199 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายรักร้อย หน้า 3 ภาพที่ 10-2 ลายรักรอยแบบต่างๆ ที่มา : สันติ เล็กสุขุม. (2545). กนกในดินแดนไทย. : 92.
200 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายรักร้อย หน้า 4 ภาพที่ 15-3 ลักษณะลายรักรอย ที่มา : สันติ เล็กสุขุม. (2545). กนกในดินแดนไทย. : 93.
201 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายรักร้อย หน้า 3 ภาพที่ 15-4 รูปแบบลายรักร้อย ที่มา : สันติ เล็กสุขุม. (2545). กนกในดินแดนไทย. : 94.
202 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายรักร้อย หน้า 4 1. รักร้อยเปลว 2. รักร้อยกาบปลี 3 รักร้อยดอกไม้ ภาพที่ 15-5 ลวดลายรักร้อย ภาพที่ 15-6 ลวดลายรักร้อยแบบต่างๆ ที่มา : ปฏิพัทธ์ ดาระดาษ. (2541). ลายไทยภาพไทย : 206, 208.
203 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายรักร้อย หน้า 4 ภาพที่ 15-7 ลวดลายรักร้อยแบบอื่นๆ ที่มา : มานะ ทองสอดแสง. (2545). หนังสือต ารา ศึกษาศิลปะลายไทย. : 50-51.
218 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 1 เรื่องการเรียนรู้ที่ 11 การเขียนลายกรวยเชิง(สัปดาห์ที่ 11 ) ความหมายของกรวยเชิง กรวยเชิง คือ “น. ลายที่ท าเป็นรูปกรวย ใช้เป็นลายชายผ้าและปลายเสา เรียกชื่อต่าง ๆ กันแล้วแต่ลายอยู่ ที่ไหน เช่น ถ้าอยู่ที่เชิงผ้า เรียกว่า กรวยเชิง ถ้าอยู่ที่เชิงผ้าเกี้ยว เรียกว่า เชิงเกี้ยว ถ้าอยู่ที่ด้ามหอก เรียกว่า เชิง หอก” (พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน: ออนไลน์) ลายกรวยเชิงนี้บางเรียกว่า “ลายกรุยเชิง” เป็นลายต่อกันที่มีลักษณะเป็นแถว ลายจะบรรจุอยู่ในทรง สี่เหลี่ยมทางด้านตั้ง เขียนเค้าโครงรูปกนก เหมือนรูปทรงของดอกบัวหรือพุ่มทรงข้าวบิณฑ์วงต่อเนื่องกันไปตาม แนวนอน ซึ่งกลีบลายกรวยเชิง จะมีรูปทรงค่อนข้างยาวประมาณ 3 ส่วนของส่วนกว้าง และต่อยอดให้ยาว เป็น ลายที่ใช้ประกอบกับ ลายอื่นจึงจะสมบูรณ์ ลายกรวยเชิงเป็นลายที่ใช้ประดับบนเชิงผ้า ลายที่ท าเป็นรูปกรวย ใช้ เป็นลายชายผ้าและปลายเสา เรียกชื่อต่าง ๆ กันแล้วแต่ลายอยู่ที่ไหน เช่น ถ้าอยู่ที่เชิงผ้า เรียกว่า กรวยเชิง ถ้า อยู่ที่เชิงผ้าเกี้ยว เรียกว่า เชิงเกี้ยว ถ้าอยู่ที่ด้ามหอก เรียกว่า เชิงหอก ถ้าอยู่เชิงต้นเสาเรียก เชิงเสา รปูแบบของลายกรวยเชิง 1. ลายปูนปั้น 2. ลายเขียนฝาผนัง 3. ลายผ้า 4. ลายเขียนลายรดน ้า
219 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 2 1. ลายปูนปั้น ลาส่วนมากเป็นการปั้นประดับตกแต่งอาคาร แบ่งตามกรรมวิธีและเทคนิคการสร้าง ได้เป็น 2 ประเภท • ลายปูนปั้นสด ปูนที่ใช้นั้นจะผสมขึ้นเป็นพิเศษ (ปูนขาวหมักผสมทราย เส้นใย (ฟางข้าว กระดาษ ข่อย ป่านต้นกกฯลฯ) กาว (กาวหนังสัตว์ น ้าอ้อย น ้ามันทั่งอิ้ว ฯลฯ) แล้วโขลกให้เข้ากัน แล้วจึงน ามาปั้น) ในการ ปั้นจะต้องปั้นในขณะที่ปูนยังเปียกอยู่หรือปั้นสด นิยมใช้ปั้นหน้าบัน เครื่องล ายอง ซุ้มประตู ซุ้มหน้าต่าง บัวฐาน คันทวย ฯลฯ • ลายปูนปั้นถอดพิมพ์ เป็นวิธีที่นิยมกันมากสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะได้รับอิทธิพลมาจาก ตะวันตก และใช้ปูนซีเมนต์เป็นวัสดุในการปั้น ในการสร้างงานจะท ารูปต้นแบบและแม่พิมพ์ขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงใช้ ปูนซีเมนต์เทรูปหล่อท าให้สามารถสร้างงานได้หลายครั้งๆ ละมาก ๆ ลายปูนปั้นงดงามที่สุดในสมัยอยุธยา ลายปูนปั้นประตู วัดภูเขาทอง อยุธยา ประกอบด้วยลายกรวยเชิงและลายประจ ายามลูกฟักก้ามปู คั่นด้วย ลายกระหนาบ(ขนาบ) ลูกประค าหรือไข่ปลา ยกย่องว่าเป็นลายกรวยเชิงปูนปั้นที่งดงามที่สุดในสมัยอยุธยา ดัง ภาพประกอบที่ 11-1 ถึง 11-3 ภาพที่ 11-1 ลวดลายปูนปั้น ประดับที่ปรางค์ประธาน วัดส้ม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
220 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 3 ภาพที่ 11-2 ลวดลายปูนปั้น ประดับที่ปรางค์ประธาน วัดส้ม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
221 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 4 ภาพที่ 11-3 ลวดลายปูนปั้นเสา วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน
222 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 5 2. ลายเขียนฝาผนัง ความงามเป็นศิลปะแบบอุดมคติ ที่แสดง ออกทางความคิด ให้สัมพันธ์กับเนื้อเรื่องและความส าคัญของ ภาพ มีลักษณะเด่น งามสง่า ด้วยลีลาอันชดช้อย มีภาพจิตรกรรมฝาผนังมักนิยมเขียนเป็นเรื่องราวพุทธประวัติ หรือชาดก และเรื่องราวไทยประเพณี ส่วนด้านบนรูปภาพนิยมเขียนเป็นภาพเทพชุมนุม ด้านหน้าพระประธาน นิยมเขียนเป็นภาพมารผจญ ด้านหลังพระประธานนิยมเขียนไตรภูมิ ด้านบนมักนิยมเขียนเขียนเป็นรูปดาว ประดับ ส่วนลายกรวยเชิงนิยมเขียนประดับในต าแหน่งด้านบนสุดของผนัง และด้านล่างสุดของผนัง ลายกรวยเชิงที่เขียนประดับเสา และงานเครื่องประกอบงานเครื่องไม้ด้านบนงานสถาปัตยกรรม นิยม เขียนลายปิดทอง หรือในอาคารสถานที่จะนิยมแกะสลักไม้ปิดทอง ส่วนที่เขียนลงในฝาผนังมักนิยมเขียนเป็น ลายเขียนสี จิตรกรรมสมัยอยุธยา มีองค์ประกอบ เทคนิค และ วัฒนธรรม ตามแบบจิตรกรรมไทยประเพณีภาค กลางที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย จีน เขมร และอิทธิพล ของศิลปะไทยยุคก่อนกรุงศรีอยุธยา ในระยะแรกใช้สีใน วรรณะเอกรงค์ ต่อมามีสีต่างๆ เพิ่มเข้ามา นิยมเขียนเรื่องอดีตพุทธ พุทธประวัติ ทศชาติชาดก เทพชุมนุมและ ภาพลวดลายต่าง ๆ ปิดทองที่ภาพส าคัญและท าลายดอกไม้ร่วงที่พื้นหลังภาพ สถานที่ตั้งจิตรกรรมส่วนใหญ่พบที่ อุโบสถ ปรางค์ วิหาร ศาลาการเปรียญ หอไตร กุฏิ ตู้พระธรรม สมุดข่อย และพระบฏ จิตรกรรมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ได้รับอิทธิพลแบบอย่างจิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย ได้รับความ บัลดาลใจจากสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น เช่น เหตุการณ์บ้านเมือง ชีวิตความเป็นอยู่ สังคม ประเพณี การ แต่งกาย ลักษณะบ้านเรือน วัดวาอาราม ปราสาท พระราชวัง ธรรมชาติ และหมู่สัตว์ต่าง ๆ เป็นแบบในการ สร้างสรรค์ภาพเขียน มีจุดเด่น คือ สีพื้นเป็นสีเข้ม ภาพคนและสถาปัตยกรรมเด่นออกมาเป็นกลุ่ม ๆ งาน จิตรกรรมนิยมเขียนด้วยสีฝุ่นผสมกาวหนังสัตว์ดังภาพประกอบที่ 11-4 ถึง 11-6 ภาพที่ 11-4 ลายกรวยเชิง วัดใหญ่สุรรณาราม
223 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 6 ภาพที่ 11-5 งานจิตรกรรมลายกรวยเชิง
224 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 7 ภาพที่ 11-6 ลายเสาวัดจักรวรรดิราชาวาส
225 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 8 3. ลายผ้า วัฒนธรรมเครื่องนุ่งห่มของชาวสยามประกอบด้วยผืนผ้าที่ใช้นุ่งและห่มปกคลุมร่างกาย โดยไม่มีการตัด เย็บเรียกว่านุ่งผืนห่มผืน สยามเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ระหว่างแหล่งผลิตผ้าแหล่งใหญ่ของโลกคืออินเดีย ท าให้มีพ่อค้า น าผ้าอินเดียเข้ามาท าการค้าขายยังสยามอยู่เสมอ ผ้าอินเดียสามารถบ่งบอกถึงความแตกต่างทางสังคมได้เพราะผ้าที่ใช้สวมใส่มีความประณีตงดงาม มีหน้า ผ้ากว้าง สีสันสดใส ลวดลายสวยงามและวัสดุหลากหลาย เมื่อเทียบกับผ้าในสยาม ต่อมาราชส านักสยามได้มีการ ออกแบบลายผ้าเองและส่งไปผลิต ยังประเทศอินเดียจึงเกิดเป็น “ผ้าลายอย่าง” คือ ผ้าที่ทางราชส านักสยามเขียน ตัวอย่างลาย ส่งไปให้ทางอินเดียผลิตให้จากหลักฐานที่ปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัดในสมัยอยุธยาตอนปลาย ท าให้ เห็นว่าผ้าลายอย่างเป็นที่นิยมในช่วงนั้นและมีธรรมเนียมการใช้เฉพาะส าหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุ วงศ์และข้าราชส านัก รวมถึงเป็นสิ่งของที่พระมหากษัตริย์ใช้พระราชทานแก่ผู้ท าความดีความชอบหรืออาคันตุกะ คนส าคัญเท่านั้น การสร้างลวดลายที่มีความซับซ้อน เนื่องจากเป็นผ้านุ่งตามขนบโบราณโดยลวดลายอันวิจิตรที่ปรากฏอยู่บน ผืนผ้านั้น สามารถจ าแนกออกได้เป็น 3 ลักษณะที่แตกต่างกันในการทอและการน าไปใช้งาน เพื่อแสดงถึงสถานะ ของผู้สวมใส่ดังนี้ 1. กรวยเชิงซ้อนหลายชั้น หมายถึง ผ้าส าหรับเจ้าเมือง ขุนนางชั้นสูงและพระบรมวงศานุวงศ์ นิยมทอ ด้วยเส้นทอง ลักษณะเชิงกรวยมีความละเอียดอ่อนช้อย มีลวดลายหลายลักษณะประกอบกัน ริมผ้าจะมีลายขอบ ผ้าเป็นแนวยาวตลอดทั้งผืน กรวยเชิงส่วนใหญ่มีตั้งแต่ 2 ชั้นและ 3 ชั้น ลักษณะพิเศษของกรวยเชิงรูปแบบนี้ คือ พื้นผ้าจะมีการทอสลับสีด้วยเทคนิคการมัดหมี่เป็นสีต่างๆ เช่น สีแดง น ้าเงิน ม่วง ส้ม น ้าตาล ลายท้องผ้าพบนิยม ทอผ้าพื้นและยกดอก อาทิ ยกดอกลายเกร็ดพิมพ์เสน ลายดอกพิกุล เป็นต้น 2. กรวยเชิงชั้นเดียว หมายถึง ผ้าส าหรับคหบดีและเจ้านายลูกหลานเจ้าเมือง นิยมทอด้วยเส้นทองหรือ เส้นเงิน ลักษณะกรวยเชิงจะสั้น ทอคั่นด้วยลายประจ าก้ามปู ลายประจ าก้ามเกลียวใบเทศ ไม่มีลายขอบของลาย ท้องผ้า นิยมทอด้วยเส้นไหมลวดลายต่างๆ เช่น ลายดอกพิกุล ลายก้านแย่ง ลายดอกเขมร ลายลูกแก้วฝูง 3. กรวยเชิงขนานกับริมผ้า หมายถึง ผ้าส าหรับสามัญชนทั่วไปใช้นุ่ง ลวดลายกรวยเชิงถูกดัดแปลงมาไว้ที่ ริมผ้าด้านใดด้านหนึ่ง โดยการดัดแปลงน าลายอื่นมาเป็นลายกรวยเชิงเพื่อสะดวกในการทอผ้าและการเก็บลาย สามารถทอได้เร็วขึ้น ผ้าลักษณะนี้มีทั้งทอด้วยไหม ทอด้วยฝ้ายหรือทอผสมฝ้ายแกมไหมที่พบเป็นผ้านุ่ง ส าหรับ สตรีหรือใช้เป็นผ้านุ่งส าหรับเจ้านาคในพิธีอุปสมบท ดังภาพประกอบที่ 11-7 ถึง 11-12
226 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 9 ผ้าลายอย่างประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ 1. ท้องผ้า หมายถึง พื้นที่ส่วนใหญ่ของผ้าบริเวณตรงกลาง ภาพที่ 11-7 ท้องผ้า
227 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 10 2. สังเวียนหรือขอบผ้า หมายถึง ลายบริเวณล้อมรอบท้องผ้าตามแนวยาว ภาพที่ 11-8 สังเวียนหรือขอบผ้า
228 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 11 3. กรวยเชิงหรือเชิงผ้า หมายถึง ลายบริเวณล้อมรอบท้องผ้าด้านกว้าง ซึ่งกรวยเชิงจะเป็นเครื่องบ่งชี้สถานะ ของผู้สวมใส่ ภาพที่ 11-9 กรวยเชิงหรือเชิงผ้า
229 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 12 ตัวอย่างลายผ้า ภาพที่ 11-10 กรวยเชิงหรือเชิงผ้า
230 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 13 ภาพที่ 11-11 ลายกุดั่นทรงเครื่องน้อย ภาพที่ 11-12 ลายพุ่มข้าวบิณฑ์เทพพนมกินรีก้านขด กรวยเชิงเทพพนมสามชั้น เชิงผ้าลายหน้ากาลสลับลายเทพพนมและนรสิงห์
231 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 14 4. ลายเขียนลายรดน ้า เป็นงานประณีตศิลป์ ประเภทหนึ่งที่ใช้ในการลงรักและปิดทองเพิ่มความงดงาม ให้แก่สิ่งของการท าลาย รดน ้าจะเริ่มตั้งแต่ การเตรียมแผ่นไม้ การขัดแต่งและรองพื้นด้วยรักสมุก จนแผ่นไม้เรียบ ท าการปรุลายที่จะเขียน แล้วน าแบบลายที่ปรุแล้วทาบลงบนแผ่นกระดาษ แล้วตบด้วยลูกประคบจากนั้นจึงเขียนด้วยน ้า ยาหรดาน (ใน ส่วนที่ไม่ต้องการให้ทองติด) แล้วปิดด้วยทองค าเปลว แล้วคลุมปิดทับด้วยแผ่นกระดาษชุบน ้า ทิ้งไว้ระยะเวลา หนึ่งจึงใช้น ้าราด ทองค าเปลวที่ติดอยู่บน น ้าหรดานก็จะหลุดออกมา ลายรดน ้าส่วนมากใช้ในการตกแต่งบาน ประตู หน้าต่าง และครุภัณฑ์ต่างๆ ลายรดน ้า หมายถึง การเขียนลวดลายหรือรูปภาพ ให้ปรากฏเป็นลายทองด้วยวิธีปิดทองแล้วเอา น ้ารด จัดเป็นงานประณีตศิลป์ ส าหรับตกแต่งสิ่งของเครื่องใช้ และเครื่องประดับ สูงสุดคือเครื่องใช้ใน พระพุทธศาสนาตลอดไปจนถึงในส่วนที่เกี่ยวกับกษัตริย์ ตกแต่งตั้งแต่สิ่งของที่มีขนาดเล็กขึ้นไปจนถึง ประดับตกแต่งผนังห้องที่มีขนาดใหญ่ หมายถึง ตกแต่งตั้งแต่เนื้อที่ไม่กี่ตารางนิ้วไปจนถึงเนื้อที่หลายร้อย ตารางฟุตให้วิจิตรงดงาม ค าว่า “ลายรดน ้า” มาจากขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างสรรค์งานศิลปะเเขนงนี้ด้วยวิธีปิดทองแล้วเอาน ้ารด ปรากฎออกมาเป็นลวดลายรูปภาพ ลายรดน ้าจัดเป็นจิตรกรรมเอกรงค์ประเภทหนึ่ง เป็นการสร้างลวดลาย ประกอบร่วมกับรูปภาพให้ปรากฏเห็นเป็นสีทองเพียงสีเดียว ด้วยแผ่นทองค าเปลวบนพื้นรักสีด าหรือสีเเดง (รัก ผสมชาด) เเสดงรูปออกมาเป็นเเบบสองมิติองค์ประกอบของภาพเรื่องราวเเละลวดลายที่ปรากฎมีหลาย ลักษณะ ล้วนมีที่มาเเละเเรงบันดาลใจที่ได้มาจากธรรมชาติและสิ่งเเวดล้อม มาเป็นเเนวทางการสร้างสรรค์ ลวดลาย คือ คน สัตว์สถาปัตยกรรม ผสมผสานกับภาพ ธรรมชาติภูเขา ต้นไม้ พันธุ์พฤษา การเขียนลวดลายหรือรูปภาพประเภทลายรดน ้านี้ คงจะมีมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัย โดยรับมาจากจีนผู้ เป็นชาติแรกที่รู้จักการใช้รัก รวมถึงได้รับการถ่ายทอดกรรม วิธีท าลายรดน ้า งานประเภทลายรดน ้าคง แพร่หลายและเป็นที่นิยมเรื่อยมาจนถึงสมัยอยุธยา และต่อมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ดังปรากฏศิลปะ โบราณวัตถุ ได้แก่ ตู้พระธรรม เครื่องใช้สอย หีบต่างๆ ไม้ประกับหน้าคัมภีร์ พานแว่นฟ้า โตก ตะลุ่ม ฝา บานตู้ ฉากลับแล ฝาผนัง บานประตูหน้าต่าง เป็นต้น ส่วนใหญ่จะพบงานลายรดน ้าเขียนบนพื้นไม้ ที่พบมาก คือลายรดน ้าประดับภายนอกของตู้พระไตรปิฎก ซึ่งบางครั้งเรียกว่าตู้ลายทอง หีบไม้ลับแล บานประตู บาน หน้าต่าง และที่น่าสนใจคือ ภาพลายรดน ้าขนาดใหญ่ ตกแต่งผนังด้านนอกของอาคารไม้ ซึ่งมักเป็นพระต าหนัก ของกษัตริย์ ดังภาพประกอบที่ 11-13 ถึง 11-15
232 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 15 ภาพที่ 11-13 ลายรดน ้า ตู้พระธรรม ตู้ขาหมู สมัยรัตนโกสินทร์ วัดโปรดเกศเชษฐาราม จังหวัดสมุทรปราการ เสาขอบตู้ ลายรักร้อยใบเทศ ปิดหัวท้ายด้วยลายกรวยเชิง
233 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 16 ภาพที่ 11-14 ลายกรวยเชิง ตู้พระธรรม ด้านหน้าตู้ขาหมู สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระราชวังสนามจันทร์ เสาขอบตู้ลายกรวยเชิง
234 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การเขียนแม่ลายก้านต่อดอก เรื่อง : การเขียนลายกรวยเชิง หน้า 17 ภาพที่ 11-15 ขอบขาตู้ ขอบบนและขอบล่างลายกรวยเชิง
258 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : การศึกษาดูงานศิลปกรรมไทยในพิพิธภัณฑสถานศึกษาแห่งชาติ หน้า 1 เรื่องการเรียนรู้ที่ 12 การศึ กษาดงูานศิลปกรรมไทย ในพิพิธภณัฑสถานศึ กษาแห่งชาติ(สัปดาห์ที่ 12) ข้อมูลพิพิธภณัฑ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร (อังกฤษ: Bangkok National Museum) เป็ นพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ในเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร บริเวณพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ ส่วนหนึ่งของที่ประทับวังหน้า ซึ่งก็คือพื้นที่พระราชวังของสมเด็จพระบวรราชเจ้าตั้งแต่รัชกาลที่ 1 เป็นต้นมา มี อาณาเขตตั้งแต่บริเวณมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มณฑลพิธีท้องสนามหลวงตอน ตะวันตก อนุสาวรีย์ทหารอาสา และโรงละครแห่งชาติในปัจจุบัน ภายในพิพิธภัณฑ์ประกอบด้วยหมู่พระที่นั่งต่าง ๆ ได้แก่ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทไธ สวรรย์พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย หมู่พระวิมาน พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ และ อาคาร มหาสุรสิงหนาท เดิมพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ที่หอคองคอเดีย (ศาลาสหทัยสมาคม ในปัจจุบัน) เรียกว่า "มิว เซียม" หรือ "พิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย" โดยมีพิธีเปิดเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2417 จนต่อมาเมื่อกรม พระราชวังบวรวิไชยชาญ เสด็จทิวงคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงให้ยกเลิกต าแหน่งกรม พระราชวังบวรสถานมงคลลง เป็นเหตุให้พระราชวังบวรสถานมงคลว่าง พระองค์จึงโปรดฯ ให้ย้ายพิพิธภัฑสถาน มาจัดแสดงโดยใช้พื้นที่ของพระราชวังบวรฯ บางส่วน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนพระ ราชมณเฑียรของพระราชวังบวรฯ ทั้งหมดได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑสถานส าหรับพระนครและหอสมุดพระวชิรญาณ เพื่อจัดตั้งเป็น พิพิธภณัฑสถานสา หรบัพระนคร เมื่อ พ.ศ. 2469 ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทย ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีใน ประเทศไทย งานประณีตศิลป์ และชาติพันธุ์วิทยา รวมไปถึงนิทรรศการชั่วคราวต่าง ๆ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีสถิติจ านวนผู้เข้าชมมากที่สุดในประเทศไทย จากข้อมูลปี พ.ศ. 2555 การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยนั้นเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดย พระองค์ทรงจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ขึ้นที่พระที่นั่งราชฤดีซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านข้างของพระที่นั่งอมรินทรวินิจ ฉัย ต่อมา เมื่อพระองค์ทรงสร้างพระอภิเนาว์นิเวศน์ขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง จึงโปรดฯ ให้ย้ายโบราณวัตถุ และของแปลก ๆ มาไว้ยังพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ในหมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์ ซึ่งนับเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ หรือ “รอยัล มิวเซียม” (Royal Museum) มิได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม
259 ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง พิพิธภัณฑสถานส าหรับพระนครขึ้นที่หอคองคอเดีย (ศาลาสหทัยสมาคม ในปัจจุบัน) เรียกว่า "มิวเซียม" หรือ "พิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย" โดยมีพิธีเปิดเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2417 ซึ่งนับเป็นวันก าเนิดของ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย พิพิธภัณฑสถานตั้งอยู่ภายในพระบรมมหาราชวังเป็นเวลา 13 ปี จนกระทั่ง กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญเสด็จทิวงคต พร้อมกันนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้ยกเลิกต าแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เป็นเหตุให้พระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า ว่าง ลง พระองค์จึงโปรดฯ ให้ย้ายพิพิธภัฑสถานมาจัดแสดงโดยใช้พื้นที่ของพระราชวังบวรฯ บางส่วน ได้แก่ พระที่ นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทไธสวรรย์และพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2430 นอกจากนี้ พระองค์ยัง โปรดฯ ให้มีการปรับปรุงพื้นที่เขตวังหน้าและให้ตัดพื้นที่บางส่วนไปใช้ในราชการทหารด้วย ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้านายฝ่ายกรมพระราชวังบวรฯ เหลือน้อยพระองค์ พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายฝ่ายพระราชวังบวรฯ เข้าไปประทับในพระบรมมหาราชวัง และ พระราชทานพระมหามณเฑียร ณ ขณะนั้นให้เป็นโรงทหาร จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดฯ ให้ย้ายโรงทหารไปอยู่ที่วังจันทรเกษม (บริเวณกระทรวงศึกษาธิการ ในปัจจุบัน) ส่วน พระราชมณเฑียรของพระราชวังบวรฯ ทั้งหมดจัดเป็นพิพิธภัณฑสถานส าหรับพระนครและหอสมุดพระวชิรญาณ เพื่อจัดตั้งเป็น พิพิธภณัฑสถานส าหรบัพระนคร เมื่อ พ.ศ. 2469 ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น พิพิธภณัฑสถาน แห่งชาติพระนคร เมื่อ พ.ศ. 2477 ในปี พ.ศ. 2510 ได้สร้างอาคารเพิ่มขึ้นอีก 2 หลัง คือ "อาคารมหาสุรสิงหนาท" ปัจจุบัน จัดแสดงความ เป็นมา ศิลปวัตถุ โบราณวัตถุในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และในยุคประวัติศาสตร์ตั้งแต่อาณาจักรทวารวดีศรี วิชัย ลพบุรีตลอดจนอิทธิพลอารยธรรมอินเดียสมัยก่อนพุทธศักราช 1800 และ "อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์" ปัจจุบัน จัดแสดงศิลปวัตถุจากอาณาจักรล้านนา สุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ตลอดจนจัดแสดงงานประณีต ศิลป์ ของกรุงรัตนโกสินทร์ แนวทางการจัดแสดง ปัจจุบัน พิพิธภัณสถานแห่งชาติ พระนคร แบ่งการจัดแสดง ออกเป็น 3 หัวเรื่องใหญ่ ๆ คือ 1. ประวัติศาสตร์ชาติไทย จัดแสดงในพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน 2. ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในประเทศไทย จัดแสดงตามยุคสมัย คือ 3. สมัยก่อนประวัติศาสตร์ จัดแสดงในอาคารส่วนหลัง ของ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน 4. สมัยประวัติศาสตร์ จัดแสดงในอาคารใหม่ 2 หลัง ที่สร้างขนาบสองข้างของหมู่วิมานเมื่อ พ.ศ. 2510 โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ สมัยก่อนพุทธศักราช 1800 ได้แก่ สมัยทวารวดีสมัยศรีวิชัย และ สมัยลพบุรีจัด แสดงในอาคารมหาสุรสิงหนาท และส่วนที่ 2 คือ สมัยหลังพุทธศักราช 1800 เป็นต้นมา จนถึง สมัยรัตนโกสินทร์ จัดแสดงในอาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ 5. ประณีตศิลป์ และ ชาติพันธุ์วิทยา จัดแสดงในหมู่พระวิมาน คือ พระที่นั่งวสันตพิมาน พระที่นั่งวายุ สถานอมเรศ และ พระที่นั่งพรหมเมศธาดา ศิลปโบราณวัตถุที่จัดแสดง ได้แก่ เครื่องทอง เครื่องถม เครื่อง มุก เครื่องดนตรีเครื่องไม้จ าหลัก ผ้าโบราณ เครื่องถ้วย เครื่องสูง ราชยานคานหาม อาวุธโบราณ เครื่องใช้ในพิธี พระพุทธศาสนา และ อัฐบริขารของสงฆ์ และ เครื่องการละเล่นต่าง ๆ เช่น หัวโขน หุ่นกระบอก หุ่นเล็ก และหนัง ใหญ่ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมี ราชรถที่ใช้ในกระบวนแห่พระบรมศพ คือพระมหาพิชัยราชรถ เวชยันตรราชรถ ราช
260 รถน้อย และ เครื่องประกอบการพระราชพิธีต่าง ๆ ที่ใช้ใน พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ จัดแสดงใน อาคารโรงราชรถ นอกจากศิลปะโบราณวัตถุแล้ว พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ยังมีโบราณสถานคือ พระที่นั่ง และ พระ ต าหนักบางองค์ ที่เป็นตัวอย่างของ งานสถาปัตยกรรมไทยที่งดงาม เช่น พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ภายในพระที่นั่ง ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ และมีจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามยิ่ง พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ ที่ประทับ ของ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระต าหนักแดง ที่ประทับ ของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีใน รัชกาลที่ 2 รวมไปถึง พระที่นั่งขนาดย่อม และศาลาทรงไทยในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ศาลาสรง ศาลาส าราญมุขมาตย์ พระที่นั่งมังคลาภิเษก และ พระที่นั่งปาฏิหาริย์ทัศนัย ด้วยเหตุนี้จึงท าให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ยังคง มีเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมไทย ที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของเกาะรัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน โดยมีการแบ่งผืนที่ จัดแสดงผลงานศิลปกรรมไทยตามยุคสมัยดังนี้ 1. ห้องแสดงผลงานศิลปกรรมไทยยคุสมยัก่อนประวตัิศาสตรช์ าติไทย
261
262 ศิลปะสมยัอาณาจกัรทวารวดี
263 ศิลปะสมยัอาณาจกัรศรีวิชยั
264 ศิลปะสมยัอาณาจกัรละโว้(ลพบุรี)
265 2. ห้องแสดงผลงานศิลปกรรมไทยยคุสมยัสโุขทยั
266
267 3. ห้องแสดงผลงานศิลปกรรมไทยยคุสมยัอยธุยา
268
269 4. ห้องแสดงผลงานศิลปกรรมไทยยคุสมยัรตันโกสินทร ์
270
283 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : ลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 1 ลายกนก ความหมายของกระหนก กนก คือ “ชื่อแบบลายไทยประเภทหนึ่ง ใช้ผูกเขียนเป็นลวดลาย มีทั้งระบายสีปิดทองรดน ้า ปั้น หรือ แกะสลัก” (ราชบัณฑิตยสถาน, 2530 : 60) กนก คือ เป็นลายที่ช่างไทยถือว่า เป็นแม่ลาย นอกจากสันนิษฐานว่าเกิดจากลายกระจังผ่าซีกแล้ว ยัง พบว่าน่าจะมีวิวัฒนาการมาจากลายของสกุลศิลปะอื่นๆ อีก เช่น ศิลปะขอมและอู่ทอง แต่ที่เรียกว่าเป็นลาย กนกแท้นั้น น่าจะมีขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา เพราะลายกนกไทยจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือ ปลาย ยอดลายจะไม่เรียบตรง แต่จะท าให้มีความอ่อนและสะบัดคล้ายกฤชชวา ซึ่งลักษณะนี้จะเริ่มมีปรากฏชัดใน ศิลปะอยุธยา ทั้งค าว่า กนก พจนานุกรมได้แปลว่า ทอง ดังนั้น ลายกนกน่าจะเกิดขึ้นพร้อมกับการเขียนลาย รดน ้าซึ่งเป็นลายทอง อันเป็นศิลปะที่เด่นชัดในสมัยอยุธยาเป็นต้นมา (ศิริพงษ์ พะยอมแย้ม, 2525 : 4) กนก คือ ลายที่มีความส าคัญมากในการประดิษฐ์ลายไทย ต้นก าเนิดลายกนกนั้นได้มาจากดอกไม้ ใบไม้ ตาไม้ ฯลฯ ซึ่งน ามาประดิษฐ์เป็นลายกนกมีหลายชนิด (มานิต หล่อพินิจ, 2543 : 8) กนก คือ ลายซึ่งผูกเขียนอยู่ภายในพื้นที่รูปสามเหลี่ยมมุมฉาก บางทีก็เรียก “ลายกนก” ซึ่งแปลว่า ทอง เหตุที่เรียกแม่ลายนี้ว่า “ลายกนก” หรือ “ลายทอง” แผกเพี้ยนไปกว่าชื่อแม่ลายของเก่าเค้าเดิม ดังนี้เห็น ทีจะเข้าใจไขว้เขวไปอย่างหนึ่งอย่างใด ดังค าอธิบายของอาจารย์พระพรหมพิจิตร(พรหม พรหมพิจิตร) ใน เรื่อง “ค าว่าลาย” ว่า “ส่วนค าว่า กระหนก ในปทานุกรมแปลว่า ทองและต้นไม้ที่มีหนาม เมื่อมานึกถึงค าว่า ทองอาจเอาไปท าเป็นกนกขึ้นอย่างหนึ่งก็ได้” แม่ลายกนกนั้น โดยความหมายแท้จริงหมายเอาลักษณะของ ตัวลายอันผูกท าทรงปลายเรียวแหลม แล้วส่วนแง่บากกนกเป็นประดุจหนาม คล้ายกับต้นไม้ซึ่งมีหนาม แหลม จึงเรียกแม่ลายลักษณะเช่นนี้ว่า แม่ลายกนก แม่ลายกระหนกนี้จัดว่าเป็นแม่ลายส าคัญ ใช้เป็นหลักใน การผูกเขียนลวดลายแบบประจ าชาติ ตกแต่งแก่สิ่งของเครื่องใช้เป็นสิ่งประณีตสืบเนื่องกันมานาน จนถึงเวลาในปัจจุบันก็ยังใช้อยู่ แม่ลายกนกอาจประดิษฐ์เป็นตัวมีบากแบ่งตัด และย่อน าไปผูกเป็น ลวดลายได้หลายกระบวน เป็นต้นว่า ผูกเป็นลายเปลวเครือเถา ลายก้านขด ลายเกลียว หรือลายเครือกนก กนก คือ ลวดลายประดิษฐ์อยู่ในโครงรูปสามเหลี่ยม (มักเรียกว่า “กนก”) มีลักษณะเป็นลายประดิษฐ์ ประกอบด้วยตัว กนก กาบ เหงา อยู่ในโครงสร้างรูปสามเหลี่ยม ลายกนกสามตัวจัดว่าเป็นลายส าคัญมาก เท่ากับเป็นแม่บทของกนกต่าง ๆ ทุกชนิด หรือเรียกว่าเป็น “แม่ลาย” กนกทุกชนิดนับว่าแยกออกไปจาก กนกสามตัว เช่น ลายกนกสามตัวเปลว หรือกนกหางหงส์ ลายกนกสามตัวใบเทศ ลายกนกสามตัวหางโต (บุญมา แฉ่งฉายา, 2533 : 67)
284 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : ลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 2 ภาพที่ 13-1 ลายเส้นช่อลายกนกเปลว
285 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : ลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 3 รปูแบบลายกนกที่ปรากฏในชิ้นงานช่างทองหลวง ลายกนกในงานช่างทองหลวงนิยมน ามาออกแบบลวดลายในงานสลักดุน และงานคร ่าเงิน คร ่าทอง เนื่องจากลวดลายมีความอ่อนช้อย เหมาะกับการเลือกใช้งานสลักดุน และงานคร ่า เนื่องจากเทคนิคเชิงช่าง สามารถถ่ายทอดความงามของลวดลายความอ่อนช้อยของตัวลายออกมาเป็นชิ้นงานได้ดี รูปแบบตัวลายจะ มีองค์ประกอบการออกแบบลวดลายที่เหมาะสมกับเทคนิคงานสลักดุน และงานคร ่าเป็นส าคัญ ภาพที่ 13-2 ชิ้นงานชายไหวชายแครง (มาจากรูปแบบช่อลายกนกใบเทศ)
286 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : ลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 4 ภาพที่ 13-3 งานสลักดุนพานกลีบขนุนลายกนกเปลว
287 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : ลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 5 ลายใบเทศ ความหมายลายใบเทศ ใบเทศ รูปทรงมาจากใบเทศจากธรรมชาติ ความเชื่อลายใบเทศมีที่มามาจากใบฝ้าย และมีความเชื่อว่า ลายใบเทศมี่ได้รับอิทธิพลลวดลายมาจากต่างประเทศ จึงเรียกว่าลายอย่างเทศ และเปลี่ยนเป็นลายใบเทศ (ลายที่ได้รับอิทธิพลลวดลายมาจากประเทศตะวันตก) รูปทรงลวดลายเดียวกับคล้ายลายกระจังตาอ้อย จัดอยู่ ในประเภทเดียวกัน การผูกลายมีการแบ่งตัวตามรูปทรงการออกแบบ มีรูปแบบการน าลายใบเทศมาวางต่อๆ กัน เกิดเป็นพื้นที่ลายใหม่ เช่นลายกนกใบเทศ ลายหน้ากระดานใบเทศ ลายบัวคว ่าบัวหงายใบเทศ ภาพที่ 13-4 ลายเส้นเครื่องประดับทับ ทรวงลายใบเทศ ภาพที่ 13-5 ลายเส้นช่อลายกนก ลายใบเทศ
288 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : ลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 6 รปูแบบลายใบเทศที่ปรากฏในชิ้นงานช่างทองหลวง ลายใบเทศจึงเป็นลายส าคัญที่งานช่างทองหลวงน ามาออกแบบผูกลวดลายให้เกิดเป็นชิ้นงานช่างทอง หลวงใหม่ๆ เนื่องจากลายใบเทศมีลักษณะลวดลายสามารถประยุกต์ลวดลายเข้ากับรูปแบบงานประดับอัญมณี ได้อย่างลงตัว เหมาะกับการท าชิ้นงานเครื่องประดับ จึงพบการน าลายใบเทศมาออกแบบท าชิ้นงานใน เครื่องประดับไทย และนิยมน างานลงยาสีมาใช้ควบคู่กับการออกแบบลายใบเทศ ภาพที่ 13-6 ชิ้นงานเครื่องประดับหัวปั้นเหน่ง (ลายใบเทศ)
289 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : ลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 7 ลายพุฒตาล ความหมายลายพุฒตาล พัฒนามาจาก ลายดอกโบตั ๋น มีหลักฐานสืบค้นไปได้ไกลถึงสมัยสุโขทัย จากภาพจารบนแผ่นหินชนวน เล่าเรื่องชาดก ประดับบนเพดานอุโมงค์วัดศรีชุม จ.สุโขทัย ปรากฏ “ลายดอกโบตั๋น” ที่ได้รับอิทธิพลมาจาก ลวดลายบนเครื่องถ้วยจีน ในสมัยราชวงศ์หยวน จวบจนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ช่างไทยได้น ามาประดิษฐ์ผสมกับ ลายเทศ (ลายจากตะวันตก) จนกลายมาเป็น “ลายดอกพุดตาน” อย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน “ลายดอกพุดตาน” เป็นลายประดิษฐ์ที่ได้รับความนิยมมาก แพร่กระจายไปทั่วภูมิภาค รวมไปถึงประเทศราชของประเทศไทย ภาพลายเส้นดอกพุดตานผสมช่อกระหนก ในทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน (หรือ สี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด) “พุดตาน” พรรณไม้มงคลมีสรรพคุณทางยา ดอกสามารถเปลี่ยนสีได้ถึง 3 สี ภายใน 1 วัน อยู่ในวงศ์ชบา มีถิ่น ก าเนิดในประเทศจีน ส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจให้ช่างไทยน ามาประดิษฐ์เป็น “ลายดอกพุดตาน” ในปัจจุบัน ภาพที่13- 7 ภาพลายเส้นลายดอกพุฒตาล
290 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : ลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 8 รปูแบบลายพฒุตาลที่ปรากฏในชิ้นงานช่างทองหลวง รูปแบบลายพุฒตาลในงานช่างทองหลวงนิยมน ามาออกแบบลวดลายเข้ากับงานสลักดุน งานเครื่องถม งานถมเงินและงานถมทอง ลวดลายเป็นลายมาจากอรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ในเชิงช่างนิยมถมพื้นที่ช่องไฟ ให้เกิดมิติตัวลายให้แตกต่างจากตัวลาย จึงนิยมน าลายพุฒตาลมาใช้กับงานถม ภาพที่ 13-8 ชิ้นงานหีบถมลงยา (ลายดอกพุฒตาล)
291 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : ลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 9 รปูแบบงานช่างทองหลวง งานถม เงินถมทอง เครื่องถมเป็นศิลปหัตถกรรมประเภทประณีตศิลป์ เครื่องถมมีอยู่ 3 แบบ คือ ถมเงิน (หรือถมด า) ถมทอง และถมตะทอง ถมเงินหรือถมดา ถมด าเป็นถมที่เก่าแก่ที่สุดตามความนิยม ถมที่ดีต้องมีสีด าสนิทไม่มี"ตามด" (ตามดคือ จุดขาวบนสีด า) ถมเป็นกรรมวิธีในการผสมของโลหะสามอย่างเข้าด้วยกัน คือ เงิน ตะกั่ว และทองแดง น ามาป่น จนเป็นผง ละเอียด เพื่อโรยลงบนพื้นแผ่นเงิน ที่ขูดร่องหรือตอกเป็นลวดลายไว้แล้ว การที่จะให้ผงถมเกาะแน่นอยู่ที่การ เหยียบพื้น (คือ การแกะหรือตอกร่องลงบนเนื้อเงินที่เป็นพื้นของลายที่ตอก) ถ้าเหยียบพื้นให้มีรอยขรุขระมาก เท่าใด ผงถมก็เกาะได้มากเท่านั้น การถมพื้นนั้น เริ่มด้วยการโปรยผงถม ลงในช่องพื้นที่สลักหรือตอกลายเหยียบพื้น เมื่อเต็มพื้นแล้ว น าไป อบ จนผงถมละลายทั่วหุ่น หลังจากนั้นจึงขัดให้เนื้อสม ่าเสมอกัน จนเห็นลายเด่นชัดบนพื้นสีด า ต้องอาศัยความ ช านาญในการเขียน และการแลลาย การแลลาย หมายถึง การ ต้องแลเป็นเส้นเล็กๆ ตามลวดลายที่สลักดุน เพื่อให้เกิดความวาว ดูแล้วเหมือนเคลื่อนไหวได้ถมเมืองนครผลิตและสลักด้วยมือ นครศรีธรรมราชยังได้ชื่อว่า มีฝีมือในการท าถมด า ถมทอง ถมทองก็คือ ถมด านั่นเอง แต่แตกต่าง ที่ลวดลาย คือ ลายสีเงินได้เปลี่ยนเป็นสีทอง ช่างถมจะเปียกหรือ ละลายทองค าให้เหลวเป็นน ้า โดยใส่ทองแท่งลงในปรอท ปรอทจะละลายทองแท่งให้เป็นน ้า ช่างถมจะชุบน ้า ทองผสมปรอทด้วยพู่กัน เขียนทับลงบนลวดลายสีเงิน การเขียนน ้าทองละลายปรอทนี้ จะต้องใช้ความประณีตเป็นอย่างมาก ต้องเขียนทับลงบนเส้นเงินเท่านั้น เมื่อเขียนเสร็จแล้ว จะใช้ความร้อนไล่ปรอทออกจากทอง ทองก็จะติดแน่นอยู่ บนพื้นที่เขียนน ้าทองนั้น ถมทอง มีความงามตรง ที่เป็นสีทอง ลวดลายกระจ่างเด่นชัด ทองที่ทาทับ ก็จะมีความคงทนนับร้อยปี
292 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : ลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 10 ถมตะทอง ถมตะทอง เป็นศัพท์ของช่างถม หมายถึง วิธีการระบายทองค า ละลายปรอท หรือแต้มทองเป็นแห่งๆ เฉพาะที่ มิใช่ระบาย จนเต็มเนื้อที่อย่างเดียวกับการท าถมทอง โดยเอาทองค าแท้ๆ ใส่ลงในปรอท ทองละลาย อยู่ในน ้าปรอท เมื่อเอาน ้าปรอท ที่มีทองค าละลายปนอยู่ ไปแต้มตามแห่งที่ต้องการให้เป็นสีทองนั้น ในขั้นแรก ปรอท จะยังคงอยู่ เมื่อไล่ด้วยความร้อนปรอทจะหนี ทองก็จะติดแน่นอยู่บนต าแหน่งหรือลายที่แต้ม ทองนั้น การแต้มทองหรือระบายทองในที่บาง แห่งของถมด า เป็นการเน้นจุดเด่น หรือต้องการ แสดงอวดภาพหรือลาย เด่นๆ ฉะนั้นเครื่องถม ตะทองจึงเป็นของที่หายากกว่าถมเงินหรือถมทอง ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีความนิยมใน ถมตะทอง มากกว่าถมทอง ถมปัด มีเครื่องใช้สอยอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า "ถมปัด" พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 ให้ค านิยาม ไว้ว่า "ภาชนะทองแดงที่เคลือบน ้ายา ประสมด้วยลูกปัดป่ นให้เป็นผง ให้เป็นสีและลวดลายต่างๆ" ส่วนค า ว่า "ปั ด" ที่เป็ นนาม ให้ค านิยามว่า "เม็ดแก้วมีรูกลาง ส าหรับร้อยเป็ นเครื่องประดับต่างๆ ที่ เรียกว่า ลูกปัด" ดังนั้น แม้จะมีค าว่า ถม อยู่ด้วย ถมปัดก็ไม่ใช่เครื่องถม ดังที่กล่าวถึงมาแล้วข้างต้นนี้ เพราะ เหตุว่า รูปพรรณถมปัดเป็นโลหะทองแดง และน ้ายา เคลือบประสมด้วยแก้ว ถมปัดนี้ยังไม่ทราบ ว่าเคยมี ณ ที่ ใด ในประเทศไทยเครื่องลงยา ของไทยใช้น ้ายาผสมด้วยแก้ว แต่โลหะก็เป็นเงิน หรือทองค า และหาได้เรียกกัน ว่า ถมปัด ไม่ ในประเทศญี่ปุ่น มีเครื่องใช้สอยชนิดหนึ่งเรียกเป็น ภาษาญี่ปุ่น ชิปโป (Shippo) ท าด้วยทองแดง หรือโลหะอื่นเคลือบน ้ายาประสมด้วยแก้ว ทาง ยุโรปก็มีเรียกว่าคลัวซอนเน (Cloisonne) ทั้งนี้ก็ ตรงกันกับ ถมปัด เข้าใจว่าโลหะลงยาชนิดนี้ใน ประเทศไทยคงมีขึ้นหลังเครื่องถม เมื่อเห็นลงยามี วิธีการท าคล้ายถม ก็เลย ใช้ค าว่าถม และเพราะ เหตุที่เคลือบด้วยแก้วสีไม่ด า จึงเอาค าว่า "ปัด" ซึ่งหมายถึง เม็ดแก้วสีต่างๆ ประกอบ เข้าไปไว้ด้วย ให้เป็นที่เข้าใจว่า เป็นชนิดที่ท าวิธีถมด้วยแก้วสี
293 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : ลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 11 ภาพที่ 13-9 พานกลีบขนุนเทคนิคงานถมทอง
294 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : ลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 12 ภาพที่ 13-10 กระโถนและกาน ้าเทคนิคถมทอง
295 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : ลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 13 ภาพที่ 13-11 กระโถนและคันโทเทคนิคถมทอง
296 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : ลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 14 ภาพที่ 13-12 หีบโลหะเทคนิคถมทอง
297 ใบความรู้ วิชา : การเขียนลวดลายไทย หน่วยการเรียนรู้ : การศึกษาดูงานศิปกรรมไทย เรื่อง : ลายไทยในงานช่างทองหลวง หน้า 15 ภาพที่ 13-13 ชุดพานพระศรีเทคนิคถมทอง