้างหยาบ และคุณภาพจะแตกต่างกัน เมล็ดสครับให้ประสิทธิภาพ
ในการขัดที่ดี เน่ืองจากความแตกต่างทางรูปทรงของเมล็ดสครับ จึงช่วยให้การขัดเพ่ือขจัดส่ิงสกปรกสามารถ
ทําได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นเมล็ดสครับที่มีผลต่อการระคายเคืองผิวน้อยท่ีสุดด้วย ซ่ึงสครับประเภทน้ี
สามารถใช้ได้สปั ดาหล์ ะไมเ่ กนิ 3 ครงั้ แต่ทั้งน้ีการขัดด้วยสครับไม่ควรจะรนุ แรงเกินไป
เมลด็ สครับจากเปลอื กไมแ้ ละผลไม้ เช่น

 เมล็ดกาแฟ เมล็ดสีน้ําตาลเข้ม มีกลิ่นเฉพาะตัว รูปทรงเป็นเม็ดเหล่ียมๆ เล็ก ๆ ที่มี
ความหยาบเหมือนเกลือและทราย กากกาแฟเป็นสครับที่ผลิตมาจากธรรมชาติ ทําให้เกิดการระคายเคืองต่อ
ผิวหนังน้อยกว่าสครับผิวที่ผลิตขึ้นด้วยกระบวนการทางเคมี ขนาดเม็ดที่หลากหลายข้ึนอยู่กับกระบวนการ
บดเมลด็ นยิ มนาํ มาทําสครับเนือ่ งจากให้ประโยชน์ในการขจดั เซลล์ผวิ เก่าออกไดด้ ี และชว่ ยลดเซลลูไลท์

 เมล็ดสตรอเบอร์ร่ี มีลักษณะทรงรีเล็ก ๆ เมล็ดแข็ง มีสีนํ้าตาล มีความหยาบเหมาะ
สําหรับใช้ขัดผิวได้ดี แต่ท่ีนิยมมากที่สุดคือใช้เพ่ือตกแต่งเน้ือผลิตภัณฑ์ หรือใช้ควบคู่สครับอ่ืน เน่ืองจากเมล็ด
อาจใหญ่เกินไปไมเ่ หมาะแกก่ ารสครบั เพียงลาํ พังชนิดเดียว

 เมล็ดแอปริคอต มีลักษณะทรงกลมรี สีนํ้าตาล ผ่านการบดละเอียดเป็นเมล็ดสครับ
ขนาดเลก็ ไม่บาดผวิ สามารถใชไ้ ด้ทง้ั ผวิ หนา้ และผิวกาย

 เมล็ดสครับมะกอก สีน้ําตาลอ่อน (อ่อนกว่าแอปริคอต) เป็นเม็ดสครับธรรมชาติ
จากเมล็ดมะกอกท่ีนํามาบดกลมจนละเอียด เหมาะสาํ หรับใช้ขัดผิวหนา้ และผวิ กาย

๒๘

 เมล็ดสครับข้าวโพด เป็นการนําเมล็ดจากแกนข้าวโพดมาบด โดยขนาดของสครับ
จะละเอียด การระคายเคอื งผวิ เกดิ ขน้ึ ได้น้อย และให้ประสทิ ธภิ าพทีด่ ีสครับผิวท่ตี อ้ งการการขัดแบบอ่อนโยน

2. สครับท่ีทํามาจากกระบวนการทางเคมี
เช่น เม็ดพลาสติก หรือ เม็ดพลาสติกเคลือบ (Micro bead ) เม็ดสครับประเภทน้ีจะมีให้
เลือกตามแต่ขนาดท่ีผู้ผลิตต้องการมีต้ังแต่หยาบมากจนถึงละเอียดมาก ซึ่งคุณภาพของเม็ดสครับจะแตกต่าง
กันออกไปเชน่ บางชนิดอาจจะเป็นเพียงแค่เม็ดพลาสติกธรรมดา บางประเภทอาจจะมีการเคลือบหรือชุบสาร
สกัดธรรมชาติ เช่น jojoba bead โดยมากจะมีสีสันให้เลือกหลากหลาย ส่วนลักษณะของเม็ดสครับจะมี
ลักษณะเป็นทรงกลมขนาดเท่ากันของเม็ด ซึ่งสครับประเภทนี้มีโอกาสที่จะก่อให้เกิดการระคายต่อผิวได้
มากกวา่ สครับจากธรรมชาติ สาํ หรับสครับประเภทนไ้ี ม่ควรใช้เกนิ สัปดาห์ละ 2 ครัง้

ข้อควรร้ใู นการสครบั ผิวหน้า
• ระยะเวลาเหมาะสม ความถีใ่ นการสครับผิวน้ัน ไม่ควรเกินสัปดาห์ละ 3 ครั้ง หรือตามแต่

ประเภทของสครับ เพ่ือเป็นเปิดโอกาสให้เซลล์ผิวได้สร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์ผิวเก่าท่ีถูกขจัด
ออกไป

• ช่วงเวลาเหมาะสมในการใช้สครับ การเลือกใช้สครับนั้นควรจะเลือกใช้สครับกับใบหน้า
หรือผิวกาย ในช่วงเวลาเย็น - กลางคืน เพราะหลังจากที่ได้มีการใช้สครับแล้ว ขณะที่ร่างกายได้มีการหลับ
พกั ผ่อนเซลลผ์ ิวจะไดร้ บั การซอ่ มแซมและฟื้นตวั จากสครับเซลลผ์ ิวเก่าที่เส่อื มสภาพ

• สําหรับผิวที่เป็นสิว การสครับยังคงสามารถทําได้แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ท่ีมีกรดของ
Salicylic Acid ท่ีไม่เข้มข้นจนเกินไปในท่ีน่ีไม่ควรเกิน 2 เปอร์เซ็นต์ ซ่ึงจากการวิจัยในสถาบันชั้นนําจาก
ตา่ งประเทศ พบว่าสาร Salicylic Acid ช่วยขจัดความมันส่วนเกินและขจัดเซลล์ผิวเก่าท่ีเสื่อมสภาพได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ และมีส่วนชว่ ยให้การกระตุ้นกระบวนการผลิตโปรตีนคอลลาเจน รวมถึงช่วยการชะลอกระบวน
สรา้ งเม็ดสผี ิวอกี ด้วย

• หลังจากใช้สครับ หลังจากควรใช้สครับควรจะมีการบํารุงผิวด้วย ครีมบํารุงท่ีมีส่วนผสม
ของมอยส์เจอรไ์ รเซอรแ์ ละคอลลาเจน เพ่อื ใหผ้ วิ คงความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นได้ดีย่ิงขึ้น อีกท้ังหลังจาการส
ครับ จะทําให้เน้ือครีมบํารุงสามารถซึมซาบเข้าสู่ช้ันผิวหนังได้ดีย่ิงขึ้น และควรหลีกเลี่ยงการเจอแสงแดด
ทง้ั ทางตรงและทางออ้ ม

๒๙

บทที่ ๗

การแปรรูปผลิตภณั ฑผ์ ึง้ และชันโรง

ความหมายของการแปรรปู ผลติ ภณั ฑ์

กรมส่งเสริมการเกษตร (๒๕๕๖) กล่าวถึง การแปรรูปผลิตภัณฑ์ผ้ึงและชันโรงว่าการแปรรูป
คือ การเปลี่ยนแปลงสถานะของผลิตภัณฑ์ผ้ึงและชันโรงให้แตกต่างไปจากเดิมเพื่อประโยชน์ในด้านต่างๆ
เนื่องจากผลิตภัณฑ์ผ้ึงบางชนิดไม่สามารถคงสภาพ หรือคุณภาพอยู่ได้นาน จําเป็นต้องมีการแปรรูปเพ่ือให้
เกดิ ผลดีต่อผลิตภณั ฑ์ผึ้งชนดิ น้ันๆ วัตถปุ ระสงค์ของการแปรรปู สามารถแบง่ ออกได้เปน็ ๓ ประเภท ไดแ้ ก่

๑. เพอื่ การรกั ษาคุณภาพ โดยปกตแิ ล้วคุณภาพผลติ ภัณฑ์ผ้ึงมีความผกผันกับเวลา กล่าวคือ
คณุ ภาพผลติ ภณั ฑ์ผึ้งจะลดลงเรอ่ื ยๆ เมื่อเวลาเพม่ิ ขนึ้ ดังน้ัน การแปรรูปให้อยู่ในรปู ทเี่ หมาะสมทําให้ผลิตภัณฑ์
นัน้ อยไู่ ดน้ านและมีคณุ คา่ มากขน้ึ

๒. เพื่อเปลี่ยนลักษณะของผลิตภัณฑ์ผ้ึงให้อยู่ในรูปท่ีเหมาะสมกับการค้าหรือการนําไปใช้
ประโยชน์ เช่น นมผ้ึง (royal jelly ) มีรสชาติและกล่ินที่ทําให้รับประทานได้ยาก จําเป็นจะต้องมีการแปรรูป
ทาํ ให้เป็นผงแหง้ ใสใ่ นแคปซลู หรอื ทําเป็นเม็ดเพื่อใหร้ ับประทานได้ง่ายย่ิงขน้ึ

๓. เพื่อเพ่ิมมูลค่าของผลิตภัณฑ์ เป็นกรรมวิธีที่นํามาใช้ในการเพ่ิมมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้สูงข้ึน
เชน่ การแปรรูปนํ้าผงึ้ เป็นไวนน์ าํ้ ผึ้ง เครือ่ งสําอางที่มีสว่ นผสมของนํา้ ผ้ึงและนมผ้ึง เปน็ ต้น

ดังน้ัน ผู้ท่ีมีความสนใจและต้องการที่จะแปรรูปผลิตภัณฑ์ผ้ึงและชันโรง สามารถนําหลักการของการแปรรูป
ดังกล่าวข้างต้นเป็นพื้นฐานของแนวคิดในการสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง เพ่ือให้เกิดความ
หลากหลายของสินคา้ ผนวกกบั แนวคดิ สรา้ งความแตกต่างที่โดดเด่นและสามารถตอบสนองความต้องการของ
ลูกคา้ หรอื ตลาดได้ จะทาํ ให้สามารถเพมิ่ มูลค่าผลติ ภัณฑ์ผ้งึ และชนั โรงและรายได้ที่สูงขึ้นได้ ผู้เขียนได้รวบรวม
สูตร วิธีการ และเทคนิคที่สําคัญในการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผึ้งและชันโรง ซ่ึงได้จากการศึกษาข้อมูล การ
ฝึกฝนอบรมจากหน่วยงานภายนอก ประสบการณ์ในการศึกษาทดสอบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสูตรท่ีได้
มีการอบรมส่งเสริมอาชีพไว้ในเอกสารฉบับนี้ ซ่ึงจะเป็นสูตรที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีท่ีเป็น
อันตราย และมีวิธีการง่ายๆ เพื่อให้ผู้สนใจสามารถนําไปใช้ได้จริงในชีวิตประจําวัน เพื่อลดรายจ่าย
ในครัวเรือน หรอื สามารถนําไปพฒั นาต่อยอดเปน็ อาชพี เสรมิ เพิ่มรายได้ต่อไป

๓๐

๓๑

สบกู่ อ้ นนาํ้ ผึ้ง

สว่ นผสม

1.เบสสบู่กลีเซอรีน 1 กิโลกรมั

2.นํ้าผึง้ 60 กรมั

3.ขมิ้นผง 10 กรัม

หรอื สารสกัดขม้ินชนั 20 มล.

4.กลเี ซอรนี 40 กรัม

5.หวั นา้ํ หอม 8 มล.

วิธีทาํ

1. หั่นเบสสบใู่ ห้เป็นชนิ้ เล็กๆ
2. นําไปตนุ๋ ด้วยหมอ้ สองชั้นหรอื ตง้ั ไฟอ่อนๆ ให้เบสสบู่ละลาย
3. นาํ ผงขมิ้นมาละลายนาํ้ อนุ่ เลก็ น้อยเตมิ ลงไป 1 ชอ้ นชา คนให้เข้ากัน
4. ปดิ ไฟยกลงจากเตาท้ิงไวใ้ ห้อณุ หภมู ลิ ดลง แลว้ เติมนาํ้ ผ้ึงและกลเี ซอรนี (กรณีใช้สารสกัดขมิ้นชันใหใ้ ส่ใน
ข้นั ตอนนี้)
5. เติมน้าํ หอม คนเบาๆ ให้เข้ากัน
6. เทส่วนผสมทง้ั หมดลงในถาด หรอื พมิ พ์สบู่ ตั้งท้ิงไวใ้ ห้สบู่แข็งตวั
7. แกะสบอู่ อกจากแม่พมิ พ์ ตกแตง่ ขอบสบู่ใหส้ วยงาม
8. ห่อดว้ ยฟิล์มพลาสตกิ ใส และตดิ ฉลากให้เรยี บรอ้ ย

โดย ศนู ย์สง่ เสริมเทคโนโลยีการเกษตรดา้ นแมลงเศรษฐกจิ จังหวัดเชียงใหม่ กรมส่งเสรมิ การเกษตร
428 หมู่ 12 ตําบลหนองควาย อําเภอหางดง จงั หวัดเชยี งใหม่ โทร 052-001152

๓๒

วธิ กี ารทาํ สารสกดั ขมน้ิ ชันใชเ้ องงา่ ยๆ

ขนั้ ตอนมีดงั น้ี
1.นําขมิน้ ชนั สดมาปอกเปลอื กและลา้ งให้สะอาด

2.หั่นขมน้ิ เปน็ ช้ินเล็กๆ

๓๓

3.ช่งั ขม้ินท่ีหั่นแลว้ จํานวน 1.5 กโิ ลกรมั แลว้ เทลงในขวดแกว้

4.เตมิ เอธลิ แอลกอฮอล์ เท่ากับ ๒ เท่า ของขม้ินชนั คือ จํานวน 3 กก.

๓๔

5.ปดิ ฝาทง้ิ ไวค้ อยเขยา่ บ่อยๆ แช่ไว้ประมาณ 2 อาทติ ย์ข้นึ ไป แลว้ นาํ ไปใชป้ ระโยชน์

วิธกี ารนาํ สารสกดั ไปใชป้ ระโยชน์

สามารถนําสารสกดั ขมิ้นชันไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้หลังจาก1สปั ดาหข์ ึน้ ไป
1.นาํ สารสกัดขมิ้นชนั ท่ีเตรียมไวม้ า 200 cc. นาํ มาอ่นุ ตงั้ ไฟในหม้อสองชั้น

2.รอให้แอลกอฮอล์ระเหยจนสารสกัดมีปริมาตร 100 cc.จึงยกลงจากเตาท้งิ ไวใ้ ห้เย็น

๓๕

3.เติม propylene glycol จนมปี รมิ าตร 200 ml. เก็บใส่ขวดแกว้ แช่ต้เู ยน็ เกบ็ ไวใ้ ชใ้ นการแปรรปู ต่อไป

๓๖

สบเู่ หลวนาํ้ ผง้ึ

สว่ นผสม

1.หัวเชือ้ สบูเ่ หลว (AD25) 1 กิโลกรมั

2.นํา้ ผึ้ง 80 กรัม

3.ผงขน้ 100 กรมั

4.มะขามเปยี ก 100 กรัม

5.ขม้ินผง 10 กรัม

6.กลเี ซอรีน 20 กรมั

7.นํ้าสะอาด 2,000 กรัม

8.นํ้าหอม 8 มล.

วิธที ํา

1. ต้มนํ้าสมุนไพรขมิ้นมะขามเปยี ก โดยตวงน้าํ สะอาด 2,000 กรัม ใสห่ มอ้ ตง้ั ไฟ นาํ มะขามเปียก
มาต้มพรอ้ มกับขมน้ิ รอให้เดอื ด เมอ่ื เดือดต้งั ไฟต่อไปอีกประมาณ 15 นาที

2. ยกลงจากเตา ต้ังพักไวใ้ ห้พออนุ่ ๆ แลว้ กรองด้วยผา้ ขาวบาง
3. ตวงน้ําสมุนไพร จํานวน 1,500 กรมั ใส่ภาชนะแล้วเตมิ นาํ้ ผง้ึ คนให้ละลายใหเ้ ข้ากนั แลว้ จึงใส่
หัวเชอ้ื สบเู่ หลวลงไปคนให้ละลายเข้ากัน
4. คอ่ ยๆเทผงขน้ ลงไปผสมคนใหเ้ ข้ากัน คนจนสบู่หนดื ใสเปน็ เน้ือเดียวกนั แลว้ จึงเติมกลีเซอรนี และ
นํ้าหอม คนให้เขา้ กนั อีกคร้ัง
5. เทใส่ถังปิดฝา หมกั ทิ้งไว้อย่างนอ้ ย 1 คืน
6. บรรจใุ สข่ วด ปดิ ฝาและติดฉลาก

โดย ศูนย์สง่ เสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านแมลงเศรษฐกจิ จังหวดั เชยี งใหม่ กรมส่งเสริมการเกษตร
428 หมู่ 12 ตาํ บลหนองควาย อําเภอหางดง จงั หวดั เชียงใหม่ โทร 052-001152

๓๗

สบู่นาํ้ ผงึ้ สครับผิวกากกาแฟ

ส่วนผสม

1. เบสสบกู่ ลีเซอรีน 1 กโิ ลกรัม

2. ขม้ินผง 30 กรัม

3. กากกาแฟ 40 กรมั

4. กลีเซอรีน 50 กรมั

5. นาํ้ ผ้งึ 40 กรมั

6. วิตามินอี 10 กรัม

7. นา้ํ หอม 8 มล.

วธิ ีทาํ

1. หน่ั เบสสบู่ให้เปน็ ชิ้นเล็กๆ
2. นําไปต๋นุ ในหมอ้ สองชัน้ หรือตัง้ ไฟออ่ นๆ ใหห้ วั เชอ้ื สบู่ละลาย
3. นาํ ผงขมิ้นผสมนา้ํ เลก็ นอ้ ยเติมลงไป ตามด้วยกากกาแฟ คนใหเ้ ข้ากนั
4. ปดิ ไฟ ใส่กลเี ซอรีน น้าํ ผง้ึ และวิตามนิ อลี งไปคนให้เขา้ กัน
5. ใสน่ ้ําหอมคนให้เข้ากัน
6. เทสว่ นผสมท้งั หมดลงในถาด หรือแม่พมิ พ์ ตงั้ พักไวใ้ ห้สบูแ่ ขง็ ตัว
7. แกะสบอู่ อกจากถาด หรือแม่พิมพ์ ตกแตง่ ขอบสบู่ใหส้ วยงาม
8. หอ่ สบู่ด้วยกระดาษห่อหรือพลาสติกใส บรรจุใส่กลอ่ ง

โดย ศนู ย์สง่ เสรมิ เทคโนโลยกี ารเกษตรดา้ นแมลงเศรษฐกิจ จังหวัดเชียงใหม่ กรมสง่ เสรมิ การเกษตร
428 หมู่ 12 ตําบลหนองควาย อําเภอหางดง จงั หวดั เชียงใหม่ โทร 052-001152

๓๘

เทคนคิ ในการทาํ สบู่นา้ํ ผ้ึงสครบั ผิวกากกาแฟ

1. ขน้ั ตอนของการเตรียมสครบั จากกากกาแฟ จะต้องนํากากกาแฟมาตากแดดให้แห้งสนิทเสียก่อน 2 - 3 วัน
หรือมากกว่าขึ้นกับปริมาณและความหนา หมั่นกลับไปมาหลายๆ ครั้ง จนกากกาแฟแห้งสนิท หรืออาจนําไป
อบในเตาอบอีกคร้ังจนแห้งดี แล้วนําไปร่อนผ่านตะแกรงเลือกใช้กากกาแฟที่มีความละเอียดเพ่ือไม่ให้เกิด
ความรสู้ ึกบาดผวิ เวลาถูกับผวิ หนัง หากใช้กากกาแฟท่ีผ่านการชงใหม่ๆ และมีความชื้นอยู่ผสม ลงไปในเน้ือสบู่
จะทาํ ใหเ้ กิดการเจริญเตบิ โตของเชื้อราในเน้ือสบู่ได้
2. ขัน้ ตอนของการหลอมเบสสบูก่ ลีเซอรีน ก่อนการหลอมควรจะหั่นเบสสบู่ให้เป็นช้ินเล็กๆ เพ่ือย่นระยะเวลา
ท่ีจะใช้ในการหลอม และจะต้องมีความระมัดระวังในเร่ืองของอุณหภูมิ ถ้าใช้ไฟแรงในการหลอม เบสสบู่อาจ
ทาํ ให้เบสสบ่ไู หม้ได้
3. ขมน้ิ ผงทีใ่ ชเ้ ป็นสว่ นผสมในสบู่ ก่อนใสใ่ นเบสสบ่ทู ี่หลอมละลายหมดแล้วนนั้ จะต้องนําผงขมิ้นมาผสมกับน้ํา
เลก็ น้อยเสยี ก่อน เพอ่ื ไม่ให้ผงขมน้ิ จบั ตวั เปน็ กอ้ นๆ ในเน้ือสบู่ ทาํ ให้เกิดเป็นจดุ ๆ บนผิวสบแู่ ลดูไม่สวยงามได้
4. ส่วนผสมท่ีเป็นของเหลว เช่น น้ําผึ้ง กลีเซอรีน วิตามินอี นํ้าหอม หรืออ่ืนๆ ท่ีจะใช้เป็นส่วนผสม ในสบู่
รวมกนั ไมค่ วรมีมากเกนิ กว่า 10 % เพราะจะทําให้เนื้อสบคู่ อ่ นข้างนม่ิ ไม่คงตวั และสลายไดง้ า่ ยเมอ่ื ถูกนํ้า
5. การเทสบู่ลงแม่พิมพ์ ควรจะเขย่าหรือใช้ไม้คนเน้ือสบู่ในระหว่างการเทด้วยเพื่อไม่ให้กากกาแฟนอนก้น
ภาชนะระหวา่ งการเท เพอ่ื ให้มีปรมิ าณเนอ้ื สครับที่สม่ําเสมอกันทกุ กอ้ น
6. ไม่แนะนําการเร่งให้สบู่แข็งตัวไวโดยการนําสบู่ไปแช่ในตู้เย็น เน่ืองจากเมื่อเอาออกจากตู้เย็นที่ผิวสบู่จะมี
ความลื่นมาก ทําให้ยากในการบรรจุหีบห่อ และเกิดคราบไม่สวยงาม ควรท้ิงสบู่ให้เซ็ทตัวที่อุณหภูมิปกติ
จนกระทั่งไม่มีความร้อน แล้วจึงบรรจุด้วยฟิล์มห่อสบู่ หรือพลาสติกที่มีความหนาเพื่อปูองกันอากาศและ
ความชื้นเข้าไปในสบู่ ซงึ่ จะชว่ ยยืดอายกุ ารเกบ็ สบ่ไู ด้นานย่ิงข้ึน

๓๙

ลบิ บาลม์ ไขผงึ้

สว่ นผสม

1. ไขผ้ึงขาว 50 กรัม
กรัม
2. วาสลนี 25 กรัม
กรัม
3. นา้ํ มนั มะกอก 50 กรัม

4. น้ํามันมะพร้าว 45

5. วิตามินอี 1

6. นาํ้ หอม (เลก็ นอ้ ย)

วธิ ีทํา

1. นําไขผึ้งใส่ภาชนะหลอมให้ละลายด้วยไอนํา้
2. ใส่วาสลีนคนใหล้ ะลายเข้ากัน
3. ใส่น้ํามันมะกอกและนํ้ามันมะพร้าว คนให้เข้ากนั ปดิ ไฟยกลงจากเตา รอให้อุณหภมู ลิ ดลงแล้วเติม
วิตามนิ อี และน้ําหอมคนให้เข้ากัน
4. เทใส่หลอดหรือตลบั ท้งิ ไวใ้ หเ้ ยน็ แล้วปดิ ฝา ติดฉลาก

โดย ศนู ย์สง่ เสรมิ เทคโนโลยกี ารเกษตรด้านแมลงเศรษฐกิจ จังหวัดเชียงใหม่ กรมส่งเสรมิ การเกษตร
428 หมู่ 12 ตําบลหนองควาย อําเภอหางดง จงั หวัดเชียงใหม่ โทร 052-001152

๔๐

เทคนคิ ในการทําลิปบาล์ม

๑. เน่ืองจากไขผ้ึงมีคุณสมบัติ คือ มีจุดหลอมเหลวที่ต่ําประมาณ 60-65 องศาเซลเซียส ดังน้ัน ในการหลอม
ไขผงึ้ ให้ละลายจงึ ควรหลอมด้วยหมอ้ สองชั้น และระมัดระวังอยา่ ใช้ไฟแรง เพราะอาจทําให้เกิดการลุกไหม้และ
เกดิ อนั ตรายในระหว่างปฏบิ ตั ิงานได้

๒. ส่วนผสมหลักในการทําลิปบาล์มส่วนใหญ่เป็นน้ํามันหรือส่วนผสมที่สามารถละลายได้ในไขมันเท่านั้น
การเพ่ิมส่วนผสมอ่ืนที่เป็นของเหลวท่ีไม่สามารถละลายได้ในน้ํามัน เช่น สารสกัดสมุนไพรท่ีสกัดจากการต้ม
หรือ สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ จะทําให้เกิดเป็นเน้ือลิปบาล์มที่ไม่เข้ากันเช่นมีจุดเล็กๆ ของส่วนที่เป็นนํ้า หรือ
สารสกดั ท่ีเปน็ นา้ํ นัน้ อยูภ่ ายในเนือ้ ของลปิ บาลม์ ได้

๓. วิตามินอีท่ีใช้เป็นส่วนผสมในลิปบาล์มจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการทําให้ผลิตภัณฑ์ลิปบาล์มนั้นไม่มีกล่ินเหม็นห่ืน
หรอื มนี อ้ ยเมอ่ื เก็บรักษาไว้เปน็ เวลานาน

๔. การทําลิปบาล์มต้องให้ความสําคัญในเร่ืองของความสะอาด กรรมวิธีในการทํา วัสดุและอุปกรณ์ท่ีใช้
สถานทีท่ ี่ทําต้องมีความสะอาด เพราะไมเ่ ชน่ น้ันอาจเกิดการปนเปือ้ นของเชือ้ ราและจุลนิ ทรยี ์ได้

๕. ข้ันตอนการเทลิปบาล์มใสในหลอดภาชนะบรรจุ จะเทในขณะร้อนและเทให้มีลักษณะนูนเพื่อให้เวลา
ทล่ี ิปแขง็ ตัวจะไดไ้ มเ่ ปน็ หลุมหรือเว้าแหวง่ ไมส่ วยงาม

๖. เม่ือเทส่วนผสมลงในภาชนะบรรจุแล้ว จะต้องรอให้เย็นสนิทแล้วจึงปิดฝาภาชนะ หากรีบปิดในขณะที่
ยังร้อนหรืออุ่น จะทําให้เกิดไอน้ําบริเวณฝาขวดแล้วหยดลงหน้าลิปบาล์ม ซ่ึงจะทําให้เกิดการปนเปื้อนของ
เช้อื จลุ นิ ทรยี ต์ ามมาได้

๔๑

สครับน้ําผ้ึงกากกาแฟ

สว่ นผสม

1. กากกาแฟ 1,660 กรัม

2. กลีเซอรนี 600 กรัม

3. นาํ้ มันมะกอก 400 กรมั

4. AD25 400 กรมั

5. นํา้ ผง้ึ 800 กรัม

6. สารสกดั พรอพอลสิ 200 มล.

7. น้ํามะขามเปียก 500 กรัม

8. น้ํามะนาว 200 มล.

9. phenoxyethanol(0.5%) 25 มล.

10. นํ้าหอม 40 มล.

วธิ ที ํา

1. นําสว่ นผสมท่ีเปน็ ของเหลวขอ้ 2 ถงึ ข้อ 10 ผสมรวมกนั ในภาชนะ
2. นาํ กากกาแฟเล็กน้อยใสใ่ นภาชนะอีกใบ แล้วคอ่ ยๆ ตักสว่ นผสมขอ้ 1 ลงไปผสมทลี ะน้อย
คอ่ ยๆ คนส่วนผสมใหเ้ ข้ากันดีจนหมด
3. นําสว่ นผสมท่ีเขา้ กนั ดีแลว้ ตกั ใสภ่ าชนะบรรจุ แล้วปิดฝา

โดย ศูนยส์ ่งเสรมิ เทคโนโลยกี ารเกษตรดา้ นแมลงเศรษฐกิจ จงั หวัดเชยี งใหม่ กรมสง่ เสริมการเกษตร
428 หมู่ 12 ตาํ บลหนองควาย อําเภอหางดง จังหวดั เชียงใหม่ โทร 052-001152

๔๒

ขผ้ี ้งึ สมนุ ไพรเสลดพังพอน

สว่ นผสม

1.ไขผง้ึ 50 กรัม
กรมั
2.วาสลนี 100 กรัม
กรัม
3.พาราฟิน 20 กรัม
ml.
4.เมนทอล 40 ml.
ml.
5.การบูร 20

6.น้าํ มันยคู า 10

7.นาํ้ มันระกาํ 16

8.นา้ํ มนั เสลดพงั พอน 24

9.สเี ขียว (เล็กนอ้ ย)

วิธีทํา

1. นาํ ไขผ้ึงและพาราฟนิ ใส่ในภาชนะตัง้ ไฟอ่อนๆ ห้ามใชไ้ ฟแรงเพราะจะทําใหเ้ กิดการลุกไหมไ้ ด้
หรือ ทาํ การต้มดว้ ยหมอ้ สองช้ัน รอจนไขผึง้ และพาราฟินละลายหมด

2. นําเมนทอล การบรู น้าํ มันยคู า นา้ํ มันระกํา ผสมรวมกันในภาชนะคนใหล้ ะลายพักไว้
3. เมอ่ื ไขผ้งึ และพาราฟินละลายหมดแล้วให้ใส่วาสลนี ลงไปในขอ้ 1 คนใหล้ ะลายจนหมดแล้วปิดไฟ
4. ใสน่ ้ํามนั เสลดพังพอน และสว่ นผสมในข้อ 2 ลงไปในข้อ1 คนใหล้ ะลายเข้ากนั รนิ ใสข่ วดขณะ

ร้อน ทิ้งให้เยน็ แล้วปดิ ฝา

โดย ศนู ยส์ ง่ เสริมเทคโนโลยีการเกษตรดา้ นแมลงเศรษฐกิจ จงั หวดั เชยี งใหม่ กรมส่งเสรมิ การเกษตร
428 หมู่ 12 ตําบลหนองควาย อําเภอหางดง จงั หวดั เชียงใหม่ โทร 052-001152

๔๓

ข้ีผึง้ ไพล

ส่วนผสม 50 กรัม
100 กรมั
1.ไขผ้ึง 20 กรมั
2.วาสลนี 40 กรมั
3.พาราฟิน 20 กรมั
4.เมนทอล 10 มล.
5.การบูร 16 มล.
6.นํ้ามนั ยูคา 24 มล.
7.นาํ้ มันระกาํ
8.นํา้ มันไพล

วิธีทํา

๑. นาํ ไขผ้ึงและพาราฟินใส่ในภาชนะต้ังไฟอ่อนๆ ห้ามใช้ไฟแรงเพราะจะทําใหเ้ กดิ การลุกไหมไ้ ด้ หรือ
ทาํ การต้มดว้ ยหม้อสองชน้ั รอจนไขผง้ึ และพาราฟินละลายหมด

๒. นาํ เมนทอล การบูร นา้ํ มันยูคา นา้ํ มันระกํา ผสมรวมกันในภาชนะคนให้ละลายพักไว้
๓. เมือ่ ไขผ้ึงและพาราฟินละลายหมดแลว้ ให้ใสว่ าสลีนลงไปในข้อ 1 คนให้ละลายจนหมดแลว้ ปิดไฟ
๔. ใสน่ าํ้ มนั ไพลและส่วนผสมในขอ้ 2 ลงไปในข้อ 1 คนใหล้ ะลายเข้ากัน รนิ ใสข่ วดขณะร้อน

ทงิ้ ใหเ้ ย็นแลว้ ปดิ ฝา

โดย ศูนยส์ ง่ เสริมเทคโนโลยกี ารเกษตรด้านแมลงเศรษฐกจิ จังหวดั เชียงใหม่ กรมส่งเสริมการเกษตร
428 หมู่ 12 ตําบลหนองควาย อําเภอหางดง จงั หวัดเชียงใหม่ โทร 052-001152

๔๔

ส่วนผสม 100 ขี้ผ้งึ สมนุ ไพร
285
1.ไขผึ้ง 13 กรมั
2.วาสลนี 50 กรัม
3.การบูร 25 กรัม
4.เมนทอล 8 กรัม
5.นาํ้ มันระกาํ 25 กรัม
6.น้ํามนั อบเชย 8 กรมั
7.นาํ้ มันยูคา 13 กรมั
8.น้าํ มนั กานพลู กรัม
9.นาํ้ มันสาระแหน่ กรมั

วธิ ีทาํ

๑. นําไขผ้งึ ใสใ่ นภาชนะต้งั ไฟออ่ นๆ หา้ มใชไ้ ฟแรงเพราะจะทําใหเ้ กิดการลุกไหม้ได้ หรือทาํ การตุน๋ ดว้ ย
หม้อสองช้ัน รอจนไขผงึ้ ละลายหมด

๒. ใสว่ าสลนี ลงไปคนให้ละลายจนหมดแล้วปิดไฟ
๓. ใส่สว่ นผสมทเ่ี หลอื ทั้งหมดคนใหล้ ะลายเข้ากัน แลว้ รนิ ใสข่ วดขณะร้อน รอใหเ้ ยน็ แลว้ ปิดฝา

โดย ศูนยส์ ง่ เสริมเทคโนโลยกี ารเกษตรดา้ นแมลงเศรษฐกิจ จังหวัดเชียงใหม่ กรมสง่ เสรมิ การเกษตร
428 หมู่ 12 ตาํ บลหนองควาย อําเภอหางดง จงั หวดั เชยี งใหม่ โทร 052-001152

๔๕

เทคนคิ ในการทาํ ขีผ้ ้ึงสมุนไพร

๑. เนื่องจากไขผึง้ มีคุณสมบัติ คือ มจี ุดหลอมเหลวทตี่ ํ่าประมาณ 60-65 องศาเซลเซียส ดังน้ัน ในการ
หลอมไขผ้งึ ให้ละลายจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่าใช้ไฟแรง เพราะอาจทําให้เกิดการลุกไหม้และเกิด
อนั ตรายได้

๒. ในขนั้ ตอนของการหลอมละลายไขผ้งึ และพาราฟนิ หากพบวา่ มเี ศษผงปนเปื้อนอยู่ในภาชนะ ซ่งึ อาจ
เกดิ จากไขผงึ้ ท่ีได้มามคี วามไม่บรสิ ุทธ์ิ สามารถใช้ผา้ ขาวบางกรองเศษผงดงั กลา่ วก่อนหน่งึ คร้งั

๓. ระหวา่ งข้นั ตอนของการรอให้ไขผ้ึงและพาราฟนิ ละลาย ให้ทําการเตรยี มผสมสว่ นผสมทเี่ หลอื ทั้งหมด
ลงในภาชนะ เพ่ือลดระยะเวลาในการต้ังไฟเมือ่ เทสว่ นผสมท้ังหมดลงไป ทัง้ นี้ หากไม่มีการผสม
ส่วนผสมที่เหลือเตรียมไว้และมีการใส่ส่วนผสมทลี ะอย่างลงไปจะทําใหก้ ลิน่ ของสารสกัดต่างๆ ระเหย
ไประหวา่ งที่ตง้ั ไฟ มีผลใหข้ ี้ผึ้งสมุนไพรทีไ่ ด้มกี ล่ินหอมลดน้อยลง

๔. เมื่อเทสว่ นผสมลงในภาชนะบรรจแุ ลว้ จะตอ้ งรอให้เย็นสนิทแลว้ จึงปดิ ฝาภาชนะ หากรีบปดิ ในขณะท่ี
ยังรอ้ นหรืออุ่น จะทําใหเ้ กิดไอน้ําบรเิ วณฝาขวดแลว้ หยดลงหน้าขี้ผึ้ง ซึ่งจะทาํ ให้เกิดการปนเปือ้ นของ
เชอื้ จลุ นิ ทรยี ต์ ามมาได้

๕. เมือ่ ข้ีผงึ้ เยน็ แลว้ พบวา่ บรเิ วณผวิ หน้าของข้ผี ้งึ มีการยบุ ตัวลงเป็นหลมุ ซึง่ เกดิ จากความแตกต่างของ
อณุ หภมู ขิ องภาชนะท่ใี ส่มคี วามเยน็ กบั เนื้อข้ผี ึง้ ทร่ี ้อน เม่ือเทเน้ือขี้ผง้ึ ลงไปการแขง็ ตัวของเนื้อขี้ผ้งึ จะ
แขง็ ตัวจากดา้ นข้างกอ่ นทาํ ให้บรเิ วณผิวหน้าเกดิ เป็นรอยบุม๋ ลงไป ยิ่งมคี วามแตกต่างมากเท่าไหรย่ ิง่ ทํา
ใหเ้ กิดรอยบุ๋มทีล่ ึกมากเท่านนั้ ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการนําขวดยาหมอ่ งไปตากแดดก่อนนาํ มาเท
ขผ้ี ึ้งสมนุ ไพร หรือเมื่อเทไปแล้วยงั เกิดเปน็ รอยบุ๋มก็สามารถใชไ้ ดรเ์ ปาุ ผมเปุาทีผ่ วิ ขผ้ี ง้ึ ใหเ้ กดิ การหลอม
ละลายอีกปิดรอยบุ๋มนั้นได้

๔๖

ครีมไขผึ้งบํารงุ ส้นเทา้ แตก

สว่ นผสม

1.ไขผึ้ง 1 ชอ้ นโตะ๊

2.เชยี บัตเตอร์ 1 ชอ้ นโต๊ะ

3.นํ้ามนั มะกอก 1 ช้อนโต๊ะ

4.น้ํามนั มะพรา้ ว 1 ช้อนโต๊ะ

5.กลเี ซอรีน 1 ชอ้ นโต๊ะ

6.วิตามนิ อี ¼ ชอ้ นชา

7.นํ้าหอมกลน่ิ กล้วยหอม ¼ ช้อนชา (2 ชอ้ น)

วธิ ีทาํ

1.หลอมไขผึ้งและเชียบัตเตอร์ในหมอ้ สองชัน้ ใหล้ ะลาย(ถ้าตอ้ งการเนอื้ ครมี ที่ไม่แข็งมากสามารถปรบั ลดไขผึ้งลงได้)
2.เติมนา้ํ มันมะกอกและน้ํามันมะพร้าวคนใหล้ ะลายเข้ากนั แล้วปิดไฟ ทิ้งไว้ให้อุณหภมู ลิ ดลง
3.เติมกลเี ซอรีน วติ ามินอี และน้าํ หอม คนใหเ้ ข้ากนั
4.เทใสภ่ าชนะ ท้งิ ไว้ใหเ้ ยน็ แล้วปิดฝา
วิธีใช้
1.แชเ่ ทา้ ในนา้ํ อุ่น+สบู่ นาน 10-15 นาที
2.ใช้หนิ ขดั ทาํ ความสะอาดบริเวณสน้ เทา้ โดยขดั ใหเ้ ซลลผ์ ิวหนังท่ีแตกหลุดออกให้หมด
3.ซับเทา้ ใหแ้ ห้ง แล้วทาครีมไขผึ้ง สวมถงุ เท้ากอ่ นเข้านอน ทาเป็นประจํากอ่ นนอน

โดย ศนู ย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรดา้ นแมลงเศรษฐกจิ จังหวดั เชยี งใหม่ กรมสง่ เสรมิ การเกษตร
428 หมู่ 12 ตําบลหนองควาย อําเภอหางดง จงั หวัดเชยี งใหม่ โทร 052-001152


Click to View FlipBook Version